ป้ายรถเมล์
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ป้ายรถเมล์  (อ่าน 1127 ครั้ง)

ออฟไลน์ rass

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ป้ายรถเมล์
« เมื่อ26-07-2017 11:21:51 »



ป้ายรถเมล์.
ราสส์ กิโลหก
                     
สมพงษ์  ออกจากวิทยาลัย ย่านทุ่งมหาเมฆ เมื่อหมดเวลาเรียนตอนเย็น เขามีเงินในกระเป๋าถึง 300 บาท เป็นเงินจากธนาณัติที่ยายส่งมาให้   อ้ายนพ รู้แกว มันรีบชวนไปกินเหล้าทันที ที่เก่าเวลาเดิม บ้านเช่าของมันที่ห้วยขวาง  ... 

โหนรถเมล์ที่แน่นเป็นปลากระป๋อง  ทั้งที่แน่นแสนแน่น ไอ้กระเป๋าหน้าแหลม มันยังท่องไม่ขาดปาก

“ชิดในหน่อย  พี่ ชิดในๆๆๆๆ” มันพูดเหมือนนกแก้ว..

เสียงกระบอกตั๋วดัง กั๊บๆๆ ....

“สอง คน”...อ้ายนพเอ่ยบอก  พร้อมยื่นเหรียญให้ไป..

 ..กระเป๋ารถโยนเหรียญลงในช่องกระบอกอลูมิเนียมด้วยความชำนาญ ฉีกเศษตั๋วใบเล็กๆยัดใส่มือคืนมา...
ทรมาน ทรกรรม อยู่ในรถเป็นชั่วโมงกว่าจะมาถึงจุดหมายที่ห้วยขวาง เราลงที่ป้ายรถเมล์ปากซอยเข้าบ้าน..
เอามือตบกางเกง ยึดตัวสูดอากาศเพื่อไล่ความอึดอัดและเมื่อยขบ..

สมัยนั้นถนนหนทาง บางส่วนยังเป็นดินลูกรัง มันเหมือนเดินอยู่ตามท้องทุ่ง ทั้งๆที่อยู่ใจกลางเมืองแท้ๆ
แวะซื้อเหล้ากวางทองที่ร้านค้า  1 ขวดกลม และ น้ำแข็งที่ทุบจนละเอียดพร้อมไก่ย่าง ครึ่งตัว โซดาไม่ต้อง   กินออนเดอะร๊อค คือกินเหล้าเพียวๆและตามด้วยน้ำเย็นลาดตามลงไป...ความร้อนจะวาบตั้งแต่คอหอยยันกระเพาะ พอแก้วละจากปาก จะร้อง  แฮ่ๆๆ..ด้วยความเคยชิน .. 

นพอยู่คนเดียว บ้านพักของมันอย่าเรียกบ้าน มันเป็นห้องแถวชั้นเดียว เช่าเดือนละ 150 บาท  นพเป็นคนทางภาคใต้ ดั้นด้นมาสอบเล่าเรียนในกรุงเทพฯ มันบอกว่าคนใต้ส่วนใหญ่ พ่อ-แม่ จะส่งเสริมเรื่องการเล่าเรียนเป็นอันดับ 1  หมดเท่าไหร่ไม่ว่าการขอให้ลูกได้เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ พ่อ-แม่ ของนพ ก็เช่นกัน ไม่ร่ำรวยอะไร แต่ก็พอกัดฟันส่งลูกมาเรียนได้..

เสื่อผืน  แก้วสองใบ จานสังกะสี ใสกับแกล้ม น้ำแข็งใส่ขันพลาสติก  น้ำฝนที่กรอกใส่ขวด ...เป็นสวรรค์สำหรับเราสองคน...
กินกันไปคุยกันไป สัพเพเหระ เพราะมันมีแต่เรื่องเดิมๆ กินกี่หน ก็หนังม้วนเก่า จนเวลาย่างเข้าเกือบ สามทุ่ม หัวแทบชนกัน เหล้าหมดพอดี

“กูต้องกลับ แล้ว” สมพงษ์เอ่ยขึ้น

“เฮ้ย นอนที่นี่แหละ กลับทำไมวะ บ้านมึง ไม่ใช่ใกล้ๆ”

ทุกครั้งก็จะเป็นแบบนี้..เพราะเดี๋ยวมันก็นอน ครอกๆๆ ข้างวงเหล้านั่นแหละ 

สมพงษ์ไม่ได้สนใจอะไร คว้าสมุดเรียนสองเล่มที่พับเป็นสองท่อนจนแบน เหน็บใส่กระเป๋ากางเกงด้านหลัง ใส่รองเท้าเดินออกมาเลย พวกกินเหล้าอย่าไปพูดมาก  มันเยิ่นเย้อ ไม่จบ.. ก่อนจะงับประตูปิดบ้านให้มัน...

ฝนตั้งเค้า ลมพัดแรง จนรู้สึกได้  คงจะตกในอีกไม่นาน     

เขาต้องกลับบ้าน แม้จะไกลถึง จระเข้บัว  ถนนรามอินทรา  ดึกดื่นยังไงเขาต้องกลับ เพราะที่บ้านไม่มีใครอยู่   เขาอยู่ตัวคนเดียว  เป็นบ้านญาติที่เป็นทหาร สร้างเป็นเพิงเอาไว้ ไม่ถึงเป็นบ้าน เป็นเพียงกระท่อมที่ซุกหัวนอนมากกว่า ที่ดินเหล่านี้ ทางกองทัพจัดแบ่งขายให้กับกำลังพล โดยหักจากเงินเดือนทุกเดือน ประมาณ 120 เดือนจึงจะชำระครบ...และได้รับโฉนด…ในโครงการนี้เขาแบ่งที่ดินเป็นล๊อคๆเกือบร้อยแปลง แต่ที่มีคนมาสร้างบ้าน มีไม่กี่หลัง มันจึงเป็นเหมือนอยู่ในบ้านนอกไม่ใช่ในเมืองกรุง..

เดินเอื่อยๆออกมา ฤทธิ์เหล้าเล่นเอามึนๆเซๆเล็กน้อยแต่ก็ไปได้  ผู้คนยังพอมีให้เห็นบ้างแต่ก็บางตาเต็มทน เพราะตึกดื่นขนาดนี้ ซ้ำฝนยังทำท่าจะตกลงมาอีก  ใครจะอยากออกมา นอนซุกอยู่บ้านอบอุ่นกว่า..

ที่หมายคือป้ายรถเมล์ ที่ปากซอย เขาต้องไปรอรถเมล์ที่นั่น  สองข้างทางมีบ้านบ้างไม่มีบ้างสลับกันไปเพราะแถบนี้ ยังไม่เจริญมากนัก ไฟริมทางก็ไม่มี โธ่  ตอนนั้นมัน พ.ศ. 2512 ถนนรัชดายังไม่มี วิภาวดีสร้างแล้ว แต่เสร็จหรือยังจำไม่ได้
เดินมาได้ครึ่งทาง เม็ดฝนเริ่มโปรยลงมา แต่ไม่ถึงกับเป็นเม็ด  คงเป็นฝนไล่ลิง..

ชุดนักศึกษาเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน แม้จะเป็นน้ำสายเล็กๆ แต่เมื่อหล่นใส่หัวเมื่อมากเข้า น้ำก็ไหลมาตามเส้นผม ย้อยไปตามใบหน้าและข้างหู ต้องคอยเอามือปาดออก แล้วสลัดลงพื้น.....

เกือบถึงปากซอยแล้ว เขาจะต้องขึ้นรถเมล์หรือรถสองแถวเล็ก ไปลงที่สะพานควาย เพื่อต่อรถสาย 26 มีนบุรี  แต่รถสายมีนบุรี ไม่มีวิ่งทั้งคืน อาจจะหมดแค่ 4 หรือ 5 ทุ่ม ถ้าขึ้นรถสาย 26 ไม่ทัน ต้องขึ้นรถสาย 34 วิ่งไปรังสิต โดยจะลงที่วัดพระศรีมหาธาตุ ..
จากนั้น จะต้องเดินด้วยเท้า ไปตามถนนรามอินทราเป็นระยะทาง อีก 6 กิโลเมตร อย่าถามหาแท็กซี่ให้ยาก เพราะเงินที่ยายส่งมาให้ ต้องประหยัดให้มากที่สุด... ..

ที่ป้ายรถเมล์ .เป็นเหมือนเพิงอะไรสักอย่าง เก่าจนโทรม ทำท่าจะโค่นล้มลงมาได้ทุกเวลา มีเก้าอี้ยาวๆ เพื่อให้คนที่รอรถได้นั่งพัก ใต้หลังคาป้ายรถเมล์ มีไฟกลมดวงเล็กๆให้ความสว่างอยู่ แต่ก็คงหวังผลอะไรมากไม่ได้ เพราะความไม่สมดุล ของขนาด...
ไม่มีคน หรือมนุษย์สักคนที่ป้ายรถ  สมพงษ์ แลมองไปตามท้องถนน มีรถวิ่งผ่านไปมาไม่มาก นับคันได้ กำลังหย่อนก้นลงนั่งที่เก้าอี้ม้ายาว ..

“อิ๊ดๆๆๆบ๊อกๆๆ.”

.เสียงหมาขี้เรื้อนซึ่งซุกหัวนอนอยู่ใต้เก้าอี้ด้วยความสุข มันทะลึ่งพรวดขึ้นมาเพราะความตกใจ จากผู้มาใหม่ ...แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีที่ท่าว่าจะเป็นภัย มันจึงค่อยๆเดินเลี่ยงไปอีกมุม แล้วซุกหัว  ขดตัวนอนเหมือนเดิม....

สมพงษ์มองดูด้วยความสงสาร .ทำให้เขานึกถึงกระดูกไก่ ที่แทะเนื้อจนกระดูกเป็นมันกองอยู่ในจานสังกะสี หากถือมา  เจ้าหมาตัวนี้คงเป็นสุขกับอาหารมื้อค่ำ......

นั่งอยู่คนเดียวเงียบๆ ไม่นาน หูได้ยินเสียง คนคุยกันเสียงดังมาแต่ไกล มันเหมือนคนทะเลาะกัน เมื่อเงี่ยหูฟังดูดีๆ เป็นเพียงการคุยกันธรรมดาแต่เสียงดังมากในความเงียบ จนเจ้าของเสียงมาถึงป้ายรถเมล์ เป็นผู้ชายสองคนเดินคุยกัน  คำพูดแต่ละคำ เหี้ย สัตว์ เป็นสร้อยห้อยท้ายตลอดเวลา  ท่าทางคงเมาด้วยกันทั้งคู่

ดูจากการแต่งตัวก็รู้ว่าเป็นเด็กนักเรียนช่างกล พวกเขาไม่ได้ให้ความสนใจอะไรกับสมพงษ์ ยังคงคุยกันด้วยภาษาคนเมา เสียงอ้อ แอ้ เอามือกอดคอกัน เหมือนรักกันปานจะกลืน ยืนอยู่ไม่สุข เด้งหน้าเด้งหลัง  สักพัก หนึ่งในสองคน ตะโกนขึ้นมา

“ปวดเยี่ยว โว้ย “ ว่าแล้ว มันผละจากเพื่อน หันหลังเดินมายืนใกล้ๆที่ สมพงษ์นั่งอยู่  ไม่แลมองคนที่นั่ง คงนึกว่าอยู่ในห้องน้ำที่บ้านมัน ยืนปล่อยน้ำเสีย อย่างสบายอารมณ์ พอเสร็จธุระ ยังหันหน้าพูด

“มาเยี่ยว เหรอ เพ่” มันทักสมพงษ์ แล้วเดินไปหาเพื่อนเหมือนไม่มีอะไร..

พวกมันยังคุยกันเอ็ดตะโร แหกปากกันสองคน ไม่สนใจโลกภายนอก 

“เอาให้สบายใจ นะพวก” สมพงษ์ไม่ได้โกธรหรือซีเรียสอะไร พลางคิดว่า ถ้าเขาเมาสภาพคงไม่แตกต่างจากที่เห็นในขณะนี้..

“ฮือๆๆๆๆ” เป็นเสียงที่ดังสอดแทรกเข้ามาในป้ายรถเมล์
 
เสียงร้องไห้ดังสะอึกสะอื้น ดังเป็นช่วงๆ  เหมือนสูญเสียของรักไป เป็นเสียงผู้หญิง พอเห็นหน้าชัดๆ สมพงษ์ถึงกับแปลกใจ เพราะยังเป็นสาวอายุไม่เกินยี่สิบ เธอตั้งท้อง หน้าท้องนูนออกมาชัดเจน เพราะเธอสวมเสื้อยืด กางเกงขาสั้น ที่มือข้างขวาหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กๆ เก่าๆ... 

เสียงร้องไห้ เสียงครวญครางดังไม่หยุด ความเสียใจคงทำให้ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ เป็นเหมือนคนบ้า ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม หรือคนรอบข้าง น้ำตาไหลออกมาเต็มใบหน้า เจิ่งนองเต็มไปหมด เหมือนน้ำฝนที่เจิ่งนองบนพื้นถนน ..

เธอหย่อนก้นลงนั่งที่มุมอีกด้านหนึ่งของป้ายรถเมล์ ซึ่งเจ้าหมาขี้เรือนนอนขดตัวอยู่ เจ้าหมาเวรตัวนี้ ไม่ร้องเห่าสักคำ มันคงเห็นใจคนร้องไห้  ...

“กูอยากตายๆๆๆตายมันทั้งแม่ลูกนี่แหละ  ฮือๆๆๆๆ”

เอาแล้วไง  หันไปมองอ้ายขี้เมาสองตัว มันไม่ได้สนใจกับผู้หญิงร้องไห้ ยังกอดคอคุยกันเสียงดังเหมือนเดิม...

จากป้ายรถเมล์เก่าๆเงียบๆ ขณะนี้ ไม่เงียบซะแล้ว เสียงร้องไห้  เสียงคนคุยกันดังสลับไปมา แต่ไม่มีปัญหาอะไร เพราะทั้งสองฝ่ายไม่มีใครสนใจใคร..

“พี่ๆ..ขอตังค์ 5 บาทบุหรีมวนนึง”

เสียงดังอยู่ข้างๆตัว สมพงษ์หันควับไปดูด้วยความตกใจ

เจ้าของเสียงยืนยิ้มจนเห็นฟันขาว  ผมเผ้ารุงรัง กลิ่นสาปจากตัวโชยมาแตะจมูก เสื้อผ้าขาดวิ่น ดำสกปรก เหมือนผ้าเช็ดรถ กะว่าพี่แกคงไม่ได้เจอน้ำหรือเจอสบู่เป็นปี ผมเปียกน้ำจนเป็นก้อน ...

กำลังอ้าปากไล่ พลันสายตา มองไปที่เอวของมัน สมพงษ์ขนลุกขึ้นมาเล็กน้อย เพราะมีมีดยาวเป็นคืบเหน็บอยู่ อย่างน้อยสมพงษ์เคยรู้มาว่า คนบ้าฆ่าคนแล้วไม่ติดคุกเพราะกฎหมายยกเว้น

มือล้วงไปที่กระเป๋ากางเกงโดยอัตโนมัติ หยิบเหรียญ 5 บาทออกมา รีบยื่นให้มันเพราะต้องการให้อ้ายตัวเหม็นออกไปเร็วๆ พลางนึกในใจว่า ทำไมไม่ไปขออ้ายขี้เมาสองตัวนั่น .

บุหรี่ด้วยพี่..” มันทวง

เหมือนเคย สมพงษ์รีบยื่นให้มัน และขยับตัวห่างออกมา..

“พี่....” เสียงดังกว่าเดิม..

สมพงษ์สะดุ้ง อะไรอีกวะเนี่ย..

“ไฟด้วย ซิ !”  พร้อมยื่นปากที่คาบบุหรี่มาหา..

อ้ายบ้า เดินเป่าควันบุหรี่ อย่างสบายอารมณ์ และไปนั่งอยู่ที่ริมฟุตบาทข้างถนน หน้าป้ายรถเมล์..

สมพงษ์ พยายามชะเง้อมองไปที่ถนน เพื่อมองหา รถเมล์สายที่ต้องการหรือรถสองแถวเล็กที่วิ่ง รับส่งคนในย่านนั้น ..แต่ยังว่างเปล่า..

มีคนเดินเข้ามาที่ป้ายรถเมล์อีก 2 คนกลิ่นน้ำหอม น้ำอบฟุ้งจนแสบจมูก เป็นผู้หญิง 2 คน แต่งตัวเหมือนไปงานเลี้ยงงานมงคลอะไรสักอย่าง ยังนึกในใจว่า แต่งตัวขนาดนี้น่าจะนั่งแท็กซี่  พวกเขาสองคนมายืนอยู่ไม่ไกลที่สมพงษ์นั่ง กลื่นน้ำหอมโชยมาจนแสบจมูก น้ำหอมบ้าอะไร กลิ่นแรงจัง ..

พอได้ยินเสียงที่เขาคุยกัน

โธ่..คุณประเทืองนี่หว่า...

หนึ่งในสองยังหันมาทำตาหวานกับ สมพงษ์   แต่สมพงษ์หลบหน้า พร้อมหันไปทางอื่น นึกในใจว่า ถ้าเป็นผู้หญิงจริงๆ คงต้องทำตรงกันข้าม..

พวกหล่อนคุยกัน เกี่ยวกับการออกไปหากิน คือไปจับผู้ชาย ที่มีรสนิยมชอบไม้ป่าเดียวกัน...

ยังนึกไม่ออกว่า พวกเขาทำกันยังไง และมันสนุกตรงไหน  ที่สำคัญต้องเสียเงินอีกด้วย...และคิดว่าคงมีคนประเภทนั้นมากพอสมควร มิเช่นนั้น พวกประเทืองเช่นสองคนนี้ จะทำเป็นอาชีพ ได้ไง ?

นึกแล้วขนยังลุกไม่หาย...อะไรจะปานนั้น...

ไม่นานมีคนเข้ามาอีกเป็นเด็กชายสองคนอายุคงประมาณ 11-12 ปี พวกเขาถือถุงขนาดใหญ่มาด้วย เป็นถุงพลาสติกใส เป็นพวงมาลัยที่ร้อยไว้เรียบร้อยแล้ว เป็นพวกเล็กๆ..อัดแน่นอยู่ในถุง.. ฟังที่เด็กคุยกัน จึงรู้ว่าพวกเขาจะเอาพวกมาลัยไปขายที่สี่แยกสะพานควาย....ดึกดื่นขนาดนี้  ยังต้องออกมาหากิน และพ่อแม่เขาทำอะไรอยู่....

เงยหน้าจากเด็กมองออกไป มีหญิงสองคนเดินมาที่ป้าย แต่งตัวสวยที่เดียวลักษณะอย่างนี้ ค่ำคืนแบบนี้ ไม่ใช่การกลับจากที่ทำงาน แต่เป็นการแต่งออกไปทำงาน พวกหล่อนแต่งหน้าเข้มเหมือนลิเก พอกหน้าหนาเตอะเพื่อกลบเกลื่อนความเหี่ยวย่น คะเนแล้วอายุไม่น่าต่ำกว่า สี่สิบ เป็นสี่สิบปลายๆเป็นรุ่นป้า รุ่นยายก็คงได้ กลิ่นหอมเย็นๆลอยเข้าจมูก  ..

อนิจจาพวกหล่อนเป็นผู้หญิงหากิน เพราะจับคำพูดเกี่ยวกับการไปนอนกับแขก พูดถึงสนามหลวง พูดถึงคลองหลอด พูดถึงพุ่มไม้และมุมอับที่ต้องอาศัยในการปฎิบัติภารกิจของหล่อนกับลูกค้า และคำด่าที่แสบสันต์ถึง อ้ายโกหยวน เจ้าของห้องเช่าขี้ตืด จอมงก อะไรประเภทนั้น..

ทุกคนในป้ายรถเมล์นี้ ต่างมีภารกิจที่แตกต่างกันไป บางคนต้องออกหากิน บางคนมีความทุกข์ใจกับปัญหาร้ายๆที่ประสบ และบางคนไม่มีความคิดอะไรเลย เช่นเขาและอ้ายขี้เมาสองตัวนั่น ....

อ้ายบ้าจอมไถ และเจ้าหมาขี้เรือน คงไม่ต้องรับรู้อะไรมาก ..เพราะไม่ต้องรับผิดชอบอะไร  ชีวิตดำเนินไปวันต่อวัน ..ไม่มีอะไรให้ทุกข์หรือเปลืองสมอง

สมพงษ์ ลงรถสาย 34 สีส้ม ที่ป้ายวัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน  เวลาปาเข้าไป 5 ทุ่มกว่าแล้ว ความมืดความเงียบ ไม่มีผลกับความรู้สึกของเขา

เขาเดินไปตามริมถนน นานๆจะมีรถวิ่งผ่านไปมาให้นับคันได้ สองข้างทางมืดมิด เพราะยังเป็นท้องทุ่งท้องนา อากาศเย็นสบาย ดีที่ฝนไม่ตก ..รถวิ่งผ่านไป ก็จะพาฝุ่นมากระทบหน้าจนรู้สึกได้ เพราะ.ถนนเป็นลูกรังล้วนๆ....
                                       
                                            ................................................
สมพงษ์ ในวัย 70 ปี เขาเกษียณอายุมา 10 ปีแล้ว หัวขาวโพลน ข้างๆเขา อ้ายนพเพื่อนเกลอที่หัวล้านเหม่ง หนังหน้าย่นจนยับ  ความแก่ชราเข้าครอบงำตามกาลเวลา  แต่ทั้งสองยังคงมีแรงที่จะพากันตระเวนไปยังสถานที่ต่างๆในอดีต…..มันเป็นความสุขเล็กที่นึกถึงอดีตที่ผ่านมา...

กาลเวลา  ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี...

อีกไม่นาน เราจะได้เดินทาง เหมือนที่เดินไปตามริมถนนในอดีต  และไปถึงบ้าน...แต่การเดินทางในบั้นปลาย  คงไม่ถึงบ้านแต่จะไปถึงไหน....เมื่อถึงเวลา...คงจะได้รู้ด้วยตนเอง....
 
 
Share This Topic To FaceBook

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด