เวลายังคงเดินไปเรื่อยๆ จนเย็นย่ำสนธยามาเยือน ดวงอาทิตย์ใกล้อัสดง ส่องแสงสีทองประกายแสดที่ช่างอ้างว้างและหดหู่ หมู่เมฆสีเข้มล่องลอยอย่างอิสระแต่กลับวังเวง นัยน์ตาสีเข้มทอดสายตามองดวงตะวันที่ลับเหลี่ยมเขาไปทุกขณะ ในห้วงหนึ่งของความรู้สึก มันสงบเงียบแต่กลับรู้สึกเปล่าเปลี่ยวใจและว้าเหว่เหลือทน
จู่ๆ เครื่องยนต์ของบิ๊กไบค์คันใหญ่ก็ดับลงเสียดื้อๆ สองข้างทางโดยรอบเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่เรียงรายอย่างไร้ระเบียบ ไม่มีผู้คนและที่อยู่อาศัยแม้จะมองไปจนสุดสายตาก็ตาม
อัคนีก้าวลงจากรถแล้วจอดมันไว้ข้างทาง แล้วยืนรอเพื่อขอความช่วยเหลือจากรถที่จะวิ่งผ่านแถวนี้ แต่ทว่าสายตาของเขากลับสะดุดเข้ากับบ่อน้ำพุวงกลมสองชั้นซึ่งทำด้วยหินอ่อนที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ ริมถนน แม้มันจะพุพังและดูทรุดโทรมจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม แต่เขากลับมองเห็นสภาพดั่งเดิมที่มันเคยเป็น
บ่อน้ำพุวงกลมสองชั้นที่สร้างด้วยหินอ่อนสีขาวที่มีริ้วลายหลายสีตามธรรมชาติส่งละอองน้ำระบำต้องแสงอาทิตย์เป็นประกายระยิบระยับชวนมอง รอบๆ บริเวณบ่อน้ำเต็มไปด้วยดอกกุหลาบขาวบานสะพรั่ง แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นร่างของใครคนหนึ่งที่คุ้นตา ชายหนุ่มผู้มีเส้นผมสีซีดยาวสะลวยที่ต้องแสงอาทิตย์กลายเป็นสีทองอ่อนๆ สว่างสวยงามจับใจ
เด็กหนุ่มผมสีเข้มผู้หลงทางรู้สึกราวกับกำลังหลับฝันทั้งๆ ที่ยังตื่นอยู่ หัวใจเขารู้สึกเคลิบเคลิ้มไปกับชายหนุ่มเบื้องหน้า เป็นครั้งแรกที่เขาคิดว่าตนเองได้พบกับเทพยดาผู้มาจากสรวงสวรรค์ อัคนีค่อนข้างประหลาดใจกับภาพความทรงที่หลั่งไหลเข้ามา มันกำลังตอกย้ำให้เขามั่นใจว่า เขารู้จักสถานที่แห่งนี้และคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี แม้ไม่มีอะไรเป็นข้อพิสูจน์ แต่เขาเชื่อมั่นอย่างหมดหัวใจ
สองเท้าก้าวออกเดินไปตามทางเดินเล็กๆ เรื่อยๆ ด้วยแรงดึงดูดจากสามัญสำนึกของตน จนนำร่างสูงใหญ่มาถึงตีนเขาเตี้ยแคระที่ดูแห้งแล้ง บนสันเขาเบื้องหน้ามีต้นไม้ใหญ่ตั้งตระหง่านและแผ่กิ่งก้านสาขาที่ไร้ใบจนขยายใหญ่ดูน่าเกรงขามดูคล้ายต้นไม้ที่ตายไปแล้ว ทว่าสิ่งที่ฉายชัดอยู่ในส่วนหนึ่งของความทรงจำกลับไม่ใช่อย่างที่เขาเห็น
บนสันเขาที่ดารดาษไปด้วยดอกเดซี่บานอวดสีขาวเหลืองสวยสดเต็มพื้นป่าท่ามกลางต้นหญ้าอ่อนนุ่มเขียวขจี ต้นไม้สูงใหญ่ต้นหนึ่งตั้งตระง่านอยู่ใจกลางทุ่ง ใบของมันที่ดูคล้ายเถาวัลย์อ่อนนุ่มสีขาวห้อยยาวลงมาแทบจะแตะพื้นดิน สายลมพัดพริ้วใบไม้ปลิวไหวและส่งกลิ่นหอมฟุ้งหวานกระจัดกระจายไปทั่ว
“ความงามของมวลหมู่ไม้ ก็ไม่อาจเทียบกับความงามของเจ้าได้เลย...อคิราห์ มันล้นออกมาจากดวงตาของข้า” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผู้มีเรือนผมสีเข้มเอื้อมมือไปสัมผัสเส้นผมสีซีดของอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวลจากนั้นก็ก้มลงสูดกลิ่นหอมจากเส้นผมนุ่มดุจแพรไหมจนพอใจ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงหลงไหลเสียเต็มประดา “ความปรารถนาที่ไหลรินอยู่นี้... เจ้าช่างเป็นสิ่งมึนเมาสำหรับข้าโดยแท้”
“ไม่ได้มีเพียงท่านเท่านั้น” มือเรียวเล็กไล่แตะตามแผงอกกว้างของร่างสูงใหญ่อย่างแผ่วเบา “ตัวข้าเองก็หลงมึนเมาอยู่ห้วงรักของท่านอย่างถอนตัวไม่ขึ้น” ชายหนุ่มทั้งสองเคลื่อนกายเข้าหากันอย่างช้าๆ จนร่างกายแทบจะหลอมรวมกลายเป็นหนึ่ง ก่อนจะมอบจุมพิตแสนหวานให้แก่กัน มันทั้งลึกซึ้งและรัญจวนใจ ร่างเพรียวบางที่อยู่ในอ้อมแขนแกร่งของร่างสูงใหญ่ดูเจิดจรัสราวดวงจันทร์สุกสกาวที่ลอยเด่นแม้จะอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์เจิดจ้า
“อคิราห์ อีกแล้ว”
อัคนีฉีกยิ้มมุมปากเล็กน้อยกับภาพที่อยู่ในหัว แม้จะรู้สึกเศร้าอยู่บ้างแต่เขากลับอบอุ่นใจจนความสุขมันแผ่ซ่านไปทั่วร่าง เป็นครั้งแรกที่รู้สึกอิ่มเอมใจเช่นนี้
‘อามันต์’ เสียงเรียกที่คุ้นหูดังอยู่ไม่ไกล อัดนีจึงกวาดสายตามองไปรอบๆ แต่กลับมองไม่เห็นใครเลย
ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเดินขึ้นไปบนเขาเตี้ยแคระแห่งนี้จนมาถึงสันเขาตามเสียงเรียกหาที่เขาเพิ่งได้ยิน โดยหวังจะพบคำตอบที่เขาตามหา นัยน์ตาสีเข้มของเขากวาดมองไปทั่วจนมองเห็นซุ่มโค้งหินสูงใหญ่สวยแปลกตาที่ดูเก่าแก่และพุพังอย่างหนัก เขารีบก้าวเท้าเดินตรงไปยังซุ้มโค้งหินนั่นอย่างไม่ลังเล
ซุ้มโค้งหินเบื้องหน้าเขาแม้จะดูเก่าแก่จนไม่สามารถคำนวณหาอายุได้ แต่รอยแกะสลักแปลกๆก็ยังคงหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้าง นอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ที่เขาไม่เคยเห็นแล้ว มันก็พร่าเลือนเสียจนเขาไม่อาจเห็นมันได้อย่างชัดเจน
มือหนาเอื้อมไปสัมผัสรอยแตกร้าวบนซุ้มหินขรุขระอย่างช้าๆ ก่อนจะปิดเปลือกตาลงและรอคอยบางสิ่งบางอย่างอย่างใจเย็น
‘จงเปิดประตูของท่านเพื่อนำทางแด่ตัวข้า’ เสียงหวานกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหู
อัคนีลืมตาขึ้นมามองซุ้มโค้งหินให้เต็มตาอีกครั้งก่อนจะเอ่ยพูดประโยคที่เขาเพิ่งได้ยินอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“จงเปิดประตูของท่านเพื่อนำทางแด่ตัวข้า”
สิ้นเสียงพูดของอัคนี เถาดอกไม้สีฟ้าอ่อนค่อยๆ ไต่สูงเลื้อยพันเกี่ยวกันไปมาตามซอกหินที่แตกร้าวของซุ้มโค้งหินจนกลายเป็นสีฟ้าอ่อนสวยงาม ทางเดินเล็กๆ ค่อยๆ ปรากฎต่อสายตาเขาแล้วก็ทอดยาวออกไปเรื่อยๆ จนไปถึงสะพานอิฐเบื้องหน้า
ชายหนุ่มยังคงเดินตามทางเล็กๆ ไปอย่างไม่ลดละจนไปถึงสะพานอิฐโค้งสีคล้ำขับกับความทะมึ๋งทึงและมั่นคงของมัน แม่น้ำสายใหญ่ไหลเอื่อยๆ อยู่เบื้องล่างอย่างไม่รู้จักเบื่อ เบื้องหน้าเขาเป็นที่ตั้งของสิ่งก่อสร้างใหญ่โตดูคล้ายอณาจักรโบราณที่เคยรุ่งเรือง
ร่างสูงใหญ่เดินไปเรื่อยๆ ด้วยความรู้สึกที่ถูกฉุดดึงไปข้างหน้า ดวงตาคมของเขามองเห็นศาลาทรงกลมที่ทำด้วยเหล็กสีขาวตั้งอยู่บริเวณเนินหินจนสามารถมองเห็นน้ำตกสูงชันอยู่เบื้องหลัง
“นี่มันเรื่องจริงใช่ไหมเนี่ย”
ชายหนุ่มรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เห็น จนบางครั้งก็เผลอคิดไปว่า ครั้งนี้ก็อาจเป็นความฝันดังเช่นทุกครั้ง จนเมื่อสะดุดตากับใครคนหนึ่ง วินาทีนั้นอัคนีแทบจะหยุดหายใจ เมื่อมองเห็นชายหนุ่มที่ยืนหันหลังอยู่เบื้องหน้าเขา
ชายหนุ่มผิวขาวผ่องดุจหิมะบริสุทธ์ ร่างกายบอบบางของเขาสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวแจ่มจ้าที่ดูเรียบง่ายทว่าวิจิตรงดงามยิ่งนัก ผมยาวสลวยสีซีดปลิวไสวเมื่อสายลมผัดผ่าน ความงามที่บริสุทธิ์ช่างกระจ่างพร่างพราวราวกับเขาได้หลงเข้าไปในความฝันของตัวเอง
ชายหนุ่มรูปงามผ่องดุจแสงจันทร์นวลที่ยืนอยู่ที่ศาลาสีขาวสะอาดตา ทำให้อัคนีรู้สึกเคลิบเคลิ้มราวกับความรักทั้งหมดของเขากำลังรินไหลออกมา สายลมหนาวบรรเลงท่วงทำนองแห่งรัก มวลหมู่ไม้ไหวเอนร่วมขับขานไปตามท่วงทำนองนั้น ไม่มีสิ่งใดจะเทียบเท่าสิ่งที่เห็นอยู่นี้ได้เลย...ช่างงดงามจับใจยิ่ง
“อคิราห์”
สิ้นเสียงเรียกที่เต็มไปด้วยความโหยหาของอัคนี เขาก็พุ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายแทบจะทันทีก่อนหยุดยืนให้ห่างเพียงไม่กี่คืบเท่านั้น ชายหนุ่มผมสีซีดยาวสลวยค่อยๆ หันหน้าไปมองตามต้นเสียงด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข หยาดน้ำตาก็พาลไหลอาบแก้มนวลอย่างห้ามไม่อยู่
“หนึ่งสหัสวรรษที่ข้าเฝ้ารอคอยมาตลอด ในที่สุดท่านก็กลับมา” ชายหนุ่มร่างเพรียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือพร้อมกับเสียงสะอื้นแผ่วเบา
อัคนีได้แต่มองอีกฝ่ายไม่วางตา แม้ความงดงามไร้ที่ติกับสิ่งที่เห็นจะดึงดูดใจเพียงใด ก็มิอาจเทียบเท่าความรู้สึกของเขาในเวลานี้ได้เลย เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนับล้านที่บีบอัดอยู่ในความทรงจำจางๆ ของเขา สัมผัสที่คุ้นเคย กลิ่นกายที่หอมหวาน ความรักที่เบ่งบานสวยงาม ใบหน้าที่เขาหลงไหลมานานแสนนาน เขายังคงจดจำมันได้จากบางที่ในส่วนลึกของจิตใจ
“อคิราห์ ใช่จริงๆ เหรอ?”
อคิราห์เพียงแค่ยิ้มมุมปากบางๆ เป็นคำตอบ
“ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหม?”
อัคนีรู้สึกราวกับโลกทั้งใบของเขาหยุดหมุนไปชั่วครู่ราวกับไร้ซึ่งกาลเวลา ฝามือหนาเอื้อมไปประคองใบหน้าของอคิราห์ด้วยความรู้สึกโหยหาแปลกใหม่ที่เขาคุ้นเคยมาตลอดชีวิตพลางลูบไล้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะสวมกอดอีกฝ่ายไว้แน่นแนบอกเพื่อสัมผัสถึงไออุ่นที่ทำให้เขารู้สึกสงบและบ้าคลั่งในเวลาเดียวกัน แค่เพียงสัมผัสที่เรียบง่ายนี้ อ้อมกอดที่อ่อนโยนและถะนุถนอมเช่นนี้ อ้อมกอดที่รอคอยมานานแสนนานคล้ายว่ายาวนานถึงพันปี ได้เติมเต็มความรู้สึกของคนทั้งคู่
“ในที่สุด ผมก็ได้พบกับคุณ”
“ท่านกลับมาหาข้าตามคำมั่น การอคอยของข้าได้สิ้นสุดลงแล้ว”
“เป็นคุณมาตลอด คนที่ผมเฝ้าฝันถึงมาทั้งชีวิต หรือนี่เป็นเพียงแค่ความฝันเช่นทุกครั้งกันแน่”
“ไม่มีสิ่งใดจะเป็นจริงได้เท่านี้อีกแล้ว...ยอดรัก”
“คุณรอผมมาตลอด...ขอบคุณจริงๆ อคิราห์”
“ข้ารอท่าน เพราะท่านสัญญาว่าจะกลับมาหาข้า เพียงได้สัมผัสท่านในวันนี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับเวลาหนึ่งพันปีที่ผ่านมาของข้า ขอบคุณ...อามันต์”
อัคนีไม่แน่ใจนักว่าเขาโอบกอดอีกฝ่ายไว้นานเพียงใด แต่ไม่สำคัญเลย เพราะเขารู้ดีว่าทั้งตัวเขาเองและอคิราห์ต่างก็อยากกอบโกยเอาความรู้สึกที่สุขใจจนอยากร้องไห้นี้ไว้ให้นานที่สุด เพื่อชดเชยความเดียวดายและความทุกข์ที่สั่งสมมานานให้หายไปจากใจเสียที
“ผมจำอะไรเกี่ยวกับคุณแทบไม่ได้เลย...” จู่ๆ อัคนีก็พูดขึ้นมาในขณะกอดรัดอีกฝ่ายให้แน่นขึ้น “แต่ทำไมกันน่ะ ทำไมผมถึงได้โหยหาอ้อมกอดของคุณมากมายถึงขนาดนี้ จนผมแทบอยากหยุดทุกอย่างไว้แค่ตรงนี้ แค่มีผมกับคุณ โลกของผมก็สมบูรณ์แล้ว” คำพูดราบเรียบของอัคนีพรั่งพรูออกมาพร้อมกับหยดน้ำเล็กๆ ที่ค่อยๆ ไหลออกจากดวงตา “ผมคิดว่า...ผมรักคุณ รักคุณมาตลอด ความรักทั้งหมดที่ผมมี...มันเป็นของคุณ คุณทำให้ผมรู้สึกแบบนั้น”
“ข้าเองก็จงรักเพียงแต่ท่านเสมอมา เพียงแค่ท่านตอบรับความรู้สึกของข้า ความทรงจำในอดีตกาลก็ไม่สำคัญอีกไป ต่อให้ท่านจะลืมข้าไปจนสิ้น หากตราบใดที่ท่านยังคงมองมาที่ข้า ความรักของข้าก็สมบูรณ์แล้ว”
สิ้นเสียงพูดของอคิราห์ อัคนีจึงค่อยๆ ผละออกมามองใบหน้าที่งดงามไร้ที่ติของอีกฝ่ายอย่างเต็มตาอีกครั้ง แม้ใบหน้าหวานของอีกฝ่ายจะมีน้ำตาไหลอาบแก้มที่ขึ้นสีเรื่อชวนมองก็ไม่อาจกลบรัศมีจากคนนี้ได้เลย...ช่างงดงามกระจ่างจับใจเสียจริง
สองมือหนาของอัคนีค่อยๆ ยกขึ้นมาประคองใบหน้าของอคิราห์อีกครั้ง นิ้วโป้งของเขาเกลี่ยเช็ดน้ำตาสีใสอย่างแผ่วเบา ก่อนที่ดวงตาของเขาจะสอดประสานเข้ากับนัยน์ตาที่กำลังวูบไหวของอีกฝ่าย จนทุกอย่างในหัวขาวโพลนไปหมด
ใบหน้าของชายหนุ่มทั้งคู่เคลื่อนเข้าหากันอย่างแช่มช้า ก่อนที่ริมฝีปากเย็นเฉียบของอัคนีจะประทับบนริมฝีปากบางอย่างนิ่มนวลแล้วจึงดูดเม้มริมฝีปากล่างของอีกฝ่ายอย่างดูดดื่ม สองมือสอดเข้าไรผมนุ่มอย่างแผ่วเบา เขารู้สึกถึงแขนเรียวโอบรอบลำคอแข็งแกร่งของตน
ริมฝีปากที่ร้อนรุ่ม เลือดที่กำลือดที่กำลังสูบฉีดไปทั่วร่าง ลมหายใจที่หอบเร่งจนจังหวะผิดเพี้ยนไปหมดและความหอมหวานจากรสจูบที่กำลังทำให้เขาบ้าคลั่ง อัคนีจึงโหมจังหวะให้ร้อนแรงยิ่งขึ้น จากที่เคยแผ่วเบาเป็นลำนำเริ่มทวีความเร็วและหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกพุ่งพล่านด้วยอารมณ์ความต้องการภายใต้รสจูบที่ลึกซึ้ง
อคิราห์ค่อยๆ ผละออกมาจนริมริมฝีปากของตนเป็นอิสระก่อนที่เขาจะถูกกลืนกินด้วยความปรารถนาของที่แรงกล้าของพวกเขา
ในขณะที่ปลายจมูกยังชนกันอยู่ ลมหายใจอุ่นๆเป่ารดใบหน้าของกันและกัน เขาจ้องมองใบหน้าคมเข้มด้วยรอยยิ้มที่หวานซึ้ง ก่อนที่ใบหน้าหวานจะฉายแววเศร้างหมองอีกครั้ง หยดน้ำน้ำเล็กๆ ก็พาลไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“อคิราห์” อัคนีเอ่ยเรียกด้วยความกังวลใจเมื่อเห็นสีหน้าเศร้าสร้อยของอีกฝ่าย “คุณร้องไห้ เพราะผมเหรอ?” คำถามที่เอ่ยออกมาพร้อมกับค่อยๆ เช็ดหยดน้ำตาอย่างนุ่มนวล
“ไม่ใช่ท่าน หากแต่เป็นตัวข้าเอง”
จู่ๆ ร่างของอคิราห์ค่อยๆ จางให้ไปทีละน้อยๆ จนอัคนีเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกตินี้
“อคิราห์!! นี่มันเกิดอะไรขึ้น!?” อัคนีถามขึ้นด้วยความตกใจพร้อมกับผละออกมามองอีกฝ่ายให้ถนัดขึ้น
“หมดเวลาของข้าแล้ว เพียงเท่านี้หัวใจของข้าก็ถูกเติมเต็มจากท่านแล้ว” น้ำเสียงสั่นเครือถูกเอ่ยพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุดหย่อน
“หมายความว่ายังไง หมดเวลาแล้ว” น้ำเสียงของอัคนีดูเป็นกังวลและหวาดหวั่นไม่น้อย
“อามันต์” น้ำเสียงของอคิราห์ยังคงอ่อนโยนเช่นทุกครั้ง ใบหน้าของเขายังคงพร่างพราวไม่เคยแปรเปลี่ยน “ท่านได้นำความรักมาสู่ใจข้าอีกครั้ง เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับการอคอยที่ยาวนาน... เพียงพอแล้วต่อความรู้สึกมากมายของข้า” น้ำตาหยดเล็กๆ ยังคงไหลออกจากดวงตาคู่สวยไม่ขาดสาย “ข้าจะเฝ้ารักท่านไปชั่วนิจนิรันดร์”
อัคนีได้แต่มองอีกฝ่ายค่อยๆจางหายไป เขาพยายามเอื้อมมือไปสัมผัส ทว่ามันสายเกินไปเสียแล้ว เวลานี้ อคิราห์ของเขาเป็นเพียงแค่เงาจางๆ เท่านั้น
“อคิราห์ อย่าทิ้งผมไปแบบนี้ ผมรอคุณมาตลอดชีวิต” น้ำเสียงของอัคนีที่เอ่ยออกมามันทั้งโศกเศร้าและเว้าวอนสะท้อนอยู่ในแววตาที่สั่นหวิวพร้อมกับน้ำใสๆ ที่ไหลออกจากดวงตาคม “นี่หรือคือการตอบแทนสำหรับการอคอยที่ยาวนานของเรา...อคิราห์”
“ยกโทษให้ข้าด้วย...ยอดรัก ข้ามีชีวิตอยู่เพื่อรอท่าน เพียงแต่ข้าไม่อาจอยู่ร่วมกับท่านได้อีก มันเป็นกฏแห่งชะตา” อคิราห์ส่งยิ้มบางๆ ให้อัคนีเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าและเจ็บปวดจนแทบจะทุกข์ทรมาณไปกับมัน “ลาก่อน”
“ไม่นะ อคิราห์ ผมไม่มีทางยอมรับมันได้ อคิราห์!!!” อัคนีตะโกนออกไปสุดเสียงเมื่อคนที่เคยยืนอยู่เบื้องหน้าจางหายไปต่อหน้าต่อตา ร่างกายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของเขากลับอ่อนแรงจนร่างทรุดลงไปกับพื้น เรี่ยวแรงที่เคยมีมากมายถูกสูบไปจนแทบจะหายไปจากร่าง มันเหนื่อยล้าและสิ้นหวัง...ความหวังในชีวิตพังทลายไปอย่างไม่ใยดี
ชีวิตที่ผ่านมาของเขา แม้จะเหงาเปล่าเปลี่ยวเพียงใด อัคนีก็ยังรู้สึกถึงความหวังและความอบอุ่นบางอย่างที่คอยห่อหุ่มร่างกายเขามาตลอด แต่เวลานี้เขากลับรู้สึกถึงลมหนาวที่เยือกเย็นจนถึงกระดูก มันเจ็บปวดทรมาณ ความอบอุ่นทั้งหมดจางหายไปพร้อมกับร่างของอคิราห์ พร้อมกับนำหิมะสีขาวมาเยือกแข็งหัวใจของเขา ความโดดเดี่ยว อ้างว้าง เปล่าเปลี่ยวรุนแรงกว่าที่ผ่านมากมายนัก จนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังยืนอยู่คนเดียวบนโลกที่มืดสนิท ไม่มีแม้แสงดาวดวงเล็กๆ คอยนำทาง ฤดูใบไม้ผลิจะไม่มีวันหวนคืน ตราบที่ไม่มีความอบอุ่นจากอคิราห์มาละลายฤดูหนาวในใจของเขา
อัคนีก้มลงมองฝามือของตัวเอง สัมผัสของอคิราห์ยังคงหลงเหลือไว้บนฝามืออุ่นๆ ของเขา กลิ่นกายหอมอ่อนๆ ของอีกฝ่ายยังคงติดอยู่กับเขาไม่จางหายไปไหน และความรู้สึกมากมายที่กำลังถาโถมตัวเขา มันไม่มีวันที่ลดน้อยลงได้ เพราะอคิราห์คือความรู้สึกทั้งหมดที่เขามี เขาไม่อาจยอมรับชะตาในครั้งนี้ได้
เมื่อชะตาลิขิตให้หัวใจทั้งสองดวงถูกผูกมัดไว้อย่างแน่นแฟ้นจนเดินทางผ่านกาลเวลามายาวนานข้ามภพข้ามชาติเพื่อรอวันพบเจอ และเมื่อดวงใจยังคงคะนึงหา อัคนีเลือกที่จะเชื่อว่าชะตาจะลิขิตให้เขาไปพบอคิราห์อีกครั้ง และเขาจะรอจนถึงวันนั้น...วันที่เขาจะพานพบดวงใจแห่งรักอีกครั้ง
“อคิราห์... ไม่ว่าจะยังไง ผมจะรอคุณตลอดไป นี่คือคำสัญญาของผม” เสียงพึมพำแสนรวดร้าวดังขึ้นมาพร้อมกับแสงแห่งการรอคอยที่ยังคงดำเนินต่อไป...
[End]