[END] Not to be unlocked อย่าปิดได้ไหม? หัวใจของมึง EP.43 จบแล้วจ้า (9/3/61)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END] Not to be unlocked อย่าปิดได้ไหม? หัวใจของมึง EP.43 จบแล้วจ้า (9/3/61)  (อ่าน 23769 ครั้ง)

ออฟไลน์ LKPOW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Not to be unlocked : Special Episode 1 : ผมขอพูดอะไรหน่อยนะ



     " ฟังกูนะ กูจำไม่ได้หรอกว่ากูกับมึงไปเจออะไรกันมาบ้าง แต่กูไม่ได้ชอบมึง และก็จะไม่มีวันชอบด้วย จำไว้ !! "



     ทุกคนยังจำคำพูดของเพื่อนตัวสูงแถมผิวขาวเหมือนชื่อที่มันตั้ง ตอนผมบังเอิญเจอที่ห้องน้ำได้มั้ยล่ะครับ ? ผมไม่อยากเชื่อหูตัวเองเลยจริง ๆ ว่าไอคนขี้ทะเล้นอย่างมิ้ลค์จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทั้ง ๆ ตอนปฐมนิเทศคนที่จะจับผมทำผัวด้วยสายตายั่วยวนก็คือมัน ผมล่ะหน่ายกับแม่งจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่เรื่องราวทั้งหมดมีอิทธิพลต่อจิตใจตัวเองมากมายซะขนาดนั้น แต่ไหนตอนผมซักประวัติ หน้าอึน ๆ ของมันเสือกตอบว่าจำอะไรไม่ได้เลยสักนิดว่าพูดอะไรออกไป เฮ้อ.. ผมไม่ดีใจหรอกนะครับที่อยู่ดี ๆ มีผู้ชายมาบอกจะจับทำผัวน่ะ อย่าหาว่าไร้สาระเลยครับก็ผมไม่โอเคอยู่แล้วถ้าได้แฟนเป็นตัวผู้เหมือนกัน



     แต่เพราะคำพูดนั้นทำให้ความคิดแปลก ๆ ที่ค่อยสั่งการผมให้ส่งสายตาอาฆาตไปยังมันก็สิ้นสุดลง พอเราทั้งคู่เคลียร์ปัญหาจบ มิ้ลค์ก็ขอตัวไปคัดงานต่อเพราะถูกทำโทษ มันบ่นให้ฟังว่าอาจารย์จะให้คัดอะไรเยอะแยะ น่าเบื่อก็น่าเบื่อ ถึงจะไว้ใจมิ้ลค์ได้ไม่มากเท่าไหร่ผมก็ออกปากช่วยเหลือมันทันที ขืนปล่อยให้มันบ่นต่อมีหวังผมคงหูชาแน่ พึ่งรู้เหมือนกันครับว่าเพื่อนที่รูปลักษณ์ค่อนข้างเพอร์เฟคอย่างมิ้ลค์จะเป็นคนขี้บ่นซะด้วย หึหึ



     ตลอดที่ผมช่วยมิ้ลค์คัดงาน มันบ่นตลอดเลยว่าปวดว่าเมื่อย แถมให้ช่วยคัดที่เหลืออีก ใจลึก ๆ ก็อยากจะตบหัวมันให้ทิ่มเหมือนกัน แม่งเหลืออีกไม่กี่รอบเองจะบ่นทำซากอะไร แต่จะให้อยู่ดี ๆ ไปตบเพื่อนใหม่อย่างมันก็ใช่เรื่อง คำหยาบไม่ต้องพูดถึงครับว่าผมจะพ้นออกไปเป็นปืนกล ผมตกใจมาก ๆ เลยนะที่อยู่ดี ๆ มิ้ลค์ก็เอาขนมมาป้อนถึงปาก ร้อยวันพันปีผมใช้ชีวิตอยู่โรงเรียนไม่เห็นต้องให้ไอคิงคองกับเพื่อนคนอื่น ๆ มาประเคนให้แบบนี้ แต่มิ้ลค์มันแปลกกว่าคนที่ผมเคยเจอมาทั้งนั้นเลยว่ะ ก็เลยอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ กินตามมันไป เผื่อมันจะบ่นว่าผมไม่ตามใจอีก



     พอช่วยงานเสร็จ หน้าของมันก็ดี๊ด๊าขึ้นมาทันทีไม่ต่างอะไรจากดีดนิ้ว มิ้ลค์จะพาผมไปเลี้ยงข้าวแทนคำขอบคุณที่ช่วยเหลืองานจนลุล่วง แล้วไหนผมก็หิวด้วย เพื่อนใหม่ของผมเลยพาไปทานข้าวเย็นถึงจะดึกแล้วก็ตามที แต่ดันพาไปกินที่บ้านของมันแทนซะงั้น !? เจ้าของบ้านบอกจะลงมือทำอาหารให้กินด้วยตัวเองน่ะ มันทำให้ผมอึ้งอีกแล้ว ผมมองจานข้าวผัดอะไรก็ไม่รู้ตรงหน้าอย่างพินิจ มันบอกอร่อยครับ แต่ไม่ค่อยน่าไว้ใจสักเท่าไหร่ ซึ่งเพื่อนมันก็หวังดีกับเราน่ะครับ ก็สนองความต้องการของทางนั้นสักหน่อย..



     อร่อยครับ ! มันอร่อยมาก !!



     นับเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ผมเคยเจอว่าผู้ชายอย่างมิ้ลค์จะทำอาหารได้ พอกินเสร็จปุ๊บก็ถูกบีบบังคับให้ผมนอนค้างที่บ้านทันที ผมหาข้ออ้างไปเรื่อยแต่ก็ถูกต้อนจนไร้ทางหนี แค่มิ้ลค์ใจป้ำทำอาหารเลี้ยงผมก็เกรงใจจะตายอยู่แล้ว นี่ต้องมานอนใต้ชายคากับเพื่อนคนนี้อีกน่ะเหรอ ? สุดท้ายผมก็พ่ายแพ้หน้าตาที่จริงจังของมัน เลยจำใจโทรบอกแม่ว่าวันนี้นอนบ้านเพื่อน ทางปลายสายก็ไม่ได้ว่าอะไรครับ ทั้งยังบอกอีกว่าอย่าไปซนบ้านเขาล่ะอย่างที่เคยพูดบ่อย ๆ พอก้าวมายังห้องของนอนของเพื่อนใหม่ก็ต้องตะลึงในอะไรหลาย ๆ อย่าง ทั้งขนาด เฟอร์นิเจอร์ ห่าเหวอะไรทั้งหลายแหล่ และถ้วยรางวัลนั้นก็คงจะเป็นตัวยืนยันว่าไอนี่ชอบทำอาหารสินะ มิ้ลค์บอกอีกว่าจะซักเสื้อและให้ยืมหนังสือด้วย แม่งจะทำผมตกใจไปถึงไหน นี่มึงสักผ้าเป็นด้วยเหรอ ? ปกติบ้านผมจะซักผ้าทีนึงก็ต้องส่งไปทำที่ร้าน จริง ๆ แม่เคยจ้างแม่บ้านเหมือนกันครับ แต่ก็ลากออกไปกันหมดไม่รู้เหตุอันใด แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น มันยืนมองผมด้วยสายตาดุดันและเสียงแข็งจนต้องยอมถอดให้ ที่ผมไม่อยากให้เพราะเกรงใจมันน่ะนะ ทั้งเลี้ยงข้าว นอนค้างที่บ้านอีก จริง ๆ ผมใส่ซ้ำไปโรงเรียนก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร หุ่นผมกับมิ้ลค์ก็ไม่ต่างกันมาก อารมณ์เหมือนพวกนักกีฬาทั่วไป เห็นมันวิดพื้นด้วยหนิ คงจะเป็นที่มาของกล้ามแขนและหน้าอกอันนูนเว้า ส่วนผมก็เตะบอลเล่นบาสแทบทุกวัน แต่เหมือนมิ้ลค์จะขาวกว่าผมเยอะ ผมยอมรับว่าค่อนข้างประหม่าเลยล่ะที่อยู่ ๆ ดีก็ถอดเสื้อแถมอยู่กันสองต่อสอง อาการแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับใครนอกจากผู้ชายคนนี้ คงเป็นเพราะเศษตะกอนในใจที่เคยมองว่ามันชอบล่ะมั้ง แต่ท่าทางของมิ้ลค์ไม่ได้กังวลเหมือนผมเลยว่ะ แล้วผมจะต้องกลัวมันไปทำไม จริงมั้ย ? :)



     ตลอดทั้งคืนผมย้อนความคิดไปสมัยม.ต้นกับหมอนี่ ตอนนั้นมิ้ลค์ยังตัวไม่สูงมาก พูดง่าย ๆ ว่าเตี้ยเลยแหละ ฮ่า ๆ เฉกเช่นผม ตอนนั้นเพื่อนในห้องมันชอบล้อผมว่าแก้วหน้าม้าน่ะ ก็ฟันแม่งโคตรเหยิน ผมเลยร้องไห้ไปหาแม่บอกว่าเพื่อนชอบล้อ จากนั้นเขาก็พาผมไปจัดฟัน แม่งโคตรปวดดด คุณหมอบอกว่าอยากหล่อก็ต้องอดทน พอขึ้นม.ปลายเราทั้งคู่ก็พลิกหน้ามือเป็นหลังตีน มิ้ลค์สูงขึ้นมาก ผมก็หล่อขึ้นเยอะ หึหึ นึกแล้วก็ตลกเหมือนกันที่ก่อนจะคบกับนัทตี้ผมเคยทักเฟสบุ๊คไปขอคำปรึกษาเรื่องความรักกับมิ้ลค์ด้วยล่ะ ฮ่า ๆ เป็นบ้าอะไรอยู่ดี ๆ ก็โพสสเตตัสรับปรึกษาปัญหาหัวใจ ทำตัวอย่างกับรู้ดีตายแหละ แต่มันก็ให้คำปรึกษาจนผมได้คบกับนัทนี้จริง ๆ นะ พอหลังจากกิจกรรมวันปฐมนิเทศตอนขึ้นม.4 ใหม่ ๆ ผมก็อันเฟรนด์มันทันที เหอะ ก็คนมันกลัวเพศเดียวกันมาบอกชอบนี่หว่า



     ผมเคยถามมันนะว่าทำไมถึงชื่อมิ้ลค์ มันก็บอกไปถามม๊ากูเองสิ ก็เลยโดนผมโบกกบาลไปหนึ่งที มิ้ลค์ทำหน้าบึ้งเหมือนเด็ก ๆ ก่อนจะบอกว่าตอนม๊าคลอดตัวมันขาวจั๊วะเหมือนน้ำนม ม๊าก็เลยตั้งชื่อให้ว่ามิ้ลค์ ส่วนน้องมินเขาไม่ได้มีเหตุผลพิเศษอะไรนอกจากอยากให้ลูกคนที่สองมีชื่อม.ม้าเหมือนพี่ ก็เหมือนพี่สาวของผมที่ชื่อขึ้นต้นด้วยฟ.ฟันเหมือนกัน



     อ้อ ! ผมก็พึ่งรู้เหมือนกันว่ามิ้ลค์เป็นลูกจ้างร้านแม่ผมด้วย ผมอวดแม่ใหญ่เลยว่าคนที่เคยไปนอนค้างที่บ้านคือมิ้ลค์นี่แหละ มันทำอาหารอร่อยมาก อร่อยจนแม่ผมต้องอัญเชิญมาบำเรอถึงบ้าน หมั่นไส้มันจริง ๆ ที่เรียกคะแนนได้ดีกว่าลูกในไส้อีก หึ ! พอรู้จักมิ้ลค์ไปอีกระดับหนึ่งถึงทำให้รู้ว่าแม่งเป็นคนชอบยัดเหยียด ไม่ใช่พูดใส่ความ แต่แม่งชอบเอาโน่นเอานี่มายัดใส่ปากใส่มือ ถ้าไม่รับไว้แม่งก็จะบังคับจนกว่าจะได้ เอาแต่ใจชิบหาย ตอนทำแผลให้มันก็เหมือนกันครับโคตรดื้อเลย ผมทนไม่ไหวถึงขั้นต้องตะคอกให้มันสงบ ได้ข่าวว่าเพื่อนห้องมันกลัวกันเหรอ ? หึ มึงอย่าเหมากูรวมในนั้น วันต่อมาไม่มีใครอยู่บ้านมิ้ลค์ก็เลยสอนทำอาหารให้ ผมค่อนข้างกลัวเลยแหละเพราะชีวิตนี้ไม่เคยจับหม้อจับตะหลิวเลยสักครั้ง มันสอนค่อนข้างเข้าใจง่ายครับ แต่ด้วยความกลัวนี้เองก็ทำให้ผมป้ำ ๆ เป๋อ ๆ จนมิ้ลค์ต้องออกแรงช่วยเหลือ ข้าวต้มไก่วันนั้นมันอร่อยจนผมหุบยิ้มไม่อยู่เลย ไม่รู้ทำไม ทั้งที่แม่งนิสัยแบบนี้แต่ผมรู้สึกชอบมันจัง คนบ้าอะไรก็ไม่รู้ทำได้ทุกอย่าง



     และแล้วความจริงบางอย่างก็ถูกเปิดเผย



     แฟนสาวที่มิ้ลค์พาผมไปรู้จักก็คือผู้หญิงคนหนึ่ง



     ผู้หญิงที่เคยทรยศหัวใจผม



     ผมทำอะไรไม่ถูกเมื่อต้องเผชิญหน้ากับนัทตี้อีกครั้ง ทำได้เพียงแต่ขอตัวลามิ้ลค์ไปซะดื้อ ๆ เธอเคยทำผมเจ็บปวดเจียงตายเพราะครั้งหนึ่งนัทตี้เคยมาบอกจากปากเองว่าขอ ' เลิก ' เหตุผลของเธอมันไร้สาระสิ้นดี คิดว่าการไปเจอสิ่งที่ดีกว่าผมมันจะสามารถขอเลิกกันง่าย ๆ อย่างนี้เหรอ ? ผมยื้อนัทตี้แทบทุกวิถีทางเพื่อจะได้เธอคืนมา ผมเป็นคนค่อนข้างขี้หึงไม่ค่อยแสดงออก แต่ครั้งนี้เหลืออด ผมถึงขนาดเดินเข้าไปกระชากข้อมือนัทตี้ในร้านอาหารที่ไอเด็กปีสองนั่นพามากิน ผมไม่แคร์สายตาไหนทั้งนั้นแหละก็นี่มันของผม คนรักของผม แต่แล้วจะไปสู้ได้ยังไงในเมื่อคนที่ถูกเลือกคือมัน ถึงเราจะมีข้อผูกมัดถึงขั้นมีอะไรกันแล้ว มันจะมีประโยชน์อะไรกันล่ะถ้านัทตี้ไม่ได้เลือกผม



     นับตั้งแต่วันที่เลิกกันจนผมไปเจอกับนัทตี้ที่มิ้ลค์เป็นคนแนะนำก็ปีกว่าเห็นจะได้ ถึงเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่เสือสาวตัวนี้ย่อมไม่เคยทิ้งลาย เธอเดินควงผู้ชายคนใหม่ต่อหน้าต่อตาผม แม่งโคตรรู้สึกแย่ โชคดีที่วันนั้นไปซื้อของแล้วกำลังจะกลับบ้านมิ้ลค์มันไม่เห็นเหมือนกัน คงได้มีเลือดตกยางออกกันแน่ ส่วนตอนค่ำที่ผมพามันไปที่ทะเลสาบก็ไม่ได้จะพาไปเที่ยวอะไรอย่างปากว่าหรอก แค่อยากจะรับรู้ว่าเพื่อนคนนี้คบกับนัทตี้นานแค่ไหนแล้ว ทำไมผู้หญิงแบบนั้นถึงยังกล้าทำอย่างนี้อยู่



     วันต่อมาหลังจากไปสยามกันเสร็จ ผมก็ไปส่งมันกลับบ้านถึง BTS ผมมองแผ่นหลังของมิ้ลค์ที่เดินเข้าไปก่อนจะถึงเครื่องสอดบัตร พลางคิดในใจว่าผู้ชายคนนี้กำลังโดนหลอกเหมือนที่ตัวเองเคยถูกกระทำ ตอนนั้นผมทำอะไรไม่ถูกนอกจากส่งกำลังใจไปให้



     " โชคดีนะ " ผมโบกมือลามันด้วยรอยยิ้มอย่างเต็มใจ มันก็อึ้ง ๆ นะ แต่ก็ยอมโบกมือลาผมเช่นกัน



     จนผมตัดสินใจอะไรได้บางอย่าง สักวันหนึ่งผมจะบอกเรื่องนัทตี้ เพื่อไม่ให้มิ้ลค์ต้องมาเจอเรื่องความหลังฝังใจแบบผม ผมไม่อยากให้ประวัติต้องมาซ้ำรอยเพื่อนใหม่ของผม



     หลังเลิกเรียนวันนั้นพวกเรามีนัดทำฉากกันที่หน้าสแตนด์ หัวหน้าฝ่ายอาร์ทอย่างผมถึงจะวุ่น ๆ เรื่องเช็กของ แต่ก็ปลีกตัวมาช่วยเหลืองานทั้งของเพื่อนตัวเองและห้องสิบเอ็ดได้ แล้วผมก็ต้องมาอารมณ์แปรปรวนเมื่อเห็นผู้หญิงคนนี้ แม่งจะมาทำห่าอะไร !? ผมไม่สบอารมณ์ถึงขนาดต้องปล่อยไอมิ้ลค์ที่แกล้งอยู่ไปสมทบกับเพื่อนห้องตัวเองเพื่อสงบสติ พวกเพื่อน ๆ ก็เห็นเหมือนผมว่าใครมา เลยเป็นการปลอบใจผมเป็นการใหญ่ ผมยอมรับครับว่าเป็นสุภาพบุรุษ แต่อยากเขวี้ยงคำนี้ไปให้ไกล ๆ แล้วเดินไปต่อยปากแฟนไอมิ้ลค์จริง ๆ ตลอดการทำงานผมสังเกตได้ว่านัทตี้มองผมเป็นระยะ ๆ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจเท่ากับมิ้ลค์ที่เดินกลับมาพร้อมกับแฟนมัน เพื่อนตัวขาวคนนั้นดูซึมไปอย่างประหลาด นี่มันทำอะไรกับเพื่อนของผม !? ผมกำหมัดจนเล็บแทบจิกเข้าเนื้อ ผมเกลียดตัวเองที่ทำห่าอะไรไม่ได้ ผมเกลียดนัทตี้ที่กำลังหลอกเพื่อนของผมอยู่ !



     เย็นในวันเดียวกันผมได้รับภารกิจให้ไปซื้อของเข้าร้านของแม่ที่สยาม ผมใจจดจ่อรอแต่วันรุ่งขึ้นเพื่อจะไปบอกมิ้ลค์ทันทีว่าเรื่องราวเป็นมายังไง ผมทนไม่ไหวแล้วที่เห็นมิ้ลค์โดนมารยาร้อยเล่มเกวียนของนังผู้หญิงคนนั้น และแล้วเรื่องบังเอิญก็เกิดขึ้น ผมที่จะเดินทางกลับบ้านก็เห็นเด็กโรงเรียนเดียวกันหน้าตาคุ้นเคยกำลังส่งแฟนขึ้นรถ ผมรอให้มิ้ลค์ส่งนัทตี้ขึ้นรถก่อนจะเดินเข้าไปหามัน



     " กูขอไปนอนบ้านมึงสิ กูมีอะไรอยากจะบอกมึงเยอะแยะเลยว่ะ "



     มันก็ไม่ได้ว่าอะไรผมนะครับ ซึ่งเป็นการดีที่ผมจะบอกเรื่องราวทุกอย่างให้แก่มัน ตลอดเวลาที่นั่งอยู่บนรถแท็กซี่ ผมแทบจะเปิดพจนานุกรมหาคำพูดที่สวยหรู่ที่สุด เพื่อไม่ให้เพื่อนคนนี้ต้องมาเสียน้ำตาเมื่อรู้ความจริง



     แต่แล้วผมก็ไม่สามารถบอกความจริงให้มันรับรู้ได้



     สิ่งเดียวที่ผมไม่อยากทำคือทำลายรอยยิ้มอันสดใสของมัน



     ทำไมผมถึงคิดแบบนั้น ?



     ที่ผ่านมาผมไม่เคยรู้สึกพิเศษกว่าใครนอกผู้หญิงที่เรียกว่า ' แฟน ' ได้เลยสักครั้ง แต่ฟ้าต้องการจะทดสอบอะไรกับผมให้ไปรู้สึกดีกับผู้ชายด้วยกัน แถมเกิดขึ้นแค่กับเพื่อนที่ชื่อว่ามิ้ลค์อีก ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นกับมิ้ลค์อยู่หลายครั้งตั้งแต่เราจ้องตากันในห้องน้ำเพื่อหลบหนีอาจารย์พรทิพย์ เล่นไพ่คิงแล้วจูบกันตั้งสิบวินาที ห้องครัวที่ผมไปดีดกีตาร์ตอนมันทำข้าวเย็นให้เพื่อนกิน กลางสระน้ำที่ไอมิ้ลค์กวนตีนมาจูบปาก ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไร แต่มันเป็นความรู้สึกที่น่าหลงใหลและน่าค้นหา ผมพยายามหาคำตอบอยู่หลายครั้งว่าทำไมต้องเกิดแค่กับมิ้ลค์ด้วย



     แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อเพื่อนของมิ้ล์อย่างกั๊มพ์และอาร์มพลั้งปากพูดถึงเรื่องนัทตี้ที่ไปเดินกับผู้ชาย มันเป็นวันเดียวกันกับที่ผมเห็น ผมช็อกไม่ต่างอะไรจากมิ้ลค์ วินาทีนั้นผมแข็งเป็นหินทั้งตัวจนทำอะไรไม่ได้นอกจากดูสีหน้าเศร้าหมองของมันที่ค่อย ๆ ปรากฏ ทุกครั้งที่ได้ยินคำว่านัทตี้ลั่นออกมาจากมิ้ลค์ มันทำให้ผมรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก ผมไม่รู้ว่ามันเป็นอาการหึงหวงหรือเจ็บแค้นกันแน่ ครั้งนั้นที่ผมเห็นสเตตัสของอาร์มที่เช็กอินสวนน้ำจังหวัดหัวหินและแท็กไปยังบุคคลหนึ่ง ไม่ต้องเข้าไปดูก็รู้ว่าเป็นผู้หญิงหน้าไหน ผมทักไลน์ไปหามิ้ลค์ด้วยความไร้เหตุผล แต่แล้วอารมณ์ต่าง ๆ ก็สงบลงเมื่อสัมผัสความรู้สึกผ่านตัวอักษรของมิ้ลค์ มันยังมีความสบายอกสบายใจอยู่ ถ้ามิ้ลค์ไม่ได้ร้อนรนอะไร ผมก็ไม่ควรทำอะไรนอกจากอยู่เฉย ๆ ทำไมคนที่แสนดีแบบมึงต้องไปยอมผู้หญิงไม่รู้จักพอแบบนั้นด้วย



     ที่ผมทำดีกับมิ้ลค์ จุดประสงค์หลักก็เพื่อจะบรรเทาความเจ็บปวดหากวันหนึ่งเรื่องราวต่าง ๆ ถูกเปิดเผย ความเจ็บปวดเหล่านั้นผมหวังว่ามันจะทุเลาลง แต่เส้นทางที่ผมวาดฝันไว้มันไม่ได้ง่ายอย่างที่ปากว่าน่ะสิ ทุกอย่างที่ผมทำให้มิ้ลค์กลับกลายเป็นความรู้สึกดี ๆ ที่ผมได้รับจากผู้ชายคนนี้ ผมตลกในความเปิ่นของมันที่เอาหน้ามาซุกตอนโฆษณาผีในโรงหนังเริ่มฉาย ที่ผมบอกแม่ว่าจะเข้าไปช่วยงานในครัวก็เพื่อจะลอบมองใบหน้าของมิ้ลค์ผ่านซิงค์ล้านจาน ผมอยากอยู่ใกล้ ๆ มิ้ลค์ถึงได้ชวนไปเที่ยวสยามหลังเลิกงาน ผมรู้สึกดีนะที่มิ้ลค์นอนตักในห้องประธานนักเรียนอย่างไม่ถือตัว ตอนผมและมันช่วยกันเลี้ยงลูกของน้าอิ๋วที่ชื่ออั่งเปาก็ด้วย ทุกอย่างที่ได้รับจากมิ้ลค์มันทำให้ผมรู้จักความสุขโดยแท้จริง ผมไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลยเพื่อจะได้มันมา



     ผมจำกัดความไม่ได้แล้วว่าเราเป็นอะไรกัน กว่าผมรู้จะตัวอีกทีความรู้สึกมันก็ไปไกลเกินกว่าคำว่า ' เพื่อน ' มากแล้ว



     จนฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนผมทุกคืนก็เป็นจริง



     มิ้ลค์กับนัทตี้ต้องเลิกกัน



     ด้วยความสงสัยตอนเช้าว่าทำไมน้องมินถึงได้มาโรงเรียนคนเดียว ผมเลยเข้าไปทักทายตามปกติอีกทั้งถามว่ามิ้ลค์ไปไหน น้องเขาพูดด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีนัก



     " พี่มิ้ลค์เขา...เลิกกับแฟนน่ะครับ เลยไม่ได้มาโรงเรียน "



     เพียงแค่ประโยคสั้น ๆ ใจผมก็วาปไปหามิ้ลค์ในทันที ไม่ต้องออกปากถามว่าเลิกกันเพราะอะไรผมก็รู้ ถ้ากระโดดออกนอกรั่วโรงเรียนได้ผมก็ทำไปแล้ว ตลอดการเรียนผมไม่มีกะจิตกะใจกับหน้าหนังสือตรงหน้าเลย หัวใจมันคิดแต่จะไปขอโทษมิ้ลค์ ปลอบมิ้ลค์ กอดมิ้ลค์ หรือถ้ามิ้ลค์ต้องการอะไรผมจะหามาให้ แม้จะแลกด้วยอะไรผมก็ยอม!! การที่มิ้ลค์โดนผู้หญิงแบบนั้นบอกเลิก มันเจ็บปวดทรมานใจยิ่งกว่าผมไปบอกความจริงทั้งหมดให้มิ้ลค์รู้เสียอีก



     ผมกอดมิ้ลค์ด้วยความรู้สึกผิดและเจ็บจากก้นบึ้งหัวใจ



     การที่มิ้ลค์รู้ความจริงผ่านการบอกเลิก ผมรู้ดีความเจ็บปวดมันมากมายมหาศาลแค่ไหน ผมอยากเอาความเจ็บปวดที่มิ้ลค์เป็นอยู่มาเป็นของตัวเอง แต่ก็รู้มันเป็นไปไม่ได้



     ผมแม่งโง่ที่ไม่ยอมบอกความจริงเพียงแค่กลัวว่าคนที่ให้ความรู้สึกพิเศษคนนี้จะเสียใจ



     ผมเกลียดตัวเองที่สุดที่เห็นแก่ตัว



     " แล้วทำไมมึงไม่อยากทำลายรอยยิ้มกูล่ะ ? "



     คำถามที่ได้รับผ่านอ้อมอกของมิ้ลค์ ผมตอบไม่ได้ว่าทำไมถึงไม่อยากทำลายมัน รอยยิ้มของมิ้ลค์มันเป็นอะไรที่หาได้ยาก มันเป็นอะไรที่ผมอธิบายไม่ถูก ผมอยากให้รอยยิ้มนี้มีเพื่อผม รอยยิ้มอ่อนโยนแบบนี้มีแค่มิ้ลค์คนเดียวเท่านั้นที่ผมเคยได้รับ



     ผมไม่รู้ทำไมถึงได้ให้ความรู้สึกดี ๆ เหล่านั้นได้มากมายแก่มิ้ลค์จนค้นพบความจริงผ่านริมฝีปาก ถึงจะเป็นวิธีที่ไม่ควร แต่จังหวะที่มิ้ลค์เมาและไม่มีสตินี่แหละ คงจะพิสูจน์ว่าผมคิดอะไรกับมันกันแน่ ก่อนที่ผมจะโน้มตัวไปจุมพิต การที่หัวใจเต้นไม่คุ้นจังหวะนี้ก็เป็นตัวบ่งบอกว่าผมรู้สึกยังไงกับผู้ชายคนนี้แล้ว แต่แค่นี้มันยืนยันอะไรไม่ได้หรอก อยู่ ๆ มิ้ลค์ก็ลืมตาเรียกให้ผมชะงัก ผมทำอะไรต่อไม่ถูกเลยได้แต่นึงเงียบ แค่หัวใจเต้นกับมิ้ลค์ในตอนนี้ผมก็รู้ตัวแล้วว่าคิดและรู้สึกอะไร ผมผละตัวออกจากคนที่นอนอยู่ก่อนจะถูกฝ่ามือข้างนั้นกระชากไปรับรสหวานจากปาก ผมค่อนข้างจะลังเลที่ตอบรับความรู้สึกของมิลค์ก็เลยได้แต่ปฏิเสธ แต่ลิ้นนั่นก็เชิญชวนอย่างเร่าร้อนจนร่างกายผมมันควบคุมไม่ได้ เลยต้องปล่อยใจให้มันทำตามต้องการ



     ผมรู้แล้วว่าคำตอบของคำถามนี้คืออะไร



     ผมชอบมิ้ลค์



     ผมอยากดูแลมัน ผมอยากปกป้องมันเพื่อไม่ให้เจอสิ่งเลวร้ายหลังจากนี้อีก



     วินาทีที่รู้คำตอบผมก็ผลักตัวมิ้ลค์ซะติดเตียง หากไม่หยุดตัวเองไว้ ผมคิดว่าอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นแค่การจูบน่ะสิ ผมมีความสุขนะที่คำตอบเป็นแบบนี้ ผมอยากเก็บช่วงวินาทีแห่งความสุขนี้ไปให้นานที่สุด ใบหน้าของมิ้ลค์จู่ ๆ น้ำตาทั้งสองข้างก็หลั่งไหล่ออกมาอย่างไม่มีเหตุผล พร้อมกับประโยคที่พลัดพรากคำตอบเมื่อครู่ของผมไปจนหมดสิ้น



     " เฟิร์ส...ฮึก กูรักใครไม่ได้แล้วว่ะ "



     ผมไม่คิดว่าอาการที่ดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปมากมายจะทำให้คำพูดนี้หลุดออกมาจากปากง่าย ๆ ยิ่งน้ำตาที่ไหลออกมาพร้อมกับคำพูด มันเติมแต่งให้ประโยคสั้น ๆ นี้มีความจริงจังเป็นไหน ๆ และประโยคนี้เองก็ทำให้ผมลมแทบจับ ทั้ง ๆ ที่ได้คำตอบแล้วว่าคิดอะไรด้วย แล้วทำไมกันล่ะมิ้ลค์



     ทำไม..



     ผมเดินออกจากประตูของห้องด้วยสติที่แทบจะไม่หลงเหลือ ประตูห้องปิดลงพร้อมกับแผ่นหลังที่พิงติดลากถไลลงกับพื้นอย่างคนไม่มีแรง ที่มิ้ลค์พูดแบบนั้นออกมาคงปิดใจไม่กล้ายอมรับใคร เพราะกลัวจะต้องเจอคนแบบนัทตี้อีกสินะ



     หึ ทุเรศตัวเองสิ้นดี ทั้งที่เคยคิดว่ามันชอบ แต่กลับไปชอบซะเอง



     มันก็คงเป็นเวรกรรมของผมนั่นแหละที่เอาแต่ได้ ไม่อยากให้คนที่ตัวเองรักต้องมาเสียน้ำตา



     หลังจากนี้ผมต้องทำเพื่อตัวมิ้ลค์เองบ้าง ผมต้องไถ่โทษกับกรรมที่ตัวเองก่อไว้



     ผมต้องตัดขาดจากคำว่ารัก เพื่อให้เหลือเพียงคำว่าเพื่อน



     ไม่สิ...เราต้องไม่เป็นอะไรกันทั้งนั้น



- Not to be unlocked -

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-03-2018 17:18:56 โดย LKPOW »

ออฟไลน์ LKPOW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Not to be unlocked : Episode 27 : อากาศ



     เช้าวันรุ่งขึ้นผมต้องรีบถ่อตัวเองไปถึงโรงเรียนให้ไว้ที่สุด เนื่องจากคุณซันแม่งโทรมาปลุกผมตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างว่าให้รีบมาไว ๆ เพราะวันนี้กลุ่มเราต้องพรีเซนต์งานหน้าห้อง หนำซ้ำกลุ่มเรายังไม่ได้ทำห่าอะไรเลยด้วย !! ขืนมึงอู้หรือไม่มาโรงเรียนมีหวังยี่สิบคะแนนได้หายไปกลับอ้วกเมื่อคืนแน่ ๆ ผมมาถึงโรงเรียนตั้งแต่หกโมงยี่สิบครับ แต่ก็ไม่เห็นหัวหมาที่แม่งโทรมาเร่งเลย ไอเลววว เมื่อคืนกูก็เล่นกระดกเอากระดกเอา เช้ามาหัวปวดแบบโคตะระ ดีนะที่ตากี้ผมแวะเซเว่นซื้อกาแฟร้อนมาจิบ บรรเทาไปได้นิดหน่อย



     " ไงมึง " ในที่สุดเพื่อนร่วมแก๊งที่ไปปาตี้เมื่อคืนก็มากันแบบพร้อมหน้า โอ้โห ! ไอซัน ไอปิงปอง สภาพย่ำแย่ไม่ต่างกัน



     " เออ เมื่อคืนมึงกลับกันกี่โมงวะ ? " กาแฟที่อุ่นแล้วถูกผมซดเข้าไปอีกอึกใหญ่พลางรอเจ้าเพื่อนตัวดีตอบ อ่าห์..~ คล่องคอดีแท้



     " ตีสี่ " พรวดดด ตีสี่ !!! เชี่ย !! มึงได้นอนกันมั้งมั้ยว่ะเนี่ย !?



     " เข้ !! พวกมึงจะดีดกันไปไหนวะ !? " ผมยังเหวอกับคำตอบของไอขี้เมาปิงปองไม่หายเลยว่ะ อยากรู้จริงว่าเมื่อเช็กบิลไปเท่าไหร่ (ผมจำไม่ได้หรอกครับ แต่เงินในกระเป๋าตังหายไปจำนวนหนึ่ง)



     " ก็เหล้ามันเหลือกลมสุดท้าย ก็รีบ ๆ แดกมันให้หมด จะทิ้งก็เสียดาย " เอ่อ...คุณเพื่อนซันครับ ถ้าเหล้าที่ร้านเหลือ เอากลับบ้านพี่หลินเขาก็ไม่ตามมาแดกหัวมึงนะ โว้ะ !!



     " แล้วไออาร์มอะ ไม่มาด้วยกันเหรอ ? " ผมชะโงกซ้ายทีขวาทีก็ไม่เห็นมีใครนอกจากพวกเราในโรงอาหารสักราย จะมีก็บ้าละยังไม่เจ็ดโมงเลย



     " นอนตายอยู่ห้องสภาโน่น กูบอกให้มันไปนอนพักเองแหละ คาบสองกูให้มันออกไปพรีเซนต์ แม่งหาเสียงก่อนจะมาเป็นประธานนักเรียนได้ แค่นี้ไม่น่าจะยากสำหรับมัน " ซันมันร่ายยาวพร้อมกับหยิบกรรไกร คัตเตอร์ ไม้บรรทัด และอีกหลายอย่างขึ้นมาวางบนโต๊ะ



     " แล้วพวกมึงไหวกันเหรอวะ ? นอนกันแค่สองสามชั่วโมงเนี่ย " ผมรับฟิวเจอร์บอร์ดจากซันที่เหมือนจะยังแปะข้อมูลไม่เสร็จมาตรวจดู อืมมมม ตัดเนื้อหาให้เป็นรูปเล็ก ๆ แล้วตกแต่งนิดหน่อยน่าจะใช้ได้



     " ใครบอกกูนอน พอกูเช็กบิลเจ๊หลินเสร็จกว่าจะนั่งรถกลับบ้านก็ตีห้าครึ่งละ นี่อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก็มาโรงเรียนต่อเลย " โหหหห นี่แม่งจะพลังกันไปถึงไหน !! ขอบตาพวกมึงนี่เขาจะจับไปสวนสัตว์เชียงใหม่มั้ยวะ ? กูขอเรียกหลินปิงกับหลินซันละกัน ฮ่า ๆ ไม่วายปิงปองก็ขอบ่นอะไรสักหน่อย



     " เออ รถแม่งติดตั้งแต่ตีห้า จะรีบทำงานกันไปถึงไหน " อ้าวเชี่ยปอง คนเขาทำมาหาแดกก็ไปว่าเขาอีก มึงนี่ก็บ้า



     " แล้ว...เมื่อคืนใครมาส่งกูวะ ? กูจำห่าไรไม่ได้เลย " อยู่ดี ๆ ผมก็นึกย้อนไปยังเหตุการณ์เมื่อคืนที่ว่าใครเป็นอาสามาส่งถึงบ้าน ซันทำท่าคิดแต่คนข้าง ๆ แทรกตอบแทน



     " ก็ไอปอนด์ไง เห็นมันบอกว่าถ้ามึงกลับ มันก็กลับ " ปอนด์เนี่ยนะ ? ทำไมกูรู้สึกว่าคนที่มาส่งกูถึงห้องไม่ใช่มัน



     " แต่กูเห็นไอเฟิร์สลุกไปพร้อมมึงนะ " ซันที่ตัดกระดาษอยู่ก็ขยายความให้จนผมต้องกะพริบตาปริบ ๆ



     " เหรอ " แล้วสรุปผมต้องเลือกขอบคุณข้อ ก. ปอนด์ หรือ ข. เฟิร์สวะ โว้ะ งงไปหมดแล้ว งั้นผมกา ง. ละกันถูกทุกข้อ ฮ่า ๆ



     พวกผมสามคนเร่งตัดกระดาษข้อมูลและของตกแต่งให้สวยงามพลางแปะลงยังฟิวเจอร์บอร์ดแผ่นฟ้า ๆ นี่ สองคนนั้นดูง่วงนอนมากครับ ตัดกระดาษไปหัวแม่งก็โคลงเคลงไป เข้าใจดีเลยแหละคนไม่ได้นอนมันทรมานแค่ไหน (ขนาดนอนมาแล้วยังง่วงเลยเนี่ย) คาบสองกลุ่มผมต้องพรีเซนต์เรื่องระบบเซลล์กันน่ะครับ เหอ ๆ ลืมกันซะสนิทเลยว่าต้องพรีเซนต์หลังกีฬาสี ทำไมอาจารย์ไม่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาให้หยุดพักกันมั้งน้ออ เหนื่อยกีฬาสีเสร็จแล้วต้องมาเหนื่อยแดกเหล้า เหนื่อยแดกเหล้าแล้วต้องมาเหนื่อยพรีเซนต์ อุ๊ย อย่าไปบอกอาจารย์นะครับเดี๋ยวคะแนนจะบ๋อแบ๋



     " แว้กกกกกกกกก " โทนเสียงแสบแก้วหูแบบนี้มีแค่ไอห่าอาร์มเท่านั้นครับที่ทำได้ ตอนเช้ากูควรจะได้ยินเสียงไก่ขัน แต่ต้องมาฟังมึงขันเองเนี่ยนะคุณประธาน ?



     " เป็นห่าอะไรไอสัด ? " ผมมองหน้าไออาร์มเคือง ๆ แต่ไม่เหมือนสองคนนั้นที่มองด้วยความสงสัยว่ากูให้มึงไปนอนห้องสภาฯ ไหนมึงมาโผล่นี่ได้ คุณประธานเขาหยุดหอบแฮก ๆ อยู่หัวโต๊ะก่อนผมจะสังเกตถึงมือขาว ๆ ของใครบางคนที่มาคว้าแขนอาร์มไว้



     " จะไปไหนเหรอครับ...พี่อาร์ม ? " เป็นหน้าของมินครับที่ออกมาหลังคอนเวอร์เซชั่น เสียงโคตรดุเลยว่ะ



     " อ้าว ๆ มีไรกันอะ ? " ผมเองนี่แหละที่ถามออกไป มินถอนหายใจใส่คนที่ล็อกตัวอยู่ด้วยสีหน้าเซ็ง ๆ



     " ก็เพื่อนพี่มิ้ลค์อะสิ มาแอบหลับในห้องสภาฯ ไม่ยอมเคลียร์เอกสาร บอกไปตั้งกี่รอบแล้วว่าต้องจัดการให้เสร็จก่อนเที่ยง เดี๋ยวชมรมที่เขามาของบก็ได้ช้าอีก " คนบงการให้เจ้าอาร์มไปนอนพักถึงขั้นสะดุ้งตัวใหญ่ ฮ่า ๆ รู้ตัวนี่หว่า



     " อันนี้มินก็ทำได้ ไม่เห็นต้องให้พี่ทำเลยหนิ เมื่อคืนพี่ก็ไม่ได้นอน น้าาาาามิน พี่ขอนอนหน่อยนะ " ทีนี้ไออาร์มเป็นลูกแมวอ้อนน้องผมไปแล้ว ไหนขอดูหน่อยซิไอตัวแสบจะรับมือยังไง



     " ไม่ได้ครับ งานนี้พี่อาร์มต้องทำเอง ไหนบอกว่าให้มินช่วยแค่เอกสารกีฬาสีแล้วงานอื่น ๆ จะทำเองไง พี่อาร์มผิดคำพูด " เอาเว้ย ! น้องทูนหัวกูเอาเรื่องเหมือนกันว่ะ เพื่อนผมแม่งจ๋อยไปเลย



     " น้าครับน้องมินสุดที่รักของพี่อาร์ม ช่วยพี่อีกงานหน่อยนะ นะ ๆ ๆ ๆ " ผมไม่รู้เหมือนกันว่าแผนออดอ้อนกับน้องชายคนนี้ ผลลัพธ์จะออกมาเป็นไง



     " ไม่ " สั้น ๆ ได้ใจความ " มินไปรอห้องสภานะครับ อีกห้านาทีไม่เจอตัวล่ะก็ เราจะได้เห็นดีกัน " นี่น้องกูเป็นเลขาฯ หรือพ่อไออาร์มวะ ? พอมินพูดจบก็หวัดดีลาพวกผมก่อนจะเดินจากไป อาร์มมันมองพวกเราอย่างขอความช่วยเหลือ แต่ผมคงทำได้แค่โบกมือให้กำลังใจไปอย่างนั้น ฮ่า ๆ สู้ ๆ นะเว้ยเพื่อน งานเสร็จเดี๋ยวค่อยไปนอนนะเพื่อน แต่อีกใจนึงผมก็สงสารมันว่ะ



     พอคุณประธานขี้เมาถูกผู้คุมนักโทษตามตัวไปยังคุกนรก ปอนด์ กั๊มพ์ เบ๊นซ์ สมาชิกทุกคนในกลุ่มก็มารวมตัวกันอยู่ในโรงอาหารกันแบบพร้อมหน้า สื่อนำเสนอที่พวกเราทำในรูปแบบฟิวเจอบอร์ดตอนนี้ก็เสร็จอย่างเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ซันกับปิงปองมันขอตัวไปซื้อข้าวเช้ากินก่อนน่ะครับ เห็นบ่น ๆ ว่าเริ่มหิวกันแล้ว สงสัยกับแกล้มเมื่อคืนถูกย่อยไปจนหมด ทั้งสองลุกขึ้นจากโต๊ะเดินไปเหมือนคนไม่มีแรง เบ๊นซ์และกั๊มพ์เริ่มเห็นท่าไม่ดีเลยเดินตามสองคนนั้นไป เผื่อเกิดปรากฏการณ์ภาพตัดจะได้ช่วยเหลือทัน ทิ้งให้ผมเฝ้าของอยู่กับปอนด์สองคน



     " เมื่อคืน...ขอบคุณนะที่มาส่งกูอะ " คนตรงข้ามที่นั่งจัดรูปเล่มรายงานก็เงยหน้ามาขมวดคิ้ว



     " หื้อ ? เมื่อคืนกูไม่ได้ไปส่งมึง " คราวนี้ผมขมวดคิ้วกลับบ้าง



     " เอ้า ! ก็ไอปิงปองบอกว่ามึงมาส่ง " ปอนด์วางแผ่นกระดาษที่เย็บติดกันลงก่อนจะอวดรอยยิ้มบาง ๆ



     " เฟิร์สเขาเป็นคนส่งมิ้ลค์น่ะ " เอ๋...ทำไมในมายเมมโมรี่ของผมมันไม่ได้เซฟข้อมูลของไอเฟิร์สมาเป็นไฟล์เลยวะ



     " อ๋อ ยังไงก็ขอบคุณมึงมากนะที่คอยดูแลกู เมื่อคืนกูบ้า ๆ บอ ๆ น่ะ แหะ ๆ "



     " ไปขอบคุณเฟิร์สเถอะ " ปอนด์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ก่อนจะลุกขึ้น " เดี๋ยวกูไปหาไรกินบ้างนะ " ผมมองปอนด์ที่เดินไปกอดคอเพื่อนคนอื่น ๆ ที่หน้าร้านขายข้าวแกงก่อนจะเกิดคำถามในหัว



     เมื่อคืนเกิดไรขึ้นกับปอนด์หรือเปล่า ? ทำไมผมรู้สึกเหมือนมันพูดประชดประชันไงก็ไม่รู้



     ทีนี้ผมลุกขึ้นมาบ้าง แต่ไม่ได้จะเดินไปซื้อข้าวมานั่งกินเหมือนไอพวกนั้นหรอก แบบว่ากาแฟที่เข้าไปซื้อในเซเว่นมันอยากจะขับถ่ายออกมาซะแล้วน่ะ เหอ ๆ เป็นว่าผมขอไปชิ้งฉ่องก่อนแล้วกันนะคร้าบบ



     ขณะนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงกว่าแล้วครับตามจีช็อคที่ข้อมือบอก นักเรียนหัวเกรียน เอ๊ย ! รองทรง เอ๊ย ! เริ่มมาสิงสู่ตามโต๊ะว่าง ๆ รอบโรงเรียนกันจวนจะเต็มแล้ว วันนี้อากาศค่อนข้างชื้นเหมือนฝนพึ่งตกจนสบายตัวอย่างบอกไม่ถูก ผมมองตามทางที่นักเรียนเดินสวนกันไปมาก่อนจะเหลือบเห็นป้ายสุขาชายอยู่ไม่ไกล แล้วถ้าสายตาผมมองไม่ผิด คนที่เดินออกมาจากห้องน้ำคือเฟิร์สนี่หว่า เดินเข้าไปทักทายมันซะหน่อยเนอะ



     " ไงเฟิร์ส " ผมที่เดินสวนเจ้าของชื่อนั้น พลางทักทายด้วยรอยยิ้มอย่างไมตรี



     " .......... " ถึงเราจะไม่ได้หยุดทักทายกัน แต่การที่เฟิร์สมองผมด้วยสายตาแบบนั้น แถมไม่พูดไม่จาแบบนี้ มันหมายความว่าไง ? เอ๊ะ !? สายตาแบบนี้มันคุ้น ๆ เหมือนตอนที่เฟิร์สเข้าใจผมผิดว่าชอบมันเลยว่ะ



     เอ่อ...เกิดอะไรขึ้นอีกล่ะเนี่ย ?



####



     ตลอดครึ่งวันเช้า ถ้าผมจะคิดถึงหน้าเฟิร์สที่มองมาด้วยสายตาไม่คุ้นแบบนั้นก็คงไม่แปลก มันลามเหมือนเป็นโรคติดต่อจนผมมองโจทย์ปัญหาที่อาจารย์ให้หาสมการบนกระดานไวท์บอร์ดเป็น " ไอเชี่ยเฟิร์สมันเป็นห่าอะไรของมันวะ ? " เลยล่ะ เฮ้ออ ช่วงพรีเซนต์คาบชีวะของกลุ่มผมก็เป็นไปอย่างไหลลื่นครับ ไอที่ว่าไหลลื่นเนี่ยคะแนนกูทั้งนั้น !! หึ จะให้ไม่โดนหักได้ไงก็คุณประธานของผมเนี่ย แม่งบ่นห่าอะไรก็ไม่รู้เหมือนคนลืมหยิบสติมาจากบ้าน ดีนะครับที่เพื่อนคนอื่น ๆ ก็มีสภาพไม่ต่างกัน เลยไม่ได้รับข้อสงสัยอะไรจากทางบ้านมาตอบให้ปวดหัว พวกมึงก็รู้ว่าแดกกันไม่ไหวก็แทนที่จะพอแล้วกลับไปนอนพักผ่อนซะ เห็นมั้ยล่ะ อาจารย์นาตยายังแซ็วว่าพวกเธอไปเมากัญชากันมาเหรอ ? เหอ ๆ



     นี่ก็เป็นเวลาสิบเอ็ดโมงกว่า ๆ ครับหลังจากที่พวกผมได้เลิกคาบอิ้งเสร็จ เพื่อน ๆ ต่างยื่นข้อเสนอเป็นสองพรรคพวกคือแดกข้าวกับไปนอน ซึ่งทางผมก็เทคะแนนเสียงให้ทีมที่ไปนอนครับ ก็เลยพาพวกผู้ประสบภัยง่วงทั้งหลายมายังศูนย์พักพิงห้องสภาฯ เอาเข้าจริง ๆ ห้องไอห่าอาร์มนี่แหละแอร์เย็นที่สุดในโรงเรียนแล้ว แถมโซฟานิ่มเหมือนตูดเจ้าของห้องอีกต่างหาก (ตูดมันนิ่มครับ) แต่ทำอีท่าไหนก็นอนไม่หลับ เพราะไอคนที่เดินสวนหน้าห้องน้ำเมื่อเช้านี่แหละ เข้ามาทำลายโสตประสาทของผมเวลาข่มตานอนน่ะเส้ !



     " แล้วหนีมานอนนี่ห้องสภาจะไม่วุ่นเหรอวะ ? " เสียงไอปิงปองงัวเงียถามคุณประธานที่ฟุบหลับอยู่บนโต๊ะประจำตำแหน่ง ขณะที่มันนอนราบอยู่กับพื้นห้องโดยมีตักไอซันเป็นหมอนรองหนุน



     " ไม่วุ่นหรอก เมื่อเช้ากูเคลียร์งานจนหมดแล้ว ใครด่ากูจะฆ่ามัน !! " น้องกูไปตามเมื่อเช้าก็คือจัดการซะหมดเพื่อสิ่งสิ่งเดียวคือนอนเหรอเพื่อน ? โหดสัดรัฐเซีย



     " แล้วนายไม่ว่าพวกเราใช่มั้ยพีท ? " ผมถามพีทที่นั่งเล่นดอทเอสองอยู่หน้าคอมอย่างเอาเป็นเอาตาย



     " ตามสบายเลยมิ้ลค์ ตั้งแต่น้องมินมาเป็นเลขาฯ ส่วนตัวไออาร์ม งานเดินเอกสารมันพร่องลงไปเยอะเลย ต้องยกความดีความชอบให้น้องนายเลยนะ " เหยดดดด น้องผมมันเมพขนาดนั้นเลยเรอะ ! " ไอเชี่ย มึงจะฟาร์มไปถึงไหน !! bobo !! " เอ่อ...กูก็เคยเล่นดอทเอในวอคราฟอยู่อะนะ มันมีศัพท์โบโบห่าอะไรนี่ด้วยเหรอ ?



     " กูเริ่มไม่แน่ใจเหมือนกันว่าน้องของมึงเนี่ย จะเป็นแม่กูหรือเลขาส่วนตัวกูกันแน่ แม่กูแท้ ๆ ยังไม่ดุขนาดนี้เลยนะ โหดชิบหาย " อาร์มมันเงยหน้ามามองค้อนผมแว็บนึงก่อนจะก้มไปฟุบหลับต่อ



     " ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ ? ได้ทั้งเลขาฯ ได้มั้งแม่ ฮ่า ๆ " มันหายใจฟึดฟัดเหมือนไม่พอใจที่ได้ยินคำนี้ แสดงว่าผมไม่ต้องเป็นห่วงเจ้ามินว่าจะโดนไออาร์มรังแกแล้วล่ะ เป็นห่วงไอห่านี่มากกว่า จะรอดเนื้อมือจากน้องชายตัวดีของผมไปได้มั้ย



     " เออมึง ไอเฟิร์สมันเป็นไรเปล่าวะ ? ทำไมวันนี้มันมองกูแปลก ๆ " ในที่สุดความอัดอั้นของผมก็หลุดออกมาผ่านเป็นคำพูด ปิงปองที่นอนตักไอซันที่พื้น ทั้งคู่เงยหน้าขึ้นมามองผม อาร์มที่เหมือนจะเคลิ้มหลับไปแล้วก็หันมาเหมือนกัน ไม่เว้นแม้แต่พีท อะไรวะ ?



     " เมียอย่างมึงไม่รู้แล้วพวกกูจะไปรู้มั้ยล่ะ ห่าลาก ! " คนที่นั่งอยู่โต๊ะประธานนักเรียนเหวี่ยงใส่ผมด้วยคำพูดเหมือนถามอะไรไม่ใช่สมอง ก่อนจะหันหน้าไปนอนต่อ สมองกูตอนนี้ก็เอ๋อเหมือนกันแหละ



     " เฟิร์ส...เฟิร์สที่สูง ๆ หล่อ ๆ ห้องสี่แล้วก็เคยมาเป็นตัวแทนคิงคองใช่ปะ ? อ่าวเชี่ยบวกสักทีเส้ !! " เอ่อพีท...มึงจะสนใจเพื่อนกูหรือเกมกันแน่ล่ะนั่น พีทมันคงไม่รู้จักเฟิร์สน่ะครับ มันเรียนอยู่ศิลป์คำนวณบวกกับอยู่คณะสีเหลือง คงเจอหน้าเฟิร์สไม่บ่อยนัก



     " ใช่ เราว่ามันไม่ปกติว่ะ " แล้วผมก็ย้อนความคิดไปยังเมื่อคืน เอ...ทำไมมันมีแต่ภาพดำ ๆ อ๋อ กูเมาจนภาพตัดนี่เอง



     " เออ แต่ตากี้กูแวะไปซื้อนมโรงอาหาร เจอมันก็แลซึม ๆ นะ " ใช่มั้ยล่ะไอปิงปอง ไม่ได้มีแค่กูหรอกที่รู้สึก เรื่องนี้มันต้องเงื่อนงำ



     " ก็ที่เมื่อคืนมันไปส่งมึงหรือเปล่ามิ้ลค์ ? สงสัยจะแอบลักหลับจนมองหน้ามึงไม่ติด " เชี่ยซัน !! ปากเหรอน่ะ !?



     " บ้า ! มันไม่ใช่คนแบบนั้นซะหน่อย " เฟิร์สเนี่ยอะนะลักหลับผม หึ จะทำผมคนนี้มันยังเร็วไปแสนปี



     " แววตากับสีหน้ามันบอกอะไรมึงไม่ได้หรอกมิ้ลค์ อยากรู้อะไรก็ไปถาม " อาร์มมันพูดในอ้อมแขนที่จัดทรงเป็นหมอนสำหรับนอน อยากรู้อะไรให้ไปถามเหรอ อืมมม



     " แล้วกูต้องถามอะไรอะ ? "



     " เอ้า ! มึงอยากรู้อะไรก็ไปถามมันสิ "



     " เอ่อ...แล้วกูต้องไปถามอะไรมันวะ ? "



     " อยากรู้อะไรก็ไปถามมัน !! " ทีนี้มันเงยขึ้นมากัดฟันจนแทบร้าว



     " แล้วกู.. "



     " ไอเชี่ย ! เลิกถาม ! กูจะนอน !! รำคาญ !!! "



     ฮืออออ ไออาร์ม จะตวาดกูตะไม



####



     ด้วยเหตุนี้เองกระผมต้องแปลงร่างเป็นยมทูต เพื่อตามล่าหาวิญญาณร้ายคุณเฟิร์สซะทั่วโรงเรียน จริง ๆ ผมออกมาตามหาตั้งแต่ไออาร์มไล่เมื่อพักกลางวันแล้วล่ะครับ แต่พอออกมาจากห้องสภาก็เหลือเวลาพักอีกแค่สิบห้านาทีเอง ใครจะไปเดินรอบโรงเรียนหมดภายในเวลาแค่นั้น ก็เลยต้องยกเวลาตามหามาเป็นตอนเย็นแทน วันนี้คาบสุดท้ายมันเลิกบ่ายสามครับ หึหึ ผมจำตารางสอนคุณเฟิร์สเขาได้หมดแล้ว ส่วนห้องผมเลิกสี่โมงครึ่งครับ แต่จะโดดเรียนใครจะทำไม ? (อย่าไปฟ้องป๊านะ) พอเลิกคาบก่อนไปเรียนต่อก็วิ่งปู๊ดดแวะไปดูห้องสมุดก่อน ผมชะเง้อผ่านกระจกเข้าไปยังด้านในก็ไม่พบผู้ต้องสงสัย ก่อนจะเดินไปยังสวนวิจิตรที่แม่งชอบแวะมาบ่อย ๆ แต่ก็เงียบกริ๊บ นี่ไอพวกเด็กม.ต้น ! โรงเรียนเขาเลิกแล้ว ไปยืนดูดข้างโรงเรียนก็ได้บุหรี่น่ะ เฮ้อออ ไม่วายผมก็วิ่งไปยังห้องของมัน (แล้วตากี้ทำไมกูไม่วิ่งไปตั้งแต่ทีแรก จะวิ่งขึ้นวิ่งลงทำไม ?) ปรากฏก็ไม่เจอใคร แต่ดันไปเจอเพื่อนของเฟิร์สที่เดินออกจากห้องพอดิบพอดี



     " ไงคอง " ผมทักทายมันด้วยคิ้วที่ยักขึ้นอย่างหล่อ ๆ มีแต่คนบอกว่าพักนี้มึงน่ารักขึ้นเยอะเลยนะมิ้ลค์ สัด ! กูหล่อโว้ย แล้วก็ไม่ใช่แค่พักนี้ด้วย กูน่ารัก เฮ้ย ! หล่อตั้งนานแล้ว !!



     " อ้าว ! หวัดดีมิ้ลค์ มาทำไร ? " คนตรงหน้าทักทายด้วยรอยยิ้ม ทำอะไรน่ะเหรอ ? หึ ก็เพื่อนตัวดีของมึงไงคิงคอง



     " เอ่อ...เฟิร์สมันอยู่ปะ ? " จะว่าไปเหมือนเมียตามหาผัวเลยว่ะ...แต่เพื่อนคนนี้เหมือนจะไม่ได้คิดอย่างนั้น



     " อ๋อ มันลงไปเตะบอลที่สนามโน่นอะ ไปเล่นด้วยกันปะ ? กูกำลังจะไปพอดี " เออว่ะ !! ลืมไปว่าที่สิงสถิตของไอเฟิร์สคือสนามบอล โอ๊ยยย ไอมิ้ลค์ ! ไอเอ๋อ !!



     " ไป ๆ แต่...กูขอไปก่อนนะ เจอกัน " แล้วผมก็วิ่งพรวดโดยไม่ได้หันไปมองหน้าเจ้าเพื่อนแสนดี ที่ตัวเองกำลังถามหาถึงเจ้ากรรมนายเวรของผมว่ามันไปแอบซ่อนตรงไหนในแผนที่โลก



     ทันทีที่วิ่งมาถึงสนามบอล ผมก็หืดขึ้นคอเป็นอันดับแรก แฮก ๆ ไม่รู้จะวิ่งมาทำไม แค่อยากคุยกับเฟิร์สไว ๆ ล่ะมั้ง ผมมองเฟิร์สที่เตะบอลกับเพื่อนอย่างสนุกสนามขณะยืนอยู่ในโรงอาหาร อืมมมม แล้วไหนว่ามันไม่ปกติ ทำไมเตะบอลหน้าระรื่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ล่ะนั่น ? ผมวางจาคอปลงบนโต๊ะพลางเดินวนไปวนมาอยู่กับที่ในท่าครุ่นคิดว่าจะเริ่มบทสนทนายังไงกับมันดี



     ปิ้งป่อง !! มันเล่นบอลเหนื่อย ๆ ก็ต้องหิวน้ำ ! เอาเป็นว่าผมซื้อน้ำมาดักรอมันดีกว่า ทำไมผมคิดงี้อะเหรอ ? เราต้องหาแม่สื่อไง เหมือนเวลาจะจีบใครก็ต้องมีพ่อสื่อแม่สื่อ แต่ผมไม่ได้จะจีบเฟิร์สนะ ก็มันไม่รู้จะเริ่มพูดยังไงนี่หว่า ยื่นน้ำให้มันแล้วค่อยถามว่าเหนื่อยมั้ย พอสถานการณ์ไปได้สวยแล้วค่อยวกเข้าเรื่องตัวเอง หึหึ



     " ป้าครับ เอาน้ำเปล่าขวดนึง " ผมรับขวดน้ำพลางยื่นเศษเหรียญครบจำนวนไปให้ก่อนจะวิ่งเหยาะ ๆ มานั่งขอบสนามด้วยความดีใจแปลก ๆ ตอนแรกก็ว่าจะนั่งรอมันจนกว่าจะเหนื่อยแล้วยื่นน้ำให้ดื่มน่ะครับ แต่เหมือนไม่ต้องรอแล้วแหละเพราะมันกำลังเดินมาทางนี้ !!



     ผมลุกขึ้นจากพื้นซีเมนต์ที่นั่งอยู่ทันทีหลังจากที่ร่างสูงนั่นปรี่ตรงเข้ามา เล่นบอลมาเหนื่อย ๆ แบบนี้ ถ้าเฟิร์สได้กินน้ำเย็น ๆ สักขวดคงจะชื่นใจไม่น้อย



     " อะเฟิร์ส น้ะ.. " ในตอนที่ยื่นขวดน้ำเย็นฉ่ำเพื่อหมายจะให้คนที่เดินมาได้ดื่ม ผมก็ถูกปฏิเสธด้วยฝีเท้าที่เดินผ่านไปอย่างไม่เหลียวแล ราวกับคนที่หวังดีตรงนี้เป็นอากาศ



     อากาศเหรอ..



     ผมในตอนนี้เป็นแค่อากาศสำหรับเฟิร์สงั้นเหรอ..



- Not to be unlocked -

ออฟไลน์ LKPOW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Not to be unlocked : Episode 28 : ความอึดอัด



     ท้องฟ้าที่เคยสดใสตั้งแต่บ่ายค่อย ๆ ถูกบดบังด้วยความมืดมิดจากแสงจันทร์ ไอเย็นฤดูหนาวช่วงสิ้นเดือนพฤศจิกายนเริ่มพัดผ่านมาจนหัวใจของผมเริ่มโหว่งแปลก ๆ ผมพึ่งรู้ว่าความหวังดีที่มอบให้เฟิร์สในวันนี้ มันไม่มีค่าพอที่จะให้ผู้ชายคนนั้นได้เหลียวแล ทั้ง ๆ ที่ผมอยากรู้ว่าเรื่องราวต่าง ๆ ล้วนเกิดขึ้นมาจากอะไร แต่กลับได้คำตอบอันแสนคุ้นเคยด้วยสายตาเหมือนครั้งที่เฟิร์สเคยคิดว่าผมชอบมัน หากเป็นผมในอดีตคงเดินไปกระชากแขนไอคนงี่เง่าแบบนี้มาถามให้รู้แล้วรู้รอด แต่ทำไมผมในตอนนี้ถึงทำได้มากที่สุดเพียงแค่มองแผ่นหลังแกร่งนั่นเกินจากไปอย่างตัดพ้อ หรือจริง ๆ แล้วคนที่ไม่น่าจะคบเป็นเพื่อนมากที่สุดคือผม เฟิร์สตัดสินใจทั้งหมดแล้วจริง ๆ น่ะเหรอ ? แม้ความจริงทั้งหมดผมยังไม่สามารถได้รับจากน้ำเสียงนุ่มลึกของมันก็ตาม



     " เป็นไรอะมิ้ลค์ ? ดูทำหน้าทำตาดิ " เป็นเสียงปอนด์ที่เรียกให้ผมหันไปมองขณะนั่งคิดอะไรเพลิน ๆ ตอนนี้เป็นเวลาเกือบทุ่มนึงแล้วครับ ที่ผมมานั่งจนมืดป่านนี้ก็เพราะมินเขาอยากไปกินร้านเนื้อย่างหลังจากเลิกงานสภาฯ น่ะ มินบอกให้ชวนเพื่อนพี่มิ้ลค์ไปเยอะ ๆ ด้วย



     " ก็...ไม่มีไรหรอก " แต่คนที่นั่งคู่กับผมใต้ตึกสิบสองจะไม่เชื่อคำโกหกเลยว่ะ



     " มึงมันตอแหลเก่งมิ้ลค์ กูอยู่กับมึงมาตั้งนานทำไมจะไม่รู้ " เสียงลมหายใจของผมถอนออกมาพรูใหญ่ ผมลังเลนะที่จะบอก เพราะทุกทีมีปัญหาอะไรก็เก็บไว้ในใจคนเดียวไม่บอกใคร



     " เรื่องเฟิร์สน่ะ " ปกติไม่ว่าผมจะนั่งเล่นรับลมตอนเย็น ๆ หรือรอน้องมินกลับบ้าน ผมจะเลือกนั่งที่โรงอาหารครัง แต่ที่ย้ายหนีมานั่งตรงนี้เหตุก็ไม่ใช่ใครอื่น ทำไมผมถึงไม่กล้าสู่หน้าเฟิร์สแล้วก็ไม่รู้



     " หึ งั้นที่มันขอไปส่งและมีเรื่องคุยกับมึงเมื่อวาน คือสาเหตุที่ทำให้เป็นหมาหงอยล่ะสิ ? " เสียงปอนด์เข้มขึ้นมานิดหน่อย แต่น้ำเสียงที่พูดประโยคนี้แบบไหนผมก็หันไปสนใจอยู่ดี



     " ห้ะ !? " หน้าไอคนข้าง ๆ อยู่ดี ๆ ก็เปื้อนไปด้วยคำถาม



     " อ่าว เมื่อวานมึงคุยไรกับเฟิร์สมันล่ะ ? " คิ้วของผมขมวดเข้าหากันเป็นเงื่อนพิรอดพลางย้อนสารบบไปยังเมื่อคืน



     " เมื่อวานกูจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าใครไปส่งกู เฟิร์สมันคุยกับกูเหรอ ? " นั่นแหละครับสิ่งที่ผมนึกออก ปอนด์มันมองตาผมปริบ ๆ



     " แล้วกูจะไปรู้มั้ยเนี่ย...เมื่อวานกูกับมันแย่งจะไปส่งมึงที่บ้าน เฟิร์สมันบอกว่าเรามีเรื่องจะคุยกับมิ้ลค์น่ะ ขอเป็นคนไปส่งเองนะ " อ๋อ !!!! กูพอจะเดาได้แล้วล่ะ เมื่อคืนต้องกูทำอะไรกับเฟิร์สไว้แน่ ๆ มันถึงได้เป็นแบบนี้ !



     " เชี่ยยยยยย เมื่อคืนกูจำห่าอะไรไม่ได้ " ถึงตรงนี้ผมยกมือทั้งสองข้างมากุมขมับ ไม่ต้องบอกให้ผมพยายามนึกหรอกครับ ผมลองแล้ววววววว ไม่น่าแดกเยอะเลยกู เอาไงดีวะ !!



     " แล้ววันนี้มึงลองไปถามมันดูรึยัง ? "



     " คุยแล้ว แต่มันเมินกู " จู่ภาพต่าง ๆ นานา ที่ผมและเฟิร์สช่วยกันสร้างความสุขซึ่งกันและกันก็แล่นเข้ามาในหัว ผมเชยชมภาพเหล่านั้นด้วยความหนืดหัวใจ รอยยิ้มของเฟิร์ส รอยยิ้มนั่นมันเคยให้พลัง มันเคยให้กำลังใจ มันเคยให้อะไรหลาย ๆ อย่าง แต่วันนี้มันแปรเปลี่ยนเป็นความนิ่งเฉย ผมอยากได้สิ่งเหล่านั้นกลับคืน ผมควรจะทำยังไงต่อดี



     " สงสัยมันไม่อยากได้กูเป็นเพื่อนแล้วมั้งปอนด์ "



     ในขณะที่ผมเหม่อลอยไปพร้อมกับเมฆครึ้มบนฟากฟ้า ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่สิ่งเหล่านั้นได้จางหายไป มืออุ่นของปอนด์ก็เข้ามากุมไว้ ผมสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนในฝ่ามือนี้



     " ถึงมึงจะไม่เหลือใครแล้ว แต่มึงยังเหลือกูนะมิ้ลค์ กูพร้อมจะอยู่ข้าง ๆ มึงเสมอนะ "



     ผมบีบฝ่ามือนั้นกลับด้วยแรงที่เหลือ ปอนด์เองก็บีบมือตอบสนองราวกับส่งพลังกายและใจ



     " ขอบคุณนะปอนด์ "



     บางทีผมก็ลืมไปว่าสิ่งดี ๆ อย่างปอนด์ มันอยู่ใกล้ตัวจนผมมองข้ามไป



####



     หลังจากได้ปอนด์มานั่งปลอบระยะหนึ่ง เด็กนักเรียนสามคนก็เดินตรงปรี่มาหาเราจากตึกสิบสาม น้องมินฉีกยิ้มทักทายผมและคนข้าง ๆ มาแต่ไกล เอ๊ะ !? ไออาร์มไปด้วยเหรอ ? เอ่อน้องคนนั้น...อ๋อน้องมาย ! น้องมายเขาเป็นเพื่อนเจ้ามินน่ะครับ เรียนอยู่ม. 4/1 ด้วยกัน ตัวขาว ๆ ตาไม่ตี๋มาก แถมสูงตั้งร้อยเจ็ดสิบกว่าแน่ะ นี่จะสูงเกือบเท่ากูแล้วนะไอน้องรัก มายเขามานั่งเล่นอยู่ที่บ้านผมบ่อยเหมือนกัน บ่อยขนาดจนคิดว่าคืนนั้นที่เจ้ามินมาขอคำปรึกษาคือไอน้องมายนี่แหละ ฮ่าๆ



     " ใครเชิญคุณประธานของกูมาร่วมโต๊ะอาหารครับ ? " มันเดินมาหาหน้าก็หน้าเหวี่ยงอยู่แล้ว โดนผมแซ็วอีกหน้ายิ่งเหวี่ยงเข้าไปใหญ่



     " เรื่องของกู กูจะแดกอะไรที่ไหนก็เรื่องของกู " เอ...พักนี้มึงเริ่มจะเหิมเกริมกับกูไปรึเปล่าเพื่อน ?



     " พี่มิ้ลค์หวัดดีครับ " ผมรับไหว้น้องมายด้วยรอยยิ้มก่อนจะพากันเดินไปขึ้นแท็กซี่หน้าโรงเรียน



     ผมโบกแท็กซี่มาหนึ่งคันโดยอาสานั่งข้างหน้า ทางด้านเบาะหลังมีปอนด์ที่ได้เข้าไปก่อน ตามด้วยมิน อาร์ม และน้องมาย ผมบอกพี่โชเฟอร์ให้ไปยังสถานที่ที่เราจะไปพลางดึงเข็มขัดมาคาด (อย่าลืมคาดกันด้วยล่ะ) รถแล่นตัวออกไปแล้ว แต่เสียงในรถเนี่ยมันเงียบจนน่าสงสัย ผมเหล่ตามองไปยังกระจกที่กระทบหน้าเจ้าพวกด้านหลัง ไออาร์มยังนั่งหน้าเหวี่ยงอยู่ มินกับน้องมายเล่นโทรศัพท์แถมหัวเราะคิกคัก ปอนด์มองออกไปนอกกระจก



     " เป็นเชี่ยไรอาร์ม ขี้ไม่ออกเหรอ ? "



     " หงุดหงิด " หื้อ ? ว่าไงนะ



     " หงุดหงิด ? หงุดหงิดห่าไร ? "



     " ไม่รู้ หงุดหงิด " มันตอบห้วนและเร็วมาก โว้ะ ทำงานสภาฯ จนเป็นบ้าแล้วมึงเนี่ย



     เมื่อมาถึงร้านผมจัดการโชว์ป๋าจัดการค่าเสียหายแท็กซี่ทั้งหมด ไม่แปลกหรอกมั้งถ้ามาทองหล่อแล้วจะโดนเป็นร้อย ทั้งรถติด ทั้งไฟแดง มินเขาอยากกินร้านนี้ตั้งนานแล้วครับ เห็นบ่นอยากกินเนื้อย่างตั้งแต่เปิดเทอมโน่นน แต่ก็อย่างว่าครับ กิจกรรมห่าเหวอะไรแม่งประเดประดังมาแบบ non-stop จะไปมีเวลากินได้ยังไงกัน



     บรรยากาศในร้านไม่ได้ตกแต่งเรียบหรู่อะไรมาก เรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้ตกแต่งอะไรเลยด้วยซ้ำ ฮ่า ๆ แต่ด้วยผนังโทนสีนวล ทำให้สบายตาไปอีกแบบ โชคดีที่คนไม่ค่อยเยอะมาก เลือกที่นั่งได้ตามสบาย ผมเลือกนั่งริมกระจกครับ พี่บริกรเขาเอาเก้าอี้มาเสริมให้เหมือนที่นั่งจะไม่พอ เป็นว่าผมนั่งหัวโต๊ะ มินและมายสอดตัวเข้าไปนั่งในสุดคนล่ะฝั่ง ส่วนเพื่อนของผมก็นั่งประกบเด็กสองคนนั้น หึหึ ให้มันนั่งใกล้ ๆ นี่แหละ พอกวนตีนผมจะได้ตบง่าย ๆ เอ่อ...แล้วเมื่อไหร่คุณประธานของผมจะแกะหน้ายับ ๆ ของมันซะทีวะ ? หรือต้องใส่รหัสผ่าน โว้ะ ปล่อยแม่ง



     " เอาเนื้อย่างราดซอส ชุดทะเลสด วากิว A5 เบคอน ไส้กรอก ชุดผัก บลา ๆ .. " ทันทีที่พี่บริกรยื่นสมุดเมนูให้ทุกคนที่นั่งอยู่ มินที่นั่งข้าง ๆ อาร์มก็ร่ายคาถาบอกพี่เขาจนจดแทบไม่ทัน ลูกไม้ตกไม่ไกลต้นเหมือนพี่มันจริงจริ๊ง สงสัยคืนนี้น้องกูเล่นจนกระเป๋าฉีกแน่ ๆ



     " มิน ๆ เอาปลาสวรรค์ปะ ? สั่งมากินด้วยกัน " น้องมายดูสมุดพลางยื่นหน้าไปเสนอคนตรงข้าม เออ สองคนนี้มันสนิทกันจนหน้าผิดสังเกตจริง ๆ ว่ะ



     " เอาสิ ๆ มายสั่งเลย " แล้วคนที่เสนอชื่ออาหารก็หันหน้าไปบอกพี่เขาให้จดเพิ่ม ไออาร์มกูเห็นมึงนะ มันหันหน้าหนีมินมาทำปากขมุบขมิบล้อเลียนน้องมาย



     " เป็นเชี่ยไรอาร์ม ? " มีแค่ผมกับปอนด์นั่นแหละที่สนใจกริยาสถุนของมัน สองคนนั้นยังคงพูดคุยกะหนุงกะหนิงไม่สนใจ



     " หึ หงุดหงิด !! " กูอยากเอาตะเกียบแทงปากมึงจริง ๆ ไอสันขวาน



     " มิ้ลค์ กินแซลมอนมั้ย ? กูสั่งให้ " ปอนด์ที่ก้มอ่านสมุดเงยหน้าขึ้นมาเสนอเมนูบ้าง



     " สั่งไปเหอะปอนด์ กูแดกได้หมดอะ " ผมยักคิ้วให้มันทีนึง เหมือนมันจะชอบนะ หึหึ



     " เอาแซลมอนสองครับ " พี่เขายิ้มเนือย ๆ ก่อนจะก้มไปจด



     " แดกตีนกูมั้ยล่ะ " คราวนี้คุณอาร์มมันพูดลอย ๆ เหมือนคุยกับสมุดเมนู หึ พาลแบบนี้กูขอสักหน่อยเถอะนะเพื่อนรัก



     ' ป้าบบ ! ' คิดถึ๊งคิดถึง ปากหมา ๆ ของมึงเนี่ย



     " มิ้ลค์กูเจ็บนะ มิน พี่มึงแกล้งกู " มีฟ้องน้องผมด้วยว่ะ ฮ่า ๆ น้องกูจะช่วยไรมึงได้



     " หงุดหงิด !! " ผมหลุดขำทันทีที่เจ้ามินมันล้อเลียนไออาร์มบ้าง ก่อนจะหันไปเลือกเมนูกับมายต่อ



     " โว้ยยยยยยยยยย " โอ๋ ไม่ร้องนะเพื่อน ฮ่า ๆ



     จวบจนของที่สั่งไปทั้งหมดค่อย ๆ ลอยมาจอดอยู่เบื้องหน้าจวนจะครบ เนื้อวากิวอันแสนร่ำลือว่าอร่อยสัดหมาที่ก่อนหน้านี้ผมได้ย่างไว้ถูกคีบเข้าปากเพื่อลิ้มรส โอ้วววว ความรู้สึกของเนื้อวัวร้อนผ่าวราวกับละลายในปาก ผสานเข้ากับน้ำจิ้มสูตรพิเศษของทางร้าน มันทำให้ผมแทบจะละลายไปกับอาหารในปากเลยว่ะ ร้านนี้ไม่เคยทำให้ผมผิดหวังเลยจริง ๆ แต่ถึงอาหารจะอร่อยจนคุณหมึกแดงทั้งยืนยันนอนยันว่าแดกแล้วเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ ไออาร์มก็ยังทำหน้าบึ้งตึงไม่สนใจอยู่ดี ปอนด์มันดูจะชอบซาบะที่น้องผมสั่งมานะเพราะเห็นกินใหญ่เลย ส่วนมินกับมายก็ตาลุกวาวเมื่อเห็นพี่บริกรเสิร์ฟเซตปลาดิบ



     " เต็มที่เลยนะ มื้อนี้เสี่ยมิ้ลค์เลี้ยงเอง " แต่การที่ผมพูดแบบนั้นก็ไม่ได้ทำให้ไอเชี่ยอาร์มเปลี่ยนสีหน้าเป็นอย่างอื่นเลย กูควรจะทำยังไงกับไอเพื่อนคนนี้ดีเนี่ย



     " โห่พี่มิ้ลค์ ให้มินเลี้ยงบ้างก็ได้ ครั้งที่แล้วพี่มิ้ลค์ก็เลี้ยงนะ " อะไรมิน ก็รอบที่แล้วพี่สั่งเบียสดมาซดตั้งทาวเวอร์นึง พี่ก็ต้องรับผิดชอบ (ทั้งโต๊ะ) สิ ฮ่า ๆ



     " เดี๋ยวมายช่วยมินออกก็ได้นะครับพี่มิ้ลค์ " ไอน้องรักคนนี้ก็ป๋าไปอีก พี่ทำงานทุกอาทิตย์ ตังเหลือเฟือครับเด็ก ๆ



     " กูล่ะเบื่อพวกอวดรวยจริง ๆ " พออาร์มพูดจบผมก็คีบหอยเชลล์ยัดปากมันทันที แดกเข้าปายยยยย !!!



     " โอ๊ยย ร้อนน " สมน้ำหน้าไอควาย !! ของอร่อยมาให้แดกเสือกไม่แดก เดี๋ยวกูสั่งน้ำประปาให้แดกซะดีมั้ง !



     " อะนี่มิน อร่อยนะ เราลองละ " น้องมายคีบกุ้งแกะแล้วไปใส่จานเปล่าคนตรงข้าม มีแกะกุ้งให้กันด้วย ฮิ้ววววววว



     " เฮ้ยไม่เป็นไรมาย เดี๋ยวไม่อิ่มนะ " ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่มายก็ไม่ได้หยุดแกะเลย เป็นภาพที่ดีงามจริง ๆ ฮ่า ๆ



     " ไม่มีมือแดกเองเหรอ หรือเป็นง้อย ? " เดี๋ยว ๆ พาลกูคนเดียวไม่พอ เสือกลามเป็นขี้กลากไปหาคนข้าง ๆ มึงเฉย ตากี้มึงยังฟ้องมันอยู่เลยที่กูแกล้งอะ ไหนมึงแปรพักตร์เร็วขนาดนั้นวะไออาร์ม ?



     " ยุ่งน่าพี่อาร์ม มินจะทำอะไรกับใครก็เรื่องของมินปะ ? " ฉึก !! เอื้ออออออ ไออาร์ม มึงโดนน้องกูเล่นแล้ว " ขอบคุณนะมาย " แล้วเพื่อนเจ้ามินก็ได้รับรอยยิ้มอันแสนน่ารักของน้องผมไป เฮ้ยอาร์ม ! อย่าแยกเขี้ยวสิวะ !!



     " โว้ยยยยย หงุดหงิด ! หงุดหงิดแล้วต้องแดก !! " แล้วมันก็หยิบอาวุธต่าง ๆ ฟาดฟันอาหารตรงหน้าเข้าปาก เออ แดกสักทีเหอะ เล่นตัวอยู่ได้



     หึหึ ในเมื่อมินเขาจับคู่กับน้องมายแล้ว ผมก็จับคู่กับปอนด์หยอกไออาร์มมั้งดีกว่า



     " ปอนด์ " ผมเรียกจนมันเลิกคิ้วมามอง " ป้อนกูหน่อยดิ " ก่อนจะเหล่ไปมองปฏิกิริยาของคุณประธาน



     " เอาจริงดิ ! " แล้วมึงจะตกใจทำไมกูแกล้งไออาร์มเฉย ๆ ฮ่า ๆ ผมอ้าปากรอปอนด์ที่คีบวากิวอีกชิ้นก่อนจะรับด้วยปากแบบเต็มคำ



     " อื้อฮือออ อร่อยจางงง มีคนป้อนมันอร่อยอย่างนี้นี่เอง อ้าวอาร์ม ! ไม่มีคนป้อนเหรอ ? ว้าาาา เสียใจด้วยนะเพื่อน " ผมพูดพลางเอื้อมมือไปแตะบ่าแต่มันดันเบี่ยงหลบเสียก่อน



     " ไม่ต้องมายุ่งกับกู กูเบื่อพวกเป็นง้อย " ตู้มมมม !!!! ระเบิดลงทั้งโต๊ะ แต่กูไม่สน กูกวนตีนมึงสำเร็จ มิ้ลค์รับไปหนึ่งคะแนน ฮ่า ๆ " ทำงี้ผัวมึงไม่ว่ารึไง ? " อาร์มพูดต่อ



     " ผัว ? ผัวคนไหน ? " ผมเฉไฉพลางยกแก้วชาขึ้นมาดูด



     " ไอเฟิร์สไง เป็นไง ได้คุยกันรึยัง ? " อยู่ดี ๆ ผมก็เผลอกัดหลอด อาร์มมองหน้าผมอย่างเอาตายซึ่งต่างจากปอนด์ที่หันมาแค่ดวงตา



     " ยังอะ " กูจะแถต่อยังไงดีล่ะเนี่ย ชิบหายละ เดดแอร์อีก !!



     " แต่กูเปลี่ยนผัวละ " แล้วผมก็ดึงแขนไอปอนด์มาซบ " นี่ผัวใหม่กู รู้จักไว้ซะด้วย " หึหึ อาร์มมันเบ้ปากให้ผมทีนึงก่อนจะก้มไปกินต่อ



     พอพวกเราเริ่มกินอาหารกันอย่างจริงจัง ผมก็จับสังเกตอะไรได้บางอย่างเกี่ยวกับไออาร์ม เวลาที่มายหยิบโน่นหยิบนี่มาใส่จานมิน ไอห่านี่ก็จะออกตัวไม่พอใจทันที อีกทั้งพ้นคำว่า ' หงุดหงิด ' ออกมาเป็นแสนคำ จวนผมเอ็ดใจว่าไอปฏิกิริยาแบบนี้มันจะเรียกว่า ' หึง ' ได้รึเปล่า ลองย้อนกลับไปตอนที่ทั้งมินและอาร์มมาขอคำปรึกษา ช่วงเวลามันเกิดขึ้นในตอนที่สองคนนี้ทำงานสภาฯ ร่วมกัน แน่นอนอยู่แล้วความสัมพันธ์ในฐานะพี่น้องหรือคนร่วมงานย่อมดีขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่อาร์มและมินเนี่ยผมยังเดาไม่ออกเลยว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่มันคืออะไร ทำไมเพื่อนผมแม่งถึงได้มีอาการที่ไม่ต่างอะไรจากหึงหวงมินเลยวะ ? ผมว่าตัดช้อยมายแล้วเปลี่ยนคำตอบเป็นไออาร์มแทนน่าจะดีกว่า ถ้าเป็นน้องมายจริงคงไม่พึ่งมาปรึกษาหรอก มายมันเป็นเพื่อนมินมาตั้งแต่ม.ต้นแล้ว เกิดรักกันชอบกันจริง ๆ คงประกาศให้โลกรู้แล้วล่ะว่าเป็นผัวเมียกัน อืมมมมม ยังไงก็ขอดูลาดเลาของทั้งสองคนนี้ไปก่อนละกันนะครับว่าจะเป็นยังไงต่อ ยังรีบที่จะด่วนสรุปไม่ได้ หึหึ ส่วนบิลค่าอาหารทั้งหมดที่ผมจัดการเนี่ย..



     สะ..สะ..สี่พัน



     ทั้งผม มิน ปอนด์ ยืนส่งอาร์มและมายที่บังเอิญกลับบ้านทางเดียวกัน ผมก็เลยจัดการให้ทั้งคู่นั่งแท็กซี่ไปด้วยกัน (มันจะตีกันมั้ยวะ ?) ตามด้วยพวกเราที่ขึ้นแท็กซี่คันหลังไปติด ๆ



     ผมปิดประตูด้านหน้าที่สอดตัวเข้าไปนั่งก่อนจะบอกพี่โชเฟอร์ว่าไปไหน ผมมองลอดกระจกออกไปด้านนอกแล้วก็อดยิ้มกับบรรยากาศเมื่อครู่ที่มีแต่ความสนุกสนานไม่ได้ มันสนุกจนไม่อยากจะลืมมันเลย แต่แล้วภาพแสงไฟข้างทางก็ถูกแทนด้วยใบหน้าของคนคนหนึ่งที่แทรกเข้ามาในความคิด มันทำให้ผมอึดอัดใจจนต้องปล่อยลมผ่านปลายจมูกออกมาเบา ๆ



- Not to be unlocked -




ออฟไลน์ LKPOW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Not to be unlocked : Episode 29 : ไม่ไหว

     มือเรียว ๆ ของผมบิดกรประตูไม้เนื้อดีก่อนจะใช้แรงผลักอันน้อยนิดดันไปด้านหน้า ทันทีที่ก้าวขาเข้ามาอยู่ในห้องของตัวเองก็จัดการเดินเอาจาคอปไปวางข้างจอคอมพิวเตอร์ พลางล้มตัวลงนอนบนเตียงทั้งอย่างนั้นด้วยความอ่อนล้า ผมมองไปยังด้านข้างเห็นระเบียงที่ปิดอยู่ก็นึกอยากจะออกไปนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเหมือนคนมีความเครียดสะสม คิดไปคิดมารู้สึกขี้เกียจยังไงชอบกล ถึงจะบ่นกับตัวเองในใจแบบนั้นแต่ก็ยอมสั่งขาให้ลุกจากฟูกนิ่ม ๆ ไปเปิดประตูระเบียง ผมนั่งชันเข่าดูดวงดาวมากมายที่กระจัดกระจายอยู่เต็มท้องฟ้าด้วยความบันเทิงก่อนจะรู้สึกเหงาขึ้นมาใจ ฝ่ามือข้างขวาล้วงหยิบไอโฟนในกระเป๋าที่หุ้มด้วยเคสสีเหลืองขึ้นมาเชยชม ผมลูบสัมผัสแก้มสีแดง ๆ ของเจ้าพิคาชูที่ยิ้มให้เจ้าของมันอย่างหนืดในใจ นี่เป็นสีแรกและสิ่งเดียวที่นัทตี้ซื้อให้ผมครับ ถึงมันจะราคาไม่แพงมาก แต่มีคุณค่าทางจิตใจต่อผมมหาศาล ถึงสถานะของผมและเธอมิอาจเรียกเราว่าเป็นคนรักกันได้แล้ว แต่ข้าวของหรือรูปถ่ายที่ฉายตัวผมและผู้หญิงคนนั้นผมไม่เคยคิดที่จะลบออกจากอัลบั้มในโทรศัพท์หรือความทรงจำเลย ช่วงเวลาที่ผมไม่มีการบ้านหรือสมองโล่ง ๆ จากสิ่งใด ผมก็จะย้อนความคิดไปยังช่วงเวลาที่มีความสุขกับคนที่ตนรัก แม้ความจริงจะคอยย้ำเตือนทุกครั้งว่ายังไงผู้ชายแบบผมก็ไม่สามารถกลับไปอยู่จุดจุดนั้นได้อีก

     สายลมแห่งฤดูหนาวพัดผ่านมากระทบผิวเรียกให้ขนลุกชูชัน ลมเย็น ๆ นี้นำพาซึ่งความเหงามาอีกระรอก มันทำให้ผมนึกถึงหน้าชายคุ้นหน้าคุ้นตา เส้นทางที่เดินฝ่าความมืดของผมไม่สามารถเห็นแสงสว่าง นำมาซึ่งคำตอบว่าทำไมเฟิร์สถึงกระทำเช่นนั้น ถึงเคยพูดกับปอนด์อย่างไม่คิดว่าเฟิร์สคงไม่อยากเป็นเพื่อนกับผมแล้ว แต่ลึก ๆ เองกลับหวาดกลัวหากเกิดขึ้นจริง ความอัดแน่นที่อยู่ในอกผลักน้ำในตาให้ไหลออกมา ไม่น่าเชื่อนะครับว่าเพียงแค่วันเดียวเฟิร์สก็ทำให้ผมน้ำตาไหลได้แล้ว กลับกัน นัทตี้ในตอนนี้ทำให้ผมได้เพียงแค่รู้สึกเหงาในใจขึ้นมาก็เท่านั้นเอง

     หลายวันผ่านไปชีวิตของผมทุกอย่างดูเปลี่ยนแปลงไปนิดหน่อย ปอนด์ที่ไม่ค่อยมารอหน้าบ้านเดี๋ยวนี้ก็มาถี่ชนิดที่ผมคิดว่ามึงเป็นบ้าหรือเปล่า การเรียนก็ดูยากขึ้น วัดได้จากการสอบย่อยของคณะอาจารย์ที่แต่ละท่านเอาเนื้อหาส่วนลึกในการเรียนมาสอบ เห็นช่วงนี้ฝ่ายปกครองประกาศรับสมัครประธานนักเรียนรุ่นต่อไปด้วย ไม่รู้ว่าเจ้ามินให้ความสนใจเรื่องนี้เหมือนเมื่อก่อนมั้ย ก็อย่างที่เกริ่นไปตั้งแต่ต้นน่ะครับว่ามีอะไรหลาย ๆ เปลี่ยนไป แต่มีเพียงสิ่งนี้สิ่งเดียวที่ยังมั่นคงอยู่ตลอด

     การกระทำอันเย็นยะเยือกของเฟิร์สที่ถูกส่งมายังผม สิ่งนี้ไม่ถูกเปลี่ยนแปลงไปจากวันแรกที่ได้รับ จนผมคิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว มันอัดอั้น สงสัย หวาดกลัว ความรู้สึกเหล่านี้เหมือนมันสั่งให้ผมอยู่เฉย ๆ เพื่อรับแรงกดดัน แทนที่จะเดินไปคุยกับเจ้าตัวให้รู้เรื่อง ช่วงนี้ถ้าผมจะอารมณ์แปรปรวนเหมือนผู้หญิงเป็นประจำเดือนก็คงไม่แปลก เรื่องของผมและเฟิร์สยังมีแค่ปอนด์กับอาร์มครับที่ยังสงสัย ส่วนเพื่อนคนอื่น ๆ ที่ตอนแรกจะไม่ค่อยสนใจก็เริ่มจับสังเกตเจ้าเฟิร์สได้กันแล้ว ครั้งหนึ่งผมเคยทักเจ้าคิงคองกับเพื่อนคนอื่น ๆ  ห้องสี่ที่มีเฟิร์สพ่วงมาด้วย ทุกคนต่างขานรับตามภาษาเพื่อนพ้อง เว้นเสียผู้ชายคนนี้ที่ยังคงยืนยันว่าจะทำให้เราทั้งคู่ห่างเหินในความสัมพันธ์ไปเรื่อย ๆ นานวันเข้าผมก็รู้สึกต้องทำใจแล้วล่ะแม้ว่ามันจะไม่ได้ง่ายเลย

     เวลาที่ผ่านไปไวเหมือนโกหกก็พาผมมาหยุดในวันเสาร์ เฮ้อ.. เป็นอีกหลาย ๆ ครั้งครับที่ผมไม่ค่อยอยากจะมาทำงานซะเท่าไหร่ ไม่ใช่เพราะอยากนอนอยู่บ้านหรืองานมันหนักจนขี้เกียจหรอก แต่ลูกเจ้าของร้านเนี่ยสิ ผมลุ้นอยู่ร่ำไปตอนมาทำงานครับว่าอย่าได้เจอเฟิร์สเลย ยิ่งผมเห็นหน้ามัน ยิ่งไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งนั้น ผมอธิษฐานในอกว่าอย่าได้เจอกันเลยก่อนจะเปิดประตูเข้ามาในร้าน ผมหวัดดีพี่เพ็ญฝ่ายบริการที่กำลังถูพื้นอยู่พลางเดินหลบไม่ให้ขวางการทำงานของเขา ก่อนจะเดินไปหลังเคาน์เตอร์เพื่อตอกบัตร

     " หวัดดีจ่ะมิ้ลค์ " ผมสะดุ้งจนบัตรหลุดออกจากมือพลางหันไปทางต้นเสียง เจ้าของร้านนี่เอง เฮ้อ.. โล่งอก อย่างน้อยคนที่เจอก็เป็นแม่มันล่ะวะ

     " สวัสครับแม่ขวัญ " ผมพนมมือไหว้คนที่เดินออกมาจากในครัวก่อนจะก้มเก็บบัตรที่พื้น

     " เป็นอะไรหื้อ ? นี่คนไม่ใช่ยักษ์นะจะตกใจทำไม " แล้วเจ้าของร้านก็หัวเราะในความเปิ่นของผม ถ้ารู้เป็นแม่ขวัญแต่แรกก็ไม่ตกใจหรอกครับ ผมขอถอนหายใจอีกรอบเถอะ เฮ้อออออ " ตามมานี่หน่อยสิ แม่ขอคุยอะไรด้วยหน่อย " หื้ม ? ขอคุยอะไรหน่อยเหรอ ? คุณขวัญไม่เคยขอผมคุยอะไรมาก่อนเลยนะ

     " เอ่อ...แล้วข้างในของมาส่งแล้วครับ ? " เดี๋ยวนี้ผมได้ทำหน้าที่เช็กของในสต๊อกก่อนเริ่มงานแล้ว ใกล้เรียกผมว่าหัวหน้าเชฟได้แบบเต็มตัวซะที

     " ไว้ก่อนก็ได้มิ้ลค์ แม่ขอคุยด้วยแปปเดียว "

     " อา...ครับ " ผมเดินตามคุณขวัญต้อย ๆ ไปนั่งเก้าอี้ข้าง ๆ  โต๊ะทำงานประจำเจ้าของร้าน

     " เฮ้อ.. " คิ้วผมเลิกขึ้นติดเพดานสลับขมวดเข้าหากันยุ่งให้กับการเกริ่นประเด็นที่ทางนั้นจะยกขึ้นมา ถอนหายใจงี้มีหวังกูตายแน่ จะโดนไล่ออกปะวะ !?

