Do - Re - Me ทำนองนี้มีแต่รัก
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Do - Re - Me ทำนองนี้มีแต่รัก  (อ่าน 1796 ครั้ง)

ออฟไลน์ arjanlai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Do - Re - Me ทำนองนี้มีแต่รัก
« เมื่อ11-07-2017 15:32:10 »

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************




Do-Re-Me ทำนองนี้มีแต่รัก
Share This Topic To FaceBook

ออฟไลน์ arjanlai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: Do - Re - Me ทำนองนี้มีแต่รัก
«ตอบ #1 เมื่อ11-07-2017 15:38:58 »

บทนำ


   ผมชื่อ “น้ำหนึ่ง กันตพัทธ์” มีชื่อเล่นว่า 'หนึ่ง' เรียนอยู่ชั้น ม.5/1 โรงเรียนชายล้วน XXX ผมอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ ม.1 ผมรู้จักอาจารย์ทุกท่าน แต่กลับไม่รู้ว่าโรงเรียนมีชมรมอะไรบ้าง เท่าที่รู้จักแค่ชมรมวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาไทย และก็ภาษาอังกฤษเท่านั้น ส่วนประธานนักเรียนผมก็รู้จักแต่ก็ไม่ใช่ว่าผมจะสนใจอะไรหรอกครับ แต่บังเอิญว่าประธานนักเรียนมันเป็นนักเรียนห้องเดียวกับผมก็เท่านั้นเอง ซึ่งผมก็ไม่รู้อีกแหละว่าเค้าคัดประธานนักเรียนกันยังไง แล้วทำไมพวกพี่ๆ ม.6 ถึงไม่ได้เป็นกัน เพราะเรื่องนั้นไม่ได้อยู่ในความสนใจผมอยู่แล้ว 

แต่ถ้าจะให้รู้จักตัวตนผมมากขึ้น ผมก็มีนิยามเกี่ยวกับตัวของผมมีอยู่ 6 ข้อ (เมื่อก่อน คือก่อนจะเล่าเรื่องนะครับ เรียกง่ายๆก็คือมันเป็นรูปแบบของ past tense คืออดีตอ่ะครับ)

   1. ผมเป็นเด็กเนิร์ดครับ เป็นประเภทเด็กที่มีแว่นตาหน้าเตอะเป็นองค์ประกอบบนหน้า ผอมๆ ตัดผมหน้าม้า ใส่เหล็กดัดฟันสีเงิน และหน้าตาสุดแสนจะธรรมดาคนหนึ่ง (ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองหล่อซักที)

   2. ผมเป็นเด็กเรียนเก่งมาก เพราะทุกวิชาของผมจะมีที่ว่างเพื่อเกรด 4 เท่านั้น ผมถือว่าเป็นหน้าเป็นตาของโรงเรียนครับ ก็ในเมื่อทุกครั้งที่มีการแข่งขันตอบปัญหาทางวิชาการก็มักจะเป็นผมที่ถูกเลือกให้เป็นตัวแทนเสมอ จนตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นประกาศนียบัตร เหรียญทองถูกแขวนจนเต็มฝาบ้านไปหมดแล้ว 

   3. ผมมีเพื่อนน้อยเอามากๆ และเท่าที่นับได้ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าเพื่อนได้หรือเปล่า เพราะพวกนั้นไม่เคยพูดเรื่องอื่นนอกจากทฤษฎีพีทาโกรัส ฟังก์ชั่นตรีโกณมิติ และก็ทฤษฎีสัมพันธภาพอะไรแบบนี้ แถมยังให้คำปรึกษาอะไรไม่ได้เลยนอกจากสูตรพันธะเคมี แต่อย่างน้อยพวกมันก็เอาตัวรอดในวิชาบ้าๆ นี้ได้

   4. ผมเป็นเด็กที่มีสกิลในเรื่องสันทนาการต่ำมากถึงมากที่สุด จำได้ว่ามีครั้งนึงที่ต้องไปขึ้นสแตนด์เชียร์กีฬาสี และก็เป็นผมคนเดียวที่ถูกรุ่นพี่ที่ควบคุมกองเชียร์ยอมให้ไปนอนห้องพยาบาลเพราะสงสัยว่าน้ำในหูผมคงไม่เท่ากัน ทำให้ร้องเพลงเชียร์ผิดคีย์ ทำเอาคนอื่นเพี้ยนตามไปหมด

   5. สุดท้ายคือ..ผมเป็นคนเดียวของโรงเรียนที่ติดศูนย์วิชาดนตรี วิชาที่ง่ายที่สุดสำหรับหลายคน และถือเป็นวิชาแจกแต้มให้พวกเกรดไม่ถึงไม่ต้องเรียนซ้ำชั้น เพราะแม้แต่พวกที่ได้เกรดเฉลี่ย 1 กว่าๆ ยังผ่านสบายๆ แต่ทำไมนักเรียนทุนอย่างผมถึงติดศูนย์

   6. ผมยังไม่มีแฟนครับ

   เรื่องนี้กลายเป็นมหากาพย์ระดับโรงเรียนไปชั่วข้ามคืน ทันทีที่ผลสอบถูกประกาศเท่านั้น นรกก็มาเยือนทันที แม้แต่เพจของโรงเรียนยังเอาข่าวนี้ไปตั้งเป็นกระทู้จนมีคนตามคอมเม้นท์เกือบพันคน มีทั้งสมน้ำหน้าและก็สงสาร ซึ่งผมเองก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว เพราะนานๆ ทีผมถึงจะใช้ชีวิตไร้สาระแบบนี้ซักที

   แต่ที่มันกระทบกับจิตใจจนอาจลุกลามเป็นตราบาปอย่างถาวรในชีวิตของเด็กทุนเรียนดีตาดำๆ แต่ EQ ต่ำที่ อย่างผมสุดๆ ก็คือ บรรดามหาวิทาลัยชื่อดังต่างๆ ที่แย่งกันเสนอทุนเรียนดีมาให้อาจต้องถูกพับโครงการ ถ้าบังเอิญว่ามีศูนย์ตัวกลมๆ โชว์เด่นเป็นสง่าหราอยู่ในทรานสคริปของผม    

   แต่ไม่รู้จะเรียกว่าเพราะบุญเก่าที่ทำ หรือเวรกรรมที่สร้าง ที่ครูหมีใหญ่จอมเฮี้ยบให้ผมแก้ศูนย์ได้ โดยมีกฎกติกาว่าก่อนจะถึงงานวันครบรอบก่อตั้งโรงเรียนครบ 50 ปี ในอีกสองเดือนข้างหน้า ผมจะต้องเล่นเครื่องดนตรีอะไรก็ได้ให้เป็น และร่วมการแสดงบนเวทีกับวงดนตรีของโรงเรียน ซึ่งผมจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าชื่อวงปล่อยเกาะ หรือใจเสาะอะไรซักอย่าง ผมไม่ผิดนะที่ไม่ได้สนใจฟังตอนครูหมีใหญ่พูดกับผู้อำนวยการเรื่องนี้ ก็ผมกำลังอ่านหนังสือทบทวนเพราะมีสอบฟิสิกส์พรุ่งนี้นี่หน่า ใครมันจะยอมพลาดท็อปไปได้

   แต่แหม แค่ชื่อวงก็พาเจริญแล้ว จะเป็นยังไงบ้างนะถ้าสองเดือนถูกปล่อยเกาะ ผมคงใจเสาะละงานนี้





****** เปิดตัวนิยายเรื่องใหม่นะครับ แบบโรแมนติก คอมเมอดี้อีกแล้ว ลองติดตามและคอมเมนท์ด้วยนะครับ ******
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-07-2017 06:49:54 โดย arjanlai »

ออฟไลน์ arjanlai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: Do - Re - Me ทำนองนี้มีแต่รัก
«ตอบ #2 เมื่อ12-07-2017 15:45:59 »

บทที่ 1 เพื่อนร่วมวง

          พอกริ่งเลิกเรียนดังปุ๊บ ทุกคนในห้องต่างก็รีบเก็บข้าวของส่วนตัวลงกระเป๋าที่ใหญ่พอๆ กับตัวเอง โดยไม่มีใครคิดที่จะเสียเวลาพูดอะไรกันแม้แต่คำเดียว เพราะทุกคนต่างต้องรีบจะไปเข้าคลาสกวดวิชาแถวสยามซึ่งนอกจากรถจะติดแล้ว ถ้าวัดจากระยะทางจากโรงเรียนก็ถือว่าไกลพอสมควร นี่แหละครับวิถีชีวิตของเด็กห้องคิง ส่วนผมที่วิถีชีวิตเพิ่งจะเปลี่ยนไปเพราะเงื่อนไขบ้าๆ ของครูหมีใหญ่ ก็เลยไม่ต้องรีบร้อนแบบคนอื่นๆ ในห้อง

          แต่จะว่าไปการใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์แบบนี้มันไม่เหมาะกับผมเลยให้ตายเถอะ แล้วนี่ผมจะต้องไปที่ไหนกันแน่ระหว่างห้องดนตรีกับชมรมดนตรี ไอ้ห้องดนตรีผมพอจะรู้ว่าอยู่อาคารไหน แต่กับไอ้ชมรมดนตรีเนี่ยผมไม่รู้จริงๆ ว่ามันอยู่ส่วนไหนของโรงเรียน

          เอาเถอะ ไปห้องดนตรีก่อนดีกว่า เผื่อจะเจอใครบ้างตามสถิติความน่าจะเป็น ถ้าโจทย์อะไรที่ยังไม่รู้คำตอบ การให้หาจากคำตอบที่รู้อยู่แล้ว ตามสมการ X ยกกำลัง 2 ลบ 3 เท่ากับ 0 แทน X ด้วยห้องดนตรี ที่เหลือก็แก้สมการ เห็นป่ะล่ะผมทำอะไรก็ต้องมีหลักการจะมามั่วๆ ไร้ตรรกะอะไรแบบนี้ผมคงไม่เอา

          ถูกเป๊ะเลย สมการข้อนี้ของผม เพราะทันทีที่เดินมาถึงห้องดนตรี ผมก็เห็นกลุ่มรุ่นพี่ ม.6 ห้าคนอยู่ในห้องดนตรีกับครูหมีใหญ่ แต่พอผมเดินเข้าไปทุกสายตาในห้องก็หันมาจ้องที่ผมทุกคู่ เฮ้ย! แบบนี้ผมก็เขินเป็นป่าวว่ะ

          “สวัสดีครับครูหมีใหญ่” ผมยกมือไหว้

          “ไอ้ผอมเนี่ยเหรอครับครู” หนึ่งในกลุ่มนักเรียนที่ตัวสูงที่สุดในกลุ่มพูดขึ้น มองไปมองมาหน้าอย่างกับยีราฟ

          “อืม...” ครูหมีใหญ่ตอบรับคำพี่ยีราฟไปก่อนจะเดินอ้อมมาหน้าโต๊ะทำงาน “อ้าวมานี่สิน้ำหนึ่ง เดี๋ยวครูจะแนะนำให้รู้จักพี่ๆ ในวง”

          หลังจากที่พี่ๆ ทุกคนยืนเรียงตามลำดับความสูงทำอย่างกับแผนภูมิพาเรโต

          “มาๆๆ พวกเรามารู้จักกันไว้ นี่คือ น้ำหนึ่ง คนที่ครูจะขอให้พวกเราช่วยฝึกเรื่องดนตรีให้น่ะ เอ้า ทีนี้พวกเธอก็แนะนำตัวทีละคนละกัน เริ่มจากเธอก่อน” พูดจบครูหมีใหญ่ก็ชี้มือไปที่คนตัวสูงที่สุดที่ยืนเด่นอย่างกับเสาโทรเลข ไม่รู้ว่านี่เป็นลักษณะยีนส์เด่นหรือยีนส์ด้อยของพี่เค้ากันแน่

          “พี่ชื่อโน้ตนะ เป็นมือเบส” ผมเพิ่งสังเกตว่าต้องแหงนหน้าขึ้นไปมองพี่เค้า เพราะพี่เค้าน่าจะสูงซัก 190 เซนเห็นจะได้ บวกลบไม่เกิน 5 แน่ๆ

          “พี่ชื่อเอส เป็นมือกลอง” ผมไล่สายตาไปตามเสียง พี่คนต่อมาน่าจะสูงประมาณ 180 กว่าๆ เพราะเตี้ยกว่าพี่โน้ตนิดเดียว แต่ที่เป็นเอกลักษณ์คือพี่แกตัวดำมาก ขาวที่สุดก็คือลูกตากับฟันเท่านั้น

          “กูชื่อหมีน้อย มือกีตาร์กับร้องนำ” น้ำเสียงกวนๆ ของพี่คนนี้ทำไมมันไม่ถูกชะตาเลย ตัวก็สูงพอๆ กับพี่เอส แต่ตัวขาวมากสงสัยจะมีฟีโอเมลานินเยอะถึงสว่างเข้าตาขนาดนี้ แถมคิ้วเข้ม ปากแดง จมูกโด่ง อย่างกับนายแบบ แต่ผมว่าชื่อก็คุ้นๆ นะ แต่ก็ไม่รู้ว่าไปได้ยินมาจากที่ไหน แต่น่าจะไม่เป็นเรื่องดีซักเท่าไหร่ เพราะถ้าเรื่องดีมีสาระผมก็ต้องรู้จักสิ แต่นี่ไม่รู้จักต้องไม่ดีชัวร์ มันเลยพลอยทำให้เกลียดขี้หน้ากันตั้งแต่แรก

          “เฮ้ย ทำไมมองหน้ากูเหม่นๆ งั้นว่ะ”

          “ปะ.. เปล่าพี่ ผมแค่สงสัยว่าผมเคยได้ยินชื่อพี่มาจากไหน” ก็มันจริงนี่น่า

          “อ้าว กูดังจะตายมึงยังไม่รู้จัก มึงจะกวนตีนกูตั้งแต่วันแรกเลยเหรอ ไอ้แว่น” พี่เขาจะขี้นทำไมครับ ก็ผมไม่รู้จริงๆ แล้วจะให้ผมต้องทำยังไง

          “พอๆๆ น้ำหนึ่ง เขาเด็กเรียน เขาไม่ใช่เด็กกิจกรรม เขาจะไปเที่ยวรู้จักพวกแกได้ยังไง อย่ามากเรื่อง” ขอบคุณครับครูหมีใหญ่ที่ช่วยชีวิตผม แล้วอย่างงี้จะให้ผมไปอยู่กับคนแบบนี้ไหวเหรอ แค่คิดซีรีเบลลัมผมก็เหนื่อยแล้ว

          “พี่ชื่อโต๊ะมือคีย์บอร์ด แล้วก็นี่ชื่อเก้าอี้มือกีตาร์” พี่สองคนนี่หน้าเหมือนกันอย่างกับแกะ สงสัยเป็นฝาแฝดกัน แถมยังยิ้มเก่งทั้งคู่ ผมไม่รู้เรื่องดารานักร้องอะไรหรอกแต่ประมาณได้ว่าหน้าพี่สองคนประมาณดาราเกาหลี ถือว่าหน้าตาดีเหมือนกันแฮะ แต่ก็ไม่เท่ากับไอ้พี่หมีน้อยหรอก

          “อ้าวๆ รู้จักกันหมดแล้วนะ ยังไงครูฝากด้วยนะ” ครูหมีใหญ่หันไปยิ้มให้กับพวกพี่ๆ ก่อนที่จะหันมาพูดกับผม “อย่าลืมนะว่าเธอมีเวลาแค่สองเดือน ถ้าทำไม่ได้ก็ติด 0 ต่อไป โอเคนะ ไปครบทีมแล้ว ไปซ้อมซะ”

          ผมทำได้แค่พยักหน้าหงึกหงักรับไปส่งๆ พร้อมกับยกมือไหว้ครูหมีใหญ่ก่อนที่จะเดินตามกลุ่มพวกพี่ๆ วงปล่อยเกาะไปที่ห้องซ้อมดนตรี ที่อยู่ถัดขึ้นไปอีกสองชั้น

          ทันทีที่ผมไปที่ห้องซ้อมดนตรีของโรงเรียน ซึ่งผมเองเพิ่งรู้ถึงการมีอยู่ของมันเมื่อไม่ถึงสิบนาทีที่ผ่านมานี่เอง และเมื่อก้าวเข้ามาในห้องผมก็รู้สึกได้ถึงความหนาวที่เย็นยะเยือก ฝาผนังโดยรอบถูกบุด้วยฟองน้ำรูปถาดไข่เต็มไปหมด ตอนนี้เหมือนผมกำลังอยู่ในยานอวกาศเลย ดูแล้วโรงเรียนน่าจะหมดงบไปเยอะแน่ๆ

          “อ้าว ไอ้แว่น มึงเลือกได้ยังว่าอยากเล่นอะไร” นักร้องนำถามผมแต่ไม่เห็นจะสนใจฟังคำตอบของผมเท่าไหร่ เพราะเห็นพี่เขามัวแต่ดีดๆ สายกีตาร์ แล้วก็บิดอะไรไม่รู้ที่ปลายกีตาร์ แต่เห็นพี่โต๊ะบอกว่าพี่หมีน้อยกำลังตั้งสายอยู่ 

          “ยังครับ เอาไว้เลือกวันหลังได้ไหม” ผมต่อรอง ก็ในหัวมันไม่มีอะไรจริงๆ นี่ครับ

          “ไม่ได้โว้ย พี่ใหญ่อุตส่าห์ฝากมา กูขี้เกียจโดนบ่น ถ้าไม่รู้จริงๆ มึงจะลองตีฉิ่งดูไหมล่ะง่ายดี”

          “แบบนั้นก็ได้เหรอครับ”

          “กูประชด”

          “ถึงพี่ไม่ประชดผมก็ทำไม่ได้อยู่ดีแหละ เพราะผมขนาดตีฉิ่งยังผิดจังหวะเลยครับ” ที่ผมพูดนะเรื่องจริงครับ ผมเคยทำวงปี่พาทย์ล่มไม่เป็นท่ามาแล้วเพราะจังหวะมันพลาด จนที่สุดทุกคนต่างพากันยืนยันว่าผมไม่ควรจะเกี่ยวข้องกับดนตรีอีกต่อไป แล้วนี่ครูหมีใหญ่แกไปเอาความมั่นใจแบบนี้มาจากไหนว่าผมจะทำได้ มีหวังพังแหง๋ๆ

          “นี่น้องห่วยขนาดนั้นเลยเหรอ” พี่โต๊ะ ที่ดูแล้วน่าจะสุภาพที่สุดพูดกับผม

          “ไอ้หมีน้อย พี่มึงเล่นเชี่ยไรว่ะ ที่เอาไอ้เนิร์ดเนี่ยมาเป็นภาระพวกเรา” พี่เก้าอี้แฝดผู้น้องของพี่โต๊ะที่ไม่มีอะไรเหมือนพี่ชายเลย ทั้งนิสัย คำพูด รวมถึงสไตล์การแต่งตัว มีแค่หน้าตาเท่านั้นแหละที่แถบจะแยกกันไม่ออก แล้วก็เรื่องยิ้มเก่ง แต่คงเจ้าชู้กว่าแฝดผู้พี่แน่ๆ หลายคนจึงใช้สไตล์ที่แตกต่างกันนี่แหละแยกพี่สองคน และนี่แหละสไตล์ที่พี่แกถนัด

          “เขาคงมีเหตุผลแหละ ซ้อมเถอะ ปล่อยให้น้องมันคิดก่อนละกัน” ขอบคุณครับพี่เอสที่ช่วยชีวิตผม

          “ไงมึงก็อย่ามาเป็นภาระพวกกูล่ะเข้าใจไหม” พี่โน้ต เป็นคนที่พูดน้อยที่สุดนะผมว่า

          “คะ..ครับพี่” โอ๊ยทำไมสถานการณ์มันอึดอัดแบบนี้ว้า เหมือนตัวผมเป็นลูกโป่งที่กำลังถูกบีบด้วยบรรยากาศรอบข้าง แล้วจะไหวมั้ยเรา

          ผมเห็นทุกคนจัดการกับเครื่องดนตรีประจำตัวเรียบร้อยแล้วเปิดโน้ตเพลงที่เตรียมไว้ ก่อนที่สัญญาณเคาะจังหวะจากพี่เอสจะเริ่มขึ้นพร้อมๆ กับการนับถอยหลัง

          “วัน(แต๊ก) ทู(แต๊ก) วันทูทรี(แต๊กๆๆ)”

          “ชีวิตแค่โดนทำร้าย..แต่ที่สุดคงไม่โดนทำลาย” บอกตรงๆ ครับ ชีวิตผมก็กำลังถูกทำร้าย เพราะระดับเสียงที่น่าจะเกินกว่า 80 เดซิเบล มันดังจนผมต้องเอามือขึ้นมาอุดหู แถมคลื่นเสียงยังกระทบตัวผมจนสั่นไปหมด นี่แหละที่ทำให้ผมเกลียดวิชาดนตรี ผมไม่ชอบเสียงดังครับ!

          ผมรีบออกจากห้องซ้อมมานั่งพักหายใจอยู่ข้างนอก มันช่างเหมือนโลกที่แตกต่างเพราะเสียงจากในห้องซ้อมแทบไม่ทะลุออกมาเลย มีแค่เสียงตุบๆ หนักๆ เท่านั้นที่ทำให้รู้ว่าตอนนี้มีคนใช้ห้องอยู่ ถ้าต้องเป็นแบบนี้นานๆ ผมคงเซ็งแน่เลย

          ต้องหาอะไรซักอย่างทำ ผมเลยหันไปเปิดกระเป๋าแล้วคว้าหนังสือฟิสิกส์ออกมาก่อนที่จะเปิดทบทวนเนื้อหาที่เรียนฆ่าเวลา ผมไม่รู้ว่านานแค่ไหน เพราะยิ่งอ่านมันก็ยิ่งเพลิน จนไม่ได้สนใจอะไรรอบๆ ตัว ถึงไม่รู้ว่าตอนนี้เสียงตุบๆ หนักๆ มันเงียบไปแล้ว พร้อมกับร่างหนึ่งที่ยื่นพิงผนังห้อง

          “ชนใดไม่มีดนตรีกาล ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก มึงเคยได้ยินกลอนบทนี้หรือเปล่า” ผมหันไปทางเจ้าของเสียงที่กำลังทำท่าเก๊กๆ ตามสไตล์คนหล่ออย่างพี่หมีน้อย

          “อีกใครฟังดนตรีไม่เห็นเพราะ เขานั้นเหมาะคิดกบฏอัปลักษณ์ ฤๅอุบายเล่ห์ร้ายขมังนัก มโนหนักมืดมัวเหมือนราตรี อีกดวงใจย่อมดำสกปรก ราวนรกเช่นกล่าวมานี่ ไม่ควรใครไว้ใจในโลกนี้ เจ้าจงฟังดนตรีเถิดชื่นใจ เป็นพระราชนิพนธ์แปลในรัชกาลที่ 6 จากต้นฉบับของวิลเลี่ยม เช็กสเปียร์ ครับ พรุ่งนี้ ม.6 มีสอบภาษาไทยเหรอครับ” ผมต่อกลอนให้และตอบพาซื่อ แต่ทำไมสายตาที่ส่งมาจากพี่หมีน้อยมันดูดุๆ แถมติดหงุดหงิดอีกต่างหาก

          “กูไม่ได้สอบ กูประชด”

          “อ้าว แล้วพี่จะมาประชดผมทำไม” งงเด้ งงเด้

          “ก็กูเห็นคนอื่นๆ เขาชอบฟังเพลง มีแต่มึงอะแค่นับหนึ่งไม่ถึงสิบก็วิ่งออกมาแล้ว แล้วอย่างนี้จะรอดเหรอว่ะ ไปขอยกเลิกข้อตกลงกับพี่ใหญ่ซะไป จะได้กลับไปเป็นเด็กเนิร์ดตามเดิม” ฟังเข้าท่าแต่มันน่าตบกะโหลกที แต่บังเอิญว่าพี่เขาสูงกว่าผมแถมยังตัวใหญ่กว่า ซึ่งตามหลักทฤษฎีความน่าจะเป็นผมไม่น่าจะมีเรื่องด้วย เพราะมีความเสี่ยงที่ผมจะโดนกระทืบกลับมีมากกว่า 99.99 เปอร์เซ็นต์

          “ก็ผมไม่ชอบเสียงดังนี่ครับ แล้วนี่ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเล่นเครื่องดนตรีอะไร”

          “งั้นมึงก็ยิ่งควรไปขอยกเลิก ข้อตกลงงี่เง่าของมึงซะ”

          “ไม่ได้หรอกพี่ ถ้าทำแบบนั้นทรานสคริปผมก็จะมีตราบาป ติด 0 นะพี่”

          “มึงจะห่วงทำไมแค่ติด 0 กูติดตั้งแต่ ม.4 ถึง ม.6 รวมๆ จะสิบตัวอยู่แล้ว แถมถ้าเทอมไหนได้เกรด 4 พี่ใหญ่แทบจะปิดซอยเลี้ยงทั้งหมูบ้าน กูยังไม่เห็นสนเลย” ฟังดูไม่ได้ประชดแต่ก็อดขำไม่ได้คนอะไรติด 0 เกือบสิบตัวยังมีหน้ามาซ้อมดนตรีอีก

          “โห พี่หมีน้อยเท่อะ โคตรสุดยอด แต่ผมทำไมได้หรอก”

          “ทำไม พ่อแม่มึงดุไง” พี่หมีน้อยทำท่่าประหลาดใจ ผมก็ได้แค่ยิ้มๆ

          “ป่าว มันเป็นไปความต้องการการยอมรับตามทฤษฎีมนุษยนิยม ของอับราฮัม มาสโลว์น่ะครับ” จริงๆ แล้วที่บ้านผมก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรเรื่องนี้เลยสักนิด แถมยังบอกให้ผมปล่อยวางอีกต่างหาก แต่ผมเองที่ปล่อยวางไม่ลงซักที

          “มึงนี่มันสมเป็นเด็กเนิร์ดเนาะ พูดเหี้ยไรก็อ้างกฎ อ้างทฤษฎี ที่จริงมึงลองทิ้งตำราบ้างบางทีมึงอาจจะเห็นโลกในมุมที่ต่างไป”

          “แต่ลองติด 0 เยอะขนาดพี่ผมก็ไม่เอานะ”

          “วะ ไอ้นี่นิ มึงจะแดกดันกูทำไม” พี่หมีน้อยชักสีหน้าอีกล่ะ ผมไม่ได้กวนตีนจริงๆ นะ ผมคิดอย่างนี้จริงๆ

          ก่อนที่บทสนทนาที่กำลังจะล่มของผมกับพี่หมูน้อย พี่เก้าอี้ที่โผล่หน้าออกมาจากประตูห้องซ้อมดนตรีทำหน้าแบบกวนๆ
 ตามสไตล์แบดบอยก่อนจะเรียกให้พี่หมีน้อยกลับไปซ้อมต่อ

          “เฮ้ยไอ้หมีน้อยมึงกับไอ้แห้งนี่จะจีบกันอีกนานป่าว หมดเวลาพักแล้วนะเว้ย”

          “จีบป้ามึงเด่ะ ไอ้สัดอี้ ไปๆ ซ้อมต่อ” พี่หมีน้อยทำมือเหมือนจะโบกหัวพี่เก้าอี้ แต่อีกฝ่ายก็รู้ทันหลบวูบแล้ววิ่งหาไปในห้องซ้อม ก่อนที่พี่เค้าจะหันมาพูดกับผมอีก “ส่วนมึงอะ ยังไงก็ต้องคิดซะว่าจะเล่นอะไร พวกกูมีเวลาซ้อมให้แค่สองเดือน ส่วนวันนี้มึงจะกลับไปก่อนก็ได้ กูไม่ว่า”

          “ครับ”

          ผมก้มมองดูเวลาแล้วก็ต้องตกใจ นี่เกือบทุ่มนึงแล้วเหรอ แล้วนั่งจะมีรถเมล์อยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ จริงๆ แล้วผมเคยกลับบ้านดึกบ่อยครับบางครั้งก็สามทุ่มหรือสี่ทุ่ม แต่อันนั้นเป็นหลังจากเข้าคลาสกวดวิชาเสร็จที่สยามจึงไม่ต้องห่วงเรื่องรถเมล์กลับบ้าน แต่ว่าผมยังไม่เคยออกจากโรงเรียนค่ำขนาดนี้มาก่อน มันก็เลยเป็นกังวลนะครับ

          ผมเก็บหนังสือฟิสิกส์ลงกระเป๋าแล้วก็รีบวิ่งลงจากบันได โดยหวังว่าน่าจะทันรถเมล์เที่ยวสุดท้าย ไม่งั้นผมอาจต้องต่อรถอีกหลายทีกว่าจะถึงบ้าน แต่เพราะความไม่ระวังหรือไม่ได้ดูทางผมก็ไม่แน่ใจ เพราะพอผมก้าวลงพ้นบันไดขั้นสุดท้าย ความรู้สึกของตัวผมก็เหมือนชนเข้ากับอะไรบ้างอย่างจนกระเด้งลอยมานั่งจุมปุ๊กไม่เป็นท่าอยู่ที่พื้น

          “เฮ้ย!! เราขอโทษ เป็นอะไรหรือเปล่า” ตอนนี้ผมพยายามหยีตาจนเล็ก เพื่อมองดูภาพข้างหน้าแต่ก็ทำได้เห็นแค่ภาพลางๆ เท่านั้น เพราะสายตาที่สั้น 400 กว่าๆ พอไม่มีแว่นมันก็เหมือนเป็นคนตาบอดไปชั่วคราว แต่ที่ผมสรุปได้ว่าเป็นคนก็เพราะมันขยับได้ แล้วก็พูดได้ด้วยนี่แหละที่ทำให้มั่นใจ

          ผมเอามาตบๆ ที่พื้นข้างๆ ตัวเพื่อควานหาแว่นตาที่น่าจะหล่นตรงไหนซักแห่ง พอคนคนนั้นเห็นว่าผมกำลังทำมือเหมือนควานหาอะไร มันก็เข้าใจได้ทันทีเพราะมันเห็นแว่นตาหน้า

          “อะ.นี่ แว่นตานาย” มันยื่นแว่นตามาให้ผม ทำให้ผมต้องรีบคว้ามาใส่ก่อนที่จะเห็นว่าตอนนี้เลนส์ด้านซ้ายแตกเป็นริ้วอย่างกับฟ้าผ่า “ขอโทษนะทำแว่นนายแตกเลย” คนตรงหน้าทำหน้าเศร้าแต่ติดที่จะดูสวยมากกว่าหล่อ ส่วนหุ่นก็เหมือนจะเป็นนักกีฬาบาสแน่ๆ เพราะผมเห็นว่าอีกมือของเขายังถือลูกบาสอยู่เลย

          “เออ..ช่างมันเถอะเราก็ซุ่มซ่ามเองด้วยแหละไม่ดูให้ดีก่อน” จะให้พูดยังไงละก็ในเมื่อมันเป็นความจริง ผมรีบมากเพราะกลัวจะมาไม่ทันรถเมล์นี่หน่า 

          “เราชื่อเป้นะ อยู่ ม.5/6 แล้วนายใช่น้ำหนึ่ง ที่อยู่ห้อง 1 ใช่ไหม?” คนตรงหน้าแนะนำตัวเปิดประเด็นก่อน

          “ใช่ๆ แต่ทำไมเราไม่เห็นคุ้นหน้านายเลย หรือว่านายเป็นนักเรียนใหม่เหรอ” ไม่แปลกหรอกที่คนอย่างผมจะไม่คุ้นหน้าใครๆ ก็เหมือนที่บอกแหละ ขนาดคนในห้องเดียวกันบางทีผมยังลืมไปเลยว่าเรียนร่วมกันมาสองปีแล้ว

          “ป่าว เราเรียนที่นี่ตั้งแต่ ม.3 แล้ว แต่ก็ไม่แปลกหรอกที่นายไม่รู้จักเรา ก็เราไม่ได้ดังแบบนายนี่หน่า”

          “อืม.. แล้วนี่ทำไมนายยังไม่กลับบ้านล่ะ”

          “คือเราจะมาดูพวกพี่ๆ เค้าซ้อมดนตรีอะ แล้วนายล่ะ”

          “เรากำลังจะกลับบ้าน ไม่รู้จะทันรถเมล์เที่ยวสุดท้ายหรือเปล่า”

          “สงสัยจะไม่ทันล่ะ เพราะก่อนที่จะเดินมาที่นี่เราเห็นรถเมล์มันผ่านไปแล้ว”

          ซวยครับ อะไรจะซวยขนาดนี้ ไม่เรียกว่าซวยคงไม่ได้แล้ว ทั้งเจ็บตัว แว่นแตก แถมรถเมล์ก็หมดอีก

          “ให้เราไปส่งเปล่า”

          “ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวเรากลับเองดีกว่า”

          “ไหวแน่นะ”

          “อืม สบายมาก ขอบใจนะ”

          “โอเค งั้นเดี๋ยวเราไปก่อนละกัน” เป้โบกมือก่อนจะวิ่งขึ้นไปชั้นบนก้อนร่างนั้จับลับหายไปตามบันไดดวน

          ผมต้องเดินช้าไปอีกเพราะตอนนี้ขามันเริ่มตึงๆ แล้ว ผมก้มไปดูถึงกับอึ้งเลยครับก็ตอนนี้เลือดมันไหลเป็นทางยาวตั้งแต่หัวเข่า จนถึงถุงเท้านักเรียน สงสัยจะโดนราวบันไดเกี่ยวตอนที่ล้มแน่ๆ โอ๊ย!! นี่คงเป็นวันซวของผมจริงๆ นอกจากจะเจ็บตัว แว่นแตก รถเมล์หมด แล้วตอนนี้ฝนที่ไม่ได้ตั้งเค้าก็เทลงมาอย่างฟ้ารั่ว ผมที่อยู่ตรงกลางทางไม่ว่าจะกลับไปใต้อาคารหรือป้ายรถเมล์ระยะทางก็เท่ากัน แถมสภาพที่วิ่งไม่ได้ผมเลยกลายเป็นลูกหมาตกน้ำ

          วันแรกของการรวมวงยังเป็นขนาดนี้แล้ววันต่อไปละจะขนาดไหน.... เฮ้อ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-07-2017 15:18:38 โดย arjanlai »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: Do - Re - Me ทำนองนี้มีแต่รัก
«ตอบ #3 เมื่อ12-07-2017 16:59:56 »

ชื่อแต่ละคนนี่น่ารักทั้งน้านนน ฮา

ออฟไลน์ arjanlai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: Do - Re - Me ทำนองนี้มีแต่รัก
«ตอบ #4 เมื่อ13-07-2017 14:05:29 »

บทที่ 2 ครอบครัวครื้นเครง

          ผมกลับถึงบ้านมาประมาณสี่ทุ่มกว่า ด้วยร่างกายที่สะบักสะบอมเกินกว่าจะบรรยาย แต่ทำไมบ้านมันดูเงียบๆ จังสงสัยไม่มีใครอยู่ ผมขออนุญาตพูดถึงบ้านผมหน่อยละกันครับ เพิ่มเติมจาก 6 ข้อที่บอกไปตอนต้น ผมเป็นลูกคนที่สองกับสามของที่บ้าน งงเหรอครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะอธิบายแบบนี้ ผมมีพี่น้องทั้งหมดสามคนครับ พี่คนโตชื่อ ‘น้ำเหนือ’ เรียนอยู่ปี 2 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของประเทศ แม่บอกว่าที่ตั้งชื่อ ‘น้ำเหนือ’ เพราะตอนนั้นน้ำจากทางภาคเหนือไหลมาท่วมสวนผลไม้ของเราหมดเลย ตอนที่แม่คลอดพี่น้ำเหนือ น้ำก็ยังไม่ลดด้วยซ้ำแถมมีสีเหลืองขุ่นๆ ด้วย แม่บอกตอนแรกจะให้ชื่อ ‘น้ำเหลือง’ แต่หัวเด็ดตีนขาดยังไงพ่อก็ไม่ยอม แกบอกชื่อไม่เป็นมงคล ส่วนผมเป็นคนที่สอง ไม่มีที่มาของชื่อที่พิสดารแบบพี่เหนือหรอกครับ แค่ตอนคลอดออกมาอยากให้มีคำว่า ‘น้ำ’ จะได้คล้องกับน้ำเหนือ แต่พอคลอดดันเป็นฝาแฝด แต่เป็นแฝดไข่คนละใบ แม่เลยตั้งชื่อให้ว่า ‘น้ำหนึ่ง’ ส่วนผลกรรมไปตกกับน้องที่อายุห่างกันไม่เกินห้านาที แม่ก็ตั้งชื่อให้ว่า ‘น้ำสอง’ แต่พ่อบอกว่ามันเหมือนกับน้ำล้างผ้าไม่เป็นมงคล เถียงกันอยู่นานจนแม่ยอมเปลี่ยนชื่อน้องเป็น ‘น้ำดี’ แต่ก็ยังงอนพ่ออยู่แถมยังคาดโทษด้วยว่าคราวหลังให้พ่อตั้งท้องเองแล้วกัน จนพ่อตัดสินใจทำหมันให้รู้แล้วรู้รอดไป

          พ่อกับแม่ผมเป็นชาวสวนผลไม้แถวนนทบุรีครับ บ้านผมแม้ว่าไม่ได้ถือว่าร่ำรวยมากแต่ก็ไม่เคยขัดสน ครอบครัวผมจึงอยู่แบบพอเพียง และเพราะพี่เหนือเป็นคนห้าวๆ แต่ไม่เคยหาเรื่องใครก่อน ที่สำคัญแกเป็นคนที่หวงน้องเอามากๆ มาโดยเฉพาะกับผม พี่เหนือบอกว่าผมหน้าสวยเหมือนแม่ เลยมักจะคิดว่าผมเป็นน้องสาวเสมอ ทีนี้ไม่ว่าผู้ชายหน้าไหนเข้ามาใกล้เป็นอันต้องถูกไล่ตะเพิดไปทุกที นี่ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำไมเพื่อนผมจึงเหลือน้อยลง ส่วนน้องดีหน้าไม่เหมือนใครเลยในบ้าน แต่บอกได้คำเดียวว่าหล่อมาก จนขนาดที่มีแฟนคลับที่โรงเรียนติดตามใน IG เยอะแยะ แฟนก็เยอะ เคยมีผู้หญิงมาตบกันแย่งน้องดีด้วย แต่น้องดีไม่ได้สนใจเพราะน้องดีไม่ชอบให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายรุก น้องดีชอบเป็นคนไปจีบเองมากกว่า ผมกับน้องดีเคยเรียนที่โรงเรียนนี้ด้วยกัน แต่พอจบ ม.3 น้องดีเลยเลือกที่จะเรียนช่างกลอุตสาหกรรม ผมกับน้องดีก็เลยเรียนคนละโรงเรียนกัน

          ชีวิตผมนอกจากผู้ชายสามคนในบ้าน ผมก็แทบจะไม่เคยยุ่งกับใครเลย แต่ผมก็ชอบเพราะจะได้มีเวลาอ่านหนังสือหรือทบทวนสิ่งที่เรียนมา นี่แหละที่ทำให้ผมสอบได้เกรด 4 เกือบทุกเทอม ยกเว้นติด 0 วิชาดนตรี

          ถึงจะดูคนละแนวแต่บอกเลยว่าบ้านผมเฮฮานะครับ แม่ผมติดซีรีย์เกาหลีเอามากๆ จนบางทีก็เรียกพ่อว่า โซ จีซบ ตามซีรีย์ Oh My Venus ที่ตอนนี้แม่กำลังปลื้มอยู่ ส่วนพ่อผมก็ต้องรับบทเป็นเทรนเนอร์ดาราฮอลลี่วูดตามแม่ เพราะพ่ออะไรก็ได้ตามใจแม่อยู่แล้ว เพราะพ่อรักแม่มากๆๆ เรื่องที่เคยขัดใจก็เห็นจะมีเรื่องแค่เดียวเท่านั้นคือตอนตั้งชื่อของลูกนี่แหละ ทุกวันนี้พวกผมยังแอบขอบคุณพ่อเสมอที่กล้ายืนยัดขัดใจแม่ ไม่งั้นผมคงมีพี่ชื่อน้ำเหลืองกับน้ำสองแน่ๆ

          ขอโทษที่พูดมากไปหน่อยครับ แต่ตอนนี้ผมกำลังสงสัยว่าทำไมบ้านผมถึงปิดไฟเงียบทั้งที่เวลานี้เป็นเวลาแม่ครองรีโมท เพราะซีรีย์เกาหลีของแม่กำลังมาถึงตอนเข้มข้น ถึงผมไม่ได้ดูเองแต่ทุกคนก็สามารถติดตามละครได้จากเรื่องย่อตอนกินข้าวเช้า

          พวกผมยังโชคดีหน่อยทั่งอ้างได้ว่ากลัวไปสายบ้างอะไรบ้าง แต่กับพ่อผมเห็นแกทำตาละห้อยแบบเบื่อๆ ที่ต้องนั่งฟังทุกวัน โดที่ไม่มีข้ออ้างจะไปทำอะไรทั้งนั้น

          ผมเดินกะเผลกๆ ขึ้นไปที่ห้องนอนบนชั้นสองเพื่อเปลี่ยนชุดนักเรียนที่เปียกซกก่อนจะเป็นหวัดเพราะตอนนี้อาการไฮเปอร์เธอเมียเริ่มทำให้ผมหนาวๆ ขึ้นมาล่ะ

          พอเปิดประตูห้องนอนเข้าไปแสงเทียนจากเค้กก่อนใหญ่ก็สว่างวาบในความมืด พร้อมกับเสียงเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ ที่ต้นเสียงเป็นของแม่ แต่คนอื่นๆ ก็ดูร้องแบบฝืนๆ เหมือนหน่ายๆ แกมถูกบังคับ

          แม่ถือเค้กมาใกล้แล้วยื่นให้ผม “อธิฐานซิจ๊ะ อ้าวทำไมทำหน้าแบบนั้น เซอร์ไพรส์อะเซอร์ไพรส์”

          ผมทำปากขมุบขมิบหันไปทางพ่อประมาณว่าจะถามว่า ‘อะไรกันพ่อ’ ส่วนพ่อทำแค่ขยิบตาให้เป็นการส่งซิกเนลอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่เข้าใจ ยิ่งหันไปทางพี่เหนือกับน้องดีก็เห็นสองคนนั้นทำหน้าตาขำๆ แล้วนี่มันวันเกิดใครละเนี่ย

          “เดี๋ยวๆๆ แม่ วันนี้วันเกิดใคร”

          “อ้าวก็วันเกิดเรากับเจ้าดีไง”

          “ผมกับน้องเกิดวันที่ 5 มีนา มันวันอาทิตย์นะ”

          “อ้าวก็วันนี้ไง 5 มีนา” แม่เถียงแถมยังเอาปฏิทินในมือให้ดู แล้วชี้ตรงที่เลข 5 เดือนมีนาคม ที่แกวงไว้จริงๆ ครับ พอผมไล่สายตาไปดูมันเป็นปฏิทินปี 2558 นี่น่า

          “แม่... เอาปฏิทินปี 58 มาดูทำไมเนี่ย” ดูเหมือนแม่จะไม่เชื่อเท่าไหร่ผมก็เลยเอื้อมมือไปเปิดสวิตซ์ไฟในห้อง พอไฟสว่างแม่ถึงเห็นว่าตัวเองถือปฏิทินผิดปี

          “เหอะๆๆ อะไรๆ ไม่ต้องมามองแม่เลย ทั้งพวกเราทั้งพ่อนั่นแหละ แม่ก็แค่ตั้งใจฉลองวันเกิดลูกล่วงหน้าเท่านั้นเอง เผื่อวันที่ 5 เราไม่ว่างกันไง” แม่ผมผู้มีปฏิภาณไหวพริบเป็นเลิศ ชักแม่น้ำออกไปได้ก่อนจะหันมาทำเสียงเลียนแบบนางเอกซีรีย์เกาหลี “มากันเถอะพี่ชาย มากินเค้กดีกว่า”

          เสียงหัวเราะที่ดังลั่นบ้าน ก็ต้องหยุดลงแบบทันที เมื่อแม่ยกมือซ้ายเป็นการห้าม เพราะเพิ่งสังเกตเห็นว่าสภาพผมตอนนี้ผิดปกติไป           

          “หยุดดดด”

          “..........” ทุกอย่างเงียบสนิท ทุกคนไม่กล้าขำต่อ เพราะหน้าตาของแม่ดูจริงจังมาก

          “เดี๋ยวก่อนเจ้าหนึ่ง ทำไมกลับมาสภาพแบบนี้” เออ นั่นสิผมลืมไปเลยว่าตัวเองสภาพเละแบบไหน

          “เรื่องมันยาวนะแม่”

          “ยาวยังไงก็ต้องเล่า” เสียงพี่เหนือดุอีกแล้ว วันนี้ผมเหนื่อยมากกับคนทำเสียงดุๆ แล้วครับ และคืนนี้ไม่น่าจะจบง่ายๆ แฮะ ตีสองชัวร์เลยเรา 

          “ก่อนจะเล่าอะไรให้เจ้าหนึ่งมันอาบน้ำอาบท่า แล้วกินข้าวให้เรียบร้อยก่อนดีไหม” เสียงสวรรค์จากพ่อทำเอาผมใจชื้นมาบ้าง

          “ได้..รีบๆ ล่ะ เสร็จแล้วรีบลงมา” แม่บ่น ก่อนเดินนำหน้าทุกคนออกจากห้อง

          ผมใช้เวลาอาบน้ำไม่นานเพราะหิวข้าวมาก ง่วง เพลีย พรุ่งนี้สอบฟิสิกส์อีก ไหนจะต้องตอบคำถามที่ไม่รู้ว่าจะอีกนานไหมจะเคลียร์จบ และทันทีที่ผมนั่งลงที่โต๊ะกินข้าวปุ๊บ ตัวก็เหมือนจะเล็กลงไปอีกเพราะสายตาทุกคู่ต่างจ้องจับมาที่ผมจุดเดียว

          “โอ้โห  ทำไมต้องจ้องหนึ่งขนาดนั้นด้วยล่ะ ไม่เห็นมีอะไรซักหน่อย”

          “ไหน แกก็เล่ามาหน่อยซิ ว่ามันเป็นยังไง ไหนว่าต้องไปซ้อมดนตรีแก้ 0 นี่สรุปแล้วไปซ้อมดนตรีหรือไปโดนตีมากันแน่ สภาพเหมือนหมาตกน้ำมาเลย” แม่ทำตาเล็กๆ หยีๆ เพื่อจับพิรุธ

          “ก็ไม่ได้มีอะไร ผมก็ไปซ้อมดนตรีแหละแต่แบบว่าผมก็ไม่รู้จะเล่นอะไร พี่เค้าก็เลยให้กลับมาคิดว่าอยากจะเล่นอะไรแล้วพรุ่งนี้ก็ให้ไปบอกเค้า” ผมหยุดหายใจเฮือกหนึ่ง มีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนผู้ร้ายกำลังโดนสอบสวนเลยแฮะ

          “แล้วไงต่อละลูก” พ่อถามนิ่มๆ แต่เป็นแบบกับเอฟบีไอเลยที่คนหนึ่งปล่อยให้ถามโหด ส่วนอีกคนหนึ่งจะถามแบบนิ่มๆ เพื่อล้วงความลับ

          “ก็ไม่แล้วไงหรอกครับ เค้าก็ให้หนึ่งกลับก่อน ที่นี้หนึ่งก็รีบเพราะกลัวไม่ทันรถเที่ยวสุดท้ายก็เลยไม่ทันดูว่ามีคนหรือเปล่า หนึ่งก็เลยชนเขาเต็มๆ จากนั้นแว่นก็หล่นแตก”

          “อ้าวแล้วแผลที่ขาแกล่ะมายังไง อย่าให้รู้นะว่าใครทำพี่จะเตะไม่เลี้ยงเลย” พี่เหนือผู้ห่วงน้องเอ่ยปากแล้ว แต่ผมประมาณแล้วดูเหมือนพี่เหนือเองนั่นแหละที่จะโดนเขาเตะไม่เลี้ยง ด้วยสภาพหุ่นกะทัดรัดที่ 170 เซน ผมว่าให้พี่ไปเป็นเดือนมหาวิทยาลัยก็พอแล้ว อย่าลำบากมาสู้กับเขาเลย
 
          “ก็คงเกี่ยวกับราวบันไดตอนล้มนั่นแหละ แหมแล้วก็ไม่ต้องห้าวไปเอาคืนกับราวบันไดล่ะ หนึ่งกลัวพี่เจ็บ” พูดจบก็โดนโบกทันทีเหมือนกัน พี่เหนือมือไวสมชื่อ ‘เหนือพลิ้ว’ จริงๆ

          “แล้วตัวเปียกละ” น้องดีถามขึ้นบ้าง “อย่าบอกนะว่าใช้ตรรกะคำนวณพอเห็นว่าฝนตกแล้วยืนอยู่ตรงกลางระหว่างป้ายรถเมล์กับอาคาร ก็เลยหยุดคิดจนตัวเปียกแบบนี้”

          “อืม อย่างงั้นเลย”

          “ทำไมน้องดีรู้ล่ะ” พี่เหนือหันไปถามน้องคนสุดท้องที่กำลังอมยิ้มอย่างภูมิใจ

          “ก็ไม่เห็นยากเลยพี่เหนือ ก็พี่หนึ่งน่ะเป็นพวกตรรกะเยอะ ถ้าพี่หนึ่งมองแล้วว่าทางไหนคุ้มกว่าพี่หนึ่งก็จะทำ แต่ถ้ามีค่าเท่ากัน พี่หนึ่งเค้าไม่เปลืองแรงวิ่งหรอก มันไม่คุ้ม” นี่หรือเปล่าที่เขาบอกว่าฝาแฝดมักคิดอะไรที่เหมือนกัน แต่เอาจริงๆ นะ ผมดูออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ

          “อันที่จริงพ่อกับแม่ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรกับการติด 0 นะลูกขอแค่ให้จบก็พอ” พ่อพูดขึ้นเพราะเป็นห่วงลูกชายที่ต้องเหนื่อยแบบนี้

          “ไม่ได้หรอกพ่อ มันเสียประวัติผมหมด” ผมยังดื้ออยู่

          “ช่างเถอะพ่อ หนึ่งมันก็เป็นแบบนี้แหละ” พี่เหนือสมทบ

          “อืม งั้นแล้วไป ฮึ ฮึๆๆ ฮ่าๆๆๆ” แม่ทำหน้าอมยิ้มก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง จนทุกคนต้องหันไปมอง

          “อะไรแม่ หัวเราะอะไร เจ้าเหนือไปเอพระมาเร็ว” พ่อดูท่าตื่นๆ เมื่อเห็นอาการของแม่ จนนึกว่าผีเข้า

          “ครับพอ” พี่เหนือรับคำแล้วก็วิ่งไปที่หิ้งพระเพื่อหาสร้อยพระมาคล้องคอตามคำสั่งผู้เป็นพ่อ แล้วก็คว้าสร้อยพระสมเด็จมายื่นให้กับพ่อ และก่อนที่ทุกอย่างจะบานปลายกว่านี้ แม่ก็หยุดหัวเราะแถมทำมือห้ามพ่อที่กำลังจะเอาสร้อยพระสมเด็จมาห้อยคอแม่

          “อะไรนี่พ่อ แม่ไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย นึกว่าแม่ผีเข้าหรือไง” แม่ดุซะจนพ่อผมไปไม่เป็น

          “ก็อยู่ๆ แม่ก็หัวเราะขึ้นมา พ่อก็เลย....เข้าใจผิด” พ่อก้มหน้าสำนึกผิด

          “แล้วแม่หัวเราะทำไมครับ” น้องดีถามแม่ ซึ่งก็ตรงกับใจผมรวมถึงทุกคนด้วย เออ นั่นดิแล้วแม่หัวเราะทำไม

          “ว่าแต่พี่เค้าหน้าตาดีไหม” แม่ยื่นหน้ามาพูดใกล้ๆ แบบเขินๆ

          “แม่” เสียงพวกเราทุกคนดังขึ้นพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ผมได้แต่กรอกตาขึ้นบน

          “เอ้า..ก็แม่อยากรู้ว่ามันจะเหมือนกับซีรีย์เกาหลีเรื่อง antique หรือเปล่า”
         
          “แม่นั่นมันหนังเกย์ไม่ใช่เหรอ น้องเหนือมันผู้ชายนะ” พี่เหนือโวยวายใหญ่

          “แม่ไม่ถือ แม่ชอบ” ผมงี้เอ๋อเหรอ เบลอชั่วขณะ

          “แม่...........” พ่อทำเสียงปรามแม่

          “อย่ามาดราม่า แม่ก็แค่คิดเองเฉยๆ ก็เจ้าหนึ่งมันขี้เหร่ซะที่ไหน อีกอย่างแม่ก็ไม่ได้ให้ลูกเป็นเกย์ แต่ถ้าลูกจะเป็นแม่ก็ไม่ว่า แต่ถ้าใครไม่พอใจคราวหลังก็ตั้งท้องเองแล้วกัน ส่วนพรุ่งนี้ก็หาข้าวกินเองด้วยล่ะ แม่ไปนอนละ เชอะ” ว่าเสร็จแม่ก็สะบัดบ๊อบงอนตุ๊บป่องไปแล้ว ทิ้งไว้แค่หน้าตาเอ๋อเหรอของผู้ชายสี่คนในบ้านที่มองหน้ากันไปมา แถมไม่รู้จะปวดหัวเรื่องไหนก่อนดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอยากให้ลูกเป็นเกย์หรือให้พวกเราตั้งท้องเองดี ก่อนที่พ่อจะนึกได้เลยรีบวิ่งตามไปง้อแม่ ก่อนจะได้ยินเสียง

          ‘จริงรึ’ ‘จริงสิ’

          ‘แน่นะ’ ‘อ๋อแน่สิ’

          ‘อย่ายั่วนะ’ จะยั่วซิ’ เป็นอย่างนี้กันทุกรอบ พ่อก็ต้องตามมาง้อ ผมเคยถามว่าพ่อทำไมชอบยอมแม่ แต่พ่อก็ตอบว่าแม่ผมเป็นลูกสาวกำนัน กลัวตามากระทืบ แต่ตอนนี้ตาก็เสียไปนานแล้วแต่ทำไมพ่อยังกลัวอีก พ่อก็เลยบอกว่า คนเราถ้ารักใครแล้วเราก็ต้องทำให้คนที่เรารักมีความสุข ถึงจะเห็นพ่อยอมแม่ทุกเรื่องแต่ก็เป็นแค่เรื่องในบ้าน แต่เรื่องนอกบ้านแม่ก็ให้พ่อเป็นคนตัดสินใจและพร้อมจะทำตามทุกอย่าง เพราะแบบนี้ครอบครัวเราถึงอบอุ่นและไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งอย่างบ้านคนอื่น ซึ่งผมก็ต้องยอมรับว่า ‘จริง’

          “แล้วแบบนี้หนึ่งไม่ต้องกลับดึกตลอดเลยเหรอ” 

          “ก็คงแบบนั้นแหละพี่เหนือ”

          “งั้นเอาแบบนี้เดี๋ยวพี่ขับรถไปรับ”

          “มันไกลนะพี่เหนือจากบ้านเราถึงโรงเรียนหนึ่งเนี่ย แถมกว่าพี่จะกลับจากมหาลัยอีก อย่าเลย”

          “งั้นเดี๋ยวน้องดีขี่มอเตอร์ไซต์ไปรับพี่หนึ่งก็ได้ น้องดีอยู่ใกล้กว่า” น้องดีเสนอความคิด

          “ไม่ต้องหรอก ขี่มอเตอร์ไซต์มันอันตราย เอาเป็นว่าถ้าวันไหนหนึ่งไม่มีรถกลับค่อยโทรหาพี่เหนือกับน้องดีแล้วกัน ดีไหม”

          “งั้นก็ได้ ว่าแต่ตอนนี้หนึ่งก็กินข้าวเถอะ จะได้ไปนอนนี่ก็เกือบห้าทุ่มล่ะ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าอีก ไปน้องดีไปนอนดีกว่า” พี่เหนือลุกขึ้นพร้อมกับเอามือขยี้หัวผมกับน้องดีก่อนจะเดินขึ้นไปห้องนอนชั้นสอง

          “ฝันดีนะพี่เหนือ ฝันดีนะพี่หนึ่ง” น้องดีบอกลาแล้วก็เดินไปห้องของตัวเองเหมือนกัน

          “จบการสอบสวน หิวแล้ว ลุยเลยนะครับ” ผมลงมือจัดการแกงจืดหมูสับกับกุนเชียงทอดตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนเก็บจานชามเรียบร้อย เพื่อจะได้รีบเข้านอน



          ทันทีที่หัวถึงหมอนปุ๊บหน้าของพี่หมีน้อยก็ลอยมา “ที่จริงมึงลองทิ้งตำราบ้างบางทีมึงอาจจะเห็นโลกในมุมที่ต่างไป”


          ก๊อก ก๊อก ก๊อก

          “หนึ่ง ตื่นยังลูก สายแล้วนะ”

          “ครับแม่”
   
          ผมค่อยๆ ลุกขึ้นมาอย่างหมดแรง ตัวก็เหมือนร้อนนิดๆ คงเป็นเพราะเมื่อวานตากฝนแน่ๆ อยากจะนอนต่อแต่วันนี้มีสอบฟิสิกส์ซะด้วย แล้ววันนี้ผมจะเล่นอะไรดีน่า

          แผลก็ปวด.....

          ไข้ก็ขึ้น.....

          โธ่..ชีวิตน้ำหนึ่ง จะเหม็นหึงก็ตอนนี้แหละ

          หรือผมจะไปยกเลิกข้อตกลงกับครูหมีใหญ่ดีมั้ยหน่า.......

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-07-2017 19:17:49 โดย arjanlai »

ออฟไลน์ Blueberry _boy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Do - Re - Me ทำนองนี้มีแต่รัก
«ตอบ #5 เมื่อ13-07-2017 16:52:41 »

 :hao6: :hao6: มาติดตามเรื่องใหม่พอดี ลุ้นอยู่ว่าใครเป็นใคร ติดตามต่อนะครับ :laugh:

ออฟไลน์ arjanlai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: Do - Re - Me ทำนองนี้มีแต่รัก
«ตอบ #6 เมื่อ14-07-2017 22:42:25 »

ฝากหน่อยครับ ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ arjanlai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: Do - Re - Me ทำนองนี้มีแต่รัก
«ตอบ #7 เมื่อ18-07-2017 13:39:31 »

บทที่ 3 กีตาร์ในตำนาน

          วันนี้อาการไข้ขึ้นจนครึ่งวันแรกผมต้องขออาจารย์ไปนอนที่ห้องพยาบาลเพราะตอนบ่ายมีสอบวิชาฟิสิกส์ ผมไม่อยากพลาดท็อป หลังจากได้นอนมานานกว่า 3 ชั่วโมงอาการผมเริ่มดีขึ้น พอตอนเที่ยงพักกินข้าวเล็กน้อยก็พร้อมสำหรับการสอบวิชาฟิสิกส์ในคาบบ่าย แล้วไม่ต้องแปลกใจนะครับว่าทำไมไม่มีเพื่อนคนไหนมาดูแลผม เพราะทุกคนต่างก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมกับสนามแข่งในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ผมที่เคยเป็นแชมป์ท็อปทุกสถาบัน มีหรือจะยอม

          ผมทำข้อสอบเสร็จเป็นคนแรกตามเคย และก็มั่นใจว่าตัวเองทำถูกด้วย เนื่องจากเป็นวิชาที่เรียนสี่คาบ อาจารย์จึงปล่อยให้เด็กที่สอบเสร็จแล้วเตรียมตัวกลับบ้านได้

          เพราะการเป็นคนแรกที่ทำเสร็จโดยใช้เวลาเพียงสองคาบ ทำให้ตอนนี้ผมเองไม่รู้จะไปไหน เพราะไม่ได้ไปเรียนพิเศษแล้ว แต่จะให้ไปห้องดนตรีก็กลัวว่าพี่ๆ คนอื่นๆ จังไม่มากัน ผมจึงเลือกมานั่งในสถานที่ที่ไม่เคยมาคือห้องศิลปะ ด้วยความที่มันไม่ห่างจากห้องดนตรีเท่าไรนัก และอีกอย่างผมต้องการหาแรงบันดาลใจ

          ห้องศิลปะตอนนี้ไม่มีนักเรียนมาเรียนเลย ผมจึงไล่ดูไปตามบอร์ดต่างๆ ที่ใช้แสดงผลงานของนักเรียนที่มีตั้งแต่วาดรูปด้วยสีเทียนของเด็ก ม.ต้น ไปจนถึงภาพเขียนสีน้ำมันของเด็ก ม.ปลาย ขณะที่ไล่ดูผมก็ต้องสะดุดกับผลงานชิ้นหนึ่ง ที่เป็นงานเขียนแบบแอบสแตกอาร์ต แม้จะดูมั่วๆ แต่เพราะมันเป็นศิลปะนามธรรม ก็เลยดูแปลกตากับภาพเครื่องดนตรีหลายๆ ชิ้นที่ถูกวาดให้มารวมกันแล้วมีนกเป็นส่วนประกอบหมายถึงความมีอิสระ แต่ที่เด่นที่สุดในภาพคือ ‘กีตาร์’ พอไล่สายตาลงไปจนถึงชื่อเจ้าของผลงาน

          ‘นายณัฐกรณ์ ปรีดาสวัสดิ์ ม.5/6 รางวัลชนะเลิศประกวดวาดภาพระบายสีระดับชาติ ครั้งที่ 26 ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย’

          นามสกุลคุ้นๆ เหมือนนามสกุลครูหมีใหญ่เลย แต่ยังไงก็เถอะผมคงต้องขอขอบคุณเจ้าของผลงานนี้ที่ทำให้ผมเกิดแรงบันดาลใจ และผมก็รู้แล้วว่าจะเลือกเล่นอะไร

          ใกล้เวลาเลิกเรียนแล้ว ผมเดินออกจากห้องศิลปะตรงไปที่ห้องดนตรีก่อนเวลา พอไปถึงผมก็นั่งรอฆ่าเวลาด้วยการหยิบหนังสือคณิตศาสตร์มาทบทวนแทนคาบเช้าที่ต้องไปนอนห้องพยาบาล ผมอ่านเพลินอีกแล้ว อ่านเพลินจนไม่รู้ว่าตอนนี้มีใครบางคนมายืนอยู่ข้างๆ ตัวแล้ว

          “ไง ไอ้แว่น อ่านหนังสือเพลินเลยนะมึง คิดได้หรือยังว่ามึงจะเล่นอะไร” ร่างสูงยืนค้ำหัวผมอยู่จนต้องแหงนหน้าขึ้นมอง

          “หวัดดีครับพี่” ผมยกมือไหว้พี่หมีน้อยตามมารยาท

          “เออ หวัดดี วันนี้มึงคงมีคำตอบนะว่าจะเล่นอะไร” พี่เค้าแค่ยกมือมาข้างหนึ่งเพื่อรับไหว้

          “ครับ ผมรู้แล้ว”

          “ไหนมึงบอกมาซิ ว่ามึงจะเล่นอะไร”

          “กีตาร์ครับ ผมอยากเล่นกีตาร์”

          “ทำไมมึงถึงอยากเล่นกีตาร์”

          “ไม่รู้ซิครับ แค่อยากจะเล่นมั้ง”

          “แค่นั้นก็ดีแล้ว แค่มึงอยากจะทำมันก็ชนะไปครึ่งหนึ่งแล้ว ที่เหลือก็แค่พยายามให้สำเร็จ”

          “งั้นก็เตรียมตัวได้แล้ว พวกนั้นอาจจะมาช้าหน่อย” ผมเก็บหนังสือแล้วเดินตามพี่หมีน้อยเข้าไปในห้องซ้อมดนตรี

          พี่หมีน้อยหยิบกีตาร์โปร่งมาตัวหนึ่ง ผมรับมาแล้วเริ่มสำรวจสภาพโดยรอบของมัน ผมคิดว่ามันคงผ่านการใช้งานมาเยอะ รอยถลอกด้านหน้า กับด้ามก็ไม่ใช่รอยใหม่ นี่มันเกือบเสื่อมสภาพแล้วนี่น่า

          “มึงไม่ต้องทำหน้านั้นหรอก มึงโชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้เริ่มหัดเล่นจากกีตาร์ในตำนานของโรงเรียน” ผมขยับแว่นมองพี่หมีน้อยอย่างไม่ค่อยจะเชื่อซักเท่าไหร่

          “แล้วมันเล่นได้จริง ๆ ใช่ไหมครับ”

          “ไอ้เด็กเนิร์ดนี่เรื่องมากจังแฮะ มานี่เดี๋ยวจะเล่นให้ดู” พี่หมีน้อยบ่น แล้วก็มาคว้าเอากีตาร์ในมือผมไป พี่เค้าขยับตั้งสายเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มดีด ผมไม่รู้ว่าที่พี่เขากำลังดีดไล่สายไปมาเรียกว่าอะไร แต่พอเสียงไม่ดังมากมันทำให้ผมรู้สึกชอบมากขึ้น แม้แต่พี่หมีน้อยเองเวลาที่เล่นกีตาร์มันเหมือนมีออร่าบางอย่างครอบคลุมอยู่ มันดูพี่เค้าหล่อขึ้นอีกเป็นสิบ ๆ เท่า

          “อ่ะ เอาไปฝึก” พี่หมีน้อยยื่นกีตาร์ในตำนานมาให้ผม

          “เฮ้ย..ขอโทษครับ” แย่แล้วผมทำกีตาร์ในตำนานผิวถลอก เศษไม้ที่ร่วงลงกับพื้นทำเอาผมรู้สึกผิดมากๆ

          ผมรีบวางกีตาร์ลงแล้วยกมือขึ้นไหว้ขอโทษขอโพยกีตาร์เป็นการใหญ่ จนพี่หมีน้อยอดขำกับท่าทางของผมไม่ได้

          “มึงนี่มันฉลาดแค่เรื่องเรียนอย่างเดียวละมั้ง ไม่ใช่แค่เรื่องดนตรีหรอกที่ติดลบ” พี่หมีน้อยส่ายหัว แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีแหละว่าทำไมต้องประชดผมด้วย

          “.........”

          “มา...เดี๋ยวกูจะสอนส่วนประกอบของกีตาร์ให้ก่อน” พี่หมีน้อยรับกีตาร์ในตำนานจากมือผมไป ทำไมไม่ถนอมเลยล่ะ เนี่ยผิวของกีตาร์หล่นร่วงมาอีกละ

          ผมหยิบสมุดเล็กๆ ขึ้นมาเพื่อแลคเชอร์สิ่งที่พี่หมีน้อยกำลังจะสอน มันเป็นความเคยชินที่ติดเป็นนิสัยที่มักจะทำเป็นประจำ ก่อนจะวาดรูปกีตาร์คร่าวๆ ซึ่งมีแค่ผมเท่านั้นที่รู้ว่าสิ่งที่กำลังวาดมันเรียกว่ากีตาร์

          พี่หมีน้อยเลิกตาขึ้นมองหลังจากที่เห็นความพร้อมในการเรียนของผม ซึ่งพี่เค้าก็เริ่มคลาสด้วยการบอกถึงส่วนประกอบของกีตาร์ที่แบ่งเป็นสามส่วน คือ ส่วนหัว จะมีลูกบิดกับนัท ส่วนคอ จะมีเฟร็ด ฟิงเกอร์บอร์ด และจุดบอกตำแหน่ง สุดท้ายส่วนลำตัว จะมีช่องรับเสียง ปิ๊กการ์ด หย่อง และก็สะพานสาย พอผมแลคเชอร์จบพี่หมีน้อยก็ให้ผมทดลองจับคอร์ดพื้นฐาน แรกๆ ก็ไม่เท่าไหร่ แต่พอกดสายกีตาร์นานๆ เข้า ผมก็รู้สึกเจ็บมากจนต้องหยุดพัก

          “โอ๊ย..พอก่อนครับ ผมเจ็บนิ้วหมดแล้ว” พอปล่อยนิ้วที่กดคอร์ดออกจากสายกีตาร์แล้ว ผมถึงกับตกใจที่นิ้วมือแต่ละนิ้วยังกับโดนมีดบาดเลย

          “อ้าว ตอนแรกๆ ก็เป็นแบบนี้แหละ อย่าขี้แยมาฝึกต่อ” พี่หมีน้อยโหดอ่ะ

          “ไม่ไหวแล้วพี่ ผมเจ็บจริงๆ ครับ” ผมเอานิ้วขึ้นมาเป่าโดยหวังว่ามันจะช่วยไล่ความเจ็บปวดให้หายไป

          “โอเค งั้นก็ได้ ตอนนี้มึงก็ค่อยๆ ใช้นิ้วทั้งหมดรูดไปบนสายหนึ่งแล้วกัน” ไม่พูดเปล่าพี่เค้าก็จับมือข้างทีซ้ายผมมารูดไปกับสายหนึ่ง

          “ทำไมต้องรูดสายหนึ่งด้วยละครับ” ก็ผมสงสัยนี่หน่า คนเราจะทำอะไรต้องมีข้อมูลที่ชัดเจนใช้ตรรกะตรวจสอบว่าเป็นไปได้หรือไม่ ก่อนที่จะลงมือทำ

          “ให้นิ้วมันด้านตอนเล่นจะได้ไม่รู้สึกเจ็บ” นี่มันไม่ธรรมดาแล้วจะเล่นกีตาร์ในตำนานก็ต้องทำให้มือด้านก่อนงั้นเหรอ

          “พี่หมีน้อยครับ ถ้าเล่นกีตาร์ในตำนานแล้วมันต้องนิ้วด้าน งั้นผมขอลดเกียรติเริ่มฝึกจากกีตาร์ธรรมดาที่ไม่ต้องนิ้วด้านได้ไหมครับ” ผมพูดอะไรผิด ทำไมพี่หมีน้อยต้องทำหน้ากรอกตาขึ้นฟ้าแบบนั้นด้วย ก็ผมเพิ่งจะหัดเล่น แล้วจะให้ใช้กีตาร์ในตำนานเลยมันคงจะยากเกินไปสำหรับผม ผมเลยขอใช้กีตาร์ธรรมดาๆ ดีกว่า

          “ไม่มีแล้ว มีแค่ตัวนี้ตัวเดียวแหละ อย่างเรื่องมาก เดี๋ยวพวกนั้นก็มาแล้ว”

          “คร๊าบ..พี่”

          ผมนั่งเอานิ้วถูไปมาอยู่ที่สายหนึ่งพักเดียว กลุ่มพวกพี่โน้ต พี่เอส พี่โต๊ะและพี่เก้าอี้ ก็พร้อมใจเข้ามาในห้องซ้อมดนตรี ผมรีบยกมือไหว้หวัดดีทุกคนแต่ก็มีแค่พี่เอสกับพี่โต๊ะเท่านั้นทียกมือตอบ ส่วนพี่เก้าอี้ทำแค่พยักหน้ารับ แต่กับพี่โน้ตไม่สนใจเลย

          “ไอ้หมีน้อยมึงเล่นของยากให้น้องมันเลยเหรอ” พี่โต๊ะพูดเมื่อเห็นว่าผมยังคงเอานิ้วถูๆ ไปที่สายหนึ่งอยู่แบบนั้น

          “เออ  มันอยากหัดกีตาร์ กูก็ให้มันหัดจากเจ้าแก่แล้วไง”

          “พี่โต๊ะครับ ผมถามหน่อยซิครับ”

          “ว่ามาซิ”

          “ไอ้การเล่นกีตาร์ในตำนานเนี่ย ผมต้องนิ้วด้านก่อนใช่ไหมครับ อย่างงั้นผมคงไม่ไหว ผมขอแค่กีตาร์ธรรมดาที่ไม่ต้องนิ้วด้านได้ไหมครับ” จบคำพูดทุกคนในห้องซ้อมยกเว้นพี่หมีน้อยต่างก็หัวเราะขึ้นมาอย่างไม่ได้นัดหมาย ขนาดว่ายิ้มยากอย่างพี่โน้ตยังหัวเราะเลย

          “เออ ไอ้หมีน้อยกูว่ากูเริ่มชอบไอ้แว่นนี้ขึ้นมาแล้วว่ะ สุดติ่งจริงๆ นะมึง” พี่เก้าอี้พูดจบก็เดินเข้ามาขยี้หัวผมอย่างกับเป็นหัวหมาเลย

          “อย่าเรื่องมาก ซ้อมๆ ถูๆ ไปเถอะ มึงได้รับเกียรติแค่ไหนแล้วที่ได้เล่นเจ้าแก่เนี่ย ขนาดกูกับไอ้อี้ยังไม่ได้รับเกียรติเท่ามึงเลย” พี่หมีน้อยพูดเชียร์อัพขนาดนี้ เอาวะนิ้วด้านก็นิ้วด้าน

          ตอนนี้นิ้วชี้ กลาง นาง ก้อย ของผมถูกพันด้วยพลาสเตอร์หมดทุกนิ้ว ผมว่าผมคงถูแรงไปหน่อยเลยทำให้เนื้อเปิดและเป็นแผล จริงๆ ก็แค่พลาสเตอร์ชิ้นเดียวก็ได้ แต่ทำไมพี่อี้ถึงต้องพันนิ้วผมจนเป็นลูกชิ้นหมูขนาดนี้ก็ไม่รู้ แล้วผมจะกดคอร์ดได้ยังไง

          เมื่อกดคอร์ดไม่ได้ผมก็เลยหยิบสมุดเล็ก เล่มเดิมออกมาวาดเส้นกีตาร์ทั้งหกสาย แล้วก็สังเกตการวางนิ้วจับคอร์ดของพี่หมีน้อยแล้ววาดตาม อย่างที่บอกผมไม่ใช่พวกที่มีศิลปะในหัวใจเพราะฉะนั้นรูปนิ้วมือหรือสายกีตาร์ที่ผมวาดมันจะเป็นลักษณะเฉพาะที่สามารถเข้าใจได้เฉพาะผมคนเดียวเท่านั้น

          “มึงวาดภาพเฮียโรกลิฟิคอะไรของมึงว่ะ”

          “คอร์ดกีตาร์ครับพี่” ดูเหมือนพี่เก้าอี้จะไม่เข้าใจในศิลปะของผมเท่าไหร่นัก

          “อันนี้มันอะไรเนี่ย กูดูยังไงก็ไม่เห็นจะเป็นคอร์ดอะไรเลย”  พี่เค้าใช้นิ้วจิ้มไปที่นิ้วมือที่บิดเบี้ยวในรูปหนึ่งในแปดเก้าคอร์ดที่ผมเขียนไว้

          “อันนี้จับคอร์ดเอครับ นี่คอร์ดดี นี่ก็คอร์ดซี อันนี้เอไมเนอร์ บลาๆๆๆ” เหมือนพี่เค้าจะไม่เชื่อยังไงไม่รู้

          “มึงมั่วล่ะ คอร์ดอะไรของมึงกูดูไม่เห็นรู้เรื่องเลย ไหนมึงลองจับจริงให้กูดูหน่อยซิ”

          “ไอ้อี้ แล้วมึงจะไปยุ่งน้องมันทำไมมาซ้อมต่อดิ” ผมหันไปมองเห็นพี่เอสแกทำหน้าเบื่อ ๆ ความอยากรู้อยากเห็นของพี่เก้าอี้เหลือเกิน

          “เฮ้ยไอ้หมีน้อยมึงเอาเจ้าแก่มาให้กูหน่อยดิ”

          “เออ..พี่ครับ พอดีนิ้วผมเจ็บอยู่ครับ คงเล่นกีตาร์ในตำนานไม่ไหวหรอกครับ” ผมปฏิเสธพัลวันเพราะผมอย่างไม่แก่กล้าพอที่จะเล่นกีตาร์ในตำนาน ก็แบบว่านิ้วผมยังไม่ด้านตามที่พี่หมีน้อยบอกเลยนะครับ

          “อ้าว งั่นเอากีตาร์กูไป” พี่เก้าอี้ยังไม่ยอมแพ้วิ่งไปเอากีตาร์ของพี่เค้าเอามาให้ผมลองจับคอร์ด “อันนี้สายนิ่มกว่า”

          “เออ พี่อี้ครับ ของพี่ก็ไม่ใช่กีตาร์ในตำนานใช่ไหมครับ”

          “เออ.. ของกูกีตาร์ธรรมดา เทียบกับเจ้าแก่ไม่ได้หรอก เร็วๆ อย่าเรื่องมาก ไอ้แว่น”

          “ครับๆ พี่”

          ตอนนี้สมาชิกทั้งวงปล่อยเกาะไม่มีใครซ้อมแล้ว เพราะสายตาทุกคู่กำลังจ้องมองมาที่ผม

          “ไหนมึงลองจับคอร์ดดีซิ”
   
          “นิ้วชี้กดที่สายสี่เฟร็ดที่สอง นิ้วกลางกดที่สายหกเฟร็ดที่สอง นิ้วนางกดที่สายห้าเฟร็ดที่สาม” ผมทวนคำ ก่อนจะจับคอร์ดตามที่ทบทวน ผมเห็นหน้าพี่เก้าอี้ดูทึ่งๆ
   
          “งั้นลองจับคอร์ดเอไมเนอร์ซิ” พี่โน้ตส่งเสียงมาจากข้างหลัง

          ผมก้มหน้ามองดูคอกีตาร์อีกครั้ง “คอร์ดเอไมเนอร์ นิ้วชี้กดที่สายห้าเฟร็ดที่หนึ่ง นิ้วนางกดที่สายสามเฟร็ดที่สอง นิ้วนางกดที่สายห้าเฟร็ดที่สอง แบบนี้ครับ”

          “เชี่ย...ไอ้แว่นแม่งเจ๋งว่ะ มึงทำได้ไงวะ” เสียงพี่เก้าอี้ครางออกมาอย่างเหลือเชื่อ ผมเพิ่งมารู้ทีหลังจากพี่โต๊ะว่าพี่เก้าอี้นะกว่าจะจำคอร์ดกีตาร์ได้ก็ใช้เวลาเกือบครึ่งปี

          “ไหนมึงลองจับคอร์ดซีชาร์ปไมเนอร์ซิ”

          “อูว.. เล่นของยากเลยหรือว่ะไอ้หมีน้อย” ผมไม่รู้ว่าพี่เอสหมายถึงอะไร ผมว่าคอร์ดก็คือคอร์ดเท่ากัน

          “นิ้วกลางกดที่สายสองเฟร็ดที่ห้า นิ้วก้อยกดลงที่สายสามเฟร็ดที่หก นิ้วนางกดที่สายสี่เฟร็ดที่หก และก็นิ้วชี้กดที่สายห้าเฟร็ดที่สี่ อย่างงี้ถูกต้องหรือเปล่าครับ”

          “ท่าจับคอร์ดมึงดูประหลาดเน๊าะ” เหมือนผมจะเห็นพี่หมีน้อยอมยิ้มที่มุมปาก

          “วู้!! สุดยอดๆ ไอ้น้องแว่นมันต้องให้ได้อย่างงี้” เสียงพี่เก้าอี้ตะโกนลั่นห้องซ้อม ผมว่าตอนนี้พี่เก้าอี้คงเริ่มชอบผมมาบ้างละ ส่วนพี่โน้ตยังคงพูดน้อยเหมือนเดิม แต่ผมไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี คือตัวมันสั่นๆ เวลาที่เห็นพี่หมีน้อยยิ้มครับ

          “มากไปแล้วไอ้อี้ มากลับมาซ้อมได้แล้ว มึงยิ่งช้าอยู่ด้วย”

          “เออๆๆ ไปๆ ซ้อมต่อๆ” ก่อนไปพี่เก้าอี้ก็เอามือมาขยี้หัวผมเล่นอย่างกับผมเป็นตุ๊กตาแน่ะ

          ถึงผมจะเห็นว่าพี่เก้าอี้เองก็จับคอร์ดพลาดบ่อยๆ แต่ทั้งวงก็พร้อมที่จะช่วยเหลือ ผมไม่เห็นว่าจะมีใครเหนื่อยกับการซ้อมดนตรี มีแต่ยิ่งเล่นก็ยิ่งมีความสุข

          ผมเห็นพี่หมีน้อยแอบยิ้มอีกล่ะ ทำไมพี่เค้าต้องแอบยิ้มด้วยก็ไม่รู้ ผมเลยส่งยิ้มกว้างไปให้พี่เค้า พอพี่เค้าเห็นก็ทำหน้าบึ้งใส่ผมอีกล่ะ ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำอะไรผิด แต่ว่าผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมคนถึงชอบดนตรี เพราะมันมีทั้งมิตรภาพดีๆ แบบนี้นี่เอง ถ้าทุกอย่างไม่ประสานสอดคล้องกันก็จะเป็นทำนองที่ไม่เพราะ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คนเล่นต่างรู้ใจกันเราก็จะได้ฟังเพลงที่เพราะ

          ส่วนผมยังต้องฝึกทำนิ้วให้ด้านกับกีตาร์ในตำนานอีกเยอะ ผมภูมิใจที่ผมได้เล่นกีตาร์ในตำนานตัวนี้ ทั้งที่เป็นแค่เด็กแว่นธรรมดา ขอบคุณที่ให้เกียรตินะครับ คุณกีตาร์ในตำนาน





** ขอบคุณทุกคำติชมนะครับ พอดีอยากเขียนเรื่องความรักน่ารักๆ ไม่แรงเท่าไหร่ แค่ได้อบอุ่นก็พอ ***
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-07-2017 05:33:03 โดย arjanlai »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด