ผมลอบเช็ดเหงื่อบริเวณไรผมแม้ว่าตอนนี้จะนั่งอยู่ภายในภัตาคารอาหารจีนสุดหรูที่จะเปิดแอร์แปดตัวพร้อมกันก็ยังได้ ไม่เคยรู้สึกว่าเสื้อนักศึกษาที่ใส่ทุกวันจะหนาจนร้อนได้ขนาดนี้ อาหารเหลาเบื้องหน้าหรือแม้กระทั่งรอยยิ้มของหญิงสาวเบื้องหน้าก็ไม่สามารถทำให้คุณภาพชีวิตของผมดีขึ้นมาได้เลย
“เงียบเชียวตานัท ชวนพี่เค้าคุยหน่อยสิลูก”
คุณแม่ที่นั่งข้างๆ กันฉีกยิ้มใจดีแต่มือนี่หยิกเข้าที่เอวของผมอย่างจังจนเกือบหลุดเสียงร้องออกมาให้ขายหน้าไปมากกว่านี้ ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ กัดฟันทนนิ้วมือคุณนายเธอก่อนเจ้าตัวจะเอนตัวออกไปคุยกับเพื่อนของตัวเองซึ่งมีศักดิ์เป็นมารดาของหญิงสาวฝั่งตรงข้าม - ที่ค่อนข้างมั่นใจว่าก็ยิ้มแห้งๆ ให้ผมเหมือนกัน
“เอ่อ… สวัสดีครับ”
“คุณพูดแบบนี้มาสามรอบแล้วค่ะ”
เราสองคนต่างหัวเราะแห้งๆ ใส่กันจนต้องแอบเบือนหน้าหนีด้วยความอดสู ในเวลานี้ผมควรจะอยู่ที่หอ นอนเล่นๆ บนเตียง ลงไปหาอะไรกินกับไอ้บีมแล้วก็ขึ้นมาเล่นเกมสักตาก่อนจะอาบน้ำแล้วทำการบ้าน
ไม่ใช่มานั่งหน้าแห้งอยู่ตรงนี้
“เงียบเชียวสองคนนี้ ร่าเริงหน่อยสิจ๊ะ”
“นั่นสิ แบบนี้ต้องนัดไปเจอกันบ่อยๆ จะได้สนิทกันไว้”
“เข้าใจมั้ยจ๊ะหนุ่มสาว?”
ผมและหญิงสาวตรงหน้าพร้อมใจกันหันไปมองเหล่าคุณแม่ที่ทำหน้ายิ้มยินดีปรีดาเสียเหลือเกิน ก่อนจะหันหน้ามาสบตากันแล้วก็ได้แต่กระพริบตาปริบๆ
แม่งเอ๊ย ผมไม่ได้คิดไปเองจริงๆ นะ แต่วันนี้แอร์แม่งร้อนฉิบหายเลย!
1
“ไอ้เหี้ย! โคตรจี้ ฮ่าๆๆๆๆ”
ผมหรี่ตามองรูมเมทที่มือยัดขนมเข้าปากแล้วใช้เท้ากดรีโมททีวีอย่างคนไร้มารยาทแบบเอือมๆ หลังจากที่ลี้ภัยตัวเองจากการนัดบอร์ดของคุณหญิงแม่ได้นั้น ผมก็รีบชิ่งกลับมาที่หอทันทีอย่างชีวิตเศร้าหมอง รูมเมทที่เห็นใบหน้าอันไร้ซึ่งสภาวะความเป็นมนุษย์โผล่หัวเข้ามาในห้องก็ไล่ให้ผมไปอาบน้ำอาบท่าใหญ่ก่อนจะมาเล่าเรื่องราวโคตรสุดในเย็นวันนี้ ซึ่งมันก็คือหนึ่งในตัวต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องไปโผล่หน้าแห้งๆ อยู่ที่ภัตาคารเย็นนี้ด้วย
“แม่มึงนี่จินตนาการล้ำเลิศมากๆ”
“เออ แม่งคิดได้ไงวะว่ากูกับมึงจะได้กัน แค่กูพูดแค่นี้กูก็รู้สึกขนลุกเลยไอ้สัส”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ”
ไอ้บีม - รูมเมทที่พ่วงตำแหน่งเพื่อนสนิทตั้งแต่อนุบาลยันมหาลัยปีสาม เราสองคนนับว่าชีวิตนี้คงไม่มีใครคบจนต้องมาคบกันเองอยู่นานเป็นสิบกว่าปี ครอบครัวเราต่างก็รู้จักกันดี มีการไปมาหาสู่กันเป็นเรื่องปกติ แต่ที่ไม่ปกติก็ตรงที่แม่นั้นมักจะเข้ามาเห็นช่วงเวลาที่ไอ้บีมนั้นเข้ามากอดมานัวเนียกับผมเหมือนหมา ด้วยความที่มันเป็นลูกคนเล็ก และแม่มันก็นึกว่าตอนท้องมันเป็นเด็กผู้หญิง ประคบประหงมกันมาจนกลายเป็นคนมีนิสัยช่างอ้อน (มือและเท้า) ขี้ประจบประแจง ช่างพูด (มาก) ตามประสาลูกคนเล็กและถูกแอบเลี้ยงมาเหมือนเด็กผู้หญิงตั้งห้าปี มันเลยชอบมาวอแววุ่นวายกับตัวผมไม่ใช่น้อย ซึ่งในตอนแรกๆ แม่งก็รำคาญแหละ แต่หลังๆ มาก็คิดซะว่าให้มันฟัดไปจนพอใจเดี๋ยวมันก็เลิกทำ ซึ่งพอผมเฉยๆ แบบนั้นบ่อยครั้งที่เวลากลับบ้านแล้วมันมาบ้านผมคนอื่นที่ไม่เคยเห็นพฤติกรรมแบบนี้ของมันก็อาจจะเข้าใจผิดได้
เช่นแม่ของผมเป็นต้น
“แต่ก็ดีนะ มึงจะได้ไม่ต้องเสียเวลาหาผู้หญิงมาเป็นแฟน แม่มึงจัดให้เลยขนาดนี้”
“บางอย่างก็ให้กูเลือกเองบ้างก็ได้”
แม่ที่เห็นว่าความปลอดภัยของร่างกายผมนั้นหายไปก็เลยรีบหาเกราะป้องกันที่จะทำให้คุณเธอสบายใจขึ้นมาได้อย่างเช่น - การหาคู่หมั้นให้ลูกชาย - เป็นต้น
“หรือว่ากูควรย้ายออก?”
“ไม่ต้องหรอก ไม่ใช่เรื่อง”
ผมยักไหล่ ซึ่งมันก็ไม่เรื่องจริงๆ นั่นแหละที่จะให้บีมมันย้ายไปอยู่หออื่น เพราะยังไงห้องนี้ผมกับมันก็เซ็นสัญญาเช่าร่วมกัน อีกอย่างเรื่องการคิดไปเองของแม่ก็ไม่ควรทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ยอมรับการถูกคลุมถุงชนในปี 2017 แบบนี้แล้ว แต่ก็เห็นแก่ความสบายใจของแม่ผมก็เลยไม่ได้ว่าอะไร
“แล้วพี่เค้าสวยมั้ยวะ?”
“ก็สวย ลูกรองนางสาวไทย ไม่สวยได้แม่มาก็เป็นปมเกินไป”
แม่ของผมที่ไปเป็นเพื่อนกับรองนางสาวไทยได้ยังไงก็ไม่รู้นั้น แล้วสนิทกันมากด้วยนะ เคยคุยเล่นๆ กันว่าถ้ามีลูกจะจับให้ลูกแต่งงานกัน ตอนแรกก็คงเลือนๆ ความคิดนี้ไปแล้ว แต่หลังจากที่คุณเธอทนกับการละเล่นของไอ้บีมมันไม่ไหว กลัวใจจะลูกสะใภ้เป็นผู้ชายเลยไปรื้อฟื้นสัญญาความหลังกันอีท่าไหนไม่รู้จนฝ่ายนั้นดันตอบตกลง พร้อมกับจัดการนัดบอร์ดให้เราสองคนมานั่งมองหน้ากันเฉยๆ แบบช็อกๆ ไปไม่เป็นทั้งคู่
“แล้วพี่เค้าจะยอมหมั้นกับมึงเหรอ พี่เค้าคงไม่ตาต่ำเอามึงหรอกมั้ง”
“มึงด่ากูว่าหน้าเหี้ยเลยก็ได้นะ”
ผมยันเท้าใส่มันที่ดูทำท่าชอบใจเหลือคณา ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้หน้าตาหล่อเหลาเหมือนดารา สูงโปร่งแบบนายแบบ แต่ก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่พาเข้าวัดไม่ได้นะเว้ย!
“ชีวิตมึงนี่แม่งพีคจริง แต่กูว่าถ้ามึงไม่สบายใจมึงก็ควรบอกแม่มึงไปตรงๆ นะ”
“ถ้าแม่กูฟังกูบ้างก็ดีสิ”
ผมถอนหายใจก่อนจะไหลตัวลงไปนอนบนพื้นอย่างหมดท่า ในหัวของผมตีรวนกันเต็มไปหมด จะว่าตลกก็ตลกแต่มันดันเป็นเรื่องตลกที่เกิดขึ้นจริงๆ กับชีวิตเรียบๆ ของผมนี่ล่ะสิ
“งั้นกูสัญญาว่าจะไม่นัวเนียมึงอีก”
ไอ้บีมหันมายียิ้มลูกหมาใส่ก่อนจะตบเข้าที่ไหล่ของผมเบาๆ
“มึงพูดแบบนี้มาตั้งแต่ป.สี่กูก็ไม่เคยเห็นมึงทำได้สักที”
ผมเป็นนักศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์ที่อยู่ชั้นปีที่สามแล้ว จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจมาเรียนคณะนี้หรอกแต่โดนพ่อหลอกว่าเรียนคณิตแค่ตัวเดียว ผมก็เชื่อแล้วหลงมาเรียน ก็เรียนคณิตตัวเดียวจริงๆ นั่นแหละ แต่ต่อมาเรียนสแตทงี้ แมทอีค่อนงี้ ไม่รวมวิชาประยุกต์สารพัดอีก ก็ยังบากหน้าเรียนต่อมาเรื่อยๆ แม้จะบ่นว่าอยากตายทุกครั้งที่ต้องสอบมิดเทอมหรือไฟนอล
วันนี้ที่คณะมีสัมมนาเกี่ยวกับการแนะนำสายอาชีพที่น่าสนใจดีเลยลงชื่ออยู่ฟังต่อ แม้ว่าคนที่จะมาพูดให้ฟังจะหน้าคุ้น ชื่อคุ้นมากแค่ไหนก็ตาม
“อ้าวอีนัท ไม่กลับห้องหอไปหาเมียเหรอจ๊ะ?”
เสียงจีบปากจีบคอจากกระเทยแต่งบอยทำเอาผมต้องกลอกตามือลั่นไปตบหัวมันโดยอัตโนมัติโดยไม่ได้ ศักดิ์สิทธิ์หรือสเตจเนมว่าสิตาเป็นหัวหน้าชั้นปีที่ตามจิกตามทวงค่ารุ่นยิ่งกว่าเหรัญญิก ผมสนิทกับมันเพราะว่าเรียนร่วมเซคเดียวกันบ่อยๆ แล้วก็ลงชมรมกีฬาเดียวกัน จริงๆ ก็เป็นคนดีและเก่งใช้ได้ ยกเว้นแต่ปากมันนี่แหละที่ไม่ดี
“เมียก็เหี้ยละ ขยับเข้าไปดิ๊”
“มาแปลกนะมึงวันนี้ ปกติหลังสี่โมงหาไม่เจอนะจ๊ะ นู่น กลับรังรักเจอกันอีกทีแปดโมง”
“กูอยากฟังบ้างอะไรบ้างได้มั้ยล่ะ มึงนี่พูดมาก”
“วุ้ย สำนึกไว้ซะบ้างถ้าไม่มีกูมาพูดกับมึง จะมีใครมาคบมึงมั้ย”
ผมตีเบลอแล้วนั่งมองไปที่เวทีเบื้องหน้าแทน งานวันนี้จัดภายในห้องสโลปใหญ่ของคณะ ผมกับศักดิ์สิทธิ์ (ได้แต่เรียกมันแบบนี้ในใจเท่านั้นแหละ เรียกออกสื่อไม่ได้ เดี๋ยวเป็นการปลุกผีร้ายในตัวมันขึ้นมา) เลือกที่จะนั่งอยู่แถวบนๆ หน่อยเพราะพื้นที่ด้านหน้านั้นถูกหญิงสาวจับจองไปเป็นจำนวนมากจนอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมวันนี้ผู้หญิงมาฟังกันเยอะจังวะ
“วุ้ย เบื่อชะนี เติมปากจนแดงเหมือนปอบแล้วค่ะ”
“แต่งบอยแล้วทาลิปไม่ได้ก็อย่าพาลค่ะ”
ศักดิ์สิทธิ์หันไปแขวะปลา - เพื่อนผู้หญิงจริงๆ อีกคนของมันที่ตอนนี้กำลังแต่งหน้ากันใหญ่ ซึ่งผมก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าจะแต่งหน้าทำไมเวลานี้ เดี๋ยวแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็กลับบ้านอาบน้ำล้างหน้ากันแล้วไม่ใช่รึไง
“พลาดไม่ได้นะคะวันนี้ เกสที่มาหล่อมาก คอนเฟิร์ม!”
“หน้าตาดี มีรถขับ โทรศัพท์ถ่ายรูปได้ รวยด้วย”
น้ำตาลที่โผล่หน้ามาข้างๆ ปลาก็ร่วมคอนเฟิร์มกันอีกแรงจนผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าวันีี้ทำไมสาวๆ ดูจำนวนเยอะผิดปกติ ศักดิ์สิทธิ์ที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบควักถุงยังชีพที่เต็มไปด้วยเหล่าเครื่องสำอางของเจ้าตัวขึ้นมาผัดหน้าเต็มที่ คือบางอย่างแม่งก็งงมากว่าเอามาใช้ทำอะไร และถุงยังชีพของนางแม่งถุงใหญ่กว่ากระเป๋าดินสอที่พกมาทุกวันนี้อีกนะ
พอเริ่มใกล้ๆ ห้าโมงเย็นห้องสโลปก็ปิดประตู เสียงภายในเงียบลงพร้อมกับไฟด้านหลังห้องที่หรี่ลงเพื่อให้เวทีกลางเด่นขึ้นมา ผมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ในขณะที่สาวๆ ก็ตั้งตารอคอย ชะเง้อมองเกสที่วิทยากรเชิญมาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ช่วงแรกๆ วิทยากรก็เข้ามาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องปัญหาโลกแตกอย่างเรียนจบเศรษฐศาสตร์แล้วไปทำมาหากินอะไรได้บ้าง สาวๆ ที่ตั้งใจฟังในช่วงแรกๆ ก็เริ่มมียกโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น บ้างก็หันไปพูดกันเอง ซึ่งไม่ต่างกับสาวๆ ข้างๆ ผมที่ตอนนี้ยกโทรศัพท์มาถ่ายเซลฟี่กันเฉย ผมเพียงแค่ชูสองนิ้วให้แม้จะหันไปมองที่เวทีกลางก็ตาม ที่นั่งฝั่งซ้ายมือของผมว่างจนกระทั่งมีผู้ชายร่างสูงโปร่งที่รีบแทรกตัวเข้ามานั่งอย่างไว
“มีใครนั่งมั้ยครับ?”
“ไม่มีครับ”
ผมหันไปมองผู้ชายที่รีบสไลด์ตัวเข้ามานั่งอย่างรวดเร็ว ใบหน้าหล่อเหลาพร้อมสันกรามชัดๆ นั่นทำให้ผู้ชายคนนี้ดูดีขึ้นมาอย่างน่าประหลาด สีผิวที่เข้มกว่าผมไม่น้อยโผล่พ้นจากแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ถูกพับไปกองที่ข้อพับ กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่หอมประหลาด โดยรวมแล้วผู้ชายคนนี้ดูมีสเน่ห์บางอย่างที่ทำให้ใครแทบละสายตาไม่ได้
-แม้กระทั่งผม
“เอาละครับ เห็นสาวๆ ดูเบื่อๆ ผมแล้ว ผมขอเชิญเกสมาร่วมพูดคุยกันเลยดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลากัน ขอเสียงปรบมือให้กับคุณเจษฎากันหน่อยครับ”
เสียงปรบมือดังขึ้นทั่วห้อง ผมที่เอาแต่แอบมองเขาสะดุ้งขึ้นมาก่อนจะยกมือขึ้นมาปรบ ถ้าไม่ได้ขึ้นไปเองผมแอบเห็นเขายิ้มขึ้นมาที่มุมปากก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินลงไป สาวๆ ที่หันหน้ามามองก็กรี๊ด ไม่เว้นแม้แต่ศักดิ์สิทธิ์ที่เอาแต่ทึ้งแขนผมพร้อมกับกรีดร้องในลำคอแบบนั้น
“พ่อคุณเอ๊ย! หล่อมากค่าาาาาา”
“ตัวจริงหล่อกว่าในรูปเยอะเลย”
“คนนี้ของฉัน!”
เหล่าสาวๆ ที่กรีดร้องในลำคอและจ้องชายหนุ่มที่หุ่นดีเป็นบ้าแม้จะแยู่ในสภาพเชิ้ตพับแขนกับสแล็คสีอ่อนธรรมดาก็ตาม หลังจากที่เจ้าตัวรับไมค์มาก็โปรยยิ้มไปที เล่นเอาสาวๆ หลุดกรี๊ดกันเป็นแถบ
“สวัสดีครับ”
“โอ๊ย พ่อคุณเอ๊ย! เสียงยังหล่อ น่ากินมากกกก”
เสียงกรีดร้องคร่ำครวญจากศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกเสียงนุ่มทุ้มของชายหนุ่มเบื้องหน้าดึงเอาวิญญาณผีร้ายออกมา ผมหัวเราะให้กับอากัปกิริยาน่ารักแบบแปลกๆ ของศักดิ์สิทธิ์แอนด์เดอะแก็งก่อนจะกลับไปให้ความสนใจกับคนบนเวทีอีกครั้ง
“แนะนำตัวกันก่อน อ่า...ผมชื่อเจษฎานะครับ อายุไม่น่าจะห่างกับพวกคุณมากเรียกพี่ได้ไม่ว่ากัน”
มีการสอดแทรกมุขตลกแบบแป้กๆ แต่ก็พร้อมจะมีคนหัวเราะให้ ผมนั่งฟังเกี่ยวกับเส้นทางการทำงานของคุณเจษฎาคนนี้พร้อมกับความรู้สึกที่คุ้นหน้าคุ้นตามากๆ ว่าเหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ที่คุ้นกว่าคือนามสกุลที่คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยได้ยินมาเมื่อไม่นานมานี้
“มีใครมีอะไรสงสัย ถามมาได้เลยนะครับ”
“คุณเจษฎามีแฟนรึยังคะ?”
หญิงสาวแถวหน้าสุดยกมือถามพร้อมกับเสียงกรีดร้องลั่นห้อง คุณเจษฎามีการนิ่งไปสักพักก่อนจะยกยิ้มขึ้นมาที่ทำเอาคนมองลมหายใจแทบสะดุด
“ความลับครับ”
“กรี๊ดดดดดดดด”
“คนหน้าตาดีมักมีเมียแล้ว”
เสียงคร่ำครวญจากศักดิ์สิทธิ์และเหล่าสาวๆ ก็ทำให้คนบนเวทียิ้มขึ้นมาบางๆ ก่อนจะไปตอบคำถามอื่น - ที่มีสาระมากกว่านั้นมาก ก่อนงานสัมมนานี้จะจบลงก็มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเล็กน้อยๆ แล้วจึงเกิดการต่อแถวขอถ่ายเซลฟี่กับคุณเจษฎาหลังจากจบงานลง ผมรอให้คนทยอยออกห้องกันไป ล่ำลาศักดิ์สิทธิ์และเดอะแก็งก่อนจะเดินออกมาที่ลานจอดรถ
“ฮัลโหลแม่”
ผมถือโทรศัพท์ไปด้วยขณะที่หากุญแจรถในกระเป๋าเป้ตัวเอง
[ไม่ติดต่อกลับมาเลยนะยะ วันเสาร์นี้ว่างมั้ย?]
ลางสังหรณ์เริ่มเตือนว่าต้องมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน ผมพิงตัวเองไว้กับรถก่อนจะเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ที่น่าจะเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นหลังจากตอบคำของมารดาบังเกิดเกล้าไป
“ทำไมครับ?”
[เดี๋ยวนี้ถามไม่ได้แล้วเหรอว่าว่างมั้ย? ทำไม ไม่อยากกลับมาบ้าน มาเจอพ่อกับแม่เหรอ]
เจอดราม่าเข้าไปชุดใหญ่ ผมนี่แก้ตัวแทบไม่ทันเลย คุณหญิงแม่เธอก็ตัดพ้อแรงมาก เล่นเบอร์ใหญ่จนผมเริ่มสงสัยว่างอนจริงหรือออสการ์
[เห็นว่าเดือนนี้ไม่กลับมาที่บ้านเลย พ่อเค้าก็บ่นใหญ่ว่าอยากเจอลูก อยากอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา]
“โถ่ แม่ครับ ผมติดงานที่มหาลัย ไหนจะอาจารย์นัดเมคอัพอีก นี่ก็ไม่รู้ว่าอาทิตย์นี้จะโดนอีกมั้ย”
ถามว่าคิดถึงบ้านมั้ย ก็ตอบเลยว่ามาก ผมอยากกลับไปเล่นกับแมวที่บ้านใจจะขาด แต่ภาระงานที่เยอะฉิบหายหลังจากขึ้นปีสามมา ไหนจะเจออาจารย์นัดเมคอัพถี่ๆ เกือบทุกเสาร์ - อาทิตย์เลยทำให้ผมแทบไม่ได้โผล่หัวไปเจอหน้าครอบครัวหรือแมวที่บ้านเลย
[ไม่รู้แหละ ตกลงเสาร์นี้ว่างมั้ย]
“ก็ถ้าไม่มีอะไรก็คงว่างครับ”
[ดี งั้นกลับมาหาแม่หน่อย มานอนสักคืนให้แม่หายคิดถึง]
เอาจริงๆ เราก็เพิ่งเจอกันเมื่อสามวันที่แล้วนะครับแม่ ผมจำได้ เพราะผมไปนั่งหน้าแห้งอยู่ตั้งนานสองนาน!
[เราจะได้ไปทานข้าวที่บ้านน้องครีมกัน แม่นัดไว้แล้ว]
เหมือนถูกไม้ตีแสกหน้า ผมทำหน้าเบลอก่อนจะประมวณผลได้ว่าเสาร์นี้ต้องไปทานข้าวที่บ้านเพื่อนแม่ ซึ่งแม่นัดไว้แล้ว ส่วนเรื่องที่พ่ออยากเจอหน้านั้นเป็นแค่ประเด็นรองที่แม่เอามาพูดเท่านั้น
“ผมปฏิเสธไม่ได้ด้วยใช่มั้ย”
[ถูกต้องแล้วลูกรัก ฉลาดมาก สมแล้วที่แม่ส่งเสียไปร่ำเรียนถึงปริญญา]
ผมฟังแม่พูดถึงนัดไปทานข้าว - หรือนัดดูตัวอีกรอบหนึ่งอย่างปล่อยผ่าน ในตอนนี้ไม่รู้เลยว่าตัวเองรู้สึกอะไร กำลังคิดอะไร ได้แต่ตอบรับคำแม่ไปแล้วคุณเธอก็ชิ่งกดวางทันที
ทิ้งให้ผมยืนคว้างกลางลานจอดรถแบบนี้
เสียงปลดล็อกรถยนต์ดังขึ้นเรียกสติผมที่ยืนพิงรถตัวเองอย่างมึนงง หันไปตามเสียงก็พบกับร่างสมส่วนหุ่นนายแบบของเกสวันนี้เดินเข้ามา - แม่เอ๊ย ขนาดเดินมาที่รถเฉยๆ ยังทำให้พื้นที่ตรงนั้นเหมือนรันเวย์ได้ คนมันจะหล่อมันก็หล่อจริงๆ ว่ะ คุณเจษฎาเงยหน้ามาเจอผมก่อนที่เขาจะส่งยิ้มมาให้ คือผมควรทำยังไงวะ ควรยิ้มกลับไปมั้ย ถ้าเค้าไม่ได้ยิ้มให้เราจะหน้าแหกรึเปล่า ส่วนเค้าที่ยืนมองผมสติหลุดทะเลาะกับตัวเองก็หลุดหัวเราะขึ้นมาก่อนจะโบกมือให้
“ขับรถดีๆ นะครับ”
ผมได้แต่กระพริบตาปริบๆ มองคนที่เปิดประตูรถแล้วยืนมองมาที่ผมอย่างนั้น หันซ้ายหันขวาดูว่ามีใครแถวนี้รึเปล่า เพื่อให้แน่ใจว่าเขาคุยกับผมจริงๆ ไม่ใช่ว่าผมมโนทึกทักไปเอง ก่อนจะส่งยิ้มโง่ๆ และโบกมือกลับไป
“กลับดีๆ นะครับ”
เขายกรอยยิ้มขึ้นกว้างแล้วก็ก้าวเข้าไปในรถ รถยุโรปราคาไม่ใช่น้อยๆ เคลื่อนตัวออกไปจากบริเวณลานจอดรถ แต่ผมกลับยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นพร้อมกับความรู้สึกประหลาดที่มันคันยุบยิบในหัวใจ ได้แต่กระพริบตาเรียกสติตัวเอง ปลดล็อกรถแล้วเข้าไปนั่งข้างใน ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะเอนตัวไปกับพนัก ปิดเปลือกตาลงแต่กลับเห็นภาพรอยยิ้มของคนๆ นั้นชัดเกินไปจนต้องลืมตาขึ้นมา
นี่มันเรื่องบ้าเกินกว่าที่ตัวผมเองจะรับไหว
แม่ไม่ควรกลัวว่าผมกับบีมจะลุกขึ้นมากินกันเอง
แม่ควรจะกลัวที่ผมดันเผลอใจกระตุกตอนเห็นผู้ชายคนนั้นยิ้มให้ต่างหาก
------------------------------------------
ไม่ได้มาที่นี่นาน ลืมวิธีอัพไปแล้ว
สวัสดีค่ะ มาทักทายด้วยเรื่องสั้นน่ารักๆ หลังจากหายไปหลายปีมาก 55555
หากเจอข้อผิดพลาดตรงไหนหรือคำผิดแจ้งได้เลยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน และขอให้มีความสุขกับการอ่านนะคะ