     " จะไล่ผมออกเหรอครับ !? " เจ้าของโต๊ะทำงานตัวนี้ขมวดคิ้วก่อนจะหลุดขำ

     " จะบ้าเหรอมิ้ลค์ ใครเขาจะไล่เราออก ขยันแบบนี้แม่ให้อยู่ยันลูกบวชเลย " เอ่อ...ผมโสดแล้วครับ น่าจะมีลูกประมาณชาติหน้าตอนบ่าย ๆ

     " เข้าประเด็นเลยก็ได้ครับ เดี๋ยวน้าแดงเขาจะไม่มีคนช่วยในครัว " น้าแดงอยู่แผนกยำครับ แต่หน้าที่ก่อนเริ่มงานก็คือเตรียมของกับเช็กของนี่แหละ กลัวว่าแกจะทำคนเดียวไม่ไหว เห็นบ่นว่าหลังไม่ดีด้วย

     " โอเค " คนตรงหน้าหลับตาสูดลมเข้าปอดไปหนึ่งเฮือกราวกับตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้ว " คือพักนี้น้องเฟิร์สเขาดูแปลก ๆ ไปน่ะ " เป็นเพราะชื่อ ๆ นี้นี่แหละทำให้ผมลนขึ้นมาซะดื้อ ๆ ถ้าแม่ขวัญสังเกตตรงหน้าตัก มือของผมบีบเข้าหากันแน่นไม่ต่างอะไรจากเอากาวมาติด

     " ยะ...ยังไงเหรอครับ ? " ผมพูดตะกุกตะกักแต่ทางนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร

     " แม่สังเกตเฟิร์สเขามาหลายครั้งแล้วนะ ทุกทีเขาจะมาช่วยงานที่ร้านแต่พักนี้หายหน้าหายตาไปเลย แม่ไปถามเฟิร์สก็บอกไม่ได้เป็นอะไร " ทำไมกูพอจะเดาได้วะว่าต้นเหตุมันมาจากจากไหน..

     " มิ้ลค์พอจะรู้มั้ยจ๊ะว่าเฟิร์สเขาเป็.. "

     " มะ มะ ไม่ ไม่รู้ครับ !! " โว้ยยยย แล้วกูจะร้อนตัวทำมายยยยยย คุณขวัญจ้องผมด้วยผนังตาที่หรี่ลงเหมือนกับไม่เชื่อ

     " มีพิรุธนะ เราสองคนเป็นอะไรกันหรือเปล่า ? " ด้วยคำคำนี้เองทำให้สติคืนกลับมาเป็นร้อยอีกครั้ง

     " เอ่อ...คือผมอยู่โรงเรียนก็ไม่ค่อยได้เจอเฟิร์สมันนะครับ ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเฟิร์สเป็นอะไร " จริง ๆ อยากจะบอกว่า อยู่โรงเรียนเจอเฟิร์สแม่งทุกวัน แล้วก็แน่ใจด้วยว่าเป็นอะไร และเพราะใคร !!

     " คือที่แม่มาถามเนี่ย แม่ก็สังเกตมิ้ลค์ซึม ๆ  ไปพร้อมกับเฟิร์สเลยนะ " อ่าว เวรแล้วไง นี่กูออกอาการตั้งแต่เมื่อไหร่ " เป็นไปได้มิ้ลค์ก็แวะลองไปถามเฟิร์สให้แม่ที่บ้านหน่อยนะจ๊ะ บางทีเฟิร์สเขาน่าจะฟังเพื่อนมากกว่าแม่ก็ได้ " ขนาดที่โรงเรียนมันยังมองหน้าผมไม่ติด แล้วให้ผมเล่นให้ไปถล่มถึงบ้าน มันต่างอะไรกับโยนตัวเองลงไปในบ่อจระเข้วะ ?

     " ครับ ไว้ผมว่าง ๆ จะลองแวะไปถามให้นะครับ "

     " เย็นนี้เลยก็ได้นะ บ้านแม่ยินดีต้อนรับมิ้ลค์เสมอ " คุณแม่ของเจ้าตัวปัญหายิ้มสวย ๆ ก่อนจะปล่อยให้ผมไปทำงานในครัว

     ผมไม่ไปแน่นอนครับ

####

     บ่ายวันหนึ่งในสัปดาห์เรียนใหม่ ผมได้รับรายงานจากสปายห้องสี่ว่าจะมีกิจกรรมกระชับมิตรในตอนเย็นเกิดขึ้น ถ้าให้ผมเดานะ แม่งคงคิดว่าห้องสี่กับห้องสิบเอ็ดยังไม่สนิทกันมั้ง เลยเขียนใบขอยืมสถานที่จัดกิจกรรมกันในโรงยิม เอ่อ...พวกมึงนี่ก็ว่างกันเนอะ ถ้าจะจัดกันจริง ๆ จัง ๆ ทำไมไม่เช่าสถานที่ข้างนอกแล้วหาเกมเล็ก ๆ น้อย ๆ เล่นกันวะ จะรบกวนสถานที่ในโรงเรียนทำไม ? เดี๋ยวห้องปกครองก็เอาเรื่องมึงตายจนได้หรอก โว้ะ

     แต่เอาเข้าจริง ๆ ถึงจะบ่นไปเป็นวันผมก็ไม่ได้ขัดข้องให้กิจกรรมของเราไม่ดำเนินไปหรอก ผมออกจะดีใจด้วยซ้ำที่หาเวลาเล็ก ๆ น้อยๆ  มาโปกฮาให้เราทั้งสองห้องสนิทกันมากขึ้น แต่ท่านผู้อ่านลองคิดดูสิครับหากผมต้องเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ ผมต้องพบเจอกับใคร..

     ถูกต้องนะคร้าบบบบบ

     ไอเชี่ยเฟิร์ส !

     หนึ่งชั่วโมงก่อนกิจกรรมเริ่ม ชาวห้องสิบเอ็ดได้นัดรวมตัวกัน ณ โรงอาหาร ( ก็พวกผมชอบนั่งที่นี่อาาา ) บางคนมีธุระต้องรีบกลับบ้านก่อนก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร ส่วนห้องสี่มันยังไม่เลิกเรียนกันเลยครับ น่าจะสี่โมงกว่ามั้ง ผมนั่งเท้าคางอยู่ข้าง ๆ ปอนด์โดยมีเพื่อนฝูงใหญ่เตะบอลกันอยู่ในสนาม หึ ผมไม่เตะตอนบ่ายสามหรอก แดดแม่งร้อนโฮกกกก นั่งอยู่ในร่มดูดชาไข่มุกคู่กับผัวดีกว่า สบายกว่ากันเยอะ ฮ่า ๆ

     " ผัวขา มึงว่าแพนเค้กชาไทยอันนี้กับวอฟเฟิลนมสด อันไหนมันน่ากินกว่ากัน ? " ปอนด์มันทำหน้าเหยเกก่อนจะยื่นคอมาดูไอโฟนในมือผม ที่ถามเพราะจะลองเปลี่ยนตัวเองไปเป็นเชฟสายหวานดูบ้างน่ะครับ เผื่อจะรุ่ง หึหึ

     " แพนเค้ก แต่ไอห่า มึงเลิกเรียกกูแบบนั้นได้ปะ ? " อะไรวะ เพื่อนกันเรียกผัวคะผัวขาไม่เห็นต้องคิดมากเลย

     " ทำไม ? ไม่ชอบเหรอได้กูเป็นเมียอะ กูทำงานบ้านเก่งนะเว้ย มีกูคนเดียวงานบ้านมึงแทบไม่ต้องแตะเลยนะ " ไม่รู้มันน่าภูมิใจตรงไหนถึงหน้าด้านยกขึ้นมาพูด ฮ่า ๆ

     " เปล่า กูไม่ชินอะ " หื้มมมม พุดดิ้งเค้กก็น่าสนใจ ว่าแล้วผมก็กดเข้าไปในเมนูดังกล่าว

     " แล้วอยากให้กูเป็นอะไรอะมึงถึงจะชิน ? " แต่ชินนาม่อนโรลก็น่าสนใจเหมือนกันว่ะ โว้ะ ทำไมกูหลายใจจัง

     " กูอยากให้มึงเป็นผั.. "

     " โอ้โห !! ไอปอนด์ ! เครปเค้กก็น่าลอง ! " คนข้าง ๆ หน้าเหวอไปเลย แต่ตากี้มันพูดว่าอะไรหว่า " ตากี้มึงว่าไงนะ ? "

     " หื้อ ? อ๋อ...เปล่า ๆ เครปเค้กก็โอเคนะ กูก็ชอบ " งั้นเดียวริสเมนูหน้านี้ไว้ก่อน หึหึ ไว้วันอาทิตย์เราจะมาระเบิดครัวกัน !!

     ตอนนี้หน้าไอโฟนของผมเปลี่ยนไปเป็นของหวานชนิดอื่นแล้ว พลางโยกหัวไปซบไอปอนด์เพื่อถามว่าเมนูนี้ดีมั้ย น่ากินหรือเปล่า ไอห่านี่แม่งก็เสือกตอบน่ากินทุกอย่าง สัด ! ถ้ากูทำมาแล้วไม่แดกนะ กูจะยัดปากมึงจนต้องร้องขอชีวิตเลยไอปอนด์ ! ผมเอนตัวกลับให้นั่งเหมือนคนปกติก่อนจะมองซันกับปิงปองที่เดินไปซื้อน้ำมาบิดฝ่าขวดดื่มเอือก ๆ เหนื่อยกันล่ะสิพวกมึง บอกแล้วไปเตะสักสี่ห้าโมงโน่นจะได้ไม่ร้อน

     " มิ้ลค์ " เสียงปอนด์เรียกผมใกล้ ๆ

     " ว่าไง ? " ผมตอบกลับแต่ไม่ได้หันหน้าไปมอง

     " กู...ขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ "

     " อื้ม ก็คุยสิ "

     " สวนวิจิตรได้มั้ย ? แค่เราสองคน " ผมหันไปขมวดคิ้วมองหน้ามันอย่างเดาไม่ออกว่าแม่งจะคุยเรื่องอะไร

     " อื้ม " สิ้นคำนั้นปอนด์ก็ลุกขึ้นนำหน้าผมไปซะแล้ว อืมม มีเรื่องจะคุยกับผมแค่สองคน จะคุยเรื่องที่ผมคิดไปเองช่วงนี้หรือเปล่า ? เดี๋ยวก็รู้เองแหละมั้ง ผมเกาหัวแกก ๆ ก่อนจะลุกตามไป

     ขาทั้งสองของผมมาหยุดอยู่ท่ามกลางพฤกษานานาพรรณตามสถานที่ที่ถูกนัดไว้ ใบไม้ที่เหี่ยวเฉาร่วงโรยตกสู่พื้นตามแรงลม ดอกไม้ยังคงเบ่งบานรับแสงอาทิตย์อันเจิดจ้า นักเรียนชายจำนวนหนึ่งนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่เพื่อรับความรื่นรมย์ บรรยากาศเย็นสบายและเงียบสงบไม่ต่างอะไรจากหมอนี่

     " เงียบมาตั้งนานแล้วนะ " ผมเลิกคิ้วข้างนึงจ้องหน้าคุณปอนด์ที่เอาแต่ก้มหน้า

     " เอ่อ...คือ " สิ้นคำอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ปอนด์ก็ปล่อยให้สายลมมากระทบผิวหน้าของเราโดยไม่พูดอะไรต่อ

     " ว่าไง ? " ปอนด์ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาอย่างเชื่องช้าให้ผมได้เชยชมดวงตาคู่นั้น

     " ที่กูขอคุยกับมึงที่นี่...มันอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับใคร แต่มันใหญ่มากสำหรับกู " ผมกะพริบตาปริบ ๆ อย่างไม่เข้าใจแต่ก็เลือกจะฟังมันต่อ

     " กูรู้สึกแบบนี้มาตั้งนานแล้ว แต่ไม่กล้าที่จะบอกกับใคร...ระบายกับใคร...แม้กระทั่งมึง " ถึงตรงนี้ผมเริ่มจะจับต้นชนปลายได้แล้วล่ะที่ปอนด์อารัมภบทมาตากี้หมายถึงอะไร ผมคิดไม่ผิดจริง ๆ สินะ

     " .......... "

     " กูรู้นะถ้าบอกมึงตอนนี้เราอาจมองหน้ากันไม่ติด แต่กูตัดสินใจที่จะพูด "

     " .......... "

     " กูอึดอัด ขอให้กูได้พูดนะ "

     " มึงชอบกูสินะ " ไม่รู้ในหัวผมคิดอะไรอยู่ถึงได้ชิงตัดหน้าพูดออกไป

     " มิ้ลค์ " เสียงนั้นพูดชื่อผมแผ่ว ๆ ราวกับกระซิบ นัยน์ตานั่นวูบไหวมั่วซั่วไปหมด " มึงดูกูออกด้วยเหรอ ? "

     " อื้ม สักพักแล้วล่ะ "

     " กูรู้สึกดีกับมึง มึง...ทำดีกับกู มึงชอบช่วยเหลือกู...มึงทำให้กูมีความหวัง พอกูมีความหวัง...กูเลยต้องมีวันนี้ " เสียงพูดของปอนด์ดูกระท่อนกระแท่นมาก

     " .......... "

     " วันที่กูได้บอกรักมึง " ผมรีบคว้าคนข้างหน้าเข้ามากอดก่อนน้ำตาเจ้าตัวจะหลั่งไหลเพราะทนดูสภาพของเพื่อนคนนี้ไม่ได้เต็มที

     " กูไม่ได้ให้ความหวังอะไรมึงทั้งนั้นแหละ เพราะเราเป็นเพื่อนกันไง ทุกอย่างที่กูให้มึงไปมันอยู่ในขอบเขตของคำว่าเพื่อน กูไม่เคยคิดว่ามึงจะเป็นมากกว่านี้เลยจริง ๆ กูขอโทษนะที่ทำอะไรหลาย ๆ ให้มึงคิดเหมือนว่ามีหวัง " ผมสัมผัสได้ถึงแรงสั่นในกายนี้

     " กูขอบคุณนะที่วันนี้มึงมาบอกรักกูอะ มึงกล้าหาญมากเลยรู้เปล่า ? "

     " .......... "

     " แต่เพื่อนที่แสนดีแบบมึงอะ อย่าได้เป็นอย่างอื่นเลยนะปอนด์ " ปอนด์กอดตอบผมด้วยแรงที่เหลือ

     ทุกอย่างที่ผมสัมผัสได้จากเพื่อนคนนี้นั้น ผมพอจะเดาได้ว่าเป็นอะไรที่มากกว่าเพื่อนให้กัน ผมรับรู้ความรู้สึกของปอนด์ได้สักพักแล้วแต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ ผมคิดกับปอนด์แค่เพื่อนไงถึงได้ทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้ปอนด์อยู่ในขอบเขตของคำว่าเพื่อน เราเป็นอะไรที่มากกว่านั้นไม่ได้ เพื่อนที่แสนวิเศษอย่างปอนด์ผมจะไม่มีวันทำให้เป็นอย่างอื่นได้เด็ดขาด

     " มึงวางใจได้เลยนะเรื่องที่จะมองหน้ากันไม่ติดน่ะ กูไม่มีวันทำเรื่องงี่เง่าแบบนี้กับเพื่อนตัวเองหรอก " ผมพูดก่อนจะถอนอ้อมกอดอันแสนอ่อนโยน ผมปาดน้ำตาที่ไหลออกมาแล้วบนใบหน้าของปอนด์อย่างเบามือ

     " เป็นเพื่อนกูต้องไม่ร้องนะ "

     " ฮืออออออออออ " ร่างกายของปอนด์โถมเข้ามากอดอีกครั้งราวกับขอสิ่งนี้เป็นสิ่งสุดท้าย

     " เพราะมึงแสนดีแบบนี้ไงมิ้ลค์ กูถึงได้รักมึง " ตามด้วยเสียงร้องที่ดังลั่นอย่างไม่สนใจใคร ผมยกมือขึ้นมาลูบเส้นผมของปอนด์ที่ยาวกว่าปกติปอย ๆ

     " ปะ ไปหาเพื่อน ๆ ของเรากัน "

     แสนดีเหรอ ? หึ ถ้ามึงได้รู้จักตัวตนเชี่ย ๆ ของกูจริง ๆ มึงอาจจะไม่พูดคำว่ารักเหมือนคนที่เคยให้ชีวิตกูแล้วก็ได้นะ...ปอนด์

####

     หลังได้รับความในใจจากปอนด์ที่อัดอั้นมาแสนนานจนวันนี้ก็ได้พูดออกมา กิจกรรมกระชับมิตรในโรงยิมของเราก็ใกล้จะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้า ตอนนี้มีเพียงห้องสิบเอ็ดเท่านั้นครับที่มานั่งรออยู่บนสแตนด์เชียร์ แต่เพียงไม่นานนักห้องสี่ก็เริ่มทยอยเดินเข้ามาสมทบข้างในกันแล้ว ความรู้สึกคุ้นเคยเริ่มก่อตัวขึ้นในใจเมื่อเห็นใบหน้าหนึ่งของคนในกลุ่มนั้นที่เดินเข้ามา เฟิร์สไม่มีสีหน้ายิ้มแย้มเลยแม้วันนี้ออกจะเป็นวันที่สนุกสนาน เฮ้อ..บางทีผมก็อิจฉาไอปอนด์มันนะที่กล้าหาญมาบอกชอบ มึงแบ่งความกล้าให้กูได้เดินเข้าไปถามเฟิร์สสักหน่อยได้มั้ยวะ

     " สวัสดีคร้าบทุกท่าน ขอต้อนรับเข้าสู่กิจกรรมกระชับมิตรของห้อง.. " คิงคองเดินออกมาคู่กับอาร์มจากตรงไหนไม่รู้ด้วยมือที่ถือโทรโข่งคนละอันอยู่หน้าสแตนด์

     " ไม่ต้องสุภาพก็ได้สัด ! เจ๊พรไม่อยู่ จะพูดห่าอะไรก็พูดไปเถอะ " เสียงแว่วตะโกนมาจากสแตนด์ใกล้ ๆ ห้องสี่นั่นแหละครับ พวกเรานั่งแบ่งห้องกันอย่างชัดเจน

     " ได้ไอสัด ! ที่กูนัดพวกมึงมาร่วมกิจกรรมครั้งนี้เพื่อจะเฉลิมฉลองงานกีฬาสีที่ได้รับรางวัลอันใหญ่หลวง แล้วก็กระชับมิตรให้เราทั้งสองห้องสนิทกันมากขึ้นด้วย " คิงคองว่าต่อ แหม บทจะหยาบก็ขรุขระเต็มที่เลยนะเพื่อน

     " ฉลองขนมปี๊บกีฬาสีไม่พอรึไง ? " เป็นผมนี่แหละตะโกนแซ็วมันออกไปดังลั่น ฮ่า ๆ เรียกเสียงฮากันถ้วนหน้า

     " ยังไม่หมดนะสัด อยู่ห้องสภาโน่น ยกขึ้นมาแดกได้ " อาร์มยกของที่มันถือก่อนจะพูดผ่านให้เสียงดังลอดออกมา

     " ว่าแต่ฉลองอะไรของมึงวะไอคอง ? เหล้าไม่เห็นสักขวด " เพื่อนหน้าสแตนด์ห้องสี่พูดจนคนอื่นเห็นด้วยกันเป็นระนาว แดกเหล้ากันในโรงเรียนเนี่ยนะ ?

     " แดกตีนกูไปก่อน ไม่มีหรอกฉลองอะ กูพูดไปงั้นแหละ ถ้ามีปัญหาก็ลุกมา " เอ่อ...ตัวมึงใหญ่ก็พูดได้นี่คิงคอง พวกนั้นที่ได้รับคำท้าก็ลุกขึ้นไปจริง ๆ ครับ แต่สีหน้าไม่ได้จ้องจะหาเรื่องกันสักหน่อย ออกเป็นเพื่อนหยอกล้อกันมากกว่า

     " อะ ๆ เข้าประเด็นเดี๋ยวจะดึก เราจะกระชับมิตรกันเหมือนตอนปฐมนิเทศอย่างที่พี่เต้ยเคยจัดให้เรา จะมีกิจกรรมต่าง ๆ ให้ได้ทำร่วมกันทั้งสองห้อง อาทิเช่นเกม บลา ๆ " ผมแทบจะไม่ได้ฟังไออาร์มที่พูดฉอด ๆ ออกโทรโข่งเลยสักกะติ้ด เพราะอยู่ดี ๆ กะจิตกะใจลอยไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ถึงจะลอยเคว้งคว้างแต่ก็รับรู้ถึงพลังอำนาจสีดำอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตรงนี้ ก็พอจะเดาได้แหละว่าใครเป็นคนปล่อยออกมา

     " อะมาเลยดีกว่า ตอนปฐมนิเทศใครที่มันเคยแพ้แล้วอยากแก้แค้นก็ลุกขึ้นมา !! " สิ้นคำคิงคอง ไอพวกห่านี่ก็ลุกฮือขึ้นมาราวกับได้ยินเพลงปลุกใจ มึงจะคึกกันไปไหน ?

     " เชี่ยต้อม ! มึงลุกมาเจอกูเลยสัด !! วันนั้นมึงฝากรอยแผลกูไว้ กูจะเอาคืน ! " ไอซันที่นั่งอยู่ข้าง ๆ วิ่งพรวดลงไปข้างล่างพลางชี้หน้าคู่กรณี ทางนั้นก็ยิ้มรับอย่างผู้ที่ถือไผ่เหนือกว่า

     " แรงมึงสู้กูไม่ได้หรอกซันนี่ " แล้วมันสองตัวก็ไปลากโต๊ะมานั่งงัดข้อกัน

     หลายกิจกรรมผ่านไปอย่างสนุกสนานครับ มีทั้งเสียงหัวเราะ เหยาะเย้ย รวมไปถึงเสียงเชียร์ที่ดังได้อย่างไม่ต้องสนใจใครจากสแตนด์ ก็ทั้งโรงยืมมีแค่เราสองห้องเท่านั้นนี่เนอะ ถึงเพื่อนจะสนุกสนานกันมากแค่ไหน ใจผมก็ล่องลอยไปในอากาศอย่างคว้าเอาไว้ไม่ได้อยู่อย่างนั้น

     " เฮ้ย ๆ ใครอยากดูคู่เด็ดของวันนี้มั้งวะ ? "

     " อะไรวะอาร์ม ? " คิงคองพูดผ่านโทรโข่งมองหน้าอาร์มอย่างสงสัย ซึ่งไม่ต่างอะไรจากทุกคน

     " หึหึ คู่มองตาในตำนานไง "

     " อ๋ออออ ฮิ้วววววว " เสียงเพื่อนเฮรับกันให้ลั่น

     " ไอมิ้ลค์ ! " อาร์มตะโกนออกมาเสียงดังแต่ผมก็ยังไม่ได้ยิน

     " มิ้ลค์ ๆ " เป็นปอนด์ครับที่เอื้อมมือมาสะกิดจากด้านหลังเพื่อให้หันไปมอง มันชี้ไปยังข้างล่างที่ไออาร์มกวักมือยิก ๆ

     " อะไร ? " ผมขมวดคิ้วถามมันด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติ

     " ลงมา เฮ้ยเฟิร์ส ! ลงมาด้วย " ไม่รู้ว่ามีใครเห็นผมหรือเปล่าว่าตาผมเบิกโคตรกว้างโคตร ๆ อะไร !! ให้กูไปทำอะไรกับไอเฟิร์ส !? มองตากันเหรอ !!!!!?

     " อ่าวเชี่ยมิ้ลค์เร็ว ๆ ดิ่ รีบลงมา ! เพื่อนรอเตะฟุตซอลกันอยู่ " ผมลุกลี้ลุกลนเหมือนเป็นคนบ้า ทางออกมันมืดแปดด้านไปหมด งานหยาบแล้วไงกู เพื่อนข้างหลังแม่งผลักผมจนต้องขอทางคนข้างหน้าให้หลบก่อนจะลงมาเหยียบพื้นโรงยิม คิงคองที่กวักมือเรียกไอเฟิร์สถี่ก็รู้สึกว่าจะไม่ทนแล้ว เลยปีนขึ้นไปล็อกแขนมันให้ลงมา เฟิร์สชักสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ก่อนจะมายืนใกล้ ๆ ตอนนี้เราทั้งสองได้มาประจันหน้ากันที่เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่สิ่งที่ผมมองอยู่คือรองเท้าหนังที่หุ่มตีนก็เท่านั้น

     ประหม่าชิบหาย

     " เอาล่ะครับ แมตช์หยุดโลกของสามีภรรยาคู่นี้ก็คัมแบ็คมาให้เราได้ดูกันอีกแล้ว ไม่รู้ทางฝั่งเจ้าสาวจะได้จับเจ้าบ่าวทำผัวเหมือนตอนนั้นอีกหรือไม่ เอาล่ะครับ เรามานับถอยหลังพร้อมกัน " สิ้นคำอาร์มก็ตามด้วยเสียงให้กำลังใจจากทั่วสารทิศ

     " สาม ! "

     เชี่ย ทำไมมันอึดอัดเหมือนจะระเบิดงี้วะ !!

     " สอง !! "

     แต่นี่ก็เป็นการดีของมึงไม่ใช่เหรอวะมิ้ลค์ ? ที่จะถามเรื่องทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้น

     " หนึ่ง !!! "

     หน้าอกของตอนนี้ผมเต้นโคตรแรง แม่งแรงมาก ผมไม่เคยรู้สึกว่าหัวใจจะเต้นถี่และแรงขนาดนี้มาก่อน เอาวะ ! เป็นไงเป็นกัน !!
     
     " มองตากันครับ !!! "

     " .......... "

     ทุกคนต่างเงียบรอลุ้นผลว่าจะออกมาเป็นยังไง ผมมองใบหน้าคนตรงหน้าด้วยร่างกายที่ฝืน นัยน์ตาของเฟิร์สที่ผมมองอยู่ไม่กลมใสเหมือนอย่างเคย มันแน่นิ่งเกินไป นิ่งจนผมรู้สึกปวดใจตุบ ๆ

     " เฟิร์ส " ผมเรียกจนเจ้าของชื่อนั้นแววตาวูบไหวไปนิดหน่อย ผมมั่นใจได้ว่ามีแค่เราสองคนเท่านั้นที่ได้ยิน

     " ทำไมมึงต้องเมินกูด้วยล่ะ ? มึงรู้มั้ยว่ากูอึดอัดแค่ไหนที่มึงทำแบบนี้ กู...กูรับไม่ได้หรอกนะที่มึงทำแบบนี้อะ กูแทบจะตายแล้วนะเฟิร์ส มึงช่วยบอกได้มั้ยว่ากูไปทำอะไรให้มึงถึงได้เมินกู ได้โปรดเถอะเฟิร์ส...มึงช่วยบอก.. " ลูกตาสีนิลนั่นสั่นไหวไปตามคำพูดราวกับเกิดแผ่นดินไหวถล่ม เฟิร์สเบือนหน้าหนีเหมือนไม่อยากรับรู้อะไรอีกจนผมต้องหยุดพูดไป เสียงเฮดังลั่นให้กับชัยชนะของผม แต่มันกลับเงียบลงเมื่อชายคนนั้นหยิบกระเป๋าของตนวิ่งออกจากโรงยิมไป ปล่อยให้ผมลงไปนั่งกองกับพื้นด้วยตาที่เคลือบน้ำใส ๆ

     ผมคิดถูก..

     เฟิร์สไม่ต้องการให้ผมเป็นเพื่อนหลังจากนี้แล้วจริง ๆ




-   Not to be unlocked   -

ออฟไลน์ LKPOW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Not to be unlocked : Special Episode 2 : อดีตอันรางเลือน



     " ฮัลโหล อยู่ตรงไหนวะอาร์ม ? " เด็กชายร่างโปร่งหน้าหวานสนทนาผ่านเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ของเขาในท่าทีหืดหอบ มือหนึ่งกุมโทรศัพท์ไว้ข้างหู ขาทั้งสองเดินฝ่าผู้ปกครองที่หลั่งไหลมาส่งบุตรหลานเพื่อเข้ารับการปฐมนิเทศในปีการศึกษาใหม่



     " เขามารออยู่หอประชุมกันหมดแล้ว รีบขึ้นมาเลย " เสียงปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง



     " เออ เดี๋ยวกูรีบขึ้นไป " ว่าที่นักเรียนม.ปลายคนใหม่เก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋ากางเกงที่ขาสั้นผิดปกติ ก่อนจะเร่งฝีเท้าไปยังจุดหมายให้ทันเวลา



     รองเท้าหนังคู่สวยวิ่งผ่านทั้งผู้ปกครอง นักเรียนและคณะอาจารย์มาอย่างเร่งรีบ แต่ด้วยเสียงของใครคนหนึ่งที่เจ้าตัวเคารพ จึงทำให้ขาทั้งสองข้างหยุดชะงัก



     " เฮ้ยมิ้ลค์ ! มารายงานตัวก่อนเข้าไป " เป็นรุ่นพี่จากสภานักเรียนที่ทำหน้าที่รับรายงานตัวนักเรียนม.4 ทุกคนก่อนจะเข้ารับการปฐมนิเทศ



     " เหรอครับพี่แทน " เจ้าตัวสูงเดินมาหยุดอยู่หน้าโต๊ะรายงานตัวด้วยลมหายใจที่เข้าออกถี่ยิบราวกับต้องการออกซิเจนมาไหลเวียนในปอด



     " เก่งนี่หว่า ได้ต่อโรงเรียนเดิมด้วย ห้องไหนชื่ออะไรล่ะเรา ? " รุ่นพี่ถามพลางเปิดแฟ้มเอกสารที่บรรจุรายชื่อทั้งนักเรียนเก่าและใหม่ไว้มากมาย



     " กฤเดช ห้องสิบเอ็ด ศิลป์ภาษาครับ " มิ้ลค์พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ สิ่งที่เจ้าตัวต้องการคือสายวิทย์-คณิต มิใช่ภาษาแต่อย่างใด เพียงแต่คะแนนที่สะสมในช่วงม.ต้นนั้นไม่สามารถยื่นเข้าสายที่ตนต้องการได้ จริง ๆ ตัวมิ้ลค์เองสำหรับภาษาแล้วทำดีได้ไม่แพ้วิชาอื่นเลย บวกกับเพื่อนสนิทที่ได้มาเรียนแผนการเรียนเดียวกัน จึงทำให้มิ้ลค์ผ่อนคลายในการตัดสินใจได้มาก



     " เหยดดดด ไม่ธรรมดา " พี่แทนกล่าวชมก่อนเลื่อนปลายนิ้วหาชื่อของรุ่นน้อง " กฤเดช เลขที่สามสิบสี่ เซ็นชื่อตรงนี้ " ตัวแทนจากสภานักเรียนยื่นแฟ้มเอกสารไปยังด้านหน้าพลางชี้ระบุให้เจ้าของชื่อนั้นบรรจงลายเซ็นลงไป



     " ขอบคุณครับพี่แทน " มิ้ลค์วางปากกาแล้วจึงยกมือขึ้นพนมปก ๆ พี่ม.5 คนนี้อย่างเคารพ



     " รู้ใช่มั้ยว่ากว่าจะเข้าที่นี่ได้มันยากแค่ไหน ตั้งใจเรียนล่ะ " มิ้ลค์รับพรอันแสนประเสริฐของรุ่นพี่ด้วยรอยยิ้มก่อนจะปลีกตัวเข้าไปด้านใน..



     เครื่องปรับอากาศที่หนาวเย็นพ้นอุณหภูมิต่ำแผ่ซ่านไปทั่วหอประชุม นักเรียนเก่าและใหม่นั่งปะปนกันอย่างเป็นระเบียบตามแผนการเรียนที่ตนสนใจ ที่นี่รองรับบุคลากร นักเรียน หรือคณะอาจารย์ด้วยเก้าอี้อันแสนสบาย แต่เนื่องด้วยต้องจัดกิจกรรมสันทนาการ จึงต้องจัดสถานที่ให้พื้นแข็ง ๆ เป็นที่นั่งแทนเบาะนิ่ม ๆ แก่นักเรียนไปก่อน



     คนตัวสูงขาวที่เข้ามาใหม่กวาดสายตารอบด้านเพื่อหาเพื่อนของเขา ผู้คนหลากหลายจับจ้องไปหามิ้ลค์ที่เปิดประตูเข้ามาใหม่ แต่ก็ไม่ได้สนใจไปกว่าผู้อำนวยการที่พูดอยู่ด้านหน้า มิ้ลค์ก้มหัวเดินต้อย ๆ ไปยังด้านหลังของแถวก่อนจะพบเพื่อนตัวเองที่กวักมือเรียกยิก ๆ ให้ไปนั่งร่วมกัน



     " นั่งซะหลังเลยนะมึง " เพื่อนสนิทม.ต้นของมิ้ลค์ขยับก้นถอยหลังเพื่อให้เพื่อนของตัวเองได้นั่งข้างหน้า มีเพียงเหตุผลเดียวที่ทำอย่างนี้ก็คือเวลาคุยจะได้มีเพื่อนบังไว้นั่นเอง



     " ตอนแรกกูนั่งหน้าสุดเลยครับ แต่มึงมาช้าอะ กูเลยหนีมานั่งหลังดีกว่า " ที่แท้ก็ไม่มีเพื่อนนั่งด้วยนี่เอง มิ้ลค์บ่นในใจก่อนจะชะโงกหน้าไปมองคนที่พูดฉอด ๆ บนเวที



     " แม่งบ่นนานยังวะ ? " มิ้ลค์หันไปถามเพื่อนของเขาที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง



     " สิบกว่านาทีแล้ว แม่งจะพูดอะไรนักหนา " คู่ซี้ขำกันคิกคักจนอาจารย์บางท่านที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ เริ่มมองกันแล้ว



     " นาย ๆ เงียบ ๆ กันหน่อยดิ อาจารย์มองแล้วเห็นเปล่า ? " คงด้วยเสียงที่รบกวนสมาธิ นักเรียนใหม่หน้าตาจิ้มลิ้มจากโรงเรียนสหศึกษาที่อยู่นั่งอยู่ด้านของมิ้ลค์จึงหันหลังมากล่าวตักเตือน



     " เอ่อ...โทษทีนะ " อีกฝ่ายที่ตัวเล็กกว่าพยักหน้าโดยไม่ได้ถือสาอะไร



     " แล้วนายชื่ออะไรเหรอ ? " ไม่วายมิ้ลค์ก็ชวนคุยต่อราวกับเรื่องที่เพื่อนคนนั้นกล่าวเตือนไปไม่ได้พูดออกมาสักแอะเดียว



     " ปังปอนด์ " มึงไม่ได้รู้สึกกันเลยสินะไอสองคนนี้ เจ้าของชื่อนั้นพูดในใจก่อนจะหันมาเหล่ตา



     " ปังปอนด์ที่มีผมสามเส้นปะ ? " มิ้ลค์รู้ดีว่านี่เป็นการหยอกล้อ แต่เพื่อนร่วมห้องหน้าใหม่ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมเลย " โห่นาย...จะซีเรียสทำไม ? เราก็แค่.. "



     " นี่เธอ ! ให้เกียรติพิธีหน่อยนะ ถ้าอยากคุยไปคุยด้านนอก ! " เป็นเพราะอาจารย์อายุค่อนสี่สิบที่กล่าวตักเตือนอย่างจริงจัง เลยทำให้นักเรียนคนนี้สงบลงดั่งเสกมนต์ แต่ก็แค่เพียงครู่เดียวเท่านั้น



     " เราชื่อมิ้ลค์นะ "



     เป็นเวลากว่าหลายชั่วโมงที่ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนได้กล่าวทักทาย แนะนำสถานที่ คติพจ รวมไปถึงให้โอวาทแก่นักเรียนมัธยมปลายทั้งหน้าเก่าและใหม่ นักเรียนบางคนให้ความสนใจเป็นอย่างดี ดูได้จากแผ่นหลังที่ตั้งตระหง่านจ้องไปยังโปรเจคเตอร์ขนาดมหึมาของท่านผู้อำนวยการ แต่มีด้านสว่างก็ย่อมมีด้านมืด นักเรียนบางคนเบื่อหน่ายจนต้องยืมแผ่นหลังของเพื่อนด้านหน้าเป็นหมอนจำเป็นไว้สำหรับหนุน อาจารย์ที่เข้าร่วมพิธีเห็นเข้าก็ได้แต่ส่ายหน้าปลง ๆ นี่ก็ได้เวลาพักเที่ยงแล้ว ท่านอาจารย์จึงทยอยปล่อยให้นักเรียนไปพักรับประทานอาหารกันที่โรงอาหาร โดยกำหนดเวลาให้มารวมกันที่นี่ในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า



     " โห่ กูล่ะนั่งฟังตอนเข้าม.1 ไม่พอ นี่กูต้องมาฟังตอนม.4 อีกอะนะ ? " เพื่อนสนิทเจ้าอาร์มบ่นขณะต่อแถวร้านขายก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำ รอบด้านในโรงอาหารตอนนี้ที่นั่งสำหรับรับประทานอาหารถูกจับจองจวนจะครบหมดแล้ว



     " หึ ถ้าแม่งมีม.7 8 9 มึงก็ต้องฟังอีกนั่นแหละ " อาร์มพูดขณะนับเหรียญในมือพลางเขยิบแถวไปด้านหน้า พอเผลอเข้าหน่อยก็ถึงคิวของเด็กผู้ชายตัวขาวในการสั่งอาหารแล้ว



     " น้องมิ้ลค์ รับอะไรดีจ๊ะ ? " ป้าคนสนิทของขาประจำถามถึงเมนูมื้อกลางวัน



     " เอาเส้นเล็กน้ำตกเหมือนเดิมครับ " มิ้ลค์พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม



     " ม.ต้นก็แดก ม.ปลายก็แดก นี่ถ้ามึงเข้ามหาลัยก็จะขับรถมาแดกที่นี่ใช่มะ ? " ด้วยความที่มื้อกลางวันของเจ้าเพื่อนตัวดีเล่นรับประทานแต่ก๋วยเตี๋ยวจนสะกิดใจแปลก ๆ ปากที่ไวกว่าความคิดก็ถามออกมา



     " ถ้ามหาลัยพักกลางวันกูไม่มีข้าวแดกก็คงมาซื้อร้านป้าน้อยนี่แหละ " และแล้วก๋วยเตี๋ยวชามร้อน ๆ ที่เคล้าไปด้วยกลิ่นหอมก็ลอยมาอยู่ในมือขาประจำเป็นที่เรียบร้อย



     " ไปหาที่นั่งก่อนเลยมึง เดี๋ยวกูตามไป คนเยอะชิบหาย " ไม่ต้องบอกมิ้ลค์ก็รู้ดีว่าต้องทำอะไร คนไร้ซึ่งที่พักพิงเดินกวาดสายตาดูรอบด้าน โต๊ะที่เรียงรายกันเป็นแถวถูกนักเรียนหลายกลุ่มจับจอง โชคดีที่สะดุดตาเพื่อนใหม่ที่ทำความรู้กันด้านบนหอประชุมนั่งอยู่คนเดียวเข้า มิ้ลค์ไม่รอช้า จึงสาวเท้ายาว ๆ ของตัวเองไปนั่งลงด้วย



     " นั่งด้วยนะปังปอนด์ " เพื่อนใหม่จากโรงเรียนสหฯ หน้าเหวอในทันที ปากของเขายังไม่ทันจะอนุญาต ช้อนและซ้อมของคนที่เข้ามานั่งด้วยก็ตักอาหารกินอย่างเอร็ดอร่อยไปแล้ว " หู้ว ! กินเหมือนกันเลย อร่อยปะ ? " ปอนด์ก็ได้แต่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เพราะยังวางตัวกับเพื่อนใหม่คนนี้ไม่ค่อยได้



     " เอ่อ...อร่อย " เขาพูดพลางยิ้มบาง ๆ " นายชื่อ.. "



     " มิ้ลค์ไง เราบอกนายตั้งแต่ข้างบนแล้วทำไมไม่จำอะ เรางอนนะ " นั่นเป็นประโยคที่คนพูดไม่ได้ใส่ใจอะไรเท่าคนฟัง



     " โห่ ก็เรานั่งฟังผอ.พูดอยู่ โทษที " หน้าของปอนด์รู้สึกผิดไปถนัด



     " เออ ๆ ชั่งเหอะ ว่าแต่นายย้ายมาใหม่เหรอ ? เราไม่คุ้นหน้าเลยอะ " มิ้ลค์เป็นคนอัธยาศัยดี ไม่แปลกที่จะจำหน้าใครหลาย ๆ คนได้ แต่ผิดกับคนคนนี้



     " เรามาจากโรงเรียน xxx น่ะ " ว่าแล้วปอนด์ก็ยกสถาบันที่ตนเคยศึกษาสมัยม.ต้นขึ้นมาให้มิ้ลค์รับรู้



     " ตรงสุขุมวิทนี่เอง แล้วไมมาเรียนที่นี่อะ ? " แม้ในปากจะเคี้ยวตุ่ย ๆ แต่มิ้ลค์ก็ยังถามต่อ



     " อ๋อ มันใกล้บ้านดีน่ะ " มิ้ลค์รับคำตอบนั้นก่อนจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง



     " ยินดีที่ได้รู้จักนะ " มือข้างหนึ่งยื่นไปหาคนตรงหน้าเพื่อที่จะแสดงความไมตรีต่อกัน ปอนด์กล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะทำสิ่งนั้นแต่สุดท้ายแล้วก็ต้องยกมันขึ้นมา



     " อ๊ะ ! " อยู่ดี ๆ มิ้ลค์ก็สะดุดตากับอะไรบริเวณริมฝีปากของปอนด์เข้า ไม่ทันไรมือข้างที่จะยกไปจับก็ปาดสิ่งนั้นออก



     " เส้นก๋วยเตี๋ยวน่ะ " มิ้ลค์พูดด้วยท่าทียิ้ม ๆ อย่างไม่ถือตัวก่อนปัดมันออกจากมือ เพื่อนใหม่คนนี้ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าสิ่งนี้มันซื้อใจปอนด์ไปมากมายแค่ไหน



     " ขอบคุณนะ...มิ้ลค์ "



     หลังจากหนังท้องตึงหนังตาก็หายหย่อนแล้ว ช่วงภาคบ่ายของบรรยากาศปฐมนิเทศดูจะผ่อนคลายกว่าตอนเช้าเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นทีมประธานนักเรียนคนเก่งของรุ่นพี่ชั้นม.5 นำทัพขนขบวนความสนุกมาเสิร์ฟให้กับว่าที่นักเรียนม.ปลาย มีทั้งเกมสันทนาการและของรางวัลหลากหลายชนิด



     " เชี่ย ! แม่งโคตรเท่ ! มึงดูดิมิ้ลค์ " อาร์มสะกิดเพื่อนตัวขาวของเขายิก ๆ จนน่ารำคาญ



     " เออ กูเห็นแล้วมั้ยล่ะ วุ้ " มิ้ลค์ชักสีหน้าใส่ก่อนจะชะโงกซ้ายทีขวาทีเพราะคนที่นั่งข้างหน้าบังซะสนิท



     " ปอนด์ ๆ นายเห็นข้างหน้ามั้ยว่าเขาทำไรกัน ? " มิ้ลค์ว่าพลางสะกิดต่อไปเป็นทอด ๆ จากเพื่อนของเขา



     " เหมือนเขากำลังเตรียมอุปกรณ์ให้เราเล่นอะไรสักอย่างอะนะ เราก็เห็นไม่ค่อยชัด " แน่ล่ะสิ ก็ทั้งสามคนเล่นมานั่งท้ายแถวเหมือนเมื่อเช้าเปี๊ยบ อาร์มยังไม่ลดละความพยายามที่จะดึงความสนใจจากเพื่อนของเขา



     " มึงว่า หน้าอย่างกูจะเป็นประธานนักเรียนได้ปะวะ ? " เพื่อนด้านหน้าหันมามองด้วยสายตาเหยียด ๆ



     " ไร้สาระ เอาเวลาไปเรียนให้จบดีกว่าปะ ? " ถึงจะโดนด่าแต่ก็จริงของมัน อาร์มคิดในใจก่อนที่รุ่นพี่คนนึงจะกล่าวทักทาย



     " สวัสดีว่าที่นักเรียนม.ปลายของโรงเรียน xxx ทุกคนนนนน !! พี่ชื่อเอ็มนะครับ เป็นประธานนักเรียนในปีการศึกษานี้ แหม มีทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่เลย อันดับแรกเดี๋ยวรุ่นพี่จะจับน้อง ๆ แต่ละห้องให้ทำความรู้จักกันภายในสีก่อน เพื่ออะไร ? ในอนาคตอันใกล้นี้น้อง ๆ จะต้องรับภาระอันยิ่งใหญ่ในการทำหน้าที่เป็นแม่สีที่ดี พาน้อง ๆ ของสีเราไปสู่ความสำเร็จจจจจจจ " พอพูดจบรุ่นพี่คนอื่น ๆ ในทีมก็ปรบมือให้แก่เจตจํานงของประธานนักเรียน แต่น้อง ๆ ยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก



     " เมื่อเรารวมตัวทำกิจกรรมภายในสีกันเสร็จแล้ว พี่ ๆ ก็จะเรียกรวมตัวเพื่อทำกิจกรรมสันทนาการรวมกันทั้งสิบสองห้อง ทุกคนตามนี้นะครับ " เสร็จแล้วตัวแทนรุ่นพี่ก็จับน้อง ๆ ลุกไปตามสีของแต่ละห้องทันที



     " นี่อะนะประธานนักเรียนเท่ ๆ ของมึง ? ปัญญาอ่อนชิบหาย " ได้ทีมิ้ลค์ก็ถากถางเพื่อนของเขาขณะที่ลุกไปรวมตัวกับห้องอื่น



     " ถ้ากูได้เป็น กูไม่ติ๊งต๊องงี้หรอก " อาร์มพูดจบก็เดินตามมิ้ลค์ไปนั่งแถวของห้องม. 4/11 ที่ไปรวมตัวกับห้องห้องหนึ่งข้าง ๆ ทางออกหอประชุม มิ้ลค์และอาร์มดูตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้พบปะกับเพื่อนใหม่ทั้ง ๆ ที่ในห้องของตนก็ยังไม่รู้จักมากนัก ผิดกับปอนด์ที่ยังสีหน้านิ่งเฉยอยู่



     " เอาล่ะครับน้อง ๆ นั่งตามห้องได้เลยครับ ฝั่งนี้ห้องสี่ ฝั่งนี้ห้องสิบเอ็ด " รุ่นพี่หน้าตี๋คนหนึ่งพูดขณะจัดระเบียบให้ทั้งสองห้องก่อนจะแนะนำตัว



     " พี่ชื่อเต้ยนะครับ เป็นประธานรุ่นสีแดง น้องทั้งห้องสี่และสิบเอ็ดก็ได้อยู่สีแดงเหมือนกัน ฉะนั้นหน้าที่ของพี่ในวันนี้จะต้องทำให้น้อง ๆ รู้จักกันและละลายพฤติกรรมร่วมกัน โอเคมั้ย ? " ถึงจะไม่เข้าใจรายละเอียดมากมายแต่นักเรียนบางคนก็พยักหน้าหงึก ๆ



     " เอาล่ะ เพื่อเป็นการไม่เสียเวลานะ พี่จะให้พวกเราเล่นเกมแข่งกัน โดยแบ่งเป็นสองทีม ทีมห้องสี่และห้องสิบเอ็ด " เมื่อพูดถึงเกมการแข่งขัน เลือดในตัวของลูกผู้ชายทุกคนที่ไหลเวียนอยู่ก็พลุ่งพล่านราวกับพร้อมรบ



     รุ่นพี่ประธานสีแดงและลูกทีมของเขาได้ขนอุปกรณ์ต่าง ๆ มาให้รุ่นน้องได้ร่วมเล่น จากที่เขินอายด้วยความไม่คุ้นเคยว่าเพื่อนหน้าใหม่เป็นยังไง ก็เล่นร่วมกันราวกับสนิทกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน ทุกคนห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด แม้จะเสียพลังงานไปมาก แต่แลกด้วยคะแนนเพียงน้อยนิดพวกเขาก็ยอม



     " เอาล่ะครับน้อง ๆ เราเดินมาสู่เกมสุดท้ายกันแล้วเนอะ เกมนี้เราจะไม่เหมือนเกมก่อน ๆ พี่จะให้เราสุ่มเอง ใครจะอาสาออกมาเล่นบ้าง ? " รุ่นพี่มองหาตัวแทนของแต่ล่ะห้องว่าจะมีผู้กล้าคนใดออกมาชิงชัยในรอบสุดท้าย



     " ผมครับ " ตัวแทนจากห้องสิบเอ็ดตัวขาวจั๊วะได้ยกมืออย่างมั่นใจจนคนอื่น ๆ ปรบมือให้ในความกล้า



     " ผะ...ผมครับ " ทางด้านห้องสี่ก็ส่งตัวแทนออกมาเหมือนกัน เขาดูมีท่าทีเขิน ๆ ตามซี่ฟันมีเหล็กดันติดอยู่ เหมือนความสูงจะเยอะกว่าคู่แข่งนิดหน่อย ที่ต้องจำใจออกมาก็เพื่อนของเขาคะยั้นคะยอนั่นแหละ



     " เอาล่ะ ก่อนที่จะแข่งกัน แนะนำตัวให้เพื่อน ๆ ได้รู้จักกันหน่อย " พี่เต้ยจับไหล่คนตัวขาวกว่าเพื่อเลือกให้เริ่มพูดก่อน



     " หวัดดีครับ ผมชื่อมิ้ลค์ อยู่โรงเรียนนี้ตั้งแต่ม.ต้นแล้ว ขอฝากตัวด้วยนะครับ " เจ้าคนหน้าหวานพูดจบเสียงเชียร์จากห้องตัวเองก็ดังตามมา



     " เอ่อ...ชื่อเฟิร์สครับ อยู่ที่นี่ตั้งแต่ม .ต้น ฝากตัวเหมือนกันครับ " ทันทีที่พูดจบเสียงปรบมือของทุกคนก็ดังขึ้น ศัตรูอย่างมิ้ลค์เองก็ปรบมือให้เกียรติเหมือนกัน



     " เอาล่ะ จากเกมที่แล้วห้องสี่ได้คะแนนไปนะ พี่ขอให้สิทธิ์ห้องสิบเอ็ดเป็นคนจับฉลาก " ว่าแล้วกล่องกระดาษสีแปลกตาก็ถูกส่งไปให้ตัวแทนจากห้องสิบเอ็ดได้ล้วงลงไป เขาไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น



     " เกม...จ้องตากัน !! กติกาง่าย ๆ ให้ทั้งคู่มองตากันไปเรื่อย ๆ ฝ่ายไหนเป็นคนหลบสายตาก่อน ฝ่ายนั้นจะเป็นผู้แพ้ " ทั้งสองคนพยักหน้าเป็นอันเข้าใจ แต่แล้วใครคนหนึ่งก็คิดว่าตนน่ะ ชนะเกมการแข่งขันรอบนี้อย่างแน่นอนแม้จะไม่รู้ผล ทั้งคู่หันหน้าเข้าหากันก่อนจะหลับตาลงโดยที่ไม่ต้องมีรุ่นพี่สั่ง



     " สาม "



     " สอง "



     " หนึ่ง "



     " เริ่มได้ "



     ดวงตาอันใสแจ๋วของทั้งคู่เบิกโพลงขึ้นเพื่อรับแรงผสาน มิ้ลค์ดูมีท่าทีสบาย ๆ กับการเริ่มต้นส่วนเฟิร์สออกจะประหม่านิดหน่อย แม้แววตาของมิ้ลค์ถึงจะมีธุระอย่างอื่น แต่สมองอันชาญฉลาดกลับคิดแผนชั่วเอาไว้มากมาย เวลาผ่านไปครู่หนึ่งความเกร็งได้เข้ามาเยือนของฝ่ายห้องสี่ แต่ด้วยความมุ่งมานะของเฟิร์ส ทุกอย่างจึงดำเนินต่อไปอย่างขรุขระ มิ้ลค์เห็นอาการเหล่าชัดเจน จึงลั่นวาจาอย่างไม่ยั้งคิดเพื่อให้อีกฝ่ายตระหนก



     " อยากชนะเหรอ ? เดี๋ยวกูจับมึงทำผัวซะเลยเป็นไง " ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องได้ด้วยกล มิ้ลค์ไม่พูดเปล่า ทั้งยังก้าวขาทั้งสองไปด้านหน้าและริมฝีปากที่ขมุบขมิบอย่างมีเลศนัย ศัตรูอย่างเฟิร์สได้ยินเข้าก็ตาเหลือกด้วยความตกใจ แต่ตัวมิ้ลค์หารู้ไม่ว่า สิ่งที่ตนทำอยู่มันเสมือนดาบสองคม



     มิ้ลค์แทบไม่รู้ตัวเลยว่าดวงตาสีนิลคู่นั้นที่กำลังจับจ้องอยู่ มันส่งผ่านความรู้สึกหนึ่งที่ตัวเขาไม่เคยสัมผัส มันค่อย ๆ พูนขึ้นเหมือนเราคว่ำนาฬิกาทรายจนเอ่อล้นออกมา



     " ผู้ชนะคือ เฟิร์สจากห้องสี่ !! " ชัยชนะตกเป็นของห้องสี่อย่างไม่ต้องสงสัย มิ้ลค์ช็อกสนิทกับเหตุการณ์ที้เกิดขึ้น มันเหนือความคาดหมายกว่าที่เขาคิดไว้มาก ขาทั้งสองสั่งตัวเองให้เดินไปที่ใดที่หนึ่ง ทุกคนต่างสงสัยว่าคนตัวสูงคนนั้นจะไปไหน



     มิ้ลค์ตอบไม่ได้ว่าอะไรสั่งเขาให้เบือนหน้าหนีจากคู่แข่ง



     ผู้แพ้ค่อย ๆ เงยดูโฉมหน้าในกระจกห้องน้ำที่ใจลอยพามา เขาสบทกับตัวเองในใจว่าเกิดอะไรขึ้น มันคือความรู้สึกอะไรกัน ? ทำไมมันปะทุออกมาได้มากมายขนาดนั้น ?



     " มิ้ลค์ " จู่ ๆ ผู้กำชัยก็เดินเข้ามาสมทบ ถึงมิ้ลค์จะไม่ได้หันไปมอง แต่ก็รู้ว่าเป็นใครด้วยน้ำเสียงทุ้ม ๆ ที่เคยเล็ดลอดผ่านรูหู



     " จะเย้ยเราเหรอที่แพ้น่ะ " มิ้ลค์พูดกับเพื่อนห้องสี่ที่เข้ามาดูอาการผ่านกระจกอันสะท้อนตัวเขา แม้ในหัวเจ้าเด็กตัวขาวกว่าจะมีเรื่องคิดไว้มากมายก็ตามที



     " เราเปล่านะ เราแค่เป็นห่วงนายเฉย ๆ เลยวิ่งมาดูน่ะ " ทุกอย่างที่มิ้ลค์คิดล้วนผิด " แล้วนายเป็นอะไรหรือเปล่า...มิ้ลค์ ? "



     " เมื่อกี้เราเขินน่ะ สงสัยเราจะชอบนายมั้ง " มิ้ลค์ตอบอย่างไม่ยั้งคิด เพราะตั้งแต่เข้ามาที่นี่ เขามัวแต่ตั้งคำถามในใจว่าเกิดอะไรขึ้นโดยไม่สนใจสิ่งใด ถึงคนที่ยืนอยู่หน้ากระจกจะตอบเหมือนพูดลอย ๆ แต่มันส่งผลกระทบต่อจิตใจเฟิร์สไปเรียบร้อยแล้ว ร่างโปร่งที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ได้แต่ก้าวถอยหลังเมื่อได้ยินคำตอบ เฟิร์สไม่นึกเลยว่าวันหนึ่งจะมีผู้ชายมาบอกชอบเขา ด้วยความที่จนตรอกไม่รู้จะทำสิ่งใด ขาทั้งสองก็ได้แต่ก้าวหนี ทิ้งให้ไอบ้านั่นคุยกับตัวเองในกระจกต่อไป



     นับตั้งแต่นั้น เฟิร์สไม่เคยคิดจะญาติดีกับผู้ชายคนนี้อีกเลย



####



     เสียงพรมคีย์บอร์ดดังต๊อกแต๊กภายในห้องของเด็กชายตัวเล็กขณะฟ้ามืด เขากำลังตั้งหน้าตั้งตาเล่นเกม Moba อย่างเมามันกับเหล่าสหาย



     " เชี่ยอาร์ม ไปกันเลนล่างหน่อย ป้อมจะแตกแล้ว ไอซ์มึงมาช่วยกู เอ็ดดี้ซื้อหวอดด้วย " เจ้าเตี้ยตัวขาวสั่งให้บรรดาเพื่อนของตนดำเนินตามแผนยุทธศาสตร์ที่สร้างขึ้นมาในความคิด



     " ไม่ทันแล้วมิ้ลค์ มึงไปแทนกูก่อน " เสียงแหลม ๆ ของอาร์มดังลอดจากลำโพง มิ้ลค์ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ที่เพื่อนขัดคำสั่ง



     " มึงนั่นแหละไปกัน !!!! นั่นไงกูว่าแล้ว !! " หน้าจอขนาดยี่สิบสี่นิ้วฉายอักขระประกาศความพ่ายแพ้ให้กับทีม " แม่ง เซ็งชิบหาย กูไปแดกข้าวละ " เจ้าหนูหน้าหวานปิดโปรแกรมที่เปิดขึ้นมาทั้งหมดด้วยความไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก ก่อนจะเลื่อนเมาส์ไปเข้าเฟสบุ๊คของตัวเอง ไหนว่าจะไปกินข้าวยังไงล่ะ ?



     มิ้ลค์เลื่อนดูหน้าฟีดข่าวที่เด้งขึ้นมาอย่างเซ็งอารมณ์ไม่หาย เหตุก็เพราะเกมที่เล่นเมื่อครู่นั่นแหละ เขาจริงจังกว่าสอบกลางภาคที่ผ่านมาเสียอีก หน้าบึ้ง ๆ ยังคงสไลด์ลูกกลิ้งอย่างอารมณ์เสีย แต่ก็ต้องมาหยุดอ่านโพสต์ ๆ หนึ่งที่เพื่อนแปลกหน้าในเฟสบุ๊คได้แชร์เว็บชื่อดัง



     ' ทั้งชีวิตผมไม่เคยมีแฟนมาก่อน จนวันหนึ่งผมไปรู้สึกรักกับคนคนนึงเข้า ผมควรทำอย่างไรดีครับ ? ' มิ้ลค์อ่านหัวข้อกระทู้ในใจก่อนจะกดเข้าไปอ่านเนื้อความ



     " หึ พี่ก็ลุกเขาไปเลยสิครับ จะต้องกลัวอะไรอีก อยากได้ก็ต้องลุย " มิ้ลค์เองรู้ตัวว่าตนเคยเป็นที่ปรึกษาของเพื่อนหลาย ๆ คน เขาจึงให้คำตอบกับเจ้าของกระทู้นั้นด้วยปากที่พูดออกมา และด้วยความคึกคะนอง จึงตั้งสเตตัสบางอย่างในเฟสบุ๊คทันที



     ' รับปรึกษาปัญหาหัวใจ ทัก ' เจ้าเด็กเตี้ยค่อนข้างจะจริงจังกับโพสต์ไร้สาระนี้ เขาทิ้งหน้าจอที่เปิดอยู่ก่อนจะสับขาไปห้องครัวด้านล่าง



     " ม๊า มีไรกินบ้าง ? " ในห้องครัวทั้งพ่อ แม่ และลูกชายคนเล็ก ต่างรับประทานอาหารกันอย่างออกรส แต่เจ้าเตี้ยก็ดึงความสนใจไปเสียก่อน



     " โน่นสุกี้ แม่ซื้อมาจากร้านเจ๊อร รีบไปแกะถุงแล้วมานั่งกินกับน้อง " เมื่อได้ยินคำนั้นมิ้ลค์ก็วิ่งไปหยิบถุงที่บรรจุอาหารมาแกะหนังยาง พลางเทใส่ชามก่อนจะหาช้อนซ้อม



     " มิ้ลค์ไปกินบนห้องนะ " เด็กเตี้ยไม่รอคำพูดของใคร ขาทั้งสองก็วิ่งขึ้นบันไดไปยังห้องของตน แม้จะรีบ แต่เขาก็ระมัดระวังมื้อเย็นในมือ



     ในขณะที่คำแรกของอาหารมื้อนี้จะตรงเข้าสู่ปาก เพื่อนปริศนาโดยใช้นามภาษาอังกฤษคนนึงก็แด้งแจ้งเตือนมาทักทาย



     ' หวัดดี ' มิ้ลค์เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจว่าคนคนนี้เป็นใคร มือที่เคยจับช้อนเปลี่ยนไปคลิกเมาส์เพื่อเช็กประวัติส่วนตัว เขาใช้นามว่า Napat Laosuklon โดยรูปส่วนตัวเป็นตัวการ์ตูนไม่คุ้นตา



     ' มีอะไรครับ ? ' มิ้ลค์แทบจะลืมไปเลยว่าโพสต์สเตตัสอะไรไปเมื่ออาหารอยู่ตรงหน้า



     ' ก็นายบอกว่ารับปรึกษาปัญหาหัวใจไม่ใช่เหรอ ? ' คนที่อย่างรู้เรื่องความรักก็ถึงบ้างอ้อในทันที ตอนนี้เขาไม่สนใจสุกี้เสียแล้ว



     ' เอาสิ เล่าให้เราฟังหน่อยว่าจะปรึกษาอะไร เราสัญญาว่าจะเก็บเรื่องของนายเป็นความลับสุดยอด ' มิ้ลค์ใจจดใจจ่อกับสัญลักษณ์ที่แปลความหมายว่าทางนั้นกำลังพิมพ์อยู่



     ' เมื่อเย็นเราไปเจอผู้หญิงคนนึง เขาสวยมาก ๆ เขาเรียนอยู่คอนแวนต์แถวสยาม ๆ เราเจอเขาทำหนังสือตกอยู่หน้าพารากอนเลยช่วยเขาเก็บ เขายิ้มขอบคุณเรา ไม่รู้ว่าเราปากไวไปหรือเปล่าเลยขอเฟสมา เขาให้แบบไม่ต้องคิดเลยอะ เราดีใจมาก ๆ ' มิ้ลค์พยักหน้าเข้าใจกับเนื้อหาที่ทางนั้นพิมพ์มา



     ' เขารับแอดเพื่อนเราแล้ว แต่เราไม่รู้จะเริ่มทักเขาไปยังไงดีน่ะ มีอะไรจะแนะนำเราบ้างมั้ย ? ' ทันทีที่จับใจความสำคัญได้ มิ้ลค์ก็พรมนิ้วให้คำตอบทันที



     ' ลองทักเขาไปก่อน นายไม่ต้องรีบร้อน ชวนเขาคุยจนรู้นิสัยใจคอ อย่าชวนเขาคุยจนรำคาญ ถ้านายอยากพัฒนาความสัมพันธ์ นายต้องเข้าใจหลาย ๆ อย่างในตัวเขา นายต้องใจเย็น อย่าวู่วาม ที่สำคัญนายต้องให้เกียรติเขา เข้าใจมั้ย ? ' เทียบกับคำแนะนำที่ได้ให้กับเจ้าของกระทู้นั้น มันชั่งแตกต่างอะไรราวฟ้ากับเหว



     ' ขอบคุณนะ ' มิ้ลค์ไม่รู้เลยว่าทางนั้นจะเข้าถึงแก่นสารที่ตนสื่อไปมั้ย แต่ที่มิ้ลค์อยากจะรู้น่ะ..



     ' นายชื่ออะไรเหรอ ? '



     ' เราขอไม่บอกนะ ^^ ' ถึงจะสะกิดอยู่ในอก แต่มิ้ลค์ก็ยอมเข้าใจดี



     และนี่คือจุดเริ่มต้นของความรัก ที่เฟิร์สได้มอบให้แก่นัทตี้



     แฟนเก่าของเขา



- Not to be unlocked -

ออฟไลน์ LKPOW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Not to be unlocked : Episode 30 : เกลียด



     สภาพของผมตอนนี้คือนั่งขัดตะหมาดกลุมขมับด้วยน้ำตาที่ไหลแหล่ไม่ไหลแหล่อยู่กลางโรงยิม โดยมีเพื่อนหลายคนรายล้อมอยู่รอบด้าน บ้างยังสงสัยกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ บ้างเดินมาบีบไหลเพื่อให้กำลังใจเพราะรู้ว่าผมรู้สึกนึกคิดอะไร ผมไม่รู้ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดกินเวลาไปมากน้อยแค่ไหน ข้างนอกฟ้าจะมืดจนสนิทไปแล้วหรือยัง รวมไปถึงจิตใจของคนที่เดินออกไปอย่างไม่แยแสเมื่อครู่ด้วย



     " มึงเป็นไรกับมันเปล่าวะ ? " ซันที่นั่งยอง ๆ โดยมือยังไม่ลดออกจากบ่าของผมพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง



     " กูไม่รู้ " นั่นเป็นคำตอบเดียวที่ผมสามารถอธิบายทุกอย่างได้ในตอนนี้ ผมรู้เท่านี้จริง ๆ



     " เอาไงดีวะพวกมึง จะคนโน้นถามคนนี้ถามก็บอกไม่รู้ " เสียงของใครไม่คุ้นหูพูดขึ้นมาใกล้ ๆ ถ้าให้เดาน่าจะเป็นเพื่อนห้องสี่



     " กูว่าแล้วว่าช่วงนี้ไอเฟิร์สมันเป็นอะไร ที่แท้ก็เป็นเพราะมึงเองน่ะเหรอมิ้ลค์ ? " นี่เป็นเสียงคิงคองเพื่อนของคนที่เดินออกไปอย่างแน่นอน



     " กูขอโทษนะคอง กูไม่รู้เหมือนกันว่าสาเหตุที่ทำให้มันเป็นแบบนั้นคืออะไร กูไม่รู้จริง ๆ " ผมก้มหน้าก้มตาขอโทษขอโพยอย่างรู้สึกผิด แว่วเสียงถอนหายใจแผ่ว ๆ



     " กูไม่ได้จะโทษมึงที่ไปทำมันเป็นแบบนี้ มึงใจเย็น ๆ ก่อนมิ้ลค์ " แรงบีบจากอีกมือหนึ่งค่อย ๆ ขยับเบา ๆ ตรงหัวไหล่ ผมไม่รู้จะต้องแก้ปมในใจระหว่างเฟิร์สยังไงแล้ว ป่าช้าที่ว่ามืดและน่ากลัว ยังเทียบไม่ติดกับจิตใจของเฟิร์สในตอนนี้เลย



     ในขณะที่ผมมืดแปดด้านหาทางออกของปัญหานี้ไม่เจออยู่นั้นเอง ประธานสีแดงอย่างคิงคองก็พูดออกมาราวกับว่าจะสามารถจัดการปัญหาใหญ่โตของผมให้เล็กลงเหมือนเม็ดทรายได้

     " เรื่องนี้เดี๋ยวกูช่วยเอง "



     " ยังไงวะ ? " คราวนี้เป็นเสียงอาร์มถามบ้าง มันคงสงสัยไม่ต่างอะไรจากผมเท่าไหร่นัก



     " บุกไปบ้านแม่งเลย " หื้อ ?



     ไม่นะ..



     และแล้วผมกับเพื่อนสนิทลูกเจ้าของบ้านหลังนี้ก็ได้มาอยู่หน้ารั่วขนาดใหญ่ ผมสาบานได้ครับว่าพูดให้แม่งฟังใจความว่า " กูไม่ไป " ออกมาเป็นล้านคำทั้งขัดขืนสุดฤทธิ์ แต่ด้วยแรงช้างสารของไอ่คิงคองที่ได้ฉุดกระชากลากถูบังคับผมให้ซ้อนนินจาสามร้อยที่แอบไปจอดหลังโรงเรียน เพียงแค่สิบนาทีเท่านั้น ผมก็ได้มายืนทำใจอยู่ตรงนี้ซะแล้ว ฟ้าก็มืด แถมไม่รู้จะทำยังไงต่อดีด้วย



     " แล้ว...กูต้องอะไรอะ ? " สมองผมโล่งไปหมด ไม่รู้ว่าความเร็วของรถคันนี้ที่แม่งบิดมาอย่างเต็มสูบ ทำให้ความคิดต่าง ๆ กระเด็นหายไปตามแรงลมหรือเปล่า



     " ไม่รู้แหละ ถ้ามึงสองตัวยังไม่เคลียร์กัน กูจะฆ่าหมกศพทั้งคู่เลย " ไอคิงคองชี้หน้าผมโดยตัวของมันยังคร่อมพาหนะคันเก่งอยู่ งั้นมึงก็ฆ่ากูเลยสิ แม่งยังดีกว่าให้กูไปตายข้างในซะอีก



     " แล้วมึงแน่ใจได้ยังไงว่ามันจะอยู่ที่นี่ ? " เวลามีเรื่องอะไรมึงแน่ใจได้ไงว่ามันจะกลับบ้าน บางทีมันอาจจะแอบอยู่ในโรงเรียนก็ได้นะ



     " หึ เพื่อนคนนี้กูรู้จักนิสัยมันดี เวลามันมีเรื่องร้อนใจหรือทุกข์ใจอะไร สองสิ่งที่มันจะตามหาคือกูกับห้องของมันเอง " คิงคองยิ้มอย่างมั่นใจขณะพูด " เวลามันคิดมาก แม่งชอบอยู่คนเดียว "



     " กูไม่เข้าไปได้มั้ย ? " ทันทีที่พูดจบไอคิงคองก็วาดขาลงจากรถมาเตะขาตั้งพลางเดินตรงดิ่งไปที่ออดก่อนจะกดมัน



     " จัดการซะ เรื่องของมึงกับมัน กูจะรีบกลับไปโรงเรียนก่อนมันมีกิจกรรมต่อ โชคดีละกัน " ก่อนที่มันจะวิ่งพรวดกลับมายังรถแล้วขับแล่นออกไป



     " ไอเชี่ย !! อย่าพึ่งไป !!! " ผมวิ่งตามมันไปทั้ง ๆ ที่รู้ว่ายังไงก็ไม่ทันแล้ว แต่ก็ยังหวังเผื่อมันจะจอดรอ...แต่ก็ทำได้แค่หวังอะครับ คิงคองมันขับลับสายตาไปแล้ว ถึงตรงนี้ผมเดินวนรอบตัวเองเป็นพันรอบเลยแหละว่าจะเอาดี หนีตอนนี้เลยดีมั้ย ?



     ในขณะที่หัวสมองผุดความคิดว่าจะหนีปัญหาจากตรงนี้ ผู้หญิงรูปร่างไม่คุ้นตาก็เดินออกมาต้อนรับจากประตูรั้วเล็ก



     " มีอะไรหรือเปล่าคะ ? " เขาตัวสูงน่าจะพอ ๆ กับไหล่ผม หน้าตาค่อนข้างพิมพ์นิยมเลยล่ะ



     " เอ่อ...คือ...เอ่อ... " คิ้วของเขาที่ปาดเข้มกว่าปกติขมวดเข้าหาจนแทบจะรวมเป็นอันเดียว เชี่ย ! แค่ชื่อแม่งทำไมกูพูดไม่ออกวะ !



     " เฟิร์ส " ใบหน้าของผู้หญิงคนนี้ตื่นขึ้นมานิดหน่อย โอ๊ยย ! พูดออกมาได้สักที ! " เฟิร์สเขา...อยู่มั้ยครับ ? " เมื่อได้ยืนดังนั้นพี่คนสวยก็ทำหน้านึกอะไรบางอย่าง



     " เข้ามาข้างในก่อนสิ " พี่เขาไม่ตอบคำถาม ทั้งยังเปิดประตูต้อนรับคนแปลกหน้าอย่างผมอีก ผมลังเลอยู่นานพอดูจนพี่เขามองกลับมาอย่างสงสัย นั่นแหละครับผมถึงได้เข้าไป



     " เอ่อ...แล้วเฟิร์สเขาอยู่หรือเปล่าอะครับ ? " ผมถามคนที่เดินนำมาแทนที่จะพาเข้าไปในบ้าน แต่เดินมานั่งลงบนไม้สักยาวซะงั้น แล้วเขาจะพากูมาที่สวนทำไมวะ ? แถมไม่ตอบกูอีกว่าเฟิร์สอยู่มั้ย แล้วเขาเป็นใคร ? แล้วทำไมกูต้องเกร็ง ?



     " พี่ชื่อฟิล์มนะ พี่เป็นพี่สาวของเจ้าเฟิร์สมัน " อ๋อ พี่สาวคนที่เฟิร์สเคยพูดถึงคือคนนี้นี่เอง นี่กลับมาจากฮ่องกงรึเปล่า " เจ้าเฟิร์สพี่เห็นมันวิ่งรีบ ๆ ขึ้นไปข้างบนน่ะ "



     ในที่สุดผมก็คอนเฟิร์มได้แล้วว่ามันอยู่ที่นี่ " ครับ ผมขอขึ้นไปหามันได้มั้ยครับ ? " ไม่ได้อยากจะขึ้นไปหามันเท่าไหร่หรอก ถ้าเรื่องไม่มาถึงขั้นนี้แล้วน่ะ



     " นั่งก่อนสิ " ในตอนที่ผมกำลังจะหันหลังไปหาคู่กรณี เสียงใส ๆ ที่เคยได้ยินก็แข็งขึ้นมานิดหน่อย ชิบหายล่ะ ถ้าได้นั่งกูว่ายาวแน่ ๆ



     " เอ่อ.. " ถึงเป็นรอยยิ้มที่น่าจะหมายถึงอย่างอื่น แต่ทำไมมันถึงได้กดดันงี้วะ เออ กูนั่งก็ได้วะ



     " เราชื่อมิ้ลค์ใช่มั้ย ? " ผมพยักหน้าตอบเนือย ๆ จะคุยอะไรก็รีบคุยเถอะคร้าบพี่ฟิล์ม



     " พี่รู้จักเราผ่านแม่พี่มาอีกทีน่ะ แม่พี่บอกว่าเรากับเฟิร์สสนิทกันมาก ทำงานก็ทำด้วยกัน ได้ข่าวว่ามาทำกับข้าวให้แม่พี่กินด้วยหนิ ขอบคุณแทนแม่พี่ด้วยนะ " ผมยิ้มรับ เขาต้องการอะไรจะสื่ออะไรวะ ?



     " นั่นก็นานแล้วครับ ไว้ผมมีโอกาสจะทำให้ทานนะครับ " พี่ฟิล์มเงยหน้าขึ้นมองต้นไม้ที่บดบังเราอยู่ ใบไม้ตามกิ่งโบกพัดปลิวไสวไปตามแรงลม ช่วยให้ผมผ่อนคลายขึ้นมาได้นิดหน่อย



" บ้านหลังนี้มีแค่เฟิร์สกับแม่พี่เท่านั้นแหละที่อยู่กัน พี่กับพ่อพี่ต้องไปดูงานอยู่ที่ฮ่องกง นาน ๆ จะกลับมาที "



     " .......... " ผมเงียบตั้งใจฟัง



     " ช่วงนี้เฟิร์สมันแปลก ๆ น่ะ แม่ของพี่โทรมารายงานสักพักแล้ว พี่เลยรีบบินกลับมาดู "

     " .......... "

     " พี่ขอเดาจากการที่เฟิร์สรีบวิ่งขึ้นไปบนห้องกับที่เรามาหาเจ้าน้องตัวดีของพี่ เราไปทำอะไรให้เฟิร์สมันเป็นแบบนี้ใช่มั้ย ? " แม้จะเป็นเสียงเรียบ ๆ แต่ก็น่ากลัวชิบหายในเวลาเดียวกัน แล้วผมจะปิดอะไรได้อีกในเมื่อสิ่งที่เขาพูดออกมามันเป็นความจริง



     " ครับ " พี่เขาหันมามองด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม



     " พี่ฝากที่เหลือด้วยนะ พี่รู้ว่าเราทำได้ "



     " ครับ "



     " เฟิร์สมันไม่ค่อยล็อกประตูน่ะ เปิดเข้าไปได้เลยนะ "



     จะไหวมั้ยล่ะเนี่ย ..

####



     หลังได้กำลังใจจากพี่สาวแสนสวยของไอตัวปัญหาแล้ว เส้นทางไปสู่แสงสว่างที่พี่ฟิล์มชี้ให้เดินไปก็ถูกเปิดออก ไม่รู้ว่าพอเดินไปถึงปลายทางเจ้ากรรมนายเวรของผมจะถีบส่งกลับมาหรือเปล่า ผมมองฝ่ามือที่กุมลูกบิดไว้แน่นอย่างคิดแล้วคิดอีกว่าจะเปิดดีมั้ย นี่ขนาดอยู่แค่หน้าห้องทำไมแรงกดกันที่ได้รับจากคนข้างในถึงมหาศาลได้ขนาดนี้กัน เฮ้อ...จากนี้คงมีแค่ผมคนเดียวสินะที่ต้องทำให้ทุกอย่างมันชัดเจน



     ผมสูดลมเข้าปอดเรียกกำลังอีกครั้งก่อนจะบิดเจ้าลูกกรนี่พลางดันเขาไป และเป็นไปตามคำพูดของพี่ฟิล์ม



     ประตูไม่ได้ล็อก



     " พี่ฟิล์ม เฟิร์สบอกแล้วไงว่ามีไรให้เคาะประ.. " ใบหน้าอันหล่อเหล่าที่อวดเหล็กดัดอยู่ตามซี่ฟันถึงขั้นช็อกสนิทเมื่อทางนั้นได้ทอดสายตาจากปลายเตียงมายังผม เฟิร์สค่อย ๆ หันกลับไปทิศทางที่เคยหันมาจากระเบียง ก่อนที่ผมจะเดินอย่างเชื่องช้าไปนั่งด้านข้างของมันอย่างไม่รู้จะพูดอะไร



     " .......... " มันอึดอัดมาก มันอึดอัดมากยิ่งกว่าจะหาอะไรมาเปรียบเทียบ ผมต้องเริ่มพูดยังไง ต้องเริ่มเกริ่นยังไง ให้เฟิร์สในตอนนี้ได้หันหน้ามาคุยได้อย่างไม่ต้องหลีกหนีผมอีก



     เวลาผ่านไปพักหนึ่ง ความอัดอั้นที่อยู่ในอกเริ่มขยายตัวไปตามกาลจนร่างกายผมทนไม่ไหว



     " เฟิร์ส...มึง " ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ ความรู้หยวบ ๆ ของเตียงก็เด้งขึ้นมา ผมมองคนข้าง ๆ ที่ลุกขึ้นไปหยิบอะไรสักอย่างในกระเป๋าของมันอย่างจนปัญญาจริง ๆ เพราะไม่รู้จะหาหนทางไหนแล้วที่จะให้เฟิร์สได้พูดคุยกับผมแบบโดยดี



     ในขณะที่ผมจนตรอกให้กับการกระทำอันไร้ซึ่งความหมายของตนอยู่นั้นเอง จมูกที่รับออกอากาศอยู่ก็ได้กลิ่นอะไรบางอย่างเข้า ผมรู้ได้ในทันทีเลยล่ะว่ากลิ่นเหม็นนิโคตินแบบนี้น่ะใครเป็นตัวการ



     ผมสาวเท้ามาหาเจ้าตัวที่ยืนพ้นควันอยู่ริมระเบียงทันที " เฮ้ย ! " แม่งก็ยังไม่หันมาหาผมอยู่ดี



     " บุหรี่มันไม่ดีนะเว้ย ! จะดูดทำไมวะ !? " เคยได้ยินว่าการดูดบุหรี่สรรพคุณทางยาจะลดอาการเครียดได้ แต่เด็กมัธยมอย่างมึงจะต้องคิดอะไรเยอะแยะขนาดนั้นด้วยเหรอ ? คนข้างหน้าที่เอาซอกเท้าราวระเบียงอยู่ก็พูดขึ้นโดยไม่ได้หันมามอง



     " แล้วมึงเสือกอะไรอะ ? "



     " .......... " เฟิร์สพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่เยือกเย็น ริมฝีปากสีชมพูสดยังคงพ้นควันออกอย่างไม่สนใจใคร เฟิร์สที่ผมรู้จักไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ทำไมคำพูดของมันชั่งดูห่างเหินเหมือนเราไม่สนิทกันเลยล่ะ



     มันจุกและเจ็บในเวลาเดียวกัน..



     แต่มีเหรอผมจะยอม !



     มือผมคว้าก้านอันเล็ก ๆ ที่ได้สอดอยู่ระหว่างนิ้วของเฟิร์สมาทำลายโดยการเหยียบให้ไฟส่วนปลายมอดไป



     " กูไม่อยากให้มึงสูบ ของแบบนี้มันไม่ดีนะ " ดวงตาของเฟิร์สเกรี้ยวกราดขึ้นมาในทันใด



     " ชีวิตกูจะทำอะไร จะดีจะร้ายก็ชีวิตกูปะ !? มึงเป็นใครมีสิทธิ์มาทำแบบนี้อะ !!? "



     " .......... "



     ทำไมคำพูดของแม่งถึงทำให้ผมเจ็บแล้วเจ็บอีก ใบมีดที่ค่อย ๆ ย้ำกรีดหัวใจยังมิอาจจะไม่เจ็บเท่า



     ผมนิ่งเงียบอย่างพูดไม่ออก ได้แต่ดูเฟิร์สจุดบุหรี่ตัวใหม่และพ้นมันออกมา



     " พอเหอะนะได้โปรด " คำวิงวอนของผมไม่มีผลอะไรกับผู้ชายคนนี้เลย



     จนผมตัดสินใจที่จะสิ่งนี้ ผมตอบไม่ได้ว่าความรู้สึกไหนถึงสั่งให้ทำ



     ขาผมก้าวตรงไปหาคนข้างหน้าพลางยื่นแขนทั้งสองไปจับไหล่แกร่งของเฟิร์ส ก่อนจะเหวี่ยงกลับมาให้ปลายลิ้นนี้ได้เล็ดลอดเข้าไปในโพรงปาก ลิ้นร้อนของเฟิร์สกระตุกราวกับตกใจ ผมรับรสขม ๆ ของนิโครตินที่เจือความหวานของริมฝีปากได้ รสชาติอันแสนโอชะนี้ มันทำให้ผมหยุดเกี่ยวกระหวัดแทบไม่ได้เลย ถึงเจ้าของลิ้นจะตระหนกในการกระทำของผม แต่ก็ยอมหยอกล้อจนกว่าจะพอใจ



     ผมถอนริมฝีปากออก " ทุกครั้งที่มึงอยากดูดบุหรี่...มึงจูบปากกูจนกว่าจะหายอยากได้เลยนะเฟิร์ส " เพียงแค่เฟิร์สเป็นเพื่อนของผม เพียงแค่เฟิร์สอยู่ข้าง ๆ ผม จะต้องแลกด้วยอะไรผมก็ยอม " กูเป็นห่วงมึงนะ...เพื่อน "

     แววตาลุกเป็นไฟของคนตรงหน้าที่ถูกริมฝีปากของผมดูดซับมาจนหมด จู่ ๆ ก็เบิกโพลงขึ้นราวกับได้สติ



     " เพื่อนกัน...เขาทำกันอย่างนี้เหรอ ? " เฟิร์สถามด้วยสีหน้าเอาเรื่องและจริงจัง แต่ไม่เท่าผมในตอนนี้



     " เฟิร์ส บอกกูทีเถอะนะ คืนนั้นกูทำอะไรให้มึงเหรอ ? มึงถึงได้เป็นแบบนี้อะ มึงช่วย.. " ร่างโปร่งตรงหน้าเดินหนีผมเข้าไปข้างใน แต่มันหนีได้แค่ปลายเตียงเท่านั้น ฝ่ามือของผมก็วิ่งไปคว้าแขนไว้



     " มึงบอกกูหน่อยเถอะ กูอึดอัดมากเลยรู้มั้ย ได้โปรด มึงช่วยบอกกูทีเถอะนะ กู...กูจะตายแล้วรู้มั้ย !? " ผมนิ่งรอฟังคำตอบโดยที่มือข้างนั้นยังไม่ปล่อย



     " กูชอบมึงไงมิ้ลค์ "



     " .......... "



     อะ...อะไรนะ



     เฟิร์สชอบผม ?



     " มะ...มึงชอบ...กู " ตอนนี้ฝ่ามือผมเย็นเฉียบไปถึงหัวไหล่ เฟิร์สหันกลับมามองหน้าผมนิ่งก่อนจะพูดขึ้น



     " ใช่ กูชอบมึง กูรู้ตัวตั้งแต่จูบมึงในคืนนั้น แต่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่กูจะรักมึง มึงเป็นคนพูดเองว่ารักใครไม่ได้อีก วันนั้นกูแทบบ้า "



     " .......... "

     " กูรู้ดีว่าที่มึงปิดใจไม่ยอมรับใครเพราะนัทตี้ เพื่อที่กูจะได้ไม่ต้องมารู้สึกกับมึงอีก กูเลยต้องหลบหน้ามึงไง "

     " .......... "

     " จนถึงตอนนี้กูก็ยังรู้สึกกับมึงไม่ต่างจากวันนั้น ยิ่งกูหนีมากแค่ไหน กูก็ยิ่งคิดถึงมึง กูทรมานใจทุกวันทุกคืนจนแทบจะข่มตานอนไม่หลับ "

     " .......... "

     " กูหึงมึงมากนะที่ไอเชี่ยปอนด์จับมือมึงแต่กูทำได้แค่มอง กูอิจฉามันมาก "

     " ......... "

     " ยิ่งมึงจูบกูตากี้ยิ่งเหมือนให้ความหวัง ถ้ามึงไม่คิดเหมือนกัน ก็อย่าให้ความหวังกูเลยมิ้ลค์ "

     " .......... " ความในใจของเฟิร์สถูกพ้นออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง ทุกอย่างเข้าหูผมไม่หลุดลอยออกไปไหน ผมอยากอธิบายสิ่งที่สติในตอนนี้จะสามารถทำได้



     " ที่ปอนด์มันจับมือก็เพราะกูไประบายเรื่องของมึงให้มันฟัง มันไม่ใช่อย่างที่มึงคิดนะ "

     " หึ " มันเปล่งเสียงในลำคอราวกับไม่เชื่อ



     " ที่กูจูบมึงตากี้ กูไม่อยากให้เพื่อนต้องมาทำร้ายตัวเองไง "



     " หึ "



     " ที่มึงพูดว่าปิดกูปิดใจนั้นก็ถูก แต่มันก็ถูกเพียงครึ่งเดียว " ถึงตรงนี้เฟิร์สขมวดคิ้วราวกับไม่เข้าใจ " กูไม่ได้ปิดใจที่นัทตี้มีคนอื่นนอกจากกู แต่กูปิดใจไม่กล้ารักใครเพราะตัวกูเอง กูไม่ต้องการให้ใครมาเจอคนเหี้ย ๆ แบบกูอีก วันนั้นกูอาจไม่มีสติ แต่กูคิดว่าสิ่งที่พูดออกไปคืนนั้นมันมาจากความคิดของกูจริง ๆ "



     " มึงอย่ามาทำตัวเป็นพระเอกได้ปะ ? น้ำเน่า ! " เฟิร์สกระแทกเสียงใส่



     " เชี่ยเฟิร์ส ! " เป็นครั้งแรกที่เฟิร์สแม่งทำให้ผมรู้สึกว่ามันงี่เง่า



     " อะไร ? " เฟิร์สพูดพลางขำหึหึอย่างกับได้ใจ แม่งเอ๊ย เลือดขึ้นหน้ากูแล้วนะ ! ต้องให้กูใช้กำลังใช่มั้ย !?



     คราวนี้ผมผลักร่างสูง ๆ ลงเตียงก่อนจะตรึงแขนทั้งสองไม่ให้หลุดไปไหน ผมต้องการจะอธิบายทุกอย่างให้มันเข้าใจเท่านั้น ผมมองใบหน้านั่นด้วยท่าทีหืดหอบ เฟิร์สไม่ได้เกรงกลัวในสิ่งที่ผมทำอยู่เลย แต่แล้วร่างกายที่เคยอยู่ด้านบนกลับถูกสลับให้ผมไปอยู่ด้านล่างเสียเอง แขนทั้งสองข้างของเฟิร์สกำชับข้อมือผมแน่น รอยยิ้มที่ค่อย ๆ ฉีกออกอย่างกับราชสีห์ตะครุบเหยื่อก็เริ่มปรากฏ



     " จะทำอะไร ? "



     " ปล่อยกู !!! " ผมขัดขืนสุดแรงแต่ก็ยากที่จะหลุดออก แววตาและสีหน้าของเฟิร์สยิ้มอย่างมีเลศนัย



     " ถ้ากูไม่ปล่อยแล้วมันจะทำไมเหรอ ? " เสียงมันยั่วยวนจนผมแทบจะไม่ไหวในอารมณ์ ยังไม่ทันจะด่ามันด้วยความโมโห ริมฝีปากของมันก็พล่ามต่อ " เอ...หรือกูจะปล้ำมึงตรงนี้ดีน้า ? "



     " มึงไม่กล้าหรอกไอเฟิร์ส !! " ผมยิ้มอย่างมั่นใจแม้จะขัดขืนอยู่



     " อย่าท้ากูนะมิ้ลค์ ตอนนี้มึงก็รู้แล้วนี่ว่ากูรู้สึกยังไงกับมึง "



     " ก็ลองดู อย่าหาว่ากูไม่เตือน " สิ้นคำท้าริมฝีปากอมชมพูนั่นก็พุ่งมายังลำคอของผมเพื่อพรมจูบเนื้อหนังภายใต้เสื้อนักเรียน ผมขัดขืนมันสุดชีวิตเท่าที่จะทำได้ ใบหน้าของคนที่แรงเยอะกว่าเริ่มชอนไชตามซอกคออย่างดีเดือด แรงผมถึงจะเหลือไม่ค่อยมากแล้ว แต่สุดท้ายก็สามารถผลักแม่งออกจากด้านบนของร่างกายได้สำเร็จ



     " ไอเหี้ย !!! " ผมสบถด่ามันเสียงดังลั่นก่อนจะวิ่งออกจากห้องมาทั้งน้ำตา



     ไอเฟิร์ส !! กูเกลียดมึง !!!



- Not to be unlocked -

ออฟไลน์ LKPOW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Not to be unlocked : Episode 31 : มาทำไม ?



     ผมเดินเข้าห้องของตัวเองด้วยสภาพเหมือนเป็นบ้า สิ่งแรงที่กระทำแทนจะเอาข้าวของไปเก็บคือทุบกับเตียงอย่างบ้าคลั่ง



     ' ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง '



     " แฮก ๆ แฮก ๆ "



     โว้ยยยยยยยยยยยย ไอเชี่ยเฟิร์ส !!



     แม่ง...แม่ง...ข่มขืนผมมมม !!



     ผมสูญเสียความบริสุทธิ์ไปแล้วอ่าา ฮือออออ



     แต่..



     มันก็รู้สึกดีนะ



     เฮ้ยเดี๋ยว ! กูต้องแค้นมันสิ !!!



     โว้ยยยยยยยย ทุบ ! ทุบ ! ทุบ ! ทุบ ! ผมกระหน่ำทุบเตียงเหมือนกับตำพริกแกงอยู่ก็มิปาน



     แต่อันนี้มันไม่ได้สำคัญเท่ากับรู้ความจริงจากปากมันซะหน่อย ผมมันโง่ที่ไม่สามารถจับต้องความจริงจากตัวเฟิร์สได้ การกระทำทุกอย่างของมันหมายความว่ายังไง ทำไมผมถึงสัมผัสผ่านความจริงไม่ได้เลยเท่ากับตัวปอนด์ ผมเข้าใจหัวอกคนที่แอบชอบดีว่าข้างในมันซับซ้อนและปั่นป่วนแค่ไหน แต่ที่แปลกอยู่ในอกตอนเฟิร์สบอกชอบผม ทำไมถึงได้รู้สึกโล่งใจและเผลอยิ้มออกมาทั้ง ๆ ที่รู้สึกแค้นจนเกลียดไอเฟิร์สแบบนี้ได้กันนะ



     อย่างนี้มันหมายความว่าไง ?



     ณ ตอนนี้ผมก็ยังตอบไม่ได้อยู่ดีว่าความรู้สึกทั้งหมดมันคืออะไร มันเป็นความรู้สึกที่อยากให้เฟิร์สอยู่ข้าง ๆ ไม่ใช่เป็นมันที่เอาแต่หลบหน้าหลบตา แต่ผมก็กลัวว่าถ้าหากได้รับรักจากเฟิร์สมาแล้ว เหตุการณ์ซ้ำรอยในอดีตจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ผมแทบไม่เชื่อเลยว่าผู้ชายคนนั้นจะกล้าพูดว่ารักกับผมได้เต็มปาก สายตามันหนักแน่นราวกับจริงจังในคำพูด ผมไม่อยากให้เฟิร์สต้องมาเจอคนไม่เอาไหนแบบผม เฟิร์สต้องไปได้ดีแน่ ๆ ถ้าคนคนนั้นไม่ใช่ผม ผมรับรักเฟิร์สไม่ได้ ที่เสียงหัวใจบอกว่าเกลียดมัน ไม่ใช่เกลียดที่เฟิร์สล่วงเกินเนื้อหนังมังสาของผม แต่เป็นเพราะอยากจะตอบโต้อะไรบางอย่างแก่มันมากกว่า ถึงผมจะรับรักเฟิร์สไม่ได้ แต่ผมก็อยากให้ผู้ชายคนนั้นอยู่เคียงข้างตลอดไป



     มันคงไม่เห็นแก่ตัวเกินไปใช่มั้ย ?



     ว่าแล้วก็สะกิดใจกับคำพูดของเฟิร์สไม่หาย เรื่องที่มันพูดสุ่มสี่สุ่มห้าว่าหัวใจของผมได้ปิดลงเมื่อนัทตี้ไปมีคนอื่นที่ดีกว่า ผมไม่เข้าใจว่าการแสวงหาความรักที่ดีกว่า เราจะเรียกสิ่งสิ่งนั้นว่ารักได้จริง ๆ น่ะหรือ ? หากมัวแต่หาสิ่งที่ดีกว่าไปเรื่อย ๆ แล้วเมื่อไหร่จะพบกับความสุข ? เมื่อไหร่จะจับต้องความรักได้เสียที ?



     คิดแล้วก็หน้าปวดหัว..



     ผมตื่นขึ้นในเช้าที่ฟ้ายังมืดอยู่ หึ เอาจริง ๆ อย่าเรียกว่าเช้าเลยดีกว่า ก็นี่พึ่งตีสี่เอง (แต่ตีสี่ก็เช้านะ) ง่าย ๆ สั้น ๆ ครับ ผมนอนไม่หลับ จะไปนอนหลับได้ยังไงในเมื่อจิตใจแม่งว้าวุ่นตลอดทั้งคืน จะข่มตาหลับหรือพลิกตัวไปมาก็ไม่ยอมภาพตัดในหัวให้สักที ด้วยความที่หงุดหงิดกับระบบร่างกายก็เลยดีดตัวเองจากเตียงลงไปข้างล่างเสียเลย



     ซึ่งถือเป็นการดีเหมือนกันครับเพราะไม่กี่วันก่อน ผมได้แวะไปที่ตลาดแถวบ้านเพื่อจัดการซื้อข้าวของมาตุนซะเต็มตู้เย็น อาหารเช้าในวันนี้ก็ขอรังสรรค์เมนูจานโปรดของเจ้ามิน (บอกไปตั้งแต่ตอนอีพีสอง แต่พึ่งมาทำตอนอีพีสามสิบเอ็ด พี่ชายที่แสนดีแบบนี้หาไม่มีอีกแล้ว หึหึ) ทุกอย่างดูไม่วุ่นวายเท่าไหร่ และแล้วอาหารจานอร่อยของผมก็เสร็จภายในเวลาตีห้าเกือบครึ่ง เอ่อ...แล้วกูรีบเกินไปหรือเปล่าวะ ? ชั่งเถอะ เอาเวลาที่เหลือนั่งซดกาแฟสักแก้วก็ดีเหมือนกัน



     จวบจนผมอาบน้ำและรวมเป็นหนึ่งเข้ากับชุดนักเรียนนั่นแหละครับเจ้ามินถึงได้ลงมา น้องชายตัวดีเข้ามาทักทายผมด้วยรอยยิ้มตามแบบฉบับเจ้าตัวก่อนจะนั่งลงเก้าอี้ ผมเดินไปเสิร์ฟอาหารจานโปรดให้กับลูกค้าเช้านี้ด้วยอาหารที่ตกแต่งอย่างสวยงาม แม้จะทำเสร็จไปตั้งนานแล้ว แต่อาหารจานนี้ก็ยังคงคงามร้อนน่ารับประทานอยู่เสมอ



     " โห...ในที่สุดมินก็ได้กินฝีมือพี่มิ้ลค์สักที " มินพูดด้วยน้ำเสียงเริงร่าบวกกับท่าทีดีใจ อยากรู้เหรอครับว่ามันคืออะไร หึหึ ที่ผมต้องมีเวลามากกว่าหนึ่งชั่วโมงในการทำก็คือโจ๊กหมูไข่ลวกนั่นเอง มินชอบที่ผมทำม๊ากกก



     " กินเยอะ ๆ ล่ะ พี่ทำไว้เต็มหม้อเลย " ท่านผู้อ่านก็มานั่งกินด้วยกันได้นะครับ มันเยอะจริง ๆ เยอะขนาดเลี้ยงคนทั้งซอยได้เลยล่ะ ฮ่า ๆ



     ผมยืนมองมินตักคำแล้วคำเล่าเข้าปาก สีหน้าของน้องชายในวันนี้จะร่าเริงเป็นพิเศษเลยว่ะ คงเป็นเพราะมือเช้าที่คนหล่ออย่างผมได้ทำให้รับประทานแหง หึหึ ผมเก็บโน่นเก็บนี่มาทำความสะอาดพลางถอดผ้ากันเปื้อนไปแขวนไว้ ก่อนจะเดินไปนั่งคู่กับเจ้าน้องตัวดีที่ชามโจ๊กตอนนี้พร่องไปครึ่งนึงแล้ว



     " เออพี่มิ้ลค์ มินมีข่าวดีจะบอกล่ะ " คิ้วผมเลิกขึ้นอย่างสนใจทันที น้องชายคนนี้จะมาบอกข่าวดีอะไรกับพี่ชายของมันวะ ?



     " อะไรล่ะ ? ไปจีบสาวที่ไหนติดหรือเปล่า " เหมือนสิ่งที่ผมเดาจะผิดว่ะ ดูได้จากสีหน้าเซ็ง ๆ จากคนตรงข้าม



     " มั่วแล้ว " ผมหัวเราะหึหึก่อนจะตักโจ๊กที่พึ่งนำจากหม้อขึ้นมากินบ้าง " มินลงสมัครประธานนักเรียนแล้วนะ "



     " จริงเหรอ !? " ถึงจะเป็นรีแอคชั่นที่ไม่ได้เว่อร์วังอะไร แต่ผมก็ตกใจจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่มินคาดหวังไว้จะทำให้มันเป็นจริงได้



     " ใช่ครับ เราจะมีการเลือกตั้งประธานนักเรียนในอีกไม่กี่วันข้างหน้า พี่มิ้ลค์ต้องมาใช้สิทธิ์ด้วยล่ะ เข้าใจมั้ย ? " เฮ้ย! มีการบอกให้ผมไม่นอนหลับทับสิทธิ์ซะด้วย ทุกทีผมไปเลือกตั้งก็ทำบัตรเสียนะ สงสัยปีนี้คงจะวางมือไปก่อน หึหึ (ใครว่าผมเลว !!?)



     " ได้เลย เดี๋ยวพี่เลือกเราแน่นอน " มินยิ้มกว้างอย่างดีอกดีใจ



     " นายกันต์ธีร์ ไชยวัฒน์ ผู้สมัครประธานนักเรียนหมายเลขหนึ่ง ขอฝากตัวพี่ชายสุดหล่อด้วยนะคร้าบบบ " สงสัยประเด็นหลักที่ชวนคุยก็คือหาเสียงจากผมนี่ล่ะ หัวหมอจริง ๆ ไอน้องชายคนนี้



     " จ้าาาาาา " ผมขำหึหึก่อนจะนึกถึงเพื่อนตัวเอง ไออาร์มมันก็ทำงี้แหละครับ ไม่น่าเชื่อเหมือนกันนะว่าจะได้เป็นประธานนักเรียนสมใจหวังได้จริง ๆ



     " พี่มิ้ลค์ " มินมองหน้าผมก่อนจะก้มลงไปจ้องไข่ลวกในชาม



     " ว่าไง ? " ผมถามก่อนจะตักหมูสับขึ้น



     " เมื่อวานพี่มิ้ลค์กับพี่เฟิร์ส...เป็นอะไรกันหรือเปล่าครับ ? " ช้อนบรรจุอาหารที่หมายจะเอาเข้าปากก็ได้หยุกชะงัก ผมลดมันลงไปไว้ในชาม



     " ก็...ไม่ได้เป็นอะไรกันซะหน่อย ไปเอามาจากไหนล่ะว่าพี่กับมันเป็นอะไรกัน ? " ผมทำทุกอย่างให้เป็นปกติที่สุด แม้มันจะยาก แต่ผมทำได้ครับ



     " เมื่อคืนมินคุยกับพี่อาร์ม เขาถามว่าพี่มิ้ลค์กับเฟิร์สดีกันหรือยัง มินไม่กล้าถามพี่มิ้ลค์ตรง ๆ มินกลัว " น้องชายของผมสลดไปถนัด งานหยาบแล้วไง



     " เอ่อ.. " ผมเอื้อมมือไปขยี้หัวน้องชายตัวเองอย่างเอ็นดู " ไม่มีอะไรหรอกมิน พี่กับมันแค่ผิดใจกันเล็ก ๆ น้อย ๆ เอง " มินมองผมอย่างระแวง แต่ก็ยอมผ่อนคลายลงเมื่อเห็นรอยยิ้มของผม



     " รีบ ๆ ดีกันนะครับ มินเป็นห่วงพี่ทั้งสองคน "



     " ได้เลย "



     มินคงไม่เห็นนิ้วผมไขว้กันหรอกเนอะ



     พี่ยังรับปากเราไม่ได้หรอกว่าจะดีกับมันได้ตอนไหน..



####



     เมื่อเช้าการเดินทางถนนเส้นอโศกจะดูราบรื่นชนิดที่ว่าหัวแตกเลยทีเดียว อากาศปลอดโปร่งอย่างแจ่มใส บรรดานักเรียนขวักไขว่เข้ามาเรียนกันอย่างแข็งขัน (ไม่นับผม) อะไร ๆ ดูจะราบรื่นไปหมดนั่นแหละครับ จวบจนได้มาปะทะกับอาจารย์พรทิพย์จ้าวนักคุมกฎแห่งโรงเรียนชายล้วน ได้มายืนประจันหน้าอยู่บริเวณประตูหนึ่ง ด้วยสมองอันชาญฉลาดของผม ก็เลยต้องเลี่ยงการปะทะกับเขาโดยการวิ่งพรวดจากป้ายรถเมล์อีกฝั่งนึงไปเข้าประตูสองแทน หึหึ ไม่ได้กินผมหรอกอาจารย์ (มินขอเข้าประตูหนึ่งเพราะจะไปห้องสภาฯ) แน่นอนครับ ร้อยละเก้าสิบที่ฝ่าประตูนี้จะเป็นเด็กสันดานเสียกันทั้งนั้น (อันนี้รวมผมได้)



     โต๊ะหมู่ประจำแก๊งของเราตอนนี้ดูไม่มีอะไรเป็นพิเศษนัก เราต่างหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโหลดไอเกม ROV กันแทบจะครบทุกคนเพราะเห็นเขาบอกว่ามีเกมโมบ้าในโทรศัพท์แล้ว ทุกคนดูมีอารมณ์ร่วมกับเจ้าเกมนี้กันดีนะ ก็มีฝีมือใน LOL กันมาบ้างแล้ว ถึงกระนั้นผมก็ไม่ได้สนใจใครเป็นพิเศษนอกจากปอนด์



     เรื่องราวของปอนด์ที่ได้มาสารภาพรักกับผมพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน แถมผมจะหักอกมันดังเป๊าะเสียด้วย ถ้าเป็นผมเอาเข้าจริง ๆ ก็จินตนาการไม่ออกเหมือนกันว่าตัวเองจะเป็นยังไงในวันต่อ ๆ ไป ผิดกับปอนด์ริบรับเลยครับที่ยังมีสีหน้าแจ่มใสราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ภายใต้รอยยิ้มนั่นมันต้องเข้มแข็งขนาดไหนกันถึงได้ไม่เผยความเศร้าออกมา คงด้วยที่ผมสังเกตหน้าปอนด์นานไปหน่อยมันก็เลยตบหัวแถมถามว่าจะมองมันทำไมนานสองนาน ที่กูมองมึงเพราะเป็นห่วงไง ใช่ครับ ผมมาโรงเรียนเมื่อเช้ากันแค่สองคนกับมิน ปอนด์คงตัดใจจากผมได้แล้วแหละ



     ตอนนี้ถ้าหากถามผมว่ากำลังจะเดินไปไหนคนเดียวท่ามกลางแสงแดดอันแสบผิว ทำไมพักกลางวันแบบนี้ไม่เอาเวลาไปกินข้าวหรือพักเบรกล่ะ ? หึ ผมคงได้ไปกินแล้วแหละครับถ้าห้องปกครองไม่ส่งสารวัตรนักเรียนมาตามตัวให้ไปพบ สภาพกางเกงกูตอนนี้พร้อมรบกับบิ๊กบอสมากนักแล เฮ้อ...บ่นไปเต๊อะ ยังไงผมก็หนีไม่รอดอยู่ดี



     ประตูบานคุ้นเคยที่เมื่อก่อนผมเข้าออกบ่อย ๆ ถูกเปิดออกต้อนรับผู้ต้องหาคดีอย่างผม (ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าผิดอะไร) สิ่งแรกที่เห็นไม่ใช่อาจารย์พรทิพร์ แต่คือชายที่มีอำนาจสูงสุดของห้องสี่ คิงคองนี่เอง



     " มีไรอะครับจารย์ ? รีบคุยนะผมหิวข้าว " ใคร ๆ ก็บอกผมว่าเป็นเด็กดีมีมารยาท แต่ขอเว้นบุคลากรในห้องห่านี่สักหน่อยแล้วกัน



     " กางเกงสั้น " อาจารย์มองลงมายังต้นขาขาว ๆ ของผม น่าถามเหมือนกันนะว่าเนียนสวยมั้ย หึหึ



     " เรียกผมมาเพราะกางเกงสั้น ? "



     " เปล่า ชั้นแค่บอกเธอเฉย ๆ ว่ามันสั้น คุยเรื่องนี้เสร็จแล้วเดี๋ยวชั้นวกมาเรื่องกางเกงเธอ เชิญนั่ง " คิงคองขำคิก ๆ ก่อนที่ผมจะเดินไปนั่งข้าง ๆ มัน



     ไอห่านี่เอนตัวมากระซิบข้างหู " โดนเหมือนกูเป๊ะ " ผมพยักหน้าเอือม ๆ ให้กับคำพูดของมัน สไตล์อาจารย์แกนั่นแหละเพื่อน



     " กระซิบอะไรกัน !? " สะดุ้งเลยครับ สะดุ้งขนาดคิงคองกลับมานั่งหลังตรงได้อะ ฮ่า ๆ



     " อะ เข้าเรื่องเลยนะเสียเวลาชั้น ชั้นต้องไปจัดการเด็กที่ทะเลาะวิวาทอีก คือเมื่อวานชั้นได้รับเอกสารจากฝ่ายสถานที่มาแล้ว ชั้นไม่มีปัญหาหรอกที่พวกเธอจะจัดกิจกรรมกระชับมิตรกันน่ะ " ผมพยักหน้าให้กับเนื้อความ ส่วนคนข้าง ๆ เหมือนกำลังจะหาเมนไอเดียในประโยคนี้อยู่



     " แต่เมื่อวานภารโรงเขาจะไปเก็บกวาดที่โรงยิม ปรากฏว่ามีอุปกรณ์กีฬาและขยะมากมายเกลื่อนกลาดไปทั่วบริเวณ เธอรู้มั้ยว่าโรงยิมตอนนี้จัดการเรียนการสอนไม่ได้จนส่งผลกระทบคาบเรียนของชั้นอื่น ๆ กันหมด ไหนพวกเธอบอกชั้นมาซิว่าจะรับผิดชอบเรื่องพวกนี้ยังไง ? " ของเกลื่อนกลาดทั่วโรงยิม ? เมื่อวานกูไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นี้นะ ผมเหล่มองไอคนริเริ่มก่อตั้งกิจกรรมนี้อย่างเอาเรื่อง คิงคองยิ้มแหยอย่างไม่มีข้อแก้ตัว



     " ถ้าไม่มีอะไรจะพูด เย็นวันนี้ชั้นจะให้เธอสองคนรับผิดชอบโรงยิมทั้งหมด โดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น "



     " ห้ะ !! โรงยิมทั้งหมด !? "



     " ชั้นจะไม่อธิบายอะไรต่อ หัวหน้าอย่างพวกเธอสองคนต้องรับผิดชอบ ตามนั้นล่ะ " ผมอ้าปากค้างมองอาจารย์แกที่ลุกไปอย่างจำนน เชี่ย ! แล้วกูเกี่ยวไรด้วยวะเนี่ย !!!?



     ไอเชี่ยคอง !!!



     ผมลากไอตัวการออกมาหน้าห้องปกครอง " หมายความว่าไงสัด ? กูไม่อยู่พวกมึงทำอะไรกัน ? แล้วทำไมกูต้องมารับผิดชอบแทนพวกมึงด้วย ? แล้วทำไมกูต้องมาเก็บกวาดให้พวกมึง ? แล้วทำไม.. "



     " พอแล้ววววว กูสำนึกไม่ทันแล้ววววว อย่าด่ากูเลยนะเพื่อน เมื่อวานแอคซิเดนจริง ๆ มันก็เลยออกมาเป็นงี้ " คิงคองยกมือขึ้นกราบเหนือหัวตัดบทผมแม้จะกำเสื้อมันแน่นอยู่ กูไม่รู้หรอกนะว่ามันสุขวิสัยด้วยเหตุอันใด แต่เรื่องนี้หัวหน้าอย่างกูย่อมไม่เกี่ยว



     " แล้วจะรับผิดชอบยังไง ? กูบอกไว้เลยนะว่ากูไม่ช่วย "



     " โห่มิ้ลค์ ช่วยกูทีเหอะนะ " เมื่อวานกูเห็นมึงเดินมากับไออาร์มใช่มั้ย ?



     " เชี่ยอาร์มไง แกนนำเหมือนกันไม่ใช่รึไง " พอกันเลยมึงสองตัวเนี่ย ยศถาบรรดาศักดิ์ไม่ได้ทำให้มึงเป็นคนดีกันเลยนะ



     " มันไม่ว่าง มันต้องไปปฐมนิเทศประธานนักเรียนรุ่นต่อไป "



     " ไม่รู้แหละ กูไปละ " แล้วผมก็เดินจากมันทั้งอย่างนั้น



     แต่คงได้ไปกินข้าวกับเพื่อนคนอื่นแล้ว ถ้าแม่งไม่วิ่งมาตัดหน้าเสียก่อน



     " เรื่องมึงกับไอเฟิร์สเมื่อวานไปถึงไหนแล้ว !? " พรึ้บ !!! หน้าไอเฟิร์สตอนมันไซร้คอผมแล่นเข้ามาในหัวทันที



     " เชี่ย !!! มึงไปถามมันเองโน่น !!! " เอ้า !! แล้วกูจะไปให้มันไปถามทำไม เดี๋ยวแม่งก็ปากโป้งบอกว่ากูไปข่มขืนไอมิ้ลค์มันน่ะ กูนี่ก็บ้า !!



     " กูถามมันแล้ว แต่แม่งไม่บอก " เชี่ยนี่คงจับว่าผมลอกแลกได้ แม่งเลยจ้องผมเขม่น " กูบอกแล้วไงถ้ามึงสองตัวยังไม่ดีกัน กูจะเอามึงตายทั้งคู่ " แล้วไหนมิ้ลค์ผู้เหนือกว่าตอนนี้กลายเป็นต่ำเตี้ยเรี่ยดินได้ภายในไม่ถึงนาทีกันวะ



     " เอ่อ...เอา...เอาเป็นว่าเย็นนี้เดี๋ยวกูไปช่วยแล้วกัน " ผมเหล่มองหน้ามันอย่างไม่รู้จะแถยังไงก่อนจะเดินหนีไปจากตรงนั้น



     ที่ผมพูดแบบไม่คิดออกไป เพราะแค่อยากจะเปลี่ยนเรื่องก็เท่านั้นเอง



####



     พอหมดคาบเรียน ไอโฟนในกระเป๋ากางเกงก็เปลี่ยนที่อยู่ของมันมาแนบชิดติดหูผมทันที ไม่ต้องถามว่าผมไปเอาเบอร์ไอห่าคิงคองมาจากไหน หึ เอามาจากไอคุณประธานนี่แหละ อยากจับหัวแม่งทุบลงโต๊ะเรียนด้วยกันจริง ๆ



     ผมยืนถือสายรอมันขณะที่เพื่อนหลาย ๆ คนเริ่มทยอยออกจากห้อง บ้างก็โบกลาผมทั้ง ๆ มือยังมีธุระกับโทรศัพท์ บ้างก็นัดผมให้ไปเจอกันที่สนามบอล เพียงแค่ไม่นานปลายสายก็กดรับให้เราได้สื่อสารกัน



     " ฮัลโหล ใครอะครับ ? " เสียงมันดูเป็นทางการมาก คงด้วยเบอร์ไม่คุ้นล่ะสิ



     " กูเองครับ คนที่เข้าห้องปกครองกับมึงเมื่อเที่ยง "



     " อ๋อออออออออ " มันคงจะอยู่ในห้องเรียนเหมือนกัน ฟังได้จากเสียงเจี๊ยวจ๊าวที่แทรกเข้ามา



     " กูเลิกเรียนแล้ว กูไปรอมึงโรงยิมเลยนะ "



     " ได้เลยเพื่อน กูเลิกแล้วเหมือนกัน เดี๋ยวกูตามไป "



     " อืม " ในขณะที่ผมจะกดวางสายอยู่นั้นเอง เจ้าของเสียงแหลม ๆ ในไอโฟนก็ดังลั่นขึ้นมาให้ผมหยุดฟังอีกครั้ง



     " เฮ้ยมิ้ลค์ !! มึงไปคนเดียวนะ ไม่ต้องชวนใครไป หึหึ " สิ้นคำนั้นผมก็มุ่งหน้าไปยังโรงยิมด้วยตัวคนเดียว ถึงจะสงสัยก็เถอะว่าทำไมแม่งบอกว่าไม่ต้องชวนคนไปช่วย ดูท่าทางนั้นจะนัดคนไว้แล้วล่ะมั้ง



     และก็ต้องมาเข่าทรุดอยู่กลางโรงยิม..



     โอ้โหหหหหหหหหห



     ไอเชี่ยยยยยยยยยยย



     ท่านผู้อ่านลองจินตนาการเทศกาลวันลอยกระทงที่ขยะเกลื่อนแม่น้ำแล้วเขาโกยขึ้นมากองรวมบนฝั่งดูสิครับ แต่นี่แม่งไม่ได้มีขยะอย่างเดียว มีอุปกรณ์กีฬาที่แม่งยังกระจัดกระจายอยู่รอบด้านอีก แม่เจ้า ! กูยังไม่เริ่มทำแล้วไหงมันเหนื่อยขนาดนี้แล้วกันวะ !!



     ผมเดินเอากระเป๋าไปวางอาณาเขตปลอดขยะแต่เหมือนจะหายากชิบหาย เฮ้อ...ไว้บนสแตนด์แล้วกัน พลางมองอุปกรณ์ทำความสะอาดที่แถวนั้นน่าจะมีแต่มองเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ฮืออออ อยากจะร้องไห้ ทำไมชีวิตกูต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย



     ในขณะที่นึกท้อใจกับงานเท่าภูเขาแต่ตัวเองเล็กพอ ๆ กับมดอยู่นั้นเอง เสียงฝีเท้าของอีกคนก็เหยียบพื้นโรงยิมดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เรียกผมให้หันไปมองอย่างดีใจว่าตัวเองไม่ต้องมาเผชิญปัญหาตรงหน้าคนเดียวแล้ว



     เท่าที่ผมเห็น...ผมมั่นใจได้เลยว่าตัวเองสายตาไม่ได้สั้นอย่างแน่นอน ร่างโปร่งสูงที่กำลังเดินเข้ามาที่นี่มันไม่ใช่บุคคลที่ผมนัดเอาไว้ แต่เป็น..



     เฟิร์ส



- Not to be unlocked -













ออฟไลน์ LKPOW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Not to be unlocked : Episode 32 : พึ่งรู้ใจตัวเอง



     บรรยากาศที่ผมเคยโฟกัสแค่กองขยะกับอุปกรณ์กีฬาที่กระจัดกระจายอยู่มากมาย กลับต้องมาเป็นสนใจไอคนหล่อที่เดินเข้ามาทำหน้านิ่ง ๆ ใส่ ถึงผมจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ยังไง แต่แรงกดดันที่ทางนั้นปล่อยออกมาก็ไม่ได้น้อยไปกว่าเศษถุงพลาสติกกับขวดน้ำที่ผมเก็บใส่ถุงดำในมือเลย (พึ่งไปขอป้าภารโรงเขามา) ในหัวพลันเสือกคิดถึงเรื่องเมื่อวานอีก โอ๊ยยยยย ไม่มีสมาธิแล้ว !



     เวลาผ่านไปหลายนาทีขยะบางส่วนก็ถูกผมเก็บไปบ้างแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเหลืออีกหลายส่วนที่จะต้องเก็บกวาด ผมสะบัดหัวเอาไอเรื่องบัดสีบัดเถลิงออกจากสมองอยู่หลายครั้ง เป็นผลบ้างไม่เป็นผลบ้างก็ยังเพียรพยายาม แม้จะไม่ค่อยเหนื่อยกับการเก็บขยะใต้สแตนด์สักเท่าไหร่ แต่เริ่มชักจะคันมือตงิด ๆ เหมือนอยากจะต่อยปากคนซะแล้วสิ ก็ไอห่านั่นที่แม่งยืนอยู่กลางโรงยิมยังไม่เลิกมองผมซะทีน่ะสิ เอาเป็นว่าผมนับหนึ่งถึงร้อยไปพลาง เก็บขยะไปพลางดีกว่า จะได้ใจเย็นขึ้นบ้าง



     หนึ่ง..



     สอง..



     สาม..



     สิบ..



     ห้าสิบ..



     หนึ่งล้าน..



     โว้ยยยย กูไม่ไหวแล้วนะ !!!



     ผมขว้างทุกอย่างในมือลงพื้นก่อนจะปรี่ตรงไปกระชากคอเสื้อของไอหล่อนั่นด้วยร่างกายหอบ ๆ



     " มึงจะเอายังไงกับกูห้ะไอเหี้ย !!!? " สมาธิในการนับเลขของกูหายไปอยู่กับมึงหมดแล้วไอเวร ! หน้านิ่ง ๆ ของเฟิร์สค่อย ๆ ฉีกยิ้มออกมาอย่างร้ายกาจ



     " ไหนว่าปิดใจไม่รักใคร แต่ข้างในมึงก็ว้าวุ่นเพราะกูไม่น้อยเลยหนิ มันหมายความว่าไงวะมิ้ลค์ ? " แม่งไม่พูดเปล่า แถมเชยคางผมขึ้นอีก เชี่ย !! ผมเถียงไม่ออก มันเหมือนเป็นความจริงที่ผมหนีไม่ได้เลยว่ะ กูจะแพ้เพราะแบบนี้ไม่ได้นะ !



     " วะ...ว้าวุ่นเชี่ยไร !! " ผมสะบัดมือมันออก " กูไม่เก็บมึงมาให้ลกสมองหรอก ฮึ ! " หน้าของผมเบือนหนี มันคือเรื่องจริง เชื่อผมสิ เชื่อผม !! มันคือความจริง ฮือออ



     " มิ้ลค์ครับ " คนตรงหน้าอยู่ดี ๆ ก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม ผมหันขวับมาถลึงตาใส่มันทันที เป็นไปไม่ได้ แม่งพูดภาษาดอกไม้ เชี่ย ! แล้วทำไมกูต้องระทวยด้วย !!



     " อะไร !? " นาทีนี้ต้องเหวี่ยงครับ ผมทำอะไรไม่ถูกแล้ว ผมอยากเหนือมัน ! ผมอยากชนะมัน ! ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าว่าเฟิร์สใจเย็นกับผมกว่าเมื่อวานเสียอีก



     " มิ้ลค์รู้ใช่มั้ยว่าเฟิร์สคิดยังไงกับมิ้ลค์อะ ? " สายตาผมลนลานให้กับประโยคนั้น



     " ระ...รู้ " ใจผมเต้นตึกตักยากที่จะควบคุม



     " รู้ว่าอะไรครับ ? " สัด ! เมื่อวานมึงก็บอกกูมาแล้วปะวะ !? ยังจะถามซ้ำทำไมอีก !!?



     ตอนนี้แก้มผมเริ่มอุ่น ๆ ค่อนไปทางร้อน " ก็รู้ว่ามึง..ชอบกูไง มึงก็บอกกูเมื่อวานแล้วไง ยังถามทำไมอีก ? "



     " แล้วมิ้ลค์จะไม่คิดเหมือนกันกับเฟิร์สเลยเหรอ ? " มึงไม่ต้องมาตัดพ้อเล่นบทพระเอกเลยไอสาดดดดดด



     " กูไม่คิดอะไรกับมึงทั้งนั้นอะ ! " เหวี่ยงอีกแล้ว ผมเหวี่ยงอีกแล้ว ทางนั้นก็ยังใจเย็นอยู่



     " เฟิร์สดูมิ้ลค์ออกนะ ว่ามิ้ลค์คิดอะไร "



     " หึ มึงเก่งขนาดรู้ว่ากูคิดอะไรกันมึงเลยไง๊ " ขนาดกูเองยังไม่รู้เลยว่าคิดอะไรกับมึงเลย เพียงแค่กูไม่อยากให้มึงไปไหนทั้งนั้น



     " งั้น...เดี๋ยวเฟิร์สจะบอกให้นะว่ามิ้ลค์คิดอะไร " คนข้างหน้าก้าวมาหาผมอย่างเนิบ ๆ รอยยิ้มอันแสนเล่ห์กลเริ่มค่อย ๆ ฉีกออก " ถ้ามิ้ลค์ใจเต้น แสดงว่า.. " ใบหน้ามันเริ่มขยับเข้ามาใกล้จนเห็นชัดเจน ผมมองนัยน์ตาสีนิลที่ใสแจ๋วสลับกับริมฝีปากที่ค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น ทำไมแม่งไม่เอามาประกบกับปากผมสักที ?



     ผมถอนออกจากโครงหน้านั่นเล็กน้อย " ไม่เห็นเต้นเลย มึงมั่วแล้วเฟิร์ส " ผมโกหก ผมตอแหล !! หน้าอกมันเต้นไวยิ่งกว่าเพลงในเกมออดิชั่นจังหวะร้อยเก้าสิบซะอีก ! รอยยิ้มนั่นยังคงปรากฏอยู่



     " งั้นแบบนี้ล่ะ " ทีนี้ริมฝีปากสีชมพูเคลือบใสเลื่อนโครงหน้ามาให้เราได้ประกบจูบตามใจผมหวัง เปลือกตาผมค่อย ๆ ปิดเพื่อรับรสหวานที่แผ่ซ่านไปทั่วปาก ผมคุ้นเคยกับลิ้นนี้ที่ชอบหยอกล้อให้ใจรู้สึกสนุกอยู่ตลอดเวลา แบร็คเก็ตเป็นอุปกรณ์ในการดัดฟันของเฟิร์สก็จริง แต่มันเหมือนมีของเล่นสนุก ๆ ให้ผมทำควบคู่กับจูบอันร้อนแรง ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรอุ่น ๆ ละลอดเข้ามาภายใต้เสื้ออันชื้นเหงื่อ ทันทีที่รู้ว่าฝ่ามือของเฟิร์สละลูบจากเอวไปอยู่ด้านหลัง การเลียนแบบจึงเริ่มขึ้น ใต้ชุดนักเรียนของหมอนี่ที่ผมสัมผัสตามสัญชาตญาณดิบ มีทั้งความมันของผิวกาย และมัดกล้ามที่แน่นของแผ่นหลังจนน่าฝังคมเขี้ยว



     เสียดายจังที่ปากของผมยังมีธุระอย่างอื่นอยู่..



     " รู้หรือยังว่ามึงคิดอะไรกับกูมิ้ลค์ " เฟิร์สถอนใบหน้านั้นออกให้ผมได้ลืมตาเชยชม



     " ไม่รู้ " ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าหัวใจที่เต้นแรงได้กับเฟิร์สแค่คนเดียวแบบนี้มันหมายถึงอะไร..



     " มึงคิดเหมือนกันกับกูไง " ถึงตรงนี้สายตาของผมหันไปทางอื่นโดยอัตโนมัติ นี่กูเขินมันเหรอวะ !?



     " กู...กูไม่ได้คิดอะไรกับมึงทั้งนั้นแหละ " อยากเถียงอะครับ อยากพูดอะไรสักอย่าง มันจะได้รู้ไงว่าผมยังสู้อยู่



     " เบื่อจริงเลย ๆ พวกไม่รู้ใจตัวเองเนี่ย " เฟิร์สขำหึหึในลำคอ " กูจะให้โอกาสสุดท้าย มึงต้องตอบให้ถูกนะมิ้ลค์ " ยังไม่ทันที่ผมจะตั้งหลักอะไร ริมฝีปากของแม่งก็จ่อมาที่ปากผมอีกครั้ง



     เฟิร์ส ปอดกูจะหมดลมแล้ว..



     แต่ก็ดีแล้วนะครับที่มันทำให้ผมรู้ว่า..



     ผมเองก็คิดเหมือนกันกับมัน :)



####



     กว่าโรงทิ้งขยะจะกลับเป็นโรงยิมเหมือนเดิมก็ปาเข้าไปเกือบสองทุ่ม ผมบอกเลยครับว่าแม่งหนักหนาสาหัสมากกว่าไปเตะบอลวันกีฬาสีเสียอีก แอร์ก็ไม่เปิดให้ เหอะ ตอนนี้เสื้อนักเรียนของผมกับเฟิร์สนี่ไม่ต่างอะไรกับไปเดินแถวสีลมช่วงสงกรานต์เลยล่ะ ทันทีที่เราสองคนเคลียร์โรงยิมกันเสร็จ ลุง ๆ ป้า ๆ ภารโรงเขาก็มาช่วยปิดประตูให้ แถมมาขอโทษขอโพยเราสองคนตอนช่วยกันปิดประตูโรงยิมใหญ่เลยน่ะครับว่าเป็นคำสั่งของห้องปกครอง โดยห้ามยื่นมือเข้ามาช่วยเด็กนักเรียนที่ทำความสะอาดในวันนี้เด็ดขาด เราสองคนไม่นึกโทษโกรธใครเลย ลุงกับป้าเขาคงลำบากใจที่ไม่ได้มาช่วยทำกันน่ะครับ ส่วนห้องปกครองที่มาลงโทษก็เพราะเราไม่รับผิดชอบกันเองเสียมากกว่า ความผิดมันอยู่ที่เราทั้งสองห้องเองครับไม่ใช่ใครอื่นเลย



     ขณะนี้เวลาสองทุ่มนิด ๆ แล้วครับ ผมกับเฟิร์สเดินฝ่าความมืดที่โรงเรียนเขายังจะพอมีเมตตาเปิดไฟสลัว ๆ ตามทางให้ ผมเดินนำไอคนข้างหลังไปประตูหนึ่งโดยไม่หันไปแลเลยแม้แต่น้อย ไม่อยากให้มันรู้ครับว่าเขินอยู่ (อ๋อ ตอนจูบไม่มีคนเห็นครับ ทั้งโรงยิมมีแค่ผมกับเฟิร์ส ถ้าแม่งคิดจะข่มขืนและฆ่าผมในนั้นก็คงไม่มีข่าวหลุดออกไปอย่างแน่นอน)



     " จะรีบไปไหนอะ ? รอกูด้วยสิ " แหม ตอนอยู่ข้างบนมึงยังพูดครับอยู่เลยนะไอชิบหาย ไอคุณชายเฟิร์สแสนดีมันตายไปตอนไหนล่ะ ?



     " กูรีบ กูหิว " ไม่หิวหรอกครับ แต่ไม่รู้จะแถต่อยังไงดีแล้วเนี่ย ทำไมเกิดมาผิวขาวเวลาเขินหน้าต้องแดงด้วยวะ !



     มันสาวเท้าเข้ามาใกล้ ๆ " งั้นเดี๋ยวพาไปเลี้ยงร้านสเต๊กตรงนี้ดีปะ ? ไม่แพงแถมอร่อยด้วย " ผมอยู่กับมันมาก็นาน ไม่เคยรู้สึกไม่อยากมองหน้ามันมาก่อนเลยว่ะ



     " อืม จะกินไรก็กิน " ผมไม่รู้เลยว่ามันทำหน้าแบบไหน ได้แต่แอบยิ้มอยู่คนเดียว มันคงไม่เห็นหรอกใช่มั้ย ?



     " พูดกับคนอื่นอะ ต้องมองหน้าเขาเวลาพูดด้วยนะรู้เปล่า ? " ถ้าเป็นคนอื่นมาสอนอย่างนี้ ผมจับมันมาทำลูกชิ้นรมควันแน่ ๆ



     " อืม "



     " มึงพูดอืม มึงก็ต้องหันมามองด้วยสิ " โว้ะ เซ้าซี้กูจริง ๆ



     " เออ " จุดจุดนี้หน้าขาว ๆ ของผมแดงก่ำไปทั่วแล้ว ผมค่อย ๆ หันหน้าไปมองเฟิร์ส ใบหน้านั่นยิ้มรับอย่างใจดี นานเท่าไหร่แล้วนะที่ผมไม่ได้เห็น



     " น่ารักที่สุด " แล้วมันก็ยกแขนขึ้นมาหยิกแก้มผม เฮ้ย ! มึงกล้ามากนะไอเฟิร์ส ลามปามกูใหญ่แล้วนะ !



     " อย่ามายุ่งกับหน้ากู " ผมปัดมือมันออกก่อนจะสาวเท้าหนีไว ๆ นี่ทำไมกูต้องมาเขินกับการกระทำโง่ ๆ ของแม่งด้วยเนี่ย ฮือออออ



     " จะรีบไปไหนล่ะ เขินเหรอ ? " เขินหน้ามึง..



     ' ปี๊ดดดดดดด ' เฟิร์สวิ่งมาคว้าตัวผมให้หลบรถจากด้านข้าง ผมกะพริบตาปริบ ๆ ดูกระจกที่ค่อย ๆ เลื่อนลงมาของใครบางคน มืด ๆ แบบนี้ยังมีรถวิ่งในโรงเรียนอีกเรอะ



     " นี่ มันอันตรายนะ ดูทางบ้างสิ " เป็นอาจารย์ท่านหนึ่งที่ผมไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่



     " ขอโทษครับ " ผมยกมือขึ้นขอโทษเขาก่อนที่ฟิล์มกระจกดำนั่นจะปิดลง



     " จะเขินก็ดูทางบ้างสิ " เฟิร์สขำหึหึปล่อยผมจากวงแขนก่อนจะคืนจาคอปที่ล่วงลงพื้นมาให้



     มึงก็อย่าทำกูเขินสิ..



     ป้ายรถเมล์เวลาสองทุ่มถึงจะมืดไปบ้าง แต่ก็อุ่นใจแบบไม่ต้องกลัวโดนปล้นเพราะมีคนยืนอยู่ข้าง ๆ ก็อย่างว่านั่นแหละ อยู่กับไอห่านี่มาเป็นพันปี ไม่นึกฝันว่าวันหนึ่งผมจะเป็นต่อแม่งซะได้ ไม่รู้อาการที่ผมยืนบิดไปบิดมากับเอาแต่มองเท้าตัวเองแบบนี้เฟิร์สมันจะเห็นรึเปล่า และก็คงเหม่อเกินไปหน่อยล่ะมั้ง ทำให้มันเขย่าแขนกว่าผมจะหลุดจากความคิดให้วิ่งตามมันไปขึ้นรถเมล์ได้ก็นานพอดู



     พอขึ้นมาเฟิร์สก็พาผมไปทางฝั่งที่สามารถนั่งได้เป็นคู่ ดึก ๆ แบบนี้คนน้อยจนนับได้เลยครับ เฟิร์สให้ผมเป็นคนเข้าไปก่อนที่เจ้าตัวจะเขยิบตาม ๆ กันมา เมื่อรถแล่นออกไป ลมที่ลอดผ่านหน้าต่างก็ตีหน้าผมเรียกความเย็นสบายได้ดี



     " ร้านสเต๊กตรงไหนอะ ? " ผมถามแต่ไม่ได้มองหน้ามันหรอกครับ แค่พูดยังหวั่นใจเลยเนี่ย..



     " อโศก XX ไง ไม่เคยไปเหรอ ? " ผมคิดตามมันว่า กูนักกินตัวจริงทำไมไม่เคยได้ยินเลยวะ ?



     " นึกไม่ออก ไม่เคยไปมั้ง " กระเป๋ารถเมล์เดินมาพร้อมกันเสียงแต๊ก ๆ ผมล้วงกระเป๋ากางเกงหาเศษเหรียญให้ครบจำนวนพอดีสำหรับเราสองคน แต่ไอห่านี่ดันขี้เสือกยื่นแบงก์ยี่สิบตัดหน้าไปเสียก่อน นี่แหละครับผมถึงได้กล้ามองหน้ามันสักที



     " กวนตีน " มันทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวก่อนจะเก็บตังทอนใส่กระเป๋าเสื้อ แค่ค่ารถเมล์เก้าบาทสองคนกูออกได้เว้ย ผมถอนหายใจใส่แม่งพลางหันหน้าไปรับลมที่หน้าต่างต่อ



     เอ๊ะ !?



     ความรู้สึกอุ่น ๆ ของมือใครอีกคนเรียกให้ผมก้มไปดู..



     เฟิร์สแม่งจับมือผม !!



     " ทำไรเนี่ย !!? " กูรู้อยู่แล้วแหละว่ามึงทำอะไร แต่มึงไม่ให้กูตั้งหลักเลยรึงายยย !!? อ๊ากกกกกกกก ผมหันขวับไปที่หน้าต่างอย่างไวกลัวแม่งจะเห็นสีหน้าว่าเขินอยู่ หัวเกือบแดกขอบหน้าต่างแล้วมั้ยล่ะมึง



     " จับมือไง ไม่ได้เหรอ ? " ไอได้มันก็ได้ แต่มึงเล่นไม่ให้กูตั้งหลักเนี่ย มันแปลก ๆ ปะวะ " แล้ว...ได้รึเปล่า ? "



     " ได้ " ผมตอบเสียงแผ่ว โอ๊ยยย แก้มกูจะปริแล้ว !!!



     " อะไรนะ ? " แล้วหูมึงบอดกะทันหันเรอะ !?



     " กูบอกว่าได้ไง ! " พออนุญาตแม่งก็เอนหัวมาหนุนไหล่ผมเสร็จสรรพ



     เออ เอาเลยไอเฟิร์ส ทำกูเขินเข้าไป



     พอถึงป้ายรถเมล์ปริศนาตามที่คนข้าง ๆ บอกผมก็สะกิดให้มันตื่น แต่เฟิร์สคงนอนได้แปปเดียวล่ะมั้ง เพราะถ้านับจากหน้าโรงเรียนมานี่ก็แค่ห้าหกป้ายเอง ผมเก ๆ กัง ๆ เดินไปกดกริ่งรอให้รถจอดสนิทดีก่อนจะตามเจ้าเฟิร์สลงไป เราสองคนเดินต่อไปอีกนิดหน่อย (โดยมือยังไม่ปล่อย) ก็ถึงร้านสเต๊กตามมันว่า เป็นร้านติดถนนที่มีโต๊ะตั้งเรียงรายข้างฟุตบาทครัง ลูกค้าส่วนมากเป็นพนักงานออฟฟิศกับนักศึกษา งั้นขอรบกวนเจ้าของร้านให้เด็กนักเรียนสองคนได้ฝากท้องมื้อดึกด้วยนะคร้าบ



     " รับอะไรดีคะ ? " ทันทีที่หย่อนก้นลงนั่ง พี่พนักงานตัวเล็กก็เดินมารับออเดอร์พวกเราทันที ผมพลิกหน้าเมนูค่อนข้างไวนิดหน่อยเกรงว่าพี่เขาจะรอนาน



     " เอาเป็นสเต๊กหมูพริกไทยดำ สปาเกตตีซอสแดง ขนมปังกระเทียม ฮอทดอกลมควัน แล้วก็เป๊ปซี่ครับ " พี่พนักงานสาวจดยิก ๆ ตามด้วยทางนั้นที่เงยหน้าสั่งบ้าง



     " เอาสเต๊กหมูพริกไทยดำแบบนั้นอีกที่ครับ " น่าประหลาดใจที่แม่งกินแค่นี้



     " รอรับอาหารสักครู่นะคะ " แล้วพี่เขาก็รับสมุดเมนูคืนก่อนจะเดินจากไป แล้วพี่พนักงานออฟฟิศโต๊ะข้าง ๆ จะมองพวกผมอีกนานมั้ยครับ ? ผมไม่ได้มากับแฟนนะ !



     " กินน้อยจัง " ผมเหล่ตามองไอหน้าหล่อที่ยิ้มอยู่อีกฝั่งโต๊ะ



     " เรื่องกินไม่ใช่ปัญหาหรอก วันนี้กูคุ้มแล้ว " คุ้ม ? คุ้มเชี่ยไร !? พูดเหมือนไปแย่งของลดราคาได้งั้นแหละ



     " หึ " พอผมพูดจบบรรยากาศรอบโต๊ะก็เงียบในทันที เฮ้ยยยยย อย่าเงียบสิ ผมเหล่มองมันอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ สลับกับบรรยากาศรอบด้าน พอไม่มีใครพูดแล้วอึดอัดชิบเป๋ง



     " มิ้ลค์.. " เฟิร์สเป็นคนทำลายความเงียบจนผมต้องหันไปมอง " รู้ตัวรึเปล่าว่ามึงแม่ง...น่ารัก " ไอสาดดดดดด ร้อยวันพันปีไม่เคยเอ่ยชมกู อยู่ดี ๆ มึงก็พูดออกมาอะนะ !



     " กู...กูหล่อเว้ย " น่าโมโห แม่งมีแต่คนบอกว่าผมน่ารัก ให้ตายสิ !!



     " มึงอะน่ารัก ไม่งั้นกูจะเขินเหรอมิ้ลค์ " ห้ะ ! มึงเนี่ยนะเขิน ? แต่เห็นมันหันไปยิ้มทางอื่นคงไม่ได้พูดเล่นล่ะมั้ง



     " อืม ขอบใจ " ผมรีบรับแก้วน้ำแข็งกับขวดเป๊ปซี่ที่พี่เขานำมาเสิร์ฟ ก่อนจะเทมันแล้วยกขึ้นมาดูดอย่างไวเพื่อแก้เขิน มึงไม่รู้สินะว่ากูบอกท่านผู้อ่านไปว่าเขินกี่หมื่นรอบแล้ว



     " มิ้ลค์ " จู่ ๆ เฟิร์สก็เรียกชื่อผมอีกรอบ " กูขอโทษเมื่อคืนนะเว้ยที่ล่วงเกินมึงไปอะ กูไม่ได้ตั้งใจ "



     มันคงเป็นปรากฏการณ์รีเฟคในร่างกายผมล่ะมั้ง เลยเลือกที่จะพูดแบบนั้นบ้าง " กูก็...ขอโทษที่พูดแรง ๆ กับมึง อย่าคิดมากเลยนะ กูไม่ได้ตั้งใจเหมือนกัน " ผมมองหน้าเฟิร์สด้วยท่าทีสำนึกผิด



     " กูไม่ถือษามึงหรอกมิ้ลค์ แล้วมึงจะยกโทษให้กูได้มั้ย ? " ไม่น่าถาม



     " ได้ดิ " แค่เป็นมึงจะอะไรกูก็ยกโทษให้ได้เสมอแหละ เฟิร์สยิ้มแล้ว ผมได้เห็นมันยิ้มอีกแล้ว !



     " น่ารักที่สุด " อย่ามาบีบแก้มกู !!! เห็นมั้ยว่าพี่เขามองอยู่ไอห่า !!



     ผมขว้างมือมันกลับไป " แล้ววันนี้ใครส่งมึงมา ? " คนที่นั่งอีกฝั่งโต๊ะขมวดคิ้วคิดตามก่อนจะหลุดขำ



     " คิงคองไง มันเรียกกูให้ไปโรงยิม แถมบอกให้ไปคนเดียวด้วย " กูว่าแล้วไอคิงคอง !! ไอชั่ว ! ผมด่ามันในใจพลางรับจานสเต๊กหอมกรุ่นมาวางตรงหน้า โหน่ากินน !! ไหนขอลองเจ้าเนื้อหมูพริกไทยดำนี่หน่อย



     " กินเยอะ ๆ นะ มื้อนี้กูเลี้ยงเอง " หื้อ ? ผมวางมีดกับซ้อมในมือทันที



     " ถ้ามึงเลี้ยงกูไม่แดก " ผมมองหน้ามันอย่างเอาเรื่อง อย่ามานิสัยป๋ากับกูนะไอเฟิร์ส



     " โอ๋เอ๋ งั้นจ่ายใครจ่ายมันเคปะ ? " หน้าผมค่อย ๆ ฉีกยิ้ม



     " ดีมาก " หึหึ แล้วผมก็กลับมาสนใจเนื้อสเต๊กตรงหน้า โห...เพียงแค่ผมเอาใบมีดสัมผัสกับตัวเนื้อก็สามารถฉีกขาดโดยไม่ต้องออกแรงหั่น ไม่น่าเชื่อนะครับว่าร้านระดับนี้จะสามารถทำได้ ตอนนี้ผมค่อนข้างสนใจเทคเจอร์ของเนื้อหมูที่คลุกเคล้าอยู่ในปากแล้วสิ มันนุ่มมาก !



     " มิ้ลค์ " ผมเคี้ยวตุ่ย ๆ มองเฟิร์ส " กูรักมึงได้ใช่มั้ย ? " ผมกลืนสิ่งที่เคี้ยวอยู่จนหมดสิ้น ผมไม่อาจละสายตาจากทางนั้นได้



     " ได้ แต่.. " เฟิร์สจ้องผมราวกับรอคำตอบโดยไม่คลาดสายตา ผมไม่ค่อยมั่นใจกับตัวเองเท่าไหร่เลยหากได้รับรักจากเฟิร์ส



     " จะรักคนเหี้ย ๆ แบบกู คิดดีแล้วใช่มั้ย ? " เฟิร์สถอนหายใจด้วยสีหน้าเซ็งสนิท



     " อย่ามาไร้สาระ " เฟิร์สไม่พูดเปล่า แถมเอาเนื้อในจานแม่งมายัดปากผมอีก ทำไมมึงไม่ซีเรียสเหมือนกูวะไอห่า !!



     " เฮ้ย ! กูจริงจังนะ " สายตาดุ ๆ ส่องแววมายังผมทันที



     " ไอคนเหี้ย ๆ มันคือคนที่ทิ้งมึงไปต่างหาก อย่าเอาคนดี ๆ แบบมึงไปเหมารวมได้ปะ ? แม่ง พูดแล้วก็หงุดหงิด "



     อยากจะเถียงอะนะครับ แต่ดันเผลอยิ้มไปซะก่อน :)



     หลังจากที่อิ่มแปล้กันไปแล้ว เฟิร์สก็เสือกในหน้าที่จัดการค่าอาหารมื้อนี้ทั้งหมด ผมจัดการโบกหัวในความตอแหลของมันทันทีครับแต่แม่งดันหลบได้ เฮ้อ...เรายืนหยอกล้อกันอยู่นานจนได้แท็กซี่มาคันหนึ่ง เฟิร์สบอกว่าขอเป็นคนไปส่งผมถึงบ้าน ผมก็เลยสวนกลับไปว่าจะไปส่งทำไมบ้านก็คนละทาง มันไม่พูดอะไรครับ ลากผมเข้าไปนั่งด้วยกันหน้าตาเฉย อยากจะด่าแม่งจริง ๆ



     " วันนี้อิ่มทั้งกาย อิ่มทั้งใจเลยเนอะ ว่าปะ ? " ท่านผมอ่านครับ ท่านเคยนั่งแท็กซี่แล้วหารเงินกับเพื่อนไปที่ไหนสักแห่งกันมั้ยเอ่ย ? เบาะหลังมันจะนั่งได้ประมาณสี่คนถ้าเบียดกันใช่ม๊า แต่ในรถคันเนี่ยเบาะหลังมันนั่งกันแค่สองคน แต่ไอเชี่ยนี่เสือกมานั่งเบียดกับผมเป็นปาท่องโก๋ แถมเหลือพื้นที่ไว้อีกมากมาย อีกครึ่งเบาะจะเก็บไปแข่งไตรกีฬารึไง ?



     " แล้วจะมาเบียดทำไม ? ที่มีตั้งเยอะแยะ " มันมองผมเหมือนถามอะไรโง่ ๆ



     " หนาว " สั้น ๆ ได้ใจความ โว้ะ อยากจะด่ามันมากกว่านี้นะ ถ้ามันไม่พูดต่อ " ง่วงมั้ย ? "



     " ก็นิดหน่อย " เหนื่อยมาทั้งวันอะนะ ไม่สิ ต้องบอกว่าเหนื่อยมาทั้งเย็น



     " นอนมั้ย ? "



     " เดี๋ยวไปนอนที่บ้าน "



     " นอนพิงไหล่กู เดี๋ยวถึงบ้านกูปลุก " ผมส่ายหน้าทันที



     " ไม่เอา " สิ้นคำว่าเอาแม่งวาดแขนมาคล้องคอผมพลางนำฝ่ามือเอนศีรษะให้ไปอิงไหล่มัน



     " นอนซะ เดี๋ยวปลุก " เจ้าเล่ห์นักนะมึง จะเนียนกอดกูล่ะสิไม่ว่า เอาเถอะ มีหมอนให้หนุนด้วย



     " งั้น...ปลุกด้วยนะ "



     " อื้ม "



     ทุกอย่างล้วนเป็นความจริงจากปากเฟิร์ส นอกจากที่ผมจะอิ่มกายด้วยอาหารมื้อดึกแล้ว ยังอิ่มใจที่วันนี้ผมได้รู้ใจตัวเองว่าคิดยังไงกับเฟิร์ส ผมจะจดจำเรื่องราวในวันนี้ไปให้นานที่สุดเลย



     หรือจริง ๆ แล้ว ประตูบานนี้ที่ผมปิดตายไม่รับรักใคร..



     จะมีเฟิร์สเข้ามาอยู่ตั้งนานแล้วกันนะ..



- Not to be unlocked -



ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ LKPOW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Not to be unlocked : Episode 33 : เมื่อไม่มีใครอยู่



     หลังจากที่เฟิร์สได้นั่งแท็กซี่มาส่งผมถึงบ้าน เราสองคนก็โบกมือลาผ่านกระจกที่ไอหน้าหล่อนั่นเลื่อนลง ทันทีที่ผมยืนส่งมันจนลิบตาไปแล้ว ขายาว ๆ ก็สับขึ้นชั้นสองอย่างไวจนมินที่นั่งดูแก๊งการ์ตูนอยู่ถึงกับงงในการกระทำของพี่มัน ก็จะอะไรล่ะแม่งเขินชิบหาย ! พอถึงห้องผมก็กระโจนขึ้นเตียงเอาหน้าซุกหมอน หยิบตุ๊กตาหมีมาทุบ ๆ กลิ้งไปกลิ้งมารอบห้องเหมือนเป็นคนบ้าเข้าไปทุกที อ๊ากกกกกกก



     วันต่อมาพอผมลืมตาขึ้นดูโลกอันแสนวุ่นวายนี้ ใบหน้าของไอเฟิร์สก็ลอยเข้ามาให้ผมมโนขึ้นอีกระลอก (ไปกันใหญ่แล้วกู) พลางเดินไปทำธุระส่วนตัวก่อนไปโรงเรียนอย่างเบลอ ๆ คงด้วยความที่เหม่อเพลินไปหน่อย เลยหยิบแชมพูสระผมมาเป็นยาสีฟันแทน ดีนะว่าไม่ได้เอาเข้าปาก ไม่งั้นฟันผมคงไม่ต้องชี้ฟูแตกปลายแน่ ๆ



     ตลอดช่วงเช้าของวันนี้ที่โรงเรียนผมจะไม่ได้เจอหน้าเจ้าเฟิร์สเลย ทั้ง ๆ ที่อยากเจอแทบใจจะขาด แต่ลองเปิดโหมดสแกนไปบริเวณรอบตัวที่นั่งแช่อยู่ในโรงอาหารแล้ว ไม่พบบุคคลที่ทำให้ผมนึกถึงเลยว่ะ และคงด้วยพิษร้ายของคุณชายเฟิร์ส เล่นซะผมยังไม่สามารถออกจากห่วงแห่งความสุขจนเผลอยิ้มออกมา เพื่อนรักอย่างไอซันและปิงปองก็เลยตบหน้าเบา ๆ เรียกผมให้มีสติ แม่งขัดความสุขกูจริง ๆ



     จวบจนมาถึงพักกลางวันนั่นแหละครับถึงได้กลับมาเป็นบ้าระยะสุดท้ายอีกครั้ง เมื่อคุณชายเฟิร์สและมือที่ถือจานข้าวเดินตรงปรี่มาทางนี้อย่างเห็นได้ชัด เรียกความสนใจจากผมมากกว่าชามก๋วยเตี๋ยวร้านป้าน้อยที่พึ่งตักกินไปได้คำสองคำเสียอีก แล้วกูจะลนทำไม ? กูจะลนทำมายยยย



     " นั่งด้วยนะ " ผมอนุญาตมันโดยการพยักหน้าไว ๆ อย่างคิดอะไรไม่ทัน ตอนนี้หน้าผมร้อนมากไม่ต่างอะไรจากจุดเดือดของน้ำ



     " เฮ้ย ! เป็นไปได้ไงวะ !? " อาร์มที่นั่งแทะตีนไก่ทอดอยู่ถลึงตาเบิกกว้างพร้อมกับอุทานออกมา ซัน ปอนด์ ปิงปอง เบ๊นซ์ ตกใจไม่แพ้กันที่เฟิร์สอยู่ดี ๆ ก็มานั่งกินข้าวกับเรา แถมนั่งข้าง ๆ ผมด้วย



     " เดี๋ยว ๆ ไอมิ้ลค์ มึงไปทำอะไรกับไอเฟิร์สมันวะ ? ไหนมันได้มานั่งกินข้าวคู่กับมึงหน้าตาเฉยแบบนี้ " ซันที่นั่งอยู่ตรงข้ามขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย ใครไม่สงสัยก็แปลกล่ะ เมื่อหลายวันก่อนยังทำสงครามประสาทกันอยู่เลย ทำไมวันนี้มานั่งแดกข้าวด้วยกันซะได้



     ในตอนที่ปากผมจะอ้าตอบ บุคคลขี้เสือกในตำนานก็วางจานข้าวลงกับพื้นโต๊ะพร้อมแทรกขึ้นมาทันที



     " ทำอารายน้าาา อยู่ในโรงยิมกันสองต่อสอง ไม่มีใครอยู่ ไม่มีใครรู้ " คิงคองมันสอดตัวเข้ามานั่งข้าง ๆ ไอซันพลางพูดล้อเลียน ผมคว้าแก้วที่ดูดน้ำจนหมดก่อนจะหยิบก้อนน้ำแข็งมาปาใส่มันด้วยความแค้น



     " ไอเลว !! แผนมึงชั่วช้าเลวทรามมากนะ !! " คิงคองกุมท้องขำยิก ๆ ส่วนเจ้าเฟิร์สก็เอาแต่ยิ้มไม่พูดอะไร



     " มึงอธิบายกูมาเดี๋ยวนี้เลยนะไอคิงคอง สองคนนี้มันไปทำอะไรกันมา ? เมื่อวันสองวันแม่งยังจะตีกันอยู่เลย " ขี้เสือกอีกคนแล้วนะไออาร์มมี่



     " ก็เมื่อวานกูโดนทำโทษเรื่องเคลียร์โรงยิมที่พวกมึงไปก่อกันนี่แหละ ตอนแรกก็ว่าจะไปช่วยไอมิ้ลค์มัน แต่บังเอิ๊ญบังเอิญไปเห็นหน้าไอเฟิร์สเข้าก็เลยส่งมันไปแทน เห็นมันทะเลาะกันไม่ยอมดีกันสักที " ตามด้วยเสียงหังเราะหึหึอันหน้าหยิบรองเท้าหนังมาฟาดปาก



     " แล้วมึงรู้เปล่าวะว่ามันทำอะไรกัน ? ทำไมมันดีกันง่ายจัง " อาร์มรู้ดีแหละครับว่าถ้าถามผมตรง ๆ ยังไงคำตอบก็ไม่ได้อยู่ดี แล้วใครมาจุดไฟบนแก้มกูล่ะเนี่ย !! ม่ายยยยย



     " มันก็.. " คิงคองพูดก่อนจะหยุดไป นี่อย่าบอกนะว่ามึงเห็นอะ !! เชี่ยยยยย !!!



     " ก็ ? " เสียงพวกห่านี่ลุ้นไม่แพ้กัน



     " มันก็.. "



     " ก็ "



     " โว้ยยยย ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ มันก็มาปรับความเข้าใจกับกูแค่นั้น " ผมหอบแฮก ๆ ตัดบทความขี้เสือกของทุกคนไป



     " ตามนั้นแหละ กูไม่รู้หรอกว่ามันทำอะไรกัน เมื่อเย็นกูไปหาแฟนที่สยามไม่ได้ส่งคนมาดู " โอ๊ยยยย โล่งอก แล้วมึงจะทำให้กูลุ้นเพื่อ !



     " งั้นมึงสองคนก็ดีกันแล้วอะดิ ! " มึงจะตื่นเต้นทำไมล่ะนั่น อ่าว แล้วจะลุกไปไหนล่ะนั่น ? ผมขมวดคิ้วดูไออาร์มที่ยกมือป้องปาก



     " โห่...โห่...โห่..โห่.....โหย...... "



     " ฮิ้ววววววววว " แล้วมึงจะแห่ขันมากกันทำมายยยยยยยย เกรงใจคนอื่นเขาจะแดกข้าวบ้างสิโว้ย ตอนนี้อาหารกลางวันของพวกแม่งไม่มีทีท่าว่าจะสนใจกันแล้ว ทุกคนต่างลุกฮือขึ้นมารำกันหมด เว้นแต่ผม เฟิร์ส และปอนด์นั่งอยู่กับที่ไม่ลุกไปไหน



     ไอห่านี่ก็นั่งเงียบไม่หือไม่อือกับเขาเลยนะ ช่วยแก้ตัวอะไรบ้างสิไอเฟิร์ส !



####



     ตลอดครึ่งวันผมจะโดนพวกห่านี่แทะโลมก็คงไม่แปลก ก็ไหนดาราชายอย่างเฟิร์สจะขอกลับมาคืนดีดาราสาวอย่างผม (เอ๊ะ ?) ทำให้แวดวงบังเทิงรอบตัวมีแต่เสียงล้อเลียนกันถ้วนหน้า ไอผมมันก็พอมีสมองอยู่บ้าง เลยขู่แกมว่าถ้าพวกมึงยังไม่หยุดกัน กูจะขีดชื่อที่พวกมึงเช็กทุกวี้ทุกวันออกให้หมดเสมือนว่าขาดเรียน แล้วพอกูไปส่งห้องปกครองปุ๊บ คะแนนความประพฤติของพวกมึงก็จะหายวับไปกับตา หากยังไม่เลิกปากหมาก็เตรียมตัวขาดเรียนกันได้เลยพวกมึง ! นี่แหละครับอำนาจของหัวหน้าห้อง หึหึ



     เย็นวันนี้ผมก็ไม่ได้รีบไปไหนหรอกเลยแวะมาห้องสมุดสักหน่อย ไม่อยากจะอวดสถานที่แห่งนี้หรอกนะว่ามีตำราอาหารอยู่ด้วย ไม่คิดไม่ฝันนะครับว่าจะมีของแบบนี้อยู่ในโรงเรียน นึกว่าจะมีแต่หนังสือสอบ O-net ซะอีก ตอนนี้ผมนั่งอยู่คนเดียวท่ามกลางเด็กนักเรียนที่กระจัดกระจายอยู่รอบตัว ปลีกวีเวกแบบนี้สมองก็โล่งดีเหมือนกัน



     ท่านผู้อ่านรู้มั้ยว่าการที่เรารับประทานโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรตหนึ่งกรัมเนี่ย ร่างกายจะได้รับแคลอรีเท่าไหร่ ติ๊กต๊อกติ๊กต๊อก เฉลย ๆ โปรตีนและคาร์โบไฮเดรตหนึ่งกรัมจะได้รับสี่แคลอรี ส่วนไขมันหนึ่งกรัมก็จะได้รับเก้าแคลอรี !! นี่ไงล่ะสาเหตุของพุงท่านผู้อ่านบางคน ฮ่า ๆ ในหนังสือยังบอกอีกว่าหากเรารับประทานอะไรเสร็จแล้วก็อย่ารีบลงไปนอนทันที เพราะระบบย่อยอาหารจะทำงานหนัก ทำให้เกิดกรดไหล่ย้อนหรือไม่ก็จุกได้ อันนี้ผมขอไม่ฟังที่หนังสือเขาแนะนำละกัน เพราะผมชอบกินเสร็จแล้วไปนอนเล่นโทรศัพท์บนเตียง ฮ่า ๆ เอ๊ะเดี๋ยวท่านผู้อ่าน ! รอสักครู่นะครับ



     " ฮัลโหล " ผมหยิบไอโฟนที่สั่นครืนอยู่บนโต๊ะข้าง ๆ หนังสือเล่มอื่นขึ้นมารับ ผมค่อนข้างพูดเสียงเบานิดหน่อยเพราะอยู่ในห้องสมุด เกรงใจคนอื่นเขา



     " อยู่ไหนมิ้ลค์ เลิกเรียนยัง ? " เฟิร์สพูดด้วยน้ำเสียงใสแจ๋ว จะโทรมาถามทำไมหว่า ?



     " ห้องสมุด นั่งดูหนังสืออาหารอยู่ มีไร ? " ผมรอทางนั้นตอบกลับด้วยการเปิดหนังสือหน้าต่อไป



     " ไปหาได้มั้ย ? " พอมันพูดจบเสียงวงมโหรีอันน่ารำคาญก็ดังลอดตาม ๆ กันมา นี่พวกมึงยังไม่เลิกล้อกูกับไอเฟิร์สอีกเหรอ ?



     " มาสิ "



     " งั้น...อีกห้านาทีเจอกัน " เสียงสัญญาณดับลงก่อนที่ผมจะกดล็อกหน้าจอโทรศัพท์พลางวางลงกับพื้นโต๊ะ..



     อ๊ากกกกกกกกกกกกก โว้ยยยย



     เมื่อไหร่กูจะชิน ? เมื่อไหร่กูจะหายเขินมัน ? ฮือออออออออ



     ไม่รู้ว่าผมเอาหนังสือบังหน้าตัวเองไปนานเท่าไหร่ ร่างโปร่งแสนคุ้นเคยนี้ถึงได้มายืนอยู่ใกล้ ๆ เฟิร์สนั่งลงด้านข้างผมก่อนจะนำกระเป๋าที่สะพายอยู่พาดไว้กับเก้าอี้



     " หวัดดี " สายตาผมเหล่ไปมองมันแว็บเดียวก่อนจะหันกลับมาที่หนังสือบนมือ เฟิร์สยิ้มให้ผมด้วย !



     " อืม " มึงท่องไว้มิ้ลค์ มึงต้องวางมาด ! มึงต้องไม่หลุด ! คนนี้คือเฟิร์สไง เพื่อนมึงน่ะเพื่อนมึง !! แล้วไหนกูสนใจมึงมากกว่าหนังสือแล้ววะไอเฟิร์ส



     " ทำไรอยู่อะ ? " คนข้าง ๆ พูดพลางชะโงกหน้ามาดู เข้าห้องสมุดมาซักผ้ามั้งไอบ้า !



     " อ่านหนังสือ " ตอนนี้ไอคนที่ทำให้ผมเกือบจะเป็นบ้าอยู่นั้น ทำสีหน้าอย่างไรก็คงไม่ทราบ



     " หนังสืออะไรอะ ? " เอ๊ะ ! ตอนกูคุยกับมึงในสายก็บอกไปแล้วหนิ เป็นอัลไซเมอร์รึไง !



     " หนังสืออาหาร " ผมตอบแบบนั้นเรียบ ๆ พลางเปิดหน้าต่อไป



     ผมเปิดไปเรื่อย ๆ อย่างคนใจลอย จนรู้สึกว่าคำถามต่าง ๆ นานาของเฟิร์สได้หายไปกับความเงียบของสถานที่ ผมค่อย ๆ เหล่ตามองคนข้าง ๆ อีกรอบ..



     " มองไร ? " มันยักคิ้วให้ผมทีนึง



     " มองมึงนั่นแหละ " โอ๊ยยยย ผมกลั้นยิ้มสุดความสามารถ อ๊ากกก จะตายแล้ว



     " เลิกทำอะไรหวาน ๆ ใส่กูได้ปะ ? เลี่ยน มีอะไรก็ทำไปสิ "



     " ก็นี่ไงทำอยู่ "



     " ทำอะไร ? " ผมคว้ำหนังสือพลางขมวดคิ้วมองมัน



     " จีบ " แว้กกกกกกกกก คราวนี้ยิ้มผมหลุดเรียบร้อย โอ้ไม่นะไม่นะไม่นะ !



     " กูหมายความว่า ไม่มีอะไรทำเหรอ ? การบ้านอะไรเงี้ย " อยากเอาหนังสือมาปิดหน้าจริง ๆ เลย สติอันแรงกล้าของกูมันหายไปไหนหมดแล้ว !?



     " วันนี้ไม่มีอะ ก็เลยมาจีบ " ผมหยิบหนังสือมาตีแขนมันเบา ๆ



     " งั้นวันไหนมึงมีการบ้านก็จะไม่จีบกูเหรอ ? " เดี๋ยว ๆ แล้วไหนกูเรียกร้องสิทธิมนุษยชนซะแล้วล่ะ



     " บ้า ก็จีบทุกวันนั่นแหละ " ดีมากกกก กูชอบที่ตัวเองเขิน เดี๋ยว ๆ



     " ไม่เคยมีใครจีบกูมาก่อนเลยนะ อืมมม แต่คิดว่าคงไม่ง่ายหรอก " ปกติผมเป็นฝ่ายรุกไปจีบซะเองนะ ยังไม่เคยเป็นฝ่ายถูกจีบสักครั้งเดียวเลยว่ะ



     เฟิร์สหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่ใกล้ ๆ ขึ้นมาป้องหน้าเราสองคน ก่อนจะฝั่งริมฝีปากบนแก้มผมหนึ่งครั้ง



     " กระจอก "



     ผมหน้าเหวอมองมันที่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ไปบริเวณชั้นวางหนังสือ พลางรีบชักมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเองด้วยความตกใจ



     มันหอมแก้มผมในที่สาธารณะ !! ผมจะฟ้องตำรวจ !!!



####



     ช่วงนี้ทั่วโรงเรียนของผมจะมีกระดาษหลากสีแปะไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ มากมายโดยกำกับรูปเด็กม.4 คุ้นหน้าคุ้นตาไว้ เนื่องจากใกล้จะถึงวันเลือกตั้งประธานนักเรียนและประธานสีคนใหม่แล้ว ในทุก ๆ เช้าหน้าเสาธง อาจารย์ที่รับหน้าที่เป็นพิธีกรจะให้เด็กนักเรียนหัวใจผู้นำได้ออกมาเสนอถึงนโยบายพัฒนาโรงเรียน บางคนออกมานำเสนอได้ตลกเรียกเสียงฮากันทั่วหน้า บางคนออกมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ผู้ที่ออกมาเฉิดฉายแสดงความมุ่งมั่นอยู่เต็มเปี่ยมก็คงจะไม่พ้นน้องของผม (ซึ่งหล่อเหมือนพี่มัน) พักกลางวันทั้งม.ต้นและม.ปลายก็จะได้ยินเด็ก ๆ สปิริตดี ออกมาเสนอนโยบายต่าง ๆ อย่างไม่ขาดสาย แน่นอนครับพี่ชายที่แสนดีอย่างผมก็ขอไปร่วมขบวนกับมินด้วย ผมคงไม่ได้บังคับรุ่นน้องหรอกเนอะแค่ถ้าพวกมึงไม่เลือกเบอร์หนึ่ง พวกมึงตายแค่นั้นเอง หึหึ



     จนเวลาล่วงเลยมาถึงวันเลือกตั้งจริง ผมพาน้องตัวเองมาโรงเรียนตั้งแต่เข้าตรู่เพื่อพบประธานนักเรียนคนปัจจุบันที่ห้องสภาฯ โดยพลัน มินตื่นเต้นกับวันนี้มาก พี่ชายอย่างผมก็เลยได้แต่ปลอบใจว่าถ้าไม่ได้เป็นยังไงเราก็ช่วยเหลือโรงเรียนทางอื่นได้ อาร์มถึงจะไม่ได้ลงสมัคร แต่สีหน้าก็กังวลไม่แพ้ว่าที่ประธานคนใหม่เลยสักนิด เป็นว่าสองคนนี้นั่งหน้าดำคล้ำเครียดกันทั้งคู่ น้องผมจะซีเรียสไม่ใช่อะไรที่ต้องสงสัยหรอก แต่ไอห่านี่จะอินด้วยทำไมก็ยังไม่เข้าใจ



     เพลงมาร์ชโรงเรียนดังแผดลั่นไปทั่วสารทิศ เรียกให้นักเรียนทุกคนมาเข้าแถวตามสายชั้น ผมตบบ่าให้กำลังใจน้องตัวเองปุ ๆ ว่าทำให้เต็มที่กับการหาเสียงครั้งสุดท้ายบนเวที ก่อนจะวิ่งออกมาจากห้องสภาฯ โดยให้อาร์มฝากที่เหลือด้วย ผมรอให้พวกไอบีม ไอกวาง ไอกั๊มพ์ตั้งเข้าแถวด้านหน้าก่อนแล้วจึงค่อยเดินไปสมทบทีหลัง แบบว่าไม่อยากเข้าแถวด้านหน้าอะครับ อยู่หลัง ๆ ดีกว่า เดี๋ยวอาจารย์จะตกใจในความหล่อของผมเอา หึหึ (เปล่าหรอกครับ ผมไม่อยากเด่นเพราะกางเกงมันสั้นพอดู)



     " ไงมึง แฮก ๆ " ซันวิ่งคู่กับปิงปองมาทักทายผมด้วยท่าทีเหนื่อยหอบพลางต่อแถวจากด้านหลังผม



     " ดีมากไอเพื่อนรัก ขอให้มาวันนี้ไว ๆ ก็มาจริง ๆ เป็นงานแบบนี้เดี๋ยวกูถวายตัวให้ " ผมพูดพลางหัวเราะหึหึ ที่ให้มันมาก่อนแปดโมงก็เพราะเราจะเลือกตั้งหลังจากเข้าแถวนี่แหละครับ ประเดี๋ยวสองตัวนี้จะมาไม่ทันเลือกน้องผม แม่งชอบอู้กันอยู่



     " ตีนเหอะ โน่น ไปถวายตูดให้ผัวมึงโน่น มองจนจะแดกหัวมึงอยู่แล้วน่ะ " ซันเบ้ปากชี้ไปยังแถวแถวหนึ่งตรงโน้น เฟิร์สโบกมือทักทายผมอยู่รำไรโดยมีไอห่าคิงคองยิ้มยียวนข้าง ๆ อยากปาระเบิดใส่หัวแม่งจริง ๆ



     บรรยากาศเข้าแถวตอนนี้ดูจะอบอ้าวไปหน่อย เพราะนักเรียนมากหน้าหลายตาต่างมากระจุกอยู่ที่หน้าเสาธง พอเสร็จสิ้นพิธีสวดมนต์ อาจารย์ก็ออกมากล่าวทักทายก่อนจะเบิกตัวผู้เข้าสมัครประธานนักเรียนและประธานสีให้ออกมาทวนนโยบายอีกครั้ง มินออกมาพูดคนแรกครับ เพราะเป็นผู้สมัครหมายเลขหนึ่ง นโยบายของมินผมฟังจนชินหูแล้วล่ะเพราะเจ้าตัวได้เคาะประตูห้องเข้ามาถามเป็นการส่วนตัวเลยนะเอ้อ ! บางนโยบายที่มินพูดอยู่ก็ร่างโดยผมเอง (เก่งมั้ยล่ะ หึหึ) พอผมฟังทุกคนจนครบแล้วดูเหมือนนโยบายของน้องตัวเองเนี่ยดูจะแตกฉานมากกว่าใครอยู่หลายขุม หึหึ มีหวังว่าที่ประธานนักเรียนคนต่อไปคงเป็นน้องกูแน่ ๆ



     เสร็จสิ้นจากเข้าแถวตอนเช้าแล้วก็ถึงเวลาทำหน้าที่ของประชาชนที่ดีกันเสียที เพื่อไม่ให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างวุ่นวาย ทางอาจารย์ได้แยกนักเรียนออกไปเลือกตั้งตามสีของตน ผมเดินตามเพื่อนต้อย ๆ ไปยังใต้ตึกสิบห้าเพราะสีแดงของเราตั้งคูหาอยู่ที่นั่น ผมนั่งเล่น ROV กับเพื่อนก็จบไปหลายเกมกว่าจะได้ลุกเข้าไปเลือกบ้าง ถ้าท่านผู้อ่านได้มาอยู่แถว ๆ นี้คงจะได้ยินไอประธานสีแดงมันเดินไปหยิบโทรโข่ง (ตัวเดียวกันที่เอาไปทำกิจกรรมกระชับมิตร) มาป่าวประกาศทั่วตรงนี้เลยครับว่าประธานนักเรียนให้เลือกเบอร์หนึ่ง ! ทันทีที่ได้ยินเข้านิ้วโป้งของผมก็ชูขึ้นเหนือหัวแสดงถึงความกล้าหาญในตัวไอคิงคองมัน มึงนี่แม่งคนจริงนี่หว่า ฮ่า ๆ ดีนะว่าแถวนี้ไม่มีอาจารย์อยู่ ไม่งั้นเขาเอามึงตาย ไอซื้อสิทธิ์ขายเสียง !



     " แล้วประธานสีกูต้องเลือกเบอร์ไหนวะ ? " ผมถามเพื่อนคนอื่น ๆ ขณะแถวเริ่มทยอยเข้าโซนเลือกตั้ง



     " ไอคองบอกว่าเลือก ๆ ไปเหอะ น้องสองคนนี้มันอยู่ห้องเดียวกัน มันช่วยงานกันอยู่แล้ว " ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจในสิ่งที่ปิงปองอธิบาย งั้นกูทำบัตรเสียดีมะ ? (อย่าด่าผมเลวสิ !)



     ขณะนี้หัวแถวห้องของผมได้ทยอยเข้าไปในโซนคูหาบ้างบางส่วนแล้ว ผมก็เขยิบตามเพื่อนด้านหน้าไปอีกนิดจนได้เห็นว่าคนที่รับลงทะเบียนอยู่นั่นน่ะ



     เป็นคนที่กำลังจีบผมอยู่นี่หว่า



     " ชื่อไรครับ ? " มันมองหน้าถามผมอย่างกวน ๆ จะเล่นไม้นี้กับกูเหรอไอเฟิร์ส ?



     " ไม่บอก อยากรู้ไปถามแม่กูเอง "



     " อย่ากวนตีน เพื่อนคนอื่นเขารออยู่ " ได้ข่าวว่ากวนตีนกูก่อนด้วยไงไอเลว แล้วที่ไม่รู้ชื่อกูเนี่ยตอแหลใช่มั้ย ?



     " กฤเดช ไชยวัฒน์ เลขที่สามสิบสี่ " เฟิร์สหัวเราะอย่างซะใจก่อนจะเปิดหน้ากระดาษค่อนข้างไว พลางเลื่อนดูรายชื่อจากด้านบน



     " เซ็นตรงนี้ " ผมหายใจฟึดฟัดอย่างเคือง ๆ หยิบปากกาพลางก้มลงไปเขียนช่องว่าง ๆ หลังชื่อ เมื่อตอนหน้าเสาธงยังเห็นมันยืนในแถวอยู่เลยนี่หว่า แล้วไมอยู่ดี ๆ วาปมานั่งโต๊ะลงทะเบียนซะได้ล่ะ ?



     " ช่วยไอคองมันเหรอ ? " ผมถามขณะบรรจงเขียน



     " อื้ม คนมันไม่พอน่ะ เลยแวะมาช่วยมัน " เป็นคนดีเหมือนเดิมเลยนะมึงเนี่ย



     " ไปช่วยคนเลว ๆ แบบนี้ ระวังมันได้ใจล่ะ " เฟิร์สขำอย่างกลั้นไม่ได้ มันคงรู้แหละว่าผมบาดหมางกับไอบ้านั่นแค่ไหน



     " เออ "



     " เอ่อ...ด้านโต๊ะลงทะเบียนครับ อย่าพึ่งจู๋จี๋กันครับ แถวข้างหลังเขารีบ เดี๋ยวเลือกตั้งเสร็จค่อยมาจีบกันเนาะ " ผมทุบปากกาลงกับโต๊ะก่อนจะจะยกนิ้วกลางให้ไอคิงคองที่ยืนยิ้มแฉ่งโดยปากยังจ่อโทรโข่งอยู่



     กูบอกแล้วว่ามันเลว



####



     ช่วงพักเบรกของวันนี้หากโรงอาหารอันแสนโกลาหนจะเว้นว่างเหมือนป่าช้าก็คงเป็นเรื่องปกติ ถึงผมจะเปยซะโอเวอร์ แต่ผู้คนต่างหลั่งไหลไปที่กระดานประกาศคะแนนเสียงแถว ๆ ห้องปกครองกันหมดแล้ว ผมยืนอยู่ตรงนั้นเช่นกันครับ แบบว่าอยากจะมาลุ้นคะแนนเสียงว่าใครจะได้ครองตำแหน่งประธานนักเรียนรุ่นต่อไป ทุกครั้งที่ตัวแทนจากสภานักเรียนประกาศหมายเลขของผู้สมัคร เสียงเชียร์ของเหล่านักเรียนก็ดังไล่ ๆ กันมา เห็นไออาร์มบอกว่าหลังจากที่เลือกตั้งเสร็จสิ้นตั้งแต่เช้าทางสภาฯ ก็เริ่มนับคะแนนเลย นี่คงจะเหลืออีกไม่มากแล้วล่ะมั้ง



     " เบอร์หนึ่ง !!! "



     " เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ !!! "



     " เบอร์หนึ่ง !!! "



     " เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ !!! "



     " เบอร์สาม !! "



     " เฮฮฮฮฮ ! " ออกจะแผ่วไปหน่อยนะหมายเลขนี้



     " เบอร์ !! อ่าว บัตรเสีย !! "



     " .......... "



     เงียบกริบ



     " เบอร์สอง !! "



     " เฮฮฮฮฮฮฮฮ !!!!!! " เดี๋ยว ๆ ไอเอก ! นี่ผมพึ่งเห็นนะว่าแม่งเอากลองกีฬาสีมาตีเชียร์ด้วย แม่พรจะไม่จับมึงไปแดกในห้องปกครองรึไง ?



     ในขณะที่ผมกำลังมองเพื่อนม.ต้นของตัวเองกำลังทุบกลองด้วยไม้อย่างบ้าคลั่งอยู่นั้นเอง วงแขนของใครไม่รู้ก็มาพาดเข้ากับบ่า แถมมีผลไม้สีเขียว ๆ จ่อมายังปากอีกด้วย



     " อะ " ผมถอยหน้ามองเฟิร์สที่ยื่นมะม่วงมาให้ แม่งเห็นผมได้ไง ? ไม่ได้มากับใครสักหน่อย พวกไอปองก็กินข้าวอยู่โรงอาหาร



     " อะไรเนี่ย ? " ผมไม่ได้ถามสิ่งที่มันยื่นมาคืออะไร แต่ถามสิ่งที่มันกำลังทำอยู่เนี่ยคืออะไร



     " มะม่วงเปรี้ยวไง ชอบกินไม่ใช่เหรอ ? " แล้วจะซื้อมาให้ทำไมกันล่ะนั่น ข้าวยังไม่ตกถึงท้องเลย เอาเถอะ ผมอ้าปากรับมะม่วงของโปรดพลางเคี้ยวตุ่ย ๆ อูยยยย เข็ดฟัน แต่เดี๋ยวนะ เมื่อเช้าไอห่านี่ได้เลือกน้องผมรึเปล่า ?



     " นี่เมื่อเช้ามึงเลือกน้องกูรึเปล่าเนี่ย ? " ผมถามพลางจิ้มมะม่วงใส่ปากมันบ้าง



     " เลือกสิ พอเสร็จจากช่วยงานก็เข้าไปเลือกเลย โน่นไงน้องมินยืนอยู่กับอาร์ม " ผมชะเง้อมองไปตามปลายนิ้ว มองไม่ค่อยเห็นเลยว่ะ อ๋อ อยู่นั่นเอง " อาร์มมันจีบน้องมินอยู่รึเปล่าน้าาา เหมือนคู่พี่มันเลยอะ "



     ผมซอกท้องมันทันที " จีบหน้ามึงสิ น้องมันขวัญเสีย อาร์มก็เลยปลอบ " ลักษณะที่อาร์มโอบไหล่มินตลอดที่เสียงเฮดังขึ้นคงเป็นเช่นนั้น แต่ยังไม่ทันได้คุยอะไรต่อ ตัวแทนจากสภาก็ยกคะแนนเสียงใบสุดท้ายขึ้นเหนือหัวพลางกางมันออก ห่า ! ตอนนี้มินนำอยู่เปล่าวะ !? มัวแต่มองอย่างอื่น !!



     " คะแนนเสียงใบสุดท้าย ได้แก่.. " โว้ยยยยย ผมจะมองปากที่มันกำลังอ้าบอกคะแนนเสียงใบสุดท้าย หรือตัวเลขที่โชว์หราอยู่บนบอร์ดดีวะ !!



     " ได้แก่...เบอร์หนึ่ง !! "



     " เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ !!!!!!!!!!! "



     เดี๋ยว !!!!!!!! พวกมึงเฮอะไรกัน !!? เฮ้ย ! อย่าเอามือบังหน้ากูเส้ !!



     " มองไม่เห็นเหรอ ? " ผมพยักหน้าให้กับคำถามของเฟิร์สที่เหมือนมันจะดูออก มึงดีใจอะไรกันวะให้กูดูด้วย !! " ขี่หลังเปล่า ? "



     " เอา " ผมพูดแบบไม่คิดพลางเดินไปที่หลังของมันก่อนจะใช้แรงกระโดดขึ้นไป เฟิร์สใช้แขนรับน้ำหนักที่ก้นผมทิ้งตัวลงพลางแอ่นตัวขึ้น



     ถึงได้รู้ไงว่าคะแนนที่นำโด่งอยู่ตอนนี้น่ะ..



     น้องผมเอง !!!!



     " เย้ !!!!!!!!!!!!!!!!! " ผมตะโกนไปสุดเสียงพลางเขย่าคอคนที่ขี่อยู่ด้วยความดีใจ



     " น้องกูได้เป็นประธานนักเรียนแล้ว !!!! น้องกูได้เป็นประธานนักเรียนแล้ว !!!!!! "



     " เออรู้แล้.. ออค มิ้ลค์ กูจะ...กูจะตายแล้ว "



####



     " มึง ๆ นั่นแฟ้มใครวะ ? " ผมถามกวางที่อยู่ใกล้ ๆ เจ้าแฟ้มสีเข้ม ๆ หน้าตาแม่งคุ้น ๆ เหมือนที่เพื่อนผมชอบลืมไว้ไม่มีผิด ตอนนี้คาบสุดท้ายแล้วครับ ผมกำลังจะกลับบ้าน



     " อ๋อ ของไออาร์มมันน่ะ เมื่อคาบก่อนมันขึ้นมาเอาของแล้วไม่ได้หยิบไป เดี๋ยวกูกำลังจะไปคืนมัน " วันนี้อาร์มมันไม่ได้ขึ้นมาบนห้องเลยครับ ถ้ามันขึ้นมาตากี้คงเป็นเวลาเดียวกับที่ผมไปห้องน้ำ



     " เออมึง ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูไปคืนมันเอง " กวางทำหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่างแต่ก็ยอมยื่นแฟ้มนั้นมา ถือเป็นการดีที่เอาไปคืนครับ พอเอาแฟ้มไปคืนเสร็จก็ร่วมยินดีกับมินต่อเลย สองคนนี้น่าจะอยู่ด้วยกันแหละ ผมเก็บของใส่จาคอปทั้งหมดพลางรับแฟ้มเล่มหนา ๆ นี่มาอยู่ในมือก่อนจะมุ่งหน้าไปยังห้องสภานักเรียน..



     ผมเดินฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีพลางโบกมือทักทายเพื่อนต่างห้องก่อนจะมาหยุดอยู่หน้าประตูที่ด้านบนกำกับไว้ว่าสภานักเรียน ตื่นเต้นจังที่จะได้ร่วมยินดีกับน้องตัวเอง มินได้ทำความฝันเป็นจริงแล้วสินะ



     ผมผลักประตูเข้าไปด้วยอารมณ์ดีสุดขีด แต่แล้วก็มาตกใจให้กับบางสิ่งแบบสุดขีดเช่นกัน



     ' ปั้ก ! ' แฟ้มในมือผมล่วงหลุดมืออย่างกับตัวเองไม่มีแรงถือ ผมแทบไม่เชื่อในสายตาตัวเอง



     ใบหน้าของอาร์มอยู่ใกล้มินที่กำลังนั่งอยู่โต๊ะประธานนักเรียนเพียงแค่ไม่กี่เซน คำถามมากมายประเดประดังเข้ามาในหัวผมทันที



     ทำอะไรกันน่ะ..



####



     ตอนนี้เก้าอี้ตำแหน่งประธานนักเรียนสุดยิ่งใหญ่ ถูกตัวขัดลาภอย่างผมยึดครองไว้เป็นที่เรียบร้อย ผมนั่งไขว่ห้างพลางฝนเล็บไม่ได้มองสองคนนั้นที่นั่งคุกเข่าก้มหน้าอยู่ ผมพอจะเดาได้แล้วล่ะว่าสองคนนี้เป็นมากันยังไง นับว่ากล้ามากนะที่แอบทำแบบนี้ตอนไม่มีใครอยู่



     " เอ่อ.. " ในที่สุดความเงียบที่ปกคลุมห้องสภาฯ ก็ถูกเจ้าน้องชายตัวดีของผมทำลายทิ้ง " คือพี่มิ้ลค์ พี่อาร์มเขาจะก้มหยิบปากกาใต้พื้นน่ะครับ ที่พี่มิ้ลค์เห็นไม่มีอะไรจริง ๆ นะ " ปากกามันหล่นอยู่ที่พื้นหรือในปากแกห้ะมิน ? จะปกป้องมันหาอะไรที่สร้างสรรค์มาอธิบายหน่อย



     " ไม่ใช่นะมิ้ลค์ ที่กูกำลังทำตากี้...กูกำลังหาแฟ้ม " แถได้ตอแหลมาก สรุปจะหยิบปากกาหรือหาแฟ้มผมให้เวลาสองคนนี้ไปคิดก่อนดีมะ ?



     " มันไม่มีอะไรจริง ๆ นะพี่มิ้ลค์ ! " คนตัวขาวที่นั่งอยู่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังและย้ำอีกครั้ง อาร์มมีสีหน้าไม่ค่อยสู่ดีเท่าไหร่แต่ก็ยอมพูดบางอย่าง



     " มิ้ลค์คือกู...ขอโท.. " ผมขี้เกียจฟังมันพูดต่อละ จากสายตาที่เคยมองแต่เล็บบนปลายนิ้วก็เลื่อนไปหาสองคนนั้นอย่างว่องไวจนอาร์มและมินถึงกับสะดุ้งตัวโหยง ผมลุกจากเก้าอี้ไปก้มกระซิบอะไรบางอย่างข้างหูคุณประธานพลางตบบ่ามันสองทีก่อนจะเดินออกมาจากตรงนั้น



     ห้ะ ? ผมไม่ได้โกรธที่สองคนนี้กำลังจะจูบกันซะหน่อย ตากี้ที่ไปกระซิบข้างหูไออาร์มแค่จะฝากฝังอะไรบางอย่างกับเพื่อนสนิทคนนี้แค่นั้นเอง หึหึ



- Not to be unlocked -

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ LKPOW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Not to be unlocked : Special Episode 3 : สู่ความสำเร็จ



     ท่ามกลางฝูงชนที่รายล้อมมบอร์ดขนาดใหญ่ อันแสดงถึงผลคะแนนที่ผู้ลงสมัครประธานนักเรียนและประธานสี ได้ลงแรงประกาศหาเสียงกันอย่างยุติธรรม ทั้งนำรูปตัวเองไปอยู่ในกระดาษเพื่อให้คนในโรงเรียนได้ทำความรู้จัก ทั้งเดินป่าวประกาศนโยบายที่แต่ละคนได้ร่างเอาไว้ในคาบพักระดับม.ต้นและม.ปลาย บัดนี้ก็ได้ทราบถึงผู้มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้รับตำแหน่งเหล่านั้นแล้ว

     " เชี่ย.. " นักเรียนชายตัวสูงขาวกว่าใครเพื่อนคนหนึ่งที่ยืนคู่กับประธานนักเรียนคนปัจจุบัน ได้สบถกับตัวเองเงียบ ๆ ด้วยความตกใจ โดยคนพี่ดูจะดีใจออกหน้าออกตากว่าคนน้องเสียอีก

     " มิน ! เราได้เป็นประธานแล้ว !! " คนผิวคล้ำกว่าเขย่าแขนว่าที่ประธานนักเรียนคนใหม่ด้วยความดีใจก่อนจะโถมเข้าไปกอดทั้งตัว

     " มิน...ได้เป็นแล้ว มินทำได้แล้วพี่อาร์ม ! " สติที่หายไปเมื่อครู่ค่อย ๆ ลอยกลับมาหาเจ้าของ เด็กม.4 คนนั้นก้มหน้าลงมองรุ่นพี่อย่างยากที่จะเชื่อพลางกอดตอบวงแขนนั่น

     " ขอบคุณนะครับพี่อาร์ม ขอบคุณทุกอย่างเลย มินไม่นึกว่าวันนี้จะเป็นจริงได้ " แม้มินจะเคยดุด่าว่าร้ายประธานนักเรียนรุ่นปัจจุบันเพราะนิสัยไม่รอบครอบ แต่วันนี้สิ่งที่เขาพูดออกมาล้วนมาจากใจจริง ถึงอาร์มจะทำหน้าที่ได้ไม่ดีเท่าที่ควรตามความคิดของผู้เป็นน้อง แต่ผู้ชายคนนี้ก็ให้อะไรหลาย ๆ กับเขามาไม่น้อยเลย

     " อย่าร้องสิ " มินผงะไปชั่วขณะ เขาไม่รู้ตัวเลยว่าตอนไหนถึงได้มีคราบน้ำตาปรากฏให้คนที่เขาเคารพนั้นปาดออก

     เอาอีกแล้วไอความรู้สึกนี้ มินบ่นกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในอก เลขาส่วนตัวของท่านประธานนักเรียนอธิบายไม่ได้ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งกับอาร์มจนรู้สึกรบกวนจิตใจแบบนี้มันคืออะไร ในวันหนึ่งเขาจึงเดินไปเคาะประตูห้องของพี่ชายเพื่อปรึกษา

     " ปะ ยกของกลับห้องสภาฯ กันเถอะ " มินไม่ได้ยินสิ่งที่อาร์มพูด เพราะยังติดอยู่กับวังวนแห่งความคิด มันคืออะไร ? ทำไมเราจึงให้คำตอบนี้ไม่ได้สักที

     มันใช่ความรู้สึกรักหรือหวั่นไหวหรือเปล่านะ ?

     " มิน ! " แววตากลมใสเบิกโพลงขึ้นราวกับถูกเรียกให้สติตื่น

     " ครับ ? "

     " ไปขนของ " อาร์มเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจพลางยิ้มให้กับการกระทำของคนน้อง ก่อนจะก้าวเท้าเดินนำไปหาสมาชิกสภาฯ คนอื่น ๆ

     " รอด้วยสิพี่อาร์ม ! "

     แน่นอนหากช่วงบ่ายหลังจากที่พักกลางวันของนักเรียนระดับม.ปลายหมดลง ก็ถึงเวลาที่จะต้องไปขวักไขว่นั่งเรียนหาความรู้เข้าสมองกันต่อ แต่ผิดกับนักเรียนกลุ่มหนึ่งในห้องสภานักเรียนที่จับคู่กับกล่องผลคะแนนเลือกตั้ง เพื่อให้เกิดความแม่นยำและแน่นอนแกผู้ลงสมัครทุกคน ทางทีมงานสภาฯ ก็ได้มีการนับคะแนนใหม่กันอีกรอบ

     " กล่องนี้บัตรเสียหกสิบเอ็ดครับพี่อาร์ม " ว่าที่ประธานนักเรียนคนใหม่นับกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่ด้านในมีสัญลักษณ์แปลก ๆ อันบรรจงเขียนด้วยปากกา หันไปบอกผลตรวจคะแนนกับคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะตำแหน่งสูงสุด

     " โห...ทำไมกล่องนั้นคนทำบัตรเสียเยอะจังวะ ? " อาร์มไล่ดูจำนวนตัวเลขของกล่องอื่น ๆ ที่จดไปแล้วพลางเกาหัวยิก ๆ อย่างนึกแค้นในใจ

     " เอาน่ามึง ปกติอยู่แล้วปะวะที่มีบัตรเสียอะ " เลขานุการอย่างพีทพูดอย่างปลงสนิทกับสิ่งที่อาร์มบ่นอยู่

     " แล้วน้องมินไม่ไปเรียนจะไม่เป็นไรแน่เหรอครับ ? " รองประธานสภาฯ ที่นาน ๆ ทีจะเข้ามาปฏิบัติงานถามขณะนั่งนับกระดาษในกล่องอีกใบ

     " ไม่เป็นไรครับพี่เอ็ก ว่าแต่พี่เถอะ ไม่ไปเป็นโค้ชช่วยเขาซ้อมบาสที่โรงยิมเหรอครับ ? โรงเรียนจะส่งไปแข่งแล้วหนิ " ผู้ชายตัวสูงคนนี้ไม่ได้มีตำแหน่งถึงกัปตันของกลุ่มนักกีฬาเท่านั้น เขายังมีหน้าที่เป็นประธานชมรมดนตรี รองประธานสภาฯ และอื่น ๆ อีก หนำซ้ำผลการเรียนดีเลิศ ความประพฤติเด่นดัง นับได้ว่าเป็นเพอร์เฟคแมนเลยทีเดียว

     " อ๋อ ไม่เป็นไรหรอกครับน้องมิน เดี๋ยวพี่ค่อยไปดูตอนเย็นทีเดียว พี่ไม่ค่อยได้เข้าสภาฯ บ่อย ๆ ไงวันนี้พี่ขอเต็มที่กับพวกเราแล้วกัน " เอ็กพูดด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ แต่หารู้ไม่ว่าการพูดคุยสนิทสนมแบบนั้นมีใครบางคนหึงอยู่

     " จริง ๆ มึงไปเรียนก็ไม่มีปัญหาหรอกนะเอ็ก พวกกูทำกันเองได้ " อาร์มพูดเชิงสอดเสียดแต่ทางรองประธานจะไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่

     " ไม่เป็นไรหรอกคุณประธาน เดี๋ยวเราช่วยจนเย็นเลย นี่ยังเหลืออีกตั้งหลายกล่อง ไม่ต้องเป็นห่วง " อาร์มพยักหน้าเอือม ๆ กลับ เขาไม่ได้เป็นห่วงว่าการเรียนของเพื่อนคนนี้จะขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่นิด แต่เป็นห่วงเจ้าน้องชายตัวขาวที่ทางนั้นชวนคุยอะไรได้มากกว่าตน

     เวลาของการนับผลคะแนนเป็นไปอย่างยาวนาน มันนานพอที่ทำให้กินเวลาจนเกือบจะถึงคาบสุดท้าย ตอนนี้ภายในห้องสี่เหลี่ยม ๆ อันเย็นสบายของทีมสภานักเรียนก็ได้ผลคะแนนอันเป็นที่แน่ชัดอย่างตอนเที่ยงไม่มีผิดพลาดประการใด รุ่นพี่ม.5 อย่างเอ็ก อาร์ม และพีทที่เหลือจนถึงบัดนี้ ก็มีธุระไปทำอย่างอื่นต่อเหมือนกัน ซึ่งทีมงานสภาฯ บางส่วนกลับบ้านกันไปแล้ว

     " อยู่คนเดียวได้ใช่มั้ย ? เดี๋ยวพี่รีบมา " เมื่อไม่นานอาร์มได้พบว่ามีประธานสีรุ่นต่อไปบางคนยังไม่ได้ลงนามยืนยัน เพื่อที่ทางสภาฯ จะต้องไปยื่นเรื่องกับฝ่ายปกครองและฝ่ายธุรการ ดังนั้นประธานนักเรียนจึงมีความจำเป็นจะต้องไปตามตัวรุ่นน้องเพื่อมากำกับลายเซ็น เพราะตอนนี้แฟ้มเอกสารมันสมบูรณ์เพียงพอที่จะยื่นแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น

     " ได้ครับ พี่อาร์มรีบไปตามให้คนอื่นเซ็นเถอะ เดี๋ยวมินเช็กแฟ้มนี้อยู่ที่นี่ให้ เผื่อใครยังไม่ได้เซ็น " ตรงหน้าของมินที่นั่งอยู่คือโต๊ะในอนาคตของเขาโดยมีแฟ้มเอกสารเล่มหนึ่งวางอยู่ แฟ้มนี้ถูกว่าที่ประธานนักเรียนและว่าที่ประธานสีเซ็นกำกับไว้ครบถ้วน เขาต้องการจะตรวจสอบมันอีกครั้ง หากเกิดข้อผิดพลาดประการใดมินจะได้แก้ไขทัน

     " ให้เราไปตามเองดีมั้ยอาร์ม ? นายก็ช่วยงานน้องอยู่ที่นี่ " ถึงเอ็กจะมีธุระอย่างอื่นต่อ แต่ก็สามารถผ่อนผันเพื่อเลี่ยงมาช่วยงานของเพื่อนตนเองได้

     " ไม่เป็นไร มึงไปดูเด็กซ้อมกีฬาเถอะ ปะพีท " ประธานนักเรียนเดินออกไปนอกห้องสถาฯ คู่กับเลขานุการของเขา ทิ้งให้รองประธานอย่างเอ็กอยู่กับเด็กตัวขาวม.4 คนนั้นกันสองต่อสอง

     " สู้ ๆ ล่ะ พี่เป็นกำลังใจให้ " เอ็กขยี้หัวมินอย่างอ่อนโยน หารู้ไม่ว่าการกระทำนี้มีบางคนที่เดินออกไปแล้วบังเอิญเห็นพอดี เอ็กไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่นนอกจากให้กำลังใจน้องชายหน้าตาน่ารักคนนี้

     " ครับพี่เอ็ก พี่เอ็กงานเยอะเหมือนกันก็สู้ ๆ ล่ะ " ต่างคนต่างยิ้มให้กันก่อนที่จะมีบางคนเดินกลับมาเรียกด้วยความขุ่นเคือง

     " ไปได้แล้วมั้ง ? " อาร์มยืนกอดอกอยู่หน้าห้องสภาฯ จ้องเขม่นมายังทั้งสองคน เอ็กเดินไปหยิบกระเป๋าของตัวเองก่อนที่จะโบกมือลาคนที่นั่งอยู่โต๊ะประธานนักเรียน..

     ห้องอันเงียบสงัดอันมีแต่เสียงเปิดกระดาษของคนที่เหลืออยู่ จู่ ๆ ก็มีบางอย่างรบกวนจิตใจของเขาอีกครั้ง มินไม่ได้มีกะจิตกะใจในการเช็กรายชื่อตรงหน้าเสียแล้ว แต่ไปตื่นเต้นกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้แทน นักเรียนผิวขาวกว่าคนปกติกลัวว่าภาระและการความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่นี้เขาจะทำได้ไม่ดีพอ ในใจของมินว้าวุ่นไปหมดทั้ง ๆ ที่มันยังไม่ได้เกิดขึ้น

     พี่อาร์ม...พี่อาร์มอยู่ไหน

     ความกดดันทวีคูณไปเรื่อย ๆ จากสิ่งที่มินได้สร้างขึ้นในจิตใจ เขาตะโกนดังลั่นจากข้างในเพื่อหาที่พึ่งสุดท้ายในวินาทีนั้น แต่มันเป็นผลซะที่ไหน เขายกแขนข้างหนึ่งขึ้นมากุมด้วยความเครียด มินไม่รู้เลยถ้าหลังจากนี้ไม่มีอาร์มแล้ว ตำแหน่งงานอันยิ่งใหญ่นี้ของเขาจะดำเนินไปเช่นไร

     ในตอนที่ไร้ซึ่งหนทางแห่งแสงสว่างที่มินสร้างขึ้นในจินตนาการอยู่ คนที่เขาต้องการตัวมากที่สุดก็เปิดประตูขึ้น เรียกให้ความกดดันต่าง ๆ ทุเลาลงไปได้มาก

     " พี่อาร์ม " คนที่มินขานชื่ออยู่เดินเข้ามาคนเดียวโดยไม่ได้สงสัยเลยว่าเลขาสภาฯ หายไปไหนหลังจากนี้ อาร์มขมวดคิ้วอย่างแปลกใจก่อนจะเดินมาใกล้ ๆ

     " ไมทำหน้างั้นอะ ? " มินถอนหายใจออกมาพรูใหญ่พลางพูดอะไรบางอย่างในใจ

     อยากกอดพี่อาร์มจัง..

     " มินเครียดเรื่องประธานนักเรียนอะครับ กลัวทำไม่ได้ " คิ้วอาร์มที่ขมวดอยู่กลับคลายออกมาเป็นรอยยิ้มอันแสนเอ็นดู

     " ปฐมนิเทศก็เข้าไปแล้วหนิ ยังไงคนที่ลงสมัครกับเราก็ต้องมาช่วยอยู่ดีแหละ " น่าแปลกที่กฎของโรงเรียนนี้ให้ปฐมนิเทศก่อนจะได้รับตำแหน่ง อาร์มไม่รู้เลยว่าสิ่งที่พูดอยู่มันไม่เพียงพอสำหรับน้องคนนี้

     " ยังไงมินก็กลัวอยู่ดี " มินพูดจบก็ต้องมาจมปลักกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นอีกครั้ง

     " แล้วจะเอายังไงล่ะ ? " อาร์มถามก่อนจะเดินไปหยิบอะไรบางอย่างจากชั้นวางเอกสาร

     " มินอยากให้พี่อาร์มอยู่ด้วย " มินไม่ทราบว่าสิ่งที่ขอมากเกินไปมั้ย แต่คนที่ถูกขอกลับไม่ได้คิดต่อยอดอะไรทั้งนั้น

     " พี่ก็อยู่กับเราไปตลอดนั่นแหละ " มินหลุดยิ้มอย่างดีใจโดยอาร์มที่หันหลังอยู่ก็มิอาจจะเห็นได้

     " เอ้อ ! พี่พึ่งเห็นในแฟ้มนะว่าเรายังไม่ได้เซ็นชื่อเลย " มินครุ่นคิดอย่างแปลกใจก่อนจะเปิดแฟ้มตรงหน้า

     " ก็เซ็นแล้วหนิ " คนพูดยกแฟ้มที่ถืออยู่ขึ้นมาให้อาร์มได้ดู

     " อ๋อไม่ใช่อันนี้ แฟ้มที่พี่ถือไปน่ะ " ทันทีที่เขาพูดจบก็นึกอะไรบางอย่างได้ อาร์มหยิบมือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาต่อสายถึงใครบางคน

     " ฮัลโหลกวาง แฟ้มกูลืมไว้ข้างบนใช่ปะ ? เออ ๆ กูฝากหยิบมาให้กูที่ห้องสภาหน่อยดิ โห่...นะ โอเค ขอบใจมาก " มินมองอาร์มอย่างปลง ๆ ที่เขาเป็นคนขี้ลืม

     " นี่ถ้าพี่มีแฟนจะลืมอย่างงี้ปะ ? " มินถามขณะควงปากกาที่พร้อมจะเซ็นชื่อหลังจากทราบว่าตัวเองพลาดในบางสิ่ง แต่ทางนั้นดันลืมไว้ที่ไหนสักแห่งเสียก่อน

     " จะไปลืมได้ไง แฟนทั้งคนเลยนะเว้ย " อาร์มรู้สึกว่าคำพูดนี้สะกิดใจเขาอยู่ไม่น้อย แต่ประธานนักเรียนคนนี้สนใจได้เพียงแค่ครู่เดียวก็หาสิ่งที่ตนยกขึ้นมาเถียงได้ เมื่ออะไรบางอย่างที่มินควงอยู่ได้ตกลงสู่พื้น

     " เราก็ซุ่มซ่ามเหมือนกันแหละ " ต่างฝ่ายหัวเราะในสิ่งที่ถูกครหาอย่างไม่เคืองโกรธ ก่อนบรรยากาศในห้องจะเงียบอีกครั้งอย่างไม่มีใครพูด

     " .......... " แล้วทำไมต้องเงียบด้วยวะพี่อาร์ม ? มินสังสัยจนอยากจะถามผ่านริมฝีปากนี้

     " มิน " คนที่ถูกเรียกตื่นตัวขึ้นมานิดหน่อย

     " ครับ ? " มินมองอาร์มที่ค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้ ๆ

     " พี่ยินดีกับเราด้วยล่ะที่ได้เป็นประธานนักเรียน " บ้าจริงพี่อาร์มหนิ ทำไมอยู่ดี ๆ ต้องมาพูดอย่างนี้ด้วย อาร์มดูไม่ออกว่ามินกำลังเขินอยู่

     " งั้นพี่ยกตำแหน่งนี้ให้เราผ่าน.. " อาร์มจะไม่ถามว่าสิ่งที่ตนกำลังทำหลังจากมันเร็วเกินไปมั้ย เพียงแค่อยากจะทำตามใจในสิ่งที่เขาต้องการก็เท่านั้น อาร์มยื่นฝ่ามืออันเรียวยาวไปยังคนที่นั่งอยู่ ผู้เป็นน้องเบิกตาโพลงอย่างตกใจว่าสิ่งที่พี่อาร์มทำอยู่คืออะไร มันทำให้เสียงเต้นของหัวใจมินสั่นระรัว ด้วยความที่อยากรู้และอยากลองของมิน จึงทำให้มิอาจหลุดพ้นจากสายตาอันแสนเลห์กลของพี่ชายคนนี้ได้ อาร์มคลี่ยิ้มอย่างใจเย็นก่อนจะเลื่อนวงหน้าไปใกล้กว่าเมื่อครู่

     ถ้าไม่มีเสียงแฟ้มตกของคนที่เข้ามาใหม่ การถ่ายโอนอำนาจผ่านริมฝีปากนี้คงได้เกิดขึ้นไปแล้ว..

     เบื้องหน้าของทั้งสองคือพี่ชายแสนใจดีกับเพื่อนอันแสนจะสนิท แต่เหมือนเวลานี้จะเป็นบุคคลที่น่ากลัวที่สุด อาร์มและมินได้แต่คุกเข่าตามคำสั่งของทางนั้นอย่างจำนน พลางมองหน้ากันอย่างไม่รู้จะแก้ตัวคนที่เห็นตากี้ยังไงดี

     เวลาผ่านไปนานเท่าไหนแล้วไม่รู้ มิ้ลค์ยังคงสนใจแค่เล็บบนปลายนิ้วของเขาราวกับลับให้คม แถมพร้อมจะขย้ำน้องชายและเพื่อนของเขาตลอดเวลา ในหัวของมินพลันคิดอะไรบางอย่างออก ถ้าจะมีใครพูดอะไรสักอย่าง ก็น่าจะเป็นคนที่เขารักมากที่สุดสิ !

     " เอ่อ " มินรับรับรู้ทันทีว่ามิ้ลค์กำลังฟังอยู่ถึงจะสนใจอย่างอื่นก็เถอะ " คือพี่มิ้ลค์ พี่อาร์มเขาจะก้มหยิบปากกาใต้พื้นน่ะครับ ที่พี่มิ้ลค์เห็นไม่มีอะไรจริง ๆ นะ " เหตุการณ์นี้ผ่านมาแล้วก่อนที่ทั้งคู่จะจูบกันก็จริง แต่มินหาข้อแก้ตัวอะไรที่มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ส่วนคนที่ฟังอยู่ก็นิ่งไม่พูดอะไร

     " ไม่ใช่นะมิ้ลค์ ที่กูกำลังทำตากี้...กูกำลังหาแฟ้ม " คราวนี้เป็นอาร์มที่นึกจะแก้ไขสถานการณ์บ้าง แต่เพื่อนสนิทของเขาก็ยังนิ่งอยู่เหมือนเดิม แถมปล่อยออร่าดำ ๆ มามากกว่าเก่าจนสองคนนี้เริ่มตัวจะสั่นกันแล้ว

     " มันไม่มีอะไรจริง ๆ นะพี่มิ้ลค์ ! " มินเน้นย้ำอีกครั้งถึงรู้ว่ามันไม่เป็นผลแก่พี่ชายของเขา แต่ขอทำอะไรมากกว่าการอยู่เฉย ๆ ดีกว่า ส่วนอาร์มที่หน้าซีดไปแล้วก็นึกถึงคำพูดบางอย่างที่แก้ไขสถานการณ์ออก

     " มิ้ลค์ กูขอโท.. " ทั้งสองสะดุ้งตัวแทบลอยเมื่อสายตาดุ ๆ ของคนที่เหนือกว่าตอนนี้ได้เลื่อนลงมามอง เหงื่ออาร์มเริ่มไหล่เมื่อมิ้ลค์ได้สาวเท้าเข้ามาใกล้ ๆ แม้ห้องจะเย็นวาบก็ตามที

     กูต้องโดนต่อยแน่ ๆ เลย มิ้ลค์ กูขอโทษษษษ

     " หลังจากนี้กูฝากมินไว้กับมึงด้วยล่ะ " มิ้ลค์กระซิบข้างหูพลางตบบ่าเพื่อนสนิทคนนี้ราวกับว่าหาคนดูแลทั้งกายใจน้องของตนได้แล้ว ก่อนจะเดินจากออกห้องไปอย่างไร้ขอสงสัย

     อาร์มลุกขึ้นหันไปมองแผ่นหลังของมิ้ลค์ที่เดินออกไปเหมือนกับยกภูเขาออกจากอก แม้มินจะสงสัยว่าพี่ของเขาได้กระซิบบอกอะไร แต่ก็ไม่ได้ซักถามกับอาร์มต่อ

     เออ น้องมึงอะ เดี๋ยวกูจะดูแลให้เอง !

     อาร์มสัญญากับเพื่อนของเขาในใจ

####

     " อะ ร้อน ๆ เลยนะ " เสียงของบุคคลที่เขาเคารพรักยกอาหารจานอร่อยมาให้เด็กหนุ่มผิวขาวทั้งสอง ภายในห้องครัวที่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา

     " ม๊าทำแกงส้มเป็นด้วยเหรอ !? " เหมือนคนพี่จะไม่ได้สนใจแค่ข้าวเช้าที่เสิร์ฟเป็นแกงส้มเพียงอย่างเดียว แต่รวมไปถึงความฉกาจในฝีมือของแม่ตัวเองที่ทำเมนูนี้ได้

     " ได้สิมิ้ลค์ ง่ายจะตาย อร่อยด้วยนะจะบอกให้ " สีหน้าอิ่มเอิ่มของมิ้ลค์ที่ได้ลองซดคำแรก คนที่โอ้อวดสรรพคุณเมื่อกี้ไม่ได้พูดเล่น ๆ เลย " รีบกินซะนะมิน เดี๋ยวไปรายงานตัวเข้าเรียนไม่ทัน " ถึงม๊าจะเดินขึ้นไปปลุกลูกชายคนเล็กซะเช้ากว่าปกติ แต่ท่านก็ยังคงรักษาเวลาไว้ เพื่อให้การไปรายงานตัวเข้าโรงเรียนเดียวกันกับพี่ชายของเขานั้นทันเวลา

     " ครับ " มินในชุดนักเรียนถูกระเบียบร้อยเปอร์เซ็นต์ตอบรับแม่ของเขาก่อนจะลงมือรับประทานอาหารบ้าง

     " ดีเหมือนกันเนอะที่น้องแกสอบเข้าที่นี่ได้ จะได้ฝากแกดูแลน้องไปด้วยเลย " ระดับชั้นม.ต้นของมินนั้นก็ได้อยู่โรงเรียนชายล้วนเช่นกัน แต่ไม่ได้อยู่โรงเรียนเดียวกันกับมิ้ลค์ตั้งแต่แรก

     " ครับป๊า แล้วไม่ให้พี่ไปด้วยจะไหวแน่นะ ? " มิ้ลค์ตอบคำถามของป๊าก่อนจะหันไปมาถามผู้เป็นน้อง มินพยักหน้าอย่างมั่นใจ

     " ครับ เรื่องแค่นี้มินทำได้ "

     ตลอดบนรถที่มินได้นั่งอยู่เบาะหลังโดยมีป๊าเป็นคนขับและม๊าเป็นตุ๊กตาข้าง ๆ เด็กคนนี้ดูจะตื่นเต้นกับการรายงานตัวระดับม.ปลายไม่น้อย มือของเขาถือเอกสารสำคัญไว้มากมาย ไม่ต้องเป็นห่วงว่ามินจะลืมอะไร เพราะเจ้าตัวตรวจเอกสารครั้งแล้วครั้งเล่าตามนิสัยรอบคอบกับทุกสิ่ง

     จนกระทั่ง CRV คันสวยได้เข้ามาจอดภายในตัวโรงเรียน มินแปลกตากับสถานที่แห่งนี้มาก ผิดกับป๊าและม๊าที่เคยมาอยู่บ่อย ๆ ทีมนักเรียนกลุ่มหนึ่งกล่าวสวัสดีผู้ปกครองที่หลั่งไหลมาส่งบุตรหลาน พลางนำทางให้นักเรียนหน้าใหม่ได้ขึ้นไปรายงานตัวที่หอประชุม

     " รบกวนคุณพ่อและคุณแม่น้องรออยู่ด้านล่างก่อนนะครับ " นักเรียนจากสภาฯ คนหนึ่งที่หน้าอกติดคำว่า ' สต๊าฟ ' อยู่หรา บอกป๊าและม๊าของมินที่เดินมาด้วยกัน

     " รออยู่แถว ๆ นี้ก็ได้ครับป๊า เดี๋ยวมินมาแปปเดียว ดูแลม๊าด้วยล่ะ " สิ้นคำลามินก็เดินตามพี่คนนั้นไป..

     หอประชุมอันไม่คุ้นตานี้ บรรจุนักเรียนเก่าและใหม่อยู่อย่างเนืองแน่น นักเรียนคนไหนที่มาช้าก็อาจจะล่วงเลยเวลาทำการไปสักหน่อย นักเรียนคนไหนมาเร็ว การรายงานตัวในเช้าวันนี้คงใช้เวลาไม่นาน

     " คนต่อไปค่ะ " หลังจากที่มินนั่งรออย่างใจจดใจจ่ออยู่นานก็ได้ลุกไปตามคำสั่งของท่านอาจารย์ท่านหนึ่ง อาจารย์ผู้หญิงคนนั้นหน้าตาค่อนข้างดุดัน ซึ่งผิดกับน้ำเสียงที่ราบเรียบ " ชื่ออะไรคะ ? "

     " สวัสดีครับ ผมนายกันต์ธีร์ ไชยวัฒน์ มาจากโรงเรียน XXX ครับ " มินสวัสดีอาจารย์ท่านนี้อย่างนอบน้อม



     " ขอตรวจเอกสารหน่อยนะ "

     " ครับ " มินยื่นเอกสารที่ตนตรวจสอบไปแล้วไม่ต่ำกว่าสิบรอบให้ หน้าดุ ๆ ของอาจารย์เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มทันทีหลังจากได้ตรวจเสร็จ

     " เอกสารครบนะ เดี๋ยวนักเรียนเดินไปตรวจสุขภาพชั้นสองเลยจ่ะ " อาจารย์คนนั้นรับเอกสารทั้งหมดไว้ก่อนจะปล่อยตัวมินไปดำเนินการขั้นตอนต่อไป

     " ครับ "

     มินเดินออกมาจากหอประชุมด้วยความภาคภูมิเล็ก ๆ ว่าผ่านด่านแรกไปอย่างง่ายดาย เห็นทีว่าคงไม่มีปัญหาใด ๆ อีก แต่ไม่ทันไรก็พบอุปสรรคเข้าจนได้ ด้วยความที่ไม่คุ้นเคยกับสถานที่ ทำให้มินพาตัวเองไปยังที่ที่ตนไม่รู้จักเข้าจนได้

     " เอ่อ...น้องครับ " มินหันตัวกลับมาตามต้นเสียงนั่น ปรากฏเป็นผู้ชายที่หน้าตาเหมือนเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง " มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าเอ่ย ? " นักเรียนตัวขาวมองหน้าผู้หวังดีสลับกับตัวอักษรที่โชว์หราถึงตำแหน่งบางอย่างใต้ปกเสื้อ หน้าเหมือนเพื่อนพี่มิ้ลค์ที่เคยมาบ้านเลยแฮะ

     " ผมต้องไปตรวจสุขภาพอะครับ แต่ผมไม่รู้ทาง " มินขำแห้ง ๆ อย่างคนจนตรอกแต่ทางพี่เขาก็เข้าใจดี

     " เดี๋ยวพี่พาไปส่งนะ "

     " ครับ "

     จวบจนพี่ชายปริศนาได้เดินมาเป็นธุระให้มินสำเร็จ บางคำพูดของคนเป็นน้องก็พูดออกมาจากใจจริง

     " ขอบคุณพี่ชายมาก ๆ นะครับที่เดินมาส่งผม " คนพี่ส่ายหน้าอย่างยินดี

     " ไม่เป็นไรครับ มันเป็นหน้าที่ของพี่ " มินพงกหัวรับอีกรอบก่อนที่ทางนั้นจะเดินจากไป แต่เดินไปได้แค่ไม่กี่ก้าว พี่เขาก็หันมาพูดอะไรบางอย่าง

     " ยินดีต้อนรับสู่รั่วโรงเรียนนี้นะครับ " มินยิ้มให้กับคำพูดเหล่านั้นก่อนจะเดินเข้าห้องพยาบาลไป..

     ประธานนักเรียนเหรอ..

     โคตรเท่ !

- Not to be unlocked -

ออฟไลน์ LKPOW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Not to be unlocked : Episode 34 : ขอกอดหน่อยนะ



     ใช่มั้ยล่ะ !! ผมว่าแล้วไอคนที่มินมาขอคำปรึกษาวันนั้นคืออาร์มจริง ๆ !!! ห้ะ ? ผมตื่นเต้นเกินไปเหรอ ? โอเค ๆ เอาใหม่ บอกแล้วว่าไออาร์มต้องมาปรึกษาเรื่องมินชัวร์ ๆ !!! เอ้า !? ยังตื่นเต้นอยู่อีก ! เออ ๆ ชั่งแม่งละกันครับท่านผู้อ่าน แต่ก็ตามที่เรียนไว้ข้างต้นนั่นแหละว่าผมค่อนข้างตกใจมาก ๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเย็น ไม่น่าเชื่อนะครับว่าเด็กดีอย่างมินจะกล้านิ่งดูดายให้ไอประธานสันดานเสียแบบนั้นมาจูบปากได้ คิดไปคิดมาแล้วก็รู้สึกเสียดายว่ะที่ผมแม่งสะเหล่อดันไปเปิดประตูขัดลาภเสียก่อน รู้งี้นะแอบแง้มประตูอัดคลิปไว้แบล็กเมล์ดีกว่า เผื่อวันไหนอยากกดขี่ข่มเหงไออาร์มค่อยเอาคลิปนี้ไปประจาน หึหึ



     ที่บ้านจะว่ามั้ยเรื่องที่มีแฟนน่ะเหรอครับ ? หมดห่วงไปได้เลยเพราะป๊าและม๊าไม่เคยห้ามเรื่องนี้ การคบหาดูใจกับใครคนหนึ่งท่านทั้งสองเน้นย้ำให้ฟังอยู่ตลอดว่าควรให้เกียรติคู่ของเราทั้งทางตรงและทางอ้อม ถึงเขาจะไม่ค่อยแสดงออกว่าคิดเห็นกับเราอย่างไร แต่ท่านก็ยังเป็นห่วงเราอยู่ห่าง ๆ เสมอ เขาเลี้ยงพวกเราด้วยความเข้าใจ มีปัญหาอะไรก็ปรึกษากันได้เหมือนเพื่อน ตอนนี้สถานะของมินและอาร์มมันดำเนินไปถึงไหนผมก็ไม่อาจทราบได้ ยังไงซะผมก็ขอทำหน้าที่ดูแลมินเหมือนเป็นป๊าและม๊าคนที่สองไปก่อนแล้วกัน หากมันชัดเจนมากกว่านี้แล้ว เส้นทางที่สองคนนี้เลือกเดินจะถูกเปิดออกอย่างไม่มีใครขวางเป็นแน่ ถึงจะเป็นเพศผู้เหมือนกันก็ตาม



     ด้วยเหตุนี้เองพี่ชายแสนที่ดีก็ขอแกล้งน้องชายสักหน่อยก็แล้วกัน หึหึ ตอนนี้เป็นเวลาที่มินยังไม่กลับถึงบ้านครับ คงมีธุระอยู่ที่โรงเรียนโน่น ดังนั้นผมเลยรีบกลับบ้านมาตั้งแต่หลังจากที่เจอทั้งคู่อยู่ด้วยกัน เอาเป็นว่าผมจะจัดการน้องชายคนนี้ยังไงเดี๋ยวรอดูได้เลย



     ผมตอนนี้สภาพของผมเหลือเพียงชุดนักเรียนที่ถอดถุงเท้าออกแล้วโดยนั่งพิงอยู่โซฟาชั้นล่าง มีแค่ทางนี้ทางเดียวเท่านั้นครับที่มินจะเดินผ่านไปชั้นสอง หึหึ ผมนั่งดักรอเจ้าน้องชายพลางถือรีโมทหาช่องดูในทีวีไปเรื่อย อืมมมม แก๊งการ์ตูนที่มินชอบดูมันเลขอะไรวะ ? ปกติผมไม่ค่อยดูการ์ตูนเท่าไหร่หรอก ถ้าให้ชอบจริง ๆ คงมีแค่โปเกมอนอย่างเดียวล่ะมั้งที่ดู



     เฟิร์สเหรอครับ ? ก่อนกลับมันก็แวะโทรมาถามผมนะว่าอยู่ไหน ผมไล่มันกลับบ้านไปแล้วแหละ เห็นบอกมีรายงานส่งพรุ่งนี้ผมเลยให้ไปรีบทำ แม่งจะมาอยู่กับผมน่ะสิ เฮ้อ..



     ในที่สุดเสียงวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างก็บึ่งมาจอดหน้าบ้าน ผมลุกพรวดพราดวิ่งไปชะเง้อด้านนอกผ่านผ้าม่านนี้ มินกำลังจ่ายตังอยู่ครับ ! ผมกระโดดขึ้นโซฟาโดยพลันก่อนจะดึงหน้าตัวเองให้ตึงราวกับอาฆาตมาดร้ายน้องตัวเอง เอาล่ะ ได้เวลาถ่ายหนังกันแล้ว หึหึ



     ผมหน้านิ่งมองไปที่ทีวีอย่างรอคอยให้เจ้าตัวแสบเดินเข้ามา หางตาเห็นเหลือบ ๆ ว่ามินกำลังถอดรองเท้าอยู่ก่อนจะก้มหน้าเดินผ่านผมไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น งั้นกระผมก็..



     แอคชั่น !!



     " จะรีบไปไหน ? " น้ำเสียงราบเรียบแต่แสนเย็นชาของผม เรียกให้ฝีเท้าของมินหยุดชะงัก



     " พะ...พี่มิ้ลค์ มีอะไรหรือเปล่าครับ ? " มินที่เดินผ่านไปแล้วค่อย ๆ หันมามองผมด้วยสีหน้ายำเกรง พี่น่ะไม่มีหรอก แต่จะตอแหลให้มันมีก็ใช่เรื่องยากที่ไหน ผมหยิบรีโมทข้าง ๆ ตัวมาปิดก่อนจะวางลง



     " พี่ขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ " ประธานนักเรียนคนใหม่ตรงหน้าทำสายตาลอกแลกก่อนจะค่อย ๆ เดินมานั่งข้างผมโดยกระเป๋ายังพาดบาดอยู่ ก๊ากกกกกก ขำว่ะ



     " มีอะไรเหรอครับ ? " มินพูดด้วยท่าทีเกร็ง ๆ อย่าพึ่งหลุดขำนะไอมิ้ลค์ เดี๋ยวความแตกล่ะเป็นเรื่อง



     " นานหรือยัง ? " มินขมวดคิ้วมองใบหน้าตอบผม



     " อะไรครับนาน ? " เฉไฉซะด้วย วันนี้ผมต้องคลายทุกอย่างออกมาจากปากมินให้หมด หึหึ



     " เรากับอาร์มน่ะ นานหรือยัง ? " ผมสร้างความกดดันให้มินโดยการจ้องหน้านิ่ง ๆ ควบคู่กับคำพูด



     " เรายังไม่เคยทำแบบนี้กันเลยนะครับ " เดี๋ยว ๆ กูกำลังจะถามว่าคบกันนานหรือยังทำไมได้คำตอบอย่างอื่นล่ะ ? ชั่งเถอะ ยังไงก็ข้อมูล



     " คบกับมันแล้วใช่มั้ย ? " มินส่ายหน้าถี่



     " ไม่เคยพูด พี่มิ้ลค์มั่วล่ะ " เฮ้ย ! กูจะต้องไม่ให้มันย้อนแยงได้สิ !!



     " แล้วเมื่อเย็นคืออะไร ? " ผมถามโทนเสียงต่ำ



     " .......... " เงียบกริบ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ มินผลุบหน้าลงต่ำอย่างไม่มีคำตอบใด ขอดูหน่อยเถอะว่าจะแก้ตัวยังไง ฮ่า ๆ



     " ก็...ก็ไม่มีอะไร " แกกำลังจะโดนมันจูบอะนะไม่มีอะไร !!!?



     " ไม่มีอะไรแล้วจะจูบกันทำไม ? "



     " .......... " เงียบอีกแล้ว เงียบอย่างงี้พี่ก็ไม่รู้นะเส้ ! เห็นทีผมต้องลดดีกรีตัวร้ายลงแล้วว่ะ



     " พูดมาเถอะพี่ไม่ว่าเราหรอก "



     " .......... " สรุปจะไม่พูดใช่มั้ย ? งั้นถามอย่างอื่นแทน



     " คนที่เราเคยมาปรึกษาคืออาร์มใช่มั้ย ? " มินพยักหน้ายอมรับอย่างยากลำบาก



     " แล้วรู้สึกแบบนี้นานหรือยัง ? " สายตาของมินกล้าที่จะมองผมแล้ว แต่แค่ชั่วพริบตาเท่านั้น



     " หลังทำงานกับพี่อาร์มได้สักพักล่ะมั้งครับ " โห...นานพอดูเลยนี่หว่า



     " แล้วรู้หรือยังว่าคิดอะไรกับเขา ? " มินเงียบไปครู่หนึ่งก่อนตอบคำถามของผมโดยการส่ายหัวไปมา



     " ไม่รู้ " ลูกบ้านนี้เป็นอะไรกันทำไมถึงไม่รู้ใจตัวเองกันสักคนเลยวะ ? เดี๋ยว ! ตบปากตัวเองเลยนะไอมิ้ลค์ ! มึงจะบ่นให้เข้าตัวทำไมเนี่ย !!



     " อะ ๆ ไม่รู้ก็ไม่รู้ งั้นมินก็ไปหาคำตอบกับอาร์มแล้วกันนะว่าความรู้สึกที่เรามีให้มันคืออะไร พี่ไม่ว่าเราหรอกนะถ้าสมมุติได้คบกันขึ้นมาจริง ๆ ที่สำคัญ เราต้องดูแลตัวเองให้เป็น เข้าใจมั้ย ? " มินมองหน้าผมอย่างอึ้ง ๆ



     " พี่มิ้ลค์ไม่ได้โกรธมินเหรอ ? " ชิบหาย นี่กูเลิกเล่นบทตัวร้ายตั้งแต่เมื่อไหร่ ? กูว่าจะแค่ลดเองนะ เอาเถอะ ผู้กำกับสั่งคัทเลยครับ



     " ไม่หรอก " ผมพูดก่อนจะเอื้อมมือไปขยี้หัวมินอย่างเอ็นดู ในที่สุดหน้าอันไร้สีสันของน้องชายคนนี้ก็ถูกแต่งเติมด้วยรอยยิ้มเสียที



     " มินรักพี่มิ้ลค์ที่สุดเลย " ตัวแสบข้าง ๆ อ้าวงแขนมากอดผมทั้งตัว อารมณ์ดีแล้วสินะ หึหึ



     " ไปอาบน้ำแต่งตัวปะ แล้วเดี๋ยวพี่ทำของอร่อย ๆ ให้กิน " ผมขยี้หัวมินเป็นครั้งสุดท้ายพลางปล่อยให้ทางนั้นได้ขึ้นไปทำธุระส่วนตัว



     ในที่สุดก็รู้สักทีว่าคนในใจของมินคือใคร หึหึ



     เอ๊ะ !?



     ทันทีที่มินเดินหายไปแล้ว เสียงริงโทนประจำเครื่องโทรศัพท์ของผมก็แหกปากเสียงดัง ผมหยิบมันขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงโดยอ่านชื่อบุคคลที่ปรากฏอยู่ในหน้าจอ นี่มึงมาแอบดูอยู่หน้าบ้านหรือเปล่าเนี่ย ทำไมเหมือนมึงรู้เวลาว่ากูว่างตอนไหนเลยวะ ?



     " การบ้านเสร็จแล้วรึไงถึงได้โทรมา ? "



     " ยัง แต่คิดถึงเลยโทรมา " ทำเสียงออดอ้อนก็เป็นนะไอเฟิร์ส ! พอเลิกตีกับกูก็เอาใหญ่เลยนะ



     " ไปทำการบ้านให้เสร็จก่อนแล้วค่อยมาคุย " ผมพูดขณะลุกขึ้นหมายจะไปเข้าครัว



     " ไม่เอาอะ จะคุยก่อน พรุ่งนี้รีบมาแต่เช้าด้วย " พรุ่งนี้ ? พรุ่งนี้วันอะไร ? แล้ววันนี้วันอะไร ? ทำไมกูต้องรีบไปแต่เช้าพรุ่งนี้ด้วย ?



     " ทำไมอะ ? " นี่ผมเรียนจนลืมคืนลืมตะวันเลยเหรอ ?



     " ไม่มาทำงานที่ร้านรึไง ? " ห้ะ !? นี่วันศุกร์แล้วเรอะ !



     " อ๋อ โอเค งั้นไว้เจอกันพรุ่งนี้ " ผมว่าพลางเปิดตู้เย็นเพื่อหาวัตถุดิบสำหรับมื้อนี้



     " แล้วทำอะไรอยู่ ? "



     " ทำกับข้าว ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องคุยเลยนะ ไปทำการบ้านก่อน แล้วจะคุยค่อยโทรมา " ผมกำชับไอเฟิร์สอีกรอบ



     " ไม่อาว จะคุยก่อน " นี่มึงเป็นเด็กม.5 หรือเด็กปัญหาอ่อนกันแน่วะไอเฟิร์ส ? พูดไม่รู้เรื่องรึไง



     " ถ้าการบ้านไม่เสร็จกูจะไม่รับสายมึง โอเคเนอะ ? " เย็นนี้ทำผัดกะเพราดีกว่า เอ...หรือผัดผักบุ้งไฟแดงดี



     " ใจร้าย " นี่คือวิธีดัดสันดานเด็กนิสัยไม่ดีครับ หึหึ " งั้นเดี๋ยวกูรีบมานะ ถือโทรศัพท์รอไว้ได้เลย "



     " เออ แค่นี้นะ " ผมกดตัดสายก่อนจะนำโทรศัพท์ยัดเข้ากางเกงเหมือนอย่างเก่า



     จริง ๆ เล๊ยไอเฟิร์สเนี่ย



####



     เช้าวันรุ่งขึ้นผมเดินทางไปทำงานด้วยรถราที่ราบรื่นถนัดตา คงเป็นเพราะวันหยุดเด็กนักเรียนส่วนใหญ่เลยใช้เวลาว่างอันมีค่านี้นอนอยู่บ้านกันหมด บน BTS ถึงจะมีผู้คนเบียดเสียดกันมากจนแทบหายใจไม่ออก แต่ผมก็ไม่ได้ร้อนรนเสียเท่าไหร่เพราะเป็นเรื่องปกติจนชินไปแล้ว เมื่อคืนกว่าเฟิร์สจะไปนอนได้ก็เที่ยงคืนกว่าครับ แม่งมีหน้ามาบอกให้ถือโทรศัพท์รอไว้เลย แต่เสือกโทรกลับมาตอนสามทุ่ม ! หึ มันคงคิดสินะว่ารายงานของอาจารย์พรทิพย์จะง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากแล้วใช้เวลาทำแค่แปปเดียว มึงอย่าเข้าใจผิด มันยากเหมือนแดกกล้วยที่ขึ้นในป่าหิมพานต์ต่างหากล่ะ !!



     พอมาถึงร้าน บุคคลที่เสนอหน้ามาต้อนรับตั้งแต่ผมเปิดประตูคือไอเฟิร์ส มันมองผมด้วยรอยยิ้มตั้งเดินเข้าร้านจรดไปถึงตอกบัตร ไอนี่อาการชักจะหนักขึ้นไปทุกที เดี๋ยวกูพาไปส่งศรีทันยาดีมะ ?



     " มองบ้าอะไรนักหนา งานการไม่มีทำรึไง ? " ผมขมวดคิ้วอย่างขัดใจก่อนจะรับบัตรที่เด้งขึ้นจากเครื่องมาเสียบไว้ข้าง ๆ เหมือนอย่างเก่า



     " ก็มองแฟ...มองมึงนั่นแหละ ใครจะทำไม ? " อะไรแฟร์ ๆ นะ ? จะไปงานเกษตรแฟร์เหรอ ? น่าไปเหมือนกันนะ สาว ๆ แจ่มทั้งนั้น หึหึ



     " อยากทำไรก็ทำ แล้วแม่มึงอะ ? " ทุกเช้าที่ประจำของเขาคือตรงที่มันนั่ง ณ ตอนนี้นี่แหละ แต่ตอนนี้ตัวอยู่ไหนกันล่ะหว่า เฟิร์สอยู่ร้านแต่คุณขวัญไม่อยู่มันน่าแปลก



     " ชั่งแม่กูเหอะ " เฟิร์สเดินจากโต๊ะทำงานของแม่มันมาดันหลังผม " ไปทำงานของเรากันเถอะ " เอ...มึงอารมณ์ดีผิดมนุษย์หรือเปล่าวะเฟิร์ส ไปแดกอะไรมาล่ะเนี่ย ?



     เอาเถอะ ดีกว่ามันหน้าบึ้งมองผมแล้วกัน



     ช่วงเช้าการทำงานก็เป็นไปอย่างเรียบง่ายครับ ส่วนมากก็จะเป็นงานง่าย ๆ อย่างเด็ดผัก หั่นผัก หั่นเนื้อ ยกของที่เขามาส่งหลังร้านเข้าตู้ พึ่งทราบจากน้าแดงนี่แหละว่าคุณขวัญไปรับวัตถุดิบที่สะพานปลาก็เลยแวะมาส่งลูกชายของเขาก่อน แล้วก็ต้องมาตกใจนิดหน่อยว่าจะมีคนงานมาเพิ่มด้วยคนนึงซึ่งผมก็ไม่รู้จักหรอก (เฟิร์สบอกว่าแม่จ้างมาเพิ่ม) จนได้เห็นเขาเดินเก ๆ กัง ๆ เข้ามาพร้อมกับคุณขวัญตอนเก้าโมงกว่า น้องเขาแนะนำตัวว่าชื่อเมย์ เป็นผู้หญิงอายุราว ๆ สิบห้าหยก ๆ สิบหกหย่อน ๆ (ผมกับเฟิร์สแก่กว่าปีนึง) และก็เป็นผมที่ได้รับหน้าที่เทรนงานต่าง ๆ ให้เมย์และเฟิร์ส ที่ต้องย้ำไอห่านี่อีกรอบเพราะแม่งไม่ได้มาทำงานตั้งเกือบเดือน วิชงวิชาห่าเหวอะไรเฟิร์สมันลืมไปหมดแล้ว น้องเมย์เขาตั้งใจฟังมากกกก ผิดกับไอเฟิร์สที่แม่งกวนตีนขณะผมสอนทุกครั้ง สุดท้ายแล้วเวลาในการสอนก็มีไม่มากพอที่จะให้สองคนนี้นำไปใช้จริงขณะร้านเปิด เป็นว่าพี่ต๋องเลยจับไปยืนคู่กันตรงอ่างล้างจานแทน สมน้ำหน้า !



     ตกบ่ายพอได้พักหายใจหายคอกับมื้อกลางวันก็ต้องกลับไปวุ่นกับงานข้างในต่อ พระเจ้า ! นี่เป็นเคสแรกของวันเลยครับที่ผมขอยกให้เป็นทอล์กออฟเดอะทาว คือมีลูกค้าโต๊ะหนึ่งเขาสั่งกะพงทอดน้ำปลาขอกรอบ ๆ แต่ไม่ไหม้ โอเคกูเก็ท ก็เลยตะโกนบอกพี่แหลมประจำครัวทอดไปอย่างนี้ ผมจัดจานออเดอร์อื่นรออยู่ครู่หนึ่งปลากะพงอันแสนน่ารับประทานที่อยู่ในขอบเขตของคำว่า ' กรอบ ' แต่ ' ไม่ไหม้ ' ก็ลอยมาอยู่ตรงหน้า ผมเช็กทุกอณูขุมขนของเนื้อปลาแล้วว่ากรอบแต่ไม่ไหม้จริง ๆ เลยจัดจานให้พี่ก้อยฝ่ายบริการไปเสิร์ฟ ผมหายใจเข้าออกได้อีกนิดหน่อยปลากะพงตัวนั้นก็ลอยมาอยู่ตรงหน้าผมอีกรอบ แถมโดนคอมเพลนกลับมาว่า ' ไหม้ ' อีกด้วย ผมกะพริบตาปริบ ๆ มองตรงที่พี่ก้อยชี้ไปยังหางปลาเพราะลูกค้าเห็นว่ามันไหม้ แต่ไหนวะไหม้ !!!? ด้วยความหัวร้อนครับ ผมเลยเดินไปจัดการเมนูนี้ด้วยตัวเองจนได้ตามที่ลูกค้าสั่งเป๊ะ ๆ ทั้งยังฝากพี่ก้อยไปอีกว่าถ้าเขาคอมเพลนอีกให้กลับมาบอกด้วย ปรากฏว่าลูกค้าไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าใด ๆ แล้วครับ ทั้งที่ปลาตัวที่เสิร์ฟก่อนหน้านี้กับตัวล่าสุดคือตัวเดียวกัน แค่พลิกจากอีกด้านนึงเสิร์ฟก็เท่านั้นเอง..



     ถ้าวันหนึ่งท่านผู้อ่านได้มีโอกาสทำงานร้านอาหารแล้ว ทุกท่านต้องใจเย็น ๆ กับลูกค้านะครับ อย่าหัวร้อนเหมือนผม



     หลังจากที่โบกมือบ๊ายบายภาระงานอันใหญ่หลวงของวันเสาร์ไปเป็นอันมบูรณ์แล้ว ก็ถึงเวลากลับบ้านกลับช่องเสียที แต่คิดเหรอว่าเมื่อผมอยู่กับเฟิร์สแล้วจะเป็นแบบนั้น ! เหอะ



     " เหนื่อยมั้ย ? " เป็นคำถามครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ที่เฟิร์สถามในวันนี้ ทำงานมันก็ต้องเหนื่อยสิ ตอนนี้เบาะหลังของแท็กซี่ได้มีผมนั่งอยู่ข้าง ๆ คนที่ชวนไปสยามเป็นที่เรียบร้อย



     " เหนื่อย " ผมพูดขณะมองรถที่ติดกันยาวเหยียดเป็นหางว่าวจากด้านข้าง กูบอกเลยนะเฟิร์สว่านี่ไม่ใช่นิยายที่จะเห็นหน้าพระเอกหรือนางเอกแล้ว งานที่ทำมาทั้งวันมันจะหายไปในพริบตา หึ แล้วระหว่างผมกับเฟิร์สใครได้เป็นพระเอก ? เบาะนิ่ม ๆ ยวบลงไปราวกับมีคนเขยิบมา



     " นอนมั้ย ? กูเป็นหมอนให้ " เฟิร์สวาดแขนมาวางบนบ่าผมทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ขอเลยสักแอะ มันคงไม่ได้กลิ่นอาหารที่ติดเสื้อผมหรอกมั้ง



     " งั้นขอหนุนหน่อยละกัน " ผมกระเถิบตัวเองไปใกล้ ๆ เพื่อวางศีรษะให้พอดีกับไหล่เฟิร์ส พี่แท็กซี่เขาหันมาเหล่เราแว็บนึงครับ แต่คงไม่ได้ติดขัดอะไร



     " แล้วชวนมาสยามคิดไว้แล้วเหรอว่าจะไปไหน ? " หน้าของเฟิร์สที่ผมเห็นจากด้านล่างมองลงมาอย่างใช้ความคิด



     " อืมม ไม่รู้ดิ แค่มีมึงอยู่ข้าง ๆ เดี๋ยวก็มีอะไรทำเองแหละ " พูดเหมือนกูทำได้ทุกอย่างเลยนะไอเฟิร์ส



     " จะหวังอะไรกับกูเฟิร์ส กูมันน่าเบื่อจะตาย " ผมมองลอดออกหน้าต่างอย่างหาที่จับจุดไม่ได้ ไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมพูดดูถูกตัวเองเฟิร์สจะทำหน้ายังไง



     " มึงไม่ใช่แค่ความหวังของกูอย่างเดียวนะมิ้ลค์ มึงเป็นทั้งความสุข มึงเป็นทั้งรอยยิ้ม มึงเป็นอะไรหลาย ๆ อย่างในชีวิตกู ตั้งแต่มีมึงเข้ามาในชีวิต กูได้รู้จักสีสันที่หลากหลายเลยจริง ๆ ว่ะ " หื้มมมม ถ้าผมเป็นพี่โชเฟอร์แล้วโดนคำพูดแบบนี้เข้า คงเปิดประตูรถไปอ้วกไม่ทันแน่ ๆ



     " ปากดี กูยังไม่มั่นใจตัวเองเลยว่าจะทำให้มึงรักได้มากกว่านี้หรือเปล่า " นี่เป็นสิ่งที่ผมยังคอยกังวลอยู่ในใจ ถ้าผมเป็นคนดีมากกว่านี้ อดีตอันเลวร้ายที่ติดตรึงอยู่ในใจคงไม่เกิดขึ้นเป็นแน่



     " ที่กูกล้ามาสารภาพรักกับมึงก็เพราะมึงเป็นมึงนี่แหละ ไม่ต้องพยายามอะไรให้กูรักมึงมากกว่านี้หรอก " เฟิร์สพูดพลางเอามือข้างที่พาดอยู่ขึ้นมาลูบหัวผมเล่นประกอบ



     เฟิร์สจะเห็นมั้ยน้าว่าผมแอบยิ้มอยู่ :)



     เสียงรินโทนไม่คุ้นหูดังขึ้นจากคนข้าง ๆ ผมลุกจากอ้อมแขนของเฟิร์สเพื่อให้ทางนั้นได้รับโทรศัพท์สะดวก



     " ครับแม่ จะไปสยามครับ มากับมิ้ลค์ " แล้วมันก็หันมามองหน้าผมด้วยรอยยิ้มเหมือนกับดีใจอะไรสักอย่าง " เอาสิครับ ! " ก่อนจะยื่นไอโฟนมาให้ " แม่จะคุยด้วย " ผมขมวดคิ้วอย่างสงสัยว่าคุณขวัญจะมาขอคุยอะไรตอนนี้ แล้วทำไมลูกของเขาถึงต้องดีใจด้วย



     ผมรับโทรศัพท์เครื่องนั้นมาแนบหู " มีอะไรหรือเปล่าครับแม่ขวัญ ? "



     " น้องมิ้ลค์ คืนนี้น้องมิ้ลค์ว่างหรือเปล่าจ๊ะ ? "



     " ทำไมเหรอครับ ? " ถามเผื่อไว้ก่อนน่ะครับ เพราะก็มีหน้าที่ต้องดูแลน้องเหมือนกัน



     " พอดีแม่จะชวนมากินข้าวที่บ้านน่ะจ่ะ คงรบกวนให้มิ้ลค์ทำอาหารอร่อย ๆ ให้แม่ทานอีกนั่นแหละ มิ้ลค์พอจะมาได้หรือเปล่าลูก ? " ผมเหล่ดูไอหน้าหล่อข้าง ๆ ที่ตอนนี้พงกหัวถี่ให้คำตอบแทนแล้ว



     " เอ่อ...ครับ "



     " งั้นเราก็ซื้อของมาจากสยามเลยนะ เราอยากกินอะไรเพิ่มก็เอาตังที่เฟิร์สซื้อละกัน เดี๋ยวแม่ไปเคลียร์กับเฟิร์สเอง " เบื่อจริ๊งงงงงคนรวยเนี่ย



     " ครับ " ผมมองค้อนไอห่านั่นที่กำลังยิ้มเผล่อยู่ด้วยความหมั่นไส้



     " แล้วเจอกันจ่ะ " คุณขวัญอำลาผมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนสัญญาณตัดสายจะดับลง



     " เป็นไงบ้าง ? " ผมคืนอุปกรณ์สี่เหลี่ยมแก่เจ้าของก่อนจะเสตามองออกไปด้านนอก



     " อืม "



     " เย้ !! " แล้วมันก็ตะโกนลั่นรถอย่างดีใจ แหกปากอย่างเดียวไม่พอครับ แถมอ้าแขนมากอดผมอีก โอ๊ยย มันน่าดีใจตรงไหนเนี่ยแค่ไปทำกับข้าวบ้านมึงเอง



     โว้ะ



####

ออฟไลน์ LKPOW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
EP.34 (ต่อ)

     หลังจากไปเที่ยวเตร็ดเตร่ที่พารากอนอยู่สองสามชั่วโมง ก็ถึงเวลากลับมาทำมื้อดึกให้คุณขวัญและลูกชายของเขาเสียที แต่ก่อนจะเดินเข้าครัวผมมีอะไรจะมาฟ้องท่านผู้อ่านด้วย ฮืออออ เมื่อตอนอยู่ร้าน Pablo เฟิร์สมันดุว่าผมนั่งไม่หวงเนื้อหวงตัวเลย ประมาณว่านั่งอ่อยชาวบ้านเขาไปทั่ว (ทั้ง ๆ ที่ก็นั่งแหกขาอยู่แบบนี้ประจำ) เราสองคนเถียงกันอยู่พักใหญ่เลยกว่าผมจะยอมหยุด ก็ผมไม่ผิดนี่หว่า แม่ง ส่วนน้องมินที่ไม่มีใครดูแลอยู่บ้านผมจัดการโทรเรียกไออาร์มไปประจำการเป็นที่เรียบร้อยครับ ในตอนแรกมันจะชวนผมไปกินเหล้าที่ร้านพี่หลินสองคนนั่นแหละ แต่พอรู้ว่ามินอยู่บ้านคนเดียว ประกอบกับคำพูดหว่านล้อมของผมว่า " มีอะไรจะไปคุยกับมินมั้ย ? " เท่านั้นแหละ ผมก็หมดห่วงเรื่องคนดูแลน้องตัวเองทันที



     กลับมายังห้องครัวบ้านคุณชายเฟิร์สอีกครั้ง บนโต๊ะอาหารตอนนี้เต็มไปด้วยข้าวของมากมายที่ไปเหมามาจากกูเมมาร์เก็ตในตัวพารากอน มีทั้งวัตถุดิบในการทำอาหาร ขนม นม เนย และอีกต่าง ๆ อีกมากมาย นี่ถ้าเกิดน้องน้ำที่เคยมาตอนปีห้าสี่ท่วมแถวนี้ก็คงจะอยู่รอดได้อีกหลายเดือนด้วยขนมของไอหมอนี่



     " งั้นมึงเอาขนมใส่ตู้เย็นเลยนะ ส่วนกับข้าวเดี๋ยวกูจัดการเอง " เฟิร์สพยักหน้ารับคำสั่งของผมโดยการคุ้ยหาสิ่งที่แม่งกวาดซื้อมาในถุงไปวางไว้ในตู้เย็น วัตถุดิบอันไหนที่พี่แคชเชียร์เขาใส่รวมกับถุงขนม เฟิร์สก็จะแยกออกมาให้



     มื้อนี้ผมขอรังสรรค์เป็นเมนูง่าย ๆ อย่างแกงจืดตำลึง (รีเควสโดยไอคนที่เก็บขนมอยู่) ผัดฉ่าทะเลเดือด แล้วก็ยำสามกรอบ (อันสุดท้ายผมอยากกิน) ผมแกะโน่นแกะนี่มาล้างพลางย่อส่วนให้พืชผักสัตว์ป่านี้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เก็บของเหมือนบ้านตัวเองเพื่อหยิบกระทะกับหม้อมาเตรียมไว้ บ้านเพื่อนก็เหมือนบ้านเรานั่นแหละครับ ทำอะไรเอาคำว่าเกรงใจไปไว้ไกล ๆ ฮ่า ๆ



     " มีอะไรให้ช่วยเปล่า ? " เสียงถามของเฟิร์สดังมาจากหน้าตู้เย็น ทำอย่างกับมึงจะช่วยอะไรกูได้ หึหึ



     " ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพริกกระเด็นเข้าตา " มันรู้ครับว่าผมเอาเรื่องตอนที่ตำพริกแกงแล้วกระเด็นเข้าตามาล้อ มันเลยลุกขึ้นมายืนชี้หน้าอย่างเอาเรื่อง



     " เดี๋ยวเจ็บหรอก " หึหึ น้ำหน้าอย่างมึงอะนะจะทำมิ้ลค์ผู้นี้เจ็บ ? ฝันไปเถอะ



     " มาดิ กูอยากเจ็บ กูอยากทรมานเหมือนพริกเข้าตา " สิ้นคำว่าตาผมก็วิ่งหนีมันที่พุ่งมาหาอย่างรวดเร็วไปทั่วครัว ฮ่า ๆ เราวิ่งวนรอบโต๊ะอาหารอยู่หลายรอบจนเฟิร์สคว้าตัวผมไว้



     " อยากทรมานใช่มั้ย ? หึหึ " มึงหัวเราะได้ชั่วร้ายมาก เฮ้ยไอเฟิร์สอย่าจี้ !! ฮ่าๆ ๆ อย่า !!! ก๊ากกกกกกกก ม่ายยยยยยย



     ในขณะที่ผมแดดิ้นอยู่ในอ้อมอกของไอนี่อยู่นั้น เสียงบุพการีคนของที่ทรมานผมอยู่ก็ดังขึ้นใกล้ ๆ



     " อ้าวเด็ก ๆ เล่นอะไรกัน ? " คุณขวัญยิ้มทักพวกเราก่อนจะนั่งลงพร้อมกระเป๋าใบสวย " กับข้าวเสร็จรึยังจ๊ะ ? วันนี้แม่รีบมาเพื่อมิ้ลค์เลยนะ " ผมจัดเสื้อที่เฟิร์สปล่อยตัวมาแล้วก่อนจะมองหน้ามันอย่างเคือง ๆ



     " ยังไม่เสร็จเลยครับ แม่ขวัญดูเฟิร์สสิ มันแกล้งผมอะ " หึหึ ได้ทีต้องฟ้องโว้ย ดูเหมือนว่าทางมันได้ทีก็ฟ้องเหมือนกัน



     " มันนั่นแหละล้อเฟิร์ส แม่อย่าไปฟังมัน " ฟ้องกันไปฟ้องกันมาจนกรรมการอย่างคุณขวัญต้องพูดอะไรบ้าง



     " เอาเถอะ ๆ ใครผิดแม่ไม่รู้แหละ แต่ตอนนี้แม่หิวแล้ว " เออวะ ! ลืมไปเลยว่าต้องทำอะไร



     " โอเคครับ เดี๋ยวมิ้ลค์เร่งมือให้นะครับ " คุณขวัญยิ้มรับคำพูดผมทันทีหลังจากที่เฟิร์สเดินไปหย่นก้นนั่งข้าง ๆ แม่ของมัน



     " จ้า "



     ตลอดการทำอาหารของผมจะมีสองคนนั้นชวนคุยอยู่ตลอด ยอมรับนะว่าค่อนข้างเกร็งเลยล่ะที่มีคนมาจ้องเวลาทำ ถึงจะมีประสบการณ์ในร้านอาหารมานานโข ผมเรียกเสียงท้องร้องของสองแม่ลูกโดยการโชยกลิ่นหอมของเครื่องเทศผัดฉ่าอันแสนเผ็ดร้อน ไม่นานนักอาหารทุกอย่างที่จัดแต่งจนสวยงามและน่ากินก็ลำเลียงไปวางบนโต๊ะเป็นที่เรียบร้อย



     " น่าทานมากกกก " คุณขวัญดูจะออกนอกหน้าเป็นพิเศษ รวมไปถึงเฟิร์สด้วยที่จ้องหมูบะช่อในชามต้มจืดอย่างไม่กะพริบตา



     " แม่ครับ เฟิร์สว่าจ้างมิ้ลค์มาเป็นแม่บ้านเหอะ จะได้มีของอร่อยกินทุกวัน " หึหึ จะมาจ้างกูเป็นคนใช้เหรอ ?



     " ค่าตัวผมแพงนะบอกให้ " ผมพูดในตอนที่ตักข้าวแจกจ่ายแก่ทุกคน



     " เฟิร์สไปหยิบเช็คบนห้องให้แม่ทีสิ " ผมกับเฟิร์สหันขวับไปหาคุณขวัญทันที แม่เจ้า ! เอาจริงดิ !? " ล้อเล่นจ่ะ ฮ่า ๆ " เกือบแล้วมั้ยล่ะไอมิ้ลค์ เกือบได้เป็นคนใช้บ้านนี้แล้ว



     " ว่าแต่ทำไมสองคนนี้มาดีกันแล้วล่ะ ? แม่ได้ข่าวมาจากพี่ฟิล์มนะว่าเราทะเลาะกัน " สายตาของผมผสานเข้ากับเฟิร์สทันทีหลังจากได้ยินคำพูดนั้น แต่แค่เพียงครู่เดียวเราสองคนก็หัวเราะร่า " อะไรกันอะจ๊ะ ? " คิ้วคุณขวัญเลิกขึ้นอย่างไม่เข้าใจ



     " ไม่มีอะไรหรอกครับแม่ แค่เราสองคนเข้าใจอะไรผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ เอง " ผมพูดพลางวางโถข้าวลงกับโต๊ะก่อนจะนั่งลง



     " ใช่ครับแม่ ไอมิ้ลค์มันบ้าไง เฟิร์สก็เลยเข้าใจผิด " อ่าวไอสัด ! มาด่ากูบ้าได้ไงอะ !?



     " มึงอะบ้า " ไม่กินแล้วข้าวอะ ขอด่าหน่อยเถอะ ! ตอนนี้คุณขวัญทำหน้างงหนักกว่าเก่าอีก



     " มึงแหละมิ้ลค์ ! "



     " มึงแหละเฟิร์ส ! "



     " มึงนั่นแหละ "



     " มึง.. "



     " พอ พอ พอจ่ะ ไม่ทะเลาะกันก็ดีแล้วล่ะ มา ๆ กินข้าว " เราสองคนมองคุณขวัญที่เริ่มตักอาหารก่อนจะหันมาหัวเราะให้กันอีกรอบ ฮ่า ๆ งั้นเราก็มาเริ่มทานกันบ้างดีกว่า



     " แม่ครับ เฟิร์สมีไรจะบอกด้วยล่ะ " อยู่ ๆ เฟิร์สก็เรียกความสนใจจากผู้เป็นแม่ซึ่งทางผมก็เผือกไม่แพ้กัน



     " อะไรล่ะ ? " คุณขวัญพูดพลางตักหอยนิวซีแลนด์ในจานผัดฉ่าเข้าปาก



     " เฟิร์สมีคนที่ชอบแล้วนะ "



     แล้วทำไมพอประโยคนี้ลอยเข้าหู ใจผมมันก็ตกไปอยู่ที่ตาตุ่มล่ะ..



     " เหรอ เขาเป็นคนยังไงล่ะเราถึงได้ไปชอบ ? " ผมนิ่งเงียบมองแต่เม็ดข้าวในจาน ช้อนในมือทำไมมันหนักอึ้งอย่างนี้



     " เขาเป็นคนปากร้ายแต่ใจดี แถมพูดไม่ตรงกับใจอีกต่างหาก ขี้บ่นแต่ก็ขี้สงสาร เก่งเกินเด็กนักเรียน งานบ้านก็ทำได้ อาหารก็ทำเป็น " ผมลอบมองคุณขวัญที่อวดรอยยิ้มราวกับยินดีที่เฟิร์สได้พบเจอคนที่ใช่



     " แล้วเขาเป็นใครล่ะ บอกแม่ได้มั้ย ? " เฟิร์สยิ้มกลับไปยังแม่ของมัน ก่อนจะหันมาทำแบบเดียวกันกับผม



     " ไว้เดี๋ยวเขาพร้อม เฟิร์สจะพามาแนะนำให้แม่รู้จักนะครับ "



     เฟิร์สหมายถึงผมเหรอ !!?



     " ว้าาาาา แย่จัง นิสัยคล้ายมิ้ลค์เลยนะ แล้วเรารู้จักคนนั้นรึเปล่าจ๊ะ ? " ผมเงยหน้ามองคุณขวัญก่อนจะยิ้มอย่างหุบไม่อยู่



     " ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ "



####



     หลังจากที่รับประทานอาหารมือเย็น (ในตอนสามทุ่ม) แม่ขวัญแสนใจดีก็จัดการให้ผมค้างที่บ้านอีกตามเคย โชคดีเหมือนกันครับที่จัดการให้ไออาร์มมันไปดูแลน้องผมที่บ้าน ซึ่งถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอะไร คนที่ช่วยเหลือก็ขอยกให้มันแล้วกัน (แล้วถ้าเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นโดยมันล่ะ ?) ตอนนี้ผมก็อาบน้ำเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้เปิดประตูออกไปหรอก ก็มัวแต่ยืนยิ้มอยู่หน้ากระจกคนเดียวพลางนึกถึงคำพูดของเฟิร์สที่ได้พูดกับคุณขวัญ



     " เขาเป็นคนปากร้ายแต่ใจดี แถมพูดไม่ตรงกับใจอีกต่างหาก ขี้บ่นแต่ก็ขี้สงสาร เก่งเกินเด็กนักเรียน งานบ้านก็ทำได้ อาหารก็ทำเป็น "



     กูเนี่ยนะขี้บ่น...ไม่จริงหรอก



     " ทำอะไรอยู่นานจัง ? " ทันทีที่ผมเดินออกมาจากประตูโดยมีบ๊อกเซอร์ของเฟิร์สปกปิดร่างกายแค่ส่วนล่าง คนที่นอนเล่น 3DS อยู่บนเตียงก็เงยหน้าขึ้นมาถาม



     " ตากี้กูเจอคุณมาริโอ้ออกมาจากท่อน่ะก็เลยนั่งคุยกัน สงสัยจะมาช่วยเจ้าหญิงแถวนี้ " ผมเดินมากวนตีนมันข้าง ๆ เตียงขณะเอาผ้าขนหนูยีผมทั้ง ๆ เช็ดมาแล้วจากห้องน้ำ ดีเหมือนกันเนอะใส่ชุดของบ้านนี้จะได้ไม่ต้องซักเอง หึหึ



     " กวนตีน " คำด่าของเฟิร์สแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกของเตียงที่ยวบมาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ตอนแรกก็สงสัยแหละว่าเฟิร์สจะทำอะไร จนรู้ว่ามันคลานมายิ้มใกล้ ๆ



     " ตัวหอมจัง " ได้ข่าวว่ามึงก็อาบน้ำแล้วด้วยก็ดมตัวเองไปสิ ! ผมบ่นกับมันในใจพลางยีหัวตัวเองต่อ " ขอกอดหน่อยดิ "



     " ไม่ " ที่แท้ก็จะเนียนมาขอกอดนี่เอง



     " ขอจูบก็ได้ " กอดกูไม่ให้แล้วจะไปหวังจูบแทนอะนะ เห๊อะ ไม่มีทาง !



     " ไม่ "



     " ไหนบอกว่ากูอยากดูดบุหรี่เมื่อไหร่แล้วให้จูบไง " มึงไม่ต้องเอาบุหรี่มาอ้างเลยไอเวร ! ไม่เป็นไร ผมสามารถแก้ไขสถานการณ์ให้มันไปสนใจอย่างอื่นได้



     ผมลุกเอาผ้าขนหนูไปพึงกับราวแขวนก่อนจะเดินมาหยิบกระเป๋าตังและหาบางอย่างมาโยนลงบนเตียง



     " ทำอย่างอื่นกันดีกว่า " เฟิร์สมองซองทรงสี่เหลี่ยมขนาดเล็กกว่าฝ่ามือที่ห่อหุ่มวัสดุบางอย่างรูปทรงกลมไว้ด้านใน ก่อนจะเงยหน้ามามองผมอย่างอึ้ง ๆ



     " มิ้ลค์ กูเอาจริงนะ " ทุกอย่างที่ผมทำล้วนกวนตีนมันทั้งสิ้น อย่าคิดหื่นไกลกันครับท่านผู้อ่าน ฮ่า ๆ



     ผมเดินไปตบหน้าเฟิร์สเรียกสติเบา ๆ สองสามที " เลิกเพ้อเจ้อแล้วนอน " พลางเก็บซองเล็ก ๆ นี่เข้ากระเป๋าสตางค์ไว้อย่างเก่าก่อนจะเดินไปปิดไฟ ผมพกสิ่งนี้ติดตัวไปตลอดนั่นแหละครับ เผื่อไปพบเจอกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันยังไง มีเจ้านี่ติดตัวไว้ก็อุ่นใจไปได้อีกหลายเปราะ



     " นอนสิ ! " แล้วมึงจะนั่งอึ้งอีกนานมั้ย ? ฮ่า ๆ กูไม่สนใจละนะ นอนดีกว่า ผมทิ้งตัวลงเตียงพลางกวาดผ้านวมหนา ๆ นี่มาห่มทั้งตัว อ่าวลืมใส่เสื้อ ! แต่ชั่งเหอะ หัวถึงหมอนแล้วขี้เกียจลุก



     ผมแอบขำในความกวนตีนของตัวเองพลางรู้สึกเหมือนเฟิร์สจะทิ้งน้ำหนักลงหมอนแล้วเหมือนกัน ฮ่า ๆ อยากเห็นหน้ามันว่ะ ผมพลิกตัวไปดูผลงานบนใบหน้าของเฟิร์สจากที่อึ้งเมื่อกี้กลายเป็นเหวอไปแล้ว ฮ่า ๆ



     อะ ๆ จุ๊บปากก่อนนอนสักทีก็ได้



     ' หมวบ '



     " ราตรีสวัสดิ์ " ผมกล่าวลาเป็นครั้งสุดท้ายในคืนนี้ก่อนจะพลิกตัวกลับมาเป็นอย่างเก่า หนาวเว้ย นอนไม่ใส่เสื้อเนี่ย



     " ขอกอดนะ " แว่วเสียงเฟิร์สดังมาจากใกล้ ๆ อะ ๆ อยากกอดก็จะให้ ไม่อยากแกล้งแล้ว



     " อื้ม " ไม่รู้ว่ามันได้ยินหรือเปล่าเพราะผมพูดค่อนข้างเบา จนได้รู้คำตอบนี่แหละเมื่อแขนข้างนั้นพาดมาก่อนที่ผมจะเขยิบตัวไปให้มันกอดง่าย ๆ



     ไม่ค่อยชินเหมือนกันแฮะมีคนกอดตอนนอน แต่ก็อุ่นดีเหมือนกัน :)



     " อย่าบีบนมสิเชี่ยเฟิร์ส !! "



- Not to be unlocked -

ออฟไลน์ LKPOW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Not to be unlocked : Episode 35 : วันหนึ่งที่เราได้รักกัน



     ผมรู้สึกตัวว่าตื่นแล้วแม้กระทั่งเปลือกตาคู่นี้ยังคงหลับอยู่ โดยร่างกายปกคลุมไปด้วยผ้านวมหนา ๆ เมื่อคืนหลับสบายมาก ๆ ครับถึงจะหนาวไปหน่อย แต่ยังดีที่มีแขนข้างนี้กอดอยู่ตลอดเวลา อ้าว ! ผมยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาตรวจสอบบริเวณเอวที่รู้สึกว่าทั้งคืนเคยมีคนเอามาวางพาดไว้แต่ตอนนี้ไม่อยู่ มือผมสัมผัสผ่านไปเรื่อยแม้ดวงตาจะปิดตั้งแต่ผ้านวมที่ห่ม หมอนข้าง จนไปถึงตำแหน่งที่อีกคนน่าจะนอนอยู่ แต่แล้วก็ไม่พบสิ่งใด ผมงัวเงียลุกขึ้นมานั่งขัดตะหมาดพลางลืมตาขึ้นดูบนเตียงแม้จะยากก็เถอะจึงได้พบว่า..



     เฟิร์สหายไปไหน ?



     ภายในห้องนี้ที่ผมกวาดสายตาอยู่รอบด้านไม่มีใครอยู่นอกจากตัวเอง ประตูห้องน้ำปิดสนิทราวกับไม่มีใครใช้ เช่นเดียวกับระเบียงอันมีเพียงแสงอุทัยเท่านั้นที่สาดส่องเข้ามา แล้วมันไปไหนวะ ? ผมเดินไม่เป็นทิศเป็นทางไปยังตู้พลางหยิบเสื้อยืดสีแดงพาดขาวออกมาใส่ก่อนจะหรี่ตาดูนาฬิกาปลุกว่ากี่โมงแล้ว เจ็ดโมงครึ่งกับเฟิร์สที่หายไป ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่เลย



     ผมเดินลงมาข้างล่างโดยที่มือยังขยี้ตาไล่ความง่วงไม่หายมองหาเฟิร์ส พลางหยุดอยู่หน้าทางขึ้นบันไดก่อนจะคิดว่าไปทางไหนต่อดี ห้องรับแขก ห้องทำงานคุณขวัญ ห้องน้ำ สวนหย่อมด้านนอก โว้ะ บ้านแม่งจะใหญ่ไปไหน ? งั้นกูดูแม่งให้ครบเลยแล้วกัน ถ้าอยู่ดี ๆ ผมล้มลงไปนอนกองกับพื้นก็ไม่ต้องแปลกใจนะครับ เพราะผมง่วงมากกกกกกก (หน้าก็ยังไม่ได้ล้าง)



     ผมเดินไปยังสถานที่ต่าง ๆ ตามที่แพลนไว้ในหัวจนครบแล้วก็ยังไม่พบบุคคลที่ตามหาเลย จวบจนนึกถึงสถานที่สุดท้ายที่ยังไม่ได้ไปคือห้องครัว มันอาจจะหิวแล้วเข้าไปหาอะไรกินก็ได้ ผมเดินแกว่งมือเหมือนซอมบี้ไปยังที่นั่นจนได้พบร่างของเฟิร์สหันหลังให้อยู่หน้าเตา ทางนั้นคงได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาของผมเลยเอี้ยวตัวกลับมาทักทาย



     " ตื่นแล้วเหรอ ? " เฟิร์สทักทายด้วยรอยยิ้มเรียกความสดชื่นให้ผมได้นิดหน่อย รู้สึกว่าเหนื่อยจัง ขอเดินไปพักตรงเก้าอี้หน่อยแล้วกัน



     " ตื่นแล้วววว มึงทำรายอยู่ ? " ผมไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าตอนไหนถึงได้เอาหน้าไปแนบกับพื้นโต๊ะอย่างกับมันเป็นหมอน เฟิร์สหัวเราะให้ผมแผ่ว ๆ



     " ทำอาหารเช้าน่ะ อยากลองทำให้มึงกินดูเผื่อจะ.. โอ๊ย ! " ผมดีดตัวขึ้นมาดูเหตุการณ์ตรงหน้าทันที ความง่วงหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อร่างกายเดินไปยกแขนของเฟิร์สขึ้นมาดู รอยจ้ำแดง ๆ กับคราบน้ำมันเม็ดเล็กปรากฏไปทั่วหลังมือและข้อแขน วินาทีนี้ปากผมไว้กว่าความคิดเสียอีก



     " เดี๋ยวกูทำเอง !! " ผมลากเฟิร์สออกมาจากจุดที่ไข่ดาวใบนั้นกำลังพ้นน้ำมันออกมารอบทิศราวกับภูเขาไฟระเบิด แต่แล้วคนที่ผมจับมืออยู่ก็หยุดการกระทำไว้ด้วยรอยยิ้มอันแสนสบาย



     " จะเสร็จแล้ว มึงไปนั่งรอเถอะ " จะให้กูทนดูสภาพมึงโดนน้ำมันกระเด็นเม็ดแล้วเม็ดเล่าได้ยังไงกันวะ !



     " ไม่เอา ! ให้กูทำเองเถอะนะเฟิร์ส กูทนเห็นมึงเจ็บไม่ได้ " รอยยิ้มที่แต่งเติมบนหน้าของเฟิร์สเมื่อครู่ยังคงไม่จางหายไปไหน



     " ให้กูได้พยายามเพื่อมึงก่อนนะมิ้ลค์ " ผมนิ่งเงียบอย่างพูดอะไรไม่ออก ทำไมต้องพยายามเพื่อกูล่ะ ? แค่ทำอาหารเช้ากูทำได้ มึงไม่เห็นต้องมาเจ็บตัวเพื่อกูเลยนะเฟิร์ส



     ไม่ทันไรผู้ชายคนนี้ก็พาผมมานั่งเก้าอี้เหมือนอย่างเก่า ผมมองคนที่ทอดไข่ดาวอยู่ด้วยความเป็นห่วงเพราะเฟิร์สเองทักษะในการทำอาหารค่อนข้างต่ำมาก ถึงจะทำงานอยู่ในร้านแม่ของมันก็ตามที น้ำมันเม็ดเล็กที่กระโดดจู่โจมเฟิร์สอย่างไร้ปรานีทำให้ผมรู้สึกเจ็บใจกับตัวเอง ทำไมผมถึงปล่อยให้เฟิร์สต้องมาเจอเรื่องพรรค์นั้น !! หน้าที่ทำอาหารเช้ามันควรจะเป็นผมไม่ใช่เหรอ !!? แม่ง ! แม่ง !! แม่ง !!!



     " เสร็จแล้ว " เฟิร์สนำจานที่มีไข่ดาวสีค่อนดำมาวางตรงหน้าสองจาน ก่อนจะนั่งลงข้างๆ มาส่งยิ้มให้ผมอีกครั้ง " กูพยายามทำให้มันไม่ไหม้ตามที่มึงเคยสอนแล้วนะ แต่มันก็เป็นเงี้ย " เฟิร์สยังดูสบาย ๆ ผิดกับผมที่กังวลกับมือข้างนั้น



     ผมยกมือของเฟิร์สขึ้นมาดูอีกรอบ รอยช้ำรอบหลังมือผุดความแดงขึ้นมามากกว่าเก่าจนน่ากลัว คิ้วบนใบหน้าของใกล้ ๆ เลิกขึ้นราวกับตั้งคำถาม สิ่งเดียวที่ผมนึกถึงตอนนี้คือกล่องยา ผมเคยเห็นมันอยู่บนห้องของเฟิร์ส ขาของผมลุกขึ้นทันทีอย่างไม่สนใจสิ่งใด แต่เหมือนเจ้าของแขนข้างนี้จะเดาได้ว่าในหัวผมคิดอะไรอยู่



     " กินก่อน เดี๋ยวยาค่อยทาก็ได้ " เฟิร์สดึงมือของผมกลับให้ลงไปนั่งเหมือนอย่างเก่าพลางหยิบมีดในจานขึ้นมาหั่นส่วนเนื้อของไข่และนำมันขึ้นมาป้อน " อร่อยนะ อ้า "



     ทำไมมันบีบหัวใจอย่างนี้



     " อ้าว ร้องไห้ทำไม ? " เฟิร์สวางมีดและซ้อมในมือลงทันทีพลางเอื้อมไปหยิบทิชชู่มาซับที่แก้มของผม ผมอธิบายไม่ได้ว่าน้ำในตาทำไมถึงไหล่ออกมา ความประทับใจที่เฟิร์สทำสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ หรือความเจ็บใจที่ตัวเองปล่อยให้เฟิร์สต้องมาเจ็บตัวแบบนี้



     มันมีทั้งความสุขและความทุกข์ปะปนในเวลาเดียวกัน



     " มึง...ฮึก มึงไม่ต้องทำเพื่อกูขนาดนี้ก็ได้นะเฟิร์ส กูเห็นมึงเจ็บแล้วก็เจ็บยิ่งกว่าอีก ฮึก รู้มั้ย ? " เฟิร์สคลี่ยิ้มให้ผมก่อนจะวางทิชชู่ในมือ



     " ที่กูทำให้มึงทั้งหมด ก็เพราะกูรักมึงไง " มันหัวเราะร่าอย่างไม่คิดอะไร " ใครว่ากูเจ็บตัว แผลแค่นี้เอง " ผมไม่ไหวแล้ว ผมไม่ไหวกับตัวเองแล้ว



     ผมโถมตัวเข้าไปกอดเฟิร์สอย่างไม่รีรอ ความรู้สึกปั่นป่วนจากข้างในสั่งให้ผมแหกปากร้องออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง จนเฟิร์สต้องหัวเราะอย่างเอ็นดู แขนของคนที่กอดอยู่ยกขึ้นมาลูบหัวปอย ๆ ราวกับผมเป็นเด็กน้อย



     " อย่าขี้แงดิ กูทำตัวไม่ถูกนะ "



     ไม่ต้องทำอะไรให้กูทั้งนั้นแหละ แค่อยู่ข้าง ๆ กูตลอดไปแล้วก็พอ



####



     หลังจากที่ทาแผลและแอบแวะลงไปเล่นน้ำในสระบ้านของเฟิร์ส ผมก็กลับถึงบ้านตัวเองในเวลาบ่ายโมงกว่า ๆ ไม่ต้องห่วงเลยนะครับท่านผู้อ่านว่าผิวของผมจะคล้ำแดดเพราะตากเป็นเวลานาน หึหึ ต่อให้ผมถูกพระอาทิตย์แผดเผาทั้งเป็น ยังไงผิวขาว ๆ ของผมก็ไม่มีวันดำอย่างแน่นอน (แต่น่าจะไหม้แทน) ตอนกลับเฟิร์สมันขี่จักรยานพาผมมาส่งถึงปากซอยหน้าหมู่บ้าน ผมบอกแล้วว่าจะเดินถึงจะไกลหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่แม่งก็ยังคะยั้นคะยอให้ซ้อนมันจนได้ ดีนะว่าคนในหมู่บ้านตอนกลางวันแสก ๆ ไม่ได้เยอะมากก ผมเลยบริสุทธิ์ใจที่จะกอดมันจากข้างหลังจนถึงหน้าหมู่บ้านโดยสวัสดิภาพ



     ขากลับผมแวะซื้อข้าวกลางวันกับขนมมากมายไปฝากน้องมินที่ตลาดแถวบ้านด้วย ไม่รู้ว่าตื่นขึ้นมาอะไรตกถึงท้องบ้างหรือยัง ไอเฟิร์สก็มีความคิดแบบเดียวกับผมนี่แหละว่าให้ซื้ออะไรไปฝากน้อง ตอนแรกมันก็จะตามออกมากับผมเหมือนกันครับโดยอ้างว่าจะไปช่วยเลือกขนม แต่มึงหยุดเลยไอเวร ! เพราะจริง ๆ มันจะมาอยู่กับผมครับไม่ใช่เลือกของฝาก จะรักกูแค่ไหนก็ไม่เห็นต้องติดเป้งตลอดเวลาก็ได้ หึหึ



     ผมจ่ายค่ามอเตอร์ไซต์ที่นั่งมาจากตลาดพลางใช้กุญแจเปิดรั่วที่ล็อกอยู่ก่อนจะเดินเข้าไป อ่าว ! ผมหยุดมองคนที่แต่งตัวด้วยเสื้อแจ็คเก็ต กางเกงยีน นั่งก้มหน้าก้มตาใส่รองเท้าผ้าใบอย่างคิดไม่ออกว่าเขาเป็นใคร ทำไมมันหล่อแปลก ๆ ทางนั้นค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมามองผมจนได้รู้ว่ามันคือ..



     " ไออาร์ม !! " แสดงว่าตั้งแต่เมื่อคืนที่ผมให้มันมาอยู่ดูแลมินตอนนี้ก็พึ่งกลับอะดิ !



     " หวัดดีมึง " มันพยักหน้าทักทายผมก่อนจะก้มไปมัดเชือกรองเท้าของมันอย่างเก่า



     " กินอะไรก่อนปะมึง กูซื้อมาเต็มเลย " ผมเดินไปใกล้มันกว่าเก่าพลางยกถุงที่เต็มไปด้วยของกินมากมาย อาร์มยิ้มให้ผมเจื่อน ๆ ก่อนจะลุกขึ้น



     " ไม่อะ กูจะกลับแล้ว " เฮ้ย ! มึงจะรีบกลับได้ไง ไม่ได้ !! มึงไม่กินไม่เป็นไรแต่มึงต้องรายงานผลของเมื่อคืนก่อน ผมวิ่งไปสลัดรองเท้าให้กระเด็นออกจากตีนพลางนำสัมภาระเข้าไปเก็บไว้ในครัว แล้วจึงรีบออกมาหาคนที่ยืนดูอยู่



     " มานี่ ๆ " ผมพาอาร์มมายังม้าหินตรงสวนพลางนั่งลง คนที่เดินตามมาเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะนั่งลงบ้าง



     " อะไรมึง ? กูจะรีบกลับไปทำการบ้าน "



     " เมื่อคืนเป็นไงมั้ง ? " มันมองหน้าผมตาปริบ ๆ อาร์มคงไม่ได้ทำอะไรไม่ดีไม้ร้ายกับมินหรอกเนอะ



     " ก็ดี " ก็ดีห่าอะไรล่ะ !!! มึงช่วยอธิบายอะไรมากกว่านี้หน่อยเส้ !



     " โห่...มึงอธิบายมาหน่อยสิว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง " แต่มันก็ดูเหนื่อย ๆ เบลอ ๆ นะ หรือว่ามันเผด็จศึกน้องผมแล้ว ! " หรือมึง !? "



     " เชี่ย !!! มึงอย่าคิดว่ากูเป็นคนแบบนั้น ถึงกูจะเคยคบกับสาวมาเยอะแยะ แต่กูก็ไม่เคยทำอะไรอย่างว่าเลยนะ " โล่งอกกก นึกว่ามินจะเสียเอกราชให้ไอห่านี่ไปซะแล้ว ผมขยับตัวเข้าไปหามันอย่างสนใจมากกว่าเก่า



     " เออ ๆ แล้วไงต่อ "



     " กูก็ปรับความเข้าใจกับมินนิดหน่อย กูรู้ใจตัวเองนะเว้ยว่าคิดอะไรกับมันอะ แต่น้องมึงแม่งปากแข็งชิบหาย ไม่พูดสักทีว่ารู้สึกอะไรทั้ง ๆ ที่กูก็ดูออก " อืมมมม อันนี้เข้าใจเพราะมินก็เคยมาพูดกับผมเมื่อไม่กี่วันก่อน



     " ก็คุยด้วยกันจนดึกเลย สรุปก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดีว่ามินคิดอะไร กูหมั่นไส้เลยนอนห้องเดียวกับแม่งเลยจนกว่าจะได้คำตอบ สุดท้ายน้องมึงแม่งก็ไม่พูด ตอนนี้มันก็ยังไม่ตื่น กูเลยว่าจะกลับบ้านก่อน " ผมพยักหน้าตามมันว่า แต่ผมก็ยังอยากรู้นะว่าทำไมมันถึงเลือกมิน น้องชายสุดที่รักของผม



     " แล้วมึงชอบน้องกูเพราะอะไรอะ กูถามได้มั้ย ? " อาร์มรอบมองสายตาของผมก่อนจะหันไปยิ้มทางอื่น



     " กูชอบที่มันใส่ใจกับทุกคนไม่ว่าจะเป็นใคร บางทีก็จุกจิกกับจนน่ารำคาญ ถึงมันจะใจดีกับใครแค่ไหน แต่คนที่เอาแต่ใจก็มีแค่กู " รอยยิ้มของอาร์มที่โชว์หราอยู่นี้มันคงเป็นเครื่องหมายความสุขอย่างแท้จริงสินะ " ถึงกูจะยังไม่ได้คำตอบว่ามินคิดอะไรกับกู แต่กูขอสัญญากับมึงนะว่าหลังจากนี้ถ้ากูได้คำตอบอะไรที่มันชัดเจนกว่านี้แล้ว กูจะดูแลน้องมึงเอง " ได้ยินคำนั้นผมก็ยื่นมือไปตบบ่ามันให้กำลังใจ



     " เออ สู้ ๆ นะมึง หลังจากนี้กูฝากมินไว้กับมึงด้วยล่ะ แล้วเอาคำตอบของมินมาฝากกูด้วย " พอผมพูดจบสายตาพลันเห็นผ้าม่านของห้องมินมันขยับลงอย่างรวดเร็วเหมือนเจ้าตัวกำลังแอบดูอยู่ ฮ่า ๆ ตื่นแล้วสินะ



     " งั้นกูกลับละ โชคดีมึง " ผมตบบ่าอาร์มอีกทีก่อนที่มันจะลุกขึ้น แต่ไหนมันถีบตัวเองกลับมานั่งต่อ " แล้วทำไมมึงไปนอนบ้านไอเฟิร์สวะ !? " อ้าว ไอคนที่รีบกลับบ้านตากี้มันหายไปไหนแล้ว !



     " แม่มันเรียกตัวกูไปทำกับข้าวที่บ้านให้กิน " ผมตอบไปตามความจริง แต่สายตาแม่งจ้องอย่างกับไม่เชื่อเลย



     " เจ็บมั้ยมึง โดนสอยตูดครั้งแรก " ผมยกมือโบกกบาลมันทันที แต่แม่งดันลุกหนีไปเสียก่อน



     " ฮ่า ๆ ไปแล้วมึง เจอกัน คู่มึงก็รีบ ๆ เป็นแฟนกันล่ะ " แฟนพ่อง ผมยกนิ้วกลางให้มันก่อนจะเดินตามไปล็อกประตูให้พลางร่ำลาเป็นครั้งสุดท้าย



     " กลับดี ๆ มึง "



     หมดห่วงแล้วครับถ้าผมจะฝากน้องชายสุดที่รักไวกับเพื่อนสนิทคนนี้ ถึงมันจะเป็นคนไม่เอาไหนบ้างในบางเรื่อง แต่ถ้ามันให้คำมั่นสัญญากับใครแบบนี้แล้ว สัญญานั้นจะศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปเป็นร้อยเท่าพันเท่า ดีใจแทนมินจริง ๆ ที่ได้เจอคนแบบอาร์ม



     ผมเอี้ยวตัวกลับไปด้วยความปลื้มในใจพลางผงะเข้ากับร่างของน้องชาย ที่ยืนกอดอกพิงขอบประตูจ้องมาด้วยสายตาอาฆาต พระเจ้า...ทำไมปล่อยรังสีอํามหิตรุนแรงขนาดนั้นกันล่ะ..



     " พี่อาร์มฟ้องอะไรพี่มิ้ลค์ ? " ทันทีที่ผมเดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน ด่านตำรวจของสารวัตรมินก็โบกมือขอตรวจแอลกอฮอล์ผมแทบจะทันใด



     " ก็ไม่มีอะไรหนิ " มินที่ได้ยินแบบนั้นก็ร้องโห่ด้วยความไม่พอใจ



     " ไม่ต้องเลย พี่อาร์มต้องฟ้องอะไรแน่ ๆ " เจ้าเด็กตัวขาวเดินมาขวางผมตรงหน้าด้วยสายตาขุ่นเคือง ฮ่า ๆ ไม่เคยเห็นมินมาดนี้มาก่อนเลยว่ะ สงสัยอยู่กับไออาร์มมากจนสมองเพี้ยน



     " อาร์มมันบอกว่า เจอคนปากแข็งไม่ยอมรับความจริงก็เท่านั้นเอง " ผมเดินเลี่ยงน้องชายที่ยังตีหน้ามึนกับคำพูด ก่อนที่เสียงจากด้านหลังจะแว้ดตามมา



     " มินไม่ได้ปากแข็งสักหน่อย ! มานี่เลยนะพี่มิ้ลค์ ! มาเคลียร์กับมินให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้เลยนะ !! " ฮ่า ๆ ตลกจัง



     " มินไม่ได้ปากแข็งหรอก มินแค่ไม่รู้ใจตัวเอง ข้าวเที่ยงอยู่ในครัวนะ พี่ซื้อมาให้แล้ว " เป็นประโยคสุดท้ายที่ผมทิ้งทวนให้เจ้าน้องชายตัวดีก่อนจะเดินขึ้นห้องไป อ่าาาาาาาห์ อาบน้ำแต่งตัวสักหน่อยดีกว่า เหม็นไปทั้งตัวแล้วเนี่ย ~



####

ออฟไลน์ LKPOW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เมื่อเช้าทางโรงเรียนของเราได้มีพิธีการมอบตำแหน่งประธานนักเรียนและประธานสีกันเกิดขึ้นครับ ในวันนี้ผมก็ได้มาเป็นสักขีพยานกับมินด้วยเช่นกันที่ได้รับตำแหน่งอย่างเต็มตัว ในตอนพิธีเริ่มนั้นก็ได้มีการเดินสวนสนามของเหล่าประธานนักเรียนและประธานสีรุ่นก่อนเป็นแถวเรียงรายสวยงามไปยังเวที ควบคู่กับจังหวะดนตรีของวงโยธวาทิตที่บรรเลงเพลงมาร์ช ยิ่งทำให้พิธีมีมนต์ขลังเข้าไปใหญ่ อาร์มโบกสะบัดธงที่มีตราสัญลักษณ์ของโรงเรียนราวกับทำหน้าที่สุดท้าย ก่อนจะยื่นธงนั้นให้มินได้โบกพัดดุจสานต่อหน้าที่และภาระอันยิ่งใหญ่ พี่ชายอย่างผมเห็นแล้วก็อดที่จะปลื้มปริ่มจนน้ำตาแทบไหล่เลยล่ะ คิงคองก็ทำหน้าที่นี้เช่นกันกับน้องต๊ะประธานสีรุ่นต่อไป รวมไปถึงไอเจสสิก้าที่มอบธงให้แก่เด็กในเครือแก๊งนางฟ้าของมันเช่นกัน กูว่าปีหน้าได้มีคอนเซ็ปต์แปลก ๆ อีกแน่เลยว่ะ



     เสียงออดคาบก่อนพักกลางวันดังขึ้น อาจารย์ยลดาที่สอนวิชาชีวะก็สั่งการบ้านให้พวกเราไปทำแบบฝึกหัดท้ายบทแทบจะทันที แต่ดูเหมือนพวกห่านี่จะสนใจคำพูดของอาจารย์เพียงแค่แปปเดียวเท่านั้นก็วิ่งกรูหายไปในทันใด ทิ้งให้ผมนั่งเป็นหมาสงสัยอยู่กับไอปอนด์ที่นั่งใกล้ ๆ ไม่ถึงสองโต๊ะ เอ่อ...มึงจะรีบไปไหนกัน ? ข้าวกลางวันมึงจะนั่งรถไปกินที่สยาม แล้วกลัวกลับมาไม่ทันเรียนคาบต่อไปรึไง



     ผมขมวดคิ้วหมุนกับไอพวกนี้อย่างสงสัยไม่หาย พลางเก็บกล่องดินสอและหนังสือเข้ากระเป๋าก่อนจะลุกขึ้นไปหาอะไรกระแทกปาก และคงได้ไปกินข้าวแล้วถ้าปอนด์ไม่ยื่นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ มาให้ตัดหน้า



     " อะไรอะ ? " ผมพลิกซ้ายพลิกขวาอย่างพินิจว่ามันคืออะไรก่อนจะมองหน้าคนที่ยื่นมา



     " กูก็ไม่รู้อะ เห็นไอซันมันบอกว่ายื่นให้ไอมิ้ลค์ด้วย " ผมพยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่ปอนด์อธิบาย " งั้นกูไปทำการบ้านที่ห้องสมุดก่อนนะ เจอกัน "



     " แล้วไม่กินข้าวเหรอ ? " ผมถามปอนด์ในตอนที่ทางนั่นสอดเก้าอี้เข้าไปยังโต๊ะ มันหยิบถุงปริศนาขึ้นจากกระเป๋าเป้มาโชว์อวด



     " มีขนมปัง ไปก่อนนะ " ผมพยักหน้ารับมันอีกทีก่อนจะปล่อยให้ปอนด์เดินจากไป



     กระดาษอะไรวะ ?



     ผมเดินลงจากตึกเรียนค่อนข้างไวนิดหน่อยมายังโรงอาหารเพื่อที่จะหาอะไรกิน พลางมองหาฝูงเพื่อน ๆ ที่ตอนอยู่บนห้องมันบินว้อนหายไปเหมือนผึ้งแตกรัง เอ้า !! แล้วแม่งหายไปไหนไม่บอกกูกันสักคำเลยวะ ? ผมเกาหัวแกก ๆ อยู่ในโรงอาหารที่มีเด็กม.ปลายเดินไปมาอยู่รอบตัว หรือที่แม่งหายตัวไปกันจนหมดจะเป็นเพราะกระดาษแผ่นนี้ ?



     ผมคลี่กระดาษที่ปอนด์ยื่นมาซึ่งแม่งผับอยู่หลายทบออกให้ได้เห็นตัวอักษร ที่บอกไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง..



     " กระถางดอกไม้ดาดฟ้าชั้นเจ็ดตึกสิบห้า " แม่มึง ! ใครเขาจะเดินขึ้นไป !! ผมขยำไอกระดาษห่านี่ลงพื้นทันทีก่อนจะเดินหาร้านข้าวต่อ แม่ง กูแดกคนเดียวก็ได้วะ เล่นบ้าไรกันเนี่ย ! โอ๊ยยย แล้ววันนี้ทำไมโรงอาหารโต๊ะต้องเต็มด้วยวะ !! สุดท้ายแล้วผมก็เลือกที่จะเดินไปตามคำบอกของกระดาษแผ่นนั้นที่ได้บรรจงเขียนเอาไว้..



     " แฮก ๆ " แล้วตึกห่านี่ทำไมต้องไม่มีลิฟต์อยู่ตึกเดียวด้วยวะ !? ทันทีที่ผมเดินมาถึงดาดฟ้าตามคำบอกก็รีบสูดอากาศจากโลกนี้เข้าปอดอย่างไว เพราะรู้สึกเหมือนมันระเหยหายไปกับการขึ้นบันไดจนหมด แล้วยังไม่ทันจะเดินไปต่อเข่าก็ทรุดโดยอัตโนมัติ เมื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือกระถางต้นไม้นับร้อยยืนกันอยู่อย่างเป็นระเบียบ เชี่ยยยยย นี่มึงกำลังจะบอกว่าให้กูเดินเช็กทุกกระถางกลางแดดที่แผดเผาร่างกายเนี่ยนะ !? โอ้มายก๊อดดดด เจอพวกมึงเมื่อไหร่กูจะฆ่าไม่เว้นสักศพเลยไอชิบหาย !



     ผมเดินตาขวางดูกระถางต้นไม้ที่มีแต่เศษดินและต้นกล้าที่ตายแล้วพลางปาดเหงื่อบนขมับ คือห้องเกษตรจะเอากระถางต้นไม้ที่ไม่ใช้หรือตายแล้วมาวางเรียงกันที่นี่เสมือนเป็นหลุมศพน่ะครับ ตอนม.ต้นผมเคยทำรายงานเรื่องดอกกล้วยไม้ ปรากฏว่าปลูกไปปลูกมามันก็ตาย อาจารย์เลยบอกว่าให้เอาต้นที่ผมปลูกมาวางรวมกันที่นี่ แต่นั่นมันใช่ประเด็นเหรอ ?



     ผมหยิบกระดาษที่ลักษณะคล้ายกับตอนที่ปอนด์ยื่นมาให้ในกระถาง ที่อยู่ไกลกับทางขึ้นประมาณสิบห้าเมตรเห็นจะได้ขึ้นมาคลี่อ่าน..



     ต้นดาวเรืองสวนวิจิตร



     โว้ยยยยยยยยยยยย กูอยากแปลงร่างเป็นอสุรกายแล้วไปฆ่าพวกมึงทุกคนนนนน !!!!!!



     ผมร้องโวยวายเหมือนโดนผีเข้าบนดาดฟ้าที่ไม่มีใครอยู่อย่างเสียงดัง แต่ถึงกระนั้นผมก็เดินไปตามคำบอกอยู่ดี..



     ห่าราก



     ตากี้ก่อนจะมาถึงสวนวิจิตร ผมแอบเดินไปโรงอาหารเพื่อซื้อนมไวตามิ้ลค์มาดื่มเฮือก ๆ เป็นจำนวนหนึ่งขวด แม่งเหนื่อยชิบหาย ให้กูเดินขึ้นไปบนดาดฟ้าแล้วต่อด้วยสวนวิจิตเนี่ย จิตใจพวกมึงทำด้วยอะไรกันถึงได้ให้กูไปฟันฝ่ากับห่าเหวอะไรก็ไม่รู้ โว้ะ ผมเดินเข้าไปยังสวนวิจิตรพลางทิ้งขวดที่ถือติดมือใส่ถังขยะ อืมมมม ดอกดาวเรืองอยู่ไหนล่ะเนี่ย.. ผมเดินไปอีกนิดหน่อยพลางชะเง้อมองรอบตัวเองเห็นแต่ต้นหูกระจง ดอกเฟื่องฟ้า และอื่น ๆ อีกมากมาย แล้วดาวเรืองมันอยู่ไหน ? ผมเดินวนอยู่ในนั้นประมาณสามรอบเศษก็นึกท้อขึ้นมาซะดื้อ ๆ เพราะไอดอก ! ดาวเรืองที่ทางโรงเรียนปลูกไว้มันผุดอยู่ตรงส่วนไหนของสวนวะ !! แต่แล้วความพยายามก็เป็นผลเมื่อหางตาเห็นดอกไม้หน้าตาคลับคล้ายคลับคลาอยู่ตรงบริเวณหนึ่ง มันเป็นซอกของเด็กเลวไว้สูบบุหรี่น่ะครับ แน่จริงมึงก็ดูดหน้าห้องปกครองสิ ว่าแล้วผมก็เดินฝ่าฝูงควันนิโครตินที่ลอยฟุ้งจนเหม็นจมูกเข้าไปหา นั่นไงดอกดาวเรือง !!



     ผมเดินไปคว้ากระดาษใบเล็ก ๆ ข้างลำต้นนั้นขึ้นมาอ่านโดยไม่แยแสไอพวกเด็กม.4 ที่นั่งดูดบุหรี่อยู่ ผมเดินออกจากตรงนั้นอย่างกับพวกมันเป็นธาตุอากาศมาคลี่กระดาษดูเนื้อความด้านใน แต่แล้วเสียงหมาก็หอนมาพร้อมกับกลิ่นบุหรี่จากด้านหลัง



     " เฮ้ยพวกมึง มีรุ่นพี่หน้าหวานเดินหลงทางมาแถวนี้ว่ะ หน้าหวานกว่าเมียไอนอฟมันอีก กูจีบพี่.. " เสียงขอส่วนบุญของไอเด็กเปรตคนนั้นหยุดทันทีเมื่อสายตาของผมหันไปมองดุจเปลวไฟที่ลุกโชน พวกแม่งมองหน้ากันอย่างจนปัญญาแต่ผมไม่ได้สนใจเท่าไหร่ เลยเดินออกมาจากตรงนั้นเพื่อดูข้อความด้านในต่อ



     ที่โล่งชั้นหนึ่งระหว่างตึกสิบสี่และสิบห้า



     กูให้โอกาสพวกมึงครั้งเป็นสุดท้ายแล้วนะไอพวกดอก !!!



     ผมจากสวนวิจิตรมาตามคำบอกด้วยความไวแสง ถ้าพวกมึงยังไม่แสดงตัวกันอีก กูจะเดินไปหยิบลูกซองมาเป่าหัวพวกมึงทีละคนจริง ๆ (ไม่มีหรอกครับ พูดเว่อร์ไปงั้นแหละ) แต่แล้วความขุ่นเคืองก็หายไปเมื่อผมเดินมาหยุดอยู่ระหว่างตึกทั้งสอง รอบด้านผมไม่มีใครอยู่ทั้ง ๆ ที่ควรจะมีนักเรียนมานั่งเล่นหรือหยอกล้อกัน ผมพิจารณาถึงความผิดสังเกตนี้ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปดูด้านบน ทั้งสองตึกซ้ายขวาค่อย ๆ มีหัวคนชะโงกผุดออกมาเหมือนดอกเห็ด แน่นอนครับเพื่อนผมทุกคนอยู่หนึ่งในจำนวนนั้น



     ในตอนที่ปากผมจะตะโกนด่าพวกมันด้วยความโมโห ใครคนหนึ่งก็เดินมาหาผมจากซอกตึกอย่างเห็นได้ชัด มือซ้ายถือดอกไม้สีขาวช่อสวย มือขวาจับไมโครโฟนไว้แน่น ความรู้สึกโกรธที่เคยมีอยู่ในหัวได้ลอยหายไปตามสายลม เมื่อผมรู้ว่าชายคนนั้นซึ่งตลอดทั้งวันพึ่งได้เจอน่ะ..



     " เฟิร์ส " ตอนนี้สมองผมว่างเปล่าเหมือนถูกดูดไปจนหมด ผมเดาไม่ได้เลยว่าชายคนนี้ในหัวของเขาคิดจะทำอะไร สายตาของผมจับจ้องไปยังมือของคนตรงหน้าที่ยกไมโครโฟนขึ้นจ่อปากอย่างใจระทึก



     " เมื่อก่อน...กูกล้าพูดเลยนะว่าคนที่เกลียดมากที่สุดคือมึง แต่พอได้รู้ความจริงบางอย่างว่ามึงไม่ได้เป็นแบบที่กูคิด ทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไป " เฟิร์สพูดออกไมล์อย่างไม่สนใจเสียงที่ดันลั่นไปทั่วทั้งสองตึก " รู้ตัวหรือเปล่ามิ้ลค์ว่าหลังจากที่มึงเข้ามาในชีวิตกู ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปมากแค่ไหน ? "



     " .......... " ผมนิ่งเงียบอย่างใจจดใจจ่อกับสิ่งที่เฟิร์สจะพูดหลังจากนี้



     " มิ้ลค์ มึงรู้ตัวใช่มั้ยว่ากูคิดยังไงกับมึง ? " ผมพยักหน้ารับคำถามนั้นอย่างตื่นเต้นในอก เดาไม่ได้เลยจริง ๆ ว่าเฟิร์สจะมาสารภาพเรื่องนี้กับผมทำไม



     " อื้ม "



     " ที่กูมาวันนี้ กูอยากจะขออะไรมึงสักอย่าง...จะได้มั้ย ? " ถ้าเป็นมึงอยากจะขออะไรกูก็ให้ได้ทั้งนั้น



     " อะไรล่ะ ? "



     " ไม่ต้องปิดแล้วนะหัวใจดวงนั้น เดี๋ยวหัวใจที่ถูกทำร้ายของมึง...กูจะดูแลมันเอง " จนตอนนี้เฟิร์สก็ยังคงคิดว่าหัวใจของผมได้ปิดลงไปเพราะนัทตี้อยู่สินะ แต่พอได้ยินคำพูดอันเปรียบเสมือนประโยคหลักที่เฟิร์สเวิ่นเว้อมาถึงตรงนี้แล้ว ข้างในมันรู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูก



     " ประวัติหัวใจของกู...มันไม่ค่อยจะดีหรอกนะ มึงแน่ใจแล้วเหรอที่จะทำแบบนั้น ? " ที่ผมถามแบบนี้ไปก็ที่ต้องปิดหัวใจ มันก็เพราะตัวเองทั้งนั้น ถึงจะไม่มั่นใจตัวเองยังไง แต่เฟิร์สก็พยักหน้ารับอย่างไม่มีเงื่อนไข



     " เพียงแค่มึงส่งมันมา กูจะดูแลมันเอง " ตอนไหนกันนะที่ผมเผลอหลุดยิ้มออกมา



     " กูขอคบกับมึงได้แล้วใช่มั้ยมิ้ลค์ ? " ยังจะต้องถามอีกเหรอวะ ? กูหน้าแดงไปหมดแล้วเนี่ย..



     " อืม " ในวินาทีนั้นเฟิร์สโน้มตัวเข้ามากอดผมท่ามกลางเสียงกู่ร้องอันแสดงความยินดีแก่เราทั่วสารทิศ ผมกอดตอบร่างโปร่งของเฟิร์สด้วยความรู้สึกหลากหลาย มันมีทั้งความสุขที่วันหนึ่งมีคนยอมรับข้อเสียของตัวผมได้ ปลาบปลื้มที่เฟิร์สกล้าพูดว่ารักผม ตื้นตันในวันนี้ที่เฟิร์สทำให้มันเกิดขึ้น มันมีอะไรหลาย ๆ อย่างปะปนกันมั่วไปหมด



     " จูบกัน !! จูบกัน !! " เราสองคนหันขึ้นไปมองไอพวกเพื่อนเวรที่แหกปากเชียร์อยู่ข้างบนด้วยความหน่ายใจ จูบห่าอะไร ไม่ใช่งานแต่งนะโว้ยย



     " สักหน่อยมั้ย ? " ผมหันไปถลึงตาเบิกกว้างให้กับคำพูดของแม่งที่เหมือนถามเป็นเรื่องปกติ คนที่กอดอยู่เคลื่อนวงหน้ามาใกล้แต่ไม่ไวกว่าเสียงของใครไม่รู้



     " นี่พวกเธอ !! เอาไมล์ห้องประชาสัมพันธ์มาเล่นอะไรกัน !!!!? " แล้วผมก็หันไปทางต้นเสียงจึงพบว่า.. เชี่ย ! แม่พร !!!



     " ทุกคน ! ตลาดแตก !! โกยยยยยย !!!!!! " เสียงแหกปากของไอคิงคองสั่งจากด้านบนให้นักเรียนละแวกนั้นกระจัดกระจายเหมือนมดแตกรัง เฉกเช่นพวกเราที่จับมือวิ่งหนีตายกันไปสองคน ฮ่า ๆ



     ผมก็พึ่งรู้มาไม่นานนี้เหมือนกันว่าหัวใจที่ปิดอยู่ของตัวเอง มันได้มีเฟิร์สเข้ามาอยู่ตั้งนานแล้ว :)



     ฉันที่เคยโดนทำร้ายมา

ใจเหมือนไม่มีคุณค่าใด

     เป็นของที่ไม่น่าสนใจ

โดนเหวี่ยงทิ้งไป



     รักษาเท่าไรก็เหมือนเดิม

ไร้แม้กำลังจะหายใจ

     เป็นสิ่งของไม่มีชีวิต

ข้างในบุบสลาย จนเกินจะคิดเยียวยา

     จนเมื่อฉันได้มาเจอกับเธอ



     คนอย่างฉันถูกโยนทิ้งขว้าง

กลับมีเธอรับเอามาใส่ใจดูแล

     หยิบใจฉันขึ้นมาจากพื้น

ช่วยชีวิตให้ยืนได้เหมือนเดิม

     ขอบคุณที่เธอยอมรักกัน



     รับได้ทุกเรื่องที่ฉันเป็น

รับไม่ว่าเป็นมาเช่นไร

     จากสิ่งของไม่มีความหมาย

ข้างในเกิดเป็นใจดวงหนึ่งที่รักเพียงเธอ

     ฉันก็รู้ว่าโชคดีแค่ไหน



     คนอย่างฉันถูกโยนทิ้งขว้าง

กลับมีเธอรับเอามาใส่ใจดูแล

     หยิบใจฉันขึ้นมาจากพื้น

ช่วยชีวิตให้ยืนได้เหมือนเดิม

     ขอบคุณที่เธอยอมรักกัน



     คนอย่างฉันถูกโยนทิ้งขว้าง

กลับมีเธอรับเอามาใส่ใจดูแล

     หยิบใจฉันขึ้นมาจากพื้น

ช่วยชีวิตให้ยืนได้เหมือนเดิม

     ขอบคุณที่เธอยอมรักกัน



     คนอย่างฉันถูกโยนทิ้งขว้าง

กลับมีเธอรับเอามาใส่ใจดูแล

     จากสิ่งของที่ไม่มีค่าอะไร

ได้มาเป็นคนเดียวในใจของเธอ

     ฉันจะมีชีวิตต่อจากนี้ เพื่อรักเธอ





ขอขอบคุณ

เพลง สิ่งของ - KLEAR



- Not to be unlocked -

ออฟไลน์ LKPOW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Not to be unlocked : Special Episode 4 : ความสุขในมุมที่ไม่มีใครมองเห็น



     " เดี๋ยวนักเรียนทำแบบฝึกหัดท้ายบทยี่สิบข้อมาส่งอาจารย์ในวันพรุ่งนี้ด้วยนะคะ " หลังจากเสียงออดส่งสัญญาณหมดคาบเรียนสุดท้ายของนักเรียนม. 5/11 ก่อนพักกลางวันจะเริ่มขึ้น อาจารย์ประจำรายวิชาชีววิทยาก็สั่งการบ้านท้ายบทโดยพลัน นักเรียนบางคนจดการบ้านด้วยความตั้งใจในคำสั่ง แต่ส่วนหนึ่งกลับวิ่งกรูหายออกไปด้านนอกกันหมด เพื่อที่จะทำตามแผนของเพื่อนพันธมิตรของทางฝั่งห้องม. 5/4



     " ปอนด์ ๆ กูฝากนี่ไว้ให้มิ้ลค์หน่อยดิ พอมันเดินมาก็ส่งให้เลยนะ " ซันที่นั่งข้าง ๆ ปอนด์สะกิดเจ้าตัวก่อนจะไหว้วานเขาให้ส่งสิ่งนี้ไปยังเพื่อนตัวขาว



     " อื้ม ๆ " ปอนด์รับแผ่นกระดาษชิ้นเล็ก ๆ นั้นไว้อย่างไม่สงสัยอะไรเพิ่มเติมพลางเก็บหนังสือที่ได้จดการบ้านไว้ไปยังกระเป๋าเป้ประจำกาย จริง ๆ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่เพื่อนวิ่งหายไปกันจนหมดต้นสายปลายเหตุเป็นเพราะอะไร



     " งั้นเดี๋ยวเจอกัน " ซันตบบ่าปอนด์เป็นเชิงขอบคุณแล้วจึงมุ่งหน้าไปยังที่ไหนสักแห่ง ทิ้งให้เขาอยู่เพียงลำเพียงกับหน้าอันมึนงงของมิ้ลค์ที่สงสัยว่าเพื่อนจะรีบไปไหนกัน จากนั้นไม่นาน กระดาษที่ถูกพับไว้หลายทบในมือของปอนด์ก็ยื่นตรงไปให้เป้าหมาย เมื่อเพื่อนผู้ชายตัวสูงขาวกำลังจะเดินผ่าน



     " อะไรอะ ? " มิ้ลค์รับกระดาษแผ่นนั้นมาพลิกซ้ายทีขวาทีอย่างไม่ไว้ใจกับสิ่งที่ได้รับ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองเพื่อนตาตี๋ของเขา



     " กูก็ไม่รู้อะ เห็นไอซันมันบอกว่ายื่นให้ไอมิ้ลค์ด้วย " ปอนด์พูดไปตามความจริง เขาไม่รู้เลยว่าเนื้อหาด้านในและแผนที่พวกเพื่อนกำลังจะทำอยู่คืออะไร " งั้นกูไปทำการบ้านที่ห้องสมุดก่อนนะ เจอกัน " ปอนด์พูดขณะลุกพลางยกกระเป๋าที่พาดอยู่กับเก้าอี้ขึ้นมาสะพาย



     " แล้วไม่กินข้าวเหรอ ? " ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนจนติดเป็นนิสัยของมิ้ลค์ เขาจึงออกปากถามหาถึงมื้อกลางวัน ปอนด์ที่สอดเก้าอี้อยู่ก็หันมาเปิดกระเป๋าของตนเพื่อหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมาให้มิ้ลค์ดู



     " มีขนมปัง ไปก่อนนะ " เพื่อนหน้าหวานพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ก่อนเขาจะปล่อยให้เพื่อนคนนั้นไปทำสิ่งที่ทิ้งทวนไว้ตามต้องการ



     ห้องแต่ละชั้นที่เคยมีผู้คนนั่งเรียนกันอย่างขยันขันแข็ง ก็ค่อย ๆ ทยอยเดินลงมาเพื่อฝากท้องกับร้านค้า แต่ผิดกับพี่ม.ปลายคนหนึ่งที่เดินสวนทางนักเรียนหลายคนไปยังห้องสมุด เป้าหมายของเขาคือการฟาดฟันกับโจทย์ชีววิทยา ที่อาจารย์ยลดาได้เป็นคนฝากฟังให้ไปทบทวนก่อนจะนำมาส่งในวันรุ่งขึ้น



     ปอนด์เปิดประตูกระจกเข้าไปด้านในห้องสมุดพลางใช้ตัวขาว ๆ รับสัมผัสความเย็น ก่อนจะสวัสดีอาจารย์ท่านหนึ่งที่รับหน้าที่เป็นบรรณารักษ์ เขาเดินผ่านนักเรียนบางกลุ่มที่มีใจรักการอ่านมานั่งปลีกวิเวกบริเวณสืบค้นข้อมูล เวลาปอนด์ต้องการหาแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้ เขามักก็จะเลือกมานั่งห้องสมุดของโรงเรียนเพียงลำพัง



     หนังสือแบบฝึกหัดวิชาชีววิทยาได้ถูกนำขึ้นมาวางบนโต๊ะคู่กับถุงผ้าที่บรรจุอุปกรณ์ขีดเขียน ปอนด์เป็นคนชอบสร้างอรรถรสในการทำงานต่าง ๆ โดยเปิดเพลงอันไพเราะจากโทรศัพท์ แน่นอน ปอนด์ก็หยิบหูฟังและไอโฟนคู่ใจของเขาขึ้นมาเช่นกัน



     เพลงสากลในยุคเก้าศูนย์ดังกึกก้องภายในหูของปอนด์ควบคู่กับการทำงาน เขาไม่ค่อยเก่งวิชาชีวะก็จริง แต่หนังสือที่พึ่งไปหยิบมาเมื่อครู่ก็ทำให้การบ้านนั้นเสร็จไปแล้วอยู่หลายข้อ ปอนด์วางปากกาลงกลางหนังสือแบบฝึกหัดก่อนจะหมุนคอตัวเองเพื่อไล่ความเมื่อยล้า เขากำลังจะก้มไปบรรจงเขียนต่อให้เสร็จ แต่ไม่ทันไรข้อความแจ้งเตือนเผยแพร่ภาพสดในไอโฟนก็ดึงความสนใจแก่นักเรียนคนนี้ไปเสียหมด



     ปอนด์หยิบมือถือที่เขาวางไว้ใกล้ ๆ ตัวขึ้นมาดูด้วยความเอ็ดใจ ก่อนจะใช้นิ้วกดข้อความแจ้งเตือนนั้นให้พาไปยังหน้าจอของเพื่อนในเฟสบุ๊ค ภาพที่เห็นฉายไปยังสถานที่แห่งหนึ่งเป็นบริเวณโล่งกว้าง ปอนด์รู้ในทันทีว่านั่นคือที่ไหน แต่คนที่เจ้าของโทรศัพท์เครื่องนั้นกำลังซูมไปยังผู้ชายคนหนึ่ง เขายังไม่แน่ใจนัก กระทั่งได้ยินเสียงพูดคุยที่แทรกเข้ามา



     " เฟิร์สมันจะมาขอมิ้ลค์คบจริง ๆ เหรอวะ !? " มือของปอนด์เย็นเฉียบในทันทีหลังจากได้ยินประโยคสนทนาที่มีเคล้าแห่งความตกใจ มันเย็นยิ่งกว่าอุณหภูมิยี่สิบห้าองศาภายในห้องสมุดเสียอีก ปอนด์พอจะเดาได้แล้วว่าผู้ชายตัวขาวที่ยืนอยู่บริเวณโล่งกว้างนั้นคือใคร



     " เออดิ แม่งใจชิบหาย มาขอคบกันกลางวันแสก ๆ พวกห้องสิบเอ็ดแม่งก็มาช่วยทำตามแผนของไอเฟิร์สกันหมด " ปอนด์ไม่รอให้บุคคลในโทรศัพท์ได้พูดคุยกันจบ เขารีบดีดตัวเองลุกไปยังสถานที่นั้นอย่างไม่คิดชีวิตโดยทันที



     เพียงแค่ไม่กี่เสี้ยววินาที ปอนด์ก็พาตัวเองจากห้องสมุดมายังเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น เขาทอดสายตาไปด้านหลังของมิ้ลค์ที่มีใครอีกคนเดินเข้ามา ดอกลิลลี่สีขาวพัดไปตามแรงลมในมือของผู้ชายคนนั้น บุคคลที่มิ้ลค์เคยมาระบายความในใจกับตนยกไมโครโฟนขึ้นมาพูดอะไรบางอย่าง จนทำให้ปอนด์เริ่มใจไม่ดีเสียแล้ว



     " เมื่อก่อน...กูกล้าพูดเลยนะว่าคนที่เกลียดมากที่สุดคือมึง แต่พอได้รู้ความจริงบางอย่างว่ามึงไม่ได้เป็นแบบที่กูคิด ทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไป " คำพูดนี้ดังไปทั่วตึกทั้งสองฝั่ง นักเรียนที่อยู่ในเหตุการณ์นี้ได้ยินทุกคำพูดชัดเจนกันหมด รวมไปถึงคนมาใหม่อย่างปอนด์ด้วย



     " รู้ตัวหรือเปล่ามิ้ลค์ว่าหลังจากที่มึงเข้ามาในชีวิตกู ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปมากแค่ไหน " ปอนด์ไม่รู้เลยว่าเบื้องลึกเบื้องหลังของทั้งสองเป็นมายังไง เขาไม่ได้ยินคำตอบอะไรทั้งนั้นจากมิ้ลค์ เว้นแต่เสียงหัวใจของตัวเองที่เริ่มใกล้หยุดเต้นเข้าไปทุกที



     " มิ้ลค์ มึงรู้ตัวใช่มั้ยว่ากูคิดยังไงกับมึง ? " ภาพตรงหน้าของปอนด์คือศีรษะของมิ้ลค์พงกรับ ตอนนี้ขาของปอนด์มันไร้เรี่ยวแรงจนคว้าเสาต้นข้าง ๆ เพื่อพยุงไว้



     " ที่กูมาวันนี้ กูอยากจะขออะไรมึงสักอย่าง...จะได้มั้ย ? "



     " ........... " ปอนด์นิ่งเงียบอย่างฝืนที่จะทนทั้ง ๆ ที่ไม่สามารถฟังคำตอบของคนที่ตนรักได้ แม้น้ำตาจะเริ่มก่อตัวพร้อมกับเรี่ยวแรงของขาที่หายไปจนโคลงเคลงแทบยืนไม่อยู่ เขาก็ยืนยันที่จะฟังต่อจนวินาทีสุดท้าย



     " ไม่ต้องปิดแล้วนะหัวใจดวงนั้น เดี๋ยวหัวใจที่ถูกทำร้ายของมึง...กูจะดูแลมันเอง " ยิ่งปอนด์เห็นว่ามิ้ลค์กำลังให้คำตอบอันไร้เสียงแก่เฟิร์ส ยิ่งเหมือนทำให้น้ำในตาที่จุกอยู่เต็มเบ้าเริ่มหลากไว้กว่าปกติ



     " เพียงแค่มึงส่งมันมา กูจะดูแลมันเอง " สิ่งที่ปอนด์เห็นหลังจากประโยคนี้จบลง คือรอยยิ้มของมิ้ลค์ที่แสดงความยินดี อันเปิดรับเฟิร์สเข้ามาอยู่ในดวงใจ ปอนด์ยอมรับว่ามันสวยงามอย่างไร้ที่ติ แต่ไม่ทันไรประโยคใหม่ของคนที่มาสารภาพก็ประเดประดังเข้าหูปอนด์อีกระลอก



     " กูขอคบกับมึงได้แล้วใช่มั้ยมิ้ลค์ ? "



     ถึงตรงนี้ปอนด์ไม่สามารถที่จะควบคุมน้ำตาให้หยุดไหลได้แล้ว เมื่อคำตอบสุดท้ายของมิ้ลค์คือการพยักหน้ารับอย่างยินยอม เสียงกู่ร้องด้วยความยินดีของนักเรียนแถวนั้น ดังพร้อมกับเสียงโหยหวนของปอนด์ที่ยากจะเก็บไว้ข้างใน เขาสั่งตัวเองให้หนีจากเหตุการณ์ตรงนั้น พลางฉุกคิดถึงเรื่องราวของตนกับคนที่แอบรัก



     เขานึกถึงภาพตัวเองและมิ้ลค์ครั้งที่ตนไปสารภาพ ถึงมันจะจบไม่สวยเท่าไหร่ แต่เขาก็ยอมรับมันได้อย่างไม่มีข้อแม้ใด ๆ แต่เบื้องหน้านี้ที่เขาเห็นไปเมื่อครู่คือคนที่ตนรักได้ถูกสารภาพแบบเดียวกัน มันคล้ายกับตนแท้ ๆ ถึงเป็นเช่นนั้นปอนด์ก็ไม่สามารถฝืนใจตัวเองให้ยอมรับได้เลย



     " ฮือออออ ฮึก ฮือออออออ "



     เขาตั้งคำถามกับตัวเองในใจอยู่หมื่นล้านครั้งว่าทำไมถึงไม่ได้รับโอกาสดี ๆ แบบนี้บ้าง ปอนด์คอยปลอบกับตัวเองว่ายังไงการเห็นคนที่ตนรักไปมีความสุขกับคนอื่นก็ย่อมควรจะร่วมยินดีด้วย มิใช่มานั่งร้องไห้เสียใจอยู่แบบนี้ ทำไมกันล่ะ ? ทำไมจิตใจของเราในตอนนี้ถึงยังไม่สงบเสียที



     " อ้าวเฮ้ยปอนด์ ! มาร้องไห้ไรตรงนี้ !? " เสียงเพื่อนร่วมห้องของคนที่ร้องไห้อยู่ดังมาจากใกล้ ๆ จนเขารู้สึกตัวว่าที่แห่งนี้คือสวนวิจิตร ปอนด์ไม่รู้ตัวเลยว่าตอนไหนถึงมายังสถานที่แห่งนี้ กระทั่งได้พบกับซัน



     " ฮือออออ ฮึก " ปอนด์เงยหน้ามองซันอย่างอ้อนว้อนสุดชีวิต เขาประสงค์อย่างเดียวก็คือไม่อยากให้วันนี้เกิดขึ้น ปอนด์มองอย่างร้องขอว่าให้มันเป็นความฝันจะได้มั้ย แต่ซันมิอาจอ่านดวงตาคู่นั้นได้



     " ใจเย็น ๆ มึงเป็นไร ? " ซันถามออกไปด้วยความเป็นห่วงแม้จะยังมีธุระกับบุหรี่ในมือ หลังจากซันปฏิบัติตามแผนของเพื่อนที่ได้รับมอบหมายสำเร็จ เขาก็ได้มานั่งพ้นควันรอผลลัพธ์ผ่านมือถืออย่างสบายใจ แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าเกิดเหตุการณ์แปลก ๆ อย่างเช่นตรงหน้านี้ด้วยเหมือนกัน ไม่รู้ความคิดไหนของปอนด์ถึงสั่งให้มือของเขาคว้าไปหยิบเจ้าแท่งที่ปล่อยควันเหม็น ๆ นั่นมา



     " เฮ้ย ! มันไม่ดีนะรู้เปล่า เอาคืนมา ! " ซันโถมตัวเข้าไปแย่งปอนด์ที่เกือบจะนำสิ่งนั้นเข้าปากมาได้สำเร็จ



     " มึงเอามานี่ !! กูอยากทำร้ายตัวเอง ฮือออ " ซันถอนหายใจให้กับความคิดแปลก ๆ ของปอนด์ก่อนจะโยนบุหรี่ในมือลงพื้นเพื่อดับให้มอด



     " ทำไมมึงเป็นคนแบบนี้อะ !!? เอาบุหรี่มาให้กู !! เอามา !!!! ฮืออออ " ปอนด์ตะกุยหาตามกระเป๋ากางเกงของซัน แต่คิดเหรอว่าจะเป็นอย่างนั้นง่าย ๆ



     " มึงเป็นบ้าอะไรเนี่ย !!!? " ซันผลักแขนปลาหมึกออกอย่างพัลวันซึ่งปอนด์ก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะยอมเลย



     " ทำไมมึงต้องใจร้ายกูด้วย !!? ทำไมมึงต้องใจร้ายเหมือนไอมิ้ลค์ด้วย !!!? ฮืออออออ " ปอนด์ร้องคร่ำครวญออกมาด้วยน้ำตาที่ไหลไม่หยุด ซันที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้นก็สะกิดใจในคำพูด ที่เพื่อนคนนี้ลั่นออกมา เพราะเรื่องเฟิร์สขอมิ้ลค์คบหรือเปล่า ?



     " ปอนด์ มึงสงบสติอารมณ์ก่อนนะ ค่อย ๆ นั่ง " ซันว่าพลางอุ้มร่างของปอนด์ที่ติดหนึบกับตนให้ค่อย ๆ นั่งลง เขารู้สึกผิดจากข้างในที่ใช้ให้ปอนด์ทำสิ่งนั้นกับมิ้ลค์ราวกับเป็นนกต่อ



     " มันเกิดอะไรขึ้น ? " ซันถามพลางบีบมือเบา ๆ แม้พอจะเดาคำตอบได้ ดูเหมือนปอนด์จะสงบสติอารมณ์ได้แล้วในบางส่วน



     " กูเห็นเฟิร์สไปขอคบมิ้ลค์เมื่อกี้ กูน่าจะร่วมยินดีกับมัน แต่ทำไมมันเจ็บข้างในอย่างนี้กันวะซัน ? กูรับไม่ได้ ฮือออออ กูรักมันอะซัน กูต้องมีความสุขกับคนที่ตัวเองรักไม่ใช่เหรอ ? ทำไมกูเสียใจล่ะ ฮืออออออออออ " ใบหน้าบิดเบี้ยวของปอนด์ที่ซันเห็นยิ่งตอกย้ำความรู้สึกผิดเข้าไปกันใหญ่



     " กู...กูขอโทษนะที่ฝากกระดาษใบนั้นไปให้มิ้ลค์อะ กูไม่รู้จริง ๆ ว่ามึงคิดอะไรกันมัน " นั่นเป็นคำขอโทษที่ปอนด์ไม่ถือษาอะไร



     " มึงไม่ผิดหรอกซัน มันผิดที่กู ผิดที่กูไปรู้สึกกับมันมากกว่าเพื่อน ผิดที่กูใจง่ายไปชอบคนที่ทำดีให้ " ฝ่ามือที่ซันจับต้องปอนด์อยู่ค้างเติ่งอย่างทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่รู้จะช่วยแก้ไขปัญหานี้อย่างไรดี



     " กูช่วยอะไรมึงได้มั้ยปอนด์ ? " นัยน์ตาที่ท่วมหยาดน้ำหลายสาย ใช้ความพยายามที่มีมองตอบไปยังใบหน้าของซันด้วยรอยยิ้ม



     " ขอบคุณนะซันที่ช่วยเหลือ แต่ตอนนี้กูไม่รู้แล้วจริง ๆ ว่าต้องทำยังไงต่อ " ถึงปอนด์จะไม่ร้องขอความช่วยเหลืออะไรก็ตาม แต่เพื่อนคนนี้อย่างซันก็ยินดีที่จะช่วยเหลือทุกอย่าง เพียงแค่ปอนด์ขอ



     " ถ้ามีอะไรให้กูช่วยได้ บอกมาเลยนะ " ซันว่าพลางยกมืออีกข้างขึ้นมากุมฝ่ามือของปอนด์ไว้ คนที่นั่งข้างคู่กับซันก็พยายามฝืนยิ้มออกมาอย่างยินดี



     " อื้ม "



- Not to be unlocked -

ออฟไลน์ LKPOW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Not to be unlocked : Episode 36 : คืนนี้ฉันไม่เหงา



     หลังจากโจรใต้กว่าครึ่งโรงเรียนได้ก่อจารชนบริเวณตึกสิบสี่และตึกสิบห้า เพื่อนกลุ่มหนึ่งจากห้องสี่ได้ก็มากระจุกรวมกันที่ห้องของผมโดยมิได้นัดหมาย จะอะไรซะอีกล่ะครับ ก็พวกแม่งวิ่งหนีตายจากแม่พรแล้วไม่มีที่ไปกบดานน่ะสิ เอาเถอะ ยังไงก็ขอเนรมิตให้ห้องนี้เป็นหลุมหลบภัยไปก่อนแล้วกัน ผมบอกเลยนะว่ากว่าจะวิ่งเฮโลคู่กับไอเฟิร์ส ฝ่านักเรียนที่หนีตายกันเหมือนซอบบี้บุกมาห้องของตัวเองได้เนี่ย แม่งวุ่นวายชิบหาย



     " ไม่ต้องปิดแล้วนะหัวใจดวงนั้น เดี๋ยวหัวใจที่ถูกทำร้ายของมึงกูจะดูแลมันเอง ถุ้ย !!! คิดว่าอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์กันสองคนรึไงสาด " โหยไอคิงคอง ! เข้ามาในห้องได้ไม่เท่าไหร่ก็ปากหมาเห่ากูสองคนเลยนะ



     " เพียงแค่มึงส่งมันมา กูจะดูแลมันเอง เชี่ย น้ำเน่าชิบหาย " คราวนี้ไออาร์มก็แปลงร่างเป็นไอเฟิร์สเล่นบทรักกับไอคิงคองบ้าง อยากจะเดินไปเตะอยู่หรอกนะ ถ้าไม่ติดว่าเฟิร์สกอดผมซะแน่นจากตักของมันที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ แล้วไอห่านี่เป็นบ้าไรต้องมาขอคบท่ามกลางผู้คนด้วยผมไม่เข้าใจเลย กูหน้าบางนะเฮ้ย !



     " อย่าล้อกูดิ กูเขินนะ " ผมเอี้ยวตัวไปจ้องหน้ามันเขม่นทันทีหลังจากได้ยินเสียงแว่ว ๆ ผ่านกกหู นี่อะนะที่บ้านมึงเรียกว่าเขิน ? ยิ้มอย่างกับถูกรางวัลที่หนึ่ง แต่ถึงพูดแบบนั้นคิดเหรอว่ามารพจญอย่างพวกแม่งจะหยุดกัน



     " ดอกลิลลี่สีขาว ตัวแทนแห่งความรักอันบริสุทธิ์ ไปซื้อมาจากไหนละจ๊ะพ่อหนุ่ม ? กริ้ว ๆ " คิงคองยื่นมือมาเกาคางไอเฟิร์สเล่นเหมือนหมาจนเจ้าตัวถึงขนาดปัดออกเป็นแมลงวัน พูดแล้วก็อยากเอาลิลลี่ในมือไปฟาดปากมันเหมือนกันนะ แต่ติดว่าช่อนี้มันสวยจริง ๆ เกรงว่าถ้าเอาไปเป็นอาวุธ ดอกลิลลี่ของผมจะติดเสนียดเลว ๆ ของไอคิงคองน่ะสิ หึหึ



     " ยุ่งน่า กูจะซื้อที่ไหนก็เรื่องของกูปะ ใช่มั้ยที่รัก ? " เฟิร์สด่าเพื่อนสนิทของมันก่อนจะใช้คางแหลม ๆ มาวางบนไหล่ของผมอย่างขอความเห็น ไอสัด ! กอดกูแน่นเกินไปแล้วนะ !!



     " ฮิ้วววววววววววว " ตอนนี้ผมไม่รู้แล้วว่าเสียงใครเป็นเสียงใครก็แม่งเล่นแหกปากพร้อมกันซะดังลั่น เลิกล้อเลียนกูได้แล้ว ฮืออออออ



     " ที่รักแม่มึงสิ ! พวกมึงเลิกล้อกูได้แล้ว กูอายยย " ผมหันรีหันขว้างไปทางอื่น แม่ง หน้าร้อนไปหมดแล้วเนี่ย ซึ่งการห้ามก็นึกว่าจะหยุด กลับเป็นยุซะงั้น



     " ในที่สุดเพื่อนเราก็มีผัวกับเขาสักที เฮ้ย ! วันนี้ฉลองร้านพี่หลินกันนนน " นี่คุณประธาน เพลา ๆ ลงหน่อยก็ได้นะไอดีกรีขี้เหล้าของมึงเนี่ย



     " ไปปปปปปปปป !!! " โอ้โห...ไม่ว่าจะเทศกาลไหน ๆ พวกมึงก็ฉลองด้วยเหล้ากันได้เนอะ เยี่ยมไปเลย ! วันไหนแต่งงานกับไอเฟิร์สเมื่อไหร่กูจะเหมาทั้งโรงงานให้เลยไอชิบหาย แต่เดี๋ยวนะ ! นี่ผมคิดไปถึงแต่งงานแล้วเหรอ ?



     " ว่าแต่ไอเฟิร์ส ที่มึงบอกว่าเคยเกลียดเพื่อนกูหมายความว่าไงวะ ? " รอบนี้เป็นปิงปองที่อยากเผือกเรื่องของเราบ้าง เอ...คิดไปคิดมาไอปัญหาการมองตาแล้วเกลียดกันอันไร้สาระของเฟิร์สเนี่ย ผมยังไม่เคยบอกใครเลยนี่หว่า



     " ก็...ตอนปฐมนิเทศที่กูกับมิ้ลค์มองตากันแล้วมันแพ้อะ กูเดินตามมันไปก็จะถามมันนี่แหละว่าเป็นอะไร แล้วมันก็บอกว่าชอบกู วันนั้นกูเลยเกลียดแม่งไปเลย แต่ก็ไม่นึกเนอะว่าวันนึงเราจะได้รักกันขึ้นมาจริง ๆ "



     " ฮิ้ววววววววววววววววว " ไอเชี่ย !! ผมดิ้นขลุกขลักหมายจะชักมือไปตบคนที่กอดอยู่ แต่แม่งยอมผมซะที่ไหน ส่วนพวกมึงเสียงดีกันแบบนี้ เดี๋ยวกูจะจ้างไปแห่ขันหมากกันแน่คอยดู !



     " มึง กูว่าเราลงไปกินข้าวเหอะ แซ็วมันจนพุนไปหมดละ กว่าจะช่วยจัดสถานที่เสร็จกูหิวชิบหาย " คิงคองถามไปยังเพื่อนของมันข้าง ๆ ดูเหมือนคนที่จะเห็นด้วยเป็นฝั่งไออาร์มเช่นกัน



     " เออไปเหอะ ปล่อยให้แม่งสองตัวเอากันในห้องนี่แหละ เฮ้ยพวกมึง ! แดกข้าว " ปากแบบมึงมันน่าโดนตีนกูนะเชี่ยอาร์ม คอยดูเถอะ เดี๋ยวน้องกูมึงจะไม่ได้ !!



     ในขณะที่เพื่อนทางฝั่งห้องคิงคองและอาร์มกำลังทยอยออกไปด้านนอก ซันมันก็เดินเข้ามาปิดทางโดยพยุงใครบางคน



     ปอนด์ !?



     " เฮ้ย ! มันเป็นไรอะ !!? " ผมกระโจนจากตักของเฟิร์สพุ่งทะยานไปหาปอนด์ที่คราบน้ำตายังอาบแก้มอยู่ พวกคิงคองและอาร์มที่เดินออกไปแล้ว กลับมาพร้อมคำถามบนใบหน้าซึ่งไม่ต่างอะไรกันเท่าไหร่ คนที่ซันพยุงอยู่มองฝ่ามือของผมที่ยกมือมันขึ้นมากุม ก่อนจะเงยหน้ามองด้วยสายตาวิงวอน แต่แล้วมันจะขออะไรผมกันล่ะ ?



     " มิ้ลค์ กู.. "



     " กูว่ามึงปล่อยมือมันเหอะมิ้ลค์ มันไม่ได้เป็นอะไรหรอก " เสียงจริงจังของซันมาพร้อมกับกลิ่นบุหรี่และแววตาอันฉายแววขุ่นเคืองพูดตัดบทปอนด์ไปเสียดื้อ ๆ ซันไม่เคยพูดแบบนี้กับผมมาก่อน บางทีมันอาจจะมีเหตุผลอะไรสักอย่างที่ผมไม่รู้ ซึ่งตัวเองก็ควรทำตาม ผมปล่อยมือข้างนั้นลงก่อนที่ซันจะพาตัวปอนด์ไปนั่งลงกับเก้าอี้อย่างอ่อนล้า ทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่ปริปากถามอะไรทั้งนั้นก่อนที่เฟิร์สจะเดินพาผมตามเพื่อนคนอื่น ๆ ออกไป



     หรือบางทีปอนด์จะอยู่ในเหตุการณ์ของผมและเฟิร์สเมื่อไม่นานมานี้ด้วย ?



####



     ตลอดทั้งวันจนถึงตอนเลิกเรียนผมก็ยังไม่ลดละความพยายามที่จะหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับปอนด์ ทุกครั้งที่ผมหันไปมองมันด้วยความเป็นห่วงก็จะโดนสายตาดุ ๆ ของซันหักห้ามไว้ สายตาของเพื่อนคนนี้น่ากลัวและเย็นชาในเวลาเดียวกัน จนผมไม่กล้าที่จะเดินไปถามสิ่งที่เกิดขึ้นจากปอนด์เลย ปกติซันมันเป็นคนที่พรรคดีกับผมนะ ใครทำอะไรให้ผมไม่พอใจมันก็จะออกตัวปกป้องผมตลอด จนบางครั้งก็คิดว่ามึงเป็นเพื่อนหรือทาสกันแน่ จนถึงตอนนี้ซันมันก็ยังคงติดเป้งกับปอนด์ไม่หายทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเห็นพฤติกรรมแบบนี้มาก่อน ถึงวันนี้ผมจะหาคำตอบไม่ได้ แต่ยังไงซะผมก็ต้องเดินไปถามปอนด์ให้รู้แล้วรู้รอดอยู่ดี



     " ยืนมองป้าเขาอยู่ตั้งนานแล้ว เอาน้ำอะไร ? " เฟิร์สชนไหล่ใส่ผมเรียกสติให้คืนกลับมา ผมมองตอบคนด้านข้างอย่างอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ



     " เอา...เอาสตรอเบอร์รี่โยเกิร์ตปั่นครับป้า " ป้าสำราญเขายิ้มให้ผมอย่างใจดี ก่อนจะเทโกโก้ที่แกชงในแก้วอยู่ลงในเครื่องปั่น



     " ยังคิดเรื่องปอนด์อยู่อีกเหรอ ? " สงสัยเฟิร์สคงสังเกตสีหน้าของผมเลยถามออกมา ผมพยักหน้าขึ้นลงเหมือนคนอ่อนแรงอย่างเป็นห่วงปอนด์ไม่หาย เกรงว่าต้นเหตุที่มันเป็นแบบนี้จะเป็นผมตามที่คาดเอาไว้



     " เอาน่า เดี๋ยวมีโอกาสมึงค่อยไปถามก็ได้ กูก็สงสัยเหมือนกันแหละว่ามันเป็นอะไร " เฟิร์สยกมือขึ้นมาตบบ่าผมเบา ๆ ทำให้ใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง



     " อื้ม " สิ้นคำผม ป้าสำราญแกก็ยื่นแก้วโกโก้ปั่นมายังเฟิร์สถึงสองจำนวน ผมตาค้างมองเฟิร์สที่หน้าดี๊ด๊ารับแก้วสีน้ำตาลมาอยู่ในมืออย่างโคตรอึ้ง



     " แดกห่าไรตั้งสองแก้ว !? " เฟิร์สหันมาเหล่ตอบผมก่อนจะยื่นแบงก์สีแดง ๆ ให้ป้าเขา



     " อร่อย " กูรู้แล้วว่าน้ำร้านป้าสำราญเขาฮอตในหมู่โรงเรียนชายล้วนแห่งนี้ แต่คุณมึงจำเป็นขนาดไหนที่ต้องแดกถึงสองแก้ว ? ผมถอนหายใจในความยัดห่าของมันก่อนจะถามบางอย่าง



     " ที่บอกให้กูรอมึงจนเลิกเรียน...มีอะไรให้รับใช้ครับคุณเฟิร์ส ? " คือตอนบ่ายสามซึ่งเป็นเวลาผมเลิกเรียน ไอห่านี่ก็โทรศัพท์มาอย่างไวโดยการบอกให้รอมันด้วย มันไม่ได้บอกเหตุผลนะว่าจะไปไหน จนตอนห้าโมงเฟิร์สก็เดินมารับผมที่สนามบอลแล้วก็แวะซื้อน้ำปั่นในโรงอาหารต่อนี่แหละ



     " อ๋อ จะชวนไปกินข้าวที่บ้านน่ะ วันนี้แม่กูกลับไว กูจะชวนมึงไปเลือกของกินที่ตลาดด้วย " ผมก็เกือบคล้อยตามมันนะ ถ้าแม่งไม่เปลี่ยนสีหน้าเป็นหื่นขณะดูดโกโก้ในมือถึงสองแก้วพร้อมกัน นี่มึงจะทำอะไรกูฉลองวันขอคบปะเนี่ย ?



     " แค่นี้อะนะ ? " เฟิร์สพยักหน้าตอบเพราะปากของมันมีธุระกับของกินในมือ ก่อนที่ผมจะรับสตรอเบอร์รี่ปั่นมาอยู่ในมือคู่กับช่อลิลลี่สีขาวนวล



     หลังจากที่ได้น้ำปั่นมาอยู่ในมือคนละแก้ว (คนข้าง ๆ สอง) เราก็มุ่งไปยังตลาดแถวบ้านของเฟิร์ส ซึ่งมันโอ้อวดไว้ว่าที่นี่ของกินเยอะมากกก ก็ไม่รู้จริงหรือเปล่าจนได้ก้าวขาลงจากรถเมล์มายังคำบอกเล่า ทำให้รู้ว่าคำพูดของเฟิร์สนั้นถูก ละแวกนี้เต็มไปด้วยพนักงานออฟฟิศและเด็กนักศึกษา ควบคู่กับพ่อค้าแม่ค้าที่วางแผงขายของเรียงกันเป็นระเบียบจนลิบตา คงด้วยอยู่ใจกลางหลาย ๆ บริษัทและมหาลัยล่ะมั้ง ผู้คนเลยแวะมาหาซื้ออะไรกินก่อนจะกลับบ้านหรือหอพักกันที่นี่



     แน่นอนครับหลังจากที่ผมรับปากขอคบไอเฟิร์สไปเป็นที่เรียบร้อย เจ้าตัวก็แผลงฤทธิ์แสดงความเป็นเจ้าของทันที..



     " ปล่อยก็ได้นะมืออะ กูโตแล้วไม่หลงหรอก " ผมเหล่ไปยังมือข้างซ้ายที่ไอเฟิร์สยังกุมอยู่ขณะเดินเข้าตัวตลาด หน้ากูไม่ได้หนาพอจะแบกรับสายตาของแม่ค้าและคนแถวนี้ได้นะโว้ย



     " ก็กูหวง " มันพูดพลางใช้สายตาเป็นเครื่องหมายจราจรชี้ไปยังร้านแม่ค้าข้าง ๆ เขาไม่ได้มองเพราะจ้องจะแดกกู ที่เขามองเพราะมึงจับมือกูนี่แหละไอชิบหาย !



     ตากี้ก่อนเข้ามาในตัวตลาด เฟิร์สมันจูงผมไปซื้อขนมลูกชุบมาสองกล่องซึ่งแม่งเป็นของหวานเหมือนน้ำปั่นร้านป้าสำราญอีกแล้ว (กูขอแช่งให้มึงเป็นเบาหวานตาย) พอผมกับเฟิร์สเบียดเสียดผู้คนที่เยอะเหมือนเดินอยู่ในถนนข้าวสารช่วงสงการณ์เข้ามายังตัวตลาด จึงได้พบว่าของกินข้างในนี้เยอะกว่าข้างนอกเสียอีก มีทั้งกุ้งเผา ต้มเลือดหมู เล้งแซ่บ หมูกรอบ (ทั้งหมดที่กล่าวมาเฟิร์สใช้เงินฟาดมาทั้งหมด) นี่ผมเห็นร้านก๋วยเตี๋ยวเรือเจ้าดังแถวเยาวราชแอบมาเปิดตรงนี้ด้วยก็อยากจะแวะไปลิ้มลองเหมือนกัน แต่ติดตรงคำพูดของเฟิร์สที่ว่าคุณขวัญจะกลับบ้านเร็วก็ต้องทำใจไปโดยปริยาย จวบจนได้ของกินเยอะจนเกินจะถือนั่นแหละครับถึงได้เดินออกจากตลาดมาโบกแท็กซี่แถวนี้



     พอได้แท็กซี่มาหนึ่งคันหลังจากที่ต่อแถวกับคนข้างหน้ามานานแสนนาน (จนนิ้วเป็นห้อเลือดเพราะถือของ) ผมกับเฟิร์สก็โยนทุกอย่างลงเบาะ ก่อนจะสูดอากาศเข้าปอดด้วยความเหนื่อยชนิดที่ว่าหลอด SP ในการใช้สกิลของเราแทบจะล่อแล่เต็มที



     " ได้ข่าวว่าให้ซื้อของกิน ไหนได้ขนมมาเยอะกว่าวะไอเฟิร์ส ? " มันหัวเราะหึหึ ๆ ไม่สนใจคำกล่าวว่าของผม แถมหยิบขนมโป้งเหน่งขึ้นมากินหน้าตาเฉยอีก เดี๋ยวเหม็นพี่แท็กซี่เขามั้ยล่ะ !



     " อ็อันออ่อย อินอั้ย ? " เคี้ยวให้หมดก่อนค่อยพูดก็ได้ไอห่า มันยื่นขนมในมือมาให้แต่ผมส่ายหน้าไม่รับ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงเพื่อต่อสายหามิน



     ผมถือสายรออยู่ครู่หนึ่ง เสียงเริงร่าของน้องชายตัวดีก็ดังแทรกเสียงสัญญาณ



     " ครับพี่มิ้ลค์ ? " เฟิร์สถามผมด้วยปากอันไร้เสียงว่าโทรหาใคร ผมเลยตอบไปแบบขยับแค่ปากว่า " มิน "



     " วันนี้พี่คงจะกลับดึก ๆ นะ พี่แวะบ้านเพื่อนน่ะ แล้วหาอะไรกินหรือยัง ? " ไม่รู้ว่าไอเฟิร์สจะแสดงสีหน้าไม่พอใจในคำพูดนี้ทำแมวอะไร



     " กินมากับพี่อาร์มแล้วครับ สบายใจได้ " กินกับไออาร์มงี้ก็แสดงว่าสองคนนี้ไปได้สวยแล้วอะดิ หึหึ



     ในตอนที่ปากผมกำลังจะอ้าแซ็วอยู่นั้นเอง เสียงแสบ ๆ ของเจ้าน้องทูนหัวก็แทรกตัดหน้าเสียก่อน



     " พี่มิ้ลค์แวะไปบ้านพี่เฟิร์สใช่ม๊า มินรู้นะ หึหึ " อ้าว !! แล้วกุมารตัวไหนแอบไปบอกวะเนี่ย ?



     " ไออาร์มบอกใช่มั้ย ? ไม่ต้องมาแซ็วพี่เลยนะ เดี๋ยวจะโดน " ปลายสายหัวเราะหึหึราวกับล้อเลียน



     " วันนี้พี่เฟิร์สก็เจ๋งเหมือนกันน้า กล้ามาขอคบพี่ชายของมินต่อหน้าคนอื่นด้วย " ผมมั่นใจว่ามินคุยกับผมนะ แต่ไหนไอคนข้าง ๆ มันเสือกได้ยินด้วย



     " เอาวิธีนี้ไปใช้ก็ได้นะมิน พี่ไม่จดลิขสิทธิ์ หึหึ " ผมมองตาขวางไอเฟิร์สที่ยื่นคอยีราฟผ่านถุงของกิน ก่อนจะหดกลับไปยิ้มระรื่นอยู่ในกระดอง



     " หึหึ งั้นผมฝากพี่มิ้ลค์ด้วยนะพี่เฟิร์ส คืนนี้พี่มิ้ลค์เข้าเรือนหอครั้งแรก ไม่ต้องส่งกลับบ้านนะ มินดูแลตัวเองได้ ไปแล้วครับ บายย " เฮ้ยมิน !! นี่เอ็งแซ็วพี่ตัวเองแล้วชิ่งตัดสายเหรอ มันจะมากเกินไปแล้วนะ !! หึ้ยยยยย ผมหายใจฟึดฟัดก่อนจะเก็บไอโฟนเข้ากระเป๋ากางเกงพลางแว่วเสียงแซ็วจากคนข้าง ๆ



     " ในเมื่อน้องมินไฟเขียวให้พี่มิ้ลค์สุดหล่อมาแล้ว สงสัยคืนนี้คงไม่ต้องนอนแล้วล่ะ หึหึ " โหยยยยยย ผมไม่เคยเห็นหน้าไอ้เฟิร์สหื่นขนาดนี้มาก่อนเลย ! นี้จะทบต้นทบดอกจากคืนนั้นที่กูแกล้งมึงใช่มั้ย !?



     " คืนนี้มึงแตะต้องตัวกู มึงตาย !! " ผมสั่งเสียมันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเสตาออกไปมองรถด้านนอกอย่างขัดใจ



     หึ้ยยยยยย



####



     หลังจากเราไปกวาดซื้ออาหารเย็นที่ตลาดแถวบ้านเฟิร์สมาได้หลายถุง ผมก็เดินทางมาถึงบ้านของมันในเวลาสองทุ่มกว่า ในตอนแรกอันตัวผมก็คิดว่าคุณขวัญจะมายืนรออยู่หน้าประตูเพื่อต้อนรับเราในการรับประทานอาหารมื้อนี้ แต่ด้วยความกะทันหันที่แม่ของเฟิร์สได้ยกหูโทรกลับมาว่าให้กินกันไปก่อนเลยไม่ต้องรอ ในใจรู้สึกเสียดายครับ เพราะอยู่ดี ๆ คนงานฝ่ายบริการที่ร้านเกิดท้องเสียพร้อมกันถึงสามคน ทำให้คุณขวัญมีความจำเป็นที่จะต้องดูแลร้านเป็นฝ่ายบริการแทนจนห้าทุ่ม และดีไม่ดีอาจจะดึกกว่านั้น



     ตอนนี้เราสองคนย้ายถิ่นฐานจากครัวมาอยู่ห้องของลูกชายเจ้าของบ้านเป็นที่เรียบร้อย ผมและเจ้านี่ยังไม่ได้รับประทานของที่ซื้อมากันเลย เพราะเฟิร์สบอกว่าอยากกินพร้อมหน้าพร้อมตากันกับแม่ ส่วนผมคิดว่าวันนี้ยังไงก็คงจะค้างที่นี่นั่นแหละ เพราะมีความตั้งใจแบบเดียวกันกับมัน ผมเข้าใจความรู้สึกมันนะที่คาดหวังอะไรไว้แล้วแต่สถานการณ์บีบคั้นให้ต้องเลือกอีกทางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้



     เราสองคนนั่งพิงหัวเตียงอย่างคนไม่มีอะไรทำ ผมลอบมองใบหน้าของเฟิร์สที่สไลด์ไอโฟนข้าง ๆ อย่างสงสารจับใจ ยังดีหน่อยที่ท้องไส้ของมันกินขนมคาวหวานจุกจิกมาบ้างแล้ว จะได้ไม่ต้องมากังวลโรคกระเพราะถามหาอีก



     " มองไร ? " แล้วนี่มึงเห็นว่ากูมองมึงได้ไงในเมื่อลูกตาก็เอาแต่จ้องโทรศัพท์ หรือมันจะเป็นทศกัณฐ์ ?



     " เปล่า กูแค่เป็นห่วงมึงน่ะ กลัวมึงจะเสียใจที่ไม่ได้กินข้าวพร้อมแม่ " เฟิร์สหันมาเลิกคิ้วขึ้นข้างนึงก่อนจะวางโทรศัพท์ลง



     " กูไม่ซีเรียสหรอกมิ้ลค์ กูชินแล้วที่แม่กูเป็นแบบนี้ ก็อย่างว่าแหละ แม่เขาเป็นคนขยัน ลูกน้องต่างพารักเขากันหมดเพราะเขารักทุกคนเหมือนลูก หน้าที่ที่เขาสละมาช่วยได้ เขาก็จะทำทุกอย่าง " ทุกอย่างที่เฟิร์สพูดมาล้วนเป็นความจริง คุณขวัญเป็นคนที่รักลูกน้องของเขามาก ถึงลูกน้องมีปัญหาเล็กน้อยเหมือนฝุ่นจนใหญ่ไปถึงจักรวาล คุณขวัญก็จะออกปากช่วยเหลืออย่างไม่ติดขัด ผมคนนึงแหละครับที่ศรัทธาในตัวเขาเหมือนกัน



     เฟิร์สคานเข้ามาใกล้ ๆ " แล้วอีกอย่าง ตอนนี้ก็มีแฟนอยู่ข้าง ๆ แล้วด้วย กูไม่เหงาหรอก หึหึ "



     " พึ่งคบกันวันแรกจะเรียกแฟนแล้วรึไง ? " คนข้าง ๆ คลานมาหยุดอยู่ตรงหน้าก่อนจะใช้ศีรษะลงมาวางบนตักของผม



     " ที่เรียกแบบนี้เพราะอยากมีสถานะกับมึงไง กลัวมึงจะอึดอัด พอมึงอึดอัดเดี๋ยวมึงก็ตาย " ผมขอแก้ข่าวก่อนนะ ถึงเฟิร์สจะเรียกผมในสถานะไหนผมก็ไม่อึดอัดทั้งนั้นแหละ ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีวันนี้สักหน่อย แต่เห็นมันเรียกว่าแฟนก็แอบดีใจเหมือนกันนะ หึหึ



     " แล้วไอความคิดมาขอคบกูต่อหน้าคนอื่นนี่ มึงคิดเองเหรอ ? " กระหม่อมบาง ๆ ของเฟิร์สส่ายไปมาบนตัก



     " เพื่อนมันเชียร์ กูเลยเอาด้วย " โหยยยยยยย นี่ถ้าเพื่อนสั่งให้โดดหน้าผาก็คงไม่คิดเยอะงั้นสิ ?



     " เลวจริง ๆ " ผมด่ามันพลางลูบเส้นบนหนังศีรษะยาว ๆ ตามฉบับเด็กม.ปลายของเจ้าตัวเล่น



     " เพื่อนกูเหรอ ? "



     " มึงนั่นแหละ ! " ผมหัวเราะร่าให้กับความบ้าบิ่นของมัน ก่อนที่เฟิร์สจะลุกขึ้นมากอดผมทั้งตัว



     " มึงไม่ต้องดูแลคนอื่นแล้วนะ ถึงเวลาให้คนอื่นดูแลสักที " คนอื่นที่ว่าไม่ได้หมายถึงมึงใช่ปะ ? ฮ่า ๆ แต่ทำไมมันคิดตื้น ๆ แบบนี้กันล่ะเนี่ย



     " จะเป็นแฟนกันก็ต้องดูแลซึ่งกันและกันสิ เข้าใจมั้ย ? " ความคิดของแม่งนี่ก็แปลก จะเสียสละอยู่ฝ่ายเดียวหรือไง ? แต่ผมจะว่ามันก็ไม่ได้ว่ะเพราะเมื่อก่อนตัวเองก็เป็นแบบนี้ เฟิร์สนิ่งเงียบไปครู่นึ่งแต่ก็ยอมพงักหัวเข้าใจในอ้อมกอดของผม



     " แล้วเลิกดูดบุหรี่ยัง ? "



     " ก็ไม่ได้ติดหรอก แต่ถ้ามึงไม่ให้ดูดกูก็จะเอาไปทิ้ง " เสียงเฟิร์สอู้อี้ตอบ



     " ดีมาก ทำอย่างนี้กูจะได้รักมึงนาน ๆ " อยู่ดี ๆ ไอเด็กขี้อ้อนนี่ก็ดีดตัวขึ้นมาจ้องเขม่น



     " แค่นี้มันยังไม่เรียกว่ารักหรอก " แล้วทำไมอยู่ ๆ หน้ามึงก็หื่นขึ้นมาได้วะไอเฟิร์ส !



     " แล้วต้องทำยังไง ? " คำตอบของมันคือการยื่นฝ่ามืออันเรียวมาวางไว้บนกระดุมเม็ดใต้ปกเสื้อนักเรียนของผม



     " ทำแบบนี้ไง หึหึ " ถึงเฟิร์สจะกลายร่างเป็นจอมหื่นไปแล้ว แต่ทางผมก็ยังใจเย็นไม่ตื่นตระหนกเพราะความคิดในหัวตอนนี้คือถูกต้องที่สุด



     " ทำแบบนี้มันไม่เร็วไปหน่อยเหรอ ? ถ้ารักกูจริง ของแค่นี้ก็ต้องรอได้สิ " แววตาของเฟิร์สที่เคยกระหายในความใคร่ ค่อย ๆ จางเป็นใสแจ๋วเหมือนอย่างเก่า มันติดกระดุมเสื้อของผมบริเวณนั้นให้เรียบร้อยก่อนจะผละตัวออกไป



     " ได้เลย เพื่อมึงกูรอได้เสมอ " เฟิร์สยิ้มรับพลางยักคิ้วขึ้นอย่างมั่นใจ " งั้นกูไปอาบน้ำละ "



     เฟิร์สลุกจากเตียงไปแต่ไม่ไวกว่าผมที่คว้าข้อมือแกร่งนั่น คนที่ผมตรึงมืออยู่หันมาเลิกคิ้วสูงราวกับมีคำถาม



     " คือ.. " แล้วไอความคิดแบบนี้มันแว็บเข้ามาในหัวได้ยังไงกันล่ะหว่า ถ้าจะให้พูดออกไปเองมันก็ทะแม่ง ๆ เว้ย



     " อะไรเหรอ ? " เฟิร์สเปลี่ยนกริยาจากยืนเป็นนั่งข้างเตียงมองตอบดวงตาของผมที่ฉายแววไม่มั่นใจ



     " กูให้สิ่งที่มึงขอเมื่อกี้ได้นะ แต่.. " คนข้าง ๆ เบิกตาขึ้นราวกับตกใจและแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูดออกมา



     " แต่กูทำไม่เป็นนะ "



- Not to be unlocked -

ออฟไลน์ LKPOW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Not to be unlocked : Episode 37 : ทางของอดีต



     ผมตื่นขึ้นมาภายในห้องของเฟิร์ส โดยมีตัวแปรต้นเป็นนาฬิกาปลุกร้องแหกปากเสียงดังจนน่ารำคาญ ผมเอื้อมเอามือหมายจะไปปิดบริเวณชั้นวางหัวเตียงแต่แขนดันไม่ถึง เลยขยับตัวอีกนิดหน่อยจึงพบว่า



     โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยย !!!



     ตาผมเหลือกขึ้นฝ้าเพดานทันที เพราะความเจ็บปวดจากด้านหลังและสะโพกแล่นริ้วมาตามกล้ามเนื้อทุกส่วนบนร่าง เชี่ยยย ทำไมมันเจ็บงี้วะ ! ศึกใหญ่เมื่อคืนของผมและเฟิร์สยังไม่เห็นเจ็บปวดขนาดนี้เลย ผมใช้ความพยายามที่มีเลิกผ้าห่มและวงแขนของคนข้าง ๆ ออกแม้จะปวดระบมตามความเคลื่อนไหว แค่ลุกมานั่งเฉย ๆ ยังปวดตุบตับเลยอะครับท่านผู้อ่าน แล้ววันนี้จะไปโรงเรียนไหวมั้ยล่ะเนี่ย ฮืออออ รู้สึกว่าหลับไม่เต็มอิ่มด้วย



     เสียงนาฬิกาปลุกหยุดร้องหลังจากที่ผมเอื้อมไปปิดพลางก้มลงมองรอยจ้ำแดง ๆ ตรงหน้าอก โหยยยยยย ไอเฟิร์ส ! นี่มึงกระทำชำเราโดยทิ้งหลักฐานไว้บนร่างกายกูอะนะ !? เมื่อคืน เอ่อ...จะพูดอ้อม ๆ เหตุการณ์ทั้งหมดยังไงดีกันล่ะหว่า เอาเป็นว่าหลังจากบ้านบางระจันของผมถูกพม่าอย่างไอเฟิร์สบุกทลายเมืองจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ มันก็พาผมลงไปหาอะไรกินที่ซื้อมาตอนเย็นตามคำสั่งเสียของคุณขวัญ ก่อนจะขึ้นมาสอนการบ้านจนเสร็จและโน้มตัวลงนอนอย่างเป็นทางการ คุณขวัญที่ยกสายมาบอกในตอนแรกว่าจะไปนอนคอนโดและไม่สามารถร่วมรับประทานอาหารเย็นกับเราได้ ก็โทรกลับมาเปลี่ยนแผนการเป็นกลับบ้านครับ แต่ในเวลาตีสามกว่า (ทุ่มเทกับงานมาก) ถึงกระนั้นผมและเฟิร์สคงรอทานข้าวเวลานั้นด้วยไม่ไหวหรอก ก็เลยหลับกันตั้งแต่ตีหนึ่งด้วยความเหนื่อยชนิดที่ว่า เกิดมายังไม่เคยอยากพักร่างเหมือนวันนี้มาก่อน



     กลับมายังข้างเตียงที่ผมเปลือยกายท่อนบนอีกครั้ง ฮืออออออ เมื่อคืนก็ให้ไอเฟิร์สปั๊มคอซะแดงแปร๊ดโดยไม่คำนึงว่าพรุ่งนี้กูต้องไปไหนเลย ผมจะรับมือโดยไม่ให้เพื่อนรู้ว่าโดนอะไรมายังไงดีกันล่ะนั่น ! ไหนจะอาการปวดและเมื่อยตามร่างกายอีก ผมหันไปเหล่ไอตัวการที่ยังหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว หึ เมื่อคืนแม่งก็ชนะผมไปถึงสามต่อหนึ่ง เดี๋ยวมีเกมหน้าเมื่อไหร่ผมไม่แพ้มันแน่ สัญญาเลย



     " หกโมงแล้วไอหื่น ! " ผมเขย่าหน้าอกแน่น ๆ ของมันที่เหลือแต่ท่อนล่างปิดไว้ด้วยบ๊อกเซอร์ด้วยความแรงแปดริกเตอร์ เฟิร์สหรี่เปลือกตาขึ้นมามองก่อนจะอ้าวงแขนรวบตัวผมไว้



     " ปลุกมาต่อเหรอที่รัก หึหึ เมื่อคืนขาดตอนมาก ๆ เลยนะ " ต่อหน้ามึงสิ ในหัวมึงนี่คิดแต่เรื่องแบบนี้ใช่มั้ยไอเลว !?



     " ต่อบ้านป้ามึงสิ ไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว จะไปเรียนมั้ย ? " ผมไม่ขัดขืนอะไรมันมากเพราะยิ่งขยับตัวก็ยิ่งปวด เฟิร์สปล่อยวงแขนที่รัดตัวออกก่อนจะลุกขึ้นมานั่งส่งสายตากรุ้มกริ่ม



     " เมื่อคืนมึงเร้าใจกูมากเลยนะที่รัก เต็บสิบเอาไปแปดล้านเลย " โว้ยยยย ถึงตรงนี้หน้าผมร้อนผ่าวอย่างสุดจะเขิน ทำไมผมต้องมาลอกแลกไอเฟิร์สด้วยทั้ง ๆ ที่เมื่อคืนมันมีอะไรมากกว่าการแทะโลมแบบตอนนี้ซะอีก แถมคนที่ชวนน่ะก็ไม่ใช่ใครอื่น โอ๊ยยย ไอหน้าไม่อาย !!



     " พูดมาก ไปอาบน้ำ " ผมลุกขึ้นจากเตียงพร้อมอาการปวดเพื่อจะไปเข้าห้องน้ำ แต่เท้าก็ถึงพื้นห้องได้แค่ข้างเดียวเท่านั้น เฟิร์สก็รั้งผมด้วยมือไว้



     " คอมึงแดงขนาดนี้เลยเหรอ ? " ก็เออดิ แม่ง...ไปโรงเรียนดีมั้ยเนี่ย จะตอแหลว่าโดนมดกัดก็กลัวไม่เนียน ถ้าอ้างว่าโดนมดกัดเหมือนคุณหมอฉีดยาให้ตอนเด็ก ๆ ก็คงจะเป็นมดทั้งรังรุมกัดผมมากกว่า



     " เออ ก็มึงมันซาดิสม์อะ แม่ง...ดูดอยู่ได้ " ผมด่าเฟิร์สได้แค่แปปเดียวมันก็ลุกขึ้นพรวดจากเตียงไปเปิดตู้เสื้อผ้าคุ้ยหาอะไรบางอย่าง มันหยิบไม้ที่แขวนชุดนักเรียนแบบครบเซ็ท ชุดวอร์มสีน้ำเงินโยนมาไว้บนเตียง มีเพียงผ้าพันคอสีแดงแปร๊ดเท่านั้นที่ลอยมาแปะหน้าผม



     " มึงใส่เสื้อพวกนี้ปิดไปก่อนละกัน เดี๋ยวตอนเย็นกูพาไปซื้อตัวใหม่ให้ " ผมดึงผ้าผืนยาว ๆ นี่ออกจากหน้าโดยไม่ขัดคำสั่งของเฟิร์สแต่อย่างใด



     งั้นตอแหลว่าป่วยไปก่อนแล้วกันเนอะ..



     หลังจากที่ผมรวมชุดเข้ากับร่างโดยมีเฟิร์สช่วยแต่งให้ซะหล่อ ผมก็เดินทางมาโรงเรียนอย่างใจชื้น เพราะชุดวอร์มและผ้าพันคอของเฟิร์สปิดหลักฐานที่เผยบนกายตัวเองได้ถึงเก้าสิบเก้าจุดเก้าเก้าเปอร์เซ็นต์ ผมเดินผ่านหลายสายตาในโรงเรียนที่มองมาอย่างแปลก ๆ เหมือนถามว่ามึงอยู่ท่ามกลางหิมะในกรุงโซลหรือเปล่า ? แต่ก็สนใจได้ไม่นานจนเฟิร์สพาผมมาส่งยังโต๊ะในโรงอาหารที่วันนี้ดูเหมือนเพื่อนจะอยู่กันเกือบครบแก๊ง แล้วมึงจะมาขยันห่าอะไรกันวันนี้ ? กูไม่อยากตอแหลเลยว่าเมื่อคืนไปโดนอะไรมา



     " เชี่ยมิ้ลค์ ! วันนี้ไม่มีงานภาษาเกาหลี มึงจะแต่งคอสเพลย์มาทำไม ? " กูรู้ว่ามันไม่มีโว้ยไอปิงปอง แต่ที่ใส่เพราะกูจะปิดบังหลักฐานเฉย ๆ หรอก อ้อ กูต้องสวมบทบาทเป็นคนป่วยสินะ ว่าแต่คอสเพลย์ที่เกาหลีได้ด้วยเหรอ ?



     " กูไม่ค่อยสบายอะ เมื่อวานตากฝน แค่ก ๆ " ผมว่าตัวเองก็ตอแหลเนียนนะ แต่ทำไมมันมองหน้ากันไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่เลย



     " เมื่อวานกูกำลังจะพามิ้ลค์กลับบ้าน อยู่ดี ๆ ฝนก็ตกน่ะ เปลือกกันทั้งคู่เลย " ไออาร์มจ้องมายังผมเขม่นแม้เฟิร์สจะออกปากตอแหลช่วยอีกแรง



     " เปลือกฝนหรือเปลือกอะไร ? " ชิบหายแล้วไง ผมอ้ำอึงไปแปปนึงก่อนจะคิดอะไรบางอย่างออก



     " อะ การบ้านเจ๊ดล รีบทำซะไอสัด อย่าถามมาก " พอผมโยนการบ้านลงกลางวง ไอพวกห่านี่ก็หมดข้อสงสัยไปโดยปริยาย เออพวกนี้ บทจะเล่นงานง่ายก็ง่ายชิบหายเลยเนอะ



     " งั้นเค้าไปรวมตัวกับเพื่อนก่อนนะที่รัก เฮ้ยฝากที่รักกูด้วย ! ถ้ามันบ่นปวดหัวตัวร้อนจะตายให้ได้ก็โทรบอกกูด้วยล่ะ เดี๋ยวรับมันไปห้องพยาบาลเอง " ผมหันไปสบตาไอเฟิร์สโดยพูดแบบไม่มีเสียงว่าขอบคุณ เพราะแม่งก็ตอแหลเป็นงานดีเหมือนกัน แต่พวกมึงจะพร้อมใจกันเบะปากหมั่นไส้กูกันทำไม !?



     " ปล่อยมันตายอยู่นี่แหละ เดี๋ยวกูเอาศพไปคืนมึงเอง " สิ้นคำอาร์มเฟิร์สก็หัวเราะหึหึพลางโบกมือลาผมและเพื่อนทั้งกลุ่ม ก่อนจะเดินแยกออกไป หวังว่าไอพวกห่านี่คงไม่คึกอยากจะถอดชุดผมออกหรอกนะ เสื้อนักเรียนก็ไม่ใช่ชุดกู ผมขี้เกียจตอบคำถามพวกแม่งงงง



     " เอ้า ! แล้วไมมึงไม่นั่งอะ ? เดี๋ยวก็หน้ามืดเป็นลมหรอก กูไม่รับผิดชอบแทนผัวมึงนะ " ห้ะ ? ผมมองหน้าไอปิงปองขณะที่มันเขียนงานอย่างเร่งรีบ เชี่ยล่ะ ผมยังนั่งไม่ได้ตอนนี้ว่ะเพราะมันปวดบั้นท้ายมากกกกก เมื่อเช้าขึ้นรถเมล์โชคดีหน่อยที่คนเยอะเลยไม่ได้นั่ง



     " กูไม่นั่งไม่ได้เหรอ ? " ทีนี้ไออาร์ม ไอปิงปอง ไอเบ๊นซ์หันมามองผมเหมือนด่าว่าบ้า ผมลอกแลกมองตอบพวกมันก่อนจะสอดตัวเข้าไปยังเก้าอี้ยาวและนั่งลง..



     โอ้โหหหหหหหหหหหหหหหหหหห



     ไอเชี่ยยยยยยยยยยยยยย



     ด่าอะไรได้หยาบคายมากกว่านี้มั้ย !!!!!?



     ผมกัดฟันกรอดเพราะความเจ็บจากเมื่อคืนมันลุกลามไปทั่วพื้นที่ร่างกายแบบพลุ่งพล่าน อ๊ากกกกกกก กูเจ็บ !! กูปวด !! ฮืออออออออ ไม่รู้สีหน้าของผมแสดงออกมาเป็นยังไงไอเบ้นซ์เลยถามอย่างตกใจ



     " เชี่ยมิ้ลค์ ! มึงไข้ขึ้นปะเนี่ย ? ทำไมหน้าแดงจังวะ !? " มันทำท่าลุกลี้ลุกลนเหมือนกับทำอะไรไม่ถูกจนเพื่อนคนอื่น ๆ คล้อยตาม



     " มิ้ลค์ มึงไปห้องพยาบาลเปล่า !? " ว่าแล้วไอปองปิงก็ถามบ้าง มึงไม่ต้องเป็นห่วงกู อยู่เฉย ๆ กันนั่นแหละ แฮก ๆ



     " หรือมึงอยากอ้วก ? " กูไม่ได้อยากอ้วกไออาร์ม กูแค่เจ็บ ! ทุกคนหันมามองอย่างลุ้นที่ผมจะตอบอะไร ผมหายใจเข้าออกให้ความเจ็บที่แล่นอยู่ทุเลาลงก่อนจะพูดขึ้น



     " กู...ไม่เป็นไร " มันเป็นโทนเสียงปกติและผมใส่ความปกติให้ได้มากที่สุด ดูเหมือนสถานการณ์ตึงเครียดเมื่อครู่จะผ่อนลงไปบ้างแล้ว



     " เฮ้อออออ " พวกแม่งถอนหายใจโล่งอกก่อนจะก้มหน้าไปปั่นงานของแต่ละคนต่อ เออดี เลิกเสือกเรื่องของกูสักทีเถอะ กูไม่อยากแถต่อแล้วคิดไรไม่ออก ฮืออออออออ



     ในขณะที่ผมตั้งสมาธิหายใจเข้ายุบหนอพองหนอให้ควาบเจ็บปวดส่วนท้ายหายไปนั้น ซันกับปอนด์ในตอนแรกที่ไม่เห็นวี่แววก็ปรากฏร่างทั้งคู่ในฐานะคนมาใหม่ ผมรู้ครับว่าซันกำลังพยายามหาที่นั่งให้ไกลที่สุด เพื่อเลี่ยงปอนด์ไม่ให้อยู่ใกล้ตัวผม แต่สุดท้ายแล้วที่นั่งว่าง ๆ ถูกเพื่อนคนอื่น ๆ จับจองไปจดหมด มีเพียงแค่เบื้องหน้าผมก็เท่านั้น



     สมองของผมสั่งการให้ผลิตคำถามเตรียมไว้ ซึ่งเป็นในตอนที่ซันและปอนด์วางกระเป๋าพลางนั่งลงอย่างจำนน คนตรงหน้าพยายามส่งสายตามายังผมราวกับไม่เกรงกลัว ผิดกับปอนด์ที่เอาแต่มองออกไปด้านข้าง ส่วนไอพวกห่านี่ที่นั่งปั่นงานเจ๊ดลอยู่ก็หันมามองคนละแว็บ ก่อนจะก้มไปเขียนต่ออย่างไม่สนใจ



     " ปอนด์ " ผมเรียกชื่อคนที่เอาแต่มองสนามบอลให้ทางนั้นรู้สึกตัว แต่เหมือนการกระทำนี้จะไม่ค่อยพอใจสำหรับซันเท่าไหร่นัก และคนที่ขานรับไม่ใช่ปอนด์ด้วย



     " ทำไม ? "



     " มึงชื่อปอนด์เหรอ ? " สถานการณ์อยู่ดี ๆ ก็ตึงเครียดขึ้นมาซะดื้อ ๆ ทำให้เพื่อรอบข้างเริ่มหันมามองกันใหญ่



     " .......... " คราวนี้ซันเงียบอย่างไม่พูดอะไร ซึ่งเป็นการดีเพราะผมจะเคลียร์กับทางปอนด์ต่อ



     " ปอนด์ เมื่อวานมึงเป็นอะไร ? " และก็เป็นไปตามคาดเมื่อคำตอบไม่ได้ตอบโดยปอนด์อีกแล้ว



     " ก็บอกว่ามันไม่ได้เป็นอะไรไง ! มึงอย่าถามมากได้ปะ !? " เสียงซันแข็งขึ้นและจริงจังน่ากลัว ก็อย่างว่านั่นแหละครับ ซันมันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน และผมก็ไม่เคยเป็นแบบนี้ด้วย



     " มึงอย่าเสือกได้ปะ ? กูถามเพื่อนกู "



     " อ่าวไอสัด ! " ผมกับซันลุกขึ้นเหมือนคนกำลังจะมีเรื่องจนไอปิงปอง อาร์ม เบ้นซ์ไม่สนใจงานตรงหน้าเสียแล้ว เราสองคนมองหน้ากันอย่างชั่งใจ แต่แล้วก็มีเสียงอันเรียบเฉยของใครบางคนทำให้ผมและซันสงบสติอารมณ์



     " กูไม่ได้เป็นอะไรจริง ๆ มิ้ลค์ อย่าทะเลาะกันเลยนะ นั่งลงเถอะ " ปอนด์พยายามหันมาแค่นยิ้มให้ ผมรู้ในทันทีว่ามันฝืนและมีเคล้าแห่งความโกหก ปอนด์กำลังจะทำให้ผมสบายใจก็เท่านั้น แต่ไม่ทันไรคนที่มองผมอยู่ก็เบิกตากว้างราวกับเห็นอะไรเข้าก่อนจะหันหนีไป ซันมีทีท่าว่าสงบแล้วก็โน้มตัวนั่งลง เช่นเดียวกับผมที่อยากจะเดินไปห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาสักหน่อย เพราะตากี้อารมณ์ก็ชั่ววูบเหมือนกัน



     ผมไม่สนิทใจในทีเดียวหรอกว่าปอนด์ไม่ได้เป็นอะไรจริง ๆ



####



     ปกติเวลาผมจะเดินไปไหนหรือมาพักกลางวันแบบนี้ก็จะตกเป็นเป้าสายตาด้วยความหล่อแบบนี้อยู่ตลอด ๆ หึหึ ผมรู้ตัวนะว่าตัวเองนี่ก็เป็นสเปคเหล่าเก้งกว้างบ่างชะนีด้วยรูปลักษณ์ขาวผุดผ่องราวกับเป็นผงซักฟอกโอโม้ทาทับด้วยสีขาวอีกทีเหมือนกัน แต่เอ...ทำไมในพักกลางวันอันแสนอบอ้าวด้วยชุดแต่งกายปกปิดหลักฐานอยู่นี้นั้นคนถึงได้มองมาชนิดที่ว่า กูขอตีหัวมึงให้สลบแล้วลักหลับเอาไปเป็นเมียจะได้มั้ย ? โห่ท่านผู้อ่านก็ดูดิ ไม่ว่าจะเป็นชายธรรมดาหรือชายเทียมที่นั่งกินข้าวและต่อแถวตามร้านต่าง ๆ ก็จะมองผมด้วยสายตาแปลก ๆ กันทั้งนั้น หรือทุกคนจะยอมรับว่าผมเป็นซุปตาร์แล้วจริง ๆ เดี๋ยวพี่มิ้ลค์คนนี้จะเดินไปแจกลายเซ็นให้กับทุกคนเองนะ หึหึ



     ก็อย่างที่กล่าวไปข้างต้นนั่นแหละครับว่านี่อยู่ในคาบพักกลางวัน วันนี้ผมจะดูหงุดหงิดไปนิดหน่อย ย้ำ นิดหน่อยจริง ๆ เพราะก๋วยเตี๋ยวร้ายป้าน้อยดันปิด !!! บวกกับชุดวอร์มที่ตอนนี้ผมสัมผัสได้ถึงน้ำลื่น ๆ ที่มันไหล่อยู่ตามตัว แม้จะแวกซิปให้ลมได้โชยเข้าไปนิดหน่อย แล้วไหนจะความเจ็บที่ยังคงปะทุเบา ๆ จากด้านหลังและสะโพกอีก ให้ผมถอดเสื้อวอร์มออกก็คงไม่ได้ เดี๋ยวคนอื่นเขารู้หมดว่าไปเล่นซีนตบจูบกับใครมา แม่งเป็นอะไรที่โคตรทรมารรรรร ผมเดินคอพับอย่างขัดใจตามไออาร์มต้อย ๆ ที่แม่งเลี้ยวไปต่อแถวร้านข้าวแกง เฮ้ออออ เอาวะ กินข้าวราดแกงสักวันคงจะมิใช่ปัญหาอะไรดอก ร้านลุงพีผมก็ว่าเขาทำอร่อยดีนะ แต่ติดที่ว่าหางแถวของร้านนี้แม่งไกลไปถึงขั้วโลกเหนือ (คนเยอะมากกก แถมเปิดอยู่ไม่กี่ร้านเอง)



     ในขณะที่ผมหน้าบึ้งมองไออาร์มอย่างเซ็งในอารมณ์อยู่นั้น เสียงแว้ดอันน่ารำคาญและคุ้นหูก็แทรกเข้ามาถึงโสตประสาทชั้นในสุด ถึงขั้นผมต้องหันไปมองค้อนไอกะเทยควายร่างเกือบเป็นยักษ์ตนนั้น



     " อร๊ายยยยย วันนี้ผัวกูใส่เสื้อแขนยาวมาด้วย คิดถึงจังเลยค่ะ " แล้วอีเจสซิก้ามันก็รวบตัวผมเข้าไปกอดก่อนจะโน้มศีรษะมาอิงไหล่ เหอ ๆ มึงจะเอาผู้ชายหล่อ ๆ มามโนเป็นผัวทุกคนแบบนี้ไม่ได้นะอีเจส



     " เป็นบ้าอะไรวันนี้ห้ะ ? ทุกทีไม่เคยมาสีเพื่อนกูอย่างนี้ " เป็นไออาร์มครับที่ออกปากต่อสู้กับมัน อีเจสซิก้าโงหัวขึ้นมามองก่อนจะตีหน้าเศร้าดุจเป็นนางเอกในละคร



     " มึงไม่รู้หรอกว่าใจกูแทบจะสลาย พ่อของลูกกูโดนผู้ชายมาขอคบกลางโรงเรียน กูรับไม่ได้จริง ๆ " บางทีสาเหตุที่คนเขามองหน้าผมกันแปลก ๆ อาจจะเป็นไปตามประโยคนี้ของอีเจสซิก้าก็ได้นะ



     " ชักช้าไงก็เลยโดนผัวมันคาบไปแดก ฮ่า ๆ อีควาย " ดูเหมือนคนที่เกาะผมอยู่คงจะไม่พอใจคำพูดของไออาร์มแหละ เพราะตอนนี้มันคลุ้มคลั่งขึ้นมาเสียดื้อ ๆ



     " คบได้ก็เลิกได้ ! กูจะรอผัวคนนี้ที่ท่าน้ำทุกวัน พี่มากของกูจะต้องกลับมาเข้าใจมั้ยคะ ? " ผมพยักหน้าเอือม ๆ ให้กับบทรัชดาลัยเธียเตอร์ของมันก่อนจะขยับแถวขึ้นไปข้างหน้า



     บางทีการที่ผมเป็นสเปคของอีพวกนี้ก็ลำบากใจเหมือนกัน เหอ ๆ



     หลังจากที่อีเจสสิก้าได้ฝังรอยจูบบนแก้มของผมโดยพลการ (ถ้าไอเฟิร์สเห็นมันเอามึงตายแน่) ผมก็ทำหน้าที่เป็นหมาเดินตามเจ้าของอย่างไออาร์มต้อย ๆ อีกครั้งไปยังที่ที่มินนั่งคู่กับน้องมาย ถือว่าเปลี่ยนบรรยากาศมั้งครับที่ได้มานั่งกับน้องกับนุ่งบ้าง แต่เอาเข้าจริง ๆ ยังไม่อยากไปนั่งรวมกับไอปิงปองเสียเท่าไหร่หรอก เพราะอยากหลีกเลี่ยงการปะทะกับไอซันน่ะสิ ยิงช่วงนี้อารมณ์มันแปรปรวนแปลก ๆ อยู่ ยังไงมื้อนี้ก็มาสิงสถิตอยู่กับน้องตัวเองไปก่อนแล้วกัน



     เด็กม.4 สองคนนั้นยิ้มทักทายก่อนที่ผมและอาร์มจะวางจานข้าวลงกับพื้นโต๊ะ เจ้าน้องตัวแสบของผมนี่มันคิดจะไม่ไปนั่งสุ่มหัวกินข้าวกับคนอื่นเลยเหรอวะนอกจากน้องมาย ? ฮ่า ๆ แปลกดีแฮะ ผมหยิบช้อนขึ้นหมายจะตักยำไก่กรอบในจานเข้าปาก น้องมายก็หาเรื่องชวนผมคุยซะแล้ว



     " สวยดีนะครับพี่มิ้ลค์ ผ้าพันคอสีแดงกับเสื้อวอร์มสีน้ำเงิน ไปซื้อมาจากไหนเหรอครับ ? พอดีผมชอบแต่งตัวแนว ๆ นี้เหมือนกัน " จริง ๆ พี่ก็ไม่ได้อยากจะแต่งมาเท่าไหร่หรอกนะ ถ้าไม่ติดว่าต้องปกปิดอะไรบางอย่างไว้ เหอ ๆ ผมจะอ้าตอบแต่ไอน้องตัวแสบก็ปากไว้กว่าพี่มันอีกแล้ว



     " ไม่ได้ไปซื้อที่ไหนมาหรอก ก็ของพี่เฟิร์สที่เราดูคลิปขอคบกับพี่มิ้ลค์นั่นแหละ หวานซะไม่มีเลยเนอะพี่ชาย " โหยยมิน !! พักนี้แกเล่นงานพี่ตัวเองซะพุนเลยนะ อาร์มมันคงชอบใจที่มินแซ็วแหละครับ ถึงได้หัวเราะหึหึอยู่ข้าง ๆ



     " นี่ ให้มันน้อย ๆ หน่อยนะมิน อย่าให้พี่รู้นะว่าเรากับอาร์มไปมีซัมติงกันที่ไหน " ดูเหมือนที่ผมพูดลอย ๆ ออกมาจะไม่มีผลกับสีหน้าของมินและอาร์มแต่อย่างใด เพราะหน้าเจ้าตัวทั้งคู่นิ่งอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น หึ ปิดบังได้ก็ปิดไป



     " มิน เราไม่กินตับอะ มินชอบกินนี่เนอะ มินกินให้เราหน่อยสิ " มาทางด้านรุ่นน้องทั้งสองคนบ้าง มายตักสิ่งที่ว่าไปใส่จานของมินเหมือนกับเป็นเรื่องปกติ ก็เป็นเรื่องปกตินี่หว่าที่เพื่อนจะกินของที่ไม่ชอบแทนกัน แต่เหมือนจะไม่ปกติแล้วว่ะ เพราะผมเริ่มจับแรงสั่นสะเทือนจากคนข้าง ๆ ได้



     " มิ้ลค์ มา ๆ กูป้อนนะ นี่ไข่ตุ๋นไงของชอบมึงไม่ใช่เหรอ ? อ้าาาาา " แล้วไออาร์มมันก็ยัดไข่ตุ๋นเข้ามาในปากผมเต็มคำ เดี๋ยวมิน ! นี่พี่เอ็งไง !! แกจะทำหน้าไม่พอใจทำไมวะ !? ไม่ต้องหึงพี่ตัวเองเลยนะโว้ยย แล้วมึงจะประชดน้องกูทำไมไออาร์มมมมมม



     " มายเรากินแครอทไม่ถนัดอะ ช่วยเรากินหน่อยนะ อ้าาา " แล้วมินก็ตักแครอทสีส้มเข้าไปในปากมายบ้างโดยที่ไม่ได้ถามเล้ยว่าเขาจะกินมั้ย ตอนนี้คุณประธานคนเก่าและคนใหม่ก็ประกาศสงครามประชดประชันกันขึ้นอย่างมิได้นัดหมาย ชิบหายล่ะไงกู ไออาร์มก็ยัดข้าวเข้าปากผมเพื่อให้มินหึงเล่น ๆ มินก็ยัดข้าวเข้าปากมายเพื่อให้อาร์มหึงไม่ต่างกัน ต่างฝ่ายไม่มีใครยอมกันเลย



     " อะมิ้ลค์ คำสุดท้ายแล้วนะ สู้ ๆ อ้ามมมม " ในตอนที่ช้อนในมือของอาร์มกำลังจะยื่นมาเข้าโพรงปากผม มินก็ลุกพรวดพลาดขึ้นจากโต๊ะก่อนจะเนรเทศตัวเองไปกับจานเปล่าในมือ อาร์มคงรู้สึกตัวแล้วล่ะว่ามันเองก็ทำเกินลิมิต ก่อนลุกจากเก้าอี้ยาวเดินตามมินไป



     บางทีความรักมันก็สามารถนำพาเราให้ไปสู่เรื่องเข้าใจผิดกันได้สินะ..



####



     มาอีกแล้วสินะไอที่แห่งนี้..



     ผมบ่นขณะที่ก้าวขาออกมายังชานชาลาคู่กับหวานใจ ก่อนจะเบียดเสียดฝูงชนลงไปยังด้านล่าง ไม่ต้องถามเลยครับว่าไอเฟิร์สจะพาผมมาที่นี่ทำไม ก็แหม สามีของผมเขาอยากจะพาภรรยามาเลือกเสื้อผ้าน่ะสิ เห็นว่ารอยพิษแดง ๆ ที่คอกว่าจะหายก็อีกหลายวัน เย็นวันนี้มันก็เลยจะพามาซื้อซึ่งผมก็ทักท่วงไปแล้วว่าไม่ต้อง บ้านกูก็มีเยอะแยะ แต่แม่งไม่สนใจผมเลยสักแอะอะครับ จูงมือผมหน้า ๆ ด้านมาขึ้น BTS สบายใจเฉิบ



     มันเดินพาผมลัดเลาะมายังซอยต่าง ๆ ที่เสื้อผ้าแถวนี้จะขายเยอะกว่าโซนอื่นหน่อย แต่แปลกนะครับที่ทุกทีมันจะจับมือผมพาเดินไปโน่นไปนี่ วันนี้คิดอะไรอยู่หว่า ทำไมถึงทำแค่เอาแขนมาพาดคอเฉย ๆ อืมมม ถ้าคนอื่นมองเราทั้งคู่ก็คงคิดว่าเป็นคู่เพื่อนที่รักกันดี แต่ขอโทษนะครับพี่ ๆ ทั้งหลาย ผมรักมันมากกว่าที่พี่คิดกันเสียอีก หึหึ



     ทันทีที่มาถึงปากทางซอยหก เฟิร์สก็จูงผม (กูอุส่าโล่งใจว่ามึงจะไม่จับมือแล้วนะ) เข้าไปร้านโน้น ทะลุออกร้านนี้ เหมือนเขาเจาะทางไว้เชื่อมต่อกัน เฟิร์สมันก็เป็นคนหัวแฟชั่นเหมือนกันครับ เพราะดูเสื้อผ้าแต่ละตัวที่มันหยิบขึ้นมาทาบบนร่างของผมแล้วล้วนมีสไตล์ทั้งนั้น ผิดกับผมชิบหายเลยว่ะ ที่ในตู้มีเสื้อผ้าอะไรก็สามารถหยิบมาใส่อย่างไม่สนใจว่ามันจะเข้ากันมั้ย เฟิร์สมันหยิบเสื้อฮู้ดเอย เสื้อแขนยาวเอย เข้ามาทาบกับตัวผมก่อนจะทำหน้าพิจารณา



     " ไง จะสิบร้านแล้วนะ ยังเลือกไม่ได้อีกเหรอ ? " ถ้าจำไม่ผิดมันพาผมมาร้านนี้เป็นร้านที่ เอ่อ...ท่าไหร่แล้ววะ ? เอาเถอะ เกือบสิบนั่นแหละ แม่ง เรื่องมากชิบหาย



     " ไม่ได้ที่รัก แฟนกูจะต้องน่ารักกว่าใครเพื่อน " นี่ไอสัด จะเรียกกูว่าแฟนก็เบา ๆ หน่อยก็ได้ เจ้าของร้านตากี้เขาหันมามองตอนมันพูดว่าแฟนแถมทำตาโตอีกต่างหาก สงสัยคงช็อกน่ะครับที่ผู้ชายกับผู้ชายเรียกสรรพนามว่าแฟนด้วยกัน ไม่วายมันก็ถามต่อ



     " แล้วที่รักเป็นคนชอบสีไหนอะครับ ? "



     " สีแดงไง " ผมว่าผมเคยบอกมันแล้วนะ แต่สงสัยคงลืม และมันเองก็ชอบสีนี้เหมือนกัน



     " งั้นเอาตัวนี้ดีมั้ย ? " มันหยิบชุดกันหนาวแขนยาวสีดำสลับขาวที่เนื้อผ้าค่อนข้างหนาเข้ามาทาบกับตัวผมอีกครั้ง ชุดวอร์มสีน้ำเงินกับผ้าพันคอสีแดงนี้ที่เฟิร์สให้ใส่ผมว่าก็เหมาะกับตัวเองดีนะ ไม่เห็นจะต้องซื้ออะไรเพิ่มให้เปลืองสตางค์เลย



     " เฟิร์ส ตัวที่กูใส่อยู่ของมึงก็สวยดีอยู่แล้ว จะซื้อทำไมอีก ? เปลืองตัง " มันทำหน้าไม่สนใจก่อนจะหยิบเสื้อในมือไปแขวนไว้อย่างเก่า อ้าวเฮ้ย ! แล้วมึงจะวิ่งไปไหน !? ผมขมวดคิ้วมองตามหลังมันที่เดินเข้าไปลึกกว่าเก่า



     " ที่รัก " แว่วเสียงมันเรียกพลางกวักมือยิก ๆ ตอนนี้เจ้าของร้านเขามองผมด้วยสายตาที่เยิ้มแบบสุด ๆ แล้วครับ เหอ ๆ แฟนผมมันก็งี้แหละ อย่าไปสนใจมันมาก ผมเดินมาใกล้มัน ๆ ก่อนจะเอ่ยปากถาม



     " อะไร ? " มันชูเสื้อสองตัวสีแดงขึ้นมาโชว์อวดหรา ผมมองกลางลำตัวที่มีอักษรสีขาวเขียนว่า F&M ก่อนจะขมวดคิ้วคิด มันคงจะเป็นชื่อแบรนด์ของทางร้านหรืออะไรหรือเปล่าหว่า ?



     " ดูดิ ๆ มันเป็นชื่อกูกับมึงไงที่รัก เสื้อสองตัวนี้มันคงจะเป็นพรหมลิขิตของเราแน่ ๆ เลย พี่ครับเอาสองตัวนี้ " แล้วมันก็เดินไปจ่ายตังแบบหน้าตาเฉย ว่าแต่มึงไปเรียนสกิลมโนมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย คิดเองเออเองก็เป็นเนอะ เฮ้อ จริง ๆ เลยไอเฟิร์สเอ๊ยยยยย



     หลังจากเสร็จสิ้นการช็อปปิ้งเป็นที่เรียบร้อย ผมก็ขออนุญาตใช้สิทธิ์ในฐานะแฟน หึหึ เรียกร้องว่าอยากไปหาอะไรกินให้เย็น ๆ กระเพาะสักหน่อย แล้วแม่งก็เหมือนมันเป็นพี่ดาเอ็นโดรฟินเลยว่ะ เพราะไม่ต้องขอแม่งก็จะยอมให้ จูงมือผม (อีกแล้ว) มายังร้านบิงซูคุ้นหน้าตุ้นตา เฟิร์สยิ้มให้ผมก่อนจะพาเข้าไปในร้าน มันเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่าที่เจ้านี่พาผมมากินร้านนี้ แถมเลือกนั่งที่ที่ผมเคยนั่งกับคนนั้นข้างหน้าต่าง ไหนจะเมนูอันแสนอร่อยที่มันสั่ง ณ ตอนนี้อีก



     " เอาบิงซูเมล่อนหนึ่งที่ครับ " เฟิร์สยิ้มบอกกับพี่พนักงาน ก่อนจะหันมาจ้องเหมือนรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่



     " ที่รัก " มันเอามือมาโบกหน้าไปมาแต่ผมก็ไม่หลุดจากภวังค์ความคิด แม้จะมีเสียงวุ่นวายจากคนในร้านร่วมด้วย



     " มิ้ลค์ " คราวนี้เสียงขานชื่อของคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งโต๊ะก็ดังขึ้นเรียกให้ผมตื่น ผมค่อย ๆ เงยหน้าไปคลี่ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนใจ



     " เป็นไร ? " มันยื่นแขนทั้งสองมากุมมือผมไว้ ชั่งเหมือนในอดีตตอนนั้นไม่มีผิด



     " ถ้ากูพูดมึงจะโกรธกูมั้ย ? " เฟิร์สส่ายหน้าทันที แถมยิ้มออกมาอย่างสบาย ๆ ผมควรจะพูดเรื่องรักเก่า ๆ ให้คนรักใหม่ ๆ อย่างเฟิร์สดีมั้ย..



     " เจอสาวแล้วถูกใจมากกว่ากูเหรอ ? " เชี่ย ! ผมปัดแขนมันออกอย่างขัดใจแต่เฟิร์สก็หัวเราะร่าราวกับกวนตีนสำเร็จ



     " คือ.. " เฟิร์สจ้องอย่างไม่ละสายตาเมื่อน้ำเสียงของผมจริงจังขึ้น " ตอนที่กูเคยคบกับนัทตี้ " พอผมพูดถึงประโยคและชื่อนี้เล็ดลอดออกมาจากปาก แววตาของเฟิร์สก็เปลี่ยนไปเป็นแข็งกร้าวขึ้นมาทันที



     " กูเคยพานัทตี้มากินร้านนี้ นั่งโต๊ะนี้ และสั่งเมนูนี้ " เอาเข้าจริง ๆ ผมว่าตัวเองไม่ควรเอ่ยปากถึงชื่อผู้หญิงคนนี้เลยด้วยซ้ำ มันจะทำให้บรรยากาศที่เคยมีแต่รอยยิ้มหายไปจนหมด ผมไม่กล้ามองหน้าเฟิร์สอีกแล้ว มันนานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ผมเอาแต่มองฝ่ามือของเราที่ผสานกัน



     " มึงคงอึดอัดใช่มั้ยที่กูพามารื้อฟื้นอดีตน่ะ กู...ขอโทษนะ " มือข้างที่กุมอยู่ของเฟิร์สบีบกลับมาเบา ๆ จนผมกล้าสบดวงตาใสแจ๋วของมันที่หวนคืนกลับมาอีกครั้ง



     " ไม่เป็นไร อดีตก็คืออดีต ยังไงปัจจุบันมันก็ทำให้กูเรียกว่ารักได้มากกว่าครั้งไหน ๆ อยู่แล้ว " ได้เห็นซะทีนะรอยยิ้มของมึงเนี่ย แต่ทำไมต้องทำหน้าหื่นตามมาด้วยวะ ?



     " งั้นคืนนี้จัดกันอีกรอบเนอะ ? " นั่นไงกูว่าแล้ว ผมโยนมือที่มันกุมอยู่ออกอย่างหน่ายใจ



     " ไอ้ขี้หื่น ! "



     เฮ้ออออ อย่างน้อย ๆ ปัจจุบันในตอนนี้ก็สามารถแทนที่อดีตร้าย ๆ ในใจผมได้ล่ะนะ



     ขอล่ะนัทตี้...อย่าได้เข้ามาในชีวิตผมอีกเลย



     #เฟิร์สมิ้ลค์



- Not to be unlocked -


ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ LKPOW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Not to be unlocked : Episode 38 : ไม่รู้จักพอ


     และแล้วชีวิตผมก็เดินวนมาถึงนิทรรศการประจำปีของโรงเรียนชายล้วนสักที เย้ ๆ ที่ผมดีใจออกนอกหน้าเป็นพิเศษเพราะทางโรงเรียนเขาเชิญชวนให้บุคลากรและนักเรียนที่น่ารัก ได้มีส่วนร่วมกับกิจกรรมอันมีความคล้ายคลึงกับคอนเซ็ปต์งานวัด ซึ่งผมก็ได้คุยกับเฟิร์สไว้แล้วครับว่าเราทั้งคู่จะเช่าแผงขายลูกชิ้นปิ้งกัน หึหึ ถ้าเกิดขายของได้กำไรมากกว่าค่าแผงสี่สิบบาทก็ถือว่าดีไป แต่ถ้าขายไม่ออกก็ตัวใครตัวมัน ฮ่า ๆ


     แน่นอนครับเวลาโรงเรียนมีกิจกรรมใหญ่ ๆ แบบนี้ อาจารย์ก็จะเมตตาธรรมให้เข้าเรียนหรือไม่ก็ได้ (ส่วนผมกับเฟิร์สไม่เข้าครับ ไฟนอลก็ปล่อยแม่ง หึหึ) เท่าที่ผมรู้โปรแกรมคร่าว ๆ ของวันนี้มาจากไออาร์ม ช่วงเช้าจะเป็นเปิดแผงขายของ ทั้งของกิน แฮนเมด ตลอดไปจนเย็น มีเกมให้เล่นฟีลเดียวกับงานวัด (ปาลูกโป่ง ยิงตุ๊กตาทำนองนี้) รวมไปถึงมีผลิตภันฑ์จากสปอนเซอร์ไว้บริการนักเรียนฟรี ๆ อีกเพียบ ก่อนที่วันนี้จะเกิดขึ้นผมกับเฟิร์สก็ได้มีการวางแผนเกี่ยวกับการขายเป็นที่เรียยร้อย เมื่อวานผมกับมันได้ลงทุนกันคนละห้าร้อยบาท เพื่อที่จะไปซื้อลูกชิ้นหลากหลายชนิดจากตลาดและเสียบเข้ากับไม้ด้วยตัวเอง พอเช้าเข้าหน่อยคุณขวัญก็เป็นธุระนำลูกชิ้นที่นอนเบียบเสียดกันอยู่เต็มกล่องและสารพัดเครื่องมือมาส่งถึงโรงเรียน หึหึ แม่เขยมีรถก็สบายไป (แม่ผมก็มีรถโว้ย แต่โดนตัดหางปล่อยวัดไปแล้ว ฮืออออ)


     หลังจากที่คุณขวัญนำอุปกรณ์ทำมาหากินมาให้ เผื่อวันไหนต้องตกระกําลําบากสองผัวเมียคู่เราจะได้หาเงินเป็น ผมและมันก็เดินขึ้นไปยังโรงยิมเพื่อนำของทั้งหมดไปกองไว้ที่แผง เช้า ๆ แบบนี้ออกจากวุ่นไปเสียหน่อย เพราะก็มีนักเรียนมากหน้าหลายตาเลยครับที่มีเป้าหมายในการค้าขายและขนของขึ้นมาไว้เหมือนกัน กว่าแผงลอยของผมและสามีอันเป็นที่รัก (ไม่ต้องหมั่นไส้เลย หึหึ) จะจัดแจงความเรียบร้อยเสร็จก็กินเวลาไปสิบโมงกว่า เจ้าเฟิร์สแบ่งหน้าที่ไว้แล้วครับว่ามันจะเป็นคนขายเอง ส่วนผมให้ยืนปิ้งไป มันแอบบอกด้วยนะว่าที่ให้ไปยืนปิ้งเพราะกลัวว่าจะมีใครฉุดมึงไปน่ะสิ ไอบ้า ! มึงก็คิดได้เนอะ


     " อะ ลองดูดิ่ว่าอร่อยมั้ย " ผมยื่นลูกชิ้นเอ็นหมูที่ทดลองปิ้งอไปให้พนักงานขายหน้าร้านอย่างเฟิร์ส มันงับเข้าปากก่อนจะเคี้ยวหนุบหนับ


     " อื้ม ลูกชิ้นร้านนี้อร่อยว่ะ " ทีนี้มันก็ลองกินแบบราดน้ำจิ้มที่ผมทำเองกับมือดูบ้าง " โหหหห !!! พอกินกับน้ำจิ้มแม่งอร่อยกว่าอีก เมียใครวะเก่งโคตร ๆ " มึงก็พูดเว่อร์ไป ที่น้ำจิ้มอร่อยเพราะผมโทรไปถามสูตรที่ม๊านี่แหละ


     " เมียหน้ามึงสิ ถ้าอร่อยก็วิ่งไปบอกอาจารย์คำดาวว่าพร้อมขายแล้ว อ้อ แล้ววิ่งไปบอกไออาร์มด้วยนะว่าให้มันโปรโมทร้านให้หน่อย " คือต้องไปแจ้งอาจารย์คำดาวก่อนน่ะครับว่าพร้อมขายแล้ว เพราะเขาทำหน้าที่เกี่ยวกับแผงขาย พอเสร็จสิ้นการขายก็ไปแจ้งอีกที ส่วนอาร์มมันทำหน้าที่เป็นพิธีกรภาพสนามครับ วันนี้ทั้งวันมันก็เดินเพ่นพ่านพูดกอกไมโครโฟนอยู่แถวนี้แหละ ยังไงเสียก็ให้แม่งโปรโมทร้านผมซะเลย


     " ครับที่รัก เดี๋ยวผัวมานะ รอนี่อย่าไปไหน ถ้ากูกลับมามึงไม่อยู่ มึงตาย !! " ขู่กรรโชกแบบนี้คิดว่ากูจะไปไหนห้ะ ? ขืนกูไม่เฝ้าร้านของหายจะทำยังไง แต่ไหนขอดูหน่อยซิว่าจะทำอะไรกู หึหึ


     " ตายเลยเหรอ ? เอาสิ กูให้ทีนึง " ผมพองลมในปากพลางยกนิ้วจิ้มแก้ม หมายจะให้มันเอาหมัดมาซัด แต่เหมือนแผนจะผิดไปนิดหน่อยเพราะแม่งเล่นหอมแก้มซะดังฟอดแทน !!


     " ไอเชี่ยเฟิร์ส !! " แล้วมันก็หัวเราะร่าพลางรูดลูกชิ้นจากไม้เสียบเข้าปากจนหมดก่อนจะวิ่งแจ้นหายไป ดีนะที่แผงตรงข้ามเขาก็ยังวุ่นไม่มีเวลาหันมามอง ไม่งั้นอายจนแทรกแผ่นดินหนีแน่เลยกู ฮืออออออ


     พอเสร็จสิ้นจากการเตรียมพร้อมในการขายแล้ว สามี เฮ้ย ! ผัว เฮ้ย ! ไอเฟิร์ส เฮ้ย ! ถูกแล้ว !! ก็วิ่งกลับมาด้วยท่าทีเหนื่อยหอบขณะที่ผมนั่งสไลด์โทรศัพท์รอเพลิน ๆ ผมยกขวดน้ำจากกระติกให้มันดื่มเอือก ๆ แต่แม่งดันบอกอยากกินนมแทน ตอนแรกผมก็งง ๆ แหละว่าจะมาอยากกินนมอะไรตอนนี้จึงได้รู้จากสายตากรุ้มกริ่มของเฟิร์ส ก็เลยนำขวดน้ำมาฟาดแต่แม่งดันหลบได้เสียก่อน (นมที่ว่าคือผมไง มิ้ลค์=นม) พอผมเปิดศึกอยากจะทำให้ผู้ถือหุ้นบาดเจ็บสักหน่อย ไออาร์มก็เดินมาจากไหนไม่รู้ เข้ามาสัมภาษณ์พ่อค้าแซบร้านเราในทันที ดูเหมือนผมกับเฟิร์สจะตั้งแผงเร็วกว่าชาวบ้านเขาด้วยมั้ง ก็เลยได้รับกรรมสิทธิ์ในการโปรโมทร้านกับพิธีกรภาคสนามอย่างไออาร์มและ..


     ไอคิงคองด้วยเหรอ !!!?


     " แหม คุณคิงคองครับ ตอนนี้เรามาอยู่หน้าร้านขายอะไรกันครับโผมม " ไออาร์มมันพูดฉอด ๆ ใส่ไมล์อยู่หน้าร้านคู่กับคิงคอง โดยมีกล้องจากฝ่ายโสตฯ แพนมายังเราตลอด ถามมาได้ไอห่าว่าขายอะไร ถ้าลูกชิ้นมันเป็นงูคงฉกมึงสองตัวตายห่าไปแล้ว


     " ตอนนี้เราก็มาอยู่กับร้านขายลูกชิ้นคู่ผัวเมียที่เรียกได้ว่าข้าวใหม่ปลามันเลยครับคุณอาร์ม แต่ไม่รู้ลูกชิ้นร้านนี้จะหวานหรือเปล่า เพราะพ่อค้ากับแม่ค้าร้านนี้เขาร้าาากกันเหลือเกิน " นี่ถ้ามึงไม่หยุดแทะโลม กูจะหยิบมีดปลอกแตงกวาไปเสียบหลังมึงแทนนะไอคิงคอง หึ้ยยย โปรโมทร้านอย่างเดียวก็ได้ ไม่ต้องโปรโมทชีวิตรักของกู ตอนนี้ฝูงชนทั้งหลายก็เริ่มทยอยมามุงร้านผมกันแล้ว หลังจากเสียงอันน่ารำคาญของสองคนนี้ดังประกาศไปทั่วโรงยิม


     " เอาล่ะ เรามาคุยกับพ่อค้ากันบ้างดีกว่า ขอเชิญทั้งคู่เลยคร้าบบบ " แล้วเฟิร์สมันก็จูงผมออกไปหน้าร้านหลังจากที่อาร์มอัญเชิญเราไป ไม่อยากมายืนเท่าไหร่เลยว่ะ ประหม่ากล้องชิบหายยย


     " แหมคุณเฟิร์สครับ ช่วงเตรียมตัวนี่วุ่นวายมั้ยครับ ? " อาร์มมันยื่นไมล์ไปจ่อปากให้เฟิร์สพูด คนข้าง ๆ มองหน้าอย่างขอความเห็น คงจะเขินพูดไม่ถูกเหมือนกัน


     " ก็...วุ่นวายนิดหน่อยครับช่วงตอนเตรียมร้าน แต่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรเพราะมี.. " แล้วมันก็ใช้ตาหวาน ๆ มองมายังผมแทนคำตอบที่หายไป ไอห่า ! มันใช่เวลามาสวิฟวี๊ดวิ้วมั้ยเนี่ย !!


     " แหมมมมมมมมมมมมมม หวานได้อี๊กกกก " นั่นไงไอพวกเวร กูว่าแล้วมึงต้องแซ็ว !


     " ไปไหนก็ไปเลยนะไอสัด รำคาญ !! " ที่ผมชี้หน้าด่ากราดไปไม่ใช่อารมณ์เสียแต่อย่างใดหรอก เพียงอยากจะระบายอารมณ์ที่อธิบายไม่ได้ว่าข้างในมันเป็นอะไร คงจะเป็นความเขินที่โดนแทะโลมจนทำอะไรไม่ถูกต่อหน้าสาธารณชนล่ะมั้ง คุณสามตัวหน้าร้านหัวเราะกันคิกคักหลังจากที่ผมเดินปลีกเข้ามาในร้าน


     " ทำใจหน่อยนะครับคุณเฟิร์ส เอาใจแฟนเขาหน่อยละกัน ช่วงนี้เป็นเมนส์อารมณ์อาจจะเข้า ๆ ออก ๆ " ยังอีกนะไอคิงคอง ถ้ามึงไม่หยุดมีดตรงหน้ากูได้ลอยไปปักหัวแน่


     " งี้แหละครับคุณคิงคอง เขาว่ากันว่าความรักจะทำให้เราไม่เป็นตัวของตัวเอง " โหยยยยยย ผมหยิบมีดขึ้นมาโดยพลันแต่เฟิร์สแม่งไวกว่า คว้าแขนผมไว้ก่อนที่พวกนั้นจะวิ่งหายไปกันอย่างจ้าละหวั่น


     " ใจเย็นดิที่รัก เขามาช่วยโปรโมทร้านยังจะทำร้ายเขาอีก " มึงคิดเหรอว่าจุดประสงค์ของพวกมันจะเป็นตามที่พูดไอเฟิร์ส ?


     " มึงก็อีกคน ไปให้ท้ายมันมาก เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อย " เฟิร์สยิ้มออกมาเหมือนเดาใจผมออกก่อนจะยึดมีดในมือผมลงไปวางไว้บนเขียงอย่างเก่า


     หลังจากคู่หูคู่นรกสองตัวนั้นที่ผมยังไม่ทันจะเอามีดไปปักหัวทำหน้าที่โปรโมทร้านให้ ลูกค้าในคราบชุดนักเรียนและอาจารย์บางท่านก็ทยอยต่อแถวเข้ามาเลือกลูกชิ้นไว้รองท้องกันอย่างเนืองแน่น เห็นว่ามีเวทีคอนเสิร์ตของชมรมดนตรีไว้ให้เด็กได้โยกย้ายส่ายสโพกด้วย เข้ากับธีมงานวัดแต้ ๆ เลยว่ะ ผมยืนกลับลูกชิ้นอยู่ข้าง ๆ เจ้าเฟิร์สก็สังเกตเห็นว่าเอ็นหมูกับไส้กรอกไก่จะเป็นที่จับตามองของเหล่านักเรียนแบบสุด ๆ แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เมื่อในตู้กระจกที่เราใช้เก็บลูกชิ้น จำนวนไม้ของเอ็นหมูและไส้กรอกไก่เริ่มพองลงไปเยอะ จนเฟิร์สต้องเดินไปหยิบจากกล่องโฟมด้านหลังมาเติม อืมมม ถ้าจำไม่ผิดลูกชิ้นเอ็นหมูผมทำไว้ทั้งหมดหนึ่งร้อยไม้ แล้วเมื่อเช้าเฟิร์สมันยัดใส่ลงไปในตู้ยี่สิบไม้ โอ้ ! ยังเหลืออีกเยอะโข ขายได้สบาย ๆ


     พอแผงของเราดำเนินการขายมาถึงสิบเอ็ดโมงซึ่งเป็นคาบพักกลางวันของนักเรียนม.ต้น ลูกค้าก็เฮโลมาหนักกว่าเก่า ตอนนี้ลูกชิ้นสำรองที่เก็บไว้ในกล่องโฟมเริ่มเหลือจำนวนไม่มากแล้ว ไอผมก็ดีใจอยู่หรอกว่าลูกค้าแห่มาสนใจเลือกซื้อลูกชิ้นกัน แต่คุณมึงจำเป็นมั้ยว่าหางแถวจะต้องเกยไปถึงต้นซอย !!!! ตอนนี้ไม่รู้แล้วครับว่าลูกค้าคนไหนผมกับเฟิร์สจะรู้จักกันหรือเปล่า เพราะเหนือสิ่งอื่นใดที่สำคัญมากกว่าชีวิตคือการกลับลูกชิ้นไม่ให้ไหม้ และทอนเงินแก่ลูกค้าให้ครบจำนวน


     จวบจนเที่ยงเป๊ะนั่นแหละครับลูกค้าถึงได้บางตา ผมหอบแฮก ๆ นั่งอยู่เก้าอี้พลางหาอุปกรณ์เสริมที่มีขนาดใหญ่แฮนเมดมันให้เป็นพัดก่อนจะโบกไปมาให้ลมตีหน้า ไม่ไหวแล้วครับร้อนมาก ! ส่วนเฟิร์สก็นำเฉาก๊วยนมสดมาประเคนผมถึงปาก เพราะตากี้มันอาสาวิ่งไปซื้อมาให้ อ่าาาาห์ สดชื่นมากกกกก น้ำเปล่าเย็น ๆ ตอนนี้ก็เอาไม่อยู่ครับ แม่งเหนื่อยโคตร ๆ


     " หวัดดีจ่ะสามี " ผมเหล่ไปทางต้นเสียงที่แม่งบีบโทนให้แสบถึงแก้วหู อีเจสซิก้ากับเหล่าผองเพื่อนนี่เอง ที่มายืนเสนอหน้าตรงนี้สงสัยคงถึงคาบพักม.ปลายแล้วสินะ


     " เฮ้ย ๆ นั่นเมียเรา มั่วแบบนี้เดี๋ยวอยู่ยากหรอกนะเจสซิก้า " เฟิร์สมันหัวเราะหึหึอย่างคนไม่คิดอะไรก่อนจะเปิดตู้ลูกชิ้นให้เลือก " เอาไรดีจ๊ะคนสวย ? "


     " เอาเมียเธอได้เปล่าล่ะเฟิร์ส ? มันข๊าววววววขาวจนน่ากิน " ผมยืนกะพริบตาปริบ ๆ ให้ไอกะเทยควายหน้าร้านแทะโลมอย่างเจริญอารมณ์ เอาที่มึงสบายใจเลยละกันอีเจส !


     " ไม่ได้หรอก คนนี้เราหวง มา ๆ อยากกินไร เดี๋ยวเราแถมให้เป็นพิเศษ " ทำไมลูกค้าคนอื่นไม่เห็นแถมเหมือนอีห่าเจสซิก้าเลยล่ะนั่น มึงนี่มันสองมาตรฐานจริง ๆ ว่าแต่ของขายออกไปเยอะขนาดนี้ยังจะมีของแถมเหลืออยู่อีกเหรอ ? ผมไม่หวงเรื่องของแถมหรอกครับ เพราะใจดีเหมือนหน้าตา อิอิ (เสียงใครอ้วก !)


     " เอาเป็นมิ้ลค์แถมแกได้ปะ ? หล่อไม่แพ้มันเลยนะ " เยี่ยม หันไปบริโภคไอเฟิร์สบ้างก็ดี หึหึ


     " ไม่ได้หรอก เมียเราหวงเรายิ่งกว่าเราหวงมันอีก " แหม มึงรู้ได้ไง ขี้มโนนะมึงเนี่ย !


     " เอาไปเหอะกูให้ " พอผมพูดจบเหมือนจะได้ยินเสียงอะไรแตกจากหน้าไอเฟิร์สเลยว่ะ ฮ่า ๆ มันเอี้ยวตัวมาฉีกยิ้มให้แบบเลว ๆ ก่อนจะหันไปสนใจอีเจสซิก้าที่เลือกลูกชิ้นกับเพื่อนแก๊งมันต่อ


     " นี่...ถึงเราจะได้คิวลูกชิ้นไวกว่าชาวบ้านเขา แต่คิวที่เราต่อจากนายนี่อีกนานมั้ยอะนายเฟิร์ส ? แฟนเธองานดีมากเลยนะ " เจสซิก้าพูดขณะยื่นลูกชิ้นในตู้ให้เฟิร์สและส่งต่อมายังผม ผมทำเป็นไม่สนใจรอฟังคนขายว่ามันจะตอบอะไร ก่อนจะวางลูกชิ้นลงบนตะแกรงย่าง


     " คงจะยากหน่อยนะเจสซิก้า เพราะว่าเราเป็นของกั.. "


     " ไอเฟิร์ส " ผมเบรกเอื้อดดดดดประโยคที่ไอบ้านั่นพูดออกมาด้วยเสียงราบเรียบแต่แฝงอะไรไว้มากมาย ผมเหล่ดูปฏิกิริยาของเฟิร์สที่มองกลับมาเหมือนทางนั้นจะรู้ตัวแล้วว่าผมหยุดมันเพราะอะไร ส่วนกะเทยควายที่เลือกลูกชิ้นกันอยู่ก็ทำได้แค่มองหน้ากันอย่างสงสัย


     " เพราะว่าเราเป็นของมิ้ลค์คนเดียว " ผมโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกที่ไอห่านี่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวเกี่ยวเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ บนเตียงของเราเลย ไอห่าราก นี่มึงบอกใครเขามั้งเนี่ยว่ากูเสียเอกราชให้ไปแล้วน่ะ


     " โหยยยยยยย เลี่ยนค่าาาาา หวานได้อีก กูเชื่อแล้วแหละว่าน้ำจิ้มร้านนี้น้ำตาลมันเยอะ ! " น้ำจิ้มร้านกูโนน้ำตาลเว้ย แต่แฟนกูเทคารมคมคายเพิ่มลงไปเยอะหน่อยมันเลยหวาน หึหึ


     " อะ ได้แล้ว " หลังจากที่ปิ้งลูกชิ้นจำนวนมากกว่าสิบไม้และมีเฟิร์สคอยชวนคุยกับแก๊งกะเทยหน้าร้านอยู่นั้น (แดกห่าอะไรเยอะแยะ) ผมก็จัดการนำใส่ถุงคู่กับผักเคียงพลางยื่นไปให้ลูกค้า VIP และรับแบงก์สีแดง ๆ มาทอนเงิน


     " เดี๋ยวจ่ะ " เจสซิก้าชะงักด้วยคำพูดก่อนที่ผมจะเงยหน้าขึ้นไปมองมัน


     " อะไรจ๊ะอีดอก ? " เห็นมันแจกดอกอยู่หน้าร้านกับเพื่อนมันจนกลายเป็นทุ่งทานตะวันแล้วน่ะครับ ยังไงขอด่ามันคืนสักหน่อยเผื่อดอกไม้แถวนี้จะลดลงบ้าง หึหึ


     " ไม่ต้องทอนหรอกจ่ะมิ้ลค์ แต่เราขออย่างอื่นแทนเงินทอนได้ปะ ? " ผมหันไปเหล่ไอเฟิร์สอย่างขอความเห็น เพราะก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอีนี่จะเล่นไม้ไหนอีก แม่งยิ่งลีลาเยอะไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาอยู่ด้วย


     " จะเอาอะไร ? "


     " หอมแก้ม "


     " ห้ะ ? "


     ' จุ๊บ '


     เชี่ย !!!!!!!


     ผมหน้าเหวอมองอีแก๊งกะเทยที่วิ่งกรูหายไปเหมือนตั้งวงไผ่แล้วตำรวจลง ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนผมหวิวขึ้นมาในใจ ผมค่อย ๆ หันไปมองเฟิร์สข้าง ๆ ที่ตอนนี้สายตาของมันเกรี้ยวกราดขึ้นมาในบัดดล


     " มึงมานี่เลยไอขี้อ่อย ! " แล้วมันก็ลากผมไปหลังร้านเพื่อจะทำอะไรบางอย่าง ไม่นะ มึงจะทำอะไรกู !!?


     " กูไม่ได้อนุญาตให้มันหอมแก้มกูเลยนะไอเฟิร์ส มึงต้องไปจัดการมันเส้ จะลากกูมาทำไม อย่าทำอะไรกูนะ ! ม่ายยยยยยยยย "


####


     หลังจากที่ผมโดนตัดสินโทษโดยเพชฌฆาตขี้มโนอย่างไอเฟิร์สเป็นอันเรียบร้อย สภาพเสื้อผ้าของผมในตอนนี้ก็หลุดลุ่ยออกมานอกกางเกงอย่างไม่มีชิ้นดี ผมคงจะบรรยายว่าแฟนตัวเองทำอะไรมิดีมิร้ายหลังร้านไม่ได้หรอกครับ เพราะมันค่อนข้างจะ เอ่อ...ไม่พูดดีกว่า รู้แค่ว่าหลังจากที่ผมปิดร้านลูกชิ้นปิ้งและเดินเล่นภายในงาน ไอห่านี่ก็ไม่มีทีท่าจะปล่อยวงแขนออกจากคอผมเลย อันตัวผมจะเดินแลซ้ายแลขวาเพื่อหาร้านขนมอร่อย ๆ หรือของที่ระลึก ก็จะโดนคุณสามีหมุนคอด้วยมือให้หันกลับมามองหน้าแม่งอยู่อย่างเก่า ไอบ้า ! นับวันมึงนี่ขี้หึงจนเป็นประสาทแล้วนะ ถึงจะพูดอย่างนั้นมันก็พอมีเมตตานักโทษอย่างผมบ้างเมื่อมีขนมหวาน ๆ ล่อตาล่อใจจากบางร้าน (พึ่งรู้ว่ามินขายข้าวไข่เจียวกับอาร์มด้วย ไม่ทะเลาะกันแล้วเหรอ ?) เฟิร์สมันก็จะวิ่งพรวดเข้าไปหาเหมือนหมาอยากได้กระดูกโดยไม่แยแสผมทันที หึ ทีงี้ล่ะปล่อยกู เดี๋ยวพ่อเอาตะเกียบที่ซื้อซูชิร้านไอเบิร์ดแทงหลังซะหนิ ไอเห็นของกินดีกว่าแฟน !


     พอได้ของกินเข้าหน่อยแม่งก็ลากผมมาตรงสแตนด์ที่มีเพลงจากชมรมดนตรีและพี่ ๆ ศิษย์เก่าเข้ามาเล่น เพื่อสร้างบรรยากาศให้งานของเรามีความสนุกสนานมากขึ้น ปีนี้ดีเข้าหน่อยครับที่เขาตั้งเวทีหันหน้าเข้าสแตนด์ ทำให้หมดห่วงเรื่องคนข้างหลังจะมองไม่เห็น ถ้าอยากจะโยกย้ายก็เชิญข้างล่างเลยจ่ะ มีพื้นที่กว้าง ๆ สำหรับการประลองฝีเท้าอยู่ตรงนั้น ผมหนวดกระตุกมองไอเฟิร์สที่กำลังจูงมือไม่ขาดก่อนจะพาปีนขึ้นไปบนสแตนด์ โอ๊ยยยยย มึงจะพากูมาตรงคนเยอะทำมายย ถึงจะบ่นอุบอิบในใจอย่างนั้น เฟิร์สก็พาผมเบียดเสียดผู้คนและสามารถโชว์อภินิหารขึ้นไปแทรกหาที่นั่งให้พอสำหรับเราสองคนได้ หึ พอผมโน้มตัวลงนั่งและขยับร่างกายเข้าหน่อย แม่งก็หันมามองค้อนเหมือนไปฆ่าคนที่มันรักมา (อวยว่าฆ่าตัวเองได้มั้ย หึหึ) กูไม่ได้จะคิดหนีนะเว้ย ให้กูขยับสักนิดสักหน่อยบ้างเส้ พลันเห็นคู่กรณีอย่างซันนั่งอยู่สแตนด์ชั้นเดียวกันใกล้ ๆ นี่ด้วย เฮ้ย ! มันนั่งอยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวหัวใจด้วยว่ะ เข้าทางผมชิบหาย อยากจะเดินไปเคลียร์เรื่องที่ผมบาดหมางกับมันให้รู้แล้วรู้รอดจัง แต่ติดไอตัวที่เกาะแกะอยู่ข้าง ๆ นี่สิ


     " เฟิร์ส " โว้ยยยย มึงไม่ต้องเหล่สายตาอาฆาตมาดร้ายใส่กูได้ม้ายยยย งานนี้กูไม่ผิดก็บอกไปแล้ว อีเจสซิก้ามันหอมแก้มกูเองงง กูไม่ได้ไฟเขียวอนุญาตมันเล้ยยย คนข้าง ๆ หันกลับไปดูพี่น๊อตร้องเพลงบนเวทีต่อพลางอมตังเมในมืออย่างไม่สนใจ หรือมันจะไม่ได้ยินผมเพราะเสียงเพลงดังกลบวะ ? แล้วถ้าไม่ได้ยินมันจะเหล่ใส่ผมทำไมกันล่ะหว่า


     " เฟิร์ส ! " คราวนี้พี่แกไม่หันเลยครับ นี่กำลังจะบอกว่างอนกูอยู่ใช่ปะ ? โอ๊ยไอปัญญาอ่อน ! เอาไงดีว่ะเนี่ย...อ๋อออออ ต้องเล่นไม้นี้ใช่มั้ย ?


     " ที่รัก " พรึ้บ !!!! ผมเรียกด้วยเสียงเบาและคิดไว้แล้วล่ะว่าแม่งคงไม่ได้ยิน แต่ทำไมมึงหันมาอย่างไวจนคอแหบหลุด แถมทำตาโตอีกต่างหากวะ ?


     " เรียกเค้าไมอ๋อ ? " โธ่ไอห่า ! บทจะยากก็ง้อยากชิบหาย บทจะง่ายแค่พูดคำนี้ก็หายเลยอะนะไอเวร


     " กูเห็นซันมันนั่งอยู่คนเดียวตรงโน้นอะ กูขอไปเคลียร์อะไรกับมันหน่อยได้มั้ย ? " ผมพูดพลางชี้ประกอบไปยังสแตนด์ชั้นเดียวกันที่ซันนั่งอยู่และมีที่ว่างข้าง ๆ มัน เฟิร์สทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแต่ไม่ได้ดึงหน้าให้ตึงเปรี๊ยะแบบตากี้แล้ว


     " เอาสิ รีบไปรีบมานะ เค้าเป็นห่วง " อย่างน้อยผมก็ขอเก็บข้อมูลไว้หน่อยละกันว่าถ้าไอห่านี่งอนเมื่อไหร่ เพียงแค่ผมพูดว่า ' ที่รัก ' ปัญหาที่ผมก่อหรือไม่ได้ก่อแล้วมันมโนงอนขึ้นมา ก็จะหายแว็บไปเองในพริบตาเดียว หึหึ


     ผมเดินผ่านหน้าสุดที่รักขี้มโนโดยที่มือยังถือลูกชิ้นปิ้งร้านตัวเอง (มันเหลือเลยย่างกินเองครับ) พลางขอทางคนอื่น ๆ ที่เดินผ่านมาโน้มตัวนั่งลงข้าง ๆ ซัน ก่อนจะหยิบเจ้าลูกกลม ๆ เสียบไม้จากถุงพลางยื่นให้มัน ซันมองตอบอย่างไม่เชื่อในสายตาว่าผมจะมาแบบเป็นมิตร และก็ยอมที่จะรับความหวังดีจากผมไป ถ้าจะให้เดานะ มันคงคิดว่าไอห่ามิ้ลค์มึงจะมาไม้ไหนอีก เพราะครั้งล่าสุดพึ่งจะปะทะเจ้าเพื่อนซี้คนนี้ไปเอง


     " ปอนด์อยู่ไหนล่ะ ? " ผมมองข้ามศีรษะหลาย ๆ คนลงไปยังเวทีพลางใช้ปากรูดลูกชิ้นจากมือกินไปพลาง ๆ


     " มันซื้อของกินอยู่น่ะ เดี๋ยวก็มา " ผมไม่ได้คิดไปเองแน่ ๆ เพราะซันกลับมาเป็นซันคนเก่าแล้ว หากผมจะช่วยคุยเรื่องปอนด์ก็คงสบายใจเรื่องมีปากเสียงไปได้เลย


     " เหรอ " บนเวทีที่ผมเห็นคือเด็กม.4 กำลังปรับสายกีตาร์กับเพื่อนในวงเพื่อเตรียมจะเล่นต่อจากวงรุ่นพี่ แต่สมองผมตอนนี้กลับเลื่อนลอยไปไกลอย่างไม่รู้ว่าจะชวนคนข้าง ๆ คุยอะไรต่อ


     เวลาผ่านไปจนลูกชิ้นที่เสียบไม้ในมือของเราทั้งคู่หมดลง ผมจึงตัดสินใจที่จะถามกับมันแบบไม่อ้อมค้อม แม้มีเสียงเล็ดลอดของตำแหน่งโซโล่บนเวทีดังแทรกมาก็ตาม


     " ปอนด์มันเป็นอะไรวะ ? ทำไมมึงถึงปกป้องมันได้ขนาดนั้น " ซันถอนหายใจพรูออกมาซึ่งทางผมเองก็เดาไม่ได้เหมือนกันว่ามันจะพูดอะไร ถึงรู้ว่าทางนั้นใจเย็นลงบ้างแล้ว


     " มันไม่เป็นอะไรหรอกมิ้ลค์ " รอยยิ้มของซันที่โชว์หราอยู่นี้นั้น ผมรับรู้ว่ามันเป็นละครตบตา ซันกำลังปิดบังความจริงบางอย่างจากผม


     " มึงจำตอนกูปิดบังเรื่องนัทตี้ที่สวนน้ำได้เปล่า มึงเคยพูดว่าไม่เห็นกูเป็นเพื่อนแล้วใช่มั้ย ? จนกูต้องพูดความจริงออกมา กูขอเรียกร้องสิทธิ์ในการเป็นเพื่อนจากมึง ให้มึงพูดความจริงออกมาบ้างได้มั้ยวะ ? " แววตาเคลือบใสลอกแลกหลังจากได้ฟังประโยคของผมก่อนจะนิ่งหยุดไป ซันเม้มปากเข้าหากันแน่นราวกับไม่อยากให้เรื่องนี้ผุดออกมา คงตัดสินใจยากสินะที่จะพูดความจริง มันต้องเป็นเรื่องสำคัญที่มีผมเกี่ยวข้องแน่ ๆ เพื่อนคนนี้ถึงได้เก็บงันความลับเอาไว้


     " ปอนด์มันเห็นว่าเฟิร์สขอมึงคบวันนั้นน่ะ มันร้องไห้หนักมาก กูก็พึ่งรู้นี่แหละว่ามันแอบชอบมึง แม่งโคตรเสียสติเลย โชคดีที่กูบังเอิญมาเจอมันแถวสวนวิจิตร กูแค้นตัวเองชิบหายเลยว่ะที่ใช้แม่งเป็นนกต่อให้มันส่งกระดาษแผ่นนั้นกับมึง ปอนด์มันคงเจ็บมาก ๆ ที่เห็นมึงกับเฟิร์สได้รักกัน กูอยากรับผิดชอบอะไรสักอย่างกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่ะ " สิ่งที่ผมคาดเดาในวันนั้นกับความจริงจากปากซันในวันนี้เป็นเรื่องเดียวกันอย่างถูกต้องที่สุด ทุกคำพูดของซันที่กล่าวมาผมรับรู้อยู่ในหัวไม่ทะลุออกไปไหน ซันเป็นอีกคนนึงที่ผมนับถือเรื่องแคร์ความรู้สึกคนอื่น แม้มันจะดูเป็นคนเลว ๆ ในสายตาบางคนก็ตาม


     " กูขอโทษนะที่ทำให้ปอนด์มันหัวเราะไม่ได้มากกว่านี้ มึงเข้าใจกูใช่มั้ยว่ามันคือเพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับกู กูไม่อยากให้มันเป็นอื่น " ซันนิ่งเงียบราวกับจดจำทุกคำพูดของผม แต่ในหัวผมตอนนี้กลับขาวโพลนไปหมด มันเป็นเพราะอะไร ทำไมผมถึงคิดเรื่องที่จะฉุดความรู้สึกเก่า ๆ ของปอนด์ให้หวนคืนกลับมาไม่ได้ ผมคิดอะไรไม่ออกสักอย่างนอกจากสองคำนี้


     " กูขอโทษ กูขอโทษจริง ๆ กูช่วยเหลืออะไรปอนด์ไม่ได้เลย " แม้ใจลึก ๆ อยากจะช่วยเหลือ แต่มันกลับด้านชาไปหมด ผมรู้ว่าการไปจับต้องตัวปอนด์มาก ๆ ยิ่งเหมือนไปให้ความหวังแม้ตัวเองจะไม่ได้คิดแบบนั้นก็ตาม คนข้าง ๆ ที่เงียบอยู่นานตอนนี้ก็ตอบโต้ผมบ้าง


     " กูก็ขอโทษมึงเหมือนกันนะที่ตะคอกใส่ ตอนนั้น กูทำอะไรไม่ถูกจริง ๆ กูอยากรับผิดชอบเรื่องราวที่เกิดขึ้นจนไม่คิดหน้าคิดหลัง " บ่าแกร่งของซันถูกผมตบเบา ๆ เพราะทางผมไม่ได้เก็บเรื่องนี้ไปคิดหลับหลังเหมือนกัน


     " ไม่เป็นไรเว้ย ยังไงก็เพื่อนกัน " แต่ผมสนใจซันได้เพียงแค่ตอนนี้เท่านั้น เพราะสาวตาพลันเห็นร่างของปอนด์และมือที่ถืออะไรมากมายจับจ้องมายังเราอย่างหวั่น ๆ ผมคงต้องหมดธุระกับซันเพียงเท่านี้


     " กูไปก่อนนะเว้ย " ผมตบบ่าซันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะลาด้วยรอยยิ้ม เพราะเราปรับความเข้าใจจนทุกอย่างล้วนออกมาดีแล้ว


     กูขอโทษนะเว้ยซันที่คิดช่วยอะไรมึงไม่ได้เลยจริง ๆ


####


     หลังจากที่ผมกับเฟิร์สพากันเดินวนในงานวัดกันอีกรอบ และพบว่าของกินในแผงต่าง ๆ นั้นหมดลงแล้ว เราสองคนก็เดินออกมานอกโรงเรียนเพื่อที่จะไปยังเซเว่นอีกฝั่ง แหม ก็คนมันหิวอะครับท่านผู้อ่าน อยากจะหาอะไรมากินระหว่างดูดนตรีสักหน่อย เห็นเขาประกาศว่าจะมียันสองทุ่มเลยแน่ะ สุดยอดดดด เอาเป็นว่าตุนของกินจนถึงช่วงเวลานั้นเลยดีกว่า พองานจบคุณขวัญก็บึ่งรถมารับเราและสัมภาระต่าง ๆ แล้วก็มุ่งหน้ากลับบ้าน อ่าาาาาาห์ วันนี้แม่งเป็นวันอะไรที่พิเศษขนาดนี้กันน้า..~~ กำไรจากการขายก็ได้มาเต็ม ๆ


     แต่ไม่ทันไรผมก็หาเรื่องเอ็ดไอเฟิร์สได้อีกแล้วเพราะว่ามันแวะไปซื้อของหวานระหว่างทางจนได้


     " พอเหอะไอห่า แดกแต่อะไรแบบนี้ เดี๋ยวเบาหวานก็ขึ้นตาหรอก " แม่งจูงผมพาไปซื้อขนมทองหยอดหน้าโรงเรียนคิดดูดิ น้ำตาลในเส้นเลือดมึงกี่มิลลิกรัมแล้วเนี่ย ?


     " โห่ที่รัก ชีวิตเค้ามันขาดความหวานน่ะ เค้าขอเติมหน่อยไม่ได้เหรอ ? " ทำไมกูสะกิดใจกับไอประโยคห่านี่แปลก ๆ


     " อ๋อ กูทำให้ชีวิตมึงหวานไม่ได้ใช่มั้ย ? ด้ายยยย " หึ ได้ทีกูของงอนบ้างแล้วกัน ผมสลัดแขนมันออกหมายจะเดินไปอีกฝั่งเพื่อเข้าร้านหมายเลขเจ็ด แต่เดินหนีไปได้ไม่เท่าไหร่มือก็ต้องมาเย็นเฉียบค่อนแข็งเป็นหินเพราะบุคคลเบื้องหน้าในตอนนี้ สมองผมขาวโพลนจนโล่งเตียนราวกับถูกดูดออกไปจนหมด ผมไม่คิดไม่ฝันเลยว่าเธอจะกลับมาปรากฏกายอยู่ตรงหน้าแบบนี้อีกครั้ง


     " มิ้ลค์คะ " สีหน้าของนัทนี้ในคราบชุดนักเรียนแสดงถึงความดีใจหลังจากที่ไม่ได้พบกับผมเนิ่นนาน ผมจะทำยังไงในสถานการณ์กับคนที่เคยมอบชีวิตและทุกอย่างให้ แต่เขากลับทิ้งไปอย่างไม่มีเยื่อใยแบบนี้ดี


     ในตอนที่หญิงสาวตรงหน้ากำลังมุ่งหน้าหวังจะโถมกอดผมอย่างเห็นได้ชัด ฝีเท้าเล็ก ๆ ก็หยุดลงเมื่อผมรู้สึกถึงใครบางคนกำลังโอบคอจากด้านหลัง


     " ทำเขาเสียใจยังจะมีหน้ากลับมาอีกเหรอ ? " เฟิร์สถามด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น แต่นัทตี้เขาฟังคำถามนั้นที่ไหน


     " มิ้ลค์ ที่ผ่านมานัทตี้รู้ตัวเองแล้วว่าทำผิดอะไรไว้ นัทตี้ทิ้งคนสำคัญของนัทตี้ไป มิ้ลค์รู้มั้ยว่ามิ้ลค์ดีกับนัทตี้ขนาดไหน ? นัทตี้รู้แล้วว่ามิ้ลค์ดีที่สุด มิ้ลค์...มิ้ลค์กลับมาหานัทตี้เถอะนะ " ถึงคราบน้ำตาจะอาบแก้มทั้งสองของผู้หญิงคนนั้น แต่ริมฝีปากก็ยังอวดรอยยิ้มสวยสู้ไม่หวั่น ผมบอกเลยว่าสถานการณ์ตอนนี้ทำอะไรไม่ถูกจริง ๆ ผมไม่ได้เตรียมตัวและคาดฝันมาก่อนว่าเธอจะกลับมา


     " ไปเหอะมิ้ลค์ " เฟิร์สพาผมเอี้ยวตัวกลับไปอย่างไร้ความปรานีและเห็นใจ ผมเดินหันหลังกลับมาได้สองสามก้าวเสียงจากด้านหลังก็ดังตามมา


     " มิ้ลค์ ! ได้โปรดกลับมาเถอะ มิ้ลค์คือคนสำคัญสำหรับนัทตี้ ! มิ้ลค์คือคนที่ดีที่สุดของนัทตี้ !!! " เสียงคำวิงวอนอันแผดลั่นจากด้านหลังทำให้ฝีเท้าของเฟิร์สหยุดลง คนที่คล้องคอผมเดินไปหาหญิงสาวตรงนั้นก่อนจะก้มไปกระซิบอะไรบางอย่าง พลางหันกลับมาแสยะยิ้มด้วยความซะใจอย่างหาที่สุดไม่ได้


     " ผู้หญิงไม่รู้จักพอแบบเธอนะนัทตี้ มันไม่มีค่าพอที่จะได้รักผู้ชายดี ๆ แบบมิ้ลค์หรอก...ไปซะ " นี่ล่ะครับ สิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นควรได้รับจากผม


     เฟิร์ส


- Not to be unlocked -

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ LKPOW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Not to be unlocked : Episode 39 : คนนี้แหละลูกเขย


     หลังจากที่เฟิร์สเป็นคนพาผมออกจากสถานการณ์บีบคั้นหัวใจจนร่างกายไม่สามารถบังคับให้ง่ายกว่าทุกที ผมก็กลับมานั่งเงียบขรึมภายในโรงเรียนใต้ตึกสิบสองด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปเหมือนคนละคน เอาเข้าจริง ๆ ถ้าเฟิร์สไม่ได้ยืนอยู่กับผมตรงนั้นที่เบื้องหน้าคืออดีตอันเลวร้ายอย่างนัทตี้ คำถามของเธอที่ว่าผมคือบุคคลดีที่สุดและควรค่าแก่การกลับไปนั้น ผมอาจจะตอบตกลงหรือคล้อยตามด้วยน้ำตาที่นัทตี้ชอบเรียกร้องอยู่บ่อย ๆ เป็นแน่ อะไรก็เกิดขึ้นได้จริง ๆ ถ้าตรงนั้นมีเพียงผมที่ยืนหยัดอยู่ตัวคนเดียว ผมพึงคิดเสมอมาว่าตั้งแต่คบกับเฟิร์ส ไม่ว่ายังไงก็ตามผมจะไม่มีวันหวนคืนกลับไปเป็นคนรักของนัทตี้อีกครั้ง นัทตี้เลือกทิ้งผมและเดินจากไปอย่างไร้ปรานี ผมได้รับคำบอกเลิกอันแสนเจ็บปวด และตัดสินใจเดินเคียงข้างเฟิร์สหลังจากนั้น เมื่อเราตัดสินใจที่จะแยกทางกันแล้ว ก็ควรยอมรับมันไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมและนัทตี้ไม่สามารถกลับไปมีกันและกันได้อีก ตั้งแต่เฟิร์สพาผมกลับมาสีหน้าหล่อ ๆ ของมันก็เปลี่ยนไปราวกับสำเร็จความแค้น ผมพยายามล้วงคอให้มันพูดความจริงว่าตากี้ไปกระซิบอะไรกับนัทตี้มา แต่เฟิร์สบอกไม่ต้องรู้หรอก มันเป็นเรื่องของเราสองคนที่จบไปแล้วก็เท่านั้นเอง แถมยังพูดอีกว่าเรื่องราวที่เจอนัทตี้ในวันนี้ก็ลืม ๆ ไปซะเถอะ ไม่ต้องเก็บไปคิดมากให้รกสมองหรอก ผมก็อยากจะทำแบบนั้นแหละนะ แต่ของแบบนี้มันง่ายซะที่ไหน


     เอาเป็นว่าตามมีตามเกิดก็แล้วกัน..


     เช้าในวันเสาร์ผมรีบดีดตัวเองขึ้นมาให้ไวกว่าปกติเพราะมีเรื่องสำคัญบางอย่างต้องทำ เดี๋ยวครับท่านผู้อ่าน ! วันนี้ทางกระผมเนี่ยไม่ได้จะตื่นไปทำงานที่ร้านหรอกนะ ที่ผมรีบตื่นขี้นมาเพื่ออาบน้ำแต่งตัวก็เพราะวันนี้นั้นมีแข่งทำอาหารที่เมืองทองธานีน่ะสิ !! คืองี้ครับ นับถอยหลังจากวันนี้ไปหนึ่งเดือนเศษ ผมได้มีโอกาสไปท่องยังแฟนเพจอาหารในเฟสบุ๊คแห่งหนึ่ง ทางนั้นเขาเปิดรับสมัครนักเรียนหรือนักศึกษาที่มีใจรักด้านการทำอาหาร เข้าแข่งขันในรายการ The best chef of teen ซึ่งรายการนี้บอกเลยว่าเป็นรายการที่ใหญ่กว่าที่ผมไปแข่งมาเป็นไหน ๆ มาก ! ก่อนผมจะลงสมัครก็ได้มีการศึกษาเกี่ยวกับธีมที่เขากำหนด ถึงได้รู้ว่ามันต่างกับสนามแข่งก่อน ๆ ลิบลับ คะแนนที่ได้รับก็จะแตกต่างกันออกไป อาทิเช่นประเภทในการแข่ง (อาหารไทย ยุโรป เอเชีย ผมลงสมัครประเภทอาหารไทยไปครับ เพราะแม่มีสูตรดี อิอิ) ความสวยงาม ความคิดสร้างสรรค์ การดึงรสสัมผัสของวัตถุดิบ บลา ๆ โอ๊ยยยย ถ้าจะให้ผมอธิบายข้อกำหนดทั้งหมดก็คงพรุ่งนี้เสร็จ เอาเป็นว่าผมเก็บตัวอยู่คนเดียวในการฝึกซ้อมมาค่อนเดือนเลยนะเออ สปอนซงสปอนเซอร์อะไรไม่มีหรอกครับ เข้าเนื้อล้วน ๆ


     อ๋อ คงจะสงสัยกันล่ะสิว่าไม่ไปทำงานเหรอเพราะเป็นวันเสาร์ เรื่องนี้ผมทูนไปหาคุณขวัญให้รับทราบเรียบร้อยครับสำหรับขอลาหยุดเพื่อที่จะไปแข่งขัน แน่นอนพอเรื่องถึงหูคนในร้านปุ๊บ กำลังใจของใครหลาย ๆ คนก็มากองทับผมจนแบนแต๊ดแต๋ เฟิร์สก็เป็นหนึ่งในกำลังใจและขาดไม่ได้เลยที่ออกปากสัญญาเองว่าจะไปเชียร์ถึงขอบสนาม หึหึ งานนี้ผมบุกเดี่ยวครับไม่มีเทรนเนอร์เหมือนคนอื่นคอยพร่ำสอนและบอกเทคนิค ยังไงมีคนที่สามารถเรียกได้แล้วว่าแฟนไปด้วย กำลังใจในการแข่งย่อมมหาศาลกว่าชาวบ้านเขาเยอะ หึหึ


     ขณะนี้เวลาเจ็ดโมงเกือบครึ่งและรถที่ติดอยู่ถนนเส้นไหนไม่รู้ก่อนจะไปถึงเมืองทองธานี โชคดีหน่อยครับที่ผมรีบออกมาโบกแท็กซี่เมื่อไม่กี่นาทีก่อน เพราะเผื่อเวลาเรียบร้อยแล้วสำหรับเรื่องนี้ ไม่ว่ารถจะติดถึงพม่าหรือขั้วโลกเหนือก็สามารถไปทันเวลาแข่งตอนบ่ายหนึ่งอย่างแน่นอน ไม่ต้องห่วงเรื่องข้าวเช้าเลยครับ เพราะในกล่องวัตถุดิบข้าง ๆ ตัวที่ถือติดมาสำหรับการแข่งนั้นผมได้เตรียมแซนด์วิชเป็นอาหารรองท้องไว้แล้ว ผมกินไม่ค่อยลงเท่าไหร่หรอกเพราะตื่นเต้นมากกกก อย่างที่บอกนั่นแหละครับว่านี่เป็นรายการใหญ่ ! สนามแข่งครั้งนี้ไม่เรียบหรูเหมือนครั้งไหน ๆ แน่นอน


     ขณะที่ผมใจจดใจจ่อกับการแข่งขันในวันนี้ รวมไปถึงรู้สึกวิงเวียนศีรษะจากการตื่นเช้านิดหน่อย เพราะเมื่อคืนก็ฝึกซ้อมหนักเอาการจนมีเวลานอนเพียงแค่สองชั่วโมง หน้าจอไอโฟนในมือก็โชว์รายชื่อถึงบุคคลที่เป็นกำลังใจอันยิ่งใหญ่ของผม โทรเข้ามาเพื่อเรียกให้รับสาย


     " ไง ถึงไหนแล้ว ? " ผมฟังเฟิร์สพูดขณะชะเง้อมองค่ามิตเตอร์ประกอบ แดกเงินในกระเป๋ากูไปสามหลักแล้ว..


     " อยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ว่ะ ไม่คุ้นทางเลย แต่รถอย่างติด มึงล่ะอยู่ไหนแล้ว ? " นอกหน้าต่างของผมตอนนี้ไกลจากเส้นเอกมัยบ้านตัวเองมากกก มันอยู่ตรงไหนของแผนที่โลกแล้วก็ไม่รู้


     " กูกำลังจะอาบน้ำ ว่าจะแต่งตัวหล่อ ๆ เพื่อมึงเลยน้า เดี๋ยวไปจุ๊บให้กำลังใจถึงที่เลย " หึ ไม่ต้องได้รอยประทับจากริมฝีปากนิ่ม ๆ ของมึง กำลังใจที่มาเชียร์มันก็มากพอแล้วเฟิร์สเอ๊ยย


     " เออ แล้วเจอกัน " ผมกดวางสาย ปล่อยให้เฟิร์สได้ไปทำธุระส่วนตัวของมันก่อนจะสบตาปิ้ง ๆ กับคนขับผ่านกระจก งั้นตอนนี้ผมคงทำได้แค่นั่งรออย่างใจเย็นให้พี่โชว์เฟอร์เขาขับเคลื่อนรถสีเขียวเหลืองคันนี้ไปให้ถึงจุดหมายสินะ..


     หลังจากคาดการณ์เวลาถึงที่หมายว่าน่าจะประมาณเที่ยงนิด ๆ เพราะรถติดสลัด แต่ไหนพอรถขยับผ่านถนนเส้นนั้นที่แออัดไปด้วยยานพาหนะ แม่งดันมาถึงหน้าเมืองทองฯ ตอนเก้าโมงได้วะ !! ผมยืนอึ้ง ๆ อยู่หน้าทางเข้าประตูไหนก็ไม่รู้เพราะก็ไม่เคยมาที่นี่เหมือนกัน พลางเดินแบกสัมภาระในมือและหลังต้อย ๆ ไปยังด้านใน กำหนดการเขาให้ไปลงทะเบียนที่ฮอลล์หนึ่งครับ แล้วจากประตูบานเลื่อนและมีเจ้าหน้าที่ตรวจกระเป๋าตรงนี้มันไปทางไหนกันล่ะนั่น ? ผมขมวดคิ้วตลอดทางที่มันกว้างงงงงงอย่างไม่รู้ว่าต้องเดินไปไหน พลันหางตาเห็นคนอายุรุ่นราวคราวเดียวที่ในมือถือกล่องคล้าย ๆ กัน แถมมีลักษณะเหมือนจะมาเข้าร่วมแข่งขันเช่นกันอีก เธอเดินเลี้ยวขวาเข้าประตูด้านหน้าไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่ผมสะกดรอยตาม โป๊ะเชะ ! ผมขอเดาว่าทางที่เธอเดินเข้าไปคือสนามแข่งที่ผมจะเอารางวัลกลับบ้านแน่นอน มัวรออะไรอยู่อีกล่ะครับ วิ่งตามไปเลย !!


     และก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพราะหน้าทางเข้ามีชื่อรายการของการแข่งขันแปะอยู่ตัวเบ้อเร่อคู่กับโต๊ะลงทะเบียน ผมค่อนข้างตื่นตาตื่นใจและตื่นเต้นสุด ๆ เมื่อบริเวณรอบตัวนั้นมีคนใส่ชุดเชฟเดินกันแบบพลุกพล่าน บวกด้วยสเตชั่นการแข่งขันที่มีคนลงแข่งไปบ้างแล้ว หน้าตาแต่ละคนเอาจริงเอาจังกับการบรรจงทำอาหารของตัวเองมาก ๆ ดูจากลักษนะทางกายภาพของผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนรอบนี้แล้ว อายุและประสบการณ์ไม่ใช่น้อย ๆ เลย มีหวังถ้าผมหลุดเข้าไปแข่งกับพวกเขาแม่งแพ้จนขายขี้หน้าแหง ผมที่ต่อแถวถือกล่องยกขึ้นแล้วก็วางลงวนวูบอยู่อย่างนั้นเมื่อแถวลงทะเบียนขยับก็เริ่มหน้ามืดแปลก ๆ สงสัยจะเป็นไมเกรนตามม๊าแล้วมั้งที่ก้มหน้าบ่อย ๆ แล้วเหมือนจะวูบ ถ้าผมเป็นลมล้มทับไปก็ฝากท่านผู้อ่านแบกกลับบ้านด้วยนะครับ ฮ่า ๆ แต่เป็นอย่างนี้ได้ไม่นานผมก็ได้รับการลงทะเบียนเข้าแข่งขันเป็นที่เรียบร้อย


     สำหรับการแข่งขันครั้งนี้ผมเข้าใจดีว่ามันเป็นรายการใหญ่ ซึ่งแน่นอน ต้องเป็นแหล่งรวมตัวของเหล่าหัวกะทิ อย่างไรก็ดี หากผมจะได้รับรางวัลหรือไม่ก็ตาม เวทีแห่งนี้ก็ถือเป็นประสบการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ในการหล่อหลอมตัวเองให้มีทักษะในด้านทำอาหารอีกเยอะโข เอาจริง ๆ ผมก็พกความมั่นใจมาเต็มกระเป๋าอยู่หรอกนะ เพราะเพียรหมั่นฝึกซ้อมและได้กำลังใจดี ๆ จากคนที่รัก ไม่ว่าจะป๊า ม๊า มิน และรวมไปถึงเฟิร์ส เออว่ะ ! ผมต้องโทรไปบอกมันว่ามาถึงแล้วนี่หว่า !! ไม่ทันไรผมก็ควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงหลังจากที่พี่สต๊าฟภายในงานพาตัวมายังโซนรองรับผู้เข้าแข่งขัน


     ผมไม่ต้องเอาหัวไหล่หนีบโทรศัพท์รอสายนานขณะเปิดกระเป๋าและกล่องเพื่อเช็กของเลยครับ เพราะเพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นเฟิร์สก็รับสาย


     " ฮัลโหลลล อยู่ไหนแล้ววว " เสียงออกจะดูตอแหลนิดหน่อยครับ เพราะคึกอะไรก็มิทราบ สงสัยจะตื่นสนาม ฮ่า ๆ


     " มิ้ลค์ " เฟิร์สขานชื่อสั้น ๆ ขณะที่ผมกวาดสายตาและคุ้ยหาของที่สำคัญ


     " ว่าไง ? " กระดาษสูตร วัตถุดิบ มีด ของตกแต่ง เยี่ยม !! ชุดเชฟก็ไม่ได้ลืม


     " ตากี้ก่อนที่กูจะโบกแท็กซี่ไปหามึง แม่กูโทรมาอะ คือ.. " เสียงนั้นขาดหายไปจนต่อมเสือกผมทำงานโดยพลัน


     " คือ ? " ผมถามขณะยกเสื้อเชฟขึ้นมาดม โห ! ซักซะหอมเลยว่ะ น้ำยาปรับผ้านุ่มยี่ห้อนี้เขาดีจริง ๆ แวะไปซูเปอร์มาเก็ตครั้งหน้าต้องเหมามาให้หมด


     " แม่กูบอกว่าคนทำงานในครัวที่ร้านไม่พอเพราะวันนี้มีคนมาขอลาเพิ่ม...เลยจะขอให้กูไปทำงานแทนมึง "


     " .......... " มันเหมือน...เหมือนยืนอยู่ที่โล่ง ๆ ขณะฝนตกแล้วฟ้าผ่าลงมาดังเปรี้ยงอย่างไม่ได้ตั้งตัว


     " กูขอโทษนะมิ้ลค์ กูอยากไปเชียร์มึงจริง ๆ กูอยากไปให้กำลังใจมึง แต่.. "


     " ไม่เป็นไร มึงอยู่ช่วยแม่ไปนั่นแหละ กูเข้าใจ " ผมเข้าใจดีว่าถ้าคนที่ร้านไม่พอน่ะ ระบบงานภายในร้านมันจะเสียหมด เป็นสิ่งที่ถูกแล้วที่เฟิร์สจะเสียสละตัวเองเพื่อไปทำหน้าที่ตรงนั้น ผมพูดตัดบทคนในสายด้วยความรู้สึกที่เข้าใจ แต่ทำไมอยู่ดี ๆ แรงที่มีในกายนี้มันหายไปไหนหมดกันล่ะ.. เสียงที่พูดดูเหมือนจะแผ่วลงด้วย


     " กูสัญญานะมิ้ลค์ ถ้างานเสร็จเมื่อไหร่กูจะไปหามึงทันทีเลย รอกูนะมิ้ลค์ "


     " อื้ม " เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังตัดไป พร้อมกับกำลังใจที่ตอนนี้เริ่มระเหยหายไปในพริบตา


     หลังจากที่ได้คำตอบว่าเฟิร์สไม่สามารถมาหาผมได้ เนื่องจากเหตุฉุกละหุกว่าพนักงานในครัวอีกคนขอลาหยุด ใจของผมในตอนนี้ก็เคว้งคว้างไปโดยปริยายจริง ๆ ผมนั่งขัดตะหมาดเอนหลังพิงกำแพงพลางมองขึ้นไปด้านบนเหมือนคนไร้วิญญาณ พร้อมกับบอกตัวเองซ้ำ ๆ ว่าเฟิร์สมาให้กำลังใจไม่ได้ แม้จะเห็นผู้เข้าแข่งขันในรายการเดียวกันนั่งอ่านสูตรหรือเตรียมวัตถุดิบต่าง ๆ อยู่ ก็ไม่สามารถทำให้ผมกระตือรือร้นเหมือนแบบนั้นได้เลย ทำไมกันนะ...แค่รู้ว่าเฟิร์สมาไม่ได้ ทำไมผมถึงเป็นแบบนี้ไปแล้ว


     มันเป็นเวลานานเท่าไหร่แล้วไม่รู้ที่ผมยังเหลือกตามองแต่ด้านบน จนพี่สต๊าฟเขามาตามตัวให้ไปเข้าสนาม ผมอือ ๆ ออ ๆ ตามเขาไปอย่างนั้นทั้งที่ตัวเองยังไม่ได้ทบทวนก่อนเข้าสนามจริงเลยสักนิด ผมไม่เคยเป็นคนไร้ความรับผิดชอบต่อตัวเองแบบนี้ ที่พอสูญเสียอะไรสักอย่างไปแล้ว ทุกอย่างที่เคยตั้งใจและคาดหวังสูงสุดจะเททิ้งได้อย่างคนขี้แพ้ ทำไมครั้งนี้ผมเป็นแบบนั้นไปแล้วล่ะ เฮ้อ...เอาวะ ถึงจะกระอักกระอ่วนมวนท้องแค่ไหนก็ขอทำหน้าที่ตรงนี้ให้เสร็จไปก่อนแล้วกัน


     พอเข้ามาถึงโซนแข่งขันดูเหมือนหลาย ๆ คนนั้นจะมีทีท่าว่าจะตื่นสนามเป็นที่สุด ผิดกับผมที่ยังยืนใจเลื่อนลอยอย่างยากที่จะดึงกลับ ไอแรงฮึดสู้ที่ก่อนเข้าสนามแบบเมื่อเช้ามันหายไปไหน.. เสียงนกหวีดเป่าดังเป็นสัญญาณให้เริ่มการแข่งขัน ผมในมาดชุดเชฟที่แต่งองค์ทรงเครื่องเรียบร้อยก็ยกวัตถุดิบต่าง ๆ ขึ้นมาจากกล่องก่อนจะจัดเตรียม เวลาในการทำมีสองชั่วโมงมั้งครับ ถ้าได้ยินไม่ผิดตอนที่พี่สต๊าฟเขามาแจ้งแก่ผู้เข้าแข่งขัน ผมไม่ได้ฟังซะทีเดียวหรอกเพราะมีอารมณ์ที่ไหน ผมยังคงใจลอยหั่นเนื้อสัตว์และผักต่าง ๆ แม้จะมีกรรมการกิตติมศักดิ์เดินมามองบ้าง พอถึงกระบวนการทอดหรือผัดตามสูตรของผมที่เตรียมมา คุณกรรมการก็แวะเดินมาอีกครั้งเพื่อมาตั้งคำถามว่ากำลังทำอะไรอยู่ ผมก็ตอบเขาคำบ้าง สองคำบ้าง ไม่รู้พูดแบบนี้เขาเรียกว่ามีมารยาทหรือเปล่า แม่ง.. ไม่อยากแข่งแล้วว่ะ แต่ถ้าเฟิร์สมาเห็นผมในสภาพพวกขี้แพ้ที่รอแต่กำลังใจมันคงผิดหวังในตัวไม่น้อยแน่


     จวบจนเวลาที่เขาประกาศว่าเหลือสามสิบนาทีสุดท้ายนั่นแหละครับผมถึงเดินนำเมนูไปส่งแก่คณะกรรมการ พวกเขาทั้งหมดดูจะสนใจพะแนงไก่กรอบ ปลานิลทอดสมุนไพร ผัดยอดมะระ ข้าวอบธัญพืชในหนึ่งจาน ที่ผมนำเสนอและจัดเป็นสไตล์โมเดิร์นดี แต่ผมไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมเท่าไหร่แล้วล่ะกับการแข่งวันนี้ ไหนจะอาการมึนศีรษะตั้งแต่เมื่อเช้าอีก ก่อนจะเดินไปรอโซน ๆ หนึ่งที่เขาให้ผู้เข้าแข่งขันไปนั่งพักและรอฟังประกาศผล โทรศัพท์ไอโฟนถูกหยิบขึ้นจากกระเป๋ากางเกงอย่างใจคาดหวังว่าจะมีเบอร์ใครสักคนโทรมา พึ่งบ่ายสองโมงครึ่งเองเหรอเนี่ย.. เป็นไปไม่ได้เลยที่เฟิร์สจะมาหาผมในตอนนี้


     เวลาผ่านไปอีกนิดหน่อยจนผมรู้สึกได้ว่าตัวเองหน้ามืดกว่าเดิม ผมตบหน้าตัวเองเบา ๆ เรียกสติเกรงว่าจะลงไปนอนกองกับพื้น วันนี้เป็นการแข่งขันที่ผมตั้งใจที่สุด แต่ไหนกลับไม่หวังอะไรสักอย่างแล้วล่ะ ผมเป็นคนเหลวแหลกอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ? ไม่ทันไรเก้าอี้รอบด้านที่ผมนั่งอยู่ก็เต็มไปด้วยผู้เข้าแข่งขันอย่างไม่รู้ตัว คงอีกไม่นานหรอกครับที่เขาจะประกาศรางวัล ผมนั่งรออยู่อย่างนั้นแม้จะอยากสลบเข้าไปในทุกที


     ผมปรือตาอย่างสุดความสามารถ มองบุคคลท่านหนึ่งที่ขึ้นไปบนเวทีด้านหน้า เขาพูดอะไรไม่รู้ผมฟังไม่ถนัดและมีผู้เข้าแข่งขันขึ้นไปรับบอร์ดแผ่นใหญ่ ๆ อันมีหมายเลขเงินรางวัลและผลอันดับประทับไว้ ผมไม่สามารถรับรู้อะไรได้เลย เพราะสติที่เคยมัดกันแน่นราวกับเชือกเส้นยาวตอนนี้มันจะขาดอยู่รำไร ผมทนฟังทุกอย่างอยู่เนิ่นนานจนคิดว่าตัวเองคงจะไม่ได้รับรางวัลอะไรแล้วแหละ จึงตัดสินใจไปยังที่รองรับนักกีฬาและนำสัมภาระทุกอย่างของตัวเองกลับ


     ผมไม่หวังอะไรอีกแล้วจากการแข่งขันครั้งนี้


     ผมแบกเจ้ากล่องในมือและเป้ด้านหลังออกไปนอกฮอลล์อย่างไม่คิดจะเดินกลับ ตอนนี้สิ่งเดียวที่ผมอยากทำมากที่สุดกว่ารับรางวัลก็คือล้มตึงไปทั้งอย่างนี้ แต่ไม่ทันไรบุคคลตรงหน้าที่แสดงตัวตนถึงกำลังใจเป็นล้นพ้นของผมก็ปรากฏ เฟิร์สแต่งตัวหล่อจริง ๆ อย่างที่โม้เมื่อเช้าในความคิด มือมันถือดอกไม้ช่อสวยหลากสีคงจะเอาไว้ให้กำลังใจผมน่ะสิ ตอนนี้กูไม่ต้องการอะไรอีกแล้วเฟิร์สนอกจากกอดมึง


     ผมเดินเหมือนคนหมดแรงเข้าไปหามันเพื่อหวังจะวาดวงแขนเข้าไปโอบกอด เรียกกำลังใจให้ฟื้นขึ้นมาเต็มร้อยอีกครั้ง แต่ผมก็พรากรอยยิ้มที่เฟิร์สโชว์หราอยู่ด้วยเปลือกตาที่ปิดลงเป็นภาพมืดสนิท ก่อนที่จะรู้ตัวเองว่าหมดสติไป


####


     ผมรู้สึกตัวอีกทีในตอนที่ดวงตาคู่นี้เบิกขึ้นภายในห้องอันแสนคุ้นตา ผมค่อย ๆ ผลักตัวเองขึ้นมานั่งเอาหลังพิงหัวเตียงแม้จะรู้สึกว่าโลกหมุนติ้ว ๆ อย่างยากที่จะหยุด การกระทำนี้เกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่มีคนข้าง ๆ ที่วาปมาจากไหนไม่รู้ ประคับประคองตัวผมให้เอนนั่งจนสำเร็จ


     " เฟิร์ส " ผมปรือตามองพลางขานชื่อในลำคอแผ่ว ๆ พึ่งฟื้นขึ้นมาอย่างนี้ เรี่ยวแรงมันไม่ค่อยจะมีเลย


     " ไง ตะลึงในความหล่อของกูจนเป็นลมไปเลยเหรอ ? " ผมรู้ว่ามันกวนตีนโดยหวังจะให้ผมหมั่นไส้เล่น ๆ แต่จิตใต้สำนึกอันรู้ผิดชอบชั่วดีก็เข้ามาเล่นงานความคิดที่ผมจะเอามือไปฟาดหัวมันจนได้


     " เฟิร์ส กู.. " ผมอยากจะขอโทษมันตอนนี้เหมือนกันที่ตัวเองงี่เง่า เพียงเพราะแค่ไม่ได้รับกำลังใจและคาดหวังไว้สูงว่ามันจะมาเชียร์ จนทำให้ความมุ่งมั่นที่มีมาเกือบเดือนกว่าพังทลายจนพินาศย่อยยับ ผมแม่งแยกแยะอะไรไม่ได้เลยจริง ๆ


     " ว่าไงที่รัก ? " เฟิร์สคลี่ยิ้มบาง ๆ พลางนำฝ่ามือมาลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน ผมพูดไม่ออกจริง ๆ แค่สองคำง่าย ๆ อย่าง ' ขอโทษ ' แม้จะสำนึกผิดและยากที่จะให้อภัย


     " กู...อยากอาบน้ำ " ผมคิดคำแถปิดบังความจริงที่ตอนแรกตั้งใจจะบอกได้แค่นี้แหละครับ เจ้าของมือที่วางอยู่บนหัวผมเลิกคิ้วขึ้น


     " ไปสิ กูอาบด้วย " เฟิร์สทำตามคำขอทันทีพลางประคองร่างกายผมไปยังห้องน้ำอย่างทุรักทุเร ก่อนจะช่วยถอดทุกอย่างบนตัวที่เคล้ากลิ่นอาหารออก จริงอยู่ที่เราเคยอาบน้ำด้วยกันมาแล้วทั้งหมดหนึ่งครั้ง แต่ผมก็ยังทำใจไม่ได้ว่ะที่ถอดทุกอย่างออกให้ล่อนจ้อนอีกรอบต่อหน้ามัน งั้นขอสงวนสิทธิ์เหลือไว้แค่บ๊อกเซอร์หน่อยแล้วกัน ส่วนเจ้าเฟิร์สเห็นผมทำมันก็บ้าจี้ใส่ตามบ้าง


     สายน้ำจากฝักบัวค่อย ๆ ตกมากระทบศีรษะและผิวขาว ๆ ของผมกับเฟิร์สดังเปาะแปะ จนรู้สึกสดชื่นขึ้นมาได้มากหลังจากที่สลบไสลเป็นเวลานาน ผมหยิบแชมพูกลิ่นอัญชันมาเทใส่มือก่อนจะปิดวาล์วให้น้ำหยุดไหล พลางยีเข้ากับหัวของเฟิร์สให้เกิดฟองอย่างที่เคยทำ ผมมองสายตาของคนตรงหน้าที่ฉายแววไม่สบายใจสลับกับฟองสีฟ้าบนหัวมัน


     " วันนี้แข่งเป็นไงบ้าง ? " ฝ่ามือที่เคยบรรจงชโลมสระหยุดลงเมื่อประโยคนั้นถามออกมา คำพูดของเฟิร์สตอนนี้มันทำให้ผมรู้สึกผิดอย่างเต็มประดาเข้าไปอีก ยังไงผมก็ไม่สามารถหลีกหนีความจริงเพื่อเลี่ยงบอกเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้อีกต่อไป ผมทำใจให้สงบขณะเปิดวาล์วน้ำและหยิบฝักบัวขึ้นมาลดหัวเฟิร์สเพื่อล้างฟองให้ออกจนหมดก่อนจะวางไว้ที่เก่า มันลูบน้ำบนหน้าออกพลางลืมตามาสบผม


     " กู...มีไรจะบอกมึง " เวลาแค่ล้างน้ำบนหัวหมอนี่มันทำให้ผมเตรียมใจยังไม่ได้เท่าไหร่เลยว่ะ


     " ว่าไง ? " ผมหนีสายตาคู่นั้นอย่างยากที่จะมองตอบโดยการผลุบหน้าลงต่ำแล้วจึงพูดออกมาเสียงแผ่ว ๆ


     " กูขอโทษนะที่วันนี้ทำไม่เต็มที่ กูทิ้งทุกอย่างลงด้วยมือของตัวเองเพียงแค่รู้ว่ามึงไม่มา กูมันงี่เง่าที่หวังจะให้มึงมาเป็นกำลังใจจนลืมไปว่าตัวเองต้องทำอะไร ทำไมเดี๋ยวนี้กูขาดมึงไม่ได้แล้วก็ไม่รู้ กูขอโทษนะที่เอารางวัลมาฝากมึงไม่ได้ กูขอโทษ " ก้อนน้ำตาที่ไหลวนอยู่ในต่อมตอนนี้เริ่มทำหน้าที่ของมันแล้ว เฟิร์สเชยคางผมให้เราสบตากันก่อนจะพูดขึ้น


     " ไม่เป็นไรมิ้ลค์ กูเข้าใจดีว่ากำลังใจถ้ามันขาดหายไปผลลัพธ์ออกมาจะเป็นยังไง กูก็เป็นแบบมึงนั่นแหละเพราะไม่มีมึงอยู่ที่ร้าน กูก็ทำอะไรไม่เป็นเหมือนกัน " น้ำใสในตาเริ่มเกาะตัวเป็นเม็ดใหญ่เมื่อเฟิร์สยกฝ่ามือของมันขึ้น เผยให้เห็นบาดแผลเหมือนมีอะไรบาด


     " กูขออะไรสักอย่างจะได้มั้ยมิ้ลค์ ? " เฟิร์สขโมยความสนใจจากมือข้างนั้นของผมทั้งหมดโดยการขออะไรสักอย่าง


     " อะไร ? " เสียงผมสั่นขณะจ้องมองใบหน้าของมัน ไม่ว่าอะไรถ้าเป็นเฟิร์สขอผมก็ให้ได้ทุกอย่าง


     " ยกโทษให้กูทีนะที่วันนี้ไม่ได้ไปเชียร์มึง กูอยากไปหามึงใจจะขาดแต่กูทำไม่ได้ ต่อไปนี้กูจะไม่ปล่อยให้มึงไปไหนคนเดียวโดยที่ไม่มีกูอีกแล้ว กูสัญญาว่าจะดูแลมึง กูจะรักมึง กูจะไม่ทำให้มึงรู้สึกแย่ ๆ กับกูแบบนี้อีก กูขอโทษนะมิ้ลค์ " ผมเข้าใจทุกอย่างดีตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าทำไมมันถึงมาเชียร์ไม่ได้ จริง ๆ เฟิร์สไม่จำเป็นเลยที่จะต้องออกปากขอโทษ เพราะคนที่คู่ควรพูดคำนี้และสำนึกผิดมันจะเป็นใครหน้าไหนได้อีกล่ะนอกจากผม ผมคลี่ยิ้มบาง ๆ อย่างเข้าใจก่อนจะเดินเข้าไปโอบกอดร่างของเฟิร์สด้วยน้ำตาที่ไหลซึม


     เวลานี้มันเหมือนเราสองคนได้แลกเปลี่ยนความรู้สึกที่ไม่ดีของกันและกันมาอยู่ในตัว


     เราสองคนขาดกันไม่ได้เลยจริง ๆ แต่มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่พวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอด บางทีผมควรที่จะเรียนรู้การอยู่คนเดียวโดยไม่มีเฟิร์สให้ได้


####


ออฟไลน์ rsmrypngpth

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 65
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เข้ามาเพราะชื่อเรื่องอะค่ะ รู้สึกว่ามันแปลกๆ unlocked คือปลดล๊อค ถ้าบอกเป็นแนวปฎิเสธแบบนี้คือ แปลว่าอย่าปลดล๊อคไม่ใช่หรอคะ ลองดูชื่อเรื่องอีกทีนะคะ

ออฟไลน์ LKPOW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
หลังจากที่ผมกับเฟิร์สเล่นบทดราม่าน้ำตาไหลในห้องน้ำและแต่งตัวเข้ากับชุดนอนเป็นที่เรียบร้อย เฟิร์สมันก็จูงผมลงมายังห้องครังด้านล่างเพราะเราทั้งคู่เริ่มหิวขึ้นมาซะแล้ว อาการวิงเวียนศีรษะก็บรรเทาลงหลังจากที่ผมได้อาบน้ำเย็น ๆ ผมที่เดินเข้ามายังครัวถึงขั้นผงะเมื่อเจอกับผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ เอ่อ...คุณบุพการีท่านนี้เขากลับมาจากหัวหินตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมจะกลับบ้านทั้งทีไม่โทรบอกลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนนี้ก่อนเลยล่ะ..


     " อ่าวมิ้ลค์ ตื่นแล้วเหรอ ? " ม๊าที่สวมแว่นตาอ่านหนังสือพิมพ์อยู่โต๊ะอาหารหันมาทักผมที่เก ๆ กัง ๆ เดินเข้าไปสอดตัวเข้ากับเก้าอี้พร้อมกับคนข้างหลัง โอ้ !! ลงมาก็มีของกินประเคนถึงปากเลย ยอดแม่ดีเด่นจริง ๆ เลยม๊าคนนี้


     " กลับบ้านมาทำไมไม่เห็นบอกกันมั้งเลย แล้วป๊าไปไหนล่ะ ? " ที่ถามแบบนี้เพราะหน้าทีวีที่ป๊าชอบนั่งโซฟาดูข่าวนั้นไม่พบผู้ใดอยู่ ความเป็นไปได้ที่จะแอบหนีไปกินเหล้ากับคนข้างบ้านก็มีสูง


     " ป๊าแกพาเจ้ามินไปซื้อของข้างนอกน่ะ ดึก ๆ ล่ะมั้งคงกลับ แล้วนี่เป็นไง ดีขึ้นมั้ย ? " ดีขึ้นมั้ย ? นี่อย่าบอกนะว่ารู้ที่มิ้ลค์เป็นลมตอนไปแข่งด้วยน่ะ เมื่อเช้าม๊าผมยังไม่ได้กลับมาบ้านนะครับ สงสัยจะมาตอนบ่าย ๆ กับป๊า


     " ก็ดีครับ แต่ม๊ารู้ได้ไงว่ามิ้ลค์เป็นลม ? " ม๊าผมลุกไปหยิบจานเปล่าสามใบก่อนจะนำมาวางด้านหน้าผม เฟิร์ส และของเขา แสดงว่าม๊าผมนี่คงรอกินข้าวพร้อมกันตั้งนานแล้วสิเนี่ย



     " รู้สิ ก็ลูกเขยคนนี้แบกแกจากแท็กซี่มานี่ไง ถ้าไม่ได้หนูเฟิร์สแกจะเป็นไงบ้างก็ไม่รู้ " มึงไม่ต้องมาทำหน้าเหมือนได้รางวัลเลยนะไอสัด เดี๋ยวทุบฟันให้เข้าไปข้างในแบบไม่ต้องดัดเลยหนิ


     " นิดหน่อยน่ะครับ ลูกสะใภ้แม่คนนี้มันยิ่งบอบบางทางอารมณ์อยู่ หึหึ ไปแข่งทั้งทีไม่เอาอะไรมาฝากเล้ยย " ผมว่าตอนนี้กำหมัดแล้วทุบปากมันเลยดีกว่า หึ้ยยยย ไม่ต้องเอาความรู้สึกกูมาล้อเลยนะ !


     " เรื่องแข่งได้รางวัลหรือไม่ม๊าไม่ว่าอะไรหรอก คิดว่าเอาประสบการณ์เนอะ แต่หนูเฟิร์สเถอะ เข้าใจเล่นมุกผัว ๆ เมีย ๆ กับม๊าด้วยเหรอเนี่ย อย่างนี้จะได้เข้าขากับม๊าง่าย ๆ หน่อย " ไม่รู้ทำไมถึงตรงนี้ผมกับเฟิร์สหมุนคอไปมองเหมือนนัดกันไว้ ตั้งแต่ผมได้ทำความรู้จักเฟิร์สครั้งที่เคยเคลียร์ปัญหาเรื่องสบตาปิ้ง ๆ ก็ผ่านมาแล้วหลายเดือน ส่วนตอนที่มันขอผมคบเป็นแฟนอย่างเป็นทางการก็ไม่กี่อาทิตย์ อืมมม ผมว่าเวลาเท่านี้มันก็ทำให้เรารู้จักนิสัยใจคอกันมากแล้วนะ จะออกตัวให้ม๊ารู้ถึงสถานะของมันกับผมก็ไม่น่าเสียหายอะไร


     " ม๊าครับ มิ้ลค์พาคนมารู้จัก " คนตรงหน้าที่ศักดิ์เป็นถึงแม่ของผมมองเจ้าเฟิร์ส ซึ่งไอห่านี่ก็มีทีท่าสงสัยคำพูดนี้ไม่ต่างกัน


     " ใครอะลูก ? "


     " นี่ครับเฟิร์ส ลูกเขยแม่เอง " ผมว่าพลางชี้ไปยังคนข้าง ๆ


     " .......... " อ่าว เดทแอร์เฉย หน้าม๊าผมเหวอไปในพริบตาเดียวก่อนที่ทัพพีในมือของเขาจะแลนดิ้งลงสู่พื้นโต๊ะดังปั้ง !


     " มะ...ม๊าที่เคยพูดว่าเฟิร์สเป็นลูกเขยแค่หยอกเราเล่นเฉย ๆ น่ะ อย่ามาอำม๊ากลับสิ " ม๊าผมหัวเราะกลบเกลื่อนก่อนจะเดินไปเปลี่ยนทัพพีตักข้าวอันใหม่


     " ม๊าครับ มิ้ลค์พูดจริง "


     " .......... " เอาอีกแล้ว เดทแอร์อีกแล้ว ใครก็ได้ช่วยพูดอะไรหน่อยเต๊อะ ! ไอห่าเฟิร์สก็อย่าเอาแต่เงียบสิโว้ยยย ม๊าผมเดินกลับมาละเมียดละไมตักข้าวท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบจนครบจานของทุกคน ผมลุ้นอย่างใจจดใจจ่อว่าม๊าจะมีปฏิกิริยาอย่างไรที่ลูกชายของเขาประกาศศักดาให้โลกรู้แล้วว่าจะมีแฟนเป็นตัวผู้เหมือนกัน


     ม๊าผมนั่งลงด้วยท่าทีนิ่งเฉยก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ " เฟิร์ส ม๊าจะบอกอะไรเราให้นะ " ดูเหมือนคนข้าง ๆ ก็ลุ้นในคำตอบที่ผมอาจหาญพูดออกมาเช่นกัน


     " ครับ " แม่ง กลืนน้ำลายฝืดคอชิบหาย ไม่เคยลุ้นห่าอะไรขนาดนี้มาก่อนเลย ! เดี๋ยวอายุสิบแปดแล้วซื้อหวยจะลองเทียบดูว่าลุ้นเหมือนแบบนี้มั้ย


     " ค่าสินสอดบ้านนี้แพงนะ "


     " .......... " ค่าสินสอดบ้านนี้แพงนะ..


     เฮ้ย !!!!!!!!!!!!!!!!


     พูดแบบนี้ม๊าผมก็อนุญาตแล้วอะดิ !!!! แว้กกกกกกกกกกกกกกกกกก


     " ค่ะ...ค่าสินสอด เฮ้ยไม่ใช่ !! มะ...ม๊าไม่ว่าผมเหรอครับ !? ม๊าไม่ห้ามผมให้คบกับมิ้ลค์เหรอครับ !!? ม๊าพูดจริง ๆ เหรอครับ !!!? " ผมตะลึงในคำอนุญาตของม๊าที่ตอนนี้เขากระอิ่มยิ้มออกมา


     " จะห้ามทำไมล่ะ ลูกบ้านนี้จะเป็นยังไงม๊าไม่สนใจหรอก ขอแค่ให้เขาเป็นคนดีอย่างเดียวก็พอ " เราสองคนฟังที่ม๊าพูดก่อนจะกอดกันกลมด้วยความดีใจอย่างบอกไม่ถูก เฮ้อออออ ตบหน้าผมทีเถอะแล้วบอกว่าไม่ได้ฝันไป ว่าแล้วม๊าก็พูดต่อ


     " เราสองคนเป็นผู้ชายทั้งคู่ หลาย ๆ คนอาจจะมองความรักของเราแปลก ๆ ไปสักหน่อย ถึงสังคมจะเปิดรับเรื่องรักร่วมเพศแล้วก็จริง แต่ยังมีอีกหลาย ๆ คนนะที่ยังปิดกั้นเรื่องนี้อยู่ เราไม่รู้หรอกว่าเขาคิดยังไงกับความรักแบบนี้ ม๊าเชื่อนะว่าถ้าเราสองคนยังเป็นคนดีเสมอต้นเสมอปลายให้แก่สังคมและไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร เราก็จะสามารถเป็นตัวอย่างที่ดีและทำให้สังคมเข้าใจความรักของเรามากขึ้นด้วยนะ " โหยยยยยยย คมแบบนี้มิ้ลค์ขอยืมไปหั่นผักหน่อยได้มั้ยเนี่ย ม๊าใครก็ไม่รู้ รักที่สู๊ดดดดดดดด


     " ขอบคุณนะครับม๊า ที่ให้โอกาสเฟิร์สได้คบกับมิ้ลค์ เฟิร์สสัญญาเลยนะว่าจะไม่ให้ใครหน้าไหนพรากเราไปจากกัน " ไอนี่ก็เว่อร์ซะไม่มี เดี๋ยวพอถึงเวลาจริง ๆ กูจะดูนะว่ามึงทำได้มั้ยไอสันขวาน


     " จ่ะ ค่ามัดจำลูกชายม๊าก็สามแสนนะ สินสอดอีกห้าแสน แต่งอีกสักล้านหน่อย ๆ ไหวมั้ยจ๊ะ ? " ผมรู้อยู่แล้วแหละว่าม๊าแกหยอกเล่น ใครเขาจะเรียกเก็บเงินค่าลูกสะใภ้ร่วมสองล้าน


     " สบายครับ เดี๋ยวผมพามิ้ลค์หนี " โหยยยยยย กูว่าอนาคตมีหวังได้ไปขายข้าวแกงปากซอยแน่เลยว่ะ


     " จ่ะ ฮ่า ๆ ว่าแต่เถอะ เราสองคนคบกันอย่างนี้...มีอะไรกันรึยังจ๊ะ ? "


     " .......... " เราสองคนหันมามองหน้ากันโดยมิได้นัดหมายอีกครั้ง ก่อนจะกลืนน้ำลายอีกคนละเอือก


     ชิบหายแล้วไงกู..


     หลายวันผ่านไปดูเหมือนชีวิตรักของผมและเฟิร์สจะผ่านไปด้วยความปกติสุข อาจจะมีกวนตีนกันบ้าง หยอกล้อกันบ้าง ซึ่งทั้งหมดเราทำกันในฐานะแฟน (และมันก็จะโดนผมสวนกับด้วยตบทุกครั้ง แต่ก็ไม่เคยโดนสักครั้ง) ผมเชื่อแล้วล่ะว่าฟ้าหลังฝนมันย่อมสว่างจ้าจนแสบตาจริง ๆ แต่มันคงจะสว่างกับแค่คนอื่นล่ะมั้ง เพราะตอนนี้ฝนมันกำลังตกแค่บนหัวของผม เหตุเพราะเย็นวันหนึ่งผมบังเอิญไปเจอเฟิร์สยืนคุยกับผู้หญิงแปลกหน้าในชุดนักเรียนโทนแดงสู้แดดอย่างสนิทสนมอยู่หน้าโรงเรียน ผมมองด้วยท่าทีขุ่นเคืองเล็กน้อยก่อนที่ผู้หญิงคนนั้นจะหันมาสบตาและแยกตัวออกไปเพื่อให้ผมได้เข้าไปหา


     ไอเฟิร์สมันคุยกับผู้หญิงที่ไหน ?


- Not to be unlocked -

ออฟไลน์ LKPOW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Not to be unlocked : Episode 40 : เด็กขี้แง


     ในหลังเลิกเรียนวันหนึ่ง ผมกำลังเดินทางไปยังตึกสิบสองเพราะได้รับข่าวสารจากชมรมคหกรรม ว่าจะมีการจัดค่ายเชฟของมหาวิทยาลัยหนึ่งเกิดขึ้น จุดประสงค์หลัก ๆ ของโครงการครั้งนี้ที่ผมได้รับจากใบปลิว คือทางนั้นเขาจะฝึกประสบการณ์และเรียนรู้หลักการสอนของผู้ที่สนใจ ที่อยากจะศึกษาต่อในภาคปริญญาตรีทางด้านอาหาร ให้เข้ามารับการอบรมจากทางมหาวิทยาลัยโดยตรงทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ หึหึ มีเหรอกิจกรรมดี ๆ อย่างนี้ผมจะพลาด ! แล้วก็บังเอิ๊ญเอิญเป็นมหาวิทยาลัยที่ผมชี้เป้าไว้แล้วว่าอยากเรียนต่อตั้งแต่รู้ตัวว่าชอบอาหารด้วย งานนี้ผมทุ่มสุดตัวเลยล่ะ !


     แต่ครั้งนี้ผมคงไม่กล้าหาญชาญชัยไปคนเดียวเหมือนกับครั้งที่เคยแข่งคุ๊กกิ้งแล้วแหละครับ เพราะคุณแฟนอย่างเฟิร์สพอได้ทราบข่าวว่าผมจะไปเข้าร่วมค่ายครั้งนี้ ทำให้ระบบปฏิบัติการหุ่นยนต์คุ้มกันนิรภัย ประกันภัย (อันนี้ไม่ใช่) ของมันทำงานอัตโนมัติ โดยติดตามผมไปด้วยทันที ถือว่าดีด้วยแหละครับถึงเฟิร์สจะไม่ได้ให้ความสนใจแบบผม เพราะมันเคยบอกว่าอยากจะเรียนบริหารธุรกิจ (แต่อยู่สายวิทย์-คณิต ??) แต่อย่างน้อยการที่มีเจ้านี่ไปเป็นเพื่อนก็อุ่นใจได้อีกหลายเปราะเช่นกัน ผมเดินผ่านห้องเกษตรมาเรื่อย ๆ คู่กับเฟิร์สจนมาถึงหน้าห้องที่โชว์ว่า ' คหกรรม ' อยู่หรา เอาล่ะ เข้าไปพบอาจารย์เพื่อขอลงชื่อเข้าร่วมค่ายดีกว่า


     เมื่อผมเดินนำโดยเปิดประตูบานเลื่อนเข้ามาเป็นคนแรก ก็ได้พบกับเด็กม.4 หน้าตาคุ้น ๆ กำลังก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์อยู่ในห้องคนเดียว แถมพูดต้อนรับออกมาแบบไม่มองหน้าผมอีกต่างหาก


     " มาลงชื่อเข้าค่ายเหรอครับ ? เชิญเล.. พี่มิ้ลค์ !!!!!!! " เด็กนั่นพูดก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยดวงตาที่เบิกกว้างราวกับเจอดาราขวัญใจ ผมกะพริบตาปริบ ๆ มองไอเด็กตัวขาวที่กระโจนมากอดผมจากโต๊ะตรงโน้นภายในทีเดียวซึ่งระยะทางน่าจะเกือบสี่เมตรเห็นจะได้


     " น้ำอุ่น เลิกกอดกูก่อน ปล่อยยยยยย " ไอเด็กนี่มันเอาหน้าซุกอกผมประหนึ่งเป็นตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ที่แสนกอด แต่มึงหารู้ไม่ว่าหมีตัวนี้มันมีเจ้าของ และเจ้าของก็ไม่ได้อยู่ไกลจากตัวกูเลย


     " หูยยยยยย อุ่นไม่ปล่อยพี่มิ้ลค์หรอก ไม่ได้เจอกันตั้งเกือบปี โคตรคิดถึงพี่มิ้ลค์เล้ยยยยย " ขออธิบายประวัติโดยย่อของเจ้าน้ำอุ่นโดยสังเขปก่อนนะครับ น้ำอุ่นเป็นรุ่นน้องหน้าตาดีที่ผมรู้จักคนหนึ่ง ซึ่งมันตัดสินใจเรียนต่อโรงเรียนนี้โดยเข้าศึกษาในสายวิทย์-คณิต ด้วยความที่มันเก่งเกินคนและอยากลองไปสอบชิงทุนขำ ๆ ที่อเมริกาดู น้ำอุ่นก็เลยไปสอบและติดท็อปไฟว์จนได้ไปเรียนต่อซะงั้น มันก็เลยดรอปโรงเรียนนี้เพื่อไปศึกษาต่อที่โน่น ผมก็นึกว่ามันจะไปแล้วไปลับไม่กลับมานั่นแหละ แต่ไหนกลับอยู่ที่นี่ และตรงนี้..


     " อะแฮ่ม ! " เสียงเหมือนมีอะไรติดคอจากคนด้านหลังเรียกให้เจ้าเด็กนี่โงหัวขึ้นมาส่งสายตาเคือง ๆ ที่เฟิร์สขัดจังหวะ แต่มันก็สนใจเพียงแค่ตอนนี้เท่านั้น


     " นี่พี่มิ้ลค์มาลงชื่อเข้าค่ายกับชมรมด้วยเหรอครับ ? " ผมพยักหน้าตามมันพูดเพราะที่ถ่อสังขารมาถึงนี่กับเฟิร์สก็ไม่ใช่เรื่องไหนอื่น


     " อืม สองคนน่ะ มีกูกับนี่ " ผมพูดพลางชี้ไปยังเฟิร์สประกอบ " ว่าแต่จะเลิกกอดได้ยัง ? กูอึดอัด " น้ำอุ่นได้ยินดังนั้นมันก็ทำตามแต่โดยดี


     " แหมพี่มิ้ลค์ ไม่เจอกันตั้งนานยังดุเหมือนเดิมเลยนะ ผมล่ะชอบจริง ๆ คนดิบ ๆ เถื่อน ๆ แบบพี่เนี่ย " มึงชอบคนดิบ ๆ เถื่อน ๆ แบบกูแล้วถามคนข้างหลังที่มันปล่อยพลังดาร์คโคตรตอนนี้อยู่หรือยังห้ะไอน้ำอุ่น !? ผมไม่ต้องหันไปดูเลยว่าเฟิร์สทำสีหน้าอย่างไรเพราะพอจะเดาออกเหมือนกัน


     " ว่าแต่คนข้างหลังพี่นี่เป็นใครกันน่ะครับ เพื่อนเหรอ ? ทำไมเขาดูมีไม่พอใจที่อุ่นทำแบบนี้เลย " ยังไม่ทันผมจะตอบน้ำอุ่น เสียงอันแข็งกระด้างจากคนข้างหลังก็แผดดังออกมาอย่างไม่เกรงใจ


     " กูผัวมัน " ผมเอี้ยวตัวหันไปมองเฟิร์สซึ่งมันกำลังส่งสายตานิ่ง ๆ มายังคนตรงหน้าผม ผมรู้สึกว่าสองคนนี้กำลังต้านพลังกันอยู่ด้วยสายตา


     " อ๋อ...เหรอ หึ " น้ำอุ่นแสยะยิ้มก่อนจะเดินนำไปยังโต๊ะที่มันเคยกระโจนมา ตามด้วยผมและหน้าอันแน่นิ่งของเฟิร์ส


     " อันนี้เดี๋ยวพี่มิ้ลค์เอาไปกรอกนะครับ แล้วเอามาส่งผมไม่เกินวันศุกร์ ผมจะยื่นเรื่องต่อไปให้อาจารย์ หึหึ กลับมาได้ไม่กี่วันก็ได้เป็นประธานชมรมคหกรรมซะละ ผมเก่งปะละพี่มิ้ลค์ ? " อ้อ เหมือนผมจะลืมบอกท่านผู้อ่านไปอย่างนึง สิ่งที่น้ำอุ่นและผมมีเหมือนกัน และคิดว่าชีวิตนี้จะทุ่มให้แบบเต็มร้อยก็คือการทำอาหารครับ เห็นว่าที่มันไปสอบชิงทุนก็เกี่ยวกับอาหารนี่แหละ และผมยอมรับด้วยว่าน้ำอุ่นเก่งด้านนี้ในระดับหนึ่งด้วยเช่นกัน


     " เออ เก่ง " ผมรับกระดาษที่ด้านบนกำกับชื่อค่ายเอาไว้มาสองแผ่น ก่อนที่ประธานชมรมคหกรรมจะชวนผมคุยต่อ


     " ว่าแต่พี่มิ้ลค์ได้ไปลงแข่งอะไรทีน ๆ ที่เมืองทองไม่กี่วันที่แล้วปะครับ ? " โอ้โห คำถามแจ็คพอต มึงไม่รู้หรอกไอน้ำอุ่นว่ากูได้อะไรกลับมา !


     " แพ้ " ฮ่า ๆ หงายเงิบไปเลยสิ ดูเหมือนคำตอบนี้จะไม่ค่อยทำให้เจ้าน้ำอุ่นพอใจสักเท่าไหร่


     " โห่พี่มิ้ลค์ คนเก่งของอุ่นทำไมไม่เอารางวัลที่หนึ่งมาฝากล่ะ ? ถ้าให้อุ่นเป็นลูกมือพี่มิ้ลค์นะ มีหวังกวาดทุกรางวัลที่มีไปแล้ว " หึ ปากดีจริง ๆ นะไอนี่ แต่ผมว่าสิ่งที่มันพูดออกมาแม้จะฟังดูขี้โม้ แต่ความเป็นไปได้ก็เยอะอยู่พอสมควร


     " อย่าอวดเลยน้ำอุ่น กูแค่มีปัญหาวันนั้นนิดหน่อยเฉย ๆ หรอก งั้นไม่มีอะไรกูขอตัวก่อนนะ " เอาเป็นว่ารีบ ๆ พาเฟิร์สกลับก่อนดีกว่าครับ เพราะยิ่งอยู่ตรงนี้นาน ๆ พลังงานด้านลบของมันยิ่งทวีคูณความรุนแรงขึ้นไปเรื่อย ๆ


     " พี่มิ้ลค์ " ในตอนที่ผมกำลังจะก้าวขาออกนอกห้องและมีเฟิร์สเดินตามออกมา น้ำอุ่นที่ยังประจำการอยู่ด้านในก็ขานชื่อผม เรียกให้หันไปมอง


     " มีไร ? "


     " อืมมมม ไว้คราวหน้าถ้ามีโอกาส...เรามาดวลอาหารกันอีกสักรอบนะครับ ผมคิดถึงปากหวาน ๆ ของพี่ในวันนั้นจัง แบบว่า...อยากจูบอีกรอบ " ผมรู้ในทันทีเลยว่าไอเด็กแสบนี่ตั้งใจจะปั่นประสาทให้เฟิร์สโกรธ และเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เมื่อคนที่เดินตามออกมาหันไปมองค้อนปานจะเข่นฆ่า


     " ตอนที่กูแพ้มึงครั้งที่แล้วเขาไม่ได้เรียกจูบปาก เขาเรียกว่าจุ๊บปาก อีกอย่างมึงจะจูบหรือจุ๊บกูอีกกี่พันทีกูก็หันไปชอบมึงไม่ได้หรอกว่ะ เสียใจด้วยนะไออุ่น " น้ำอุ่นได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมาเหนือ ๆ


     " พี่พูดแบบนี้แสดงว่าก็ดวลได้อะดิ งั้นครั้งหน้าพี่ไม่รอดแน่ เตรียมตัวไว้เลย "


     " หึ ถ้ามึงทำได้อะนะ " ผมว่าพลางเดินออกประตูมาพร้อมกับเฟิร์สที่ตอนนี้ดูเหมือนหัวของมันจะร้อนจนไหม้ซะแล้ว เอาเป็นว่าผมขอตัวไปดับไฟบนหัวของไอห่านี่ก่อนแล้วกันนะคร้าบ..


     ครั้งหนึ่งในอดีต ผมเคยท้าแข่งอาหารกับน้ำอุ่นจนแพ้ เด็กนั่นเลยขอจูบปาก เอ๊ย ! จุ๊บปากเป็นของรางวัล แต่ก็อย่างว่านั่นแหละครับ ผมไม่สามารถเปลี่ยนใจไปรักใครนอกจากเฟิร์สได้อีก หึหึ


####


     หลังจากที่เพลิงไฟป่าอันเร่าร้อนได้แผดเผาไปทั่วทั้งหัวไอเฟิร์ส เพราะมันได้รับรู้ถึงเรื่องราวในอดีตของผมว่าน้ำอุ่นเคยเอาปากมาจูจุ๊บ ลูกเขยคนใหม่ของบ้านผมก็ถึงขั้นอาละวาดประหนึ่งแม่งเป็นก๊อตซิล่าตัวบักเอ้ก ไล่ทำลายล้างตึกราวบ้านช่องจนพินาศย่อยยับ ส่วนอุลตร้าแมนอย่างผมบอกเลยว่าไม่สามารถปกป้องเมืองเอาไว้ได้ เพราะพี่แกดันเหวี่ยงผมซะปลิวหายไปในพริบตาว่าปล่อยให้เจ้าเด็กนั่นทำแบบนั้นได้ยังไง ผมบอกมันไปแล้วครับว่าก็ไม่ได้คิดอะไรด้วยเล้ยยยแม้น้ำอุ่นจะขอจุ๊บปากหรือทำอะไรมากกว่านั้น (ว่าแต่อะไรมากกว่านั้นแล้วมันคืออะไร ?) แต่ที่อธิบายมาจนละเอียดยิบแฟนผมมันฟังที่ไหนกันล่ะ ตอนนี้เดินงอนตุ๊บป่องกลับบ้านไปซะแล้ว เอาล่ะครับท่านผู้อ่าน พึ่งจะคบกันได้ไม่เท่าไหร่คุณสามีผมก็แผลงฤทธิ์ออกมาจนได้


     ด้วยเหตุนี้เองตัวการในความผิดอย่างผมก็ต้องทำหน้าที่ไปตามง้อแฟน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เคยทำ เอ...จะว่าไปก็ขอเม้าท์มอยเรื่องน้ำอุ่นสักหน่อยดีกว่า ผมบอกเลยนะครับถึงมันจะปั่นหัวเฟิร์สให้เสียเล่น ๆ เพื่อความสนุกหรือจุดประสงค์อื่นสักแค่ไหน เด็กนั่นก็ไม่มีวันเข้ามาอยู่แทนที่คนข้างในหัวใจของผมได้อย่างแน่นอน น้ำอุ่นเป็นคนเก่งจริง ๆ อย่างที่ผมเคยอวยไว้นั่นแหละ แต่ติดตรงที่ว่ามันเป็นคนที่อยากได้อะไร ไม่ว่าจะถูกหรือผิดศีลธรรม เด็กนั่นก็จะทำอย่างไม่สนใจใครเพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา และนี่ก็เป็นตัวอย่างแรกที่น้ำอุ่นทำให้ทุก ๆ ท่านดู เหอะ ๆ


     ผมเดินเข้ามายังหมู่บ้านของเฟิร์สที่ไม่กี่วินาทีก่อนได้ลงมาจากรถเมล์สายหนึ่ง พลางทักทายลุงยามของหมู่บ้านที่เฟิร์สเคยพามารู้จัก ก่อนจะเดินเข้าไปข้างในอย่างไม่เร่งรีบ คงใช้เวลาเดินสักพักนึงน่ะครับ เพราะหมู่จัดสรรแห่งนี้มันค่อนข้างอภิมหาใหญ่โตมาก ๆ ต้องรวยจริง ๆ ล่ะมั้งถึงซื้อได้ (บ้านเฟิร์สก็ร่วมยี่สิบล้านนะเออ !) จนเดินมาถึงสวนสาธารณะจึงคิดขำ ๆ ว่าเฟิร์สจะแอบมาหมกตัวอยู่ที่นี่มั้ยน้า เพราะเวลาที่มันมีเรื่องให้ต้องคิด เฟิร์สชอบหาสถานที่สงบ ๆ เพื่อไตร่ตรองตัวเองคนเดียวเงียบ ๆ อย่างที่คิงคองเคยบอกมา ผมเดินไปพลางชะโงกหัวเข้าไปพลางดูสมาชิกหมู่บ้านที่บังเอิญเจอเป็นคู่นักเรียนชายหญิงกำลังนั่งจู๋จี๋กันอยู่ แหม ก็ธรรมดาแหละครับ จะมานั่งสวีทกันสองต่อสองในที่ไม่มีคนแบบนี้ ได้บรรยากาศไปอี๊กกกกก ฮ่า ๆ เอ๊ะ ? แต่ลักษณะสองคนนั้นทำไมมันคุ้น ๆ


     ผมเดินลัดเลาะเข้าไปในพื้นหญ้าทันทีหลังจากเห็นเด็กนักเรียนสองคนนั้นกำลังพูดคุยกันอย่างสนิทสนม ด้านหลังของผู้ชายผมไม่ต้องอธิบายรูปลักษณ์เลยเพราะแม่งคือไอเฟิร์สไม่มีผิด แต่ผู้หญิงที่นั่งข้าง ๆ ในชุดนักเรียนโทนสีแดงคนนั้นถ้าจำไม่ผิด เธอเคยถ่อมาถึงหน้าโรงเรียนของผมเพื่อพบเจอเฟิร์สหนิ ทันทีที่ไขคำตอบว่าสองคนนั้นเป็นใคร ความรู้สึกโหวงเหวงในใจก็ปรากฏขึ้นมาทันที


     ผมยืนมองข้างหลังของสองนั้นราวกับกำลังหายตัวอยู่ สีหน้าของเฟิร์สที่หันข้างไปคุยกับผู้หญิงข้าง ๆ ชั่งมีความสุขอย่างไม่ต้องเติมแต่งใด ๆ เช่นเดียวกับเธอที่ยื่นแขนไปทุบตบตีไหล่เฟิร์สอย่างไม่ถือตัวราวกับมีความสัมพันธ์ในระดับหนึ่งที่สามารถทำอะไรแบบนี้ได้ ฟันผมคบเข้าหากันแน่นจนแทบแตกละเอียด เพราะรู้สึกตัวว่าทนดูสภาพตรงหน้าไม่ไหว ฝ่ามือที่เคยแบออกอย่างผ่อนคลายตอนนี้ก็จิกเข้าหากันจนเล็บแทบจะทะลุถึงเนื้อหนัง ตัวผมสั่นสะท้านจนเครื่องมือวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถวัดและอ่านค่าแรงสะเทือนได้


     ผมกล้ำกลืนฝืนทนดูสองคนนั้นกำลังสร้างความสุขแก่กันอยู่เนิ่นนานอย่างที่เขาทั้งคู่ไม่รู้ตัว พลางถามตัวเองว่ากำลังโกรธใครอยู่ เฟิร์สที่เคยสัญญากับผมว่าจะดูแลและรักผมตลอดไป หรือผู้หญิงคนนั้นที่เป็นใครไม่รู้ที่อยู่ดี ๆ ก็เข้ามาแทรกตรงกลางรักระหว่างเรา และถ้าเฟิร์สตัดสินใจเลือกเขาจริง ๆ แล้ว ผมก็ไม่มีสิทธิ์ไปแตะต้องหรือเรียกร้องอะไรได้อีก แม้ผมจะมอบพันธสัญญาให้แก่เฟิร์สในคืนนั้นอย่างไม่มีเงื่อนไขที่ซับซ้อนก็ตาม


     ในขณะที่ทบทวนเรื่องราวต่างของเฟิร์สที่เคยพูดเอาไว้กับตัวเอง ใบหน้าของผู้ชายที่เคยมองแต่คนข้าง ๆ ด้วยความสุขตอนนี้ก็เอี้ยวตัวกลับมามองผมด้วยท่าทีตกใจ ซึ่งมันเป็นในตอนที่ผมกำลังเดินออกจากตรงนั้นและจะไม่มีวันรอฟังแก้ตัวจากเฟิร์สอีก ผมนี่แม่งก็โง่เนอะ ปล่อยให้ตัวเองทนอยู่ในสภาพเจ็บปวดแบบนี้ได้


     " เดี๋ยวมิ้ลค์ ! หยุดก่อน !! " เฟิร์สวิ่งมารั้งแขนไว้ แต่ผมกลับสะบัดอย่างรุนแรงเพื่อให้พ้นกับพันธนาการนั่น


     " อย่ามายุ่งกับกู ! กูจะมาง้อมึงเรื่องน้ำอุ่นแท้ ๆ แต่มึงกลับมาทำกับกูแบบนี้อะนะ !? มึงจะไปไหนก็ไปเลย !! " ผมเหวี่ยงด้วยคำพูดใส่เฟิร์สอย่างรุนแรงก่อนจะเดินจ้ำ ๆ ออกไป ไม่มีอะไรเจ็บปวดหัวใจได้เท่าครั้งนี้อีกแล้ว ทำไมชีวิตผมต้องมาเจอกับคนที่เอาตัวเองมารองรับความรักอยู่ร่ำไปด้วยวะ !!!?


     " มึงฟังกูก่อนสิมิ้ลค์ ! " คราวนี้เฟิร์สฉุดแขนผมสำเร็จและยากที่ผมจะต้านทาน


     " กูไม่ฟัง !! ภาพตรงหน้ามันก็ฟ้องกูอยู่แล้วหนิ หึ สัญญาว่าจะดูแลกูเหรอ !? สัญญาว่าจะรักกูเหรอ !!? แต่มึงทำกับกูแบบนี้อะนะ !!!? "


     " เอ่อ...คือ " อยู่ดี ๆ หญิงนามปริศนาที่เคยนั่งอยู่กับเฟิร์สก็เดินมาเอ่ยปากแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ผมเลื่อนลูกตาไปมองเธออย่างเคืองโกรธก่อนที่เฟิร์สจะพูดขึ้น


     " เดียร์ ให้เราจัดการเองเถอะ มิ้ลค์มันกำลังเข้าใจผิด " คนที่ทำผมเจ็บใจอยู่ตอนนี้ตัดบทหญิงนามนั้นลง มันเป็นในตอนที่ผมฉวยโอกาสสะบัดฝ่ามือออกแต่ก็ไม่เป็นผล


     " เฟิร์ส ให้นาเดียร์พูดเถอะนะ แล้วก็ปล่อยมิ้ลค์ด้วย " คนที่ตรึงข้อมือผมมองผู้หญิงใกล้ ๆ ด้วยใบหน้าครุ่นคิดก่อนจะปล่อยตามคำขอ เฟิร์สไม่รั้งผมไว้แล้ว แต่ตัวเองไม่มีอารมณ์จะไปมองหน้ารอฟังคำแก้ตัวของผู้หญิงคนนี้สักเท่าไหร่ เลยได้แต่ยืนเสตามองไปทางอื่นอย่างไม่สนใจ


     " มิ้ลค์ เราชื่อนาเดียร์นะคะ เราเป็นเพื่อนบ้านของเฟิร์สมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว ที่ช่วงนี้เรามาหาเฟิร์สถึงโรงเรียนบ่อย ๆ ก็เพราะมิ้ลค์นั่นแหละค่ะ " เพราะผม ? ทำไมเหตุผลที่เธอติดตามเฟิร์สถึงเป็นผมล่ะ ?


     " เพราะเรา ? แล้วเราไปเกี่ยวอะไร ? " ถึงตรงนี้นี่เองผมถึงกล้าไปสบตาผู้หญิงที่ชื่อนาเดียร์ หรือจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้จะจีบเฟิร์ส แต่เป็นผม !?


     " เราตามมาจากคลิปวิดิโอที่เฟิร์สขอมิ้ลค์คบนั่นแหละค่ะ เธอเป็นเคะที่โคตรแรร์มากเลยนะ ทั้งขาว สูง หน้าหวาน ไม่เตี้ยผอมบางเหมือนเคะปกติอีก พูดแล้วก็อยากกรี๊ด อร๊ายยยยย " คอผมหมุนไปหาเฟิร์สอัตโนมัติด้วยสีหน้ามึนงง เคะคืออารายว้าา แล้วเธอก็พูดต่อ


     " อ๋อ เราเป็นสาววายน่ะ เราเป็นประชากรที่จ้องให้ผู้ชายได้กันเอง เราไม่ได้มีเจตนาจะแย่งเฟิร์สไปจากเธอเลยนะ เราแค่อยากเห็นหน้าเธอเป็นบุญตาก็เท่านั้นเองล่ะจ่ะ " สาววาย เคะ อยากเห็นผู้ชายได้กันเอง แล้วก็อยากเห็นหน้ากู อะไรวะเนี่ย !!!!!?


     " ตากี้ที่มึงเห็นกูกับเดียร์นั่งด้วยกันก็เพราะกูปรึกษาเรื่องไอเด็กน้ำอุ่นเมื่อเย็นนั่นแหละ มันไม่มีอะไรเหมือนที่มึงคิดหรอกนะมิ้ลค์ " โอ้ไม่นะ ทุกอย่างผมล้วนคิดไปเองเหรอ !!? โอ๊ยย ผมหมดแรงจนเข่าทรุดไปในพริบตา


     " ขอโทษนะมิ้ลค์ที่ทำให้เข้าใจผิดน่ะ เราไม่ได้จะทำในสิ่งที่เธอคิดเลยนะ " เอาแล้วไงไอมิ้ลค์ ตากี้มึงเล่นบทนางเอกวีนแตกได้โหดสัดรัฐเซียมาก จากนี้มึงจะเอาไงต่อล่ะ ฮืออออออ กูขอแทรกแผ่นดินหนีไปตอนนี้เลยได้ม้ายยยย


     " เดียร์ เธอมีธุระกับเพื่อนต่อไม่ใช่เหรอ ? ที่เหลือเดี๋ยวเราจัดการเอง มีแฟนแปรปรวนทางอารมณ์ก็งี้แหละ หึหึ " ผมไม่กล้าสบตาใครทั้งนั้นแล้วตอนนี้เพราะอายชิบหายยยย " ยังไงเรื่องที่ปรึกษาตากี้ก็ขอบคุณมากนะ ช่วยได้เยอะเลย "


     " จ่ะ งั้นเดี๋ยวเราขอตัวเลยนะ รักกันนาน ๆ ด้วยล่ะ เราเป็นแฟนคลับอยู่นะ ฮ่า ๆ บ้ายบาย " แล้วฝีเท้าใกล้ ๆ ที่ผมเห็นของเธอจากหางตาก็เดินจากไป ก่อนเฟิร์สจะย่อเข่าลงมานั่งยอง ๆ ด้วยเล่ห์ยิ้ม


     " ไงไอง่องแง่ง เล่นใหญ่เชียวนะมึง หึหึ " ถึงหน้าจะแตกจนกลายเป็นผุยผงยังไง แต่ก็สบายใจแบบโคตร ๆ เลยว่ะที่เฟิร์สไม่ได้เป็นแบบที่ผมคิดจริง ๆ


     " ฮือออออ เฟิร์สสส กูนึกว่ามึงจะทิ้งกูซะแล้ว " ถึงตรงนี้ผมปล่อยโฮออกมาพลางกระโดดไปกอดคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่โล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เฟิร์สหัวเราะอย่างสบาย ๆ ให้กับความคิดของผมที่มโนไปต่าง ๆ นานา


     " กูไม่ทิ้งมึงไปมีใครที่ไหนหรอก คราวหน้าคราวหลังเห็นกูอยู่กับใครที่ไหนก็ถามก่อน เข้าใจเปล่า ? " ผมพยักหน้าในอ้อมอกของมันที่น้ำตายังไหลไม่หยุด


     " กูนึกว่ามึงเห็นกูง่ายเกินไปเลยเบื่อ จนแอบไปมีคนอื่น ฮึก กูกลัวมากเลยนะที่ทำให้ตัวเองเป็นทางเลือกสุดท้ายให้มึงไม่ได้ ฮือออ" ผมรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ เพราะสิ่งที่เคยให้เฟิร์สในครั้งก่อนกลัวว่ามันจะได้ไปง่าย ๆ และทิ้งไปง่าย ๆ เช่นกัน


     " โธ่ไอขี้แย มึงรู้มั้ยว่าคนที่กูคบมาทั้งหมด มึงเนี่ยแหละรับมือยากที่สุด แล้วอย่าได้คิดอีกนะว่ากูได้ใครแล้วจะทิ้งไปง่าย ๆ ยิ่งเป็นมึงด้วยแล้วอย่าได้คิดเลย กูจะรักษามึงเป็นอย่างดี ใครมาแตะเนื้อต้องตัวมึงเมื่อไหร่กูยิงทิ้งแน่ โดยเฉพาะไอน้ำอุ่น " เฮ้อออ สบายใจแล้วที่ได้ยินคำพูดจากเฟิร์สแบบนี้


     " กูไม่ได้คิดอะไรกับน้ำอุ่นจริง ๆ นะ "


     " อื้ม รู้แล้วไอเด็กน้อย " เฟิร์สลูบหัวผมประกอบ


     " จะไม่ทิ้งกูไปไหนนะ ? " ผมกระอ้อมกระแอ้มถามเสริมความมั่นใจในตัวมัน แม้คำตอบจะทราบดีอยู่แล้ว


     " เออ ไม่ทิ้งแน่นอน "


     " มึงจะรักกูคนเดียวใช่มั้ย ? "


     " กูจะไม่ให้ใครมารักมึงนอกจากกูเลย "


     บางทีผมก็ด่าใครว่าเป็นเด็กไม่รู้จักโตไม่ได้หรอก ถ้ายังงอแงกับเฟิร์สอยู่แบบนี้ :')


- Not to be unlocked -

ออฟไลน์ LKPOW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Not to be unlocked : Episode 41 : วุ่นวายที่ค่ายเชฟ Day 1


     ในที่สุดชีวิตช่วงบั้นปลายก่อนจะสอบไฟนอลของผมก็เดินทางมาถึงวันค่ายเชฟแบบฉับไวเหมือนโดนหลอกสักที ก่อนผมจะเดินทางมาถึงเช้าวันเสาร์แบบนี้ได้ ในวันปกติที่แสนสงบสุขพักหลัง ๆ นี้ก็เริ่มจะมีไอเด็กน้ำอุ่นเข้ามาราวีชีวิตอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเดินมึนเข้ามาร่วมโต๊ะกินข้าวกับผมหน้าตาเฉย วิ่งแทด ๆ เข้ามาเตะบอลด้วยกัน รวมไปถึงสะเออะเดินมาแทรกกลางระหว่างผมและเฟิร์สที่กำลังกลับบ้านแทบทุกวัน ! ครั้นตอนรู้จักกันใหม่ ๆ น้ำอุ่นไม่เคยเป็นแบบนี้นะครับ แต่ทำไมช่วงพักหลังแม่งน่ารำคาญขั้นอยากจะยกขาขึ้นมาถีบแล้วเนี่ย เฮ้อออออ ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่แปลกว่ะที่เฟิร์สไม่มีปฏิกิริยาหึงหวง หรือว่าปล่อยพลังงานด้านลบรอบตัวออกมาเมื่อเด็กนั่นจ้องจะแดกผม ถ้าให้สันนิษฐานความเป็นไปได้เกี่ยวกับมัน เฟิร์สคงจะเอาเรื่องเกี่ยวกับผมไปปรึกษาเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างนาเดียร์จนได้คำแนะนำดี ๆ มาพึงปฏิบัติเป็นแน่ และหลาย ๆ วันที่น้ำอุ่นเข้ามาวอแวผม เฟิร์สก็จะทำเป็นไม่สนใจราวกับเด็กม.4 ขี้คนเสือกคนนั้นเป็นฝุ่นผง จนสามารถเมินไปในที่สุด ไม่น่าเชื่อนะครับว่าคนขี้หึงแบบมันจะทำอะไรยาก ๆ อย่างนี้เป็นด้วย หึหึ เหนือความคาดหมายจริง ๆ


     หลังจากคุณขวัญบึง BMW มารับผมถึงหน้าบ้านและมีเฟิร์สพ่วงมาด้วย เพื่อจะพาเราไปส่งถึงมหาวิทยาลัยที่จัดค่ายเชฟ ตอนนี้ผมก็มาถึงจุดหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมยกสองมือขึ้นกราบกรานคุณขวัญในความกรุณาที่มารับมาส่ง แถมอนุญาตให้หยุดงานอย่างไม่ยากเย็น ก่อนผมจะก้าวขาลงไปพร้อม ๆ กับลูกชายของเขา เราสองคนยืนโบกมือบ้ายบายคุณขวัญที่แล่นรถออกไป แล้วจึงพากันเดินผ่านประตูรั้วเข้ามายังข้างในกันอย่างหน้าชื่นตาบาน ^^


     สำหรับค่ายนี้อย่างที่เคยบ่น ๆ ให้ฟังครับว่าเป็นค่ายเชฟที่จะฝึกทักษะทางด้านการทำอาหาร ฝึกอบรมการเรียนการสอนภาคปริญญาตรี เพื่อให้เป็นแนวทางในการศึกษาต่อของบุคคลที่สนใจจะศึกษาที่นี่ อ้อ ! สำหรับค่ายนี้ระยะเวลาทั้งสิ้นจำนวนสองวันครับ มีเซอร์วิสที่พักเป็นโรงแรมของทางมหาวิทยาลัย (ได้ข่าวว่าหรูโคตร) และอุปกรณ์ในการเรียนการสอนอีกมากมาย อย่างงี้สิถึงเรียกว่าคุ้มกับค่าเสียหายที่โดนไป ฮ่า ๆ เสียตังทั้งทีก็อยากได้อะไรคุ้ม ๆ อะเนอะ เราสองคนที่เดินชมนกชมไม้ข้างทางโดยมีกระเป๋าเป้คนละใบเกาะอยู่ด้านหลัง กำลังเดินทางไปยังสถานที่ที่พี่ค่ายเขานัดกันครับ อืมมมม จะว่าไปตึกการเรียนการสอนของเขาใหญ่พอสมควรเลยน้าา เห็นว่ามหาวิทยาลัยนี้เด่นเรื่องอาหารซะด้วย ถ้าผมจบจากที่นี่ไปคงได้เป็นเชฟระดับโลกแน่ ๆ เลย หึหึ


     " พี่มิ้ลลลลลลลลค์ ! น้ำอุ่นอยู่นี่ !! " หลังจากที่ผมและเฟิร์สกำลังมั่วเส้นทางเดินเรือภายในตัวมหาวิทยาลัยไปยังสถานที่ที่พี่ค่ายเขานัด เสียงอันคุ้นเคยและน่ารำคาญก็ขานชื่อผมดังลั่นมาจากบริเวณตึกด้านซ้ายมือ เป็นน้ำอุ่นครับที่เขย่งตัวโบกมือดึ๋ง ๆ อยู่ สงสัยพี่เขาจะนัดตึกนั้นหรือเปล่านะ ? แต่สิ่งที่ผมกำลังจะเดินไปถามน้ำอุ่นน่ะไม่ใช่คำถามนี้หรอก


     " แล้วมึงมาโผล่อยู่นี่ได้ไงวะ ? " ผมไม่คิดไม่ฝันหรอกว่าเด็กนั่นจะมาสนใจกิจกรรมที่ทางมหาวิทยาลัยนี้จัดขึ้นกับเขาเช่นกัน หึ ก็ได้ไปโกอินเตอร์ถึงอเมริกาแล้วนี่หว่า กิจกรรมเสริมความรู้แบบนี้คงจะเทียบไม่ติด


     " อุ่นก็ว่าจะไม่มาหรอก ค่ายเชฟนี้มันก็ไม่ได้สอนอะไรอุ่นมากเท่าไหร่ แต่เห็นว่าพี่มิ้ลค์มาก็กลัวว่าใครจะมาทำร้าย อุ่นเลยลงชื่อมาปกป้องพี่มิ้ลค์ไง " เหอะ คนปกป้องกูก็ยืนจ้องมึงอยู่ข้างหลังนี่ไงไอน้ำอุ่น จะพูดอะไรไว้หน้าแฟนกูหน่อยมั้ย ?


     " เอาเหอะ ว่าแต่เขาลงทะเบียนค่ายกันข้างในปะวะ ? " ที่ผมถามแบบนั้นเพราะได้ยินเสียงเหมือนมีคนกำลังทำกิจกรรมอยู่ข้างในเล็ดลอดออกมาเป็นระยะ ๆ


     " ใช่ครับ นี่อุ่นก็เข้าไปทะเบียนมาแล้ว เขามีป้ายชื่อแจกด้วยนะ ดูสิ ๆ พี่มิ้ลค์ " น้ำอุ่นมันหยิบป้ายชื่อสีแดงแปร๊ดที่ห้อยคอขึ้นมาอวดผม ดูมึงตื่นเต้นดีกับป้ายกิ๊กก๊อกอันนี้ดีเนอะ


     " เออ งั้นพากูไปลงทะเบียนหน่อยสิ " ได้ยินดังนั้นน้ำอุ่นมันก็คึกขึ้นมาทันใด


     " คร้าบบบบบ " ว่าแล้วเด็กตัวขาวส่วนสูงเทียบไหล่ผมก็เดินนำเข้าไปยังด้านใน ปล่อยให้ผมได้มีจังหวะสบตากับเฟิร์สปิ้ง ๆ


     ยังดีครับที่เฟิร์สยิ้มสบาย ๆ อยู่..


     ผมเดินตามเสียงฝีเท้าของน้ำอุ่นที่นำลิ่วไปไกล ทั้งเลี้ยวซ้าย ขึ้นบันได เดินตรง เลี้ยวขวา โอ๊ยยยย มึนทางโว้ยยย จนมาถึงบริเวณโล่งกว้างแห่งนึง ละแวกนี้เต็มไปด้วยพี่สต๊าฟในชุดโปโล อันมีตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยกำกับอยู่บริเวณอก อีกทั้งผู้คนมากหน้าหลายตาที่อายุน่าจะราว ๆ เดียวกับผมนั่งเข้าแถวกันอย่างมีระเบียบ ทุกคนทำหน้ายิ้มแย้มแจ๋มใสรับพี่พิธีกรที่สันทนาการอยู่ด้านหน้า ตื่นเต้นดีนะครับที่ได้มาเจอเพื่อน ๆ ต่างโรงเรียนเยอะแยะแบบนี้ เปิดประสบการณ์ใหม่แบบสุด ๆ ไปเลยล่ะ !


     " น้องมาใหม่เชิญด้านนี้เลยคร้าบบ " เสียงเรียกของพี่สต๊าฟผู้ชายท่านหนึ่งที่นั่งคู่กับพี่ผู้หญิงโต๊ะลงทะเบียน เรียกให้ผมและเฟิร์สเดินเข้าไปหา " ชื่ออะไรกันคะ ? " เขายิ้มกันสองคนแบบมีเลศนัยอย่างนี้นี่หมายความว่ายังไงฟร้ะ ?


     " คนหล่อ ๆ นี่กฤเดช ไชยวัตรครับ " ไอน้ำอุ่นมาจากไหนไม่รู้เดินเข้ามาตอบแทนผม ไอห่า ! เขาถามกูมั้ยล่ะ !? แล้วกูเห็นคนที่มีป้ายชื่อไปนั่งสันทนาการกับพี่ ๆ เขา แต่ไหนคุณมึงกลับมาเดินตามกูเป็นหมาเลยล่ะ ?


     " แล้วน้องสุดหล่อคนนั้นล่ะคะ ? " พี่ผู้หญิงตัวเล็กคนนี้เขาดูจะสนใจเฟิร์สด้วย เอาเป็นว่าผมขอแสดงความเป็นเจ้าของหน่อยแล้วกัน


     " คนนี้นภัตร เหล่าสุขล้นครับ " พี่สต๊าฟชายหญิงหันมาเลิกคิ้วให้กัน ก่อนจะควานหาอะไรบางอย่างในกล่องข้างตัว


     " น้องมิ้ลค์และน้องเฟิร์สจากโรงเรียน xxx เนาะ " พี่ผู้หญิงส่งป้ายชื่อมาให้ผมที่พื้นหลังเป็นสีแดง ส่วนของเฟิร์สน่ะสีเขียว " เดี๋ยวคล้องป้ายชื่อแล้วไปนั่งตามสีเลยนะคะ ทางค่ายจะสันทนาการเราก่อน แล้วเดี๋ยวพี่ ๆ จะพาไปที่พักนะ " อ๋ออออ อย่างนี้นี่เอง ที่สีของแต่ละคนไม่เหมือนกันคงอารมณ์จะประมาณว่ามีกีฬาสีขนาดย่อม ๆ สินะ


     " ขอบคุณครับพี่สาว " พี่ผู้หญิงเขายิ้มเคลิบเคลิ้มก่อนที่ผมจะลากตัวเฟิร์สเพื่อปลีกมาคุยกันสองคน แต่หางตาดันเห็นเห่าฉลามที่ว่ายตามติดตัวมาด้วยเสียก่อน


     " ไม่ต้องตามมาเลยน้ำอุ่น ไปนั่งรอโน้น " ไอเด็กนี่ก็จะตามผมตลอดเวลาเลยรึไง ? นี่แฟนกูนะ ไม่คิดว่าที่มึงทำอยู่มันจะล่วงเกินเลยรึงายยยยยย


     ผมลากเฟิร์สมายังด้านนอกในขณะที่พี่สันฯ กำลังเรียกเสียงหัวเราะจากเด็กทุกคน แต่เดี๋ยวผมไปร่วมกิจกรรมนะครับ ขอคุยธุระกับแฟนแป๊ปปป


     " เอา ใส่ซะ " ผมคล้องป้ายชื่อให้คนตรงหน้าก่อนจะใส่ให้กับตัวเอง


     " มีไรอะ ไม่ไปต่อแถวเหรอ ? " เฟิร์สขมวดคิ้วอย่างคนสงสัย เออน่า กูขอคุยอะไรด้วยหน่อย


     " นี่ กูพอจะเดาได้แล้วล่ะว่าเราต้องแยกไปทำกิจกรรม คงไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดนะ " เฟิร์สพยักหน้ารับอย่างไม่สงสัยอะไรเพิ่มเติม ปกติมันต้องอาละวาดแล้วนี่หว่า


     " อื้ม "


     " แล้วป้ายชื่อที่กูได้เนี่ยมันสีเดียวกันกับน้ำอุ่น มึงไม่ต้องห่วงนะว่ากูจะโดนไอเด็กนั่นมันเล่นงาน วางใจไว้ได้เลย กูดูแลตัวเองได้ " นี่คงเป็นคำปฏิญาณของอดีตลูกเสือสามัญอย่างผมที่จะทำให้เฟิร์สสบายใจได้ล่ะนะ


     " กูไว้ใจมึงตั้งแต่ตามมาง้อเรื่องน้ำอุ่นแล้ว กูรู้ใจลึก ๆ ของมึงว่าเลือกใคร มึงไม่ต้องสัญญาอะไรกับกูทั้งนั้นแหละ " ได้ยินแบบนี้ผมก็อุ่นใจไปได้เยอะเลย ไม่รู้สองวันนี้ผมจะได้อยู่กับเฟิร์สกี่ชั่วโมง กี่นาที กี่วินาที


     " แล้วถ้ากูโดนมันจูบล่ะ ? " แต่ไหน ๆ มึงก็ไม่กังวลอะไรกูมากแล้ว ขอลองใจสักหน่อยแล้วกัน ฮ่า ๆ


     " คืนนี้กูจะจัดการมึงไม่ให้หลับถึงเช้าเลยคอยดู " โหยยยยยยยยยย ผมก็เชื่อสนิทใจว่ามันจะละทางโลกปล่อยให้ดูแลตัวเองได้ซะแล้ว บรึ๋ยยยยย นึกถึงขนาดลูกชายของไอเฟิร์สแล้วก็จุกท้องน้อยขึ้นมาแปลก ๆ ยอมแล้วคร้าบบบบคุณผัว..


     พอผมเดินเข้ามายังโซนที่พี่ค่ายกำลังสันทนาการอยู่ สายตานับร้อยก็จ้องมายังเราเขม่น ผมมองหน้าเฟิร์สอย่างไม่รู้จะทำยังไงต่อก่อนจะเดินเลี่ยง ๆ ไปเข้าแถวตามที่พี่โต๊ะลงทะเบียนบอก


     แต่คงได้ไปต่อแถวนั่งแล้วล่ะ ถ้าไม่มีเสียงเด็กเวรจากด้านหน้าที่พี่ค่ายเขาสันฯ อยู่เรียกให้หยุด


     " พี่มิ้ลค์ ! มานี่เลย !! " ผมกลืนน้ำลายฝืดคอหันหลังไปมองน้ำอุ่นที่กวักมือยิก ๆ ด้วยความเคือง เช่นเดียวกับพี่ผู้ชายที่กระดิกมือถี่ไม่แพ้กัน อยากเดินไปโบกหัวไอน้ำอุ่นเดี๋ยวนี้เลยว่ะท่านผู้อ่าน


     " ค่ะ...ครับ " ขาทั้งสองที่หมายจะไปเสียบท้ายแถวของสีแดงตอนนี้ต้องเดินไปหาพี่เขาอย่างจำนน อยู่ดี ๆ พี่สันฯ คนนั้นก็แหกปากออกมา


     " น้องชื่ออะไร !? น้องชื่ออะไร !? " ตอนนี้ไม่ว่าจะพี่ค่ายหรือลูกค่ายทุกคนต่างก็ปรบมือและร้องออกมาเป็นจังหวะจนผมและเฟิร์สงงไปตาม ๆ กัน ผมหยิบป้ายชื่อที่ห้อยโตงเตงอยู่บนคอนี้ขึ้นมาให้ทุกคนได้ประจักษ์


     " มิ้ลค์ครับ "


     " โหยยยยยยยยยยย " เสียงกู่ร้องไม่พอใจของพี่ ๆ ขาหมายความว่าอารายยย จะเอายังไงก็บอกผมเส้


     พี่เขาเดินมากระซิบผมและเฟิร์สใกล้ ๆ " เราสองคนต้องบอกว่า ผมชื่อมิ้ลค์ ผมชื่อมิ้ลค์ ชอบทำท่าอย่างงี้ ๆ " เดี๋ยว !!! ต้องอวดลีลาท่าทางอุบาทว์แบบพี่ด้วยเหรอ !!? ม่ายยยยยยยย


     " เอาจริงเหรอพี่ !? " โอ้ไม่นะ ผมไม่สามารถเต้นแร้งเต้นกาได้เลยถ้าน้ำเมายังไม่ออกฤทธิ์


     " เอาจริงดิ น้องน้ำอุ่นเขายังทำได้เลย " พอฟังพี่เขาพูดจบผมก็หันหน้าไปมองน้ำอุ่นแบบอึ้ง ๆ มึงไม่ต้องมาทำหน้าเหนืออวดกูเลยไอเด็กเวร


     " ครับ " พี่คนที่ชี้ทางธรรมแก่ผมตากี้เดินจากไปก่อนจะแหกปากร้องเพลงออกมาอย่างเก่า


     " น้องชื่ออะไร !? น้องชื่ออะไร !? " อันนี้กูต้องบอกชื่อตัวเองใช่มั้ย ?


     " ผมชื่อมิ้ลค์ ผมชื่อมิ้ลค์ " ส่วนอันต่อไปกูต้องเต้นสินะ


     " ชอบทำท่าอย่างงี้ ๆ "


     " อร๊ายยยยยยย กูเอาคนนี้ !! " ทุกคนต่างหัวเราะครืนเมื่อพี่กะเทยตัวอ้วนด้านหลังคนหนึ่ง ตะโกนออกมาตอนที่ผมโยกเอวไปด้านหน้าและหลังประหนึ่งกำลังทำอะไรมิดีมิร้ายกับอากาศ


     " น้องชื่ออะไร !? น้องชื่ออะไร !? " คราวนี้เป็นทีของเฟิร์สบ้าง ไหนขอดูหน่อยเถอะว่ามึงจะรังสรรค์ออกมาเป็นท่าไหน


     " ผมชื่อเฟิร์ส ผมชื่อเฟิร์ส ชอบทำท่าอย่างงี้ ๆ "


     " ฮิ้วววววววววว " ในขณะที่ทุกคนหัวเราะชอบใจแต่คงมีผมนี่แหละดันอ้าปากค้างแทน เพราะท่าของมันเหมือนกับตัวเองเดี๊ยะ แต่แม่งเพิ่มรายละเอียดโดยการซอยหน้าหลังแบบรัว ๆ ไม่มียั้ง ผมไม่รู้หรอกนะว่าคนอื่นคิดยังไงกัน แต่ไอการที่เฟิร์สซอยเอวรัว ๆ อย่างไม่อายใครแบบนี้ แม่งปลุกความรู้สึกเจ็บจากด้านหลังตัวเองขึ้นมาแปลก ๆ ว่ะ


     น่ากลัว..


####


     หลังจากที่ลูกค่ายอย่างเรา ๆ แยกตัวกับพี่ฝ่ายสันทนาการและได้รับชุดเชฟแบบพร้อมเข้าไปทำลายข้าวของภายในครัวกันแล้ว ผมกับเฟิร์สและเพื่อนคนอื่น ๆ ที่ได้ทำความรู้จักกันตั้งแต่ต้น ก็เดินทางไปยังโรงแรมของทางมหาวิทยาลัยที่มีไว้สำหรับบริการพวกเราทันที ทางค่ายเขากำหนดไว้ครับว่าห้องนึงสามารถนอนได้แค่สองคนเท่านั้น ทำให้ต้องโบกมือบ้ายบายน้ำอุ่นที่เถียงหัวชนฝาว่าจะนอนกับผมให้ได้ เหอะ ๆ นับวันไอเด็กนี่ชอบลามปามผมเข้าไปใหญ่แล้วนะ พอผมและเฟิร์สแบกสัมภาระมาถึงห้องพักก็ต้องมาตกตะลึงในความหรูหรา ที่เขาจัดองค์ประกอบของเฟอร์นิเจอร์ไว้ครบครันดุจเป็นโรงแรมห้าดาวยังไงอย่างงั้น ทีวีสี่สิบแปดนิ้ว โซฟายาว เตียงสปริงคิงไซส์ อ่างอาบน้ำขนาดมหึมา โอ้วววววว เยอะโคตรรร ผมว่าไม่เข้าแล้วดีกว่าค่ายเชฟน่ะ ขอนอนพักผ่อนที่นี่ยาวเลยแล้วกัน ฮ่า ๆ


     พอจัดข้าวของส่วนตัวเสร็จสิ้น ผมก็ทำตามคำสั่งของพี่ค่ายทันทีว่าให้เราไปยังห้องอาหารด้านล่าง เพราะทางโรงแรมได้จัดเตรียมมื้อเช้าไว้บริการ ผมและเฟิร์สลงลิฟต์มาจากชั้นห้าเพื่อจะหาอะไรกินรองท้องสักหน่อย แต่ก็ต้องมาสะดุดตากับไอคนที่คิดว่ามันจะน่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรของตัวเองแล้วล่ะ ยืนเสนอหน้าต้อนรับอยู่ไม่ไกล น้ำอุ่นยิ้มแป้นก่อนจะวิ่งมาลากแขนผมต่อหน้าต่อตาเฟิร์สเข้าไปเลือกอาหารบุฟเฟ่ต์ที่เขาจัดเตรียมไว้ให้ เหอ ๆ เฟิร์สมันคงจะไม่คิดอะไรมากแล้วมั้ง พอมาถึงห้องอาหารทุกอย่างที่เขารังสรรค์ให้ล้วนเป็นอะไรที่คัดกรองจากวัตถุดิบที่มีคุณภาพจริง ๆ ทั้งสลัดบาร์ โซนของหวาน โซนอาหารเช้า โอ้วมายก๊อตตตต ผมรักโรงแรมนี้ไปสุดขั้วหัวใจแล้วว่ะ นับว่าค่ายที่ผมมาครั้งนี้เขาดูแลพวกเราดี (เกินไป) มากครับ สมกับเงินทุกบาททุกสตางค์ที่เสียไปจริง ๆ


     หลังจากท้องผมอิ่มแปล้โดยมีน้ำอุ่นป้อนโน่นป้อนนี่มาใส่ปากและมีเฟิร์สนั่งจ้องอยู่ใกล้ ๆ ด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ทางพี่เขาก็จัดการเรียกพวกเราให้รวมกันอยู่แบบคณะสีอีกครั้งในเวลาสิบโมงกว่า พี่โต้ง (นักเรียนเชฟคนหนึ่ง) เขาอธิบายว่าต่อจากนี้จะเป็นการเรียนการสอนในคลาสอาหารยุโรป พี่โต้งพาพวกเราทั้งสี่สีมายังห้องสาธิตขนาดใหญ่ที่ด้านหน้าห้องจะเป็นสเตชั่นสำหรับการสอน และผมก็คงหนีไม่พ้นเจ้าน้ำอุ่นไปนั่งตรงอื่นนั่นแหละครับ เลยได้แต่ทำใจฟังที่พี่เขาพร่ำอธิบายอยู่ด้านหน้าโดยมีเพื่อนชายคนใหม่หน้าตาดีอย่างลุค เป็นผู้ร่วมชะตากรรมในครั้งนี้ด้วย


     จนในที่สุดสี่สิบนาทีสำหรับคาบทฤษฎีการทำอาหารยุโรปของผมก็จบลง คราวนี้ก็ถึงเวลาจริง ๆ ที่ต้องไปปฏิบัติกันแล้ว พี่โต้งเขาให้ทุกคนจัดทีมย่อยภายในสีทีมละสามคน (เอาลุคและน้ำอุ่นนี่แหละ) พอได้สมาชิกครบแล้วก็เดินออกมารับกระดาษเมนูด้านหน้าและวิ่งไปยังสเตชั่นสำหรับทำอาหาร โดยตั้งอยู่ห้องข้าง ๆ


     ทีมผมได้ทำกราแตงครับ น้ำอุ่นมันบอกเมนูนี้ไม่ได้ยากเลยเพราะตั้งแต่บินไปอยู่เมืองนอกเมนูนี้ถือว่าคลาสสิคที่สุด แถมมันยังเถียงอีกนะว่าในสูตรไม่อร่อยเท่ามันทำด้วย แหมไอเด็กปากดี ! ด้วยความเหม็นขี้ฟันและอยากเห็นสกิลที่น้ำอุ่นไปร่ำเรียนมา เราสามคนก็ถึงเวลาอวดฝีไม้ลายมือในการทำอาหารซะที ! ลุคเป็นคนอาสาเดินไปหยิบวัตถุดิบที่พี่ค่ายจัดเตรียมให้ครับ น้ำอุ่นเป็นคนตรวจเช็กอุปกรณ์ ส่วนผมซัพพอร์ตโดยการยืนดูอยู่เฉย ๆ เหอะ มันทำได้แค่นี้จริง ๆ เพราะไม่อยากจะเชื่อเลยว่ะ ว่าคนที่ไม่เคยเห็นทักษะในการทำอาหารอย่างลุค และน้ำอุ่นที่ไม่เคยเห็นมาตั้งนานนม ฝีมือของสองคนนั้นจะเทียบกับคนที่เรียนทางด้านอาหารมานับหลายปี พอสองคนนั้นเสร็จกิจจากหน้าที่หลักก็นำข้าวของทุกอย่างมาหั่นตัดแต่งก่อนจะลงมือทำในส่วนต่อไป เราสามคน (ผมพึ่งมีหน้าที่โดยการบริหารส่วนต่าง ๆ ก็ตอนนี้นี่แหละ) โคเวอร์งานกันดีมาก จนพี่ค่ายที่คอยเดินช่วยให้คำแนะนำแก่นักเรียนต้องมายืนดูในการผสานงานอันดีเยี่ยมอย่างมิอาจจะละสายตา เวลาผ่านไปไม่นานเท่าไหร่จากที่พี่เขากำหนดว่าหนึ่งชั่วโมง ตอนนี้กราแตงของทีมผมก็พร้อมเสิร์ฟให้พี่เขาได้ลองชิมเป็นที่เรียบร้อย..


     ผลปรากฏออกมาว่าพี่เขาค่อนข้างชื่นชอบในอาหารของเราที่สามารถทำเสร็จได้ภายในไม่กี่นาทีนี้ครับ ! ความอร่อย ความคิดสร้างสรรค์ในการจัดจาน พี่ ๆ บอกว่าไม่รู้จะหาคำพูดไหนมาชมเราแล้วจริง ๆ ฟีดแบคตอบกลับมาดีก็ใจชื้นแล้วแหละ ที่สมาชิกทีมมีสกิลในการทำอาหารเกินความคาดหมายไปไกลมาก และสิ่งที่เหนือความคาดหมายมันก็เกิดขึ้นกับผมอีกครั้งเมื่อน้ำอุ่นมัน..


     กระโดดมาหอมแก้มให้รางวัลผมสำหรับหัวหน้างานในการสั่งการความราบรื่นในทีม..


     เฮ้อ...กูล่ะเซ็งกับมึงจริง ๆ


     หลังจากเสร็จสิ้นคลาสยุโรปพี่ ๆ ค่ายก็พาพวกเรากลับมายังห้องอาหารในโรงแรมอีกครั้งเพื่อรับประทานมื้อกลางวัน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมโต๊ะข้าง ๆ หรือคนที่กำลังทานอาหารมื้อนี้อยู่จะมองผมด้วยสายตาแปลก ๆ เหอ ๆ ก็ไอที่เขามองกันก็เพราะรู้ข่าวว่าเจ้าน้ำอุ่นเนี่ยมันหอมแก้มผมโชว์ในที่สาธารณะ แถมได้ยินอีกนะว่ามีการสร้างแฮ็กแทค #น้ำอุ่นมิ้ลค์ และจับผมจิ้นอีกต่างหาก ผมไม่ได้ตกใจว่าทำไมน้ำอุ่นมันถึงกล้ากระโดดมาหอมแก้มนะ แต่ตกใจที่ว่าทำไมข่าวมันแพร่กระจายไปไวกว่า C-virus ใน Residen Evil ซะอีก แรก ๆ ก็ไม่ค่อยกล้าสู้หน้าไอเฟิร์สหรอกพอทราบข่าวว่าเป็นอย่างนั้น แต่พอเห็นมันยิ้มออกมาสบาย ๆ อย่างคนไม่คิดอะไรก็โล่งใจไปได้ทีเดียว เฮ้อออ ผมเดาไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าตบะไอเฟิร์สมันจะแตกตอนไหน


     พอเสร็จธุระจากโรงแรมพี่ ๆ ก็พาเราคัมแบ็คมายังห้องสาธิตอีกครั้ง รอบบ่ายวันนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรมากครับ คือจะเป็นกิจกรรมแข่งขันการทำอาหารตามฉลากวัตถุดิบที่จับได้ ผมว่ามันก็ไม่มีอะไรน่าสนใจมากนะ แต่ทำไมทุกคนกลับลุกฮือขึ้นมาสนใจซะได้ !? คงมีแค่ไม่กี่คนละมั้งที่ไม่สนใจกิจกรรมนี้เท่าไหร่แบบผม แถมในหัวตัวเองดันฉุกคิดถึงการแข่งครั้งก่อนให้เจ็บปวดหัวใจเล่น ๆ อีก เฮ้ออออออ บางทีผมก็อยากย้อนเวลาเพื่อไปแก้ไขอดีตอันเลวร้ายเหมือนในหนังบ้างจัง


     " ก็อย่างที่พี่แจ้งไปนะครับว่าจะแข่งแบบเป็นทีมก็ได้ หรือเป็นเดียวก็ได้ รอบนี้สิ่งที่พี่คาดหวังจากพวกเราก็คือวัดระดับทักษะในด้านการทำอาหาร เราจะลงแข่งหรือไม่ก็ได้ พี่ไม่บังคับ " อืมมมม พอได้ยินพี่เขาพูดทวนแบบนี้ก็ไม่คิดจะลงแข่งแบบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วล่ะ ยิ่งไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรแล้วด้วยสิ เอาเป็นว่าผมยืนชมคนอื่น ๆ หรือไม่ก็ฟุบหลับสักงีบอยู่ตรงนี้ดีกว่า ว่าแต่เงินทองที่ทางมหาวิทยาลัยออกค่าวัตถุดิบให้ต้องเยอะขนาดไหนถึงใจป้ำจัดกิจกรรมนี้ได้น่ะ ?


     " พี่มิ้ลค์ ไปแข่งกันเถอะ ! " น้ำอุ่นที่นั่งข้าง ๆ ผมอยู่ดี ๆ ก็เขย่าอ้อนผมซะแรงจนต้องหันไปมอง ผมเคยบอกใช่มั้ยล่ะว่าถ้ามีโอกาสได้แข่งกับน้ำอุ่นอีกสักครั้งก็คงจะชนะ มั้ง.. แต่ตอนนี้ไม่มีอารมณ์ว่ะ


     " ไม่อะ ตามสบาย ลุคนายไปแข่งแทนเราก็ได้นะ " ผมปัดเจ้าน้ำอุ่นก่อนจะมอบมงกุฎให้ลุคทำหน้าที่นี้ต่อไป แต่เหมือนเพื่อนใหม่คนนี้จะส่ายหัวไม่สนใจเช่นกัน


     " จะเอางี้เหรอ ? ได้เลยพี่มิ้ลค์ " น้ำอุ่นว่าพลางทุบโต๊ะอย่างขัดใจก่อนจะยกตัวเองขึ้นเดินไปยังสีอื่น ผมไม่ได้สนใจเท่าไหร่หรอกครับว่าน้ำอุ่นคิดจะทำอะไรก็เลยได้แต่ชวนลุคคุยไปพลาง ๆ และมองด้านหน้าห้องว่ามีผู้สนใจคนไหนกำลังร่วมกิจกรรมนี้บ้าง แต่คงได้นอนฟุบหลับตามใจหวังแล้วล่ะถ้าไม่มีใครมาสะกิดเรียก


     " มิ้ลค์ " ผมหันข้างไปมองชายรูปร่างโปร่งอันแสนคุ้นเคยที่เดินมาตอนไหนอยู่ใกล้ตัวเองประมาณห้าเซนติเมตร กะพริบตา ? เฟิร์สมีอะไรกับผมถึงได้ถ่อมาถึงนี่


     " ว่าไง ? " ผมขมวดคิ้วพลางหมุ่นตัวเองที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไปมองเฟิร์ส


     " น้ำอุ่นมันมาท้าแข่งทำอาหารกับกูว่ะ กูรับปากไปแล้ว ข้อแม้คือตัวมึง " ถึงตรงนี้ผมกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนสมองจะประมวลผลในคำพูดของมัน


     " เอ้า ! แล้วไปรับปากมันทำมายยย !? มึงทำเป็นหรือไงห้ะ !!? " โว้ยยยยยย ไอบ้าเฟิร์ส !! น้ำอุ่นมันระดับเทพ มึงระดับห่าอะไรก็ไม่รู้ ไม่เจียมตัวเล้ยยยยย


     " ก็กูไม่อยากเสียมึงไปนี่หว่า แล้วใครบอกมึงว่ากูจะลงแข่งเอง หึหึ " เห็นมันยิ้มอย่างมีเล่ห์กลอย่างนี้ก็พอเดาได้แล้วล่ะว่าใครเป็นคนลงแข่งแทนมัน


     ก็ผมนี่ไงล่ะ..


     แทนที่จะได้หลับปุ๋ยอย่างสบายใจก็ต้องกลับกลายมาใส่ชุดเชฟเพื่อลงแข่งอย่างฝืนใจแทน โว้ยยยยยยยย ไอบ้าเฟิร์ส ! อยู่ดีไม่ว่าดีก็ไปรับปากสารท้ารบจากน้ำอุ่น ผมก็เลยต้องทำใจเดินไปหยิบฉลากที่เด็กนั่นให้เกียรติเป็นคนจับ ผมหน้าเหวี่ยงยื่นกระดาษวัตถุดิบให้พี่เขาว่าข้างในคืออะไรก่อนจะยืนฟังที่พี่โต้งประกาศ ผมค่อนข้างตื่นตัวขึ้นมาเล็กน้อยเพราะวัตถุดิบหลักนี้คือเนื้อไก่ ซึ่งเป็นวัตถุดิบส่วนหนึ่งของเมนูที่เคยไปแข่งครั้งล่าสุดด้วย


     เฟิร์สมันคงมั่นใจผมมั้งครับ ว่าจะสามารถชนะน้ำอุ่นได้เลยรับปากมา แต่แม่งคงไม่ได้รู้ประวัติไอห่านี่เลยสินะว่าทักษะของมันเอาเข้าจริง ๆ เยอะกว่าผมอยู่หลายเท่า ถ้าแพ้มีหวังต้องไปบำเรอไอน้ำอุ่นแหงแซะ


     ผมและน้ำอุ่นเดินเข้าห้องปฏิบัติการอาหารโดยมีคนอื่น ๆ กำลังขะมักเขม้นทำเมนูกันอย่างไม่ยอมแพ้ พี่ราฟและพี่จ๋าพาผมมายังสเตชั่นที่ว่างพลางกำหนดเวลาให้จำนวนสองชั่วโมงในการทำ ผมพยักหน้าเข้าใจในคำสั่งก่อนที่พี่เขาจะประกาศเริ่มการแข่งขัน พอเสียงนกหวีดดังแผดลั่นได้ไม่เท่าไหร่ น้ำอุ่นมันก็พุ่งพรวดไปหยิบวัตถุดิบโดยพลัน เฮ้อออ เอาเถอะ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว อวดฝีมือของตัวเองที่พร่ำฝึกซ้อมมาหลายเดือนให้เด็กอมมือมันดูสักหน่อยดีกว่า


     จากที่ผมเคยเป็นคนเหมือนต้องการจะหลับพักผ่อน ก็คึกคะนองขึ้นมาราวกับกระดกเอ็มร้อยไปห้าขวดติด เครื่องยนต์ในกายนี้มันทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นจริง ๆ ไม่รู้เป็นเพราะจะได้แก้ตัวเมนูอาหารที่เคยพลั้งพลาดในอดีต หรือการมีเฟิร์สที่ยืนดูผ่านกระจกใสนั่นกันแน่ ไม่ว่าจะเหตุผลใดที่ทำให้ผมมีกำลังในการทำอาหาร ผมขอเต็มที่กับการแข่งขันครั้งนี้โดยมีผู้ท้าชิงเป็นถึงนักเรียนเชฟเมืองนอกอย่างน้ำอุ่นเลยแล้วกัน !


     เวลาผ่านไปหลายนาทีหลังจากที่ผมยกวัตถุดิบที่ต้องการจากสโตร์และนำกลับมายังสเตชั่น ผมประดิดประดอยชิ้นเนื้อและผักให้เข้ากับที่เคยซักซ้อมไว้พลางลอบมองสเตชั่นใกล้ ๆ ดูเหมือนน้ำอุ่นจะช้ากว่าผมนิดหน่อยเพราะคงไม่ได้เตรียมตัวมาล่ะสิว่าจะทำเมนูอะไร ผมตั้งขีดจำกัดของแต่ละขั้นตอนไว้แล้วครับว่าควรทำกี่นาที และเป็นไปตามคาดที่วางแผนไว้ทั้งหมด ทุกอย่างมันออกมาดีเยี่ยม ดีกว่าครั้งที่ผมไปแข่งล่าสุดเป็นไหน ๆ


     ผมสูดหายใจเข้าเฮือกสุดท้ายก่อนจะยกพะแนงไก่กรอบ ยำสามสหาย ผัดผักรวมมิตร ข้าวผัดธัญพืช ที่จัดเสิร์ฟในจานเดียวแบบสไตล์โมเดิร์น แม้เมนูจะไม่เหมือนกับที่เคยไปแข่งมาแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ผมก็ยังคงคอนเซ็ปต์ในการเสิร์ฟแบบนี้อยู่เหมือนเดิม พี่ ๆ เขาต่างมองอาหารในจานด้วยสายตาระยิบระยับก่อนจะใช้ซ้อมตักลงไปอย่างยากที่จะอดใจไหว ไม่ต้องรอให้ผมอธิบายในการรับประทานเลยพี่ ๆ ก็สามารถกินอาหารของผมได้อย่างไม่ติดขัด ว่าแล้วอาหารจานอร่อยของน้ำอุ่นก็ตามผมมาติด ๆ จานของน้องชายคนนี้ทำผมตะลึงไม่แพ้กับหน้าของพี่เขาเลย เป็นการเสิร์ฟสเต๊กเนื้อแบบเมนคอร์สที่โทนสีของผักและองค์ประกอบอื่น ๆ เข้ากันได้อย่างลงตัว ว่าแล้วพี่เขาก็เริ่มบรรเลงในการชิมบ้าง ถึงตรงนี้ผมว่าใจเริ่มหวิว ๆ แล้วว่ะ


     " เอาล่ะ พี่จะประกาศผลแล้วนะว่าใครจะเป็นผู้ชนะ ไม่ว่าใครจะชนะ เราทั้งคู่คือสุดยอดของวันนี้จริง ๆ " พี่คนหนึ่งนามปริศนาร่างอวบที่ทำหน้าที่เป็นกรรมการพูดขึ้นจนผมต้องยิ้มรับอย่างใจสู้เสือ เช่นเดียวกับน้ำอุ่นที่ยักไหล่ขึ้นลงอย่างสบาย ๆ


     " ผู้ที่ชนะก็คือ.. " ผมกลืนน้ำลายเอือกหนึ่งรอฟังประกาศที่พี่เขากำลังจะเลื่อนจานของผู้ชนะมายังด้านหน้า


     " ผู้ที่ชนะก็คือ...จานนี้ครับ !! " จานของผมถูกเลื่อนมายังด้านหน้า ยังไม่ทันมีผมจะเหวอในคำตัดสิน พี่เขาก็พูดแทรกขึ้นมาซะแล้ว " โหน้อง !! ทำอาหารอร่อยแถมจัดจานสวยขนาดนี้ ทำไมไม่ไปลงแข่งล่ะ ? " ผมแค่นยิ้มน้อมรับคำชมของพี่เขา


     " จานที่พี่กินเข้าไปคือจานที่ผมเคยไปแข่งแล้วแพ้มาครับ บางเมนูผมอะแด๊ปมันขึ้นมาใหม่เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ " พี่ผู้ชายมองมายังผมอย่างอึ้ง ๆ ราวกับไม่เชื่อในหูที่ได้ยิน ผมน้อมรับคำตัดสินที่เป็นเอกฉันท์ของพี่เขา เว้นเสียแต่เจ้าเด็กนี่


     " โหพี่มิ้ลค์ !! ขี้โกงง เอาจานที่ไปแข่งมาแข่งกับอุ่นได้ยังไง ขี้โกงงงง !! " เอ้า ก็มึงไม่บอกเองนี่หว่าว่าห้ามเอาจานนี้มาแข่งได้ อีกอย่างกูก็ไม่ได้เอาเมนูที่เคยไปแข่งมาทำวันนี้ทั้งหมดซะหน่อย แล้วมึงก็เคยล้อกูไม่ใช่เหรอว่าไปแข่งแพ้เพราะไม่มีมึง ไงล่ะ งานนี้กูชนะได้เพราะตัวกูเอง หึหึ


     " ผลมันออกมาแล้วน้ำอุ่น ยอมรับซะเถอะ " ผมว่าพลางยกมือไหว้พี่เขาอย่างนอบน้อม ก่อนจะเดินออกไปจากตรงนั้นเพื่อไปหาใครบางคน


     " อุ่นแค่อ่อนให้เฉย ๆ มาแข่งกับอุ่นใหม่เลยนะ ! พี่มิ้ลค์จะไปไหน !? พี่มิ้ลค์ !!! " เฮ้อออ อย่างน้อยการแข่งขันครั้งนี้ก็สามารถกู้หน้าผมที่แตกละเอียดในอดีต ให้หวนคืนความรู้สึกดี ๆ กลับมาได้ล่ะนะ


     ผมเดินออกมาจากห้องปฏิบัติการอาหารพลางแท็กมือเฟิร์สที่ยืนรอรับด้านหน้าอย่างหล่อ ๆ ก่อนจะพากันเดินกลับไปยังห้องสาธิต


     แฟนใครก็ไม่รู้เนอะ หน้าตาดีแถมยังทำอาหารอร่อยอีก ฮ่า ๆ


####

ออฟไลน์ LKPOW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
EP.41 ต่อ
     หลังจากที่กลับมาถึงห้องพักภายในโรงแรมสุดหรู สิ่งแรกที่ผมทำนั่นก็คือโยนตัวเองลงบนเตียงด้วยความเมื่อยล้าแบบโคตร ๆ


     " อ่าาาาาาาห์ " มีความสุขจังเลย แข่งก็ชนะ อาหารเย็นก็อร่อยย


     " แหมที่รัก กลับมาก็นอนเลยเหรอ อาบน้ำสักหน่อยเปล่า ? " เสียงเฟิร์สพูดแว่ว ๆ อยู่ปลายเตียง ก่อนที่ผมจะรู้สึกถึงใครบางคนกำลังนั่งลงให้ที่นอนนิ่ม ๆ นี้ยุบลงไป


     " ไม่อะ แต่กูเก่งปะละ ชนะน้ำอุ่นได้ ขอรางวัลหน่อยดิ " เฟิร์สคลี่ยิ้มอย่างอบอุ่นก่อนจะโน้มตัวมาฝังรอยจูบบนหน้าผากผมดังฟอด จูบเฟิร์สมันก็เหมือนอะไรบางอย่างที่ทำให้แรงของผมกลับคืนมาเต็มร้อยอีกครั้ง


     " แฟนของเฟิร์สเก่งที่สุดในโลกอยู่แล้ว " เอาเข้าจริง ๆ ถ้าได้โจทย์อันอื่นผมก็คิดไม่ออกเหมือนกันนะว่าผลออกมาจะเป็นยังไง ฮ่า ๆ ว่าแล้วก็หาเรื่องงอนมันสักหน่อยดีกว่า


     " ใครแฟนมึง วันนี้ปล่อยให้กูอยู่คนเดียวทั้งวัน เฮ้ออออ แถมยังปล่อยให้น้ำอุ่นมาหอมแก้.. " ผมตาเหลือกทันทีหลังจากที่พลั้งปากพูดประโยคอันตรายนั้นออกมา จริงอยู่ว่าเฟิร์สไม่ได้ซีเรียสเรื่องนี้เท่าไหร่นักพอได้ทราบข่าว แต่การขุดกระทู้เด็ดพันทิบในตอนนี้ก็เหมือนแส่หาเรื่องให้ตัวเองถูกลงโทษ ชิบหายแล้ว บอกไปแล้วด้วยดิว่าจะดูแลตัวเอง..


     " .......... " สายตาอ่อนโยนที่เคยเคล้าความอบอุ่น ตอนนี้ค่อย ๆ วาวโรจน์เป็นปีศาจในคืนที่ผมเคยโดนมันประทุษร้ายอีกครั้ง


     " กะ...กูไปอาบน้ำก่อนนะ แหะ ๆ "ผมดีดตัวเองขึ้นจากเตียงทันทีเพื่อจะหลบหนี แต่ไอแขนข้างนั้นแม่งไวกว่าผมอีก !!!!


     " คืนนี้มึงไม่ต้องนอนนะไอมิ้ลค์ !!!!!! "


     ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย


- Not to be unlocked -

ออฟไลน์ LKPOW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Not to be unlocked : Episode 42 : วุ่นวายที่ค่ายเชฟ Day 2



     เช้าวันที่สองของค่ายเชฟ ผมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเหมือนหลับไปแล้วประมาณหนึ่งชาติเศษ ถึงจะคิดว่าตัวเองหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ไปแล้วก็จริง แต่ใช่ว่าเมื่อคืนจะไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นกับผมสักหน่อย ผมบิดขี้เกียจซะตัวเป็นโปเต้ก่อนจะมุดออกจากผ้าห่มมาลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงทั้ง ๆ ที่มือของเฟิร์สยังพาดอยู่ หึ ไอนี่แหละครับตัวการที่ทำให้ผมปวดตุบ ๆ แถว ๆ บั้นท้ายลามมายังสันกระดูกจรดคอ พอผมไฟเขียวอนุญาตเฟิร์สให้กระทำชำเราทีไรก็เหมือนเอาตัวเองไปออกรบกับทหารนับร้อยทุกทีเลยว่ะ ผมมองใบหน้าของคนข้าง ๆ ที่หลับตาพริ้มในห่วงแห่งการพักผ่อนพลางถอนหายใจออกมาแผ่ว ๆ เฮ้อ...ถึงมันจะแสบสันไม่เหมือนใคร ๆ แต่ผมก็ยังรักเฟิร์สอย่างไม่สามารถเอาใครมาแทนที่ได้เลย ผู้ชายคนนี้ถ้าเปรียบเหมือนอาหารก็คงมีครบทุกรสชาติจริง ๆ ว่าแล้วก็ขอจุ๊บเหม่งของมันให้รางวัลสักหน่อยดีกว่า



     " อือออ " ร่างโปร่งที่ถูกคลุมด้วยผ้านวมขนาดใหญ่ครางออกมาเบา ๆ แม้เปลือกตาคู่นั้นจะปิดสนิท หวังว่าผมคงไม่ได้จะทำมันตื่นหรอกเนอะ งั้นปล่อยให้เฟิร์สได้นอนต่ออีกสักพักแล้วกัน เพราะกว่าพี่เขาจะนัดลงไปทำกิจกรรมก็อีกตั้งสองชั่วโมงหลังจากนี้ตามที่ดูนาฬิกา



     ในขณะที่ผมลุกขึ้นเพื่อหมายจะเปิดประตูบานเลื่อนเพื่อไปสูดอากาศยามเช้าอันแสนสดใส แขนปลาหมึกติดหนึบก็รวบตัวผมจากข้างหลังให้เด้งกลับไปนอนคลุกเตียงเหมือนอย่างเก่า



     " จะไปหนายยย นอนก่อนสิที่ร้ากกก " ผมหันไปดูไอขี้เซาที่พูดออกมาแม้ดวงตาคู่นั้นจะปิดอยู่ เหอะ เมื่อคืนมึงเผาผลาญแคลอรีกับกูไปซะเยอะ ตอนนี้แรงลืมตายังไม่มีเลยใช่ม๊า ?



     " มึงก็นอนต่อไปสิ กูอยากออกไปสูดอากาศข้างนอกสักหน่อย อยู่ในนี้แม่งหนาว " แอร์โรงแรมนี้หนาวจริง ๆ นั่นแหละครับ ขนาดว่าเปิดแค่ยี่สิบห้าองศาเองนะ หรือเป็นเพราะผมถอดเสื้อนอนตลอดทั้งคืน ?



     " ไม่เอา เค้าจะอยู่กับที่ร้าก อย่าทิ้งเค้าไปไหนนะ " มึงไม่ต้องมาทำเสียงแอ๊บแบ๊วเรียกคะแนนสงสารจากท่านผู้อ่านเลยนะ อะ ๆ กูไม่ลุกไปไหนก็ได้ ผมเหล่ตามองมันที่เปลี่ยนมายิ้มเผล่ก่อนจะพยักหน้าเอือม ๆ



     " งั้นถ้าไม่ไปไหนแล้ว...ต่อจากเมื่อคืนเลยดีกว่า " ไม่ทันที่จะได้คัดค้านอะไร เฟิร์สมันก็เหวี่ยงตัวผมให้ติดตรึงอยู่กับเตียงก่อนจะคลานมาขึ้นคร่อม เฮ้ย ๆ เมื่อคืนก็หลายรอบมึงยังไม่พออีกรึไง !?



     " หยุดเลยนะ ให้มันน้อย ๆ หน่อย " ถึงแขนทั้งสองจะโดนเฟิร์สล็อกไว้ซะแน่น แต่ผมก็ไม่ได้จะขัดขืนแต่อย่างใด ผมคิดว่าคำพูดเท่านี้ก็สามารถกำราบความคิดแผง ๆ ของคนที่เลียริมฝีปากตัวเองอยู่ลงได้



     " อะไรอะที่รัก ซ่อมของเมื่อคืนไงที่ตัวเองทำเสีย ดีมั้ย ? " อยากรู้เหรอครับว่าเมื่อคืนผมทำอะไรเสีย ? ม่ายยย ! ผมไม่บอกท่านผู้อ่านอะไรไม่ได้ทั้งนั้นแหละ !!! เพราะมันค่อนข้างยี่สิบบวกบวกบวก



     " เอาจริง ? " ผมย้ำถามมันอีกครั้ง ถ้าลองไตร่ตรองเวลาและความรับผิดชอบต่อหน้าที่แล้ว การที่ผมจะจุ๊กกรู๊กันกับเฟิร์สตอนนี้มันก็ได้อยู่หรอก แต่บอกตรง ๆ ว่าแผลสดจากเมื่อคืนผมยังไม่หายดีเท่าไหร่เลยว่ะ



     " พี่เฟิร์สคนจริงสุขุมวิทไม่พูดเล่นหรอกนะจ๊ะ หึหึ " แล้วคนที่คร่อมผมอยู่ก็เอื้อมไปหยิบกระเป๋าตังพลางแหวกออกเพื่อหาอาวุทคู่กาย ผมมองเฟิร์สที่แหวกของในมือแล้วแหวกในมือเล่าอย่างเตรียมใจว่าหลังจากนี้จะโดนอะไรบ้าง



     แต่เมื่อไหร่แม่งจะลงมือสักที..



     " ว่าไง เปลี่ยนใจแล้วเหรอ ? "



     " ไม่มี " มันพูดขณะคว่ำกระเป๋าตังลงพลางเขย่า " ฮือออออ หมด " หมด ? อ๋อไอห่า ! ก็เมื่อคืนมึงล่อไปตั้งสี่อันจะให้ไม่หมดได้ไง !! ว่าแล้วปากผมก็ไวกว่าความคิด



     " ก็ไม่ต้องใช้ไง เปลี่ยนบรรยากาศ " จริง ๆ จะใช้หรือไม่ใช้ก็เหมือนกันแหละมั้ง..



     " ไม่ได้ !!!! " เฟิร์สกระแทกเสียงใส่ผมก่อนจะเอื้อมเอากระเป๋าตังไปวางไว้อย่างเก่า " สงสัยจะอดแล้วว่ะ " เฮ้ออออออออ โล่งอก อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องโดนกระสุนปืนใหญ่ยิงเข้ามาทางข้างหลังอีกรอบแล้ว



     " หึหึ อยากใช้หมดเองดีนัก สมน้ำหน้า " เดี๋ยว ! แล้วมึงจะแยกเขี้ยวใส่กูทำแมวอะไร !!?



     " ไอมิ้ลค์ ! มึง !!! " เฟิร์สประกาศชื่อผมพลางอ้าปากส่วมบทบาทเป็นจระเข้แล้วงับเข้ากับบ่าผมซะเต็มคำ โอ๊ยยยยย ไอห่านี่ซาดิสม์แท้ !!



     ในตอนที่ไกรทองอย่างผมกำลังฟาดฟันกับชาละวันบนเตียงอยู่นั้นเอง เสียงเคาะประตูจากด้านนอกที่เปรียบเสมือนเสียงระฆังเวลาชกมวยก็ดังขึ้นจนทำให้เราทั้งคู่หยุดตีกัน เฟิร์สขมวดคิ้วมองหน้าผมเหมือนถามว่าใครและทำท่าจะไปเปิด แต่ไม่ไวกว่าตัวเองที่ลุกพรวดพราดนำลิ่วไปเสียแล้ว อ่าวชิบหายล่ะ ลืมใส่เสื้อ



     ผมเปิดประตูออกไปโดยที่ไม่ได้สนใจจะส่องตาแมวเลยสักนิด ก่อนจะพบกับไอตัวการแห่งความวุ่นวายในชีวิต



     ไอน้ำอุ่น..



     " สวัสดียามเช้าคร้าบพี่มิ้.. " เสียงสดใสอันแสนร่าเริงของเจ้าเด็กในชุดลําลองแสนสบายที่มีป้ายชื่อแขวนคออยู่ค่อย ๆ ลดระดับลงจนแผ่ว เมื่อสายตาของน้ำอุ่นจ้องมายังเรือนร่างของผมสลับกับคนข้างหลังที่ยืนอวดโฉมแค่กางเกงบ๊อกเซอร์โง่ ๆ เหมือนกัน



     " พี่มิ้ลค์ทำอะไรอยู่อะครับ ? อุ่นจะเรียกไปกินข้าว " น้ำอุ่นมันมองลอกแลกเหมือนในหัวมโนไปไกลแล้วว่าสภาพชีเปลือยของพวกพี่ทั้งสองคนกำลังทำอะไรไม่ดีไม่ร้ายกันอยู่หรือเปล่า ทำไมมึงไม่มโนไปว่ากูพึ่งตื่นนอนด้วยสภาพนี้บ้างวะ โว้ะ แต่ยังไงก็คงเข้าทางผมแล้วล่ะ หึหึ



     " อ๋อ ก็...กูกินยาก่อนนอนแล้วอะ กำลังจะกินยาก่อนอาหาร ใช่มั้ยที่รัก ? " ผมเอี้ยวตัวไปถามคนข้างหลังที่แสยะยิ้มอย่างซะใจก่อนจะหันมามองน้ำอุ่นอีกครั้ง



     " ง่ะ...งั้นน้ำอุ่นไปรอข้างล่างนะครับ ดะ...ดูแลตัวเองด้วย อุ่นเป็นห่วง " น้ำอุ่นพูดตะกุกตะกักอย่างคนคิดมากก่อนจะเดินจากไป ซึ่งผิดกับเฟิร์สที่แม่งตะโกนตามหลังอย่างชัดเจนและแน่วแน่



     " นี่แฟนกูไม่ต้องมาเป็นห่วง เข้าใจมั้ยไอเด็กบ้า !! " ผมยิ้มส่ายหัวให้กับความหวงก้างของแฟนตัวเองพลางปิดประตูลงเพื่อไปทำธุระส่วนตัวต่อ



     จะเล่นงานคนของเจ้าเฟิร์สน่ะ มันไม่ง่ายหรอกนะน้ำอุ่น



####



     หลังจากที่ทั้งผมและเฟิร์สได้ทำธุระส่วนตัวเสร็จก็มุ่งหน้าไปยังห้องอาหารชั้นหนึ่งโดยทันที กำหนดการของวันนี้ที่พี่ค่ายแจ้งให้ทราบคร่าว ๆ จากเมื่อวานคือเขาจะนัดรวมตัวกันที่เดิม (ลานกว้าง ๆ ในตึกที่ลงทะเบียนวันแรก) เพื่อสันทนาการ ก่อนจะเข้าไปปฏิบัติการอาหารในคลาสเบเกอรี่ (อันนี้เฟิร์สสนใจเป็นพิเศษ) แต่ก่อนจะไปถึงสิบโมงเนี่ย เวลามันเหลือก็หลายนาทีอยู่ ผมเลยพากระเพาะว่าง ๆ ของตัวเองลงมาหาอะไรกินเพื่อรอเวลาเสียเลย



     พอออกจากลิฟต์ที่มีเพื่อนชาวค่ายลงมาด้วยก็หันมามองหน้าเฟิร์สอย่างรู้ใจ หึหึ ไม่มีอะไรหรอกครับ ก็แค่บังเอิญเห็นน้ำอุ่นมันยืนทำหน้าซีดอยู่ปากทางเข้าห้องอาหารเหมือนไปเจอผีตัวเป็น ๆ มาน่ะสิ สงสัยผีตัวนั้นคงจะหล่อไม่ใช่น้อย (แล้วกูจะด่าตัวเองทำไม ?) เอาเป็นว่าผมเริ่มจะดักทางสันดานของเด็กนั่นได้บางส่วนแล้วล่ะ ยังไงขอเริ่มแผนการโดยไม่บอกกล่าวไอเฟิร์สล่วงหน้าเลยแล้วกัน เจ้าตัวก็คงไม่ขัดข้องอะไรมั้ง



     ผมคว้าฝ่ามือของคนที่เดินด้วยมากุมไว้ทันทีโดยไม่สนใจสายตารอบข้างว่าใครจะมอง เฟิร์สตกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้จะขัดขืนผมอันใด



     " ไงน้ำอุ่น ยืนรออะไรอะ ? ไปกินข้าวกัน " ผมเดินเข้าไปทักทายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม่งไม่รู้หรอกว่าผมมีแผนอะไร รวมไปถึงไอเฟิร์สด้วย



     น้ำอุ่นเลื่อนระดับสายตาลงต่ำมองมือที่ผมจับกับเฟิร์สไว้แน่นอย่างยากที่จะปล่อย ก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นมาสบกับผมอีกครั้ง



     " พี่มิ้ลค์.. " เสียงมันขานชื่อผมเบ๊าเบาเหมือนคนใจลอย ฮ่า ๆ อยากขำว่ะ แต่ต้องอุบไว้



     " ว่าไง ? " ผมขานตอบพลางคิดในใจว่าไอน้ำอุ่นคนเดิมที่ชอบระรานตัวเองและเฟิร์สมันหายหรือตายไปแล้วจริง ๆ เหรอวะ ? ไม่น่าเชื่อเหมือนกันนะครับว่าแค่น้ำอุ่นเห็นผมถอดเสื้อกับเฟิร์สเมื่อเช้า บวกกับตอแหลว่าจะมีอะไรกันก่อนรับประทานอาหาร มันสามารถทำให้ไอเด็กนิสัยถ่อย ๆ แบบนี้กลายเป็นเด็กเชื่อง ๆ ได้ด้วย ขี้มโนใช้ได้เลยว่ะน้ำอุ่น ฮ่า ๆ เดี๋ยวหายาสลายมโนให้แปป



     " ไม่มีอะไรครับ เข้าไปกินข้าวกันเถอะ " สิ้นประโยคนั้นคนที่เคยยืนรออยู่ก็เดินนำผมเข้าไป เฟิร์สเลิกคิ้วขึ้นเหมือนต้องการถามว่ามีแผนอะไร ผมได้แต่ยิ้มเจ้าเล่ห์ไปอย่างนั้นแหละครับ ไม่บอกอะไรมันหรอก



     พอย้ายมาอยู่ในห้องอาหารผมก็ต้องมาขำก๊ากกับวีรกรรมของตัวเองที่ทำกับน้ำอุ่นและเฟิร์สอีกครั้ง คือตอนที่ผมเดินไปตักบุฟเฟ่ต์เช้ามารับประทานก็สังเกตถึงความผิดปกติของน้ำอุ่นได้จริง ๆ ว่ามันแลเอ๋อ ๆ เบลอ ๆ จิตตก ใจลอย เหมือนกับว่าไม่มีวิญญาณอยู่กับเนื้อกับตัวแล้วจริง ๆ ถึงจะเป็นแบบนั้นผมก็ไม่ได้มีความคิดว่าจะสงสารมันหรอก เพราะกว่าจะรู้ว่ามันแพ้ทางผมถึงขั้นเป็นบ้าแบบนี้ได้เนี่ย น้ำอุ่นก็ทำผมปวดหัวและวุ่นวายไม่แพ้กัน ในเวลาต่อมาเจ้าเด็กนั่นก็กลับมานั่งแหมะกับผมตามด้วยเฟิร์สที่ถือจานอาหาร ทันทีที่ทั้งสองอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว ผมก็ปฏิบัติการตามแผนอีกครั้งโดยการขอกินไส้กรอกชีสจากจานไอเฟิร์สและวานให้มันป้อน วินาทีนั้นน้ำอุ่นหันมามองแว็บนึงครับ แต่ไม่ได้นานมาก เฟิร์สมันก็อือ ๆ ออ ๆ ตามผมว่า ก่อนจะนำซ้อมในมือทิ่มลงไปในเนื้อไส้กรอกพลางยืนตรงมาที่ปาก ผมอ้ารับอยางเต็มคำแต่ไม่ได้กัดออกหรอก ถึงตอนนี้แหละครับน้ำอุ่นมันหันขวับมามองผมด้วยสายตาที่เบิกกว้างจนแทบขาดสติ จะไม่ให้ช็อกอีกรอบได้ไงล่ะเพราะผมเล่นรูดเข้ารูดออกประหนึ่งว่าใส่กรอกนี้เป็น.. (จงเติมคำในช่องว่าง) รวมไปถึงคาบชีสสีขาวข้นที่เลอะปากผมอีก ในที่สุดน้ำอุ่นมันเลยยกธงขาวอกแตกตายและเดินจากเราไปอย่างเงียบ ๆ ฮ่า ๆ ขำโคตรรรร



     ตอนนี้ผมกับเฟิร์สอิ่มแปล้กับมื้อเช้าแล้วครับ และกำลังเดินทางไปยังสถานที่ที่พี่เขานัด พลางเช็กยูนิฟอร์มทั้งเครื่องแต่งกายและป้ายชื่อสำหรับการเข้ารับสันทนาการ อืมมม ของตัวเองก็ครบ ของเจ้าเฟิร์สก็ครบ เอาล่ะ ไม่ต้องกังวลจะโดนทำโทษอะไรแล้ว



     " นี่ไอตัวแสบ เมื่อตอนอยู่ห้องอาหารมึงคิดจะทำอะไรห้ะ ? มึงรู้มั้ยกูมีอารมณ์เลยเนี่ย " ผมขำหึหึให้กับเฟิร์สที่บ่นอุบอิบอยู่ข้าง ๆ กูไม่ได้จะเล่นฉากเอ็กซ์ในที่สาธารณะซะหน่อยโว้ย



     " ไม่มีอะไรหรอก กูแค่จับสังเกตวิธีจะให้น้ำอุ่นเลิกมาวุ่นวายกับกูได้แล้ว " เอาล่ะครับ ตอนนี้ต่อมเสือกของไอเฟิร์สได้ทำงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว



     " ยังไงอะ ? "



     " แค่ทำเหมือนกูเป็นของมึง มึงเป็นของกู แค่นี้น้ำอุ่นมันก็จะอกแตกตายเหมือนโดนพระอภัยมณีเป่าปี่ใส่แล้ว " คนที่เดินอยู่ด้วยกันหันมาขมวดคิ้วก่อนจะพูดต่อ



     " แบบที่มึงอมใส่กรอกแล้วชีสเลอะปากอะนะ ? อี๋ ทำไปได้ไง " โหยยยยยยยยยยยย ผมง้างมือมาฟาดแขนไอเฟิร์สทันทีแต่แม่งดันเบี่ยงหลบได้ซะก่อน มึงไม่ต้องมาหัวเราะเยาะกูเลยนะไอเลว



     " แม่ง งอนแล้ว ! " ผมเดินก้าวขาหนีไว ๆ โดยไม่หันไปแยแสไอเฟิร์ส ไม่รู้แหละ มึงต้องตามมาง้อกูด้วย



     แล้วแทนที่ผมจะได้หนีไอเฟิร์สเพื่อมาพบกับพื้นที่แห่งความสงบสุข แต่ก็ต้องมาพบกับความวินาศสันตะโรในรูปแบบใหม่



     รุ่นพี่ฝ่ายสันฯ ควักมือเรียกผมแบบนี้แสดงว่า...ให้กูออกไปเต้นอีกแล้วใช่มั้ยครับ !!!!



     " อ้าวน้องคนที่มาช้าสองคน เชิญมารับบทลงโทษด้านนี้เลยคร้าบบบ " นั่นไงกูว่าแล้ว !!!!!!



     " ฮิ้ววววววววว " ผมมองซ้ายมองขวาอย่างสับสนเพราะตอนนี้ยังไม่ถึงเวลานัด แต่ทำไมทุกคนดันมาเข้าแถวอย่างพร้อมหน้ากันได้ฟร๊ะ !! (เห็นน้ำอุ่นตรงท้ายแถวสีแดงด้วย) พี่นัดสิบโมงไม่ใช่หรา ! แต่นี่พึ่งเก้าโมงครึ่งเองนะ ฮืออออออ มันยุติธรรมจริง ๆ น่ะหรือออ มันยุติธรรมจริง ๆ หรือไรรร



     แล้วก็อย่างว่าครับ ผมและเฟิร์สคงไม่มีทางรอดแล้ว ก็เลยได้แต่เดินคอตกมายังเวทีประหาร



     " เอาเพลงฮิปโปนะ ฮิปโปพร้อม !! " เดี๋ยวววววววว ! อะไรคือฮิปโปอะพี่ !!?



     " พร้อม !!!! " แล้วการที่ตะโกนพร้อมกับคนนับร้อยคือมึงเข้าใจกับเขาด้วยเหรอวะไอเฟิร์ส !? แล้วจะไม่สอบถามหรือคัดค้านความผิดของตัวเองที่ก่อด้วยใช่มั้ย !?



     " สาม !! สี่ !! " เดี๋ยวครับพี่ ! เพลงอะไรผมไม่เคยได้ยิน ม่ายยยย



     " ฮิป...ฮิป...ฮิป...ฮิปโป โอ้โหตัวมันใหญ่ มันเดินอุ้ยอ้าย มันเดินอุ้ยอ้าย ลัลลั้ลลาลัลลั่นลัลลา ลัลลั้ลลาลัลลั่นลัลลา " ผมกะพริบตาปริบ ๆ ย่างคนจนตรอกเพราะไม่รู้ไอเพลงห่านี่ต้องเต้นยังไง แล้วไหงไอเฟิร์สมันเต้นได้ ?



     " โห่น้อง ทำไมไม่เต้นอะ ? " พี่สันเจ้าเก่าเจ้าประจำเดินมาถามผมอย่างเซ็ง ๆ ผมจะไปเต้นได้ไงล่ะก็เคยเต้นซะที่ไหน ถ้าเพลงที่มันมีงูออกมาก็พอได้อยู่หรอก



     " ผมเต้นไม่เป็นอะครับ "



     " เอ้า ! เต้นไม่เป็นก็ไม่บอก เดี๋ยวพี่ให้ราชินีฮิปโปมาสอน อีสาลี่ ! มาสอนน้อง ! " พี่สต๊าฟผู้ชายคนนี้กวักมือเรียกพี่กะเทยตัวใหญ่ที่เคยลั่นวาจาว่าผมเป็นของเขาในวันวาน นางเดินแหวกแถวของชาวค่ายที่นั่งอยู่นับร้อยราวกับเป็นเวทีแคทวอล์คมาด้านหน้า เอาล่ะ กูจะโดนอะไรมั้งล่ะเนี่ย..



     " เต้นตามพี่เขานะ ฮิปโป้พร้อม ! สาม !! สี่ !! " แล้วพี่เขาเอามือไขว้หลังเหมือนเป็นหลีดฯ แบบนี้ ผมต้องทำตามด้วยมั้ยคร้าบ ฮือออ



     " ฮิป...ฮิป...ฮิป...ฮิปโป โอ้โหตัวมันใหญ่ มันเดินอุ้ยอ้าย มันเดินอุ้ยอ้าย ลัลลั้ลลาลัลลั่นลัลลา ลัลลั้ลลาลัลลั่นลัลลา " ถึงเอวผมจะโยกไม่แรงเท่าพี่คนที่ชื่อสาลี่กับไอเฟิร์ส แต่คิดว่าตัวเองก็พอจะถู ๆ ไถ ๆ ให้กับบทลงโทษที่ผมยังไม่รู้เลยว่าผิดอะไรได้แหละนะ



     " โอเค ขอเสียงปรบมือให้สองคนนี้ด้วยนะคร้าบ " ผมรีบพงกหัวรับอย่างขอบคุณแต่คราวหลังพวกพี่ไม่ต้อง ก่อนจะรีบวิ่งไปนั่งเข้าแถวตามสีของตัวเอง เอาล่ะ ถึงเวลาต้องแยกกับเฟิร์สแล้วสินะ



####

ออฟไลน์ LKPOW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
EP.41 ต่อ

     หลังจากที่ผมแยกกับเฟิร์สเพื่อไปเข้าร่วมขบวนการห้าสี (อ่าว สี่เองเหรอ) และสันทนาการกับท่อนเพลงอันอุบาทว์จิต ก็ถึงเวลาแล้วที่จะต้องเข้าไปปฏิบัติการอาหารกันเสียที ในห้องสาธิต ชาวค่ายก็ได้มาพบปะกับพี่โต้งที่เข้ามาทำหน้าที่บรีฟงานอีกครั้ง อย่างที่ผมบอกไปตั้งแต่ต้นตอนครับว่าเช้าวันนี้จะเป็นการทำอาหารในคลาสของเบเกอรี่ ผมบอกตรง ๆ เลยนะว่าการทำของหวานเนี่ยไม่ใช่สไตล์ตัวเองเท่าไหร่หรอกถึงจะเคยทำเค้กให้ใครคนนั้น (อย่าไปพูดถึงเขาดีกว่าเนอะ) แต่พอฟัง ๆ ที่พี่โต้งเขาสอนทุกขั้นตอนประกอบกับการทำชูครีมให้ดูอยู่หน้าห้องเนี่ย เฮ้ย! มันไม่ได้ยากแฮะ แถมกลิ่นวานิลลายังหอมกรุ่นไปทั่วห้องจนผมอยากจะเดินไปหยิบมาใส่ปากซะให้รู้แล้วรู้รอด ดังนั้นครับก็อย่ารอช้า เดินไปรับกระดาษสูตรด้านหน้าเพื่อมาทำส่งกับพี่กรรมการกันบ้างดีกว่า



     ผมกับลุคลุกขึ้นพร้อมกันเพื่อหมายจะไปรับสูตรด้านหน้า แต่ดูเหมือนตอนนี้วิญญาณปากดีที่ชอบโม้เรื่องทำอาหารของเจ้าเด็กนี่จะยังไม่บินกลับมาเข้าร่างเลยว่ะ



     " น้ำอุ่น " ผมเอื้อมมือไปสะกิดไหล่มันเบา ๆ คนที่นั่งอยู่ไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าของผมแต่อย่างใด



     " อุ่น ไปเอาสูตรเร็ว เดี๋ยวไปจองสเตชั่นไม่ทันนะ " ผมลองเปลี่ยนเป็นเขย่าไหล่ความแรงแปดริกเตอร์ ปัดมือผ่าน ๆ ที่ใบหน้า แม่งก็ยังนิ่งเหมือนคนไม่รู้ร้อนรู้หนาวเช่นเดิม นี่อย่าบอกนะว่ากำลังมโนถึงกูกับเฟิร์สกำลังป้าบ ๆ กันอยู่น่ะ ! เฮ้ย ๆ



     " นี่ เมื่อเช้ากูไม่ได้มีอะไรกับไอเฟิร์สมันทั้งนั้นแหละ กูหยอกมึงเล่นเฉย ๆ พอใจยัง ? " ขวับ !!! น้ำอุ่นมันดีดตัวขึ้นมาจ้องผมเหมือนตูดโดนจี้ไฟด้วยสายตาโคตรของโคตรเคือง



     " พี่มิ้ลค์ !! รู้มั้ยว่าอุ่นเป็นห่วงพี่มิ้ลค์ขนาดไหน อุ่นกินไม่เข้าคายไม่ออกตั้งสี่ชั่วโมงเลยนะ โธ่...อุ่นก็นึกว่าพี่มิ้ลค์จะเสียเอกราชให้ใครไปซะแล้ว " เหอ ๆ นี่มึงคิดว่ากูคบกับไอเฟิร์สแล้วมันจะไม่ลามไปถึงขั้นนั้นจริง ๆ น่ะเหรอ ? ยิ่งเป็นบุคคลที่ชื่อว่าเฟิร์สแล้ว กูบอกเลย ยาก !!



     " เออเอาเหอะ กูเห็นมึงน่ารำคาญก็เลยหยอกนิดหน่อย แต่ตอนนี้ไปทำหน้าที่ของเรากันได้แล้ว " ผมว่าพลางเดินตามลุคที่ทางนั้นเมื่อกี้กะพริบตาปิ้ง ๆ ให้ ก่อนที่พวกเราทั้งหมดจะออกไปรับสูตร เอาล่ะ ตอนนี้ผมคงไม่มีข้อแม้ตอแหลอะไรไปแกล้งไอน้ำอุ่นอีกแล้ว เตรียมตัวพบกับน้ำอุ่นเวอร์ชันเก่าได้เลยกู..



     เมื่อมาถึงครัวที่พวกเราแต่งองค์ทรงเครื่องพร้อมทำข้าวของเขาเสียหายเป็นอันเรียบร้อยแล้ว ผมก็จัดการแบ่งงานให้ลุคและน้ำอุ่นอย่างเสร็จสรรพ ลุคเป็นธุระเดินไปเตรียมวัตถุดิบให้ น้ำอุ่นเตรียมอุปกรณ์ ส่วนผมยืนเฉย ๆ (อีกแล้ว) แต่ลอยหน้าลอยตาได้ตอนนี้เท่านั้นแหละเพราะเราจะมาทำในขั้นตอนถัดไปกันแล้ว โดยผมสั่งให้ลุคทำตัวไส้ด้านใน น้ำอุ่นทำคุกกี้เนยที่ใช้แปะด้านบน ส่วนตัวผมเองก็ขอทำอะไรยาก ๆ หน่อยอย่างตัวชูครีม ผมเทส่วนผสมทุกอย่างตามสูตรของขนมลงในอ่าง พลางลอบมองงานที่ลุคตีวีปปิ้งครีมและน้ำอุ่นพิมพ์ลวดลายลงบนแป้งเนย ครั้งนี้ก็เช่นกันครับที่ทุกคนต่างรู้หน้าที่และปฏิบัติงานได้อย่างไม่ขัดข้องอะไร เวลาผมจบจากการเรียนแล้วไปทำงานในอนาคตจะเจอคนที่ทำงานดีแบบนี้มั้งมั้ยน้า แต่อย่าพึ่งรำพึงรำพันไปมากครับ เพราะตอนนี้ตัวชูครีมที่ผมใช้เครื่องตีแป้งและนำมาบีบลงในถาดนั้นพร้อมสำหรับอบแล้ว ส่วนน้ำอุ่นก็นำเจ้าคุกกี้กลม ๆ มาแปะลงบนชูครีมที่ผมบีบ เอาล่ะ เอาไปอบกันเล้ย !!



     จากสูตรใช้เวลาประมาณสิบถึงสิบสองนาทีครับกว่าเจ้าตัวชูครีมจะสุกและฟู ฉะนั้นตอนนี้เราทั้งสามว่างแล้วครับ ก็เลยย่อง ๆ นำนิ้วจิ้มลงไปในตัวไส้ที่ลุคตีเอาไว้มาลองชิมดู พระเจ้า !! อยากจะกรีดร้องออกมาเป็นภาษาอิสราเอล ความนุ่มของตัวไส้ ความหอมของวานิลลา โอ้โหมันชั่งลงตัวอะไรขนาดนี้ !! เห็นทีผมต้องตักแบ่งใส่ถุงกลับบ้านไปกินเล่นสักหน่อย หึหึ ไม่ทันไรน้ำอุ่นก็ก่อความวุ่นวายแก่ผมอีกครั้งโดยการออดอ้อนให้ป้อนมันมั้งทั้ง ๆ ที่มือแม่งก็มี ลุคเขาดูแล้วหัวเราะอย่างคนไม่คิดอะไรครับ ผมก็เลยตักเจ้าเนื้อครีมแสนอร่อยมาปาดหน้าน้ำอุ่นให้เละแทนซะเลย ว่ะฮ่า ๆ



     จวบจนเราก่อสงความชูครีมกันพักหนึ่งนั่นแหละครับสิ่งที่อบอยู่เมื่อสิบนาทีก่อนก็โชยกลิ่นไปทั่วครัว ผมจัดการใส่ถุงมือกันความร้อนแล้วจึงเปิดตู้อบให้ไอควันได้ระบายออก พลางหยิบถาดที่รองขนมอันฟูฟ่องนี้มาวางไว้บนสเตชั่นเพื่อปล่อยให้เจ้าชูครีมได้สัมผัสกับอากาศครู่นึง แล้วจึงใช้ปลายแหลมของที่บีบครีมเจาะและแทรกเนื้อไส้แสนอร่อยเข้าไป ผมและลุคยืนช่วยกันบีบไส้อยู่ไม่นานน้ำอุ่นก็ถือจานสำหรับเสิร์ฟมาให้เพื่อจัดเตรียม



     " เสร็จแล้วครับพี่โค้ก " หลังจากที่ผมนำชูครีมที่อบเสร็จแล้วจากเตามาจัดเสิร์ฟลงจาน ผมก็จัดการเดินนำมาประเคนให้พี่โค้กถึงที่ส่ง พอดีไปทำความรู้จักกับรุ่นพี่คนนี้มาน่ะครับว่าเขาชื่อเสียงเรียงนามอะไร ผมก็พึ่งรู้มานี่แหละว่าเขาเป็นสายแข่งระดับท็อปของมหาวิทยาลัยนี้ด้วย เมื่อวานชมผมซะใหญ่จนตัวลอยขึ้นอากาศไปเลย ฮ่า ๆ



     " โอ้ เสร็จกลุ่มแรกอีกแล้ว ไหนพี่ขอชิมซิ " พี่โค้กหยิบช้อนที่ปักอยู่ตรงกระเป๋าหัวไหล่ออกมาพลางบีบตัวชูครีมให้ไส้ไหล่ทะลัก " ไส้เยิ้มดีมาก ลองชิมกันมารึยัง ? " เราทั้งสามพงกหัวรับพร้อมกันเพราะครีมที่นอนแอ้งแม้งอยู่ในอ่างผสมนั้น ส่วนใหญ่จะหายไปอยู่ในท้องกันหมด ก็มันอร่อยนี่หว่า



     " งั้นพี่ขอชิมบ้างนะ " ว่าแล้วพี่โค้กก็เริ่มตักเนื้อครีมเข้าปาก " โอเค เนื้อครีมนุ่ม หอม อร่อยเหมือนสูตรเป๊ะ ๆ กลุ่มเราผ่าน " เย้ !! ในที่สุดการเข้าครัวในวันนี้ก็เสร็จไปอย่างสมบูรณ์



     " ขอบคุณคร้าบ " พวกเรายกมือขึ้นพนมก่อนจะก้มลงกราบในความกรุณา พลางยกจานกลับไปยังถิ่นฐานที่จากมา ตอนนี้เหลือเพียงแค่ทำความสะอาดสเตชั่นอย่างเดียวสินะ พี่โค้กตะโกนตามมาแว่ว ๆ ว่าเจ้าชูครีมประมาณยี่สิบลูกของกลุ่มเราสามารถนำกลับไปกินที่บ้านต่อได้โดยการแพ็คให้เรียบร้อย ไม่ต้องบอกผมก็ทำแน่ครับพี่ หึหึ



     พอเสร็จสิ้นจากการปฏิบัติการอาหารครั้งสุดท้ายของค่าย เราทั้งสามก็จัดการย้ายตัวเองมายังห้องสาธิตเพื่อรับประทานของว่างรอกลุ่มอื่น ๆ แม้ผมจะวิ่งเอาชูครีมเข้าเส้นชัยไปให้พี่โค้กชิมเป็นกลุ่มแรก แต่ไม่นานนักก็มีอีกหลาย ๆ คนเดินกลับมายังห้องสาธิตด้วยสีหน้าเปื้อนรอยยิ้มอันแสดงถึงความสุขและเสร็จสิ้นไม่ต่างอะไรจากกลุ่มเรา แต่ที่ผมกล่าวมานั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นแบบนี้กันทั้งหมด



     ใช่แล้ว สีหน้าของเฟิร์สที่เดินมาตรงนี้ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นเลย..



     " น้ำอุ่น กูขอคุยอะไรด้วยหน่อย " เฟิร์สเดินตรงปรี่จากหน้าห้องเพื่อเข้ามาเชิญชวนน้ำอุ่นที่รับประทานของเบรกอยู่ เด็กนี่ทำท่าทางยียวนกวนประสาทก่อนจะตอบกลับ



     " แล้วทำไมผมต้องไปคุยกับพี่ด้วยล่ะ สำคัญขนาดไหน ? " น้ำอุ่นพูดแบบนี้ก็หมายความว่ามันกลับมาเป็นเด็กปากดีคนเดิมแล้วอย่างสมบูรณ์แบบ ผมคิดว่าเฟิร์สคงรู้สึกได้เหมือนผม ว่ามันไม่ได้เป็นน้ำอุ่นในแบบที่เคยเป็นอย่างเมื่อเช้านี้แล้ว



     " กูไปที่รอล็อกเกอร์แล้วกันนะ " สิ้นคำนั้นเฟิร์สก็มองมายังผมด้วยสายตานิ่งเฉยก่อนจะเดินจากไป ผมสัมผัสผ่านดวงตาคู่นั้นไม่ได้เลยว่าเฟิร์สกำลังคิดอะไรอยู่ น้ำอุ่นปล่อยลมผ่านปลายจมูกอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะลุกขึ้นเดินตามหลังเจ้าเฟิร์สต้อย ๆ ทิ้งให้ผมนั่งมองแผ่นหลังที่ออกไปจากห้องของสองคนนั้น



     ยังไงก็ขอให้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทีละกัน..



####



     หลังจากที่ผ่านพ้นคาบเรียนสุดท้ายของค่ายเชฟ พี่ ๆ เขาก็นัดแนะให้จัดข้าวของส่วนตัวที่ห้องพักให้เรียบร้อยและมาเจอกันที่เดิมก่อนจะแยกย้ายกลับบ้าน สิ่งแรกที่ผมทำเมื่อกลับมาถึงโรงแรมคือง้างปากไอเฟิร์สว่ามันไปคุยอะไรกับน้ำอุ่นมา คำตอบที่ได้คืออะไรรู้มั้ยครับ ? คือการแลบลิ้นใส่หน้าผมอย่างกวนส้นตีน สัด ! วันนี้กูงอนมึงไปรอบนึงยังไม่ได้มาง้อเลยนะ นี่มึงต้องการข้อหาอีกหนึ่งกระทงใช่มั้ย !? ด้ายยยยย ! พอผมประกาศลั่นว่าจะงอนอย่างจริงจังแล้วนะ ทางนั้นก็ยังคงหัวเราะหึหึกลับมาอย่างไม่สนใจ จะเอาอย่างงี้กับกูใช่มั้ยเฟิร์ส ! วันนี้กูกลับบ้านคนเดียวก็ได้ ชิ ! เป็นซะอย่างนั้นผมก็เลยสะพายกระเป๋าเดินออกจากห้องพักมาเพียงลำพัง



     จวบจนมาถึงสถานที่ที่พี่เขานัดเจอกันเป็นครั้งสุดท้าย ชาวค่ายบางคนมาถึงแล้วก็นั่งเข้าแถวกันอย่างเป็นระเบียบรอคนอื่น ๆ ที่ยังง่วนกับการเก็บของอยู่ที่ห้องพัก ผมใช้เวลาที่เหลือนั้นพูดคุยสารทุกข์สุกดิบกับเพื่อนคนอื่น ๆ อย่างเป็นมิตรเพื่อฆ่าเวลาจนชาวค่ายเริ่มหนาตา ด้วยเหตุนี้เอง พี่ค่ายเลยเดินมาล้อมวงพวกเราเพื่อจะแสดงความรักที่มีแก่ชาวค่ายเป็นครั้งสุดท้ายโดยการกล่าวขอบคุณ รวมไปถึงเพลงบูม ที่เปล่งออกมาดังกึกก้องจนผมขนลุกไปทั้งตัว รุ่นพี่และรุ่นน้องต่างยกมือขึ้นพนมไหว้ในความกรุณาที่มีแก่กันด้วยความรู้สึกขอบคุณยิ่ง บ้างเห็นคราบน้ำตา บ้างเห็นรอยยิ้ม ชั่งเป็นภาพที่ดีและน่าจดจำอะไรอย่างนี้



     " ไงมิ้ลค์ " ผมหันไปทางต้นเสียงหลังจากที่พี่ค่ายเขาอนุญาตให้ทุกคนกลับบ้านได้แล้ว เป็นพี่โค้กครับที่เดินมาทักทาย



     " พี่โค้ก สองวันนี้มิ้ลค์ขอบคุณพี่มาก ๆ นะครับสำหรับบทเรียน ถ้าผมทำให้พี่ไม่พอใจยังไงก็ขอโทษด้วยนะครับ " ได้ยินดังนั้นพี่เขาก็ยกมือขึ้นมาปัดเป็นพัลวัน



     " เฮ้ย ๆ พี่ไม่ได้มาติเราสักหน่อย มิ้ลค์อะโคตรสุดยอดเลยรู้เปล่า ถ้าไงมิ้ลค์สนใจสาขานี้ตอนเรียนจบก็มาต่อที่นี่ได้นะ พี่รอเรามาเป็นรุ่นน้องอยู่ " ได้ยินดังนั้นผมก็ปลาบปลื้มจริง ๆ เลยที่มีคนเห็นความสามารถของตัวเองได้มากมายขนาดนี้



     " ครับ ผมต่อที่นี่แน่ พี่รอผมได้เลย "



     " ฮ่า ๆ แล้วพี่จะรอนะ เดี๋ยวไงพี่ลาเราตรงนี้แหละ ขอบใจมากสำหรับค่ายนี้ " พี่โค้กตบบ่าผมปุ ๆ เป็นเชิงขอบคุณจากใจจริง ก่อนที่ผมจะยกมือไหว้เขาด้วยความเคารพ อีกหนึ่งปีครึ่งเจอกันแน่ครับพี่โค้ก :)



     " มิ้ลค์ " คราวนี้คนที่ต่อคิวเรียกชื่อผมไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นบุคคลที่วันนี้ผมงอนมันไปแล้วทั้งหมดสองรอบด้วยกัน ชิ



     " ไร " ผมตอบกลับไอเฟิร์สไปแบบห้วน ๆ หึ ก็งอนอยู่นี่หว่า จะให้ไปพูดดีด้วยได้ไงล่ะครับท่านผู้อ่าน



     " มานี่เร็ว เดี๋ยวไม่ทัน ! "



     " กูไม่.. " เหวออออออ ผมกำลังจะบอกว่า " กูไม่ไป " แต่ไอห่านี่ดันลากแขนซะแรง ไม่ปล่อยให้ผมได้พูดคำใดออกมา แล้วมึงจะพากูไปหนายยยย ปล่อยดูเดี๋ยวนี้ นี่กูงอนมึงอยู่นะ !!



     เฟิร์สพาผมมายังสถานที่แปลกตาภายในตัวมหาวิทยาลัยโดยที่มือมันยังไม่ปล่อยจากข้อแขน ที่นี่เต็มไปด้วยต้นไม้ต้นสูงและม้านั่งสำหรับนักศึกษา ดูร่มรื่นเหมาะแก่การเขียนหนังสือและพักผ่อน แต่ตอนนี้มันใช่เรื่องมาชื่นชมมหาวิทยาลัยเขาซะที่ไหน



     " ปล่อยกูสักทีเส้ !! " เห๊อะ ต้องให้กูใช้แรงสะบัดใช่มั้ยมึงถึงยอมปล่อยแขนกูเนี่ย หึ้ยยยยยย



     " มิ้ลค์ เอานะ " เอานะ ? มึงกำลังจะทำอะไร ? ทำไมต้องพูดเหมือนให้กูเตรียมใจ ? ผมเบิกตาขึ้นเล็กน้อยเมื่อเฟิร์สย่างก้าวเข้ามาประกบจูบกับผมแบบเต็มปาก ผมไม่ได้ตื่นตระหนกอะไรหรอกเพราะริมฝีปากนี้ล้วนคุ้นชินกับตัวเองมาเป็นไหน ๆ ความรู้สึกงอนหรือคำถามใด ๆ ในหัวว่าเฟิร์สคิดจะทำอะไรก็จางหายไปตามแรงเกี่ยวกระหวัดของลิ้นร้อนนั่นจนหมด อย่าจูบกูแรงนักสิ..



     " พี่เฟิร์สเรียกน้ำอุ่นมามีอะไรอี.. " เสียงบ่นอันคุ้นเคยของน้องม.4 ดังมาจากไกล ๆ ก่อนจะมาหยุดลงใกล้ ๆ ทำให้ผมแทบจะผลักตัวออกจากเฟิร์ส แต่คงทำได้แล้วล่ะ ถ้าคนที่จูบอยู่ไม่รั้งโครงหน้าเอาไว้



     " พี่เฟิร์ส...พี่มิ้ลค์... " ถ้าให้ผมเดาสีหน้าของน้ำอุ่นที่มาเจอผมและเฟิร์สกำลังพลอดรักกันอยู่ตอนนี้ คงจะช็อกสนิทก็ไม่ผิดจากความจริงเท่าไหร่นัก



     " ......... " เสียงพูดของน้ำอุ่นที่หายไป เปลี่ยนเป็นสายลมที่พัดมากระทบผิวหน้า เฟิร์สผละตัวออกก่อนที่ผมจะรีบแลซ้ายแลขวาว่าคนที่เดินมาตากี้มันหายไปไหนแล้ว



     " ขอโทษทีว่ะที่ต้องใช้วิธีนี้ " ผมขมวดคิ้วอย่างสงสัยว่าการที่เฟิร์สจูบแล้วน้ำอุ่นเดินมาเห็นเข้ามันเกี่ยวกันอย่างไร



     " ยังไง ? " เฟิร์สคลี่ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบศีรษะผมอย่างที่มันชอบทำ



     " กูแค่อยากให้ไอเด็กนั่นมันรู้ว่ามึงมีเจ้าของแล้วก็เท่านั้นแหละ " ถึงตรงนี้ผมรีบอ้าปากถามโดยพลัน



     " ก็เลยจูบโชว์มันอะนะ ? "



     " อืม "



     เหอะ



- Not to be unlocked -

ออฟไลน์ LKPOW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Not to be unlocked : Episode 43 : รักของเรา [END]


     ในที่สุดชีวิตอันแสนธรรมของเด็กนักเรียนชั้นม.5 อย่างผมก็เดินทางมาถึงจุดจบแบบแฮปปี้ซะที...มั้ง


     ฮ่า ๆ จริง ๆ มันก็ดีเกือบหมดนั่นแหละครับ แต่บางอย่างก็ไม่ค่อยอยากจะพูดถึงมันสักท่าไหร่ เฮ้อ...~ จะให้ผมพูดจริง ๆ เหรอครับ ? ถ้าให้เอาเรื่องที่แม่งเลวทรามและเกิดขึ้นในเทอมสองของม.5 นี้ก็คงหนีไม่พ้นสอบไฟนอลนั่นแหละ โห !!! ผมจะพูดว่ามรสุมไฟนอลไม่ได้แล้วล่ะเพราะแม่งน่าจะเป็นภัยพิบัติไฟนอลซะมากกว่า ก็ท่านผู้อ่านดูแต่ละวิชาที่คณะอาจารย์ทุกท่านออกข้อสอบมาให้ผมทำสิ โอ๊ยยยจะเป็นลม มีการใจดีบอกให้เอาหนังสือเข้าไปในห้องสอบได้ด้วยนะครับ แต่ที่อาจารย์ออกแต่ละข้อน่ะ ในหนังสือมันมีที่ไหนกัน !!!!

     เจ้าน้ำอุ่นเหรอครับ อืมมมมม ผมว่าในเทอมนี้มีอะไรเปลี่ยนไปก็คงจะเป็นเจ้านี่ด้วยนั่นแหละ นับตั้งแต่เด็กนั่นกลับมาจากอเมริกาและค่ายเชฟมันก็เปลี่ยนไปอย่างกับคนละคน ไม่ว่าผมจะเจอน้ำอุ่นที่ไหนและเดินเข้าไปทักทาย เด็กม.4 คนนี้ก็จะทำเหมือนไม่อยากเข้าใกล้เสมือนผมเป็นขี้ในสายตายังไงอย่างงั้น (สงสัยคงช็อกหนักมาก) ตรงส่วนนี้ผมไม่ได้เข้าไปคุยเพื่อปรับความเข้าใจเหมือนคนอื่นที่เคยมีปัญหาด้วยหรอก เพราะว่าเมื่อไม่มีน้ำอุ่นเข้ามาพัวพันกับตัวเองแล้ว ก็ทำให้ไม่ต้องมานั่งรู้สึกกังวลใจว่าเฟิร์สจะคิดอะไรไปอีกมากมายหรือเปล่า ถึงแฟนผมจะกำราบซะอยู่หมัดแล้วก็เถอะ

     ส่วนคนอื่น ๆ รอบข้างผมก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากครับ ตั้งแต่ปรับความเข้าใจกับซัน ความสัมพันธ์พักหลังของผมและเพื่อนคนนี้ที่เกือบจะแตกหัก ก็พุ่งทำลายสถิติในความสนิทแซงหน้าใครต่อใครหลาย ๆ คนไป (เพราะแม่งหนีไปมีเมียกันหมด) ซันกับปอนด์ช่วงนี้ดูจะสนิทกันมากกก เห็นว่าแอบไปเที่ยวสวนสนุกกันสองคนด้วย ! (แม่งไปไม่ชวนเลย ฮึ !) ส่วนเพื่อนยุคดึกดำบรรพ์อย่างปอนด์นั้นก็ไม่ได้มีทีท่าผิดสังเกตจนผมแปลกใจสักเท่าไหร่แล้ว หลายครั้งที่ผมมีโอกาสได้เข้าไปทักทายหรือถามไถ่งานต่าง ๆ ที่ต้องส่งแก่อาจารย์ ปอนด์ก็จะฉีกยิ้มรับจนผมสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น ผมไม่ต้องตั้งคำถามใด ๆ อีกเลยล่ะ เพราะเพียงแค่รอยยิ้มนั้นก็สามารถทำให้รับรู้ได้แล้วว่าปอนด์เข้าใจความรู้สึกทั้งหมดของผม เฮ้อ...หมดห่วงแล้วสินะ

     แต่ให้ผมพูดว่าหมดห่วงทุกเรื่องแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ก็คงจะผิดบ้างบางส่วน เพราะคู่รักไร้สถานะของอาร์มและมินยังคงทำให้ผมคิดเล็กคิดน้อยอยู่ ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ก็เจ้ามินเนี่ยมันยังปากแข็งไม่เลิกน่ะสิ ! แข็งขนาดว่าผมง้างซะแหกแล้วนะว่าคิดอะไรกับอาร์ม น้องตัวเองก็มุ่งมานะพูดแต่ว่า " ก็ไม่ได้คิดหนิครับ " เหอะ ด้วยความเป็นห่วงผสมเสือกเล็กน้อย ผมก็เลยทักไลน์ไปถามไออาร์มอาทิตย์ละสามหนเพื่อหาข้อเท็จจริง แล้วคำตอบที่ได้ก็ยังคงมาในรูปแบบเดิม..

     " มันยังไม่บอกกูสักทีเลยว่ะเพื่อนว่าคิดอะไร "

     ทั้ง ๆ ที่ผ่านมาการกระทำของทั้งคู่แม่งเรียกว่าแฟนแล้วด้วยซ้ำ แต่ก็อาร์มก็ได้คำตอบแบบนี้กลับมา ผมล่ะโคตรสงสารเพื่อนตัวเองเลยยยยย

     ตอนนี้สองข้างทางของผมนั้นเต็มไปด้วยหุบเขาอันสูงชัน หึหึ แบบว่าปิดเทอมแล้วอะครับ ก็อยากจะมาพักผ่อนหลังจากที่เรียนและทำงานพิเศษจนเหนื่อยบ้าง ไม่ได้จะไปไหนไกลหรอกครับ ที่ทำงานของป๊าและม๊าผมนั่นแหละ มาครั้งนี้ไม่ได้มากันแค่สี่คนพ่อแม่ลูกหรอกนะ ยังมีผมและเฟิร์สที่นั่งอยู่เบาะกลาง และอาร์มมินอยู่เบาะหลัง (นั่ง Honda Mobilio ครับ ป๊าพึ่งถอยมาเอ๊ง) ส่วนคนขับกับตุ๊กตาหน้ารถก็ไม่ใช่ใครอื่น

     " ไปถึงโน่นน้องเฟิร์สกับน้องอาร์มจะไปหาอะไรทานกันก่อนมั้ยล่ะจ๊ะ ? เดี๋ยวม๊ากับป๊าเลี้ยงเอง " เหอะ เดี๋ยวนี้ม๊าเอาใจไอสองคนนี้หนักเกินไปแล้วนะ นี่มิ้ลค์กับมินลูกในไส้แท้ ๆ ลืมไปกันหมดแล้วเหรอ ?

     " ไม่ต้องไปยุ่งกับมันเลยม๊า โต ๆ แล้วหัดหากินกันเองบ้าง " ผมพูดพลางเหล่ไปดูคนที่นั่งกุมมือตัวเองอยู่ ยิ้มเลว ๆ แบบนี้มันหมายความว่าไงห้ะไอเฟิร์ส ? จะแดกกูเป็นข้าวกลางวันรึไง

     " แหม ต้องดูแลกันสักหน่อยสิ ได้ลูกเขยมาตั้งสองคน หุหุ " มิ้ลค์ยอมรับนะว่าเฟิร์สจะมาเป็นลูกเขย แต่คู่ที่นั่งกินขนมจู๋จี๋เบาะหลังน่ะจะได้แพ็คกระเป๋าเข้ามาอยู่บ้านหลังนี้รึเปล่าเถอะ

     " นี่ ชั้นถามแกทั้งสองคนนะเจ้ามิ้ลค์เจ้ามิน แกคิดจะคบกับผู้ชายจริง ๆ เหรอ ? ไม่ให้ชั้นได้อุ้มลูกอุ้มหลานบ้างเลยรึไงกัน " ยังไม่ทันผมจะแย้งอะไร ม๊าก็ยื่นมือไปตีแขนป๊าดังแป๊ะ

     " นี่คุณ ลูกจะรักใครชอบใครเราไม่เคยห้ามไม่ใช่เหรอ ? เราก็เคยคุยกันแล้วนี่เรื่องนี้ " ใช่ครับ บุพการีทั้งสองท่านคุยเรื่องนี้วกไปวนมาประมาณสองแสนรอบเห็นจะได้ เหอ ๆ

     " ก็รู้...แต่ผมก็อยากอุ้มหลานบ้าง ถ้ารักกันแบบมิ้ลค์คู่เดียวก็ไม่ได้อะไรหรอก แต่ดันมารักคู่ไอเจ้ามินด้วยน่ะสิ โอ๊ยยยย ผมใจจะขาดแล้วนะคุณ ! " ฮ่า ๆ ถ้ามิ้ลค์เป็นผู้ชายที่ท้องได้สัญญาเลยจะเอาหลานมาฝากแน่ แต่ตอนนี้ให้ได้แค่ลูกชายที่แสนดีไปก่อนเนอะ

     " ว่าแต่เซอร์ไพรส์ที่ม๊าว่านี่อะไรเหรอครับ ? เห็นบอกตั้งแต่เมื่อวานแล้วเนี่ย " เข้าเกริ่นบอกจะพูดอะไรสักอย่างก่อนจะมาหัวหินแล้วน่ะครับ ทั้งสองคนหน้ารถหันมามองกันแว็บนึงพลางยิ้มออกมา เขาจะเอาผมไปคืนสู่ป่าละเมาะปะวะ ?

     " ถึงโน่นก่อนไม่ได้เหรอ ? " ผมส่ายหน้าไปมาทันที ต่อรองมิ้ลค์ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะม๊า

     " ก็ได้ ๆ อืมมมม ม๊าแค่...ประมูลโรงแรมของอาประวิทย์ได้แล้วแค่นั้นแหละ " อ๋อ ก็แค่ประมูลโรงแรมห้าดาวที่อยู่ติดชายหาดแถมพร้อมลงไปเล่นทะเลได้ทุกเมื่อก็เท่านั้นเอง..

     เดี๋ยว !!!!!!!

     " ม่ะ...ม๊า พูดจริงเหรอ !!!!? " เรื่องจริงเหรอวะเนี่ย...เชี่ยยยยยยย !!!!!!

     " โกหกมั้ง ชื่อเจ้าของคนต่อไปก็กนต์ธน ไชยวัฒน์ ชื่อใครล่ะ ? " โอ้โห นั่นมันชื่อป๊าซะด้วย !! ปกติทั้งคู่เขาได้เป็นแค่หุ้นส่วนโรงแรมนี้เองนะครับ นี่อาจหาญไปเป็นเจ้าของโรงแรมกันตั้งแต่เมื่อไหร่ !?

     " ไปประมูลมาเท่าไหร่ !? " ม๊าผมยิ้มผ่านกระจกแบบเหนือ ๆ กูว่าต้องไปประมูลมาไม่ต่ำกว่า..

     " เก้าหลัก " นั่นไงล่ะ !!!!!! ผมอ้าปากค้างในจำนวนเงินที่รับรู้ แต่ดูเหมือนว่าคงจะมีแค่ผมมั้งที่ตะลึงเพราะคนข้าง ๆ ยังตีหน้ามึนอยู่

     " งั้นชาตินี้มิ้ลค์ก็เกาะป๊ากินได้แล้วอะดิ เย้ ! "

     " เฮ้ย ๆ ใครเอาหลานมาให้ชั้นอุ้มได้ถึงค่อยมาเซ็นชื่อเจ้าของคนต่อไปโว้ย ฮ่า ๆ " ป๊าผมพูดขณะเลี้ยวหักศอกโค้งด้านหน้า

     " งั้นก็ปล่อยโรงแรมให้ร้างไปเลยเพราะมินจะเกาะพี่อาร์มกิน " โอ้โหไอน้องรัก เจตจำนงแห่งโคโนฮะของเอ็งชั่งแน่วแน่ยิ่งนัก กูล่ะยอมใจเลยจริง ๆ ว่าแต่ทำไมไออาร์มตั้งแต่ขึ้นรถมายังไม่เห็นแม่งพูดอะไรเลยสักแอะเดียว ?

     " งั้นมิ้ลค์ก็เกาะเฟิร์สกินนี่แหละ ตามนั้นนะป๊า ฮ่า ๆ " คนที่นั่งข้าง ๆ คนขับขำออกมาคิก ๆ อย่างถูกใจ

     " ไอพวกลูกบ้า !!!! " ฮ่า ๆ ทำไงได้ล่ะก็ท้องให้ไม่ได้สักหน่อย

     ก่อนจะไปฐานที่ตั้งอำเภอหัวหินป๊า ป๊าผมก็พาพวกเราแวะมารับประทานอาหารเช้าแถวไหนไม่รู้ไม่คุ้นสักนิด เพราะตั้งแต่ออกรถมายังไม่มีอะไรตกถึงท้องใครสักคน พอหนังท้องตึงเข้าหน่อยป๊าผมก็มุ่งหน้าเต็มสปีดมาถึงจุดหมายภายในไม่กี่นาที โรงแรมแห่งนี้ผมมาเที่ยวในทุก ๆ ปีครับ จะมากี่ครั้ง ๆ ก็ชวนให้นึกถึงอดีตอันน่าจดจำอยู่เสมอ แต่เดี๋ยวผมพาเดินออกไปดูแถว ๆ ชายหาดนะครับ ขอยกสัมภาระต่าง ๆ ตามป๊าเข้าไปข้างในก่อน ฮ่า ๆ

     " อาประวิทย์สวัสดีครับ " หลังจากที่ได้แบกกระเป๋าใบเป้งจากรถเข้ามาภายในตัวโรงแรม ผมกับมินก็ทำการยกมือไหว้เจ้าของโรงแรม (คนเก่า) อย่างฉับไว บุคคลที่ไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามอย่างเฟิร์สและอาร์มก็แสดงความเคารพด้วย

     " โอ้หวัดดี ๆ แหมมิ้ลค์ ไม่ได้เจอกันเกือบปีหล่อขึ้นเยอะเลยนะเรา " อย่างที่บอกน่ะครับว่าอาประวิทย์เขาเป็นเจ้าของที่นี่มานานมาก แต่เดิมเขาเป็นเพื่อนกับป๊าผมสมัยยังเรียน อยู่ดี ๆ ทั้งคู่นึกสนุกครับก็เลยคุยกันว่าจะเปิดโรงแรม ส่วนม๊าผมมีความรู้เรื่องการบริการอยู่แล้วป๊าเลยไหว้วานขอแรงให้มาช่วย สรุปงานของทั้งคู่ก็เลยมาลงเอยที่นี่นั่นเอง อาเขารับไหว้ก่อนจะเดินมาแตะบ่าผมอย่างเอ็นดูและหันไปคุยกับป๊า " จะเอาวีไอพีสองห้องใช่มั้ย ? "

     " สามห้องสิ อะไรวะ ? สองห้องเก็บไว้ให้ลูกชั้นนอน นี่เจ้าของใหม่นะโว้ย อยากนอนวีไอพีบ้าง นอนแต่ห้องรูหนู คันไปหมดแล้วว่ะ ฮ่า ๆ " ถ้าผมจำไม่ผิด เวลาป๊ามาทำงานที่นี่เขาจะมีห้องประจำไว้นอนกะม๊านี่หว่า ถ้ารีเควสว่าสามห้องแบบนี้แสดงว่าเปลี่ยนเจ้าของแล้วจริง ๆ

     " แหม ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ อะ ๆ ไปเช็กอินก่อน " ป๊า ม๊า และอาประวิทย์เดินไปที่หน้าเคาน์เตอร์ พลางบอกให้พวกเราไปนั่งรออยู่ในล็อบบี้เสียก่อน พอโน้มตัวนั่งโซฟาได้เข้าหน่อยเจ้าน้องชายตัวดีมันก็ออดอ้อนไออาร์มอวดจนน่าหมั่นไส้

     " นี่พี่อาร์ม เลิกแข็งเป็นหินได้รึยังเนี่ย ? มินก็บอกแล้วว่าป๊ากับม๊าเขาไม่กัดหรอก " มินพูดขณะจิ้มท้องคนข้าง ๆ เล่นเหมือนมันเป็นขี้ในอาราเล่ เดี๋ยวนะ...นี่เอ็งกำลังจะบอกว่าป๊ากับม๊าเป็นหมาเหรอ ? แต่ไออาร์มมันนิ่งแบบนี้ตั้งแต่อยู่บนรถแล้วจริง ๆ นะครับ

     " พี่...วางตัวต่อหน้าพ่อกับแม่เราไม่ถูกว่ะ " ผมเลิกคิ้วมองคู่พี่น้องที่ตกเป็นเป้าสายก่อนจะหันมามองเฟิร์สข้าง ๆ ทำหน้าเหนือแบบนี้มึงกำลังหมายความว่าอยู่กับป๊าและม๊ากูจนจะกลายเป็นเพื่อนแล้วใช่มั้ยไอเฟิร์ส ?

     " เฮ้อ " มินถอนหายใจออกมาพรูพลางยื่นถุงขนมที่แวะซื้อมาจากเซเว่นให้ " อะ เอานี่ไป "

     " เอ่อ...คือจะให้พี่ป้อนใช่มั้ยครับ ? " เด็กตัวขาวพยักหน้าให้กับภาษาดอกไม้ที่อาร์มพูดจนเฟิร์สต้องหันมามองตาละห้อย จะอ้อนกูมั้งล่ะสิ

     " ที่รัก เค้าอยากกินบ้างอะ ป้อนเค้าบ้างจิ " นั่นไงล่ะ ทำไมให้เลขเด็ดชาวบ้านชาวช่องไปไม่เห็นถูกงี้บ้างวะ

     " มีมือก็หยิบแดกเองสิ ฮ่า ๆ โอ๊ยย !! " ฮือออออออ ท่านผู้อ่าน มันโบกหัวผม !!!!

     " ฮ่า ๆ ไอควายย กวนตีนผัวมึงแบบนี้ก็สมควรโดน " สาดดดดดดดดดด กูจะตบมึงบ้างไออาร์ม ! ไอเฟิร์สอย่าห้ามกู !!

     ในตอนที่เฟิร์สฉุดกระชากลากหางไม่ปล่อยให้ผมได้ขย้ำไออาร์มอยู่นั้นเอง ป๊าและม๊าที่หายไปตั้งแต่เมื่อครู่ก็เดินกลับมาพร้อมกับกุญแจห้องถึงสองพวง

     " วีไอพีจองให้พวกแกได้แค่สองห้องเองน่ะ ต้องเก็บไว้ให้ลูกค้า เดี๋ยวชั้นกับม๊าแกคงไปนอนที่เก่านั่นแหละนะ " เวรของกรรม ผมมาทั้งทีได้นอนที่สบายกว่าป๊าและม๊าแล้วรู้สึกผิดเลยว่ะ

     " แล้วคุณพ่อกับคุณแม่ไม่เป็นอะไรเหรอครับ ? " เฟิร์สถามกลับไปด้วยความเกรงใจ แต่สองคนนั้นกลับยักไหล่สบาย ๆ

     " ไม่เป็นไรหรอกจ่ะหนูเฟิร์ส ม๊ากับป๊าจะได้ไม่ต้องขนของไปขนของมา พวกเรามาเที่ยวกันก็นอนให้สบายเถอะนะ " นักท่องเที่ยวทั้งสี่หันกลับมามองหน้ากันอย่างลำบากใจ แต่ก็ยินยอมพยักหน้ารับคำสั่งนั้นมาแต่โดยดี

     " งั้นก็ขึ้นไปเก็บของก่อน พักผ่อนกันให้เรียบร้อย เย็น ๆ ค่อยลงมาเล่นน้ำ เล่นตอนนี้เดี๋ยวเป็นมะเร็งผิวหนังกันหมด ม๊าไม่รับผิดชอบนะ " พวกเราทั้งหมดพยักหน้ารับซ้ำกันอีกครั้ง

     " ครับ "

     " แยกย้ายเลยนะจ๊ะ ม๊ากับป๊าไปทำงานต่อละ มีอะไรฉุกเฉินมิ้ลค์กับมินโทรเข้าเบอร์ม๊าเลยนะ "

     ลำบากใจเหมือนกันแฮะ..

     หลังจากผัวเมียคู่ผมโบกมือลาคู่น้องเขยให้แยกย้ายเข้าห้องไปทำธุระส่วนตัว ทางนี้ก็จัดการนำสัมภาระจากกระเป๋าเข้าตู้เสื้อผ้าให้เรียบร้อยพลางกวาดสายตาไปทั่วห้อง อืมมมมมมม สมคำร่ำลือที่เขาเรียกว่าห้องวีไอพีจริง ๆ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่สิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน พอจัดข้าวของเสร็จเฟิร์สก็เดินไปหยิบรีโมทแอร์เพื่อกระจายความเย็นให้ทั่วห้องหนำซ้ำยังหยิบรีโมทผ้าม่านมากดปิด ตอนแรกก็งง ๆ แหละครับว่าจะฆ่าผมหมกห้องหรือเปล่าจนได้ยินมันพูดว่า " นอนก่อนแล้วกัน เย็น ๆ ค่อยลงไปเล่นน้ำ " ผมก็เลยรับคำสั่งของเฟิร์สมาอย่างว่าง่าย พลางทิ้งตัวเองลงไปบนเตียงนุ่ม ๆ ที่มีเอฟเฟคดีดให้ลอยขึ้นดึ๋งดั๋ง เฟิร์สมันก็เชื่อฟังม๊าผมดีเหมือนกันนี่หว่า จริง ๆ ผมว่าจะแอบลงไปเล่นน้ำที่สระพลาง ๆ ก่อนนั่นแหละครับแล้วค่อยจัดน้ำทะเลให้สมใจ แต่ในเมื่อคุณผัวเขาต้องการอย่างนี้ก็คงขัดข้องอะไรไม่ได้

     จวบจนเวลาผ่านไปถึงสี่โมงเย็นครับเฟิร์สถึงได้ปลุกผมให้ลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้า ผมงัวเงียลุกจากเตียงแล้วเดินไปที่ตู้ก่อนจะควานหากางเกงว่ายน้ำ แต่ไอเฟิร์สดันกวักมือเรียกให้เดินไปหาเสียก่อน พลางโยนเสื้อลายดอกสีส้มและกางเกงว่ายน้ำขายาวถึงหัวเข่า และนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมขัดคำสั่งผู้พันท่านนี้ไม่ได้ เพราะขืนอยากจะใส่สั้น ๆ ตามใจนึก มีหวังตัวผมได้สั่นไปถึงเช้าแหง ๆ

     พอเสร็จสิ้นจากการแต่งตัวให้เข้ากับสถานที่เฟิร์สก็เดินพาผมลงมายังชายหาด ผมสูดอากาศจากลมทะเลเข้าปอดไปเฮือกใหญ่เพื่อรับความสดชื่น อ่าาาาห์ ช่วงบ่ายสี่โมงแบบนี้แหละครับเหมาะแก่การเล่นน้ำที่สู๊ดดดดดด หึหึ แต่ผมยืนมองเส้นขนานท้องฟ้าและน้ำทะเลอยู่ได้ไม่นาน เฟิร์สก็จูงมือไปสมทบกับอาร์มและมินที่เล่นบอลยางอยู่ แหม สองคนนี้ลงมาเล่นก่อนไม่มีการชวนเลยนะ ชิ

     " พี่อาร์ม มินอยากขี่หลังเหมือนพี่มิ้ลค์บ้าง " ในตอนที่ผมเปลี่ยนกิจกรรมจากลิงชิงบอลมาเป็นขี่หลังเฟิร์ส เจ้าน้องชายขี้อ้อนที่ลอยตัวอยู่เหนือน้ำก็ร้องขอสิ่งที่อยากได้บ้าง

     " มาสิ " อาร์มไม่ได้ติดขัดอะไรพลางย่อเข่าตัวเองให้มินได้กระโดดขึ้นไป

     " เย้ พี่อาร์มตามใจมินแล้วน่ารักที่สุด " พอมินได้ขี่หลังอาร์มเข้าหน่อยก็ยิ้มแป้นเหมือนได้อยู่บนหลังช้างจริง ๆ มึงจับดี ๆ นะเดี๋ยวน้องกูตกลงไปโดนฉลามแดก

     " น้องมึงนี่ติ๊งต๊องเนอะ " ไอเฟิร์สมันหันมาพูดเบา ๆ ข้างหูที่ผมใช้ไหล่มันเกยคาง อ่าวเฮ้ย ! นี่มึงด่าน้องกูเหรอ !?

     " ติ๊งต๊องเหมือนมึงแหละฟาย " เหวออ ไอเฟิร์ส ! แค่ก ๆ ไอเชี่ยยยยยยยยย มึงจะปล่อยกูตกน้ำอย่างนี้ไม่ได้นะ !! ฮืออออ แค่ก ๆ ทำไมพักนี้ผมโดนมันทำร้ายร่างกายตลอดเลย !

     " ฮ่า ๆ พี่อาร์มอย่าทำแบบนี้กับมินนะ มินโกรธ ๆ จริงด้วย " ผมสำลักน้ำพลางมองหน้าคู่กรณีอย่างขุ่นเคือง ๆ แม่ง กวนตีนทีไรผมโดนงี้ตลอดเลย มึงไม่ต้องมาแตะไอเฟิร์ส !!

     " พี่ไม่ทำเรางี้หรอก ผัวเมียคู่นั้นเขาชอบใช้ความรุนแรง ตบแล้วจูบ ตบแล้วจูบ ฮ่า ๆ " เออ คู่กูอะชอบใช้ความรุนแรงแล้วมีปัญหาอะไรมิทราบห้ะไออาร์ม ?

     " พี่อาร์ม พามินขี่ไปตรงโน้นหน่อย มินอยากก่อปราสาททราย " ลูกลิงบนหลังช้างชี้ไปยังชายฝั่งซึ่งเป็นในตอนที่เฟิร์สกำลังลอดแขนผ่านขาและลำคอผม นี่มึงกำลังจะทำอะไรน่ะ !? กูเดินไปเองได้ ไม่ต้องอุ้มเหมือนพระเอกในหนังเลยนะไอสัด !!

     " ไปกันเล้ยยยไอลูกหมา " สิ้นคำนั้นอาร์มที่มีมินเกาะหลังก็เดินแหวกน้ำไปขึ้นฝั่งอย่างช้า ๆ เช่นเดียวกับเฟิร์สที่ก้มหน้ามามองผมขณะก้าว สุดท้ายแม่งก็อุ้มผมจริง ๆ เฮ้อ..

     " ขอโทษนะครับที่รัก เจ็บมั้ย ? " หึ ปากผมไวกว่าความคิด

     " ไม่เจ็บ แต่สำลัก มันน่าให้อภัยมั้ย ? "

     " โอ๋ เค้าแค่หยอกตัวเองเล่นเหมือนที่ตัวเองหยอกเค้าไง สองมาตรฐานนี่หว่า " เอ้าท่านผู้อ่าน สิทธิ์คนเป็นเมียมันต้องเยอะกว่าผัวถูกปะ ฮ่า ๆ แล้วผัวก็ต้องกลัวเมียด้วย

     " ไม่ ยังไงกูก็ไม่ให้อภัย " ไม่ว่าแม่งจะพูดคำไหนผมก็ไม่มีทางให้อภัยมันแน่ เพราะการเล่นตัวของผมนั้นชั่งยิ่งใหญ่นัก หึหึ

     " ต้องให้กูตบจูบจริง ๆ ใช่มั้ยห้ะ ? ได้ ! คืนนี้จะจัดให้หนัก ๆ เลย "

     " ไม่ต้องมายุ่ง !!! " ขอเล่นตัวไปอย่างนี้เรื่อย ๆ ก่อนก็แล้วกัน..

     พอมาถึงฝั่งผมก็ขอตัวขึ้นไปนอนพักที่เก้าอี้นอนสักหน่อยเพราะรู้สึกมึน ๆ หัว ปล่อยให้สามคนนั้นได้ก่อปราสาททรายไปตามจินตนาการ แต่เพียงไม่นานนักสายตาของผมก็เห็นร่างโปร่งของเพื่อนสนิทเดินแยกออกจากสองคนนั้นเพื่อตรงปรี่มาหา อาร์มยิ้มให้ผมบาง ๆ ก่อนจะโน้มตัวนั่งเก้าอี้ตัวข้าง ๆ

     " ไงมึง เดินมาอย่างงี้มีเรื่องจะคุยกับกูชัวร์ " จากลักษณะสีหน้าและท่าทางครุ่นคิดของเพื่อนคนนี้คงเป็นไปอย่างอื่นไม่ได้

     " ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอกมึง กูแค่อยากจะบอกอะไรสักอย่าง " โอ้ ! จะเป็นอะไรกันนะที่ออกมาจากปากของมัน

     " จะบอกอะไรกูก็ขอแบบชื่นใจหน่อยนะ หึหึ " ลองเชิงไปงั้นแหละครับ ยังไงก็คิดว่าเป็นข่าวดีแน่นอน อาร์มผลุบหน้าลงต่ำก่อนจะช้อนตามอง

     " มินมันให้กูเป็นแฟนได้แล้วนะ " ป้าดดดดดดดดดดดดด ถึงตอนนี้ผมดีดตัวขึ้นมาอย่างไม่สนใจอาการมินศีรษะที่เป็นอยู่

     " เรื่องจริง !!!? "

     " เออ มินมันบอกกูเมื่อบ่ายนี้เอง กูดีใจชิบหายเลยว่ะมิ้ลค์ แต่.. " ผมเลิกคิ้วให้มันที่อยู่ดี ๆ ก็เว้นช่วงไป

     " แต่...มันไม่ให้มาบอกมึง " เอ้า ! ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ ?

     " ทำไมวะ มันเขินกูเหรอ ? "

     " กูก็ไม่รู้เหตุผลของมินเหมือนกัน แต่การที่แอบมาบอกมึงเนี่ยกูคิดดีแล้วว่ามันสมควร กูไม่ได้มองมึงเป็นแค่เพื่อนที่กูรัก แต่กูมองมึงเหมือนเป็นคนที่ดูแลทั้งกูและมินอยู่ห่าง ๆ แถมกูเคยสัญญากับมึงแล้วไงว่าจะเอาข่าวดีเรื่องนี้มาบอก " แหมผู้ชายคนนี้ รักษาสัญญาดีจริง ๆ ว่ะ หึหึ

     " เออ กูดีใจด้วยนะเว้ยที่มันกล้าบอกมึงตรง ๆ หลังจากที่ปากแข็งมานาน ยังไงหลังจากนี้.. "

     " เออ กูดูแลน้องมึงได้อยู่แล้ว ไม่ต้องพูดหลายรอบ " อาร์มพูดคำนี้ออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังแย่งบทสนทนาของผมไปทั้งหมด ผมไม่มีคำไหนพูดออกมาได้อีกแล้วนอกจากมินโชคดีมาก ๆ ที่ได้เจอคนแบบอาร์ม

     " ขอบคุณมึงมากนะเว้ย ขอบคุณมึงจริง ๆ " ผมเอื้อมมือไปตบบ่าเพื่อนสนิทอย่างอาร์มเป็นเชิงขอบคุณยิ่ง ก่อนที่เราจะหันไปมองมินและเฟิร์สที่วิ่งเล่นอยู่บนหาดทราย

     ผมพูดอะไรไม่ออกแล้วจริง ๆ มันตื้นตันหัวใจดวงนี้ไปหมด

####

ออฟไลน์ LKPOW

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
EP.43 ต่อ
     " ขอบคุณนะครับพี่โม " หลังจากที่ได้ยินเสียงเคาะประตูดังอยู่สองสามที ผมก็เดินไปรับรถเข็นที่เต็มไปด้วยอาหารมื้อเย็นสำหรับดินเนอร์ใต้แสงเทียนมาไว้ในห้อง ซึ่งมันเป็นไปตามคำขอของไอคนที่นั่งรออยู่ตรงระเบียง

     " ทานข้าวเย็นกันที่ห้องเหรอเนี่ย ว่าแล้วเชียวคุณแม่ของน้องมิ้ลค์ถึงได้บ่น ๆ ว่าเมื่อเย็นไม่ลงไปทานอาหารด้วยกัน " พี่พนักงานโรงแรมท่านนี้ผมสนิทกับเขาในระดับนึงครับ ตอนเด็ก ๆ ชอบมาป่วนเขาให้ปวดหัวเล่นอยู่บ่อย ๆ ฮ่า ๆ

     " นิดหน่อยครับพี่โม พอดีหวานใจเขาต้องการน่ะครับ " พี่พนักงานในชุดโรงแรมเบิกตาขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่ผมโฆษณาถึงแฟนซะดิบดี

     " ว้าาาาา น้องมิ้ลค์มีแฟนซะละ อย่างงี้พี่ก็ต้องต่อคิวแล้วล่ะสิเนี่ย " ฮ่า ๆ สงสัยไม่ต้องต่อคิวแล้วล่ะครับ เพราะไอห่านี่แม่งคงอยู่ยาวกว่าใครเพื่อนแน่ ๆ

     " ฮ่า ๆ ยังไงมิ้ลค์ขอตัวก่อนนะครับ แฟนผมคงหิวแล้วล่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะครับ "

     " จ้า ทานเสร็จแล้วเข็นออกมาไว้หน้าห้องได้เลยนะ เดี๋ยวเช้าพี่เข็นกลับไปเอง ตอนนี้ก็เข็นไปที่ระเบียงดี ๆ ล่ะ ปิดไฟซะมืดเลย " ก็อย่างที่บอกน่ะครับมือนี้ผมทานข้าวใต้แสงเทียนกัน จะปิดไฟหมดก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

     " คร้าบบบบบ " ผมตอบรับก่อนที่พี่เขาจะเป็นธุระปิดประตูให้ เอาล่ะไอตัวแสบ ! มึงจะมาง้ออะไรกูมิทราบก็ขอดูหน่อยเถอะ !

     ผมเข็นรถที่บรรจุอาหารไว้ไปยังระเบียงอย่างระมัดระวังตามคำตักเตือนของพี่โม แล้วจึงเปิดฝาครอบออกให้กลิ่นของสเต๊กชิ้นหนาทั้งสองจานได้พรั่งพรูความหอมคลุกเคล้าไปกับกลิ่นไอทะเล ผมยกมันขึ้นไปวางไว้ด้านหน้าของคนที่นั่งอยู่และของตัวเองภายใต้เชิงเทียนที่สาดส่องแสงไฟดวงสวย

     " อะ จะขอโทษหรือง้ออะไรก็รีบ ๆ ทำ " ผมพูดก่อนจะโน้มตัวลงนั่ง ก็ไม่ได้อยากจะแกล้งทำเป็นโกรธหรืออะไรมันหรอกนะ แต่การเล่นตัวไม่ยอมหายงอนสักทีแบบนี้เนี่ย ก็เหมือนวัดคุณค่าความสำคัญดี ๆ ของตนเหมือนกันนะ หึหึ มีอะไรอีกหลายอย่างเลยครับที่เฟิร์สแกล้งหนักกว่านี้และผมสมควรที่จะโกรธ

     " มิ้ลค์ " เสียงขานชื่อของเฟิร์สดังออกมาเบา ๆ แต่กลับดังกึกก้องในใจผมชั่วขณะ เวลาเฟิร์สพูดชื่อผมด้วยโทนเสียงนุ่มและลึกแบบนี้ทีไรก็ชวนขนลุกอยู่เสมอ

     " ว่าไง ? " ผมพูดพลางมองเข้าไปยังนัยน์ตาคู่นั้นที่เปล่งประกายแม้ความมืดจากท้องฟ้าจะบดบังความชัดเจนนี้ก็ตาม

     " ชีวิตที่ไร้สาระของกูที่ผ่านมา...กูไม่เคยที่จะให้ความสำคัญกับตัวเองสักเท่าไหร่ "

     " .......... " ผมจดจ่อกับดวงตาคู่นั้นและลมปากที่เฟิร์สพูดออกมาว่ากำลังหมายถึงอะไะ เพราะน้ำเสียงของมันเจือความจริงจังยิ่งกว่าเก่า

     " จนชีวิตกูเดินทางมาเจอมึง...คนที่กูเคยเกลียด...คนที่กูเคยไม่ชอบ กูย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องนี้ทีไร...กูล่ะโคตรสมเพชตัวเองทุกครั้ง "

     " .......... "

     " ตอนนี้กูเข้าใจแล้วว่าชีวิตของกูมันมีความหมายมากมายขนาดไหน...ตั้งแต่มึงเดินเข้ามา "

     " .......... "

     " มิ้ลค์...หลังจากนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่ากูจะทำมึงเสียน้ำตาหรือไม่...ทั้งตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ "

     " .......... "

     " มึงอย่าทิ้งกูไปไหนเลยนะ กูบอกตรง ๆ ว่าถ้าไม่มีมึง...กูจินตนาการไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าชีวิตหลังจากนั้นมันจะเป็นยังไง "

     " .......... "

     " ไม่ว่าอุปสรรคข้างหน้ามันจะยากลำบากแค่ไหน ขอให้เราจับมือและเดินฝ่าไปด้วยกันนะมิ้ลค์ " ความรู้สึกที่สบายใจแบบนี้มันคืออะไรกันล่ะเนี่ย...นี่เฟิร์สมาง้อผมหรือจะระบายความในใจอะไรกันแน่นะ

     " น้ำเน่านะมึงอะ วุ้ แดก ๆ " ผมตัดบทมันไปทั้งอย่างนั้นเพราะถ้าขืนฟังต่อมีหวังยิ้มแก้มปริกว่านี้แหง

     " มิ้ลค์ " โอ๊ยยยยย จะเรียกกูทำไมนักหนา

     " ว่าไง ? "

     " ช่วยบอกคำนี้ให้กูได้ยินสักหน่อย...จะได้มั้ย ? " ยังจะมาอยากได้ยินอะไรจากกูอีก

     " อะไรล่ะ ? "

     " ช่วยบอกรักกูทีนะ " ผมนิ่งเงียบเหมือนคนคิดอะไรในหัว แต่จริง ๆ แล้วสมองกลับว่างเปล่าไปหมด ผมกลั่นคำพูดที่บริสุทธิ์นั้นตามความรู้สึก ให้ไหล่ผ่านริมฝีปากด้วยรอยยิ้มอันบางเบา

     " มิ้ลค์รักเฟิร์ส...มิ้ลค์จะรักเฟิร์สแค่คนเดียว ไม่ว่าทางข้างหน้าจะเราจะต้องเจออะไรกันอีก...มิ้ลค์จะรักเฟิร์สอย่างอยากที่จะเอาใครมาเทียบเทียม " ถึงตอนนี้คนตรงหน้าที่เคยบ่นว่าหิวคงจะไม่สนใจอะไรแล้ว นอกจากลุกขึ้นมาดึงผมเข้าไปกอดแบบไม่สนใจว่ากระดูกจะหักหรือเปล่า ผมคิดว่าเพียงแค่พูดเหล่านี้ คำถามทุกอย่างที่เคยข้องใจในตัวเฟิร์สคงจะได้คำตอบที่ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว

     " ขอบคุณ...ขอบคุณครับมิ้ลค์ " เสียงเฟิร์สกล่าวขอบคุณกระเส่าคล้ายเหมือนคนใกล้จะร้องไห้ ผมปล่อยให้ผู้ชายคนนี้กอดแบบแนบชิดตามที่ใจมันต้องการพลางทวนเรื่องราวไปยังเมื่อก่อน..

     เมื่อก่อนมุมมองความรักของผมก็คงเหมือนใครหลาย ๆ คน ที่ยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อให้ได้ความรักนั้นหวนคืนกลับมาเป็นผลกำไร อยากจะรักษา อยากจะดูแล อยากจะหวงแหน เพื่อให้ความรักของเรานั้นคงอยู่ไปชั่วตราบนาน ครั้งหนึ่งที่เคยรักนัทตี้ ผมแทบไม่ได้หันมาสนใจตัวเองเลยด้วยซ้ำว่าจะเสียอะไรไปบ้าง ผลสุดท้ายของความคิดเหล่านั้นก็กลับกลายมาเป็นผมที่ต้องปิดประตูหัวใจไม่กล้ารักใครอีก จนแล้วจนรอดชะตาก็ส่งบททดสอบรักครั้งใหม่มาเป็นผู้ชายที่ผมรักมากที่สุด ณ ตอนนี้ ผมเปิดใจรับเฟิร์สเข้ามาอยู่ข้างในโดยที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเราได้ผ่านเรื่องราวอะไรกันมาบ้าง ผมและมันต่างมีบาดแผลในหัวใจที่เหมือนกัน แต่สิ่งอื่นใดที่เฟิร์สมีไม่เหมือนก็คือผู้ชายคนนี้กล้าที่จะสารภาพอย่างแน่วแน่ว่าจะรักใคร มันเป็นเพียงไม่กี่คนที่ผมนับถือเรื่องความรู้สึก และมันเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ทำให้ผมรู้จักคำว่ารักในรูปแบบใหม่ โดยที่ไม่ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องเสียสละไปตลอด คำพูดของเฟิร์สที่ร้องขอผมเมื่อครู่ว่าไม่ให้จากไปไหน ดูเหมือนจะไม่ได้มีแค่มันหรอกที่คิดคนเดียว ถ้าวันใดวันหนึ่งเฟิร์สไม่ได้อยู่เขียงข้างผม ที่พึ่งสุดท้ายของหัวใจดวงนี้คงไม่สามารถรับใครเข้ามาอยู่แทนที่ได้อีกแล้ว

     " เลิกกอดกูได้ยัง ? รีบกินข้าวแล้วก็รีบไปอาบน้ำ "

     " ไม่กินแล้วได้มั้ยอะข้าว " เอ้า ! แล้วมึงบ่น ๆ ว่าหิวไม่ใช่หรือไง ?

     " แล้วจะกินอะไร ? " เฟิร์สโงหัวขึ้นมาฉีกยิ้มอย่างโคตรหื่นตามที่มันชอบทำ

     " กินมึงแทนแล้วกัน หึหึ " ยังไม่ทันที่ผมจะตอบรับอะไร เฟิร์สแม่งก็จัดการสอดแขนเข้าใต้รักแร้พลางแบกผมขึ้นบ่าไปยังเตียงทันที

     เฮ้อ...หื่นแบบนี้คงมีแค่แฟนผมคนเดียวนั่นแหละครับ ฮ่า ๆ

     ท้ายที่สุดแล้ว ผมขออวยพรให้ความรักของเรา...นั้นมีแต่เราตลอดไป :)




- จบบริบูรณ์ -

- Not to be unlocked -


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด