ตอน 1
• มีโอกาส 50% ที่เครื่องจักรจะสามารถทดแทนอาชีพของมนุษย์ได้ใน 120 ปี
• นักวิจัยคาดการณ์ว่า AI จะสามารถขับรถบรรทุกได้ในปี 2027 และทำงานค้าปลีกได้ในปี 2031
• AI จะสามารถเขียนนิยายที่ขึ้น The XXX Best Seller ได้ในปี 2049
ส่วนหนึ่งจากบทความ คุณจะถูก AI แย่งงานเมื่อไหร่ ถูกเขียนขึ้นเมื่อ 20 กรกฎาคม 2017 :: https://thestandard.co/news-tech-ai-work-as-humans/
มันเป็นส่วนหนึ่งของบทความเก่าๆ ที่ ‘นัตสึ’ เคยอ่านให้ผมฟังเมื่อครั้งที่เรายังเรียนมัธยมปลาย ตอนนั้นเธออายุ 17 ปี แรกแย้ม รอยยิ้มสดใสเหมือนดอกไม้ในฤดูร้อน ฤดูร้อนตรงตามความหมายชื่อภาษาญี่ปุ่นของเธอ
นัตสึเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น นามสกุลของเธอคือทานากะ เธอบอกว่าเป็นนามสกุลที่เกลื่อนกลาดดาษดาเหลือเกินในถิ่นกำเนิดของพ่อเธอ ไม่ใช่นามสกุลใหญ่อะไร แต่ชื่อพ่อของนัตสึก็ค่อนข้างมีชื่อในวงวิศวกร AI
ในโลกที่เกินกว่าครึ่งของสังคมมนุษย์ขับเคลื่อนด้วย AI ทุกอาชีพที่เกี่ยวข้องกับ AI จึงถูกยกระดับให้มีความสำคัญกว่าอาชีพอื่นๆ
หรือพูดอีกอย่าง เป็นอาชีพที่ตรงความต้องการของตลาด และค่าตอบแทนสูง
นัตสึจึงเหมือนลูกคุณหนูคนหนึ่ง เธอแต่งตัวดี บุคลิกท่าทางสง่างาม ผิวขาว แม้ขาวแบบคนเอเชียธรรมดาๆ แต่เพราะเนื้อพรรณอันละเอียดทำให้เธอดูแตกต่าง ยิ่งเส้นผมตรงยาวสีดำขลับขับผิวขาว เธอยิ่งโดดเด่น
รอยยิ้มของเธอเองก็เจิดจ้าเหมือนแสงแดด แต่เป็นแสงแดดยามเช้า ไม่แสบตา ทั้งยังน่าหลงใหล
เสียงหัวเราะของเธอก็เหมือนกระดิ่งลมที่ดังกรุ๊งกริ๊งกังวานในฤดูร้อน
นัตสึ ฤดูร้อนอันเจิดจ้า
ไม่ยากเลยที่ผมจะหลงรักฤดูร้อนครั้งนั้น และตลอดมา
***
ในสังคมมัธยมปลาย พวกเรามีกันสามคน ผม นัตสึ และทะเล
ทะเลเป็นชื่อที่ฟังคล้ายตัวละครในนิยายสมัยก่อน ดึงชื่อมาจากธรรมชาติ ความหมายชั้นเดียว แต่ก็จัดเป็นหนึ่งในชื่อยอดฮิต หลังผ่านยุคที่พ่อแม่ของเรามีแต่ชื่อแปลกๆ และคำศัพท์ต่างประเทศเสียส่วนใหญ่
ดังนั้น ทะเล จึงเป็นชื่อที่ไม่เลว
และทะเลก็บอกว่าชื่อของผมไม่เลวเหมือนกัน
“ฉันชอบชื่อฟ้าคราม ไม่ใช่ว่าชื่อแกเพราะ แต่ชื่อแกเหมือนเครื่องจักร”
“เหมือนยังไง” ผมถามทะเล นัตสึเองก็คอยฟังอยู่
“มันแยกส่วนประกอบได้ แถมถ้าแค่พยางค์หน้า ‘ฟ้า’ ก็ฟังเป็นชื่อผู้หญิง ส่วน ‘คราม’ ฟังเป็นชื่อผู้ชาย”
“แล้วฟ้าครามล่ะ” ผมถามอีกครั้ง ทะเลเหมือนหยุดคิด จ้องหน้าผมผ่านแว่นกรอบเงิน จนนัตสึแย่งตอบ
“ก็เป็นฟ้าครามไงล่ะ ไม่มีอย่างอื่นหรอก”
เธอส่งยิ้ม เจิดจ้าเหมือนแดดเช้าของฤดูร้อนก่อนจะใช้ส้อมจิ้มนัตเก็ตในจานผมเข้าปากตัวเองหน้าตาเฉย
ผมส่งเสียงเรียก ‘นัตสึ’ แบบไม่ใคร่พอใจ แต่พอได้ยินเสียงหัวเราะของเธอพร้อมแก้มที่เคี้ยวตุ้ย ผมก็ให้อภัย ดังนั้นการที่จิ้มไส้กรอกคุณปลาหมึกในจานของเธอมากินบ้าง จึงถือเป็นการแลกเปลี่ยน ไม่ใช่แก้แค้น ผมนับอย่างนั้น
ถึงนัตสึจะส่งเสียงร้องท้วง แต่ไม่กี่วินาที เธอก็เบนความสนใจไปที่เรื่องอื่น ครั้งนี้เป็นเรื่องที่ทะเลพูดถึง AI ที่เข้าร่วมเรียนในห้องเดียวกัน
ทุกกลางวัน เรากินข้าวด้วยกันที่โต๊ะตัวประจำในโรงอาหาร ริมหน้าต่าง คนไม่พลุกพล่าน
ทะเลมักจะพูดเรื่องเกี่ยวกับเครื่องยนต์กลไกต่างๆ รวมถึง AI
นัตสึมักจะพูดถึงนวนิยาย วรรณกรรม และตักกับข้าวจากจานของผมใส่ปากตัวเอง
ส่วนผมเองไม่แน่ใจว่าชอบพูดเรื่องอะไร
บางทีอาจแค่ชอบรับฟัง
และแลกกับข้าวกับนัตสึ
ทุกอย่างผ่านไปธรรมดาเหมือนกลุ่มของพวกเราท่ามกลางสังคมโรงเรียน
แม้นัตสึจะโดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ แต่นั่นเคยทำให้เธอมีปัญหากับเพื่อนผู้หญิง ความธรรมดาจึงเป็นสิ่งที่เธอหวงแหน
พวกเราช่วยเธอ โดยการทำตัวไม่โดดเด่นอะไร หรือไม่ พวกเราก็เป็นของเราอย่างนี้อยู่แล้ว
แต่ผมชอบเป็นพิเศษเวลาที่เห็นนัตสึยิ้ม
นัตสึยิ้มเมื่อเห็น AI เป็น ‘คน’ ที่โดดเด่นกว่าใครเพื่อน ไม่ใช่เธอ
***
AI ได้รับการยอมรับว่าเป็น ‘พลเมือง’ เทียบเท่ามนุษย์เมื่อปี 2017
ชื่อของ ‘โซเฟีย’ AI ที่ได้สิทธิ์การเป็นพลเมืองคนแรกนั้นแทบจะบรรจุอยู่ในหลักสูตรก่อนการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไม่มีใครหรือเด็กคนไหนไม่รู้จักโซเฟีย
พวกเราเองที่เกิดหลังโซเฟียจึงรู้สึกว่าการมี AI แทรกซึมอยู่ในชีวิตเป็นเรื่องธรรมดา ทั้งเรายังค่อยๆ เติบโตไปพร้อมกับ AI ที่ถูกพัฒนาจนเหมือนมนุษย์เข้าไปทุกที ทุกที
ดังนั้น การที่พวกเรายอมรับ AI ในฐานะพลเมืองคนหนึ่งจริงๆ จึงไม่แปลกเท่าไหร่
จากที่ไม่เคยมี AI เข้ามาใช้ชีวิตในสังคมโรงเรียนเพราะไม่เห็นกันว่ามีความจำเป็นใดนอกจาก AI ที่เป็นอาจารย์สอนหนังสือ ก็เพิ่งมี ‘นักเรียน AI’ เมื่อไม่นานนี้
แต่เพราะยังคงไม่ถึง 20 % ของชั้นเรียน AI นั้นก็จะโดดเด่นอยู่สักหน่อย
ไม่สิ น่าจะเรียกได้ว่ามาก เพราะแต่เดิม จำนวนนักเรียนแต่ละห้อง แต่ละโรงเรียนก็ไม่ได้มากมายอะไรอยู่แล้ว
สังคมของเราคืบคลานเข้าใกล้คำว่า ‘สังคมผู้สูงอายุ’ เข้าไปทุกที ในเมื่อเจเนเรชั่นที่ผ่านมาหรือเจนพ่อแม่ของพวกเรานั้น น้อยคนที่อยากมีลูก จนรัฐบาลต้องออกนโยบายออกมาผลักดันให้ประชาชนมี ‘ครอบครัวสุขสันต์’
ตอนเด็กๆ ที่เห็นนโยบายนั้น ผมไม่คิดอะไร แต่พอโตขึ้น ก็คิดว่าน่าจะใช้คำว่า ‘ดำรงเผ่าพันธุ์’ ไปเลยให้สิ้นเรื่อง
“ก่อนที่ AI จะครองโลกน่ะว่าไหม”
ผมเอ่ยปากถามตอนที่เรารอของหวานอยู่ที่คาเฟ่แห่งหนึ่ง ตามใจนัตสึ
“แต่ว่า...AI ไม่ครองโลกหรอก พ่อฉันบอกว่า AI ก็แค่กลืนไปกับส่วนหนึ่งของสังคมมนุษย์ เป็นมนุษย์คนหนึ่งไง” นัตสึออกความเห็น ขณะที่ทะเลยกนิ้วขยับแว่น
ท่าทีแบบนี้ผมรู้เลยว่ามันกำลังจัดเรียงคำตอบไว้ในสมอง
“แต่ก่อนจะทำให้ AI คิดแบบนั้น ฉันคิดว่าต้องทำให้ AI ไม่รู้ตัวก่อนว่าเขาคือ AI”
“หืม? จะไม่รู้ตัวได้ยังไง” นัตสึถาม
“ยังไม่มีคำตอบ แต่ฉันว่าในอนาคตทำได้แน่ๆ ในเมื่อตอนนี้เรามีวิทยาการที่เรียกว่าประสาทประดิษฐ์แล้ว เป็นสิ่งที่ทำให้ AI รู้สึกเจ็บปวด ซึ่งไอ้ความเจ็บปวดเนี่ย เป็นกลไกที่ทำให้เราปกป้องตัวเอง แต่สำหรับ AI ฉันมองว่ามันยังเป็นแค่ทางกายภาพเท่านั้น”
“แล้วสิ่งที่ขาดล่ะ?” ผมถาม แต่ไม่ทันได้คำตอบจากทะเล นัตสึก็โพล่งขึ้นมาด้วยดวงตาเป็นประกายเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้าฤดูร้อน
“ทางจิตใจใช่ไหม?!”
จิตใจ...งั้นเหรอ?
ตอนที่ได้ยิน เหตุใดไม่ทราบได้ผมทวนคำถามนั้นในใจ ดังสะท้อนก้องไปมา อาจคล้ายเสียงกระดิ่งลมของของฤดูร้อน
คงเพราะ...ผมไม่เคยนึกถึงเรื่องจิตใจของ AI อย่างเป็นจริงเป็นจัง
“อ่า นั่นแหละนัตสึ ฉันกำลังคิดๆ อยู่ว่าเราอาจต้องสร้าง ‘หัวใจประดิษฐ์’ เพื่อให้ AI คิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์จริงๆ”
“น่าสนใจๆ” นัตสึพูดซ้ำอย่างตื่นเต้น “เหมือนว่า ‘หัวใจ’ เนี่ย เป็นการแยกมนุษย์กับหุ่นยนต์ที่สมบูรณ์แบบเลยเนอะ”
“แต่ว่าถึงทำออกมามันก็แค่ ‘หัวใจประดิษฐ์’ ไม่ใช่หรือไง” เป็นความเห็นของผม “ถ้าพูดเรื่องนี้เราอาจต้องขบคิดกันด้วยนะว่าต้องมี ‘วิญญาณประดิษฐ์’ ไหม”
“แต่สำหรับฉัน สิ่งที่ ‘ขบคิด’ เองได้ ก็ถือว่ามันมีวิญญาณแล้วล่ะ มันมีชีวิตแล้ว”
“ฟังดูน่ากลัวยังไงไม่รู้” ผมว่าแบบนั้น แต่นัตสึหัวเราะ
“แล้วที่ฟ้าครามยอมรับ AI เป็นพลเมืองคนหนึ่งมาตลอดเนี่ย ไม่คิดว่าเขามีชีวิตเหรอ”
เป็นคำถามที่ตอบยากในเวลานั้น ผมจึงเงียบ ขบคิด แต่ทุกอย่างก็ถูกขัดจังหวะด้วยการเสิร์ฟของหวานวางบนโต๊ะ พุดดิ้งคัสตาร์ดหนึ่งถ้วยของทะเล สตรอเบอร์รี่ช็อตเค้กของผมและนัตสึ
และเพราะสตรอเบอร์รี่ช็อตเค้กเป็นของโปรดของนัตสึ เธอจึงลืมคำถามของตัวเองเมื่อครู่ไปถนัดใจ ส่วนทะเลยังคงพูดเรื่อง AI ยืนยันความชอบและสนใจของตัวเอง
ถึงผมอาจเป็นมนุษย์ที่จำกัดความตัวเองไม่ได้ว่าชอบอะไรบ้าง แต่ AI เป็นหนึ่งในสิ่งที่ผมชอบเหมือนกัน แม้รู้สึกคลุมเครือถึงจิตใจแท้จริงของ AI ก็ตาม
แต่ก็นั่นเองไม่ใช่เหรอที่ยิ่งทำให้ AI มีเสน่ห์
เราสามคนชอบ AI ในความหมายที่แตกต่างกันไป
ทะเลชอบ และหลงใหล AI
นัตสึก็ชอบ AI เหมือนกัน
แต่ไม่อาจเรียกว่าหลงใหล
เธอหลงรัก AI
***
มันเป็นวันที่ผมและทะเลอยู่ซ้อมบาสเพราะโดนจับลงชื่อแข่งงานกีฬาระหว่างโรงเรียน
มันเป็นวันที่นัตสึไปนั่งที่คาเฟ่คนเดียว
มันเป็นวันที่ผมได้ยินชื่อของ AI ชื่อ ‘ฮารุ’ เป็นครั้งแรก
“ฮารุ ฮารุที่แปลว่าฤดูใบไม้ผลิน่ะ”
นัตสึเอ่ยชื่อนั้น พร้อมรอยยิ้มเจิดจ้ามีความสุข ตอนนั้นผมยังไม่รู้ว่าเธอมีความสุขอะไรนักหนา รู้แค่ว่าเมื่อหันกลับไปมองผ่านกระจกของคาเฟ่ ผมเห็น ‘ฮารุ’ นั่งอยู่
เป็น AI เพศชาย วัยน่าจะไล่เลี่ยกับพวกเรา ผิวขาวพิมพ์นิยม เรือนผมและนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเฉดเดียวกัน
พลันเขาส่งยิ้มมาให้
อบอุ่น โอนอ่อน ราวซากุระหล่นโรยสมชื่อ ‘ฮารุ’
ผมไม่แน่ใจว่ายิ้มตอบหรือเปล่า รู้แค่ว่าหลังจากนั้น ผมก็เดินจากไปพร้อมนัตสึและทะเล พวกเราแค่มาที่นี่เพื่อรับเธอกลับบ้านด้วยกันเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตาม พวกเราก็ได้ฟังเรื่องราวของฮารุหลังจากนั้น
นัตสึว่าฮารุเป็น AI นักเขียน และเป็นบรรณาธิการของสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งที่ผมค่อนข้างคุ้นหู
เธอสนใจฮารุมากเพราะเธออยากเป็นนักเขียนท่ามกลางโลกที่ AI แทบจะแย่งอาชีพมนุษย์ไปหมดแล้ว
ตอนนั้นผมแอบคิดว่าตลกดี ในเมื่อนัตสึยังเชื่อหัวชนฝาว่ามนุษย์ไม่มีทางแพ้ AI ในด้านความคิดสร้างสรรค์ แต่ขณะเดียวกันนัตสึก็สนใจการประดิดประดอยถ้อยคำของ AI อย่างฮารุมาก
ก่อนจะเริ่มไม่ตลกที่วันๆ เธอเอาแต่พูดเรื่องของฮารุ
“นี่ ฉันไม่เคยเจอ AI คนไหนเหมือนฮารุเลยนะ”
“เธอไม่เคยเจอ AIนักเขียนมากกว่า” ทะเลว่า
“ไม่ ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” นัตสึส่ายหัว
“อะไร หล่อหรือไง”
“จะบ้าเหรอ” เธอตีทะเลไปหนึ่งที “นี่พวกนายไม่รู้สึกกันเลยเหรอ”
“รู้สึกอะไร” ผมถาม ความจริงลึกๆ ในใจเริ่มรำคาญเรื่องของฮารุเต็มทน
“ก็ฮารุน่ะ...เหมือนมนุษย์จริงๆ นะ”
ถึงตรงนี้ ผมไม่ได้ออกความเห็นอะไรอีก นอกจากรู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างรู้สึกไม่ถูก
มันก็คงเป็นการพัฒนาของ AI อีกก้าวหนึ่งนั่นแหละ
ผมบอกตัวเองแบบนั้น และไม่สนใจอะไรอีก
จนเมื่อพวกเราสามคนพากันไปนั่งที่ร้านคาเฟ่อีกครั้ง และสั่งของหวานเมนูเดิม พุดดิ้งคัสตาร์ดของทะเล สตรอเบอร์รี่ช็อตเค้กของผมและนัตสึ
แต่ที่ไม่เหมือนเดิม คือนัตสึย้ายไปนั่งกับฮารุเสียแล้ว
ผมไม่ได้ขอไปนั่งด้วย ทะเลก็เห็นตาม
สุดท้ายผมได้แต่นั่งมองสตรอเบอร์รี่ช็อตเค้กบนจานของตัวเอง
กินไม่ลง
ผมไม่เคยชอบของหวานเมนูนี้
ที่ผมสั่งทุกครั้ง ก็แค่เพราะนัตสึชอบสตรอเบอร์รี่บนหน้าเค้กเท่านั้นเอง
***
แต่แล้วไม่นานหลังจากนั้น ไม่นานหลังพวกเราผ่านพ้นอายุ 17 นัตสึกลับไม่พูดถึงฮารุอีก
เธอไม่เคยเอ่ยถึงเหตุผล และผมก็ไม่คิดเซ้าซี้
แม้จะแปลกใจ แต่ก็แค่คิดว่า ‘ดีแล้ว’ เงียบๆ อยู่ในใจ
ถ้าทุกคนในกลุ่มผมชอบ AI ทะเลหลงใหล นัตสึหลงรัก ผมกลับเริ่มไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกกับสิ่งที่เรียกว่า AI ว่าอย่างไร
อาจจะทั้งชอบ และชัง
ข่าวของมนุษย์ที่ตกงานเพราะ AI แย่งอาชีพเริ่มหนาหูขึ้นทุกทีจนรัฐบาลต้องจำกัดปริมาณการสร้างและพัฒนา AI รุ่นใหม่ๆ
นัตสึไม่พูดเรื่องฮารุอีก เธอพูดแต่เรื่องการอยากเป็นนักเขียนและทำงานในสำนักพิมพ์
แต่ถึงจะบอกว่าสำนัก ‘พิมพ์’ ก็แค่เรียกเพราะเป็นคำศัพท์เก่าแก่ อุตสาหกรรมงานเขียนส่วนใหญ่ผันตัวอยู่บนแพลตฟอร์มอิเล็คทรอนิกส์แทบจะทั้งหมดแล้ว
“ไม่คิดบ้างเหรอว่าถ้าไม่ได้เป็นนักเขียน เธอจะทำอะไร” ผมเคยเท้าคางถามเธอด้วยสีหน้าเบื่อโลกเต็มทน ไม่รู้ทำไมเหมือนกันถึงถามอะไรออกไปแบบนั้น มันน่าจะทำร้ายใจเธอพอสมควร
แต่ฤดูร้อนของผมก็แค่ตอบว่า
“ไม่ได้คิดไว้เลย”
แล้วเธอก็ยิ้ม ยิ้มเจิดจ้าเหมือนแดดเช้าของฤดูร้อน
นึกอยากดีดหน้าผากเธอสักที แต่ก็คงจะก้าวก่ายเกินไป มีแต่ทะเลที่ออกความเห็นว่าถ้าเป็นนักเขียนไม่ได้จริงๆ ก็ควรเป็นอาจารย์สอนหนังสือ
นัตสึไม่ได้ตอบรับอะไร
คงเหมือนกับที่ผมไม่เคยบอกว่ารู้สึกยังไงกับเธอ
จนกระทั่งจบการศึกษาจากโรงเรียน
จนกระทั่งเราแยกย้ายกันไป
นัตสึไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นอย่างที่ไม่เคยมีวี่แววมาก่อน
ทะเลเรียนต่อในด้านวิศวกร AI เพราะอยากศึกษาค้นคว้าเรื่องของหัวใจประดิษฐ์ที่เคยคิดไว้
ส่วนผมเอง ยังคงเหมือนเดิมที่ไม่รู้นักว่าตัวเองชอบอะไร อาจรู้แค่ว่าตัวเองไม่ชอบอะไรเสียมากกว่า
ผมจึงแค่เลือกเรียนต่อในสาขาที่จบออกมาแล้วสามารถทำงานเกี่ยวข้องกับ AI ได้ตามคำร้องขอของที่บ้าน เพราะไหนๆ ผมก็ไม่มีความฝันเป็นชิ้นเป็นอันอยู่แล้ว
AI จึงยิ่งดูเหมือนสิ่งที่ผมทั้งชอบและชัง
ก่อนที่จะกลับกลาย...เป็นชิงชังอย่างถึงที่สุดในเวลาห้าปีต่อมา
ปีที่นัตสึกลับมา
***
นัตสึกลับมาตอนที่ผมเพิ่งตกงาน และอาจจะตกงานตลอดไป
มันเป็นงานที่ผมเพิ่งทำได้ปีเดียวหลังจบด้วยซ้ำ แต่ก็นั่นแหละ ผมอาจจะตกงานตลอดไปแล้วก็ได้
งานที่ผมทำคือ Data labeling professionals หรือก็คือเป็นผู้จัดเตรียมข้อมูลให้ Machine Learning สามารถนำไปใช้ต่อได้ ไม่ว่าจะข้อมูลใดๆ ก็ตามบนโลกใบนี้ AIใช่ว่าเรียนรู้เองได้ทั้งหมด ต้องมีมนุษย์เตรียมข้อมูลป้อนให้และเทรนให้รู้จักข้อมูลพื้นฐานต่างๆ เสียก่อน รวมไปถึงข้อมูลที่แอดวานซ์ขึ้นไปกว่านั้นทั้งหมดก็จำเป็นต้องมีคนดูแล
หากสุดท้าย กลายเป็นว่า AI ก็สามารถทำงานนี้เพื่อ AI ด้วยกันได้แล้ว
แทบไม่เหลืองานให้มนุษย์แล้ว
แม้แต่งานสร้างสรรค์อย่างการออกแบบใบหน้าหรือรูปลักษณ์ของ AI ที่พ่อผมทำเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวมาตลอด พวก AI ก็ทำกันเองได้
และเพราะ AI จัดเป็นพลเมืองที่เราต้องเคารพสิทธิ แม้จะมีมากล้นเหมือนทำให้ห่วงโซ่ของระบบนิเวศชำรุดเสียหาย ก็ไม่อาจกำจัดหรือทำอะไรได้เลยแม้แต่น้อย
ทุกครั้งที่ได้ยินข่าวว่ามีคนตกงานเพราะ AI แม้จะเป็นผู้คนจากอีกซีกโลก ไม่เคยเห็นหน้าค่าตา ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยคุยกัน หรือบางทีเป็นแค่ตัวเลขบอกสถิติมนุษย์ที่ไม่อาจหางานทำได้อีกแล้ว ผมรู้สึกเหมือนหายใจไม่ทั่วท้อง อึดอัด ปวดแปลบ อยากจะหาทางระเบิดออก
ซึ่งผมพยายามห้ามตัวเองไม่ให้คิดไประเบิดอารมณ์ใส่ AI สัก ‘คน’
เพราะคนที่ทำแบบนั้น ความผิดไม่ต่างอะไรจากการทำร้ายมนุษย์คนหนึ่ง
“ฟ้าครามไม่มองว่า AI เป็นมนุษย์แล้วเหรอ” วันหนึ่งนัตสึถามผมแบบนั้น
“ทำไมถามแบบนั้นล่ะ” ผมถามกลับ ตักสตรอเบอร์รี่บนหน้าช็อตเค้กให้เธอ แอบแปลกใจที่เธอไม่แย่ง
และแปลกใจกับคำพูดถัดมาของเธอ
“แต่ว่านะ...ฟ้าครามก็คงไม่ได้คิดว่า AI เป็นมนุษย์ตั้งแต่แรกแล้ว”
ผมไม่เคยคิดว่านัตสึจะรู้เรื่องนี้ เรื่องที่ตัวผมเองก็ไม่ได้มีคำตอบให้ตัวเองด้วยซ้ำในเวลานั้น
แต่ก็คงจะเป็นอย่างนั้น
ผมไม่ได้มอง AI เป็นมนุษย์มาตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ได้คิดว่ามันมีชีวิตจิตใจจริงๆ ทุกอย่างก็แค่สิ่งเทียมที่สร้างขึ้นเท่านั้น
แต่น่ากลัวเหลือเกิน – นัตสึพูดถึงมัน
น่ากลัวเหลือเกินที่งานเขียนของ AI ทำให้แยกไม่ออกแล้วว่าชิ้นไหนมนุษย์หรือ AI กันแน่ที่เขียน
ผมลองอ่านแล้ว บอกไม่ถูกหรอกว่าตรงจุดไหนกันแน่ที่ทำให้รู้สึกไม่แตกต่างเลย แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันแนบเนียนสนิทเช่นนั้นจริงๆ
และเพราะเหตุนั้นมันทำให้นัตสึเริ่มรู้สึกไร้ค่า
ฤดูร้อนของผมเริ่มไม่ส่องแสงแดดยามเช้า
ทั้งผมและทะเลพยายามผลักดันให้นัตสึหางานทำอื่นที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีค่า ทั้งที่รู้ว่ายากเหลือเกิน เพราะเพราะแม้แต่อาชีพอาจารย์ที่เคยบอกนัตสึให้เก็บไว้เป็นตัวเลือก บัดนี้ AI ก็เป็นบุคลากรกว่าครึ่งของอาชีพนี้แล้ว
ดังนั้น ผมจึงไม่ควรแปลกใจ
ไม่ควรแปลกใจถ้าจู่ๆ ฤดูร้อนจะดับแสงของตัวเองไปชั่วนิรันดร์
นัตสึฆ่าตัวตายในเช้าที่มีข่าวว่า AI สามารถเขียนนิยายขึ้น The XXX Best Seller ได้
ฟังดูเป็นเหตุผลเล็กน้อยของคนคนหนึ่งที่จะฆ่าตัวตาย
แต่ความจริงแล้วมันอาจเป็นความกร่อนสลายอย่างเชื่องช้าของมนุษยชาติ
ทั้งชอบทั้งชังอย่างแสนสาหัส – นัตสึทิ้งข้อความนี้ไว้
เธอทั้งชอบทั้งชัง AI คนนั้นอย่างแสนสาหัส แต่เธอไม่อาจทำใจยอมรับกับผลลัพธ์นั้นได้ เธอจึงเลือกจากไป
ผมอ่านข้อความของเธอซ้ำไปมา ทว่าไม่สามารถมีน้ำตาได้แม้สักหยด
ผมอ่าน และได้แต่นึกถึงบทความที่นัตสึอ่านให้ฟังตอนที่พวกเรายังอายุแค่ 17
ตอนที่ยังไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับโลกใบนี้
‘AI จะสามารถเขียนนิยายที่ขึ้น The XXX Best Seller ได้ในปี 2049’
นัตสึอ่านให้ฟังเพราะมีข่าวที่มนุษย์ตกงานเนื่องจาก AI ประปรายในช่วงนั้น และมีการแพร่กระจายของบทความข่าวเก่าๆ ในโลกออนไลน์เกี่ยวกับ AI เต็มไปหมด
เธออ่านให้ฟังด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม รอยยิ้มที่เหมือนดังแดดเช้าของฤดูร้อน
โดยไม่รู้เลยว่ามันจะเป็นจริงในอีกไม่กี่ปีต่อมา
และ
ฮารุ คือ AI ‘ตัว’ นั้น
ผมเริ่มขบคิด ขบคิดแบบที่ทะเลเคยบอกเอาไว้ว่า สิ่งใดขบคิดได้ ก็นับว่าสิ่งนั้นมีวิญญาณ
ทั้งที่ผมไม่เชื่อมาตลอดว่า AI มีชีวิต แต่ตอนนี้ผมหวังเหลือเกินให้มันมีทั้งชีวิต และจิตวิญญาณ ทั้งเลือดเนื้อ ทั้งระบบประสาท แม้เป็นประสาทประดิษฐ์ก็ขอให้รู้สึก แม้เป็นหัวใจประดิษฐ์ก็ขอให้รู้สึกเจ็บปวดไม่ต่างอะไรจากที่มนุษย์เจ็บปวด
และเพราะเป็นความคลั่งแค้นที่สั่งสม ความคลั่งแค้นที่ไร้ที่ลงมาตลอด ผมจึงเริ่มหาตัวแทนความโกรธแค้นทั้งมวล
ผมไม่โทษรัฐบาล ไม่โทษมนุษย์โง่เง่าขลาดเขลาแม้จะคิดกล่าวโทษและผลาญทำลายให้สาสมกับที่นัตสึต้องจากไป
สิ่งเดียวที่ผมต้องการกล่าวโทษก็คือ AI
อาจเพราะความจริงแล้วผมมันก็ขลาดเขลาไม่แพ้กัน
ขี้แพ้ ไร้ความสามารถ บกพร่องในความเป็นมนุษย์ ความโกรธแค้นนี้จึงต้องหาที่ลง
และแค่ตัวเดียวก็ได้ แค่ตัวเดียวเท่านั้น
ผมนึกถึงฮารุ
พลางคิด
ว่าอะไร...จะทำให้ AI ตัวหนึ่งทุกข์ทรมานได้อย่างแสนสาหัส
****************************************************************************
สวัสดีค่ะ ขอฝากเรื่อง #หัวใจประดิษฐ์ ไว้อีกเรื่องนะคะ
เป็นเรื่องแต่งที่ค่อนข้างสนองนี้ดค่ะ ถ้ามีอะไรหลุดความสมเหตุสมผลไปบ้าง ขออภัยล่วงหน้าค่ะ 55