สองสัปดาห์แล้วที่ณัฐภูมิไม่ได้เมินเฉยต่อสายตาของวีกิจที่มักส่งมาจากฝั่งตรงข้าม ความสัมพันธ์ที่ยังไม่มีอะไรคืบหน้านอกจากการเป็นคนคุ้นตาของกันและกัน อากาศในวันนี้แจ่มใสค่อนไปทางอบอ้าวณัฐภูมิจึงเลือกไม่ติดกระดุมสองเม็ดบนคอเสื้อนักศึกษา เขารับหลอดเข้าปากแล้วดูดเครื่องดื่มสีหวานอย่างน้ำแดงโซดาระงับอาการกระหายน้ำตอนเที่ยงวัน บ่ายโมงตรงเป็นเวลาขึ้นเรียนที่ทั้งกลุ่มจะอิดออดไม่ได้ขึ้นตรงเสียทีเดียว บทสนทนาบนโต๊ะนั่นมีหลากหลายแต่เขาไม่ได้ตั้งใจฟังสักเท่าไร เหตุสำคัญลำดับต้นๆคือณัฐภูมิที่เสียความเป็นตัวเองอย่างง่ายดายจากสายตาของวีกิจ
ความแปลกใจแรกเริ่มนั่นเกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนก่อนเห็นจะได้ แต่ณัฐภูมิก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจสักเท่าไรเพราะสมาชิกบนโต๊ะของเขาประกอบไปด้วยชายสองและหญิงอีกสาม เป็นกลุ่มใหญ่และโดดเด่นอยู่พอสมควร หากวีกิจจะมองเพื่อนของเขาก็คงไม่แปลก แต่มาวันนี้สายตาของวีกิจนั่นทำให้เขาขัดเขินอยู่ไม่น้อย ไม่ได้จ้องมองอยู่ตลอดแต่ก็บ่อยครั้งเช่นกันที่สายตาสองคู่ที่ประสานกันเหมือนแผ่นแม่เหล็กคนละขั้ว
ณัฐภูมิเก็บงำความสงสัยนี้ไว้กับตัวและเลือกใช้วิถีชีวิตเช่นเดิม แต่เขาก็รู้ว่าภายในเขาได้เกิดการเปลี่ยนแปลง ราวกับมีใครเคลื่อนย้ายมวลวัตถุสลับไปมา บางครั้งหนักอึ้งต่อมาว่างเปล่า หมุนวนจนไม่เป็นตัวเอง
เมื่อการเรียนช่วงบ่ายผ่านพ้นไปเพื่อนๆที่ติดภารกิจจะปลีกตัวไปตามนัดส่วนพวกที่เหลือจะหากิจกรรมต่อ บางครั้งซื้อของทอดจากร้านรถเข็นที่ขายอยู่ริมทางเท้ามาทานเล่นใต้ต้นจามจุรี เวลาบ่ายสี่โมงแดดแก่แล้วแต่ไม่ร้อนจัดเหมือนตอนกลางวันจึงทำให้ไม่รู้สึกรีบร้อนแต่อย่างใด ถนนด้านหน้าของคณะมักจะมีบรรดานักศึกษาเลือกใช้จักรยานเป็นพาหนะหรือไม่ก็มอเตอร์ไซต์ขับผ่านไปมา ณัฐภูมิมองภาพเหล่านั้นแต่ใจกลับกระหวัดนึกถึงแต่วันที่ฝนตกหนักแล้วเขายังเป็นคนเดียวที่ติดอยู่ใต้ตึกซึ่งก่อนหน้านั้นเพื่อนๆได้กลับกันไปหมดแล้ว
“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไรไอ้นัท?”
“หือ? เปล่า” ปลายฟ้าเพื่อนสนิทซึ่งเป็นผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มยกไม้จิ้มลูกชิ้นชี้หน้าณัฐภูมิอย่างหาคำตอบ
“ไม่เชื่อแกหรอก มีเรื่องอะไรเล่ามา”
“ไม่มีอะไร กินเสร็จยังเนี่ย จะกลับหอแล้ว”
“รีบกลับไปไหนยะ? โอ้ยเบื่อ อยากเที่ยว”
ณัฐภูมิส่ายหัว ยกนิ้วจิ้มหน้าผากปลายฟ้าไปสองจึ้ก “พ่อแกบ่นอยู่ทุกวันไม่จำบ้างหรือไง?”
“ก็มันเบื่อ” เธอว่า ทำเสียงหงอยๆก่อนจะข้ามฝั่งมากระโดดเกาะแขน
“ศุกร์หน้าวันเกิดพี่ชานนท์ ไปงานด้วยกันน๊า” เธอกอดแขนอ้อนซบเพื่อนอย่างณัฐภูมิเพราะรู้ดีว่าเขาจะไม่ปฏิเสธ
“ไม่อยากไปเลย”
“กลัวอะไร ที่ชานนท์เขามีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้ว น้องแนทคณะบริหาร สรุปพี่แกไม่ใช่เกย์หรอวะ?เห็นมาจีบๆคุยๆกับแกนินัท”
“มีแฟนเป็นผู้หญิงก็ไม่น่าจะเป็นล่ะมั้ง”
“แถวบ้านเรียกไบ” พรสรวงที่นั่งเงียบอยู่ฝั่งตรงข้ามเอ่ยแทรก ชานนท์คือรุ่นพี่คณะเดียวกันซึ่งเคยเข้าหาณัฐภูมิเมื่อหลายเดือนก่อน แต่ยังมีหลายส่วนที่เขารู้สึกไม่สนิทใจกับอีกฝ่ายจึงลดระดับความัสพันธ์เหลือเพียงพี่น้องตามเดิมแม้ว่าจะเคยไปได้ไกลถึงขั้นคู่นอนก็ตาม
“แกอย่ามาอินโนเซ้นต์ ผู้ชายที่ไหนเอาผู้ชายด้วยกัน” พรสรวงกรอกตา เธอลอบเบ้ปากขณะจิ้มลูกชิ้นสาหร่ายเข้าปากอีกลูก ณัฐภูมิหลบสายตาอย่างช่วยไม่ได้ แม้เขาจะไม่เคยบอกใครต่อใครเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของรุ่นพี่แต่กลุ่มเพื่อนก็รับรู้เพียงแค่ส่วนที่เขาต้องการให้รู้เท่านั้น หลังสัปดาห์ที่ความสัมพันธ์ฉาบฉวยได้เกิดขึ้นณัฐภูมิเองจึงรู้ว่าอีกฝ่ายเองก็มีคนคุยและเลือกนอนด้วยมากมาย เพื่อไม่ให้เข้าใกล้และถลำลึกไปมากกว่านี้เขาจึงตัดสินใจแยกห่างออกมา แม้ว่านั่นจะไม่ใช่ความรักแต่ก็ทำให้เขารู้สึกแย่ที่จะเริ่มคุยกับใครจริงๆจังๆใหม่ในทันที กระทั่งผ่านมาหลายเดือนแล้วก็ตาม
“สงสารก็แต่น้องแนท จะรู้ไหมว่าแฟนตัวเองยังไปกับเด็กผู้ชายมัธยมปากแดงอยู่เลย”
“พอเถอะ” ณัฐภูมิตัดบทด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย เขาคาบหลอดไว้ในปากดูดน้ำหวานผ่านคอแล้วสายตาก็มองไปเรื่อย เห็นร่างสมส่วนของวีกิจเดินลงมาจากตัวตึกที่คณะฝั่งตรงข้าม มองเรื่อยไปจนอีกฝ่ายหายลับไปจากสายตาหลังจากนั้นเขาจึงแยกตัวกลับหอของตนเองบ้าง
ทั้งสัปดาห์วีกิจไม่ได้พบหน้าหรือพูดคุยกับณัฐภูมิอีกเลย มารู้ในคืนวันอังคารเมื่ออีกฝ่ายอัพโหลดรูปภาพขึ้นในโซเชียลมีเดียว่าตนกำลังอยู่ญี่ปุ่น วีกิจนั่งมองภาพนั้นอยู่นานก่อนจะเลื่อนหาดูรูปอื่นในอัลบั้มภาพเดียวกัน วีกิจไม่รู้ว่าที่ญี่ปุ่นตอนนี้หนาวหรือไม่แต่ดูจากเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายสวมใส่พอจะเดาได้ว่าอุณหภูมิต่ำกว่าที่ไทยอย่างแน่นอน มีเพื่อนๆและคนรู้จักต่างแสดงความคิดเห็นต่อรูปภาพอยู่มากขณะที่วีกิจไม่มีคำพูดใดๆจะพูดกับอีกฝ่าย รูปล่าสุดที่ณัฐภูมิอัพโหลดคือราเม็งชามโตที่เจ้าตัวใส่คำบรรยายว่า
‘อุ่น อุ่น’
วีกิจพาลนึกไปถึงค่ำคืนก่อนที่อีกฝ่ายชวนเขาไปทานข้าวเย็นด้วยกัน แม้ว่าบะหมี่เกี๊ยวที่ซอยข้างหอจะมีรสชาติแค่พอกินได้แต่ณัฐภูมิเลือกร้านนี้และให้เหตุผลว่า ‘กินอะไรอุ่นๆกันดีกว่า’
ชั่วขณะหนึ่งหัวใจของวีกิจบังเกิดความรู้สึกอุ่นวาบ ไร้ที่มาที่ไปอย่างน่าฉงน หลายวันมาแล้วที่วีกิจจำต้องผนึกความคิดที่ผุดวนเวียนไว้กับตัวเองไม่อาจเปิดเผยหรือถามไถ่ใครซึ่งพอจะเข้าใจความรู้สึกของวีกิจได้สักคน คำถามได้รับการเฉลยโดยเจ้าตัวแล้วและทำให้วีกิจรู้สึกแตกต่างจากทุกครั้งที่เฝ้ามองอีกฝ่ายใต้ต้นจามจุรีของคณะ
สุดสัปดาห์วีกิจยังอยู่หอพักตามเดิมแม้ว่าบ้านของเขาจะอยู่แถบปริมณฑลก็ตาม ทว่าหนึ่งสัปดาห์ต่อจากนี้เป็นช่วงสอบปลายภาคเขาจึงเลือกใช้เวลาสะสางงานค้างและอ่านหนังสือเตรียมสอบ วีกิจออกจากหอไปไม่เกินสองช่วงตึกเพื่อเลือกร้านอาหารตามสั่งเจ้าประจำและกลับขึ้นมาทำงาน เมื่อเวลาล่วงเลยไปถึงตอนเย็นเพื่อนๆที่พักอยู่ในละแวกนี้ก็นัดกันไปเล่นกีฬาที่สนามของมหาวิทยาลัย วีกิจออกกำลังกายเป็นประจำ เขาจะวิ่งรอบสนามอย่างน้อยอาทิตย์ละสามวัน ส่วนฟุตบอลนั่นแล้วแต่จะนัดกับเพื่อน ทำให้วีกิจมีสุขภาพและรูปร่างสมส่วนน่ามอง หลังเตะบอลกันเสร็จเขาและเพื่อนๆก็ยกกลุ่มมาทานข้าวเย็นกันต่อกว่าจะแยกย้ายก็เป็นเวลาสองทุ่มเศษ
เนื่องจากวันนี้วีกิจไม่ได้รีบร้อน ก่อนกลับขึ้นหอเขาแวะร้านสะดวกซื้อเพื่อหาน้ำดื่มและขนมกินเล่นสำหรับคืนนี้ เมื่อกลับขึ้นห้องเขาก็จัดการธุระส่วนตัวและออกมาเปิดแล็ปท็อปเพื่อค้นหาข้อมูลสำหรับทำรายงาน
เพราะต้องคุยงานผ่านเฟชบุ๊คทำให้วีกิจเห็นภาพของบุคคลอื่นในโซเชียลมีเดียซึ่งเป็นสาธารณะ ไม่มีใครสะดุดตาได้เท่ากับณัฐภูมิที่ล่าสุดขึ้นสถานะเช็คอินสนามบินนานาชาตินาริตะ ข้อความแสดงความคิดเห็นของเพื่อนๆเป็นไปในทำนองเดียวกันวะส่วนใหญ่
‘อีนัท ของฝากกกกก’
‘กันดั้มกูอย่าลืม’
‘คิทแคทชาเขียวๆๆๆ’
‘จะเอาผ้าห่มคิตตี้’
‘เสียใจนัทไม่มางานวันเกิดพี่ คิดถึงนะครับ’
วีกิจพอจะทราบว่าณัฐภูมิมีเพื่อนหลายคนและมีทั้งชายและหญิง เชาอ่านความคิดเห็นสุดท้ายที่ดูเหมือนจะเป็นรุ่นพี่ของอีกฝ่ายแต่ภาษาที่ใช้ดูจะสนิทสนมเกินรุ่นพี่รุ่นน้องธรรมดา วีกิจไม่เคยเป็นแบบนี้ ความอยากรู้ทำให้เขากดชื่อ Chanon Pongpasit จนปรากฏหน้าต่างข้อมูลส่วนตัว อีกฝ่ายเปิดสาธารณะไว้พอสมควรทำให้เห็นข้อความต่างๆ วีกิจมองเวลาและวันที่จึงรู้ว่างานวันเกิดของ Chanon Pongpasit ล่วงมาแล้วหนึ่งวัน มีรูปภาพและคำอวยพรเต็มไปหมดทว่าเจ้าของก็เลือกตอบเฉพาะคนเท่านั้น หากใครที่ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวจะได้รับแค่ถูกใจแต่ไม่มีข้อความตอบกลับ
วีกิจไล่สายตาดูคร่าวๆพบข้อความของณัฐภูมิที่เขียนอวยพรเหมือนคนอื่นๆแต่ Chanon Pongpasit เลือกทั้งกดถูกใจและข้อความตอบกลับ มีความรู้สึกบางอย่างแทรกซึมอยู่ในตัวของวีกิจเกิดขึ้นเหมือนไฟที่ถูกจุดในกายให้ร้อนรนกระสับกระส่าย คืนนั้นวีกิจหลับไปโดยที่รายงานยังค้างอยู่ที่เดิม
เช้าวันอาทิตย์เขาตื่นมาในตอนสาย เปลี่ยนเสื้อผ้าและล้างหน้าแปรงฟันไปหามื้อเช้าทาน วีกิจหยิบกระเป๋าสตางค์หนังของตนกับพวงกุญแจห้องที่ห้อยคู่กับคีย์การ์ดติดตัวลงไป เมื่อกลับขึ้นมาอีกครั้งก็พบใครบางคนยืนหงอยอยู่หน้าห้อง
“นัท”
“อ๊ะ!! วี!” อีกฝ่ายสะดุ้งโหยง ร่างโปร่งในชุดเสื้อผ้าลำลองดูแปลกตาแต่ก็ชวนมอง วีกิจพยายามไม่แสดงอาการที่เกิดขึ้นในตอนนี้ให้อีกฝ่ายได้รับรู้ เขาเพียงแค่ทำท่าสงสัยแล้วถามออกไป
“เราเพิ่งกลับจากญี่ปุ่น ซื้อของมาฝาก”
“ขอบใจนะ” วีกิจยิ้มรับขณะที่มองท่าทางเก้กังของอีกฝ่าย เขาเป็นฝ่ายชวนคุยก่อน
“ไปเที่ยวมาสนุกไหม?”
“สนุก” อีกฝ่ายพูดขึ้นด้วยท่าทางสดใส ภาพนั้นน่ามองและเป็นที่จดจำได้ไม่ยาก วีกิจไม่อาจตอบได้ว่าความรู้สึกในช่วงนี้ที่ตนมีต่อณัฐภูมิคืออะไร มีบางสิ่งแปรเปลี่ยนไปโดยที่ไม่รู้ว่าสมควรหรือไม่ บางครั้งร้อนรน บางครั้งเจ็บปวด แต่ ณ เวลานี้วีกิจก็ไม่อาจสลัดความรู้สึกดีที่ได้มองอีกฝ่ายออกไปได้ ณัฐภูมิมีรอยยิ้มซึ่งเป็นเอกลักษณ์ แนวฟันเรียงสวยเป็นระเบียบ รูปปากที่ไม่หนาไม่บางแต่อิ่มกว้างพอเหมาะกับโครงหน้าสวย แม้จะไม่มีลักยิ้มให้ติดตรึงแต่เมื่อประกอบกับนัยน์ตาซึ่งทอประกายของณัฐภูมิแล้ว วีกิจก็พบว่าเขาชอบรอยยิ้มนี้เหลือเกิน
“คุยเพลินเลย โทษที”
“ไม่เป็นไร”
“งั้นเรากลับห้องก่อนนะ”
“พักผ่อนด้วยล่ะ อาทิตย์หน้าสอบแล้ว”
“เออใช่!ต้องรีบเคลียร์งาน” วีกิจยิ้มให้อีกฝ่ายและพากันโบกมือลาสั้นๆ ณัฐภูมิหายเข้าห้องตัวเองไปแแล้วส่วนวีกิจมองถุงขนมที่ได้มาด้วยความรู้สึกพองคับในอก แม้ว่าก่อนหน้าจะเกิดความรู้สึกแย่มากมายแต่ในเวลานี้วีกิจสามารถสลัดทิ้งเหมือนกับมันไม่เคยรบกวนจิตใจเขามาก่อน
อาทิตย์ของการสอบปลายภาคทำให้เขาพบกับณัฐภูมิแค่ช่วงเย็นเท่านั้น มีคืนวันอังคารที่วีกิจเอ่ยปากชวนอีกฝ่ายไปทานมื้อเย็นตอบแทนขนมที่ณัฐภูมิให้มา และเย็นวันพุธที่พบอีกฝ่ายอ่านหนังสือที่หอสมุดกลางจนถึงสี่ทุ่ม เวลานั้นวีกิจกำลังจะกลับหอเช่นกันเขาที่เห็นอีกฝ่ายนั่งอยู่คนเดียวจึงเดินเข้าไปทัก นับว่าเป็นครั้งที่สองที่พวกเขาเดินกลับห้องด้วยกัน ทำให้วันถัดมาณัฐภูมิกล้าที่จะชวนวีกิจมานั่งอ่านหนังสือกับตนที่โต๊ะของห้องสมุดเพราะเวลานี้เพื่อนๆกลับกันไปหมดแล้ว
“ง่วงหรือ?” วีกิจถาม เขาสังเกตมาได้สิบนาทีแล้วว่าณัฐภูมิลอบสัปหงกแทนการอ่านหนังสือ อีกฝ่ายขยี้ตาประกอบคำพูด วีกิจมองยิ้มๆพบปากกาไฮไลท์ของอีกฝ่ายที่ขีดไม่เป็นเส้นตรงอย่างที่ควรจะเป็น
“กลับหอไหมครับนัท?”
“กลับไปถ้าไม่นอนก็ต้องกิน แล้วกินตอนกลางคืนก็ต้องอ้วน” มีเสียงงึมงำลอดออกมาให้ได้ยิน วีกิจพยายามฟังแต่ก็ฟังไม่ออก
“วี มาอ่านหนังสือห้องเราไหม?”
วีกิจมองหน้าอีกฝ่าย
“เราไม่กวนวีหรอก แต่เราอ่านหนังสือคนเดียวไม่ได้”
“ห้องเรายังมีขนมเหลือนะ”
วีกิจตั้งใจจะตอบตกลงตั้งแต่ประโยคแรกที่อีกฝ่ายชวนแล้วแต่ว่าเขายังชะงักกับสายตาปรือปรอยกับปากที่งอนและเชิดขึ้นเชิงอ้อนของอีกฝ่าย เป็นอีกครั้งที่ความรู้สึกของวีกิจพลุ่งพล่านและร้อนลามมาถึงใบหน้า
วีกิจเคาะห้องที่ตั้งอยู่เยื้องกันของณัฐภูมิ อีกฝ่ายเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดนักศึกษาเป็นเสื้อยืดตัวใหญ่และกางเกงผ้าใส่สบาย วีกิจเองก็เช่นกัน ท่าทางอีกฝ่ายสดชื่นขึ้นกว่าเดิมเพราะระหว่างทางกลับหอแวะทานมื้อดึกเล็กๆที่ถนนข้างหอพัก วีกิจพบว่าณัฐภูมิชอบกินของหวานมากกว่าของคาว อีกฝ่ายเลือกเครปใส่แยมกินเป็นมื้อดึกขณะที่วีกิจเลือกกาแฟเย็นสำหรับอ่านหนังสือคืนนี้ เมื่อใช้เวลาร่วมกันพวกเขาจึงแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างเช่นคำถามที่ทำให้รู้จักอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้น แม้ว่าณัฐภูมิจะไม่ได้อ้วนอย่างที่เจ้าตัวกังวลแต่อาหารการกินและการใช้ชีวิตประจำวันทำให้อีกฝ่ายน่าเป็นห่วง
วีกิจยิ้มขำเมื่อณัฐภูมินั่งลงที่โต๊ะญี่ปุ่นพร้อมกับช็อกโกแล็ตบาร์แท่งใหญ่ที่กินไปแล้วกว่าครึ่ง
“โต๊ะรกไปหน่อย โทษที”
วีกิจส่ายหน้า เลือกพื้นที่สำหรับตัวเองได้ก็ลงมืออ่านหนังสือ เขาเลือกทำแบบฝึกหัดกับโจทย์แนวข้อสอบขณะที่ณัฐกิจไฮไลท์จุดสำคัญและช็อตโน้ตในสมุดครึ่งเอสี่ วีกิจไม่ได้เสียสมาธิจากถุงขนมที่ณัฐภูมิหยิบจับแต่เขากลับเสียสมาธิเพราะเอาแต่ลอบมองอีกฝ่าย หลายต่อหลายครั้งจนนึกตำหนิตัวเองบ่อยๆและด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้ตัว และพาลให้เสียสมาธิกันทั้งคู่
ล่วงเลยจนขึ้นวันใหม่มาแล้ว เจ้าของห้องอาสาชงโกโก้ร้อนให้ วีกิจจึงพักสายตาบ้าง ณัฐภูมิกลับมาอีกครั้งพร้อมกับแก้วเซรามิคสีขาวมุกใบใหญ่สองใบ วีกิจยื่นมือออกไปรับ ควันขาวลอยม้วนตัวอยู่ในอากาศพร้อมกับหอบเอากลิ่นโกโก้ให้รู้สึกตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง
ร่างโปร่งนั่งลงที่พื้นที่ด้านข้างของวีกิจ ความใกล้ชิดทำให้สัมผัสได้ถึงไอร้อนจากตัวของอีกฝ่าย วีกิจวางแก้วรอให้เครื่องดื่มหายร้อนขณะที่ณัฐภูมิเลือกเป่าสลับกับจิบเครื่องดื่มโดยใช้สองมือประคอง ชายหนุ่มทำทีเป็นลอบสำรวจห้องพักที่มีขนาดและการตกแต่งแรกเริ่มไม่ต่างจากห้องเขาแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะสรรหาของมาประดับห้อง จำพวกผ้าม่านและหลอดไฟ สาเหตุที่ณัฐภูมิเลือกผ้าม่านสีทึบเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันแสงแดด เจ้าตัวบ่นว่าตื่นสายเป็นประจำแต่ช่วยในการนอนหลับได้ดี ส่วนหลอดไฟก็เป็นโทนส้มอบอุ่นสบายตา เป็นห้องที่เหมาะกับการพักผ่อนอย่างที่เจ้าตัวตั้งใจไวเ ตามกำแพงเองก็มีโพสอิสบนกระดานไม้ก๊อกสำหรับนัดหมายและรูปถ่ายจากกล้องโพลาลอยสองสามใบ
“นัทมีกล้องโพลาลอยด้วยเหรอ?” วีกิจตั้งคำถาม เขาชี้นิ้วไปที่รูปตรงกำแพง ณัฐภูมิเงยหน้าขึ้นมาจากแก้วมัค ขอบปากด้านบนเต็มไปด้วยคราบโกโก้จนวีกิจต้องกลั้นยิ้มเอาไว้
“ไม่ใช่หรอก ส่วนใหญ่ได้มาจากคนอื่นอีกที ขอให้เขาถ่ายให้”
“ขอดูหน่อยได้ไหม?” ณัฐภูมิลอบยิ้มเขินๆแต่ก็พยักหน้า วีกิจลุกขึ้นจากที่นั่งไปที่โต๊ะหนังสือตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่ริมห้อง ณัฐภูมิทำได้เพียงมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายจากที่เดิม หลังจากได้ใกล้ชิดเพียงช่วงเวลาสั้นๆทำให้เขามองวีกิจเปลี่ยนไปเล็กน้อย ผู้ชายที่ใช้ท่วงท่าและการดำเนินชีวิตสบายๆ มีรอยยิ้มแต้มอยู่เหนือริมฝีปาก การพูดคุยสุภาพ รักษามารยาทและมีความรับผิดชอบในตัวเองสูง ณัฐภูมิไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ววีกิจเป็นคนเช่นไร หากตัวตนที่เขาสัมผัสมาตลอดกลับกลายเป็นสิ่งที่เขากลับไม่เคยได้เรียนรู้มาก่อน เข้าถึงยากและเป็นคนมีความคิดซับซ้อนในบางเรื่อง
ด้วยท่าทีการแสดงของอีกฝ่ายทำให้เขาไม่กล้าปักใจเรื่องรสนิยมของวีกิจ ความสนิทสนมที่อีกฝ่ายมอบให้อาจจะเป็นเพียงเพื่อนชายทั่วไปไม่ได้เข้าหาเขาในแง่ที่เกินเลยกว่านั้น คิดถึงความเป็นไปได้นี้หัวใจเขาก็บีบรัดจนปวดแปลบ อนึ่งเขาไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะมีใจให้ วีกิจนั่นเป็นคนดีและการได้เพื่อนอย่างวีกิจนั่นถือว่าเป็นโชคดีของเขา
วีกิจหันกลับมาเมื่อเขาพบว่าบทสนทนาไม่ถูกต่อเติม ณัฐภูมิตกอยู่ในภวังค์อันไร้ขอบเขต ดวงตากลมหม่นนั่นมองออกไปที่ด้านนอก ชายหนุ่มมองภาพนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปนั่งลงใกล้ๆ หยิบแก้วโกโก้ที่อุ่นแล้วขึ้นจิบพบว่ารสชาติแตกต่างจากตอนดื่มกาแฟ โกโก้ไม่มีรสชาติขมหรือเฝื่อนคอ มีแต่กลิ่นหอม หวานนุ่มและไม่บาดลิ้น เขาเหลือบมองอีกฝ่ายที่ได้สติและตกใจอยู่หน่อยๆ ไม่นานทั้งคู่ก็ค่อยๆคลี่ยิ้มให้กันท่ามกลางความเงียบงัน
ตกดึกแล้วแต่โต๊ะญี่ปุ่นกลางห้องยังจับจองด้วยพื้นที่ของนักศึกษาสองคนที่ต่างสาขาวิชาแต่นั่งอ่านหนังสือด้วยกัน ผ่านไปนานจนโกโก้รสชืดและตกตะกอนอยู่ก้นถ้วย เจ้าของห้องหาวถี่ขึ้นจนวีกิจต้องเอ่ยปากขอลากลับห้อง
“ตั้งใจว่าจะโต้รุ่งแท้ๆ” วีกิจหัวเราะเสียงแห้ง ร่างโปร่งปรือตาเดินมาส่งที่หน้าห้อง จู่ๆวีกิจก็บังเกิดความรู้สึกอยากสัมผัสเนื้อตัวอีกฝ่าย อยากวางมือลงบนเส้นผมที่ชี้ฟูไม่เป็นทรง ไล้ไปตามริมฝีปากที่งอนคว่ำอยู่ในขณะนี้แต่สิ่งที่ชายหนุ่มเลือกทำคือการกล่าวลาอีกฝ่ายเพียงสั้นๆเท่านั้น
วีกิจทราบมาว่าณัฐภูมิมีสอบวันนี้เป็นวันสุดท้าย ขณะที่ตัวเขายังเหลือสอบอีกตัวคือสามวันถัดไป พวกเขาไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือด้วยกันแล้ว วีกิจพอจะทราบแผนการของอีกฝ่ายอยู่บ้าง ดูเหมือนจะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปเสียแล้วเมื่อสอบเสร็จจะต้องฉลองกันด้วยการเปิดขวดที่สถานเริงรมย์ และสถานที่ดังกล่าวก็ยังอยู่ละแวกรั้วมหาวิทยาลัยซึ่งเปิดเป็นร้านอาหารกึ่งบาร์ไปโดยปริยาย
คืนนี้วีกิจนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ห้อง จิตใจจดจ่ออยู่กับเนื้อหาที่ต้องอ่านสอบแต่ใจกระหวัดนึกถึงคนที่ชอบชงโกโก้มาให้เขาดื่มจนช่วงนี้หันไปบริโภคสลับกับกาแฟ และด้วยนิสัยของอีกฝ่ายที่ต้องหาอะไรเคี้ยวระหว่างอ่านทำให้วีกิจติดมาเช่นกัน เขามองหาลูกอมไม่ก็ห่อขนมที่ซื้อมาพบเพียงความว่างเปล่า เวลาเที่ยงคืนครึ่งถือว่ายังไม่ดึกเท่าไร
วีกิจหยิบของสำคัญแล้วออกจากห้อง ปกติหอพักแห่งนี้ค่อนข้างเงียบหากมีคนเดินจากชั้นล่างก็จะได้ยินมาถึงชั้นบน เกิดเสียงดังนิดหน่อยก็รู้ได้ทันที วีกิจเพ่งตามองไปที่แหล่งกำเนิด เกิดขึ้นบริเวณหน้าห้องของณัฐภูมิ ชายหนุ่มสาวเท้าเข้าไปใกล้หวังจะช่วยเหลืออีกฝ่ายอยู่เช่นกัน
“อยู่เฉยๆไอ้นัท อย่าเรื้อนดิวะ ไหนกุญแจ” เพื่อนของณัฐภูมิเป็นฝ่ายถามขณะที่เจ้าของชื่อสิ้นฤทธิ์ลงไปนั่งพิงกำแพงแต่ยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอารมณ์ดี ฝ่ายเพื่อนก้มลงค้นหากุญแจที่น่าจะอยู่ในกระเป๋ากางเกง แต่รัศมีนั่นทำให้ณัฐภูมิกวาดแขนเอาที่รอบคอก่อนจะดึงอีกฝ่ายเข้ามาปล้ำจูบ
“เห้ย!ไอ้นัท ไอ้เพื่อนเหี้ย!” ฝ่ายนั้นโวยวายจนวีกิจทนไม่ไหวต้องรีบเข้าไปแยกออก
“ขอบคุณครับ” ฝ่ายนั้นเอ่ยบอก วีกิจพยักหน้าให้เล็กน้อยก่อนจะสอบถามที่มาที่ไปจนได้เรื่องราวในที่สุด วีกิจช่วยพยุงตัวณัฐภูมิที่กลิ่นตัววันนี้แปลกไปเล็กน้อย มีกลิ่นแอลกฮอล์ผสมกับกลิ่นบุหรี่ ไม่ถึงกับฉุนจัดแต่ก็พอรู้ว่าอีกฝ่ายดื่มไปพอสมควร
“เป็นเพื่อนมันใช่ไหม ไม่เคยเห็นมันเมาล่ะสิ ไอ้นี้เวลาเมาแล้วจะ...ชอบจูบชาวบ้านน่ะ”
“งั้นเหรอ?” วีกิจลอบขมวดคิ้ว มองท่าทางกระสับกระส่ายบนเตียงอย่างเป็นกังวล
“งั้นผมกลับก่อน ปล่อยมันไว้งี้แหละ”
วีกิจไม่ตอบ เขาเพียงพยักหน้าแล้วปล่อยให้เพื่อนที่พามาส่งกลับไป คนเมานั่นมีหลายรูปแบบไม่ใช่ว่าวีกิจไม่เคยพบเจอ มีทั้งเมาแบบรู้สึกตัวแต่ควบคุมตนเองไม่ได้ เมาไม่ได้สติ หรือเมาแล้วอาละวาดก็มี วีกิจยื่นมือไปแตะหน้าผากอีกฝ่าย พบเม็ดเหงื่อซึมออกตามไรผม เขาตัดสินใจจะช่วยถอดเสื้อผ้าอย่างน้อยก็จะได้นอนสบายตัวขึ้น แต่ยังไม่ทันที่เขาจะชักมือกลับดวงตาคู่กลมที่มักจะทอดมองภาพต่างๆด้วยอารมณ์หม่นหมองก็เปิดปรือขึ้น
วีกิจสั่นไหวไปทั้งร่าง ยามสายตาประสานเข้ากันกับดวงตากลมทอประกายระยิบระยับ วีกิจควรเชื่อคำเตือนของเพื่อนณัฐภูมิเพราะยังไม่ทันที่เขาจะตั้งตัวอีกฝ่ายก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจผนึกแนบลงมา
ลมหายใจเขาขาดช่วงไปเพราะอารามตกใจ มือบางที่สอดขยุ้มด้านท้ายบีบบังคับให้เขาตอบสนองอารมณ์หวามไหวของอีกฝ่าย จูบรุมร้อนหากอวลไปด้วยความอุ่นหวาน วีกิจปิดเปลือกตาขณะแลกลมหายใจกับอีกฝ่าย ความรู้สึกวูบโหวงหากถูกเติมให้เต็มซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนลูกโป่งซึ่งอัดแก็สบีบรัดด้วยอารมณ์ปารถนาอย่างรุนแรงจนจวนเจียนจะระเบิด วีกิจผละออกมาโกยอากาศเข้าปอดแต่ณัฐภูมิกลับดื้อรั้นเอาแต่ใจ ฉกฉวยโอกาสอันน้อยนิดของวีกิจไปจนสติของเขาแตกกระเจิง
ทั้งคู่บดจูบซ้ำๆ เปลี่ยนจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งแต่วีกิจก็รู้ดีว่าเขาไม่ควรฉวยโอกาสกับคนเมา ต่อให้อีกฝ่ายเรียกร้องสักแค่ไหน วีกิจก็จำต้องผละออกมา ยามได้ดื่มกินจึงรู้ว่าอาหารบางชนิดไม่เคยพอเมื่อเทียบกับความต้องการ ริมฝีปากของอีกฝ่ายแดงช้ำแต่กลับชวนให้บดขยี้ซ้ำๆอย่างอดใจไม่อยู่ เรี่ยวแรงของณัฐภูมิหดหายเหลือเพียงร่างที่นอนทอดกายปวกเปียกและหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง วีกิจเสยผมตัวเองอย่างนึกหงุดหงิด ความรู้สึกอันไม่ควรเกิดนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว แจ่มชัดจนเขาไม่อาจหลีกหนี ใบหน้าของเขาขรึมขึ้นเล็กน้อย ณัฐภูมิไม่พูดอะไรสักคำแต่ดวงตาเชิญชวนนั่นกลับแปรเปลี่ยนไปจนเขารับรู้ได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายสร่างเมาไปแล้ว
“ขอโทษ”
วีกิจพูดเสียงกระซิบ ริมฝีปากขบกัดขณะที่ลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าของตนเอง ณัฐภูมิเพียงแค่พลิกตัวดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวปิดบังแผ่นอกเรียบเนียนที่ปรากฏออกมาจากฝีมือของวีกิจ เขาหลับตาลงช้าๆ นึกภาพของวันพรุ่งนี้ไม่ออกเพราะในหัวยังหนักและเคว้งคว้าง เสียงของวีกิจหายไปพร้อมกับเจ้าตัว ประตูปิดดังพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มไหลรินอออกมา
วีกิจกำลังสับสนและทำให้เขาเลือกทางออกโดยการอยู่กับตัวเอง เขาพยายามรวบรวมสมาธิและจดจ่ออยู่กับสิ่งที่กำลังทำ วีกิจโหมอ่านหนังสือหนักอย่างที่เคยแต่เปลี่ยนสถานที่จากที่หอพักตนเองก็มาสุมหัวกับเพื่อนในละแวกใกล้เคียง อาจดูเหมือนเป็นเรื่องปกติแต่ณัฐภูมิกลับรู้สึกว่าตนเองกำลังโดนใครบางคนหลบหน้า
คนที่ชอบแอบมองเขาจากอีกฝั่งของถนนหน้าคณะ ผู้ชายที่หยิบยื่นมิตรภาพให้เขาก่อนและเขาเป็นคนทำลายมัน ก็ไม่แปลกที่วีกิจเลือกจะหนีหายไป เป็นช่วงเวลาที่ณัฐภูมิยังคงลังเลหากเขารู้คืนสติได้เร็วกว่านี้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่คงยังไม่โดนตัดจบเช่นกัน ณัฐภูมินึกเกลียดตัวเองขึ้นมาทันทีแม้แต่คำว่าขอโทษก็ยังไม่ได้กล่าวกับอีกฝ่ายเป็นเพราะวีกิจไม่ได้กลับห้องมาแล้วสองวัน พรุ่งนี้คือวันสุดท้ายที่เขาจะอยู่ที่นี้ก่อนกลับบ้านไปหาครอบครัว หากเวลานั้นมาถึงวีกิจยังคงไม่อยากพบหน้าเพื่อพูดคุย ณัฐภูมิก็ต้องยอมรับเรื่องนี้
วีกิจสอบเสร็จตอนบ่ายสอง เพื่อนๆรวมตัวกันว่าจะไปกินเลี้ยงกันแต่ขอเป็นมื้อเย็น วีกิจเดินกลับหอในช่วงที่อากาศเลวร้ายที่สุดในรอบวัน แดดจัด อบอ้าว ไม่มีแม้แต่ลมช่วย เขากระพรือปกเสื้อขึ้นเล็กน้อยเลือกแวะซื้อน้ำดื่มที่ร้านสดวกซื้อ เมื่ออยู่กับตัวเองแล้ววีกิจก็ต้องยอมรับว่าเรื่องที่ผุดขึ้นมาในความคิดแรกคือเรื่องของณัฐภูมิ
เขายังจดจำสีหน้าเจ็บปวดระคนรู้สึกผิดนั่นได้ดี บางทีคนในความคิดของอีกฝ่ายอาจจะไม่ใช่เขาจึงรู้สึกผิดหวังและนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาท้อแท้ขนาดนี้ ชายหนุ่มชั่งใจว่าจะซื้อกาแฟกระป๋องดีหรือไม่แต่ก็พบว่าไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป เขาออกจากร้านสดวกซื้อและเดินไปตามเส้นทาง เลือกมองปลายเท้าแทนมองผู้คนที่เดินสวนไปมา วันนี้เขาสวมรองเท้าผ้าใบคู่เก่าที่ครั้งหนึ่งเคยยื่นให้กับณัฐภูมิ ให้อีกฝ่ายได้ใส่ลุยน้ำส่วนตัวเองเดินลุยเท้าเปล่า วันนั้นคือจุดเริ่มต้นที่วีกิจตั้งใจเข้าไปทักและเริ่มความสัมพันธ์จนสนิทสนมในเวลาต่อมา
วีกิจเริ่มทบทวนตัวเองอีกครั้ง ความรู้สึกอันปราศจาคที่มาทว่าเด่นชัดในหัวสมอง คำตอบที่คิดกี่ครั้งก็พบเพียงใบหน้าของอีกฝ่าย ทั้งความสุขที่เคยได้ใช้ร่วมกัน หรือความทุกข์จากเศษเสี้ยวเล็กๆที่เขาอยากจะทำมองข้ามไป ความรู้สึกเหล่านั้นปรากฏเพียงคนๆเดียวในห้วงความคิด
VKrit : ….
VKrit : นัท
VKrit : อยู่ไหนครับ?
Nut Nutt : กำลังจะกลับบ้าน
VKrit : เราเพิ่งสอบเสร็จ
VKrit : อยากเจอ
VKrit : ได้ไหม?
VKrit : …นะครับ
วีกิจมองข้อความที่ตนพิมพ์ด้วยใจที่ร้อนรน เหมือนเปลวเทียนที่หลอมละลายลงจนเหลือแต่ไขและน้ำตา กล่องข้อความขึ้นว่าอ่านแล้วแต่ยังไม่มีสิ่งใดตอบกลับมา
Nut Nutt : อืม
Nut Nutt : หันหลังมาสิ
วีกิจเก็บมือถือลงกระเป๋า เขาหันไปด้านหลังตามที่บอกพบกับณัฐภูมิที่ยืนสะพายเป้ห่างจากเขาห้าสิบเมตร ระยะทางใกล้ขึ้นเพราะพวกเขาเลือกที่จะเดินเข้าหากัน วีกิจวาดรอยยิ้มขึ้นก่อนเขาทั้งดีใจและโล่งใจ หากเขาเลือกที่จะไม่ยอมรับความรู้สึกของตนเขาคงไม่มีวันได้พบกับรอยยิ้มซึ่งทำให้เขารู้สึก ‘รัก’ ได้ขนาดนี้
ending...
AN : เพิ่งโพลต์ครั้งแรก ผิดพลาดประการใดขอโทษด้วยนะคะ