Chapter 3 ออกจากกรง
โลกภายนอกมันน่าตื่นเต้นไปหมด ผมเพิ่งเข้าใจว่าชีวิตของผมช่างคับแคบขนาดไหนจนกระทั่งต้องออกมาอยู่คนเดียว ผมเลือกเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนหลักสูตรนานาชาติที่ไกลจากตึกของเจิ้นประมาณสี่สิบนาทีถ้ารถไม่ติด
เจิ้นบอกว่าที่นี่โอเค...และอยู่ไม่เกินเขตกรุงเทพ
ผมเคยปรึกษาเพื่อนเรื่องมหาวิทยาลัยก่อนมาปรึกษาเจิ้นเป็นคนสุดท้าย ทุกคนบอกว่ามหาวิทยาลัยนี้สำหรับคนรวยเรียน หลักสูตรผมก็ยิ่งแพงเข้าไปใหญ่มันเป็นหนึ่งในเมเจอร์ของคณะเศรษฐศาสตร์
ตอนผมคุยกับเจิ้นว่าที่อื่นก็ได้...เจิ้นแค่เลิกคิ้วแล้วพูดงงๆ
“ค่าเทอมถูกว่าโรงเรียนจันทร์”
ผมเบิกตากว้าง ผมเรียนโรงเรียนนี้มาตั้งหลายปีตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับเจิ้นด้วยซ้ำ...เจิ้นหมดเงินค่าเทอมผมไปกี่ล้านกันแล้ว
อยากจะย้อนกลับไปด่ายามตัวเองขี้เกียจ งอแงไม่อยากตื่นไปเรียน และบ่นไม่อยากทำการบ้าน ผมไปเรียนทั้งๆที่ไม่รู้ว่าค่าเทอมตัวเองเท่าไหร่มาหลายปีได้ยังไงกัน
แล้วทำไมเพื่อนๆคนอื่นถึงบอกว่ามหาวิทยาลัยนี้แพงล่ะ ทั้งๆที่โรงเรียนค่าเทอมแพงกว่าอีก...ผมอ่านเอกสารทั้งหมดอีกรอบจึงเห็นว่ามันมีค่าธรรมเนียมแรกเข้าเฉพาะนักศึกษาปีแรกที่แพงหูดับ
มหาวิทยาลัยนี้คัดคนมีเงินเรียนตั้งแต่ก่อนสมัคร... ส่วนเจิ้นก็ยังคงไม่ใส่ใจ เขาบอกว่าเป็นการซื้อสังคมให้ผม ผมจะได้ไม่เจอเพื่อนที่คบกันเพื่อหวังผลประโยชน์ หักหลัง และเข้าหาเพื่อเงิน การไปอยู่ในสังคมคนประเภทเดียวกันมันปลอดภัยกว่า อย่างมากก็เข้าหาเพื่อคอนเนคชั่นในอนาคตที่อาจจะได้ผลประโยชน์ร่วมกัน ทำงานร่วมกันและช่วยเหลือกัน ยิ่งทุกคนรู้ว่าผมมาจากครอบครัวธุรกิจธนาคารคนก็ยิ่งเข้าหา เพราะทุกกิจการล้วนต้องมีสถาบันการเงินออกทุนให้ ไม่ว่าจะร่วมทุน จะกู้ทำธุรกิจหรือธุรกรรมการเงินอื่นๆ เพื่อนกลุ่มผมก็อาจจะต้องพึ่งพาผลประโยชน์กันในอนาคตเหมือนกัน
เจิ้นทำเหมือนพูดเรื่องดินฟ้าอากศ แต่ผมกลับตกใจและกังวล...เพื่อนกลุ่มนี้ผมคบมาตั้งแต่ประถมด้วยซ้ำ บางคนก็มาสนิทตอนมัธยมแต่เราก็เคยเห็นหน้ากันแม้จะอยู่คนละห้อง
เราคบกันที่มิตรภาพ...แต่เพราะสังคมราคาแพงที่ต่างจ่ายมาในรูปแบบค่าเทอม ทำให้เราได้เป็นเพื่อนกัน เพื่อในห้องผมทุกคนเราจะคุ้นหน้าคุ้นตาในวงสังคม ทำให้ผมเข้าใจว่ารอบตัวผมก็มีแค่เท่านี้
