หวัดดีครับ
เพิ่งรู้ว่าคุณหนุ่ม ก็เคยดูหมอแล้วเจอคล้ายๆ ผมเหมือนกัน แถมน้องอ๊อฟก็มีประสบการณ์มาอีก
ฉะนั้น เรื่องพวกนี้ ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่นะ…อิอิ ผมคิดว่าคนที่มีอาชีพ หรือพรสวรรค์ทางด้านนี้
มักเป็นคนช่างสังเกต หรือมีสัมผัสพิเศษ ที่พอจะรู้ว่าแต่ละคนเป็นยังไง แต่พยายามพูดให้ฟังดูดี
เพื่อรักษาหน้าลูกค้าเอาไว้..เผื่อจะได้กลับมาดูอีก ..รึเปล่า
ใกล้ปีใหม่ หลายคนคงเตรียมโปรแกรมกันไว้บ้างแล้ว คุณหนุ่ม และน้องอ๊อฟ รวมถึงท่านอื่นด้วย
มีโอกาสได้ไปเที่ยวหลายๆ ที่ ก็ดีนะครับ ยังมีคนอีกมากที่ทำแต่งาน จนไม่คิดหาโอกาสไปพักผ่อนที่ไหนเลยก็มี
ซึ่งน่าเสียดายแทน เพราะผมคิดว่า การไปเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ เหมือนกับเป็นการชาร์ตแบตเตอรี่
และเปิดโลกทัศน์ให้กับตัวเราเอง
ผมเคยไปประเทศแถบตะวันออกกลาง พอถึงวันหยุด เขาก็ไม่รู้จะไปเที่ยวที่ไหน เพราะมันไม่มีอะไรเลย
นอกจาก…ทะเลทราย อย่างดีก็ไปเดินตากแอร์ ช้อปปิ้งตามห้างสรรพสินค้า หรือบางแห่ง เช่น ดูไบ
ก็พยายามสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ขึ้นมา แต่มันก็ไม่ใช่ธรรมชาติ ไปแค่ครั้งหรือสองครั้งก็เบื่อ
พอได้ไปสัมผัสกับสภาพแบบนั้นแล้ว ทำให้รักเมืองไทยมากขึ้น และคิดว่าคนไทยนั้นโชคดีมากๆ
ที่เมืองไทยมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ มีทั้งชายทะเลสวยงาม ป่าไม้ ลำธาร ภูเขา น้ำตก อาหารอร่อย
วัฒนธรรมประเพณีน่าสนใจ ฯลฯ เรียกว่า มีครบเกือบทุกอย่าง ที่นักท่องเที่ยวต้องการ
ถ้าเรามีการปรับปรุงพัฒนาการท่องเที่ยวให้ได้มาตรฐานกว่านี้ รับรองว่า
เมืองไทยจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของโลกได้อย่างสบาย
รู้สึกจะออกไกลไปหน่อย ก็กลับมาถึงเรื่องที่ค้างไว้ เกี่ยวกับหมอดูแม่นๆ ล่ะครับที่ได้เล่าไว้ว่า
เคยให้เพื่อนสับไพ่ดูหมอตอนสมัยเรียน แล้วเจอแจ็กพ๊อต ทำให้ผมหน้าชาไปแล้ว ก็เลยตั้งมโนปณิธานกับตัวเอง
มีฟ้าดินเป็นพยาน ว่าชาตินี้จะไม่ยุ่งเกี่ยว กับเรื่องเหล่านี้อีกเด็ดขาดตลอดชีวิต
(รู้สึกเหมือนเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเกินไปรึเปล่าเนี่ย)
แล้ววันเวลาก็ผันผ่านไปนานหลายปี จนผมเข้าทำงานในธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งหน่วยงานที่ผมอยู่นั้น
มีสำนักงานอยู่คนละแห่งกับสำนักงานใหญ่ ต่อมาหน่วยงานที่นี่จะมีการตั้งศาลพระภูมิ
จึงเชิญพนักงานอาวุโสท่านหนึ่งมาจากสำนักงานใหญ่ ซึ่งคนทั่วไป เรียกเขาว่า “พี่หมอ”
เพราะนอกจากงานประจำแล้ว เขาก็มีความรู้ในด้านพิธีกรรมนี้ด้วย เรียกว่า รับจ๊อบพิเศษแบบนี้อยู่แล้ว
และที่หลายคนสนใจ ถึงการมาของ พี่หมอ ไม่ใช่เรื่องตั้งศาลพระภูมิ แต่เป็นเรื่องดูลายมือ
ซึ่งเขาเล่าลือกันว่า พี่หมอดูแม่นมาก แต่ไม่ค่อยดูให้ใครง่ายๆ
พอถึงวันทำพิธีตั้งศาลพระภูมิ เราเริ่มกันในช่วงสายโดยมี พี่หมอ เป็นคนทำพิธีให้
ผมก็เพิ่งพบเขาเป็นครั้งแรก เป็นชายอายุประมาณ 50 กว่า ดูเป็นคนใจดี มีมนุษยสัมพันธ์
แต่ผมไม่ได้เข้าไปทักทายพูดคุย เพราะไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว แค่ยืนร่วมในพิธีพร้อมกับคนอื่นๆ อีกเกือบครึ่งร้อย
ใช้เวลาร่วมชั่วโมงก็เป็นอันเสร็จพิธี แล้วทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปทำงานตามปกติ
เมื่อใกล้ถึงเวลาพักเที่ยง ผมกับกลุ่มเพื่อนๆ ประมาณ 7-8 คน กำลังจะเดินออกไปกินข้าวข้างนอก
บังเอิญเพื่อนคนหนึ่งเห็น พี่หมอ อยู่ในห้องรับแขก ทุกคนก็เลยเดินเข้าไปหา คือ หวังจะตีสนิท
แล้วให้พี่หมอช่วยดูลายมือนั่นแหละ ส่วนผม พอรู้สรรพคุณของพี่หมอแล้ว ก็ไม่อยากเข้าไปดูกะเขา
เลยต้องทำเป็นยืนรออยู่ห่างๆ ทำหน้าแบบเกรงใจ ไม่อยากรบกวน อะไรประมาณนั้น
(แต่จริงๆ พี่หมอเขาไม่คิดอย่างนั้นนะสิ…อ่านไปเรื่อยๆ แล้วก็จะรู้)
ทุกคน (ยกเว้นผม) แย่งกันให้พี่หมอช่วยดูลายมือ พี่หมอก็ใจดี คงเพราะเกรงใจเจ้าของบ้าน
จึงดูให้คนละนิดละหน่อยพอหอมปากหอมคอ ซึ่งก็เรียกเสียงเฮฮาได้เป็นระยะๆ
จนเสร็จแล้ว ผมกับเพื่อนๆ ก็ออกไปทานข้าวกันตามปกติ ซึ่งจริงๆ เรื่องมันก็จบไปแล้วล่ะครับ
แต่ก็มีแถมอีกนิดหน่อย คือ หลังจากนั้นอาทิตย์หนึ่งได้ ผมต้องไปทำธุระที่สำนักงานใหญ่
กำลังจะเดินไปยังเคาน์เตอร์ ที่จัดไว้ติดต่อเรื่องสวัสดิการพนักงาน
ก็เห็นพี่หมอ กำลังทำธุระอยู่กับเจ้าหน้าที่ซึ่งมีคนเดียว ผมจึงนั่งรอที่โซฟาด้านหลัง
จริงๆ แล้ว พี่หมอ เป็นผู้ที่หลายคน อยากเจอตัวเป็นๆ กันทั้งนั้น
แต่ตอนนั้นผมกลับคิดตรงข้ามว่า ไม่น่าบังเอิญมาเจอกันอีกเล้ย
และไม่แน่ใจว่าเขาจำผมได้รึเปล่า เพราะผมก็พยายามอยู่ห่างๆ เขาตลอดแล้วนะ
พอเห็นว่าพี่หมอเตรียมลุกจากที่นั่ง ผมก็เดินเข้าไป คิดในใจ หวังว่าเขาคงไม่ทักผมถึงเรื่องวันนั้น
แต่เหมือนเขารู้ความคิดผม พอไหว้ทักทายกันแล้ว เขาก็พูดขึ้นว่า
“ทำไมวันนั้น ถึงไม่ยอมให้ผมดูลายมือ…มีอะไร (ปิดบังไว้…คงพูดในใจ) หรือเปล่า” แล้วพี่หมอก็แสยะยิ้มเหมือนคนที่รู้อะไรบางอย่าง ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ
แล้วก็เดินหลีกไปทำธุระที่เคาน์เตอร์
จริงๆ พี่หมอเห็นผมตั้งแต่เดินมาแล้ว จนผมนั่งที่โซฟา ก็ยังเห็นเขาเหลียวมองมานิดหน่อย
พอเขาทำธุระเสร็จ ก็ไม่เห็นลุกไปซะที ท่าทางเหมือนรอให้ผมเข้าไปหา เพื่อให้เขาดูหมอ แต่..ไม่มีวันซะล่ะ...555
ซึ่งถ้าเป็นคนอื่น เมื่อได้เจอพี่หมอตัวต่อตัวอย่างนี้ คงไม่ปล่อยให้โอกาสงามๆ แบบนี้ผ่านไปแน่นอน
เลยกลับตาลปัตร กลายเป็นว่า คนอื่นๆ พยายามเข้าหาเขา เพื่อให้ดูลายมือ พี่หมอก็เฉยๆ
ส่วนผม พี่หมอ อุตส่าห์นั่งรอก็แล้ว ผมกลับเฉย เขาอาจรู้สึกเสียฟอร์มก็ได้
ที่หมอดูแม่นๆ อย่างเขา ใครๆ ก็ต้องวิ่งเข้าหา แต่ผมกลับไม่สนใจเลย
คิดๆ ดูแล้ว เรื่องนี้คงคล้ายคำพังเพยที่ว่า “ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่”
คือ ผมรู้ว่าถ้าเขาดูลายมือผม อาจจะรู้อะไรบางอย่าง ที่ไม่อยากให้รู้
และเขาก็รู้ว่าผมอาจมีอะไรบางอย่าง ที่ไม่อยากให้รู้ จึงไม่ยอมให้ดูลายมือ
เรื่องหมอดูแม่นๆ ของผมก็คงมีเพียงเท่านี้แหละครับ นึกว่าจะสั้นๆ กลายเป็นยาวกว่าครั้งก่อนซะอีก
แล้วค่อยมาทักทายกันใหม่ในวันต่อๆ ไปนะครับ