ใช่! คุณมันบ้าจริงๆ ไคลน์!! แอชเชอร์คิดเมื่อเย็นวันถัดมาตอนที่เขากำลังเดินผ่านเส้นทางที่กลายเป็นเส้นทางประจำไปแล้วสำหรับลานกว้างนี่ และนั่น! ไคลน์อยู่ตรงนั้น เขายืนร้องเพลงเดิมๆ กับท่าทางแข็งกระด้างบื้อๆ และหน้าหนวดโง่ๆ นั่น! แอชเชอร์ไม่รู้ว่าเขาโกรธอะไรชายตรงหน้านักหนา เพราะที่จริงแล้วไคลน์ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยด้วยซ้ำ มีแต่เขาเองนั่นแหละที่เป็นบ้าอยู่ฝ่ายเดียวกับคนแปลกหน้าที่รู้จักกันยังไม่ครบสองชั่วโมง!
“ไง” และคนที่กระวนกระวายไปต่างๆ นานาอย่างเขากลับทำได้เพียงทักทายโง่ๆ แบบนี้
“ไง” ไคลน์ร้องเพลงจบพอดี
“ไม่เจอกันนานนะ คุณหายไปไหนมาเหรอ” หนุ่มตาฟ้าเริ่มรู้ตัวว่าเขาเริ่มจุ้นจ้านอีกแล้ว แต่เขาหยุดตัวเองไม่ได้
“หางานทำน่ะ” ไคลน์ตอบเรียบๆ
“แล้วได้ไหม?” แอชเชอร์อยากตบปากตัวเอง
“ถ้าได้คงไม่มาร้องเพลงอยู่แบบนี้”
“นั่นสิ ถ้าได้คุณคงไม่โผล่ๆ หายๆ แบบนี้ คุณคง..หายไปตลอดกาล”
“เป็นอะไร” ไคลน์จับน้ำเสียงประชดเล็กๆ นั่นได้ ร่างสูงถามอย่างไม่เข้าใจ
“เปล่า ผมแค่...ผมต้องรีบกลับ บาย” ร่างโปร่งรีบเดินออกมา เข้าอยากจะเดินเอาหัวชนกำแพงชะมัดเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังหวังให้อีกฝ่ายร้องเรียกเอาไว้ ใครมันจะไปทำแบบนั้นกันฟะ!?
วันนี้เป็นอีกวันที่เขาใช้ทางเดิมกลับบ้าน นั่นคือเดินผ่ากลางลานกว้าง และเป็นอีกวันที่ไคลน์ยืนร้องเพลงให้คนเดินผ่านหน้าไปเล่นๆ เช่นเคย แอชเชอร์ไม่เข้าใจว่าเจ้าตัวจะมัวมาร้องเพลงทำไม ทั้งๆ ที่ไม่มีใครสนใจเขาเลยสักนิดเดียว นี่เป็นเป็นสิ่งที่เข้าอยากถามร่างสูง แต่เขาไม่ถามหรอก คนผมทองจึงเดินผ่านคนผมน้ำตาลไปเฉยๆ โดยไม่ทักทายเหมือนเคย แอชเชอร์ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องกลั้นหายใจทำไม บางทีเข้าอาจจะป่วยหรือเป็นอะไรสักอย่าง เขาคิดว่าเขาควรจะหาเวลาว่างไปหาหมอบ้างเผื่อจะได้ตะ...
“เฮ้ นายน่ะ” เสียงทุ้มดังขึ้นข้างหลัง ทำเอาขายาวหยุดชะงัก พยามถามตัวเองว่าเขาไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม
“ไม่คิดจะทักทายกันบ้างหรือไง วันนี้ฉันได้งานและเงินมานิดหน่อย จะพาไปเลี้ยงมื้อเย็นไปหรือเปล่า?” เขาคงฝันไปแน่ๆ... ไคลน์พูดอะไรยาวๆ กับเขาแถมจะพาไปดินเนอร์อีก!!!
“ผมหูฝาดไปหรือเปล่า” ร่างโปร่งทำหน้าไม่เชื่อ
“นั่นสิ นายคงหูฝาดไปจริงๆ นั่นแหละ” ไคลน์พูดประชดก่อนจะถอดกีตาร์ออกแล้วเก็บมันเข้ากระเป๋า
“โว้ว จริงเหรอเนี่ยที่คุณจะเลี้ยงผม!” และแล้วเจ้าหัวทองก็หางชี้จนได้ ไคลน์คิดว่าเขาพอจะเข้าใจนิสัยโกลเดนของหมอนี่ขึ้นมาบ้างแล้ว
“แต่มีข้อแม้นะ เงินฉันมีไม่มาก อย่ากินอะไรที่มันแพงไปกว่านั้น”
“แหงสิ ไม่งั้นผมก็ต้องออกเพิ่ม ซึ่งไม่เอาหรอก” แอชเชอร์ย้มแป้น ร่างโปร่งคิดว่ามันเป็นทางที่ดีที่จะได้สนิท (?) กับไคลน์มากขึ้นไปอีก
ชายหนุ่มสองคนนั่งรอรายการอาหารที่สั่งไปภายในร้านอาหารธรรมดาๆ แห่งหนึ่ง สักพักอาหารหน้าตาน่าทานสองอย่างสำหรับสองคนก็มาเสิร์ฟ เป็นอาหารบ้านๆ ที่หาทานได้ตามร้านอาหารทั่วไป แต่ไม่รู้ทำไม แอชเชอร์จึงรู้สึกได้ว่ามันเป็นมื้ออาหารที่พิเศษกว่าทุกครั้ง ไคลน์สังเกตได้ว่าคนตรงหน้าดูร่าเริงเป็นพิเศษสำหรับอาหารมื้อประหยัดของเขา ร่างสูงจึงยิ้มนิดๆ ตอนที่อีกคนกำลังม้วนเส้นพาสต้าด้วยซ้อม แน่นอนว่าแอชเชอร์ไม่มีทางเห็น
“อายุเท่าไหร่” ร่างสูงภามออกมาเรียบๆ แอชเชอร์ชะงัง
“ยี่สิบเจ็ด คุณล่ะ” เมื่อได้ยินดังนั้น ไคลน์จึงเงียบไปสักพักก่อนตอบ
“ยี่สิบห้า”
“โอ้พระเจ้า...มัน...แบบว่า เอ่อ...” คนตาฟ้าไม่กล้าบอกเลยว่าตอนแรกนึกว่าไคลน์น่าจะอายุสามสิบขึ้นไป
“พูดจริง ฉันยังไม่แก่สักหน่อย”
“ใช่ๆ คงเพราะเคราของคุณแน่ๆ” แอชเชอร์ออกความเห็น
“นายมีปัญหาอะไรกับเคราของฉันไม่ทราบ”
“อันที่จริงเพราะว่าคุณชอบทำหน้าเข้มด้วย ยัดยิ้มกว้างๆ บ้างสิ”
“ยุ่งไม่เข้าเรื่องน่า”
เมื่อโดนว่า ร่างโปร่งก็ไม่สนใจไคลน์อีกต่อไป แล้วจึงหันมาจัดการกับอาหารแสนอร่อยตรงหน้าต่อ ไคลน์ลอบมองคนตาฟ้าอยู่เรื่อยๆ ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องแอบมองตอนอีกคนเผลอแบบนี้ หรือพูดเอ่ยชวนอีกคนมาดินเนอร์ด้วยกัน พูดกันตามจริงแล้วเขา 'ไม่ควร' ที่จะ...เริ่มทำอะไรแบบนี้ด้วยซ้ำ ยิ่งกับแอชเชอร์ ชายหนุ่มที่จริงใจและร่าเริงคนนี้ เขานึกภาพไม่ออกเลยว่าต่อจากนี้ไปเขากับอีกคนจะเป็นอย่างไร เพราะอีกไม่นานเขา...
“ไคลน์ ทำไมคุณไม่กินสักทีล่ะ” เสียงนั้นทำให้ไคลน์หลุดออกจากภวังค์ ร่างสูงไม่ได้ตอบอะไรอีกคน แล้วจึงเริ่มลงมือกินของตัวเองบ้าง
“ขอบคุณมากสำหรับอาหารมื้อนี้ มันเยี่ยมยอดจริงๆ” ร่างโปร่งของแอชเชอร์เอ่ยออกมาหลังจากเห็นไคลน์เดินออกมาจากร้านหลังจากที่ร่างสูงเดินกลับเข้าไปใหม่เพราะลืมอะไรสักอย่าง ไคลน์พยักหน้ารับคำขอบคุณก่อนจะยืนถุงกระดาษสีน้ำตาลมาตรงหน้า
“อะไรน่ะ” แอชเชอร์รับงงๆ
“ของแม่นาย ซุปสมุนไพร ฉันเห็นว่ามันเป็นเป็นเมนูพิเศษที่ร้านจะทำเป็นบางโอกาส และนายโชคดีที่มาวันนี้” ถึงคำตอบจะฟังดูทะแม่งๆ ไปนิด แต่แท้จริงแล้วไม่ว่าจะมาวันนี้หรือวันไหน เขาก็อยากจะมีอาหารสำหรับคุณนายฮาเกนฝากติดไม้ติดมือไปกับลูกชายของเธออยู่ดี ไคลน์ตั้งใจแบบนั้นตั้งแต่แรก
“คุณ...” แอชเชอร์พูดไม่ออก เขาไม่รู้จะขอบคุณคนตรงหน้ายังไงดี เขาซึ้งใจหรือเกินสำหรับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ไคลน์ทำให้
“ผมไม่รับฝาก คุณต้องเอาไปให้เธอเอง” ร่างสูงขมวดคิ้ว
“ทำไมล่ะ บ้านฉันอยู่คนละทางกับนายนะ ลืมแล้วหรือไง”
“ไม่รู้สิ ผมสังหรณ์ไม่ดีเลย รู้สึกว่าจะไม่ได้เจอคุณอีก” แอชเชอร์พูดตามตรง
“...”
“รู้ไหม คุณน่ะเป็นพ่อมดที่ไม่ได้เรื่องเอาซะเลย ถึงจะทำตามคำขอผมได้จริงแต่มันนานชะมัด ตั้งอาทิตย์กว่าเชียวนะ! แล้วต่อไปคุณก็จะหายไปอีกกี่อาทิตย์ก็ไม่รู้ คุณบอกว่าคุณได้งานแล้วนี่” แอชเชอร์หัวเราะน้อยๆ ทั้งๆ ที่จริงไม่ได้อยากเลยสักนิด
“...” ร่างโปร่งหวังที่จะได้ยินไคลน์เอ่ยบอกเกี่ยวกับงานของเขา อธิบาย หรือบอกทาง ทำอะไรสักอย่างที่มั่นใจได้ว่าเขาจะได้เจอคนตรงหน้าอีก ซึ่งแน่นอนว่าเจาก็ผิดหวังตามเคย ไคลน์ได้แต่เงียบ
แอชเชอร์รู้ดี เขาไม่มีสิทธิ์ขนาดนั้น ไม่มีสิทธิ์รับรู้อะไรมากไปกว่าประโยค 'เรียกผมว่าไคลน์, จากเบลซ' นั่นหรอก
“เพราะฉะนั้น ขออะไรหน่อยสิคุณพ่อมด”
“..อะไร”
“ช่วยไปส่งผมที่บ้านที”
ตลอดเวลาตั้งแต่ในรถไฟฟ้าจนกระทั่งหน้าอพาร์ตเม้นที่หมาย ชายหนุ่มสองคนไม่ได้เอ่ยปากคุยอะไรกันอีกเลย ต่างคนก็ต่างเงียบจมอยู่กับโลกของตัวเองที่อีกฝ่ายไม่สามารถรับรู้หรือสัมผัสถึงมันได้ มันคือความทรมารเล็กๆ ที่กัดกินใจของแอชเชอร์ ยิ่งเมื่อมาถึง เขายิ่งรู้สึกว่าระยะเวลาสั้นๆ ระหว่างเขากับคนข้างๆ ใกล้จะจบลงเต็มที...
อีกนิดก็จะจบ เขาก็จะต้องกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม เหมือนที่ผ่านมา...ที่ไม่มีชายหนุ่มที่ชื่อ 'ไคลน์'
มันสั้นก็จริง แต่แอชเชอร์ก็รู้สึกดีกับมันมาก แต่กลับอีกคนล่ะ?
“นั่นกระดาษอะไร” ไคลน์ชี้ไปที่กระดาษที่เสียบอยู่กับพื้นใต้ประตูเมื่อพวกเข้าขึ้นลิฟต์และเดินมาถึงหน้าห้องเรียบร้อยแล้ว ร่างโปร่งจึงก้มไปหยิบขึ้นมาเปิดอ่าน
'แอชชี่ลูกรัก, ป้าเจนกลับจากอังกฤษแล้วและชวนแม่ไปค้างกับเธอ
ฉะนั้นแม่จะกลับพรุ่งนี้สายๆ แม่โทรฯ หาเราไม่ติดจึงไม่ได้บอกก่อน
ปล. แม่เตรียมยาไปด้วยแล้วนะ ไม่ต้องห่วง รักลูก'
แอชเชอร์จึงนึกขึ้นได้ว่าโทรศัพท์เขาแบตฯ หมดไปตั้งแต่เที่ยงแถมยังลืมเอาสายชาร์ตไปอีกต่างหาก
“คุณพลาดแล้วล่ะ วันนี้เธอไม่อยู่” ร่างโปร่งยิ้มน้อยๆ บอกอีกคน
“น่าเสียดาย” ไคลน์เอ่ย
“อืม เข้ามาก่อนสิ” ร่างโปร่งผมทองเดินเข้ามาภายให้ห้องตามมาด้วยร่างสูงของแขกผู้มาเยือน จัดการเปิดไฟ เปิดทีวีให้แขกทำตัวตามสบายได้เต็มที่ ก่อนจะขอตัวเอาอาหารไปเก็บ ไคลน์เดินสำรวจรอบๆ ห้อง ที่ฟังจากปากเจ้าตัวตอนแรกเขาก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะเป็นอย่างไร ไอ้ที่ว่าสภาพไม่สมราคา พอมาเห็นของจริงก็เห็นด้วยไม่น้อย แต่เพราะการจัดตกแต่งอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยสะอาดสะอ้านของห้องแห่งนี้จึงทำให้มันดูไม่ได้แย่เหมือนในจิตนการตอนแรกของเขานัก เดินไปเจอกรอบรูปหลายอันที่ล้วนแต่มีภาพของสองแม่ลูกในช่วงเวลาต่างๆ แล้วก็อดยิ้มขำไม่ได้เมื่อมองดูเจ้าหัวทองวัยเด็กทำหน้าตาทะเล้นใส่กล้องอยู่แบบนั้น แม่ของแอชเชอร์เองก็สวยไม่หยอก ไม่แปลกใจเลยว่าหน้าตาดูดีแบบนี้ได้มาจากใคร
“เฮ้ย! มองอยู่ได้ อายนะเนี่ย” แอชเชอร์เดินมาโวยวายใส่เขา ไคลน์จึงหัวเราะ และนั่นทำให้ร่างโปร่งตาโต
“หัวเราะเสียงดังครั้งแรกนี่! ถือว่ามีพัฒนาการนะคุณ” ไคลน์ส่ายหน้าหน่ายๆ ใส่
“อะไรกัน ยิ้มบ่อยๆ หัวเราะบ่อยๆ ไม่ดีหรือยังไง มันจะทำให้หน้าคุณดูเด็กลงนะรู้เปล่า? เอ้ายิ้มมม” แอชเชอร์ถือวิสาสะใช้สองมือจับแก้มร้างสูงให้ยืดออกเป็นรอยยิ้ม แต่โดนไคลน์ปัดมือออกไป
“มันเจ็บน่า เอาออกไป” ไคลน์นวดแก้มที่โดนจับดึงเบาๆ ที่เขาเจ็บก็เพราะมือแอชเชอร์ดันดึงหนวดเขายืดไปด้วยต่างหาก
“ก็เพราะหนวดเคราของคุณนั่นแหละ”
“รู้สึกนายจะมีปัญหากับเคราของฉันมาก”
“แน่ล่ะ ก็มันจะทำให้คุณดูเหมือนพระเยซูคริสต์แทนที่จะเป็นผู้ชายอายุยี่สิบห้าไง”
“ขอถามอีกครั้งนะ มันเกี่ยวกับนายตรงไหนไม่ทราบ” ไคลน์เริ่มหัวเสีย
“มันไม่เกี่ยวกับผมหรอก แต่ผมบอกด้วยความหวังดี หรือที่คุณยังไม่ได้งานสักทีก็เพราะเครา กับผมยุ่งๆ ของคุณนั่นแหละ หัดทำตัวให้มันสมอายุซะบ้างสิ!” แอชเชอร์เองก็เริ่มขึ้นเสียงเช่นกัน รู้ดีว่าตัวเองยุ่งไม่เข้าเรื่อง แต่เขาหวังดีจริงๆ นี่นา ใครจะอยากให้คนที่ตัวเองชอบดูไม่ดีกันล่ะ เอ๊ะ...
เมื่อกี้เขาคิดว่าอะไรนะ...?
“ฉันจะเป็นยังไงมันก็เรื่องของฉัน! กับคนที่เพิ่งรู้จักฉันอย่างนายอย่ามาสอดรู้ไปหน่อยเลย!!” ในที่สุดไคลน์ก็ฉุนขาด เขาเผลอตะโกนใส่หน้าอีกคนไปเสียงดัง แอชเชอร์มองเขานิ่ง สายตาคู่นั้นดูสั่นไหวละคนผิดหวัง ไคลน์จึงคิดได้ว่าเขาไม่ควรพูดจาแบบนี้กับคนตรงหน้า
“..โอเค ผมยอมแล้ว ขอโทษที่ผมสอดไม่เข้าเรื่อง” แอชเชอร์พูดเสียงเบา เขาไม่ยอมมองหน้าไคลน์อีกเลย ยอมรับว่าน้อยใจ ในที่สุดไคลน์ก็พูดมันออกมา สถานะอันต่ำต้อยของเขา และมันคือเรื่องจริง
“แอช..”
“บางทีคุณควรจะไปได้แล้ว ไม่อยากไล่นะแต่..พรุ่งนี้คุณมีงานต้องทำใช่ไหมล่ะ นั่นแหละ ถ้าช้าอีกนิด..” คำพูดของร่างโปร่งกลืนหายกลับเข้าไปในลำคอเมื่อมือแกร่งดึงร่างเขาเข้าไปกอด...ใช่แล้ว! เข้าถูกไคลน์กอด!!! แอชเชอร์ได้แค่กระพริบตาปริบๆ ทำให้แขนทั้งสองยิ่งรัดร่างของเขาให้แนบแน่นเข้าไปอีก รู้สึกได้ถึงแรงสั่นไหวจากหัวใจของอีกคน และนั่นทำให้หน้าของเขาร้อนผ่าว
“โอ้..นี่คุณ..” แอชเชอร์ทำท่าจะพูดอไรสักอย่าง แต่กลับถูกไคลน์ห้ามไว้
“ชู่ววว.. ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น...ขอโทษ” ฝันแน่ๆ นายต้องฝันอยู่แน่ๆ แอชเชอร์!!! มะ..หมอนี่ กำลัง..กอดเขาและขอโทษ... โอ้พระเจ้า
“...” แบบว่า..พูดไม่ออก
“ถ้าเคราฉันมันกวนใจนายมากนักก็จัดการให้หน่อยสิ” ไคลน์กระซิบข้างหู แอชเชอร์ตาโต
“หาาาาาาา?”
โปรดจินตการภาพชายหนุ่มตัวไม่ใช่น้อยๆ สองคนยืนเบียดเสียดกันในห้องน้ำแคบๆ คนหนึ่งมือนึงถือมีดโกนหนวด อีกมือถือครีมโกนหนวด และผู้ชายตัวสูงกว่าอีกคนกำลังทำหน้าอยากตายสุดขีด นั่นแหละพวกเขาล่ะ.. แต่เอ๊ะ? ใครบอกให้เขาจัดการให้กัน!!
