=อยู่ด้วย=
ห้องพักของทิมไม่ได้ใหญ่มาก.. แต่ก็ไม่ได้เล็กมาก
ขนาดปกติ พอที่จะอยู่ด้วยกันสองคนได้อีก ผมกวาดสายตามองรอบ ๆ ห้อง รู้สึกหงุดหงิดกับข้าวของที่วางระเกะระกะไม่เป็นทาง ไม่ว่าจะเป็นถุงเท้า เสื้อผ้าที่ไม่ได้ซัก รองเท้าไม่เป็ระเบียบก็ตามที โชคยังดีที่โซนห้องครัวเป็นสะอาดไม่อย่างนั้นคนอย่างผมต้องเผลอบ่นไปแน่
‘ตามสบายนะ’ ทิมพิมพ์ข้อความส่งให้แล้วเข้าไปในห้องนอนตัวเองที่เปิดอ้าซ่าอยู่ หยิบโทรศัพท์มากดเล่นจึ๊ก ๆ
โอเค ผมคงดูถูกชาวอเมริกันเรื่องความรกของเขาเกินไป .. ห้องเขารกกว่าข้างนอกเสียอีก !
“You !” เสียงอุทานทิมดังอีกหน ก่อนเขาจะชูมือถือตัวเอง สลับกับสายชาร์จ แล้วชี้ที่ปลั๊กไฟ
“ชาร์จ ?” ผมถาม นึกขึ้นได้ว่าเขาเป็นคนอเมริกาคงไม่เข้าใจ แต่คำตอบที่ได้รับคือการพยักหน้าหงึก ๆ
อ๋อ..
เกือบลืมไป ว่าชาร์จมันเป็นคำทับศัพท์
เป็นโชคดีของผมและไอโฟนที่ใช้กับปลั๊กในอเมริกาได้แม้จะซื้อที่ไทยก็ตามที ผมเดินไปเสียบปลั๊ก แต่ไหล่ดันถูกสะกิดยึ้ก ๆ โดยเจ้าของห้องซะงั้น
“?”
โทรศัพท์มือถือเครื่องเดิมถูกส่งมาให้อ่าน ‘จ่ายค่าไฟด้วยนะ’
“...” แล้วมันก็ทำให้เผลอยิ้ม “รู้น่า”
“??”
ทิมทำหน้างงกว่าผมอีก ผมจึงจัดการหยิบมือถือตัวเองที่เปิดเครื่องได้แล้วมาพิมพ์ลงกูเกิ้ลโดยใช้ไวไฟของคอนโดนี้ ‘ผมรู้’
แล้วเด็กติดมือก็หัวเราะออกมากับความไม่ประสีประสาทางด้านภาษาของพวกเรา เขาโบกมือสองสามที หันกลับไปนอนเอกขเนกเล่นอยู่บนโซฟาแทน และแน่นอนที่สุด.. คือจิ้มมือถือต่ออีกด้วย
ในวันนี้ผมมีโอกาสมาสังเกตไลฟ์สไตส์ของผมและทิมที่ค่อนข้างแตกต่างกันพอสมควร ทิมจะชอบเล่นมือถือ ส่วนผมจะชอบอ่านหนังสือ ทิมจะใช้วิธีการพิมพ์มากกว่า ส่วนผมจะใช้ปากกาและกระดาษมากกว่า ขณะเดียวกันคือทิมชอบฟังเพลง ส่วนผมจะเป็นนั่งดูรูปภาพและแต่งรูป การที่พวกเราแตกต่างกันขนาดนี้เป็นตัวตอกย้ำให้ผมต้อง.. รีบหาที่อยู่ใหม่แล้วล่ะ เขาอาจจะอึดอัดก็ได้
จึ๊ก ๆ ผมที่กำลังจดจ่อกับโน๊ตบุ๊คและนั่งแต่งรูปหันไปมองตามแรงจากหัวไหล่ ตามคาด ใบหน้าใสสะอาดที่มีเม็ดขี้แมลงวันประปรายอยู่ปรากฏให้ผมชัดกว่าครั้งไหน ดวงตาของทิมสวยมาก เหมือนลูกแก้วสีวิสกี้ที่ชวนให้ลุ่มหลง.. มึนเมา
‘ทำอะไรอยู่’ โทรศัพท์มือถือเครื่องเดิมถูกยื่นมาตรงหน้าผมอีกรอบ ผมจึงกด Google Translate ในโน๊ตบุ๊ค แล้วพิมพ์ลงไปทีละคำ ๆ
‘แต่งรูป’
‘สนุกเหรอ’ คนเด็กกว่าดูสนอกสนใจ เขาลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งข้างผมแทน ‘ยากไหม ?’
ผมสั่นหัว ‘ถ้าคิดว่าทำได้ ก็จะทำได้’ แล้วทิมก็ร้องอ๋อ ก่อนจะนั่งจ้องผมละเลียดแต่งรูปไม่กี่นาทีก็เปลี่ยนอิริยาบถเป็นหยิบมือถือมาจิ้มเล่นเหมือนเดิม
ในตอนแรกผมคิดว่าจะเลิกสนใจทิม ให้เขาทำสิ่งที่ตัวเองชอบไปนั่นแหละ ส่วนผมก็อยู่ของผม วางแผนเดินทางสำรวจเมืองที่ตัวเองอยู่.. เออ ใช่
“ทิม” เจ้าของชื่อหันมาหาผมเร็วกว่าที่คาดไว้อีก “เอ่อ.. Map” เขาดูตกใจที่ผมพูดภาษาอังกฤษขึ้นมา คิ้วเรียวนั่นมุ่น ๆ เข้าหากันอีกรอบ ทวนคำว่า Map ซ้ำ ๆ ก่อนจะตะโกนขึ้น
“Gerkk ! I forgot !” เขาก้มลงกดมือถือยิก ๆ แล้วโชว์หน้าจอให้ตามเคย ‘ไปกับฉัน’
“แล้วมั่นใจได้ไงว่าจะไม่หลอกผมอีก” ผมตัดสินใจพูดแบบนั้นออกไป มองคนที่เด็กกว่า อีกอย่าง ตอนนี้เขาทำสีหน้าตลกชะมัด คงเพราะฟังไม่ออกแน่ ๆ เลยขมวดคิ้วผูกกันแน่นกว่าเดิมอีก
‘What did you say ?’
ริมฝีปากหยักศกของตัวเองแย้มยิ้มออกมา
“I said ‘Let’s go’.”
#ปุณทิม #ทิมปุณ
ทิมเป็นคนออกปากบอกให้ผมไปเปลี่ยนเสื้อเพราะตอนนี้สภาพผมดูไม่ได้เลย กลิ่นเหม็นที่โชยมาแตะจมูกของเจ้าเด็กวัยรุ่นยิ่งออกปากไล่หนักกว่าเดิม ผมจึงจำยอมอาบน้ำก่อนที่จะออกไปหาซื้อแผนที่นั่นเอง ซ้ำร้ายคือผมต้องมายืนขมวดคิ้วจ้องฝักบัวที่รูปร่างแปลกกว่าประเทศไทยรวมก๊อกที่เปิดได้ทั้งน้ำเย็นและน้ำร้อนนั่นแหละ
“เฮ้อ..” ผมถอนหายใจออกมาเมื่ออาบน้ำเสร็จ ผ้าขนหนูนุ่ม ๆ ถูกวางแนบอยู่บนศีรษะตัวเองที่เปียกชุ่มแล้วมองใบหน้าบนกระจกเงา ไอน้ำร้อนทำให้กระจกขึ้นฝ้า ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผมชอบเชียว ปลายนิ้วยาวของตัวเองกดลงบนกระจกแล้ววาดรูปหน้ายิ้มลงไปเบา ๆ อีกทอด
พอเสร็จ .. ผมก็เขียนคำว่า Thank you ให้ด้วย
“Holy fucking shit !!” เสียงอุทานดังออกมาจากด้านนอกทำให้ผมสะดุ้งโหยง หันไปมองตามประตูที่ถูกเคาะรัวโดยเจ้าของห้องตัวจริง “Hey !! Hey !? Are you in there !?”
