กลิ่นฉุนคล้ายกำมะถันจากก้นหลุมลอยมาเตะจมูก ผมเอี้ยวตัวกลับในจังหวะเดียวกับเงาตะคุ่มสองสามเงาตรงรั้วบ้าน ผมหยุดหายใจ พยายามหาที่ซ่อนใต้พงหญ้า คงไม่ใช่แค่ตาฝาดอีกแล้ว มี “ใครสักคน” ไม่สิ มีมากกว่า 1 คนกำลังเข้ามาในพื้นที่ของผม ในความมืดนี้ผมมีความได้เปรียบ เพราะรู้จักทุกตารางนิ้วในนี้ แต่ยังไม่มากพอที่จะโจมตีหรือทำอะไรได้
“บ้าชิบ!” ผมอุทานอย่างหัวเสียเพราะควานหาไม้หรืออะไรสักอย่างเพื่อใช้ป้องกันตัวไม่เจอ หนำซ้ำมือถือยังอยู่ในบ้านอีกต่างหาก
พวกมันจะเข้ามาทำไม มีจุดประสงค์อะไรหรือเปล่า?
เสียงแกร็กดังขึ้นเป็นสัญญาณให้รู้ว่าพวกมันเข้าไปข้างในบ้านแล้ว แสงสว่างริ้วๆเหมือนแสงไฟฉายสอดส่องไปมา ผมนับได้ประมาณ 3 ดวง นั่นหมายความว่ามี 3 คนในคืนนี้ ผมจะทำยังไงดีล่ะ? จะตะโกนให้เพื่อนบ้านมาช่วยได้ไหม เมื่อกี้ผมเพิ่งกรีดร้องไปยังไม่มีใครสนใจเลยสักนิด ในตอนนี้คงต้องช่วยตัวเองไปก่อน ผมก้มต่ำและค่อยๆตะกายไปให้ใกล้กับตัวบ้านมากที่สุด พยายามหลีกเลี่ยงแสงที่ส่องทะลุกระจกออกมาด้านนอก ผ้าม่านที่เคยกั้นกระจกไว้ก็ถูกผมบรรจุใส่หลุมแล้วเผาไปหมดแล้ว หน้าต่างเลยโล่ง แต่ในคืนเดือนมืดแบบนี้ ถ้าไม่เปิดไฟจากด้านใน ก็ยากที่จะระบุพิกัดของผู้บุกรุกได้
ผมคิดว่าผมจะต้องสู้ทั้งๆที่รั้วบ้านอยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตร แต่นี่คือบ้านของผม พื้นที่ของผม ออกจากรั้วบ้านไปอีกมากกว่ายี่สิบกิโลเมตรถึงจะหาตู้โทรศัพท์ได้ เลิกหวังที่จะพึ่งเพื่อนบ้าน ผมคิดว่าคงไม่มีใครอยู่ หรือไม่ก็หลับลึกจนไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้วแน่ๆ หากจะออกไปข้างนอกยี่สิบกิโลเมตร กับกุญแจรถที่อยู่ข้างใน ผมคิดว่าการย่องเข้าไปค้าโทรศัพท์มือถือเพื่อขอความช่วยเหลือจะง่ายกว่า ผมกลั้นหายใจและเดินช้าๆ ปล่อยให้พวกมันสำรวจชั้นล่างให้หนำใจก่อนจะรอจังหวะที่ขึ้นไปสำรวจชั้นสอง ผมแง้มประตูอย่างเบามือและแทรกตัวผ่าน พยายามไม่ปิดประตูให้สนิท เพราะเสียงแกร็กในความมืดมิดคงทำให้พวกนั้นรู้ตัว
“เห้ย ไม่มีใครอยู่จริงๆด้วย!” เสียงหนึ่งตะโกนบอก ผมหลบหลังเสา พยายามควานหาไม้เบสบอล แต่ก็ยังไม่เป็นผล ฝั่งตรงข้ามที่ผมอยู่คือห้องครัว แต่เหมือนว่าจะมีใครอีกคนอยู่ในนั้น ผมได้แต่ยืนนิ่งๆ ของแบบนี้มันต้องอาศัยจังหวะ ผมจับจ้องไปรอบๆ ห้องทำงานผมอยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องครัว มือถือผมอยู่ในนั้น!
ผมกลั้นหายใจ ความหวาดกลัวเกาะกินจนแข้งขาอ่อนล้า ดวงตาตื่นตระหนก แต่กระนั้นก็ยังไม่ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นตึกตัก คงเป็นเพราะผมอยู่ในสภาวะหวาดกลัวจนถึงขีดสุด มือไม้สั่นจนแทบคุมไม่ไหว มีทางเดียวคือ...ผมต้องเงียบที่สุด
“เห้ย เบาๆหน่อยสิวะ ตะโกนให้ป๊ามึงมารับรึไง” เสียงที่ตอบกลับนั้นยังวัยรุ่นอยู่ ผมพยายามนึกถึงต้นตอเสียง น่าจะเป็นวัยรุ่นละแวกนี้ หรือไม่ก็พวกขี้ยาที่กำลังหารายได้พิเศษเอาไปต่อยา
“เห้ย มึงขึ้นมาตรงนี้ กูเจอของดีละ” สิ้นเสียงเพื่อนจากชั้นสอง คนที่อยู่ในครัวรีบวิ่งขึ้นไป ผมตะกายตัวเองพุ่งไปที่ห้องทำงาน
“แม่ง ประตูล็อค!” ผมเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าจากชั้นสอง ผมลนลาน เสี้ยววินาทีนั้นก็นึกออกว่าเก็บกุญแจสำรองไว้ที่ลิ้นชักห้องครัว เสียงคนกำลังเดินลงบันไดมาทำให้ผมต้องรีบพุ่ง อารามตกใจทำให้สะโพกผมชนกับโต๊ะกินข้าวโครมใหญ่
“เห้ยเสียงอะไรวะ!!!” สามเสียงประสานพร้อมกันพร้อมกับการกรูวิ่ง
ผมต้องหลบ ต้องหลบ!
“เห้ย ใครวะ!!” เสียงไม้กระทบกำแพงจากจังหวะแกว่งตอนวิ่งกรูทำให้ผมยิ่งตระหนก พวกมันมีอาวุธ ในขณะที่ผมมือเปล่า ผมหันหลังกลับ พุ่งผ่านหน้าพวกมันไปทางประตู
“นั่นใครวะ” เสียงหนึ่งถาม ผมวิ่งไม่คิดชีวิตออกไปด้านนอก หันรีหันขวางไม่รู้ว่าควรจะไปทางไหน ซ้ายหรือขวา ก่อนที่ผมจะตัดสินใจพุ่งไปที่หลุมนั้น!!!
เสียงฝีเท้าตึกๆทำให้ผมรู้ว่าพวกมันกำลังตามมา ผมจ้ำอ้าว ภาวนาให้พวกนั้นคลาดสายตาจากผมก่อนจะไถลตัวเองลงกุ้นหลุม ก้นผมกระแทกวัตถุใต้หลุมดังกรอบ! เสียงฝีเท้าที่ตามมาหยุดที่ปากหลุม พร้อมแสงไฟจากไฟฉายที่สาดมา
ผมหมดทางหนีแน่ๆแล้ว....