Chapter 2
[/size]
“เฮ้ยดำๆ” เสียงไอ้นั่นมันร้องเรียกเพื่อนมันล่ะครับ ผมไม่ได้หันไปมอง เดินไปที่ร้านโกขายกาแฟหน้า บขส
“กินกาแฟก่อนเสี่ยว นี่อ้ายอยู่บ้านท่าของ” มันแนะนำให้รู้จักกับอีอ้วนครับ
“ว้าย ดำ ฮู้จักกันแล้ว เป็นเสี่ยวกันติ๊” อีอ้วนทำเสียงสูงท่าทางดีใจ บิดตัวประหนึ่งว่าเอวนางบางมาก ไอ้คนชื่อดำตัวสูงใหญ่กว่าไอ้ทหารอีกครับ ท่าทางล่ำสันทีเดียว
“นี่อ้ายเว” จะมาแนะนำทำไมวะ ไอ้ดำมันแค่พยักหน้าครับ ผมก็แค่พยักหน้า แต่กับอีอ้วนมันยกมือไหว้ ผมคงดูไม่น่าเคารพนับถือมั้ง
“ฟ้าวเมือๆ เฮาสิลงไปฮุด (ไถดะ) นาอยู่เด้ สวยๆ (สายๆ) จั่งไปสิซ่อยงาน” ไอ้คนชื่อดำบอกออกมา
“เออน่า คราวเดียวท่อนล่ะ คองตา (เพิ่งจะ)มาฮอดหนึ่งแหม่ะ ให้เซาเมื่อยซะก่อนแน่ห่ามึง นั่งๆ กินกาแฟซะก่อน เฮาสิไปซ่อยไถดอกน่า” ไอ้ทหารมันตบบ่าเพื่อนตัวสูงดำสมชื่อของมันครับ
“ศรีๆ ดำเนี่ย เป็นที่หมายปองของนังก.ทั่วตำบล บ่มีผู่สาว โสด ดู๋(ขยัน)คั่ก แต่ทุกข์อยู่ เฮากะอยากสิกินเพิ่นมาโดนแล้ว อิอิ มักเขาอ่ะเธอ” เอ่อ อีอ้วนมันเข้ามากระแซะผมครับ เกินไปแล้วอีนาง
“กินกาแฟนำกันก่อนติ๊ล่ะดำ อีแม่เป็นจั่งได๋ล่ะ ซำบายดีบ่จ้า” อีอ้วนมันจีบปากจีบคอ ทำตาเล็กตาน้อยถาม
“ดีอยู่” มันตอบห้วนๆครับ สีหน้านี่ไม่เอาใครเลย ผมนึกหมั่นไส้มันขึ้นมา แต่ก็ไม่สนใจยกแก้วกาแฟร้อนขึ้นซด
“พรวด โอ้ย โก ฮ้อนแท้” เอ่อ คือไม่ทันดูพรวดออกมา อายสิ
“เอ้า กะสั่งกาแฟฮ้อนเนาะ เป่าก่อนติ๊ล่ะหล่า มันกะลวกปากซั่นตั้ว” เอ่อ โกแกได้ยินครับ เพื่อนสาว ไอ้ทหารรวมถึงไอ้ดำ หัวเราะเยาะผม เบะปากอีกต่างหาก
“จั่กไผฟ้าวเนาะ ว่าแม่นบักดำเสี่ยวผม อ้ายกะฟ้าวติ๊” ไอ้ทหารมันแซวครับ
“ฟ้าวล่ะเนาะ มาฮอดบ้านแล้ว บ่อยากมาเลาะอยู่โดน เสียเวลา” ผมตอบมัน
“ว่าแต่มาจั่งได๋ล่ะผู่สาว” มันไม่สนใจผมครับ หันไปหาอีอ้วน
“เพิ่นเอารถกระบะมาฮับ เมือนำกันบ่ล่ะผู่บ่าว อิอิ” อีนี่ก็นะ ประหนึ่งว่าโดนผู้ชายจีบอยู่ บิดซะตัวจะเป็นเกลียวอยู่แล้ว ผมล่ะหน่าย อายก็อายแต่ก็ต้องทำหน้าเชิ่ดๆไว้
“บ่เป็นหยังดอก หมู่เอารถมาฮับ”
“มึงสิเมือนำเพิ่นกะได้เด้อบักนุ รถกูมันฮ้างๆ ซั่นกูเมือก่อนเด้อ” ไอ้นั่นมันเหมือนไม่พอใจครับ มันลุกขึ้นทันที
“เอ้าๆ บักห่านี่ เออๆ อ้ายๆ ผมไปก่อนเด้อครับ มื้อแลงสิเลาะไปเล่นนำเด้อ” มันร้องบอกผมครับ ผมก็ไม่สนใจ
“เคียดซ่ำผู้บ่าว” อีอ้วนมันพูดออกมา สายตาละห้อย
“เคียดหยัง” ผมถามไปงั้นล่ะครับ
“เคียดตั้ว บ่น่าเว้าเลยเฮา เพิ่นทุกข์เด้ล่ะเฮือนเพิ่น เฮียนกะจบ ม.๖ บ่เฮียนต่อ ออกมาเฮ็ดนาซ่อยแม่ เพิ่นยังแม่อยู่ผู้เดียว บ่สุงสิงกับไผ ไปแต่นา” ผมพยักหน้า ก็ไม่เห็นจะมีผมด้อยอะไรเลยนี่ จะน้อยใจอะไรวะ
“บ่แม่นเพิ่นย้านเธอเหรอ เฮ็ดหน้าคือสิกินเขานี่แหม่ะ ตาย้าน” ผมเหน็บมันแล้วหัวเราะ
“ว้าย เว้าโพด (พูดเกินไป) หลายศรี เอื้อยออกจะสวย พ่อซายทั้งตำบลยกให้เป็นโอท็อปเด้ล่ะ”
“แรดแม่นบ่”
“ว้าย สวยค่า อย่ามาหาว่าเอื้อยแรดนะ เอื้อยน่ะ กุลสตรีไทยยังอาย สวย มีฝีมือ มีมารยาท งามอย่างไทย น้ำใจงาม มีเฮือนสามน้ำสี่ ปริ่มค่ะ” เอ่อ
“สวัสดีค่ะ หญิงพี่ ป่ะเมือ อย่าเพ้อหลาย งามคั่กเนาะเพิ่น บ่ขึ้นประกวดนางงามนพมาศซะให้มันแล้ว”
“ขึ้นแล้วเด้ล่ะ แต่พวกกรรมกะโหลกกะลามันบ่เห็นความงามของเอื้อย” เรื่องจริงเถอะ
“ป่ะๆ เมือ เว้าโดนหลายหิวเข่า(หิวข้าว) ของฝากฮอดบ้านก่อนเด้อจั่งเอา” ผมตัดบทครับ นางคุยตลอดทาง จ้ออยู่ไม่ขาดปาก กลิ่นของท้องทุ่งรวงทองที่เพิ่งจะผ่านเข้าฤดูเก็บเกี่ยว แต่สมัยนี้เขานิยมเอารถเกี่ยวเอา บางคนนาเสร็จไปแล้วเหมือนที่บ้านผม มันเป็นกลิ่นที่ตอนสมัยเด็กผมชื่นชอบ ลมหนาวพัดมาแล้ว แสงแดดร้อนในตอนกลางวัน แต่อุ่นในตอนเย็น พระอาทิตย์ที่ลับฟ้าจะเป็นตอนที่สวยที่สุด แต่ก็มีระยะเวลาสั้นที่สุด ความทรงจำในวัยเด็กหวนคืนมา พอถึงบ้านพ่อแม่ผมก็ดีใจที่ผมกลับบ้านเสียได้ ห้องผมตอนนี้ทำเป็นห้องพระไปแล้ว คิดดูว่านานแค่ไหนที่ผมไม่ได้กลับไปเหยียบบ้าน กลับก็แค่ช่วงเทศกาลไม่กี่วัน นอนชั้นล่างไม่ได้ขึ้นไปข้างบน อีอ้วนมันกลับบ้านแล้ว เพราะที่บ้านมันเหมือนจะติดงานทำพาขวัญให้เขาอยู่ มันมีฝีมืออย่างที่มันคุยล่ะครับ งานฝีมือพวกเย็บปักถักร้อยนี่ ไม่น้อยหน้าใคร แต่ผมสิ ผมมีอะไร ผมไม่มีอะไรเลย ไม่มีความสามารถ ไม่มีฝีมือ ไม่มีใคร เฮ้อ
“ไปกินเข่าก่อนติ๊ล่ะลูก แม่แกงผักอีฮุม(มะรุม)ไว้ จั่งมานอน” แม่ผมขึ้นมาตาม
“วันจันทร์จั่งไปหม่องเฮ็ดงานพ่อ บอกหัวหน้าสาธารณสุขไว้แล้ว เตรียมมาบ่ล่ะเอกสารน่ะ” พ่อผมถามตอนกินข้าว
“อย่าฟ้าวหลายพ่อ เซาเมื่อยก่อนแน่ะ บ่ทันอยากคึดเรื่องงาน” ผมบ่ายเบี่ยงไปก่อนครับ
“ฮ่วย ซ้าสิทันเขาติ๊ ฝากไว้ตั้งโดนแล้ว บ่ไปจักเทื่อ คนอยากเฮ็ดกะหลายคือหยัง เพิ่นอยากเห็นหน้าเห็นตาซื่อๆดอก” พ่อผมยืนยัน ผมก็เลยพยักหน้า อืมๆ ไปก็ไป
“ปีนี้ได้เข่าหลายบ่ล่ะพี่นาง” พอกินข้าวเสร็จผมก็ถามพี่สะใภ้ ที่กำลังนั่งให้นมหลานสาวคนเดียวในวงศ์ ส่วนหลานคนโตมันไปโรงเรียนแล้วครับ อยู่ ป.๑
“เติบ(เยอะ)อยู่เด้ล่ะปีนี้ พ่อเพิ่นดำเอาบ่หว่านคือปีก่อน”
“นาหลายกะด้อ(คำวิเศษณ์ บอกปริมาณว่าเยอะ)คือดำเหมิด” ผมเหมือนไม่เชื่อ นาผมเกือบ ๕๐ไร่ คือรวมๆกันนะครับ
“จ้างเขานำ บ่ฟ้าวล่ะเนาะ ไปฟ้าวนำเขามันกะจั่งซั่นล่ะ”
