ขอให้เป็นเพียงฝัน
ตอนแรก
“ปัง!!” เสียงดังกึกก้องที่สามารถหยุดทุกอย่างลงได้ แม้กระทั่งลมหายใจของใครคนหนึ่ง
สรรพสิ่งรอบบริเวณหยุดนิ่งไปชั่วขณะ แต่กลับมีร่างร่างหนึ่งที่ล้มลงตามกฎของแรงโน้มถ่วง พร้อมกับของเหลวสีแดงข้นที่ไหลเจิ่งนองอยู่ใต้ร่างนั้น ราวกับร่างนั้นถูกรองรับด้วยพรมกำมะหยี่สีสด ดวงตาปรือปรอยค่อยๆ ปิดลง และไม่รับรู้สิ่งใดอีกต่อไป
ผ่านไปชั่วอึดใจ ผู้คนโดยรอบเริ่มขยับ กระชับวงล้อมเข้าใกล้ร่างที่นอนจมกองเลือดอยู่ แต่ก็ไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปสัมผัส หรือให้การช่วยเหลือใดๆ ได้แต่ยืนล้อมร่างนั้นราวกับกำลังยืนไว้อาลัยเป็นครั้งสุดท้าย
“วี้ หว่อ วี้ หว่อ วี้ หว่อ” เสียงไซเรนของรถพยาบาลดังขึ้น ก่อนที่ตัวรถจะเคลื่อนเข้ามาจอดใกล้ๆ ประตูรถเปิดออก เหล่าเจ้าหน้าที่พร้อมเครื่องมือเร่งเข้าช่วยเหลือทันที ผู้คนเริ่มแหวกทาง และกระจายตัวออกห่างร่างนั้น คงจะพอมีคนที่มีสติโทรเรียกรถพยาบาลมาเป็นแน่
ร่างนั้นถูกเคลื่อนย้ายจากจุดเกิดเหตุ มุ่งตรงสู่โรงพยาบาล ที่เกิดเหตุก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาทำหน้าที่ตรวจสอบต่อ และติดตามตัวผู้ก่อเหตุ
“คนไข้มีสภาวะช็อค เพราะเสียเลือดมาก ไม่สามารถตรวจจับชีพจรได้” หมอและพยาบาลประจำรถพยาบาลตรวจอาการเบื้องต้น เพื่อให้ผู้ช่วยลงบันทึกการรักษา ในขณะที่เจ้าหน้าที่อีกสองคนกำลังต่อเครื่องช่วยหายใจและติดตั้งอุปกรณ์ช่วยชีวิต
“ติ๊ด...ติ๊ด...ติ๊ด...ติ๊ด....” เสียงเครื่องติดตามสัญญาณชีพและอัตราการเต้นของหัวใจ ดังขึ้นหลังจากเจ้าหน้าที่ติดตั้งอุปกรณ์ชั่วคราวบนรถพยาบาลเข้ากับผู้บาดเจ็บเรียบร้อย ตัวเลขที่ปรากฏบนจอมอนิเตอร์ตอนนี้บ่งบอกถึงสภาวะเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูงมาก
“ติดต่อห้องผ่าตัด แล้วแจ้งอาจารย์หมอภาวินด้วย คนไข้ไม่มีหลักฐานอะไรติดตัวมาเลย เพราะงั้นตรวจกรุ๊ปเลือดแล้วแจ้งคลังเลือดด่วนเลย!!” หมอประจำรถสั่งงานกับพยาบาลผู้ช่วยอย่างรวดเร็ว มือก็ปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บไปด้วย เจ้าหน้าที่คนนึงก็ทำการ PPV ให้กับผู้บาดเจ็บ ส่วนอีกคนก็เตรียม Factor เพื่อฉีดให้คนไข้
ผู้บาดเจ็บเสียเลือดมาก มีเวลาไม่มากสำหรับการช่วยเหลือ ในทุกๆ วินาทีที่ผ่านไปนั้น ร่างนี้มีโอกาสเสียชีวิตได้ทุกเมื่อ
“ติ๊ด....ติ๊ด....ติ๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด______________________” เสียงเตือนจากมอนิเตอร์ดังขึ้น บอกให้รู้ว่าร่างนั้นได้หัวใจหยุดเต้นไปแล้ว
“เครื่องกระตุ้นหัวใจ!!” หมอตะโกนสั่งเสียงดัง พยายามทุกวิถีทางที่จะยื้อชีวิตร่างนี้เอาไว้ให้ได้ ทั้งๆ ที่อีกไม่ไกลก็จะถึงโรงพยาบาลแล้วแท้ๆ
“กลับมานะครับ” นายแพทย์กระซิบข้างหูร่างนั้นแล้วลงมือกระตุ้นหัวใจ
“คุณหมอคะ อาจารย์หมอภาวินออกเวรตั้งแต่เมื่อคืนแล้วค่ะ แล้ววันนี้ก็เป็นวันหยุดของอาจารย์ด้วย แต่เจ้าหน้าที่กำลังติดต่อเข้าเบอร์ส่วนตัวอาจารย์หมอให้ค่ะ”
“ไม่ทันการณ์แน่ๆ มีใครเข้าเวรวอร์ดศัลย์บ้าง”
“มีหมอพุฒิพงษ์กับหมอวิทยาค่ะ”
“งั้นติดต่อหมอพุฒิเลย” พยาบาลผู้ช่วยเพียงพยักหน้ารับคำและทำการติดต่อหมอพุฒิพงษ์ทันที
“ติ๊ด...ติ๊ด...ติ๊ด...” จากการกระตุ้นหัวใจในที่สุดสัญญาณชีพก็กลับมา รถพยาบาลก็มาถึงโรงพยาบาลพอดี ผู้บาทเจ็บถูกเคลื่อนย้ายเข้าห้องผ่าตัดโดยไม่รอช้า
“ฝากด้วยนะครับหมอพุฒิ”
“อาการหนักขนาดนี้ถ้าได้ฝีมือผ่าตัดของอาจารย์หมอภาวินคงไม่มีปัญหา แต่ยังไงผมจะพยายามเต็มที่ คุณเก่งมากนะที่ช่วยเค้าจนมาถึงโรงพยาบาลได้” หมอพุฒิตบบ่ารุ่นน้องเบาๆ แล้วเข้าห้องผ่าตัดไปทำหน้าที่ของตน
.
.
.
.
.
.
.
“อือ....” ร่างสูงบนเตียงนอนบิดตัวไปมาไล่ความเมื่อย แต่ก็ยังไม่ลืมตา มือก็ปัดป่ายหาคนที่นอนอยู่ข้างๆ แต่ก็เจอเพียงความว่างเปล่า
“หายไปไหนของเค้านะ” ร่างสูงมองไปรอบๆ ห้องนอนแต่ก็ไม่เจออีกคน เงี่ยหูฟังเสียงจากห้องน้ำ ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร มองไปยังนาฬิกาถึงได้รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงเข้าไปแล้ว
“คงจะอยู่ข้างล่างล่ะมั้ง” บอกกับตัวเอง เพราะคิดว่าอีกคนคงกำลังเตรียมมื้อเที่ยงอยู่ในครัวเป็นแน่ คิดได้แบบนั้นแล้วก็คว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ อาบน้ำให้ร่างกายสดชื่น จะได้ลงไปหาคนที่อยู่ร่วมบ้านเดียวกัน และใช้ชีวิตด้วยกันมานานนับสิบปีอีกคน
ร่างสูงอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ หยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงแล้วจึงเดินลงมาชั้นล่างเพื่อหวังว่าจะเจอใครอีกคน แต่ทว่ากลับไม่มี
“นัท” ส่งเสียงเรียกอีกฝ่ายออกไปแต่ไม่มีเสียงตอบกลับ “นัท” ลองเรียกอีกครั้งก็ยังเหมือนเดิม
“ไปไหนของเค้านะ” หาจนทั่วบ้านแล้วก็ไม่เจอ จึงกดโทรศัพท์เพื่อโทรหา
“Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr” เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังมาจากในห้องครัว ร่างสูงจึงเดินตามเสียงไปก็พบโทรศัพท์มือถือที่มีชื่อ เบอร์ และรูปของเค้าโชว์อยู่บนหน้าจอ
“ออกไปไหนก็ไม่บอก โทรศัพท์ยังลืมพกไปด้วยอีก น่าตีจริงๆ” บ่นให้อีกคนที่ลืมโทรศัพท์ทิ้งไว้ในครัว คิดว่าถ้าอีกฝ่ายกลับมาจะจับตีก้นซะให้เข็ด โทษฐานที่ทำให้เป็นห่วง
ร่างสูงหยิบโทรศัพท์ที่อีกคนนึงลืมไว้ติดมือออกมาจากห้องครัวด้วย
“นัท” ออกมาจากครัวก็เห็นอีกคนยืนอยู่หน้าประตูบ้านพอดี จึงเอ่ยเรียกออกไป
แต่ดูท่าทางคนโดนเรียกจะดูแปลกๆ ไป ไม่ตอบรับ แถมยังดูเหม่อลอยอีกต่างหาก ร่างสูงจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ
“นัท” เรียกชื่อพร้อมเขย่าแขนเบาๆ
“อ๊ะ! พี่วิน” คนที่กำลังเหม่อลอยสะดุ้งตกใจ
“เป็นอะไรรึเปล่า ทำไมหน้าซีดแบบนี้ล่ะ” ถามพลางเอามืออังหน้าผากอีกฝ่าย “ไม่มีไข้นี่” ลดมือลงลูบแก้มเบาๆ สายตาทอดมองด้วยความเป็นห่วง
“เข้าไปนั่งพักก่อนดีกว่านะ” วินจูงมือนัทพาเดินมายังห้องรับแขกของบ้าน ในขณะที่จับมือกันนั้นวินสัมผัสได้ถึงฝ่ามือของนัทที่เย็นเฉียบราวกับอีกฝ่ายเพิ่งออกจากห้องเย็นมายังไงยังงั้น ลองเอามือสัมผัสส่วนอื่นก็รู้สึกเย็นไม่ต่างกัน
สีหน้าของนัทซีดเผือดไร้สีเลือด ผิวกายเย็นเฉียบขัดกับอุณหภูมิของอากาศภายนอกอย่างมาก
“นัทเป็นอะไร บอกพี่ซิ”
“เปล่าครับพี่วิน นัทไม่ได้เป็นอะไร”
“แล้วทำไมหน้าซีดตัวเย็นแบบนี้ล่ะ ไปทำอะไรมา” วินยังคงถามต่อ
“นัทแค่ออกไปซื้อของที่ซุปเปอร์หน้าปากซอยน่ะครับ”
“ออกไปซื้ออะไร หืม? ไหนของล่ะ แล้วทำไมนัทไม่ปลุกพี่ พี่จะได้ออกไปเป็นเพื่อน” วินลูบหัวนัทเบาๆ
“นัทจะทำมื้อเที่ยงให้พี่วินแต่ของสดในตู้เย็นหมด นัทเลยออกไปซื้อ แต่ยังไม่ได้ซื้อนัทก็กลับมาก่อน”
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“คือที่หน้าปากซอยมีคนยิงกัน มันเหมือนเกิดขึ้นใกล้ตัวนัทมากเลยพี่วิน ใกล้จนเหมือนนัทเป็นคนที่โดนยิงซะเองอย่างนั้นแหละ พื้นข้างๆ นัทก็มีเลือดนองเต็มพื้นไปหมดเลยครับ นัทกลัวเลยกลับมาซะก่อน”
“ห๊ะ!? ว่าไงนะ!? แล้วนัทเป็นอะไรรึเปล่า บาดเจ็บตรงไหนมั้ย” วินเอ่ยถามด้วยความตกใจ สำรวจตามร่างกายของนัทกลัวอีกคนจะโดนลูกหลงไปด้วย
“นัทไม่เป็นไรครับ แค่ตกใจ นี่กลับมาถึงบ้านได้ยังไงนัทยังไม่รู้ตัวเลย รู้ตัวอีกทีตอนที่พี่วินมาเขย่าแขนนัทแล้ว”
“โอ๋ๆ ขวัญเอ๊ยขวัญมานะครับที่รัก” วินดึงอีกคนมากอดปลอบ ลูบหัวลูบหลังให้หายกลัว นี่คือที่มาของอาการหน้าซีดตัวเย็นที่นัทเป็นสินะ
“นัทนี่ใช้ไม่ได้เลยนะครับ มีคนรักเป็นถึงอาจารย์หมอ แต่พอเห็นเลือดนัทก็กลัวซะแล้ว ช่วยอะไรใครก็ไม่ได้” ตัดพ้อตัวเองแล้วซุกหน้าลงกับอกของวิน
“อย่าว่าตัวเองแบบนั้นสิ คนเราไม่ได้สมบูรณ์แบบไปซะทุกอย่างหรอกนะ นัทกลัวเลือดช่วยเหลือคนเจ็บไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เรื่องแบบนี้ไว้เป็นหน้าที่หมออย่างพี่ดีกว่าเนอะ” ปลอบใจคนในอ้อมกอด โยกตัวไปมาราวกับกล่อมเด็ก
“คนนั้นคงถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาลพี่วินแน่ๆ เลยครับ”
“อืม...ถ้ามีอะไรที่โรงพยาบาลคงโทรหาพี่เองแหละ”
“พี่วินหิวรึยังครับ” นัทพูดเปลี่ยนเรื่อง เพราะยิ่งพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก็ยิ่งกลัว
“ก็เริ่มหิวขึ้นมาแล้วล่ะ แต่นัทไม่ได้ซื้อของเข้ามานี่นะ งั้นเราออกไปกินข้าวข้างนอกกันมั้ย”
“ก็ได้ครับ” นัทพยักหน้าตอบรับ
“งั้นรอพี่แป๊บนึงนะ พี่ไปเอากุญแจรถก่อน” พูดจบวินก็ผละออกมาจากตรงนั้น ขึ้นมาเอากุญแจรถกับกระเป๋าตังค์ในห้องนอน
“Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr” เสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะดังขึ้น นัทมองดูก็เห็นเป็นเบอร์โรงพยาบาลโทรเข้าเครื่องของวิน เห็นทีงานนี้คงไม่ได้ไปกินข้าวข้างนอกแต่ต้องเบนเข็มจากร้านอาหารไปเป็นโรงพยาบาลแทน แล้วล่ะ
“พี่วินครับโทรศัพท์” นัทตะโกนบอกวินที่กำลังเดินเข้ามาหาพอดี
“หือ?” วินมองเบอร์ที่โชว์อยู่หน้าจอ สลับกับมองหน้านัทไปด้วย ก่อนจะกดรับสาย
“ภาวินพูดครับ”
“สวัสดีค่ะอาจารย์หมอ คือตอนนี้ที่โรงพยาบาลกำลังต้องการความช่วยเหลือจากอาจารย์หมอโดยด่วนเลยค่ะ” ปลายสายบอกจุดประสงค์ที่โทรมาทันทีไม่ให้เสียเวลา
“เรื่องคนเจ็บที่โดนยิงใช่มั้ยครับ”
“ใช่ค่ะ คุณหมอรู้ได้ยังไงคะ”
“อ่อ ภรรยาผมเล่าให้ฟังน่ะครับ เค้าอยู่ในเหตุการณ์ด้วย แล้วตอนนี้คนเจ็บอาการเป็นยังไงบ้าง” วินถามต่อ เผื่อจะให้คำปรึกษาได้ในระหว่างที่เค้าเดินทางไปโรงพยาบาล
“ตอนนี้ยังผ่าเอาหัวกระสุนออกมาไม่ได้เลยค่ะ เพราะเลือดไหลไม่หยุดปิดปากแผลจนมองไม่เห็นอะไรเลย ความดันสูง หัวใจหยุดเต้นไปสองครั้งแล้วค่ะ ตอนนี้กำลังใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจอยู่ ก่อนจะมาถึงโรงพยาบาลก็หัวใจหยุดเต้นไปแล้วครั้งนึงแต่ปั๊มคืนมาได้ รวมแล้วคนเจ็บหัวใจหยุดเต้นไปสามครั้งค่ะ” พยาบาลประจำห้องผ่าตัดร่ายยาวถึงอาการของคนเจ็บให้วินฟัง
“ผมจะไปถึงโรงพยาบาลภายในสิบนาที แต่ระหว่างนี้อย่าเพิ่งวางสายนะครับ”
“ได้ค่ะอาจารย์”
“200 โวลต์ เคลียร์!!” ระหว่างที่คุยกับพยาบาลห้องผ่าตัดอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงหมอพุฒิที่ทำการรักษาคนเจ็บอยู่ดังเข้ามาในสาย
“อึก!” จู่ๆ นัทก็เกิดร่างกายกระตุก แถมยังเจ็บจี๊ดที่หน้าอกอีก
“นัท! เป็นอะไรรึเปล่า” วินถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน นัทก็เริ่มมีอาการผิดปกติ คนเจ็บก็รอเค้าอยู่ที่ในห้องผ่าตัดอีก ทำไมมันวุ่นวายแบบนี้นะ
“นัทไม่เป็นไร พี่วินรีบไปช่วยคนนั้นเถอะครับ เดี๋ยวนัทนอนพักซักหน่อยคงดีขึ้น” นัทตอบเสียงแผ่ว
“ถ้าอย่างนั้นนอนพักนะ อย่าคิดมาก พี่สัญญาว่าจะช่วยเค้าให้ได้ นัทจะได้ไม่ต้องมาคิดถึงเหตุการณ์นี้อีกนะครับ” น้ำเสียงอ่อนโยน กับฝ่ามือที่ลูบหัว ช่วยให้นัทคลายความกังวลไปได้ส่วนหนึ่ง วินคิดว่าอาการของนัทคงมาจากความกลัวบวกกับความเครียด จึงส่งผลแสดงออกมาทางร่างกาย จึงให้นัทนอนพัก และตัวเองก็รีบขับรถมายังโรงพยาบาลทันที
.
