SHORT: Venom & Feathers: นาโครคินทระ - กาศยป (๗) คนธรรพ์ 30/10/2568
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: SHORT: Venom & Feathers: นาโครคินทระ - กาศยป (๗) คนธรรพ์ 30/10/2568  (อ่าน 993 ครั้ง)

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 291
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-10-2025 10:09:35 โดย KADUMPA »

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 291
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0



โอมยืนอยู่ที่หน้าทางเข้าของโรงเรียนกวดวิชาที่ดีที่สุดในประเทศ นอกจากจะดีที่สุดแล้ว บรรยากาศโดยรอบ ยังสร้างความรู้สึกราวกับว่า ตัวโอมเองโดนมันข่มอย่างมาก โดยเฉพาะบรรดานักเรียนที่มาเรียนพิเศษกับที่นี่ ที่การแต่งเนื้อแต่งตัว เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ที่ติดตัวมา ไหนจะบรรดาแกตเจ็ตอิเล็กทรอนิกส์ราคาแพงระยับ ที่ถือกันอยู่ในมือ อวดฐานะกันได้อย่างไม่อายพวกนั้นอีก



อาการทำตัวลีบของโอมยิ่งเพิ่มมากขึ้น เมื่อนักเรียนที่มากวดวิชา เพิ่งพากันเลิกคลาสเรียน แล้วพากันเดินออกมาจากอาคารที่ดูไปแล้ว เหมือนหลุดออกมาจากหนังไซไฟฝรั่งสักเรื่อง โอมต้องหลบไปยืนอยู่ตรงมุมด้านข้าง ที่ทำเป็นเหมือนสวนหย่อมขนาดย่อม ๆ ที่น่าจะตั้งใจเพื่อเอาไว้เป็นพื้นที่ สำหรับผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องหรือมีธุระอะไรด้านในอย่างโอม ยืนรอรับคนที่อยู่ด้านใน



ไม่นานนัก โอมก็เห็นคนที่เขามารอรับ เดินผ่านประตูกระจกบานเลื่อนอัตโนมัตินั้นออกมา เจ้าตัวยิ้มกว้างให้กับโอม ที่เขาค้อมศีรษะให้กับเด็กหนุ่มอย่างสุภาพ และเมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นเดินมาถึงตรงที่เขายืนอยู่ โอมก็ยื่นมือออกไปรับกระเป๋าเป้และบรรดาชีทเอกสารการเรียน เอามาถือเอาไว้ให้



“เรียนเหนื่อยมั้ยครับคุณหนู” โอมถามออกไป เมื่อเดินนำอีกฝ่ายไปที่รถที่จอดรออยู่ไม่ไกล และมันเป็นลานจอดที่ทำเอาไว้สำหรับนักเรียนที่มาเรียนกวดวิชาที่นี่ ที่ติดบัตรวีวีไอพี ซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่คันเท่านั้นที่มีสิทธิ์จอดที่ตรงนี้ เพื่อความสะดวกสบาย ไม่ต้องขับขึ้นไปจอดที่อาคารจอดรถรวม และไม่ต้องคาดเดาอะไรยากเย็น ว่าเหตุผลอะไรโอมถึงได้นำรถมาจอดที่จุดตรงนี้ได้



“บอกแล้วไง ว่าไม่ต้องมารอล่วงหน้านาน ๆ” แทนการตอบคำถาม โอมได้ยินเสียงพูดดุนั้น แต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไรนัก “ก็ให้ผมได้ออกมาเปิดหูเปิดตามั่งสิครับ” คำตอบของโอมที่พูดกลั้วหัวเราะกลับไป ทำให้ได้เห็นอีกฝ่ายพยักหน้าเบา ๆ แบบเข้าใจ



“งั้นคราวหลังก็มาส่งแล้วก็นั่งรอรับกลับด้วยเลย จะได้เปิดหูเปิดตาจนเบื่อไปเลย” อาการประชดประชันนี้ โอมเห็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร จะว่าถูกเลี้ยงมาอย่างตามใจทุกอย่างก็ไม่เชิง เพราะก็ใช่ว่าโอมจะเห็นอีกฝ่ายเป็นคนไม่รู้จักกาลเทศะ หรือไม่มีมารยาทแต่อย่างใด เพียงแค่คุ้นชินกับการไม่เคยถูกขัดใจมากกว่า



“แล้วนี่ถ้าป๊าไม่ใช้ให้มารับ จะมามั้ย” โอมที่เปิดประตูรถที่นั่งด้านหลังให้ ถึงกับต้องหยุดชะงัก “แบบมาเอง ตั้งใจจะมารับ ไม่ต้องมีใครบอก” โอมมองเห็นอีกฝ่ายจ้องตากับเขา แบบรอคำตอบ และต้องการให้เขาได้ตอบมันออกมาให้ได้ฟังจริง ๆ



“เริ่มเย็นแล้ว เรารีบกลับบ้านกันเถอะครับ เดี๋ยวคุณท่านจะเป็นห่วง” โอมไม่ได้ตอบคำถามนั้น แม้ว่าอีกฝ่ายจะยืนนิ่ง ไม่ยอมขยับตัวเข้าไปนั่งในรถ เพราะกำลังรอฟังคำตอบของคำถามของตัวเองอยู่แบบนั้น “คุณหนูครับ” โอมพูดออกไปเพียงเท่านั้น ก่อนจะเปิดประตูรถให้เปิดกว้างออก “เลิกทำตัวเป็นร่างทรงของป๊าเสียที” โอมมองสบตากับคุณหนูของเขา



“พูดอะไรแบบที่ต้องการ อย่างที่ตัวเองรู้สึก เป็นมั้ย” โอมมองอีกฝ่ายเข้าไปนั่งอยู่ที่เบาะหลังรถ ก่อนที่โอมจะปิดประตูให้เบา ๆ โอมเข้าประจำที่นั่งคนขับ ก่อนจะค่อย ๆ ออกรถมาจากลานจอด “ปิดเพลง” เสียงสั่งดังมาจากเบาะด้านหลัง โอมทำตามคำสั่งนั้น ก่อนจะมองเห็นผ่านทางกระจกมองหลัง คุณหนูหยิบเอาหูฟังมาสวม หันหน้าออกไปด้านนอกกระจกรถ ตลอดทางจนกลับถึงบ้าน



เชนนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ จ้องไปที่กล่องพลาสติกใสที่ด้านในบรรจุขนมคัพเค้กสีสวยงาม ดูน่ากินมาก อยู่หนึ่งชิ้น อาการยิ้มชื่นชมและความรู้สึกชื่นใจ ยังไม่หายไปง่าย ๆ ตั้งแต่วินาทีที่เชนได้รับขนมชิ้นนี้มา ท่าทางของเชน ไหนจะนั่งมองคัพเค้กด้วยสายตาทะนุถนอม รอยยิ้มที่มีก็เป็นยิ้มที่ทั้งเขิน ทั้งดีใจ ไหนจะการที่เชนถ่ายรูปเก็บเอาไว้เสียทุกมุม มันทำให้เพื่อน ๆ ที่นั่งกันอยู่ตรงนั้นพากันส่ายหัวแบบไม่เข้าใจ



“มึงจะนั่งดูอีกนานมั้ย ไอ้ขนมก้อนนี้เนี่ย” เสียงเพื่อนถามมา ดึงให้เชนเหมือนต้องจำใจออกมาจากความอภิรมย์ในจิตใจ ที่คัพเค้กชิ้นตรงหน้ามอบให้กับเขา “อะไรของพวกมึงวะ” เชนหันมาทำหน้าบูดใส่บรรดาเพื่อนร่วมก๊วน ที่ส่งสายตาแบบ ยังไงก็ไม่เข้าใจมาให้เชน



“แล้วเรียกให้มันดี ๆ หน่อย เนี่ยคือคัพเค้ก อีกอย่างนะ เขาเรียกว่าเป็นชิ้น ไม่ใช่ก้อน” เสียงของเชนดูเซ็งอยู่ไม่น้อย เมื่อพวกเพื่อน ๆ ของเขาเหล่านี้ “พวกมึงนี่ กูสอนตั้งหลายรอบแล้ว ไม่ยอมจำ” อะไรก็ตาม เชนยอมได้เชนจะยอม แต่ถ้าอะไรที่เกี่ยวกับคัพเค้กหรือขนมใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคนทำคนนี้นั้น



“ของดี ๆ พวกมึงมันเข้าไม่ถึงเอง อย่ามาทำท่าทางเอือมกู” เพื่อน ๆ ของเชนต่างพากันหัวเราะร่วน เมื่อถูกเชนด่าเข้าให้ และเชนก็ด่าพวกเขาแบบนี้มาซ้ำ ๆ ไม่รู้จะกี่รอบแล้ว “ไอ้เชน ถ้ามึงจะเอาแต่นั่งมองแบบนี้ มึงไม่กิน งั้นพวกกู” ยังไม่ทันที่บรรดาพวกเพื่อน ๆ ของเขาจะได้คว้าคัพเค้กมาแบ่งกันกิน เชนที่ไวกว่า ก็คว้ากล่องขนมไปถือเอาไว้ในมือได้ทันเสียก่อน



“หวงจังนะมึง ขนมที่รักของมึงเนี่ย” เชนไม่สนกับเสียงแซวของเพื่อน คัพเค้กชิ้นนี้สำหรับเขา มันมีคุณค่าทางจิตใจมาก และเขาไม่กลัวว่าใครคนไหนจะไม่เข้าใจ “จนป่านนี้เขารู้หรือยัง ว่าไอ้รีวิวออนไลน์ทั้งหลาย อร่อยมากครับ นุ่มมากครับ หอมอร่อยกว่าร้านไหน ๆ น่ะ มันเป็นมึงที่เขียนให้ทั้งนั้น” เชนได้ยินเพื่อนว่ามาแบบนั้น รอยยิ้มที่มีอยู่ก่อนหน้าที่มุมปาก ก็เจื่อนหายไป



“ชอบก็ไปบอกกับเขาสิวะ ไอ้เชน ไอ้ห่า เขาน่ะดอกฟ้าแน่ ๆ ล่ะ แต่มึงเนี่ย” บรรดาเพื่อน ๆ ของเชน พร้อมใจกันส่งเสียงหอนดังโบร๋ว ก่อนจะหัวเราะกันดังลั่นยกใหญ่ โดยมีเชนยกมือกำหมัดชูขึ้นในอากาศ ด้วยอาการไม่สบอารมณ์ “พวกมึงพูด ยังกับว่า มันทำได้ง่ายมากเลยอย่างนั้นแหละ ไอ้พวกเวร” มาถึงตอนนี้ เชนก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเช้านี้



“ขอบคุณมากนะครับ ที่ช่วยมาส่งของให้ และก็ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ที่สั่งของไปแบบกะทันหันขนาดนี้ ใจจริงอยากออกไปซื้อของเอง แบบไม่ต้องรบกวนคุณเชน แต่วันนี้น้องที่เคยอยู่ช่วย เขาโทรมาลาเมื่อเช้า ว่าต้องพาแม่ไปหาหมอที่โรงพยาบาลพอดี มินก็เลย” เจ้าของร้านขนมทำสีหน้าเกรงใจอย่างที่สุด เมื่อพูดมาถึงตรงนี้



“มินไม่รู้จะโทรหาใครจริง ๆ ก็เลย” มินสองจิตสองใจอยู่นาน กว่าจะตัดสินใจกดเบอร์โทรหาเชน จากรายชื่อในโทรศัพท์มือถือที่กดบันทึกเอาไว้ “คุณเชนเลยรู้เลย ว่ามินแอบเมมเบอร์เอาไว้ด้วย” เชนอดไม่ไหว ต้องยิ้มกว้างออกมา ก่อนจะโบกไม้โบกมือรีบพูดออกไปว่า



“ไม่เป็นอะไรเลยครับ คุณมินไม่ต้องคิดมาก ไม่ถือว่าเป็นการรบกวนอะไรเลย” เชนรีบพูดกับอีกฝ่าย ว่าไม่ต้องกังวลใจไป “ผมดีใจเสียอีก ที่คุณมินนึกถึงผมเป็นคนแรกแบบนี้ เพราะถึงยังไง ผมก็มาส่งของที่ร้านของคุณมินบ่อย ๆ อยู่แล้ว เวลาคุณมินสั่งของผ่านแอพ” เชนรีบขับรถไปหาซื้อของให้กับคุณมินตามรายการที่ส่งมา แล้วรีบบึ่งรถมาหาในทันที



“ถือว่าเป็นการขอบคุณ ที่คุณเชนช่วยมินเอาไว้ มินลองทำคัพเค้ก แต่ยังไม่ได้วางขายที่ร้าน มินอยากให้คุณเชนลองทานดู แล้วช่วยติชมด้วย ว่าต้องปรับปรุงตรงไหนอีกบ้าง” เชนยื่นมือออกไปรับกล่องขนมนั้นมา กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากตัวของคุณมิน เมื่อขยับตัว ทำให้เชนใจเต้นแรง



“ชิ้นนี้มินลองใส่ครีมกับทำท็อปปิ้งให้ไม่เหมือนกับชิ้นอื่น มีชิ้นเดียวในโลก” เชนมองตามมือของคุณมินที่ชี้ไปตรงถาดคัพเค้ก ที่ชิ้นอื่น ๆ ดูเหมือนกัน มีเพียงเฉพาะชิ้นนี้เท่านั้น ที่เป็นชิ้นพิเศษ “คุณเชนติชมได้เต็มที่เลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ” รอยยิ้มของคุณมินที่เชนเห็น ทำให้ความรู้สึกที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ พลุ่งพล่านจนแทบจะเก็บเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป



“ป้าสุนีย์ใช่มั้ยจ๊ะ” คนที่เพิ่งเดินมาจนถึงด้านหน้าตึกที่ทั้งใหญ่โต ทั้งสูงตระหง่าน กรอกเสียงถามลงไปในโทรศัพท์มือถือที่ตกรุ่นไปนานเกินกว่าห้าปีแล้ว ทันทีที่ได้ยินคนที่ปลายสายกดรับ “ถึงช้าจังเลย ไปไหนมา ถึงได้มาถึงเอาจนเวลาป่านนี้” ที่ปลายสายส่งเสียงตำหนิกลับมาในทันที เพื่อทำให้รู้ว่า เรื่องนี้มันทำให้รู้สึกน่าหงุดหงิดใจ



“หนูขอโทษด้วยจ้ะป้า” น้ำเสียงกล่าวออกไปด้วยความรู้สึกผิดและเกรงใจ ที่ทำให้อีกฝ่ายต้องแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน “หนูเพิ่งเคยเข้ามาในกรุงเทพฯเพียงลำพังครั้งแรก หนูเดินหลงไปอีกทาง เลยทำให้” ยังไม่ทันที่จะได้พูดจาอธิบายความให้เข้าใจกัน ว่าทำไมถึงปล่อยให้อีกฝ่ายต้องรออยู่เป็นนานสองนาน



“เอาล่ะ ๆ ไม่ต้องพูดมาก นี่อยู่ที่หน้าตึกแล้วใช่มั้ย รออยู่ตรงนั้น ห้ามเดินไปไหนมาไหนอีก แล้วอย่าสร้างความวุ่นวายให้ฉัน” ฟังป้าสุนีย์ว่ามาได้แค่นั้น ป้าแกก็วางสายไป ปล่อยให้คนที่โทรไป ได้แต่ทำหน้าเสีย เพราะไม่คิดว่าพอเดินทางมาถึงปุ๊บ ก็จะกลายเป็นเรื่องปั๊บ ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวเองก็ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น เพียงแต่สถานการณ์มันดันไม่เอื้ออำนวย



ยืนรออยู่ตรงนั้นแค่ไม่นาน ป้าสุนีย์ก็เดินมาถึงที่ด้านหน้าตึก สีหน้าและแววตาบอกได้เลยว่า ไม่ได้มีความยินดีสักนิดที่ได้พบกัน มีคนงานกำลังทำงานอยู่ที่ด้านหน้าตึก ป้าสุนีย์ตะโกนเสียงดังใส่คนที่เพิ่งมาใหม่ ว่าอย่าไปยืนขวางทำตัวเกะกะคนอื่น ก่อนจะบอกให้รีบเดินตามป้าสุนีย์เข้าไปในตึก โดยที่คนงานด้านนอกนั้น ปล่อยไวนิลแผ่นยักษ์ที่มีรูปของป๊อปสตาร์คนใหม่ ที่กำลังโด่งดังจนสุดขีด ถูกคลี่ลงมาแสดงที่ด้านหน้าอาคาร



“หนมต้มเป็นเจ้าของที่นี่หรือ” คนถูกถามยิ้มกว้างออกมาให้เห็น ก่อนจะหัวเราะเสียงดังฟังดูสดใส “เป็นได้ก็ดีสิ” หนมต้มตอบกลับไป “โน่น” ก่อนจะบุ้ยปากไปที่ผู้หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ที่ด้านหน้าที่พัก “เจ้าของตัวจริงนั่งอยู่นั่น ส่วนผม” หนมต้มจิ้มนิ้วชี้มาที่หน้าอกของตัวเอง “เป็นได้แค่นี้” คนถามเองก็ยิ้มออกมาด้วยเช่นกัน เมื่อเห็นหนมต้มทำท่าจริงจังกับการล้างจานที่อยู่ตรงหน้า



“เขาจ้างล้างจานก็ดีเท่าไหร่แล้ว” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่หนมต้มก็ดูจะแข็งขันล้างจานเหล่านั้น “ว่าแต่คุณเถอะ กินอะไรได้บ้าง กินเผ็ดได้หรือเปล่า” หนมต้มถามอีกฝ่าย ที่มาแวะพักที่โฮมสเตย์แห่งนี้ เพราะก่อนหน้า หนมต้มสัญญากับอีกฝ่ายเอาไว้ว่า เดี๋ยวล้างจานจากกลุ่มลูกค้าก่อนหน้าที่เข้ามาสั่งอาหารกินเสร็จ ก็จะทำอาหารอะไรง่าย ๆ ให้อีกฝ่ายได้กินเป็นมื้อเย็น



“ขอโทษทีนะ ที่ต้องมาขอให้ทำอะไรหลังจากที่เสร็จงานแล้วแบบนี้” หนมต้มได้ยินแบบนั้น พอคว่ำจานที่ล้างเสร็จทั้งหมด ก็กลับมาตอบกลับไปว่า “ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ก็คุณหิว คุณมาพักกับเราที่นี่ จะปล่อยให้ท้องว่างอยู่ได้ยังไงทั้งคืน” หนมต้มพูดแบบนั้น ก่อนจะเพิ่มเติมไปอีกว่า ขนาดลูกค้ากลุ่มก่อนหน้า ไม่ได้พักที่นี่ ยังสามารถทำอาหารให้รับประทานกันจนอิ่มหมีพีมันได้เลย



“เพียงแต่ว่า ของสดมันหมดไปกับลูกค้ากลุ่มที่แล้ว” หนมต้มเดินไปเปิดประตูตู้เย็นดู “คุณกินเผ็ดได้มั้ย ถ้าได้ มันมีไข่ไก่อยู่ และก็มีพวกสมุนไพรพวกนี้เหลืออยู่” คนถูกถามพยักหน้าแทนคำตอบ หนมต้มยิ้มก่อนจะพยักหน้าตกลงเช่นกัน “คุณรอแป๊บ ไม่นานได้กินของอร่อย” หนมต้มเริ่มทำกับข้าวด้วยความคล่องแคล่ว มองดูก็รู้ว่าเป็นเพราะการไม่เกี่ยงงาน ได้มีโอกาสทำบ่อย ๆ จนมีความชำนิชำนาญ



“ขั้นแรกก็ทอดไข่เจียวใส่หอมแดงซอยให้เหลืองกรอบก่อน” กลิ่นไข่เจียวกับหัวหอมแดงที่ส่งเสียงฉี่ฉ่าในน้ำมันร้อน ๆ ลอยหอมขึ้นเตะจมูก แค่นี้ก็ทำให้ท้องที่หิวนั้น ครวญครางส่งเสียงร้องออกมาอย่างหนักแล้ว “หั่นเป็นชิ้น ๆ พอคำ รอเอาไว้” มือที่ขยับมีด หั่นไข่เจียวเป็นชิ้น ๆ นั้น ทำให้ชายหนุ่มมองด้วยความเพลิดเพลิน “ทีนี้ก็มาลงมือทำน้ำต้มยำกัน” กลิ่นหอมของข้า ตะไคร้ ใบมะกรูด หอมฟุ้งไปจนทั่วครัว น้ำต้มยำเดือดปุด ๆ อยู่บนเตาไฟ



“ใส่ไข่เจียวที่ทอดเตรียมเอาไว้ลงไป” ชิ้นไข่เจียวหมุนวนในหม้อน้ำต้มยำเสริมกลิ่นหอมกันและกัน จนชายหนุ่มต้องเดินไปคดข้าวสวยใส่จาน ตามที่หนมต้มบอกเอาไว้ แล้วกลับมานั่งรอที่โต๊ะ โดยถือช้อนส้อมเตรียมเอาไว้ในมือ “พริกขี้หนูสวนบุบ โยนใส่ไป ก็เป็นอันกินได้” ไม่ต้องให้หนมต้มเชื้อเชิญอะไรมาก ชายหนุ่มตักน้ำต้มยำพร้อมกับไข่เจียว ราดลงบนข้าวสวยร้อน ๆ แล้วตักเข้าปาก เคี้ยวตุ้ย ๆ ในทันทีด้วยความหิว



“อ๊า เผ็ด” ชายหนุ่มร้องออกมา เมื่อรู้ตัวว่าเคี้ยวพริกขี้หนูไปพร้อมกับไข่เจียวนั้นด้วยแล้ว “แต่อร่อยมาก” ชายหนุ่มตักข้าวพร้อมต้มยำถ้วยนั้นเข้าปากกินอย่างต่อเนื่อง เขารู้สึกดีใจที่หนมต้มไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร เพราะเจ้าตัวนั้นไม่ได้ติดตามวงการบันเทิงอะไรเลย โทรศัพท์มือถือเครื่องที่ตกรุ่นไปแล้วกว่าห้าปีนั้น ก็มีหน้าที่รับสายเข้า และก็โทรออกบ้างเป็นบางครั้งเท่านั้น ชายหนุ่มชอบที่หนมต้มปฏิบัติกับเขาเป็นแค่แขกที่มาพักโฮมสเตย์ธรรมดา ๆ คนหนึ่ง และหนมต้มก็ทำให้เขาอยากอยู่ที่นี่ ไม่ต้องการอยากกลับไปในที่ที่เขาหนีมา



*******************************************************



คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

เป็นไรมั้ย - ต้าห์อู๋ พิทยา

https://www.youtube.com/watch?v=p3N_11qA104


ที่ฉันรู้สึก ที่ฉันเป็นอยู่

The feeling that I have, the way that I am now

ใครจะรู้ฉันต้องกลั้นใจเท่าไร

No one knows how hard I have to hold myself back

ก็ฉันไม่มี ไม่มีสักสิ่งไหน

‘Cause I don’t have, nothing I have even one thing

ดีพอให้ฉันนั้นได้อยู่ใกล้ใกล้เธอ

Is good enough for me to be right next to you


ที่ไม่พูดไม่ได้แปลว่าไม่รัก

I’m not saying anything doesn’t mean I don’t know what love is

ที่แอบรักไม่ได้แปลว่าไม่รู้สึกอะไร

My secret crush, it doesn’t say that I am lacking of expression

ถ้าเธอลองมองดวงตา แปลภาษาของดวงใจ

If you look into my eyes, interpret how my heart converses

เธอคงเข้าใจกันสักวัน

You’ll understand me someday


เป็นไรไหม ถ้ามีใครสักคนรักเธอหมดหัวใจ

Will it be okay? When someone loves you wholeheartedly

ถ้าเขาไม่ใช่คนที่เธอเคยฝันไว้

Though he’s not the guy you’ve been dreaming of

ไม่ได้ดีสักเท่าไร ไม่ใช่ใครคนที่คู่ควรรักเธอ

Not that good per se, cannot say that he deserves you


เป็นไรไหม หากเขาเผลอไป

Is it okay with you? When he may slip

เผลอทำอะไรให้เธอรู้

Unknowingly does something and let you know

เป็นไรไหม ถ้าเขาซ่อนไว้ไม่ไหว

Is it really okay if he cannot hide it any longer?

อย่าถือสาได้ไหม

Please bear with him

ถ้าสายตามันบอกว่ารักเธอ

If his eyes are read that he loves you


(เฉวียนซินเฉวียนยีอ้ายหนี่)

รักเธอเต็มหัวใจ

Love you with all my heart

(เฉวียนซินเฉวียนยีอ้ายหนี่)

รักเธอเต็มหัวใจ

Love you with all my heart


ที่ไม่พูดไม่ได้แปลว่าไม่รัก

I’m not saying anything doesn’t mean I don’t know what love is

ที่แอบรักไม่ได้แปลว่าไม่รู้สึกอะไร

My secret crush, it doesn’t say that I am lacking in expressions

ถ้าเธอลองมองดวงตา แปลภาษาของดวงใจ

If you look into my eyes, interpret how my heart converses

เธอคงเข้าใจกันสักวัน

You’ll understand me someday


เป็นไรไหม ถ้ามีใครสักคนรักเธอหมดหัวใจ

Will it be okay? When someone loves you wholeheartedly

ถ้าเขาไม่ใช่คนที่เธอเคยฝันไว้

Though he’s not the guy you’ve been dreaming of

ไม่ได้ดีสักเท่าไร ไม่ใช่ใครคนที่คู่ควรรักเธอ

Not that good per se, cannot say that he deserves you


เป็นไรไหม หากเขาเผลอไป

Is it okay with you? When he may slip

เผลอทำอะไรให้เธอรู้

Unknowingly does something and let you know

เป็นไรไหม ถ้าเขาซ่อนไว้ไม่ไหว

Is it really okay if he cannot hide it any longer?

อย่าถือสาได้ไหม

Please bear with him

ถ้าสายตามันบอกว่ารักเธอ

If his eyes are read that he loves you


ถ้าวันหนึ่งเธอได้รู้ ถ้าฉันห้ามไม่ไหว

If one day you know this and I can no longer lie

ถ้าวันนั้นฉันเผลอไป ลืมเก็บรักไว้ข้างใน

If one day I lower my guard down, forget how to keep secrets inside

เธออย่าโกรธกันเลยได้ไหม

You would please not get mad at me, wouldn’t you?


เป็นไรไหม ถ้ามีใครสักคนรักเธอหมดหัวใจ

Will it be okay? When someone loves you wholeheartedly

ถ้าเขาไม่ใช่คนที่เธอเคยฝันไว้

Though he’s not the guy you’ve been dreaming of

ไม่ได้ดีสักเท่าไร ไม่ใช่ใครคนที่คู่ควรรักเธอ

Not that good per se, cannot say that he deserves you


เป็นไรไหม หากเขาเผลอไป

Is it okay with you? When he may slip

เผลอทำอะไรให้เธอรู้

Unknowingly does something and let you know

เป็นไรไหม ถ้าเขาซ่อนไว้ไม่ไหว

Is it really okay if he cannot hide it any longer?

อย่าถือสาได้ไหม

Please bear with him

ถ้าสายตามันบอกว่ารักเธอ

If his eyes are read that he loves you

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 291
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
โอมเดินออกจากห้องน้ำ ด้วยกางเกงบ็อกเซอร์เพียงตัวเดียว เพื่อเตรียมตัวที่จะเข้านอน เขาพาดผ้าเช็ดตัวผืนนั้น ที่ทั้งบางและเก่าลงบนราวไม้ที่มันจำสีดั้งเดิมของมันไม่ได้แล้ว ก่อนจะเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ตรงโต๊ะที่มุมห้อง ที่จัดเอาไว้ให้ลับตาจากภายนอกห้องให้ได้มากที่สุด ด้วยความที่ห้องพักของโอมนั้น มีหน้าต่างบานเกล็ดอยู่ที่ข้างประตู เพื่อระบายอากาศ จนโอนต้องหาผ้าม่านหนาทึบมาปิดเอาไว้



โอมขยับเมาส์คอมพิวเตอร์ในมือ หน้าจอคอมพิวเตอร์รุ่นโบราณคร่ำคร่า ก็สว่างติดขึ้นมาอีกครั้ง บนหน้าจอ เป็นรูปของคุณหนูของเขา ที่โอมตั้งเอาไว้เป็นวอลเปเปอร์ ภาพนี้ของคุณหนูที่โอมแอบเอากล้องมือถือของเขา ที่ปรับให้ชัดที่สุดเท่าที่ราคาหลักพันบาทของมันจะพอจะพาไปถึง กับตอนที่โอมมีโอกาสได้รับอนุญาตให้ไปเที่ยวทะเลกับครอบครัวคุณหนู เพื่อฉลองวันเกิดปีที่สิบแปดของคุณหนูด้วย รูปของคุณหนูในเสื้อกล้ามสีขาว เปียกน้ำ นั่งอยู่บนทรายที่ชายหาด



โอมเอื้อมมือเข้าไปใต้ผ้าของกางเกงบ็อกเซอร์เพียงตัวเดียวที่เขาใส่อยู่ในตอนนี้ สายตามองไปที่รูปของคุณหนู ที่โอมคิดว่ามันคือรูปที่เซ็กซี่มากที่สุด เท่าที่เขาเคยเห็นมา และโอมที่รู้สึกผิดในใจมาเสมอ แต่ก็ยังไม่อาจหักห้ามใจไม่ให้ทำแบบนี้ได้ ตั้งแต่ได้รูปนี้มา มือของโอมขยับขึ้นลงภายใต้เนื้อผ้าไม่หนาเท่าไรนักของกางเกง กล้ามเนื้อท้องเป็นลอนเกร็งชัดขึ้น เมื่อความรู้สึกของเขากำลังเริ่มเตลิด



“โอม เปิดประตู” เสียงเรียกพร้อมกับเสียงเคาะประตูดังขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาโอมถึงกับต้องสะดุ้งจนสุดตัว ด้วยเสียงเรียกที่โอมจำได้อย่างแน่นอนว่าเป็นใคร “โอม เราบอกให้เปิดประตูยังไงล่ะ จะมาทำเป็นไม่ได้ยินไม่ได้นะ” เสียงนั้นวางอำนาจเพราะรู้ดีว่า เจ้าของชื่อและเจ้าของห้องนอนห้องนี้ ยังไงก็ต้องทำตามคำสั่งของอีกฝ่ายอย่างแน่นอน



“เดี๋ยวครับคุณหนู” โอมท่าทางเลิ่กลั่ก ก้มลงมองกางเกงบ็อกเซอร์ของตัวเองที่ทำมุมชี้ตั้งด้วยความแข็งขันอย่างเต็มที่ “ทำอะไรอยู่ ทำไมช้าจัง เรียกแล้วก็ต้องเปิดประตูทันทีสิ” น้ำเสียงของคุณหนูไม่พอใจ ที่ตอนนี้นายโอมคนที่ตามใจคุณหนูมากกว่าใครทั้งบ้าน กำลังขัดใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โอมพยายามข่มใจ ข่มความรู้สึกตื่นเต้นให้ลดน้อยลง พอคิดว่าพอไหวพอได้แล้ว ก็เดินไปปลดกลอนประตู แล้วเปิดออกไป



“นายเอาปากกาเรามา ไหน เอามาคืนเราเดี๋ยวนี้” ไม่พูดเปล่า คุณหนูของนายโอมถือวิสาสะ เดินพรวดพราดเข้าไปในห้องของโอมทันที โอมโล่งใจไปหนึ่งเปลาะที่คุณหนูของเขา ไม่ทันสังเกตเห็นความแข็งเขื่องภายใต้กางเกงบ็อกเซอร์ แต่ก็ต้องถึงกับหน้าเหวอเมื่อมองไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ของตัวเอง ที่รูปของคุณหนูนั้นเปิดหราอยู่ ดีที่ปากกาที่โอมคิดว่า จะเอาไปคืนพรุ่งนี้ตอนเช้า ที่มันติดมากับหนังสือเรียนพิเศษ ที่โอมต้องอ่านเพื่อทำการติวให้กับคุณหนูตามคำสั่ง มันวางอยู่ที่บนหัวเตียง



“เป็นอะไรน่ะ” คุณหนูเอ่ยปากถาม เมื่อเห็นโอมรีบเข้ามายืนบังหน้าจอคอมพิวเตอร์เอาไว้ ก่อนจะทำตัวผิดปกติ เมื่อดึงสายไฟทั้งหมดออกจากเต้าเสียบที่ผนัง ทั้งจอมอนิเตอร์และคอมพิวเตอร์ดับวูบลง “กำลังทำอะไรไม่ดีหรือไง” คุณหนูเดินเข้าหาโอม ก่อนจะพยายามชะโงกมองไปที่ด้านหลังโอม โดยที่โอมได้แต่ส่งเสียงห้ามคุณหนูของเขาเอาไว้



“คุณหนูครับ ช่วยถอยออกไปห่าง ๆ ผมก่อน” โอมต้องกลั้นใจ ใช้มือทั้งสองข้างดันแขนของคุณหนูให้ขยับเดินถอยหลังไป ก่อนจะรีบปล่อยมือจากแขนเล็ก ๆ ของคุณหนูนั้น โอมต้องทำแบบนี้ เพราะรู้สึกได้ตอนที่คุณหนูแนบตัวเข้ามาใกล้ แขนของคุณหนูนั้น สัมผัสเข้ากับท่อนกลางลำตัวของโอม ที่มันกำลังกวัดแกว่งไปมา ตอนที่โอมนั้นกำลังขยับตัวห้ามคุณหนู และมันกำลังทำให้ภายในใจของโอมนั้นต้องว้าวุ่น เมื่อคนที่สัมผัสโดนมัน คือคุณหนูคนนี้ของโอม



“ทำไมทำตัวแปลก ๆ” คุณหนูจ้องหน้าโอม ที่ทำได้แค่เลี่ยงการสบตานั้น “เมื่อก่อนทำได้ ทำไมตอนนี้ต้องมาห้ามกันด้วย” คำถามของคุณหนูต้องการให้โอมตอบออกมาเดี๋ยวนี้ “ก็นั่นมันเมื่อก่อน นี่ครับ” โอมพูดออกไป รู้ดีว่า เมื่อตอนที่ทั้งเขาและคุณหนูยังเด็ก ก็เป็นเพื่อนเล่นกันมาโดยตลอด คุณหนูลูกนายท่านกับโอมเด็กในบ้าน ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงไปในตัว พากับเล่นซน พากันก่อเรื่อง จนโดนดุอยู่หลายครั้ง แต่ก็เป็นโอมเสียทุกครั้งไป ที่ออกหน้ารับผิดแทนคุณหนูของเขา



มินกล้า ๆ กลัว ๆ ชะโงกมองแบบไม่ค่อยมั่นใจนัก เมื่อเขาเดินเข้ามาในซอยลึกพอสมควร จนถึงด้านหน้าลานกว้าง ที่มีรถจักรยานยนต์หลายคันจอดอยู่ ที่ด้านหลังของรถ มีกล่องใส่อาหารและของใช้หลากสีวางอยู่ ที่มินสอบถามร้านค้าที่อยู่ตรงปากซอย ก่อนจะเดินมาตามเส้นทางที่บอก ว่าตรงนี้ เป็นสถานที่ที่เหล่าบรรดาไรเดอร์ขับรถส่งของส่งข้าว มานั่งรวมกลุ่มกันตรงนี้



“ขอโทษนะครับ” มินส่งเสียงพูดออกไปในที่สุด หลังจากยืนจด ๆ จ้อง ๆ อยู่ตรงนั้นอยู่อึดใจใหญ่ บรรดาไรเดอร์ที่นั่งพักผ่อนกันอยู่ตรงนั้น หันมามองตามเสียงพูดของมิน มีบางคนใช้ศอกดันกัน เมื่อเห็นว่าเป็นใครที่มายืนอยู่ตรงนั้น “คือ ขอถามหน่อยนะครับพี่ ๆ คือ คุณเชนอยู่มั้ยครับ” มินถามคำถามออกไป ในมือกระชับถุงขนมที่ถือเอาไว้จนแน่น เหงื่อเปียกชื้นมือไปหมด



“คุณมินใช่มั้ยครับ” ใครคนหนึ่งที่เป็นเพื่อนกับเชน ถามออกไปแบบนั้นเอง เพราะต่างก็รู้และจำได้กันหมดทั้งกลุ่มแล้ว ว่าคุณมินของไอ้เชน รูปร่างหน้าตาเป็นยังไง เหตุเพราะเชนนั้น เอารูปถ่ายของคุณมิน คนน่ารักของมันมาแปะเอาไว้นั่งดูยืนมอง เพื่อเป็นกำลังใจให้ทุกวัน กับการวิ่งรถ ยิ่งบางวัน ไม่มีเหตุให้ได้ขับรถผ่านไปที่หน้าร้านของมิน ไม่แม้แต่จะได้เฉียดไปให้ได้เห็นหลังคาร้าน ได้มองรูปถ่ายของคุณมิน ก็ทำให้เชนชื่นใจแล้ว



“ใช่ครับ” มินตอบกลับออกไป ไม่คิดเหมือนกันว่า นอกจากเชนแล้ว พี่ไรเดอร์คนอื่น ๆ ก็รู้จักชื่อของเขาด้วย “ขนมร้านของคุณมิน อร่อยมากเลยนะครับ” เพื่อนอีกคนของเชนพูดขึ้น กล่าวชมรสชาติขนมที่มินทำ “แถมอร่อยมากขึ้นเป็นร้อยเท่าพันเท่า สำหรับไอ้เชนมัน” หลาย ๆ คนที่นั่งกันอยู่ตรงนั้นพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เพราะจำท่าทางของเชนเพื่อนรักได้ดี เวลาที่เชนมันได้ขนมจากคุณมิน มานั่งมอง ไม่ใช่มานั่งกิน



“ขอบคุณมากนะครับ” มินบอกขอบคุณพี่ ๆ ไรเดอร์ไป “แล้วคือนี่” มินกำลังรวบรวมความกล้าที่จะพูดออกไป “เอาขนมมาให้ไอ้เชนมันหรือครับคุณมิน” มินพยักหน้าแทนคำตอบว่าใช่ เมื่อมีอีกคนชี้นิ้วมาที่ถุงขนมที่มินถืออยู่ในมือ “แล้วคุณเชนอยู่มั้ยครับ” มินถามก่อนจะยิ้มแบบเกรงใจที่ดั้นด้นมารบกวนทุกคนถึงที่นี่



“ไอ้เชนหรือครับ” เพื่อนสนิทคนหนึ่งของเชนพูดขึ้นเสียงดังกว่าปกติ ก่อนจะทำเอียงคอมองไปทางแผ่นไม้อัดแผ่นใหญ่ ที่มันใหญ่มากพอที่จะให้ใครสักคนยืนหลบอยู่ที่ด้านหลังนั่นได้ “มันบอกว่า ถ้ามีใครมาถามหามัน ให้บอกกับเขาไปว่า มันไม่อยู่ ถึงแม้ว่ามันจะอยู่ก็ตาม” เชนที่ยืนหลบอยู่ที่ด้านหลังแผ่นไม้แผ่นนั้น หลับตาลงแน่น ๆ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาพรืดใหญ่ เมื่อโดนเพื่อนสนิท หักแผนการที่วานเพื่อช่วย โยนทิ้งกันต่อหน้าต่อตา



“ครับคุณมิน” เชนเมื่อได้เห็นหน้ามินยืนอยู่ต่อหน้า ก็ลดอาการโกรธและอาการน้อยใจที่มีอยู่ก่อนหน้าลงไปได้บ้าง “มีอะไรครับ” เชนพยายามทำเสียงแข็ง เหมือนกับว่าไม่ยินดียินร้ายในการมาหาของมินแต่อย่างใด ทั้ง ๆ ที่ในใจของเขาตอนนี้ หัวใจมันเต้นดังโครมครามไปหมดแล้ว “คือ มิน” เจ้าของร้านเบเกอรี่เอง พอเห็นท่าทางแบบนั้นของเชน ก็ไม่รู้จะทำตัวยังไงดีเหมือนกัน



“คือเมื่อวาน มินไม่ทันได้ขอบคุณ คุณเชน” มินยื่นถุงขนมส่งให้กับเชน ที่เชนยื่นมือออกไปรับ เมื่อมินทำท่าคะยั้นคะยอ “มินเห็นแค่ถุงของที่สั่งวางเอาไว้ แต่ไม่เห็นคุณเชน ลองโทรกลับมา คุณเชนไม่รับสาย ก็คิดว่าคุณเชนคงจะยุ่ง ๆ เลยถือวิสาสะเอาขนมมาขอบคุณวันนี้แทน” มินพอเห็นว่า เชนไม่ได้พูดอะไรกลับ “โอเคครับ งั้นเดี๋ยวมินขอตัวกลับก่อน ทานขนมให้อร่อยนะครับ” สิ่งที่ทำได้ก็คือพูดลาเชนในทันที โดยที่เชนเองก็ปล่อยให้มินเดินออกไปจากตรงนั้น ทั้งที่ใจอยากจะรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ แต่ปากก็หนักเกินกว่าที่จะทำตามสิ่งที่หัวใจมันเรียกร้อง



“ทำใจเถอะวะไอ้เชน” เพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งเอ่ยขึ้น เมื่อเชนถือถุงขนมที่ได้รับจากมิน เดินมานั่งจุ้มปุ๊ก อย่างคนหมดอาลัยตายอยาก “คนเรา เขาก็ต้องการคนที่ดูแลซัพพอร์ตเขาได้” เพื่อนรุ่นพี่บอกให้เชนรู้ถึงสัจธรรมที่เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมา ครั้งแล้วครั้งเล่า ในโลกใบนี้ “แถมคนแบบพวกเรานี่แหละ ที่เรื่องนี้เกิดขึ้นด้วยบ่อย จนแม่งโคตรของโคตรไม่แฟร์เลย” ทุกคนลงความเห็นพ้องกันในเรื่องนี้



“คนบนตึกกลับกันหมดแล้ว ปกติก็เริ่มตั้งแต่สี่ทุ่ม” ป้าสุนีย์บอกกับหนมต้ม เกี่ยวกับงานที่หนมต้มต้องช่วยป้าสุนีย์ เริ่มตั้งแต่ค่ำนี้เลย “พื้นชั้นนี้ทั้งหมด ต้องเช็ดถูให้สะอาดเอี่ยม แต่ต้องไม่ให้มีคราบน้ำหลงเหลือหลังจากพื้นแห้งด้วยนะ ถ้ามีคราบน้ำต้องทำใหม่ทั้งหมด” หนมต้มพยักหน้ารับคำป้าสุนีย์ ก่อนจะมองไปที่ไม้ถูพื้น ที่ป้าสุนีย์สั่งกำชับ ห้ามไม่ให้ใช้เครื่องถูพื้น ให้หนมต้มใช้เป็นไม้ม็อบได้เท่านั้น



“ทำทั้งหมดนี่แค่คนเดียว เหนื่อยแย่” เสียงคุ้น ๆ นั้น ดังมาจากทางด้านหลัง ทำให้หนมต้มหันขวับไปมอง “อ้าวคุณ” หนมต้มทักทายอีกฝ่ายออกไป ยิ้มกว้าง เมื่ออยู่ ๆ ก็เจอเซอร์ไพรซ์เรื่องใหญ่สำหรับการมาเยือนเมืองหลวงในครั้งนี้ “มาทำอะไรที่นี่เนี่ย” หนมต้มทักแบบคนที่พอจะคุ้นเคยกันอยู่ ส่วนชายหนุ่มที่เพิ่งมาถึง ส่ายหน้าเป็นเชิงบอกให้ป้าสุนีย์อย่าทำตัวกระโตกกระตาก เมื่อแกทำท่าตกใจ เมื่อเห็นชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดสีขาวมอ ๆ กางเกงขาก๊วยโผล่มาในเวลานี้



“ผมมาฝึกงานที่นี่น่ะ” เคนตะตอบหนมต้มกลับไป ใบหน้ายิ้มกว้างแบบคนที่รู้สึกดีใจที่สุดในชีวิต แบบที่ป้าสุนีย์เองที่เคยเห็นเคนตะมานาน ก็เพิ่งจะเคยเห็นชายหนุ่มยิ้มด้วยดวงตาแบบนี้เป็นครั้งแรก “อย่ามัวถามแต่ผมเลย หนมต้มเถอะ ทำไมมาอยู่ตรงนี้ได้” เคนตะเบี่ยงคำถามให้กลับไปเกี่ยวกับอีกฝ่ายมากกว่า เพื่อเบนความสนใจไปที่หนมต้ม แทนที่จะเป็นตัวเขา



“ผมมาช่วยป้าสุนีย์น่ะครับ ป้ามีบุญคุณกับผม เห็นว่าคนขาด แล้วทางตึกเขามีงบจ้างคนนอกมาช่วยชั่วคราว นี่เป็นการเข้าเมืองกรุงของผมด้วยตัวคนเดียวครั้งแรกเลยนะ” หนมต้มเล่ารายละเอียดให้กับชายหนุ่มได้รับรู้ “มากรุงเทพฯคนเดียวเลยหรือ เก่งนะเนี่ย แต่ก็ขี้โม้ด้วยเหมือนกัน” หนมต้มกำหมัดทั้งสองข้าชูขึ้น เมื่อถูกชายหนุ่มแซว ทั้งสองคนหัวเราะออกมาพร้อมกัน



“ว่าแต่ป้าสุนีย์ครับ” เคนตะหันไปพูดกับป้าแม่บ้านประจำตึก “เดี๋ยวผมช่วยหนมต้มถูกพื้นเลยนะครับ ไหน ๆ ผมก็มาฝึกงานที่นี่แล้ว” ป้าสุนีย์ยิ้มแหย ๆ แต่ก็ไม่กล้าพูดขัดเคนตะ ได้แต่พยักหน้ารับ ๆ ส่ง ๆ ไป “แต่ก่อนจะเริ่มงาน ผมสั่งอาหารเอาไว้ให้มาส่ง เรากินข้าวกันก่อนดีกว่า เพื่อเพิ่มแรงไง หนมต้ม” ป้าสุนีย์ก็สุดจะทัดทาน ต้องปล่อยเลยตามเลย ให้ซูเปอร์สตาร์อันดับหนึ่งของตึก ทำอะไรตามใจไปแบบนั้น



“ทำไมมันมาเร็วจัง” หนมต้มถึงกับต้องเอ่ยปากถาม เมื่ออยู่ ๆ ก็มีคนเอาอาหารหลายถุงเข้ามาให้ อย่างกับจัดคิวกันเอาไว้เนียนเป๊ะ “เมืองใหญ่ก็แบบนี้แหละ” เคนตะให้เหตุผล ก่อนจะส่งสายตาบอกให้ผู้ช่วยส่วนตัวของเขา ที่ร่วมแผนนี้ด้วย รีบเดินออกไปได้แล้ว “แล้วซื้ออะไรมาเยอะแยะ แบบนี้แพงแน่ ๆ เลย งั้นผมไม่กินแล้วกัน คุณกินเถอะ” หนมต้มพูดด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกเกรงใจอีกฝ่ายจริง ๆ



“โอ๊ย แพงเพิงอะไรกัน ของลดราคา ใช้โค้ดลดทีเดียวสามสี่อัน ไม่ต้องงั้นงี้เลย หนมต้มต้องกินข้าวด้วยกันกับผม จำไม่ได้แล้วหรือไง ว่าผมเคยบอกกับหนมต้มว่ายังไง ตอนที่หนมต้มทำต้มยำไข่เจียวให้ผมกินที่โฮมสเตย์ ว่าผมจะขอเลี้ยงข้าวหนมต้มบ้าง ถ้าหนมต้มมากรุงเทพฯ” เคนตะมือหนึ่งก็ถือถุงอาหารเอาไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งก็จับมือหนมต้ม พาเดินจูงมือมาที่ห้องพักของพนักงาน ที่มุมด้านหลังฟลอร์



“อาหารญี่ปุ่น” เคนตะบอกกับหนมต้ม “อร่อยนะ” ชายหนุ่มทำท่าภูมิใจเสนอ “อันนี้คืออะไร” หนมต้มถามอีกฝ่าย หยิบเอาซองตะเกียบมาแกะออก “อันนี้เป็นเห็ดผัดเนยกับซอสโชยุ ลองชิมดู” เคนตะยิ้ม มองดูหนมต้มที่บอกว่า ไม่เคยกินอาหารญี่ปุ่นมาก่อน เพราะปกติเคยแต่ทำอาหารกินเองที่โฮมสเตย์ หนมต้มใช้ตะเกียบคีบเห็ดชุ่มซอสนั้นเข้าปาก



“อืม หอมเนยมาก อร่อยอยู่นะ” หนมต้มเอ่ยชมออกไป เพราะรู้สึกว่ามันอร่อยดี เคนตะยิ้มดีใจที่หนมต้มชอบ “แล้วที่เหลือล่ะ” หนมต้มถามถึงอาหารในถุงกระดาษใบใหญ่นั้น “อันนี้เป็นราเมน ก๋วยเตี๋ยวแบบญี่ปุ่นน่ะ” เคนตะยกถ้วยราเมนที่กำลังร้อน ๆ อยู่ วางตรงหน้าหนมต้ม “ไม่มีเครื่องปรุงเลยหรือ” หนมต้มมองหาพริกน้ำส้มอะไรเทือกนั้น “ไม่มี แต่อร่อยนะ อร่อยแบบไม่ต้องปรุง” เคนตะใจแป้วนิดหน่อยที่ดูท่าทางหนมต้มจะไม่ค่อยชอบราเมนสักเท่าไหร่



“ก็ไม่แย่ แต่ถ้ามีพริกขี้หนูด้วยน่าจะถูกปากมากยิ่งขึ้น” เคนตะหัวเราะออกมาอย่างเข้าใจ เมื่อได้ยินหนมต้มพูดแบบนั้น “แล้ว” เคนตะเหมือนพยายามรวบรวมความกล้าที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมา “แล้วถ้าจะกินอะไรแบบนี้บ่อย ๆ หนมต้มคิดว่าพอจะกินได้มั้ย” หนมต้มทำท่านึก ตอนที่คีบเส้นราเมนเข้าปาก ก่อนจะเคี้ยวจนหมดคำ แล้วตอบว่า “บ่อย ๆ นี่ มันบ่อยขนาดไหน กี่มื้อล่ะ” หนมต้มไม่แน่ใจเลยถามกลับไป



“ก็บ่อยนะ” เคนตะที่คาดหวังคำตอบจากหนมต้ม เป็นคำตอบที่ถูกใจ “บ่อยแบบตลอดไป ตลอดชีวิตเลยแบบเนี้ย” เคนตะพูดจบก็เห็นหนมต้มทำตาโต “โห ถ้าเป็นแบบนั้น สงสัยต้องเหยาะพริกป่น เติมเกลือเพิ่มแล้วล่ะ มันจืดน่ะ” เคนตะยิ้ม ก่อนจะพยักหน้าไปกับคำตอบของหนมต้ม ถึงมันจะไม่ได้เป็นแบบที่เขาคาดหวังทั้งหมด แต่ก็คิดว่า อย่างน้อยมันก็พบกันครึ่งทางก็ยังดี



*********************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

หยุดรักยังไง - Zeal

https://www.youtube.com/watch?v=YqokHbyRQKg



เบื่อที่ต้องแสดงแกล้งทำเป็นไม่สนใจ

Tired of acting I need to pull off not interested in you

ทำเป็นไม่รักเธอในทุกครั้งที่เจอกัน

Pretending that I don’t love you every time we meet

เหนื่อยที่ต้องแสดงแกล้งทำว่าใจของฉัน

Tired of acting that this very heart of mine

ไม่ได้รู้สึกกับเธอ สักนิดเลย

It doesn’t have any feelings for you, not a bit



ทั้งที่ในใจฉัน มันมีแต่ความหวั่นไหว

Though in my heart, it’s shaking with fear

และทั้งที่ในหัวใจ มันมีแต่เธอคนเดียว

And in this heart of mine, there’s only you in there



หยุดรักครั้งนี้ต้องทำยังไง

How can I ever stop this love?

ยิ่งคิดยังเหมือนว่าในหัวใจ

Thinking and thinking and my heart feels

มีเธอเข้ามาอยู่กลางหัวใจฉัน

That you stay in there right there in the center

เจ็บที่ฉันยิ่งคิดยิ่งลืมเธอไป

And it hurts me so trying to forget you

ยิ่งทรมานที่เจอทุกครั้ง

It suffers me every time we see each other

ฉันไม่เหลือทางที่จะไป

I have no way to go



อยากจะหมุนเวลาย้อนไปให้เป็นเหมือนก่อน

I wish I could turn back time to yesterday

ตอนที่สองเรายังไม่ได้เจอกัน

Where we haven’t got a chance to meet

เผื่อวันนี้จะทำให้ใจข้างในของฉัน

That may spare the feelings inside my heart

ไม่ต้องรู้สึกกับเธอสักนิดเลย

That they won’t get involved with you at all



เพราะว่าในตอนนี้มันมีแต่ความหวั่นไหว

Because now all I have is my vulnerability

และทั้งที่ในหัวใจ มันมีแต่เธอคนเดียว

‘Cause the whole heart of mine, it’s always you and only you



หยุดรักครั้งนี้ต้องทำยังไง

How can I ever stop this love?

ยิ่งคิดยังเหมือนว่าในหัวใจ

Thinking and thinking and my heart feels

มีเธอเข้ามาอยู่กลางหัวใจฉัน

That you stay in there right there in the center

เจ็บที่ฉันยิ่งคิดยิ่งลืมเธอไป

And it hurts me so trying to forget you

ยิ่งทรมานที่เจอทุกครั้ง

It suffers me every time we see each other

ฉันไม่เหลือทางที่จะไป

I have no way to go



สุดท้ายฉันนั้นต้องทำยังไง

In the end, what shall I do?

ยิ่งลืมเธอไป ยิ่งจำทุกครั้ง

The more I try to forget, the more I remember you

หรือต้องรักเธอตลอดไป

Or I have to love you like this forever


ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 291
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0



“แกคิดว่ายังไง เจ้าโอม” เสียงของคุณท่านถามโอม ก่อนที่โอมจะขับรถไปรับคุณหนูของเขาที่โรงเรียนสอนพิเศษ คำพูดของคุณท่านก่อนหน้านั้น ทำให้โอมรู้สึกชาไปทั้งตัว “ฉันรู้ดีว่าลูกชายของฉัน” คุณท่านเอามือมาแตะที่ไหล่ของโอม “คุณหนูของแก ชอบอะไรแบบไหน” โอมได้แต่ยืนนิ่งอยู่แบบนั้น ความวุ่นวายในใจไหลวนปะทะปนกันอย่างหนักหน่วง “ฉันไม่ห้ามลูกของฉันหรอก เรื่องชอบผู้ชายด้วยกัน แต่ฉันก็อยากจะให้คุณหนูของแก ได้กับคนที่ดี เหมาะสมกับเขา แกว่ายังไง ในฐานะพี่ชาย” โอมรู้สึกแบบนั้นเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่น้ำตาของเขาไหลย้อนกลับเข้าไปล้นในหัวใจ


“ตกลงมันยังไง นี่ป๊ามาพูดอะไรกับนายหรือเปล่า” คำถามของคุณหนูทำให้โอมคิดถึงสิ่งที่คุณท่านถามเขาเมื่อวันก่อน ที่ว่าท่านจะเลือกใครมาเป็นคู่ให้กับคุณหนู ลูกชายคนเดียวของท่านดี ไม่ว่าจะเป็นลูกชายของท่านรัฐมนตรี อีกคนก็ลูกชายท่านทูตกระทรวงการต่างประเทศ และอีกคนก็ลูกชายเจ้าสัวใหญ่ที่กำลังจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง คุณสมบัติทั้งหมดที่คนอย่างเขา ไม่มีทางเทียบติดได้เลย


“คุณหนูควรจะกลับขึ้นเรือนใหญ่ได้แล้วนะครับ ดึกแล้ว” โอมไม่ตอบ แต่บอกให้อีกฝ่ายกลับออกจากห้องเขาไปจะดีกว่า “เดี๋ยวนี้นายจะเป็นคนสั่งกับเราอย่างนั้นหรือ อยากจะทำตัวเป็นพี่เลี้ยงขึ้นมาซะงั้น” เสียงของคุณหนูแสดงความไม่พอใจออกมา “คุณหนูครับ กลับขึ้นเรือนใหญ่เถอะครับ” โอมพยายามจะดันตัวให้คุณหนูเดินออกจากห้อง แต่กลับต้องรู้สึกว่า ของที่โตงเตงอยู่ในกางเกงบ็อกเซอร์ ถูกคุณหนูคว้าหมับเอาไว้ในมือ


“คุณหนู ทำอะไรครับ อย่าทำแบบนี้” โอมดึงมือของคุณหนูออก เพราะไม่อย่างนั้น ของที่มันอ่อนตัว มันจะตั้งแข็งขันขึ้นมาอย่างแน่นอน “ผมอยู่ในฐานะพี่ชายของคุณหนูนะครับ” คำพูดของคุณท่านที่เตือนถึงสถานะของเขาดังก้องอยู่ในหัว “พูดความจริงสิ พูดความจริงสักครั้งในชีวิต มันจะตายมั้ย” คุณหนูตะโกนใส่หน้าโอม ที่โอมเองทำได้แต่สะกดใจข่มความต้องการของเขาให้เก็บเอาไว้


“ความจริงก็คือ ผมไม่มีอะไรจะพูดครับคุณหนู” โอมพูดได้เพียงเท่านั้นจริง ๆ แม้ว่าจะมีคำพูดมาอัดแน่นอยู่ภายในใจของเขามากมายก็ตาม “ป๊ามาพูดอะไรกับนายใช่มั้ย” คุณหนูถามย้ำอีกครั้ง เพราะจากที่เคยสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก ความจริงก็ตั้งแต่คุณหนูเองจำความได้ จนมาระยะนี้ที่ความห่างเหินเข้ามาแทนที่ความใกล้ชิดนั้น


“คุณหนูควรจะกลับขึ้นเรือนใหญ่ไปได้แล้วครับ ดึกแล้ว” โอมต้องฝืนใจแสดงท่าทีไล่อีกฝ่ายออกไปให้ได้เห็น “นายมันขี้ขลาด” เสียงของคุณหนูสั่นเครือ “นายมันไม่เอาไหน นายมันขี้ขลาด ทำไมกันนะ ป๊าว่ายังไง นายต้องทำตามทุกอย่างเลยใช่มั้ย ทำไมไม่มีความคิดเป็นของตัวเองบ้าง ความกล้าสักนิดก็ไม่มี นายเป็นพี่ชายที่ห่วยมาก ที่ไม่เคยรู้จักน้องของตัวเองเลยสักนิดเดียว” โอมขบกรามจนแน่น พยายามกลั้นความรู้สึกที่กำลังท่วมท้นหัวใจของเขาอยู่


“ได้” คุณหนูของโอมพูดด้วยเสียงขึ้นจมูก เมื่อน้ำตามันไหลล้นลงมาจากขอบตา “ป๊าส่งลิสต์รายชื่อผู้ชายมาให้เลือกตั้งหลายคน สามคนแรกโปรไฟล์ดีทั้งนั้น” น้ำเสียงของคุณหนูนั้นเจือไปด้วยความน้อยใจอย่างถึงที่สุด และไม่ยากเลยที่โอมจะรู้สึกถึงมัน “ในเมื่อป๊าเลือกมาแล้ว ของดี ๆ อย่างนี้ เราจะไปทดสอบทดลองให้ครบทั้งสามคน” โอมเอื้อมมือไปคว้าแขนของคุณหนูเอาไว้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าจะเดินออกไป


“นี่คุณหนูคิดจะทำอะไร” เสียงถามของโอมทั้งดุทั้งจริงจัง กับทุกครั้ง น้อยครั้งมากที่โอมจะยอมใช้น้ำเสียงโทนนี้กับคุณหนูของเขา “นายจะสนทำไมว่าเราจะทำอะไร” น้ำที่คลอหน่วยของคุณหนูในตอนนี้ ทำให้โอมรู้สึกไม่โอเค “เราจะไปทำเรื่องอย่างว่า ที่นายได้แต่คิด แต่ไม่ยอมทำกับเรา เพราะนายมันคือคนขี้ขลาด นายมันไม่มีน้ำยา นายมันก็แค่” คุณหนูของโอมพูดได้เพียงแค่นั้น


“อยากฟังนักใช่มั้ย อยากให้ผมพูดนักใช่มั้ย ว่าผมรู้สึกยังไง ผมอยากทำอะไร” เหมือนกับว่า โอมเองก็ความอดทนมันเกิดสิ้นสุด และสติขาดผึงไป ณ วินาทีนั้น เมื่อได้ยินคุณหนูของเขา พูดว่าจะไปทำอะไร ๆ อย่างว่ากับผู้ชายคนอื่น โอมดึงเอามือของคุณหนูมาล้วงเข้าไปใต้บ็อกเซอร์ตัวเดียวที่เขาใส่อยู่ แล้วสั่งให้คุณหนูของเขาใช้มือรูดท่อนเนื้อนั้นขึ้นลง


“ใช่ นี่คือสิ่งที่ผมอยากจะทำกับคุณหนู” โอมออกคำสั่งเสียงเข้ม “เดี๋ยวพอมันแข็งดีแล้ว ผมจะให้คุณหนูก้มลงไปใช้ปากกับมัน” โอมที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้อีกต่อไป พูดจาลามกกับคุณหนูของตัวเองแบบนั้น “ต่อจากนั้น คุณหนูจะถูกไอ้ท่อนดำทะมึนนี่ เด้งสวนกลับขึ้นลง เพราะคุณหนูจะต้องนั่งทับโยกมันให้ผม” โอมไม่เก็บสิ่งที่เขาได้แค่คิด แต่ไม่กล้าที่จะทำจริงออกมาทั้งหมด
 

“ทำไมน่ะหรือ เพราะอะไรใช่มั้ย” โอมกำลังจะพูดบอกกับคุณหนูของเขา ให้รับรู้เป็นครั้งแรก “ก็เพราะว่าผมแอบรักคุณหนูไง แอบรักมาตั้งนานแล้ว ทั้งหวง ทั้งห่วง ผมอยากจะครอบครองคุณหนูเอาไว้แค่เพียงคนเดียว อยากจะทำเรื่องลามกสัปดนกับคุณหนู แต่ก็ทำให้ได้แค่ ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะว่าไอ้โอมคนนี้ มันเป็นแค่เด็กรับใช้ในบ้านที่คุณท่านเก็บมันมาชุบเลี้ยง ให้ข้าวให้น้ำ ให้ที่ซุกหัวนอน แต่มันคิดอยากจะกินบนเรือน ขี้รดบนหลังคา ทำอะไรที่มันเกินวาสนาของมันไงครับ เข้าใจหรือยัง” สิ้นเสียงพูดของโอม ทั้งเขาและคุณหนู ก็หันไปเห็นคุณท่านยืนอยู่ที่หน้าประตูห้อง




“ซัพพอร์ตอะไรวะ” เพื่อนสนิทอีกคนในกลุ่มที่เพิ่งจอดมอเตอร์ไซค์ ถามขึ้น เมื่อเห็นทั้งกลุ่มนั่งหน้าหงอยกันอยู่แบบนั้น“ก็คุณมินของไอ้เชนแม่งอ้ะดิ หมั้นแล้ว กับเสี่ยกระเป๋าหนัก” อีกคนตอบคำถามนั้นแทน “คุณมินเนี่ยนะ” คนที่เพิ่งมาใหม่ถามด้วยความแปลกใจ “มันจะเป็นไปได้ยังไงวะ” เพื่อนคนนี้ที่กำลังกิ๊กกั๊กอยู่กับสาวผู้ช่วยในร้านของมิน ที่รับรู้เรื่องซุบซิบเกี่ยวกับมินมาโดยตลอด “แค่กูเห็นแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายนั้น กูก็ต้องยกธงยอมแพ้แล้วว่ะ” เชนพูดด้วยความน้อยใจขั้นสุด ที่รู้ตัวว่า ตัวเขาเองนั้นสู้ไปยังไงก็แพ้


“โธ่ไอ้เชน ไอ้โง่ ไอ้ควาย ไอ้เหี้ย มึงนี่แม่งโคตรงั่งฉิบหาย” เพื่อนที่เพิ่งมาด่าเชนไป หัวเราะเยาะในความรู้น้อยของเพื่อนไป “มึงรู้เอาไว้เลยนะไอ้เชน ว่าตั้งแต่คุณมินประสบอุบัติเหตุพร้อมครอบครัว จนต้องสูญเสียทั้งพ่อและแม่ไป และต้องฝึกพูดใหม่อย่างหนัก เพราะการได้ยินเสียงมีปัญหา ก็เพื่อจะได้กลับมายืนอีกครั้งได้ ด้วยลำแข้งของตัวเอง ส่วนไอ้เสี่ยอะไรนั่น มันก็เรื่องจริง แต่” เพื่อนสนิทของเชน เบรกเขาเอาไว้ที่ตรงนั้น


“กูถามมึงจริง ๆ เถอะวะไอ้เชน” เพื่อนสนิทอยากจะเอาที่เปิดปลากระป๋อง มาแงะดูสิ่งที่อยู่ในกะโหลกศีรษะของเพื่อนตัวเองเสียจริง ๆ ว่าอะไรกันแน่ที่อัดแน่นอยู่ในนั้น แทนที่จะเป็นสมอง “มึงนี่คิดว่าคนอย่างคุณมิน เขาเป็นคนยังไงวะ เขาเป็นคนอย่างที่มึงเก็บเอามานอย เอามาหงุดหงิดคิดน้อยใจ โกรธเองแต่ไม่หายเอง อย่างนี้เนี่ยนะ” เพื่อนสนิทของเชนได้แต่ส่ายหน้า ที่ไม่คิดว่าจะมาเห็นเชนเพื่อนรัก ในสภาพแบบนี้


“เรื่องหมั้นอะไรนั่น กูก็ไม่รู้หรอกว่าคุณมินเขาตอบตกลงไปหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นเรื่องแหวน เด็กที่ร้านของคุณมินยืนยันกับกูได้ ว่านั่นเป็นแหวนแต่งงานของแม่คุณมิน ที่พ่อของคุณมินมอบเอาไว้ให้ มึงรู้อย่างนี้แล้ว ถ้ามึงจะทำได้แค่นั่งมองถุงขนมนั่น ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวเขา เป็นคนเอามาให้เองแล้วล่ะก็” เพื่อนสนิทหวังใจว่า “มึงก็นั่งอยู่ตรงนี้เนี่ยแหละ แล้วก็ทำตัวเป็นไอ้ขี้แพ้ ไอ้หมาวัด เห่าเครื่องบินต่อไป อย่าไปรบกวนชีวิตของคุณมินเขาเลย” เมื่อพูดขนาดนี้แล้ว เชนคงจะตัดสินใจทำอะไรดี ๆ เพื่อให้เรื่องราวมันจบลงด้วยดีสักครั้ง


“พี่มินปิดร้านคนเดียวได้จริง ๆ นะคะ” ปากถามมาแบบนั้น แต่ท่าทางที่ลุกลี้ลุกลน คอยลอบมองนาฬิกาบ่อยขนาดนั้น คงไม่ต้องให้มินทำความเข้าใจอะไรให้มากมาย “ไปเถอะ พี่อยู่ได้ วันเกิดทั้งที โน่นแฟนมารับแล้ว” ที่หน้าร้าน มินเห็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของเชนในกลุ่มพี่น้องไรเดอร์ มาจอดคร่อมมอเตอร์ไซค์รอแล้ว “อ้ะนี่” มินยัดเงินหนึ่งพันบาทใส่มือพนักงานช่วยงานในร้าน


“สุขสันต์วันเกิดนะ เอาไปหาอะไรกินอร่อย ๆ” พนักงานสาวยกมือไหว้ขอบคุณ รู้ดีว่า วันนี้ มินเพิ่งปฏิเสธข้อเสนอของเสี่ยใหญ่คนนั้นไปอย่างจริงจังแล้ว โดยที่เสี่ยคนนั้นโมโหเป็นอย่างมาก ด่ากราดมินว่า เป็นเกย์ที่โง่มากที่กล้าบอกปัดความหวังดีของเสี่ย พนักงานสาวเองได้ฟังแบบนั้น ทั้งคำด่าหยาบคาย ทั้งท่าทางเหยียดหยาม เธอเองก็ถึงกับทนไม่ได้ ลุกขึ้นยืนเท้าเอวไล่ไอ้เสี่ยบ้าคนนั้น ให้ไปพ้น ๆ หู พ้น ๆ ตา


“รีบไปเถอะ ฝนตั้งเค้ามาแล้ว” มินรีบดันตัวให้น้องพนักงานรีบออกไปจากร้าน ถือเป็นคำขอบคุณที่มินรับรู้ได้ ที่น้องพนักงานคนนี้ ลุกขึ้นมาปกป้องเขา ทั้ง ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นก็ได้ เพราะเรื่องนี้ มันเป็นความรับผิดชอบของตัวเขาเอง เมื่อปฏิเสธข้อเสนอของเสี่ย ที่ให้เขาเอาตัวเข้าแลก เพื่อเสื่อจะปลดหนี้สินที่มีทั้งหมดของทางร้าน มินก็ต้องดิ้นรนหาทางใหม่เอาเอง และมันคงเหลือตัวเลือกให้มินไม่มากนัก


มินก้มลงมองที่แหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายของตัวเอง แหวนแต่งงานของแม่ ที่พ่อซื้อให้ ที่มินสัญญากับตัวเองว่า จะไม่มีวันขายสมบัติที่เหลืออยู่ของพ่อและแม่ชิ้นสุดท้ายนี้กินเป็นอันขาด แต่แล้วก็ต้องรู้สึกผิดหวังกับตัวเอง และรู้สึกผิดกับพ่อและแม่ ที่ตัวเองจะไม่สามารถรักษาแหวนวงนี้เอาไว้ได้อีกต่อไป ก่อนหน้านี้ มีร้านเพชรประเมินราคาให้แล้ว แม้ว่าจะถูกกดราคาลงมามาก เพราะเห็นว่ามินกำลังร้อนเงิน แต่เงินจำนวนที่ทางร้านว่ามา ก็มากพอที่จะปลดหนี้สินของร้านลงได้ เพื่อที่จะเคลียร์ทุกอย่าง ก่อนจะปิดร้านนี้ลง


“ว่ายังไง ลืมของหรือเปล่า” เสียงเตือนหน้าร้านดังขึ้น เมื่อประตูกระจกของร้านถูกดันออก มินหันไปทักถาม เมื่อนึกว่า น้องพนักงานกลับมาเพื่อเอาของที่ลืมเอาไว้ แต่คนที่มินเห็นว่า ยืนอยู่ที่อีกด้านของประตู ที่เพียงดันประตูเข้ามาเพื่อให้เกิดเสียง แต่กลับไม่ได้เดินเข้ามาในร้านนั้น คือเชน เสียงฟ้าร้องที่ก่อนหน้าดังมาจากที่ไกล ๆ เริ่มดังถี่และใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ฟ้าด้านนอกครึ้ม และลมเริ่มพัดแรง


“คุณมินครับ” เชนพูดผ่านกระจก เขาไม่กล้าที่จะพูดสิ่งที่อยู่ในใจกับมินโดยตรง เชนมองเห็นมินเดินเข้ามาหยุดยืนที่อีกด้านหนึ่งของประตูร้าน “ผมมันทั้งโง่ ทั้งขี้ขลาด” เชนสบตากับมิน ที่มินนั้นยืนมองกลับมาที่เชนตรง ๆ “ผมไม่รู้ว่า ถ้าผมพูดบอกคุณมินกับความรู้สึกที่ผมมีนี้แล้ว ผลมันจะออกมาเป็นยังไง เพราะผมไม่ใช่คนที่ดีพร้อมอะไร แต่ผมรักคุณมินนะครับ และก็อยากให้คุณมินรับรักตอบกลับผม” มันเหมือนกับว่า เชนได้ยกภูเขาทั้งลูกออกจากอก ที่กล้าพูดอะไรแบบนี้ออกไป


เสียงฟ้าร้องดังครืน ก่อนที่สายฝนเย็นเฉียบจะกระหน่ำตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เชนที่ยืนอยู่ที่ด้านนอกร้าน สายฝนที่ซัดลงบนตัวของเขา ทำให้ตอนนี้เชนนั้นยืนตัวเปียกโชกอยู่ที่หน้าร้านของมิน โดยที่เชนไม่คิดจะขยับเดินหนีไปไหน อยากจะฟังคำตอบจากมิน อยากให้มินรับรู้ถึงสิ่งที่เชนเก็บอยู่ในใจมาโดยตลอด ตั้งแต่วันแรกที่ได้พบหน้ากัน ได้ทำความรู้จักกัน


“เป็นผมได้มั้ยครับ” มินมองริมฝีปากของเชน ที่มินนั้นมีความคุ้นเคยมานานกับการอ่านปากของคนอื่น ตั้งแต่แรก ๆ ที่รู้ตัวว่า มินนั้นมีปัญหาเรื่องการได้ยินที่เกิดจากอุบัติเหตุ “เป็นผมได้มั้ย ที่จะขอดูแลคุณมิน ที่จะขอรักและซื่อสัตย์กับคุณมิน ผมพร้อมที่จะเดินไปกับคุณมิน ถ้าคุณมินจะให้โอกาส ถ้าคุณมินจะคิดเหมือนกันกับผม” เชนมองมินที่ยื่นมือไปแตะอยู่ที่ตัวล็อกประตู เชนเองก็เอื้อมมือไปแตะที่อีกฝั่งของตัวล็อก รอคอยว่า มินจะหมุนล็อกไปทางไหน เปิดประตูให้เชนเข้าไป หรือปิดประตูตายให้แทนคำตอบนี้




“มันเป็นไปไม่ได้ เคนตะ เธอเองก็น่าจะรู้ดีนะ” ผู้จัดการพูดออกมาด้วยอาการไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ได้รับรู้จากเคนตะ “พี่ขอให้เธอหยุดติดต่อกับเด็กคนนี้ในทันที” ผู้จัดการออกคำสั่งห้ามเคนตะ และส่ายหน้าไม่เห็นอย่างเดียว เมื่อเคนตะพยายามจะพูดอธิบายออกไป “นี่เธอไม่เข้าใจจริง ๆ เลยใช่มั้ย มันจะเป็นไปได้ยังไง นั่นมันเด็กคนงานชั่วคราว ที่เข้ามาช่วยป้าตัวเองถูพื้นตึกนะ ฝ่ายแม่บ้าน ฝ่ายทำความสะอาดสถานที่” ผู้จัดการทำเสียงอย่างอ่อนอกอ่อนใจไปกับศิลปินภายใต้การดูแลของเธอ


“เป็นคนถูพื้นแล้วมันผิดตรงไหนครับ” เคนตะถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมสิ่งที่หนมต้มทำ ที่มันเป็นงานสุจริต ถึงถูกมองว่าเป็นความไม่ถูกต้องไปได้ “ในเมื่อคนในตึกนี้ มีตึกที่สะอาดได้ก็เพราะสิ่งที่หนมต้มทำ” เคนตะทำหน้าไม่เข้าใจกับสิ่งที่พี่ผู้จัดการบอกกับเขามา “พี่ไม่ได้บอกว่าสิ่งที่เด็กคนนี้ทำมันผิด พี่ไม่ใช่คนที่เที่ยวไปเหยียดคนอื่น ดูถูกใครต่อใครอะไรแบบนั้น” ผู้จัดการของเคนตะรีบพูดออกตัวทันที


“แต่มันคือความไม่เหมาะสมกันด้วยประการทั้งปวง” ผู้จัดการพยายามพูดถึงเหตุผลจริง ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ กับสายตาของเคนตะที่เห็นได้ชัดว่า เคนตะนั้น ทั้งไม่เข้าใจและไม่ถูกใจ “เธอเป็นใคร แล้วเด็กนั่นเป็นใคร เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะมองไม่เห็น” พี่ผู้จัดการมีท่าทางการพูดที่จริงจังขึ้น “เคนตะ เธอเป็นศิลปิน เป็นป๊อปสตาร์ที่กำลังดังที่สุดของตึก เธอกำลังไปได้ดีในเส้นทางบันเทิง เพลง ซีรี่ส์ หนัง เดินแบบ ถ่ายแบบ งานอีเวนต์” ผู้จัดการรู้ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่ตอนนี้ ก็รับงานมาแทบจะไม่หวาดไม่ไหว จัดคิวที่แน่นเอี้ยดไม่ทันกันอยู่แล้ว


“นี่ยังไม่รวมงานโฆษณา การรับเป็นพรีเซนเตอร์ ที่ต่อคิวจ่อป้อนงานให้เธออีก ไม่ต่ำกว่าสิบตัว” สิ่งที่เลวร้ายที่สุด ที่คนเป็นผู้จัดการศิลปินอย่างเธอจะทำ ก็คือการปล่อยโอกาสดี ๆ เหล่านี้ให้หลุดลอยไป โดยเฉพาะกับเคนตะ ที่เธอรู้ดีว่า ชายหนุ่มคนนี้ทำมันได้อย่างแน่นอน และทำมันได้ดีเสียด้วย “แต่เด็กคนนั้น ถูพื้นตึก พีเรียด เอ็น ออฟ สตอรี่” ผู้จัดการไม่คิดว่า เธอต้องพูดอะไรเยอะไปกว่านี้ ไม่จำเป็นต้องสาธยายอะไรให้มากความ

 
“ชีวิตตอนนี้ของเธอนะเคนตะ มันคือการมีสัญญาอยู่รายล้อมตัว ไม่ว่าจะหันไปทางไหน คิดจะทำอะไร มันก็เสี่ยงที่จะผิดสัญญา ถูกบอกยกเลิกสัญญา และถูกฟ้องร้องตามมาได้ทุกเมื่อ จากสัญญที่เธอเซ็นไปแล้ว” เคนตะรู้สึกว่า เขากำลังถูกมัดมือชก ไม่ว่าจะทำอะไร มันไม่มีช่องว่างให้ได้หายใจ ให้เคนตะได้เป็นตัวของเขาเองได้เลย “คราวที่แล้ว ที่อยู่ ๆ เธอก็หนีหน้าหายไป ทางผู้ใหญ่เขายอมปล่อยผ่านไป ก็นับว่าโชคดีเท่าไหร่แล้ว” เคนตะนั้น รู้สึกว่าเขาไม่สามารถที่จะรับมือกับความกดดันที่ถาโถมเข้ามาได้ และนั่นทำให้เคนตะได้มีโอกาสได้เจอกับหนมต้ม
 

“หวังว่าเรื่องนี้ มันจะไม่ลอยไปเข้าหูพวกผู้ใหญ่ที่ชั้นสามสิบกว่าอีกรอบนะ เพราะถ้ามันเป็นแบบนั้น ทั้งงาน ทั้งเงิน ทั้งโอกาสดี ๆ ในชีวิตของเธอ มันไม่ได้มีมาให้ได้คว้าไว้บ่อย ๆ เพราะพี่ก็ไม่คิดว่าเธอจะเป็นแมวเก้าชีวิตอะไรขนาดนั้น มันมีเด็กที่หนุ่มกว่า สดกว่า เก่งกว่า และไม่เรื่องมาก รอที่จะผลักเธอให้กระเด็นออกไปจากวงการนี้ทุกเมื่อ” ผู้จัดการของเคนตะเอง ก็เหนื่อยใจและเหนื่อยกาย กับการที่จะต้องเริ่มต้นจากศูนย์ กับเด็กใหม่ ๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย กว่าจะพาให้เคนตะมาอยู่ในจุดที่รับงานแต่ละครั้ง รายได้นั้นเกินเจ็ดหลักแบบนี้


เคนตะรู้สึกเซ็งกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ยิ่งการที่เขาต้องหลบหน้าหลบตาหนมต้ม ตั้งแต่ถูกผู้จัดการจับได้ และสัญญาที่ได้ให้กับหนมต้มไปเป็นมั่นเป็นเหมาะ ว่าจะชวนหนมต้มไปกินข้าวด้วยกันแค่สองคน แต่พอหนมต้มโทรมาหา กับเบอร์มือถือลับที่เคนตะแอบไปเปิดเอาไว้ เขากลับไม่รับสายหนมต้ม และนั่นเป็นเพียงสายโทรเข้ามาเพียงครั้งเดียวของหนมต้ม หลังจากนั้น เคนตะก็ไม่เห็นเบอร์ของหนมต้มโทรหาหรือส่งข้อความใด ๆ มา


“เธอไปเตรียมตัวดีกว่า เดี๋ยวเธอจะต้องขึ้นร้องเพลงกับงานดนตรีแฟนมีตติ้งแล้ว อย่าให้เรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนี้มาทำลายสิ่งที่ได้สร้างมาด้วยความยากลำบาก ต้องสูญเปล่า” ผู้จัดการพูดจบ ก็ขอตัวไปคุยกับเบอร์ที่โทรเข้ามาติดต่อเรื่องงานคอนเสิร์ตรวมศิลปินของทางค่าย ที่จะจัดเป็นงานใหญ่ ขายบัตรขั้นต่ำก็เลยครึ่งหมื่นขึ้นไป และเคนตะก็สร้างกระแสให้กับคอนเสิร์ตครั้งนี้ได้เป็นอย่างดี ผู้จัดการหมายมั่นปั้นมือว่า งานนี้มันจะทำเงินให้เธออย่างเป็นกอบเป็นกำ จากส่วนแบ่งรายได้ที่เคนตะจะได้รับมา
 

หนมต้มพยายามจะไม่คิดอะไรอีก คนเรานั้นสามารถเปลี่ยนใจ เปลี่ยนแปลงความต้องการกันได้ ต่อให้สัญญากันเป็นมั่นเป็นเหมาะยังไงก็ตาม แถมมันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรสลักสำคัญขนาดนั้น ก็แค่การไปกินข้าวเย็น หนมต้มบอกกับตัวเอง เขาก็คงจะมีคนไปกินข้าวด้วยแล้ว หรือไม่ก็แค่ไม่ต้องการไปกับหนมต้ม ก็แค่นั้น ไม่จำเป็นต้องเก็บเอามาใส่ใจอะไรให้มันหนักสมอง หรือให้มันรบกวนจิตใจอย่างที่เป็นอยู่นี้
 

“วันนี้คนมาที่ตึกเยอะจัง” หนมต้มที่ได้รับคำสั่งให้เอาของไปส่งที่ห้องสตูดิโอ พึมพำกับตัวเอง เมื่อวันนี้บรรดาแฟนคลับพากันมารวมตัวกันอย่างหนาแน่น โดยที่หนมต้มที่ไม่ได้ติดตามอะไรในโซเชียล มีเดีย ไม่รู้การเคลื่อนไหวใด ๆ ของศิลปินดารา ไม่รู้จักนักร้องหรือไอดอล อินฟลูเอนเซอร์ที่กำลังเป็นกระแสแต่อย่างใด จึงไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นหรือยินดียินร้ายไปด้วย ทำได้แค่เดินหลบหลีกฝูงชนเพื่อไปส่งของที่ห้องดังกล่าวเท่านั้น
 

หนมต้มไม่แน่ใจนัก ว่าตัวเองมาผิดห้องหรือเปล่า แต่เมื่อแทรกตัวผ่านประตูสตูดิโอเข้าไป ก็ได้ยินแต่เสียงกรี๊ดของบรรดาแฟนคลับที่กำลังชื่นชอบกับสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้า หนมต้มมองเห็นเคนตะกำลังร้องเพลงอยู่บนเวที ก็ยืนมองด้วยความตกตะลึง ไม่เข้าใจสักเท่าไหร่กับสิ่งที่เห็น ก่อนที่จะรู้ตัวอีกที เคนตะก็กระโดดลงมาจากเวทีเตี้ย ๆ ที่ยกขึ้นจากพื้นนั้น แล้วเดินตรงมาหาหนมต้ม


“เป็นแฟนกันนะ หนมต้ม” เสียงพูดออกไมค์ดังไปทั่วทั้งสตูดิโอ พลันคนในนั้นกลับเงียบเสียงลงในทันที “นะครับ” หนมต้มได้แต่อึ้ง พูดอะไรไม่ออก ทำอะไรไม่ถูก เมื่อตัวของเขาถูกเคนตะรวบเข้าไปกอด แล้วริมฝีปากของหนมต้มก็ถูกประกบ ด้วยริมฝีปากของเคนตะ โดยที่มีแสงแฟลชจากกล้องโทรศัพท์มือถือวูบวาบไปทั่วบริเวณ จนทำให้ตาพร่าไปหมด รวมทั้งจากรอยจูบนั้นด้วย



*********************************************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

แน่ใจไหม - นนท์ ธนนท์

https://www.youtube.com/watch?v=Ux35pBro240


(แน่ใจไหมว่าเธออยากฟัง)

Are you sure you wanna hear this?

(แน่ใจไหมว่า... แน่ใจไหมว่า แน่ใจ แน่ใจ...)

Are you really sure, for sure, for sure, so sure?


ดูเหมือนมีอะไรที่มันแปลกไปหรือเธอ

Is there something different to you that you feel?

คนที่เธอเคยเจอ ไม่เหมือนที่เธอคุ้นเคยใช่ไหม

This person you’ve met, not the one you’ve been familiar with

คนที่เคยสนิท ที่เขาไม่เคยห่างไป

Someone you are close, that never leaves your side

แต่ในวันนี้ ทำไมกลับหาย ไปจากเธอ

But today, not around, missing out, not with you


เธอสงสัย มากใช่ไหม เกิดอะไรที่เธอไม่รู้รึเปล่า

You’re now wondering why, what’s really happening you don’t know

ที่เธอถาม คนคนนี้ ทำไมเปลี่ยนไป ถ้าเธออยากรู้

You then ask why this guy now that he’s changed, you wanna know


แน่ใจใช่ไหมว่าพร้อมจะฟังจะฟังคำตอบนั้น

Are you sure that you’re ready to hear the answer to it?

จะรับได้ไหมถ้าเธอได้ฟัง Baby

Will you be able to handle it if you listen to it, baby?

เรื่องจริงที่ฉันพูดไป

The truth that I am spilling it out


ตั้งแต่พรุ่งนี้เรื่องระหว่างเรา

From tomorrow, what’s going on between us

อาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

It may not be the same forever

จะรับได้หรือไม่

Will you be able to accept it?

แน่ใจนะ ว่าจะรับมันเอาไว้ ถ้าฉันจะบอก

Are you sure that you’ll take it if I say it?


แน่ใจไหมว่าเธออยากฟัง

Are you sure that you wanna hear me say?

แน่ใจนะว่าเธออยากฟัง

Are you sure that you wanna listen to what I have in mind?

แน่ใจนะว่าพร้อมจะรับฟังคำว่ารักที่เก็บเอาไว้

Are you sure that you’re ready to hear me out, my secret love for you?


ขอโทษเธอจริงจริง ถ้าทำให้เธอหนักใจ

I do truly apologize if I am now seriously troubling you

แค่คนที่เก็บอาการไม่ไหว

I am just a guy that he cannot hold it back no more

ที่มันคงเผลอทำเธอรู้

And might give you some hints without knowing


ตั้งแต่วันพรุ่งนี้จะดีจะร้ายฉันพร้อมเข้าใจ

From tomorrow whether it will be food or bad, I’ll understand

อยู่ที่เธอจะทำอย่างไร

It depends on what you’ll decide to do

กับคนคนนี้ที่รักเธออยู่

With me, the guy who’s in love with you here


เธอสงสัย มากใช่ไหม เกิดอะไรที่เธอไม่รู้รึเปล่า

You’re now wondering why, what’s really happening you don’t know

ที่เธอถาม คนคนนี้ ทำไมเปลี่ยนไป ถ้าเธออยากรู้

You then ask why this guy now that he’s changed, you wanna know


แน่ใจใช่ไหมว่าพร้อมจะฟังจะฟังคำตอบนั้น

Are you sure that you’re ready to hear the answer to it?

จะรับได้ไหมถ้าเธอได้ฟัง Baby

Will you be able to handle it if you listen to it, baby?

เรื่องจริงที่ฉันพูดไป

The truth that I am spilling it out


ตั้งแต่พรุ่งนี้เรื่องระหว่างเรา

From tomorrow, what’s going on between us

อาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

It may not be the same forever

จะรับได้หรือไม่

Will you be able to accept it?

แน่ใจนะ ว่าจะรับมันเอาไว้ ถ้าฉันจะบอก

Are you sure that you’ll take it if I say it?

 
แน่ใจใช่ไหมว่าพร้อมจะฟังจะฟังคำตอบนั้น

Are you sure that you’re ready to hear the answer to it?

จะรับได้ไหมถ้าเธอได้ฟัง Baby

Will you be able to handle it if you listen to it, baby

เรื่องจริงที่ฉันพูดไป

The truth that I am spilling it out


ตั้งแต่พรุ่งนี้เรื่องระหว่างเรา

From tomorrow, what’s going on between us

อาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

It may not be the same forever

จะรับได้หรือไม่

Will you be able to accept it?

แน่ใจนะ ว่าจะรับมันเอาไว้ ถ้าฉันจะบอก

Are you sure that you'll take it if I say it?


(แน่ใจไหมว่าเธออยากฟัง

Are you sure you want to listen to what I have to say

แน่ใจนะว่าเธออยากฟัง

Are you certainly willing to hear what my heart says?

แน่ใจนะว่าพร้อมจะรับฟัง คำว่ารักที่เก็บเอาไว้)

Are you so sure you’ll listen the love that’s coming out of my heart?

 
แน่ใจนะ ว่าจะรับมันเอาไว้ ถ้าฉันจะบอก

Are you sure that you’ll receive it if I say that I love you?

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 291
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
“นาโครคินทระ” ป้ายบอกชื่อกำกับที่ด้านข้างของภาพวาด วาตะเลื่อนสายตามองลงมาที่ศิลปินผู้วาด แต่ตรงช่องนั้น ระบุเอาไว้ว่าไม่ปรากฏรายชื่อแต่อย่างใด “ภาพนี้ มีชื่อภาพว่า นา โค ระ คิน ทะ ระ” เจ้าตัวดึงเอาเฮดโฟนออกมาคล้องไว้ที่ต้นคอ ก่อนจะหันไปทางต้นเสียง เจ้าหน้าที่ของทางนิทรรศการให้รายละเอียดของภาพวาดนั้นกับเจ้าตัว “แปลว่าพญานาค” วาตะทำหน้ารับรู้ ก่อนจะค้อมศีรษะลง แทนคำขอบคุณ


“สืบค้นกลับไป แต่ไม่สามารถระบุได้ว่า เป็นผู้ใดกันแน่ที่วาดภาพนี้เอาไว้” วาตะหันกลับไปมองทางภาพวาดนั้นอีกครั้ง “เจอแต่เพียงหลักฐานระบุไว้เพียงแค่ว่า ชื่อนี้เป็นชื่อที่ผู้วาดตั้งเอาไว้เรียกภาพของพญานาคนี้ ที่แม้จะดูว่า กำลังแสดงพลังที่ทรงอำนาจ แต่แววตาคู่นั้น กลับดูเศร้าสร้อย เดียวดาย และเงียบเหงาในจิตใจ” วาตะมองไปที่ดวงตาคู่นั้นบนภาพ ที่กำลังเหมือนกับว่า ได้จ้องกลับเข้ามาในตาของเขา
 

“มีเรื่องเล่าจากปากสู่ปาก เหมือนเป็นตำนานเล่าต่อ ๆ กันมาว่า ตำนานคือเมื่อถึงวันและเวลาอันพร้อมแล้ว วิหคศกุนต์ชาติจะกลับมา และทำให้ดวงตาแห่งพญานาคนี้ เปลี่ยนจากแววตาเศร้าโศกที่มี ให้กลับมาฉายเพียงแต่ความสุขที่อิ่มเอมอีกครั้ง” เจ้าหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวมาถึงตรงนี้ ก็เดินจากไป ปล่อยให้วาตะได้กลับไปดื่มด่ำกับศิลปะอีกครั้ง และแน่นอนว่า ภาพวาดภาพนี้ ติดเข้าไปอยู่ในความรู้สึกของเขาเป็นที่เรียบร้อย


“วาตะ ลูกอยู่ที่ไหน” ทันทีที่วาตะเดินออกมาจากสถานที่จัดนิทรรศการภาพวาด เขาก็กดรับสายผู้เป็นแม่ ที่โทรมาหา “ลูกเพิ่งออกมาจากนิทรรศการภาพวาดครับแม่ ทีแรกลูกว่าจะกลับบ้านเลย แต่ว่าเพื่อนลูก แจนกับเขมชวนไปกินข้าวเย็นด้วย ลูกขอไปเจอเพื่อนนะครับแม่ ลูกสัญญาว่าลูกจะกลับไม่ดึก” วาตะส่งเสียงตอบกลับไปที่ปลายสาย ที่ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่เตือนว่า ให้ดูแลตัวเองดี ๆ ให้ปลอดภัย วาตะเองแม้ว่าจะไม่เข้าใจว่า ทำไมแม่ถึงได้เตือนเขาแบบนี้ตั้งแต่เล็ก มาจนโตป่านนี้ แต่ก็ไม่เคยได้ถามออกไปอย่างจริงจังสักครั้ง


“ขมิ้น ทางนี้” ทันทีที่วาตะเดินเข้าไปในร้าน ก่อนที่พนักงานจะถามว่าได้จองโต๊ะมาก่อนหรือเปล่า แจนก็ส่งเสียงเรียกชื่อเขาที่ถูกเรียกมาตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย วาตะกล่าวขอบคุณพนักงานร้านไปเบา ๆ ก่อนจะชี้นิ้วไปว่า มีเพื่อนมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว พอเดินมาถึงโต๊ะ แจนก็จัดแจงให้วาตะนั่งลงที่ข้าง ๆ เธอ ก่อนที่เขม เพื่อนชายในกลุ่มอีกคนจะได้ทันเอ่ยชวนให้คนที่เพิ่งมาใหม่ นั่งลงที่เก้าอี้ตัวติดกันกับเขา


“กว่าจะเจอกันได้นะแก ขมิ้น ตั้งแต่เรียนจบ ฉันได้แต่โทรคุยกับแกเท่านั้น” แจนต่อว่าต่อขานเพื่อนสนิทในทันที เพราะคิดถึงมาก แต่ไม่มีเวลามาเจอกันสักที “แกก็ยุ่ง ฉันก็ไม่ว่างไง แจน” วาตะตอบกลับเพื่อนไปด้วยรอยยิ้ม “อีกอย่าง เดี๋ยวแกก็อยู่นิวยอร์ค เดี๋ยวก็มิลาน เดี๋ยวแกก็เห็นเช็คอินที่อาบูดาบี แกเองก็บินตลอดไม่ใช่หรือไง” แจนทำหน้าเบะปากเหมือนจะร้องไห้ ที่งานสายการบินของเธอ ทำให้เธอต้องเดินทางแทบจะตลอดเวลา


“แต่นี่ฉันได้พักยาว ๆ หนึ่งสัปดาห์เต็ม ฉันก็เลือกกลับมากรุงเทพฯ ในทันที แกเสร็จฉันแน่ขมิ้น ฉันจะชวนแกออกจากบ้านทุกวันเลยคอยดู แต่ยังไง แกพาฉันไปไหว้พ่อแม่แกก่อนนะ ฉันจะได้ไม่โดนดุ ว่าชวนลูกชายเขาตะลอน ๆ ไปทั่ว” แจนเองก็ไม่ได้เจอพ่อกับแม่ของวาตะมานานพอสมควรแล้ว นี่เธอก็หอบเอาของฝากมาจากเมืองนอก มาฝากพ่อและแม่ของวาตะเช่นกัน


“แล้วนี่สั่งอะไรกินกันหรือยัง ไหนเราของดูเมนูหน่อย” เป็นที่เขมรัฐที่ยื่นเมนูเล่มนั้นให้กับวาตะ โดยที่แจนได้แต่ส่ายหน้า ที่คุณเขมรัฐนั้นเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ตอนเรียนด้วยกัน ชักช้า อึกอัก ไม่ทันการณ์ จนกระทั่งทั้งสามคนต่างเรียนจบ และต้องแยกย้ายกันไปทำงานทำหน้าที่ของตัวเอง “ทีแรกเราว่าจะสั่งของโปรดเอาไว้ให้ขมิ้นเลย” เขมรัฐพูด ก่อนจะได้ยินเสียงวาตะสั่งอาหารกับทางพนักงาน


“ดีแล้วที่แกไม่สั่ง” แจนกระซิบกับเขมรัฐเบา ๆ เมื่อวาตะสั่งอย่างอื่นแทนที่จะเป็นจานที่เขมรัฐเลือก ฝ่ายเขมรัฐเองก็รู้สึกเฟลไปไม่น้อย ทั้ง ๆ ที่เขาคิดว่าเขารู้จักวาตะดีมากกว่าใครแล้วแท้ ๆ “เขมสบายดีนะ” วาตะถามเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง แม้จะคนละคณะกันกับเขาและแจนก็ตาม แต่ก็มีเขมนี่แหละ ที่คอยดูแลช่วยเหลือกันมาตลอดทั้งสี่ปี ของการเป็นนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัย


เคนทร์สะดุ้งตื่นขึ้นมา นาฬิกาบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาหัวค่ำ ชายหนุ่มสลัดศีรษะแบบไล่อาการมึนงงนั้นให้หายไป ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นอน เดินตรงไปที่ตู้เย็นที่มุมห้อง หยิบขวดน้ำเย็นขึ้นมากระดกดื่มน้ำจนเกือบหมดไปครึ่งขวด ภายในความคิด กำลังเรียบเรียงภาพความฝันที่เขาเพิ่งเห็น ก่อนจะสะดุ้งตื่นมานี้ ว่าทำไม เขาถึงได้ฝันอะไรประหลาดแบบนี้ และที่สำคัญ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาฝันแบบนี้ ที่มันเหมือนเดิมเป๊ะ ๆ ทุกอย่าง และครั้งนี้ มันชัดเจนมากกว่าฝันในครั้งก่อน ๆ


“ผมฝันเรื่องเดิมอีกแล้ว” เคนทร์พูดส่งเสียงผ่านโทรศัพท์มือถือไป ที่ปลายสายคือพ่อปู่ที่เลี้ยงดูชายหนุ่มมาตั้งแต่เด็ก เป็นเพียงคนเดียวที่สามารถอยู่กับเคนทร์ และดูแลเขาได้ โดยไม่เกิดเหตุการณ์ประหลาด หรืออาการป่วยแบบไม่ทราบสาเหตุ พอพ่อปู่ตัดสินใจรับเคนทร์มาเลี้ยง คนรอบ ๆ ตัวของเขาก็เหมือนได้รับชีวิตแบบปกติกลับไป ทุกคนดูจะได้รับความสงบสุขกลับคืนไป “พรุ่งนี้ผมเข้าไปครับ พ่อปู่” เคนทร์รับคำอีกฝ่าย ว่าจะไปหาโดยเร็วที่สุด


“แกโอเคมั้ย ขมิ้น” แจนถาม เมื่ออยู่ ๆ ก็เห็นเพื่อนสนิท ทำท่าเหมือนสะดุ้งตกใจกับอะไรบางอย่าง วาตะยกมือแนบไปที่ตรงลิ้นปี่ เพราะไม่ทันจะได้ตั้งตัว วาตะก็รู้สึกถึงความเย็นวาบจากคอลงมาถึงที่ท้อง ความรู้สึกมันเหมือนกับตอนที่เขาหิวน้ำมาก ๆ ในวันที่อากาศร้อนจัด แล้วเขาดื่มน้ำเย็นนั้นด้วยความรวดเร็ว แต่มันจะไม่เป็นอะไรเลย ถ้าในความจริง เขากำลังดื่มน้ำอยู่ แต่นี่ไม่ใช่


เคนทร์กดปุ่มปิดเตาไฟฟ้า ก่อนจะเทสิ่งที่ต้มอยู่ในหม้อนั้นลงใส่ถ้วย ชายหนุ่มคว้าตะเกียบมาจากช่องใส่พวกช้อนส้อม ก่อนจะเดินมานั่งลงที่โซฟาหน้าจอทีวี เคนทร์ใช้ตะเกียบคนเส้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในชาม วนเป็นวงกลมเร็ว ๆ เพื่อไล่ความร้อน ก่อนจะคีบมันขึั้นมา ควันความร้อนลอยตามเส้นบะหมี่ฉุย เคนทร์เป่าปากช่วยระบายความร้อนออกเส้นนั้นสองสามครั้ง ก่อนจะคีบมันเข้าปาก


“รสชาติเป็นยังไงบ้างขมิ้น อร่อยมั้ย” เขมรัฐเอ่ยถามวาตะ เมื่อเห็นอีกฝ่ายที่ตักอาหารเข้าปาก แล้วทำคิ้วขมวด แบบงงกับอะไรบางอย่าง “ทำไมเหมือนกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป” วาตะอดไม่ได้ที่จะพูดออกไป เมื่อรสชาติของอาหารมันไม่ใช่อย่างที่เห็น แต่รสชาติที่ได้รับมันคือบะหมี่ซองรสต้มยำ แถมวาตะยังรู้สึกเบิร์นที่ปลายลิ้น เหมือนกับตอนที่ตัวเองเคยรีบตักเส้นบะหมี่เข้าปากทั้ง ๆ ที่ยังร้อนอยู่ โดยไม่เป่าให้ดีเสียก่อน


พ่อกับแม่ของวาตะนั่งรอลูกชายกลับมาถึงบ้าน มองนาฬิกาเข็มชี้เลยเวลาสี่ทุ่มไปแล้ว แม้ว่าผู้เป็นพ่อจะกังวลอยู่ไม่น้อยเช่นกัน แต่ก็เอ่ยปากปลอบใจผู้เป็นแม่ ให้ทำใจเย็น ๆ เพราะวาตะเอง ก็เพิ่งโทรมาหา บอกว่าใกล้จะกลับมาถึงบ้านแล้ว แต่ด้วยความที่แม่เองนั้น มีเรื่องราวที่เก็บอยู่ในใจมานาน จากเด็กจนโต จนต้องปล่อยให้วาตะไปอยู่หอเพียงลำพัง ตอนเข้าเรียนมหาวิทยาลัย มาจนถึงตอนนี้
 

“คืนนี้แรมสิบห้าค่ำ” พ่อของวาตะรู้ดีว่า ภรรยาของตนหมายถึงอะไร “แล้วลูกก็ใกล้จะเบญจเพสในอีกไม่กี่วัน” สิ่งที่ทั้งสองคนกลัวมาตลอด ตั้งแต่รับรู้เรื่องราวนี้ กำลังใกล้จะเกิดขึ้นเต็มที “ลูกเกิดมาโดยมีพิษนาคโดนตัวมาตั้งแต่กำเนิด” พ่อจับมือแม่ดึงเอาไปบีบเพื่อให้กำลังใจ “แม่ไม่อยากให้เกิดอะไรร้าย ๆ กับลูก เรามีลูกอยู่คนเดียวนะพ่อ” แม่มีน้ำตาคลอหน่วย เมื่อคิดกลัวไปว่า สิ่งร้าย ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับลูกชายของพวกเขา


เคนทร์ยืนอยู่ที่ใต้ฝักบัว ปล่อยให้สายน้ำไหลลงจากศีรษะลู่ลงเส้นผมจนเปียกชุ่ม ความเย็นของน้ำไหลเซาะจนร่างกายที่เปลือยเปล่าของเขาเปียกไปทั่วตัว ภาพในความฝันยังคงกระตุ้นความรุ้สึกของเขาอยู่ในตอนนี้ และทันใดนั้น ที่เคนทร์รู้สึกถึงความเจ็บแปลบที่วาบลงบนไหล่ข้างซ้ายของเขา ลากยาวลงไปตามแนวสะบัก เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของใครบางคน ลอยมาจากที่ไกล ๆ ในห้วงแห่งความทรงจำ
 

ความรู้สึกมันเริ่มตอนที่วาตะกำลังใส่รหัสชำระเงิน ตอนที่สแกนเงินให้กับคนขับรถแท็กซี่ มันลากผ่านจากไหล่ด้านซ้ายของเขา ไล่ลงไปตามความยาวของสะบัก วาตะฝืนเปิดประตูลงจากรถมาได้ ในมือรีบความหากุญแจประตูรั้ว โดยที่ต้องกัดฟันทนกับความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งไหล่ข้างซ้าย มือของวาตะสั่นเทิ้ม เมื่อกำลังไขแม่กุญแจนั้นให้ได้ วาตะไขกุญแจเสร็จ ก็พยายามเลื่อนประตูรั้วให้เปิดออก ก่อนจะต้องปล่อยทั้งกุญแจและแม่กุญแจให้หลุดลงไปบนพื้น เสียงพ่อและแม่ของวาตะร้องตะโกนเรียกชื่อเขา ตอนที่เห็นวาตะล้มหมดสติลงบนพื้น คือสิ่งสุดท้ายก่อนที่วาตะจะหมดสติไป


“กำลังจะกลับบ้านกันแล้วค่ะ” คุณแม่ลูกอ่อน ที่เพิ่งคลอดลูกชายได้เพียงไม่ถึงสัปดาห์ บอกกับคุณแม่อีกคน ที่พาลูกชายมาตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล “ดูสินั่น หน้าตาน่าเกลียดน่าชังจริงเชียว แก้มยุ้ยมาก” สายตาทุกคู่ที่อยู่ตรงนั้นมองไปที่เด็กทารกตัวน้อยเป็นตาเดียวกัน “เคนทร์ไม่แกล้งน้องนะลูก” เสียงปรามนั้น ราวกับว่าเคยต้องพูดอะไรแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน เมื่อเด็กชายวัยห้าขวบ เดินปรี่ตรงเข้าไปหาเด็กทารกในอ้อมแขนของคุณแม่แบบนั้น

 
“ลูกชายค่ะ ห้าขวบแล้ว เกิดตอนวันออกพรรษาปีนั้นพอดี” ได้ยินเสียงแม่ของเด็กชายที่โตกว่าห้าปีนั้นว่ามา “น้องน่ารักมั้ย” แม่ของเด็กน้อยทารกถาม แต่เสียงที่สั่น กับใจที่เต้นแรง ไม่เข้าใจว่าความประหวั่นนั้นมาจากไหนกัน เป็นไปได้หรือ ว่าความกลัวเกรงนี้จะมาจากเด็กชายวันห้าขวบคนนี้ เด็กชายไม่ตอบ แต่กลับยืนจ้องหน้าของเด็กน้อยทารกนั้นนิ่ง ๆ หลังจากที่สบตากับแม่ของเด็กน้อยแวบหนึ่ง ก่อนที่ทุกคนจะเห็นเด็กชายวัยห้าขวบ ก้มหน้าลงเข้าหาเด็กทารกตัวน้อยช้า ๆ แล้วบรรจงกดปลายจมูกลงบนแก้มยุ้ยนั้นเบา ๆ ประหนึ่งว่าจดจำกันได้ดี



***************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

รักเอ๋ย - ธงไชย แมคอินไตย์

https://www.youtube.com/watch?v=u7yCirQaWTs


แม้เวลาจะลบเลือนทุกสิ่งให้มันจางหาย

Though time may erase all and everything

แต่ฉันใช้ทั้งหัวใจจดจำเรื่องของเธอ

But I used my heart to memorize things about you

แม้จะทรมานที่ต้องห่างกันแสนไกล

It’s torturing me to stay far, far away from you

แต่ฉันยังคงหายใจ เพื่อรอวันพบเจอ

Yet, I keep breathing each day to stay alive to the day we meet again


กี่คงคาที่กั้นเรา

No matter how many rivers that block us

กี่ทิวเขาที่ขวางทาง

How many mountains stand in the way

หรือแม้ร้อยพันขวากนาม ใจจะข้ามไป

All obstacles are challenging us, my mind is going through

กี่ราตรีที่ล่วงเลย ผ่านเวลาที่หมุนไป

Many nights have already passed, time that’s still ticking

ทุกนาทีของใจยังคิดถึงเธอ

Every minute my heart says I miss you so


(ฉันยังรอ)

I’m right here waiting


รักเอ๋ย แม้เนิ่นนานไม่เคยจาง

Dear, love – though it’s been long but love’s there

ใจนี้ยังคงเป็นของเธอ

My heart still belongs to you

ไม่เคยมีวันห่างไกล

Not a single day it strays off

รักเอ๋ย เมื่อรักแท้เกิดในใจ

Dear, love – when it does happen in my heart

ไม่มีวันที่รักจะจากไป

Love will not fade away

นานเท่าไหร่ยังผูกกัน

Time is not a factor for our bond


คืนที่มองไม่เห็นดาว

The starless nights in the sky

รู้ไหมดาวก็ยังอยู่ตรงนั้น

Though stars actually are in the same spot

ความรักแท้ก็เหมือนกันมันไม่เคยหายไป

Like my true love that it’s there where you’ve found it


กี่คงคาที่กั้นเรา

No matter how many rivers that block us

กี่ทิวเขาที่ขวางทาง

How many mountains stand in the way

หรือแม้ร้อยพันขวากนาม ใจจะข้ามไป

All obstacles are challenging us; my mind is going through

กี่ราตรีที่ล่วงเลย ผ่านเวลาที่หมุนไป

Many nights have already passed, time that’s still ticking

ทุกนาทีของใจยังคิดถึงเธอ

Every minute my heart says I miss you so


(ฉันยังรอ)

I’m right here waiting


รักเอ๋ย แม้เนิ่นนานไม่เคยจาง

Dear, love – though it’s been long but love’s there

ใจนี้ยังคงเป็นของเธอ

My heart still belongs to you

ไม่เคยมีวันห่างไกล

Not a single day it strays off

รักเอ๋ย เมื่อรักแท้เกิดในใจ

Dear, love – when it does happen in my heart

ไม่มีวันที่รักจะจากไป

Love will not fade away

นานเท่าไหร่ยังผูกกัน

Time is not a factor for our bond


(ฉันยังรอ)

I’ll always be waiting for you


รักเอ๋ย แม้เนิ่นนานไม่เคยจาง

Dear, love – though it’s been long but love’s there

ใจนี้ยังคงเป็นของเธอ

My heart still belongs to you

ไม่เคยมีวันห่างไกล

Not a single day it strays off

รักเอ๋ย เมื่อรักแท้เกิดในใจ

Dear, love – when it does happen in my heart

ไม่มีวันที่รักจะจากไป

Love will not fade away

นานเท่าไหร่ยังผูกกัน

Time is not a factor for our bond


รักเอ๋ย

My love


ไม่มีวันที่รักจะจากไป

Not a single day that love will leave us

นานเท่าไหร่ยังผูกกัน

No matter how long it takes, we are still one

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 291
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0


“กาศยป” พ่อปู่ยื่นกระดาษที่มีภาพวาดและคำหนึ่งคำเขียนกำกับเอาไว้ ที่ดูจะสะกิดใจของเคนทร์มากพอสมควร “กา สะ ยะ ปะ” พ่อปู่พูดด้วยน้ำเสียงเข้ม ท่าทางขรึมแบบนี้ที่เคนทร์รู้ดีว่า จะเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่พ่อปู่กำลังพูดกับเขาด้วยความจริงจัง “เผ่าพันธุ์แห่งองค์พญาครุฑ ผู้เป็นใหญ่บนท้องฟ้า” เคนทร์นั้น อยู่ ๆ ก็รู้สึกมีอาการวูบไหวไปตามผิวกาย พ่อปู่จับสังเกตอาการนั้นได้ ก็พยักหน้าน้อย ๆ เข้าใจว่า มันถึงเวลาแล้ว ที่พ่อปู่เคยสัญญาว่า จะเล่าทุกอย่างให้เคนทร์ได้รับรู้


“เอ็ง เจ้าเคนทร์ หากเอ็งจะเคยได้ยินคำว่า ครุฑยุดนาค มาก่อนหน้านี้” พ่อปู่เริ่มเล่าเรื่องราวความเป็นไปเป็นมาที่ท่านเก็บเอาไว้มาเป็นเวลานาน ตั้งแต่รับเคนทร์มาเลี้ยงดู เหมือนเป็นลูกหลานของพ่อปู่เอง “เหล่าบรรดาพญาครุฑต่างได้รับพรให้สามารถจับนาคกินเป็นอาหารได้ มันทำให้สองเผ่าพันธุ์นี้ เป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาโดยตลอด เพียงแต่ว่า” พ่อปู่หยุดนิดหนึ่ง ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ ก่อนจะเล่าต่อไปว่า


“นาโครคินทระ นา โค ระ อิน ทะ ระ” อีกหนึ่งภาพวาดที่มีชื่อกำกับอยู่ ถูกวางอยู่ตรงข้างหน้าของเคนทร์ วงศ์วานพญานาค ที่มีชาติกำเนิดสูง ได้รับการยกเว้นเอาไว้ โดยกาศยปและนาโครคินทะระ มีข้อตกลงกำหนดร่วมกันเอาไว้ที่ใต้ต้นมหาโพธิ์ใหญ่ ปากมหาสมุทรที่มีพญานาคผู้สูงส่ง เป็นผู้ยิ่งใหญ่ ดูแลเฝ้าห้วงผืนน้ำนั้นเอาไว้ ส่วนบรรดากาศยปพญาครุฑนั้น ใช้เป็นทางบินลงมาที่พื้นโลก ณ จุดที่ตรงนี้” มาถึงตรงนี้ พ่อปู่ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบอีกอึกใหญ่ ก่อนจะเล่าเรื่องต่อไปว่า


“ข้อหนึ่งนั้น ถูกกีดกั้นด้วยชาติกำเนิดและเผ่าพงศ์” พ่อปู่มองไปที่เคนทร์ ที่เป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าคมเข้มแบบไทยแท้ คมสัน คมคาย เพียงแต่ดวงตาทั้งสองนั้นต่างหาก ที่นัยน์ตาโศกนั้น ไม่อาจจะซ่อนเอาไว้ได้ “เมื่อพระแม่นาง มเหสีองค์เดียวแห่งมหาครุฑ เป็นมนุษย์ และเป็นผู้เดียวที่สามารถทำบุญถวายองค์พระได้ พระนางมีลูกชายอยู่หนึ่งคน ที่กำเนิดผิดแผกไปจากบรรดาพี่น้องครุฑอื่น ๆ ในเผ่าพันธุ์ และทำหน้าที่พาพระนางแม่ของตน ลงมาทำบุญที่พื้นโลก เพื่อแผ่บุญนั้นกลับไปสู่เหล่ากาศยป” พ่อปู่ยกน้ำชาขึ้นจิบอีกอึกใหญ่ ก่อนจะพูดต่อไปว่า


“บุตรคนโตของนาโครคินทระ” พ่อปู่สบตากับเคนทร์ ก่อนจะวางภาพวาดที่สามลงที่ด้านหน้าของเคนทร์ ที่ทำให้ชายหนุ่มเอง ยังตกใจไปกับความละม้ายคล้ายคลึงกับตัวเขาเป็นอย่างมาก ด้วยภาพของชายหนุ่มที่ด้านบนเป็นมนุษย์ส่วนด้านล่างเป็นหางของพญานาค “โภคิน” พ่อปู่พูดต่อ “วันออกพรรษาเป็นวันที่โภคินผู้เลื่อมใสในบวรพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก ขึ้นมาจากเมืองบาดาลมาที่เมืองมนุษย์ เพื่อรับพรจากองค์ผู้มีพระภาคเจ้า” พ่อปู่ดื่มน้ำชาอีกครั้ง


“บุตรชายของพระนางแม่แห่งเหล่าครุฑ ทิชชากร ผู้มีใบหน้าสวยงามยิ่งกว่าอิสตรีใด มีใบหน้าเป็นมนุษย์ ไม่ได้มีปากนกแหลมเช่นบรรดาพี่น้องต่างมารดา ผิวกายละเอียดผ่องพรรณ พาพระแม่ของตัวเองบินลงมาที่เมืองมนุษย์ เพื่อการบุญนั้น และคงเป็นโชคชะตา วาสนาที่นำพา โภคินที่บำเพ็ญเพียรมาอย่างยาวนาน เพื่อหวังว่าวันหนึ่งหากตัวเองมีบุญมากพอ จะขอถือกำเนิดเป็นมนุษย์ต่อไปภายภาคหน้า ส่วนทิชชากร ที่รู้สึกแต่ว่าตัวเองไม่ใช่พวกเดียวกับเผ่าพงศ์ แปลกแยกและแตกต่าง” เคนทร์นึกถึงภาพในความฝันของใครคนนั้น ที่เขาฝันเห็นอยู่ซ้ำ ๆ


“หนึ่งคือครึ่งครุฑครึ่งมนุษย์ อีกหนึ่งคือนาคที่บารมีกล้าแกร่งแปลงกายเป็นมนุษย์ได้” พ่อปู็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ เคนทร์มองเห็นพ่อปู่ดูอ่อนแรงลงไปมาก มากกว่าครั้งที่แล้วที่เขามาหา “ว่ากันว่า นาโครคินทระ นั้นคือเผ่าพันธุ์พญานาคที่ดุร้ายและไม่ยอมใคร ยิ่งเป็นบรรดาพญาครุฑ ที่แม้จะสงบศึกกันไป แต่ก็ยังคงเหยียดหยามนาคอยู่เสมอ มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ครุฑเพียงหนึ่งเดียว ที่โภคินยอมให้ ด้วยความอ่อนโยนที่ผิดแผกแปลกวิสัยไป และนั่นคือทิชชากร ผู้มีนามแปลว่านก ไม่ใช่” อย่างวงศ์พญาครุฑ” ใบหน้าที่เคนทร์เห็นในความฝันนั้น เขาจำได้ไม่ลืม ไม่ว่าจะหลับหรือลืมตาก็ตาม


“ผมขอถามได้มั้ยครับแม่” เขมรัฐพูดขึ้น เมื่อทั้งหมดลงมาที่ห้องรับแขกด้านล่าง หลังจากที่ขึ้นไปดูวาตะที่ยังคงหลับพักผ่อนอยู่ในห้องนอน และเมื่อเห็นแม่ของวาตะพยักหน้าอนุญาตอย่างพอจะเข้าใจได้ว่า เพื่อนทั้งสองคนของลูกชายของเธอ แจนและเขมรัฐ คงต้องการคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน “มันเกิดอะไรขึ้นกับวาตะกันแน่ครับ เพราะตอนกินข้าวกันอยู่ที่ร้านอาหาร วาตะบอกว่าเขารู้สึกเจ็บที่หน้าอก เหมือนดื่มน้ำที่เย็นจัดลงไปอย่างรวดเร็ว ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้ดื่มน้ำในตอนนั้น” เขมรัฐกำลังรู้สึกว่า เรื่องนี้มันแปลกเกินไป หากมันไม่มีคำอธิบายใด ๆ


“ใช่ค่ะแม่ แถมขมิ้นสั่งสเต๊กมากิน แต่เขาบอกว่าเหมือนถูกน้ำร้อนลวกที่ลิ้น น้ำร้อนประเภทที่ว่า แบบซุปร้อน ๆ ในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสต้มยำอะไรแบบนั้น ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลยค่ะแม่ คือถ้ามันเป็นก๋วยเตี๋ยวหรือสปาเกตตี หนูยังพอจะเชื่อได้บ้าง” แจนเองก็ยอมรับว่า ตอนที่ได้ยินวาตะพูดมาแบบนั้น แจนก็อึ้งเป็นอย่างมาก แต่ก็รู้ดีว่าวาตะเป็นเพื่อนที่ไม่ได้ชอบอำ หรือว่าสร้างเรื่องตลกอะไรแบบนี้


“พวกลูก ๆ เคยได้ยินคำว่า พิษนาค มั้ย” นิ่งไปอยู่อึดใจ แม่ของวาตะก็พูดขึ้น ส่วนพ่อของวาตะเดินไปที่ในครัว เพื่อไปเอาน้ำดื่มมาให้กับทุกคน แจนและเขมรัฐหันมามองหน้ากัน ก่อนจะต่างพากันส่ายหน้าเพราะนี่คือครั้งแรกจริง ๆ ที่ทั้งคู่ได้ยินอะไรแบบนี้ แม่รอจนพ่อกลับมาด้วยน้ำดื่มสี่แก้ว ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องที่คนเป็นแม่เอง จากที่ไม่เชื่อว่า ทั้งหมดนี้จะเป็นเรื่องจริง ต้องเชื่อจนสนิทใจ


“ช่วยหนูด้วยเถอะค่ะหลวงพ่อ” แม่ยกมือไหว้ท่าเจ้าอาวาสวัดที่เธอมาทำบุญอยู่บ่อย ๆ ด้วยว่าท่านเป็นสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และคิดว่าคงจะช่วยลูกน้อยของเธอได้ “ตอนนี้ย่างเข้าเดือนที่หกแล้ว นี่ก็ตั้งแต่เขาเกิดมาเลย หนูสงสารลูกมากเจ้าค่ะ” หลวงพ่อมองดูเด็กชายตัวน้อยที่ร้องโยเยไม่ยอมหยุด เหมือนกับว่ากำลังเจ็บปวดกับอะไรบางอย่างเป็นอย่างมาก


“เจ้าหนูนี่มันชื่อว่าอะไรล่ะ” หลวงพ่อเอ่ยถามเมื่อท่านทำท่าเหมือนกับว่า ท่านรับรู้ถึงอะไรบางอย่าง “วาตะค่ะหลวงพ่อ” หลวงพ่อมองไปที่พ่อและแม่ ก่อนจะก้มลงมองเด็กน้อยนั่นอีกครั้ง “ลม เจ้าแห่งท้องฟ้าสินะ” หลวงพ่อท่านพูด ก่อนจะยกตัวของเด็กน้อยที่นอนอยู่ในเปลขึ้นอุ้ม “อืม” หลวงพ่อเปิดเสื้อดูที่ไหล่ข้างซ้ายของเด็กน้อย จุดสีแดงนั่นมีขนาดเท่ากับเหรียญบาท เสียงแม่บอกกับหลวงพ่อว่า มันใหญ่ขึ้นกว่าตอนเกิดมาก จากที่เป็นเพียงจุดสีแดงเล็ก ๆ


“เขาทำสัญลักษณ์ของเขาเอาไว้ ว่าเมื่อพบกันอีกครั้ง เขาจะได้จำกันได้ และมันไม่ใช่เฉพาะเขาหรอกนะที่อยากจะจำ เจ้าหนูนี่ ก็เช่นกัน เราไปฝืนอะไรที่เขาลั่นวาจา สาบานกันเอาไว้แล้วไม่ได้หรอกนะ โยม” พ่อและแม่ของเด็กน้อยไม่เข้าใจในสิ่งที่หลวงพ่อพูด “อธิบายง่าย ๆ ไอ้การที่โยมทั้งสองมาเจอกันแต่งงานกัน นั่นก็เพราะกรรมที่ทำร่วมกันมา นำพาให้มาเป็นคู่กัน ทั้งกรรมดีและกรรมเลว” หลวงพ่อท่านพูด


“เจ้าหนูนี่ก็เช่นกัน กับสิ่งที่ติดตัวเขามา กำหนดให้เขาเป็น” แม่ของเด็กน้อยรีบถามขึ้นในทันที ที่ได้ยินหลวงพ่อพูดมาแบบนั้น “ช่วยอะไรลูกหนูได้บ้างมั้ยเจ้าคะหลวงพ่อ” คำถามนั้นทำให้หลวงพ่อต้องถอนหายใจออกมาเบา ๆ “กิจของสงฆ์คงทำอะไรให้ไม่ได้มากนักหรอกโยม” หลวงพ่อพูดก่อนจะวางเจ้าตัวน้อยลงบนเปลตามเดิม “เอาเป็นว่า” หลวงพ่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมา


“วาตะคามิน” พลันเสียงร้องไห้โยเยนั้นก็เงียบหายลงไป แววตาใสแป๋วของเด็กน้อยจับจ้องไปที่ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาของหลวงพ่อ “เออ ว่าไง เย็นลงบ้างแล้วสินะ พิษนาคน่ะ” พ่อและแม่ยิ่งตกใจไปกันใหญ่ ที่เห็นลูกชายจองพวกเขาหัวเราะออกมา เอามือกำนิ้วชี้ของหลวงตาเอาไว้ “วาตะแปลว่าลม” หลวงพ่อท่านพูด ภาพในนมิตที่ผ่านมาให้ท่านเห็นนั้น


“คามินแปลว่าสีแดง” หลวงพ่อพูดกับพ่อแม่ของเด็กน้อย “สีแดงเลือดนก” หลวงพ่อท่านพูดจากภาพนิมิตนั้น “ครุฑกับนาค เขาไม่ถูกกันมาแต่ไหนแต่ไร แต่ครุฑหนึ่ง และนาคหนึ่ง ผิดแผกจากเผ่าพันธุ์ เอาเป็นว่าโยมทั้งสองให้ชื่อวาตะคามินติดตัวเขาไว้ก่อน ให้เขารับรู้ว่าเขาเป็นใคร ทั้งที่เคยเป็นมา ทั้งที่กำลังจะเป็นต่อจากนี้ และนี่ เอานี่ไป” หลวงพ่อยื่นตลับหนึ่งใส่มือผู้เป็นพ่อของเด็กน้อย


“เริ่มตั้งแต่เข้าพรรษานะ อย่าให้ขาด เอาสีผึ้งนี้ ป้ายที่ปานแดงนั่น ทาทุกวัน ก็คงพอจะช่วยได้บ้าง แต่พอถึงออกพรรษา ช่วงนั้นจะหนักหน่อย เขาทวงคนของเขา ส่วนช่วงอื่น ๆ หมั่นทำบุญพาเจ้าหนูนี่ไปด้วย สอนให้เขาแผ่เมตตา สอนให้รู้จักการให้อภัย แต่โยมต้องรับรู้ไว้ก่อนว่า ไม่มีอะไรสามารถแก้ไขเรื่องนี้ได้จริง ๆ หรอก วันหนึ่งมันจะต้องเกิดขึ้นอยู่ดี พิษนาค ก็ให้ระวังเรื่องน้ำ ภัยจากน้ำ น้ำร้อน ลมพิษ งูเงี้ยวเขี้ยวขอ” หลวงพ่อพูดบอกกับพ่อและแม่ของหนูน้อย


“โยมอาจจะยังไม่เข้าใจทั้งหมดในตอนนี้ แต่เมื่อวันนั้นมาถึง ทุกสิ่งมันจะเกิดขึ้นโดยบุพกรรมนั้นจัดสรรบันดาล สิ่งที่ทำได้ ช่วยได้ ให้เจ้าหนูนี่มันเลี้ยงง่ายขึ้น โยมสองคนเหนื่อยน้อยลง อาตมาก็ทำได้เพียงเท่านี้แหละ” แจนและเขมรัฐได้แต่มองหน้ากัน กับสิ่งที่แม่ของวาตะเล่าให้ฟัง เพราะจำได้ว่า วาตะเล่าเรื่องที่เขาเกือบจะจมน้ำได้ในตอนเด็ก ดีว่าพ่อของวาตะมาเห็นเข้าก่อน และดึงวาตะขึ้นมาจากสระน้ำเป่าลมนั่นได้ทัน


“อุรเคนทร์” พ่อปู่เรียกชื่อคนที่พ่อปู่ช่วยเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก เอ็งเองล่ะ เอ็งก็รู้ใช่มั้ย ว่าชื่อของเอ็ง” พ่อปู่ถามชายหนุ่ม ที่พ่อปู่ยกมือห้ามไม่ให้เข้าไปหาท่าน หลังจากที่เคนทร์เห็นพ่อปู่ไอออกมาอย่างหนัก “ชื่อเอ็งแปลว่าพญานาค” หลวงปู่ไออกมา ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดเลือดออกจากริมฝีปาก “ก่อนหน้านั้น ไม่ว่าพ่อและแม่เอ็งจะใช้ชื่อไหนเรียกเอ็ง เอาสิวะ เอ็งไม่เคยหันเลยสักชื่อ” พ่อปู่หัวเราะออกมาเบา ๆ ด้วยความเอ็นดูลูกหลาน


“แต่พอข้าขอเรียกเอ็งว่าอุรเคนทร์เท่านั้น เอ็งก็ยอมให้ข้าเลี้ยงดูเอ็งได้สักที” พ่อปู่พยักหน้าเมื่อเห็นสีหน้าของเคนทร์ที่แสดงความเป็นห่วงออกมาอย่างมาก “พิษเอ็งมันร้าย เจ้าเคนทร์ พิษนาค” พ่อปู่รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า หากรับเลี้ยงดูอุรเคนทร์ วันหนึ่งนั้น “ข้าจะต้องตายด้วยการหาสาเหตุไม่ได้ เพราะพิษนาคนั้น” แต่พ่อปู่ก็รักเคนทร์ดุจลูกหลานของพ่อปู่เอง “แต่พิษนาคนั้น ก็เกิดขึ้นกับคนของเอ็งเช่นกัน แต่มันคนละอย่างกับที่เกิดกับข้า” พ่อปู่บอกกับเคนทร์


“จนกว่าเอ็งจะหาเขาเจอ สิ่งที่เอ็งรู้สึก สิ่งที่เอ็งสัมผัส เขาจะรับรู้ได้ผ่านน้ำ ยิ่งใกล้ออกพรรษาแล้ว ขึ้นสิบห้าค่ำ และเช่นกัน สิ่งที่เขารู้สึก เอ็งก็จะรับรู้ได้เช่นกัน” เคนทร์ตอนรับคำพ่อปู่ แต่ต้องห้ามตัวเองไม่ให้เข้าไปประคองพ่อปู่ ต้องเรียกให้ศิษย์คนอื่นมาพยุงพ่อปู่ เพื่อนำส่งโรงพยาบาล อาการของพ่อปู่เกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อย โดยที่พ่อปู่ไม่ยอมบอกให้เคนทร์รู้ จนเมื่อทุกอย่างสายไปแล้ว


ภาพที่เคนทร์เห็นในความฝัน เริ่มชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนหน้านี้ เคนทร์รู้สึกหงุดหงิดบ้าง เมื่อพ่อปู่ได้แต่พูดบอกกับเขาว่า เมื่อเวลานั้นมาถึง มันก็จะเกิดขึ้นเอง กับสิ่งที่ชายหนุ่มถามไปว่า เมื่อไหร่ แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่า เมื่อเวลามาถึง สิ่งที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว จะแสดงตัวออกมาเอง และจะดำเนินไปอย่างที่ทุกอย่างนั้นจะต้องเกิดขึ้น และอีกเพียงไม่กี่วัน สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน


“ข้าอ้อนวอนว่าต่อจากนี้ ขอเพียงมีที่พักพิงอาศัย แม้นเกิดอีกชาติหน้าฉันใด บำเพ็ญเพียรขอได้ตามอุรา” โภคินกอดทิชชากรเอาไว้ในอ้อมอกจนแน่น แต่อีกฝ่ายดันตัวของเขาออกห่าง “ข้าเองต่างหากที่บุญน้อย วาสนาต่ำต้อยฉุดรั้ง เพียงได้รักท่านแค่เพียงครั้ง ใจสมดั่งประสงค์มุ่งหมาย” ทิชชากรไม่ต้องการให้เกิดเรื่องร้ายใด ๆ กับโภคิน เมื่อท่านพ่อเจ้าเอ่ยปาก ว่าจะยกเรื่องนี้ให้ หากทิชชากรยอมกลับขึ้นไปเมืองครุฑ และจะไม่ลงมาพบกับโภคินอีก ตลอดไป


“แต่หากวันหนึ่งเป็นไปได้ เราคงรักใคร่สมหวัง ดินแดนแห่งนั้นว่านามตั้ง ไร้ชิงชังคือดั่งสุวรรณภูมิ” โภคินได้ยินแบบนั้น ก็ดึงตัวของทิชชากรเข้าไปจุมพิตที่ริมฝีปาก “ข้าขอสัญญาสาบานว่า ต่อให้นานเกินกว่าศตวรรษ จะเร่งรัดตามเจ้าวิหคศกุนต์ชาติ รักเราคืออำนาจเหนือสิ่งใด” ทิชชากรหลับตาเพราะรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ก่อนที่จะต้องรู้สึกปวดแสบปวดร้อนทรมานสุดจะบรรยาย เมื่อโภคินคายพิษนาคลงที่ไหล่ข้างซ้ายของทิชชากร พิษนั้นไหลลงบนปีกของทิชชากร ทำให้เลือดจากปีกไหลนองไปทั่วบริเวณ


โภคินต้องตัดใจ กลับลงไปใต้บาดาล ด้วยจิตที่ตั้งมั่นจะบำเพ็ญเพียร เพื่อจะได้กลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์และครองรักกับทิชชากรที่สัญญาสาบานกันเอาไว้ ว่าจะต้องมีสักครั้ง ที่ทั้งสองได้สมหวังต่อจากนี้ พระนางแม่ที่ตอนนี้บินอยู่กับท่านเจ้าพ่อของทิชชากร ได้แต่ร้องไห้ออกมา เมื่อเห็นลูกชายของพระนางตัดสินใจแบบนั้น และตอนนี้กำลังทุรนทุรายไปกับพิษนาคที่ทำให้รู้สึกเจ็บปวดแสนสาหัส
 

ทิชชากรเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า ร้องเรียกหาพระนางแม่ด้วยน้ำตาอาบหน้า แต่ก็รู้ดีว่า ตัวเองได้ตัดสินใจเลือกทางชีวิตของตัวเองไปแล้ว ทิชชากรพยายามบินขึ้นด้วยปีกที่เหลืออยู่เพียงด้านเดียวของตัวเอง ด้วยพละกำลังที่เหลือทั้งหมดของตัวเอง เลือดจากปีกที่ใช้ไม่ได้แล้ว ไหลปลิวไปตามลมที่พัดมา ก่อนที่ร่างของทิชชากรจะหมดแรง และร่วงลงไปนอนอยู่บนพื้นดิน โดยที่สายตามองเห็นว่าที่บนท้องฟ้านั้น พระนางแม่ไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้นแล้ว

*******************************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

ถ้าเธอรักใครคนหนึ่ง - INK WARUNTORN

https://www.youtube.com/watch?v=xXUFl-hDG2g


ถ้าเธอรักใครคนหนึ่ง เธอเองจะรู้หรือเปล่า

If you love someone, do you really know it?

ว่ารักของเธอชั่วคราวหรือรักของเธอยาวนานกว่านั้น

That your love will be temporary or it will last forever

ถ้าเธอพบใครคนหนึ่งที่เธอให้ความสำคัญ

If you find somebody, that you feel them so precious

เมื่อเธอสบตาคู่นั้นเธอรู้สึกอย่างไร

When your eyes meet, how does that make you feel?


รักหนึ่งอาจเกิดด้วยใครลิขิตหรือมันอาจเกิดด้วยตาต้องใจ

One love may occur with destiny, or it was just pure attraction

หรือมันอาจเกิดด้วยเหตุผลใด ใครเล่าเลยใครจะเลยล่วงรู้

Though it may be because of various reasons, who know whichever works for you

อาจเกิดเพราะใครกำหนดหรือใครขีดกฎเกณฑ์ไว้ให้เจอ

It may happen because it’s meant to be, or it’s just rule of nature

ให้เราต้องพบกันอยู่เสมอทุกครั้งไป

So, we cross our paths in life always


ถ้าเธอรักใครคนหนึ่ง เธอเองจะรู้หรือเปล่า

If you love someone, do you really know it?

ว่ารักของเธอชั่วคราวหรือรักของเธอยาวนานกว่านั้น

That your love will be temporary or it will last forever

ถ้าเธอพบใครคนหนึ่งที่เธอให้ความสำคัญ

If you find somebody, that you feel them so precious

เมื่อเธอสบตาคู่นั้นเธอรู้สึกอย่างไร

When your eyes meet, how does that make you feel?


เมื่อรักผลิบานในความรู้สึก เธอไม่ต้องตรึกตรองลึกลงไป

When love is blooming in feelings, you don’t need to dig deep to find out

ขอเธอติดตามฟังเสียงหัวใจ พาล่องลอยไปจนไกลดุจฝัน

All you do is to listen to your heart, it’ll take you float away like you’re dreaming

เมื่อรักไม่อาจกำหนดและไม่อาจกดเก็บไม่ให้เกิด

So that love cannot design, and it cannot be suppressed from happening

เธอเพียงแค่ปล่อยให้ใจเตลิดลอยไป

You now need to let it flow and fly away


ถ้าเธอรักใครคนหนึ่ง เธอเองจะรู้หรือเปล่า

If you love someone, do you really know it?

ว่ารักของเธอชั่วคราวหรือรักของเธอยาวนานกว่านั้น

That your love will be temporary or it will last forever

ถ้าเธอพบใครคนหนึ่งที่เธอให้ความสำคัญ

If you find somebody, that you feel them so precious

เมื่อเธอสบตาคู่นั้นเธอรู้สึกอย่างไร

When your eyes meet, how does that make you feel?


ถ้าเธอรักใครคนหนึ่ง และติดตราตรึงหัวใจ

If you do love someone, you love them wholeheartedly

ความรักจะเกิดขึ้นมาแบบไหนอย่างไรคงไม่สำคัญ

How love now shines, whatever it is, doesn’t really matter

เท่าเธอรักด้วยทั้งหมด ทุกสิ่งที่มันเป็นฉัน

It’s not bigger than you can love, love everything that’s made of me

ในชีวิตนี้แค่นั้นที่ใจฉันต้องการ

In my life, this is all I am asking for


แม้นานแค่ไหน

No matter how long it is

จะเป็นความรักหนึ่งเดียวที่ใจฉันต้องการ

This is the only love that my heart desires


ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 291
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0



“เอวองค์จงเจ้าช่างอรชร” เมื่อได้โอกาสที่โภคินได้อยู่กับทิชชากรเพียงลำพัง เมื่อเขาเห็นอีกฝ่าย ส่งพระนางแม่เดินเข้าไปในอุโบสถใหญ่ ก็ตรงรี่เข้ามาเกี้ยวพาราสีความงามที่ได้เห็นในทันที “หมู่ภมรควรรู้ไซร้หยุดไป่ถวิลหา” คำตอบจากทิชชากร ทำเอาโภคินนั้นต้องยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เพราะเกิดอาการถูกใจ รวมทั้งอารมณ์พอใจในอีกฝ่ายอยู่ครามครัน ด้วยว่าทิชชากรนั้น ที่เบือนหน้าหนีไปอีกทาง แต่ก็ค่อย ๆ หันกลับมา แล้วได้สบตากับโภคิน ที่มองอีกฝ่ายอย่างไม่วางตาอยู่ก่อนแล้ว



“เจ้างามดั่งนรอีกพละเช่นไวนเตยะ ปีกระหงขนดั่งทอง กึกก้องเวหาเพลากวัดไกว” คงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ว่า ทำไมโภคินถึงได้รู้สึกว่า ตัวเองนั้นไม่สามารถละสายตาจากทิชชากรได้เลย ด้วยใบหน้าที่งดงามได้ทางพระแม่นางมา ซึ่งด้วยว่าเป็นนร หรือคือมนุษย์นั้น แต่อีกครึ่งหนึ่งกับความเป็นเผ่าพันธุ์แห่งกาศยปพญาครุฑ ที่ขนปีกนั้นดูนุ่มดุจแพรไหม แตกต่างจากพี่น้องครุฑอื่น ๆ ที่โภคินเคยเจอมา แต่ถึงจะดูประหนึ่งเป็นมนุษย์เดินบนพื้นโลก แต่โภคินก็รับรู้ได้ว่า อีกฝ่ายนั้นถือว่าอยู่กันคนละฝั่ง



“เจ้าช่างสรรหาคำว่าจำนรรจา โบราณมานาคินทร์มิยินยล” ทิชชากรเองก็แปลกใจตัวเองอยู่เช่นกัน ว่าแทนที่ตัวเองจะบอกปัดโภคินไป แต่ตัวเองกลับเอ่ยปากพูดต่อล้อต่อเถียง พูดกลับไปให้อีกฝั่งฟังไม่หยุดหย่อน เพราะถึงแม้ว่าทั้งเหล่านาคราชและทั้งเหล่าสิตามัน จะยอมสร้างบุญ ณ สถานที่แห่งเดียวกัน แต่ก็ใช่ว่าจะญาติดีกันจนสามารถพูดคุยกันดั่งเผ่าพันธุ์อื่น ๆ เป็น ต่างฝ่ายต่างทำพิธีเสร็จ ก็ต่างแยกย้ายกันกลับเมืองของตน



“อาจจะเพราะบุญพาวาสนานำ ผิจะดำเนินตามไม่สร่างซา” โภคินถือโอกาสขยับเดินเข้าใกล้กับทิชชากร ที่อีกฝ่ายหันไปมองที่พระอุโบสถ ก็เห็นพระนางแม่กำลังเดินออกมาด้านนอก “ข้าจักต้องพาพระแม่กลับถิ่นเรือน” ทิชชากรขยับตัว เพื่อจะเดินอ้อมโภคินไป “ขอเพียงเจ้าดวงเดือนเตือนใจว่าใครรอ” สายตาของโภคินเว้าวอนให้ทิชชากรนั้นรู้สึกได้ในทันที ว่าการพบกันครั้งนี้ มันไม่ใช่แค่การมาพบกันเพื่อจาก ก่อนที่โภคินจะมองเห็นทิชชากรโอบร่างของพระนางแม่ที่เป็นมนุษย์ แล้วพาบินขึ้นหายไปในท้องฟ้า ทิชชากรเองนั้น ก็ลอบมองลงมาที่ริมน้ำนั้น โภคินที่อยู่ในร่างนร หรือร่างมนุษย์ค่อย ๆ กลายกลับไปสู่พญานาคที่ดุน่าเกรงขาม ก่อนจะพาตัวเองกลับลงไปที่เมืองบาดาล



ทิชชากรพาพระนางแม่กลับขึ้นมาที่เคหาของเหล่าพญาครุฑ แต่อดไม่ได้ที่จะหวนคำนึงถึงแต่พญานาคที่สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้อย่างแนบเนียน อีกทั้งยังสามารถทำให้ใจของทิชชากรนั้นหวั่นไหว สายตาของโภคินที่ดูประหนึ่งจะจัดแจงหาพื้นที่ในหัวใจของทิชชากร จับจองมันได้อย่างแยบยล ทิชชากรก้มลงมองของที่อยู่ในมือ เกล็ดพญานาคที่ได้รับมาจากโภคิน ทำให้ทิชชากรต้องมองลงไปที่ด้านล่างนั่น เพราะรู้ว่าเจ้าของนั้น อยู่ที่นั่น


 
พระนางแม่เฝ้ามองไปที่ทิชชากร ที่ตั้งแต่กลับมาจากลงไปทำบุญในครั้งนี้ ก็เห็นลูกของพระนางไปยืนอยู่ที่ประตูทางลงไปที่ด้านล่างนั่น ก็ใช่ว่าคนเป็นแม่จะไม่สังเกตเห็นความเปลี่ยนไปแปลกไปของลูกของตน ด้วยว่าเลี้ยงดูมาแต่อ้อนแต่ออก และรู้ดีว่า ทิชชากรนั้นรู้สึกว่าตัวเองแตกต่างจากบรรดาพี่น้องเผ่าพันธุ์เดียวกันอย่างไร แต่นี่ มันทำให้พระนางกลัวเข้าไปจับจิตจับใจ ถึงเหตุการณ์ในภายภาคหน้า ว่าอะไรกันที่จะเกิดขึ้น



โภคินเอง ตั้งแต่กลับมาถึงที่เมืองบาดาล ก็เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แลดูจะอารมณ์ดี แม้ว่าความเป็นนาโครคินทระ จะมีแต่เสียงร่ำลือถึงความโหดร้าย ที่เคยไม่ละเว้นให้ใครเลยก็ตาม แต่โภคินกลับยอมรับกับตัวเองว่า บัดนี้ ได้ถูกครึ่งนรครึ่งกาศยป ที่มีใบหน้างดงามยิ่งกว่านางอัปสรชั้นฟ้าใด ๆ รวมกัน อีกทั้งกิริยาไม่ยอมใคร ที่แฝงเอาไว้ด้วยความเขินเก้อ ที่ถูกโภคินพูดเกี้ยว นั้นได้ขโมยเอาหัวใจที่ไม่เคยแม้แต่จะประสงค์หรือต้องตาผู้ใด ให้มาเคียงคู่มาก่อน ต้องยอมพลีความคิดถึง มองไปที่เมืองด้านบนฟากฟ้านั่น เพราะรู้ว่า เจ้าของขนสีทองนุ่มสวยที่ถืออยู่ในมือนี้ เจ้าอยู่ที่ตรงนั้น สิ่งที่คิดวนอยู่ในใจ คือการได้พบกันอีกในเร็ววัน

 

“พ่อ เจ้าน้ำตาลมันเห่าอะไรเสียงดังมากเลย” แม่เอ่ยปากถามผู้เป็นสามี “มันเห่าอยู่นานมากแล้วด้วยสิ” ถามเกี่ยวกับสุนัขที่เลี้ยงเอาไว้ ที่ได้ยินเสียงมันเห่าแบบไม่มีพัก ซึ่งปกติแล้ว เจ้าน้ำตาลนั้น เป็นเรื่องธรรมดาของมันที่เวลาเห็นกระรอกวิ่งในสนามหญ้า มันก็จะเห่าแล้ววิ่งไล่ จนกระรอกนั้นวิ่งหนีขึ้นต้นมะม่วงไป หรือนกที่ลงมาหาหนอนหาแมลงกินในสนามหญ้า ที่พอนกพวกนั้นบินหนีไป เจ้าน้ำตาลก็จะหยุดเงียบเสียงเห่าไปเอง



“นั่นสิแม่ นี่ตอนแรกพ่อก็นึกว่ามันเห่าไล่กระรอกหรือนกเหมือนปกติ” พ่อเองก็เริ่มสงสัยแล้วเหมือนกันว่า เจ้าน้ำตาลมันเห็นอะไรในสนามหญ้ากันแน่ “แล้วนี่วาตะไปไหน พ่อเห็นมั้ย” แม่ถามขึ้น เมื่อมองหาลูกชายคนเดียวของพวกเขา “เมื่อกี้พ่อยังเห็นนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงโซฟานั่นอยู่เลย” ทั้งสองคนพ่อและแม่ ที่หันไปทำอะไรง่วน ๆ กันอยู่ พอหันกลับมามองหาอีกที วาตะก็ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว

 

“วาตะ อยู่ไหนลูก วาตะ อยู่หน้าบ้านมั้ยลูก เจ้าน้ำตาลมันเห่าอะไร” แม่ร้องถามวาตะออกไป แต่ไม่ได้ยินเสียงตอบของลูกชายเหมือนกับทุกครั้ง แม่มองหน้ากับพ่อ ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปมองที่ประตูบ้าน โดยมีพ่อเดินตามไปด้วยติด ๆ เสียงของเจ้าน้ำตาลยังเห่าขรมไม่ยอมหยุด ราวกับว่า มันได้พบเจอสิ่งอะไรที่มันไม่เคยเห็นมาก่อน แถมเสียงเห่าของมัน ยังกระโชกผิดวิสัยของมันไปเสียอีก

 

“ว้าย” เสียงของแม่หวีดร้องออกมาจนสุดเสียง “วาตะ อย่าขยับตัวนะลูก อย่าเพิ่ง ว้าย พ่อ ช่วยลูกเราด้วย” ทันทีที่แม่มองเห็นว่า เกิดอะไรขึ้นที่สนามหญ้าหน้าบ้าน กับสิ่งที่เจ้าน้ำตาลในตอนนี้ ขนที่คอยาวไปทั้งหลังอานของมันตั้งชัน เห่าใส่เสียงดังลั่นกว่าเดิม “วาตะ อย่าเพิ่งทำอะไรนะ” เสียงพ่อร้องบอกลูกชาย ที่ตอนนี้นั้น วาตะได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ น้ำตาคลอเบ้าอย่างเต็มไปด้วยความกลัวสุดขีด



ภาพตรงหน้านั้น วาตะยืนอยู่ที่กลางสนามหญ้า โดยที่ไม่กล้าขยับเขยื้อนตัวไปไหน เพราะมองเลยไปที่แนวรั้วบ้าน ที่ห่างออกไปไม่ถึงเมตร ตรงนั้นคืองูจงอางตัวใหญ่ ที่ถือว่าเป็นราชาแห่งงูทั้งปวง สีดำมะเมื่อม ต้องกับแสงแดดที่ส่องลงมากระทบ ดูน่ากลัวและน่าเกรงขามยิ่งนัก ความยาวนั้นมันช่างน่าตกใจเป็นอย่างมาก เดาจากสายตาไม่น่าจะต่ำกว่าห้าเมตร กำลังชูคอแผ่แผงคออย่างประกาศศักดา ยิ่งเจ้าน้ำตาลมันเห่าเสียงดังลั่น วิ่งไปมาซ้ายขวาอยู่แบบนั้นด้วยแล้ว


 
“น้ำตาลมานี่” พ่อเรียกสุนัขที่เลี้ยงไว้ให้เข้ามาหา เจ้าน้ำตาลทำหูลู่วิ่งมาตามเสียงเรียก “แม่ เอาเจ้าน้ำตาลเข้าไปไว้ในบ้านก่อน” พ่อรีบบอกกับแม่ ที่ตอนนี้รวบตัวเจ้าน้ำตาลให้เข้าไปอยู่ด้านใน ก่อนที่แม่จะออกมาที่ด้านนอกบ้านอีกครั้ง โดยรีบปิดประตู ไม่ให้เจ้าน้ำตาลมันวิ่งกลับมาได้ โดยที่ทุกการกระทำ ทุกการขยับตัวตรงหน้านั้น งูจงอางตัวใหญ่ ส่ายหัวมองตามการเคลื่อนไหวนั้นโดยตลอด



“ถ้าลูกทำได้ วาตะ” พ่อบอกกับลูกชาย ก่อนได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของแม่ดังขึ้น “ค่อย ๆ ก้าวเท้า เดินถอยออกมาทีละก้าว” เสียงพ่อบอกวาตะ ส่วนแม่ก็รับโทรศัพท์ ที่ปลายสายพูดอะไรมาบางอย่าง ที่ทำให้แม่ถึงกับหน้าถอดสี “พ่อ” แม่เรียกผู้เป็นสามี ก่อนจะได้ยินสิ่งที่แม่พูดบอกออกมา “หลวงพ่อท่านมรณภาพแล้ว” ทั้งสามคนที่อยู่ตรงนั้น ต่างตกใจกับเรื่องที่ได้รับรู้มา ด้วยที่ว่า ตอนเช้าของวันนี้ ทั้งสามคนเพิ่งไปถวายอาหารเช้าพระที่วัด เนื่องในวันเกิดครบรอบอายุสิบหกปีของวาตะ และยังพบกับหลวงพ่ออยู่เลย

 

“วาตะ ลูกได้ทาสีผึ้งของหลวงพ่อมั้ยลูก” แม่ถามลูกชายด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ วาตะส่ายหน้าแทนคำตอบ ก่อนที่น้ำตาใส ๆ จะไหลล้นขอบตาลงมา มันเป็นวันแรกกับหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา ที่วาตะลืมทำในสิ่งที่ทำมาตลอด โดยเฉพาะเมื่อช่วงเวลาเข้าพรรษามาถึง พ่อกับแม่มองหน้ากันอย่างพรั่นพรึง เมื่อต่างคิดว่า เวลาที่หลวงพ่อเคยบอกนั้น มันได้มาถึง เมื่อการกระทำใด ๆ ก็แล้วแต่ ไม่สามารถเหนี่ยวรั้งบุพกรรม กรรมที่เคยได้กระทำเอาไว้แต่ชาติปางก่อนได้



ทันทีที่วาตะก้าวถอยหลัง งูจงอางตัวใหญ่นั้น ก็หันมาทางวาตะในทันที วาตะได้แต่หยุดยืนนิ่ง สูดลมหายใจเข้าแล้วกลั้นเอาไว้ เพราะการขยับตัวของงูจงอาง ที่เหมือนกำลังจะเปลี่ยนทิศทาง ในตอนนี้ไม่มองไปที่พ่อและแม่อีกแล้ว แต่หันมาทางวาตะโดยตรง แล้วทั้งพ่อและแม่ต้องใจเต้นแรงด้วยความระทึก เมื่องูจงอางตัวใหญ่ตัวนั้นกำลังเลื้อยเข้ามาหาวาตะ ที่ตอนนี้หลับตาปี๋ด้วยความกลัว และคิดในใจว่า สิ่งร้าย ๆ กำลังจะเกิดกับตัวเอง ในวันเกิดปีนี้



“พ่อ” เสียงแม่เรียก เมื่อทั้งสองคนมองเห็นงูจงอางตัวใหญ่ตัวนั้น พอเลื้อยมาถึงตรงที่วาตะยืนอยู่ ก่อนจะเห็นงูจงอางนั้น ดันตัวเองให้ตั้งตรงขึ้น ก่อนจะเลื้อยขึ้นรัดไปจนถึงข้อมือซ้ายของวาตะ ความเย็นวาบแล่นเข้าไปถึงกลางหัวใจของวาตะ ที่ไม่กล้าแม้แต่จะมองไปที่ข้อมือซ้ายของตัวเอง พ่อและแม่ของวาตะทั้งตกตะลึง ทั้งกลัวอย่างสั่นสะท้านไปทั้งร่าง เมื่อเห็นจงอางตัวใหญ่สีดำมะเมื่อมทำแบบนั้นกับลูกชายของพวกเขา


 
งูจงอางหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น จนวาตะรู้สึกเหมือนกับว่า ราชาแห่งงูรัดข้อมือของเขา ไม่ใช่ด้วยท่าทางข่มขู่ หรือคิดจะทำร้ายแต่อย่างใด แต่ถึงกระนั้น วาตะก็ยังรับรู้ถึงชีพจรของตัวเองที่เต้นตุบ ๆ ไปตามจังหวะการปั๊มของหัวใจ ที่ดูราวกับว่าพญาจงอางเอง ก็รับรู้ถึงความรู้สึกและอาการของวาตะด้วยเช่นกัน เพราะหลังจากนั้น จงอางตัวใหญ่สีผิวดำมะเมื่อม หนังเย็นเฉียบ ก็ค่อย ๆ คลายกล้ามเนื้อที่รัดข้อมือของวาตะลง ก่อนจะค่อย ๆ ลดตัวลงมาชูคอตั้งตรง โดยส่วนบนบริเวณแม่เบี้ย ที่มีลายบั้งคล้ายก้างปลาสีขาว ถูกดันแตะเบา ๆ ไว้ที่ปลายนิ้วที่มือข้างซ้ายของวาตะเท่านั้น



เด็กน้อยวัยห้าขวบ สุดท้ายแล้วก็ยอมขึ้นรถไปแต่โดยดี ยอมนั่งรถไปกับพ่อและแม่ เพื่อเดินทางไปที่โรงพยาบาล เพราะทั้งพ่อและแม่ของเด็กน้อย ไม่รู้แล้วว่า จะทำอย่างไรต่อไปดี เมื่อทั้งสองคนต่างก็จนปัญญา ไม่สามารถจะจัดการกับอาการของลูกชายได้ เมื่อเคนทร์ไม่ยอมฟังหรือทำตามคำสั่งใด ๆ ไม่ว่าพ่อและแม่จะบอก จะอ้อนวอน หรือขู่ไปต่าง ๆ นานา แต่ก็ไม่เป็นผลแต่อย่างใด


 
แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจอย่างที่สุด คือพ่อและแม่ของเคนทร์ ที่รู้สึกว่า ตลอดเวลาเท่าที่เห็น เคนทร์ดูเป็นเด็กดุดัน ท่าทางน่าเกรงขาม แววตาที่กร้าวอยู่ในที ทั้ง ๆ ที่อายุเพิ่งจะเพียงเท่านี้ ไม่ว่าจะลูกพี่ลูกน้องที่อายุเท่า ๆ กัน หรือแม้แต่ญาติที่โตกว่า ต่างก็รู้สึกถึงความน่ากลัวออกมาจากเคนทร์ ซึ่งมันก็แปลกที่ผู้ใหญ่มากกว่า จะมากลัวอะไรกับเด็กตัวเท่านี้ และยิ่งไปกว่านั้น เคนทร์ที่เกิดวันออกพรรษาในปีเกิดนั้น กลับมาดูอ่อนโยน เมื่อได้มาเจอกับเด็กแรกเกิด แก้มยุ้ย คนนี้ ที่เกิดในวันเข้าพรรษาพอดี


 
“อย่าพาน้องไป” พ่อกับแม่ของเคนทร์คว้าแขนของเด็กน้อยเอาไว้ไม่ทัน เมื่อเคนทร์ที่เดินตามครอบครัวนั้น ที่กำลังจะพาลูกชายที่เพิ่งคลอดของพวกเขากลับบ้าน โดยที่เด็กชายวัยห้าขวบ ราวกับไม่ได้ยินเสียงห้ามของพ่อและแม่ของตัวเองเลย เคนทร์วิ่งตามรถยนต์คันนั้นที่แล่นจากไป “อย่าพาน้องไป กลับมา พาน้องกลับมาเดี๋ยวนี้” เคนทร์ออกคำสั่งราวกับตัวเองเป็นผู้ใหญ่ และฟังดูมีอำนาจจนเกินตัวเลยวัยไปเยอะ แววตาแข็งกร้าว น้ำเสียงฟังดูมีอำนาจ แม้ขอบตาทั้งสองจะดูเหมือนมีน้ำตามาเอ่อคลออยู่ แต่ก็ไม่ยอมร้องไห้ออกมา



“พ่อปู่ครับ มาดูอะไรนี่หน่อยครับ ไอ้เคนทร์มัน” ลูกศิษย์ของพ่อปู่วิ่งกระหืดกระหอบมาหาพ่อปู่ที่บนเรือน ก่อนจะยกมือไหว้ แล้วก็ชี้มือชี้ไม้ไปที่ด้านล่างเรือนไทยยกใต้ถุนสูง ที่เลยออกไป จะเป็นม้านั่งที่อยู่ริมสระน้ำใหญ่ ที่มีต้นไม้ยืนต้นสูง ปลูกครึ้มเรียงไปตามริมน้ำ พ่อปู่เดินไปที่ชานบ้าน มองไปเห็นเคนทร์ในวัยยี่สิบเอ็ดปี กำลังนั่งวาดรูปอยู่ที่ม้านั่งริมสระน้ำใหญ่ ใต้ต้นไม้รกครึ้มนั้น



เคนทร์เอง เมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกมองมาจากสายตาของคนหลายคน ก็เงยหน้าขึ้น ก่อนจะมองเห็นพ่อปู่และลูกศิษย์ของพ่อปู่สองสามคน กำลังเดินตรงเข้ามาหาเขา แต่เคนทร์เองก็ต้องมองตามสายตาของพ่อปู่ โดยที่เขาเงยหน้าขึ้นไปบนต้นไม้ ที่ตอนนี้ สิ่งที่น่าตกใจสะพรึงกลัวก็คือ มีบรรดางูน้อยใหญ่ พันตัวกันอยู่บนกิ่งไม้บนต้นไม้เหล้านั้น เป็นจำนวนมาก แต่เคนทร์เองไม่ได้มีท่าทีสะทกสะท้านอะไรทั้งสิ้น พ่อปู่นั้น มองไปที่กระดาษที่อุรเคนทร์ถืออยู่ในมือ มันเป็นภาพวาดของชายหนุ่มคนหนึ่ง ที่มีงูจงอางตัวใหญ่ กำลังยกตัวขึ้นจากพื้นดิน แล้วส่วนหัวแม่เบี้ยนั้น พันอยู่ที่รอบข้อมือซ้าย

*******************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

ฉันจะอยู่กับเธอ - นิโคล เทริโอ

https://www.youtube.com/watch?v=94FT44bD8a4


เธอก็คงจะรู้ดี

You’ve gotta know it well

ว่าชีวิตของฉัน

That this life of mine

ฉันยอมทุ่มเทเพื่อใคร

Whom I’ll be putting myself through for


ยอมให้เธอหมดหัวใจ

Yielding, is only you I am

และจะไม่มีทาง

And that I will never

ให้ใครมากมายอย่างนี้

Do that for anyone that much


ฉันไม่ท้อไม่หวั่น

I am standing tall and strong

แค่ขอให้รู้เธออยู่

Only knowing you’re here with me

ฉันก็พร้อมจะสู้กับทุกทุกอย่าง

I am ready to face anything coming my way

 
ทางจะไกลเท่าไหร่

A long journey lies ahead of us

กับเธอจะไม่ยอมห่าง

With you, I’ll never leave your side

แค่เพียงขอให้เธอ

All I’m asking of you is

สัญญาจะอยู่กับฉัน

The promise you give to be with me


อย่าปล่อยมือฉันได้ไหม

Please, don’t you let go of my hand

ไม่ว่าอะไรก็ตาม

No matter what happens

เจ็บปวดชอกช้ำแค่ไหน

Sufferings and all pains are caused

จับมือฉันไว้ตลอดเวลา

Holding my hand the entire time


อย่าปล่อยมือฉันได้ไหม

Never let my hand go

ถึงฉันจะมีน้ำตา

Though tears are running down my face

ก็จะขอยืนยัน

I am here to insist

ว่าฉันจะอยู่กับเธอ

That I will always be with you

 
นาน อีกนานสักเท่าไหร่

Long, and it can take very long from here

จะไม่ขอมีใคร

I’ll never want anyone else

เข้ามาอยู่แทนที่เธอ

To replace you that lives in my heart


ฉันจะอยู่ข้างข้างเธอ

I’ll be the one right by your side

และจะรักเธอมีแต่เธอ

I’ll love you, and that’s just you

คนเดียวเท่านั้น

The only one I have feelings for


ก็จะขอยืนยัน

I can assure you this

ว่าฉันจะอยู่กับเธอ

That I’ll be with you forever

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 291
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: SHORT: ZombieUrbania: สีลมซอมบีเนีย - 9/10/2568
«ตอบ #7 เมื่อ09-10-2025 15:35:01 »



“ทำไมไม่รับโทรศัพท์” เสียงทักที่แสดงความไม่พอใจดังขึ้นอยู่ใกล้ ๆ ทำให้เจ้าตัว ที่เพิ่งถูกทักถามมาแบบนั้น สะดุ้งตกใจ รีบหันไปทางต้นเสียงในทันที “ว่าไง หมวย” ชายหนุ่มถามย้ำออกมา ด้วยความขุ่นเคืองที่คุกรุ่นอยู่ในใจมาตลอดหนึ่งสัปดาห์เต็ม “ไม่จำเป็นต้องรับ” คนถูกเรียกชื่อว่าหมวยตอบแบบมะนาวไม่มีน้ำกลับไปเช่นกัน


“ก็เลิกกันไปแล้ว” หมวยตอบกลับไป มองหน้าชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า ด้วยท่าทางแบบคนไม่ได้รู้สึกแคร์อะไรกันแล้ว “แต่ของที่ห้อง พี่ยังเอาไปไม่หมด” ชายหนุ่มบอกถึงจุดประสงค์ ว่าทำไม หมวยถึงยังจำเป็นต้องรับโทรศัพท์ เวลาที่เขาโทรมาหาอยู่ ไม่ใช่ทำเงียบ อิกนอร์ ทำไม่สนใจกันแบบนี้


“ดูหมดทุกห้อง ทุกซอกทุกมุมแล้ว ไม่มีของของพี่หมวดเหลืออยู่แล้ว ไม่มีสักชิ้นเดียว” หมวยเองขมวดคิ้ว ทำหน้างง เพราะตัวเองก็จัดห้อง ทำความสะอาดจนดูถี่ถ้วนแล้วว่า ของใช้ของพี่หมวด ขนเก็บเอาไปหมดแล้ว “มันยังเหลืออยู่อีก บางอย่าง เอาเป็นว่า พี่ต้องไปดูเองที่ห้องหมวย จะได้เห็นเองกับตาด้วย” ผู้หมวดหนุ่มยังคงยืนยันคำเดิม


“เนี่ยนะ อีเบาหวิว กูขอทายเอาไว้ล่วงหน้าเลย ว่าอีพี่หมวดตี๋ ที่ยังเพียรโทรมาหาอีหมวยทุกวี่ทุกวัน อีหมวดรูปหล่อ ยังรักอีหมวยอยู่แน่นอน” พิม หญิงสาวที่เดินถอยหลัง ช่วยยกกล่องขนาดใหญ่มากับเบาหวิว กะเทยร่างใหญ่อ้วนพี เม้าท์มอยกับเพื่อนสาวอย่างเมามัน ถึงพฤติกรรมผู้หมวดตี๋ นายตำรวจหนุ่ม ที่เพิ่งจะเลิกรากับหมวย เพื่อนอีกคนในกลุ่มไป


“อีพิมหยุด” เบาหวิวไม่พูดเปล่า ทำหน้ายู่ บุ้ยบ้ายปาก เป็นการส่งซิกแนลให้เพื่อนหยุดพูดก่อน เนื่องจากผู้หมวดตี๋ ยืนเอียงคอมองทั้งสองคน ที่เดินมาพร้อมลังขนาดใหญ่นั่น “ทำไมกูจะต้องหยุด กูจะพูด เลิกกันไปแล้ว ยังตามเพื่อนกูซะขนาดนั้น ใครก็ดูออกป่ะวะ ว่ากำลังหวงก้างคนอื่นอยู่ หมาที่ไหนไม่หวง แต่อีพี่หมวดตี๋ หวงค่า” พิมเพิ่มโวลุ่มเสียงให้ดังขึ้นอีก เพราะใจอยากจะให้เพื่อนหมวยนั้น ได้ยินด้วย
 

“อีหมวย มึงฟังกูนะ ต่อจากนี้ไป ถ้ามีใครเข้ามาจีบมึงอีก มึงต้องเลิกหนีบปิ๊มึงได้แล้ว หนีบจัง หนีบเอาไว้เพื่อ อีหมวย เลิกรอค่ะ เลิกรอหมวดตี๋ได้แล้ว ประตูหลังมึงต้องเปิดรับบริวารทั้งหลายเหล่านั้น เอาทุกดุ้นมาเก็บเป็นคอลเล็คชึ่น เข้าใจมั้ยอีสวย” พิม คนที่เพื่อนในกลุ่มรู้กันดีว่า นิสัยคือพูดไปเรื่อย พูดไปก่อน พอวางลังใหญ่นั้นบนพื้นฟุตปาธเสร็จ ก็หันมาเจอหน้าผู้หมวดตี๋ ยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่พอดี พิมเองนั้น เม้มปากจนแน่น หันไปทำท่าบ่นกับเบาหวิว ว่าทำไมไม่เตือนกันก่อน


“พิมมันไม่ได้พูดอะไรผิด” หมวยพูดออกตัวแทนเพื่อนในทันที “โสดแล้ว หมวยจะทำอะไรก็ได้” สายตาของผู้หมวดตี๋นั้น ถ้าทำได้ คงอยากจะสั่งขังยัยพิมนี่สักวันสองวัน เอาให้เข็ด “ขนอะไรกันมา” ผู้หมวดตี๋ชี้นิ้วไปที่ลังขนาดใหญ่นั่น “อะไรอยู่ในลัง ไหนเปิดดูซิ” ผู้หมวดตี๋ออกคำสั่ง พิมนั้นไม่เท่าไหร่ พอจะเก็บอาการไหว แต่เบาหวิวนี่สิ ที่เลิ่กลั่กไม่หยุด
 

“ไม่มีอะไรเลยพี่หมวด ลังเปล่า” เบาหวิวรีบตอบ คำแก้ตัวนั้น ทำให้ผู้หมวดหนุ่มต้องถอนหายใจออกมาดัง ๆ “ลังเปล่า แต่ช่วยกันยกสองคน” เสียงถามของผู้หมวดตี๋ พลางส่ายหน้านั้น ตั้งใจทำให้รู้กันเลยว่า อย่าคิดว่าจะมาโกหกกันได้ ด้วยมุกตื้น ๆ แบบนี้ ยิ่งท่าทางของเบาหวิวที่มันบ่งบอกทุกอย่างออกมาด้วยแล้ว


“อีเบาหวิว มึงนี่นะ ทุกทีเลยสิน่า” พิมหันไปโวยวายกับเพื่อน ที่ตอนนี้เบาหวิวทำหน้าตาเฉลยทุกสิ่งอย่าง “พี่หมวดจะมาขอดูอะไรแบบนี้ไม่ได้นะ พี่หมวดได้อยู่ท้องที่นี้ อยู่คนละสน.” หมวดรีบห้ามผู้หมวดคนหล่อ เพราะรู้ว่า แฟนเก่าอย่างพี่หมวดตี๋นั้น สังกัดอยู่คนละท้องที่สืบสวนกัน

 
“พี่เพิ่งย้ายมาประจำอยู่ท้องที่นี้” ผู้หมวดตี๋หันไปพูดกับหมวย ทั้งสองสบตากัน หมวยขมวดคิ้วเมื่อได้ยินหมวดตี๋สุดหล่อบอกมาแบบนั้น “เพิ่งย้ายมาวันนี้เลย” ผู้หมวดตี๋สุดหล่อไม่พูดเปล่า ยักคิ้วให้กับคนที่เขาคิดว่า ยังคงเป็นแค่ว่าที่แฟนเก่าเท่านั้น หมวดตี๋นั่งลงที่ข้างลังใบใหญ่นั่น โดยมีพิมที่ทำหน้าเบ้ ส่วนเบาหวิวนั้นแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว
 

“โอ้โห มีทุกไซซ์ ทุกขนาด ทุกสี ทุกสัญชาติเลยมั้นเนี่ย” ผู้หมวดตี๋พูดออกมาดังลั่น เมื่อเห็นว่าของในลังนั่น คือบรรดาดุ้นปลอมสีชมพู สีดำมะเมื่อม ขนาดเล็กบ้าง เขื่องเท่าแขนบ้าง อัดแน่นอยู่เต็ม “แต่พี่หมวด วันนี้แต่งตัวมาแค่ครึ่งท่อนเท่านั้น ไม่มีอำนาจจะมาค้น หรือจับกุมอะไรทั้งสิ้น” หมวยยังไม่ยอม เถียงคอเป็นเอ็น ในฐานะที่เป็นเกือบจะอดีตแฟนเก่าของเจ้าของเอ็นตำรวจสุดหล่อคนนี้


“แต่นี่มันถือว่าเป็นความผิดซึ่งหน้า ยังไงพี่ก็ต้องทำตามหน้าที่ พี่บอกหมวยแล้วไง ว่าอย่าขายของอะไรแบบนี้” ผู้หมวดตี๋พูดด้วยความเป็นห่วงอีกฝ่าย “แหม อีพี่หมวด แต่คนโสด เช่นคนโสดอย่างหนูเนี่ย ของพวกนี้มันมีประโยชน์ แก้ขัดได้นะคะ” พิมประท้วงออกมา เพราะรู้สึกไม่เห็นด้วย ถ้าจะกล่าวหาว่า ของช่วยของเล่นทางเพศพวกนี้มันจะเป็นผู้ร้ายไปเสียทั้งหมด


“แต่หมวยเขามีพี่อยู่แล้วทั้งคนไง หมวยไม่มีความจำเป็นต้องใช้ดุ้นปลอมพวกนี้” ผู้หมวดตี๋หันมาเถียงพิมด้วยอาการลืมตัว พิมถึงกับหลุดหัวเราะออกมา เมื่อทฤษฎีแฟนเก่าของเธอนั้นชัดเจนเสียยิ่งกว่าอะไร เมื่อพี่หมวดตี๋นั้น ยังมีใจให้กับเพื่อนหมวยคนสวยอย่างแน่นอน “อ้าวอีหมวย ไหนมึงบอกกับกูว่า มึงกับพี่หมวด แค่นอนจับมือกันใส ๆ เท่านั้นไง” เบาหวิวพาซื่อถามคำถามนั้นออกมา จนพิมต้องหันไปพูดข้างหู ว่าคืน ๆ หนึ่ง นังหมวยรับคนงามนั้น ทั้งจับ ทั้งกำ ทั้งรูด อะไรของพี่หมวดตี๋รูปหล่อคนนี้บ้าง
 

“จะไปไหน” พี่หมวดตี๋รีบถามหมวย เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าว่าจะหนี “พิม เบาหวิว วางลังนั้นลง” ก่อนจะต้องหันไปออกคำสั่ง เมื่อสองคนนั่น ก็ไวเท่าความคิด กำลังจะยกลังหลักฐานนั้นหายไป “รีบยกของไปสิพวกมึง” หมวยตะโกนบอกเพื่อน “ถ้าสองคนนั้นจะหนีละก็” ผู้หมวดตี๋บอก ก่อนจะคว้าแขนของหมวยมาสับกำไลข้อมือลงไป


“เฮ้ย พี่หมวด ทำอะไรเนี่ย” หมดร้องถามด้วยความตกใจ ก่อนจะเห็นพี่หมวดตี๋ สับอีกด้านหนึ่งของกำไลลงที่ข้อมือของตัวเอง “จะทิ้งเพื่อนได้ลงคอมั้ย พิม เบาหวิว” สองคนนั้น ได้ยินที่ผู้หมวดคนหล่อถาม ก็เกิดอาการลังเล จะไปไม่ไป จะอยู่ไม่อยู่ โดยที่ไม่ไกลจากตรงนั้น มีเสียงคนคล้ายกับกำลังกรีดร้อง หรือตะโกนโหวกเหวกเพราะอะไรบางอย่าง


“ตอนนี้มันพวกที่แอบขายยาอะไรบางอย่าง แบบใหม่ ที่ออกฤทธิ์กับระบบประสาทในท้องที่นี้ด้วย หมวย พี่เป็นห่วง” ถึงจะรู้ดีว่า แฟนของตัวเองไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดเลยก็ตาม หมวยเองก็รู้ดีว่า พี่หมวดตี๋อดเป็นห่วงเขาไม่ได้หรอก หากว่าหมวยยังคงต้องออกมาหารายได้ ด้วยการเป็นคนกลางคืนแบบนี้


“ไขกุญแจออก” หมวยยกแขนของตัวเองขึ้น “ไม่” พี่หมวดตี๋ยกแขนตาม แต่ก็ส่ายหน้าตอบปฏิเสธ “พี่หมวด” หมวยทำเสียงดังใส่ อย่างที่เคยทำ แล้วพี่หมวดตี๋ของหมวยก็เคยยอมทำตามเสียทุกครั้ง “ไม่ คราวนี้พี่ไม่ยอมปล่อยหมวยไปง่าย ๆ” สองคนยื้อดึงแขนของตัวเองไปกันคนละทาง และโดยไม่คาดคิด อยู่ ๆ ก็มีใครคนหนึ่ง วิ่งมาถึงตรงที่หมวดตี๋และหมวยยืนอยู่ แล้วอ้าปากงับ พยายามกัดเข้าตรงโซ่เหล็กระหว่างกำไลข้อมือตำรวจทั้งสองข้าง


“เฮ้ย อะไรวะเนี่ย” ผู้หมวดตี๋ร้องตะโกนออกมาด้วยความตกใจ มองไปที่คนที่กำลังเคี้ยวโซ่กำไลข้อมือที่ใช้จับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างดุดัน “พี่หมวด” หมวยร้องเรียกแฟนเก่า เมื่อจำได้ว่าคนที่กำลังใช้ฟันบดเคี้ยวกำไลอยู่นั้นคือ “ท่านผู้กำกับครับ” ผู้หมวดตี๋ร้องออกมาอย่างตะลึงงัน เมื่อเห็นผู้บังคับบัญชา ที่เพิ่งไปรายงานตัวเข้ารับหน้าที่มาเมื่อเช้า มีสภาพกลายเป็นอะไรไปแล้วก็ไม่รู้ ทั้งคราบเลือด ทั้งเสียงร้องที่ฟังดู ไม่ใช่ของคนปกติ


คนที่ดูแล้ว น่าจะเป็นอดีตท่านผู้กำกับนายตำรวจใหญ่ไปแล้วจริง ๆ หยุดนิ่ง ก่อนจะหันซ้ายหันขวามองไปที่ผู้หมวดตี๋ที และมองไปที่หมวยที คายโซ่กำไลนั้นออกจากปาก ทำท่าจะหันไปขย้ำกัดหมวย แต่ไม่ทันได้ทำแบบนั้น ผู้หมวดตี๋ก็ใช้มือขวาที่เหลือว่างและเป็นอิสระอยู่ ซัดหมัดเปรี้ยงเข้าที่หน้าของท่านผู้กำกับจนเต็มแรง ร่างของท่านผู้กำกับล้มลงไปกองกับพื้นถนนในทันที


“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย” พิมร้องถามออกมาด้วยความตกใจ ก่อนจะเห็นใครอีกคนวิ่งออกมาจากตรอกมืดข้าง ๆ แหกปากแยกเขี้ยววิ่งเข้ามาทางที่เธอกับเบาหวิวยืนอยู่ คนคนนั้นคือป้าร้านข้าวแกง ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับพิมมาหลายปี แกอ้าปากแบบตั้งใจจะกัดพิมให้จมเขี้ยว แต่สิ่งที่ป้าแกกัดลงไปอย่างแรง คือดุ้นดำมะเมื่อม อวัยวะเพศชายเทียมขนาดเขื่องเท่าแขน ที่เบาหวิวคว้าเอามาขวางหน้าได้ทัน


“อีเหี้ย อีป้าขายข้าวแกง” พิมร้องเสียงหลง เมื่อเห็นแววตาอาฆาตของป้าแก ที่เธอเองไม่แน่ใจว่า นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ฝ่ายป้าร้านขายข้าวแกงเอง ที่งับลำกระจวยดำดีนั้นเข้าไปจนเต็มปาก ฟันแกฝังเข้าไปในเนื้อของท่อนลำเทียมแงะไม่ออก แกก็ได้แต่ส่ายหน้าส่ายหัวไปมา พยายามจะสลัดท่อนนั้นให้หลุดให้ได้
 

“เราต้องไปจากที่นี่ก่อน” ผู้หมวดตี๋ที่ยังไม่แน่ใจนัก ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไรกันแน่ ร้องบอกทุกคน ด้วยสัญชาตญาณก็มองไปทั่ว ๆ เพื่อประเมินสถานการณ์ และมองหาทางหนีทีไล่ เมื่อมีเสียงกรีดร้องมาจากไกล ๆ และเห็นคนกลุ่มใหญ่กำลังวิ่งมาทางนี้ “เราต้องไปทางไหน” ยังไม่ทันที่หมวยจะได้รับคำตอบของตัวเอง ก็เห็นพิมและเบาหวิว พากันยกลังนั้น วิ่งไปที่รถตู้ขนของที่จอดเปิดประตูข้างอยู่ไม่ไกล


เบาหวิวโยนลังนั้นเข้าไปด้านในรถตู้ มองเข้าไปเห็นพี่คนขับรถตู้มองออกมาด้วยสายตาตื่นตระหนก เบาหวิวผลัดตัวเองเข้าไปด้านใน ล้มลงนั่งที่ข้างกล่อง โดยที่พิมนั้นวิ่งไปเปิดประตูข้างคนขับ แล้วกระโดดขึ้นไปนั่งแล้วปิดประตูตามหลังในทันที ทางด้านหมวดตี๋และหมวย วิ่งตามมาจนเกือบถึงรถตู้ แต่กลับต้องหยุดชะงัก เมื่อมีร่างหนึ่ง ที่ทุกคนตรงนั้นจำได้ ว่าเป็นหนึ่งในเอเย่นต์ขายยาที่นักเที่ยวกลางคืนชอบใช้กัน ส่งเสียงร้องขู่คำรามดังลั่น พยายามจะเข้าไปในรถตู้ด้วย


“อย่าเข้ามา อย่านะ” เบาหวิวคว้าดุ้นเทียมไหนได้ ก็ปาใส่หน้าเอเย่นค้ายาคนนั้นรัว ๆ แถมแม่นเสียด้วย เมื่อส่วนหัวส่วนไข่ของดุ้นเหล่านั้น ฟาดเข้ากลางแสกหน้าทุกดอก “พี่ออกรถเดี๋ยวนี้” พิมร้องตะโกนบอกกับคนขับรถ ที่กำลังลนลานทำอะไรไม่ถูก “อีหมวย พี่หมวด ขึ้นมา” เบาหวิวพยายามเรียกอีกสองคนที่ยังยืนอยู่ข้างนอก ยังหาจังหวะขึ้นมาบนรถตู้ไม่ได้ เพราะเอเย่นต์ขายยาที่กำลังคลุ้มคลั่งยืนขวางอยู่


“พี่คนขับ เดี๋ยวก่อน” เบาหวิวที่ตัดสินใจคว้าดุ้นสีดำมะเมื่อมอันใหญ่สุดที่เหลืออยู่ ทิ่มเข้าปากเอเย่นต์ที่อ้ากว้างโชว์ฟัน หมายจะกัดลงที่ตัวเบาหวิว ทิ่มมันใส่ปากเอเย่นต์ไปจนสุดแรง มันลึกเลยเข้าไปในคอของเอเย่นต์นั่น ทำให้ร่างนั้นสำลักตาเหลือก ล้มลงไปกับพื้น แต่ก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พี่คนขับรถตู้ กระทืบเท้าลงบนคันเร่ง กระชากรถเพื่อขับออกไปจากตรงนั้น โดยที่หมวดตี๋และหมวยยังไม่ได้ขึ้นไปบนรถ
 

ขณะที่รถตู้นั้นออกตัวไป ประตูด้านข้างรถตู้ยังไม่ทันปิด ก็มีร่างคลุ้มคลั่งร่างหนึ่งพุ่งตัวเข้าไปด้านในตัวรถด้วย แรงเหวี่ยงของรถ ทำให้หมวยและพี่หมวดตี๋ มองเห็นเบาหวิวกรีดร้องออกมาด้วยอาการกลัวอย่างสุดขีด ก่อนที่ประตูข้างรถตู้จะเลื่อนปิดเอง เงาสะท้อนราง ๆ จากกระจกสีชา ทำให้เห็นว่า เบาหวิวกำลังสู้เพื่อเอาชีวิตรอดอยู่ เมื่อรถตู้คันนั้นแล่นจากไป


“เราอยู่ตรงนี้ไม่ได้” พี่หมวดตี๋ร้องบอกหมวย “เชื่อใจพี่นะ” พี่หมวดถาม หมวยพยักหน้าให้ “จับมือพี่ไว้ จับไว้ให้แน่น อย่าปล่อยมือพี่เป็นอันขาด” พี่หมวดตี๋ร้องบอกหมวย ที่บีบมือพี่ตี๋จนแน่น ผู้หมวดหนุ่มกำลังประมวลผลในสมอง ถึงตรอกซอกซอยแถวนี้ที่ตัวเองจำได้ ว่าทางตรงไหนต่อกับเส้นไหน ทะลุไปทางใด แล้วอาคารไหนบ้างที่จะสามารถใช้เป็นที่หลบภัยได้ “หมวย วิ่ง” พี่หมวดกระชับมือแฟนของเขาเอาไว้จนแน่น ก่อนจะพาหมวยออกวิ่ง ในนาทีนี้ ความปลอดภัยของหมวย คือความสำคัญที่สุดของพี่หมวดตี๋

**************************************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

ตาคลี - TAKHLI GANG
https://www.youtube.com/watch?v=Jf5cBb5xNeE


พวกเราชาวตาคลี

We are local Urbania

สุดจะแฟนตาซี

Definition is fantasy

มานั่งดูซิ มีให้ดูทั้งคืน

Come here and see, we'll serve thee all night


Boys and girls, please welcome

TAKHLI, TAKHLI, TAKHLI!

You can say! Pitta P, Copter, and Laila!


(สองมือล้วงกระเป๋า สองเท้าเข้ามาเด้!)

Hands down in pants pockets, two feet pacing to be here

(ลูกอีไก่ หลานอีจอย ทยอยทยอยเข้ามาเลยเพ่!)

The son of Sister Hen, the niece of Mama Joy

Come inside to witness this in an orderly fashion


ว้าย! รวบตึงขมวดจึ้งปึ้ง! ขมวดจึ้งปึ้ง!

Whoa, wrap it up – you do tie loose ends up entirely

ใครไม่เริดก็เชิดใส่ ตึ้ง! อย่ามาทำบึ้ง

Do not care if someone ain't cool enough, bam! no time for being grumpy

มองนานนานแล้วจะอึ้ง ใครไม่ไหวหนีไปผึ้ง

This is the way to amaze y'all, can't handle this – yo run away, Honeybee

หวดข้าวเหนียวมีไว้นึ่ง ยั่วไว้ ยั่วไว้ ยั่วไว้

Sticky rice cooked in a bamboo steamer, silhouette shows seduction surely


สวย! แบบนี้เรียกว่าสวย ถ้าใครไม่สวย แต่นี่สวย

Beauty, this is called beauty, who's not but I am

แบบเนี้ยเรียกว่าเสียว ถ้าใครไม่เสียว แต่นี่เสียว

This is called feeling wild, who doesn't but I do

เต้นนานนานก็ตัวเหนียว ถ้าใครไม่เหนียว แต่นี่เหนียว

Dancing all night on the dance floor, sweat sticky – who's not, here I am

ไว้นานนานก็จะเปรี้ยว หรือเธอที่มองก็เปรี้ยว!

If let it stay that way too long, bad odor comes, or you're just scented like lemons?


เปิดเพลงให้เสียง ส่องไฟขึ้นฟ้า

Let the music begin, shine the light into the sky

พวกเราดารา

We're the cast of all stars


เด้งโพก เด้งโพก เด้งโพก

Bouncing juicy booty

ตาคลี ตาคลี เด้งโพก

Rear end jiggly dancing

เด้งโพก เด้งโพก เด้งโพก

Bouncing juicy booty

ตาคลี ตาคลี เด้งโพก

Rear end jiggly twerking


เด้งโพก เด้งโพก เด้งโพก

Bouncing juicy booty

ตาคลี ตาคลี เด้งโพก

Rear end jiggly dancing

เด้งโพก เด้งโพก เด้งโพก

Bouncing juicy booty

ตาคลี ตาคลี เด้งโพก

Rear end jiggly twerking


รีรีข้าวสาร สองทะนานข้าวเปลือก

Fine rice in the making, from the husks ready to open

เห็นมองตาเหลือก ไม่เสือกค่ะพี่!

That may shock you good, but calm the f down right now


โอย กิ้งก่ากิ้งกือ กิ้งก่ากิ้งกือ

Wow, mumbo jumbo - gobbledygook

กิ้งก่ากิ้งกือ กิ้งก่ากิ้งกือ

Mumbo jumbo – gibberish jibber jabber


โอ๊ย! แบบนี้เรียกว่าสวย ถ้าใครไม่สวยก็เลี้ยวไป

Whoa, this is what they say beautiful, who's not, please take the next turn

แบบนี้เรียกว่าเสียว ถ้าใครไม่เสียวก็เลี้ยวมา

This is what they call being turned on, if not, here you're making the right turn

แบบนี้เรียกว่ายั่ว ไม่ใช่ก็จ๊ะทิงจา

This is how seduction's going on, not the nonsense baloney

มามาพี่เข้ามา

Come, come brother, just come in to feel and see


เอ มาเต้นเท่เท่ ให้ดูหน่อยจ้ะพี่จ๋า

Hey, bust your best move – show me what you've got

เอ โคตรจะเซ็กซี่ มาเด้งหน่อยจ้ะพี่จ๋า

Hey, that's so damn sexy, ya'd better shake muscles my darling


เปิดเพลงให้เสียง ส่องไฟขึ้นฟ้า

Let the music begin, shine the light into the sky

พวกเราดารา

We're the cast of all stars


เด้งโพก เด้งโพก เด้งโพก

Bouncing juicy booty

ตาคลี ตาคลี เด้งโพก

Rear end jiggly dancing

เด้งโพก เด้งโพก เด้งโพก

Bouncing juicy booty

ตาคลี ตาคลี เด้งโพก

Rear end jiggly twerking


เด้งโพก เด้งโพก เด้งโพก

Bouncing juicy booty

ตาคลี ตาคลี เด้งโพก

Rear end jiggly dancing

เด้งโพก เด้งโพก เด้งโพก

Bouncing juicy booty

ตาคลี ตาคลี เด้งโพก

Rear end jiggly twerking

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 291
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0


“เมื่อไหร่ฝนจะหยุดตกกันนะ” เจ้าตัวบ่นกระปอดกระแปด ที่นอกจากจะถูกพามาฝากที่บ้านหลังนี้ ที่เป็นคนรู้จักมักคุ้นของครอบครัวก็จริง แต่ส่วนตัว ก็ไม่ได้สนิทสนมกับใครเป็นพิเศษ คนที่เคยเป็นเพื่อนเล่นด้วย ก็นานมาก นานมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กนั่น พอเติบโตขึ้น ต้องแยกย้ายกันไป ก็เรียกไม่ได้เต็มปากนักว่า ยังคงสนิทสนมกันอยู่ อย่างที่เคยเป็น เมื่อได้มาเจอหน้ากันอีกที ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดเริ่มคุยด้วยเรื่องอะไร


“ใจเหมือนไม่ได้อยากอยู่ที่นี่เลยสิท่า” เสียงถามนั้น ฟังดูไม่ใช่แค่อยากจะต่อว่า แต่น่าประหลาดที่เจือไปด้วยแววของความน้อยใจ คนที่ถูกตำหนิหันไปมองเพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น ก็หันหน้าออกไปมองสายฝนที่โปรยปรายลงมาตรงหน้า “เช่นนั้นแล้ว จะมาหากันทำไมตั้งแต่แรก” ปฏิเสธได้ยากว่า คนพูดนั้น ใช้น้ำเสียงปนไปด้วยคำต่อว่าต่อขาน ไปที่อีกฝ่ายอย่างจงใจ


“ที่มานี่ เพราะคุณแม่หวังใจว่า คนบ้านนี้จะต้อนรับขับสู้ และให้การช่วยเหลือดุจญาติมิตร แต่ก็มิคิดเลยว่า” เมื่อรู้ตัวว่าถูกค่อนแคะแบบไม่ปิดบัง ก็อดไม่ได้ ที่จะตอบโต้กลับไปในทันทีเช่นกัน “ไม่ใช่เพราะทะนงตน ว่าเกิดในชั้นตระกูลดี แลเป็นลูกครึ่งฝรั่งหัวทอง แห่งครอบครัวฟอล์คเนอร์ ชนชั้นสูงผู้รากมากดี สืบสายจากผู้ฝึกเหยี่ยวฝึกนก จากฝั่งยุโรปหรอกรึ” คนที่เป็นชายหนุ่ม ตัวสูงกว่า สายตานั้นดูดุดันเอาเรื่อง ตอบโต้กลับมาอย่างไม่ลดละ


“วิเรโอ ฟอล์คเนอร์ ชื่อไทยไม่มี ดูเอาเถิดทั้งนามสกุลก็เกี่ยวพันกับนก” ชายหนุ่มร่างสูงที่มองมาหาอย่างเปิดเผย พูดขึ้นต่อ “แถมชื่อ วิเรโอ ก็ยังมีความหมายไปทางเดียวกันนั้น แต่แปลว่านกตัวเล็ก ที่อพยพถิ่นฐานไปเรื่อย ๆ ก็สมแล้ว ที่พอมายืนอยู่ใต้หลังคาศาลาเรือนไม้เดียวกันนี่ ฝนตกนิดหน่อย เจ้านกตัวน้อย ก็อยากจะบินหนีหายไป” ชายหนุ่มเองนั้น ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า พอรู้ถึงความต้องการของอีกฝ่าย ทำไมเขาถึงต้องหงุดหงิดใจอะไรเช่นนี้ด้วย


“การพูดจา คำที่ใช้ ฟังดูมีหลักมีการ เต็มไปด้วยความรู้มากมาย เกี่ยวกับทั้งชื่อ ทั้งสกุลของเรา แต่กลับใช้มันอย่างมักง่าย กล่าวหาคนเขาไปทั่ว แบบนี้นี่ เรียกได้มั้ยว่า ต้นกำเนิดดี ไม่ได้แปลว่าจะเติบโตตามนั้นเป็นมั่นเป็นเหมาะ” รู้ตัวดีว่าเพิ่งโดนอีกฝ่ายด่าเข้าให้อย่างจัง แต่ก็แปลกที่ชายหนุ่มไม่ได้นึกโกรธขึ้งแต่อย่างใด กลับเอ็นดูปากบาง ๆ สีชมพู ๆ ของชายหนุ่มที่ตัวเล็กกว่า แต่แววตานั้นทระนงตามศักดิ์ของตัวเองเช่นกัน
 

“ก็เรายืนอยู่ใต้ศาลานี้ด้วยกัน เธอกลับมองเลยออกไปที่อื่น ให้ฉันยืนเดียวดายราวกับว่าฉันนั้นเป็นที่น่ารังเกียจรังงอนสำหรับเธอปานนั้น” ชายหนุ่มขยับเดินเข้าไปใกล้กับอีกฝ่าย ที่ไม่ได้ทำท่าจะเกรงกลัวแต่อย่างใด “เธอยังมองเห็นฉันมีตัวตนอยู่รึ” ความทรงจำเมื่อครั้งยังเด็ก ที่เคยวิ่งเล่นในสวนนี้ด้วยกันมา มันวิ่งกรูกันกลับเข้ามาในห้วงคำนึงของชายหนุ่มอีกครั้ง


“ฝนก็ตก หากจะต้องคุยกัน ก็คงถึงกับต้องตะโกน” ชายหนุ่มที่ตัวเล็กกว่า ยังไงเถียงกลับไม่ลดละ “ตอนนี้เธอพูดอยู่กับฉัน ต้องจะโกนเสียก็เปล่า ก็แค่เธอจะพูดขอให้ฉันขยับเข้ามายืนใกล้ ๆ กัน” ชายหนุ่มที่ริมฝีปากบางสีอมชมพู รู้ตัวอีกที ก็ต้องแพ้ให้กับเหตุผลนั้นของอีกฝ่าย เมื่อชายหนุ่มตัวสูงใหญ่กว่านั้น ตอนนี้มาหยุดยืนอยู่ที่ตรงหน้า ใกล้จนแค่คำกระซิบ พูดกันเบา ๆ ก็ยังได้ยินชัดเจน


“คุณวิษธร” วิเรโอเรียกชื่อของอีกฝ่ายออกไป “เธอก็จำกันได้นี่” ชายหนุ่มตัวสูงกว่าพูดออกมา ด้วยทั้งดวงตาและทั้งริมฝีปากที่ยิ้ม ด้วยความชอบใจในอากัปกิริยาของอีกฝ่าย “คงด้วยเหตุที่ว่า เมื่ออยู่ใกล้กับคนพิษสงเยอะ ก็ต้องระวังตัวเองเพิ่มมากขึ้นอีกหลายเท่ากระมัง” วิเรโอตอบกลับไปในทันที ความเชือดเฉือนยังไม่ได้หายไปเสียทีเดียว ที่บทสนทนานั้น ดูมีความผ่อนคลายว่าต้องการจะเจรจาสงบศึก


“ฉันเกิดปีมะโรง งูใหญ่ ชื่อฉันก็เป็นไปตามนั้น” วิษธรมองอีกฝ่าย ที่ดูจะผิดแผกไปจากบรรดาลูกครึ่งฝรั่งที่เขาเคยพบมา วิเรโอนั้นตัวเล็ก แม้ว่าตอนเด็ก ๆ จะมีแววที่จะสูงเมื่อโตขึ้น แต่กลายเป็นว่า เพื่อนไทยแท้ที่เล่นด้วยกันมา กลับกลายเป็นตัวสูงกว่ามากไปตาม ๆ กัน ยกเว้นวิเรโอ ที่หากจะถามว่าสิ่งใดที่เจ้าตัวมีมากกว่าเพื่อนคนอื่น ๆ วิษธรก็คงจะพูดว่า เป็นปลายจมูกที่ยกเชิดขึ้นเล็ก ๆ นั้น มันบอกชัดเจนว่า เจ้าตัวดื้อเอาเรื่อง จนไม่มีใครใกล้เคียง


“คุณก็เลยร้ายกาจ” วิเรโอว่าอีกฝ่ายเข้าให้ “ก็เธอมันรั้น” วิษธรตอบกลับไปในทันที มองเห็นอีกฝ่ายที่เจ้าตัวมีกระ จาง ๆ อยู่บนโหนกแก้ม มันคืออีกสิ่งที่ติดตาวิษธรไม่ลืม ตลอดหลายปีมานี้ วิเรโออยากจะเถียงกลับไป แต่ด้วยความรู้สึกว่า ชายหนุ่มตัวสูงบึกบึนตรงหน้าคนนี้ รู้รายละเอียดรู้ความเป็นมาเป็นไปของเขาดีจนไม่กล้าจะให้วิษธร ได้เผยอะไรที่จะกลายเป็นการถูกเล่นงานเพิ่มเติมได้อีก


“ฝนคงจะตกอีกนาน เราคิดว่าเรา” วิเรโอพูดได้เพียงเท่านั้น “ระวัง เธอมาตรงนี้ มาหลบอยู่ที่ข้างหลังฉันก่อน” วิเรโอถูกวิษธรดึงให้เดินมาอยู่ด้านหลังของเขา และเมื่อวิเรโอมองไปตรงด้านหน้า ตรงที่เป็นที่นั่งด้านข้างของศาลา ก็พบว่า มีงูจงอางตัวใหญ่แผ่ชูแผงคอรอท่าอยู่ก่อนแล้ว “คุณมันอันตราย” วิเรโอร้องห้าม เผลอใช้มือดึงข้อมือของวิษธรเอาไว้ เพื่อห้าม เมื่อเห็นชายหนุ่มนั้นทำท่าจะเดินเข้าไปหางูจงอางตัวนั้น


“เธอไม่ต้องกลัวนะ ฉันแค่จะไล่มันไป” วิเรโอมองวิษธรที่เดินไปตรงที่งูตัวนั้นอยู่ ด้วยความระทึก หัวใจเต้นแรงที่สุด เท่าที่เคยรู้สึกรับรู้มา วิษธรเดินไปจนเกือบจะถึงงูจงอางตัวนั้น วิเรโอก็เห็นว่าเหตุการณ์ตรงหน้าของเขานั้น มันเกิดขึ้นไวมาก เมื่ออยู่ ๆ งูจงอางตัวใหญ่ตัวนั้นก็ลอยขึ้น ตกเลยศาลาออกไปด้านนอก ส่วนวิษธรนั้น วิเรโอได้ยินเสียงของชายหนุ่มร้องดังลั่น ก่อนจะล้มลงนอนแน่นิ่งไปบนพื้นศาลา


“คุณ” วิเรโอทรุดตัวลงนั่งที่ข้าง ๆ กายของวิษธรในทันที “คุณวิษธร” เสียงเรียกของวิเรโอที่มีให้กับอีกฝ่าย ทั้งเต็มไปด้วยความตกใจ รวมถึงความเป็นห่วงถึงอันตรายที่วิษธรได้รับ “คุณได้ยินเรามั้ย คุณ เดี๋ยวเราจะไปหาคนมาช่วยนะ คุณโดนงูพิษนั่นกัด” วิเรโอทำท่าจะผุดลุกไปร้องเรียกให้ใครก็ได้มาช่วยที แต่ก็ต้องกลับลงนั่งที่ข้าง ๆ วิษธรอีกครั้ง เมื่อชายหนุ่มคว้าข้อมือของวิเรโอไว้ได้ทัน ก่อนที่เจ้าตัวจะวิ่งเตลิดไป


“ยังไม่ต้อง เธอไม่ต้องไปเรียกหรือรบกวนใครทั้งนั้น” วิษธรหัวเราะออกมาเต็มเสียง ส่ายหน้าไปกับท่าทางตื่นตระหนกของอีกฝ่าย “คุณนี่นะ” วิเรโอเผลอเอามือฟาดเข้าที่ต้นแขนใหญ่ของวิษธรจนเต็มแรง “โอ๊ย ฉันเจ็บ ฉันผิดไปแล้ว แต่เธอก็อย่าตีฉันหนักนัก ใจดีกับฉันหน่อย” วิษธรหัวเราะชอบใจ ที่แกล้งหลอกวิเรโอได้จนเชื่อสนิทใจ “ฉันแค่จับงูนั้น โยนมันออกไปให้พ้นทาง เสียก็เท่านั้น” วิเรโอได้ยินคำอธิบายของวิษธร จะว่าโกรธก็โกรธ แต่ก็โล่งใจเช่นกัน ที่ชายหนุ่มตรงหน้านี้ ยังปลอดภัยดีอยู่


“คุณสนุกหรรษากับเรื่องแบบนี้ ชอบใจมากสินะ” วิเรโอต่อว่าต่อขานอีกฝ่าย ที่เล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง “ฉันไม่ใช่แค่สนุกและบันเทิงไปกับมันเท่านั้นนะ” วิษธรลุกขึ้นยืนตามวิเรโอขึ้นมา “แต่ฉันนั้นยังไม่รับคำยืนยันอีกว่า” วิเรโอรับรู้ถึงที่วิษธรนั้นขยับเดินเข้ามาจนใกล้ ด้วยความใกล้ที่มันชิดจนแทบได้ยินเสียงหัวใจเต้นนั้นจากทั้งสองฝ่าย “เธอยังคงใส่ใจและอาวรณ์ในตัวฉันอยู่ และนั่นมันทำให้ฉันมีความสุขอย่างที่สุด” วิเรโอเห็นแววตาของวิษธรที่มองมา เต็มไปด้วยประกายระยิบระยับ


“แล้วเธอล่ะ มีความสุขเช่นกันมั้ย หากลืมเรื่องที่ฉันเย้าเธอไปก่อน” วิษธรถามคนตรงหน้าออกไป “เธอรู้สึกมีความสุขที่ได้เจอฉันอีกครั้งเช่นกัน ใช่หรือไม่” ภาพที่เห็นในความฝันจากตรงนี้ มันวูบไหวตัดฉากไปอีกที สิ่งที่วาตะเห็นก็คือ ภาพของเรือเดินทางข้ามทะเลขนาดใหญ่ ที่ตอนนี้มีผู้คนจำนวนมากมาย ที่ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ กำลังขนข้าวของสัมภาระ เอาติดตัวขึ้นไปบนเรือลำใหญ่นั่น


ตรงนั้น ที่ตรงบันได วิเรโอก้าวเท้าขึ้นไปบนบันไดทางขึ้นเรือด้วยความสับสนและความลังเล ในใจของเขามีแต่ความคำนึงถึงบุรุษอีกคน บุรุษชาวไทยคนนั้น คนที่เมื่อคืนนี้ เฝ้ารำพึงรำพัน ทั้งขอร้องและอ้อนวอนให้วิเรโอเปลี่ยนใจ ไม่เดินทางกลับไปที่ต่างประเทศ ค่ำคืนทั้งหมดนั้น วิเรโอใช้มันไปกับการได้อยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม คนที่เป็นอันที่รัก วิษธรเฝ้าบอกคำหวาน คำว่ารักกับวิเรโอนับครั้งไม่ถ้วน


“ฉันจะทำให้มันเป็นไปได้ เธอไม่ต้องกังวลไป ฉันจะทำทุกทาง เพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกันที่นี่” วิษธรกอดวิเรโอเอาไว้จนแน่น โดยที่วิเรโอนั้นได้แต่พยายามหักห้ามความรู้สึกเอาไว้ “สิ้นบุญคุณแม่ไปแล้ว ความเป็นไทยครึ่งหนึ่งของเรา ก็เหมือนจะมอดดับไปด้วย” วิเรโอรู้ดีว่า เมื่อคุณพ่อของเขาที่เป็นชาวต่างชาติเต็มตัว ที่ทำธุรกิจที่เมืองไทย แล้วมีปัญหากระทบกระทั่งกับกิจการอื่นมาโดยตลอด ที่รอดมาได้จนถึงตอนนี้ ก็เพราะใบบุญของคุณแม่ของเขาเท่านั้น


“อย่าได้ต้องเดือดร้อนตามไปพร้อมกันเสียทั้งหมดนี่เลย” น้ำตาของวิเรโอไหลลงมาจากทั้งสองหน่วยตา “คุณยังมีหน้าที่การงานที่ต้องเติบโตไปภายภาคหน้า” วิเรโอไม่คิดว่า การอยู่ที่นี่ต่อไปของเขาจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เมื่อต้องมีวิษธรออกหน้า แล้วตกเป็นเป้าในแสงสว่างให้ต้องถูกหมายหัว มันไม่เป็นการยุติธรรมอันใดกับวิษธรเลยทั้งสิ้น เมื่ออาชีพหน้าที่การงานของเขากำลังรุ่งเรืองและไปได้ดีกว่าใครในรุ่นเดียวกัน การกระทบกระทั่งกันของคนไทยกับต่างชาติ ความขัดแย้งลุกลามไปจนถึงการออกตัวขับไล่ ทำให้การตัดสินใจจากไป มันคือเรื่องที่ถูกต้องที่สุด ที่สมควรจะทำได้แล้ว


“เราอาจจะต้องคอยและอดใจเอาไว้” วิเรโอเดินขึ้นไปด้านบนของเรือเดินสมุทรลำใหญ่ลำนั้น จำได้ถึงสิ่งที่ได้บอกกับวิษธรเอาไว้เมื่อคืน ที่เป็นคืนสุดท้ายที่ทั้งสองจะได้อยู่ด้วยกัน “เผื่อว่าวันใด อาจจะไม่ใช่ในชาตินี้ อาจจะเป็นภพหน้าอย่างที่คนไทยเชื่อกัน ว่าวันนั้น เมื่อโกลเด้นแลนด์ ดินแดนแห่งสุวรรณภูมิส่องแสงทองมาถึง” วิษธรมองตามวิเรโอที่ไปหยุดยืนอยูี่ที่ด้านข้างเรือ แล้วมองลงมาหาเขา


วิษธรรู้สึกว่าเขากำลังใจจะขาด เหมือนดวงใจของเขาทั้งดวง ถูกริบเอาไป จนไม่เหลือหนทางให้ชีวิตต่อจากนี้ไป จะมีความสุขจากสิ่งใดได้อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเสียงหวูดเรือดังสนั่นเข้าไปในความรู้สึก ภาพของเรือเดินสมุทรที่กำลังเคลื่อนตัวออกจากฝั่ง ภาพของวิเรโอที่โบกมือให้เขา มันคือภาพสุดท้าย ที่วิษธรจดจำมันเอาไว้ กับหัวใจของเขาที่มันแตกสลายลงไปกับตา


วาตะสูดหายใจเข้ายาว ก่อนจะสะดุ้งรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เขาต้องรีบหายใจเข้าอีกหลายครั้ง เหมือนจะคว้าอาการเข้าไปทดแทนกับความรู้สึกที่ทำให้เขาเกือบขาดใจลงไปตรงนั้น วาตะลุกขึ้นจากเตียงนอน คว้าเอาขวดน้ำดื่มมาเทน้ำใส่แก้ว ก่อนจะกระดกดื่มมันลงไปถึงสองแก้วติด และนั่นถึงทำให้วาตะผ่อนคลายความรู้สึกที่เหมือนกับยังคงติดค้างอยู่ในใจ มันมีผลมาจากคนที่เขาเห็นในความฝัน และมันเหมือนจริง วาตะรู้ดีว่า เขารู็สึกกับมันจริง ๆ ทั้งความเศร้าโศก ทั้งความมัวหมอง รวมไปถึงความอาลัยอาวรณ์ถึงคนที่วิเรโอทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง คนที่ชื่อวิษธร คนนั้น


วาตะทำได้แค่เพียงปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอย่างไม่ห้ามอารมณ์ตัวเอง มันเหมือนกับเป็นทั้งการปลดปล่อยของตัววาตะเอง ให้ความรู้สึกนี้ลดทอนลงไปจากใจ รวมทั้งเป็นการเปิดโอกาสให้วิเรโอ ได้ชดเชยกับความรู้สึกเจ็บปวดและทรมานที่ตัวเองได้พบเจอ ให้วิษธรรับรู้ด้วยว่า การจากไปนั้น มันได้สร้างรอยแผลในความรู้สึกของหัวใจที่ชอกช้ำและระทมทุกข์ ให้กับวิเรโอมากแค่ไหน


อุรเคนทร์จอดรถจักรยานยนต์คันใหญ่ของเขาที่ตรงหน้าบ้าน ชายหนุ่มถอดหมวดกันน็อคแบบเต็มใบออก เมื่อรู้ดีว่า ตอนนี้ความรู้สึกที่กำลังเกิดขึ้นภายในหัวใจของเขา คงเป็นไปแบบที่พ่อปู่ได้บอกกับเขาเอาไว้ ว่าเขาจะได้พบกับประสบการณ์เช่นนี้ ข้อสองนั้นคือ ถูกกีดกันด้วยถิ่นกำเนิดและถิ่นพำนัก น้ำตาที่อยู่ ๆ ก็ไหลอาบหน้าอุรเคนทร์อยู่ในตอนนี้ หยดน้ำตาอุ่นใส ที่ร่วงรินลงมาอย่างไม่ขาดสาย ความรู้สึกเศร้าเสียใจ หม่นหมอง ที่อุรเคนทร์ได้รับรู้ ต้องเป็นสิ่งที่คนในฝันของเขากำลังรู้สึกอยู่อย่างแน่แท้


วาตะเดินมาหยุดอยู่ที่ระเบียงห้อง แหงนหน้าขึ้นไปบนฟ้า พระจันทร์กำลังจะใกล้วันเพ็ญส่องแสงสุกสกาว ความคิดคำนึงถึงใครบางคน ที่ต่างเฝ้ารอกันมานานแสนนาน ทำให้หัวใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาได้ แม้ไม่รู้ว่าความเป็นจริงมันจะเป็นไปเช่นไร อุรเคนทร์มองไปที่ดวงจันทร์ที่กำลังจะส่องสุกสกาวในอีกไม่กี่วันข้างหน้า คนที่เขาต้องการจะเจอเป็นที่สุด คนที่ได้ฝากสัญญาและความรักต่อกันเอาไว้ คนที่อยู่ในหัวใจของเขาตลอดมา ไม่ว่าจะเนิ่นนานแค่ไหน คนนั้น

**************************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

ลั่นทม - COCKTAIL

https://www.youtube.com/watch?v=hr4SdgDFcRQ


เพราะกลิ่นหอมจางจางที่ลอยตามลมมา

Because of fading fragrance that’s being brought in the wind

หวนให้ใจคำนึงนึกถึงคราเราต้องไกล

That causes the heart to reminisce the day we departed

กลิ่นสุคนธ์ปนหวานใยทำให้ใจต้องขืนข่ม

The sweet essence of smell yet causes bitterness of all

ทุกข์ระทมตรอมตรมทำให้ใจหวั่นไหว

That suffers and also saddens the heart that is already crumbled


หากการพบรักจะต้องเคียงคู่ข้างเคียงกับการร่ำลา

If finding love is the reason to lose the loved one through goodbye

จะสุขสมหวังได้นานเพียงใดก็แล้วแต่โชคชะตา

Then how long being fulfilled to be is up to what has already been destined

ฟ้าให้เวลามาเท่าไหร่

How long will it be that is given by heaven?

และมันจะยาวนานเท่าใด

And how long will it last?


กลิ่นดอกไม้ลั่นทมเจ้าหอมรื่นรมย์

Flowers of Frangipani, they scent so pleasantly

เคยชื่นเคยชมดอมดมให้ชื่นใจ

Used to nourish and hold up that pleases mind

มาบัดนี้ตัวเจ้าร่วงโรยไม่โชยกลิ่นหอม

Until now, they are falling apart with no perfume left

กลีบขาวมัวหมองตรมตรอมเหี่ยวโรยร่วงไป

The white leaves are tarnished and damaged, then gone


จากเคยงามกลายเป็นความทรามที่ไม่จีรังหรือไร

From what people say beautiful to something wicked not permanent

และความรักของฉันต้องเป็นดังเช่นเจ้าลั่นทมไหม

If so, my love is going to be like Frangipani or not?

หากขัดขืนไม่ให้เวลาพัดพาสิ่งแปรผันไป

Or I can obstruct and never let time takes causes things to change

ฉันจะทำได้นานเท่าไหร่

How long will I be able to pull it off?

ถ้าฉันต้องการแค่ตลอดไป

If the word I need is just forever


เพราะรักของฉันจะนานกว่านั้น

Because my love is longer than that

นานชั่วกัลป์กัปนานนิรันดร์

Everlasting and eternal that’s what it is

จะไม่มีสิ่งไหนลบเลือนให้หายสิ้นกัน

Nothing can erase or eradicate it

ดอกไม้ใดจะหอมนานเกินกว่านั้นไม่มี

No other flowers give scents better that that


เพราะรักของฉันคงอยู่เสมอ

Because my love is to be there always

อยู่เพื่อเธอและเป็นของเธอ

It is just for you, and it belongs to you

กลิ่นหอมของความรักฉันจะติดตามพบเจอ

Fragrance of my love is following to find

ตามพบเธอไม่มีโรยรา ไม่มีวันจาง

I’ll find you, and you’ll be forever young and shiny


หากขัดขืนไม่ให้เวลาพัดพาสิ่งแปรผันไป

Or I can obstruct and never let time takes causes things to change

ฉันจะทำได้นานเท่าไหร่

How long will I be able to pull it off?


เพราะรักของฉันจะนานกว่านั้น

Because my love is longer than that

นานชั่วกัลป์กัปนานนิรันดร์

Everlasting and eternal that’s what it is

จะไม่มีสิ่งไหนลบเลือนให้หายสิ้นกัน

Nothing can erase or eradicate it

ดอกไม้ใดจะหอมนานเกินกว่านั้นไม่มี

No other flowers give scents better that that


เพราะรักของฉันคงอยู่เสมอ

Because my love is to be there always

อยู่เพื่อเธอและเป็นของเธอ

It is just for you, and it belongs to you

กลิ่นหอมของความรักฉันจะติดตามพบเจอ

Fragrance of my love is following to find

ตามพบเธอไม่มีโรยรา ไม่มีวันจาง

I’ll find you, and you’ll be forever young and shiny


กลิ่นดอกไม้ลั่นทมเจ้าหอมรื่นรมย์

Scent of Frangipanis, they smell all nice

เคยชื่นเคยชมดอมดมให้ชื่นใจ

Used to feel them that refreshed all memories

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 291
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0



“นาคีมีพิษเพี้ยง สุริโย” คำถามดังออกมาจากอาจารย์สอนภาษาไทย “เลื้อยบ่ทำเดโช แช่มช้า” ถามไปที่นักเรียนทั้งห้องที่นั่งเรียนกันอยู่ “ในโคลงโลกนิติบทนี้ แปลว่าอะไร มีใครรู้บ้าง” นักเรียนทั้งชั้นต่างพากันมองหน้ากันไปมา ไม่มีใครอยากลุกขึ้นตอบคำถามของอาจารย์ที่มองเข้ามาในห้องเรียน จนอาจารย์ภาษาไทยประจำคาบ ชี้นิ้วเลือกถามนักเรียนชายที่นั่งอยู่หลังสุดข้างหน้าต่างด้านซ้าย



“อุรเคนทร์ ไหนเธอลุกขึ้นตอบซิ” เจ้าของชื่อแม้ว่าจะได้ยินชื่อของตัวเองถูกเรียก แต่ก็ไม่ได้ขยับตัวหรือมีท่าที ตอบรับไปกับเสียงเรียกของอาจารย์ประจำวิชานั้น “นายอุรเคนทร์ ได้ยินที่ฉันถามเธอมั้ย” นักเรียนชายเจ้าของชื่อ ยังคงนั่งนิ่ง เงียบ ไม่ตอบหรือแสดงอาการท่าทีอะไร และนั่น เริ่มทำให้อาจารย์ประจำวิชาภาษาไทย เริ่มมีสีหน้าและท่าทางที่ไม่พอใจ เมื่อเห็นว่า อุรเคนทร์ไม่ทำตามที่ถูกออกคำสั่ง


 
“พ่อปู่ ฉันสองคนก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีแล้ว นี่เมื่อวันก่อนที่โรงพยาบาล มันก็วิ่งตามรถใครไปก็ไม่รู้ ปากก็ร้องตะโกนเรียกเสียงดังลั่น ว่าอย่าเอาน้องไป ให้เอาน้องคืนมา” พ่อปู่ที่ใครต่อใครให้ความเคารพ มองมาที่เด็กชายอายุประมาณห้าขวบ ที่มองสบตากลับมาที่พ่อปู่อย่างไม่ได้มีอาการสะทกสะท้าน ประหนึ่งว่า ตัวของเด็กน้อยเอง นั้นก็รู้ตัว ว่าเขานั้นมีดีเช่นกัน



“เอ็งสองคนน่ะ มีบุญมากพอพาเขาให้มาเกิดใหม่ แต่ก็อาจจะมีวาสนากันเพียงถึงแค่เท่านั้น” จากวันเดือนปีและเวลาตกฟาก ที่พ่อปู่เอามาตรวจดูแล้ว ก็พอจะเข้าใจแล้ว ว่าอะไรกันที่กำลังเกิดขึ้น “พิษนาค” พ่อปู่บอกกับสองสามีภรรยาที่พาลูกน้อยของตัวเองมาหาพ่อปู่ในวันนี้ “ให้เขาอยู่กับเอ็งสองคนต่อไป ก็พาลจะให้เจ็บให้ป่วย ให้ต้องความร้ายแรงพิษแห่งนาคนั้น เพิ่มขึ้นทุกวัน ๆ” พ่อและแม่ของเด็กชาย มีผ้าพันแผลที่มือ ที่ทางหมอเองก็ไม่มีคำอธิบายทางการแพทย์ให้ ว่าสาเหตุมันเกิดจากอะไร



“เอาอย่างนี้” พ่อปู่หาทางออกให้ เมื่อแผลไหม้ที่บนมือของผู้เป็นแม่ของเด็กน้อยนั้น หลังจากที่จับแขนของลูก แล้วเกิดอาการปวดแสบจนแทบจะทนไม่ได้ หมอเองได้ตรวจสอบทั้งแม่และลูก ก็ไม่พบความผิดปรกติอะไร โดยร่ำ ๆ จะส่งเคสนี้ต่อไปให้ทางหมอจิตเวชช่วยวิเคราะห์ ว่าอาจจะเป็นอาการทางจิต มากกว่าอาการทางร่างกาย ที่หมออายุรกรรมหรือหมอผู้เชี่ยวชาญแผนกอื่นใด จะให้คำวินิจฉัยได้



“มันต้องมีใครสักคน ที่สามารถช่วยขัดเกลาอารมณ์ของเจ้าอุรเคนทร์ ให้รู้จักควบคุมให้ได้” พ่อปู่พูดออกมา “ยิ่งถ้าเกี่ยวข้องกับ เจ้าน้อง” สายตาขอวงเด็กชายวัยห้าขวบเป็นประกายขึ้นมาในทันที ที่ได้ยินคำพูดของพ่อปู่ “ดูเองเถิด แค่พูดพาดพิง ถึงคนคนนั้นเพียงนิดหน่อย” ตากลมแป๋วของอุรเคนทร์ในวัยห้าขวบ จ้องไปที่พ่อปู่เขม็ง “เออ เอาสิ แม้แต่ข้า เอ็งก็จะไม่ยกเว้นใช่มั้ย” ปฏิเสธไม่ได้เลย ว่าพ่อปู่เองก็เห็นความดุดันที่ซ่อนอยู่ในแววตาที่ใสซื่อของเด็กน้อย

 

เมื่อวันเพ็ญถัดไปมาถึง พ่อและแม่ของอุรเคนทร์ได้พาเด็กชายวัยห้าขวบ ที่เป็นลูกชายคนเดียวของพวกเขา มาฝากตัวเป็นลูกเป็นหลานของพ่อปู่ และเต็มไปด้วยความประหลาดใจของพ่อและแม่ของเด็กชายตัวน้อย ที่อุรเคนทร์เองนั้น พอรถจอดที่หน้าเรือนไม้ยกใต้ถุนสูงของพ่อปู่ เด็กชายตัวน้อยก็ไม่ได้อิดออดหรือแข็งขืนอย่างที่ทำกับพ่อและแม่มาโดยตลอด เวลาถูกบังคับให้ทำอะไรที่ไม่ชอบใจ กลับเดินลงจากรถ ถือเป้ที่แม่ใส่ของส่วนตัวของเด็กน้อย ขึ้นเรือนไปนั่งขัดสมาธิที่ด้านหน้าพ่อปู่ และหลังจากที่พ่อปู่ทำพิธีกรรมบางอย่างเสร็จ อุรเคนทร์ก็เดินเข้าไปในห้องนอนที่พ่อปู่จัดเอาไว้ให้อย่างว่าง่าย



“ฉันถามคำถามง่าย ๆ กับเธอ อย่ามายืนนิ่งแบบนี้ เมื่อถูกถาม ตามหน้าที่ของนักเรียน เธอก็ต้องตอบ” อาจารย์ประจำวิชาภาษาไทย พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธ ที่นักเรียนในชั้นไม่ทำตามคำสั่งที่บอกออกไป “อาจารย์คะ หนูตอบคำถามแทนเคนทร์เขาก็ได้ค่ะ” เด็กนักเรียนหญิงเพื่อนร่วมห้องของอุรเคนทร์ ที่ถูกเรียกออกมายืนอยู่ข้างกัน บอกกับอาจารย์ประจำวิชาออกไป เธอมองหน้าอุรเคนทร์ที่ตอนนี้ กำลังบอกบุญไม่รับอย่างเต็มที่


 
“ครูให้นายอุรเคนทร์เขาเป็นคนตอบ” อาจารย์ประจำวิชาภาษาไทยยังคงแสดงความไม่พอใจ กับท่าทางของอุรเคนทร์ “แต่ถ้าเขาไม่ตอบ ครูจะให้เขาคู่กับเธอ เป็นตัวแทนของระดับชั้นมัธยมปีที่หก ในงานแสดงวันภาษาไทยที่จะถึงนี้” คำพูดของอาจารย์เหมือนเป็นการยื่นคำขาด กับคนอย่างอุรเคนทร์ ที่ไม่ยอมเข้าร่วมกิจกรรมใด ๆ เลยของทางโรงเรียน ไม่ว่าจะขอความร่วมมือ ขอร้อง หรือแม้แต่การขู่ บังคับ ต่าง ๆ นานายังไงก็ตาม



“ผมจะไม่คู่ใครทั้งนั้น” อุรเคนทร์พูดออกไปอย่างไม่สะทกสะท้าน “มีเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่มีใครอื่นอีก” อุรเคนทร์ที่ในใจนั้น มีเพียงแค่ความแน่วแน่ “ถ้าไม่ใช่น้อง ก็ไม่มีใครอื่นอีก” อุรเคนทร์ทำให้ทั้งห้องเงียบกริบ กับความแน่วแน่ที่แสดงออกมาในน้ำเสียง “ยิ่งกับผู้หญิงคนนี้ ยิ่งไม่ใช่” อุรเคนทร์ประกาศกร้าว ไม่ได้แสดงทีท่าว่าจะเกรงกลัวอะไรทั้งนั้น “เธออย่ามาพูดจาวิปริต ผู้ชายก็ต้องคู่กับผู้หญิงเท่านั้น” อาจารย์ร้องตะโกนออกมาด้วยความลืมตัว กับเรื่องราวที่พอจะรับรู้มาบ้าง เกี่ยวกับอุรเคนทร์


 
“พิษน้อยหยิ่งโยโส แมลงป่อง” อุรเคนทร์พูด จ้องกลับไปที่อาจารย์ประจำวิชาภาษาไทย แต่ด้วยพลังอะไรบางอย่าง ที่ทำให้อาจารย์เริ่มผงะเกรง “ชูแต่หางเองอ้า อวดอ้างฤทธี” เสียงของอุรเคนทร์นั้น เสียดแทงเข้าไปในใจ ผ่านความรู้สึกของอาจารย์ประจำชั้นเข้าไป จนคนเป็นครูรู้สึกว่า เธอกำลังโดนด่า ตีแสกเข้ากลางหน้าผาก “คนบางคน ก็ไม่รู้ตัวเลยว่า ทั้งที่ต่ำต้อยแท้ ๆ แต่บังอาจเทียบชั้นใครต่อใคร” ทุกคนในห้องอึ้งเงียบ มีแต่อาจารย์ที่กำลังเต้นเร่าไปด้วยความโกรธ



“นี่คือคำตอบของผม” ขณะที่อุรเคนทร์กำลังจะหันหลัง เพื่อเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะเรียนของตัวเอง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่อาจารย์ประจำวิชาภาษาไทย เผลอลืมตัว เอื้อมมือไปคว้าแขนของอุรเคนทร์เอาไว้ อุรเคนทร์นั้น หันขวับมามองด้วยสายตาดุดัน เพียงเท่านั้น อาจารย์ประจำวิชาภาษาไทย ก็ต้องกรีดร้องออกมาจนสุดเสียง ด้วยความเจ็บ ความปวดแสบปวดร้อนเสียยิ่งกว่า ถูกไฟแผดเผารวมกับโดนน้ำร้อนจัด ๆ สาดกระทบผิวหนัง อาการที่มี ทำให้ถึงกับต้องเรียกรถพยาบาลมารับตัวไปอย่างเร่งด่วน



ความตึงเครียดเกิดขึ้นที่ห้องของผู้อำนวยการโรงเรียน เมื่อพ่อปู่นั้น เมื่อมาถึงโรงเรียน ก็ไม่ยอมให้ทางคณะครูฝ่ายปกครอง ลงโทษอุรเคนทร์ จนทางโรงเรียนถึงกับต้องเรียกตำรวจในพื้นที่มาเป็นพยาน แม้ว่าเพื่อน ๆ ในห้องของอรุเคนทร์ เมื่อถูกตำรวจสอบถามกับต่อหน้าบรรดาครูฝ่ายปกครองทั้งหลาย และรับรองว่า จะไม่มีใครเอาผิดนักเรียนทุกคนได้ หากพูดความจริงออกมาทั้งหมด ซึ่งเพื่อน ๆ ของอุรเคนทร์ทั้งห้อง ก็ให้การตรงกันว่า เป็นที่อาจารย์ประจำวิชา ที่คว้าแขนของอุรเคนทร์ ทางฝ่ายนักเรียนนั้น ไม่ได้แตะต้อง หรือตอบโต้ทางร่างกายอะไรกลับไปเลย


 
“ไปเจ้าเคนทร์ กลับบ้านกับปู่” พ่อปู่คว้าแขนของอุรเคนทร์ โดยที่ไม่ได้แสดงอาการปวดแสบปวดร้อนอะไรให้เห็น ทางตำรวจที่มาไกล่เกลี่ย ก็พากันส่ายหน้า และบอกว่า ขอให้ทางโรงเรียน ยกเลิกบทลงโทษทั้งหมดกับอุรเคนทร์ เพราะเรื่องที่เล่ามา ไม่ตรงกับสิ่งที่ตาทั้งสองเห็น เพราะพ่อปู่ก็สามารถจับตัวของอุรเคนทร์ได้เป็นปกติดี “ไม่อย่างนั้น ผมจะแจ้งดำเนินคดีกับทุกท่านนะครับ คุณครู ข้อหาแจ้งความเท็จ และกระทำทารุณกรรมเด็กเสียเอง” มาตอนนี้ ทางโรงเรียนจึงต้องยอมทำตาม และยอมทำตามที่ตำรวจแนะนำ



วาตะตักข้าวต้มเข้าปากได้เพียงสองสามคำ ก็ผลักถ้วยออกเบา ๆ แสดงอาการว่าอิ่มแล้ว แม่ของวาตะใช้มือแตะที่หน้าผากและคอของลูกชายเธอ ก่อนจะหยิบยาแก้ไข้มาให้ วาตะรับยาจากแม่มากิน ก่อนจะดื่มน้ำตาม วาตะบอกกับแม่ว่า ตอนนี้ตัวเองนั้นรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว แม่ไม่จำเป็นต้องห่วง วาตะมองเลยไปที่ตลับขี้ผึ้งที่วางอยู่บนโต๊ะ แม่ของวาตะถามว่า แล้วอาการเจ็บที่ไหล่ด้านซ้าย ตอนนี้วาตะรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง


 
“ลูกไม่เจ็บแล้วครับแม่” วาตะเอามือซ้ายยกขึ้นแตะลงที่ไหล่ข้างเดียวกัน แม่ของวาตะนั้นจำได้ติดตา ถึงรอยแดงที่นูนขึ้นเป็นปื้นยาว มันมีขนาดใหญ่กว่าทุกครั้งที่เคยเห็นบนไหล่ของลูกชาย “ทาขี้ผึ้งยังช่วยได้เหมือนเดิมอยู่มั้ย” กับคำถามของแม่ วาตะส่ายหน้ากลับไปแทนคำตอบ ยังจำได้ว่า หลวงพ่อนั้นเคยเตือนเอาไว้แต่แรกแล้ว ว่าวันใดวันหนึ่งนั้นจะมาถึง เมื่อขี้ผึ้งที่เคยช่วยป้องกันตัว เมื่อทาที่หน้าผาก จะไม่สามารถมีฤทธิ์ช่วยทำให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้น อีกต่อไป และสิ่งที่ต้องเกิด ก็จะต้องเกิดอย่างห้ามหรือชะลอต่อไปอีกไม่ได้


 
“เพราะแม่กับพ่อไม่รู้ว่า เขาคนนั้นจะมาดีหรือมาร้ายกันแน่” สิ่งที่ทำให้พ่อและแม่ของวาตะกังวลใจ และเป็นห่วงลูกมาโดยตลอดก็คือ ทางหลวงพ่อเองนั้น ก็ไม่ได้ให้เหตุผลว่า เพราะเหตุใด สาเหตุใด เพียงแต่พูดว่า เพราะมีกรรม มีบ่วง มีห่วงผูกพันร่วมกันมาเท่านั้น “เวลาอายุถึงเบญจเพส คนโบราณถึงถือว่าเป็นช่วงอายุที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ” ยิ่งอีกไม่กี่วัน วาตะก็จะครบอายุนี้บริบูรณ์เช่นกัน



“มันอาจจะเป็นโอกาสที่” วาตะจับมือแม่มาบีบเบา ๆ “โอกาสที่ลูกจะได้ชดใช้ให้เขาไป กับสิ่งที่ลูกอาจจะทำไม่ดีกับเขาเอาไว้” แม่ของวาตะน้ำตาคลอหน่วยขึ้นมาในทันที เมื่อคิดถึงว่า มันอาจจะกลายเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ ที่พ่อและแม่ กลัวเป็นที่สุด ตั้งแต่รับรู้เรื่องนี้ของวาตะมา “ลูกขอให้พ่อกับแม่อย่าเสียใจ ถ้าหากว่าลูก” แม่ของวาตะดึงลูกชายเข้ามากอดจนแน่น “จะต้องจากไป” อาการสะอื้นไห้รับรู้ได้ไม่ยาก เมื่อน้ำตาของผู้เป็นแม่นั้นไหลพรากลงมานองแก้ม



อุรเคนทร์มองจ้องออกไปที่ประตูกระจกที่เปิดค้างเอาไว้ ที่ด้านนอกคือระเบียงห้อง ลมที่พัดเข้ามาภายในห้องนั้น มีกำลังแรงจนน่าตกใจ ผิดแต่เพียงว่า ลมที่พัดกระหน่ำเข้ามานี้ ดูจะมีเพียงเฉพาะห้องของอุรเคนทร์เท่านั้น ที่ปรากฏเหตุการณ์นี้ขึ้น และด้วยลมที่พัดอย่างแรง ภาพที่ผุดขึ้นมาให้เขาได้เห็น แรงลมพัดจากปีกคล้ายนกที่ทรงพลานุภาพนี้ มาจากใครคนนั้น ที่มาจากครั้งกาลก่อนที่ผูกพันกันมา



ทิชชากรใช้แรงเฮือกสุดท้าย ที่จะพาตัวเองบินขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง ปากที่ร้องเรียกบุคคลสุดท้ายที่เป็นคนเข้าใจความรู้สึกของทิชชากรได้ดีที่สุด ซึ่งเรื่องนั้นอาจจะเป็นจริง แต่ว่าในเวลานี้ กลับช่วยเหลืออะไรทิชชากรไม่ได้เลย พระนางแม่ได้แต่ปล่อยให้น้ำตาของตัวเองไหลลงนองใบหน้า เมื่อมองเห็นทิชชากรที่เหลือปีกเพียงข้างเดียว พยายามโบกบินอย่างสุดกำลัง จนสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ตรงบริเวณนั้น ปลิวกระจัดกระจายไปไกลหลายต่อหลายโยชน์



“เจ้าคือลูกข้ากลับไร้ค่าและลดตัว” เสียงองค์พญาครุฑที่พูดออกมาด้วยความผิดหวังในตัวทิชชากร “เลือกเกลือกกลั้วนาคะประการนั้น” แรงทั้งหมดแต่ของทิชชากรที่ถูกกลั่นออกมาจากทุกอณูของร่างกาย แต่ยิ่งบินด้วยปีกที่เหลืออยู่นั้น กลับไม่ทำให้ทิชชากรได้เข้าใกล้พระนางแม่เลยสักนิด “ข้าขอปลดหมดหน้าที่ด้วยเจ้าพลัน” น้ำตาของพระแม่ยิ่งรินไหลลงมา เมื่อได้ยินพระสวามีประกาศลั่นกลางเวหา

 

“สิ้นสุดกันเจ้าปรัตยาข้าปิตุรงค์” สิ้นสุดคำประกาศตัดพ่อตัดลูกนั้นของพญากาศยป ท่านก็พาพระนางแม่บินหายลับตาไปกับเมฆที่บนฟ้านั้น ทิ้งให้ทิชชากรที่ปีกอ่อนกำลังลงทุกที ค่อย ๆ ร่วงหล่นลงมากองอยู่ที่พื้นดิน เลือดจากบาดแผลเพราะพิษนาคที่ปีกด้านซ้ายนั้น ทำให้ทิชชากรรู้ดีว่า ชีวิตนี้คงไม่อาจจะไปต่อด้วยความเป็นครุฑได้อีก และคงต้องลาจากโลกนี้ไปด้วยความเวทนา ภาพที่อุรเคนทร์เห็น สะท้อนเข้าไปในหัวใจของเขา และนี่คือเหตุผลที่เขาจะต้องหาคนคนนี้ให้เจอ ให้จงได้



********************************************************


คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

ทุกนาทีที่สวยงาม - นนท์ ธนนท์

https://www.youtube.com/watch?v=4U90jF4Fm1U



จำได้ไหมที่ฉันนั้นเคยถาม

Do you remember that I once asked you?

ว่าจะเป็นอย่างไร ถ้าเราทั้งสอง

What would it be like if the both of us,

ในวันพรุ่งนี้ ที่ตื่นขึ้นมาแล้วเราไม่ได้พบกันอีกแล้ว

Waking up tomorrow and wouldn’t be able to be together anymore?



ถ้าวันนึงที่เราต้องจากกันไป

If one day, we have to go our separate ways

ถ้าเธอไม่มีฉันแล้วอยู่ได้ไหม

Will you be okay when you don’t have me around?

คำถามมากมายที่อยากให้เธอนั้นตอบ

These many questions I want you to answer them

ได้ยินมันบ้างไหม

Do you hear what I’m saying?



ใจเต็มไปด้วยคำถาม

All of these questions stay in my heart

แต่ไม่มีเธอรับฟังอยู่อีกแล้ว

But you are no longer here to listen to

เหมือนตอนที่เธอและฉันเคยเคียงข้างกัน

Not like the time when we shared our lives



ไม่มีทางที่ฉันจะลืมทั้งเรื่องร้ายร้ายในวันที่เราจากกัน

No way I can forget all the evil things happened the day we said goodbye

และเรื่องดีดีที่ทำให้รู้ว่าช่วงเวลาเหล่านั้น มันช่างสวยงาม

And all the terrific moments that showed us our beautiful journey

กี่คำถาม ที่มันยังคาในใจ เธอรู้ไหมมันทรมานแค่ไหน

Countless questions that are stuck on my mind, do you know that they still suffer me?

เพราะคำตอบ มันอยู่ในทุกนาทีที่ฉันเคยเคียงข้างเธอ

All the answers are lying in every single minute I was once with you



ทุกเรื่องราวยังชัดเหมือนเมื่อวาน

Everything remains clear like those old days

ฉันไม่เคยจะลืมแม้ผ่านไปนาน

I don’t let go though it has been this long

ทุกความสวยงามมีค่ามากมายให้เก็บ

Each beautiful part is meant to be kept alive

ไม่เคยทิ้งมันไปไหน

None can be gone through time



ใช้ชีวิตด้วยใจที่แตกสลาย

Living my life with my shattered heart

เพราะว่าเธอน่ะเป็นเหมือนสิ่งสุดท้าย

Because you are my very last resource

เรื่องราวมากมายยังอยู่ในใจที่เจ็บ

Holding my memories that still cause pains

เมื่อเก็บความรักไว้

When I chose to store this love

ใจเต็มไปด้วยคำถาม

All of these questions stay in my heart

แต่ไม่มีเธอรับฟังอยู่อีกแล้ว

But you are no longer here to listen to

เหมือนตอนที่เธอและฉันเคยเคียงข้างกัน

Not like the time when we shared our lives



ไม่มีทางที่ฉันจะลืมทั้งเรื่องร้ายร้ายในวันที่เราจากกัน

No way I can forget all the evil things happened the day we said goodbye

และเรื่องดีดีที่ทำให้รู้ว่าช่วงเวลาเหล่านั้น มันช่างสวยงาม

And all the terrific moments that showed us our beautiful journey

กี่คำถาม ที่มันยังคาในใจ เธอรู้ไหมมันทรมานแค่ไหน

Countless questions that are stuck on my mind, do you know that they still suffer me?

เพราะคำตอบ มันอยู่ในทุกนาทีที่ฉันเคยเคียงข้างเธอ

All the answers are lying in every single minute I was once with you
 

ไม่มีทางที่ฉันจะลืมทั้งเรื่องร้ายร้ายในวันที่เราจากกัน

I cannot let go all the bad unlucky path we chose the day we had to leave

และเรื่องดีดีที่ทำให้รู้ว่าช่วงเวลาเหล่านั้น มันช่างสวยงาม (ขนาดไหน)

Including all the good fortunate parts in the moment, how much angelically we really felt?

กี่คำถาม ที่มันยังคาในใจ เธอรู้ไหมมันทรมานแค่ไหน

Bunches of questions that remain unanswered, that pains me so damn much

เพราะคำตอบ มันอยู่ในทุกนาทีที่ฉันเคยเคียงข้างเธอ

Because the answers to them still live in the time you’re by my side
 

ไม่มีทางที่ฉันจะลืมทั้งเรื่องร้ายร้ายในวันที่เราจากกัน

I cannot let go all the bad unlucky path we chose the day we had to leave

และเรื่องดีดีที่ทำให้รู้ว่าช่วงเวลาเหล่านั้น มันช่างสวยงาม (ขนาดไหน)

Including all the good fortunate parts in the moment, how much angelically we really felt?

กี่คำถาม ที่มันยังคาในใจ เธอรู้ไหมมันทรมานแค่ไหน

Bunches of questions that remain unanswered, those do pain me so god damn much

เพราะคำตอบ มันอยู่ในทุกนาทีที่ฉันเคยเคียงข้างเธอ

Because the answers to them still live in the time you’re by my side


ช่วงเวลาเหล่านั้น มันช่างสวยงาม

The moments we have had, they have been blessing us two

กี่คำถาม ที่มันยังคาในใจ เธอรู้ไหมมันทรมานแค่ไหน

The questions that are stuck on my mind – you know they still give me such pain

เพราะคำตอบ มันอยู่ในทุกนาทีที่ฉันเคยเคียงข้างเธอ

Because the answers they live in the time that we were still in love

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 291
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

“ไม่เอาลูกนั้น นั่นน่ะ ลูกที่รวมอยู่เป็นช่อข้างบนนั่น ขยับขึ้นไปอีก” เสียงพูดคอยสั่งการอยู่ด้านล่างใต้ต้นมะม่วงต้นใหญ่ ที่หน้าร้อนปีนี้นั้น ต้นติดลูกดกจนกินแทบไม่ทัน โดยเฉพาะช่อมะม่วงใหญ่ ๆ หลายสิบลูก ที่ตะกร้อสอยมะม่วงนั้น ยื่นมาได้ไม่ถึง “คุณหนูปรุง นั่นมันสูงจนเกินความสามารถบ่าวแล้วนะขอรับ” ชายหนุ่มหุ่นล่ำกำยำ ที่ถูกใช้ให้ปีนขึ้นต้นมะม่วงมา ร้องบอกกับนายน้อยของตัวเองที่คอยตะโกนชี้ซ้ายชี้ขวาอยู่ด้วยอาการตื่นเต้น


 

“ลูกล่าง ๆ มันทั้งเล็ก แถมยังไม่เปรี้ยวถึงใจเท่าไหร่ ไม้ เธอขยับปีนขึ้นไปยืนอีกกิ่งนั่นสิ เธอจะได้เอื้อมถึง นะ เธอทำให้ฉันหน่อย เธอเก็บมะม่วงลงมาได้เยอะ ฉันก็จะทำน้ำปลาหวานให้เธอกินเอง” ไอ้ไม้ เมื่อเป็นคำสั่งของนายน้อยของบ้าน ที่มันนั้น เติบโตไล่เลี่ยกันมากับลูกชายคนเดียวของท่านเจ้าของบ้าน โดยที่มันโตกว่าสามปี มันก็ถือว่าเป็นพี่เลี้ยง เป็นพี่ชายให้คุณหนูปรุงไปในตัว


 

“ขอรับคุณปรุง” คำพูดติดปากของไอ้ไม้ คือการรับคำ ที่ไม่ขัดใจคุณปรุงของมันเลยแม้แต่น้อย และนั่นก็คือสิ่งที่ไม้ทำ โดยก้าวขาขึ้นไปยืนบนกิ่งมะม่วงที่สูงขึ้นไป ก่อนจะเอื้อมมือเด็ดช่อมะม่วงช่อใหญ่ แต่ละลูกนั้นอวบโต เอามาปอก เอามาฝานลอยน้ำฝนเย็น ๆ ก็สามารถปันกันกินได้ทั่วทั้งเรือนนายเรือนบ่าว ปรุงที่รู้ดี ว่ายังไงไม้ก็ต้องยอมทำตามคำขอ เพราะการเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แม้ว่านายท่านจะเคยออกปากห้ามแล้ว ว่าไม่ให้ไม้ตามใจคุณหนูปรุงมากจนเกินไป


 

“ได้แล้วขอรับคุณหนู” ไม้ที่รีบพาตัวเองปีนลงมาจากต้นมะม่วง ชูช่อมะม่วงให้อีกฝ่ายได้ดู ก่อนจะร้องโอ๊ย ๆ เมื่ออีกมือต้องปัดให้มดแดงที่แฝงอยู่ในพวงมะม่วง ที่กัดเจ็บพวกนั้นให้พ้นไป “มดแดงเยอะเลยครับคุณปรุง” ไม้โอดออกไป เมื่อความแสบคันจากรอยมดกัดเริ่มออกฤทธิ์ออกเดช “อย่าบ่นมากเลย เดี๋ยวฉันทายาให้” ไอ้ไม้แอบยิ้ม ก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายกลับไปที่เรือน ด้วยความชอบใจทุกครั้ง ที่นายน้อยของไอ้ไม้หาหยูกหายามาให้มันแก้ไข้บ้าง แก้อาการต่าง ๆ หลากหลาย


 

“ท่านพ่อได้ยาพวกฝาหรั่งมาใหม่ เธอไปเอาน้ำล้างตัวเสียก่อน เดี๋ยวฉันไปเอายามาทาให้” คุณหนูปรุงพูดบอกกับไม้ “ขอรับคุณหนูปรุง” ก่อนจะวิ๋งปร๋อขึ้นไปบนเรือน ให้นายแม่ต้องร้องห้ามเสียงดัง “คุณปรุง แม่บอกว่าอย่าวิ่งแบบนั้น” แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว “นี่ก็อีกคน ตั้งแต่เด็กจนโตป่านนี้แล้ว” นายแม่หันมาขมวดคิ้วใส่ไอ้ไม้ ที่ห้ามเท่าไหร่ แต่ไม้ก็ทำตามที่คุณหนูปรุงสั่งอยู่ร่ำไป ก่อนที่นายแม่จะให้คนครัวมารับมะม่วงไปจัดการให้ แล้วให้ไม้ไปล้างเนื้อล้างตัว


 

ไม้เดินกลับมาที่ลานกว้างด้านหน้าเรือนใหญ่ ที่นายแม่สั่งให้ทำเป็นที่เอาไว้ทำการออกงาน เพราะมีพื้นที่กว้างขวาง และการนี้ พวกคนครัวก็ต่างพากันขะมักเขม้น ทั้งปอกเปลือกมะม่วงเข่งใหญ่ที่ไอ้ไม้ไปเก็บมา อีกกลุ่มก็พากันฝานเป็นชิ้นบาง ๆ เตรียมลอยในน้ำฝนเย็น ๆ จากโอ่ง อีกพวกก็เตรียมเครื่องน้ำปลาหวาน รอให้คุณหนูปรุงมาจัดการลงมือ เพราะน้ำปลาหวานของคุณหนูปรุง เป็นที่เลื่องลือไปไกล ว่ามีรสชาติที่เข้ากับมะม่วงเปรี้ยวดีนักแล


 

“ยาจากหมอฝาหรั่ง ท่านพ่อบอกได้ผลดีชะงัด” ไอ้ไม้จะเอื้อมมือไปรับตลับยานั้นมาทาเอง ก็ได้แต่มองนายน้อยของมัน เอายาทาแต้มลงไปบนรอยมดแดงกัด แล้วทายาจนทั่วให้มัน “เรื่องแบบนี้ บ่าวทำเองก็ได้ขอรับ” ไม้เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ มันเองก็รู้ตัวดี ว่ามันรู้สึกแบบนี้บ่อยมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อคุณหนูปรุงมาแตะต้องเนื้อตัวของมัน อาการใจสั่น อาการเนื้อหนังเต้นรน ราวกับอยู่ไม่สุข ห้ามปรามตัวเองแทบไม่ได้


 

“ฉันเป็นคนใช้ให้เธอไปทำ” ไอ้ไม้เห็นคุณหนูปรุงของมันเงยหน้าขึ้นมาสบตากับมัน ความสูงของนายน้อย อยู่เพียงแค่ปลายคางของไอ้ไม้แค่นั้นเอง ดวงตากลมโตใสเป็นประกาย อีกทั้งริมฝีปากบาง ๆ สีชมพูระเรื่อ ความงามประดุจภาพจิตรกรฝีมือดี ที่ไอ้ไม้เคยเห็นนายท่าน สั่งซื้อมาจากเมืองหลวง “ฉันก็ต้องเป็นคนดูแลเธอสิ ถึงจะถูกต้องยุติธรรม” ไอ้ไม้ ต้องรีบก้มหน้าหลบสายตา เอ่ยขอบคุณนายน้อยของมันออกไปเสียงสั่น บอกกับคุณหนูปรุงว่า มันไม่ได้เป็นอะไรแล้ว นายน้อยของไอ้ไม้เลย ได้เริ่มลงมือ ทำน้ำปลาหวานให้ทั้งนายและบ่าวได้ชิมกัน


 

เพียงไม่นาน บรรดาคนงานบ่าวในเรือน ก็มานั่งล้อมวงกันที่ลานกว้างด้านหน้าเรือน แล้วก็จัดการกับมะม่วงน้ำปลาหวาน ฝีมือของคุณปรุง คุณหนูนายน้อยอันเป็นที่รักของทุกคน แถมทุกคนยังได้เห็นฝีมืออันประณีตอีกด้านหนึ่งของคุณหนูปรุง ที่บรรจงแกะสลักลูกมะม่วง ให้ออกมาเป็นรูปนกกางปีกกว้าง ที่ใคร ๆ ก็ต้องชมว่า ดูเหมือนนกแกะสลักตัวนี้ มีชีวิตจิตใจจริง ๆ ปานนั้น


 

“ไม่ได้ยากเย็นหรือเหลือบ่ากว่าแรงอะไร” คุณปรุงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม โดยที่นายแม่เอง ตั้งแต่ตอนเห็นลูกชายมาเอ่ยปากขอให้ช่วยสอนงานแกะสลักนี้ให้หน่อย ตัวเธอเองก็ไม่ได้ขัด เหตุเพราะไม่อยากให้วิชาหรือฝีมือที่ถูกขัดเกลากันมาในเชื้อในสายตระกูล ต้องสูญหายไป แม้ว่าคุณปรุงจะเป็นลูกชายของเธอก็ตาม และมันอาจจะดูแปลกในสายตาของผู้อื่น ที่มักจะมองว่า งานฝีมือประเภทนี้ เป็นงานของหญิงสาวทำกัน


 

“เรื่องร้อยมาลัยถวายพระอีกอย่าง แม่จ๋า เดี๋ยวลูกไปเก็บดอกมะลิแลดอกรักมาให้เต็มกระบุง” ไม่พูดเปล่า คุณหนูปรุงลุกขึ้นยืน มือก็คว้าเอากระบุงมาถือเอาไว้ นายแม่รีบร้องห้ามปรามลูกชายทันควัน “ไม่ได้ คุณปรุง จำไม่ได้หรืออย่างไร ว่าคุณพ่อห้ามไม่ให้เข้าใกล้น้ำ” เพราะด้วยสวนของตาเอิบ ที่ปลูกดอกมะลิและดอกรักได้ดอกใหญ่สวยงาม ต้องข้ามคลองน้ำลึกเท่าหัวเข่า แต่บางครั้งเวลาน้ำหลากมาจากทางเหนือ ก็ลึกมากกว่านั้นมาก


 

“ลูกจะไม่เป็นไร ลูกเคยเดินข้ามไปแลกลับมาอย่างปลอดภัย แม่เองก็เห็นลูกทำอย่างนั้นด้วยตา” คุณปรุงพยายามบอกกับนายแม่ว่าอย่าห่วงเลย “ก็ถ้าแม่ไม่บอกให้คุณพ่อทราบ” คุณปรุงพูดต่อรองกับนายแม่ ให้เป็นความลับกันแค่สองคน “บ่าวจักขอดูแลคุณหนูปรุงเองขอรับนายแม่” ไม้พูดบอกกับนายแม่ ซึ่งสุดท้ายแล้วทนายแม่ก็ยอมใจอ่อน แต่กำชับกำชาไอ้ไม้ ว่าหากไม่มั่นใจ ก็ให้พากันกลับมา อย่าได้อุตริข้ามคลองน้ำนั้นไปฝั่งสวนตาเอิบเป็นอันขาด


 

“บ่าวว่า เรากลับเรือนกันก่อนดีกว่าขอรับ” ที่ริมฝั่งน้ำ ระดับน้ำขึ้นสูงกว่าปกติอยู่พอสมควร ไม้คิดว่า รอให้น้ำลงกว่านี้อีกสักหน่อย ถึงจะข้ามไปได้อย่างทุกครั้ง “เธอก็ให้เราขี่หลังข้ามไปสิ” คุณหนูปรุงไม่ยอมกลับง่าย ๆ ตามคำเตือนของไม้ “ไม่เช่นนั้น เดี๋ยวเราจะหาเรื่องโกหกให้คุณพ่อ ลงหวายเธอเสียให้หลังลาย” ถึงจะรู้ว่า คุณหนูปรุงของไอ้ไม้ ไม่ทำอะไรแบบนั้นอย่างแน่นอน แต่ไม้ก็ไม่ต้องการเห็นแววตาน้อยใจของอีกฝ่าย เวลามองมาที่เขาเช่นกัน


 

“ไม้ เธอ” คุณปรุงเอ่ยขึ้น เมื่อไม้พาคุณปรุงขี่หลังข้ามคลองน้ำนั้นมาได้ครึ่งทาง “ขอรับคุณหนูปรุง” เสียงของไม้สั่น ด้วยความใกล้ชิดของร่างกายทั้งสองคนแบบนี้ แม้ว่าเมื่อครั้งยังเยาว์ เคยเล่นขี่ม้าส่งเมืองกันมานับครั้งไม่ถ้วน แต่มันไม่ใช่แบบนี้ ไม้บอกกับตัวเอง ว่ามันเปลี่ยนแปลงไปหมด ทั้งร่างกาย ทั้งความรู้สึก ทุกสัมผัสที่คุณหนูปรุงเคยแตะต้องตัวของไม้ มันไม่ใช่เรื่องปรกติอีกต่อไป เพราะในใจ ใจกลางความคิดของไม้ มีแต่ภาพเรื่องอย่างว่าที่อยากจะทำกับคุณหนูปรุง


 

“ก่อนหน้านี้ ฉันเห็นเธออยากจะถามอะไรสักเรื่อง แต่ก็เงียบเสียง เลิกล้ม ไม่ถามตามที่ตั้งใจเอาไว้ เรื่องนั้นคือเรื่องอันใดกัน” ไอ้ไม้เกือบจะสะดุดหินที่อยู่ใต้น้ำนั่น แต่ก็ประคองตัวพาคุณหนูปรุงเดินมาจนถึงที่อีกฝั่งของคลองน้ำ “ถ้าไม่ตอบ คราวนี้ หวายของคุณพ่อจะลงที่หลังเธอจริง ๆ เข้าเสียที” คำขู่แกมบังคับของคุณหนูปรุง ทำให้หัวใจของไอ้ไม้เต้นเร็วและแรง กับคำพูดที่เก็บกอดเอาไว้ในใจมาหลายปี


 

“วาตะ เอามะม่วงมั้ยลูก ไม่ได้กินนานแล้ว” วาตะหันไปมองมะม่วงลูกสวยที่วางเรียงกันเป็นแผง ตามที่แม่ถามขึ้น “เอามะม่วงเปรี้ยวหรือมันดีคะ” แม่ค้าถาม พร้อมหยิบถุงพลาสติกพร้อมใส่ตามคำสั่งซื้อของลูกค้า “เปรี้ยวละกันนะวาตะ เนี่ยมีกะปิหวาน กะปิโหว่ด้วย แต่เดี๋ยวซื้อน้ำปลาหวานให้พ่อด้วย” แม่จัดแจงบอกจำนวนมะม่วงให้แม่ค้าเอาไปชั่ง ซึ่งก็มากพอสมควร


 

“ชิมได้นะคะ นี่ค่ะ หยิบชิมจิ้มกับอะไรก็ตามชอบใจได้เลย” แม่ค้าร้องบอกให้วาตะได้ยิน โดยที่วาตะนั้น มองไปที่มะม่วงฝานบาง ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาหนึ่งชิ้น แล้วใช้ช้อนตักน้ำปลาหวานหยอดลงบนแผ่นมะม่วง ก่อนจะจับมันเข้าปาก ความเปรี้ยวของมะม่วง ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างไรชอบกล ทั้ง ๆ ที่วาตะไม่เคยพูดเลยสักครั้งว่า มะม่วงคือผลไม้โปรดของตัวเอง แถมตัวน้ำปลาหวานนั้น มันทำให้ตัวเขาเหมือนกับ กำลังดื่มด่ำช่วงเวลาที่ติดอยู่ในความทรงจำ


 

อุรเคนทร์ถึงกับต้องรีบขี่รถมอเตอร์ไซค์เข้าจอดที่ข้างทางอย่างกะทันหัน เมื่ออยู่ ๆ รสชาติเปรี้ยวของมะม่วงก็แผ่ซ่านไปทั่วทั้งปาก ชายหนุ่มจอดรถ ก่อนจะถอดหมวกกันน็อกแบบเต็มใบนั้นออก พอมองไปด้านหน้า ก็พบว่าตัวเองมาจอดอยู่ตรงลานจอดรถของตลาดที่ขายผลไม้เป็นหลัก และยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไรต่อ อุรเคนทร์ก็ต้องไอออกมา เหมือนกับสำลัก เวลาเคี้ยวพริกเผ็ด ๆ ลงคอไปอย่างไม่ได้ระวัง แถมยังรสชาติของน้ำตาลมะพร้าว น้ำปลา รวมถึงกุ้งแห้ง หอมแดง ที่อบอวลอยู่ในปาก


 

ไอ้ไม้เดินมาถึงที่ห้องนอน เรือนไม้หลังเล็ก ๆ ที่ด้านหลัง ก่อนจะล้มตัวลงนอนแผ่ แววตาของมันพราวระยับ รอยยิ้มที่ไอ้ไม้ไม่สามารถหุบมันลงได้ เมื่อคิดถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น ที่ไอ้ไม้ ต้องเก็บอารมณ์และความรู้สึกเอาไว้อย่างเต็มที่ ที่จะไม่แสดงอะไรกระโตกกระตากออกไป จนได้กลับมาที่เรือนนอนของบ่าวด้านหลัง อาการอวดรอยยิ้มพิมพ์ใจให้อากาศ ให้ฝาห้อง ขื่อดานดู ของไอ้ไม้ก็เริ่มต้นขึ้น


 

“บ่าวได้ยินพวกแม่ครัวเขาพูดกัน” ในที่สุด ไม้ก็ยอมเปิดปากพูดออกไป โดยมีคุณหนูปรุงของมันยืนรอฟังอยู่ด้านหน้า “พวกแม่ครัวพูดกันไปหนาหูนัก ถามกันว่า เป็นจริงหรือไม่ ที่แก้มของคุณหนูปรุงนั้น หอมยิ่งกว่าน้ำอบ หอมนานเสียยิ่งกว่าขนมอบร่ำควันเทียน พวกนั้น ยังสู้ไม่ได้” ไอ้ไม้คิดถึง ที่ตัวมันนั้นพูดออกไป ตามด้วยการที่คุณหนูปรุง ยื่นแก้มเข้ามาประชิดติดที่จมูกของไอ้ไม้ ที่มันสูดกลิ่นแก้มหอมกรุ่นนั้นเข้าไปจนเต็มปอด


 

“ไม้” เสียงของคุณหนูปรุงเรียกชื่อของเจ้าของห้องบนเรือนดังเข้ามา “ไม้มั่น” เจ้าของชื่อ ที่นายท่านเป็นคนตั้งให้ รีบผลุงลุกขึ้นออกมาที่ด้านหน้าเรือนในทันที “คุณหนูปรุง ทำไมเดินมาเองถึงที่นี่ขอรับ ทำไมไม่ให้ใครมาตามบ่าว” ไอ้ไม้นั่งลงบนพื้น มองอีกฝ่ายที่ทำหน้าอมยิ้มอยู่ก่อนแล้ว “มาลัยนี้ เราทำเสีย คงจะถวายพระไม่ได้” ไม้มองพวงมาลัยพร้อมอุบะร้อยมะลิล้วนหอมกรุ่น


 

“ฉันเอามาให้เธอ” คุณหนูปรุงยื่นพวงมาลัยให้กับไม้ ตัวมันมองไม่เห็นข้อตำหนิใดสักอย่างที่พวงมาลัยหอมนั้นมี “ถ้าหากจะมี ข้อด้อยใด ๆ กับพวงมาลัยนี้” ไม้เอ่ยขึ้น “ก็คงจะเป็นเพราะมันมาอยู่ในมือของบ่าว” ไม้เอาพวงมาลัยพวงนั้น สวมข้อมือให้กับคุณหนูปรุง “แบบนี้ต่างหาก ถึงจะงดงามคู่ควร” ไม้มั่นนั่งคุกเข่าลงข้างหนึ่ง จับข้อมือของคุณหนูปรุง ที่มีพวงมาลัยมะลิหอมนั้น เข้ามาแนบกับแก้มของตัวเอง



****************************************************



คำแปลเนื้องร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

ดอกไม้ที่รอฝน - The Toys feat. Nont Tanont

https://www.youtube.com/watch?v=pPa1d5cC8M4


จำได้ไหมดอกไม้ดอกนั้นที่ฉันปลูกมันกับเธอ เมื่อวันที่เราอยู่ข้างกัน

Do you remember the flowers that us two planted, the day we were together

ฉันดูแลอยู่อย่างดีในทุกวัน

I've been taking a good care of them

แต่มันจะสวยเป็นพิเศษ เมื่อตอนที่ฝนพรำ

But they will look exceptionally beautiful when rain is falling


จำได้ไหมอะไรที่เราชอบทำด้วยกันเมื่อวันเธออยู่กับฉัน

Do you still remember things we liked to do together when we stayed side by side?

ฉันยังทำแบบเดิมในทุกวัน

I've been doing the same as of now

แต่มันไม่เห็นมีความสุข เมื่อเราต้องไกลกัน

But that doesn't give me joy when we are now apart


ฝันฉันก็ซ้ำซ้ำทุกวันมีเพียง ภาพเธอในนั้น

My dream continuously repeats itself every day, and that's you in it

ได้แค่รอและรอวันที่ดอกไม้จะบานอีกครั้ง

What I can ever do is wait until all the flowers bloom again


มีคนคิดถึงเธอ

There's someone thinking of you

แล้วเธอรู้สึกได้หรือเปล่า

Do you feel the same?

คนที่คิดถึงเธอ

The one that is feeling for you

นั่งมองฟ้าและคิดถึงวันเก่า

Looking into the sky and fondling the old days


กี่ราตรีที่เลยผ่าน

How many nights have been past

แต่ละคืนช่างยาวนาน

They were such long nights

ทุกนาทีมันนาน ดั่งชั่วนิรันดร์

Every minute was too long, like eternity


มีคนคิดถึงเธอ

Someone is thinking about you

เขามีแค่เธอยามตื่นและฝัน

All he has with him days and nights is just you

ทรมานเหลือเกิน

That causes sufferings

เมื่อไรจะวันนั้น

When will that day come?

วันที่เธอจะกลับมา วันที่ได้อยู่ข้างกัน

The day you'll return, the day you'll right by my side

ดอกไม้ที่รอฝน ก็เหมือนคนทางนี้ที่รอเธอ

Flowers waiting for rains, like someone over here waiting for you


Wake up in the morning

ก็เป็นแบบเดิมในทุกเช้า

Every morning remains the same

ใช้ชีวิตอีกวันและอีกวันไปด้วยความเหงา

Day after day, my life is spent with loneliness

คิดยังคิดแค่เพียงแต่เรื่องเรา

What comes to my mind is only about us

แต่ไม่รู้ว่าเธอจะเป็นบ้างหรือเปล่า

But don't really know if it's the same for you


Baby, I don't wanna know อยู่ที่ไหน Where are you?

ก็แค่ในบางเวลาที่ฉันได้กลิ่นดอกไม้

just sometimes I smell scents of flowers

สมองมันยังเข้าใจว่าเธอยืนอยู่ทางซ้าย

My brains translate that you're standing to my left side

จิตใต้สำนึกบอกว่าเธอไม่ไปไหน

My consciousness says you've never left

Every time I think about you

ฉันทรมานแบบที่เธอไม่เคยรู้

This you don't know that it pains me


มีคนคิดถึงเธอ

There's someone thinking of you

แล้วเธอรู้สึกได้หรือเปล่า

Do you feel the same?

คนที่คิดถึงเธอ

The one that is feeling for you

นั่งมองฟ้าและคิดถึงวันเก่า

Looking into the sky and fondling the old days

กี่ราตรีที่เลยผ่าน

How many nights have been past

แต่ละคืนช่างยาวนาน

They were such long nights

ทุกนาทีมันนาน ดั่งชั่วนิรันดร์

Every minute was too long, like eternity


มีคนคิดถึงเธอ

Someone is thinking about you

เขามีแค่เธอยามตื่นและฝัน

All he has with him days and nights is just you

ทรมานเหลือเกิน

That causes sufferings

เมื่อไรจะวันนั้น

When will that day come?

วันที่เธอจะกลับมา วันที่ได้อยู่ข้างกัน

The day you'll return, the day you'll right by my side

ดอกไม้ที่รอฝน ก็เหมือนคนทางนี้ที่รอเธอ

Flowers waiting for rains, like someone over here waiting for you


มีคนคิดถึงเธอ

Someone is calling for you.

แล้วเธอรู้สึกได้หรือเปล่า

Can you feel the way that I feel?

คนที่คิดถึงเธอ

That guy who misses you

นั่งมองฟ้าและคิดถึงวันเก่า

Looking at the sky and thinking of the past

กี่ราตรีที่เลยผ่าน

How many nights are there?
 

แต่ละคืนช่างยาวนาน

Each one is painstakingly long

ทุกนาทีมันนาน

Every minute takes ages

ดั่งชั่วนิรันดร์

Seems like forever

 
มีคนคิดถึงเธอ

Someone is thinking of you

เขามีแค่เธอยามตื่นและฝัน

What he has is you when dawn and dusk

ทรมานเหลือเกิน

It gives a heartache

เมื่อไรจะวันนั้น

When will the day come?

วันที่เธอจะกลับมา

The day you'll return

วันที่ได้อยู่ข้างกัน

The day we'll stay together

ดอกไม้ที่รอฝน ก็เหมือนคนทางนี้ที่รอเธอ

The flowers are waiting for rainy days like I am waiting for you right here

I … I…. missing you

ออฟไลน์ KADUMPA

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 291
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0



“ก็แกไม่เชื่อที่แม่ของขมิ้นพูด” แจนตอบคำถามของเขมรัฐที่ถามออกมาว่า “แจน นี่แกพาฉันมาที่นี่ทำไม” เพื่อนผู้หญิงที่สนิทที่สุดของวาตะ พยายามอธิบายเรื่องนี้ให้กับเขมรัฐได้เข้าใจ “ที่นี่ วันนั้นขมิ้นบอกว่ามาที่นี่” แจนบอกกับเขมรัฐถึงตอนที่โทรชวนวาตะให้มาทานข้าวมื้อเย็นด้วยกัน ขณะที่ทั้งสองคนกำลังเดินเข้าไปในพื้นที่จัดนิทรรศการ ที่มีรูปวาดของพญานาคจัดแสดงอยู่

 

“เชิญด้านในเลยค่ะ ตอนนี้นิทรรศการภาพวาดนาโครคินทระ เจ้าแห่งวงศ์วานนาค กำลังจัดแสดงอยู่ที่ทางด้านซ้ายนะคะ” เจ้าหน้าที่ผู้นำชมและให้ข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับนิทรรศการกล่าวเชื้อเชิญเขมรัฐและแจน ให้เข้าไปด้านใน “ส่วนทางด้านขวา ตอนนี้ทางสต๊าฟกำลังจัดเรียงภาพวาดใหม่เพิ่มเติม” เขมรัฐและแจนกันไปมองตามการผายมือของทางเจ้าหน้าที่

 

“กาศยป” เจ้าหน้าที่พูดขึ้น “เจ้าแห่งเผ่าพันธุ์ครุฑ” สายตาของทั้งเขมรัฐและแจนมองไปที่ภาพวาดที่สต๊าฟกำลังยกขึ้นติดตั้ง ภาพวาดนั้นเป็นภาพวาดของครุฑ ที่ดูราวกับจะเป็นครึ่งกันระหว่างมนุษย์และครุฑ ใบหน้าอันงดงามอ่อนหวาน เพียงแต่สายตานั่นต่างหาก ที่ดูโหยหาและรอคอยอะไรบางอย่าง ให้ได้กลับมาพานพบกันอีกครั้ง เจ้าหน้าที่เดินจากไป หลังจากให้ข้อมูลเหล่านั้นเสร็จสิ้น

 

“ทีนี้แกจะเชื่อได้หรือยัง” ยิ่งมองภาพวาดนั้นนานเท่าไหร่ แจนก็ยิ่งปักใจว่า ขนาดมองจากไกล ๆ นั่นคือภาพวาด ที่ละม้ายคล้ายคลึงกับวาตะมากจนเหลือเชื่อ และมันต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน ฝ่ายเขมรัฐเองนั้น เขาหันไปมองภาพวาดที่ถูกเขียนกำกับเอาไว้ว่า นาโครคินทระ แววตาของผู้ที่อยู่ในภาพวาดนั้นมีความดุดันด้วยความรู้สึกรุนแรงในอารมณ์ เสมือนว่าจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนทั้งนั้น มาขัดขวางในสิ่งที่เขาต้องการ



“แกเดินมาดูนี่” แจนที่ยืนอยู่ที่ด้านหน้าภาพวาดของกาศยป ร้องบอกเพื่อนให้ตามเธอมา เขมรัฐเดินตามแจนมาหยุดยืนอยู่ที่ภาพวาดภาพนั้น “แล้วแกบอกฉันที ว่านี่มันไม่ใช่ขมิ้น วาตะคามิน เพื่อนของเรา” เขมรัฐจ้องไปที่ดวงตาของผู้ที่อยู่ในภาพวาดตรงหน้า ทั้งที่ใจของเขมรัฐ อยากจะปฏิเสธสิ่งที่ตัวเขาเองนั้น กำลังมองเห็นอยู่ตรงหน้า แต่แววตาคู่นั้น ไม่ว่าจะมองยังไง ก็คือวาตะ ภาพนั้นตะโกนใส่เขาว่า นี่คือวาตะคามิน


 
“มันยิ่งตอกย้ำมากขึ้นเข้าไปใหญ่ กับคลิปที่แม่ของวาตะเอาให้ดู ใช่มั้ย” เขมรัฐจำสิ่งที่อยู่ในคลิปที่แม่ของวาตะเปิดให้ดู มันคือวาตะที่กำลังร่ายรำขณะที่ดวงตากำลังหลับอยู่ เสมือนหนึ่งว่าได้ยินเสียงเพลงบรรเลง มาจากที่ไหนสักแห่ง ด้วยท่วงทำนองที่ทำให้วาตะเคลื่อนขยับร่างกายด้วยความพลิ้วไหว คล้ายกับว่าเจ้าตัวนั้นเอง มีปีกสยายอยู่ที่ด้านหลัง ให้การร่ายรำนั้นอ่อนช้อยสวยงามไม่มีที่ติ ทั้ง ๆ ที่แม่ของวาตะยืนยันว่า ตอนนั้น วาตะไม่รู้สึกตัวเสียด้วยซ้ำว่ากำลังทำอะไรอยู่


 
“รูปวาดนี้ให้ติดที่ไหนดีครับหัวหน้า” หนึ่งในสต๊าฟถามกับหัวหน้าฝ่ายจัดนิทรรศการ ถึงภาพวาดรูปสุดท้ายที่เหลืออยู่ เขมรัฐมองไปที่ภาพที่สต๊าฟคนนั้นถืออยู่ในมือ มันคือภาพของใครคนหนึ่งที่คล้ายกับมนุษย์รูปงาม “ภาพคนธรรพ์นั่น” แจนถึงกับต้องยกมือขึ้นปิดปาก เมื่อภาพวาดตรงหน้า มันมีความใกล้เคียงกับเขมรัฐราวกับตัวเขานั้น นั่งให้จิตรกรถอดแบบวาดภาพเหมือนให้ อย่างไรอย่างนั้น



“คนธรรพ์นี้ ว่ากันว่าบางตนที่เกิดในชั้นคนธรรพ์ลำดับล่าง จะทำตัวเป็นบริวารแก่เทพที่มีชั้นสูงกว่าบนสวรรค์ ด้วยความที่มีความสามารถด้านดนตรีและขับร้อง จึงสามารถหว่านเสน่ห์ให้กับใครต่อใครได้หลงใหลได้โดยไม่ยาก” ผู้นำชมนิทรรศการที่เดินผ่านมาพอดี ให้ข้อมูลกับเขมรัฐและแขนเพิ่มเติม “ด้วยความต้องการด้านกามคุณนั้น มักก่อความรำคาญ จนถึงขั้นก่อความเดือดร้อน สร้างหายนะให้กับบรรดาเทพ ครุฑ และนาค ได้โดยแท้” เป็นรายละเอียดที่ทำให้เขมรัฐถึงกับต้องสะอึกอยู่ในใจ ขึ้นมาในทันทีทันใด

 

“ด้วยเหตุนี้ข้าจึงกระวนกระวาย ด้วยว่าหมายจะนำสารถวายท่าน อกระส่ำกำสรวลกลางหมู่มาร ว่าพลางพาลเห็นพระทัยองค์ครุฑา” เมื่อได้จังหวะพบเจอกับท่านกายศป ตามที่ได้วางแผนเอาไว้ล่วงหน้า ด้วยการล่อลวงหนึ่งในครุฑสาว ที่รักการดื่มด่ำกำซาบรสชาติหฤหรรษ์ ให้บอกถึงเวลาไหน ที่ใด จะได้พบเจอกับพญาครุฑอย่างแน่นอน ด้วยว่าคนธรรพ์อย่าง ปรินทร ที่เชี่ยวชาญการหว่านเสน่ห์ให้คนลุ่มหลง ไม่ว่าจะเป็นชาติบุรุษหรืออิสตรีเพศก็ตาม


 
“เห็นกับตาข้าจึงกล้ามาเอ่ยกล่าว ขอท่านท้าวดำริวินิจฉัย เผ่านาคีควรค่าหรือกระไร เกลือกกลั้วไซร้ฉุดต่ำมิบังควร” ปรินทร ผู้ซึ่งได้รับพรจากองค์อินทร์ ได้รับการตั้งชื่อใหม่ หลังจากที่ได้ใช้วาทศิลป์ที่ติดตัว เล่าเรื่องราวความชอกช้ำระกำใจ กับการเป็นคนธรรพ์ที่มีแต่คนมาสั่งมาจิกใช้ เสมือนหนึ่งว่าเป็นผู้ที่ไร้ค่าก็มิปาน องค์อินทร์ที่ได้ยินเรื่องเล่าอันแสนระทม ก็หลงเชื่อไปว่าเป็นความจริง มอบชื่อ ปรินทร ที่แปลว่า ผู้เป็นใหญ่เหนือคนอื่นกับคนธรรพ์ตนนี้



“ทิชชากรองค์นี้วิลาวัณย์ อยู่สวรรค์ชั้นฟ้าดาราสมร หากจะคู่ต้องใช่แค่หมู่ภมร ยิ่งลดทอนหย่อนค่าด้วยนาคิน” ด้วยใจที่ริษยาแค้นเคือง เมื่อปรินทรล่วงรู้ว่า ทิชชากรครุฑครึ่งมนุษย์ ที่สวยสง่าสมกับคำร่ำลือ นั้นมีใจให้กับโภคิน พญานาคหนุ่ม ผู้ซึ่งบำเพ็ญเพียรสะสมบุญญา มีตบะแก่กล้า สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์แบบ ได้ตามใจชอบ



แม้ว่าคนธรรพ์อย่างปรินทร จะมีลักษณะใกล้เคียงกับมนุษย์จริง ๆ แต่ด้วยศักดิ์และสิทธิ์ที่ห่างไกลจากโภคินเป็นล้นพ้น การได้เห็นโภคินได้เสวยสุขกับทิชชากร ครุฑครึ่งมนุษย์ที่ตนใฝ่ฝัน เฝ้าก้อร่อก้อติก หว่านเสน่ห์ใส่ แต่ก็ไม่เป็นผล แต่โภคินนั้น เพียงพบกับทิชชากรได้ไม่กี่ครั้ง ก็แอบลักลอบมอบเกล็ดแห่งนาคและขนปีกแห่งครุฑ แลกไว้แทนใจกันเพื่อแทนความคิดถึง แต่กับปรินทรผู้ที่มักใหญ่ เพราะได้รับพรจากองค์อินทร์ ก็เกิดอาการเกลียดชังและริษยาขึ้นในใจ ไม่อยากให้โภคินได้ดีไปกว่าตน

 

“ด้วยว่าครุฑและนาคต้องราวี จะญาติดีต่อกันเป็นเมียผัว คงต้องถูกทั้งสวรรค์เข้าพันพัว หัวร่อกลั้วกาศยปว่าบรรลัย” ท่านกาศยปยกมือห้ามเจ้าคนธรรพ์ ไม่ต้องพูดอะไรอีก แค่นี้ ความแค้นและความอับอายก็เพิ่มเป็นเท่าทวีคูณ พระนายแม่ผู้นั้น ก็ถูกไต่สวนทวนความจริงในทันที ว่าพระนางนั้นรู้เห็นเป็นใจกับทิชชากรด้วยหรือไม่ กับการลักลอบมีความสัมพันธ์กับพญานาคหนุ่มผู้เพียบพร้อม พระนายแม่ได้แต่ตอบตามความจริงไป ว่าพระนางนั้น เห็นว่าลูกชายของพระนาง มีเกล็ดแห่งนาคอยู่ในครอบครองจริงดั่งที่คนธรรพ์ปรินทรว่ามา

 

“อันที่จริงเรื่องน่าบัดสีทำนองนี้ ผมไม่อยากจะพูดอะไรมากให้เสนียดปาก” ภายใต้อาการที่แสดงออกมาอย่างรู้สึกรังเกียจ จนดูขนลุกขนพองไปหมดนั้น แววตากลับรู้สึกสะใจ ที่ตัวเองกำลังจะสมหวังกับเรื่องนี้ “มันจะเป็นไปได้ยังไงครับ ผู้ชายด้วยกันเอง มามีความสัมพันธ์แบบโรแมนซ์ ประหนึ่งว่าเป็นคู่ชายและหญิงแบบนั้น สังคมจะได้พบพานความวิปริตวิปลาสกันอย่างเต็มตาก็คราวนี้เสียกระมัง” อติรุจ ผู้ซึ่งชื่อแปลว่าผู้รุ่งเรืองที่ยิ่งใหญ่ บอกกับชายชาวต่างชาติที่นั่งอยู่ตรงหน้า

 

“กระผมเองก็ไม่รู้เรื่องรู้ความกระไรหรอกครับนายฝาหรั่ง แค่ว่าอยากจะถามนายฝาหรั่งว่า ที่บ้านเมืองยุโรปที่ครอบครังของท่านจากมา รับเรื่องราวลามกจกเปรตแบบนี้กันได้หรือไร แต่ที่เมืองสยามแห่งนี้ คงจะล้าหลังกว่าเมืองฝาหรั่งโขอยู่ การที่ชายจะเสพสังวาสกับชาย ด้วยกลกามเวจมรรค คิดแล้วก็ทำให้ได้แต่สลดหดหู่ใจ” บิดาชาวต่างชาติที่ลูกชายกำลังถูกผู้ชายคนนี้ ที่ครอบครัวฟอล์คเนอร์กำลังอาจจะต้องพึ่งพาเรื่องเงินทองจากเขา ต้องนั่งอดทนฟังคำพูดบาดหูกรีดใจอยู่อย่างนั้น

 

“แต่กระผมคิดว่า วิเลโอ ลูกชายของนายฝาหรั่ง ไม่น่าจะใช่คนที่เข้าหานายวิษธรอะไรนั่น แต่ต้องเป็นนายคนนั้นนั่นแหละ ที่ใช้วิธีการฉ้อฉลล่อลวงให้วิเลโอ ตกลงทำอะไรวิปริตวิปลาส สร้างความทุเรศลูกตาหาใครได้มาพบเห็น นับเป็นการจงใจอย่างแจ่มแจ้งที่ต้องการจะให้วิเลโอ ลูกชายของนายฝาหรั่ง ให้แปดเปื้อนราคี ตามแต่ที่นายวิษธรนั่นจะจับ จะลูบคลำ หรือจงใจจูบตรงไหน ก็ต่ำช้าลงตรงนั้น” อติรุจสนุกไปกับการเห็นท่าทางชายชาวต่างชาติสูงวัย กระสับกระส่าย ดูก็รู้ว่าคำพูดของเขานั้น มีผลต่อมิสเตอร์เจ้าของนามสกุลฟอล์คเนอร์เป็นอย่างมาก

 

“ถึงจะอย่างนั้น” อติรุจพูดขึ้น เพื่อจงใจจะกดดันมิสเตอร์ฟอล์คเนอร์ให้ทำตามที่เขาต้องการ “หากว่านายฝาหรั่งต้องการให้กระผมช่วยเหลือเรื่องการเงินกับนายฝาหรั่งต่อจากนี้ ก็ให้นายฝาหรั่งหายกังวลได้เลย แถมยังไม่ต้องหวั่นใจว่า วิเลโอจะถูกไอ้ชาติชั่วอติรุจ ล่อลวงไปกระทำย่ำยีเสียยิ่งกว่านารีใด กระผมยินดีที่จะมอบเงินต่อทุนให้โดยคิดดอกเบี้ยอย่างคนกันเอง แถมกระผมจะรับวิเลโอมาดูแลเอง ปกป้องเอง แทนนายฝาหรั่ง ให้ปลอดภัยจากปากเหยี่ยวปากกา ขอให้นายฝรั่งจงวางใจ” มิสเตอร์ฟอล์คเนอร์มองเห็นแววตาของอติรุจ ที่ดูเหมือนจะถูกใจเป็นอย่างมาก หากว่าปลาจะฮุบเหยื่อโดยง่ายดาย

 

“เอ็งน่ะรึ คือไอ้ไม้มั่น” เจ้าของชื่อที่นั่งคุกเข่าพนมมืออยู่ต่อหน้าบุคคลที่เป็นแขกคนสำคัญของนายท่านกับนายแม่ “ข้าได้ยินท่านพ่อและท่านแม่ของคุณปรุง เล่าให้ฟังถึงเอ็ง ว่าทั้งสองเก็บเอ็งมาเลี้ยงตั้งแต่ยังแบเบาะ” คนถาม ใช้น้ำเสียงที่ทำให้ผู้ที่ถูกพูดด้วยนั้นรู้ตัวว่าตัวผู้พูดนั้น สำคัญกว่าเพียงใด “เป็นจริงตามนั้นขอรับ คุณปราชญ์” ไม้ตอบรับคำกับสิ่งที่ตัวเขาเองนั้นปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน

 

“เอ็งมันก็ถือว่าเป็นผู้มีบุญกับเขาอยู่บ้างสินะ” ปราชญ์พูดกับไม้ มองดูหนุ่มผิวเข้ม หน้าตาหล่อเหลาเกินกว่าบ่าวไพร่ในเรือนโดยทั่วไป แถมหุ่นกำยำล่ำสัน บ่งบอกถึงความหนักเอาเบาสู้ ไม่เกี่ยงงานใช่แรงเยี่ยงโคกระบือแต่อย่างใด “นายท่านถึงได้รับตัวเอ็งมาชุบเลี้ยง ด้วยคนงานไปเจอตัวเอ็งนอนถูกผ้าผืนเดียวห่ออยู่ริมน้ำ แถมยังมีงูจงอางขนาดเขื่อง ผิวมันเลื่อม นอนขดล้อมตัวเองเอาไว้ ให้เขาลือกันว่า เป็นลูกงูเจ้างูผี” สิ่งที่ไม้ได้ยินคุณปราชญ์พูด คือเรื่องเดียวกันกับที่นายท่านและแม่นาย บอกกล่าวกับเขาเอาไว้ตั้งแต่จำความได้เช่นกัน

 

“ไม้มั่น” ปราชญ์เรียกย้ำชื่อของอีกฝ่าย “ถึงว่านายท่านได้มอบชื่อนี้เอาไว้ให้กับเอ็ง เพราะเอ็งคงดวงจะแข็งจริง ถึงได้รอดอสรพิษร้ายแรงแบบนั้นมาได้ โดยไม่มีแม้ริ้วแม้รอยข่วนสักแห่ง” ปราชญ์ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ตัวเขานั้น ทำไมถึงรู้สึกไม่ถูกชะตากับไม้มั่นตั้งแต่ได้รับรู้เรื่องราวความเป็นมาเป็นไปนี้ของอีกฝ่าย หรือมันคือความอิจฉา ที่อยู่ ๆ บ่าวในเรือนที่ต่ำต้อย ดูจะมีประวัติที่น่าสนใจ จนใคร ๆ ก็พากันพูดถึง

 

“นายท่านเมตตาบ่าวจนเกินกว่าจะตอบแทนได้หมด บ่าวระลึกถึงเรื่องนี้อยู่ทุกค่ำคืน” ไม้มั่นพูดออกไปด้วยความเจียมตัว “ส่วนชื่อของบ่าวนั้น คงเห็นว่าบ่าวจะเป็นหลักเป็นฐาน ดูแลนายน้อยของบ้านนี้ได้ เมื่อวาระนั้นมาถึง ด้วยว่านายท่านให้บ่าวจดจำใส่กะโหลกเอาไว้ว่า มันพ้องกันกับ หมายมั่น เพื่อการภาคหน้า เมื่อนายท่านและแม่นายได้รับพร จนกำเนิดคุณปรุงมาเป็นขวัญแห่งเรือน และคุณปรุงก็มาเป็นนาย เพื่อให้บ่าวอย่างไอ้ไม้มั่น เป็นหลักแห่งความมั่นคง ดูแลนายน้อยสืบไป ขอรับคุณปราชญ์”

 

“อย่างนั้นรึ ข้าหวังว่าเอ็งคงจะไม่ได้แต่งเรื่องขึ้นมาเอง หรือเพ้อพกเอาว่า คนเป็นนายจะคิดหยิบเอากรวดขึ้นมาถากกับเพชรกับพลอยหรอกนะ” ปราชญ์ยิ้มเยาะ เมื่อเห็นไม้ก้มหน้าลง ดูต่ำต้อยด้อยค่าลงไปถนัดใจ “เหตุว่าข้า คือพี่ปราชญ์มองเห็นน้องปรุงเป็นมากกว่าแค่คนรู้จัก ความว่าสองบ้านของข้ากับนายท่าน จะผูกพันรักใคร่กันเสียมากมาแต่ไหนแต่ไร” ไม้มั่นมองสบตากับปราชญ์ที่รออยู่ก่อนแล้ว



“เอ็งคงไม่คิดไปไกลเลยเถิดนะ ไอ้ไม้มั่น ว่าความใฝ่สูงเกินวาสนาของเอ็ง จะได้รับการยกย่อง และสนองให้เอ็งได้สมใจปรารถนา ขอให้ข้าได้พูดใส่หน้าเอ็งเสียแต่บัดนี้เสียเถิด ให้เอ็งได้มีลมหายใจ อยู่จนความแก่เฒ่ากำหนดสิ้นอายุขัย แทนที่ตายโหงด้วยการบั่นคอเสียจนกระเด็น” ไม้มั่นรับรู้ได้ถึงความหมายที่ปราชญ์พูดกับเขาแบบตรง ๆ

 

“แกยังจะไม่เชื่ออยู่อีกมั้ย เรื่องขมิ้นกับใครคนนั้น ที่ตามกันมาจากชาติที่แล้ว” แจนถามเพื่อนตรง ๆ หลังจากที่ทั้งคู่ ได้เห็นภาพวาดคนธรรพ์ ที่ดูอย่างไรก็เหมือนกับเขมรัฐ ยิ่งภาพวาดกาศยป ที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้เลย ว่าเหมือนกับหน้าตาของวาตะคามินอย่างที่สุด “แล้วแกรู้ได้ยังไง ว่าพอมาเป็นชาตินี้ เป็นปัจจุบันแล้ว วาตะยังจะต้องคิดเหมือนเดิม หรือรู้สึกกับไอ้หมอนั่นอย่างเมื่อก่อน ทุกอย่างมันอาจจะเปลี่ยนไปหมดแล้วก็ได้ วาตะอาจจะไม่ได้อยากจะยุ่งเกี่ยวกับใครก็ไม่รู้ ไม่ได้ผูกพันกันอย่างเดิม” เขมรัฐพูดถึงความเป็นไปได้ที่ตัวเองคิด

 

“คนธรรพ์” แจนมองหน้าเพื่อนนิ่ง ๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “แกก็ได้ยินแล้ว ว่านิสัยของคนธรรพ์ คนที่แกอาจจะเคยเป็นเมื่อนานมาแล้ว ว่าสามารถทำลายความสัมพันธ์คนอื่น ยุ่งวุ่นวายกับชีวิตของใครต่อใคร เพียงเพราะความอิจฉาริษยาของคนธรรพ์ตนนั้นเอง” เขมรัฐกัดกรามข่มความรู้สึกโกรธอาไว้ เมื่อแจนพูดมาแบบนั้น “เขมรัฐ ที่แปลว่าดินแดนแห่งความสุข แกเองก็เปลี่ยนไปแล้ว หรือว่าแกยังคงมีนิสัยสร้างความแตกแยกแบบนั้น เหมือนอย่างที่เคยเป็นมาตลอด” แจนเองก็ต้องการจะรู้คำตอบจากปากของเขมรัฐ เพื่อนของเธอเช่นกัน



******************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย Jay J

เพื่อนรัก - The Parkinson

https://www.youtube.com/watch?v=i_gPHhGIOaw


ขอโทษที่ฉันเอง

Sorry that I myself

ไม่อาจเป็นเหมือนเดิม

Cannot be the same

อย่างที่เธอต้องการ

The way that you need me to

Oh, baby


แค่เพื่อนเท่านั้น

Strictly being friends

พยายามเข้าใจ

Trying my best to understand

แต่ทำไมในใจของฉันยังสั่น

Yet, my heart feels that things come tumbling down

Oh, baby


เธอ

You

เธอคงไม่รู้ว่า

You may not know this

เพื่อนเธอคนนี้ ภายในใจนั้น

This friend of yours, within his heart

ข้างใน ได้เปลี่ยนไปแล้ว

Deep down inside, has already changed


เปลี่ยนไปเป็นรัก

Changed to love you

รักจนหมดหัวใจ

Love you wholeheartedly

รักเพียงแต่เธอ

Loving only, you

ขอเพียงให้เธอได้รู้

Please allow me to let you know


ไม่มีอีกแล้ว

No and not anymore

เพื่อนที่เธอไว้ใจ

The friend that you trusted

เหลือเพียงแต่คนคนหนึ่ง

Only this normal guy

ที่เก็บซ่อนความรักไว้ไม่ไหว

The man who cannot keep love to himself

ถ้าเธอไม่คิดอะไรอย่างนั้น

If you never ever feel the same way I do

ก็แค่ทำว่าฉันไม่เคยพูดไป

Just act as if I didn’t say it to you


ฉันคงไม่รู้ตัว

It must be my subconscious mind

ไม่ได้ทันระวัง

Weren’t careful enough

อยากให้เธอเข้าใจ

Please do understand me

Oh, baby


สัญญาจากนี้ไป

Promise you from now on

หากเรายังต้องเจอ

When we both meet each other again

จะไม่ทำให้เธอนั้นต้องรำคาญ

I won’t be giving you such annoyance

Oh, baby

 
(แค่สักครั้งที่ฉันได้บอกเธอว่ารัก)

Just once that I can say how much I love you

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด