(OS) orthopedic
ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าผมตกหลุมรักอย่างบ้าคลั่งครั้งล่าสุดตอนไหน…
“ผลออกมาแล้วนะครับ คุณต้นแขนหัก….ดูจากแนวกระดูกที่หักยังคงรักษาได้ด้วยเฝือก ไม่ต้องดามเหล็ก”
“ครับ?”
“เดี๋ยวผมจะใส่เฝือกให้นะ แขนของคุณยังคงรักษาได้ด้วยเฝือกอ่อน ตอนจัดกระดูกให้เข้าที่ เจ็บนิดเดียวไม่ต้องกังวลนะครับ” คุณหมอหนุ่มพูดกับผม เขาส่งยิ้มให้คงหวังจะให้ผมคลายความกังวล แต่มันเหมือนไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นเท่าไรนัก เพราะคำว่า ผมแขนหัก ยังคงดังอยู่ในหัวซ้ำไปซ้ำมา
คำแรกที่ผมนึกถึงหลังได้ยินคุณหมอบอกว่าผมแขนหัก นั่นก็คือคำว่า ‘ฉิบหายแล้ว’
แขนหักใคร ๆ ก็เป็นได้ มันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ตอนนี้ผมไม่พร้อมที่จะแขนหักหรือพักรักษาตัวอะไรทั้งนั้น เพราะผมมีสอบกลางภาค มันสำคัญต่อตัวผมและไม่ใช่เวลาที่ผมจะต้องหยุดเรียนเพื่อพักรักษาตัวสักหน่อย
ที่ผมกระดูกต้นแขนหัก เหตุเกิดจากความสะเพร่าและไม่ทันได้ระวังตัวของผมเอง ผมลื่นล้มอย่างไร้เหตุผล ไม่รู้ตัวซ้ำว่าอะไรทำให้ผมลื่น รู้ตัวอีกทีร่างของผมก็กระแทกพื้นซีเมนต์อย่างแรงเสียแล้ว
ผมมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก พอพยุงตัวขึ้นมาได้ ผมก็ได้เห็นว่าแขนข้างซ้ายของตัวเองพลิกไปอีกทาง มันดูสยองอย่างบอกไม่ถูก ไม่คิดด้วยซ้ำว่ามันจะเกิดขึ้นกับผมและสุดท้ายผมก็ต้องรีบมาโรงพยาบาลเพื่อที่จะได้ยินคุณหมอบอกว่าผมแขนหัก
“แล้วผมต้องใส่เฝือกนานแค่ไหนเหรอครับ” ผมเอ่ยถามเขาระหว่างรอให้เจ้าตัวและพยาบาลเตรียมอุปกรณ์เข้าเฝือกให้กับผม
“น่าจะเดือนกว่า ๆ นะครับ”
“ครับ?” พอได้ยินคำตอบของคุณหมอ ผมก็ถึงกับร้องห้ะในใจ ผมรู้ว่าคนกระดูกหักจะต้องเข้าเฝือก แต่ผมไม่เคยรู้ว่าต้องเข้าเฝือกนานขนาดนี้ มันนานเกินไปสำหรับผม เพราะผมมีอะไรหลาย ๆ อย่างที่ต้องจัดการด้วยตัวเอง นี่แสดงว่าระหว่างเดือนกว่า ๆ นี้ ผมต้องใช้ชีวิตด้วยมือข้างเดียวงั้นสิ เพียงแค่รู้อย่างนั้นผมก็มองเห็นอุปสรรคครั้งใหญ่ของตัวเองแล้ว
เจ็บนิดเดียวที่คุณหมอบอก….มันไม่มีจริง
หากใครบอกว่าการจัดกระดูกเจ็บนิดเดียว ผมจะด่าให้….คุณหมอโกหกผม มันไม่ได้เจ็บนิดเดียวแต่มันเจ็บมากต่างหาก เป็นครั้งแรกที่ผมน้ำตาซึมอย่างไม่อาย ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากเช็ดน้ำตาตัวเองอย่างลวก ๆ
ตอนนี้ผมเข้าเฝือกเสร็จแล้วและกำลังรอให้คุณหมอเขียนใบรับรองแพทย์ให้ ระหว่างนั้นผมก็นั่งมองแขนที่เพิ่งเข้าเฝือกหมาด ๆ อย่างหลากหลายความรู้สึก มันใหญ่มาก….เห็นแล้วรู้สึกเป็นตัวตลกอย่างบอกไม่ถูก เหมือนคนมีกล้ามข้างเดียว
“อันนี้เป็นใบรับรองแพทย์นะครับ ส่วนนี้เป็นเอกสารต่าง ๆ ที่คุณสามารถเอาไปเบิกกับประกันได้ มียาแก้ปวดและยาพาราฯด้วยนะ คุณต้องลาเจ็ดวัน ระหว่างนี้แขนมันจะบวมมาก ๆ ระวังเวลาเคลื่อนไหวด้วยนะครับ ทางที่ดีขยับตัวให้น้อยที่สุดน่าจะดีกว่า” หลังจากนั้นคุณหมอก็อธิบายยตัวยาต่าง ๆ และการปฏิบัติตัวสำหรับคนแขนหักอย่างผมสองสามประโยค
“ส่วนนี่เป็นใบนัดนะครับ”
“ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยขอบคุณคุณหมอพร้อมกับรับใบนัดนั้นมาดู
“กลับบ้านได้แล้วนะครับ เจอกันสัปดาห์หน้า” หลังจากให้เอกสารและอธิบายตัวยาต่าง ๆ ให้เสร็จ คุณหมอก็ว่าต่อพร้อมกับส่งยิ้มให้ผม รอยยิ้มตาหยีของคุณหมอก็ทำเอาผมชะงักไปครู่หนึ่ง
ตอนแขนหักใหม่ ๆ มันไม่ค่อยเจ็บเท่าไร ยกเว้นตอนจัดกระดูก จะออกแนวปวด ๆ มากกว่า แต่พอผมกลับถึงห้องพัก แขนที่เพิ่งหักหมาด ๆ ของผมก็เริ่มแสดงฤทธิ์เดชออกมา รู้สึกปวดระบมจนอยากจะร้องไห้ หลังจากโทรหาครอบครัว แจ้งข่าวเรื่องผมแขนหักให้พวกเขาได้ทราบเสร็จ ผมก็ไม่รอช้ารีบกินยาแก้ปวดที่คุณหมอให้มาทันที
คนที่เพิ่งแขนหักเป็นครั้งแรกอย่างผม แค่คืนนี้แรกผมก็ชักหงุดหงิดตัวเองเสียแล้ว เพราะไม่สามารถพลิกตัวได้อย่างอิสระอย่างเช่นทุกที ผมไม่สามารถนอนเต็มอิ่มได้อย่างทุกคืน อิสระของผมถูกจำกัดลง ขยับตัวแต่ละทีผมก็ได้ยินเสียงกระดูกแขนกระทบกันแล้วตามมาด้วยอาการปวดแขน
หลายครั้งที่ผมขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ ถึงจะไม่ชอบที่มันเป็นแบบนี้ แต่ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากอดทน ภาวนาให้ฝันร้ายนี้สิ้นสุดเร็ว ๆ
ความเจ็บปวดมาทักทายผมทันที เมื่อผมรู้สึกตัวในวันต่อมา สิ่งแรกที่ผมทำคือเอื้อมมือไปหยิบเจ้าโทรศัพท์ ใจไม่ได้จะลาแต่ก็ต้องลา เพราะสังขารผมในตอนนี้ ไม่พร้อมที่จะไปมหา’ลัยจริง ๆ
โชคดีที่ในปัจจุบันมนุษย์เราสามารถติดต่อสื่อสารกันแบบออนไลน์ได้ ทำให้ผมสามารถส่งข้อความไปบอกอาจารย์แต่ละวิชา ขอลาป่วยพร้อมกับถ่ายหลักฐานใบรับรองแพทย์ไปให้พวกท่านทั้งหลาย บอกว่าผมแขนหักจริง ๆ มันเป็นเหตุสุดวิสัยจริง ๆ
หลังจากลาอาจารย์แต่ละวิชาและอาจารย์เริ่มทยอยตอบกลับมาบ้างแล้ว ผมก็นอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียงอย่างคนไม่รู้จะทำอะไร ตามคำแนะนำของหมอที่บอกกับผมว่าข่วงนี้ผมอย่าเคลื่อนไหวบ่อย ๆ น่าจะดีที่สุด
ผมไม่ยอมปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ เพราะไม่มีอะไรทำ ผมจึงเลือกที่จะเปิดเว็บ อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพวกกระดูกหัก อ่านเกี่ยวพวกกระทู้แชร์ประสบการณ์เข้าเฝือก เพราะหวังว่าผมจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง ได้รู้ว่าผมต้องกินอะไร ปฏิบัติตัวอย่างไร ถึงได้จะหายเร็ว ๆ
การใช้ชีวิตด้วยมือข้างเดียวครั้งแรกของผม มันเป็นไปด้วยความทุลักทุเล แน่ล่ะ…มนุษย์เรามีมือสองข้างเพื่อที่จะอำนวยความสะดวกให้กับชีวิตตัวเอง พอมือข้างหนึ่งใช้งานไม่ได้ชั่วคราว มันก็ย่อมทำให้การใช้ชีวิตลำบากขึ้นเป็นธรรมดา
แขนหักก็ว่าแย่แล้ว แต่ตอนนี้ผมต้องมาหนักใจกับมือตัวเองอีก เพราะตอนนี้มือของผมมันบวมขึ้นนิดหน่อยและดูเหมือนเริ่มมีรอยช้ำม่วงขึ้นมาด้วย สภาพไม่ค่อยน่ามองเท่าไรนัก ขนาดผมที่เป็นเจ้าของร่างกายยังไม่อยากจะมองมันเลย
สัปดาห์แรกของการแขนหัก เป็นสัปดาห์ที่ยากที่สุดสำหรับผม เพราะผมต้องคิดหาวิธีอาบน้ำอย่างไรไม่ให้น้ำโดนเฝือกอีกข้าง โชคดีที่แขนหักข้างซ้าย ถ้าหักข้างขวา ข้างที่ผมใช้เขียนหนังสือ ใช้จับปากกา ผมคงจะรู้สึกไร้ประโยชน์มากกว่านี้
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปไว้อย่างโกหก ในที่สุดก็ถึงวันที่ผมจะได้พบหมออีกครั้ง ผมมีความสงสัยมากมายที่อยากจะถามคุณหมอให้หายข้องใจ เนื่องด้วยโรงพยาบาลนี้เป็นของรัฐบาล คนไข้ย่อมเยอะกว่าโรงพยาบาลเอกชนอยู่แล้ว นั่นทำให้ผมต้องต่อคิวนานกว่าที่คิด แต่เพราะไม่มีธุระที่จะต้องไปไหนต่อ ผมจึงสามารถรอนัดได้อย่างสบาย ๆ แม้การรอคอยนี้จะน่าเบื่อมากก็เถอะ
เมื่อถึงเวลาที่ผมต้องเข้าห้องตรวจ ภาพในความคิดและความเป็นจริงแตกต่างจากที่ผมคิดไว้นิดหน่อย ผมยังเจอคุณหมอคนเดิมที่เข้าเฝือกให้ เขานั่งอยู่ในห้องตรวจ แต่คราวนี้เขาไม่ได้สวมใส่เสื้อกาวน์เหมือนอย่างวันนั้นอีกแล้ว แต่อยู่ในชุดสุภาพเหมือนพนักงานออฟฟิศแทน
เขาไม่ได้นั่งอยู่ในห้องตรวจเพียงลำพัง แต่เขากำลังนั่งอยู่กับหมอที่ใส่เสื้อกาวน์สั้นในห้องตรวจเดียวกันอีกสองคน นั่นทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่าเขาคืออาจารย์ เขาส่งยิ้มให้กับผม….และผมก็ชะงักกับรอยยิ้มเขาอีกครั้ง
ความจริงที่ได้รู้ ผมแอบตกใจนิดหน่อย แต่ยังไม่ขั้นออกอาการอะไร ผมก็แค่แปลกใจว่าหน้าเขายังละอ่อนอยู่เลย พอรู้ว่าเขาเป็นอาจารย์สอนแล้ว ผมก็เริ่มอยากรู้แล้วสิว่าเขาอายุเท่าไรกันแน่
“สวัสดีครับ เป็นยังไงบ้าง”
“แย่ครับ ผมไม่ชินเลย” ผมพูดตามตรงนั่นทำให้คุณหมอหนุ่มหลุดหัวเราะออกมานิดหน่อย
“เดี๋ยวผมขอเช็กเฝือกหน่อยนะ”
“คุณหมอครับ ผมใส่ชุดนักศึกษาไม่ได้ จะเป็นอะไรไหม ถ้าผมอยากให้ลดขนาดเฝือก….” ระหว่างที่เขากำลังจับเฝือก ตรวจดูอาการบวมของแขน ผมก็พูดสิ่งที่ต้องการออกไป
“ไม่ได้ครับ!” ยังไม่ทันได้เอ่ยจบประโยคดี คุณหมอก็รีบพูดแทรกขึ้นเสียงดังฟังชัด จนผมเผลอสะดุ้งกับเสียงของเขา ดูเหมือนเขาจะไม่พอใจในสิ่งที่ผมพูดเท่าไรนักราวกับว่าผมพูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูดออกมา
“แต่ผมมีสอบนะครับ จะไปสอบก็ต้องแต่งชุดให้ถูกระเบียบ ถ้าเป็นแบบนี้ผมคงใส่ชุดนักศึกษาไม่ได้….” ผมพูดเหตุผลของตัวเอง หวังว่าจะให้คุณหมอเปลี่ยนใจ
“อาจารย์เขาต้องยอมครับ มันเป็นเหตุสุดวิสัย ผมลดขนาดเฝือกให้ไม่ได้” คราวนี้คุณหมอเริ่มพูดเสียงห้วน ทำให้ผมเงียบไป เริ่มหนักใจขึ้นมาสัปดาห์หน้าผมมีนัดสอบกลางภาคอีกสองสามวิชา ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วผมจะทำยังไง
“……”
“เฮ้อ….เอางี้แล้วกัน ผมจะส่งตัวคุณไปแผนกเวชศาสตร์ฟื้นฟู ให้เขาลองทำFunctional brace มันน่าจะสะดวกกว่าตอนนี้”
สุดท้ายคุณหมอก็ถอนหายใจออกมาอย่างระอา เขาจะสั่งทำอะไรสักอย่างให้กับผม ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดคืออะไร แต่ที่แน่ ๆ มันคงดีกว่าที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้ นั่นจึงทำให้ผมถึงกับยิ้มออกมา
เมื่อผมตกลงจะเอาอย่างนั้น คุณหมอก็จัดการเขียนเอกสาร ข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาของผมเพื่อที่จะส่งตัวผมไปอีกแผนก ไปทำอุปกรณ์ที่เขาเสนอให้ ตอนแรกผมคิดว่าตัวเองมองเขาผิดไป เขาไม่ได้ใจดีอย่างที่คิด
แต่เปล่าหรอก….เขาใจดีจริง ๆ
ความรู้สึกดี ๆ ที่มีต่อคุณหมอเติบโตขึ้นในใจผมอย่างช้า ๆไร้ซึ่งที่มาที่ไป มันเป็นดอกกุหลาบที่เติบโตขึ้นกลางใจผมด้วยความงุนงง ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ความคิดของผมมีแต่เรื่องของเขา ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ผมเริ่มกาปฏิทินนับถอยหลังรอให้ถึงวันที่เราจะเจอกันอีก
รอยยิ้มหวาน ๆ คุณหมอเป็นภาพที่ผมจำได้แม่น จู่ ๆ ก็เกิดความโลภขึ้นมา อยากจะเห็นรอยยิ้มหวาน ๆ นั้นอีกสักครั้ง อยากจะได้ครอบครอง
ตอนที่เห็นคุณหมอยิ้ม ผมรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก แก้มของผมร้อนผ่าว ใจเต้นแรงเล็กน้อยและเหมือนจะเสียอาการไปครู่หนึ่ง นี่ถ้าได้มีโอกาสเห็นมันอีก ผมก็อยากจะส่งยิ้มกลับไปให้เขา จะไม่ชะงักเหมือนอย่างสองครั้งแรกอีกแล้ว
ผมตัดสินใจไม่ทำอุปกรณ์ หลังแผนกที่คุณหมอส่งไปโทรมาแจ้งว่าอุปกรณ์ที่มีอยู่ไม่เพียงพอที่จะทำให้ของที่ผมต้องการ แต่ถ้าผมต้องการ เขาจะส่งตัวผมไปอีกโรงพยาบาลในเครือเดียวกัน ซึ่งวินาทีนั้นผมตัดสินใจไม่ทำแล้ว เนื่องด้วยปัจจัยอะไรหลาย ๆ อย่าง ทำให้ผมไม่สะดวกที่จะไปโรงพยาบาลอื่น
“แผนกที่คุณหมอส่งไป เขาบอกว่าอุปกรณ์ไม่พอครับ จะส่งผมไปอีกโรงพยาบาลหนึ่ง….มันเลยตัดสินใจไม่ทำ” ผมแจ้งข่าวกับคุณหมอและบอกการตัดสินใจใหม่ของตัวเอง หลังวัน เวลา เวียนมาถึงวันนัดของเราอีกแล้ว
การพบกัน ณ ห้องตรวจครั้งนี้ ผมได้เจอทั้งคุณหมอยิ้มสวย(ผมแอบตั้งชื่อให้เขา)และได้เจอคุณหมออีกสองคนที่เคยเจอไปเมื่อสัปดาห์ก่อน
“เหรอครับ ตอนนั้นผมก็เคยส่งไปนะ เขาเคยทำได้นี่นา” คุณหมอพูดเสียงแผ่วคล้ายจะพูดกับตัวเอง “แล้วตกลงคุณจะไม่ทำแล้วใช่ไหม”
“ครับ ไม่ทำแล้วครับ” ผมว่าอย่างแน่วแน่ “กว่าจะได้อุปกรณ์ บางทีตอนนั้นผมอาจถอดเฝือกแล้วก็ได้”
“มันก็จริงอย่างที่คุณว่า อืม….ดูจากผลเอกซเรย์วันนี้ก็ไม่มีอะไรนะครับ กระดูกยังไม่ติดเหมือนเดิม แต่ร่างกายเริ่มสร้างอะไรมาหุ้มตรงจุดที่หักแล้ว เห็นไหมครับ?” คุณหมอเขยิบเข้ามาใกล้ เขาอธิบายแผ่นฟิมล์ให้ผมฟัง วินาทีนั้นผมก็หูอื้อตาลาย อะไรที่เขาอธิบายก็ไม่ค่อยเข้าหูอย่างที่ควรจะเป็น คุณหมอขยับเข้าหาและผละออกอย่างเป็นปกติ มีแต่ผมนี่แหละที่เป็นบ้า เป็นหลังอยู่เพียงลำพัง
“เจอกันอีกทีคือสามสิบวันข้างหน้านะครับ ตอนนี้เฝือกไม่มีปัญหาอะไรแล้ว รอแค่ให้กระดูกคุณติดก็พอ แล้วตอนนี้คุณยังมีอาการปวดแขนอยู่ไหม อยากได้ยาแก้ปวดเพิ่มหรือเปล่า”
“ไม่ครับ ไม่ปวดแขนแล้วครับ”
“แน่นะครับ” คุณหมอถาม
“แน่ครับ ผมไม่ได้กินยาแก้ปวดมาสักพักแล้ว” ผมตอบคุณหมอเขาเสียงนุ่ม “อะ…เอ่อ คุณหมอครับ ถ้าผมกินแคลเซียม มันจะช่วยไหมครับ” พอรู้ว่าเวลาของตัวเองใกล้จะหมดแล้ว ผมก็แสร้งเป็นหนูจำไม ถามคุณหมอทั้ง ๆ ที่รู้คำตอบดี
“จะกินก็ได้นะครับ ผมก็กินอยู่เป็นประจำ คุณอยากได้ไหมล่ะ”
“อยากได้ครับ”
“งั้นหมอจะสั่งแคลเซียมกับวิตามินดีให้แล้วกัน ….อ้อ! แต่ก่อนจะไปเดี๋ยวผมจะจัดท่าวางแขนให้ใหม่นะ ถ้ามือคุณลงต่ำแบบนี้ตลอดเวลา มือคุณก็จะบวมนะครับ เพราะเลือดมันไม่ไหวเวียน”
“ขอบคุณมากนะครับ” ผมเอ่ยขอบคุณคุณหมอ หลังเขาจัดท่าวางแขนผมให้ใหม่และวันนี้นัดของเราก็ได้เสร็จสิ้นแล้ว
“ครับ แล้วเจอกันนะ”
“ครับ แล้วเจอกัน”
การไปหาหมอในครั้งนี้ทำเอาผมรู้สึกเป็นบ้ายิ่งกว่าทุกครั้ง แม้นัดครั้งหน้าเราจะเจอกันอีกทีคือเดือนหน้าก็ตาม แต่ผมก็ยังดีใจอยู่ดี ผมเดินยิ้มออกมาจากห้องตรวจราวกับว่ามีเรื่องที่น่ายินดี ทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไร
ผมคิดว่าตัวเองเป็นบ้าไปแล้ว…..
พอกลับมาถึงห้องพัก ผมถึงรู้สึกว่าได้กลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง หลังหัวใจมันไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสักพักใหญ่ เมื่อกลับมาถึง ผมก็เปิดดูตารางนัดของคุณหมอทันที เช็กว่าเขานัดผมอีกทีวันไหน ก่อนที่จะเริ่มกาปฏิทินนับถอยหลัง รอวันที่ได้พบเขาอีกครั้ง
ในค่ำคืนเดียวกันนั้น ด้วยความที่ผมว่าง เรื่องเรียนก็ไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วงแล้ว ผมจึงเล่นอินเทอร์เน็ต ท่องโลกออนไลน์ไปเรื่อยเปื่อย จู่ ๆ ก็มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัว นึกสงสัยว่าคุณหมอยิ้มสวยคนนั้นเล่นโซเชียลกับเขาบ้างไหม
เมื่อคิดได้เช่นนั้นผมก็ไม่รอช้า รีบเสิร์จหาชื่อของเขาทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษทันที ถ้าเขาใช้ชื่อจริงก็คงดีหน่อย แต่ถ้าหากใช้นามแฝง มันคงเป็นเรื่องยากที่ผมจะหาเจอ เพราะผมไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับคุณหมอเขาเลย ขนาดเรื่องรสชาติกาแฟที่เขาชอบผมยังไม่รู้ เรื่องความชอบส่วนตัว นามแฝงที่เขาใช้ประจำ ผมคงจะรู้อยู่หรอก
ขณะที่พิมพ์ชื่อเขาแต่ละตัวอักษร ผมก็ภาวนาขอให้เขาไม่ใช้นามแฝงไปด้วย จังหวะที่พิมพ์ชื่อคุณหมอตัวสุดท้ายเสร็จแล้วค้นหา หัวใจของผมก็เต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ ในเวลาต่อมา…กลีบปากของผมก็ขยับกลายเป็นรอยยิ้ม เมื่อผมเจอเฟซบุ๊คเขาแล้ว
ผมไม่รอช้า รีบกดเข้าไปดูด้วยความไวแสง เราไม่มีเพื่อนร่วมกันเลยสักคน นี่หลักฐานชั้นดีว่าเราอยู่คนละสังคมกัน
คนละสังคมในที่นี้ ผมไม่ได้ถึงชนชั้น แต่หมายความว่าเราอยู่สังคมคนละสาย หากผมเรียนจบ ผมก็คงอยู่ในสายงานเบื้องหลัง ทำภาพยนตร์ ทำละคร ส่วนเขาก็อยู่ในสายงานโรงพยาบาล สายวิชาการสาขาที่เขาสอน
ถึงเราจะไม่มีเพื่อนร่วมกัน แต่ผมก็ยังสามารถส่งคำขอเป็นเพื่อนกับเขาได้ นั่นทำให้ผมเกิดความลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ผมไม่แน่ใจว่าสมควรส่งคำขอเป็นเพื่อนไปดีหรือเปล่า จะดูล้ำเส้นคุณหมอไปไหมและสิ่งที่หวั่นใจมากที่สุดคือผมกลัวว่าเขาจะไม่กดรับ เผลอ ๆ อาจจะกดปฏิเสธเลยด้วยซ้ำ
…..สุดท้ายผมจึงตัดสินใจไม่กด มองความเคลื่อนไหวของคุณหมออย่างเงียบ ๆ ก็พอ
วันเวลาผ่านไปเกือบสองสัปดาห์….หลายคืนที่ผมตื่นขึ้นมากลางดึก เพราะอาการคันในเฝือกเกินจะทนไหว ผมรู้มาว่าการเข้าเฝือกจะทำให้คัน เพราะแขนด้านที่ใส่เฝือกมันไม่ถูกทำความสะอาดมานาน แต่ผมไม่คิดว่ามันจะคันถึงขนาดนี้
แย่หน่อย….ที่ผมมาแขนหักในช่วงฤดูร้อนพอดี ความอับชื้นและเจ้าเฝือกไม่ค่อยถูกกันเท่าไรนัก พอเกิดขึ้นช่วงหน้าร้อนมันยิ่งหนักเข้าไปอีก มันทำให้ผมรู้สึกทรมานอย่างบอกไม่ถูก กลายเป็นว่าจากที่นับถอยหลังรอเจอคุณหมออย่างเดียว ผมก็ต้องมานับถอยหลังรอถอดเจ้าเฝือกเน่า ๆ นี่ด้วย
ผมเกาแขนทุกครั้งที่มีโอกาส พยายามยื่นปลายปากกาเข้าไปเกามัน หากทำได้ การกระทำแบบนี้มันไม่สมควรอย่างยิ่ง การที่ทำแบบนี้อาจทำให้เฝือกเคลื่อนได้ ผมรู้….แต่ก็อดใจไม่ได้อยู่ดี
ไม่ใช่ผมไม่อดทน หลายคืนที่ผมนอนกัดฟัน ไม่เกามัน แต่ก็มีหลายครั้งที่ทนไม่ไหว แขนใช้งานไม่ได้ไม่พอ นี่ยังต้องมาทนกับอาการคันอีก ผมเกลียดช่วงเวลานี้ที่สุด มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนตกนรก
เหตุการณ์แบบนี้ฉายวน คืนแล้วคืนเล่า จนในที่สุดผมก็อดทนไม่ไหวอีกต่อไป….
จะถามใครก็คงไม่มีใครรู้เรื่องผมเท่าคุณหมอเจ้าของเคสอีกแล้ว คุณหมอคือความหวังเดียวของผม นั่นจึงทำให้ผมรวบรวมความกล้า กดส่งคำขอเป็นเพื่อนกับเขาและส่งข้อความไปหาแจ้งอาการทันที ผมอยากรู้ว่าตัวเองสามารถเปลี่ยนเฝือกได้ไหม อาจเพราะมันสภาพเยินเกินไปก็ได้ ผมถึงได้คันแบบนี้
จังหวะที่กดส่งข้อความไปหา ใจของผมเต้นระส่ำอย่างไม่บอกถูก นั่งลุ้นว่าเขาจะตอบหรือเปล่า ผมเลิกสนใจโทรศัพท์ชั่วคราว เพราะกลัวตัวเองจะเป็นประสาท ผมพยายามไปทำกิจกรรมอย่างอื่นที่คนแขนหักเขาพอจะทำได้ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องหมกหมุ่นกับมันมากเกินไป
ไม่ถึงชั่วโมง เสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ผมรีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดู เพียงแค่เห็นการแจ้งเตือนว่าเขาตอบรับคำขอของผมแล้ว ผมก็แทบกรี๊ดออกมาอย่างกับผู้หญิง หัวใจของผมเต้นโครมครามยิ่งกว่าทุกครั้ง เพียงไม่นาน เขาก็ตอบรับข้อความของผม
เขาบอกให้ผมเข้าไปหาที่โรงพยาบาล เขาจะตรวจดูให้ว่ามีบาดแผลหรืออับชื้นอะไรหรือเปล่า ส่วนจะได้ทำเฝือกใหม่ไหมก็ต้องดูกันอีกที แม้จะเป็นแค่การตอบกลับธรรมดา ๆ แต่ทุกตัวอักษรที่เขาพิมพ์ล้วนมีอิทธิพลต่อหัวใจผมทั้งนั้น…..
สิ่งหนึ่งที่ผมได้รู้หลังจากทเขาตอบรับเป็นเพื่อนแล้วนั่นก็คือการรู้ว่าเขาโสด….
คนอื่นอาจไม่ชอบมาโรงพยาบาล ผมเองก็เช่นกัน แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา นอกจากจะเข้ามาให้คุณหมอเช็กเฝือกเน่า ๆ ของตัวเองแล้ว ผมก็มาเพราะอยากเจอเขาด้วย
“กระดูกคุณเริ่มติดแล้วนะ อาจยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ถือว่าดีมากแล้ว”
“…..”
“ถอดเฝือกเลยก็แล้วกัน มันคันมากใช่ไหม” คุณหมอพูดพึมพำพร้อมกับพลิกเฝือกผมไปมา
“ครับ? ถอดเลยเหรอครับ” ผมถามคุณหมอด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าการมาครั้งนี้จะทำให้ผมได้ถอดเฝือกเร็วกว่ากำหนด
“ถอดได้แล้วล่ะ” คุณหมอไม่ว่าเปล่า แต่ยังขยับตัวเข้ามาใกล้ ช่วยกันกับหมออีกคนค่อย ๆ แกะผ้าพันเฝือกผมออกและแกะเฝือกออกในเวลาต่อมา พอได้เห็นสภาพแขนตัวเอง ผมก็รู้แล้วแหละว่าทำไมมันถึงได้คันหนักหนา
“เฮ้อ…ข้อศอกยึดจนได้สินะ”
“หมอครับ ผมเจ็บ” ผมร้องออกมาเบา ๆ เมื่อหลังจากถอดเฝือกแล้ว คุณหมอก็จับเข้าที่แขนผมในทันที แขนข้างที่เพิ่งถอดเฝือกมาหมาด ๆ มันดูไร้เรี่ยวแรงอย่างบอกไม่ถูก ผมรู้สึกเจ็บจนเผลอทำหน้าเหยเกและถึงแม้ว่าจะผมจะส่งเสียงร้อง คุณหมอก็ไม่คิดจะปล่อยมือจากแขนเน่า ๆ ของผม
“ต้องทำกายภาพนะ ระหว่างนี้ต้องใช้ที่คล้องแขนพยุงมันไปก่อน” คุณหมอว่าก่อนจะค่อย ๆ จับแขนของผมงอขึ้นอย่างช้า ๆ มันทั้งเจ็บและเสียวในเวลาเดียวกัน
“ต้องทำกายภาพแบบนี้นะ ทำทุกวัน แขนคุณคงดีขึ้น” คุณหมออธิบายท่าทำกายภาพให้ผมฟัง แต่ผมกลับไม่ค่อยได้ฟังเท่าไรนัก เพราะผมมัวแต่จ้องหน้าเขา มองดูคุณหมอในระยะใกล้ ๆ
ผมชอบเขาจัง….
แค่เขามองผมด้วยสายตาธรรมดา ๆ ผมก็สามารถใจเต้นแรงได้ ทุกการกระทำของเขา มีอิทธิพลต่อผมเสมอ หากวันนี้เขาใจดีอยู่แล้ว เจอกันครั้งหน้าเขาจะใจดีขึ้นกว่าเดิมอีก มันเพิ่มขึ้นพร้อม ๆ กับความรู้สึกดี ๆ ที่ผมมีต่อเขา รู้ตัวอีกทีผมก็ตกหลุมรักเขาไปแล้ว….ตกหลุมรักอย่างบ้าคลั่งเลยล่ะ
นัดของผมคือสามสิบวันข้างหน้า ผมออกจากห้องตรวจด้วยความรู้สึกที่ชัดเจน มันไม่ถูกต้องเลย ผมไม่ควรรู้สึกเช่นนี้ แต่มันเกิดขึ้นไปแล้ว มันควบคุมมันไม่ได้
ผมเป็นคนตื่นสาย แต่ผมกลับวาดฝันว่าอยากจะทำอาหารมาส่งให้เขาทุกตอนกลางวัน ผมทำอาหารไม่เก่ง แต่ถ้าผมได้คบกับเขา ผมก็จะไปเรียนทำอาหารเพื่อมาทำอาหารให้เขาทานโดยเฉพาะ…
เราเจอกันตอนผมแขนหักและจากกันเมื่อผมแข็งแรงดีแล้ว…. มันกลายเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสำหรับผม เพราะหลังจากนี้ผมจะไม่มีข้ออ้างมาเจอเขาอีก พอรู้เช่นนั้นผมก็ใจหายอย่างบอกไม่ถูก
เจอกันครั้งสุดท้ายของเรา ผมเอาบราวนี่มาฝากคุณหมอเขาด้วย ตั้งใจจะให้ไว้ทานคู่กับกาแฟยามเช้า ในวินาทีที่จะออกจากห้องตรวจ ผมก็ฮึกเหิม รวบรวมความกล้าสารภาพรักเขาออกไปอย่างไม่อาย
“ไม่ได้หรอกนะ….คุณคือคนไข้ของผม มันผิด”
“…….”
“อย่าคิดเกินเลยกับผมเลย มันไม่ดีต่อตัวคุณหรอก”
“…….”
“คุณยังต้องเจอคนอีกมากมาย…..” ผมยิ้มรับ ทั้งเสียใจและเข้าใจคุณหมอที่รักในเวลาเดียวกัน พอได้เห็นสีหน้าลำบากใจของคุณหมอแล้ว ผมก็รู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก ไม่น่าสารภาพรักเลย ถ้าผมไม่พูดมันออกไป ถ้าผมเลือกที่จะเก็บมันไว้ในใจ เขาคงไม่ต้องมายืนทำหน้าลำบากใจเช่นนี้
“ครับ ขอบคุณมากครับ….และก็ไม่เป็นไรครับ” นั่นเป็นประโยคเดียวที่ผมพอจะนึกออกในเวลานั้น
เขาทำให้ผมรู้สึกความรัก ทำให้ช่วงเวลาตลอดสองเดือนที่ผ่านมานี้มันเป็นสีสัน อาจเพราะจรรยาบรรณแพทย์ที่ค้ำคอเขาอยู่ อาจเพราะเขาไม่ได้รักผมตั้งแต่แรก เพราะผมเป็นคนไข้จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่…..
ความรักครั้งนี้….ผมไม่ได้เป็นเจ้าของมันTalk....แขนหักมา ได้เรื่องสั้นเลยค่ะ ฮ่า ๆเราเอาเคสตัวเอง เหตุการณ์ต่างๆมาเขียน มาเสริมเติมแต่งจนกลายเป็นนิยายเรื่องสั้น ฝากด้วยนะคะ เลิฟ