.
.
.
.
.
.
.
“เป็นไงบ้างหมอพุฒิ หมอวิท” วินที่มาถึงโรงพยาบาลและเปลี่ยนชุดเรียบร้อย เดินเข้ามาถามหมอศัลย์ทั้งสอง
ทีแรกหมอที่ทำการผ่าตัดเคสนี้คือหมอพุฒิพงษ์ แต่หลังจากคนเจ็บหัวใจหยุดทำงานไปรอบแรกหลังจากเข้าห้องผ่าตัด หมอวิทยาก็เข้ามาช่วย เพราะดูแล้วเคสนี้คงหนักหนาเอาการ แถมตอนนี้ยังใช้เวลาในการรักษาไปพอสมควรแล้ว ขืนปล่อยไว้นานกว่านี้คนเจ็บคงจะทนพิษบาดแผลไม่ไหวเป็นแน่
“ความดันยังสูงอยู่ครับ เลือดก็ยังไม่หยุดไหลด้วย มองไม่เห็นปากแผลเลย” หมอพุฒิตอบ
“บอกได้คำเดียวว่าหนักครับอาจารย์วิน” หมอวิทเสริม
“เดี๋ยวผมรับไม้ต่อเอง” วินบอกแล้วสลับที่กับหมอพุฒิ
“คุณหมอคะ เลือดกรุ๊ปเดียวกับคนเจ็บในคลังเลือดของเราหมดแล้วนะคะ ตอนนี้กำลังติดต่อขอไปยังโรงพยาบาลใกล้ๆ อยู่ค่ะ” พยาบาลห้องผ่าตัดรายงานให้คุณหมอทราบ
“แล้วญาติของคนเจ็บล่ะ เราคงรอเลือดจากโรงพยาบาลอื่นไม่ไหว ถ้าเลือดขาดแบบนี้ แถมเลือดยังไม่หยุดไหลอีก อาจจะต้องมีการรับเลือดโดยตรงถ้าเกิดกรณีฉุกเฉิน” วินถามพยาบาล แล้วอธิบายวิธีการรักษาที่พอเป็นไปได้มากที่สุดในตอนนี้
“คือ…ตอนนี้เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนเจ็บเป็นใคร เพราะไม่มีหลักฐานแสดงตนติดตัวเลยซักอย่าง เลยยังติดต่อญาติไม่ได้ครับ” หมอพุฒิตอบ
“งั้นก็แย่น่ะสิ” วินเอ่ยเสียงแผ่ว ในหัวก็คิดไปด้วยว่าจะทำอย่างไรดี “โทรศัพท์มือถือก็ไม่มีเหรอ” วินเอ่ยถาม
“ไม่มีครับ” หมอพุฒิตอบอีกครั้ง ส่ายหน้าให้หมอวินอย่างจนปัญญาจริงๆ
“เอาเถอะ ยังไงเราก็ต้องทำให้เต็มที่เท่าที่ทำได้” วินบอกหมอทั้งสอง และพยาบาลทุกคนที่อยู่ในห้อง ทุกคนพยักหน้ารับคำ วินละสายตาจากบาดแผลไปมองหน้าคนเจ็บ เพื่อส่งกำลังใจ “เรามาสู้ไปด้วยกันนะ….ค ครับ” แต่ก่อนที่จะพูดจบก็เป็นอันต้องชะงัก เมื่อเห็นใบหน้าของคนเจ็บเต็มๆ ตา
“อาจารย์วินเป็นอะไรไปครับ” หมอพุฒิเห็นวินนิ่งไปจึงเอ่ยถาม
“ไม่จริงน่า เป็นไปไม่ได้” วินไม่ตอบแต่พูดออกมาราวกับกำลังเพ้อ
“มีอะไรรึเปล่าครับอาจารย์วิน” หมอพุฒิถามอีกครั้ง
“ผมขอดูของใช้ของคนเจ็บหน่อยได้มั้ยครับ”
“ได้ค่ะ” พยาบาลรับคำแล้วไปหยิบถุงพลาสติกที่บรรจุเสื้อผ้าเปื้อนเลือดของคนเจ็บมาให้วินดู
“อาจารย์รู้จักคนเจ็บเหรอครับ” คราวนี้เป็นหมอวิทที่เอ่ยถาม
“นี่ค่ะอาจารย์วิน คนเจ็บไม่มีอะไรติดตัวมาเลยนอกจากเสื้อผ้าที่ใส่ กับเงินในกระเป๋ากางเกง” พยาบาลยื่นถุงพลาสติกให้ วินรับมาด้วยมืออันสั่นเทา ในหัวก็มีแต่คำว่า ‘ไม่จริง เป็นไปไม่ได้’ วนลูปซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น
“ตุบ!” ถุงพลาสติกในมือวินตกลงสู้พื้นทันทีที่วินเห็นสิ่งที่อยู่ในถุงนั้น แต่วินก็ไม่ได้สนใจจะเก็บมันขึ้นมา
“ขอสำลีชุบน้ำเกลือให้ผมหน่อยครับ” วินเอ่ยขอกับพยาบาลที่ดูแลเรื่องอุปกรณ์
“นี่ค่ะอาจารย์วิน” พยาบาลส่งสิ่งที่วินต้องการให้ ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนได้แต่รอดูว่าวินจะทำอะไร
วินเอาสำลีที่ชุบน้ำเกลือล้างแผลเช็ดคราบเลือดที่ติดอยู่บริเวณสีข้าง เพื่อพิสูจน์ความจริงบางอย่างที่แม้แต่ตนเองยังไม่อยากจะเชื่อ และยังคงมีคำว่า ‘ไม่จริง เป็นไปไม่ได้’ ลอยอยู่ในหัว
เมื่อเช็ดบริเวณนั้นจนสะอาดแล้วสิ่งที่ปรากฏต่อสายตาวิน ทำเอาขาที่เคยมั่นคงถึงกับสั่น หมดเรี่ยวแรง ปานแดงขนาดประมาณเหรียญสิบบริเวณสีข้าง ที่ตัดกับสีผิวขาวเนียนเป็นจุดที่เด่นชัดที่สุดในตัวของคนๆ นี้ และด้วยระยะเวลานับสิบปีที่อยู่ร่วมกันมาก็ไม่มีจุดไหนในตัวคนๆ นี้ที่วินจะจำไม่ได้ เพียงแต่เค้าไม่แน่ใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ทำไมคนที่ควรจะนอนพักผ่อนอยู่ที่บ้านกลับมานอนอยู่บนเตียงผ่าตัดในห้องนี้ได้ แล้วเรื่องที่เกิดก่อนหน้าที่เค้าจะมาโรงพยาบาลนี้ล่ะคืออะไร
“นัท”TBC
Talk
เอาตอนแรกไปก่อนเนอะ
เรื่องนี้อาจจะจบในสองตอน หรือถ้ายืดคงไม่เกินสามตอน
แต่คนแต่งตั้งพล็อตไว้คือสองตอน
แล้วก็อยากจะถามคนอ่านว่า อยากให้จบแบบ Happy Ending หรือ Bad Ending หรือจบแบบหักมุมไปเลยดี คอมเมนท์กันมาได้เลยค่ะ
คนแต่งจะรอคอมเมนท์จากคนอ่านนะคะ เพราะการแต่งตอนต่อไปขึ้นอยู่กับกำลังใจจากคนอ่านทุกคน อิอิ