~ ช่วงที่ ๑ ~
เมื่อยามดวงตะวันได้ลาลับขอบฟ้า ยามนี้เป็นเวลาอันสมควรที่จะกลับเรือนไปได้แล้ว แต่หญิงเจ้าของใบหน้ากลมมล ผิวสีน้ำผึ้ง ดวงตากลมสวยคมที่ขับให้ผมสีดำขลับดูโดดเด่น สวยงามสมกับกุลสตรียังนั่งอยู่บนเรือนของพระยาวิจิตร
“แม่อุบล เป็นอย่างไรบ้าง สำรับที่พวกบ่าวมันทำมาให้ถูกปากหรือไม่?” ชายชราผมสีดอกเลาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขัดกับใบหน้าที่ดูน่าเกรงขามสมกับที่เป็นพระยาและท่านเจ้าคุณของเรือน
“ถูกปากเจ้าค่ะ ท่านเจ้าคุณ” เธอตอบท่านเจ้าคุณด้วยท่วงท่าที่อ่อนช้อย
“ดีแล้วๆ เห็นแม่อุบลถูกปากกับสำรับที่พวกบ่าวมันทำมา ข้าก็โล่ง”
“เจ้าค่ะ แลมะปรางที่ริ้วมาให้รับเมื่อครู่ รสหวานกำลังดีเลยเจ้าค่ะ”
“งั้นรึ เห็นอ้ายแช่มมันไปเก็บมาจากสวนหลังเรือนนู่น ใช่หรือไม่อ้ายแช่ม?” เจ้าคุณหันไปมองชายรูปร่างกำยำผิวสีแทนไว้ผมทรงหลักแจว
“ขอรับ ท่านเจ้าคุณ กระผมเห็นลูกเหลืองสุกงอมน่ากินเลยเก็บมาให้ป้าแย้มจัดสำรับให้ท่านเจ้าคุณ”
“สงสัยคราวหน้าชั้นคงต้องขอแรงแช่มไปเก็บมะปรางมาให้อีกกระมัง” คุณอุบลหัวเราะน้อยๆพลางมองไปที่แช่มที่นั่งอยู่ข้างล่าง
“กระผมยินดีจักขึ้นไปเก็บให้คุณอุบลรับ ขอรับ”แช่มว่า
“ครั้งหน้าแม่อุบลลองมาทานแกงเขียวหวานไก่ฝีมือป้าเป็นอย่างไร?” เสียงทุ้มนุ่มของหญิงวัยกลางคนที่มีตำแหน่งเป็นภริยาของท่านเจ้าคุณวิจิตร
“อุบลจะรอทานแกงฝีมือคุณป้านะเจ้าค่ะ”
“แหม ช่างปากหวานเสียจริงนะแม่อุบล เห็นด้วยหรือไม พ่อปีย์?” คุณหญิงสร้อยหันไปมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ ใบหน้าคมแบบไทย ผิวเข้มแต่ไม่จัดมาก ดวงตาคมโตสีดำสนิท คิ้วดกหนาแต่ได้รูป สวมเสื้อคอกลมสีขาวกับโจงกระเบนสีน้ำเงินเข้ม
“ขอรับ จริงอย่างที่คุณแม่พูดขอรับ” ชายหนุ่มยิ้มให้อุบลนิดๆ
“ไม่จริงหรอกเจ้าค่ะ พี่ปีย์”
“พี่พูดความจริง แม่อุบลปากหวานจน คุณแม่พี่อยากได้มาเป็นลูกเรือนนี้แทนพี่เสียแล้ว” คุณหลวงปีย์หัวเราะพลางบุ้ยปากไปทางหญิงชราที่นั่งอยู่
“แม่อยากจะได้ลูกสะใภ้เสียมากกว่า ว่าอย่างไรแม่อุบล” คุณหญิงสร้อยมองหน้าอุบลที่ขึ้นสีแดงอย่างขวยเขิน
“เอ้า! เงียบไปเลยรึ สงสัยจะอายพ่อปีย์เสียกระมัง ฮ่าๆ”
“แม่สร้อยก็ไปแกล้งแม่อุบลทำไมเล่า นี้ก็ค่ำแล้วคืนนี้แม่อุบลค้างเสียที่นี้เลยละกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าจักให้พวกบ่าวพายเรือไปส่งที่เรือนให้” ท่านเจ้าคุณวิจิตรมองหน้าหญิงสาวด้วยแววตาเอ็นดู
“ขอบคุณมากเจ้าค่ะ” อุบลไหว้ท่านเจ้าคุณวิจิตร
“งั้นก็ขึ้นไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวป้าจักให้บ่าวมันจัดที่หลับที่นอนให้”
“เจ้าค่ะ คุณป้า”
หลังจากสำรับเย็นจบลงแล้ว อุบลออกมานั่งรับลมตรงชานหน้าห้องนอน เสียงฝีเท้าหนักของใครบางคน ทำให้อุบลหันไปมอง
“ยังไม่นอนอีกหรือแม่อุบล?” ชายหนุ่มเดินเข้ามานั่งข้างๆ อุบล
“อุบลยังไม่รู้สึกง่วงเลยเจ้าค่ะ พี่ปีย์” หญิงสาวตอบชายหนุ่มข้างตัว
“สงสัยพี่คงจักต้องลูบหัวแม่อุบล เหมือนตอนเด็กๆเสียแล้วกระมัง จักได้นอนหลับ” คุณหลวงปีย์หัวเราะนิดๆ
“น้องมิใช่เด็กๆแล้วนะเจ้าค่ะ” สาวเจ้าหันมองค้อนไปหนึ่งวง
“ลองดูไมเล่า จะได้รู้ว่าเด็กจริงหรือไม่” ชายหนุ่มเอือมไปลูบหัวอุบลเบาๆด้วยความรักใคร่ความเอ็นดู แววตาอ่อนโยนของหลวงปีย์ทำให้ใจของอุบลเต้นแรง
“ก็เป็นแบบนี้เสียทุกทีแหละเจ้าค่ะ” อุบลรักหลวงปีย์มาตั้งแต่เด็ก หากแต่ไม่ใช่ความรักแบบพี่น้อง แต่เป็นความรักที่หญิงสาวคนหนึ่งพึงจะมีให้ชายที่ตนเองรัก แม้ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายคิดเช่นไร แต่อุบลก็คิดว่าอีกฝ่ายคงจะชอบพอเธอเช่นเดียวกัน เพียงแต่ไม่กล้าที่จะบอกเท่านั้น
“ฮ่าๆ คงจักนอนได้แล้วกระมัง” หลวงปีย์กล่าวก่อนจะผละมือออก ฝ่ามือร้อนอุ่นที่ค่อยลูบหัวอุบลอย่างอ่อนโยนเสมอด้วยความรักใคร่เอ็นดู หญิงสาวได้แต่ภาวนาให้มือนั้นยังคงลูบหัวต่อไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม อยากให้ฝ่ามือร้อนนั้นค่อยลูบหัวเธอแต่เพียงผู้เดียว..........
จนวันนึง.........
..........................................................................
~ ช่วงที่ ๒ ~
จนวันนึง.........
“สวัสดีขอรับ คุณหลวงวิจักขณ์” เสียงทุ้มของบุคคลปริศนาที่ตอนนี้ยืนข้างๆพระยาวิจิตร ปีย์รับไหว้ชายหนุ่มตรงหน้า ใบหน้านวลใส ไว้ผมรองทรง ดวงตาดำขลับ แต่กลับดึงดูดสายตาปีย์ไว้เป็นอย่างดี
“พ่อปีย์ นี้พ่อบุนนาค พ่อจักให้เขามาช่วยงานพ่อ จักได้ช่วยกันแบ่งเบาภาระ” เจ้าคุณวิจิตรแนะนำคนตรงหน้าให้ปีย์รู้จัก
“เราดีใจเสียจริงที่มีคนจักมาช่วยงานเรา” ปีย์ยิ้มให้ชายหนุ่มตรงหน้า
“กระผมจักตั้งใจทำงานขอรับ คุณหลวง” อีกฝ่ายยิ้มตอบกลับมาให้หลวงปีย์
“งั้นข้าขอตัวก่อนนะพ่อบุนนาค อยู่กับหลวงแกไปก่อน จักได้สนิทกันเร็วๆ” พระยาวิจิตรว่าเสร็จก็เดินออกไป
เมื่อพระยาวิจิตรเดินออกไปทั้งสองเอาแต่เงียบ บุนนาคเอาแต่เงียบก้มหน้าเพราะไม่รู้จะพูดอะไรกับคุณหลวงที่อยู่ตรงหน้าดี ฝ่ายคุณหลวงวิจักขณ์หรือหลวงปีย์ก็เอาแต่ก้มมองอีกฝ่ายที่ยืนเกร็งอยู่แล้วหลุดขำออกมาเบาๆ จนทำให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามองอย่างรวดเร็ว
“ขำอะไรหรือขอรับ คุณหลวง” ชายหนุ่มจ้องหน้าคุณหลวงที่ยิ้มส่งมาให้
“ขำพ่อนะซิ ไม่เห็นจักต้องกลัวเราขนาดนั้นเลย เราไม่ทำอะไรพ่อบุนนาคดอก”
“กระผมมิได้กลัวคุณหลวงขอรับ เพียงแต่มิรู้จะพูดอะไรดี” บุนนาคเบือนสายตาออกจากร่างสูง
“เอ้า เป็นอย่างงั้นรึ เรานึกว่าพ่อกลัวเราเสียอีก” หลวงปีย์ยิ้มให้บุนนาคอย่างเอ็นดู
“.............” อีกฝ่ายเงียบไป อาจเพราะไม่มีอะไรจะพูดหรืออาจจะเป็นเพราะรอยยิ้มของหลวงปีย์ก็ไม่ทราบที่ทำให้บุนนาคเงียบ
“เงียบเลยหรือพ่อบุนนาค เราแค่แกล้งพ่อเฉยๆดอก หรือพ่อโกรธที่เราแกล้งพ่อ”
“กระผมไม่ได้โกรธขอรับ แค่ไม่รู้จักพูดอะไร”
“เราขอถามพ่อเรื่องนึงได้หรือไม่?” ชายหนุ่มมองหน้าคนตรงหน้า
“ถ้าเป็นเรื่องที่กระผมตอบได้ก็จักตอบ ขอรับ”
“เหตุใดชื่อของพ่อถึงเป็นชื่อดอกไม้เล่า?”
“แม่ของกระผมชอบดอกบุนนาคแล้วก็อยากได้ลูกสาว เลยตั้งชื่อกระผมว่าบุนนาคขอรับ”
“เราก็ว่าทำไมชื่อพ่อถึงเหมือนผู้หญิงนัก เราขอเรียกว่าพ่อบุนได้หรือไม่? บุนนาคมันยาวไป”
“ได้ขอรับ คุณหลวง”
“พ่อบุน”
“ขอรับ คุณหลวง”
“พ่อบุน”
“มีอะไรหรือขอ....รับ คุณหลวง” ชายหนุ่มมองมือของคุณหลวงที่กำลังหยิบดอกแก้วออกจากหัว แล้วหยิบดอกแก้วมาหลับตาสูบดมกลิ่นของมัน เมื่อหลวงปีย์ลืมตาขึ้นก็สบตากับบุนนาค
“กลิ่นดอกแก้วหรือ จะสู้กลิ่นหอมของดอกบุนนาคบนตัวน้อง”หลวงปีย์จ้องมองใบหน้าขึ้นสีของคนตรงหน้าที่คล้ายกับกลีบดอกบุนนาคสีชมพู่อ่อนๆ
“แต่กระผมว่าดอกแก้วหอมกว่าขอรับ”
“แต่เราว่าบุนนาคหอมนัก” คุณหลวงสบตาบุนนาคเนิ่นนานพลางเอื้อมไปลูบไรผมสีดำขลับก่อนจะไล่มาที่แก้มที่ขึ้นสีแดงระเรื่อ น่ารักน่าชังจนชายนุ่มอดใจที่จะแกล้งไว้ไม่ไหว
“แก้มของพ่อบุนขึ้นสียังกับดอกบุนนาค”
“พอเถอะขอรับ คุณหลวง ประเดี๋ยวใครมาเห็นเข้ามันจักไม่ดี” บุนนาคจับมือของหลวงปีย์ออกจากแก้มร้อนของตัวเอง
“เราไม่แกล้งแล้วพ่อ” หลวงปีย์ขำนิดๆกับท่าทางของชายหนุ่มตรงหน้า ในเวลานี้ทั้งสองอาจจะไม่รู้ว่าหัวใจของอีกฝ่ายเริ่มที่จะมีความรู้สึกเล็กๆเกิดขึ้นต่อกันและในสักวันหนึ่งมันจะยิ่งใหญ่กว่าตอนแรกพบสบตา แต่ในขณะที่ความรู้สึกระหว่างหลวงปีย์และบุนนาคกำลังดำเนินไปอยู่นั้น หากแต่ความรู้สึกของใครสักคนก็เริ่มที่จะก่อตัวขึ้นเป็นเมฆฝนแล้วเช่นกัน..........
..........................................................................
ปล1.ลงช่วงแรกก่อนนะคะ เรื่องสั้นนี้มีสามช่วง ช่วงแรกๆจะเป็นของคุณอุบลนะคะ
ส่วนช่วงที่สองจะเจอตัวละครหลักมีฉากสวีทนิดๆ
ปล.2ลงช่วงที่สองแล้วค่ะ เจอกันสักที อิอิ