13. Valentine
เปิดเทอมใหม่แล้ว เทอมนี้เรียนกับรุ่นพี่แทบทุกตัวเลย เขี้ยวกันจริงๆ แล้วพี่ส่วนใหญ่ที่มาเรียนวิชาเดียวกับเอกก็เป็นรุ่นพี่ที่ไปแลกเปลี่ยน แล้วมาเก็บวิชาให้จบ แล้วพวกนี้แหละครับ เก่งมาก เก่งจริงจัง เก่งแบบว่า...เก่งเกิ๊นอ่ะ บรรยายไม่ถูกจริงๆ และพี่ท้อปก็อยู่ในกลุ่มพี่พวกนี้ด้วยครับ
ช่วงเดือนมกราคมผมก็ได้คุยกับพี่เต้บ้างนิดหน่อย แต่ก็น้อยลงไปเยอะ อาจจะเป็นเพราะพี่แกบ้าหนังเรื่องนั้น ที่น้องคนนั้นนำแสดงน้อยลง แต่ผมก็ดีใจนะครับ เพราะทำให้ผมรู้สึกว่าเขาเอาใจใส่กับตัวผมเองจริงๆ มากขึ้น เรียกว่าปริมาณหาย แต่คุณภาพเพิ่ม แต่ก็นั่นแหละ ผมเองก็ยังไม่กล้าพูดให้เด็ดขาดซักที
พอเข้าเดือนกุมภาพันธ์ เดือนแห่งความรัก ผมตั้งใจไว้แล้ว อย่างไรซะ เดือนนี้ก็ต้องแข็งใจเคลียร์ให้ได้
วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2551 เวลาบ่ายๆ
“เอก เอก ซื้อโปสการ์ดหน่อยดิ” พี่ที่รู้จักกัน ทำงานให้คณะกำลังหาเงินไปทำบุญที่ต่างจังหวัด ก็เลยทำโปสการ์ดขาย
“เอ เอาอันไหนดีอ่ะ น่ารักเยอะแยะเลยอ่ะ” มันเป็นโปสการ์ดสำหรับวันวาเลนไทน์น่ะครับ สวยๆ ทั้งนั้นเลย
“เอกเอาอันนี้ป่าว อันนี้ก็ดีนะ” ผมเลือกไป เลือกมาก็ได้มาสามสี่ใบครับ แล้วก็เพิ่มเงินเข้าไปอีก เพราะอยากร่วมทำบุญด้วยน่ะครับ(ตั้งแต่นั่งสมาธิกลับมานี่ ชอบทำบุญขึ้นเยอะเลย)
จริงๆ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะซื้อไปทำไม เพราะว่าไม่มีใครอยู่ดี และพี่เต้ก็คงไม่โทรมาด้วย ป่านนี้คงอยู่กับแฟนเก่าเพลินไปแล้วล่ะครับ
วันนี้ผมเรียนเสร็จก็ต้องไปทำงานต่อ เพราะว่าผมเรียนเสร็จห้าโมง มีสอนตอนหกโมงที่ราชเทวี หนทางเดียวที่จะทำให้ผมไปทันคือ มอเตอร์ไซด์ เฮ้อ แค่คิดก็เหนื่อยซะแล้วล่ะครับ
พอสักห้าโมงครึ่ง
“.... ตืด ........ ตืด ........ ตืด ....” โทรศัพท์จากพี่เต้นั่นเองครับ ตายห่... ทำไมถึงโทรมาล่ะเนี่ย
“ว่าไงบ้าง” พี่เต้กรอกเสียงมา
“กำลังจะสอนอ่ะครับ”
“สอนเสร็จกี่โมง”
“เหมือนเดิมอ่ะครับ สามทุ่มกว่าๆ”
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปรับนะ”
"อย่าเลยพี่ ไปเจอที่อารีย์เหมือนเดิมก็ได้"
"งั้นเดี๋ยวดูอีกทีแล้วกัน"
“ครับ” ทำไมนะ ผมไม่เข้าใจเลย ไม่ได้ชอบกัน แล้วทำไมต้องทำเหมือนเป็นห่วงเราขนาดนี้ ทำไมถึงมารับเราไปกินข้าวบ่อยๆ ถึงจะไม่ได้ตั้งใจ แต่มันก็เหมือนเป็นการทำร้ายกันด้วย โอเคครับว่าหลังจากนั่งสมาธิมา ผมสบายใจขึ้นเยอะ แต่ว่ามาเจอเหตุการณ์แบบนี้ ผมเองก็เอาไม่อยู่เหมือนกัน วันนี้เป็นไงก็เป็นกัน เฮ้อ
แล้วผมก็เข้าสอนไปตามปกติครับ คลาสนี้นักเรียนน่ารักดีครับ ถึงแม้เวลาถามคำถาม จะไม่ค่อยตอบเท่าไร แต่ว่าก็ตั้งใจเรียนดี แล้วก็ไม่มีปัญหาเรื่องคุยกันในห้องด้วย เรียกว่า พี่ๆ ที่เรียนตั้งใจกันทุกคน แต่สอนเสร็จก็เหนื่อยอยู่ดี(สอนตั้งสามชั่วโมงติดกัน โดยไม่ได้นั่งเลย แถมต้องทำหน้ามีความสุข คิดมุขตลอดเวลา ไม่ให้เหนื่อยได้ไง)
พอเลิกก็ออกมานั่งกับเพื่อนๆ
“วันนี้ สอนไม่ทันอ่ะแก” มาร์ทบ่น
“แกมาดูเราก่อน เราสอนทันนะ แต่ว่าปล่อยเลท” อันนี้เอกบ่นเองครับ
แล้วเราก็คุยกันเรื่องโน้น เรื่องนี้ แล้วเอกก็บ่นๆ อะไรกับเพื่อนๆ อะไรไปเรื่อยเปื่อย จริงๆ เอกก็ไม่ลืมหรอกครับว่านัดกับพี่เต้ไว้
แต่เอกไม่อยากนึกถึงมันมากกว่า นี่มันคืนก่อนวันวาเลนไทน์นะครับ ใจจริงก็อยากเจอครับ
แต่เอกตัดสินใจไปแล้วว่าเอกจะคุยกับเขา ซึ่งมันอาจทำให้เอกต้องเสียใจร้องไห้เอง ไม่อยากให้ถึงวันรุ่งขึ้นเลยครับ ไม่อยากเจอด้วย อยากคุยกับเพื่อนๆ ไปให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ แต่มันจะเป็นไปได้ไหมล่ะครับ
ตอนแรกเอกก็ภาวนาว่าให้พี่เต้ลืม แต่พี่เต้ก็ไม่ลืมครับ
“....... ตืด ....... ตืด ......... ตืด .......” โทรศัพท์พี่เต้แน่นอนครับ ไม่ใช่ใครอื่น
“สวัสดีครับ”
“จะไปกินกันยัง”
“ไปเลยก็ได้ครับ”
“ตอนนี้อยู่ไหนอ่ะ”
“ยังอยู่ที่ทำงานอยู่เลยครับ แต่จะออกเลยก็ได้”
“แน่ใจเหรอว่าทำเสร็จแล้ว”
“เสร็จแล้วจิ นี่นั่งคุยกับเพื่อนอยู่ครับ”
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปรับแล้วกัน”
“ครับ ครับ” อีกแล้วครับ มารับอีกแล้ว ทำไมต้องมารับด้วย คือถ้ามันนานๆ ที มันก็โอเคไงครับ แต่นี่มันถี่จะไม่ให้เอกคิดมากได้ยังไงล่ะครับ แต่ยังไงก็ตัดสินใจไว้แล้วว่าคืนนี้ต้องเคลียร์ คราวที่แล้ว อยากจะพูดก็พูดไม่ออก วันนี้จะดึกแค่ไหน เอกก็จะพูด เพราะไม่ไหวแล้ว ทนไปนานๆ มีหวังหนังสือหนังหา อ่านไม่จบแน่ๆ ตั้งสมาธิไม่ได้เลย
พี่เต้ไม่ได้มารับถึงที่หรอกครับ คือ ต้องเดินข้ามถนนไปอ่ะครับ เพราะว่าพี่เขามาจากอีกด้านหนึ่ง
“วันนี้ไปกินไหนกันดี”
“ไปไหนก็ได้”
“งั้นไปติ๋มซำกัน”
“ก็ได้ครับ”
“นี่ๆ วงนี้มีเพลงใหม่ออกมานะ” เพลงวงออกัสนั่นเองครับ เปิดเพลงทั้งอัลบั้มเลยครับ คือ พี่เต้แกเห่อน่ะครับ ก็เลยโชว์เพลงทั้งหมดเลย เพลงที่ผมและพี่เขาสะดุดที่สุด คือ เพลง คนธรรมดา ครับ
“เสียงสูงเนอะ แต่ร้องเหมือนสบายเลย”
“ใช่ๆ เก่งๆ กำลังดีมากๆ” คือ ถ้าเพลงเสียงสูง แล้วร้องสบายขนาดนี้ มีสองทางครับ คือ เสียงสูงโดยธรรมชาติอยู่แล้ว กับเอาลมเข้าช่วย ซึ่งฟังจากพื้นเสียงของนักร้องแล้ว ไม่ใช่คนเสียงสูงเท่านั้น ก็เลยคิดว่าน่าจะมากจากกรณีหลังมากกว่า แต่ที่พี่เขาสะดุดกับผมสะดุดนี่คนละที่กันนะครับ เพราะเขาสะดุดที่เสียงสูง แต่ผมสะดุดที่เนื้อร้องครับ
“....แล้วมันจะผ่านพ้นไปรึเปล่า
แล้วเราจะลืมได้เมื่อไร
แล้วใจที่พังยับเยิน ใครจะเอาไว้
รักคือที่มาของความสุข
แต่รักก็เอามันคืนไป
ไม่รู้ ใครบอกฉันสักทีว่า ความรัก มันคืออะไร...”
แต่เหมือนพี่เต้แกกลัวผมเบื่อกมั้งครับ ก็เลยเปิดวิทยุ ผมชอบพี่ดีเจคนนี้มากๆ ครับ แล้วก็ดันชื่อเต้เหมือนกันอีก โดยไม่ได้คิดอะไร ผมก็เลยพูดออกไปว่า
“ชอบพี่เต้อ่ะ ชอบตั้งแต่เขาจัดที่อีกคลื่นนึงแล้วด้วย”
“อืม รู้ รู้ว่าชอบพี่เต้” แล้วแกก็หัวเราะครับ ผมก็งงๆ สักพักแล้วก็นึกได้
“บ้า ใครจะไปชอบพี่ เอกหมายถึงพี่เต้ที่เป็นดีเจ เดี๋ยวเหอะ” คืนนั้นสัมภาษณ์ลุลาครับ แล้วก็เปิดเพลงตุ๊กตาหน้ารถด้วย ผมกำลังเป็นตุ๊กตาหน้ารถพอดีเลย หึหึ
คืนวันนั้น ผมไม่อยากให้มันผ่านไปเร็ว ไม่อยากให้รถผ่านไปเร็ว ไม่อยากให้ทุกอย่างหายไปเลยครับ ไม่อยากให้ถึงร้านด้วย แต่ทุกอย่างก็เป็นไปตาที่มันควรจะเป็น เวลาก็ยังคงหมุนไป แล้วเราก็มาถึงร้านติ๋มซำ
ตอนนี้ยาวนิดหนึ่งนะครับ ผมแค่อยากเก็บรายละเอียดวันนั้นให้เรียบร้อยน่ะครับ
อย่างที่บอกว่าอยากให้เรื่องนี้เก็บไว้เป็นความทรงจำดีๆ
ตอนหน้าก็จบแล้วครับ
เศร้าไปรึเปล่า เดินเรื่องช้าไปยังไงก็คอมเมน้นท์กันได้นะครับ
และหลายๆ คนคงเริ่มเอะใจว่าเรื่องจริงรึเปล่า ผมยืนยันว่าเรื่องจริง แต่ผมเปลียนชื่อทุกๆ คนในเรื่อง
และอย่างที่เห็นว่าผมเปลียนชื่อทุกๆ คนในเรื่อง ก็เพื่อความปลอดภัยของทุกคน (และตัวผมเองด้วย)
เรื่องจะจบแระ อย่าลืมเม้นท์กันด้วยนะครับ