พูดไรวะ.. ฟังไม่ค่อยทัน..
“ไอแอมเฮีย” ผมตะโกนกลับ คว้าเสื้อผ้ายับยู่ยี่มาสวมไว้แล้วเปิดประตูอย่างรวดเร็ว “??” และพบกับใบหน้าตื่นตระหนกของทิมที่อ้าปากค้างพะงาบ ๆ เขาคว้าไหล่ผม เขย่าเบา ๆ อีกสองสามที
“Who are you ?”
หะ ? ต่อให้ไม่เก่งภาษา สามคำสั้น ๆ แบบนี้ผมก็เดาออกล่ะวะว่าอะไร
ผมขมวดคิ้ว มองหน้าอีกฝ่ายแบบ.. ความจำเสื่อมเหรอ
“Oh..wait” ทิมพูดเร็ว คว้าโทรศัพท์มากด ๆ แป้นพิมพ์แล้วยื่นให้ผม ‘คุณชื่ออะไร’
เออ ใช่ ..
เขาชวนผมเข้าห้องโดยไม่รู้ชื่อผม ในขณะเดียวกัน ผมก็ไม่บอกชื่อเขาด้วยนี่นา
“นิปุณ” รอยยิ้มของตัวเองปรากฏอีกครั้งหนึ่ง “มายเนมอิส นิปุณ”
“นี..ปัน ?” ผมสั่นหัวแทน
“นิปุณ”
“นิ..ปัน”
อา... ดูลิ้นเขาจะออกเสียงคำนี้ไม่ได้แหะ
ผมเกาหัวแกรก ๆ อย่างจนปัญญา พยักหน้ารับชื่อปันไปอย่างไม่คิดอะไรอีก ถ้าเขาพูดไม่ได้ผมก็ต้องปล่อยไป แต่ดูทิมจะอารมณ์ดีพอควรราวกับภูมิใจว่าตัวเองออกเสียงถูกต้องทั้งที่มันคนละคำกันเลย
“ปัน” เขาพูด “ปัน ปัน ปัน” แล้วทิมก็ก้มกดโทรศัพท์ยึก ๆ อีก
“หือ”
‘แต่งตัวแล้วออกไปกัน อย่าลืมเตรียมเงินนะ’ ริมฝีปากเผลอแย้มยิ้มอีกครั้งหนึ่งเมื่อเห็นคนเด็กกว่าวิ่งไปหยิบกระเป๋าเป้ที่หน้าตาคล้าย ๆ ของผมมาสะพายเอาไว้ “Together.” เขากล่าว ชี้ไปทางกระเป๋าของผมกับที่แบกอยู่บนหลัง
เด็ก ๆ นี่มันสดใสชะมัด
เป็นความคิดแรกหลังจากก้าวออกมาจากห้องน้ำ ผมเดินไปหยิบกระเป๋าตัวเองที่ถูกรื้อเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้เสร็จแล้วมาสะพายไว้ แล้วชี้กระเป๋าสลับกัน เรื่องน่าตกใจก็คือกระเป๋าของผมและเขาดันมีลักษณะคล้ายกันราวกับนัดมา แต่ติดที่ว่ากระเป๋าผมจะโทรมกว่าระดับหนึ่งเลยทีเดียว
“Yes.” ไม่แน่เท่าไหร่ว่าเหมือนเห็นหน้าขาว ๆ ของทิมขึ้นสีริ้วแดง.. จาง ๆ อยู่“Together.”
แล้วผมก็เห็นชัดเจนตอนที่ใบหูของเขาแดงกว่าเดิมนี่ล่ะ.. ซ้ำยังคว้ามือผมไปด้วยอีกด้วย
#ปุณทิม #ทิมปุณ
[/b]
ทิมบ่นกระปอดกระแปดว่าร้อน ในขณะที่ผมยังยืนยันว่าอากาศดี แม้อเมริกาจะมีแดด แต่ไม่ได้แรงเหมือนเมืองไทย แสงอ่อน ๆ อาบไล้ใบหน้าผมช่วยให้รู้สึกกระปรี่กระเปร่ามากกว่า รวมถึงอีกหนึ่งเสน่ห์ของที่เมืองนี้คือมีสายลมเย็น ๆ พัดมาแทบตลอดเวลา ยิ่งออกห่างจากตัวเมืองสู่สวนสาธารณะ ยิ่งลมพัดผ่านรุนแรงมากขึ้นอีก
ทิมชอบทำหน้าตามู่ทู่ใส่ผม บางทีก็ยู่ปากบ้าง พูดอะไรเรื่อยเปื่อยเป็นภาษาอังกฤษบ้าง แต่พอเห็นผมไม่ตอบกลับเขาก็ก้มลงกดมือถือกันตามเคย เวลาพวกเราคุยกับไม่ต่างจากมี Google Translate เป็นเพื่อนอีกคนเลย อย่างไรก็ดี ผมกับทิมก็ใช้ภาษามือกันเสียมากกว่า
‘ไปกินข้าวกันก่อน’ เด็กคนนั้นพูดหลังจากเสียงท้องร้องโครกครากเมื่อเดินผ่านร้านแฮมเบอร์เกอร์ เขาชี้ไปทางรูปปั้นคุณตาแก่ ๆ ถือแฮมเบอร์เกอร์แล้วเบ่งกล้ามอยู่ ‘โคตรลวงโลก’
ผมมองตาม หัวเราะออกมาอีกด้วย ทิมพูดถูก ใครจะไปกินแฮมเบอร์เกอร์แล้วมีกล้ามแบบนี้กัน เป็นเรื่องที่ยากที่สุดสำหรับอาหารฟาสฟู๊ดเลยล่ะ
เมื่อเขาเห็นผมยิ้มเจ้าตัวจึงเดินนำเข้าไปในร้านที่ประดับตกแต่งเป็นโทนสว่าง ๆ กลิ่นหอมอบอวลจากเฟ้นฟรายด์ทำให้ท้องของผมร้องโครกครากประท้วงอีกต่างหาก ผมหัวเราะออกเมื่อทิมหันมายักคิ้วหลิ่วตากับท้องผมอย่างรู้ทัน เขาชี้ไปที่จุดเติมน้ำแล้วพูดอะไรสักอย่างซึ่งผมจำใจความได้ว่าเป็นแบบ Refill ให้เราเดินมาเติมเองได้เลย แล้วมือเล็กกว่าก็คว้าผมไปที่หน้าเคาท์เตอร์จนได้
“Eat.” ทิมพูดคำเดียวอย่างรู้ทันว่าถ้าเป็นประโยคยาว ๆ ผมคงงงเป็นไก่ตาแตก “Okay ?”
“โอเค”เมื่อตอบกลับเป็นสำเนียงไทยอย่างมาดมั่น จึงยืนดูเมนูต่อ สิ่งที่ผมเลือกคือแฮมเบอร์เกอร์เนื้อ 2 ชั้น ซ้ำยังมีผักทับกันจนชวนน้ำลายสอ และเซ็ทเฟ้นฟรายด์กับรีฟิลน้ำอัดลมชุดใหญ่อีกด้วย ควักแบงค์ 10 ดอลลาร์ออกมาแล้วยื่นให้ทิมมี่ยิ้มยียวนอยู่
‘เลี้ยงปะ ?’
“โน” ถึงกับตอบเสียงแข็งเลยครับ คนเด็กกว่ากลับหัวเราะร่วน รับแบงค์แล้วควักเงินตัวเองจ่ายด้วย .. ในตอนนั้นผมก็เพิ่งสังเกตถึงกระเป๋าสตางค์ของทิม มันออกแนวซ่อมซ่อกว่าที่ควรเป็นหากเปรียบเทียบกับลักษณะของคอนโดที่เขาอยู่
พอรู้สึกตัวอีกที คนเด็กกว่าก็ยิ้มเผล่จากการจับได้ว่าผมแอบมอง
‘จะขโมยบัตรเหรอ’
“โน” เป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ที่ได้โชว์สกิลภาษาอังกฤษของตัวเอง ผมหยิบถาดที่วางบนเคาท์เตอร์แล้วเดินไปเลือกที่นั่งบริเวณริมหน้าต่างสะดวก อย่างน้อยถ้าเบื่อหน่ายกับการไม่ได้คุยอะไร ก็มีโอกาสเห็นรถยนต์วิ่งสวนกันฆ่าเวลาดี
ทิมหัวเราะ เขาเดินตามผมมาติด ๆ แล้วนั่งฝั่งตรงข้าม หยิบเฟ้นฟรายด์เข้าปากเคี้ยวหยับ ๆ เหมือนเด็กไม่มีผิด อีกคนดูชอบกินเฟ้นฟรายด์เปล่า ๆ ขณะที่ผมกินมันกับซอสมะเขือเทศและซอสพริกผสมกัน
“What’s that !?” คนพูดมากเริ่มโวยตอนเห็นแท่งมันฝรั่งกรอบ ๆ ถูกทำเป็นช้อนผสมซอส ได้ยินเสียง ‘อิ๊ว’ ขยะแขยงดังต่อมาอีกเล่นเอาผมหัวเราะ
“อร่อยนะ”
“??” ผมสั่นหัว ยกเฟ้นฟรายด์ขึ้นมาจ่อปากของอีกคน “What !” นึกขอบคุณจริง ๆ ที่ช่วยพูดคำสั้น ๆ น้อย ๆ ผมจะได้เข้าใจเนี่ย
“ไอ้นี่อ่ะอร่อย.. อี๊ท อิท อี๊ท ๆ” ผมย้ำ จ้องมองใบหน้าของทิมที่เหยเกไปแล้ว “ยัมมี่”
เขาดูลังเล ทำท่ายึก ๆ ยัก ๆ เหมือนไม่ค่อยอยากจะเชื่อใจเท่าไหร่นัก ผมจึงจัดการใช้ด้านเลอะซอสจิ้มปากเด็กไปสักทีนึงอีก
แล้วก็.. งั่ม
ทิมงับลงจนได้.. แล้วก็ตามมาด้วยสีหน้าเหยเกที่ทำเอาขำไม่หยุดเลย
เด็กคนเดิมคว้ามือถือมาจิ้ม ๆ แล้วส่งให้ผมเป็นคำว่า ‘แปลกดี’ ซึ่งทำให้ประหลาดใจกว่าที่คิด นึกว่าเขาจะสบถด่าออกมาเสียอีก แต่กลับกันเลย ทิมลองบิเนื้อแฮมเบอร์เกอร์ส่วนหนึ่งมาจิ้มซอสที่ผมผสมอยู่ แล้วทำหน้านิ่ว คิ้วขมวด สักพักก็กลืนเอื๊อกลงท้องต่อ
“Oh” อุทานมาแค่นี้ทำให้ผมเดาไม่ออกว่าเจ้าของร่างเล็กกว่ารู้สึกอะไร “Better than I thought.”
ประโยคนั้นทำให้ริมฝีปากตัวเองกระตุกยิ้ม
แน่นอน.. รู้อยู่แล้ว
“เอ่อ..” เสียงติดหวานที่ดังขึ้นมาอีกทางเรียกความสนใจของผมและทิมได้ในชั่วพริบตา มีเด็กสาวอายุไม่น่าเกิน 18 ยืนอยู่ข้างโต๊ะของพวกเรา หน้าตาดูน่าเอ็นดูกำลังกอดหนังสือเล่มหนึ่งเอาไว้อยู่ “ค.. คือ”
หืม .. คนไทย ?
“Thai ?” ทิมดูตื่นเต้นกว่าผม เขาเบิกตากว้างเป็นไข่ห่านเมื่อสาวน้อยคนเดิมพยักหน้าหงึกหงักรัวทำให้ความคิดที่ว่าเธอคนนี้คือเพื่อนของทิมต้องตกไป
“ค.. คุณปุณนิปุณนิรึเปล่าคะ ?” ประโยคถัดมาทำผมร้องอ๋อ..
แฟนหนังสือของผมนี่เอง
“ใช่ครับ” ผมตอบกลับอย่างสุภาพ หันกลับไปมอบรอยยิ้มให้คนตัวเล็ก “มีอะไรหรือเปล่าครับ ?”
“คือ.. หนูชอบหนังสือของคุณปุณนิปุณนิมากเลยค่ะ !” เสียงกึ่ง ๆ ตื่นเต้นทำให้ผมรู้เลยว่า.. สาวปริศนาคือแฟนคลับของผมนี่เอง
อ๋อ ผมมีนามปากกาไว้สำหรับเขียนหนังสือที่บันทึกเรื่องราวลงบล็อกว่า ‘ปุณนิปุณนิ’ ปกติแล้วผมมักจะบันทึกเรื่องราวของตัวเองลงกระดาษ จากนั้นเขียนลงบล็อกต่อ สลับกับถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ จนวันดีคืนดีมีคนมาติดต่อขอทำหนังสือ ทำให้ผมสามารถหาเงินในจุดนี้ด้วย บางครั้งผมส่งรูปภาพไปประกวดได้รับรางวัล เขียนหนังสือเกี่ยวกับสารคดีท่องเที่ยวบ้างอะไรบ้าง คอยเรื่อยเปื่อย หรือถ้าวันไหนเกิดโชคดีจะมีคนมาจ้างถ่ายรูปแหละครับ
และถ้าวันไหนไม่ดี.. ก็ฉิบหาย ไม่มีตังแดก
“ขอบคุณนะครับ” ผมพูดอย่างสุภาพ เห็นเธอยื่นหนังสือมาแล้วขอลายเซ็นต่อ”เอ่อ ผมไม่มีลายเซ็น..”
“ป.. เป็นแค่อะไรก็ได้ เขียนชื่อคุณปุณนิปุณนิก็ได้ค่ะ” เธอพูดรัว “นะคะ หนูอ่านหนังสือคุณปุณนิปุณนิตั้งแต่อยู่ไทย เห็นว่าเล่มต่อไปจะอยู่นิวยอร์กก็ดีใจมาก ไม่นึกเลยค่ะว่าจะได้เจอ ขอถ่ายรูปด้วยได้ไหมคะ”
เป็นเพราะเมื่อปีก่อนผมถูกบก. ขอให้ใส่ ‘ความในใจผู้เขียน’ และรูปผู้เขียนลงไปในเล่มที่พิมพ์และรีปริ้นท์ใหม่หมด คนก็เลยเริ่มเห็นหน้าผมบ้างเรื่อย ๆ แม้จะรู้สึกไม่เป็นส่วนตัวนิดหน่อย แต่พอเห็นว่าเขาคือนักอ่านที่ตามผมอยู่ความคิดที่ว่าไม่ชอบใจก็พลันหายไปตลอดเวลา
เธอถ่ายรูปผมครั้งหนึ่ง แล้วส่งเสียงวี๊ดว๊าย ยกมือไหว้ขอบคุณอย่างเป็นเอกลักษณ์ของไทยก่อนจะแจ้นออกไปอีกทางหนึ่งด้วย ในทีแรกผมก็จะไม่อะไรแล้วหยิบแฮมเบอร์เกอร์มากินต่อให้เสร็จ.. ถ้าไม่เห็นสายตาลูกหมาที่จ้องเขม็งเสียงั้น
‘คุณดังเหรอ ?’ คำนี้ถูกพิมพ์ส่งมาไม่ต่างจากที่ผมคาดการณ์ไว้เท่าไหร่ ‘นายเป็นใครกันแน่’
ผมยิ้มแหย พิมพ์ลงมือถือตัวเองตอบกลับไปแทน ‘ ผมเป็นนักเดินทางและช่างถ่ายรูปครับ’
‘แล้วทำไมมีหนังสือ ?’
‘ผมเขียนหนังสือบันทึกการเดินทางครับ’ รู้สึกเหมือนถูกซักไซ้มากขึ้นแบบนี้ทำให้ผมวางตัวไม่ถูก ทิมจ้องผมด้วยดวงตาสีวิสกี้คู่นั้นดูเคือง ๆ อีก
‘ผมชอบเสียงคุณ’
เอ๊ะ ?
ประโยคนี้ที่อีกฝ่ายเอาแต่พิมพ์ ๆ ใส่มือถือทำให้ผมชะงัก
‘เมื่อกี้คือภาษาไทยใช่ไหม ?’
‘ใช่ครับ’ ผมตอบกลับไปแบบนั้น
‘คุณพูดอะไรก็ไม่รู้ ผมฟังไม่ออก’ เขาคาดคั้นอย่างไร้เหตุผล ‘เล่าให้ฟังหน่อย’
‘แค่คุยกันเรื่อยเปื่อยและขอลายเซ็นครับ’ ผมพูดความจริงแล้วพิมพ์ออกไปแบบนั้น แต่พอส่งโทรศัพท์ให้ คิ้วเรียว ๆ ของทิมกลับผูกเข้าหากันยิ่งกว่าเชือกรองเท้าเสียอีก เขาจ้องโทรศัพท์เขม็งสลับกับมองหน้าผม
แล้วประโยคต่อไปก็สร้างเสียงหัวเราะร่วนของผมแทน ปลดล็อคเลยว่าทำไมเขาถึงทำหน้าเครียดอย่างนั้น
‘ขอเอาลายเซ็นไปขายได้ปะ’
..เด็กอะไร น่ารักชะมัด
แต่มันจะไปขายออกได้ยังไงเล่า !
พวกเราเดินออกมาจากร้านแฮมเบอร์เกอร์เจ้าเก่าเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์หน้าร้าน น่าแปลกที่วันนี้ผู้คนในนิวยอร์กยังไม่ได้พลุกพล่านเท่าปกติตามที่ทิมเคยโม้ไว้ แล้วเด็กคนนั้นไม่ลืมที่จะสะกิดไหล่ผมเพื่อขอเซลฟี่คู่กับคุณตาเบ่งกล้ามเพื่อกินแฮมเบอร์เกอร์อีกด้วย
“ปัน !” ผมเกือบจะไม่หันแล้วเชียว ถ้าไม่เห็นตัวเล็กกวักมือเรียกอยู่
“ครับ ?”
“Selfie with me.” เป็นอีกครั้งที่นึกขอบคุณคำทับศัพท์ในประเทศไทยที่ทำให้ผมสามารถเข้าใจเขาพูดได้“Come on”
ขายาวก้าวเข้าไปยืนเคียงข้างกับทิมแทนทันที จริง ๆ ผมก็กะจะถ่ายรูปคุณตาเอาไว้เป็นที่ระลึกเหมือนกันถ้าไม่ติดว่าทิมยืนเซลฟี่อยู่ตรงนี้
ริมฝีปากของคนเด็กกว่ายิ้มกว้าง เขาโอบไหล่ผมซ้ำยังพยายามดึงลงมาให้สูงพอกันจนผมต้องย่อตัวอีกต่างหาก เอียงอิงแก้มเข้ามาแทบแนบชิดกัน กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของมันฝรั่งทอดยังติดตัวเขาอยู่เลยด้วย..
ผมชอบกินมันฝรั่งนะ เลยอยากดมกว่านี้อีกนิด
อืม.. คงเพราะผมคิดแบบนี้ ปลายจมูกที่ควรจะห่างกันสักนิดจนเขยิบเข้าไปใกล้กว่าเดิม ฝ่ามือผมเลื่อนลงโอบที่เอวของทิม เพิ่งสังเกตว่ามันคอดกว่าที่คิดด้วย คอดจนขนาดว่าผมสามารถรั้งร่างเขาให้ตกอยู่ในอ้อมกอดได้เลยล่ะ
ทิมเหมือนยังไม่รู้ตัว เขาพยายามเอียงกล้องให้อยู่ในมุมที่ตัวเองชอบ ต่อด้วยเอียงคอซ้ายที ขวาทีให้หาตำแหน่งที่ดูดีที่สุด และนั่นยิ่งทำให้ผมได้โอกาสสูดดมกลิ่นของเขาอย่างเผลอตัว
มันฝรั่งทอด.. ที่น่าอร่อย
ผมเผลอตัวออกแรงรั้งเขาให้เขยิบเข้ามาใกล้กันจนแนบชิด เป็นจังหวะเดียวกับที่ทิมเซ.. จากนั้นก็เหมือนนิยายน้ำเน่าที่พระเอกจะแอบจูบแก้มนางเอกได้สะดวก ถึงตอนนั้นผมตระหนักได้ว่าเสียงจุ๊บ ไม่ใช่เสียงที่นักเขียนส่วนใหญ่มโนขึ้นมา เวลาเรากดปากลงบนแก้มใครสักคนอย่างไม่ทันตั้งตัว
ใช่ .. มันดัง
จุ๊บ เลย
เจ้าของหมวกไหมพรมสีน้ำเงินสิ่งค้างไปพักใหญ่ เขาอึกอัก ก่อนจะเขยิบตัวออกมาแล้วก้มหน้าลงมองพื้นด้วยใบหูแดงก่ำราวกับถูกแดดเผา ซึ่งนั่น.. ทำให้ดูน่ารักมากเลย
‘ถ่ายรูปเสร็จแล้ว’ ทิมพิมพ์มาให้ผมเช่นนั้น แล้วเดินนำไปก่อนช้า ๆ ‘ไปหาซื้อหนังสือกับแผนที่กัน’ เขาเอ่ยชวน ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มออกมา
เชื่อไหม พวกเราไม่มีใครที่พูดประโยคไหนเลยเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่ผมตั้งใจให้เกิดดังจุ๊บนั่น ผมไม่ได้พูดขอโทษ เพราะผมตั้งใจ ส่วนทิมเองก็ไม่ได้ทักท้วงโดยที่ผมได้แต่หวังลึก ๆ ว่าเขาจงใจให้เหตุการณ์เมื่อครู่เกิดขึ้น ดวงตาสีนิลของผมทำเพียงแค่จ้องมองแผ่นหลังอีกฝ่าย ก้าวขาเข้าไปเดินเคียงข้างกับผู้ชายตัวเล็กกว่าที่ก้มมองโทรศัพท์แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
เนื่องในโอกาสที่ทิมไม่ยอมพูดอะไรเช่นนี้ ผมจึงตัดสินใจว่าตัวเองจะเงียบต่อไปคงเป็นทางที่ดีกว่า.. และจะไม่ยอมพูดหรอก ว่าผมเหลือบเห็นรูปภาพในโทรศัพท์ที่เขาถ่ายติดจังหวะ ‘จุ๊บ’ นั่นพอดีน่ะ
แล้วจะไม่บอกใครเลย ว่าแอบเห็นทิมยิ้มเขิน ๆ ตอนมองรูปนั้นอีกด้วย
(มีต่อ)