[เรื่องสั้น] Bring Back ฝากรักนำทาง (Part 3/3) *จบ*
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้น] Bring Back ฝากรักนำทาง (Part 3/3) *จบ*  (อ่าน 1439 ครั้ง)

ออฟไลน์ BloodyBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

____________________________________________________________________


BRING BACK . (ฝากรักนำทาง) - SHORT STORY
PART 1 - 11 JUNE 2017 : UPDATED
PART 2 - 20 JUNE 2017 : UPDATED
PART 3 - 25 JUNE 2017 : UPDATED

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-06-2017 14:42:15 โดย BloodyBear »

ออฟไลน์ BloodyBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

Bring Back .
ฝากรักนำทาง // story by Bloody Bear
(ลงเรื่องครั้งแรกครับ หากผิดพลาดประการใด กราบขออภัยไว้ด้วยครับ)


- 1 -

April 2016
กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
‘ฉันเชื่อว่าเราจะได้เจอกันอีกนิค'
เสียงหนึ่งลอยแว่วเข้ามาในหัวของนิคจังหวะเดียวกับที่ดวงตาสีเนวี่จางๆ ของเขาสบเข้ากับนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนคู่หนึ่งที่มองมา จากตรงนี้..นิคจำใบหน้าของผู้ชายคนนั้นได้ดี แม้ว่าจะผ่านมานานหลายปี แต่เขายังจำเรื่องราวระหว่างเราได้หมด มันค่อยๆ ลอยประดาเข้ามาในหัวทีละอย่าง ช่วงเวลาวัยเด็กมันเหมือนหวนกลับมาย้ำเตือนอีกครั้ง วันแรกที่เจอกัน จากไม่ชอบหน้า จู่ๆ ก็กลายเป็นเพื่อนรัก ของขวัญชิ้นแรกที่นิคได้จากเขาเป็นการ์ดทำมือที่วาดด้วยสีไม้รูปไดโนเสาร์เนสซีจากทะเลสาบล็อคเนสส์ ในนั้นเขียนว่ามันเป็นของที่ระลึกสำหรับการแอบหนีออกจากบ้านไปเที่ยวด้วยกันครั้งแรกของทั้งสอง มันเป็นความสนุกอมทุกข์ที่ทั้งสองต่างปล่อยให้มันพัดผ่านไปตามกาลเวลา ทว่าเมื่อได้พบกันอีกครั้ง..คำพูดสุดท้ายที่เขาพูดไว้ก่อนจากกันนั้นยังคงชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

‘ฉันเชื่อว่าเราจะได้เจอกันอีก.. นิค.. ฉันเชื่อ..'

ท่ามกลางผู้คนที่เดินเพ่นพ่านสวนกันไปมาของสถานีเดินรถ Victoria นิคหยุดนิ่งมองอดีตเพื่อนรักที่กำลังมองกลับมา ฝีเท้าของทั้งคู่ค่อยๆ เคลื่อนเข้าหากัน ยิ่งใกล้ขึ้นยิ่งชัดขึ้น มันช่างยาวนานเหลือเกินที่ไม่เจอกัน นิคแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เช่นกับเดียวกับอีกฝ่ายตรงหน้า เจสส์ยกแขนขึ้นมาก่อนจะชี้นิ้วมาทางเขา กล้ามแขนที่บัดนี้แน่นปึ้กไม่เหมือนหลายสิบปีก่อน ไหนจะร่างที่สูงใหญ่โตเต็มวัย ให้ตายเถอะ มันเหมือนเพิ่งไม่นานมานี้จริงๆ นะ...ครั้งสุดท้ายที่เราเจอกัน

“นิค! ไม่อยากจะเชื่อเลย" รอยยิ้มผุดขึ้นทั้งสองฝ่าย นิคส่ายหน้าไปมาก่อนจะดึงเพื่อนเก่าเข้ามากอด
“ไง ไม่เจอกันนานเลยนะ" นิคตอบเสียงสั่น เขารู้สึกตื่นเต้นเหลือเกิน
“ดูดีขึ้นเยอะเชียว ทำอะไรมาบ้าง โอ้ ฉันมีคำถามสำหรับนายเยอะแยะไปหมด ว่าแต่นี่นายกำลังจะไปไหน" เจสส์ยิงคำถามใส่นิครัวแต่ก็นึกขึ้นได้ว่ามันใกล้เวลาเดินรถแล้ว นิคเองก็เช่นกัน เมื่อเป็นดังนั้นพวกเขาอาจจะต้องเปลี่ยนแผนเป็นแลกเบอร์มือถือกันก่อนแทน
“ฉันกำลังกลับบ้าน นายล่ะ" นิคถาม
“ที่ไหน"
“ก็ที่เดิม ที่ที่นายจากไปแล้วไม่กลับมาไงเจสส์"
“หืม นี่นาย...ไม่ได้ย้ายไปไหนเลยเหรอ" เจสส์ย่นคิ้ว มือเขาจับเขาที่หัวไหล่ข้างซ้ายของนิค เขาใช้นิ้วนวดทั่วๆ เป็นนิสัยส่วนตัวที่ชอบทำโดยเฉพาะกับคนสนิท
“ย้ายน่ะย้าย แต่บ้านฉันยังอยู่ที่นั่น ทั้งพ่อกับแม่ ทุกคน ยังอยู่ที่นั่นหมด มีแต่นายที่จากไป จากที่ทุกคนเคยถามถึง ป่านนี้ก็คงลืมนายกันไปหมดแล้ว ลืมชนิดที่ว่าถ้าไม่มีเครื่องเตือนความจำอะไร ก็คงไม่มีใครถามถึงนายแน่" นิคว่าจนจบ เขารีบก้มมองนาฬิกา "ไม่ทันแล้วเพื่อน ถ้านายอยากติดต่อฉันก็ต้องให้เบอร์ไว้แล้วล่ะ"
นิครีบล้วงโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา เขายื่นมันให้กับเพื่อนเก่าตรงหน้า แต่เจสส์ไม่ตอบนอกจากซ่อนรอยยิ้มกรุ่มกริ่มของตัวเองก่อนจะเลิ่กคิ้วขึ้น นิครู้สึกใจสั่น สายตาเจ้าเล่ห์ของร่างสูงตรงหน้ายังคงเป็นสิ่งเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยน เจสส์เปลี่ยนมือตัวเองจากหัวไหล่มาคว้าหมับเข้าที่ข้อแขนของนิคก่อนจะดึงมันให้เดินตาม
“รีบเถอะ ฉันว่าเรากำลังสายแล้ว" เจสส์พูด ทำเอานิคเริ่มงงว่าอีกฝ่ายกำลังหมายถึงอะไร แล้วกำลังลากเขาไปไหน ในเมื่อรถของเขากำลังจะออกแล้ว
“นายหมายความว่าไงเจสส์"
"ก็หมายความว่าฉันกำลังจะไปขึ้นรถคันเดียวกับนาย"
“เอ๊ะ นี่นายกำลังหมายความว่านายกำลังจะไป Edinburgh* เหรอ”
"ใช่ แต่นั่นเป็นแค่ทางผ่าน"
“...” นิคทำหน้างง เจสส์กระตุกยิ้มก่อนจะเฉลยความจริงให้เพื่อนฟัง
“ฮ่าๆ ตอนแรกฉันนึกว่าจะได้เซอร์ไพรส์นายที่บ้านซะอีก ใช่ ฉันตั้งใจจะไปหานาย"

1 ชั่วโมงต่อมา

นิครู้สึกหัวใจพองโตขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกนับตั้งแต่รู้ว่าเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันเป็นยี่สิบปีอย่างเจสส์จะเดินทางกลับบ้านด้วยกัน มันเป็นสิ่งที่เขาไม่คิดมาก่อนว่ามันจะเกิดขึ้น และแน่นอนว่าเมื่อกลับด้วยกันทั้งที มีหรือพวกเขาจะแยกกันนอน ทันทีที่ขึ้นไปถึงบนรถ เจสส์ก็ขออนุญาตแลกที่นอนกับผู้ชายคนหนึ่งที่จะนอนข้างนิคโดยอ้างว่าพวกเขาเป็นเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานนับสองทศวรรษ แน่นอนว่าพออีกฝ่ายได้ยินก็อดใจไม่ได้จึงยอมแลกแต่โดยดี และเนื่องจากนี่เป็นรถโค้ชสำหรับนอนรอบสุดท้ายที่ไปยังเมือง Edinburgh รอบดึก ไม่มีที่สำหรับนั่ง พวกเขาจึงต้องนอนคุยกันไปตามประสาเพื่อนเก่านับตั้งแต่นาทีแรกที่รถเคลื่อนตัวออก เจสส์กับนิคต้องกระซิบคุยกันเพื่อไม่ให้รบกวนคนอื่น โดยที่เจสส์เริ่มเล่าว่าเขาทำงานเป็นอาจารย์พิเศษอยู่ที่มหาลัยคิงส์ตัน ส่วนนิคก็มีธุรกิจเป็นเจ้าของผับเล็กๆ อยู่แถวๆ ย่านแคมเดนในกรุงลอนดอน

“เหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เลยเนอะ" เจสส์พูด เขากำลังนอนกอดอกมองเพดานต่ำๆ เล็กๆ ที่มีตาข่ายชั้นบนสำหรับที่นอนอีกที่ห้อยอยู่ แต่โชคดีด้านบนพวกเขาไม่มีคนนอน นิคคิดเล่นๆ ว่าเดี๋ยวถ้าคุยกันเสร็จเขาอาจจะขึ้นไปนอนบนนั้น เพราะเจสส์จะได้ไม่อึดอัด พวกเขาจะได้นอนกันสบายขึ้น
“จริงๆ นอนคุยกันแบบนี้มันเหมือนตอนที่เราต้องการหนีจูดี้ไปแอบอยู่ใต้ท้องรถเหมือนกันนะ นายจำได้ไหม" นิคยังคงไม่หยุดรำลึกความหลัง ในขณะที่เจสส์ตามเขาไม่ทันสักอย่าง เพราะหลังจากที่เขาย้ายออกจาก Skye* ไป ก็มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายจนทำให้เขาหลงลืมอะไรไปหลายสิ่ง
“ตอนนั้นเราเด็กมาก ให้ตาย ฉันแทบจำไม่ได้แล้วนิคว่าตอนนั้นเราหนีจูดี้ทำไม" เจสส์ย่นคิ้วพลางนึกเรื่องตาม แต่ทำยังไงก็คิดไม่ออก เขาถอนหายใจให้กับความเลอะเลือนของตัวเอง "สงสัยฉันคงจะแก่ขึ้นแล้วจริงๆ เพื่อน"
“นั่นสิ ถ้าจำไม่ผิดคงเป็นเพราะนายไม่อยากกลับบ้าน" นิคพูด เจสส์หัวเราะออกมาเงียบๆ จู้ดี้ในที่นี้คือยายของเจสส์ เธอชอบมาตามเจสส์กลับบ้านที่บ้านนิคบ่อยๆ พวกเขาชอบเล่นกันจนดึก ยิ่งช่วงหน้าหนาว มันลำบากสำหรับการเดินเท้ามาก เจสส์จึงชอบอ้างที่บ้านเพื่อได้ค้างกับนิค เขาอยู่ด้วยกันเป็นอาทิตย์สองอาทิตย์ จนจูดี้ต้องเดินจากบ้านมาตามรับกลับด้วยตัวเองอยู่บ่อยๆ
“เนิร์ดดี้นิค" เจสส์พูดฉายาของนิคออกมา ในที่สุดมันก็เป็นสิ่งแรกที่เขานึกขึ้นได้ในชั่วโมงนี้
“ตลกชะมัด นี่นายจำได้ด้วยเหรอ"
“ใครๆ ก็เรียกนายแบบนั้น ทำไมกัน" เจสส์หันมาถามพลางย่นคิ้ว แสงพระจันทร์ออกนอกกระจกรถสาดผ่านมาเข้ามาอ่อนๆ ต้องให้เห็นใบหน้านิค ยิ่งมองใกล้ก็ยิ่งชัด นิคที่มองเพื่อนเขากลับก็อดคิดไม่ได้ว่าจากเดิมที่ตอนเด็กๆ ดูดียังไง ตอนนี้เจสส์ก็ยังดูดีอย่างนั้น ผิดกับตัวเองที่นอกจากผมแดง ผอมแห้งกร่อง ราวกับ Domgnall Gleeson ในหนังเรื่อง About Time ส่วนเจสส์น่ะเหรอ เขากลายเป็นพระเอกหนังสือของ Nicholas Sparks ไปแล้ว หนุ่มใหญ่ มีภูมิฐาน สุภาพ สุขุม และดูอบอุ่นเหลือเกิน
“นายเป็นคนแรกที่เรียกฉันแบบนั้น เจสส์" นิคทำเป็นเขม่นตาใส่อีกฝ่าย
“ไม่จริงน่า เฮ้อ ถ้าได้เบียร์สักกระป๋องคงดีนะเนี่ย น่าจะซื้อติดมาหน่อย"
"อยากเมารึไง"
"เปล่า เวลาเมาฉันชอบคิดถึงเรื่องอดีต" เจสส์บอก นิคยิ้ม สำหรับเขาไม่ต้องดื่มเขาก็จำทุกอย่างได้ นิคใช้มือสองข้างหนุนศีรษะก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องวันวาน
“ตอนฉันเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ นายไม่ชอบหน้าฉันเลย เจ้าถิ่นอย่างนายนี่ทำตัวเป็นนักเลงเลยล่ะ หาเรื่องฉันสารพัด ถ้าจำไม่ผิด นายยัดบุหรี่ใส่ปากฉันด้วย"
“พูดเป็นเล่น" เจสส์เริ่มมีภาพในหัวเล็กน้อย แม้ว่าจะยังไม่ค่อยชัดเจนมากนัก
“แล้วนายก็ต่อยฉันสองที ตรงนี้" นิคเพิ่มข้อมูลพร้อมกับชี้ไปตรงโหนกแก้มข้างขวาของเขา เจสส์ส่ายหน้าไปมาเป็นเชิงไม่รับผิดชอบ
“ไม่เห็นร่องรอยอะไรเลย นายกำลังโกหกฉันแน่ๆ" เจสส์ยืนยันเสียงแข็ง นิคกลั้วเสียงหัวเราะในคออย่างเงียบๆ
“บางอย่างไม่มีร่องรอยทิ้งไว้ ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นนะเพื่อน เหมือนที่นายลืมทุกอย่างไปหมดแล้วนี่ไง" นิคพูดก่อนจะยักไหล่ เขาเพิ่งรู้ตัวว่าภาพที่เห็นตอนนี้คือพวกเขาสองคนกำลังนอนหันหน้าหากันอยู่ นิคค่อยๆ ใช้หัวแกล้งทำเป็นเข้าไปหนุนที่แขนข้างขวาของเขา ในขณะที่เจสส์ผับหมอนอิงสองทบเพื่อให้มันสูงขึ้น นิคยิ้ม เพราะอย่างน้อยเขาก็เป็นคนเดียวที่จำมันได้ว่าเพื่อนของเขาไม่ชอบนอนหมอนต่ำ ใช่ เขาจำได้ คืนแรกที่เจสส์มาค้างบ้านเขา หมอนั่นหมุนตัวไปมาด้วยความนอนไม่หลับ นิคต้องตื่นมาหาหมอนอีกใบตอนกลางดึกให้เขาเนื่องจากเขาต้องนอนหมอนสูงเท่านั้น
“ฉันล้อเล่นนิค จริงๆ ฉันก็จำเรื่องระหว่างเราได้หมดนั่นล่ะ ฉันแค่ต้องการทดสอบนายเท่านั้นเอง" เจสส์ยักคิ้ว นิคเม้มปากก่อนจะแกล้งทำเป็นเฉตามองไปทางอื่น
“ทดสอบอะไร?”
“ทดสอบว่านายจำเรื่องของเราได้มากแค่ไหนไง" เจสส์พูดต่อ เขายังคงไม่หยุดเลิกทำหน้าเจ้าเล่ห์
“อ่า งั้นไหนลองว่ามาสิ ว่าเราญาติดีกันตอนไหน"
“ก็ตอนที่ฉันโดนพวกเพื่อนหักหลัง ฉันจำไม่ได้แล้วว่าฉันทะเลาะกับโรบิ้นเรื่องอะไร แต่ตอนนั้นฉันแทบไม่เหลือใครเลย" เจสส์หมุนตัวขึ้นไปมองเพดาน นิคเลยถือโอกาสนั้นสำรวจเขาจากมุมข้าง ทรงผมของเขายาวปรกหน้า แต่ข้างๆ ตัดสั้นบางทำให้เห็นไรจอนชัดเจน หูที่เคยแอบเจาะเด็กๆ ก็ไม่มีร่องรอยเหลืออีก ใช่ เขาจำได้ว่าเจสส์เคยเจาะหูทั้งๆ ที่เขาอายุแค่สิบขวบ เขาตั้งใจจะถาม แต่ตอนนั้นนึกเรื่องรอยต่อของเรื่องที่เราคุยกันก่อนหน้านี้ออกพอดี
“นายโดนพวกนั้นต่อยหน้าจนช้ำไปหมด" นิคเสริม เจสส์เลิ่กคิ้ว ยักไหล่ราวกับในที่สุดเขาก็จำความเจ็บปวดวันนั้นขึ้นได้
“แล้วนายก็มาเจอฉันในห้องน้ำ ในกระเป๋าของนายมีพลาสเตอร์ยา มีอุปกรณ์ทำแผล ราวกับจงใจเตรียมมา"

ตอนนั้นเองที่นิคเงียบไปครู่หนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่ทำให้เขาอยากจะหยุดพูดถึงเรื่องนั้นไว้ตรงนี้ เขาเป็นคนเดียวที่รู้ในความน่าสงสัยนั้นว่าความจริงมันคืออะไร เขามองตาเจสส์ที่เอาแต่จ้องเพดานมืดๆ นิคจำเรื่องวันนั้นได้ดี แม้ว่าเขาควรจะเกลียดเจสส์ที่เป็นคนริเริ่มฉายาน่าอายนั่นให้กับเขาแถมยังกลั่นแกล้งเขามากมายสารพัด แต่ด้วยความแข็งกระด้างและอะไรบางอย่างในตัวเจสส์ทำให้เขาได้แต่เก็บความโกรธนั้นไว้ในใจ จนเมื่อถึงวันที่เจสส์ล้ม ไม่เป็นที่ต้องการ นิคกลับเป็นฝ่ายอยากเดินเข้าไปแล้วช่วยเหลือ มันอดไม่ได้จริงๆ ที่คนจิตใจอ่อนโยนอย่างนิคจะเห็นเจสส์เต็มไปด้วยบาดแผลเดินเข้าไปนั่งห้องน้ำแล้วขังตัวเองอยู่แบบนั้น แม้ว่ามันอาจจะเป็นความอยากเข้าไปแสดงความสะใจเล็กๆ ที่เจสส์เรียนรู้ถึงความโดดเดี่ยวในที่สุด แต่แทนที่เขาจะเดินเข้าไปหาเจสส์มือเปล่า รู้ตัวอีกทีนิคก็ถือกล่องปฐมพยาบาลเข้าไปด้วย นิคทำแผลให้เจสส์ พวกเขาไม่พูดอะไรสักคำ รู้แค่ว่าเย็นวันนั้นเจสส์เดินไปส่งนิคที่บ้านพร้อมคำขอบคุณ

“ฉันแค่อยากเป็นเพื่อนกับนาย" นิคตอบ เจสส์เลื่อนสายตากลับมามองนิคก่อนจะยิ้มออกมา เพราะนั่นคือจุดเริ่มต้นที่เขานึกขึ้นได้ถึงความสัมพันธ์ของสองเรา
“นายคิดถูกแล้วล่ะ เพราะถ้าวันนั้นไม่มีนาย ฉันคงต้องแย่กว่านี้แน่" เจสส์ตอบกลับ นิคเริ่มไม่แน่ใจว่าเขาเป็นคนเดียวที่กำลังใจเต้นแรงมากๆ อยู่ตอนนี้รึเปล่า ทว่ามันค่อยๆ ช้าลงเมื่อนิคคิดถึงวันสุดท้ายที่เราเจอกัน
“แล้วมันก็แย่มากจริงๆ ตอนที่จู่ๆ นายก็ทิ้งฉันไป" นิคเม้มปาก "...โดยไม่ปล่อยให้ฉันเตรียมใจเลยสักนิด"

นิคเริ่มอดแสดงท่าทีน้อยใจออกมาไม่ได้ ยอมรับว่าวันนั้นเขาโกรธเจสส์มาก ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วไปหมด ช่วงซัมเมอร์สุดท้ายก่อนที่เราจะเรียนจบ พวกเขาสัญญาว่าจะไปเรียนต่อที่เวลส์ด้วยกันแท้ๆ แต่จู่ๆ เจสส์ก็ย้ายไปอยู่กับพ่อที่ลอนดอนกระทันหัน เขาไม่มางานพรอม ไม่มาแม้กระทั่งวันรับใบประกาศเรียนจบ วันสุดท้ายที่เจอกัน เจสส์มาหาเขาที่โรงเรียนและบอกลาด้วยคำที่บอกว่า ‘ฉันเชื่อว่าเราจะได้เจอกันอีกนิค' ...แค่นั้น

“ช่วงนั้นมีเรื่องเกิดขึ้นมากมายนิค มันเป็นช่วงเวลาที่แย่มาก" เจสส์กลืนน้ำลาย ดวงตาเขาเริ่มชื้น
“อยู่ดีๆ บ้านนายก็ถูกยึด จูดี้เอาของขวัญมาให้ที่บ้านก่อนที่ทุกคนจะเงียบหายไปหมด ไม่มีใครรู้กระทั่งที่อยู่สำหรับเขียนจดหมายถึงนายด้วยซ้ำ"
“พ่อสั่งฉันไว้น่ะ ว่าอย่าให้ที่อยู่ติดต่อกับใคร" เจสส์ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะเล่าต่อ "คืองี้นะนิค ตอนนั้นบ้านของฉันมีปัญหา จูดี้แอบเอาบ้านของเราไปจำนองกับธนาคาร พ่อทะเลาะกับแม่ เลยตัดปัญหาด้วยการจะเอาฉันไปอยู่กับครอบครัวใหม่ของเขาที่ลอนดอน เพื่อความปลอดภัยของทุกคนในครอบครัวเราเลยต้องจากเมืองไปเพื่อเริ่มต้นใหม่ที่อื่นอย่างเงียบๆ ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน แม่ก็โทรมาบอกเราว่าจูดี้ฆ่าตัวตาย"

นิครีบหันหน้าไปมองเจสส์ด้วยความรู้สึกใจหาย เขารู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองหยุดเต้นไปชั่วขณะ

"จะ..จูดี้.. ไม่จริงน่าเจสส์" เจสส์พยักหน้า เขาไม่ร้องไห้ออกมา ไม่มีความเศร้าใดหลงเหลืออยู่อีก " เจสส์ คือ..ฉันเสียใจด้วย"
นิครู้สึกเสียใจไม่น้อยเลย เพราะจูดี้เป็นคนใจดีมากๆ

เธอมักจะชอบเอ็นดูเด็กๆ เพื่อนๆ เจสส์ทุกคน โดยเฉพาะกับนิค เธอมักจะหอบของมากมายมาให้เวลาที่มาบ้านของเขา อาจจะเพราะเกรงใจที่เจสส์ชอบมาค้างที่บ้านเราบ่อยๆ ให้ตาย พระเจ้าช่างไม่ยุติธรรม.. ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านั่นคือเรื่องจริง มิน่าล่ะที่ตอนพูดถึงจูดี้ก่อนหน้านี้ แววตาของเจสส์ถึงได้ดูเศร้าเล็กน้อย เพราะส่วนหนึ่งชีวิตในวัยเด็กของเขาเติบโตขึ้นมาได้เพราะจูดี้ แม่ของเจสส์ทำงานอยู่ที่ธนาคารบาร์เคลย์ใน Glasglow ไม่ค่อยได้กลับบ้าน ส่วนพ่อของเขาก็ไปมีครอบครัวใหม่อยู่ลอนดอนตั้งแต่เขาอายุได้สี่ขวบ พอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมันอาจจะทำให้เจสส์ช็อคมากและตอนนั้นคงเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากเกินกว่าจะต้องมาอธิบายเล่าอะไรให้ทุกคนฟัง แม้ตอนนั้นสมองเขาจะทำงานเทียบเท่าผู้ใหญ่ก็จริง แต่ใจเขายังไงก็ยังเป็นแค่เด็กอายุสิบสองคนหนึ่งที่ยังไม่โตพอที่จะรับมือกับเรื่องน่าเศร้าเหล่านั้น

“มันเป็นช่วงเวลาที่ลำบาก แต่ฉันก็ผ่านมันมาได้" เจสส์ยิ้มให้กับความฝันร้ายๆ ที่เคยเกิดขึ้นของตัวเองก่อนจะหันหน้ามาสบตานิคอีกครั้ง "ฉันขอโทษที่ตอนนั้นไม่แข็งแรงพอที่จะอธิบายทุกอย่างให้นายฟัง นายคงโกรธฉันที่ไม่ทำตามสัญญาว่าเราจะสอบเข้าที่เวลล์ด้วยกัน ฉันขอโทษนะนิค"
นิคค่อยๆ ยื่นมือไปจับมือเจสส์ เขาค่อยๆ ส่ายหน้าไปมาก่อนจะตอบว่า

"ไม่เป็นไร..เพื่อน ฉันเชื่อว่านายเข้มแข็ง อย่างน้อยก็เข้มแข็งมากกว่าฉัน"

________________________________________________

เพิ่งเขียนเรื่องแรกเลยครับ ตัวละครและโลเคชั่นเป็นต่างประเทศ ฝากคอมเมนท์ ติชม ติดตามด้วยนะครับ
BloodyBear

จะรีบมาอัพตอนที่ 2 ภายในเร็ววันนี้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-06-2017 07:58:05 โดย BloodyBear »

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
บรรยายได้ดีเลย เป็นกำลังใจให้ครัช  o18

ออฟไลน์ BloodyBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
- 2 -

6.58 A.M.
ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครรู้ตัวว่าใครหลับก่อนกันไปตอนไหน เมื่อคืนพวกเขาคุยกันเยอะมากจนคิดว่าอาจจะไม่ใครก็ใครสักคนที่ละเมอเผลอพูดต่อทั้งๆ ที่ตาหลับไปแล้ว นิคเป็นฝ่ายรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก่อน เขาปวดฉี่อยากเข้าห้องน้ำจึงตัดสินใจค่อยๆ ลุกข้ามร่างเจสส์ออกไปเพราะไม่อยากปลุกให้เขาตื่น และเมื่อท้องฟ้าในหน้าร้อนสว่างจ้าผ่านหน้าต่างเร็วกว่าปกติ ส่งผลให้นิคเห็นใบหน้าขาวใสกับริมฝีปากอมชมพูระเรื่อของเพื่อนชัดยิ่งขึ้น เขาอดอมยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อนึกถึงตอนเด็กๆ ที่เจสส์มักจะนอนน้ำลายไหลยืดจนหมอนเขาเปื้อนเป็นประจำ แต่เดี๋ยวนี้เห็นทีจะไม่ละ
จะว่าไปความรู้สึกของคนที่ไม่ได้เจอเพื่อนสมัยเด็กมานานมาก พอมาเจออีกทีแล้วปรากฏว่าตอนนี้ทุกอย่างบนตัวเขาเปลี่ยนไปหมดนี่มันก็ประหลาดดีเหมือนกันนะ เจสส์ที่มีหนวดมีเครา มีโหนกแก้ม มีโครงหน้าที่ชัดขึ้น ยังไม่นับหุ่นหนาๆ กับแผงอกกว้างๆ นั่นอีก เด็กซนๆ ที่วิ่งเล่นไปมาในวันนั้นตอนนี้กลายเป็นผู้ใหญ่จริงๆ ไปแล้ว
นิคลงไปจัดการธุระของตัวเองที่ห้องน้ำข้างล่างจนเสร็จ นาฬิกาบอกเวลาเจ็ดโมงเช้า ผลพวงจากความรีบเมื่อวานทำให้เขาไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เย็น ตอนนี้เขาเลยรู้สึกหิวมากๆ นิคมองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นทุ่งหญ้า ภูเขา เดาว่าอีกไม่นานก็คงจะถึงเอดินเบอระ เมื่อกลับขึ้นไปด้านบนนิคก็พบว่าเจสส์ตื่นแล้ว เขากำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับใครสักคน นิคฉีกยิ้มบางๆ ก่อนจะข้ามร่างเขากลับไปนั่งที่เดิม เปิดม่านหน้าต่างออกและเสมองออกไป เขานึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนตั้งใจจะขึ้นไปนอนบนเปลเหนือศีรษะด้านบน แต่จะว่านอนข้างล่างก็ไม่ได้อึดอัดอย่างที่คิดหรอกนะ
“ที่รัก..เราใกล้ถึงแล้ว" ตอนนั้นเองที่นิคเป็นอันต้องละสายตาจากหน้าต่างครู่หนึ่ง ตอนที่ได้ยินว่านิคเพิ่งเรียกปลายสายในโทรศัพท์ว่า 'ที่รัก' “อ๋อ โทษที ผมลืมเล่าไปว่าผมเจอเพื่อนเก่าน่ะ ถ้าจำไม่ผิด เอ่อ ผมน่าจะเคยเล่าเรื่องสมัยเด็กๆ ให้คุณฟัง อ้อๆ เคท คุณจำคนในรูปถ่ายที่คุณถามตอนเราไปเที่ยวบ้านพ่อด้วยกัน จำได้ไหม.. เด็กผู้ชายที่ตัวเท่าๆ ผมที่ถือลูกบอลน่ะ ใช่ นิคนั่นล่ะ คุณเชื่อไหมว่าผมเจอเขาที่นี่ เขากำลังจะกลับไปฉลองวันอีสเตอร์ที่บ้าน..."
นิคหันไปยิ้มให้เจสส์ตอนที่เขากำลังพูดถึงตัวเองในโทรศัพท์ให้ปลายสายฟัง นิคไม่พูดอะไรนอกจากยิ้มแซวๆ เพราะถ้าเดาไม่ผิด เอ่อ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเจสส์คงกำลังคุยกับแฟนเขาแหงๆ อืม มีแฟนด้วยเหรอนี่ เมื่อคืนไม่เห็นพูดถึงเลยแฮะ นิคคิด
“แล้วคุณถึงบ้านยังล่ะ.. แม่ว่าไงบ้าง ว้าว เยี่ยมไปเลย ผมคิดถึงคุณจังเลยที่รัก โอ้ๆๆ โอเคได้ ไว้คุยกันครับ" เจสส์รีบกดวางโทรศัพท์หลังจากพบว่าปลายสายน่าจะขอตัวไปทำอะไรสักอย่าง นิคแกล้งทำเป็นตั้งใจหันมองออกไปนอกหน้าต่างเพราะกลัวถูกจับได้ว่าตัวเองแอบฟัง
“แฟนเหรอ" ตอนนั้นเองที่นิคเผลอหลุดถามขึ้นลอยๆ เขาแทบจะตีหัวตัวเองที่ปากไวกว่าใจคิด แหม ถ้าเงียบสิแปลก
“เสียมารยาทนะแอบฟังเนี่ย" เจสส์ตอบกลับ นิคหันไปมองเพื่อนที่ทำเป็นกดโทรศัพท์มือถือเก้อเขิน
“ไม่ต้องแอบก็ได้ยินหมดนั่นล่ะ ไหน ยังไง อย่าช้า เล่ามาเดี๋ยวนี้" เจสส์หัวเราะขำไม่หยุดตอนที่ถูกเพื่อนเก่าซักไซร้
“ก็เปล่าหรอก ฉันคบกับเคทมาได้สองปีละ วางแผนไว้ว่าอาจจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้ด้วย แต่ก็..ไม่รู้เหมือนกันแฮะ" ตอนนั้นเองที่นิครู้ว่าสีหน้าของเจสส์เปลี่ยนสีขึ้นมาเสียดื้อๆ ทั้งๆ ที่การพูดเรื่องการแต่งงานกับแฟนสาวของเขาน่าจะเป็นเรื่องดีใจสิ
“ยินดีด้วยนะเพื่อน" นิคไม่อยากถามต่อเลยตัดบทไปซะ ส่วนเจสส์ก็กดโทรศัพท์มือถือต่อไป จนเหมือนเขาพิมพ์ข้อความหาใครสักคนเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะยิงคำถามกลับ
“แล้วนายล่ะ มีแฟนรึยัง" นิครู้สึกเหมือนใบหน้าร้อนผ่าว ใจสั่นราวกับตัวเองถูกจีบ
“ยัง" เขาตอบหลังจากได้สติและพบว่าคนตรงหน้าคือเจสส์ และเขาเป็นเพื่อน ไม่ใช่คนในผับ ไม่ใช่คนแปลกหน้าพวกนั้น
“ทำไมอย่างนั้นล่ะ แล้วก่อนหน้านี้ไม่คบใครเลยเหรอ" เจสส์ถามต่อ คราวนี้นิครู้สึกเริ่มสะอิดสะเอียนขึ้นมาเล็กน้อย
“ก็มีบ้างนะ แต่ไม่ค่อยคบกับใครได้นานหรอก" นิคยิ้ม เจสส์เบ้ปากก่อนจะพยักหน้าขึ้นลง
“มีความรักมันก็ดีนะนิค มันทำให้แต่ละวันผ่านไปแบบไม่เหนื่อยมาก บางทีเราก็ต้องการใครสักคนคอยอยู่เป็นเพื่อน คอยรับฟังปัญหาซึ่งกันและกัน คอยถามว่าทำอะไร กินข้าวยัง คอยปรับทุกข์หรือไม่ก็สุขไปด้วยกัน" เจสส์พูดทั้งๆ ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม นิคอดยิ้มตามไม่ได้ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อสมองของเขาค่อยๆ หมุนกลับมาคิดถึงเรื่องของตัวเอง
“ฉันดีใจที่นายเจอแต่ความรักที่ดีนะ" นิคพูดขัด เจสส์เลิ่กสายตากลับมามองเขา "สำหรับฉันความสุขตอนนี้มันคงกลายเป็นการอยู่กับตัวเองไปแล้ว บางทีการมีความรักมันก็เหนื่อยตรงที่เวลาต้องวิ่งตามอะไรสักอย่างที่ไม่มีวันเป็นของเรานี่แหละ"
“แบบนั้นไม่ได้เรียกว่าความรัก นิค" เจสส์สวนกลับ
“คงงั้น เพราะแบบนี้ฉันเลยรู้สึกชอบอยู่คนเดียวมากกว่า มันเหมือนได้ฟังเสียงตัวเองตลอดเวลา อยากทำอะไรก็ทำ ได้ใช้ชีวิตจริงๆ" นิคตอบ เจสส์ยิ้มก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ เขาไม่ถามอะไรต่อเพราะกลัวว่ามันจะกลายเป็นเรื่องดราม่า
“ฉันหวังว่านายจะเจอความรักที่ดีนะนิค"
“ขอบใจ เพื่อน" นิคตอบ เจสส์ยกมือขึ้นเกาจมูกตัวเอง นิคที่ไม่อยากให้บรรยากาศมันอึดอัดก็เลยรีบตัดบทเปลี่ยนเรื่อง "ว่าแต่นาย.. นายยังไม่บอกฉันเลยว่านายกลับไป Skye ทำไม"
ทันทีที่ได้ยินคำถามนั้นเจสส์ก็เหมือนชะงัก เงียบไปครู่หนึ่ง นิคได้แต่มองไปที่เขาด้วยสีหน้าสงสัย
“ฉันแค่อยากไปเที่ยวน่ะ" เจสส์ตอบ "ฉันอยากจะกลับไปที่นั่นหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่มีโอกาสสักที อีสเตอร์นายกลับบ้านทุกปีเลยรึเปล่า"
“ก็ทุกปีนะ" นิคตอบอย่างนิ่งๆ
“น่าเสียดาย ฉันน่าจะกลับไปที่นั่นตั้งนานแล้ว จะได้เจอนายที่นั่น ไม่ปล่อยให้ความคิดถึงมันทำงานหนักขนาดนี้" เจสส์หัวเราะ ในขณะที่นิคเริ่มรู้สึกขำไม่ออก อาจจะเพราะเขาเป็นคนจับสีหน้าคนออกง่ายๆ ว่าใครพูดจริงไม่จริงใครโกหกไม่โกหก อย่างเจสส์นี่เขารู้สึกว่าสิ่งที่เขาตอบนั้นมันแปลกๆ เหมือนนั่นไม่ใช่เหตุผลที่เขากลับไปที่นั่นจริงๆ
“นายคิดถึงฉันจริงๆ เหรอ" นิคถามต่อ ตอนนั้นเองที่เจสส์ส่ายหน้าไปมาก่อนจะเสมองต่ำไปที่พื้น
“ฉันคิดถึงนายมากเลยนิค ไม่งั้นฉันจะดีใจมากขนาดนี้เหรอที่เจอนายเมื่อคืน" เจสส์ตอบ ตอนนั้นเองที่เราพบว่ารถเลี้ยวเข้าจอดที่สถานีปลายทางพอดี ให้ตายเถอะ เร็วชะมัด เจสส์ดูนาฬิกาก่อนจะลุกขึ้นเพื่อเตรียมหยิบสัมภาระ ก่อนจะพูดตัดอารมณ์ของนิคที่ยังคงสับสนอะไรหลายอย่าง "โอ้ เรามาถึงเร็วกว่ากำหนดนะเนี่ย ดีชะมัด ไปกันเถอะเพื่อน"

30 นาทีต่อมา
อากาศเช้านี้ที่เอดินเบอระดีถึงขั้นดีมาก มีแดดท้องฟ้ากระจาย ตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะไปขึ้นรถต่อเพื่อนั่งขึ้นเหนือกลับบ้านเลย แต่โชคดีที่เจสส์บอกว่าเขาได้เช่ารถไว้แล้วและตั้งใจจะขับไป Skye พอดี จึงขออาสานำนิคกลับบ้านด้วย นิคนั่งเล่นโทรศัพท์ เช็คนู่นนี่เรื่อยเปื่อยที่สถานีสักพักระหว่างรอเจสส์ไปเอารถที่อีกที่หนึ่ง จนกระทั่งเจสส์กลับมาพร้อมกับรถ Mecedes-Benz ที่เขาติดต่อเช่าไว้
“เอาล่ะ เราจะไปกินอะไรกันดี" เจสส์ถาม นิคสำรวจเพื่อนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับ เขาอดออกเสียงวู้วพึมพำในใจแทบไม่ได้ เพราะเจสส์ช่างในรถ Mecedes-Benz สีดำขลับคันนี้ช่างเท่เหลือเกิน
“เช้าๆ แบบนี้เห็นทีจะหาร้านดีๆ เปิดแล้วยากหน่อย"
“ตะกี๊ฉันขับรถผ่านร้านตรงมุมถนนหนึ่งมา เป็นอาหารไทย น่ากิน นายชอบอาหารไทยไหม" ตอนนั้นเองที่นิคเริ่มตาเป็นประกาย
“ฉันรักอาหารไทย! นั่นมันเฟอร์เฟ็ค" นิคตอบอย่างไม่คิด
“แต่มันคงไม่ทำให้ท้องไส้เราปั่นป่วนระหว่างทางใช่ไหม" เจสส์พูดขณะคิดถึงต้มยำกุ้งที่เคยเล่นงานเขามาแล้วถึงสองครั้ง
“เอ่อ นั่นสิ หรือว่าเราจะขับไปเลยดี แล้วหาอะไรกินตอนถึงไฮแลนด์" ตอนนั้นเองที่นิคเสนอไอเดียออกมา เจสส์หันมามองเขาก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย "แต่ตอนนี้ขออะไรรองท้องก่อนนะ ขับตรงไปข้างหน้าจะมีซุปเปอร์มาร์เก็ตอยู่ นายว่าไง"
“โอเคได้ ฉันสบายอยู่แล้ว"
สิบนาทีต่อมานิคกับเจสส์ก็ได้อาหารมากินรองท้องระหว่างทางในที่สุด พวกเขาขับรถออกจากเมืองก่อนจะมุ่งหน้าขึ้นเหนือเพื่อเป็นเส้นทางกลับบ้านทันที เนื่องจากเจสส์ต้องขับรถ นิคเลยต้องเป็นคนป้อนอาหารให้ สำหรับเจสส์อาจจะไม่คิดอะไร แต่นิคนี่สิ.. อยู่ใกล้กันไม่เท่าไร แต่กำลังกลับไปในที่ที่เคยมีความทรงจำมากมายร่วมกันนี่สิ แค่เห็นป้ายบอกทางมุ่งหน้าไปไฮแลนด์เขาก็รู้สึกใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก
“นี่นิค นายว่าเราจะพอมีเวลาเที่ยวไหม" ตอนนั้นเองที่เจสส์พูดขึ้น เสียงเพลงจากวิทยุกำลังเล่นเพลงเก่าๆ ของ The Rolling Stones นิคที่กำลังฮัมเพลงเสมองดูวิวนอกหน้าต่างก็เป็นอันต้องชะงัก
“นายอยากเที่ยวไหน" นิคถาม
“เปล่าหรอก ฉันกลัวว่านายจะกลับไปฉลองกับครอบครัวไม่ทัน"
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก นายอยากไปไหนว่ามาเลยดีกว่า" นิคพูด เอาจริงๆ เขารู้สึกดีใจด้วยซ้ำตอนที่เจสส์เสนอความคิดนั้น เพราะปกติเวลาเขากลับบ้านก็จะนั่งรถประจำทางต่อยาวไม่ได้แวะไหนเลย แต่คราวนี้มีเจสส์ที่เช่ารถขับมาด้วยก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้เที่ยวไปในตัว ดูด้านนอกนั่นสิ สองข้างทางนี้สวยแค่ไหนก็ทำได้แค่มอง รถประจำทางไม่เคยจอดให้ลงไปถ่ายรูปกับเขาหรอก นิคคิด
“ตามหาเนสซีที่ทะเลสาบล็อคเนสส์ เป็นไงไอเดียนี้" เจสส์ยิ้ม นิคยิ้มตาม ก่อนที่ทั้งคู่จะอ้าปากค้าง
“ให้ตาย ฉันนึกว่านายจะลืมมันไปซะแล้ว"
“ฉันจะลืมมันได้ยังไง นั่นเป็นความทรงจำในวัยเด็กที่เยี่ยมยอดที่สุดเลยนี่" เจสส์กลั้วเสียงหัวเราะขณะเริ่มคิดถึงภาพวันวาน ภาพที่พวกเขากระโดดขึ้นรถหนีเที่ยวกันไปสองคน "อ้อ แล้วก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่เราสองคนเกือบตายด้วย คงลืมยากอยู่หรอก"
“ความเป็นเด็กนี่มันบ้าจริงๆ เลยนะ" นิคแทบกรีดร้องออกมาตอนนึกถึงเรื่องนั้น
พวกเขาน่าจะสักเกรดเจ็ดเห็นจะได้ วันนั้นที่โรงเรียน วิชาประวัติศาสตร์ ครูไมก้าพูดถึงเรื่องทะเลสาบล็อคเนสส์ให้เด็กๆ ฟัง มีคนมากมายร่ำลือกันว่ามีผู้พบเห็นเจ้าสัตว์ประหลาดมีลักษณะคล้ายๆ เพลสิโอซอรัส หรืออีลาสโมซอรัส สัตว์เลื้อยคลายที่อาศัยอยู่ในยุคเดียวกับไดโนเสาร์ พวกเขาเรียกกันว่าเจ้าเนสซี ซึ่งในปี 1933 มีคนเห็นเยอะมาก ทำให้เกิดการค้นคว้าจริงจังแต่ก็น้อยคนที่จะพบหลักฐานอะไรเพิ่มเติม ซึ่งเรื่องนี้ดึงความสนใจกับนิคและเจสส์ไปเต็มๆ พวกเขาใช้เวลาเป็นอาทิตย์ในการค้นคว้าเรื่องนี้ จนจู่ๆ เจสส์ก็ยื่นข้อเสนอว่าพวกเขาจะแอบหนีไปที่นั่นเพื่อตามหาเนสซีด้วยกัน
“ตลกชะมัด ฉันโดนจูดี้เล่นงานครั้งใหญ่ พวกพ่อกับแม่นายก็ขับรถหาพวกเราทั่วเกาะ ให้ตายเถอะ พวกเราทำแบบนั้นกันได้ยังไงกันนะ" เจสส์พูด
แน่ล่ะ เมื่อความคิดแบบเด็กๆ มันตะเลิดไปกันใหญ่ พวกเขาโกหกครูไมก้าว่าจะขอติดรถไปลงที่สถานีเพื่อขึ้นรถไปยังที่นั่นด้วยเงินเก็บทั้งหมดที่มี (บวกกับเงินที่เจสส์ขโมยจากจูดี้มาจำนวนหนึ่ง) ทั้งสองอ้างครูไมก้าว่าจะไปเจอพ่อที่นั่น ให้ตาย โชคดีแค่ไหนที่พวกเขารอดกลับมาได้ ซึ่งพอนึกถึงความลำบากนั้นพวกเขาก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาด้วยความไม่เอาไหนของตัวเอง
“ถ้าจำไม่ผิด ครูไมก้าหัวเสียใหญ่ตอนที่จับได้ว่าพวกเราโกหก" นิคเสริม
“ใช่ๆ ถ้าเป็นตอนนั้นคงขำไม่ออกหรอก เป็นไงล่ะ ภารกิจตามล่าหาเนสซี ทำเอาเกือบไม่ได้กลับบ้านอีกเลยแน่ะ"
นิคคิดถึงภาพในวันที่พวกเขาขึ้นรถไปถึงแล้วติดต่อหาตั๋วขึ้นเรือเพื่อไปสำรวจทะเลสาบ แต่เมื่อไปถึงอีกฝั่งพวกเขาก็หลงหาทางกลับไม่ถูก แถมด้วยความซุกซนของเจสส์ เขาพานิคไปเดินสำรวจเลาะชายฝั่งต่ออีกหวังว่าจะได้เห็นเนสซีสักตัว จนเวลาล่วงเลย เขากลับมาที่ท่าเรือและไม่เจอใครอีก อุทยานปิด พวกเขาสิ้นหวังคิดจะนอนที่นั่น ทำเอาเกือบตายกว่าพวกพ่อแม่นิคและจูดี้จะมาตามพวกเขาเจอ
“เปิดดูแผนที่หน่อยสิ อีกนานไหมกว่าจะถึง" เจสส์พูดก่อนจะตบไฟเลี้ยวชิดซ้ายเพื่อจะเลี้ยวไปอีกทาง
“ไม่ไกลหรอก สักสองชั่วโมงจากตรงนี้ก็ถึงแล้ว" นิคตอบ เขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“งั้นเราค่อยไปหาอะไรกินแถวนั้นก็ได้ ถึงบ้านค่ำหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง" นิคพยักหน้าตอบเจสส์ อีกฝ่ายเปลี่ยนทิศทางเดินรถทันที จะว่าไปการเดินทางกลับบ้านครั้งนี้มันสนุกไม่น้อยเลยจริงๆ พวกเขาต่างพากันคิดเล่นๆ ว่าจะกินอะไรที่นั่นดีและดูเหมือนเมื่อทั้งคู่นึกคำตอบได้พร้อมกัน ก็ตะโกนออกมาทันที
“ฟิชแอนด์ชิพ!”

1 ชั่วโมงต่อมา
พวกเขาใช้เวลาอยู่แถวทะเลสาบมาได้สักพักแล้ว
หลังจากที่เจสส์จอดรถได้ พวกเขาก็ลองเดินสำรวจกลับไปตรงที่ที่พวกเขาเคยหลงตรงอีกฟากของท่าเรือ เนื่องจากเวลามีจำกัด พวกเขามีเวลาไม่มากพอในการไปขึ้นเรือหรือเที่ยวแถวๆ ประสาทตรงอุทยานอีกฝั่งหนึ่ง พวกเขาก็เลยมาโผล่อยู่ที่แถวๆ Fort Augustus ซึ่งเป็นจุดปลายสุดทะเลสาบ Loch Ness พวกเขาเพิ่งแวะเข้าไปในร้านขาย Fish & Ship ร้านเก่าที่เคยหลงไปกินตอนนั้น นิคเคยบ่นว่ามันไม่อร่อยเอาซะเลย แต่เพื่อบรรยากาศพวกเขาจึงต้องจำใจกลับไปซื้อมันแล้วเทคอะเวย์มานั่งกินแถวริมน้ำตรงนี้ เพื่อให้การรำลึกความหลังสมบูรณ์ที่สุด
“โห อร่อยขึ้นนะ" นิคพูดขึ้นหลังจากที่เขากัดปลาเข้าไปคำแรก "ตอนนั้นจำได้ว่าฉันแทบคายทิ้งแล้วโยนให้นายกินจนหมด" นิคว่าต่อ
“ใช่ จริงๆ ฉันว่ารสชาติมันก็ธรรมดาเหมือนเดิมนะ แปลกที่จู่ๆ วันนี้มันก็อร่อยขึ้นมาสำหรับนายซะงั้น ฮ่าๆ" เจสส์ว่าต่อ ทั้งคู่กำลังลงมือกินอาหารพร้อมชมวิวภูเขาแม่น้ำใส และท้องฟ้าในหน้าร้อนก็เปิดกว้างให้ไออุ่น อากาศสดชื่นดีมาก
“สงสัยเพราะหิว" นิคตอบ
“แต่ตอนนั้นเราก็หิวมากนะ" เจสส์ไม่จบ
“เอาเถอะน่า ลิ้นฉันอาจจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลาก็ได้" เจสส์ขำอยู่ในใจ ทั้งคู่ปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่พร้อมกับสายลมที่พัดกลิ่นหอมของดอกหญ้าที่ขึ้นตามข้างทาง ระหว่างที่นิคกำลังหิวอยู่นั้นเจสส์ก็ให้เวลาตัวเองในการสำรวจเพื่อน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเพิ่งสังเกตว่าเด็กที่เงียบๆ เนิร์ดๆ อย่างนิคในวันนั้นจะโตขึ้นและดูดีขึ้นมากขนาดนี้ เขามีผมแดง ผิวขาวฝาดและดวงตาสีน้ำตาลอ่อนตามแบบฉบับหนุ่มอังกฤษเด๊ะ ถ้าจำไม่ผิดนิคน่าจะเคยเล่าให้ฟังว่าก่อนย้ายมาอยู่ที่ Skye เขาเคยอยู่เมืองแมนเชสเตอร์ บรรพบุรุษละญาติๆ เขาอยู่ที่นั่นหมด แต่ด้วยความที่พ่อกับแม่เขาเป็นพวกรักสงบเลยตัดสินใจขายบ้านทอดตลาดแล้วย้ายมาอยู่ที่นี่แทน
เมื่อก่อนนิคอาจจะสูงกว่าเจสส์นิดหนึ่งแต่ตอนนี้ถ้ายืนเทียบกันแล้วเจสส์กลับแซงลิ่ว ในขณะที่นิคผอมกระหร่อง ขายาวลีบ แต่กลับดูน่ารัก เจสส์มักชอบมองเวลานิคยิ้ม เพราะเขามีลักยิ้มเล็กๆ บุ๋มลงไปตรงข้างซ้าย ยิ่งเขาผอมเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเห็นชัดขึ้นมากเท่านั้น ตอนเด็กๆ เจสส์มักจะชอบใช้นิ้วตัวเองไปจิ้มที่แก้มนิคบ่อยๆ เพราะรู้สึกสนุกดี
“ทำอะไรของนายน่ะ" ตอนนั้นเองที่นิคเผลอพูดทักตอนเงยหน้าขึ้นมาเห็นเจสส์กำลังใช้นิ้วตัวเองจิ้มไปทางเขา
“ไหนนายลองยิ้มหน่อย ฉันไมได้เล่นแก้มนายมานานแล้ว" เจสส์ว่า นิครีบหันหน้าหนีทันที
“เล่นอะไรของนาย เราไม่ใช่เด็กๆ กันแล้วนะ!” นิคเขยิบตัวถอยไปอีก เจสส์หัวเราะก่อนจะชักนิ้วกลับไป
“ก็ฉันไม่มีเหมือนนายนี่" เจสส์เอานิ้วมาจิ้มแก้มตัวเองก่อนจะลงมือทานอาหารต่อจนหมด
นิคที่เริ่มอิ่มก็เริ่มเขี่ยปลากับมันฝรั่งในกล่อง พอเจสส์เหลือบสายตาไปเห็นเท่านั้นแหละ
“เพราะงี้สินะ ถึงได้ผอมแห้งกระหร่องแบบนี้เนี่ย" เจสส์เอื้อมมือไปหยิบกล่องอาหารจากมือนิคมาทานต่อโดยเร็ว นิคได้แต่ยิ้มออกมาเพราะเจสส์กินเยอะแบบนี้เสมอ แล้วเวลานิคกินเหลือเขาก็มักจะเอาของนิคไปกินต่อจนหมด (เช่นเดียวกับยี่สิบปีก่อน ที่นี่ตรงนี้แหละ) นิคมองเพื่อนของเขาที่กำช้อนแน่นเหมือนยักษ์และรีบยัดฟิชแอนด์ชิพเข้าปากโดยเร็ว กระทั่งตอนนั้นเองที่นิคคิดอะไรบางอย่างออก เรื่องก่อนหน้านี้ที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจของเขา
“เจสส์" นิคเรียกชื่อคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ อีกฝ่ายยังคงจดจ่ออยู่กับการกิน "ฉันขอถามอะไรหน่อยสิ"
“ว่าไง" เจสส์ตอบด้วยท่าทางมูมมาม
“นายไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่ในใจฉันใช่ไหม" นิคถามออกไปในที่สุด เจสส์ชะงักนิ่ง เขาวางกล่องอาหารลงค่อยๆ เคี้ยวอาหารที่เหลืออยู่ในปากขณะที่สายตามองลงไปที่พื้น
“ทำไมเหรอ"
“นายไม่ได้ตั้งใจมาที่นี่เพื่อแค่ชมาเที่ยวใช่ไหม" นิคถามต่อ เจสส์หยุดคิดครู่หนึ่ง
“ทำไมคิดงั้นล่ะ ฉันก็ตั้งใจกลับไปที่นั่นเผื่อว่าจะได้เจอนายนี่ล่ะ" เจสส์พูดต่อ "แต่โชคดีที่ดันเจอนายตั้งแต่อยู่บนรถ"
“มันไม่บังเอิญไปหน่อยเหรอ" นิคย่นคิ้ว ตอนนี้เขาเหมือนจะจับสัญญาณอะไรบางอย่างได้
“นายต้องการจะสื่ออะไร" เจสส์เงยหน้าขึ้นมอง
“เปล่าหรอก ฉันแค่รู้สึกเหมือนมันมีอะไรมากกว่านี้น่ะ จู่ๆ ฉันก็ได้มาเจอนายขึ้นรถกลับ Skye ด้วยกัน นายบอกว่าจะไปเที่ยวที่นั่นทั้งๆ ที่ตลอดหลายปีนายไม่เคยกลับไปเลย อะไรกันเจสส์... อะไรกันแน่ อะไรที่ทำให้นายอย่างกลับไปที่นั่น" ทันทีที่พูดจบ เจสส์ก็เงียบ นิ่งค้างไปเลย สีหน้าเขาเหมือนคนจนตรอก ราวกับเพิ่งโดนจับโทษฐานผิดร้ายแรง แต่มันไม่ใช่ มันแค่เป็นเรื่องที่ทำให้เขารู้สึกว่ายากเกินกว่าที่จะตอบออกไปตรงๆ
“ฉันรู้สึกแย่นิค" ตอนนั้นเองที่เจสส์ตอบด้วยน้ำเสียงที่เย็นที่สุด "ฉันกำลังจะแต่งงาน"
นิคตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ เขากำลังทำใจรับมือด้วยความหวังว่ามันจะไม่ใช่เหตุผลร้ายแรงมากนัก "ฉันรู้เจสส์ แล้วปัญหาของนายมันคืออะไร"
“สองเดือนก่อน ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะทำแบบนั้นเลย แต่มันมีข้อความโทรศัพท์มือถือ พระเจ้า.. ฉันเลยตั้งใจเปิดมันทั้งๆ ที่มันเป็นของของเธอ.. นิค นายรู้ไหมว่าฉันเจออะไร" ตอนนั้นเองที่จู่ๆ เจสส์ก็รู้สึกตัวสั่น เสียงสั่นขึ้นมา นิคเหมือนจะโล่งใจไปนิดหน่อยเพราะปัญหาของเจสส์ไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น เพียงแต่มันเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ และนิคเองก็รู้ว่าเจสส์เข้มแข็งมากพอที่จะรับมือกับมันได้มากจนถึงตอนนี้ อย่างน้อยนิคก็รู้สึกดีที่เพื่อนเก่ายังเชื่อใจเขาด้วยการช่วยแบ่งรับความอ่อนแอนี้ได้
“เจสส์..” นิคยื่นมือเข้าไปจับเพื่อน เขาหลับตาพริ้มน้ำตาของลูกผู้ชายที่ตื้นอยู่ที่ตาไหลออกมา
“ในโทรศัพท์ของเคทมีแต่แอพพลิเคชั่นหาคู่ เธอคุยกับคนไปทั่ว และมีการนัดเจอเป็นเรื่องเป็นราว ให้ตาย สองปีแน่ะนิค! เธอทำเหมือนสองปีของเราเป็นเรื่องของคู่รักสมัยมัธยมไปซะฃ ฉะ...ฉันไม่รู้จะทำไง ฉันกลัวเสียเธอไป เลยต้องทำเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้น เหมือนฉันไม่เห็นมัน นายเข้าใจฉันใช่ไหม ฉันเสียเคทไม่ได้" เจสส์ร้องไห้ออกมา กว่าจะรู้ตัวอีกทีเขาก็ระบายความทุกข์ออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“แต่นายจะทนกับความสัมพันธ์แบบนี้ไม่ได้เจสส์ นายบอกฉันเองว่าแบบนี้ไม่ได้เรียกว่าความรัก ความรักคือสิ่งที่คนสองคนมีให้กันอย่างยุติธรรม ทั้งสองฝ่าย" นิคพูดต่อ เจสส์ส่ายหน้าไปมา
“นายไม่เข้าใจนิค ความรักมันคือการแบ่งปัน ถ้าตัดเรื่องนี้ออกไปได้ เคทคือแฟนที่ดีคนหนึ่งที่ฉันต้องทนไม่ได้ถ้าเห็นว่าเราเลิกกันแล้วเธอจะมีคนอื่น ฉันแค่ไม่อยากให้เคทใช้ชีวิตแบบนี้ แล้วฉันก็ไม่อยากสูญเสียเธอ แต่ถ้าฉันพูดเรื่องนี้ เธอต้องหัวเสียแล้วไล่ฉันไปแน่ๆ ทั้งๆ ที่คนผิดไม่ใช่ฉันด้วยซ้ำ" เจสส์ร้องไห้ออกมาไม่หยุด ราวกับคนที่แบกรับเรื่องพวกนี้มานานสองเดือนเต็ม ราวกับคนที่ไม่สามารถระบายความเจ็บปวดใดๆ ให้ใครฟังได้ถ้าคนนั้นไม่สามารถเยียวยาเขาได้ เช่นเดียวกับนิค เพื่อนในวัยเด็กของเขาที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคนทำหน้าที่นั้น "แล้ววันหนึ่งฉันก็เจอรูปถ่ายของนาย...รูปถ่ายของเราที่นั่น"
“นายก็เลยตัดสินใจมาที่ Skye งั้นเหรอ" นิคถาม เจสส์พยักหน้า
“ฉันทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เจอนายอีกครั้ง นิค..นายเป็นเหมือนความฝันในเด็กของฉันที่หายไป นายเป็นเหมือนคนที่ฉันรู้สึกเสียดายยี่สิบปีก่อนหน้านี้ที่มันไม่มีนายอยู่เลย ฉันขอโทษนิคที่ไม่เคยพยายามติดต่อ ฉันพยายามแล้ว ฉันคิดถึงนาย ฉันอยากเจอนายเหลือเกิน ฉัน..”
นาทีนั้นเองที่นิคไม่พูดอะไรอีกนอกจากยื่นหน้าเข้าไปแล้วประทับริมฝีปากลงบนปากของเจสส์ เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำอะไรอยู่ แต่เมื่อเจสส์ได้สติเขาก็รีบผลักเพื่อนของเขาออกไปทันที ต่างฝ่ายรู้สึกเหมือนตัวเองหูดับ โดยเฉพาะนิคที่เหมือนได้ยินเสียงตี๊ดดังวนไปมาอยู่ในหัว นี่เขาทำอะไรลงไปเนี่ย
มัน...ไม่ทันแล้ว
“ฉันชอบนายเจสส์" นิคพูดปิดท้าย เขาเอื้อมมือไปหยิบกล่องอาหารทั้งของตัวเองและของเจสส์มาเก็บใส่ถุงก่อนจะขึ้นรถเพื่อเก็บกลับเอาไปทิ้ง เขาปิดประตูและนั่งรออยู่ในรถอย่างเงียบๆ ในขณะที่เจสส์ยังคงนั่งหันหลังนิ่งค้างอยู่ที่เดิมปล่อยให้ความคิดทำงานไปเรื่อยๆ จนกว่าเขาจะแน่ใจว่าเมื่อกลับขึ้นไปบนรถแล้ว เขาจะไม่ต่อยหน้าเพื่อนเก่าของเขาทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าทั้งหมดนี้เป็นคำตอบที่เขาเฝ้าถามมาตลอด
And it was yes.
ตลอดเส้นทางไม่มีบทสนทนาใดอีกนอกจากความเงียบ นิคต้องข่มตาให้หลับ แม้ว่ามันจะเป็นอาการหลับๆ ตื่นๆ แต่ถึงตื่นเขาก็ต้องฝืนหลับเพื่อไม่ให้เจสส์รู้สึกว่าลมหายใจของเขาเป็นสิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายต้องลำบากใจ ทุกครั้งที่นิคลืมตาเขาก็จะเห็นภาพเจสส์สะท้อนกระจก สีหน้าของเจสส์ปกติดีแต่นิคก็ไม่กล้าที่จะเสี่ยงหันไปมองอยู่ดี ทางฝ่ายเจสส์ก็ได้แต่ตั้งสติสมาธิ ตลอดทางที่เขาขับรถผ่านมีแต่อะไรที่น่าสนใจจนอยากจะหันไปสะกิดคนข้างๆ ให้ตื่นขึ้นมามอง เมื่อสักครู่เขาเพิ่งเห็นกลุ่มเด็กๆ ถือตะกร้าเริ่มเก็บไข่อีสเตอร์ตามบ้าน ซึ่งพอทำท่าจะสะกิดก็ต้องชะงักอยู่บ่อยๆ จนเริ่มหงุดหงิด เขาพยายามแล้ว พยายามแล้วจริงๆ แต่จะไม่ให้หยุดรำลึกอดีตได้ไง ในเมื่อตลอดเส้นทางจากนี้มีแต่ความทรงจำระหว่างเรา

_______________________

โปรดติดตามตอนต่อไป ตอนสุดท้ายแล้ว
ฝากเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
รอตอนจบ จะซึ้งหรือจะเศร้าเดาไม่ออก  :hao5:

ออฟไลน์ BloodyBear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
- 3 -

6.34 P.M.
นิคตื่นขึ้นมาอีกทีตอนที่พบว่ารถเพิ่งจอดได้สนิท เขามองไปรอบๆ และพบกับสถานที่ที่ดูคุ้นเคย ท้องฟ้าในหน้าร้อนยังคงสว่างจ้าจนกว่าจะถึงเวลาสามทุ่ม เขาได้ยินเสียงเจสส์เปิดประตูลงจากรถ นิคเลยลงตาม พ่อกับแม่ของนิคเดินออกมาจากคอทเทจหลังสีขาวสะอาดเป็นการต้อนรับ สีหน้าพวกเขาดีใจปนสงสัยเนื่องจากนิคไม่ได้บอกล่วงหน้าว่าจะพาเพื่อนมาด้วย
“สวัสดีครับ จำผมกันได้ไหมครับ ป้าแมรี่ ลุงจอร์จ ผมเจสส์หลานยายจูดี้ที่เคยมาอยู่ที่นี่บ่อยๆ ตอนเด็กๆ" เมื่อเจสส์ไปถึง เขาก็รีบแนะนำตัวพ่อกับแม่นิคทันที ผู้ใหญ่ทั้งสองพอได้ยินแบบนั้นก็ตากว้างอ้าปากค้าง "จำผมได้ไหมครับ" เจสส์ถามย้ำ
“โอ้มายก็อต! นี่เจสส์เหรอ พระเจ้า โตเป็นหนุ่มซะจนฉันแทบจำไม่ได้" ป้าแมรี่หรือแม่ของนิคยกมือขึ้นทาบปากตัวเองใหญ่ ราวกับว่าเธอเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่ายังมีเด็กคนนี้อยู่บนโลกอีกเหรอ
“เจสส์! ทำไมลุงจะจำแกไม่ได้ล่ะ เหมือนวันนั้นแกเพิ่งวิ่งเล่นกับนิคอยู่ตรงในโรงม้าหลังบ้านเราเอง" ลุงจอร์จว่าต่อ พวกเขาดูตื่นเต้นผสมตกใจไม่น้อยที่จู่ๆ ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่หายไปนานจากเมืองมาปรากฏตัวที่นี่อีกครั้งในคืนวันอีสเตอร์
“อ้าวนิค ทำไมไม่บอกแม่ก่อนล่ะว่าเจสส์จะมาด้วย แม่จะได้เตรียมตัวถูก ให้ตายเถอะ แกนี่มันไม่ได้เรื่องเลย" ป้าแมรี่บ่นใหญ่ตอนที่แอบใช้มือขยำกล้ามแขนของเจสส์ที่ใหญ่จนน่าจับ ทว่าก่อนที่นิคจะพูดอะไร เจสส์ก็ตอบแทนทันที
“เอ่อ ไม่เป็นไรครับ พอดีผมบังเอิญเจอนิคที่ลอนดอน เราเลยนั่งรถกลับมาด้วยกัน" เจสส์ตอบ ตอนนั้นที่เขารู้สึกได้ว่าป้าแมรี่กับลุงจอร์จกำลังจะชวนเขาเข้าไปด้านใน เลยรีบตัดบท "เดี๋ยวผมอาจจะต้องไปธุระในเมืองต่อ จองโฮสเทลไว้แล้วด้วย อาจจะรบกวนคุณป้ากับคุณลุงแค่นี้ล่ะครับ" สิ่งที่เจสส์เพิ่งพูดทำเอานิครู้สึกแย่ขึ้นมาทันที ตอนแรกเขาคิดว่าเจสส์ตั้งใจมาหาเขาที่บ้านแล้วค้างที่นี่เหมือนตอนเด็กๆ ซะอีก แต่เพราะเรื่องที่เขาเพิ่งพูดไปน่ะเหรอที่ทำให้เจสส์ต้องอึดอัด เพราะเขาใช่ไหมที่ทำให้แผนการกลับมาเจอกันอีกครั้งในฐานะเพื่อนเก่าต้องพังทลายลง
“รบกวนอะไรล่ะ ป้าต้องขอบใจเจสส์มากกว่าที่อุตส่าห์ขับรถมาส่งนิคถึงนี่เลย แล้วนี่ไม่อยู่ทานอะไรด้วยกันก่อนเหรอ หรือจะค้างที่นี่เลยก็ได้นะ ห้องนิคทุกอย่างยังจัดวางไว้ที่เดิม เผื่ออยากรำลึกความหลังวัยเด็ก..." นิคแทบอยากจะวิ่งเข้าบ้านไปเสียบัดนั้น เขาถอนหายใจออกมาก่อนจะเดินไปเปิดกระบะหลังรถแล้วหยิบกระเป๋าเดินทางของตัวเองออกมาก่อนจะเตรียมลากเข้าบ้าน
“เอ่อ ผมเกรงใจน่ะครับ ไม่ได้บอกล่วงหน้าด้วย ไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมค่อยแวะมาใหม่ก็ได้ครับ" เจสส์ตัดบท เขาคงเอือนกับคำว่ารำลึกความหลังเต็มทีสินะ นิคคิด
“ขอบคุณที่มาส่ง ขับรถดีๆ" นิคพูดทิ้งท้ายโดยที่ไม่มองหน้าอีกฝ่าย เขารีบลากกระเป๋าเข้าไปด้านในโดยไม่แม้แต่หันหลังกลับไปมองเจสส์อีก เขาได้ยินเสียงพ่อกับแม่พูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบไปเรื่อยลางๆ ซึ่งก่อนที่นิคจะรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้เขารีบก้าวฉับๆ วิ่งเข้าห้องนอนตัวเองแล้วกะว่าจะหลบหน้าอยู่ในนั้นจนกว่าเจสส์จะไปดีกว่า เฮ้อ...

หนึ่งชั่วโมงต่อมา
ความรู้สึกเมื่อยหลังกำลังเล่นงานนิคอย่างจัง เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองผล็อยหลับไปอีกรอบตอนไหน อาจจะเป็นเพราะการทำงานทั้งอาทิตย์และการนั่งรถติดต่อกันหลายชั่วโมง เกือบจะทั้งวัน ตั้งแต่เมื่อคืน ทุกครั้งเวลากลับบ้านไม่ว่าจะเป็นเทศกาลไหนสิ่งแรกที่เขามักทำเป็นประจำก็คือการนอนเอาแรงนี่แหละ พ่อกับแม่อย่าเพิ่งชวนคุยนะ รอไปก่อน และตอนนี้ก็เช่นเดียวกัน เขาดูนาฬิกาและพบว่าเกือบจะสองทุ่มแล้ว เขาเริ่มหิวขึ้นมาอีกรอบทั้งๆ ที่รู้สึกเหมือนปากยังได้กลิ่นฟิชแอนด์ชิพ
แอดด...
ตอนนั้นเองที่นิคสะดุ้งขึ้นมา เขาหันไปทางต้นเสียงซึ่งก็คือประตูห้องน้ำที่เปิดออก ร่างสูงหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ท่อนบนเปลือยเปล่ามีแต่ผ้าขนหนูข้างล่างที่ผูกเป็นปมหลวมๆ อยู่ เจสส์กำลังใช้ผ้าผืนเล็กอีกผืนเช็ดผม เขาไม่ได้สังเกตเห็นด้วยซ้ำว่านิคตื่นแล้ว ซึ่งพอเห็นดังนั้นนิคก็แกล้งทำเป็นหลับต่อทันที
อ้าว..ไหนบอกว่าจะเข้าไปนอนโรงแรมในเมืองไง ทำไมเจสส์ถึงยังอยู่ที่นี่แถมยังถือวิสาสะเข้ามาในอาบน้ำในห้องนอนของเขาเหมือนตอนสมัยเราเด็กๆ ให้ตายเถอะ นี่เขาลืมไปรึเปล่าว่าเขาโตแล้วนะ สภาพร่างกายทุกอย่างก็อัพไซส์ผันเปลี่ยนไปหมดแล้วด้วย แถมนิคก็เพิ่งเปิดเผยความลับที่ปิดบังเขามาตลอดออกไปว่าเขาเป็นเกย์ ทำไมเขายังกล้า...เอ่อ...มาล่อนจ้อนในห้องนอนของเขาแบบนี้ นิคคิด
พรึ่บ!
ตอนนั้นเองที่นิคลืมตาขึ้นมาขณะที่หัวแนบเตียงแกล้งหลับด้วยท่าเดิมอยู่ สัมผัสเหมือนลมพัดใส่เข้าหน้าก่อนจะพบว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าตอนนี้คือผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ที่เจสส์ใช้นุ่ง ถ้าเขามาถอดพาดทิ้งบนเตียงแบบนี้งั้นก็แสดงว่า..เขากำลังโป๊อยู่งั้นเหรอ!
นิครู้สึกตัวเองใจเต้นแรงหน้าร้อนผ่าว เขาอยากขยับตัวแล้วลุกขึ้นหันไปมอง แต่ถ้าทำทำแบบนั้นจะโดนหาว่าเป็นโรคจิตรึเปล่านะ เดี๋ยวก็อาจจะกลายเป็นเรื่องผิดใจไปอีก นิคไม่อยากรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้ ทางที่ดีส่งสัญญาณให้เขาเตรียมตัวบอกว่าเราตื่นแล้วดีกว่า
แอดดด...
ทว่าตอนที่กำลังจะแกล้งทำเป็นขยับตัว เจสส์ก็เปิดประตูห้องซะก่อน นิคลืมตาขึ้นมาก่อนจะพบว่าเจสส์แต่งตัวเสร็จแล้วและเขากำลังเดินออกจากห้องไป ให้ตายเถอะ! แต่งตัวเร็วอะไรประมาณนั้น นิคค่อยๆ ลุกออกจากเตียงก่อนจะหยิบผ้าขนหนูของเจสส์ไปแขวนให้ที่ราวเรียบร้อย นิสัยพาดซี้ซั้วนี่ไม่เปลี่ยนเลยนะ ต้องตามเก็บให้อยู่ตั้งแต่เด็กยันโตเลยรึไง
เฮ้ย ว่าแต่นี่เขากำลังคิดถึงความหลังลมๆ แล้งๆ อีกแล้วเหรอ มันกำลังจะกลายเป็นสิ่งไม่มีความหมายแล้วโว้ย เลิกนึกถึงมันสักที นิคสลัดหัวไปมาอย่างหัวเสียก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นว่าตรงมุมห้องนอนของเขามีกระเป๋าของเจสส์วางอยู่ด้วย อ๊ะ...อย่าบอกนะว่า เจสส์จะนอนที่นี่ พอในหัวสรุปได้อย่างนั้น นิคก็เริ่มอยากเปิดประตูออกไปถามทุกคนทันทีว่าแค่เขาหลับไปได้ชั่วโมงเดียวมีการตกลงอะไรกันเกิดขึ้นงั้นเหรอ ทำไมจู่ๆ เจสส์ถึงได้ยอมค้างที่นี่ได้ และเมื่อเปิดประตูออกไปนิคก็พบว่าทุกคนกำลังนั่งรอเขาอยู่ที่โต๊ะอาหาร
“เร็วเข้านิค เจสส์บอกว่าลูกตื่นพอดี" แม่พูด นิคตกใจเล็กน้อย อ้าว นี่เจสส์รู้ว่าเขาตื่นแล้วแต่แกล้งหลับต่องั้นเหรอ ที่เขาโยนผ้าขนหนูมาบนเตียงนั่นหมายความว่าเขาแกล้งใช่ไหม
นิคเกาหัวแกรกๆ ก่อนจะเดินหน้ามุ่ยปรี่ตรงไปนั่งตรงเก้าอี้ที่ว่างอยู่ซึ่งเป็นตัวที่อยู่ตรงข้ามกับเจสส์ ทันทีที่เขานั่งลง ทุกคนก็เริ่มจับมือสวดมนตร์ถึงพระเจ้าทันที และเมื่อเป็นแบบนี้ทั้งนิคกับเจสส์ก็อดรำลึกความหลังในวันเด็กไม่ได้ (นิค : คุณเคยพยายามไม่คิดถึงะไรตอนที่สถานการณ์ทุกอย่างพาให้คุณคิดไหมล่ะ) ตอนนั้นเจสส์ก็มาฉลองวันอีสเตอร์ที่บ้านของเรา เพราะเขารู้ว่าไก่งวงของแม่อร่อยอย่าบอกใคร เอาเข้าจริงเขาติดใจอาหารทุกอย่างที่ป้าแมรี่ทำ เพราะเหตุนี้เขาจึงชอบค้างที่นี่บ่อยๆ และถ้าให้เดาอีกทีเหตุผลที่เขายอมค้างที่นี่คืนนี้ก็เพราะตั้งใจจะได้กินอาหารฝีมือแม่นิคอีกครั้งนี่แหละ แล้วก็เดาไม่ผิด นิคเงยหน้าลืมตาขึ้นมาหลังสวดเสร็จ เขาเห็นเจสส์กำลังจ้องไปที่ไก่งวงและกลืนน้ำลายลงอึก นิคเผลอยิ้มออกมาแต่พอเจสส์จับได้ว่าถูกจ้องมองอยู่ นิคก็เป็นอันต้องหุบลงโดยเร็ว
ห้านาทีต่อมาเมื่อถึงเวลาพวกเราก็ลงมือทานอาหารกันอย่างจริงจัง นิคเพิ่งรู้สึกว่าเขาเองก็ไม่เคยเบื่ออาหารของแม่เลย รู้สึกสุขใจทุกครั้งที่ได้กลับบ้าน และครั้งนี้ก็เป็นโอกาสอันดีที่มีเจสส์อยู่ด้วยมั้ง ป้าแมรี่กับจอร์จเริ่มพูดคุยแลกเปลี่ยนสารทุกข์สุขดิบกันไปตามพิธี  และเมื่อเจสส์ถูกถามถึงจูดี้ ทุกคนทั้งโต๊ะก็หยุดทานอาหารไปชั่วขณะ พ่อกับแม่จับมือกันและสวดมนตร์ให้ยายของเจสส์กันอีกรอบเพราะเพิ่งทราบข่าวนี้
หลังจากทานอาหารเสร็จ นิคก็ขอตัวไปอาบน้ำเพราะรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวตั้งแต่เมื่อคืน เขาไม่ได้อาบน้ำมาสามวันแล้วเห็นจะได้ เพราะเมื่อวานกว่าจะเคลียร์งานเสร็จแล้วต้องรีบไปขึ้นรถอีกมันเลยวุ่นวายจนแทบไม่ได้ทำอะไร จนพอแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยเขาเหลือบมองไปเห็นนอกหน้าต่าง เจสส์กำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงแถวๆ โรงม้าหลังบ้าน ท่ามกลางความมืด อุณหภูมิค่อยๆ ลด อากาศเย็นขึ้น นิครู้สึกว่าตัวเองต้องทำอะไรสักอย่างตอนเห็นว่าเจสส์มีเพียงเสื้อยืดบางๆ แขนยาวแค่ตัวเดียว เลยตัดสินใจหยิบแจ็กเก็ตคลุมแล้วเดินออกไป เขาหยิบไปอีกตัวเผื่อเจสส์ด้วย
“อ่ะ ใส่ซะ" นิคยื่นแจ็กเก็ตอีกตัวให้เจสส์ทันทีที่เดินไปถึง เจสส์คาบบุหรี่คาไว้ที่ปากก่อนจะหยิบมันมาใส่เอง นิคมองหน้าเจสส์พยายามสังเกตว่าเมื่อไหร่เขาจะเงยหน้าขึ้นมองกลับ แต่อีกฝ่ายก็นิ่งเฉยไม่พูดอะไร เจสส์สูบบุรี่ต่อ เขาพิงไปที่เสาตรงอานของโรงม้า นิคยืนนิ่งหมุนคอไปมา หันซ้ายหันขวา เขารู้สึกสมองตันไม่รู้จะพูดอะไร เห็นทีคงจะต้องหมุนตัวกลับเข้าบ้านแล้วล่ะ
“ฉันได้ยินเรื่องแบบนี้มาเยอะเหมือนกันนะ" ทว่าตอนนั้นเองที่นิคต้องชะงักเท้าไว้ซะก่อน เจสพูดขึ้นลอยๆ เป็นเชิงเรียกให้เขาหันกลับมา นิคมองหน้าเพื่อน เจสส์ยังคงสูบบุหรี่และมองต่ำ ดูจากมุมนี้เขาเหมือนนายแบบอังกฤษเลย ถ้าถ่ายรูปออกมามันจะเป็นรูปที่ดีมาก "มันคงเป็นเรื่องปกติไปแล้ว"
“อะไร" นิคถามกลับเสียงแข็ง เจสส์เงยหน้าขึ้นมองเขาในที่สุด นี่เป็นครั้งแรกนับจากไม่คุยกันที่นิคเห็นนัยน์ตาสีฟ้าเนวี่คู่นั้นอีกครั้ง
“ก็เรื่องที่ว่าเป็นเพื่อนกันแล้ววันหนึ่งเพื่อนอีกคนก็ดันมาชอบเพื่อนอีกคนน่ะ" เจสส์ตอบ เขาทิ้งบุหรี่ลงก่อนจะขยี้มันลงพื้นจนดับ
“เจสส์..”
“ฉันเองก็ไม่รู้จะโกรธนายเรื่องอะไร นิค" เจสส์พูดต่อ นิคนิ่วหน้าลงเล็กน้อย เขาเริ่มรู้สึกละอายใจนิดๆ
“นายควรจะโกรธฉัน ฉันเป็นคนทำทริปนี้ของนายพังหมด นายมีปัญหา แต่ฉันกลับฉวยโอกาสจนมันกลายเป็นปัญหาเพิ่มให้นาย ฉันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองพูดแบบนั้นมันออกไปได้ยังไง ถึงนายบอกว่าไม่โกรธ ฉันก็ไม่เชื่อหรอก ที่จู่ๆ เราก็ไม่คุยกันแบบนี้ อันดับแรกที่นายต้องทำคือนายควรจะตอบตัวเองให้ได้ก่อนคือปัญหาระหว่างเราตอนนี้มันเกิดจากอะไรกันแน่ เพราะฉันจูบนาย หรือเพราะนายไม่ชอบที่ฉันเป็นแบบนี้ เพราะฉันเป็นเกย์ หรืออะไร" ตอนนั้นเองที่ความเงียบปกคลุมเราในที่สุด เจสส์ไม่ตอบนอกจากยิ้มอ่อนๆ ในขณะที่นิคใจเต้นแรง เพราะกลัวว่าคำตอบที่ได้มันจะทำให้เขารู้สึกแย่มากขึ้นไปอีก แต่ไม่หรอก เขาเชื่อว่าเจสส์จะให้คำตอบและเหตุผลที่ดีกับเขาเสมอ
“นายคือคนที่เห็นความอ่อนแอของฉันมาตั้งแต่เด็กๆ นิค นายเป็นคนเดียวที่รู้ว่าฉันควรใช้ชีวิตยังไง ทุกครั้งเวลาที่ฉันเข้มแข็งได้ ฉันมักจะขอบคุณนาย ทุกครั้งที่ฉันเศร้า ฉันก็มักจะร้องเรียกชื่อนายอยู่เสมอ ฉันไม่รู้ว่าเรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง ฉันปฏิเสธมาทั้งชีวิตว่าจะไม่กลับมาที่นี่เพราะความทรงจำระหว่างฉันกับจูดี้ที่ Skye มันเยอะไปหมด ฉันเคยสัญญากับพ่อกับทุกคนไว้ว่าจะไม่กลับมาที่นี่เด็ดขาด เพราะมันเต็มไปด้วยความทรงจำร้ายๆ ของพวกเรา แต่แล้ววันนี้การกลับมาอีกครั้งมันกลับเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายไปหมดนับตั้งแต่ฉันเจอนาย...นิค นายคือเหตุผลเดียวและเหตุผลสุดท้ายที่ทำให้ฉันกลับมาที่นี่ นายคือความทรงจำดีๆ ที่เคยเกิดขึ้นที่ Skye ของฉัน"
เจสส์ตอบ นิคไม่พูดอะไรนอกจากมีรอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก ดวงตาของเขาเอ่อน้ำใสๆ แต่เขาก็พยายามกดเอาไว้ไม่ให้มันไหลออกมา เจสส์พ่นลมหายใจออกมา ดวงตาของเขาเอ่อล้นไปด้วยน้ำใสๆ เช่นกัน เขาเดินตรงมาหานิคก่อนจะดึงเพื่อนเก่าเข้าไปกอด
"สุขสันต์วันอีสเตอร์นะ" เจสส์พูด “ฉันดีใจที่ได้เจอนายอีกครั้ง เพื่อน"

เช้าวันต่อมา
เมื่อคืนช่างเป็นคืนที่ยาวนานที่สุดของทั้งเจสส์และนิค พวกเขาใช้เวลาทั้งคืนในการย้อนความหลังกันให้เต็มที่ เจสส์กับนิคเข้าไปในเมืองเพื่อเตรียมช็อคโกแลตและขนมสำหรับ Easter Monday พวกเขาเตรียมของขวัญและไข่อีสเตอร์ซ่อนไว้ตามจุดของบ้านเหมือนที่เคยเล่นกันสมัยเด็กๆ เช่นเดียวกับป้าแมรี่และลุงจอร์จที่รู้สึกว่าวันอีสเตอร์ปีนี้มันมีสีสันและสนุกครึกครื้นกว่าในรอบหลายปีที่ผ่านมา เจสส์เองก็มีเรื่องเล่าสนุกๆ เยอะแยะไปหมด เขาบอกว่าถ้ามีโอกาสปีหน้าจะชวนเคทแล้วก็พ่อกับแม่มาเที่ยวที่นี่ด้วย ซึ่งพอนิคได้ยินก็รู้สึกยินดีและอบอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ว้าว นั่นคงเยี่ยมไปเลย นิคคิด
และเนื่องจากคืนนี้พวกเขาต้องเดินทางกลับเอดินเบอระ เพราะพรุ่งนี้นิคมีธุระที่จะต้องทำต่อส่งผลให้เจสส์ต้องกลับด้วย และแน่นอนว่าก่อนจากกันพวกเขาไม่ลืมที่จะถ่ายรูปคู่ไว้อีกครั้ง โดยตากล้องประจำบ้านก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ลุงจอร์จ พ่อของนิคนั่นเอง
ตอนขับรถกลับ เจสส์วนหาร้านล้างรูปอยู่นานมาก เพราะเขาอยากเก็บมันไว้บนแผ่นฟิล์มและใส่กรอบตั้งไว้ที่ไหนสักแห่ง แหงล่ะ พวกเขาอยากเก็บมันไว้ให้คิดถึงกัน
“เราน่าจะเอารูปสมัยเด็กๆ มาวางเรียงกันอยู่ในกรอบเดียวกันเลยนะ" เจสส์เสนอ ขณะมองรูปภาพของสองเราในมือ
“คงงั้น" นิคตอบขณะใช้ปากกาเขียนที่ใต้รูปว่า Easter Day in March 2016, Jesse & Nic แล้วก็ขึ้นอีกบันทัดว่า... Friends Forever ซึ่งเจสส์ก็กำลังมองอยู่
“เขียนให้ฉันบ้างสิ ลายมือนายนี่สวยตลอดกาลเลยนะ" เจสส์ยื่นรูปของเขามาให้นิคเขียนให้ก่อนจะค่อยๆ ออกรถอย่างช้าๆ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เนื่องจากเขาต้องไปคืนกุญแจรถก่อนเที่ยงคืน เพราะต้องหารถไปสนามบินเพื่อขึ้นเครื่องกลับอีก แม้ว่าไฟลท์จะเป็นตอนเช้าก็เถอะ เจสส์ตั้งใจไว้แล้วว่าเขาจะนอนสนามบินเป็นการประหยัดค่าโรงแรม
“นายยังไม่ได้บอกฉันเลยว่าจะกลับลอนดอนยังไง" เจสส์ถาม นิคเขียนกรอปรูปเสร็จก็ยัดมันใส่ถุงกระดาษแล้วโยนมันไปที่ข้างหลัง
“ฉันซื้อตั๋วรถไฟไว้น่ะ เดินทางคืนนี้เลย" นิคตอบ
“อ้าว ฉันนึกว่านายจะกลับเครื่องซะอีก ให้ฉันเปลี่ยนตั๋วกลับเป็นเพื่อนนายไหม" เจสส์เสนอ นิคไม่พูดอะไรนอกจากยิ้ม
“ไม่ต้องหรอก แยกกันกลับน่ะดีแล้ว"
“ทำไมล่ะ"
“ฉันกลัวว่าถ้าเรากลับด้วยกัน เมื่อถึงลอนดอนเราจะสนิทกันเหมือนเดิม" นิคพูด
“อ้าว แล้วถ้าเรากลับมาสนิทกันมันจะไม่ดีตรงไหน" เจสส์ว่าต่อ
“ฉันกลัวว่าเราจะเป็นเพื่อนกันได้ไม่นานเท่าตอนนี้" ตอนนั้นเองที่นิคพูดมันออกมา "ฉันเห็นอนาคตของเราทั้งสองทางเจสส์ ถ้าการกลับไปลอนดอนครั้งนี้ถ้าเราคิดจะยังติดต่อกันอยู่ ถ้าเราได้เจอกันบ่อยๆ...” นิคเงียบไปครู่หนึ่งสูดลมหายใจ “การเจอครั้งต่อไปก็จะไม่มีครั้งไหนที่สำคัญเลย"
“ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่นายพูด" เจสส์ย่นคิ้ว เขาหันไปมองนิคที่เสมองไปข้างหน้า
“ฉันอยากให้การที่เราเจอกันมันเป็นเรื่องบังเอิญเหมือนในครั้งนี้ ฉันอยากให้มันสำคัญกว่าการที่เราตั้งใจมาเจอกัน เพราะฉันไม่อยากให้มันเป็นการตามติด เจสส์... ฉันอยากให้ความสัมพันธ์ของเรามันขึ้นอยู่กับเวลา"
“ทำไมนายถึงอยากให้มันเป็นแบบนั้นล่ะ ฉันบอกนายไปแล้วนี่ ฉันอยากให้นายเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของฉันนิค"
“แล้วที่ผ่านมาฉันไมได้เป็นส่วนหนึ่งของนายตรงไหน นายบอกเองไม่ใช่เหรอว่าทุกครั้งเวลานายเข้มแข็ง นายขอบคุณฉัน เวลานายทุกข์นายก็จะเรียกชื่อฉัน ฉันอาจจะช่วยนายไม่ได้ตลอดหรอก การเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันไม่ได้หมายความว่าเราจะให้ส่วนหนึ่งของเรากับอีกคนนะ แบบนั้นมันไม่ใช่ส่วนหนึ่ง เพราะวันหนึ่งคำว่าส่วนหนึ่งมันอาจจะกลายเป็นส่วนเกิน" นิคอยากจะพูดต่อว่าชีวิตเจสส์ไม่ต้องการเขาหรอก มันก็แค่ ณ. วันนี้ตอนนี้เวลานี้ แต่อนาคตของเขาคือคนที่เขาจะแต่งงานด้วยนั่นต่างหาก
“แต่...”
“นายแค่ใช้ชีวิตของนายเจสส์ เมื่อใดก็ตามที่นายอยากเจอฉัน นายก็แค่รอ..”
“...”
"ฉันเชื่อว่าวันหนึ่งเราจะได้เจอกันอีก...เชื่อสิเจสส์"
"...”
"เหมือนที่นายเคยบอกฉันไง"

- บทส่งท้าย -

เจสส์ขับรถจึงเอดินบะระตอนประมาณสี่ทุ่มเศษๆ เขาหลงเข้าไปในเมืองเงียบๆ เมืองหนึ่งเป็นการแกล้งทำเป็นถ่วงเวลาเพราะใจจริงอยากให้นิคตกรถไฟไปซะ เขาจะได้หาตั๋วเครื่องบินกลับไปพร้อมกับเขา และเหมือนโชคชะตาจะเป็นใจนิดหน่อยเมื่อจู่ๆ รถก็มีปัญหากลางทางต้องเสียเวลาซ่อมเกือบชั่วโมง แต่ท้ายที่สุดพวกเขาก็พากลับกันมาทันซะงั้น เจสส์รู้สึกใจหายนิดหน่อยตอนที่เขาเลี้ยวรถเข้าไปที่สถานีรถไฟ โชคดีที่เขาต้องคืนรถที่นี่พอดี ทำให้เขาพอมีเวลาเหลือเฟือที่จะอยู่ส่งนิคก่อนไปสนามบิน เจสส์เข้าไปในออฟฟิซระหว่างคืนกุญแจ เขาหันไปมองนอกกระจกหลายรอบเพราะกลัวว่านิคจะหนีหายขึ้นรถไฟไปก่อน แต่เมื่อทำทุกอย่างเสร็จ เขากลับออกมา นิคก็ยังยืนรอเขาอยู่ ทั้งคู่แบกกระเป๋าไปนั่งตรงแถวๆ ชานชลา นิคถือตั๋วรถไฟในมือ มองดูผู้คนเดินผ่านไปสวนมา ในขณะที่คราวนี้เจสส์เป็นฝ่ายพยายามที่จะสื่อสารกับเขา แต่ก็ได้แต่ปล่อยให้บรรยากาศล่วงเลยไป
จนกระทั่งเสียงประกาศรถไฟขบวนนิคเรียกผู้โดยสารขึ้นรถนี่ล่ะ  นิคลุกขึ้น เจสส์ลุกตาม เขาเดินไปส่งนิคขึ้นตู้รถไฟด้วยความรู้สึกใจหายอีกครั้ง แต่คราวนี้มันแค่เหมือนหายไปไม่กลับมา..
“นิค" ในที่สุดเขาก็เรียกชื่ออีกฝ่ายออกมา "นายจะไม่ทิ้งอะไรไว้ให้ฉันจริงๆ เหรอ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล ที่อยู่ผับของนาย แฟลตของนายหรืออะไรก็ได้"
นิคไม่ตอบนอกจากยิ้มและส่ายหน้า เขายกเป้แบกขึ้นหลังก่อนจะหันไปโบกมือให้เจสส์ตอนที่เดินมาถึงโบกี้ที่นั่งของเขาพอดี "นายจะได้เจอฉันอีกแน่นอนเพื่อน รอแค่สามอย่าง..." นิคยกนิ้วขึ้นมานับประกอบ "เวลา โชคชะตา และสถานที่...เท่านั้น"
เจสส์โบกมือกลับอย่างเอื่อยๆ นิคหมุนตัวก่อนจะก้าวเท้าเดินขึ้นไปและตอนนั้นเองที่เจสส์กำมือตัวเองแน่น เขาคิดว่าตัวเองควรจะทำอะไรสักอย่าง แต่..ทำอะไรดีล่ะ เขาได้แต่ยืนมองเจสส์เดินขึ้นไปนั่ง ค่อยๆ เดินตามและมองผ่านกระจกที่ขึ้นไอฝ้าจากอาการที่เย็น เจสส์ค่อยๆ หมุนตัวและหันหลังเดินจากมา เขาได้แต่ถามตัวเองซ้ำไปมาว่ากำลังกังวลอะไรอยู่ หรือเป็นเพราะตัวเองเสียหน้าที่เพื่อนเก่าไม่อยากติดต่อกับเขา
“เจสส์!” กระทั่งตอนนั้นเองที่เสียงเรียกจากด้านหลังดังขึ้น เจสส์หันหน้าไปและพบว่านิคโผล่ตัวออกมาจากโบกี้และโบกมือให้เขาอยู่ "คำใบ้! อีสเตอร์ปีหน้า สถานีวิตอเรีย รถนอน เวลาเดิม หมายเลขเดิมนะ!"
เจสส์ยิ้ม เขาโบกมือกลับ นิคหายวับกลับเข้าไปในรถไฟแล้ว เขาหยุดนิ่งแล้วยืนคิดอยู่กับตัวเองตรงนั้นครู่หนึ่ง เขาไม่รู้เลยจริงๆ ว่าอนาคตมันจะเป็นยังไง แต่เขาเหมือนจะเข้าใจเพื่อนของเขาแล้วว่าสิ่งที่หมอนั่นต้องการคืออะไร ถ้ายี่สิบปีที่ผ่านมาเรายังคงสนิทและเจอกันบ่อย การเจอกันครั้งนี้มันจะสำคัญขนาดนี้เหรอ...
เขากระชับเป้ที่สะพายอยู่ข้างหลัง ก้มมองถุงกระดาษที่ใส่กรอบรูปของเขากับนิคที่เหลือทิ้งไว้ให้คิดถึง เจสส์หยิบมันออกมา ข้อความที่นิคเขียนทิ้งไว้ให้เขาทำเอาเขาอดกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้

Love is on the way back Home.
See You.
Easter Day, March 2016

(จบ)



ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ขอบคุณค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด