เรื่องสั้น : ความจริง(ตอนเดียวจบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องสั้น : ความจริง(ตอนเดียวจบ)  (อ่าน 2238 ครั้ง)

ออฟไลน์ Nimm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0





ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

............................................


_______________________________________________________________



   
ความจริง



ผมพาตัวเองเดินหลบเลี่ยงคนมากมายที่ล้วนแต่งกายด้วยชุดสีดำสนิท สายตากวาดมองหาใครบางคนไปทั่ว เพียงแค่อยากแบ่งปันความเศร้าเสียใจของคนคนนั้นให้บางเบาเพียงสักครึ่งก็ยังดี
   ผมย่ำเท้าไปอย่างเร็วๆสุดลานกว้าง จนสายตาหาเจอศาลาริมน้ำหลังเก่าที่มีไฟสีส้มแก่เพียงดวงเดียวห้อยลงมากระพริบติดๆดับๆ กระแสลมยามค่ำคืนพัดพากลิ่นอับเหม็นมาจากป่าช้าข้างวัดเข้าแตะจมูก
   ผมย่ำเท้าเร็วขึ้นจนถึงตัวศาลาเก่า มองผ่านแสงสลัวเห็นใครบางคนนั่งอยู่ที่พื้น คนคนนั้นนั่งหันหลัง ดวงตาของเขาเหม่อมองพื้นน้ำที่เวลาลมพัดผ่านก็พริ้วไหวเป็นระลอก แผ่นหลังของเขาที่แต่ก่อนมันเคยตั้งตรง มั่นคงและสง่างาม แต่ตอนนี้มันกลับคุ้ดคู้ ลู่หมอบลงราวเจ้าของแผ่นหลังหมดหวังกับชีวิตทั้งปวง
   "พี่ธัน"ผมเอ่ยเรียก
   "...ภาค"น้ำเสียงเขาแหบพร่าและดูหมดอาลัยตายอยาก ตาแดงก่ำบ่งบอกถึงการร้องไห้อย่างหนัก
   "ลุงนะจากพวกเราไปแล้ว...เราทำอะไรไม่ได้แล้ว" ผมกดตาต่ำมองคนที่นั่งเหม่อด้วยความทุกข์ สมองก็พยายามหาคำพูดปลอบสารพัด
   ผมไม่เคยเห็นเขาในสภาพนี้มาก่อน
   เขาดู...ทรมาน เหมือนคนใกล้ตาย
   "ไปที่งานเถอะครับ แขกเริ่มมากันแล้ว"
   ผมเอ่ยเตือนก่อนยอบตัวลง มองเสี้ยวหน้าซีดเซียวของเขา ใช้ฝ่ามือกุมตัวเองมือของเขาแน่นเพื่อถ่ายทอดกำลังใจที่ผมมีให้เขารับรู้
   __________________________________________________________________
   
เสียงวงปี่พาทย์ครวญเพลงจังหวะหดหู่คล้ายเสียงครวญครางจากคนตายดังแว่วมากระทบใบหู เสียงนกกลางคืนกู่ร้องทำนองโหยหวนผสมกลมกลืนดังมาจากหลังคาโบสถ์ ฟังดูราวบทเพลงมรณะ ยิ่งสร้างความน่าสะเทือนใจและหมดหวังให้กับคนฟัง ทว่าไม่ใช่ผม
   คนที่เดินนำหน้าผมหยุดกึกและนิ่งค้าง ผมเห็นขาทั้งสองข้างของเขาสั่นไหวคล้ายกับต้นไม้ที่โดนลมแรงๆแล้วตั้งท่าจะล้มลงได้ทุกขณะ ผมไม่รู้หรอกว่าตอนนี้เขาคิดอะไรผมแค่ทำในสิ่งที่พอทำได้
   "แค่เพลง...มันไม่มีอะไร"
   "ใช่สิ...คนที่ตายคือพ่อพี่...ไม่ใช่พ่อภาค ภาคจะเข้าใจอะไร ลองมาเปลี่ยนกันไหม ภาคจะได้เข้าใจความรู้สึกพี่ ว่าคนที่ไม่เหลือใครมันเป็นยังไง"
   คนเบื้องหน้าหันมาตวาดใส่ด้วยสายตาแดงก่ำ หยาดน้ำตาหลั่งรินอาบใบหน้าจนเลอะเทอะ
   ผมระบายลมหายใจออก เม้มริมฝีปากแน่น ไม่โต้ตอบ ผมรู้ดีว่าพี่ธันกำลังอยู่ในสภาวะเช่นไร แต่ผมอยากเตือนสติเขาบ้าง
   "...พี่รู้ไหม?ว่าคนที่ไม่ยอมรับความจริงมันเหมือนกับอะไร..."ผมพูดขึ้นขณะมองแววตาดำวาวในความมืดคู่นั้น "...เหมือนเด็กไงพี่ รู้ทั้งรู้ว่ามันคือความจริง มันคือเรื่องจริง แต่กลับเฝ้าหลอกตัวเอง แล้วเล่นอยู่แต่ของเล่นอย่างมีความสุข พอมีความจริงเข้ามาแตะกลับร้องไห้รอให้คนมาปลอบ..."
   "ผมจะไม่ยอมเป็นผู้ใหญ่ใจดีทุกครั้งนะครับ..."
   ผมเอ่ยสำทับเสียงเรียบ คนตรงหน้าผมนิ่งไป และเราสองคนไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ชั่วอึดใจพี่เขาหันหลังกลับแล้วเดินหายเข้าไปในงาน
___________________________________________________________________
   ไม่นานผมก็ตามพี่ธันเข้ามา แขกในงานค่อนข้างเยอะพอสมควร ส่วนใหญ่เป็นคนในหมู่บ้าน และพวกเพื่อนของพี่ธัน ญาติสนิทจริงๆมีแค่ไม่กี่คน
   พ่อแม่ผมไม่ใช่ญาติกับบ้านพี่ธันจริงๆ แต่เราสนิทกันยิ่งกว่าญาติ บ้านของเราสองคนอยู่ห่างกันแค่ข้ามคลอง และพวกเราเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆ แม่ของพี่ธันเสียไปนานแล้ว ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมพี่เขาถึงเสียใจต่อการตายของลุงนะมาก
   พี่ธันไม่รู้หรอกว่าผมคิดยังไงกับเขา เขาอาจจะคิดกับผมแค่เพื่อน หรือน้องชาย ผมไม่รู้ ผมไม่สนใจ แต่ผมคิดกับไปเขามากกว่านั้นมากนัก
   นั่นเพราะเขาเคยเป็น'มากกว่านั้น'ให้กับผม เขาเคยทำ'มากกว่านั้น'ให้กับผม โดยที่เขาไม่มีสิทธิ์แม้จะรู้ตัว
   
   วันนั้น...ผมจำได้ดี เป็นวันที่ผมมีความสุขที่สุด...
   วันนั้น...เป็นวันที่พี่ธันรู้ว่าสอบติดโรงเรียนนายร้อย และเป็นวันเดียวกับที่ผมรู้ว่าตัวเองติดหมอ พวกเราขออนุญาตพ่อแม่จะไปฉลองกันในตัวเมือง
   วันนั้น...พี่ธันเมามาก แต่ผมกลับไม่เมาสักนิด เพราะนั่นคือสิ่งที่ผมต้องการตั้งแต่แรก
   ผมพาพี่เขาไปพักที่โรงแรมเล็กๆแห่งหนึ่ง จากนั้นก็ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเขาจนเหลือเพียงร่างกายแข็งกร้าวที่เรียบตึงและสง่าไปทุกตารางนิ้ว
   ตลอดมาผมมาได้แค่มองดูพี่ธัน เก็บรอยยิ้ม และท่วงท่าไปสร้างจินตนาการ สร้างความสุขเล็กๆให้ตัวเอง และคิดว่าสักวันต้องเป็นให้ได้มากกว่านี้ จนวันที่รอคอยก็มาถึง...
   ผมใช้ร่างกายนั้นปรนเปรอให้ผม ให้สมกับความอัดอั้นที่มี ใบหน้าแห่งความสุขตราตรึงอยู่ในหัวผมจนทุกวันนี้...มันไม่เคยลบเลือน
   เสียงเอะอะดังขึ้นเป็นระยะประกอบกับเสียงพระสวดดังมาเกือบครึ่งชั่วโมงอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์ความคิด สายตากวาดมองหาพี่ธันไปทั่ว แต่เหมือนเขาไม่ได้อยู่บริเวณงานเสียแล้ว
   ผมเร่งฝีเท้าตามเสียงนั้นไปจนถึงลานหน้าวัด บริเวณนั้นมืดเกือบสนิทมีเพียงแสงจันทร์ไม่ค่อยสว่างนักสาดส่องทำให้พอเห็นหน้าคนต้นเสียงเอะอะนั้น
   ผมเห็นพ่อ พี่ธันและเพื่อนพี่ธันที่เป็นตำรวจยืนอยู่ อีกฝั่งเป็นผู้ชายดูมีอายุอีกสองคน หนึ่งในสองคนนั้นเคยมาถามถึงพ่อพี่ธันที่บ้านผมเมื่อสองสามก่อน
   พี่ธันหน้าตาต่างจากคนที่ผมเคยรู้จัก คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน ใบหน้าถมึงทึงและดูเกรี้ยวกราดราวสัตว์ร้าย แขนทั้งสองข้างถูกล็อคไว้ด้วยเพื่อนของพี่เขาและพ่อของผม
   "ธัน ใจเย็นลูก"
   พี่ธันพยายามสะบัดออกสุดแรง ทั้งเหวี่ยงทั้งกระชาก เขาไม่เหมือนคนที่ผมรู้จัก เขาบ้าไปแล้ว
    "ไอ้เด็กกุ้ย ถุ้ย! อย่างมึงมีปัญญามาทำอะไรกู "
   "มึงอย่านึกนะว่ากูไม่รู้ว่ามึงทำอะไรพ่อกู มึงฆ่าพ่อกู กูจะฆ่ามึง ปล่อยกู"
   "ไอ้เด็กเวร อย่ามาใส่ร้ายกู มึงไม่ได้เห็นใบตรวจศพเหรอ ว่าไอ้นะพ่อมึงมันหัวใจวาย ชิชะ จะมาใส่ร้ายพวกกู เดี๋ยวมึงได้ตามพ่อมึงไปสมใจแน่"
   "กูไม่เชื่อ!"
   ผมเห็นท่าไม่ดีรีบเข้าไปห้ามพี่ธันไว้ ผมผลักอกแกร่งให้ถอยไปด้านหลังเมื่อเห็นว่าพ่อของผมเริ่มอ่อนแรง
   "แค่พ่อกูไม่ขายที่ให้ มึงต้องทำขนาดนี้ ไอ้พวกใจสั..."
   สิ้นคำ พี่ธันสะบัดพ่อผมจนเซล้มไปนอนแน่นิ่งกับพื้น
   "พ่อออ!"
    ไม่บ่อยครั้งนักที่ผมจะโกรธใครสักคนได้ขนาดนี้ และนี่เป็นครั้งแรกที่โกรธพี่ธัน โกรธจนอยากจะฆ่าให้ตายคามือ!
   ผมกลั้นสะอึกน้ำตาตัวเอง อังมือที่สั่นเทาไว้ที่ปลายจมูกพ่อของผม
   มันเรียบนิ่ง
   เรียบ...พอๆกับจิตใจของผมที่เบาหวิว หวาดหวั่น และว้าเหว่ไปทั้งวิญญาณ
   "พ่ออออ"
   ทำไมต้องเป็นพ่อผมด้วย
   ผมตะโกนก้องออกมาไม่สนใจว่าใครจะได้ยินหรือเปล่า ขอเพียงแค่พ่อของผมได้ยินและตื่นขึ้นมา ความจริงที่เจ็บปวดตอนนี้ถาโถมไปทั้งหัวใจ
   เสียงด่ากันหยุดลงเพราะเสียงของผมที่สนั่นกว่า คนทั้งหมดหยุดดูผมด้วยความตะลึง พี่ธันเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก
   เขาไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่เขาทำเลย...
   "ลูกไอ้นะฆ่าคนตาย"ใครในสี่นั้นคนนั้นพูดออกมา
   "กูไปละ"
   "มึงจะไปไหน มึงฆ่าพ่อกู ตายซะ" ทันใดนั้นพี่ธันก็คว้ามัจจุราจกระบอกดำออกมาจากกระเป๋าของเพื่อน ลั่นประกาศิตความตายเสียงดังสนั่นไปทั่วทั้งลานวัด
   เปรี้ยง!
   ......ลมหายใจของใครคนหนึ่งหยุดลงพร้อมเสียงๆนั้น
   .......เสียงพระสวดหยุดลงเช่นกัน
   ไม่นานแขกในงานเริ่มกรูกันออกมาด้วยความอยากรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ถ้าความบ้าคลั่งเข้าควบคุมใจใครก็ตาม มันก็เหมือนปีศาจร้ายที่พร้อมทำลายทุกสิ่งที่ขัดขวางมัน
___________________________________________________________________

   
'ภาค มาหาลุงหน่อยสิ'
   'ว่าไงครับลุงนะ' ผมเดินเข้าไปใกล้ตามคำเรียก นั่งลงข้างเก้าอี้โยกที่ผู้เรียกนั่งอยู่ก่อน
   ' ลุงขอถามภาคหน่อยนะ เจ้าธันมันมีแฟนเป็นตัวเป็นตนรึยัง ลุงอยากอุ้มหลานเต็มแก่แล้ว' คนถามไม่ได้มองหน้าผมแต่กลับมองเหม่อไปราวเพ้อฝันทั้งที่เป็นคนถาม สุดท้ายก็ไม่มีใครสนใจผม
   ผมเกลียดความฝันที่ทำร้ายคนอื่น เกลียดสิ่งฟุ้งซ่านคนที่คิดขึ้นมาเอง
   เกลียด เกลียด เกลียด
   'เอ่อ...ไม่ครับ...ไม่มี'ผมกลั้นใจตอบไป กรามขบกันแน่น
   'ดี ดี จันทร์หน้าลุงจะพามันไปดูตัวลูกสาวกำนันซะหน่อย ดีไม่ดีก็จับมันแต่งกันซะเลย บ้านนู้นเขาอยากได้ลูกเขยเป็นตำรวจพอดี ภาคว่าเป็นไง'
   ผมเงยหน้าช้าๆมองตอบผู้ถามหลังจบประโยคอันแสนเหยียดยาวและน่า
รังเกียจในความรู้สึกผม
   'แล้วแต่ลุงเลยครับ'
   ผมตอบเสียงแผ่ว
   ...พร้อมๆกดยิ้มให้ลุงนะหนึ่งครั้ง...
   ผมไม่เคยยิ้มแบบนี้ให้ใครเหมือนกัน มันกว้างกว่าทุกครั้ง จนผมกลัว
   ...กลัวตัวเอง
[/i]
___________________________________________________________________________
   ประกายไฟลุกกรุ่น แผ่ความร้อนมาสู่ผิวกายของผมที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากมันนัก คราใดที่เศษกองฟอนแตกด้วยเปลวเพลิง ครานั้นเศษสะเก็ดเพลิงจะประทุขึ้นสู่อากาศ กระจายและปลิวหายไปในความมืดยามค่ำคืน
   ผมปาดน้ำตาออกจากใบหน้า ทำใจและยอมรับความจริงที่เจ็บปวด พ่อผมจากผมไปแล้ว ด้วยน้ำมือของคนที่ผมรักมาตลอด
   กรรมสนองกรรมสินะ...
   ผมยืนมองเศษกองไฟนั้นด้วยสายตาว่างเปล่า หยิบเข็มฉีดยาและถุงมือที่ใช้แล้วออกจากกระเป๋าที่พกมาด้วยโยนเข้ากองไฟ
   จากนั้นก็หยิบตัวยากระตุ้นอัตราการเต้นของหัวใจที่แอบเอามาจากโรงพยาบาลซึ่งเหลือจากการใช้การลงตามไป มองเพลิงแผดเผาทุกอย่างจนวอดวาย
   ให้ไฟในนั้น ดับไฟที่ผมมีให้หมดสิ้น
   ผมยอมรับว่าผมผิด แต่ผมจะไม่ยอมเข้าคุก
   แน่ละ หมอที่ตรวจศพลุงนะบอกเองว่าเขาตายด้วยอาการหัวใจวาย
และไม่มีใครสงสัยผม
   ...ผมยิ้ม ดีใจที่ทุกอย่างไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด
   ผมหยิบของชิ้นสุดท้ายออกมาจากกระเป๋า
   ...เป็นเอกสารตัวจริง ที่ผมแอบถ่ายเก็บไว้ หลังจากให้ 'ใบปลอม' ไปกับตำรวจ
   ผมเขียนทุกอย่างที่เป็นความจริงลงในนี้ แล้วขยำมันเข้าไปในกองเพลิง   ในที่สุด ...เพียงชั่วอึดใจมันก็ไม่เหลืออะไรอีกเลย แม้แต่เถ้าถ่าน
___________________________________________________________________
ผลการชันสูตรพลิกศพ
นายนลาภ ทองนพคุณ
ปรากฏว่า สิ้นลมหายใจตั้งแต่เวลา 23:33:04 วันที่ 8 เมษายน พุทธศักราช 2549
ด้วยสาเหตุ ....ถูกฆ่าตายด้วยยากระตุ้นการเต้นหัวใจ....
ขอรับรองว่าเป็นความจริงทุกประการ
ลงชื่อ  นายแพทย์ภาคภูมิ     ผลพิสุทธิ์
(ผู้ชันสูตร)
_________________



END.




ไม่รู้นึกยังไงถึงอย่างลองแต่งเรื่องสั้นแนวนี้
ไม่รู้ว่าทุกคนจะงงหรือเปล่า
แต่ขอบคุณครับที่อ่านจนจบ
Share This Topic To FaceBook

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
ฆ่าลุงนะ แต่ธันเข้าคุกโดยฆ่าผิดคนอีกต่างหาก


เกือบจะได้มาแล้วนะภาค แต่หลุดมืออีกแล้วล่ะ


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด