เวลาเที่ยงคืนสองนาทีที่แสดงบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือแบบดิจิตอลทำให้ผมชะงักไปวูบหนึ่ง
“ดึกป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย” ผมพึมพำ
แต่ก็ไม่มีความคิดที่จะหันหลังเดินกลับไปทางเดิม
ผมปล่อยให้แขนแนบลำตัว แล้วเดินลากเท้าไปเหมือนวิญญาณที่ล่องลอยไปตามท้องถนน ไร้ที่อยู่ ไร้ที่อาศัย และไร้เงิน แสงสีส้มจากโคมไฟสูงตระหง่านพาให้ดวงตาผมพร่ามัว ผมเลือกทางที่เปลี่ยวและไม่ค่อยมีคนใช้เนื่องจากมันทั้งมืด ไม่มีบ้านเรือนรอบข้าง มีแต่พงหญ้าสูงขึ้นประปรายล้อมรอบถนน และมักได้ข่าวเรื่องการดักปล้นชุกชุม แต่ผมไม่กลัวหรอก เอาไปเลย เอาตัวผมไปเลย จะฆ่าผมเลยก็ได้ ผมยินดีอยู่แล้ว
เพราะผมไม่มีอะไรที่ต้องเสียไปอีกแล้วไงล่ะ
ทั้งที่เป็นช่วงฤดูฝนแต่อากาศรอบข้างกลับอบอ้าว ก่อนจะเดินมาถึงนี่ผมสวมแจ๊กเก็ตเนื้อหนาไว้กันฝนกันหนาวเอาไว้ ทว่าเมื่อสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่ทำให้เหงื่อไหลซึมตามไรผมเป็นหยดๆ แล้วผมก็จำใจต้องถอดออกและผูกไว้รอบเอว เหลือเพียงเสื้อยืดสีดำตัวบางๆ กับกางเกงยีนเท่านั้น
ลมร้อนพัดมาอีกระลอก ปลายต้นหญ้าวูบไหว แสงไฟสีส้มทำให้เห็นดาวบนท้องฟ้าไม่ชัดเอาเสียเลย ผมก้มมองนาฬิกาซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับมันมีเศษเหรียญติดอยู่ตรงนั้น จิตใจผมเลื่อนลอย ก้าวออกไปอย่างไร้จุดหมาย รู้สึกว่าเพียงลมพัดแผ่วเบาก็สามารถทำให้ร่างกายทรุดลงได้ในทันที แต่ผมก็ฝืนยื้อตัวเองไว้
ขอแค่ออกไปจากเมืองนี้ได้ ไปให้ไกล ไปให้ไกลจากที่นี่
ผมก็จะไม่เป็นไร
ในขณะที่กำลังมองหาที่ซุกหัวนอนสำหรับคืนนี้ ผมประเมินดูตัวเองแล้วยังไงก็คิดว่าเดินต่อไปไม่รอดแน่ ต้องรีบเข้าเมืองและหาก๊อกน้ำสำหรับดื่มในเช้าวันถัดไป พลังงานเป็นสิ่งจำเป็นมากแม้ว่าผมจะไม่มีเศษขนมปังใดๆ ติดตัวเลยก็ตาม แสงสว่างที่ตัดกับความมืดและแสงนวลสีส้มเหนือหัวผมก็เริ่มเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ผมคิดว่าคงเป็นแค่มอเตอร์ไซค์ที่ผ่านทางมา แต่ผมคิดผิด
มันเป็นรถตำรวจ
ผมรู้สึกหัวใจหยุดเต้น พลันคิดถึงสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้น…ไม่ ผมยังไม่ถูกแจ้งความคนหายหรอก ไม่ ไม่แน่ๆ เขาไม่มีวันโทรหาตำรวจและเล่าเรื่องผมให้คนพวกนั้นฟังแน่ๆ เขาระมัดระวังตัวดีจะตาย เขาไม่มีทางทำ ผมเชื่อเช่นนั้นแต่ก็ยังอดหวาดหวั่นไม่ได้ ตำรวจจะสงสัยรึเปล่าว่าผมมาเดินแถวนี้ทำไม ผมควรกระโจนเข้าพุ่มหญ้า หรือเดินไปนิ่งๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นดี จะหาข้อแก้ตัวกับเหตุผลมารองรับแบบไหน จะพูดยังไงไม่ให้น่าสงสัย ทำยังไงดี ทำยังไงดี
ผมกัดปาก
และวินาทีสุดท้ายที่รถตำรวจได้เข้ามาจอดประชิดข้างๆ ตัวผมก็มาถึง ผมไร้โอกาสที่จะวิ่งหนีแล้วจึงฝืนทำตัวนิ่งเฉย หันไปมองหน้าตำรวจในชุดเสื้อยืดขอบแดงคนหนึ่ง หน้าตาเขาดูเด็กกว่าพวกตำรวจตัวอวบอ้วนและแก่หงำเหงือกอวดดีที่ออกข่าวในทีวีมาก ท่าทางจะเป็นตำรวจเพิ่งเข้ามาประจำการใหม่ เขาลดกระจกลงเพื่อที่จะมาคุยกับผม และผมก็ใช้สายตาทำท่าเหมือนว่าเขากำลังเสือกชีวิตสุขีของผมอยู่เต็มประดา
“เจ้าหนู มาทำอะไรแถวนี้”
ผมกลืนน้ำลายลงก่อนจะตอบ “บังเอิญรถมอไซค์ผมเสียก็เลยต้องเดินครับ บ้านผมอยู่ในเมืองถัดไปนู่น”
“รถมอไซค์เหรอ พี่ไม่เห็นรถอะไรจอดอยู่ก่อนหน้านี้เลยนะ”
ผมแสร้งกลอกตา
“ผมซ่อนไว้รึเปล่าล่ะ กะว่าจะเรียกช่างไปซ่อมไง”
“แล้วมือถงมือถือทำไมไม่เรียกให้ช่างมาซ่อม หรือให้คนรู้จักมารับ”
“มือถือผมหาย”
“ไปโบกรถสองแถวในเมืองก่อนก็ได้นี่”
“กระเป๋าผมถูกวิ่งราว”
“…”
“…”
“รอเดี๋ยวนะ”
ผมยักไหล่ตามสบาย แล้วเขาก็แวบเข้าไปในรถเหมือนโทรหาใครสักคนอยู่ ผมภาวนาว่าแค่ข้อความฉุกเฉินจากคนรู้จักเขาเข้ามา หรืออาจจะเป็นสายจากคนใหญ่คนโตให้ออกไปรับเสด็จทุกเช้า ผมอาศัยจังหวะที่เขาหายเข้าไปข้างในเดินต่อไป พยายามเลียบๆ เคียงๆ เข้าพุ่มไม้ ถ้าเขาใช้เวลานานมากพอผมก็อาจหลบไปจากที่นี่ได้สักที
ผมซุกมือเข้ากระเป๋าแจ็กเก็ตที่ผูกเอวไว้ อากาศร้อนอบอ้าว แต่ตัวผมนั้นกำลังสั่น
“เดี๋ยว จะไปไหน” จู่ๆ แขนของผมก็ถูกคว้าไว้ให้หันหลังกลับไปตามแรงดึง ผมมองหน้าเขาแล้วเสหันไปมองสิ่งอื่น ก่อนจะตอบด้วยเสียงที่เหมือนรำคาญเต็มทน
“จะอะไรล่ะ ก็เดินกลับบ้านไง ผมไม่ว่างพอจะมาเล่นบทคอนเวอร์เซชั่นนักท่องเที่ยวหรอกนะ”
“ขึ้นรถสิ” เขายักหน้าไปทางรถที่ยังเปิดไฟสว่างจ้าจนเห็นฝุ่นละอองของดินที่ปลิวว่อนไปตามอากาศ
ผมเบิกตากว้าง พยายามดึงแขนกลับ “ทำไมผมต้องขึ้นรถพี่ด้วย ผมจะกลับบ้าน”
“ก็จะไปส่งให้ไง ไม่ดีเหรอ จะเดินไปคนเดียวเดี่ยวๆ รอคนมาดักปล้น หรือจะนั่งรถสบายๆ ไปกับตำรวจอย่างพี่ เออ ลืมไป กระเป๋าเราถูกวิ่งราวนี่หว่า”
ประโยคสุดท้ายเขามองหน้าผมเหมือนมีเลศนัยบางอย่าง สัญชาติญาณบอกผมให้วิ่งหนี ผมไม่อยากขึ้นรถกับผู้ชายคนนี้ ไม่ ไม่เด็ดขาด ผมพยายามหาข้ออ้างมาปฏิเสธ แต่เขาก็หยุดปากผมด้วยการใช้แรงของคนที่ตัวใหญ่กว่า และจบเพิ่งจบวิทยาลัยตำรวจในการลากตัวผมไปยังตัวรถ เปิดประตู และผลักเข้าไป
ผมต้องการเปิดประตูและวิ่งหนี แต่รู้ดีว่าหากทำเช่นนั้นแล้วพิรุธต้องเกิดแน่ๆ และตำรวจคนนี้ก็จะสงสัยและหักเลี้ยวรถพาผมไปโรงพักเพื่อซักถามความจริง ผมจึงพยายามสงบจิตสงบใจลง บางทีเขาอาจจะพาผมเข้าเมืองข้างหน้าอย่างที่บอกให้ก็ได้ ผมได้แต่ภาวนา
“เราอายุเท่าไหร่” เขาถามหลังจากขึ้นมาบนรถแล้ว
“…17”
“ดึกๆ ค่ำๆ ป่านนี้พ่อแม่ก็ยอมให้ออกจากบ้านมาเนอะ”
ผมเงียบ ฟังเสียงแอร์ที่เป่าออกมาอย่างแรงด้วยระดับเบอร์ 3 จากข้างนอกที่อบอ้าว มาสู่ข้างในที่เย็นในทันทีทำให้ผมหนาวสั่น รีบปิดช่องแอร์ลงแล้วนั่งกอดอก พิงอยู่กับเบาะรถ นายตำรวจมองผมแวบหนึ่ง ก่อนจะใส่เกียร์และเหยียบคันเร่งออกไป
บรรยากาศระหว่างเรามีแต่เสียงหัวใจเต้นในอกและการหายใจอย่างระมัดระวังของผม และเสียงวิทยุสื่อสารที่วางไว้บนคอนโซลหน้ารถซึ่งดังขึ้นมาเป็นบางครั้งบางคราว ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ผมได้แต่หันหน้าไปทางหน้าต่าง มองทิวทัศน์วังเวงโดยรอบและแสงไฟสีส้มแสบตาจากโคมไฟข้างทาง ก่อนมันจะดับหายไปหลายนาที และส่องแสงขึ้นมาใหม่ เพราะถนนนี้ไม่มีคนใช้มันจึงไม่ได้รับการดูแลอะไรมากมายนัก แค่มีดวงไฟส่องตลอดทางแม้จะห่างกันเป็นร้อยเมตรก็ถือว่าดีถมถืดแล้ว
“แล้วบ้านเราอยู่แถวไหน เดี๋ยวไปส่ง”
ก็ต้องอย่างนั้นอยู่แล้วรึเปล่า ผมแอบเบ้ปากในใจ
“แถว…ปากน้ำครับ”
แถวนั้นโรงงานเยอะดี หากโชคดีผมอาจจะขอทำงานเป็นคนขัดส้วมเก็บตังค์ไปสักเดือนสองเดือนก่อนจะออกเดินทางต่อได้
หางตาผมเห็นว่าเขาหันหน้ามามองผมแวบหนึ่งก่อนจะหันไปมองข้างหน้าต่อ ผมถือว่าเขาเข้าใจและไม่ต้องอธิบายซ้ำแล้วจึงนั่งเอาหัวพิงกับเบาะเงียบๆ ฟังเสียงวิทยุที่จู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมากลางความเงียบ สมองผมเริ่มพร่ามัวและพร้อมที่จะปิดตัวลงเพื่อพักผ่อนเต็มที่แล้วเนื่องจากเดินผ่านอากาศร้อนอบอ้าวและเสียเหงื่อมาทั้งวัน แต่ผมจะหลับไม่ได้ ผมยื้อตัวเองไว้ขณะดวงตาเริ่มพร่าลอย
ไม่รู้ว่าแถวเป้าหมายปลายทางจากที่นี่ไกลจะสักเท่าไหร่เพราะรถเคลื่อนไปสักพักแล้วก็ยังไม่ถึงที่หมายสักที ผมหลับตาลงเพื่อพักสายตาแต่ก็พยายามจับสังเกตรอบข้างด้วยเสียงและวิทยุ จนกระทั่งความอดทนเริ่มคลอนแคลนผมจึงลืมตาเพื่อหันไปถามเขา
“ทำไมยังไม่ถึงอีก รถติดเหรอ”
…ถนน เกาะกลางถนน บ้านเรือน ร้านค้า และตึกสูงตระหง่าน ช่างเป็นภาพที่ผมรู้สึกคุ้นตาเสียจนพานให้สัญญาณเตือนภัยในใจดังขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้มันดังถี่จนหัวใจผมเต้นระรัว เหงื่อซึมทั้งที่มือเย็นเยียบ ผมมองบ้านเรือนรอบข้างก่อนจะลากสายตาที่แข็งกร้าวไปหาคนที่กำลังขับรถ
“มัน…มันไม่ใช่ที่ที่ผมบอกให้พี่ไปส่งนี่ พี่จะไปไหน”
เขาไม่ตอบ ทำแค่ขับต่อไป
ทันใดนั้นเสียงวิทยุก็ดังขึ้น
มันทำหน้าที่เป็นสัญญาณที่ทำให้สติสัมปชัญญะของผมแตกสลาย
เสียงซ่าๆ ที่ฟังไม่รู้เรื่องพูดงึมงำอะไรบางอย่าง มันหยุดไปสักพักและดังขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ผมฟังมันออกได้ดียิ่งกว่าครั้งไหนๆ
เด็กหาย เด็กหาย หาตัวเจอยัง
“กำลังพาไป”
ผมมองนายตำรวจที่โน้มตัวเข้าไปกรอกเสียงตอบวิทยุด้วยความรู้สึกราวกับโลกแตกสลาย แม้แต่ตำรวจก็ไม่สามารถไว้ใจได้ ไม่สิ…คนบนโลกนี้ ทั้งหมด ทุกคนไว้ใจไม่ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าใครก็ตาม ผมหันมาเปิดประตูรถอย่างบ้าคลั่ง ทุบตีมันจนมือทั้งสองข้างบวมระบม และก็เป็นไปตามที่คิด มันถูกล็อก…จากปุ่มควบคุมที่อยู่อีกฟาก อยู่ใกล้มือของเขา
“พี่ทำแบบนี้ทำไม” ผมถามเสียงแหบแห้ง
“เรากำลังหนีออกจากบ้านใช่มั้ย มันเป็นหน้าที่ของพี่ พี่ไม่สามารถทำให้เราต้องออกไปลำบากข้างนอกได้ เราต้องกลับบ้าน รู้มั้ยว่าคนในครอบครัวเราเป็นห่วงอยู่”
โกหก
โกหก
ไม่มีใครรอผมอยู่ทั้งนั้น
ไม่มีใครเป็นห่วงผม
ไม่มีใคร
ไม่มีใคร
ผมพยายามปลดล็อกประตูซ้ำแล้วซ้ำเล่า พยายามอยู่อย่างนั้นแม้จะรู้ว่ามันไม่มีปฏิหาริย์ใดๆ ที่จะทำให้ประตูบังเอิญปลดล็อกให้ผมได้ ผมกรีดร้องในใจ ด่าทอโชคชะตา เกลียดผู้ชายตรงหน้าที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นพลเมืองดีทั้งๆ ที่เขากำลัง…ทำลายชีวิตผม
น้ำตาของผมไหลออกมาเมื่อรถได้จอดลงที่หน้าสิ่งปลูกสร้างขนาดกลาง ไม่เล็กไม่ใหญ่ มีสวนไม้ประดับล้อมรอบบ้าน โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่ ประตูหน้าบ้านสีไม้ซีด และบรรยากาศรอบข้างที่เงียบกริบ
ผมนั่งคุดคู้อยู่ในรถ ปล่อยให้น้ำตาไหลเช็ดหัวเข่า ยังไงก็ไม่ยอมลงไปเด็ดขาด ผมพยายามกลั้นเสียงสะอื้นไว้แต่ก็ยังเล็ดลอดออกไปจนเหมือนจะไปทำให้ใครบางคนเห็นใจเข้า
นายตำรวจจอมโกหกมองผมด้วยสายตาเวทนา เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้หมายจะลูบหัวปลอบ แต่ผมปัดทิ้ง จ้องหน้าเขานิ่ง “คุณกำลังทำลายชีวิตของเด็กคนหนึ่ง รู้ตัวรึเปล่า”
เขาขมวดคิ้วน้อยๆ กับสรรพนามที่เปลี่ยนไป
“พี่แค่พยายามจะช่วยเด็กคนหนึ่งเท่านั้น ปัญหาสังคมตอนนี้มันมีมากอยู่แล้ว อย่าเพิ่มภาระให้คนรอบข้างอีกเลย”
ผมทำเพียงแค่นหัวเราะ ไม่ตอบอะไร
ผมน่าจะมีแผนที่ดีกว่าการเดินเตร็ดเตร่หาที่ตายข้างถนนไปวันๆ
ผมน่าจะหาเวลาสองสามนาทีวิ่งไปซื้อยานอนหลับที่ร้านขายยาและกลับมาบ้านให้ตรงเวลา
ผมน่าจะหาของมีคมสักอย่างและหาทางจัดการกับมันด้วยการทำให้มันทะลุตัวผม
ผมน่าจะ
น่าจะ
น่าจะ
ฆ่าตัวตายซะ
“มาเถอะ เราควรพักผ่อนได้แล้ว พรุ่งนี้มีเรียนไม่ใช่รึไง” เขาลงจากรถเพื่อเดินอ้อมมาหาผม ประตูถูกเปิดออกอย่างช้าๆ ทว่าผมยังไม่ยอมขยับ นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นจนเขาต้องพยายามดึงผมลงมาจากรถแทน
และในช่วงจังหวะและโอกาสทีเผลอ
คุณรู้มั้ยผมทำอะไร
ใช่แล้ว
รู้ทั้งรู้ว่ามันอาจไม่มีโอกาสใดๆ อีกต่อไปแล้วนับจากนี้แต่ผมก็ยังออกตัววิ่ง วิ่ง วิ่งไปให้สุดแรง ได้ยินเสียงตะโกนตกใจจากเบื้องหลังแต่ผมก็ไม่ได้หันกลับไป ผมวิ่งอย่างทุลักทุเลและรองเท้าได้ปลิวหายไปเมื่อพบว่าอีกฝ่ายได้วิ่งตามมาด้วย ถนนในเวลานี้โล่งเสียจนเหมือนแค่มีสัญญาณไฟจราจรติดประดับไว้เท่านั้น
แต่แล้วไขลานแห่งโชคชะตาก็ชะงักกึกราวกับจงใจ ผมสะดุดเท้าตัวเอง เอนล้มไปข้างหน้าไถลไปเป็นทางยาว ท่าทางหมดสภาพดูไม่จืดสิ้นดี หางตาผมเหลือบมองเห็นร่างร่างหนึ่งที่วิ่งตามหลังมา ในใจก็รู้ตัวแล้วว่าดิ้นรนวิ่งหนีต่อไปก็ไร้ประโยชน์ ผมสู้แรงเด็กที่เพิ่งจบมาจากวิทยาลัยตำรวจมาหมาดๆ ไม่ได้แน่
ผมยันตัวขึ้น หอบตัวโยน เมื่อลองขยับขาดูก็ได้รู้ว่าข้อเท้าพลิกจนแค่ขยับนิ้วก้อยก็แทบจะน้ำตาเล็ด
คุณตำรวจวิ่งเข้ามาใกล้ ทันทีที่เขาเห็นผมล้มลงก็ยิ่งวิ่งเข้ามาเร็วขึ้น เขาหยุดหอบหายใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้นแล้วใช้สายตาสำรวจผมที่ยังดื้อรั้นจะลุกขึ้น ก่อนจะตำหนิ
“สารรูปดูไม่ได้เลยนะ รองเท้าปลิวไปนู่นแล้ว” ถึงจะพูดบ่นแต่ก็ยอมย่อตัวลงมาจับตัวผมเพื่อพยุงขึ้น ผมที่หมดแรงและหนทางจึงจำใจรับการช่วยเหลือนั้นแต่โดยดี ผมขากะเพลก รู้สึกเจ็บมากจนแทบจะทรุดตัวลงอีกครั้ง นายตำรวจจึงจับมือผมให้เกาะไหล่เขาไว้แน่นๆ ก่อนจะช้อนตัวผมขึ้นมาไว้ในท่าอุ้มเจ้าหญิง
“อย่าคิดดิ้นหนีอีกเชียว รู้ตัวแล้วใช่มั้ยว่าวิ่งยังไงก็ไปไม่รอดแล้ว”
เขาพูดถูก
ผมไม่รอดแล้ว
แม้แต่ขาทั้งสองข้างก็ยังทรยศเจ้านายเจ้าร่างกายตัวเอง
ไม่สิ ร่างกายนี้ไม่ใช่ของผมซะทีเดียวหรอก
ผมพิงหัวซุกอก ปล่อยให้เขาเดินไปเก็บรองเท้าที่กระจัดกระจายของผม ระยะทางที่เราวิ่งมาค่อนข้างจะไกลและซับซ้อนเพราะเป็นในซอยที่มีแยกเยอะอย่างกับอะไรดี ไม่รู้ว่าเขาจะจำเส้นทางได้มั้ยแต่เดาว่าได้ ผมหลับตา ฟังเสียงลมหายใจเป็นจังหวะและเสียงหัวใจเต้นในแผ่นอกของคนข้างบน เขากระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น ทำให้ผมรู้สึกอุ่นขึ้นจนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผ่อนคลายลงแม้จะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น กลิ่นเหงื่ออ่อนๆ ผสมกับกลิ่นโคโลนและกลิ่นของเวลายามดึกที่เงียบสงัด ผมปล่อยให้ฟันเฟืองที่เก่าร้าวพยายามดิ้นรนหมุนวนด้วยตัวมันเองเงียบๆ
และรอคอยให้มันกระเด็นหลุดออกจากกัน
เสียงกดกริ่งที่รั้วบ้านดังกังวาน เป็นจังหวะที่ผมเคยชอบฟังที่สุด เป็นสัญญาณว่าชะตากรรมของผมมาถึงแล้ว
เจ้าของอ้อมแขนที่โอบตัวผมขยับถอยห่างออกจากประตูรั้วเล็กน้อยเพื่อรอคอยเจ้าของบ้าน ผมรู้สึกหนาวเหน็บทั้งที่อุณหภูมิร่างกายของผู้ชายคนนี้สูงเหมือนเพิ่งผ่านการวิ่งมาราธอนมาหลายสิบกิโลเมตร อากาศร้อนอบอ้าว แต่ในใจผมกลับรู้สึกเย็นเฉียบ
เสียงเปิดประตูดังขึ้น เจ้าของบ้านคงโผล่มาแล้ว
ทั้งที่รู้ว่าไม่มีโอกาสเหลืออีกต่อไปแล้ว แต่ผมก็ยังพึมพำอ้อนวอน “ช่วยพาผมหนีไปที ผมไม่อยากจะอยู่ที่นี่ ได้โปรด ได้โปรด ช่วยผมด้วย…ฮึก…ฮึก”
“พี่ขอโทษนะน้องชาย” เขากระซิบ “แต่พ่อของเราเขามารับแล้วนะ”
ประตูรั้วเหล็กถูกเปิดพร้อมๆ กับการปรากฏตัวของชายคนหนึ่ง โดยทางกฎหมายเขาเป็นพ่อของผม เขาผู้มีรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าที่มักจะประดับไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน แววตาของเขาเจือแววอบอุ่นเต็มเปี่ยม ละแวกข้างเคียงต่างรู้จักเขาดีว่าเขาคือใคร เขาคือพ่อหม้ายเลี้ยงเดี่ยวที่ทั้งหล่อเหลา สุขุมนุ่มลึก และมีชื่อเสียงเป็นถึงนักเขียนนวนิยายแนวสือสวนสอบสวนชื่อดัง เขาถูกฟ้องหย่าจากภรรยาแต่ก็ชนะคดีมาได้ ทุกคนต่างพากันสงสัยว่าผู้ชายเลิศเลอเพียงนี้ทำไมถึงยังถูกทิ้งได้ เขามีลูกชายคนหนึ่งที่มักเก็บเนื้อเก็บตัวไม่พบปะผู้คน วันๆ ทำเพียงแค่ออกไปเรียนแล้วตรงกลับมาบ้าน ด้วยหน้าตาที่ไม่เป็นมิตรจึงกลายเป็นที่ครหานินทาและไม่เป็นที่ชอบของคนใกล้เคียงได้ไม่ยากนัก ช่างแตกต่างกับพ่อของเขาราวฟ้ากับเหว
แน่นอน ผมนี่แหละที่เป็นเด็กคนนั้น
ผมเอง
ที่เป็นลูกของเขา1/2 -- END
สวัสดีค่ะ ไม่รู้จะจำได้รึเปล่า แต่เราเคยลงเรื่องยาวเอาไว้ แต่ดองไม่จบจนถูกลบไปเมื่อปีที่แล้วนู่นเลยค่ะ 5555555
เรื่องนี้ตอนแรกแต่งทิ้งไว้แก้เครียดเฉยๆเมื่อหลายเดือนมาแล้วค่ะ กะจะไม่ลงที่ไหน แต่จู่ๆก็ค้นมาเจอไฟล์เข้า ดันนึกสนุก...ขอลงหน่อยเถอะนะคะ ฮาาา
เจอกันครึ่งหลังวันพรุ่งนี้นะคะ ขอบคุณที่อ่านค่า