แต่ผมลืมคิดไป...คนธรรมดา ลูกพนักงาน ลูกคนงาน หรือครอบครัวชนชั้นกลางค่อนไปทางชั้นล่าง
ผมไม่เคยเจอพวกเขาในห้องเรียนครูเคยบอกว่าสังคมเราเป็นแบบยอดปิรามิด คนรวยมีเพียงหยิบมือ สังคมอยู่ได้จากฐานล่างที่มั่นคง
ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองรวยจนกระทั่งได้คุยกับเจิ้นเรื่องค่าเทอม เราอยู่กันบนยอดปิรามิดแน่ๆ... ยอดธนาคารช่อฟ้าเลยด้วยซ้ำ
ผมเริ่มกังวลว่าผมไหวตัวช้าไปหรือเปล่าที่เพิ่งมารู้เอาตอนนี้ และคนที่คบผมเขาจริงใจหรือเปล่าหรือผมแค่เป็นสะพานทอดไปหาเจิ้นกันแน่
แล้วเจิ้นใช้ชีวิตด้วยความกังวลแบบนี้มาตลอดหรือเปล่า?
“มูนนี่ คิ้วขมวดหมดแล้ว”
เจิ้นจิ้มคิ้วผมเบาๆ ผมคงกังวลมากจริงๆ ก็จะไม่ให้กังวลได้ไงถ้าวันหนึ่งมีคนมาบอกว่าเพื่อนคุณคบคุณที่ผลประโยชน์นะ และคุณก็อาจจะเป็นเครื่องมือบางอย่างที่ถูกนำไปใช้หาเงิน
“พี่แค่ยกตัวอย่าง ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะคิดร้ายกับจันทร์ทั้งหมด แค่อยากให้จันทร์ระวังตัว”
“อื้อ”
“ไม่มีใครทำอะไรจันทร์ได้หรอก... พี่วางแผนป้องกันจันทร์ไว้หมดแล้ว จันทร์แค่มีความสุขทุกวันก็พอ”
เจิ้นวางแผนเผื่อผมไว้หมด...
ผมสงสัยว่าเขาวางแผนอะไรให้ผมในอนาคตอีกบ้าง ทุกอย่างมันดูมีเหตุและผลในการกระทำตลอด ผมรู้สึก...โลกของผมมันไปไม่ถึงจุดนั้น
แล้วที่บอกว่าวางแผนป้องกันให้ผมทั้งหมด...มันครอบคลุมถึงขอบเขตไหนกัน
“... แต่จันทร์บอกเจิ้นหมดนะว่าจันทร์รู้จักใครบ้าง เล่าเรื่องทุกคนให้ฟังด้วย”
เจิ้นมักจะฟังผมพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้เสมอ เราชอบคุยกันก่อนนอน เจิ้นชอบเล่าแค่ทำงานเหมือนเดิม ส่วนผมมีสารพัดวีรกรรมที่จะนำเสนอ
บางครั้งเขาก็ขมวดคิ้ว บางครั้งเขาก็หัวเราะ บางครั้งก็ถามรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ผมเคยกังวลว่าการกระทำบางอย่างจะทำให้เจิ้นโกรธ แต่เขาแค่ลูบหัวผมเท่านั้น
“จันทร์จะทำอะไรก็ได้ แต่อย่าลืมว่าพี่เป็นห่วง”
มันหมายถึงอย่าทำอะไรไม่ดีเพราะเจิ้นจะเป็นห่วง เจิ้นชอบให้ผมมีความสุข ผมก็เลยใช้ชีวิตแบบมีความสุขมาตลอด
“ทำถูกแล้ว..เจออะไรมาก็บอกพี่ มีความสุขก็บอก ไม่สบายใจก็บอกพี่ จันทร์ไม่ได้ใช้ชีวิตบนโลกนี้คนเดียว พี่จะอยู่ข้างจันทร์”
“จันทร์ก็อยู่ข้างๆเจิ้นนะ”
แล้วผมก็ยกสองแขนโอบรอบคอเจิ้น...ให้รางวัลเป็นจูบที่เจิ้นชอบ...โลกของผมปลอดภัยเพราะเจิ้น เจิ้นรับปากแล้ว เจิ้นควรได้รางวัลของความดี
ผมขอเจิ้นออกมาอยู่คนเดียวตอนเข้ามหาวิทยาลัยตามที่เจิ้นสัญญาไว้ เจิ้นช่วยผมคิดว่าจะลืมอะไรหรือเปล่า มีแม่บ้านอีกคนคอยช่วยด้วยเพราะผมจัดอะไรก็ไม่ค่อยได้เรื่อง
“อย่าลืมสืนเชื่อ”
“จันทร์ไม่เอาไป เดี๋ยวเจิ้นเหงา ให้สินเชื่อนอนกับเจิ้นแทนจันทร์”
สินเชื่อคือตุ๊กตากระต่ายหูยาวสีขาวนุ่มขนาดพอดีอ้อมกอด เจิ้นเคยซื้อให้เมื่อหลายปีก่อน มันเป็นตุ๊กตาเน่าที่ผมติดมาก ต้องนอนกอดทุกคืน
แต่ผมจะทิ้งมันไว้กับเจิ้น
เจิ้นชะงัก...ใบหน้านิ่งยกยิ้มจางๆและลูบหัวผม
“ไม่มีอะไรแทนจันทร์ได้หรอก”
หัวใจผมเต้นแรง...จนแทบจะทะลุออกมา
“แต่ไหนๆจันทร์ให้พี่แล้ว พี่ก็จะกอดทุกคืนเหมือนที่พี่กอดจันทร์ทุกคืนดีไหม?”
“ไม่ดี”
การตอบกลับทันทีของผมทำให้เจิ้นเลิกคิ้ว... ก็ผมอิจฉาสินเชื่อ มันตัวนิ่มกว่าขนาดผมยังนอนกอดมันทุกคืน ถ้าเจิ้นเบื่อผมแล้วชอบสินเชื่อมากกว่าจะทำยังไง
ผมอิจฉาตุ๊กตา “ก็...เดี๋ยวมันลืมจันทร์นี่
เหตุผลผมโคตรปัญญาอ่อน... ตุ๊กตาไม่มีความรู้สึกสักหน่อย แต่จะให้พูดตรงๆมันก็...งื้อออ อ่ะ
“งั้น...จันทร์ก็ต้องกลับมาให้พี่กอดทุกอาทิตย์”
“อื้อ...”
ผมก็ไม่คิดว่าผมจะห่างเจิ้นได้นานนักเหมือนกัน
และโลกทั้งใบของผมก็แกว่งเหมือนเรือเอียง...คอนโดที่เจิ้นบอกว่าซื้อไว้นานแล้วให้ผมมาอยู่ดูแลบ้างก็ดี มันใหม่และไม่เคยมีใครอยู่มาก่อน เป็นห้องชุดกินพื้นที่ครึ่งชั้นของตึก ทั้งชั้นมีแค่สองห้อง
มีสามห้องนอน ห้องโถงใหญ่สำหรับเป็นห้องรับแขก ห้องครัว และห้องกินข้าว ห้องนอนใหญ่มีเตียงไซส์ใหญ่ที่จะเป็นของผมคนเดียว
ผมกุมมือเจิ้นไว้แน่นไม่ยอมปล่อย รอแม่บ้านจัดของให้เสร็จ ตรวจความเรียบร้อยอีกสักพักเราก็กินข้าวเย็น ผมตื่นเต้นมากเพราะพรุ่งนี้ผมต้องไปรายงานตัวแต่เช้า
คอนโดนี่อยู่แค่ตรงข้ามมหาวิทยาลัยและเจิ้นจะไปมหาวิทยาลัยกับผมพรุ่งนี้ เพราะมีงานปฐมนิเทศน์ที่เชิญผู้ปกครองมาร่วมรับฟัง เหมือนมอบตัวเข้าโรงเรียน
เจิ้นเป็นผู้ปกครองผมแม้ไม่ใช่ตามกฏหมายเพราะพ่อแม่ผมก็ยังอยู่ แต่ทุกคนก็มอบอำนาจให้เจิ้นดูแล ถือสิทธิ์ขาดในหน้าที่นี้
ผมตื่นเต้นจนแทบนอนไม่หลับ คุยกับเจิ้นทั้งคืน ถามนั่นถามนี่ไปหมด เจิ้นเคยเข้ามหาวิทยาลัยมาก่อน เขาก็ตอบในส่วนที่จำได้ บางอย่างก็นึกไม่ออก
“เจิ้นได้เป็นเดือนคณะไหม?”
“พี่ไม่หล่อหรอก”
“ฮื่อออ แล้วมีแฟนไหม? สวยหรือเปล่า”
“จำไม่ได้แล้ว ไม่มีมั้ง? ก็ไปรับจันทร์ที่โรงเรียนทุกเย็น”
“แล้วมีสาวๆมาชอบเจิ้นไหม?”
“จำไม่ได้ ไม่ได้ใส่ใจ”
“อะไรก็จำไม่ได้ คนแก่นี่แก่จริงๆ”
เจิ้นเลิกคิ้วแล้วจับผมกดลงกับเตียง ขยับเข้ามาคร่อมกักตัวผมไว้ในอ้อมแขน
“พี่แก่ตรงไหน?”
“ทุกตรงเลยย โหห ตีนกา”
“พูดไม่เข้าหูต้องโดนทำโทษ”
“ฮื่อออ ไม่กลัววว”
ผมยังคงยักคิ้วสู้ แต่แล้วก็ต้องกริ๊ดหัวเราะลั่นเพราะเจิ้นจักจี้ผมจนดิ้นไปมา ผมบ้าจี้ พุงถูกฟัดจักจี้ไปหมด ก่อนจะขนลุกเมื่อฟันคมๆของเจิ้นงับที่ใบหู
หมดแรงเป็นผักต้มให้เจิ้นงับหูจนพอใจ...แพ้แล้ว
ไม่รู้ทำไมเวลาเจิ้นมาอยู่ใกล้ๆหูทีไรผมจะหมดแรงทุกที
“หึ..มูนนี่ของพี่”
“งื้อออ”
เจิ้นยังแกล้งผมต่อ..ลิ้นชื้นๆเลยไปตามใบหูผมช้าๆ สลับกับจูบเบาๆที่เปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ ผมรู้สึกโหวงๆจนต้องบิดตัวหนี แต่แขนของเจิ้นที่กักผมไว้ทำให้ผมทำได้แค่หันหน้าหนี
แต่หูอีกข้างก็โดนลงโทษแทน...ผมรู้สึกผ่าวๆจนต้องบิดตัวไปมา มันคล้ายๆกับจักจี้แต่ก็แปลกๆ เป็นความรู้สึกที่ผมพูดไม่ถูก...และไม่คุ้นเคย
ไม่หรอก...ผมคุ้นเคยแต่ไม่เคยบอกเจิ้น
มันมักจะเป็นยามเรามอนิ่งแคร์กัน... หรือตอนจูบให้รางวัล
“มูนนี่...”
เจิ้นกระซิบเสียงพร่ายามคลอเคลียกับแก้มผม ส่วนผมตาพร่าเลือนได้แต่นอนนิ่ง...จนกระทั่งเจิ้นดึงเข้าไปกอด ผมซุกอยู่กับอกเขา
ไม่กล้าเงยหน้าให้เจิ้นเห็นว่าหน้าผมแดง ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าทำไม...
ร่างกายและความรู้สึกของผมมันสับสนไปหมด
เจิ้นอยู่กับผมอีกแค่วันเดียวเขาก็กลับบ้านไป ทิ้งผมไว้กับคอนโดกว้างๆที่มันวังเวงมากกว่าชั้น 59+1 ที่ผมคุ้นเคย ทั้งๆที่บ้านเราก็กว้างกว่านี้ตั้งเยอะ
ผมชักจะรู้สึกเหงาขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ที่ระเบียงไม่มีเก๋งจีน ไม่มีน้ำตกจำลอง ไม่มีสระว่ายน้ำ และไม่มีหลักทรัพย์กับออมทรัพย์คอยร้องเพลง
ที่ครัวไม่มีแม่บ้านคอยเตรียมนั่นเตรียมนี้ให้ผมได้เข้าไปคุยเล่นด้วย...ห้องนอนไม่มีสินเชื่อจับจองพื้นที่บนเตียง...และที่ต่างออกไปที่สุด
ไม่มีเจิ้นการนั่งกินข้าวคนเดียวทำผมน้ำตาร่วง ปกติก็ใช่ว่าจะได้กินกับเจิ้นทุกวันแต่ผมก็ยังได้ไปนั่งกินกับค๊อกคาเทลของผม หรือมีแม่บ้านกินด้วย
และแม้จะดึกแค่ไหนเจิ้นก็จะกลับมานอนกอดผม ผมจะหลับตื่นๆจนกระทั่งเจิ้นกลับมากอด ไม่รู้ว่าเจิ้นจะรู้สึกไหมว่าตอนเขาจุ้บเหม่งผมนั่นแหละ...ผมถึงจะหลับไปจริงๆ
ห้องกว้างๆที่ผมเคยตื่นเต้นมันดูน่ากลัวขึ้นมา...ผมน่าจะไม่ได้ชอบบ้านกว้างๆ แต่ผมชอบบ้านกว้างๆที่มีเจิ้นต่างหาก
เตียงกว้างไปเยอะเลยสำหรับการนอนคนเดียว...คิดถึงเตียงสี่เสาของเจิ้นที่มีม่านบางๆกั้นรอบด้าน ฉากกั้นห้องบานพับที่วาดโดยศิลปินชื่อดังจากจีน โต๊ะกลมที่มีกาน้ำชาของเจิ้น
ผมขอบตาคล้ำไปเรียนวันแรก...
การอยู่คนเดียวทำให้ผมไม่ได้กินข้าวเช้าเป็นวันแรก ผมกะเวลาตื่นไม่ทัน และผมอุ่นนมไม่เป็นแม้จะมีไมโครเวฟ แต่ถ้าอยู่ที่บ้านคุณแม่บ้านจะอุ่นจากกาให้ผม วัตถุดิบทำอาหารเต็มตู้แต่ผมก็ไม่เคยทำกับข้าว มื้อเย็นเมื่อวานเป็นแม่บ้านเตรียมให้ก่อนเจิ้นจะกลับไปเลยไม่มีปัญหา
แต่มื้อเช้าวันนี้จะมาหัดทำตอนนี้ก็ไม่ทันเพราะผมต้องรีบไปเรียน แถมยังต้องนั่งแท็กซี่ไปเอง ผมรู้ว่าเขาพาขับอ้อมเพราะมหาลัยมันอยู่ตรงข้ามนี่เอง...วันหลังผมจะเดินข้ามถนนไปเองดีกว่า
ปวดท้อง... ผมเคยกินแต่ของอุ่นๆตอนเช้า และกินเป็นเวลา แต่เพราะไร้ทางเลือกทำให้ผมต้องเข้าเซเว่นหยิบนมกล่องมากินแทนกับขนมปังง่ายๆ ผลลัพธ์คือผมนั่งหน้าซีด
การเรียนวันแรกโชคดีที่อาจารย์ไม่ค่อยสอน เพื่อนใหม่ของผมนั่งกันเต็มไปหมด บ้างก็เริ่มคุยกัน ส่วนผมยังปวดท้องจนไม่ได้เข้าไปทำความรู้จักใคร
มีกลุ่มผู้ชายนั่งกันอยู่ด้านหลังและหนึ่งในนั้นผมก็รู้จักดี...