“ขอร้องล่ะ เลิกทำหน้าแบบนั้นสักที นี่แค่โกนหนวดเองนะไม่ใช่บวชชีพราหมณ์” แอชเชอร์ส่ายหน้าเหนื่อยๆ ให้อีกคน
“ให้มันน้อยๆ หน่อย ไม่เคยมีใครบังคับฉันแบบนี้ได้นะ” ไคลน์ขมวดคิ้ว
“ย้อนกลับไปอ่านข้างบนสิไคลน์ จะได้รู้ว่าคุณพูดว่าอะไร” เห็นชัดๆ ว่าร่างโปร่งถือไพ่เหนือกว่า ไคลน์ถอนหายใจอย่างยอมจำนน แต่ตาสีเขียวอมเทาของเขากลับมองมีดโกนหนวดในมืออีกฝ่ายอ่างไม่ไว้ใจแทน
“ไอ้นั่นมันจะไม่ปาดคอฉันใช่ไหม” ชี้ไปยังอาวุธอันตรายในมืออีกคน
“ที่รัก, ไอ้นี่มันจะทำให้คุณดูดีขึ้น เชื่อผมสิ” แอชเชอร์พูดหน่ายๆ พยามไม่คิดเขินที่เขาพูดแบบนั้นออกไป แหม มนุษย์ส่วนใหญ่ก็ใช้ 'ที่รัก' เป็นสรรพนามได้หลายความหมายนี่นา.. หวังว่าไคลน์คงไม่คิดมาก (เหมือนเขา) นะ
“หวังแบบนั้นเหมือนกัน, ที่รัก” ไคลน์ล้อเลียนด้วยคำพูดไม่พอ มือทั้งสองของร่างสูงยังจะเอื้อมมาจับเอวแน่นๆ ของเขาให้เข้าไปไกล้อีก.. แอชเชอร์อยากจะระเบิดตัวตายมันซะตรงนั้น เขารู้ว่าไคลน์แกล้งแต่.... สภาพของเขาทั้งสองคนในตอนนี้เหมือนคู่แต่งงานใหม่หยอกล้อกันก็ไม่ปาน และมันทำให้หน้าแอชเชอร์แดงเถือกขึ้นมาอีกรอบ แต่ยัง! มันยังไม่จบลง เมื่อไคลน์บดขยี้เอวเขาดเบาๆ ในตอนแรก และสักพักมือหนาทั้งสองก็เพิ่มแรงขยับมากขึ้น ส่งผลให้ตัวเขาแนบชิบกับอีกฝ่ายมากขึ้น โดนเฉพาะบริเวณตั้งแต่เอาลงไป... แอชเชอร์ได้กลายร่างเป็นน้ำมะเขือเทศเหลวแน่ๆ หากไคลน์ยังไม่หยุดมือ
“ทะ..ทำบ้าอะไรของคุณ” หนุ่มตาฟ้าเอ่ยเสียงสั่น หนุ่มตาเขียวเลยได้ใจ
“แน่นชะมัดเลย.. สะโพกนายน่ะ ฮะๆ” ร่างสูงหัวเราะ แล้วก็ต้องรีบหุบปากลงทันทีเมื่ออีกคนทำหน้าโมโหก่อนจะชูมีดโกนหนวดที่ใบมีดมันคมวาววับกระแทกตามาตรงหน้าเขา ไคลน์ปล่อยมือแทบไม่ทัน
“หยุดเล่นได้แล้ว” แอชเชอร์พูดเสียงเขียว
“ตามนั้นเลย” ร่างสูงยกมือยอมแพ้ อีกคนเลยขยับเข้าไปไกล้ เงยหน้าขึ้นเพียงเล็กน้อยเพื่อฉโลมครีมกับเคราหนานั่น ดีที่ส่วนสูงพวกเขาห่างกันไม่มากนัก ไม่งั้นคงทุลักทุเลพอควรกับการโกนเคราให้ร่างสูงที่ทำเองไม่เป็น (หมอนั่นบอก) แบบนี้
แต่เหมือนคราวนี้แอชเชอร์คิดผิด เพราะเพียงแค่เผลอสบตากับนัยต์ตาสีเขียวอมเทาคู่สวยนั่นมันก็ทำให้เขามือสั่นขึ้นมาเสียดื้อๆ แถมระยะห่างเพียงหยิบมือที่กั้นใบหน้าของพวกเขาไว้... แอชเชอร์แถบหยุดหายใจ
“มือสั่นนะ”
“รู้แล้วน่า ไม่เคยทำให้ใครแบบนี้เลยไม่ชิน”
“..เหมือนกัน” หัวใจดวงน้อยของเขากระตุกแผ่วเบา ไอ้ 'เหมือนกัน' นี่เหมือนกันแบบไหนฟะ!
“บางทีผมว่า..เราน่าจะเบี่ยงเบนความสนใจของคุณน่ะ แบบ มันจะทำให้ผมทำงานได้ง่ายขึ้นถ้ามันไม่เงียบเกินไปและคุณที่เอาแต่จ้องหน้าหาสิวผมอยู่” แอชเชอร์เสนอขึ้นมา ที่จริงมันเป็นข้ออ้างแก้เขินของเขาต่างหาก
“ก็ได้ งั้นฉันจะร้องเพลง” ไคลน์นึกขึ้นมาได้
“เยี่ยมเลย” ร่างโปร่งตอบเสียงเบาขณะตั้งใจเกลี่ยครีมให้ทั่วแนวเคราใต้สันกรามคมๆ ของอีกคน
“เอาล่ะนะ” ร่างสูงส่งสัญญาณ
“เอาเลย แต่ขอเบาๆ หน่อยนะ ถ้าไม่อยากได้แผลมากนัก” ไคลน์คิดว่านั่นเป็นคำเตือนจากความหวังดีของอีกคน...อาจจะ
“อะแฮ่ม!” ดีที่แอชเชอร์หยุดมือที่ถือมีดโกนหนวดได้ทันเมื่อไคลน์แกล้งกระแอมเสียงดัง ไม่งั้นหน้าคมๆ ของอีกฝ่ายคงจะได้แผลแรกเปิดงานแน่ๆ
“วอนซะแล้วคุณเนี่ย” ไคลน์หัวเราะน้อยๆ เมื่อปั่นหัวคนผมทองได้ ก่อนเขาจะเริ่มร้องเพลงเบาๆ
“Tried to keep you close to me, but life got in between..”
พยายามจะเก็บเธอไว้ใกล้ฉัน แต่บางทีชีวิตก็ต้องเลือก..
เพลงเดิมๆ คุ้นหูดังขึ้น แต่ถึงจะให้ฟังอีกสักกี่ร้อยครั้งร่างโปร่งก็ไม่เคยเบื่อ
“Tried to square not being there, but think that I should have been”
พยายามดึงตัวเองออกมาจากตรงนั้น แต่ก็คิดว่าฉันน่าจะอยู่ตรงนั้นต่อไป“Hold back the river, let me look in your eyes. Hold back the river, So I
can stop for a minute and see where you hide. Hold back the river, hold back..”
รั้งสายน้ำไว้ ขอฉันมองตาเธอก่อน รั้งสายน้ำไว้ ฉันจะได้
หยุดและมองหาว่าเธอซ่อนอยู่ที่ไหน รั้งสายน้ำไว้ รั้งไว้ก่อน..ที่คิดไว้ว่าจะทำให้ง่ายขึ้นกลับยากลงซะงั้น ก็แล้วใครใช้ให้พ่อนักร้องร้องไปด้วยแล้วจ้องตาเขาไปด้วยแบบนี้กันล่ะ? แล้วจะยังเนื้อเพลงนั่นอีก.. แอชเชอร์พยายามไม่คิดเข้าข้างตัวเองว่าไคลน์หมายถึงเขา ไคลน์แค่ร้องเป็นอยู่เพลงเดียวก็เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับเขาเลยสักนิด
“Once upon a different life we rode our bikes into the sky.
But now we call against the tide. Those distant day are flashing by..”
ท่ามกลางความแตกต่างของชีวิต พวกเราปั่นจักยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
แต่ ณ เวลานี้พวกเราร้องตะโกนต่อต้านกระแสน้ำ วันเวลาเหล่านั้นผ่านไปเพียงพริบตา“Hold back the river, let me look in your eyes. Hold back the river, So I
can stop for a minute and see where you hide. Hold back the river, hold back..”
รั้งสายน้ำไว้ ขอฉันมองตาเธอก่อน รั้งสายน้ำไว้ ฉันจะได้
หยุดและมองหาว่าเธอซ่อนอยู่ที่ไหน รั้งสายน้ำไว้ รั้งไว้ก่อน..”
ร่างโปร่งเอื้อมมือไปแตะปลายคางของร่างสูงแผ่วเบา ปาดมีดลงบนครีมที่ทาไว้ เส้นหนวดเคราสีน้ำตาลเข้มมากมายหลุดล่วงลงไปกองกับพื้นดูแล้วน่าขำ เหมือนจับลิงถอนขนยังไงไม่รู้ บ้างทีถ้าไคลน์มองตามไปที่พื้นตอนนี้เขาอาจเป็นลมก็ได้ ก็เคราของเขาที่ร่วงไปน่ะสามารถเอาไปทำรังนกได้หลายรังเลยทีเดียว ฮ่าๆ
“Lonely water, lonely water, won’t you let us wander
Let us hold each other
Lonely water, lonely water, won’t you let us wander
Let us hold each other”
สายน้ำที่อ้างว้าง เจ้าจะไม่ปล่อยเราให้ได้ร่อนเร่เลยหรือ
ขอเราโอบกอดกันสักครู่
สายน้ำที่อ้างว้าง เจ้าจะไม่ปล่อยเราให้ได้ร่อนเร่เลยหรือ
ขอเราโอบกอดกันสักครู่เสียงของไคลน์ไม่ได้เพราะมาก แต่ฟังแล้วรื่นหู แอชเชอร์อยากจะอัดเสียงนี้เอาไว้ เแล้วขอให้เวลาหมุนวนอยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่ว่ามันจะหมายถึงอะไรก็ตามแต่ขาก็ยังอยากฟังมันอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้งอยู่ดี เขาไม่ได้ต้องการให้ไคลน์ไปยืนร้องเพลงตรงนั้นทุกๆ วัน แต่เขาต้องการให้ชายตาสีเขียวตรงนี้ร้องมันออกมาให้เขาฟังเพียงคนเดียว มันคือความเห็นแก่ตัวเล็กๆ ที่แอชเชอร์ไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกไปเพราะรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นจริงได้
ความจริงคือไคลน์กำลังจะจากเขาไปต่างหาก...
“Let us hold each other..” เพลงท่อนสุดท้ายจบลงแล้ว และอีกไม่นานเวลาของพวกเขากำลังจะหมดลงด้วย
“เสร็จหรือยัง” เสียงทุ้มกระซิบถาม ร่างโปร่งจึงได้หลุดออกจากภวังค์แล้วมองหน้าใบเกลี้ยงเกลากว่าเดิมเยอะของอีกฝ่ายพร้อมกับทำตาโต
“อื้อ เอ่อ..เสร็จแล้วล่ะ” แอชเชอร์ได้หยุดหายใจจริงๆ ก็คราวนี้.. พระเจ้าครับ บอกทีเถอะผู้ชายตรงหน้าของผมคือใคร...
“ทำไม? ดูไม่ดีเหรอ” ไคลน์ลูบคางสากของตัวเอง รู้สึกหน้าเบาขึ้นเยอะ ร่างสูงหันไปหากระจกด้านข้างแล้วก็ต้องนิ่งค้างไป.. พอจะรู้เหตุผลที่เจ้าหัวทองมองเขาตาค้างแบบนั้นแล้วล่ะ
“เปล่า คือมัน..โอ้พระเจ้า! นั่นใช่คุณเหรอ ผมนึกว่านายแบบที่ไหนเสียอีก” ชี้หน้าร่างสูงอย่างไม่เชื่อสายตา
“ก็ฉันนี่แหละ ไม่ได้โกนมานานนับปี รู้สึกแปลกๆ ยังไงไม่รู้” ไคลน์ยังคงสำรวจใบหน้าหล่อเหลาของตนเอง หันซ้าย หันขวาแล้วอมยิ้มขำเมื่อนึกบรรดาคนใกล้ตัวที่พูดแล้วพูดอีกให้เขาเอาเครารกๆ นั่นออก กลับไปแบบนี้มีหวัง...
“ที่จริงมันจะดีกว่านี้ถ้าตัดผมด้วย ผมตัดให้เอาไหม”
“ไว้ใจได้ด้วยเหรอ” ไคลน์เลิกคิ้ว
“แล้วใครกันที่เปลี่ยนพ่อมดลึกลับให้เป็นนายแบบสุดหล่อแบบนี้ได้กัน” แอชเชอร์กอดอก เลิกคิ้วกวนๆ ส่งกลับไปบ้าง
“หึหึ เอาสิ” สิ้นคำตอบจากร่างสูง ชายตาสีฟ้ายิ้มกว้าง รู้สึกสนุกอย่างบอกไม่ถูก แถมยังรู้สึกดีด้วยที่ไคลน์ไว้ใจเขา แต่ไม่ทันทีที่จะได้พูดอะไรกันต่อก็เหมือนมีเสียงระฆังยามราตรีดังขัดขึ้นมาท่านกลางบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความสุขเล็กๆ ของคนสองคน ไคลน์หยิบโทรศัพท์มือถือของเขาที่แผดเสียงริงโทนไม่คุ้นหูขึ้นมารับ กรอกเสียงทุ้มๆ ลงไปสองสามคำสั้นๆ แต่ฆ่าเขาทั้งเป็น
“อืม..ได้ เดี๋ยวไป” ร่างสูงส่งเครื่องมือสื่อสารนั้นกลับเข้ากระเป๋าตัวเอง ตามองอีกคนที่ก่อนหน้านี้ยังยิ้มอยู่ดีๆ แต่ตอนนี้รอยยิ้มสว่างไสวนั่นหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้
“ต้องไปแล้วสินะ”
“อืม” แอชเชอร์เจ็บใจที่เสียงระฆังนั่นเหมือนกันกับในนิทานเจ้าหญิงที่เขาเคยอ่านเจอตอนเด็กๆ ระฆังคือสัญญาณบอกว่าเวลาที่จะได้อยู่กับเจ้าชายแปลกหน้าของเขาได้หมดลงแล้ว แต่ในที่นี้คนที่ต้องจากไปกลับเป็นชายตรงนั้นซะงั้น
“อา..แย่จัง ยังไม่ได้ตัดผมให้เลย” ร่างโปร่งยังคงพูดติดตลก ทั้งที่จริงขอบตาเขาเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา มันเร็วเกินไป เข้ายังอยากจะอยู่ต่อกับคนตรงหน้าอีกนิดก็ยังดี
“เดี๋ยวไปตัดที่อื่นก็ได้” ไคลน์แกล้งพูดออกมา แอชเชอร์จึงมองเขาโกรธๆ
“ใจร้าย ผมหรืออุตส่าห์เสนอจะตัดให้”
“เจอกันครั้งหน้าจะผมสั้นให้ดู” แต่คำพูดถัดมาของไคลน์ทำเอาเขาไล่ความโกรธออกไปเป็นปลิดทิ้ง หมอนี่..กำลังจะบอกว่าจะได้เจอกันอีกงั้นเหรอ
“แล้วครั้งหน้าน่ะเมื่อไหร่กัน”
“อืม..ไม่รู้สิ” ตอบมาได้หน้าตาเฉยมาก
“งั้นคุณจะหายไปกี่วัน กี่เดือน หรือกี่ปีก็ได้น่ะสิ” แอชเชอร์มองอีกคนอย่างตัดพ้อ มีแต่เข้าต้องรอฝ่ายเดียวสินะ นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป
“ไม่นานหรอกน่า”
“งั้นเอาเบอร์มือถือคุณมานี่เลย” ร่างโปร่งแบมือขอ ไคลน์ทำได้เพียงมองอย่างลำบากใจ
“..ไม่ได้”
“ทำไม? ผิดจรรยาบรรณพ่อมดหรือไง”
“บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้สิ..” ไคลน์พูดหน่ายๆ พยามให้อีกฝ่ายเข้าใจถึงความลำบากใจของเขา แต่แอชเชอร์กลับหันหน้าหนี แบบนี้ทุกที เขารู้ว่าตัวเองยิ่งกว่างี่เง่าอีก แต่เห็นใจกันหน่อยสิ ยิ่งเขารู้สึกกับไคลน์มากขึ้นเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนคนตรงหน้ายิ่งห่างไกลกับเขามากขึ้นเท่านั้น แล้วเขาก็รู้ด้วยว่าอนาคตต่อไปโดยไม่มีไคลน์เขาจะเป็นยังไง จะเหงาแค่ไหน จะทรมานขนาดไหน ใช่! เข้าต้องบ้าตายแน่ๆ หากไม่ได้เห็นหน้าหรือได้ยินเสียงคนแปลกหน้าที่เพ่งรู้จักกันอาทิตย์ที่แล้วอย่างหมอนี่!!!
“ก็ได้ งั้นเชิญคุณไปได้เลย” ร่างโปร่งเดินออกมาจากห้องน้ำโดยมีร่างสูงเดินตามมา แอชเชอร์ปาดหางตาลวกๆ นึกสมเพชตัวเองอย่างสุดซึ้ง เขาเนี่ยนะเสียน้ำตาให้กับผู้ชายด้วยกัน
“นาย..”
“นี่ของคุณ เชิญ” ร่างโปร่งยัดกระเป๋าใส่กีตาร์ให้อีกคนแล้วผายมือไปทางประตู
“แอชเชอร์..” ไคลน์เรียกชื่อเขาเบาๆ และมันทำให้ขอบตาเขาร้อนขึ้นมาอีกรอบ
“...”
“แอช.. ” ชายหนุ่มร่างสูงมองลึกเข้าไปในดวงตาสีฟ้าคู่สวยนั้น ราวก็จะสื่ออะไรบางอย่างกับเจ้าของของมัน
“...”
“รอผมนะ”
“...”
“ผมสัญญาญอะไรกับคุณไม่ได้ แต่ได้โปรด...รอผม”
“...” ร่างโปร่งไม่สามารถกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป จึงปล่อยให้มันไหลเป็นทางอยู่แบบนั้น ไคลน์มองภาพตรงหน้าด้วยความไม่สบายใจ นึกหวั่นว่าวันข้างหากหากเขา.. หากคนตรงหน้า 'รู้' เรื่องของเขาขึ้นมาจะทำอย่างไร เส้นทางข้างมันช่างเด็ดเดี่ยวและน่าหวั่นเกรง ไคลน์ลองนึกย้อนไปตั้งแต่วันแรกที่พวกเขาพบกันแล้วพบว่าเวลามันช่างแสนสั้นถ้าหากนับเปรียบกับผู้คนที่เขาเจอมาทั้งชีวิต แต่เขารู้ดีว่าแอชเชอร์แตกต่างและสำคัญต่อเขาไม่แพ้ใคร ไม่สิ.. สำคัญมากเสียด้วย
เขาจะไม่เอาเวลามาเป็นข้ออ้างสำหรับของรู้สึกตัวเอง เพียงแค่เสี้ยววินาทีก็มากเพียงพอให้ตกหลุมรัก...
“คำขอสุดท้ายของผม, คุณพ่อมด” แอชเชอร์เอ่ยพลางเช็ดน้ำตา แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ
“...”
“โปรดกลับมาฟังคำตอบว่าผมสามารถรอคุณได้หรือไม่”
ไคลน์ไปแล้ว แถมไม่มีอะไรเหลือไว้ให้ได้ตามหาเหมือนในนิทานเสียด้วยสิ...