[เรื่องสั้นตอนเดียวจบ] เรื่องมีอยู่ว่า...
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้นตอนเดียวจบ] เรื่องมีอยู่ว่า...  (อ่าน 1561 ครั้ง)

ออฟไลน์ ทรายในขวดแก้ว

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เรื่องสั้นเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากการไปงานรับปริญญาของเพื่อนรุ่นเดียวกับเราที่พิ่งเข้าพิธีพระราชทานปริญญาบัตรเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เนื้อหาในเรื่องประกอบสร้างมาจากจินตนาการของผู้เขียนผนวกรวมกับประสบการณ์และเหตุการณ์ที่ผู้เขียนเคยประสบพบเจอมา ดังนั้น บทความนี้มิใช่การบอกเล่าประสบการณ์ของผู้เขียน แต่มันเป็นจินตนาการของผู้เขียนเอง อ่านด้วยความบันเทิงและขอให้สนุกกับการอ่านครับ


ส่วนอ่านจบแล้วเป็นอย่างไร รู้สึกยังไง เม้นบอกกันด้วยนะครับ

ขอบคุณครับ

Share This Topic To FaceBook

ออฟไลน์ ทรายในขวดแก้ว

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
        พิธีพระราชทานปริญญาบัตร พิธีสำคัญสำหรับนักศึกษาระดับอุดมศึกษาทุกคน เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าการเรียนของตัวเองที่
ผ่านมาตลอดระยะเวลา 4 ปี ไม่สูญเปล่า ใบปริญญาหนึ่งใบ กระดาษแผ่นเดียวที่เป็นทั้งเกียรติยศของตนเองและวงศ์ตระกูลและ
เป็นสิ่งแทนที่ทำให้ระลึกถึงว่าบนเส้นทางหนึ่งที่เราเดินทางมาตลอดระยะเวลา 4 ปี เราประสบพบเจออะไรมาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความทุกข์ ความเศร้า ความสมหวัง ความผิดหวังและความสนุกสุดเหวี่ยงที่เราได้พบเจอในสถานะนักศึกษา

 สำหรับผม พิธีพระราชทานปริญญาบัตร เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าComfort Zone ของเราได้สิ้นสุดลงแล้ว ต่อจากนี้ไปสิ่งที่จะกำลังพบเจอข้างหน้าล้วนเป็นความเป็นจริงอันน่ากลัวเป็นเสียหมด บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่าเวลาที่ผ่านมา20กว่าปีตั้งแต่ผมเกิดจนเรียนจบในระดับปริญญาตรีนี้ ผมพบเจออะไรมาบ้าง...คุณมีเวลาซัก2-3 นาทีจะฟังเรื่องราวในชีวิตของผมไหมล่ะครับ หึ..เรื่องราวที่ผมรู้สึกว่า แม่งโคตรเส็งเคร็งเลย ถึงแม้ผมจะรู้สึกว่าอะไรๆที่มันเกิดขึ้นกับชีวิตผมส่วนใหญ่มันจะเส็งเคร็ง แต่มันก็พอมีเรื่องดีๆอยู่บ้าง ผมมีพ่อแม่ที่ดีและเข้าอกเข้าใจผม มีเพื่อนที่แม้จะน้อยแต่ก็รักใคร่และเข้าใจผมดีไม่ด้อยกว่าพ่อกับแม่ของผม และที่สำคัญ ผมมีคนที่อยู่ข้างๆและคนที่พร้อมจะเดินเคียงข้างผมที่ดีและเข้าใจผมมากๆไม่ด้อยไปกว่าใครอื่นเลย
“เห้ยย แก๊ป มึงหายไปไหนมาวะ กูล่ะเป็นห่วงแทบแย่..” นั้นไงครับเดินลิ่วมาแล้ว พูดถึงก็มาเลย ตายยากจริงๆ
อามคือคนที่ผมรักและรักผมและมันยังเป็นคนที่เข้าใจผมมากที่สุด คอยปลอบประโลม คอยอยู่เคียงข้างผมเสมอมาตั้งแต่สมัยมัธยม
“เปล่า..กู..ก็แค่...มานั่งเล่นริมน้ำเฉยๆ เหนื่อยๆอ่ะ”
“อย่าโกหกกู...มึงแอบมานั่งคิดอะไรคนเดียวอีกแล้วใช่ไหม เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว มึงจะไปคิดถึงมันให้เจ็บปวดอีกทำไมวะ..” 
เราสองคนพิ่งจะออกจากหอประชุม ผมยังอยู่ในชุดครุยเต็มยศอยู่แล้ว ส่วนมันถอดครุย ถอดสูท เหลือแต่เสื้อเชิ้ตกับเน็คไทด์แล้วครับ
“ไม่มีอะไรจริงๆ...กูก็แค่เหนื่อยๆ อยากมานั่งพัก ไม่มีอะไรจริงๆ” ดูเหมือนครั้งนี้ผมจะโกหกมันสำเร็จ ทุกๆครั้งที่ผ่านมา ผมไม่เคยโกหกมันสำเร็จเลยจริงๆ
“หิวไหม เดี๋ยวกูไปหาอะไรมาให้กิน” ไม่ว่าเปล่ามันยังวาดแขนมาโอบไหล่ผมพร้อมกับบีบไหล่เบาๆเหมือนมันกำลังจะบอกว่า ‘ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น กูยังอยู่ข้างๆมึงเสมอนะ’
“ก็ดี...หิวเหมือนกันว่ะ เอาอะไรก็ได้ กูนั่งรอตรงนี้นะ” มันยิ้มพร้อมพยักหน้ารับแล้วเดินลิ่วๆไปหาอะไรให้ผมกิน
ผมจ้องมองแม่น้ำเจ้าพระยาในยามดึก แสงไฟจากอาคารด้านหลังทอดผ่านตัวผมลงไปยังแม่น้ำ และแสงไฟจากฝั่งตรงข้ามก็สว่างกระทบกับผิวน้ำเช่นกัน ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองถอนหายใจไปกี่ครั้งแล้วตั้งแต่มานั่งตรงม้านั่งตัวนี้
คุณอยากฟังเรื่องราวในชีวิตของผมไหมล่ะครับ เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง

ย้อนกลับไปเมื่อ10ปีที่แล้ว มันเป็นจุดเปลี่ยนของเด็กคนนึง การย้ายเข้าโรงเรียนใหม่ตอนม.1 เป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับผมมาก เอาเข้าจริง การเปลี่ยนแปลงทุกๆอย่างย่อมมีผลต่อคนเราอยู่แล้ว แต่มันอาจจะมากหน่อยสำหรับผม แต่สุดท้ายผมก็สามารถที่จะผ่านมันไปได้ด้วยดี ผมมีเพื่อน มีสังคมที่ผมรู้สึกว่าตัวเองเหมาะสมกับสังคมแบบนั้น ผมเริ่มรู้จักตัวเองมากขึ้นในเรื่องรสนิยมทางเพศแต่ถึงอย่างนั้นอะไรๆมันก็ไม่ได้ชัดเจนมากขนาดนั้นหรอกครับ ในช่วงเวลานั้นผมก็เป็นเด็กผู้ชายธรรมดาๆคนนึงเท่านั้น ชีวิตที่กำลังไปได้สวยในรั้วโรงเรียนใหม่ที่ผมปรับตัวเข้ากับมันได้จนที่สุดแล้วผมทำตัวให้คุ้นชินกับสภาพแวดล้อมเช่นนั้นแล้ว แต่แล้ว คลื่นความเปลี่ยนแปลงก็พัดเข้ามาหาชีวิตผมอีกครั้งหนึ่ง ผมเกือบจะไม่จบม.3 แต่สุดท้ายก็ฝ่าฟันจนผ่านมันมาได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด คลื่นความเปลี่ยนแปลงที่กำลังก่อตัวขึ้นได้ซัดเข้าหาผมเต็มๆ ผมถูกบังคับให้ย้ายโรงเรียนไปอยู่ที่แห่งใหม่ที่ดูภายนอกแล้วมันดูงดงามและมีคุณภาพแต่ในความเป็นจริงแล้วมันคือการเปลี่ยนรูปของความชั่วร้ายให้อยู่ในรูปที่ดูดีแต่เพียงเท่านั้น ความเปลี่ยนแปลงนี้เองทำให้ผมได้เจอกับ อาม นั้นแทบจะเป็นสิ่งดีๆเพียงอย่างเดียวทีผมเจอในที่แห่งใหม่และเป็นสิ่งดีๆเพียงสิ่งเดียวที่ผมนึกออก

ผมกับอามเริ่มต้นจากสถานะของความเป็นเพื่อน เพื่อนที่ดีที่สุดของผมแทบจะคนเดียวในที่แห่งนั้น ในโรงเรียนแห่งใหม่ มันช่างแปลกประหลาดมากๆที่ผมใช้เวลาปรับตัวให้เข้ากับสังคมใหม่นั้นอยู่เกือบปี ช่วงเวลาเหล่านั้นมันช่างทุกข์ทรมานมากสำหรับคนที่มีรสนิยมทางเพศแบบผม ผมพบเจอกับการกลั่นแกล้งนานาชนิด ทั้งทางกาย วาจา และการกระทำ ผมโดนเพื่อนผู้ชายในห้องบอยคอต ไม่สุงสิงกับผมและแสดงท่าทีรังเกียจผม เพียงเพราะผม แตกต่าง จากพวกเขา ผมเคยคิด...เคยคิดที่จะฆ่าตัวตายอยู่หลายครั้ง แต่ก็เพราะอามอีกนั้นแหละ ที่ทำให้ผมมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ได้ มันเป็นคนดีมากคนนึงที่เข้ามาในชีวิตของผม คอยปกป้องผม คอยให้กำลังใจผมเสมอมา ผมรู้สึกดีที่มีมันคอยอยู่ข้างๆตลอดมา จนสุดท้ายแล้ววันนึงหลังจากการเรียนวิชาพละศึกษาเสร็จในคาบบ่าย ผมก็ตัดสินใจสารภาพความในใจกับมัน ผมกลั้นใจบอกทุกอย่างที่คิดและรู้สึกออกไป ผมทำใจไว้แล้วล่ะครับว่า ถ้ามันไม่รู้สึกแบบเดียวกับผม มันก็อาจจะหายไปจากชีวิตผมเลยก็ได้ แต่สุดท้ายแล้วด้วยคำพูด...คำพูดของมันเพียงคำเดียวที่ทำให้ใจผมพองโตก็หลุดออกมาจากปากของมัน
“กูก็รู้สึกเหมือนมึงนั้นแหละ” ประโยคเดียวที่ทำให้ผมมีกำลังใจที่จะเรียนในสถานที่แห่งนี้ต่อไป ประโยคเพียงประโยคเดียวที่เป็นกำลังใจให้ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป
ถึงอะไรๆมันจะชัดเจนขึ้นในความรู้สึกของเราสองคนแล้วก็ตาม แต่การแสดงออกระหว่างกันก็ยังเป็นไปแบบปกติฉันท์เพื่อนทำกัน ทุกๆวันของเราเป็นวันพิเศษอยู่เสมอเพราะมัน
เราดูแลกันและกัน ดูแลความรู้สึกของกันและกัน ผมดูแลมันในเรื่องเรียน ส่วนมันก็ดูแลผมในเรื่องยิบย่อยในชีวิตประจำวัน ผมอยากตื่นมาแล้วไปโรงเรียนทุกวันเพราะมัน อยากนั่งหลับในห้องเรียนกับมัน อยากกินข้าวกลางวันกับมัน อยากทำทุกๆอย่างกับมัน  อามเป็นคนคนเดียวที่ทำให้ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อที่จะได้ดูแลมัน
และเวลาก็หมุนไป
จนผมกับมันอยู่ม.6 ช่วงเวลาที่เคร่งเครียดในการเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย เราสองคนได้คุยกันน้อยลง ถึงผมกับมันจะโทรหากันทุกคืนก่อนจะนอน แต่ เราก็คุยกันน้อยลงอยู่ดี จนบางครั้งผมก็กลัว กลัวว่ามันจะเปลี่ยนไป กลัวว่ามันจะเบื่อผม ด้วยคลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลงกำลังก่อตัวขึ้นและกำลังจะซัดพาเข้ามาที่ผมอีกครั้งนึงแล้ว แต่มันยังคงเหมือนเดิม เหมือนเดิมทุกอย่าง เหมือนกับวันแรกที่ผมเจอกับมัน น้ำตาผมหลั่งไหลออกมาไม่หยุดด้วยประโยคแค่ประโยคเดียวจากปากของมัน
“กูไม่สนใจหรอกว่ามึงจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน สำหรับกู มึงยังเป็นแก๊ปคนเดิมที่กูรัก กูรักทุกอย่างที่เป็นมึง เลิกคิดมากได้แล้วเห้ยย หึหึ” สัมผัสของมือหนาที่ยีหัวผมในวันนั้น ผมยังจำมันได้ดี ไม่มีจางหายไปไหน....
และเวลาก็หมนุไปอีก
คลื่นความเปลี่ยนแปลงซัดเข้าหาผมอีกครา คราวนี้มันเปลี่ยนสถานะของผมจากนักเรียนเป็นนักศึกษา คณะรัฐศาสตร์ และคลื่นความเปลี่ยนแปลงนี้มันก็ซัดเข้าหาอามด้วยเหมือนกันโดยเปลี่ยนสถานะจากนักเรียนเป็นนักศึกษา คณะรัฐศาสตร์ เช่นเดียวกับผม...
การเรียนในมหาวิทยาลัยแตกต่างกับการเรียนในระดับมัธยมมาก พอมาถึงตรงนี้ เหมือนอะไรๆจะกลับตาลปัตรไปเสียหมด อามกลับเป็นคนฉุดผมให้เข้าเรียน มันเป็นนักกิจกรรมตัวยง ทำกิจกรรมแทบทุกอย่างของคณะและเลือกทำกิจกรรมบางอย่างให้กับมหาวิทยาลัย แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นผมการเรียนของมันกลับออกมาดีทุกเทอมจนผมยังแอบงงว่ามันเอาเวลาที่ไหนไปอ่านหนังสือ ผมอยู่ห้องเดียวกับมัน ทำไมผมจะไม่รู้ว่าบางทีมันก็ทำกิจกรรมจนไม่มีเวลานอนแต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นมันกลับโดดเรียนน้อยครั้งมากซึ่งผิดกับผมโดยสิ้นเชิง (ฮา)
ไม่รู้อะไรที่ทำให้มันโรแมนติคกับผมมากขึ้น จากตอนมัธยมที่เราแทบจะไม่มีการฉลองวันครบรอบอะไรกันเลย พอมาอยู่มหาลัยมันกลับจัดงานครบรอบเล็กๆให้ทุกๆปี...
“ร้องไห้ขี้มูกโป่งอีกแล้วนะมึง หึหึ..” ผมสะดุ้งเมื่อจู่ๆก็เห็นมันเดินกลับมาพร้อมกับอาหารกล่องสองกล่องและน้ำหวานสองแก้ว
“เห้ยย!! มะ...มึงมาตั้งแต่..เมื่อไหร่วะ..” นี่ผมเหม่อขนาดที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวขนาดนี้เลยหรอเนี่ยย
“มาตั้งนานละ เรียกตั้งหลายทีแล้วก็ไม่ได้ยิน ไหนมึงบอกว่าไม่มีอะไรไง มึงคิดถึงเรื่องพวกนั้นอีกแล้วใช่ไหม”
 “อืมม..กูขอโทษว่ะ ลืมตัวอ่ะ แหะๆ..เออ ว่าแต่ซื้อไรมาให้กูกินวะ” ผมพยายามบ่ายเบี่ยงเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากให้มันรู้ว่าผมยังแอบฝันร้ายกับเรื่องที่ผ่านมาอยู่เสมอๆ
“ก็เปิดดูเองดิวะ” มันว่าแล้วก็เปิดกล่องข้าวของมันกิน
ข้าวกะเพราะไก่ไข่ดาวกรอบๆกับน้ำแดงโซดานี่แหละเป็นอะไรที่ผมชอบกินที่สุด
เราสองคนกินข้าวรอบดึก(อีกรอบ)กันเงียบๆ แล้วจู่ๆมันก็ทำลายความเงียบออกมา
“มึงรู้ไหมว่า...วันนี้วันอะไร..?”
วันอะไรวะ ก็วันรับปริญญาไง ไอ้จ๊าดง่าว ฮ่าๆ ถามอะไรโง่ๆ ผมได้แต่คิดแต่ไม่ได้พูดออกไปหรอกครับ เดี๋ยวมันงอนเอา
“วันไรวะ..” ผมเอ่ยถามมันขณะกำลังขมักเขม่นกับการกินข้าวอย่างไม่สนใจอะไร แง่มๆ กะเพราะไก่ร้านนี้มันทำอร่อยจริงๆเว้ยย
“….” มันไม่พูดอะไรได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขบขันแล้วมันก็พูดออกมาอีกครั้งหนึ่ง “มึงนี่น้า หึหึ ไม่เคยจะจำได้ซักปีเลยจริงๆใช่ไหมวะ น้อยใจว่ะ..”  มันว่าพลางทำท่าทางงอนๆ และนั้นจึงไปกระตุ้นความทรงจำของผม
“วันครบรอบของเรา...ใช่ป่ะวะ มึง” พอจบประโยคแม่งยิ้มร่าออกมาหน้าบานเป็นจานดาวเทียมแล้วมึงอ่ะ หึหึ
“โหยยย นึกว่ามึงจะจำไม่ได้ซะละ คบกันมาตั้ง 7 ปีแล้ว เคยจำได้ซักปีไหมวะ ไอ้ขี้ลืมเอ้ยยย ฮ่าๆๆๆ” มันว่าขำๆออกมา จริงๆมันก็อย่างที่ผมบอกนั้นแหละครับ ถึงอะไรๆมันจะชัดเจนในความรู้สึกของเราสองคน แต่เราก็ไม่ได้แสดงออกแบบชัดเจนอะไรเท่าใดนัก นั้นทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นใจที่มีมันอยู่ข้างๆ มันเป็นทั้งเพื่อน ทั้งแฟนและเป็นอะไรต่อมิอะไรมากมายสำหรับผม
พูดแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ 7 ปีแล้วหรอวะ ที่ผมกับมันเดินข้างๆกัน ฝ่าฟันและผ่านพ้นเรื่องราวต่างๆมาด้วยกัน มองย้อนกลับไป ทำไมถึงรู้สึกว่าเรื่องราวต่างๆมันพิ่งผ่านมาไม่กี่วันเอง
“ปีนี้กูมีของจะให้มึงด้วยนะ รับรองว่าใหญ่กว่าทุกปี หึหึ”
“ทำมาพูด มึงก็ซื้อของให้กูอยู่แล้วทุกปีป่ะวะ อ่ะๆ ปีนี้มึงจะให้ไรกู” ปกติมันจะทำของDIY มาให้ผมทุกๆวันครบรอบครับ มันบอกว่า ของที่ทำเองเป็นของที่มีชิ้นเดียวในโลก ไม่เหมือนใครดี
ผมมองมันที่งกๆเงิ่นๆล้วงกระเป๋ากางเกง และวัตถุเหมือนกล่องสี่เหลี่ยมก็หลุดออกมาพร้อมกับมือของมัน  มันเปิดกล่องออกมาพร้อมกับคุกเข่าตรงหน้าผม
“ยื่นมือข้างซ้ายมาดิ” ผมไม่ได้โง่ถึงขนาดที่จะไม่รู้ว่าสิ่งที่มันกำลังจะทำคืออะไร
“เห้ยย เชี่ยย..อะ..เอาจริงๆหรอวะ...”
“เออสิ มึงจะได้เลิกคิดมากซักที กูจองมึงไว้ก่อนนะ กูสัญญาว่า กูเรียนจบกลับจากอังกฤษเมื่อไหร่ กูจะขอมึงแต่งงานอีกที” จองเจิงห่าไรล่ะ หึหึ เชี่ยย อามมมมม เออ ลืมบอกไปเลยครับว่าแม่งเรียนเก่งมากจนจบเกียรตินิยมมอันดับ1 เหรียญทอง แถมได้ทุนจากรัฐบาลอังกฤษอีก เก่งไปละนะมึงอ่ะ เหอะๆ
“อ่าวๆ หน้าแดง ฮ่าๆๆ มึงแม่งน่ารักไม่เปลี่ยนเลยนะ”  เชี่ยยย อย่าแซวกูดิ๊ -//-
“แก๊ปครับ หมั้นกับอามนะครับ ถึงอามจะไม่ได้อยู่เมืองไทย ไม่ได้อยู่ใกล้ๆกัน แต่อามสัญญาว่าทุกๆอย่างมันจะยังคงเหมือนเดิม..”
ช่วงนี้บ่อน้ำตาผมตื้นรึไงนะ ตอนนี้น้ำตากำลังไหลออกมาอีกแล้ว
“อ่ะ..อื้มมม ก็ได้ มึงสัญญากับกูแล้วนะ..”
มันสวมแหวนทองคำขาวแบบเรียบๆไว้กับนิ้วนางข้างซ้ายของผม และกอดผมแน่นด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
เค้าว่ากันว่า คนคบกัน7ปีให้ระวังว่าจะเลิกกัน ด้วยอาถรรพ์เลข 7 แต่สำหรับผมกับอาม มันไม่เป็นแบบนั้นหรอกครับ เพราะผมเชื่อว่ามันจะยังเหมือนเดิม เหมือนกับวันที่เราเจอกันครั้งแรก เหมือนกับวันที่เรายังเป็นเพื่อนกัน ผมเองก็เหมือนกัน ผมก็จะพยายามเหมือนเดิม เหมือนวันแรกที่เราได้รู้จักกัน...

-THE END-

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด