Not to be unlocked : Episode 32 : พึ่งรู้ใจตัวเอง
บรรยากาศที่ผมเคยโฟกัสแค่กองขยะกับอุปกรณ์กีฬาที่กระจัดกระจายอยู่มากมาย กลับต้องมาเป็นสนใจไอคนหล่อที่เดินเข้ามาทำหน้านิ่ง ๆ ใส่ ถึงผมจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ยังไง แต่แรงกดดันที่ทางนั้นปล่อยออกมาก็ไม่ได้น้อยไปกว่าเศษถุงพลาสติกกับขวดน้ำที่ผมเก็บใส่ถุงดำในมือเลย (พึ่งไปขอป้าภารโรงเขามา) ในหัวพลันเสือกคิดถึงเรื่องเมื่อวานอีก โอ๊ยยยยย ไม่มีสมาธิแล้ว !
เวลาผ่านไปหลายนาทีขยะบางส่วนก็ถูกผมเก็บไปบ้างแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเหลืออีกหลายส่วนที่จะต้องเก็บกวาด ผมสะบัดหัวเอาไอเรื่องบัดสีบัดเถลิงออกจากสมองอยู่หลายครั้ง เป็นผลบ้างไม่เป็นผลบ้างก็ยังเพียรพยายาม แม้จะไม่ค่อยเหนื่อยกับการเก็บขยะใต้สแตนด์สักเท่าไหร่ แต่เริ่มชักจะคันมือตงิด ๆ เหมือนอยากจะต่อยปากคนซะแล้วสิ ก็ไอห่านั่นที่แม่งยืนอยู่กลางโรงยิมยังไม่เลิกมองผมซะทีน่ะสิ เอาเป็นว่าผมนับหนึ่งถึงร้อยไปพลาง เก็บขยะไปพลางดีกว่า จะได้ใจเย็นขึ้นบ้าง
หนึ่ง..
สอง..
สาม..
สิบ..
ห้าสิบ..
หนึ่งล้าน..
โว้ยยยย กูไม่ไหวแล้วนะ !!!
ผมขว้างทุกอย่างในมือลงพื้นก่อนจะปรี่ตรงไปกระชากคอเสื้อของไอหล่อนั่นด้วยร่างกายหอบ ๆ
" มึงจะเอายังไงกับกูห้ะไอเหี้ย !!!? " สมาธิในการนับเลขของกูหายไปอยู่กับมึงหมดแล้วไอเวร ! หน้านิ่ง ๆ ของเฟิร์สค่อย ๆ ฉีกยิ้มออกมาอย่างร้ายกาจ
" ไหนว่าปิดใจไม่รักใคร แต่ข้างในมึงก็ว้าวุ่นเพราะกูไม่น้อยเลยหนิ มันหมายความว่าไงวะมิ้ลค์ ? " แม่งไม่พูดเปล่า แถมเชยคางผมขึ้นอีก เชี่ย !! ผมเถียงไม่ออก มันเหมือนเป็นความจริงที่ผมหนีไม่ได้เลยว่ะ กูจะแพ้เพราะแบบนี้ไม่ได้นะ !
" วะ...ว้าวุ่นเชี่ยไร !! " ผมสะบัดมือมันออก " กูไม่เก็บมึงมาให้ลกสมองหรอก ฮึ ! " หน้าของผมเบือนหนี มันคือเรื่องจริง เชื่อผมสิ เชื่อผม !! มันคือความจริง ฮือออ
" มิ้ลค์ครับ " คนตรงหน้าอยู่ดี ๆ ก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม ผมหันขวับมาถลึงตาใส่มันทันที เป็นไปไม่ได้ แม่งพูดภาษาดอกไม้ เชี่ย ! แล้วทำไมกูต้องระทวยด้วย !!
" อะไร !? " นาทีนี้ต้องเหวี่ยงครับ ผมทำอะไรไม่ถูกแล้ว ผมอยากเหนือมัน ! ผมอยากชนะมัน ! ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าว่าเฟิร์สใจเย็นกับผมกว่าเมื่อวานเสียอีก
" มิ้ลค์รู้ใช่มั้ยว่าเฟิร์สคิดยังไงกับมิ้ลค์อะ ? " สายตาผมลนลานให้กับประโยคนั้น
" ระ...รู้ " ใจผมเต้นตึกตักยากที่จะควบคุม
" รู้ว่าอะไรครับ ? " สัด ! เมื่อวานมึงก็บอกกูมาแล้วปะวะ !? ยังจะถามซ้ำทำไมอีก !!?
ตอนนี้แก้มผมเริ่มอุ่น ๆ ค่อนไปทางร้อน " ก็รู้ว่ามึง..ชอบกูไง มึงก็บอกกูเมื่อวานแล้วไง ยังถามทำไมอีก ? "
" แล้วมิ้ลค์จะไม่คิดเหมือนกันกับเฟิร์สเลยเหรอ ? " มึงไม่ต้องมาตัดพ้อเล่นบทพระเอกเลยไอสาดดดดดด
" กูไม่คิดอะไรกับมึงทั้งนั้นอะ ! " เหวี่ยงอีกแล้ว ผมเหวี่ยงอีกแล้ว ทางนั้นก็ยังใจเย็นอยู่
" เฟิร์สดูมิ้ลค์ออกนะ ว่ามิ้ลค์คิดอะไร "
" หึ มึงเก่งขนาดรู้ว่ากูคิดอะไรกันมึงเลยไง๊ " ขนาดกูเองยังไม่รู้เลยว่าคิดอะไรกับมึงเลย เพียงแค่กูไม่อยากให้มึงไปไหนทั้งนั้น
" งั้น...เดี๋ยวเฟิร์สจะบอกให้นะว่ามิ้ลค์คิดอะไร " คนข้างหน้าก้าวมาหาผมอย่างเนิบ ๆ รอยยิ้มอันแสนเล่ห์กลเริ่มค่อย ๆ ฉีกออก " ถ้ามิ้ลค์ใจเต้น แสดงว่า.. " ใบหน้ามันเริ่มขยับเข้ามาใกล้จนเห็นชัดเจน ผมมองนัยน์ตาสีนิลที่ใสแจ๋วสลับกับริมฝีปากที่ค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น ทำไมแม่งไม่เอามาประกบกับปากผมสักที ?
ผมถอนออกจากโครงหน้านั่นเล็กน้อย " ไม่เห็นเต้นเลย มึงมั่วแล้วเฟิร์ส " ผมโกหก ผมตอแหล !! หน้าอกมันเต้นไวยิ่งกว่าเพลงในเกมออดิชั่นจังหวะร้อยเก้าสิบซะอีก ! รอยยิ้มนั่นยังคงปรากฏอยู่
" งั้นแบบนี้ล่ะ " ทีนี้ริมฝีปากสีชมพูเคลือบใสเลื่อนโครงหน้ามาให้เราได้ประกบจูบตามใจผมหวัง เปลือกตาผมค่อย ๆ ปิดเพื่อรับรสหวานที่แผ่ซ่านไปทั่วปาก ผมคุ้นเคยกับลิ้นนี้ที่ชอบหยอกล้อให้ใจรู้สึกสนุกอยู่ตลอดเวลา แบร็คเก็ตเป็นอุปกรณ์ในการดัดฟันของเฟิร์สก็จริง แต่มันเหมือนมีของเล่นสนุก ๆ ให้ผมทำควบคู่กับจูบอันร้อนแรง ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรอุ่น ๆ ละลอดเข้ามาภายใต้เสื้ออันชื้นเหงื่อ ทันทีที่รู้ว่าฝ่ามือของเฟิร์สละลูบจากเอวไปอยู่ด้านหลัง การเลียนแบบจึงเริ่มขึ้น ใต้ชุดนักเรียนของหมอนี่ที่ผมสัมผัสตามสัญชาตญาณดิบ มีทั้งความมันของผิวกาย และมัดกล้ามที่แน่นของแผ่นหลังจนน่าฝังคมเขี้ยว
เสียดายจังที่ปากของผมยังมีธุระอย่างอื่นอยู่..
" รู้หรือยังว่ามึงคิดอะไรกับกูมิ้ลค์ " เฟิร์สถอนใบหน้านั้นออกให้ผมได้ลืมตาเชยชม
" ไม่รู้ " ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าหัวใจที่เต้นแรงได้กับเฟิร์สแค่คนเดียวแบบนี้มันหมายถึงอะไร..
" มึงคิดเหมือนกันกับกูไง " ถึงตรงนี้สายตาของผมหันไปทางอื่นโดยอัตโนมัติ นี่กูเขินมันเหรอวะ !?
" กู...กูไม่ได้คิดอะไรกับมึงทั้งนั้นแหละ " อยากเถียงอะครับ อยากพูดอะไรสักอย่าง มันจะได้รู้ไงว่าผมยังสู้อยู่
" เบื่อจริงเลย ๆ พวกไม่รู้ใจตัวเองเนี่ย " เฟิร์สขำหึหึในลำคอ " กูจะให้โอกาสสุดท้าย มึงต้องตอบให้ถูกนะมิ้ลค์ " ยังไม่ทันที่ผมจะตั้งหลักอะไร ริมฝีปากของแม่งก็จ่อมาที่ปากผมอีกครั้ง
เฟิร์ส ปอดกูจะหมดลมแล้ว..
แต่ก็ดีแล้วนะครับที่มันทำให้ผมรู้ว่า..
ผมเองก็คิดเหมือนกันกับมัน
####
กว่าโรงทิ้งขยะจะกลับเป็นโรงยิมเหมือนเดิมก็ปาเข้าไปเกือบสองทุ่ม ผมบอกเลยครับว่าแม่งหนักหนาสาหัสมากกว่าไปเตะบอลวันกีฬาสีเสียอีก แอร์ก็ไม่เปิดให้ เหอะ ตอนนี้เสื้อนักเรียนของผมกับเฟิร์สนี่ไม่ต่างอะไรกับไปเดินแถวสีลมช่วงสงกรานต์เลยล่ะ ทันทีที่เราสองคนเคลียร์โรงยิมกันเสร็จ ลุง ๆ ป้า ๆ ภารโรงเขาก็มาช่วยปิดประตูให้ แถมมาขอโทษขอโพยเราสองคนตอนช่วยกันปิดประตูโรงยิมใหญ่เลยน่ะครับว่าเป็นคำสั่งของห้องปกครอง โดยห้ามยื่นมือเข้ามาช่วยเด็กนักเรียนที่ทำความสะอาดในวันนี้เด็ดขาด เราสองคนไม่นึกโทษโกรธใครเลย ลุงกับป้าเขาคงลำบากใจที่ไม่ได้มาช่วยทำกันน่ะครับ ส่วนห้องปกครองที่มาลงโทษก็เพราะเราไม่รับผิดชอบกันเองเสียมากกว่า ความผิดมันอยู่ที่เราทั้งสองห้องเองครับไม่ใช่ใครอื่นเลย
ขณะนี้เวลาสองทุ่มนิด ๆ แล้วครับ ผมกับเฟิร์สเดินฝ่าความมืดที่โรงเรียนเขายังจะพอมีเมตตาเปิดไฟสลัว ๆ ตามทางให้ ผมเดินนำไอคนข้างหลังไปประตูหนึ่งโดยไม่หันไปแลเลยแม้แต่น้อย ไม่อยากให้มันรู้ครับว่าเขินอยู่ (อ๋อ ตอนจูบไม่มีคนเห็นครับ ทั้งโรงยิมมีแค่ผมกับเฟิร์ส ถ้าแม่งคิดจะข่มขืนและฆ่าผมในนั้นก็คงไม่มีข่าวหลุดออกไปอย่างแน่นอน)
" จะรีบไปไหนอะ ? รอกูด้วยสิ " แหม ตอนอยู่ข้างบนมึงยังพูดครับอยู่เลยนะไอชิบหาย ไอคุณชายเฟิร์สแสนดีมันตายไปตอนไหนล่ะ ?
" กูรีบ กูหิว " ไม่หิวหรอกครับ แต่ไม่รู้จะแถต่อยังไงดีแล้วเนี่ย ทำไมเกิดมาผิวขาวเวลาเขินหน้าต้องแดงด้วยวะ !
มันสาวเท้าเข้ามาใกล้ ๆ " งั้นเดี๋ยวพาไปเลี้ยงร้านสเต๊กตรงนี้ดีปะ ? ไม่แพงแถมอร่อยด้วย " ผมอยู่กับมันมาก็นาน ไม่เคยรู้สึกไม่อยากมองหน้ามันมาก่อนเลยว่ะ
" อืม จะกินไรก็กิน " ผมไม่รู้เลยว่ามันทำหน้าแบบไหน ได้แต่แอบยิ้มอยู่คนเดียว มันคงไม่เห็นหรอกใช่มั้ย ?
" พูดกับคนอื่นอะ ต้องมองหน้าเขาเวลาพูดด้วยนะรู้เปล่า ? " ถ้าเป็นคนอื่นมาสอนอย่างนี้ ผมจับมันมาทำลูกชิ้นรมควันแน่ ๆ
" อืม "
" มึงพูดอืม มึงก็ต้องหันมามองด้วยสิ " โว้ะ เซ้าซี้กูจริง ๆ
" เออ " จุดจุดนี้หน้าขาว ๆ ของผมแดงก่ำไปทั่วแล้ว ผมค่อย ๆ หันหน้าไปมองเฟิร์ส ใบหน้านั่นยิ้มรับอย่างใจดี นานเท่าไหร่แล้วนะที่ผมไม่ได้เห็น
" น่ารักที่สุด " แล้วมันก็ยกแขนขึ้นมาหยิกแก้มผม เฮ้ย ! มึงกล้ามากนะไอเฟิร์ส ลามปามกูใหญ่แล้วนะ !
" อย่ามายุ่งกับหน้ากู " ผมปัดมือมันออกก่อนจะสาวเท้าหนีไว ๆ นี่ทำไมกูต้องมาเขินกับการกระทำโง่ ๆ ของแม่งด้วยเนี่ย ฮือออออ
" จะรีบไปไหนล่ะ เขินเหรอ ? " เขินหน้ามึง..
' ปี๊ดดดดดดด ' เฟิร์สวิ่งมาคว้าตัวผมให้หลบรถจากด้านข้าง ผมกะพริบตาปริบ ๆ ดูกระจกที่ค่อย ๆ เลื่อนลงมาของใครบางคน มืด ๆ แบบนี้ยังมีรถวิ่งในโรงเรียนอีกเรอะ
" นี่ มันอันตรายนะ ดูทางบ้างสิ " เป็นอาจารย์ท่านหนึ่งที่ผมไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่
" ขอโทษครับ " ผมยกมือขึ้นขอโทษเขาก่อนที่ฟิล์มกระจกดำนั่นจะปิดลง
" จะเขินก็ดูทางบ้างสิ " เฟิร์สขำหึหึปล่อยผมจากวงแขนก่อนจะคืนจาคอปที่ล่วงลงพื้นมาให้
มึงก็อย่าทำกูเขินสิ..
ป้ายรถเมล์เวลาสองทุ่มถึงจะมืดไปบ้าง แต่ก็อุ่นใจแบบไม่ต้องกลัวโดนปล้นเพราะมีคนยืนอยู่ข้าง ๆ ก็อย่างว่านั่นแหละ อยู่กับไอห่านี่มาเป็นพันปี ไม่นึกฝันว่าวันหนึ่งผมจะเป็นต่อแม่งซะได้ ไม่รู้อาการที่ผมยืนบิดไปบิดมากับเอาแต่มองเท้าตัวเองแบบนี้เฟิร์สมันจะเห็นรึเปล่า และก็คงเหม่อเกินไปหน่อยล่ะมั้ง ทำให้มันเขย่าแขนกว่าผมจะหลุดจากความคิดให้วิ่งตามมันไปขึ้นรถเมล์ได้ก็นานพอดู
พอขึ้นมาเฟิร์สก็พาผมไปทางฝั่งที่สามารถนั่งได้เป็นคู่ ดึก ๆ แบบนี้คนน้อยจนนับได้เลยครับ เฟิร์สให้ผมเป็นคนเข้าไปก่อนที่เจ้าตัวจะเขยิบตาม ๆ กันมา เมื่อรถแล่นออกไป ลมที่ลอดผ่านหน้าต่างก็ตีหน้าผมเรียกความเย็นสบายได้ดี
" ร้านสเต๊กตรงไหนอะ ? " ผมถามแต่ไม่ได้มองหน้ามันหรอกครับ แค่พูดยังหวั่นใจเลยเนี่ย..
" อโศก XX ไง ไม่เคยไปเหรอ ? " ผมคิดตามมันว่า กูนักกินตัวจริงทำไมไม่เคยได้ยินเลยวะ ?
" นึกไม่ออก ไม่เคยไปมั้ง " กระเป๋ารถเมล์เดินมาพร้อมกันเสียงแต๊ก ๆ ผมล้วงกระเป๋ากางเกงหาเศษเหรียญให้ครบจำนวนพอดีสำหรับเราสองคน แต่ไอห่านี่ดันขี้เสือกยื่นแบงก์ยี่สิบตัดหน้าไปเสียก่อน นี่แหละครับผมถึงได้กล้ามองหน้ามันสักที
" กวนตีน " มันทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวก่อนจะเก็บตังทอนใส่กระเป๋าเสื้อ แค่ค่ารถเมล์เก้าบาทสองคนกูออกได้เว้ย ผมถอนหายใจใส่แม่งพลางหันหน้าไปรับลมที่หน้าต่างต่อ
เอ๊ะ !?
ความรู้สึกอุ่น ๆ ของมือใครอีกคนเรียกให้ผมก้มไปดู..
เฟิร์สแม่งจับมือผม !!
" ทำไรเนี่ย !!? " กูรู้อยู่แล้วแหละว่ามึงทำอะไร แต่มึงไม่ให้กูตั้งหลักเลยรึงายยย !!? อ๊ากกกกกกกก ผมหันขวับไปที่หน้าต่างอย่างไวกลัวแม่งจะเห็นสีหน้าว่าเขินอยู่ หัวเกือบแดกขอบหน้าต่างแล้วมั้ยล่ะมึง
" จับมือไง ไม่ได้เหรอ ? " ไอได้มันก็ได้ แต่มึงเล่นไม่ให้กูตั้งหลักเนี่ย มันแปลก ๆ ปะวะ " แล้ว...ได้รึเปล่า ? "
" ได้ " ผมตอบเสียงแผ่ว โอ๊ยยย แก้มกูจะปริแล้ว !!!
" อะไรนะ ? " แล้วหูมึงบอดกะทันหันเรอะ !?
" กูบอกว่าได้ไง ! " พออนุญาตแม่งก็เอนหัวมาหนุนไหล่ผมเสร็จสรรพ
เออ เอาเลยไอเฟิร์ส ทำกูเขินเข้าไป
พอถึงป้ายรถเมล์ปริศนาตามที่คนข้าง ๆ บอกผมก็สะกิดให้มันตื่น แต่เฟิร์สคงนอนได้แปปเดียวล่ะมั้ง เพราะถ้านับจากหน้าโรงเรียนมานี่ก็แค่ห้าหกป้ายเอง ผมเก ๆ กัง ๆ เดินไปกดกริ่งรอให้รถจอดสนิทดีก่อนจะตามเจ้าเฟิร์สลงไป เราสองคนเดินต่อไปอีกนิดหน่อย (โดยมือยังไม่ปล่อย) ก็ถึงร้านสเต๊กตามมันว่า เป็นร้านติดถนนที่มีโต๊ะตั้งเรียงรายข้างฟุตบาทครัง ลูกค้าส่วนมากเป็นพนักงานออฟฟิศกับนักศึกษา งั้นขอรบกวนเจ้าของร้านให้เด็กนักเรียนสองคนได้ฝากท้องมื้อดึกด้วยนะคร้าบ
" รับอะไรดีคะ ? " ทันทีที่หย่อนก้นลงนั่ง พี่พนักงานตัวเล็กก็เดินมารับออเดอร์พวกเราทันที ผมพลิกหน้าเมนูค่อนข้างไวนิดหน่อยเกรงว่าพี่เขาจะรอนาน
" เอาเป็นสเต๊กหมูพริกไทยดำ สปาเกตตีซอสแดง ขนมปังกระเทียม ฮอทดอกลมควัน แล้วก็เป๊ปซี่ครับ " พี่พนักงานสาวจดยิก ๆ ตามด้วยทางนั้นที่เงยหน้าสั่งบ้าง
" เอาสเต๊กหมูพริกไทยดำแบบนั้นอีกที่ครับ " น่าประหลาดใจที่แม่งกินแค่นี้
" รอรับอาหารสักครู่นะคะ " แล้วพี่เขาก็รับสมุดเมนูคืนก่อนจะเดินจากไป แล้วพี่พนักงานออฟฟิศโต๊ะข้าง ๆ จะมองพวกผมอีกนานมั้ยครับ ? ผมไม่ได้มากับแฟนนะ !
" กินน้อยจัง " ผมเหล่ตามองไอหน้าหล่อที่ยิ้มอยู่อีกฝั่งโต๊ะ
" เรื่องกินไม่ใช่ปัญหาหรอก วันนี้กูคุ้มแล้ว " คุ้ม ? คุ้มเชี่ยไร !? พูดเหมือนไปแย่งของลดราคาได้งั้นแหละ
" หึ " พอผมพูดจบบรรยากาศรอบโต๊ะก็เงียบในทันที เฮ้ยยยยย อย่าเงียบสิ ผมเหล่มองมันอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ สลับกับบรรยากาศรอบด้าน พอไม่มีใครพูดแล้วอึดอัดชิบเป๋ง
" มิ้ลค์.. " เฟิร์สเป็นคนทำลายความเงียบจนผมต้องหันไปมอง " รู้ตัวรึเปล่าว่ามึงแม่ง...น่ารัก " ไอสาดดดดดด ร้อยวันพันปีไม่เคยเอ่ยชมกู อยู่ดี ๆ มึงก็พูดออกมาอะนะ !
" กู...กูหล่อเว้ย " น่าโมโห แม่งมีแต่คนบอกว่าผมน่ารัก ให้ตายสิ !!
" มึงอะน่ารัก ไม่งั้นกูจะเขินเหรอมิ้ลค์ " ห้ะ ! มึงเนี่ยนะเขิน ? แต่เห็นมันหันไปยิ้มทางอื่นคงไม่ได้พูดเล่นล่ะมั้ง
" อืม ขอบใจ " ผมรีบรับแก้วน้ำแข็งกับขวดเป๊ปซี่ที่พี่เขานำมาเสิร์ฟ ก่อนจะเทมันแล้วยกขึ้นมาดูดอย่างไวเพื่อแก้เขิน มึงไม่รู้สินะว่ากูบอกท่านผู้อ่านไปว่าเขินกี่หมื่นรอบแล้ว
" มิ้ลค์ " จู่ ๆ เฟิร์สก็เรียกชื่อผมอีกรอบ " กูขอโทษเมื่อคืนนะเว้ยที่ล่วงเกินมึงไปอะ กูไม่ได้ตั้งใจ "
มันคงเป็นปรากฏการณ์รีเฟคในร่างกายผมล่ะมั้ง เลยเลือกที่จะพูดแบบนั้นบ้าง " กูก็...ขอโทษที่พูดแรง ๆ กับมึง อย่าคิดมากเลยนะ กูไม่ได้ตั้งใจเหมือนกัน " ผมมองหน้าเฟิร์สด้วยท่าทีสำนึกผิด
" กูไม่ถือษามึงหรอกมิ้ลค์ แล้วมึงจะยกโทษให้กูได้มั้ย ? " ไม่น่าถาม
" ได้ดิ " แค่เป็นมึงจะอะไรกูก็ยกโทษให้ได้เสมอแหละ เฟิร์สยิ้มแล้ว ผมได้เห็นมันยิ้มอีกแล้ว !
" น่ารักที่สุด " อย่ามาบีบแก้มกู !!! เห็นมั้ยว่าพี่เขามองอยู่ไอห่า !!
ผมขว้างมือมันกลับไป " แล้ววันนี้ใครส่งมึงมา ? " คนที่นั่งอีกฝั่งโต๊ะขมวดคิ้วคิดตามก่อนจะหลุดขำ
" คิงคองไง มันเรียกกูให้ไปโรงยิม แถมบอกให้ไปคนเดียวด้วย " กูว่าแล้วไอคิงคอง !! ไอชั่ว ! ผมด่ามันในใจพลางรับจานสเต๊กหอมกรุ่นมาวางตรงหน้า โหน่ากินน !! ไหนขอลองเจ้าเนื้อหมูพริกไทยดำนี่หน่อย
" กินเยอะ ๆ นะ มื้อนี้กูเลี้ยงเอง " หื้อ ? ผมวางมีดกับซ้อมในมือทันที
" ถ้ามึงเลี้ยงกูไม่แดก " ผมมองหน้ามันอย่างเอาเรื่อง อย่ามานิสัยป๋ากับกูนะไอเฟิร์ส
" โอ๋เอ๋ งั้นจ่ายใครจ่ายมันเคปะ ? " หน้าผมค่อย ๆ ฉีกยิ้ม
" ดีมาก " หึหึ แล้วผมก็กลับมาสนใจเนื้อสเต๊กตรงหน้า โห...เพียงแค่ผมเอาใบมีดสัมผัสกับตัวเนื้อก็สามารถฉีกขาดโดยไม่ต้องออกแรงหั่น ไม่น่าเชื่อนะครับว่าร้านระดับนี้จะสามารถทำได้ ตอนนี้ผมค่อนข้างสนใจเทคเจอร์ของเนื้อหมูที่คลุกเคล้าอยู่ในปากแล้วสิ มันนุ่มมาก !
" มิ้ลค์ " ผมเคี้ยวตุ่ย ๆ มองเฟิร์ส " กูรักมึงได้ใช่มั้ย ? " ผมกลืนสิ่งที่เคี้ยวอยู่จนหมดสิ้น ผมไม่อาจละสายตาจากทางนั้นได้
" ได้ แต่.. " เฟิร์สจ้องผมราวกับรอคำตอบโดยไม่คลาดสายตา ผมไม่ค่อยมั่นใจกับตัวเองเท่าไหร่เลยหากได้รับรักจากเฟิร์ส
" จะรักคนเหี้ย ๆ แบบกู คิดดีแล้วใช่มั้ย ? " เฟิร์สถอนหายใจด้วยสีหน้าเซ็งสนิท
" อย่ามาไร้สาระ " เฟิร์สไม่พูดเปล่า แถมเอาเนื้อในจานแม่งมายัดปากผมอีก ทำไมมึงไม่ซีเรียสเหมือนกูวะไอห่า !!
" เฮ้ย ! กูจริงจังนะ " สายตาดุ ๆ ส่องแววมายังผมทันที
" ไอคนเหี้ย ๆ มันคือคนที่ทิ้งมึงไปต่างหาก อย่าเอาคนดี ๆ แบบมึงไปเหมารวมได้ปะ ? แม่ง พูดแล้วก็หงุดหงิด "
อยากจะเถียงอะนะครับ แต่ดันเผลอยิ้มไปซะก่อน
หลังจากที่อิ่มแปล้กันไปแล้ว เฟิร์สก็เสือกในหน้าที่จัดการค่าอาหารมื้อนี้ทั้งหมด ผมจัดการโบกหัวในความตอแหลของมันทันทีครับแต่แม่งดันหลบได้ เฮ้อ...เรายืนหยอกล้อกันอยู่นานจนได้แท็กซี่มาคันหนึ่ง เฟิร์สบอกว่าขอเป็นคนไปส่งผมถึงบ้าน ผมก็เลยสวนกลับไปว่าจะไปส่งทำไมบ้านก็คนละทาง มันไม่พูดอะไรครับ ลากผมเข้าไปนั่งด้วยกันหน้าตาเฉย อยากจะด่าแม่งจริง ๆ
" วันนี้อิ่มทั้งกาย อิ่มทั้งใจเลยเนอะ ว่าปะ ? " ท่านผมอ่านครับ ท่านเคยนั่งแท็กซี่แล้วหารเงินกับเพื่อนไปที่ไหนสักแห่งกันมั้ยเอ่ย ? เบาะหลังมันจะนั่งได้ประมาณสี่คนถ้าเบียดกันใช่ม๊า แต่ในรถคันเนี่ยเบาะหลังมันนั่งกันแค่สองคน แต่ไอเชี่ยนี่เสือกมานั่งเบียดกับผมเป็นปาท่องโก๋ แถมเหลือพื้นที่ไว้อีกมากมาย อีกครึ่งเบาะจะเก็บไปแข่งไตรกีฬารึไง ?
" แล้วจะมาเบียดทำไม ? ที่มีตั้งเยอะแยะ " มันมองผมเหมือนถามอะไรโง่ ๆ
" หนาว " สั้น ๆ ได้ใจความ โว้ะ อยากจะด่ามันมากกว่านี้นะ ถ้ามันไม่พูดต่อ " ง่วงมั้ย ? "
" ก็นิดหน่อย " เหนื่อยมาทั้งวันอะนะ ไม่สิ ต้องบอกว่าเหนื่อยมาทั้งเย็น
" นอนมั้ย ? "
" เดี๋ยวไปนอนที่บ้าน "
" นอนพิงไหล่กู เดี๋ยวถึงบ้านกูปลุก " ผมส่ายหน้าทันที
" ไม่เอา " สิ้นคำว่าเอาแม่งวาดแขนมาคล้องคอผมพลางนำฝ่ามือเอนศีรษะให้ไปอิงไหล่มัน
" นอนซะ เดี๋ยวปลุก " เจ้าเล่ห์นักนะมึง จะเนียนกอดกูล่ะสิไม่ว่า เอาเถอะ มีหมอนให้หนุนด้วย
" งั้น...ปลุกด้วยนะ "
" อื้ม "
ทุกอย่างล้วนเป็นความจริงจากปากเฟิร์ส นอกจากที่ผมจะอิ่มกายด้วยอาหารมื้อดึกแล้ว ยังอิ่มใจที่วันนี้ผมได้รู้ใจตัวเองว่าคิดยังไงกับเฟิร์ส ผมจะจดจำเรื่องราวในวันนี้ไปให้นานที่สุดเลย
หรือจริง ๆ แล้ว ประตูบานนี้ที่ผมปิดตายไม่รับรักใคร..
จะมีเฟิร์สเข้ามาอยู่ตั้งนานแล้วกันนะ..
- Not to be unlocked -