คิวผมคุ้นหน้าคุ้นตาเขาอยู่เพราะเขาอยู่คนละห้องกับผม เขาตัวสูงชะลูดเป็นคนดังคนหนึ่งของโรงเรียน ยิ่งตอนนี้เขาตัดผมตามสมัยนิยมและทำสีเทายิ่งเด่น
ส่วนผมก็ยังตัดผมสั้นเหมือนตอนมัธยมปลาย ผมหน้าค่อนข้างยาวเพราะผมเขินถ้าคนจะเห็นหน้าผมชัด บางทีเจิ้นก็ชอบมาผูกจุกเปิดหน้าให้ผม
คิวเหมือนจะสังเกตว่าผมมองอยู่ กับลุกขึ้นเดินมาหาผมที่นั่งอยู่คนเดียว ผมตื่นเต้นที่ตัวเองจะได้คุยกับเพื่อนใหม่ครั้งแรกเพราะตัวเองไม่ได้มีสังคมที่กว้างมากนัก อยู่แต่กับกลุ่มเดิมๆ คนเดิมๆ
“เจ้าจันทร์ใช่ไหม?”
“ใช่ๆ คิวใช่ปะ?”
“อื้อ รู้จักเราด้วย?”
“ก็อยู่โรงเรียนเดียวกันตั้งหลายปี ดีจังนึกว่าจะไม่เจอเพื่อนจากที่เดียวกันแล้ว”
"หึหึ มีเพื่อนยัง ไปนั่งด้วยกันดิ”
และแล้วผมก็มีเพื่อนใหม่ กลุ่มของเรามีกันห้าคน ทุกคนล้วนมาจากโรงเรียนนานาชาติหรือเอกชนชายล้วนชื่อดัง สังคมของผมที่เจิ้นเลือกให้ประกอบไปด้วยลูกเศรษฐีทั้งหมด
น่าแปลกที่ทุกคนรู้จักผม ตราธนาคารช่อฟ้าทำให้ผมถูกจัดอยู่ในกลุ่มทายาทตระกูลใหญ่มาโดยตลอด
ผมเกร็งมากกลัวจะเจอคนไม่ดีแบบที่เจิ้นบอก แต่สนทนาก็ไหลลื่นไปในเรื่องอื่นทำให้ผมสบายใจ เรานั่งเล่นปล่อยเวลาว่างให้ผ่านไป ย้ายห้องเรียนบ้างตามรายวิชา
อาการปวดท้องผมดีขึ้นตอนเรากินข้าวกลางวันกัน ในโซนแคนทีนของมหาลัยมีเฟรนไชน์ร้านอาหารที่ผมคุ้นเคยหลายร้าน เราเลือกนั่งกินอาหารญี่ปุ่นที่เจิ้นไม่เคยพาไปกิน เจิ้นมีร้านประจำอยู่แล้ว ร้านนี้ไม่มีฉากกั้นห้องส่วนตัวแบบที่เจิ้นชอบ เมนูก็แปลกๆไม่เหมือนอาหารญี่ปุ่นที่ผมรู้จัก มันเหมือนฟิวชั่นมากกว่า
ชาเขียวร้อนที่ผมสั่งก็ไม่ใช่ชาคุณภาพ ทุกครั้งเจิ้นจะสั่งชาร้อนเฉพาะเจาะจงและร้านก็มีให้ แต่ร้านนี้ก็แค่ชาเขียวร้อนที่ไม่บอกว่าเป็นชาจากที่ไหน
ผมไม่ได้แสดงความสงสัยออกไป เพราะร้านนี้คงจะถูกกว่าและมีทาเก็ตลูกค้าแตกต่างกัน ผมกินชุดเซ็ตที่ดูแปลกตา มันก็อร่อยดี...
กิจกรรมรับน้องของเรายังไม่เริ่มในวันนี้ กำหนดการแน่นอนคือพรุ่งนี้เย็น มหาลัยนี้ไม่มีว้ากเหมือนที่ผมกังวล ตารางกิจกรรมมีแต่แนวๆสันทนาการสนุกสนาน การประกวดดาวเดือน แข่งกีฬา และจับสายรหัสสายเทค
เราแยกย้ายกันตอนเย็นหลังจากฟังนัดหมายเข้าร่วมกิจกรรมจากรุ่นพี่เรียบร้อย ผมตั้งใจจะเดินกลับเพราะคอนโดผมมันอยู่ไม่ไกล แค่ตรงไปสุดทางออกเหมือนตอนเข้ามาและก็ข้ามถนน
“เป็นกิโลกว่าจะถึงทางออก กลับกับเราดีกว่า เดี๋ยวไปส่งข้างหน้า”
คิวลากผมไปที่รถของเขา คิวขับรถคนละแบบกับเจิ้น ผมตื่นเต้นที่ได้มานั่งหน้าข้างคนขับ มันนานๆครั้งที่เจิ้นจะขับรถเองและพาผมไปไหนมาไหนด้วย ปกติเรานั่งด้านหลังที่มีกระจกทึบกั้นแบ่งจากคนขับรถเพื่อความเป็นส่วนตัว
“คาดเข็มขัดด้วยดิ”
หือ.. ผมคงงกๆเงิ่นๆคิวเลยโน้มตัวมาดึงเข็มขัดนิรภัยใส่ให้ผม จมูกของผมเกือบชนแก้มคิว... ผมไม่เคยใกล้ชิดกับใครในระดับนี้มาก่อนนอกจากเจิ้น…มันทำผมตกใจและมองเขาตาค้าง
“หล่ออ่ะดิ? จ้องเราตาค้างเลย”
“ไม่ใช่ซะหน่อย”
“หึหึ ทำหน้าตลกว่ะ”
คิวโยกหัวผมไปมา เหมือนเจิ้นเวลาที่เรียกผมว่ามูนนี่... คงเพราะผมทำตัวดูโง่ๆ ผมเลยนั่งกอดอกไม่พอใจ แต่คิวกลับผิวปากอารมณ์ดี
เขาพาผมไปกินไอติม บอกว่าเป็นการขอโทษ...แพลนกลับห้องไปเล่าเรื่องมหาลัยให้เจิ้นฟังเลยเลื่อนออกไปจนถึงสองทุ่มเพราะห้างค่อนข้างไกลและรถมันก็ติด
การเดินทางทำผมเหนื่อยจนหลับตั้งแต่ออกจากห้าง คิวปลุกผม ลูบหัวผมอีกทีก่อนผมจะสลึมสลือเดินขึ้นคอนโด ผมลืมโกรธที่เขาทำแบบนั้นในครั้งนี้ แต่ก็ช่างเถอะ ไอติมอร่อยไม่โกรธก็ได้
ผมไม่ลืมโทรหาเจิ้นทันทีที่อาบน้ำเสร็จ เล่าเรื่องวิชาเรียน อาจารย์ ... เสียงทุ้มๆของเจิ้นทำให้ผมเริ่มงัวเงียหนักกว่าเดิม
ประโยคสุดท้ายที่ผมบอกเจิ้นคือ...คิวพาไปกินไอติม และเหมือนเจิ้นจะพูดอะไรสักอย่าง...
“มันเป็นใคร?”ฮื้อออ เจิ้นไม่เห็นเคยเรียกใครว่ามัน...ผมคงจะฟังผิด ผมไม่รู้ว่าตอบอะไรไปเพราะผมสติหลุดไปแล้ว
“...คิว กินติม มาส่ง...ลูบหัว...งือออ”เพล้งแก้วชาในมือแตกละเอียด ตาเรียวดุมองมือตัวเองที่เลือดเริ่มไหลซึม มืออีกข้างยกขึ้นนวดขมับตัวเอง...เขากำลังเดิมพันตัวเองกับเจ้าจันทร์
อิสระที่เจ้าจันทร์อยากได้...กับกรงทองที่เขาสร้างไว้
เขาจะไม่ห้ามให้จันทร์ได้เจอเพื่อนใหม่ สังคมใหม่...
เจ้าจันทร์ก็ใช้ชีวิตของตัวเองไปส่วนเขาก็จะทำตามวิธีของเขา
เจ้าจันทร์จะมีปีกพี่ไม่ว่า...แต่ปีกของจันทร์ควรรู้ว่าบินได้ไกลแค่ไหน
โลกภายนอกที่ไม่มีพี่มันน่ากลัวรู้ไหม...
ศศิมณฑล=========================
จันทร์เอ้ยยยย ความง่วงทำหนูซวยแล้วลูก

ปล.เผื่อใครสงสัย ตอนเริ่มเรื่องคือตอนเจ้าจันทร์อายุ 21 แต่ช่วงนี้คือเล่าย้อนอดีตกลับมานะคะ