1
ผมกวาดสายตาผ่านผู้คนมากมายที่เดินไปมาหนาแน่นเต็มโรงอาหาร เพื่อมองหาคนที่เมื่อห้านาทีก่อนลงอินสตาแกรมสตอรี่ว่าเขากินข้าวอยู่ที่โรงอาหารคณะ—นั่นไงเจอแล้ว นั่งอยู่กับเพื่อนในกลุ่มเขาอีกสองคน
ถามว่าที่ผมมองหาเขาผมจะเข้าไปทักทายเขาหรือ ไม่หรอก และผมก็ไม่ได้ตั้งใจมาที่นี่เพื่อมาหาเขา ผมแค่มากินข้าวปกติตามตารางเวลาชีวิตของผมเท่านั้น การได้เจอเขาที่ปกติไม่กินข้าวเที่ยงที่นี่ก็เป็นแค่ผลพลอยได้
เมื่อเดินหาที่นั่งสักพักกลุ่มของผมก็ได้โต๊ะที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากโต๊ะของเขา ผมวางกระเป๋าเพื่อจองโต๊ะทางฝั่งที่หันหน้าไปเจอกับเขาพอดีอย่างจงใจ
“ทำไมวันนี้มึงนั่งตรงนั้นวะไม้ ปกติมึงนั่งข้างกูนะ” ไอย์ เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มที่ผมสนิททักขึ้น
“ก็อยากเปลี่ยนบ้าง นั่งข้างมึงทุกวัน เบื่อ วันนี้อยากนั่งข้างไอ้บิล” ผมทำหน้ายียวนกวนมันไปที ก่อนจะเดินออกมาจากโต๊ะเพื่อไปซื้อข้าว
เนื่องจากคนเยอะเกินกว่าจะไปต่อคิวร้านอาหารที่ทำทีละเมนู ผมขี้เกียจรอจึงตัดสินใจกินข้าวราดแกงแทน ซึ่งแน่นอนว่าความอร่อยนั้นหาได้แค่ปลายผัก แต่แลกกับความเร็วแล้วผมยอม ส่วนไอย์ที่สิ้นคิดเรื่องการคิดเมนูก็เดินตามผมมาด้วย
“เอา อันนี้กับอันนี้ครับ” ผมสั่ง
“มึง กูกินอะไรดี” ไอย์ถามผม สายตามองยังตู้กระจกที่มีถาดอาหารเรียงรายกันอยู่
“ไข่พะโล้”
“กูไม่อยากกินที่เป็นน้ำ”
“สัส ผัดกระเพรา”
“กับอะไรอีกอย่างนึง”
“ไข่ดาว”
“จะดีหรอกูไม่อยากกินของทอด”
“ดี แดกๆไปเหอะ ไข่ฟองเดียว”
“อะได้” มันตอบ “พี่คะ เอาผัดกระเพราะกับไข่ดาวค่ะ”
เมื่อได้อาหารตามที่สั่งแล้วเราทั้งสองคนก็เดินไปยังร้านน้ำต่อเพื่อที่ผมจะซื้อชานม ส่วนไอย์ซื้อโคล่า แต่ก่อนที่เราจะเดินไปถึง ผมก็เห็นเขาคนนั้นเดินเข้าไปหน้าร้านน้ำที่พวกเรากำลังเดินไปพอดี
ผมทำเป็นไม่มองให้เพื่อให้เหมือนว่ามองไม่เห็น ทอดสายตาไปยังตู้แช่น้ำที่มีน้ำดื่มหลายยี่ห้อแช่อยู่แทน ผมก็ไม่รู้ว่าผมทำไปทำไมเหมือนกัน
“อ้าวมินคุง วันนี้กินข้าวที่นี่หรอ” แต่แล้วไอย์ญาผู้มีมิตรภาพกลับทักเขาคนนั้น ทำให้ผมต้องละสายตาจากตู้แช่มามองคนที่เพื่อนผมทักแทน
“ไอย์ หวัดดี ฮ่าๆ พอดีวันนี้เราขี้เกียจออกไปกินที่อื่นหน่ะ รถติด เราเลยมากินที่โรงอาหารคณะ แต่ที่นี่คนก็เยอะมากๆเลย” เขาตอบไอย์แล้วละสายตามามองผม ผมจึงต้องส่งยิ้มเป็นมิตรทักทายเขากลับไป
“เป็นงี้ทุกวันแหละ เนี่ย คนเยอะจนไม้มันขี้เกียจรอ พาเรากินแต่ข้าวราดแกงทุกวันแล้วเนี้ย” อ่าว พาดพิงกู
“ฮ่าๆ มึงใจร้อนขนาดนั้นเลยหรอไม้” เขาหันมาถามผม
“อือใช่ กูขี้เกียจยืนรอหนะ” ผมตอบเขา
“ทำไมไม่ลองไปกินที่อื่นดูบ้างหล่ะ”
ผมกำลังจะพูดตอบกลับไปแต่น้ำที่เขาสั่งไว้ได้พอดีจึงทำให้นั่นเป็นกันตัดจบบทสนทนาของเรา
“ไว้เจอกันน้ามินคุง” ไอย์โบกมือให้มิน เขาหันมาโบกกลับแล้วยิมให้เรา
“เกินเบอร์ไปละมึงอะ”
“อะไร ก็นิดๆหน่อยๆปะ มินคุงเขาออกจะน่ารัก”
“สัส กระแดะเรียกเขามินคุง เขาอยากให้มึงเรียกแบบนั้นรึเปล่าเถอะ”
“เอ้า ก็เขาเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นปะ ก็ต้องเรียกตามวัฒนธรรมเขานิดนึง”
ผมกลอกตากับคำตอบนั้นไป 1 ที ก่อนจะจ่ายเงินค่าน้ำแล้วเดินนำไปที่โต๊ะ
ก่อนลงมือตักข้าวเข้าปาก ผมก็ถ่ายรูปจานข้าวครึ่งหนึ่งแก้วชานมอีกครึ่งหนึ่งลงสตอรี่
ลงเพื่อให้ใครคนหนึ่งดู
===========================
เราสองคนรู้จักกันเพราะเราเคยทำค่ายด้วยกันตอนปี 2 แต่เพราะเราอยู่คนละฝ่ายกันจึงทำให้เรารู้จักกันแค่ในฐานะแค่เพื่อนร่วมงานและเพื่อนร่วมคณะเท่านั้น ไม่ได้มีความสนิทอะไรกันเป็นพิเศษไปกว่านั้นเลย
แต่ผมชอบเขา
ตอนแรกผมเคยคิดอยากเข้าใกล้เขากว่านี้ แต่ผมไม่ทำเพราะตอนนั้นเขามีแฟนแล้ว
ส่วนตอนนี้ ผมเพิ่งจะได้ยินข่าวมาว่าเขาเพิ่งเลิกกับแฟนมาเมื่อเดือนก่อน
ข่าวจากวงในเลย...
===========================
คาบเรียนตอนบ่ายแสนน่าเบื่อ
“มึง มีใครจะเข้าห้องน้ำปะ กูปวดฉี่” ผมหันไปถามเพื่อนๆที่นั่งอยู่ข้างๆ แต่ไร้การตอบรับ เพราะพวกมันนอนตายฟุบกับโต๊ะไปกันหมดแล้ว “ไปคนเดียวก็ได้วะ”
ผมเดินออกมาจากห้องเรียนตรงไปยังห้องน้ำที่ใกล้ที่สุดพลางคิดในใจว่าพอเข้าห้องน้ำเสร็จแล้วผมจะเดินไปร้านสะดวกซื้อที่อยู่ใต้ตึกเพื่อหาอะไรกินด้วยเพราะตอนนี้ผมรู้สึกหิวนิดๆ
ผมยืนล้างมืออยู่หน้ากระจกในตอนที่ประตูห้องน้ำห้องหนึ่งที่ปิดอยู่ตอนที่ผมเดินเข้าไปเปิดออกมา บุคคลที่เดินออกมาจากห้องนั้นคือมิน ใช่ เขานั่นแหละ มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก ผมเห็นเขาเดินออกมาจากห้องบรรยายก่อนผม แต่ผมไม่รู้หรอกนะว่าเขามาเข้าห้องน้ำ ผมไม่ได้โรคจิตตามเขามา
“ไงมึง” เขาทักผมหลังจากผมยิ้มทักทายเขา
“เบื่อ อาจารย์พูดอะไรไม่รู้ ไม่เข้าหัวเลย เพื่อนกูนอนตายกองกันยิ่งกว่าสงครามโลก”
“ฮ่าๆ ใช่ๆ เพื่อนกูก็เหมือนกัน เหลือแค่กูที่เป็นผู้รอดชีวิต แต่ใช่ว่ากูไม่อยากนอนนะ กูนอนไม่ได้หว่ะ โต๊ะมันนอนไม่สบาย”
“วันหลังก็ขึ้นมาแถวบนๆดิ มีพื้นว่างเยอะแยะ” ผมตอบกวนมัน
“นี่กูต้องพยายามเพื่อจะนอนขนาดนั้นมั้ย ฮ่าๆๆ”
ผมยิ้มเมื่อเห็นมันหัวเราะชอบใจ
“ไปละ เดี๋ยวกูลงไปเซเว่นใต้ตึกต่อ ไปปะ” ชวนไปงั้นแหละ เผื่อได้
“เฮ้ยจริงดิ ไปด้วยๆ อยากกินกาแฟอยู่พอดี”
จากนั้นเราสองคนก็มาโผล่ที่เซเว่นใต้ตึก เป็นเหตุการณ์ที่ผมไม่ได้คาดให้เกิดมาก่อน แต่ในเมื่อมีโอกาสแล้วก็จะปฏิเสธมันไปทำไมกัน
“เออไม้ ปิดเทอมนี้มึงไปทำค่ายอีกปะ” มินถามขึ้นตอนที่ผมกำลังเลือกซื้อถั่วอยู่
“ไปดิ” ผมตอบ “จะไปดูน้องฝ่ายตัวเองด้วยว่าปีนี้เป็นไงกันบ้าง มึงอะ”
“ไปๆ” เขาพยังหน้า “ตอนแรกกูนึกว่าปีนี้มึงจะไม่ไป”
“ทำไมวะ” ผมถาม
“ก็นึกว่ามึงจะไปทำอย่างอื่นไง”
“กูเนี้ยนะจะไปทำอะไร กูว่างจะตาย” ผมว่า “เนี้ย หลังจากไปค่ายมากูก็นอนตีพุงอยู่บ้านแล้ว หรือไม่กูก็อาจจะโดนบังคับไปโรงงานกับพ่อ”
“เฮ้ย งั้นถ้ามึงว่า ไปทำงานพาร์ทไทม์กับกูปะ” เขาทำหน้าชี้ชวนแบบภูมิใจนำเสนอ
เดี๋ยวนะ ผมกับเขาสนิทกันถึงขั้นชวนกันทำงานแล้วหรอ…
“งานอะไร”
“พนักงานร้านกาแฟ” เขาตอบ “ร้านพี่กู เขาเปิดใหม่หน่ะ เลยอยากได้พนักงานร้านเพิ่ม”
“อ๋อ งั้นขอเก็บไปคิดก่อนก็แล้วกัน ขอดูก่อนว่าจะมีแพลนอื่นที่น่าสนใจกว่ามั้ย”
“ได้ เดี๋ยวกูถามมึงอีกที”
หลังจากซื้อของเสร็จแล้ว เราสองคนกลับมายังห้องเรียน ผมกับเขาเดินแยกกันตรงที่นั่งของเขาเพราะที่ของผมอยู่หลังถัดไปจากเขาอีกหลายแถว
“แหนะ ไปไหนมา” ไอย์ถาม ก่อนออกไปผมยังเห็นว่ามันนอนอยู่เลย “ไปกับมินด้วย”
“เซเว่น” ผมตอบ
“ฮะ มึงสองคนเนี้ยนะไปเซเว่นด้วยกัน” ไอย์ทำหน้าสงสัย
“กูเจอเขาในห้องน้ำ กูบอกจะไปเซเว่นเขาเลยบอกจะไปด้วย” ผมตอบตามความจริง
“เดี๋ยว ง่ายไปปะ มึงไปสนิทชิดเชื่อกับมินคุงขนาดนั้นตอนไหน”
“ไม่รู้ เขาอาจจะคิดว่าเราสนิทกันตอนทำค่ายมั้ง”
“อืมมม ก็เป็นไปได้” ไอย์ครุ่นคิด “กูคิดแบบนั้นก่อนก็ได้ แต่ตอนนี้ กูอยากมากกว่าคือตอนเย็นกินข้าวที่ไหนดี”
“สัส”
===========================
หลังจาดเหตุการนั้น ชีวิตเราสองคนก็วนเวียนอยู่รอบๆกันเหมือนปกติ เจอหน้ากัน ยิ้มทักกัน ไลค์รูป ดูสตอรี่กันไปมาแค่นั้น ไม่มีอะไรหวือหวา ผมก็ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยของผมไปเรื่อยๆ เรียนๆเล่นๆไปวันๆ
จนกระทั่งวันนี้
วันนี้คือวันที่คณะของผมจะออกไปทำค่ายอาสากัน ซึ่งโดยปกติทุกๆปี ปีสองจะเป็นฝ่ายจัดการทุกอย่างทั้งหมด ชั้นปีอื่นเป็นแค่ผู้เข้าร่วมค่ายเท่านั้น ผมจึงไม่ได้เข้าร่วมประชุมกับส่วนงานบริหาร นั่นเป็นเหตุที่ผมไม่ได้เจอเขาเลยนอกจากเวลาเรียนและโอกาสบังเอิญเท่านั้น
ผมกับบิลนั่งลงเข้าแถวที่สุดปลายแถวที่ตั้งขึ้นตามที่น้องๆฝ่ายพิธีกรบอก ฟังกำหนดการค่ายและรายละเอียดคร่าวๆเพื่อให้เข้าใจตรงกัน ครั้งนี้เพื่อนในกลุ่มผมอีกสองคนไม่มาด้วยนั่งคือรวมถึงไอย์ที่ติดไปเที่ยวกับที่บ้าน
“คนที่มาใหม่นะคะ ตอนนี้ให้วางกระเป๋าไว้ที่ด้านหลังแล้วมานั่งเข้าแถวเลยค่ะ” พิธีกรพูดให้ผมหันไปมองตามสัญชาตญาณ แล้วก็พบว่ามินและเพื่อนๆเขามาแล้ว
เขาวางกระเป๋าแล้วทำท่าเหมือนเดินตรงมาทางที่พวกผมนั่งอยู่ ผมจึงหันหน้ากลับไปมองทางด้านหน้าตามเดิมแล้วทำเป็นเหมือนผมยังไม่เห็นเขา
“ไม้ บิล มากันเร็วจัง” เขานั่งลงด้านหลังผมส่วนเพื่อนเขาอีกคนนั่งหลังบิล
“เปล่า มึงอะมาสาย” บิลตอบ บิลเป็นเพื่อนโรงเรียนเก่าของมินกับเพื่อนของเขาอีกคน
“เอ่าหรอ นี่กูมาตามนัดนะเว้ย เจ็ดโมงเปะ”
“เขานัดหกโมงโว้ยยย” บิลป๊าบหัวเขาไปหนึ่งที “เออนี่กินไรมายัง กูซื้อใส้กรอกมาเผื่อ เอาปะ”
เขายื่นถุงร้านสะดวกซื้อผ่านไหล่ผมมา
ผมเอี้ยวคอไปยิ้มให้เขาแล้วผลักมันไปทางบิล “กูกินมาละ เอาให้ไอ้บิลเถอะ มันบ่นหิวตะกี้”
“ใช่ เอามาให้กูเถอะ ให้ไอ้ไม้ไปก็เสียของเปล่าๆ” มันว่าพลายหยิบเอาถุงในมือมินอย่างไม่เกรงใจ
ผมทันเห็นเขาทำปากด่าไอ้บิลว่า “สัส” แบบเงี่ยบๆ ก่อนที่ผมจะหันหน้ามาทางเดิน
เรานั่งฟังไปสักพักจนกระทั่งพิธีกรบอกให้เราลุกขึ้นไปเก็บกระเป๋าแล้วเดินไปยังรถของตัวเอง
“มึงขึ้นรถคันไหน” เสียงถามดังขึ้นที่ข้างหูผม เขาถามผมหรอ
“คัน B” ผมตอบเขา “สมัครช้าไปหน่อย เกือบได้นั่งคัน C แล้ว” รถคัน C เป็นรถที่บรรทุกของมากกว่าคน
“คันกันเลย ไปเถอะเดี๋ยวที่ดีๆเต็มหมด”
เราสี่คนเดินไปเอากระเป๋าแล้วเดินมาที่รถที่พวกเราต้องนั่งไปกันอีก 7 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย
“นั่งไหนดี” บิลถามผม
“นั่งนี่ละกัน ไม่ไกล้ไม่ไกลจากข้างหน้า” ผมตอบ “กูนั่งติดกระจกนะ”
“เห้ย ไม่ดิ กูอยากนั่ง” มันพูดขึ้นมาทันควัน
“เอ้า คราวที่แล้วมึงนั่งไปแล้ว คราวนี้กูนั่งบ้าง”
“ไม่ๆๆๆ กูไม่ชอบนั่งข้างใน มันเวียนหัว”
“สัน งั้นไปนั่งหน้าสุด ที่ยังว่าง” ผมเสนอ
“เหี้ย ไม่ ใกล้พวกสันเกิน เดี๋ยวโดนเรียกไปเต้น”
“ไอ้เหี้ยบิล มึงจะเอายังไง” ผมจ้องมันเขม้ง
“กู จะ นั่ง ติด กระ จก!” มันเน้นทีละคำ
“ไอ่สัสสส ไม่!!!” ผมจับไหล่มันเขย่า
“เชี่ย พอๆๆ หยุดเถียงกัน นั่งคนละที่จบมั้ย” มินที่ฟังเราเถียงกันอยู่แทรกขึ้นมา “ไม้นั่งตรงนี้ ไอ้บิลนั่งตรงนี้” เข้าชี้เบาติดกระจกที่อยู่คนละแถวกัน
“เออ! ก็ได้วะ” ผมกับไอ้เหี้ยบิลตอบพร้อมกัน
ก่อนจะนั่งไอ้บิลก็ไม่วายทำปากเบะล้อเลียนมินด้วยท่าทางที่เหมือนกับคำว่า “ไม้นั่งตรงนี้ ไอ้บิลนั่งตรงนี้”
และใช่ คนที่นั่งข้างผมก็คือมิน ดี ฟ้ามาโปรด นี่แหละผลพลอยได้ที่แท้จริง
...จะว่าไปก็แปลกนะ เขาเป็นเพื่อนกับบิล รู้จักมักเชื้อกับไอย์ แต่ไม่สนิทกับผม หมายถึงเราไม่ได้สนิทกันถึงขั้นเจอหน้ากันแล้วทักกันใหญ่โตอะไรแบบนั้น มากสุดแค่ยกมือโบกแล้วถามกันว่าไปไหนมาหรือจะไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ปกติแล้วคนถามไม่ได้อยากรู้จริงๆหรอก
===========================
“โอ้ทะเลแสนงามมม~~~~แสนง๊ามแสนงาม…” เสียงร้องเพลงประกอบกลองของทีมสันทนาการคณะกำลังดังเจี๊ยวจ้าวโดยไม่ยอมให้ใครนอนบนรถคันนี้ได้เด็ดขาด
ผมรู้สึกว่าคนที่กำลังถือไมค์อยู่มองสปตากับผม และทันใดนั้นลางร้ายก็แล่นวับเขามาในความรู้สึกก่อนที่มันจะเป็นจริงในสิบวินาทีต่อมา
“ทุกคนนนน ใครอยากเห็นพี่ไม้เต้นบ้าง” คนถือไมค์พูดเสียงดังก้องรถ และหลังจากนั้นก็ทีเสียงร้องโฮ่ฮาสนับสนุนดังขึ้น “พี่ไม้คะ ออกมาเต้นให้พวกเราดูเป็นบุญตาที”
ผมยิ้มหน้าแห้งก่อนคิดหาข้ออ้างที่ดีที่สุด “เอ่อ คือ พี่ออกไปเต้นไม่สะดวก พี่ขอส่งไอ้มินไปแทน”
“อืมมม” น้องเขาทำหน้าคิดก่อนจะตอบว่า “งั้นก็ได้ค่ะ” แล้วก็ก้มลงไปกระซิบอะไรสักอยากกับเขา คงจะบอกเพลงละมั้ง
เขาลุกออกจากที่ไปยืนอยู่ตรงกลางทางเดินแต่โดยง่ายดดยไม่มีคำประท้วงใดๆ น้องสันทนาการบอกชื่อเพลงกับทุกคนจากนั้นเสียงกลองก็ดังขึ้น
“มัดหมี่ มัดหมี มัดหมีขูดมะพร้าวทำกับข้าวอยู่ในครัว…”
อื้อ เพลงเหี้ยมาก
ท่าเต้นก็เหี้ยเช่นกัน
เพลงนี้ทุกคนเต้นได้ แน่นอนว่าผมด้วย เพราะมันเป็นเพลงพื้นฐานในการรับน้องตอนปี 1 ที่ทุกคนต้องเต้น ผมมองเขาเต้นไปขำไปก่อนนึกขึ้นได้ว่าผมถ่ายเขาลงสตอรี่ดีกว่า แท็กชื่อด้วย เนี่ย กำไรได้ทั้งนั้น
ระหว่างที่ผมกำลังจัดการอัพวีดิโอลงสตอรี่เสร็จเรียบร้อยพอดี หูผมก็ได้ยินเสียงนึงแว่วเข้ามา “พี่มินเอาเลยค่ะ”
จากนั้นตัวผมก็ลอยออกมาที่ทางเดินกลางรถแบบงงๆ
“เย้! พี่ไม้ออกมาได้แล้ว” น้องสันพูด
หน๋อยยยยยยยยยย! แผนสูงจริงนะ!
และขั้นตอนหลังจากนั้นก็เป็นไปตามท้องเรื่อง
โคตรอายเลยไอ้เหี้ย
===========================
Missed yall so much
หายไปนานมากๆๆๆๆๆ
สวัสดีนักอ่านทุกท่านอีกครั้งครับ
วันนี้มีเรื่องใหม่มาให้อ่านกัน
หวังว่าจะชอบครับ
ยังไงก็ติชมได้น้าาาา