เราเจอกันครั้งที่สองวันรับน้อง
เนื่องจากคณะของผมมีนักศึกษามากกว่าร้อยห้าสิบคน จึงต้องแบ่งเด็กปีหนึ่งออกเป็นหลายกลุ่มเพื่อการทำกิจกรรมแต่ละฐาน
และผมได้อยู่กลุ่มเดียวกับเขา...
แต่ด้วยสมาชิกกว่าสิบคน เราก็ไม่ได้นั่งด้วยกัน มีคนสามคนนั่งคั่นอยู่ เขาหันไปสนทนาอย่างออกรสกับคนข้างๆ ผมเองก็โชคดีที่ได้อยู่กลุ่มเดียวกับเพื่อนที่รู้จักวันปฐมนิเทศ ต่างคนต่างก็คุยกัน จนกระทั่งเริ่มทำกิจกรรม
กิจกรรมแต่ละฐานก็ไม่มีอะไรมาก ก็เป็นกิจกรรมรับน้องทั่วๆไปนั่นแหละ จนกระทั่งวนมาถึงฐานสุดท้าย...
ชื่อของกิจกรรมคือ ‘ไขปริศนาหาของ’ กติกามีอยู่ว่าทุกคนจะได้กระดาษคนละหนึ่งใบ ซึ่งในกระดาษใบนั้นจะมีคำสั่งบอกหน้าที่ไว้ ไม่มีใครได้คำสั่งซ้ำกัน เช่น ถ้าได้คำสั่งว่า ‘จงพูดว่า “หน้าเสาธง” ‘ แปลว่าทั้งเกมคุณจะพูดได้แค่คำว่า “หน้าเสาธง” เท่านั้น ห้ามพูดคำอื่น
เราจะไม่รู้ว่าใครได้คำสั่งอะไรบ้าง แต่ทุกคำสั่งจะเชื่อมกันเพื่อให้เราหาของให้เจอ บางคนอาจจะมีหน้าที่อื่น เช่นของผมที่ได้ ‘จงไปหยิบของมาถ้าเพื่อนออกคำสั่ง และเพื่อนต้องออกคำสั่งว่า “(ชื่อคุณ) ไปหยิบ (ชื่อของ) ที่ (ชื่อสถานที่) มา” เท่านั้น!’ แปลว่าผมจะต้องนั่งเฉยๆจนกว่าจะมีใครสั่ง แถมยังต้องสั่งตามในกระดาษอีกต่างหาก
“เอ่อ...เพื่อนๆ” ผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มยกมือขึ้น “คำสั่งของเราคือ ‘คุณเป็นคนเดียวในกลุ่มที่พูดได้ จงฟังคำใบ้จากเพื่อนเพื่อไปหยิบของ’...มีใครจะใบ้อะไรมั้ย”
จบคำพูดนั้นทุกคนก็มองหน้ากัน มีเพื่อนคนหนึ่งแบมือออกสองข้างชิดกัน ก่อนจะทำท่าเป่าลมใส่
“เป่า...เป่าเหรอ?” ผู้หญิงที่เป็นคนสั่งถาม เพื่อนคนนั้นพยักหน้า “เป่าอะไรอ่ะ?”
เพื่อนคนนั้นทำหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้า แปลว่าคำสั่งของเขาคือให้เป่าเฉยๆห้ามพูด ดังนั้นคนสั่งจึงหันไปมองคนอื่น
“มีใครจะใบ้อะไรอีก?”
คราวนี้ ‘เขา’ ก็เดินมาข้างหน้าเล็กน้อยพร้อมกับทำท่าถือช้อนตักอะไรบางอย่าง คนสั่งมีท่าทีงุนงงเข้าไปใหญ่ มองซ้ายมองขวาหาคนอื่น
เพื่อนผู้ชายข้างๆผมพูดขึ้นมา “หน้าร้านขายไอติมกะทิ”
“หา?” ทุกคนหันไปมองอย่างงงๆ
“หน้าร้านขายไอติมกะทิ”
เพื่อนคนนั้นยังพูดคำเดิม คนสั่งเริ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาเล็กน้อย “แปลว่าเราต้องไปหาของที่นั่นสินะ แต่ใบคำสั่งไม่มีบอกให้ไปจากตรงนี้ได้นี่นา...”
ผมรีบชูมือขึ้นเมื่อเห็นโอกาส ทุกคนหันมามองหน้าผมทันที รวมถึงเขาด้วย
“นายยกมือทำไม?”
ผมรีบชี้ไม้ชี้มือ เธอมีสีหน้าดีใจเล็กๆ “นายไปหาของได้?”
ผมพยักหน้ารัวๆ ก่อนจะชี้ที่เธอ แล้วชี้ที่ผม
“ฉันต้องไปกับนาย?”
ผมส่ายหน้ารัวๆ ก่อนจะชี้ที่ปากของเธอ แล้ววกกลับมาชี้ตัวเองใหม่
“ฉันต้องสั่งนาย?”
คราวนี้ผมยิ้มเมื่อเธอเดาถูก คนอื่นเองก็มีท่าทีสนใจ เขาหันมามองผมด้วยสายตาที่ดูเอ็นดูอย่างประหลาด ผมรู้สึกหน้าร้อนวูบแต่ก็พยายามโฟกัสที่ผู้หญิงตรงหน้า
ผมชี้นิ้วที่ป้ายชื่อตัวเอง คนสั่งจึงพูดตาม
“ปาย?”
ชื่อผมเองแหละ...คราวนี้ผมชี้นิ้วไปที่กระดาษก่อนจะชี้ไปที่ร้านขายไอติมกะทิที่อยู่ไม่ไกล
“ปายไปร้านไอติมกะทิ?”
ผมส่ายหน้า แต่แล้วก็ชะงักแล้วก็พยักหน้า ท่าทางมันคงตลกจนได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากเพื่อนในกลุ่ม รวมถึงเขา...ที่ขยับมายืนข้างๆตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ผมพยายามใบ้อีกครั้งโดยชี้ไปที่สิ่งของต่างๆ คราวนี้เธอเริ่มเข้าใจ
“ฉันต้องสั่งให้นายไปหยิบอะไรที่ไหนใช่มั้ย”
ผมยิ้มกว้างพร้อมกับพยักหน้ารัวๆ ได้ยินเสียงเฮมาจากเพื่อนคนอื่น คนสั่งหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด เขาที่ยืนข้างผมก็รีบทำท่าใช้ช้อนตักอีก
คนสั่งจึงดีดนิ้วเหมือนคิดได้ ก่อนจะหันมาสั่งผม
“ปายไปเอาช้อนที่ร้านไอติมกะทิ”
ผมพยักหน้าก่อนจะวิ่งไปที่ร้านไอติมที่อยู่ไกลจากจุดที่เล่นเกม เมื่อลองขอช้อนก็พบว่าถูกต้องแล้วเพราะคนขายพูดกลับมาว่า ‘เกมน่าสนุกเนอะ’
หลังจากนั้นเพื่อนคนอื่นก็เริ่มใบ้ตามคำสั่งตัวเอง ถึงจะใช้เวลาเกือบสี่สิบห้านาทีแต่ในที่สุดก็ปะติดปะต่อได้ ผมจึงไปเอาของอย่างอื่นมาจนครบ นั่นคือ เค้กแบบตัดสามเหลี่ยมหนึ่งชิ้น ช้อนหนึ่งคัน เทียนหนึ่งเล่ม ไฟแช็กหนึ่งอัน
เมื่ออุปกรณ์ครบแล้วเพื่อนคนอื่นก็ทำหน้าที่ของตัวเอง มีคนเอาเทียนไปปักเค้ก จากนั้นก็ส่งให้คนหนึ่งจุดไฟ คนที่ทำท่าเป่าตอนแรกก็เป่าเทียนให้ดับ แล้วก็ส่งให้คนหนึ่งเอาเทียนออก
เค้กถูกส่งมาให้เขาเป็นคนสุดท้าย เขารับช้อนมาก่อนจะตักเค้กใส่ปาก จากนั้นก็ตักอีกคำแล้วป้อนเพื่อนผู้หญิงข้างๆ
“อ้ะ” เพื่อนคนนั้นหน้าแดงเล็กน้อยเมื่อต้องกินต่อจากเขาก่อนจะอ้าปากกิน เขาเดินตักเค้กป้อนเพื่อนต่อไปเรื่อยๆ บางคนมีสีหน้าแหยงเล็กน้อยเมื่อต้องกินช้อนเดียวกันหมด
ผมเป็นคนสุดท้ายพอดี เขาเดินมาหยุดตรงหน้า ผมถึงได้สังเกตว่าเขาสูงกว่าผมพอสมควร เขาตักเค้กที่เหลืออยู่ให้ผม ซึ่งชิ้นค่อนข้างจะใหญ่ พอผมอ้าปากรับเลยทำให้ครีมเลอะริมฝีปากด้านบน เขามองปากผมด้วยแววตากรุ้มกริ่ม
...!
ผมชะงักเมื่ออีกฝ่ายใช้นิ้วโป้งเช็ดครีมที่เลอะให้อย่างแผ่วเบา ก่อนจะเอาพลาสติกใส่เค้กที่หมดแล้วส่งให้รุ่นพี่ที่ยืนดูอยู่ รุ่นพี่จึงประกาศว่าภารกิจของกลุ่มเราสำเร็จแล้ว
เพื่อนทุกคนร้องเฮด้วยความดีใจก่อนจะกอดคอกันเป็นวงกลม ผมที่รู้สึกเหมือนตัวเองตกอยู่ในภวังค์ก็กอดคอกับคนอื่นไปด้วย เงยหน้าขึ้นมาพบว่าเขาไม่ได้ยืนอยู่ข้างๆแล้ว แต่อยู่ในมุมที่มองเห็นพอดี
เขาเองก็มองผมอยู่ พอผมมองตอบเขาก็ยิ้มมุมปากมาให้เหมือนวันแรก ก่อนจะทำสิ่งที่ผมไม่คาดคิด...
เขายกนิ้วโป้งที่ยังเปื้อนครีมจากปากของผมไปใกล้ริมฝีปาก ก่อนจะใช้ลิ้นเลียมันออก
ผมหน้าแดงก่ำขึ้นมาจนรู้สึกได้ เขาหัวเราะออกมา ก่อนที่รุ่นพี่จะเดินเข้ามาจัดแถว
ผมไม่กล้าหันไปมองเขาอีกเลย
รับน้องวันที่สองฝนตกหนัก...ทั้งๆที่ไม่ควรตก
และเพราะรุ่นพี่ทำเรื่องขอแต่พื้นที่กลางแจ้งในการทำกิจกรรมรับน้อง จึงไม่มีพื้นที่ใหญ่พอจะจุคนขนาดนี้ให้หลบฝน การรับน้องจึงถูกยกเลิก
ผมใช้กระเป๋าสะพายในการบังหัว (ซึ่งไม่ค่อยช่วยอะไร) พยายามสาวเท้าไปที่ป้ายรถเมล์ให้เร็วที่สุด เพราะกิจกรรมยกเลิกกะทันหันผมจึงไม่ได้บอกพ่อแม่ไว้ก่อน พวกท่านออกไปทำงาน ไม่มีใครมารับ ผมเลยคิดว่าไปที่ป้ายรถเมล์ก่อนละกัน มันมีที่บังฝน แล้วมีรถอะไรผ่านมาค่อยโบกเอา
ผมมาหลบที่ป้ายรถเมล์ซึ่งมีหลังคาเล็กน้อย แต่ลมที่พัดก็ทำให้เปียกอยู่ดี
ระหว่างที่รอผมก็กอดตัวเองไปด้วย เปียกไม่พอแถมมีลมอีก ถ้ากลับไปไข้ขึ้นคงจะเซ็งแน่ๆ!
รถเมล์ยังไม่มา...แต่มีรถสีดำคันหนึ่งมาจอดข้างหน้าผม
ตอนแรกผมไม่ได้สนใจ จนกระทั่งคนขับลดกระจกรถลงมา ผมถึงได้หันไปมอง
เป็น ‘เขา’ อีกแล้ว
“ขึ้นมาสิ”
เสียงฝนที่สาดทำให้แทบจะไม่ได้ยิน แต่แปลกที่ผมกลับเข้าใจที่เขาพยายามจะพูด
“ฝนตก เดี๋ยวไปส่ง”
ผมมองซ้ายมองขวาก็ยังไม่เห็นวี่แววของรถเมล์หรือรถแท็กซี่ จึงหันกลับมาหาเขาแล้วพยักหน้า
หลังจากขึ้นมานั่งในรถก็รู้สึกสบายตัวขึ้น แถมเขาลดแอร์ลงจนไม่รู้สึกหนาว แต่ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็เอี้ยวตัวไปหยิบเสื้อกันหนาวด้านหลังมาส่งให้
“ใส่ไว้สิ”
ผมหันไปยิ้มเล็กๆ “ไม่เป็นไร ไม่หนาวแล้ว”
เขาหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้น ผมถอยทันทีตามสัญชาตญาณ
“ใส่ไว้เถอะ เสื้อมันบาง”
พูดจบก็หลุบตาลงมอง ผมมองตามก่อนจะหน้าแดงเมื่อพบว่าเสื้อมันเปียกจนแนบเนื้อ มองเห็นทั้งผิวทั้งหน้าอก รีบรับเสื้อจากเขามาใส่ทันที เขาจึงเริ่มออกรถ
ระหว่างทางเราไม่ได้พูดอะไรกัน เขาเปิดเพลงเบาๆไม่ให้บรรยากาศอึดอัด ผมมองไปนอกหน้าต่างตลอดเวลาเพราะอายกับเรื่องเสื้อ มีหันกลับมาเพื่อบอกทางบ้าง แต่พอสบตากับเขาทีไรก็ต้องหันหนีทุกที
จนในที่สุดรถก็มาจอดหน้ารั้วบ้านผม ผมหยุดคิดเล็กน้อยว่าควรจะชวนเขาเข้าไปดื่มอะไรก่อนมั้ย แต่คิดไปคิดมาฝนตกแบบนี้เขาอาจจะอยากรีบๆกลับบ้านก็ได้
“ขอบคุณมากที่มาส่ง เสื้อนี่เดี๋ยวเอาไปซักแล้วจะเอามาคืน”
ผมพูดเสียงดังฟังชัดแต่ไม่ได้หันไปมอง ใช้มือเปิดประตูรถเตรียมจะออกไป แต่ก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะมาจากคนข้างๆ
“หัวเราะอะไร” ผมอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปถาม
“กลัวฉันเหรอ” เขาถาม ริมฝีปากยิ้มกว้าง แววตาแวววาวเหมือนเสือจะตะครุบเหยื่อ
“ไม่ได้กลัว” ผมตอบ...เสียงไม่สั่นด้วย!
“งั้นเหรอ” เขาปลดเข็มขัดนิรภัยก่อนจะขยับตัวเข้ามาใกล้ ผมตัวแข็งค้าง ไม่ถอยหนีเพราะไม่อยากให้เขาเข้าใจผิด ทั้งที่อากาศเย็นแต่ลมหายใจอีกฝ่ายกลับอุ่นจนรู้สึกร้อน
“ลนลานขนาดนี้ยังบอกว่าไม่ได้กลัวอีก?”
“ไม่ได้ลนลาน” ผมปฏิเสธซ้ำเหมือนเด็ก เขาจึงหัวเราะอีกครั้ง
“ไม่ได้ลนลาน...” เขาเลื่อนมือมาแตะบริเวณเอวผม “แต่ไม่ได้ปลดเข็มขัดก่อนจะลงรถเนี่ยนะ”
ผมชะงักก่อนจะรีบก้มลงไปปลดเข็มขัดนิรภัยทันทีด้วยความเสียหน้า แต่พอเงยหน้าขึ้นมาก็รู้ทันทีว่าตัวเองติดกับเขาแล้ว...
ใบหน้าของเขาเข้ามาใกล้มากจนเมื่อผมเงยหน้าขึ้นมาริมฝีปากเราก็เฉียดกันพอดี ผมรีบหันหน้าหนีด้วยความตกใจ แต่นั่นเป็นการเปิดโอกาสให้เขาฝังริมฝีปากลงบนลำคอ
...!!!
สัมผัสอุ่นจนร้อนที่คอทำให้ผมยกมือขึ้นดันไหล่เขาออก แต่เขาเกร็งตัวไว้ ผมเองก็ไม่ได้ออกแรงเพิ่มขึ้นจนเหมือนเอามือไปวางไว้เฉยๆ
ประตูรถถูกดึงปิดเหมือนเดิม...
เขาขยับมาคร่อมผมไว้ทั้งตัว ปรับเบาะให้เอนไปข้างหลังจนสุด ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ผมรู้สึกตัวอีกทีคือตอนที่ริมฝีปากอุ่นร้อนนั่นประกบลงมาแนบแน่น
ผมพูดได้เลยว่าเขาจูบเก่งมาก ชั้นเชิงของเขาทำให้ผมคล้อยตาม รู้สึกอุณหภูมิในรถเพิ่มขึ้นหลายองศา ผมจูบตอบพร้อมกับใช้มือโอบรอบคอเขาไปด้วย
เราจูบกันนานจนผมหอบแฮ่กเมื่อเขาเลื่อนริมฝีปากลงไปตามลำคอ กระดุมเสื้อถูกปลดออกเผยผิวขาวเนียนที่เปียกชื้นเล็กน้อย
เขามองร่างกายผมด้วยสายตาพึงพอใจ ก่อนจะใช้หลังมือไล้จากไหปลาร้าลงไปที่หน้าท้อง
“ฉันไม่ได้ชอบผู้ชาย”
เขาพูดแบบนั้นก่อนจะจูบเบาๆที่ยอดอก ผมเกร็งตัวขึ้นเมื่อสัมผัสนั้นร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ
“ฉันก็ไม่”
ผมพึมพำเบาๆเมื่อเขาถอดเสื้อตัวเองออกบ้าง เขาหัวเราะทันที
ผมยืดตัวขึ้นจะถอดเสื้อกันหนาวออกแต่เขารั้งไว้ “อย่าถอด ใส่ไว้แบบนี้แหละ”
ถึงจะขัดใจเล็กน้อยแต่ผมก็ทำตามที่เขาบอก หลุบตามองก็เห็นว่าเขากำลังปลดกางเกงของผมอยู่ เห็นแล้วก็อดขัดใจไม่ได้ที่ต้องค้างเสื้อไว้ที่ข้อแขนแบบนี้ มันขยับตัวไม่สะดวกเอาซะเลย
เสียงทุ้มหัวเราะเบาๆเมื่อเห็นผมขยับแขนไปมาอย่างไม่สบายตัว เขายกตัวผมขึ้นเพื่อดึงกางเกงกับบ็อกเซอร์ออกไปพร้อมกัน พอต้องมานอนโป้แบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะอายเหมือนกัน รู้สึกได้ว่าตัวเองหน้าแดงไปหมด คนตรงหน้าอมยิ้มก่อนจะจูบเบาๆที่แก้ม
“หน้าแดงแล้วน่ารักจัง”
ผมเบนสายตาหนี “ทำไมถึงต้องใส่เสื้อหนาวไว้ด้วย”
“เพราะอากาศข้างนอกมันเย็น” เขาตอบ “แล้วก็...อยากเก็บอะไรไว้เป็นความทรงจำบ้างน่ะสิ”
จบคำนั้นผมก็ตวัดสายตากลับไปมองเขาทันที ...เก็บความทรงจำโดยให้ใส่เสื้อหนาวไว้ตลอดการมีอะไรกันเนี่ยนะ? พิลึกเกินไปรึเปล่า...
แต่ผมก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรอีก เพราะคนตัวสูงกว่ายกขาสองข้างขึ้นไปพาดบนบ่าซะก่อน
“อย่าเกร็งนะคนดี”
พูดง่ายแต่มันทำยากนะเฟ้ย
“ปายยยย”
เสียงเรียกพร้อมกับร่างเล็กๆของผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งเข้ามา ผมสีน้ำตาลทองถูกมัดอย่างเป็นระเบียบแกว่งไปมาตามจังหวะการวิ่ง ผมหันไปยิ้มให้ทันที
“วันนี้มายเลิกเร็วจัง”
“อาจารย์เขาติดประชุมต่ออ่ะเลยเลิกก่อนเวลา นี่ปายมารอนานรึยัง?”
“เพิ่งมาเหมือนกัน นี่กะว่าจะไปซื้อไอติมมากินระหว่างรอนะเนี่ย”
“เออดีๆ” มายยิ้ม “มายก็อยากกิน งั้นไปด้วยกันเลยเนาะ”
“อื้อ”
ผมพยักหน้าให้ผู้หญิงตรงหน้า มายเป็นคนน่ารักมากเลย เราเจอกันที่โรงอาหารตอนมหา’ลัยเปิดเทอมวันแรก ผมเลยขอเบอร์เธอไว้ และตอนนี้ความสัมพันธ์ก็ไปได้ด้วยดีสุดๆ ถึงจะยังไม่ได้เป็นแฟนกัน แต่ถ้ายังเข้ากันได้แบบนี้ไปเรื่อยๆผมคงขอเธอเป็นแฟนแน่ๆ
ในตอนที่หมุนตัวกลับ ผมก็เห็นใครบางคนที่คุ้นตาเดินผ่านไป
“ปาย?”
มายที่กอดแขนผมไว้เรียกเมื่อเห็นผมหันไปมองตาม ผมจึงหันกลับมามองเธอ
“รู้จักกันเหรอ?”
ผมยิ้มมุมปากนิดๆ “เจอกันวันปฐมนิเทศน่ะ”
“อ๋อ นั่น ‘นาม’ เดือนคณะปายใช่มั้ย”
“อ่าหะ” ผมพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะหรี่ตาลงเล็กน้อย “อย่าบอกนะว่ามายสนใจ”
“บ้าเหรอ” มายหน้าแดง ทุบแขนผมเบาๆ “แค่ถามเฉยๆว่ารู้จักกันรึเปล่า หรือเป็นเพื่อนกัน?”
ผมหันไปมองแผ่นหลังของคนที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ เห็นเขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์อะไรบางอย่าง ไม่นานนักผมก็รู้สึกว่าโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงสั่น
พอหยิบขึ้นมาดูก็เป็นอย่างที่คิด
‘คืนนี้เจอกันที่เดิมเวลาเดิม เดี๋ยวขับรถไปรับ
อย่าให้น้ำหอมคนอื่นติดมาล่ะ:) ฉันชอบกลิ่นของนายมากกว่า‘
ผมหัวเราะในลำคอ...ชอบกลิ่นฉันเนี่ยนะ...
พอคิดๆดูเขาก็น่าจะชอบจริงๆ เจอกันครั้งแรกก็ให้ใส่เสื้อกันหนาวของเขา พอทำเสร็จก็เอาไปกอดอยู่ตั้งนาน เห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
จำได้ทั้งเสียงฝน เสียงครางของผมกับเขา สัมผัสที่ร้อนแรงทั้งๆที่อากาศรอบข้างค่อนข้างเย็น
“ปาย?”
หลังจากนั้นก็เจอกันอีกตั้งหลายครั้ง ไม่สิ เรียกว่าเขานัดผมออกไปหาอีกหลายครั้งต่างหาก ทั้งที่เขาเองก็มีแฟนแล้ว ผมเองก็มีมายอยู่แล้ว
“ปาย??”
แต่ก็ยังยืนยันนะ ว่าทั้งผมทั้งเขาเราไม่ได้ชอบผู้ชาย
“ปายยยย”
ผมสะดุ้งเมื่อมายดึงคอเสื้อให้ก้มหน้าลงแล้วยื่นหน้ามาตะโกนใส่หู คนตัวเล็กทำหน้ามุ่ยพร้อมกับถาม “มายถามตั้งหลายที ไม่ได้ยินเลยหรือไง”
ผมเก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋า กลอกตาเล็กน้อยพยายามคิดหาข้อแก้ตัวเรื่องข้อความที่ส่งมาเมื่อกี้ มายเท้าสะเอวแล้วถามอีกรอบ
“ตกลงปายสนิทกับนามด้วยเหรอ”
คำถามนั้นทำให้ผมถอนหายใจอย่างโล่งอกที่มายไม่ได้ซักไซ้เรื่องข้อความเมื่อกี้ ผมยกมือขยี้หัวอีกฝ่ายเบาๆก่อนจะเลื่อนลงมาโอบไหล่เพื่อเดินไปร้านไอศกรีมด้วยกัน
“เปล่า ก็แค่คนรู้จักน่ะ:)”
END
[/size]
นี่เป็นเรื่องแรกที่ลงในเล้าเลยค่ะ ต่อจากนี้ถ้ามีคิดอะไรออกก็น่าจะเอามาลงอีก ยังไงก็ฝากตัวด้วยนะค้าาา