ชื่อเรื่องจะตามมาทีหลังระหว่างอ่านอยากให้ฟังเพลง “Message In A Bottle” ไปด้วยนะคะ
https://www.youtube.com/watch?v=ZTwd7kekzTs (ftp://www.youtube.com/watch?v=ZTwd7kekzTs)
(ไม่ค่อยเกี่ยวหรอก พอดีฟังตอนแต่งแล้วชอบง่ะ)
*ชื่อตัวละครมีที่มา
เช้าเดือนมิถุนายน ตะวันทอแสงเจิดจ้าสมกับเป็นประเทศไทย เวลาเจ็ดโมงเช้ากว่าๆ ห้องเรียนประกอบด้วยโต๊ะไม้ประดับด้วยลวดลายปากกาและลิขวิด ฝีมือนักเรียนที่ตอนนี้เลื่อนชั้นขึ้นไปเรียนในชั้นที่สูงกว่าแล้ว บนกระดานเป็นสีเรียบ ไร้รอยคราบชอล์คสีขุ่น มีเพียงวันที่ซึ่งถูกเขียนด้วยตัวบรรจง ลายมือประณีตปรากฏอยู่บนหัวกระดาน
เด็กหนุ่มนั่งอยู่บนโต๊ะไม้ที่นั่งหลังสุดของห้อง ชุดนักเรียนสีขาว กางเกงสีน้ำตาลสมกับร่างกายที่ปรับความสูงตามการเจริญเติบโตนั้นสะอาดสะอ้าน มีรอยรีดที่แสดงถึงความใส่ใจ ซึ่งเป็นฝีมือของผู้เป็นแม่ที่บ้าน เด็กหนุ่มวางกระเป๋านักเรียนทรงสี่เหลี่ยมทำจากหนังสีดำไว้บนโต๊ะ กระเป๋าเรียบฟีบ คล้ายกับไม่มีอะไรใส่อยู่ในนั้น และแน่นอน มันไม่มีอะไรอยู่ในนั้น นอกเสียจากสมุดเล่มหนาหนึ่งเล่มที่เด็กหนุ่มเตรียมมาไว้เผื่อได้จดอะไร ซึ่งพนันได้เลยว่ามันคงไม่มีอะไรมากไปกว่าใช้เป็นที่สอดกระดาษตารางสอนให้ยับก่อนเขาจะเอามันกลับถึงบ้าน
วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรก ชั้นเรียนมัธยมปลายชั้นแรก ซึ่งก็คือ ม. 4 เด็กหนุ่มกวาดตามองทั่วห้อง ไม่ใครจะสนใจนักว่ามีใครอยู่บ้าง ในโรงเรียนมัธยมปลายประจำจังหวัด ที่จะรวมเด็กจากหลายๆ ที่ เนื่องจากใครๆ ก็อยากเข้าเรียนที่นี่ น้อยนักที่จะหาเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันตั้งแต่มอต้นได้ ถึงหาได้ก็ยากที่จะได้เรียนห้องเดียวกัน และยิ่งกับคนเพื่อนน้อยอย่างเขาแล้วด้วย จะมองหาคนรู้จักสักคนคงเป็นเรื่องเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
มีคนหลายคนที่มาถึงห้องเรียนแล้วนั่งจับจ้องที่นั่งกันตามแต่ใจ แม้รู้ดีว่า พอโรงเรียนขึ้นแล้ว อาจารย์อาจมีกติกาการสับเปลี่ยนที่นั่งตามอะไรก็ว่าไป เขากวาดตามองรอบห้องเป็นครั้งสุดท้าย ใช้แขนยกขึ้นวางทับกระเป๋าหนังซึ่งวางอยู่บนโต๊ะไม้อีกที สองแขนตั้งท่าเตรียมใช้เป็นที่หนุนนอน
แต่จังหวะที่หนังตาตั้งใจจะปิดลงนั้นเอง ที่หางตาปรากฏร่างของใครคนหนึ่งอยู่ตรงประตู เด็กหนุ่มกระพริบตาถี่ ทำเหมือนตอนที่รู้สึกประหม่า จดจ้องร่างของใครคนหนึ่งในชุดนักเรียนแบบเดียวกันกับเขาที่ยืนอยู่ตรงประตู
ร่างบางๆ ตัวไม่สูงมาก ต่างจากเด็กผู้ชายทั่วไป บวกกับผิวที่ผุดผ่อง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแค่โดนแสงอาทิตย์ตอนเช้าสาดส่องใส่พอดีหรือเปล่า กับใบหน้าที่ออกจะน่ารักจิ้มลิ้ม ต่างไปจากเด็กผู้ชายทั่วไปที่เขารู้จัก เรียกรวมๆ ก็คือใบหน้าที่หวานจนเกินกว่าจะมองผ่านนั่นหยุดสายตาของเขาไว้
จนเมื่อดวงตากลมโตคู่นั้นจ้องสบกับเขา เด็กหนุ่มถึงได้กระพริบตาถี่ หันมองไปทางอื่น ทำเหมือนไม่ได้มองตรงนั้นอยู่แต่แรกแล้ว
เด็กหนุ่มผู้มาใหม่มองคนตัวสูงที่หลังห้องซึ่งหลบสายตาตนเองแล้วยกมือขึ้นเกาหัวแบบแก้เก้อแล้วก็ยกยิ้มขำ เป็นยิ้มที่ละมุนที่สุด และคนที่หลังห้องก็รู้สึกโชคดีเหลือเกิน ที่เลื่อนสายตามามองเห็นพอดี
แม้พอโดนจับได้ว่าอีกคนรู้ตัวว่าโดนมองอยู่ เขาจำต้องหันสายตาทำเป็นมองทางอื่นอีกทีก็ตาม
หนุ่มหน้าหวานเลือกที่นั่งห่างจากคนที่หลังห้องไปสองแถว มีเพื่อนใหม่ที่เข้าห้องตามมาด้วยกันทักทายทำความรู้จัก เด็กหนุ่มได้ยินคนสองคนคุยกัน
“เราชื่อมิค”
ตอนนั้นที่เขาได้รู้จักชื่อของใครอีกคน แม้จะไม่ได้เป็นการแนะนำต่อเขาโดยตรงก็ตาม
เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ที่เด็กหนุ่มได้แต่นั่งจ้องคนหน้าหวานคุยเล่นกับเพื่อนใหม่ ทั้งยิ้มทั้งหัวเราะ เหมือนกิริยาน่ามองพวกนั้นไม่ได้เพียงหยุดสายตาเขาไว้ แต่หยุดเวลาของเขาไปด้วย
จนเมื่อเสียงเพลงโรงเรียนดังขึ้น เป็นสัญญาณให้รู้กันว่าได้เวลาเข้าแถวหน้าเสาธงแล้ว เขาจึงได้รู้สึกตัวและลุกขึ้นเดินตามคนอื่นๆ ไปเข้าแถว
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่จังหวะที่เด็กหนุ่มผุดลุกขึ้นยืน คนหน้าหวานหันมามองทางเขาและยิ้มให้ด้วย คล้ายกับเจ้าตัวรู้ว่าถูกมองมานานแล้ว
ภาพนั้นติดตาเขาไปตลอด จนเมื่อเข้าแถวเสร็จและชั้นเรียนเริ่ม อาจารย์ให้แต่ละคนออกไปแนะนำตัวหน้าชั้นเรียน เรียงตามเลขที่ของแต่ละคน
“ชื่ออลิน ชื่อเล่นว่ามิค”เขาได้เห็นคนตัวเล็กเดินออกไปแนะนำตัว ทั้งชื่อจริง ชื่อเล่น ก่อนหัวสมองจะบันทึกทุกรายละเอียดเกี่ยวกับคนตัวเล็กนั่น รวมกระทั่งรอยยิ้มหวานๆ นั่นด้วย
แล้วก็ถึงตาที่เขาต้องเดินออกไปหน้าห้อง ยืนหลังตรงหน้าชั้นเรียน พูดเสียงดังเพื่อแนะนำตัวให้คนในห้องรู้จักเขา แม้จะเป็นคนตัวสูง เคยทำกิจกรรม เล่นกีฬาและเป็นที่สนใจของพวกรุ่นน้องในโรงเรียนบ่อยๆ สมัยมอต้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องชินสำหรับเขาเลยที่จะตกเป็นเป้าสายตาของคนหลายๆ คน โดยที่เขาต้องมองตาคนพวกนั้นกลับด้วย
เขาจำได้ว่าตอนเขาอยู่กลางสนามบาสที่มีคนดูเป็นร้อยๆ มันไม่ประหม่าเท่านี้ อย่างน้อยตอนนั้นเขาก็ทำเพียงโฟกัสกับเกมที่อยู่ตรงหน้า และจำได้ว่า ที่ข้างสนามทุกนัดที่เขาแข่งมานั้น ไม่มีรอยยิ้มสั่นคลอนความมั่นใจของเขาเหมือนอย่างที่มีในวันนี้
มิคกำลังยิ้มหวานและจดจ้องเขา เหมือนกับที่ใครหลายๆ คนในห้องทำ
“วิน ชนวิท”รู้สึกเหมือนได้ยินริมฝีปากกระจับน่ามองคู่นั้นเอ่ยชื่อของเขาเบาๆ จริงๆ แล้วอีกคนทำเพียงทวนชื่อที่เขาแนะนำตัวไปด้วยการขยับปาก ไม่ออกเสียง แต่ในใจของเด็กหนุ่มราวกับได้ยินเสียงของใครอีกคนดังก้องไปมาอยู่อย่างนั้น
อาจารย์ให้เขาเข้าไปนั่งที่นั่งตามเดิม และเพื่อนคนอื่นๆ ก็ไล่เดินกันไปแนะนำตัวที่หน้าชั้นต่อๆ ไป เด็กหนุ่มจำไม่ได้เลยว่าใครชื่ออะไรบ้าง มีเพียงคนเดียวที่เขาจำได้
เขาที่แอบหันมามองตาเขาและกำลังยิ้มหวานให้เขาอยู่ตอนนี้…
“อยู่กลุ่มเดียวกับเรานะ”
คนหน้าหวานเดินเข้ามาพูดกับเขาในคาบสังคมที่อาจารย์สั่งให้ทำงานกลุ่ม เขานั่งเฉยๆ ปล่อยให้เวลาผ่านไปเพราะคิดว่าจะเดือดร้อนอะไรหากไม่มีกลุ่ม อย่างไรเสียการทำงานเดี่ยวก็ไม่ได้หนักหนาอย่างที่คิด หรือบางทีมันอาจไม่เหนื่อยเท่ากับการทำงานกลุ่มที่เกี่ยงกันไปมาด้วย
จนเมื่อเกิดแรงกระเทือนบนโต๊ะไม้ของเขาน้อยๆ มีฝ่ามือขาวๆ ของใครอีกคนแปะลงมา และเมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าเป็นมิคที่เดินมาหยุดยืนหน้าโต๊ะเขาและพูดประโยคนั้น เขาถึงได้เริ่มรู้สึกว่า
บางทีการทำงานเป็นกลุ่มมันอาจจะดีกว่าที่คิด
“อืม”
ตอบเบาๆ จนเหมือนเป็นแค่เสียงที่ดังอยู่ในลำคอ ดูเผินๆ เหมือนเย็นชา แต่มันกลายเป็นลักษณะของเขาที่เพื่อนๆ จำกันได้ไปเสียแล้ว
งานกลุ่มทำให้พวกเขาใกล้ชิดกันมากขึ้น มันเป็นงานแรกที่ทำให้พวกเขาได้คุยกันจริงจัง เป็นงานที่ทำให้มีงานต่อๆ ไป ทุกครั้งที่จับกลุ่ม คนหน้าหวานจะใส่ชื่อเขาไปด้วยเสมอ แม้ในวันที่เขาขาดเรียน พอกลับมาเรียนจะพบว่าตัวเองมีชื่อในงานกลุ่มแล้วทุกครั้ง
มีหลายครั้งที่พวกเขาไปทำงานของบ้านกันและกัน พวกเรามักจะเวียนกันไปทำงานกลุ่มตามบ้านเพื่อนคนนู้นคนนี้ และมันก็เวียนถึงบ้านของมิค และบ้านของเขา
เขามีโอกาสได้ไปเยี่ยมบ้านมิคหลายๆ ครั้ง แม้ไม่ใช่เพื่อการทำงานกลุ่ม เขากลายเป็นลูกอีกคนของบ้านหลังนั้น เป็นที่เอ็นดู เป็นที่พร่ำบอกให้รักใครสามัคคีกัน
วันเสาร์ที่ไม่มีงานต้องทำ เขาขับมอเตอร์ไซด์ไปหามิคที่บ้าน เราเตรียมของและขับต่อไปแถวน้ำตกด้วยกัน เขามีกล้องเก่าๆ ตัวหนึ่ง เป็นกล้องจากพ่อ
ทุกครั้งที่พวกเราออกไปข้างนอกด้วยกัน มันจะได้ใช้บันทึกภาพความสนุกสนานเหล้านั้นเสมอ
“ได้ออกมาเที่ยวกับวินอย่างนี้ สนุกจัง”
มิคบอกตอนที่พวกเรานอนมองฟ้ากันอยู่บนโขดหิน แดดในตอนบ่ายไม่แรงมาก หายากในประเทศไทยแต่หาได้ในพื้นที่ธรรมชาติไม่ใกล้ไม่ไกลบ้านของพวกเขาอย่างนี้
เป็นเด็กต่างจังหวัดมันก็ดีตรงนี้
ความรู้สึกเย็นๆ เกิดขึ้นที่นิ้วทั้งห้าของตัวเอง เด็กหนุ่มละสายตาจากสีฟ้านวล ทั้งมองหน้านวลๆ ที่นอนอยู่ไม่ห่างกันมาก มีรอยยิ้มมอบกลับมาเป็นคำตอบ
รอยยิ้มหวานของคนที่เอื้อมมือมาจับมือเขาไว้
มือของมิคชื้นน้ำตกที่พวกเราเพิ่งเล่นกันไป มันเย็นและให้ความรู้สึกไม่คุ้นชินในทีแรก
เด็กหนุ่มจำได้ว่า พอรวมกับรอยยิ้มหวานแล้ว มันออกจะเป็นความรู้สึกอบอุ่นแม้แต่แสงอาทิตย์ที่สองอยู่อาจไม่จำเป็น
“วิน!!”
เสียงหวานดังลอยต้านลมมาหา เป็นเสียงตะโกนของคนที่นั่งซ้อนท้ายมอเตอไซด์ของเขา เขาขับไม่เร็วมาก เพราะเขาชอบเวลาเหล่านี้ เขาไม่อยากให้มันหมดลงโดยเร็ว แม้จะรู้ว่าในวันรุ่งขึ้นหรือวันหยุดครั้งหน้า เราสองคนสามารถมาเที่ยวแบบนี้กันได้อีก
แต่สายดาที่ตีพัดใส่พวกเขายังแล่นไปตามถนนมันทำให้คนตัวเล็กต้องโน้มตัวลงมาพูดใกล้ๆ หู และใช้เสียงค่อนข้างดัง
“ว่าไง!?”
เขาคงจะตอบ “หืม?” อย่างทุกครั้ง หากไม่ใช่เพราะสายลมต้านเสียงของเราเหลือเกิน
“ดีใจนะที่ได้รู้จักวินนะ!”
“อะไรนะ!?”
“ดีใจ!”
“หา!?”
“ดีใจ!”
“…”
“ที่!”
“…”
“รู้จักวิน!”
“เหมือนกัน!”
“วินว่าไงนะ!?”
“ดีใจที่ได้รู้จักมิคเหมือนกัน!”
“อะไรนะ!? วินพูดเร็วไป มิคไม่ได้ยินเลย!”
“วินก็ดีใจที่ได้รู้จักมิค! ได้ยินยัง!?”
“อื้อ! ชัดเลย!”
“ฮ่าๆ”
แล้วเราสองคนก็ประสานเสียงหัวเราะกัน เสียงหัวเราของเราดังมาก มันเต็มไปด้วยความสุกใส คล้ายกับจะเยาะเย้ยฟ้าที่เริ่มเป็นสีหม่นเพราะดวงอาทิตย์ลับไปแล้ว
เด็กหนุ่มมองถนนเบื้องหน้าที่ไร้รถ มีเพียงพวกเขาแค่คันเดียวอยู่ตอนนี้ เหลือบมองในกระจกก็เห็นแขนขาวๆ ของคนตัวเล็กกลางอยู่ กลางต้านลมเหมือนคนเล่นมีความสุข
มองเห็นหน้าหวานๆ ที่มีรอยยิ้มบางๆ หลับตาพริ้มและได้ยินเสียงร้องเพลงเบาๆ ซึ่งเขาไม่รู้ว่าเป็นเพลงอะไร
ชั่วขณะหนึ่งเด็กหนุ่มเกิดความคิด
“วินชอบมิคนะ”
คราวนี้ไม่มีเสียงไต่ถามจากคนข้างหลังว่าเขาพูดอะไร เด็กหนุ่มไม่ได้ใส่ใจ เขากลับระบายยิ้มตามคนที่มองเห็นได้จากกระจก
ไม่เป็นไรหรอก
สักวันหนึ่งสายลมจะพาความรู้สึกนี้ของเขาไปมองอีกคนเอง
“ตื่น!”
“อือ…”
ได้ยินเสียงคุ้นเคยพูดดังๆ แล้วก็รู้สึกถึงแรงกระทบ ตีมาที่ต้นแขน เด็กหนุ่มกระพริบตาปริบ ลืมตามองใครสักคนที่กำลังหน้าบูดเหมือนงอนเขาอยู่
“ไหนว่ามาติวหนังสือ!”
เสียงหวานๆ นั่นส่อเคล้าความดุไว้ วินลุกขึ้นจากพื้นบ้านข้างที่นอนเตียงเดี่ยวของคนตัวเล็ก ลุกขึ้นมานั่งพิงเตียงไว้
วันนี้เป็นหนึ่งสัปดาห์ก่อนการสอบของพวกเขา เขามาหามิคที่บ้าน บอกอยากให้อีกคนช่วยติวหนังสือให้ แต่ความง่วงจากการอดนอนเล่มเกมมาทั้งคืนก็ทำให้มันเป็นไปได้ยากเหลือเกิน
แน่นอน เขาตื่นเต้นกับการจะได้เจอมิคเหมือนเดิม แต่เกมมันก็น่าสนใจไม่แพ้กันหรอก เวลานี้
“เพราะมัวแต่เล่มเกมอะสิ!”
คนหน้าหวานดุเขาได้อีกไม่นาน พอยันกายขึ้นมานั่งตรง จับหนังสือกางออก และจับปากกาไว้มั่น อีกคนก็เปลี่ยนเสียงดุๆ เป็นเสียงนิ่มๆ อธิบายตรงนู้นตรงนี้ให้เขาแทน
ช่วงเวลาที่อยู่กับมิคผ่านไปไวเหมือนทุกครั้งเสมอ แม้จะมีสิ่งที่เรียกว่าการอ่านหนังสือมาถ่วงมันแล้วก็ตาม
ตอนเย็นที่ยังนั่งเฉื่อยอยู่ที่บ้านของมิค คุณแม่ของนิคก็เอาขนมมาให้กินกัน พวกเขานั่งอยู่ตรงหน้าบ้าน ที่โต๊ะม้าหินที่มานั่งเล่นตากลมกันบ่อยๆ หากไม่ได้ออกไปไหน
“วันนี้เข้าใจใช่เปล่า”
“หืม?”
“ที่ติววันนี้อะ เข้าใจใช่มั้ย”
“อืม” ตอบไปสั้นๆ ตามปกติแล้วก็กัดขนมอีกคำ
“วินต้องทำคะแนนดีๆ นะ เกรดมันใช้เป็นคะแนนตอนสอบเข้าด้วยนะ”
“อืม”
“มิคอยากอยู่กับวินนะ…”
“อืม”
“เผื่อสอบเข้าที่เดียวกัน…”
“อืม”
ตอบรับในลำคอครั้งสุดท้ายแล้วก็งับขนมคำสุดท้ายเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ แล้วก็สังเกตได้ว่าบรรยากาศมันแปลกไป
ใบมะม่วงของต้นที่ปลูกไว้ไม่ใกล้ไม่ไกลยังไหวตามลมด้วยจังหวะเท่าเดิม เสียงจิ้งหรีดที่เริ่มดังอยู่ไกลๆ ก็ดังเท่าเดิม หากแต่เสียงเจื้อยแจ้วของอีกคนนี่เองที่เงียบไป
“คิดไร”
ถามพลางมองใบหน้าหวานที่แลดูเง้างอน
“ก็จริงจังอยู่ วินตอบแต่อืมๆ”
“แล้วอืมๆ นี่เหมือนไม่จริงจังหรอ”
“ก็รู้…แต่แค่อยากบอกไว้นี่ วินจะได้ตั้งใจ”
“อีกตั้งนานกว่าจะสอบเข้ามหาลัยนะ”
“เตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ ไม่ดีหรือไง”
“เนิ่นๆ นี่กังวลไว้แต่เนิ่นด้วยเปล่า”
“…”
“คิดมากไปแล้ว บ๊องนะ”
ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็เอื้อมมือผลักหัวคนตัวเล็กให้ยิ่งหน้างอกว่าเดิม
นั่งหันมาจิ้มแก้มป่องๆ นั่นเล่นได้ไม่นานก็โดนวิ่งไล่ วิ่งหนีอีกคนคว้ากระเป๋านั่งค่อมมอไซด์บิดหนีอีกคนออกมา ได้ยินเสียงตะโกนว่าด้วยความขุ่นเคืองตามประสาคนบ๊องดังตามมาไกลๆ
เด็กหนุ่มได้แต่โบกมือและส่งยิ้มให้คนตัวเล็ก
ฤดูสอบผ่านไปแล้ว สิ่งที่มิคเคยติวให้ ไม่ได้เข้าหัวซะทีเดียว แต่ก็ช่วยคนไม่สนใจเรียนอย่างเขาไว้ได้มาก วันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้าย เป็นวันที่ทุกคนจะได้เจอกันที่โรงเรียนก่อนปิดเทอม
ในห้องมีการติดลูกโป่งรกๆ ไว้ตามขอบหน้าต่างและราวไฟเหนือกระดานดำ ของกินเล่นมากมายถูกวางเป็นจุดๆ สำหรับนั่งล้อมวงในห้อง มันคืองานเลี้ยงก่อนจากกันยาวเพราะปิดเทอมใหญ่
ก่อนที่พวกเขาจะเจอกันอีกทีในฐานะเด็กม.5
“อร่อยมั้ย”
เจ้าของเสียงหวานเจ้าเดิม ตอนที่เขากินขนมที่เจ้าตัวพรีเซนท์ว่าเคยฝึกทำหลายครั้งจนกว่ามันจะออกมาเป็นของที่กินได้ เพื่อนำมาให้เขาโดยเฉพาะ
เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบแล้วก็หยิบอีกชิ้นกินต่อ ไม่ได้บรรยายความรู้สึกตอนรสชาติของมันแตะลิ้นอะไรมาก
“วิน”
“หืม?”
“เราจะย้ายโรงเรียนนะ”
เหมือนขนมที่ลื่นคอมันฝืดจนติดคอเสียดื้อๆ เด็กหนุ่มนั่งนิ่ง ค้างในท่าที่กำลังจะเอาขนมฝีมืออีกคนเข้าปาก
“พ่อกับแม่เราจะย้ายบ้าน เราต้องตามไปด้วย”
พยายามกลืนขนมที่บดเคี้ยวจนละเอียดเข้าคอ แต่มันกลับทำได้ยากกว่าที่คิด
“เราอยากอยู่กับวินไปตลอดนะ”
“…”
“เราอยากเรียนที่เดียวกับวิน สอบเข้าได้ที่เดียวกับวิน”
“…”
“ถ้าเข้ามหาลัยแล้ว เราน่าจะได้เข้าไปเรียนที่เดียวกันนะ”
“…”
“เราจะได้เจอกันอีกครั้ง”
“เมื่อไร”
“…?”
“ย้ายเมื่อไร”
“อีกสองอาทิตย์ พ่อกับแม่เตรียมซื้อบ้านไว้นานแล้ว พวกแกกะจะเซอร์ไพรส์เราน่ะ เราก็เพิ่งรู้ไม่นานนี้ ประมาณเดือนก่อนได้… เซอร์ไพรส์จริงๆ ซะด้วย ฮ่าๆ…”
ทั้งที่เป็นเสียงหัวเราะ แต่มันกลับฟังดูฝืน
เด็กหนุ่มได้เรียนรู้ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้ฟังเสียงหัวเราะของมิคแล้วไม่ได้รู้สึกรื่นเริงตามไปด้วย
“ขอโทษที่เพิ่งบอกนะ เรากลัววินโกรธเรา”
“…”
“กลัววินไม่มีสมาธิอ่านหนังสือสอบ เดี๋ยวคะแนนวินจะไม่ดีเอา”
“…”
“เผื่อตอนสอบเข้า จะได้มีคะแนนเยอะๆ มีตัวเลือกได้หลายคณะ เผื่อเราได้มาเรียนด้วยกันอีกนะ”
“…”
“วิน เรามีอีกเรื่องอยากบอก…”
“ไม่รอบอกตอนย้ายไปแล้วล่ะ”
“วิน…ทำไมพูดอย่างนี้…”
“เหมือนกับตอนนี้ไง ตอนเหลือเวลาแปบเดียวก็จะย้าย แล้วเพิ่งมาบอก ไอ้เรื่องสำคัญที่กำลังจะบอกนี่ก็ ไม่รอย้ายไปแล้วค่อยบอกกันเลยล่ะ”
“วิน เราขอโทษ…”
เสียงของมิคเริ่มสั้น บรรยากาศสดใสของหน้าร้อนที่กำลังมาเยือนเริ่มขมุกขมัว คนอื่นๆ ในห้องเริ่มสังเกตถึงบรรยากาศที่แปลกไปของเพื่อนรักทั้งสองคน อยู่มาเป็นปีไม่เคยเห็นสองคนนี้ทะเลาะกัน
นี่คงเป็นครั้งแรก…
“เราแค่…วิน …วิน!”
“…”
“วิน! จะไปไหน อย่าเดินหนีกันไปอย่างนี้สิ! ฮึก”
“…”
“วิน ไอ้วิน กลับมานะ!”
เสียงเรียกปนความเกรี้ยวกราดและน้อยใจดังให้ได้ยินไกลออกไปเรื่อยๆ
มันไม่ใช่เพราะคนตัวเล็กที่กำลังเดินจากเขาไป แต่เป็นเขาต่างหากที่เมินเฉยต่อขนมที่อีกคนทำให้ คว้ากระเป๋าที่ไร้ซึ่งหนังสือสักเล่มของตัวเองแล้วก้าวเร็วๆ เดินออกมาจากห้อง
เด็กหนุ่มเดินไปถึงโรงจอดรถ คว้ามอไซด์คันเก่งของตัวเอง เข็นมันออกมาแล้วบิดออกจากโรงเรียนอย่างรวดเร็ว
เวลานี้เหมือนเสียงหวานๆ ที่เรียกชื่อเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่านั้นโดนลมแรงๆ ที่ปะทะใบหน้าพัดปลิวหายไปหมด
เด็กหนุ่มไม่ได้มุ่งหน้ากลับบ้าน เขาไม่ได้กลับไปอาบน้ำแล้วมานั่งกระดิกเท้ากินขนมของหวานจากแม่ รอมื้อเย็นที่หน้าคอมเพื่อเลนเกมหรือออกไปแจมเกมบาสที่สนามเด็กเล่นเหมือนอย่างที่ชอบทำในวันสอบสุดท้ายของเทอมอย่างทุกครั้ง แต่เขากำลังขับบนถนนคันเร่งไปบนถนนแสนว่างเปล่าเรื่อยๆ ไม่มีจุดหมายว่าจะหยุดที่ตรงไหน
มันไม่มีสายฝนตกลงมาพอดี อย่างที่เขาคิดว่ามันควรจะมี ในช่วงเวลาที่อารมณ์ตกต่ำอย่างนี้ หากฝนตกลงมาคงพอจะโทษว่ามันเป็นที่อากาศได้
ความมืดเริ่มไต่ขอบฟ้าในที่สุด เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนโขดหินที่เจ้าตัวมาเที่ยวเล่นกับใครอีกคนเป็นประจำมาเป็นเวลานาน ตัดสินใจลุกขึ้นและขี่มอเตอร์ไซด์กลับบ้าน
ตลอดระยะทางที่บิดรถกลับมาโดนไร้คนซ้อนท้าย เด็กหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ต่างอะไรจากถนนลาดยาวแห่งนี้เลย
มันว่างเปล่า…
เด็กหนุ่มกลับถึงบ้านด้วยเนื้อตัวชื้นน้ำค้าง โดนแม่ถามว่าไปทำอะไรมาถึงกลับเสียมืดค่ำ แต่ก็ไม่ได้ติว่าอะไร เพราะเห็นว่าเป็นวันสอบวันสุดท้าย เข้าใจว่าคงไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน แน่นอนว่าแม่หมายถึงเพื่อนตัวเล็กๆ หน้าหวานๆ ที่เขาเดินหนีมาตั้งแต่เมื่อตอนเย็นๆ
เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบอะไรผู้เป็นแม่ เขาตรงขึ้นชั้นสองของบ้าน อาบน้ำ และขังตัวเองอยู่ในห้อง
นี่เป็นการเริ่มต้นปิดเทอมครั้งแรกที่เขาไม่ได้รู้สึกสนุกหรือยินดีอะไรเลย
เขาไม่มีความรู้สึกตื่นเต้น
เขาไม่อยากทำอะไร
เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้…
เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงนอนลาดไปกับพื้น หลับตาอย่างหวังจะหยุดความคิดวุ่นวายในหัว
“วิน วิน”
แต่เสียงหวานๆ คุ้นหูนั่นก็ดังขึ้นในหัวอีกครั้ง
เสียงของใครอีกคนที่เขาเพิ่งเดินหนีจากมา
เพราะคนชื่อวินมันขี้ขลาดเหลือเกิน
เด็กหนุ่มโกรธ โกรธที่คนตัวเล็กบอกเรื่องสำคัญแบบนี้กับเขาช้าไป ทั้งๆ ที่เหลือเวลาได้เจอกันไม่มาก ทำไมไม่บอกเขาก่อนหน้านี้อีกสักหน่อย เขาจะได้ทำทุกอย่างที่เขาทำได้ เพื่อให้เรายังอยู่ด้วยกันได้
เพื่อให้เราเรียนต่อชั้นม.5 ด้วยกัน ติวหนังสือด้วยกัน คุยเรื่องจะเรียนต่อคณะอะไรดีด้วยกัน บิดมอไซด์ไปถ่ายรูปเล่นแถวน้ำตกด้วยกันทุกสุดสัปดาห์ ลองชิมขนมวัดใจที่อีกคนทำให้ในทุกๆ วัน
ทำไมไม่ให้เวลาเขาเลย…
เพราะอย่างนั้น สิ่งเดียวที่เด็กหนุ่มวัย 16 ปีทำได้ คือวิ่งหนีความจริง กลับมาตั้งหลัก หรือจะเรียกว่าเลียแผลดี…
เขาไม่เคยคิดภาพที่อีกคนจะเดินหลังให้เขา จากเขาไป เพราะเสียงหวานๆ นั้นชอบพูดเสมอว่าดีใจที่ได้รู้จักกัน อยากรู้จักกันอย่างนี้ไปนานๆ
ทุกความทรงจำของเขาเติมเต็มด้วยไอ้ตัวเล็กหน้าหวานคนนี้ แล้วต่อไปนี้มันจะสร้างช่องว่างอยู่ในภาพความทรงจำของเขาเหรอ
พอสมองมันตื้อไปหมด คิดอะไรไม่ออกจึงชิงวิ่งหนีออกมา ไม่อยากรับรู้ ขอนอนหลับไปแล้วตื่นมาพบว่าพรุ่งนี้มิคชวนไปเล่นกันที่น้ำตก มองหาค่ายฤดูร้อนไปเข้ากัน หรือหาคอร์สเรียนพิเศษมาชวนกันไปเรียน
มันเป็นอย่างนั้นได้มั้ย?
“วิน ไม่ไปส่งเจ้ามิคเขาหรอลูก วันนี้ย้ายแล้วนะ”
เสียงแม่ตะโกนเรียกมาจากชั้นช่างของบ้าน เด็กหนุ่มนอนเฉยๆ อยู่บนเตียง ไม่ได้นึกสนใจอะไรกับเพดานห้องเปล่าหรอก หากแต่ตอนนี้มันเฉยชาเกินกว่าจะทำอะไร
“จริงๆ เลย โกรธอะไรกันนักหนา เดี๋ยวไม่เจอกันแล้วจะมาเสียใจทีหลังนะ”
ได้ยินแม่บ่นอยู่ไกลๆ ก่อนจะได้ยินเสียงทำครัวต่อ คงไม่คิดติดใจอะไรอีก
เด็กหนุ่มหลับตาลง หวังปล่อยให้ความคิดมากมายในหัวมลายหายไปเมื่อไม่ได้สติ
ครบสองอาทิตย์แล้ว นับตั้งแต่วันนั้น เขาไม่เคยเจอตัวเล็กอีกเลย
เห็นแม่บอกว่าทางนั้นก็ยุ่งแต่เรื่องจัดการย้ายบ้านกับหาโรงเรียนใหม่ มีบางเวลาที่มาหาเขาที่บ้าน แต่ก็เป็นตอนที่เขาไม่อยู่ เพราะเขาชอบไปใช้เวลาอยู่คนเดียวเงียบๆ ที่น้ำตก
วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่เขาจะขับมอไซด์คันเก่งไปหาอีกคนที่บ้านได้ แต่เขาเลือกจะนอนอยู่เฉยๆ
แล้วเวลาก็ทำให้เขาผ่านมันไปได้อีกครั้ง….
“วิน”
“…”
“วิน”
เด็กหนุ่มสะดุ้งตื่นตอนได้ยินเสียงเคาะประตู และเสียงคุ้นเคยของอีกคน
เป็นแม่ที่มายืนเรียกเขาจนได้สติ เด็กหนุ่มลุกขึ้นเปิดประตู เดินตามผู้เป็นแม่ลงไปชั้นล่าง มองท้องฟ้าผ่านจากหน้าต่าง
เย็นขนาดนี้แล้วหรือ
“กินข้าว”
แม่พูดสั้นๆ เหมือนทุกๆ วันเวลาตามให้เขามาร่วมโต๊ะอาหาร เด็กหนุ่มนั่งลง มองกับข้าวหลายอย่างบนโต๊ะ
มีแม่นั่งด้านข้าง และพ่อนั่งอีกฝั่ง กินข้าวกันเหมือนปกติ
“กินซะ แล้วค่อยไปดูของ”
“ของ?”
“เจ้ามิคเอาของมาให้ บ้านนั้นแวะมาก่อนย้าย แม่บอกว่าแกหลับอยู่จะไปเรียกให้ แต่บ้านนั้นเค้ารีบ เจ้ามิคก็กลัวแกจะยังไม่หายโกรธ เลยฝากของมาให้เฉยๆ”
เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบอะไรผู้เป็นแม่ หลังจากฟังจบ
เขาพยายามกลืนข้าวทุกคำลงคอแม้จะยังเคี้ยวไม่ละเอียด วันนี้แม่ทำของโปรดเขาเสียเยอะ และเขาก็อยากกินมันให้เยอะๆ เข้าไว้
สุดท้ายข้าวหนึ่งจานก็หมด ไม่มีจานต่อไปแม้กับข้าวฝีมือแม่จะยังเหลืออีกมาก
เด็กหนุ่มเดินเอาจานไปเก็บที่ซิงค์ แล้วเดินเลยไปหยิบ ของ ที่แม่บอก จากนั้นจึงเดินขึ้นห้อง
มันคือห่อเล็กๆ สีฟ้าอ่อนๆ น่ารักเหมือนคนให้ เด็กหนุ่มมองมันด้วยความรู้สึกหลากหลาย เขากลืนน้ำลายหลังจากพยายามกลืนข้าวลงคอให้หมดจานไปอยู่หลายคำ มือสั่นๆ พยายามแกะห่อของเบาๆ อย่างกลัวว่าจะทำมันขาด
พอแกะออกมาได้ก็เห็นว่ามันเป็นห่อขนม แบบเดียวกับที่อีกคนเคยบอกว่าตั้งใจฝึกทำเพื่อเอาให้เขา
รสชาติของมันอร่อยมาก แต่ตอนนั้นเขาตอบอีกคนด้วยการพยักหน้าและไร้ซึ่งคำพูดใดๆ
ยังไม่เคยลืมรสของมันเลย…
ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อ เด็กหนุ่มก็มองเห็นซองจดหมายอันเล็กๆ จ่าหน้าถึงเขาไว้
ลายมือคุ้นเคยทำให้เขารู้สึกคิดถึงเจ้าของมันขึ้นมา
เขาหยิบกระดาษข้างในและกางออกอ่าน เวลานี้อีกคนน่าจะขับรถไปไกลแล้ว…
วินยังโกรธกันอยู่ใช่ไหม?
ขอโทษนะที่ไม่ได้บอกก่อน
ขอโทษที่บอกช้าไป
อดใช้เวลาด้วยกันเลยเนอะ
ส่วนเรื่องสำคัญที่เราจะบอกวินวันนั้น
หวังว่าวินจะอ่านจดหมายอันนี้นะ
เราชอบวินนะ
ขอโทษ ที่มันสายไปอีกแล้ว
หวังว่าเราจะได้เจอกันอีกนะ
เด็กหนุ่มมองลายมือคุ้นเคยของคนที่คาดว่าคงเดินทางห่างจากที่นี่ไปไกลแล้ว เขาไล่สายตามองตัวอักษรเหล่านั้นอีกครั้ง โดยเฉพาะบรรทัดที่สามนับจากบรรทัดสุดท้าย
ใบหน้าเด็กหนุ่มไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร เขาทำเพียงวางจดหมายนั่นลง แล้วก็แกะเปิดห่อขนมที่อีกคนทำให้
หยิบหนึ่งชิ้นเข้าปาก ค่อยเคี้ยวก่อนจะกลืนมันลงไป
รสชาติยังเหมือนเดิมเลย…
อร่อยเหมือนเดิม…
แต่คราวนี้กินยากกว่าคราวที่แล้วนัก
กินตอนที่ไม่เห็นสีหน้าลุ้นๆ ของเจ้าคนทำ ตอนที่รู้สึกสั่น แห้งผากไปหมดทั้งลำคอ และเหมือนจะมีรสเค็มๆ ของน้ำตาแบบนี้
มันยากเหลือเกิน
“อร่อย”
เด็กหนุ่มพูดเบาๆ
แต่มันก็สายเกินไปที่คนทำจะได้ยิน…
-- End –
(แต่มันอาจจะมีต่อก็ได้นะ...)
**วินกับมิคเป็นวัยรุ่นคาบเกี่ยวระหว่างยุคไดอะล็อคกับดิจิตอล
ปัจจุบันสองคนนนี้อายุขึ้นเลขสองแล้ว
(กลัวจะข้องใจว่าทำไมสองคนไม่แลกไลน์กัน อะไรงี้๕๕๕)
เพิ่งเคยลงครั้งแรก ผิดพลาดตรงไหนรบกวนชี้แนะด้วยนะคะ
มีคำผิดก็บอกได้ค่ะ
แต่งตามอารมณ์ที่ฟังจากเพลง
ถ้าทำให้คนอ่านสักคนรู้สึกเพลิดเพลินไปด้วยกันได้ก็ดีใจค่า
หวังว่าจะได้มีเรื่องที่สองลงที่นี่น้า ๕๕๕
- ปิ๊ง –
151003