“อืม ปีหน้ากะสิข่อยติ๊ซั่นน่ะ ดำนา” ผมรำพึงออกมา ไม่ได้กลัวหรอกนะครับ ตอนเด็กๆก็เคยทำ แต่น้อยล่ะ เพราะพ่อแม่ไม่ค่อยให้ทำ อยากให้เรียนให้สูงๆ จะได้ไม่ลำบากเหมือนพ่อกับแม่ แต่มาจนถึงตอนนี้ เวลานี้ ทำไมอยากให้ลูกเรียนสูงๆแล้วทิ้งความเป็นชาวไร่ชาวนา เรียนจบสูงแล้วยังไง ไม่ต้องไปรับจ้างเขา? จบสูงแล้วเป็นนายเขา? ไม่ต้องไปปากกัดตีนถีบในสังคมใหญ่เหรอ เรียนจบมาอย่างผมแล้วก็ต้องตกงาน ตอนนี้ผมอยู่ตรงนี้เหมือนคนไม่มีทางไป พ่อแม่ผมเสียอีก ทำนาพอมีเงินใช้หนี้ หมดหนี้ก็เก็บเงิน อย่างน้อยๆก็มีข้าวในยุ้งกิน ไม่ต้องไปดิ้นรนอะไรในสังคมใหญ่มาก มาคิดๆดูแล้ว อาชีพชาวนานี่ยั่งยืนกว่าอาชีพที่ผมเพิ่งโดนตะเพิดออกจากงานมาเสียอีก
“เว้าคือเนาะ ปานเพิ่นเฮ็ดเป็น” พี่สะใภ้ผมหัวเราะ
“ไปนอนท่งบ่ล่ะ แม่สิเอางัว(วัว)ออกไปล่าม” ผมก็พยักหน้าครับ เตรียมหมอนไปเพราะเสื่อที่นามีอยู่แล้ว ผมขี้เกียจอาบน้ำ ชุดก็ไม่เปลี่ยนไปทั้งอย่างนั้นล่ะครับ อากาศที่ทุ่งนาสบายมาก เวิ้งของภาพที่หลงเหลือจากการเก็บเกี่ยวไกลสุดลูกหูลูกตา ลมแห้งแล้งแต่เย็นยะเยือกของฤดูหนาวพัดผ่าน ผมเลยหาที่นอนหลับไปได้โดยไม่ยากเย็นเลย จนสายแม่ก็มาปลุกให้กินข้าว
“เฮ็ดสวนอยู่ติ๊แม่” ผมถามเพราะไปมองเนินดินที่บ่อขุดปลายนา เห็นเป็นเขียวๆอยู่ อีกอย่างที่นาแปลงที่อยู่ใกล้ๆบ่อนั้นพี่ชายไถและเหมือนปลูกอะไรไว้ด้วย
“เฮ็ด ลองลงเข่าโพดเบิ่ง คูสา(เนินดินที่ขุดออกมาจากบ่อ)นั่นกะสวนผัก แลงๆจั่งไปหด(รด)” พอกินข้าวเสร็จผมก็เดินวนเวียนอยู่แถวนั้นครับ แม่ออกไปดายหญ้าเตรียมไว้ให้วัวในตอนเย็น พอตะวันคล้อยหน่อยผมก็เลยเดินไปดูที่คูบ่อ แม่ลงต้นหอมไว้สองแปลง ผักกะหล่ำดอก ผักสลัด ผักชี ขึ้นงามมากครับ ผมเลยไปตักน้ำในบ่อมารด กว่าจะเสร็จเล่นเอาลิ้นห้อยเลย
“มื้อแลงอยากกินแป๊ะซะบ่ซั่น เก็บผักไปนำติ๊” แม่ผมร้องมาบอก เออดีเหมือนกันไม่ได้กินนานแล้ว
“ผักนี่ใส่ยาอยู่เบาะแม่” ผมร้องถาม เพราะต้นมันเขียว ใบใหญ่ไม่มีรอยหนอนชอนไชเลยครับ
“บ่มียา ปลูกกินเองสิไปใส่เฮ็ดหยัง” อ้าว แปลว่าถ้าปลูกขายใส่ยาว่างั้น ซวยไปนะท่านผู้ไม่ปลูก อิอิ ผมมีความสุขกับการเก็บผักสดๆในสวนมาก เก็บมาได้แค่พอกินก็เดินไปหาแม่ที่กระท่อม แม่บอกจะกลับแล้ว ต้องต้อนวัวสองตัวกลับเข้าบ้าน ผมก็เลยเดินตาม วัวผมตั้งท้องทั้งสองตัวครับ อากาศยามเย็นมันสวยดีนะ ผมชอบบ้านนอกก็ตอนนี้ล่ะ เสียงวัวควายที่เขาต้อนกันกลับคอก มันมีเสน่ห์ของมัน ลมหนาวพัดแรงขึ้น นั่นหมายความว่าเราต้องเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้น ผมช่วยแม่จับเชือกวัวตัวหนึ่ง เราถึงบ้านในไม่ช้าครับ หลานชายผมมันกลับจากโรงเรียนแล้วมันก็วิ่งมารับ ตอนเย็นผมก็เป็นคนลงมือเตรียมทำแป๊ะซะ มีพี่สะใภ้ช่วยอีกแรง ส่วนแม่ก็วุ่นอยู่กับวัวและสัตว์เลี้ยงในบ้าน มีหมาตัวหนึ่ง เป็ดเลี้ยงไว้ที่นอกบ้าน เป็นที่ป่ายางเป็นสวนนั่นล่ะครับ ไก่อีกไม่รู้กี่ตัว เสียงเอะอะไม่ว่าจากคนหรือจากสัตว์อึงมี่อยู่ เออนะ
“กินแลงแล้วบ่จ้า” อีอ้วนมาพอดีครับ
“บ่ๆ มาซ่อยเฮ็ดแป๊ะซะแน่เธอ พุ่น ไปฆ่าปลาให้แนะ” ผมใช้มันทันทีครับ คือมันสนิทกับครอบครัวผมมากล่ะ เข้าออกเหมือนบ้านมันเอง
“ว้าย ซ่างว่าแท้ เรื่องบาปๆนี่โยนมาทางเอื้อยดีเนาะ อีนี่แหม่ะ” พี่สะใภ้ผมหัวเราะครับ ผมก็อดขำไม่ได้
“เออน่า คนสวยเฮ็ดหยังกะบ่ผิดดอก” ผมบอกมันครับ
“โพดเนาะ สิให้แขกเหรื่ออย่างอีฉันนี่ติ๊ฆ่าปลา ว้าย ใจดำอำมหิต ไสล่ะมีดน่ะพี่นาง” เออนะ ดูมันครับ มันจัดการปลาได้อย่างมืออาชีพมาก แหมๆทำเป็นบ่นให้ผม ฝีมือทำกับข้าวมันนี่ไม่น้อยหน้าใครนะครับ จะน้อยหน้าอยู่ก็แต่ผม อิอิ
“กินเข่าแล้ว เอื้อยพาไปเลาะบ่ศรี” มันมากระซิบบอกผมครับ
“ไปเลาะไสล่ะ หนาวกะด้อ” ผมทำท่าให้มันรู้ว่ามันหนาวจริงๆ นี่ทำกับข้าวเสร็จก็จะรีบไปอาบน้ำแล้วครับ
“ไปทางบ้านท่าแฮดพุ่นล่ะเนาะ ไปหาผู่บ่าว อิอิ”
“หวืย ซาดเพิ่นเนาะ ไผล่ะ บักทหารนั่นติ๊ หรือบักดำ”
“ไผกะเอา หล่อกะด้อเธอ บ่สนติ๊ เธอเลือกมาเลยคนหนึ่ง เอื้อยสิยอมเสียสละให้ ย้อนว่าเธอเด้นี่ แม่นผู้อื่นเอื้อยบ่ยอมเด้ สิเอาทั้งสอง” ดูมันครับ
“จ๊ะ แม่คนสวย หนาวเด้ล่ะเธอ บ่อยากสะบั้นตายวะ”
“อีนี่แหม่ะ เสื้อกันหนาวกะมี ผ้าห่มกะมี ตุ้ม(ห่ม)ไปติ๊ล่ะ บ่ฮู้ดอก สิพาไป” เอ่อ สรุปมาบังคับไม่ใช่เหรอ ผมทำเป็นหูทวนลมครับ เพราะเดี๋ยวมันคงลืม ผมก็จะแถๆไปอาบน้ำแล้วก็ทำท่าหาวนอน อิอิ
“อีพ่อ มื้อแลงสิพาเพิ่นนี่ไปหาหมู่อยู่บ้านท่าแฮดเด้อ มันบ่กลับมาบ้านโดนหมู่เขาอยากพ้อ” เอ่อ มันขอพ่อผมตอนกินข้าวเลยครับ
“หมู่ไสล่ะ คือบ่ได้ยินข่าวว่ามีหมู่อยู่ทางบ้านท่าแฮดจักเทื่อ” คุณพ่อสงสัยครับ เอาล่ะสิ ผมก้มหน้าลงทันที
“กะหมู่สมัยเฮียนเด้ล่ะพ่อ เพิ่นนี่กะห่างหมู่ไปโดน หมู่ทางบ้านท่าแฮดเพิ่นกะอยู่บ้านบ่ได้ไปเฮ็ดงานกรุงเทพฯ เลยนัดพ้อกัน ซั่นเด้ล่ะ” ดูมันครับ มันแถไปหน้าเนียนๆเลย ผมทำตาโตใส่มัน แต่มันลอยหน้าลอยตา
“สิไปอีหลีติ๊ หนาวคั่ก” ผมยังลังเลอยู่ครับ แต่อีอ้วนมันขึ้นไปประจำที่บนรถเครื่องของมันแล้ว
“ไปล่ะเนาะ ฟ้าวๆแน่ เสื้อกะใส่ให้มันหนาๆแน่ สิมาจ่ม (บ่น) ว่าหนาวอีกดอก” มันว่าผม ผมก็ทำหน้างอๆ
“เดี๋ยวๆ ไปเอาผ้าห่มก่อน” ผมวิ่งกลับเข้าบ้านไปครับ
“โพดหลายศรี ป้าด ไปเลาะเด้ บ่ได้ให้ไปนอน พะโล (เกินไป) เนาะ” สนใจที่ไหนล่ะ หนาวขึ้นมาผมไม่มานั่งขากรรไกรกระทบกันกึกๆหรอกนะ ผมกลับมาพร้อมผ้าห่มผืนเล็ก ห่อตัวเรียบแล้วแล้วก็ขึ้นไปซ้อนท้ายมัน
“โอ้ยเนาะ ซาดเพิ่น เขาสิบ่ว่าแม่นซุมนี้พากันมาหยังบ่” มันบ่นครับ
“บ่สนใจดอก หนาวปานนี้ ไผสิทนไหว เธอบ่หนาวติ๊ โอ๊ะลืมไป เพิ่นคีง(ร่าง)หนาเนาะ”
“ว้าย หยาบคาย แบบเอื้อยเขาเอิ้น อวบค่ะคุณ บ่แม่นอ้วน”
“อวบระยะสุดท้ายติ๊ ฟ้าวไปแน่ สิไปทางได๋ล่ะ อย่าไปไกลเด้อ เฮาเพลียๆอยู่ อยากสินอนแต่เว็น”
“ไปทางบ้านท่าแฮดพุ่นล่ะ คึดฮอดผู่บ่าว” ท่าทางมันระริกระรี้มากครับ จะดีเหรอที่ถ่อไปหาผู้ชายถึงบ้านเขาเนี่ย คือผมเคยไปเลาะกับมันนะ แต่ไปเฉพาะตอนกลางวัน กลางคืนนี่ไม่เคยเลยเถอะ ไม่อยากให้คนมองไม่ดี ไม่รู้สิ เออวะ ยังไงก็ลองไปกับมันดู
“ทางซาดมืดเนาะ ย้าน (กลัว)” ผมเบียดเข้าหามันครับ เอาผ้าห่มคลุมกระชับมือ
“มาๆ เอื้อยสิลำให้ฟัง โอ๋ละนอ ลีลาวดีน้อหมอยไหม้ (หะมอยนั่นล่ะครับ) เฮ้ดจั่งได๋สิได้เห็นหน้าพี่ อี๊ๆๆ” ดูมันสัปดนแค่ไหน
“อีบ้า ฮ่าๆๆ” ผมอดไมได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง ทางไปบ้านท่าแฮดนั้นเป็นทุ่งนา มีป่าละเมาะที่มืด น่ากลัวมากครับ พอมันลำขึ้นมา ผมก็ไม่กลัวอะไรเลย ช่างคิดเนอะ
“เอ้า กะลีลาวดีว่าสิดังไฟ (ก่อไฟ) เผลอเด้ค่ะ ไฟเลยลาม อิอิ” มันหัวเราะ มีอีกหลายเรื่องที่มันเล่า และผมก็หัวเราะแบบเอาเป็นเอาตาย จนเหนื่อยน้ำตาเล็ด ไม่นานนักก็เห็นแสงไฟจากหมู่บ้านเป้าหมาย
“จอดนี่ล่ะ ไสโทรศัพท์เธอน่ะ” อ้าว มันจอดตรงทางเข้าหมู่บ้านครับ เป็นศาลาเปลี่ยวและมืดมากขอบอก
“ปิดเครื่องไว้อยู่ สิโทรหาไผ” ผมสงสัยครับ ผมไม่มีเพื่อนบ้านนี้ มันเองอาจจะมีเพราะมันอยู่ที่บ้าน
“เออน่า เปิดติ๊เนาะ” มันเร่งครับ ผมเลยรีบเปิดเครื่อง ปิดตอนมาถึงนั่นล่ะชาร์จแบตเอาไว้ พอจะออกมาเลยวิ่งเข้าไปหยิบมายังไม่ได้เปิดเครื่อง
“ไผโทรเข้าคือหลายสายแท้” พอเปิดเครื่องมาหน้าจอก็เด้ง
“ไส เบอร์ไผบู้ บ่ฮู้ดอก” ผมเองคิดในใจ ว่าที่กรุงเทพฯโทรมาหรือเปล่า น่าจะเพื่อน แต่เพื่อนก็ต้องมีเบอร์ผมสิ ผมไม่ได้ไปสมัครงานที่ไหนไว้ก่อนมา ไม่น่าจะเป็นเรียกสัมภาษณ์งาน หรือพวกทวงหนี้บัตรเครดิต เออ น่าจะใช่
“ลองโทรเบิ่งติ๊ล่ะเธอ มางงสงสัยอยู่นี่สิฮู้อยู่ติ๊” อ่านะ ว่ากูซะงั้น มันยื่นโทรศัพท์คืนมาครับ
“บ่ๆ บ่โทร เขาอยากเว้านำ เขาสิโทรมาเองดอก เธอสิโทรหาไผกะฟ้าวๆแน่ หนาวแล้วเด้” มันหนาวจริงๆนะครับ อากาศทั้งเย็น ไหนจะมีลมพัดอยู่เรื่อยๆอีก คือมากมายเลยล่ะ นี่ขนาดผมใส่เสื้อผ้าหนาแล้วนะ มีผ้าห่มอีก แต่อีอ้วนมันเริ่มมีเหงื่อผุดที่หน้าผาก
“มานี่ เอื้อยโทรเอง” อ้าว มันกดโทรออกเลยครับ
“ฮ่วย ว่าแม่นจมน้ำแล้ว โทรหาเหมิดมื้อหนึ่งแหม่ะเพิ่น” เสียงมันดังลอดออกมาล่ะครับ
“แม่นไผล่ะจ้าเนี่ย” เอ่อ เสียงนี่ผมนึกว่าผู้หญิง ดัดจริตซะจนผมขนลุก
“อ้าว บ่แม่นเบอร์อ้ายเวบ่ครับ” เสียงแบบอึ้งๆ
“แม่นจ้า นี่หมู่เพิ่น ซื่อ ออมจ้า” ผมหมั่นไส้อีอ้วนมากครับ ไม่แปลกใจเลยถ้าหากจะมีคนมาเจอมันด้วยเสียงของมัน เพราะมันบีบเสียงทั้งเล็กและหวาน ผู้หญิงยังอายครับท่าน นี่ถ้าหลับตาผมยังจำไมได้เลยนะว่ามันพูด
“อ้อ เพิ่นบ่อยู่บ่ครับ อยากเว้านำเพิ่น”
“ว่าแต่ไผล่ะจ้า เว้าอยู่นี่แหม่ะ” เออ มันฉลาดครับ
“ผมซื่อนุครับ”
“ว้าย อ้ายนุ ข่อยเอง ออมเด้จ้า ผู้พ้อกันมื้อเซ้านี่เด้ จำกันบ่ได้แล้วติ๊ โอ้ย ข่อยเสียใจแฮง” เอ่อ มันแหกปากขึ้น ผมจนสะดุ้ง
“อ้าว เจ้านั่นติ๊ ว่าแม่นผู่สาวทางได๋ คือมาเสียงหวานแท้”
“อุ้ย แนวอื่นกะหวานเด้ล่ะจ้า อิอิ” ปลวก ดูมันครับ ผมล่ะอายแทน
“ไสล่ะอ้ายเวน่ะ ผมเว้านำเพิ่นแน่” มันทำตาเหลือกใส่ผมครับ อ้าวนะ ก็โทรศัพท์กูป่ะได้ข่าว เขาจะคุยกับเจ้าของโทรศัพท์มันก็ถูกแล้วนี่ มันค้อนให้ผมด้วยเอ้า
“ครับ” ผมรับสายมันครับ
“บู้ย หาโตยากน้อเจ้าน่ะ อยู่ไสล่ะนี่” จะคุยดีไหมเนี่ย มาทำเสียงสูงใส่ผม ดังซะจนเอาโทรศัพท์ออกแทบไม่ทัน
“อยู่นี่ล่ะ แม่นหยังล่ะ มีหยังเหรอ” ผมกวนมันเล่นครับ
“พุ่นแล่ว ว่าสิซวนมาเบิ่งหมอลำซิ่งซั่นดอก มื้ออื่นจั่งมีหมอลำหมู่ มาอยู่บ่ ผมสิไปฮับ”
“บ่ๆ หนาวคือสิตาย บ่เป็นตาเบิ่งดอกหมอลำซิ่งน่ะ บ่มัก” ผมตัดบทครับ
“ว้าย เบิ่งๆ มาฮับเอาออมแน่จ้า เนี่ยถ่าอยู่ทางเข้าบ้าน หม่องศาลานี่แหม่ะ ตาย้าน ตาย่าน” เอ่อ มันแทรกหน้าเข้ามาครับ อีนี่ ตบซะทีดีไหมเนี่ย ได้ยินเสียงผู้ชายหน่อยต่อมคันมันทำงานว่างั้น
“เอ้า ซั่นติ๊ ขี้ตั๋ว (ขี้โกหก) เนาะเจ้าน่ะ เดี๋ยวๆสิจัดการ”
“ตั๋วหยัง กะบ่ได้อยากเบิ่งเด้ล่ะ มานำหมู่ซื่อๆ” ผมแก้ตัวไปครับ ก็จริงนี่ผมมากับอีอ้วนเฉยๆ ไม่ได้มีจุดประสงค์อะไรพิเศษ
“ถ่าอยู่นั่นล่ะ เอารถหยังล่ะมา”
“อ่ะคุยแน่ คร้านเว้า” ผมยื่นโทรศัพท์ให้อีอ้วนครับ มันรีบรับไปคุยเสียงอ่อนเสียงหวานทันที มีแบบว่าเดินออกไปห่างๆผมด้วยนะ เออ เอาเข้าไป ไม่นานมากครับ ก็มีเสียงรถเครื่องดังมาจากในหมู่บ้าน ไอ้นั่นมันมากับไอ้ดำครับ
“บ่หนาวติ๊ผู้บ่าว คือบ่ใส่เสื้อหนาว” อีอ้วนมันปรี่เข้าไปหา ไอ้นุมันใส่แค่กางเกงบอลแต่ใส่เสื้อกันหนาว ส่วนไอ้คนชื่อดำมันใส่ชุดบอลมาเลยครับ ไม่หนาวกันหรือไง
“ฮ่าๆ โอ้ย หนาวคั่กบ่เจ้าน่ะ โพดเนาะ” มันไม่ได้สนใจอีอ้วนเลยครับ มันหัวเราะผมเสียงดังมาก ไอ้ดำมันก็ขำๆไม่ออกอาการมากเหมือนไอ้นุ
“ฮ่วย คนหนาวแหม่ะ เรื่องของข่อยเด้ล่ะ” ผมเคืองครับ แหมนะ แค่เอาผ้าห่มมาด้วยนี่มันแปลกมากนักเหรอวะ
“ไปๆ เข้าไปในบ้าน แต่อยู่เฮือนเพิ่นวุ่นวายเด้ล่ะ ไปกินเฮือนโตบ่ดำ” มันหันไปถามไอ้ดำที่ยืนเหมือนว่ากลัวอีอ้วนอยู่ข้างๆรถ
“อีแม่เพิ่นนอนเด้ล่ะ มื้ออื่นเพิ่นสิลุกมาซ่อยงานแม่ป้าแต่เดิก(ดึก) ไปเถียงนาเฮากะได้” เอ่อ ไปกระท่อมปลายนา ไปเพื่อ คิดอะไรไม่ดีหรือเปล่าสองคนนี้
“อีหยัง มาเลาะบ้านเด้อนี่ บ่ได้มาเลาะท่ง บ่ไปนำดอก” ผมดอดขึ้นครับ
“ว้ายศรี ไปจ้าไป เธอบ่ไปกะถ่าเอื้อยอยู่นี่ติ๊ล่ะ” อีเพื่อนทรยศ โอ้ย อยากจะกรี๊ด มันเห็นดีเห็นงามกับผู้ชายแบบว่าทิ้งผมหน้าตาเฉย เจ็บปวดที่สุดก็ตอนนี้ล่ะ ผมพูดไม่ออก อึ้งอยู่
“หรือเจ้าอยากเบิ่งหมอลำซิ่ง กะเพิ่นว่าบ่อยากเบิ่งแหม่ะเนาะ ฮ่วย คือเอาใจยากแท้ล่ะ” ไอ้นุมันบ่นให้ผมครับ ผมหน้าหงิก
“ซั่นเฮากะสิเมือ โตอยู่นี่ล่ะ” ผมงอนครับ เห็นผู้ชายดีกว่าเพื่อน จำไว้เลย
“อ่ะกุญแจน่ะ แต่เธอขับดีๆเด้อล่ะ หม่องดอนนาทวนน่ะ มื้อวานคองตา(เพิ่งจะ) มีคนพ้อเด้ล่ะเธอ ผมยาวๆซะ อาว(อา) ไก่เพิ่นกะมาบ้านนี้ล่ะ ขับอยู่ดีๆรถล่ะว่าหนักตึ้งโลด หันกลับไปเบิ่งล่ะบ่มีหยัง พอขับไปกะแห่งหนักขึ้นๆ พอเพิ่นเหลียวเบิ่งกระจก ล่ะมีแม่ยิง (ผู้หญิง) ผมยาวลากขี้ดินอยู่” เอ่อ ผมเบียดเข้าไปใกล้ๆมันครับ
“บ่ต้องมาเว้าให้ย้านดอก บ่เซื่อ” ผมยังยืนกราน
“เอ๋า กะเมือติ๊ล่ะเนาะ” อีนี่ ผมมองไปทางดอนที่เราเพิ่งจะผ่านมา เงาทะมึนๆนั้นมันช่างน่ากลัวเหลือเกิน
“เอาจั่งได๋ล่ะเพิ่น” ไอ้นุมันเร่งครับ
“โอ้ย ตาซังเนาะ ฮ่วย บ่น่ามานำเลย” ผมหันไปแหวใส่อีอ้วนที่บิดเอวอยู่ข้างๆไอ้นุ น่าโผเข้าไปตบมาก อีเพื่อนสาวทรพี
“ซั่นเจ้าขับเอารถข่อยติ๊ล่ะ ข่อยสิไปนำเพิ่นนี่” อีอ้วนครับ เวลามันคันนี่น่าเกลียดเนอะ ผมยืนเคืองอยู่ไม่หาย มันดันยัดเยียดให้ผมไปกับไอ้นุ แล้วตัวมันเองจะซ้อนไปกับไอ้ดำ เออนะ เริ่มมีอารมณ์ก็ตอนนี้ครับ
“อีอ้วน คือเฮ็ดแนวนี้” ผมเสียงแข็งครับ มันหลับหูหลับตาเหมือนส่งสัญญาณอะไรให้ แต่ผมไม่ได้สนใจแล้ว อะไรวะ จะอยากได้ผู้ชายจนหน้ามืดแบบนี้ก็ไม่ไหวนะ
“บ่ได้ดอก ให้เพิ่นนำก้นไปนั่นล่ะ อย่าสิเว้ายากหลาย” ไอ้ดำมันโพล่งขึ้นครับ ท่าทางคงจะรำคาญอยู่ไม่น้อย
“เป็นหยังล่ะผู้บ่าว ข่อยซ้อนไปนำเจ้านี่ล่ะเนาะ”
“บ่ๆ บ่อยากแก่(ลาก)ซ้างวะ” เอ่อ มันพูดหน้าตาเฉยครับ ไอ้นุหน้าเหวอๆแต่ก็ขำอยู่ในที ส่วนอีอ้วนหน้างอ
“เห็นบ่ เขาเห็นโตเป็นซ้างเป็นม้า อยากไปอีหลีติ๊อ้วน” ผมกระพือไฟครับ มันหงอยลงอย่างเห้นได้ชัด
“ฮ่วยดำ คือเว้าแนวนั้น” ไอ้นุมันเห็นผมหน้าตึงๆครับ
“เว้าควมจริงแหม่ะ บ่มักปานได๋เด้อกะเทยนี้น่ะ”
“กะบ่มักปานได๋คือกันล่ะ ผู้ซายปากบ่ดีนี่น่ะ เป็นกะเทยกะบ่ได้สร้างความลำบากให้ไผเด้ล่ะ เฮาบอกโตแล้วแม่นบ่ ว่าบ่ให้มาๆ เป็นจั่งได๋ เขาหยันเอาบัดตานี้ (คราวนี้)” ผมเบะปากใส่ไอ้ดำ แต่ก็หันไปว่าอีอ้วน มันทำหน้าแบบว่านางเอกมากครับ แทนที่ผมจะสงสารมัน แต่น่าตบมากกว่า
“ฮ่วย ตีปากเอาซะน้อ” มันทำท่าจะโผเข้ามาครับ ป้าดติโธ่ ผมไม่กลัวหรอกนะจะบอก มันทำท่าแบบนั้นผมก็ตั้งท่าเข้าหามันเหมือนกัน
“เซาๆ ฮ่วย มึงกะเซาดำ อย่าสิเว้าแนวนั้น เป็นหมู่เป็นพวกกัน อย่าสิมาเหยียดมาหยันกันจั่งซี้ มันบ่ดี ไปๆ มาผู่สาว เจ้ามาขับเอารถเจ้านี่ล่ะ” ไอ้นุมันหย่าศึกครับ ผมกัดฟันกรอดแล้ว อีอ้วนมันก็ตกใจ คงไม่คิดว่าผมจะทำท่าแบบนั้นใส่คนที่ตัวใหญ่กว่า มันก็เข้ามาดึงผมไว้ล่ะครับ
“ใจฮ้อนเนาะศรี เธอฮู้บ่” มันว่าผมตอนที่เราขับตามไอ้สองตัวนั่นไปครับ ใจผมนะชวนมันกลับบ้านแล้วแต่มันก็บอกลองดูก่อน ผมไม่รู้จะพูดอะไรดี
“ใจฮ้อนหยัง มันว่าโตนั่นน่ะ บ่ได้ยินเหรอ” ผมเดือดอีกครั้ง
“โอ้ย ซ่ำนั่นหนึ่ง บ่เคียดดอก เฮาถืกว่าจนซินแล้ว เฮาบ่ถือดอก คันมามัวเคียดอยู่นี่ ยามได๋สิมีผัวนำเขาเนาะ” เอ่อ ดูความคิดมันครับ
“คือว่าแนวนั้น ผัวน่ะ บ่มีกะบ่ตายดอก แต่ให้เขามาว่าแบบบ่มีศักดิ์ศรี แนวนี้มันบ่แม่นเด้ออ้วน พวกเฮาสิเป็นหยังกะบ่ได้หนักหัวไผ แค่บ่สร้างควมลำบากให้ผู้อื่นกะพอแล้ว โตบ่มีศักดิ์ศรีเหรอ แต่ก่อนคือบ่แม่นแนวนี้” ผมของขึ้นครับ อะไรมันจะอยากได้ผู้ชายจนลืมเกียรติของตัวไปได้มากขนาดนี้
“มีค่า เธอกะสิเว้าไปหลาย คันผู้อื่นเว้าเฮาสิตีปากเอาพุ่นแล่ว แต่นี่ดำมันเว้า ย้อนว่าหยัง ย้อนว่ามันเป็นพ่อซายเด้ล่ะศรี เฮากะเฮ็ดบ่ถืกที่เข้าไปแสดงท่าทางแบบนั้นใส่มัน พ่อซายร้อยทั้งร้อย บ่มีไผมักกะเทยดอก มันเว้าน่ะถืกแล้ว เฮาไปเฮ็ดใส่มันแนวนั้นเองแหม่ะ”
“บ่มักกะบ่ควรว่าแนวนี้เด้ล่ะ แล้วนี่โตยังสิไปนำพวกมันอีก มันพาไปตีเอาสิเฮ็ดจั่งได๋” ผมกังวลครับ ไม่รู้จะตามพวกมันไปทำไม
“โอ้ย เธอกะดายเนาะ ดำน่ะ เฮาเบิ่งมันมาโดนแล้ว เฮาฮู้จักดี ทั้งนังก. นังข.อยากได้มันเหมิดนั่นล่ะ ดู๋ (ขยัน) นิสัยดี บ่เกเร บ่ฮู้ล่ะ ซ่ำนี้เอื้อยบ่ยอมแพ้ดอก บ่ได้มันกะได้ไอ้นุกะเอา หล่อคือกัน เป็นตานิสัยดีคือกัน อิอิ เซาเว้าๆ อย่าสิปาก (อย่าพูดมาก) เอื้อยสิพาไปออกเฮือน อิอิ” อีบ้า ดูมันครับ ไม่ได้เจ็บปวดกับสิ่งที่ไอ้นั่นมันว่าเอาเลย มีหน้าจะแบกร่างอวบๆอ้วนๆตามเขาไปอีก ผมไม่รู้จะค้านยังไง เพราะมันบิดคันเร่งตามเขาไปติดๆ เสียงรถก็ดัง ผมตะโกนจนแสบคอก็ไม่มีผล ผมไม่พอใจครับ บอกได้เลย ใครหน้าไหนมันก็ไม่มีสิทธิ์มาว่าแบบนี้ เป็นกะเทยเป็นเกย์แล้วยังไง ไม่ใช่เกย์กะเทยเหมือนกันหมดทุกคน มีผมคนหนึ่งล่ะ ที่ไม่เห็นแก่ผู้ชายแล้วลืมศักดิ์ศรีของตัวเอง โอ้ย อยากจะตบเพื่อนจัง
To be Continued.......