ตอนที่ 21 : หิมะโปรยปราย 2/2
“พี่แววววววววว พี่ช่วยมิลค์ด้วย” พอเจอหน้าพี่แววที่โรงเรียน ผมก็ถลาตัวเข้าไปหาพี่สาวร่วมคณะ
“เป็นอะไรมิลค์ ทำไมทำเสียงแบบนั้น”
“Linda เขาจะให้มิลค์ทำอาหารไทยเย็นนี้ เขามัดมือชก บอกว่านัดทุกคนไว้แล้ว”
“555 พี่บอกมิลค์แล้วว่าให้ชิงนัดวันไปก่อน อย่างน้อยเราจะได้เลือกวันได้”
“ก็มิลค์คิดว่าจะเนียนไปเรื่อยๆ จน Linda เขาลืม” ผมผลัดวันประกันพรุ่งมาตลอด หวังลมๆ แล้งๆ ว่า Linda จะลืม ใครจะคิดว่าจะโดน host mother รู้ทันดัดหลังด้วยกันมันมือชกแบบนี้
“แล้วนี้ตั้งใจจะทำอะไรบ้าง”
“มิลค์เอาเครื่องแกงสำเร็จรูปมา ... มีพะแนง ต้มยำกุ้ง แล้วมิลค์คิดว่าจะทำผัดผักเพิ่ม กินกับข้าวสวย”
“ฟังดูก็ไม่น่ายากเท่าไหร่นะ”
“555 พี่แววไม่รู้อะไร มิลค์มันหุงข้าวยังไม่เป็นด้วยซ้ำ” เสียงทับถมของจีดังขึ้นจากด้านหลัง
“ไอ้จี ถ้าไม่ช่วยก็อย่ามาชักใบให้เรือเสีย” ผมมองแรงใส่เพื่อนสนิท ใครจะสบายตัวเหมือนมัน host ของจีเขาไม่ได้เป็น type เดียวกับ Linda เลยไม่เคยขอให้มันทำอาหารไทยให้กินซักมื้อ
“มึงก็รู้ตัวอยู่แล้วว่าต้องทำ กูบอกตั้งแต่อยู่เมืองไทยแล้วว่าให้ฝึก มึงก็ไม่ฝึก แล้วจะโวยวายอะไรวะ”
“แล้วมึงจะดุกูทำไม ... เย็นนี้มึงมาช่วยกูเลย” Linda มัดมือชกผม ผมมัดมืดชกจีบ้าง
“ไม่ไป กูไม่อยากโดนข้อหาสมรู้ร่วมคิดวางยาคนทั้งบ้าน 555” พูดจบมันก็ทำสีหน้าลอยไปลอยมา หมันไส้โว้ยยยยยยยยยยยยยยย
“ไอ้จี!!!”
“เอานะๆ ไม่ต้องทะเลาะกัน เดียวพี่พาไปซื้อของ เอาแบบง่ายๆ เหมือนต้มมาม่าเลยดีไหม ...”
“... ว่าแต่ มิลค์ต้มมาม่าเป็นใช่ไหม” พูดเสร็จพี่แววก็อมยิ้มเป็นเชิงหยอกล้อ
“พี่แววววววววววววววว” ผมโวยเมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังโดนแกล้ง
ณ supermarket ย่าน China town ผมกำลังเดินตามหลังพี่แวว โดยมีจีที่อาสาเข็ดรถเข็นให้เดินตามหลังมาคู่กับวายุ
“ต้มย้ำกุ้ง ใช้กุ้งแช่แข็งก็ได้ ง่ายดี แต่ตอนต้มต้องคอยเช็คนะ เพราะถ้าสุกเกินไปกุ้งจะเล๊ะ มิลค์เช็คเป็นไหม ...” ผมส่ายหัว
“... จับๆ ดูก็ได้ ถ้าเด่งๆ ก็ใช้ได้”
“จับแล้วมันจะไม่ร้อนเหรอครับ” รอยยิ้มของพี่แววถึงกับแข็งค้างอยู่บนใบหน้า เมื่อได้ยินคำถามตามประสาของคนไม่เคยทำอาหารแบบผม
“งั้นลองกินก็ได้ ถ้าเด้งๆ ก็ใช้ได้”
“โอเคครับ” แล้วผมก็หยิบกุ้งแช่แข็ง 1 pack ใส่รถเข็น
“พะแนง เอาเป็นเนื้อละกัน เพราะถ้าไม่สุกก็กินดิบได้ ...” รอบนี้เป็นผมที่ยิ้มค้าง นี่พี่แววกำลังบอกอะไรผมทางอ้อมหรือเปล่า
“... ซื้อเนื้อหั่นเต๋าเลยเวลาทำจะได้ง่ายๆ” ผมผยิบเนื้อ 2 pack ลงในตระกร้า
หลังจากนั้นพี่แววก็พาผมไปซื้อผักและเครื่องปรุงสำหรับผัดผัก รวมถึงติวขั้นตอนการหุงข้าวและการทำอาหารโดยใช้เครื่องแกงสำเร็จรูป ฟังๆ ดูก็ไม่ยากเท่าไหร่ ไม่ต่างอะไรกับการอุ่นซุปกระป๋องแล้วเติมเนื้อสัตว์ลงไป ... ผมเริ่มมีความหวังขึ้นมาบ้างแล้วว่าจะสามารถเอาตัวรอดจาก challenge อาหารเย็นของ Linda
หลังจากซื้อของเสร็จ มีเวลาเหลืออีกนิดหน่อยพวกเราเลยมานั่งกินไอศกรีมด้วยกัน เรา 4 คน ไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนพร้อมกันบ่อยนัก พี่แววจะอยู่กับเพื่อนร่วมชั้นมากกว่า ในขณะที่ผม จี และวายุ ไปเที่ยวด้วยกันทุกวันหลังเลิกเรียน วายุรับหน้าที่เป็นไกด์ และ navigator กิจวัตรประจำวันของมันคือมาเสนอที่เที่ยวให้ผมกับจีในทุกๆ เช้า
“พี่แววกลับวันไหนครับ” ผมถามในระหว่างที่พวกเรากำลัง enjoy กับไอศกรีมตรงหน้า
“เหลืออีก 2 สัปดาห์ ... ยังดีที่ได้ไป Whisler ก่อนกลับ” เพราะพี่แววต้องกลับไปฝึกงานเลยไม่สามารถอยู่ได้เต็ม 2 เดือนเหมือนพวกเรา … Whisler เป็น trip สุดท้ายก่อนที่พี่แววจะบินกลับ ถือว่าโชคยังเข้าข้างเพราะ Whisler ถือเป็น is a must ของ Canada ใครๆ ก็บอกว่าเป็นเทือกเขาที่สวยมาก เพราะปกคลุมไปด้วยหิมะ นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่จัดโอลิมปิกฤดูหนาวอีกด้วย
“ผมก็อยากไป ยังไม่เคยเห็นหิมะเลย” ผมไม่เคยเห็นหิมะ เพราะปกติเวลาไปเที่ยวต่างประเทศไม่เคยจะตรงกับช่วงหิมะตกซักที
“มันต้องสนุกมากแน่ๆ” หลังจากนั้นผมกับพี่แววก็คุยกันเรื่องที่คณะ ซึ่งหนีไม่พ้น topic เรื่องของชาวบ้าน ... และผมก็ต้องประหลาดใจ ที่พี่สาวคนสวนรู้ทุกเรื่อง ตอบได้ทุกอย่างราวกับเป็น Wikipedia
“มิลค์ มึงกินไอติมยังไงของมึงเนี่ย หกเลอะแขนเสื้อหมดแล้ว ...” จีทักขึ้นมาท่ามกลางเสียงพูดคุยจอแจระหว่างผมกับพี่แวว... กว่าจะรู้ตัว แขนเสื้อกันหนาวของผมก็เปื้อนไอศกรีมรสวานิลลาเป็นวงกว้างเสียแล้ว
สายตาของวายุมองไปยังเพื่อนร่วมคณะที่กระวีกระวาดหยิบทิชชูขึ้นมาเช็ดแขนเสื้อให้เพื่อนสนิทราวกับไอศกรีมนั้นหกเลอะเสื้อของตัวเอง ในขณะที่มิลค์ดูไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นักเพราะยังคงพูดคุยกับพี่สาวของเขาไม่หยุดปาก ... ภาพที่เห็นทำให้วายุคิดในใจว่านี่มันเพื่อนหรือลูกกันแน่วะ
“... ไปล้างแขนเสื้อกับกู”
“แป๊บนึง กูเม้าท์อยู่” พอได้ยินเสียงตอบรับแบบขอไปทีของมิลค์ นั้นทำให้คนที่ใจเย็นเป็นปกติอย่างจีตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเข้มๆ
“ไปกับกู อย่าดื้อ” คิ้วข้างหนึ่งของวายุเลิกขึ้นอย่างช้าๆ เขาอดที่จะประหลาดใจไม่ได้ เพราะเพียงแค่จีบอกกล่าวด้วยเสียงเรียบๆ คุณหนูเอาแต่ใจอย่างมิลค์ก็ยอมลุกเดินตามเพื่อนสนิทไปอย่างไม่หือไม่อือ
เขาสังเกตมาซักพักแล้วว่าทั้งคู่ต่างก็รู้จุดพอดีของแต่ละฝ่าย จีที่ปกติจะประคบประหงมตามใจ แต่วายุสัมผัสได้ว่ามีจุดๆ หนึ่งที่เจ้าตัวจะไม่ปล่อยให้อีกคนไปไกลเกินกว่านั้น และเช่นเดียวกันกับมิลค์ที่ถึงจะเอาแต่ใจกับจีแต่เจ้าตัวก็รู้ดีว่าไม่ควรเอาแต่ใจจนเกินจุดที่อีกคนขีดเส้นไว้ ... คงเป็นเพราะทั้ง 2 คนรู้จักกันมานาน จนความสัมพันธ์สลับซับซ้อน เขาเคยได้ยินมาว่าจีมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งซึ่งความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดูแตกต่างจากเพื่อนสนิททั่วไป ตอนแรกเขาก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องจริง จนกระทั้งได้มาใช้ชีวิตอยู่ที่นี้ด้วยกัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนๆ นั้นคือมิลค์อย่างแน่นอน
“แกว่า 2 คนนั้นมี something กันไหม” พี่แววถามขึ้นในช่วงจังหวะที่ทั้งโต๊ะมีกันแค่ 2 พี่น้อง
“ไม่รู้วะเจ้ เคยถามแต่ทั้ง 2 คนก็ตอบเหมือนกันว่าเป็นเพื่อนสนิทกัน”
“ที่คณะคนจีบมิลค์เยอะมากเลยนะ ทั้งผู้ชายผู้หญิง”
“ไอ้จีก็เหมือนกัน popular จนใครๆ ก็แซวว่าเป็นสมบัติคณะ” วายุกล่าวสมทบ
“เจ้เคยสงสัยว่ามีคนจีบมิลค์เยอะขนาดนั้น ไม่มีซักคนเลยเหรอที่เข้าตา ... แต่พอมาเจอ 2 คนนี้ตอนอยู่ด้วยกันแล้ว ก็ไม่แปลกใจนะที่มิลค์จะไม่เคยมีใครอยู่ในสายตาเลย” วายุพยักหน้าเห็นด้วยเพราะเขาคิดว่าเหตุผลของจีก็คงไม่ต่างกัน
ผมกลับมาถึงบ้านในตอนเย็นก็พบว่าทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า host family 3 คน และเพื่อนต่างชาติอีก 3 คน ความรู้สึกตอนที่เปิดประตูเข้ามาแล้วเจอรอยยิ้มของทั้ง 6 คนพร้อมหน้า คือไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี คนเหล่านี้ซินะที่จะเป็นผู้ร่วมชะตากรรมของค่ำคืนนี้ Linda พูดขึ้นตั้งแต่ผมก้าวขาเข้ามาในบ้านว่ามื้อเย็นวันนี้จะเป็นเวที solo เดี่ยวของผม ในขณะที่เธอจะทำหน้าที่เป็นเพียงลูกมือเท่านั้น
เริ่มต้นจากการหุงข้าว พี่แววสอนผมมาอยากดีว่ากินกัน 6 คนใช้ข้าว 3 ถ้วย กับน้ำ 1 ข้อนิ้ว แต่พอมาทำจริงๆ แล้วถึงได้เริ่มสงสัยว่าพี่แววหมายถึงถ้วยขนาดเท่าไหร่ เพราะ Linda มีถ้วยหลากหลายขนาดให้ผมเลือกสรร
"Linda คุณว่ากินกัน 7 คน ข้าว 3 ถ้วย พอไหม" Linda ที่กำลังหันผักเป็นชิ้นอย่างชำนาญ เงยหน้าขึ้นมาพิจารณาถ้วยแบ่ง soup ในมือของผม เธอทำหน้าครุ่นคิด
"ไม่รู้ซิ ฉันเองก็ไม่ค่อยได้หุงข้าวซักเท่าไหร่" รอยยิ้มสวยค้างอยู่บนใบหน้าของผม ถ้าไม่ติดว่าทั้ง 6 คนกำลังตั้งความหวังไว้กับ Thai dinner มื้อนี้ ผมจะกรีดร้องออกมาให้รู้แล้วรู้รอดว่าผมก็หุงข้าวไม่เป็นเหมือนกัน ... แต่พอเห็นรอยยิ้มจริงใจของ Linda แล้ว ... ข้าวสาร 4 ถ้วยก็ถูกโยนลงไปในหม้อพร้อมกับเทน้ำจนสูง 1 ข้อนิ้ว ... เอาวะเหลือดีกว่าขาด
จบปัญหาเรื่องข้าว ผมก็เตรียมตัวจะทำพะแนงเนื้อต่อ พอใส่เครื่องแกงถึงได้เจอกับปัญหาที่ 2 คือผมเอาเครื่องแกงมาน้อยไป ดูจากคำแนะนำข้างถุงแล้วเครื่องแกงน่าจะน้อยกว่าปริมาณเนื้อครึ่งต่อครึ่ง ผมไม่มีทางเหลือกนอกจากอาศัยวิชาเคมีขึ้นพื้นฐานที่ร่ำเรียนมาเมื่อเทอมก่อน สูตรประมาณสารสัมพัทธ์ปรากฏภาพขึ้นในหัว M1V1 = M2V2 ในเมื่อปริมาณมันน้อยก็เจือจางมันซะจะได้มีปริมาณมากขึ้น ผมจัดการเทน้ำลงไปจนแน่ใจว่ามีปริมาณเครื่องแกงมากพอจะคลุกเคล้าเนื้อทั้งหมดได้ แต่พอตักขึ้นมาชิมถึงได้รู้ว่าผมไม่ควรทำแบบนั้น มันคลุกได้ก็จริงแต่ก็แทบไม่เหลือรสชาดของแกงพะแนงเลยแม้แต่น้อย ทุกอย่างเจือจาง หลงเหลือรสพะแนงติดแค่ที่ปลายลิ้น ผมมองซ้ายขวาหาตัวช่วย และสายตาก็เหลือบไปเห็นกระปุกพริกไทยดำ ไม่รอช้าผมจัดการสาดเครื่องปรุงจากโลกตะวันออกลงไปในกระทะหวังเพิ่มความเผ็ดร้อนให้กับโปรตีนจากหลัก เมนูต่อไปคือต้มยำ แม้ผมจะซื้อเครื่องต้มยำมาหลายห่อแต่จากประสบการณ์จากพะแนงก็เดาได้เลยว่าที่เอามานั้นน้อยเกิดไป
"มิลค์ ทำไมเธอยืนหน้าเครียดแบบนั้น" Linda ถามผมที่ยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่หน้าเตา
"ผมว่าต้มยำมันน้อยเกินไป" ครั้งนี้ผมใส่น้ำอย่างระมัดระวังเพื่อรักษารสชาด ถึงกระนั้นต้นยำที่ได้ก็ยังน้อยเกินไปสำหรับ 7 คน
“ฉันมีน้ำกะทินะ ถ้านายอยากลองใส่เพิ่ม" พูดจบเธอก็เปิดตู้ชั้นลอยเหนือเตา ก่อนจะหยิบน้ำกะทิออกมา 3 กระป๋อง
"ดีเลยครับ รสชาดน่าจะออกมาพอดีๆ" ผมยิ้มเพราะคิดว่าถ้าใส่กะทิเข้าไปหน่อย รสชาดคงออกมาใช้ได้พอดี
พูดจบผมก็หันไปจัดการเนื้อในกระทะที่เริ่มจะสุกได้ที่ พอหันกลับมาก็แทบจะกรีดร้องออกมาเต็มเสียงเพราะ Linda จัดการเทน้ำกะทิลงในหม้อรวดเดียว 3 กระป๋องโดยปราศจากการชิมใดใด ... คือจะห้ามก็ไม่ทันแล้ว ต้มยำที่เคยมีสีสันสดใสตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับแกงกะทิสีขาวคลัก สิ่งเดียวที่ทำได้คือ keep cool หยิบช้อนจากลิ้นชักออกมาตักต้มยำขึ้นมาชิม ... เชี่ยยยยยยยยยยยย!!! แย่กว่าแกงกะทิพันเท่า เหมือนแดกน้ำกะทิเปล่าๆ ไม่มีผิดเพี้ยน
"เป็นยังไงบ้าง" Linda ที่ยืนใจจดจ่ออยู่ข้างๆ ถามขึ้นมา
"Yummy!!!" แล้วผมจะตอบอะไรได้มากกว่านี้ ... จะให้บอกว่าในหม้อนี่คือหายนะของอาหารไทยอย่างนั้นเหรอ
"โล่งอกไป ฉันก็คิดว่าจะทำต้มยำของเธอพังซะแล้ว" ... คะ!!! อย่าเรียกว่าพังเลย เรียงว่าฉิบหายน่าจะถูกต้องกว่า
กับข้าว 3 อย่าง อย่างเดียวที่ดูจะฉิบหายน้อยที่สุดคือผัดผัก จนกระทั้งกับข้าวทุกอย่างถูกจัดใส่จาน ผมถึงได้รู้ว่ามีความฉิบหายอย่างสุดท้ายรออยู่ ... ข้าวในหม้อแข็งเกินไป
"ทำยังไงดีละมิลค์" Linda ถามผมด้วยสีหน้าครุ่นคิดไม่ต่างกัน ถ้าผมทำกินเองก็คงช่างหัวมัน โยนข้าวลงถังขยะแล้วกินกับข้าวกับขนมปัง แต่สำหรับฝรั้งแล้วอาหารไทยต้องกินกับข้าวสวยเท่านั้น นอกนั้นผิดผี รับไม่ได้
…
“แล้วมึงทำยังไงต่อ” จีถามในขณะที่พวกเรานั่งอยู่ใน food court ใกล้โรงเรียน ปกติแล้วพวกเราจะทำอาหารมากินกันมากกว่า แต่ food court ก็เป็นทางเลือกที่ดีในกรณีที่พวกเราเบื่ออาหารฝีมือตัวเองขึ้นสุด บอกเลยว่าผู้ชาย 3 คนที่นั่งอยู่ตรงนี้ฝีมือทำอาหารพอกัน คือกินได้แต่ถ้าเลือกได้ก็อย่ากินเลยจะดีกว่า
“กูคิดอะไรไม่ออก เลยเติมน้ำลงในเพิ่ม ... ไอ้เชี่ย ใครจะคิดว่าข้าวนุ่มขึ้นเฉยเลย 555” ผมพูดออกมาอย่างภาคภูมิใจ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่คนที่แทบจะไม่เคยเข้าครัวทำอาหารเป็นจริงเป็นจังอย่างผมแก้ปัญหาได้เท่านี้ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว
“แล้วต้มยำของมึงละเป็นไง” วายุถาม
“แดกไม่ได้ รสชาติเหมือนกะทิเปล่า ...”
“... แล้ว Linda ก็ซดเอาๆ บอกว่าอร่อยมาก”
“แสดงว่ารอดตัวไป”
“รอดเหี้ยไรละ อยู่ๆ Mark ก็ถามขึ้นมา ว่าถ้าอร่อยขนาดนั้นทำไมกูถึงไม่แตะเลย 555” พูดจบทุกคนก็พร้อมใจกันหัวเราะ ตอนแรกผมก็คิดว่าจะเอาตัวรอดแบบเนียนๆ แต่กลับถูกจับสังเกตได้
“กูนึกแล้วว่าต้องเป็นมื้อเย็นที่บันเทิงที่สุดในชีวิตมึง ... อะมิลค์” จีพูดติดตลกพร้อมกับตักเอาผักสลัดจากจานของตัวเองใส่จานผม ในขณะที่ผมตักข้าวและกับครึ่งหนึ่งให้กับคนข้างๆ
ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เรา 2 คนตกลงแบ่งอาหารในจานของกันและกัน รู้ตัวอีกทีก็เป็นแบบนี้ทุกมื้อ จีไม่ชอบกินผัก ตั้งแต่มาถึงที่นี้ผักในจานของจีจะเหลือทิ้งไว้เสมอ ในขณะที่ผมไม่สามารถจัดการอาหารในจานได้หมดซักมื้อ food court ที่นี้แม้ราคาจะแพงว่าที่เมืองไทยมาก แต่ปริมาณอาหารก็ให้มาไม่ยั้งเหมือนกัน
“มีไรปะ” ผมถามเมื่อเงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นวายุที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอมยิ้มบางๆ
“เปล่าๆ ไม่มีอะไร ... Whisler พวกมึงพร้อมกันไหม”
“พร้อมดิ โคตรตื่นเต้น” ผมไม่เคยเห็นหิมะ เลยหวังเอาไว้มากๆ ว่าจะได้เห็นหิมะที่ Whisler
“พูดถึงแล้วก็ใจหายเนอะ พี่แววจะกลับแล้ว”
“อืมใช่ ไม่น่าเชื่อว่าแป๊บๆ เราอยู่มาเกินครึ่งทางแล้ว” พี่แววกลับไทยหลังจากหลังจบ trip Whisler ไม่กี่วัน ในขณะที่พวกผมยังเหลือเวลาอีกประมาณ 3 สัปดาห์ เวลาผ่านไปเร็วมาก
“กลับไปไม่รู้จะได้อยู่พร้อมหน้ากัน 3 คนแบบนี้ไหม ...”
“... เสียดาย ตอนแรกกูไม่ได้ทำ visa ไว้ ไม่งั้นจะเปลี่ยนใจไป US กับมึงแล้วเนี่ย ... ทำตอนนี้ทันไหมวะ” วายุพูด
“ไม่ทันแล้ว ... กูเช็คเมื่อวันก่อน คิวยาวเป็นเดือน หรือต่อทันก็ได้ visa แค่ไม่กี่วัน ...”
“... กูลองเช็คดู คิดว่าถ้าทำได้จะมาชวนมึงไป NY ด้วยกัน” จีอธิบายเพิ่มเมื่อเห็นวายุขมวดคิ้วเป็นเชิงสงสัย สัปดาห์ก่อนผมอ้อนจีหนักมากให้ชวนวายุยกเลิกแผน road trip แล้วไป NY กับผม จีเลยลองไปเช็คข้อมูลว่าจะสามารถทำ visa US จากที่นี้ได้ไหม และผลก็ออกมาอย่างที่เห็น
“เสียดายวะ ตอนนั้นเราไม่สนิทกันไง กูเลยไม่กล้าไปรบกวนมึง ถ้ารู้ว่าจะสนิทกันขนาดนี้นะ กูตกลงไปกับมึงตั้งแต่วันแรกที่มึงออกปากชวนแล้ว” วายุพูดด้วยน้ำเสียงเสียดายจริงๆ
...
ผมกระชับเสื้อกันหนาวในมือ แม้จะหนาวยะเยือกแต่ก็ไม่สามารถจะละสายตาจากวิวที่เห็นอยู่ตอนนี้ได้ ... ภาพของต้นสนสีเขียวเข้มสูงฉลูด ตัดกับภูเขาใหญ่น้อยปกคลุมไปด้วยหิมะขาวบริสุทธิ์ ... สวยเหมือนภาพที่มักจะถูกบอกเล่าในนิยาย
“สวยเนอะ” จีที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้น พอผมหันกลับมา ถึงได้เห็นว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็จับจ้องบรรยากาศภายนอกเช่นเดียวกับผม
“อืม” ผมตอบรับ ในขณะที่สายตาไม่สามารถละออกจากใบหน้าของเพื่อนสนิทได้ ตาชั้นเดียวที่ผมโคตรจะหลงใหล จมูกสวย ลูกกระเดือกที่บ่งบอกถึงความเป็นชาย ผิวขาวไม่ต่างอะไรจากหิมะที่ปกคลุมภูเขาอยู่ภายนอก ... หล่อ โคตรหล่อ หล่อวัวตายควายล้ม
“มิลค์”
“ฮะ” เพราะได้ยินชื่อตัวเองผมถึงดึงสติกลับมาได้
“หน้ากูมีอะไรติดเหรอ” มันถามพร้อมกับรอยยิ้มล้อเลียน ... มีความหล่อของมึงไง อิเหี้ย รู้ว่ากูแอบมองแล้วจะทักให้กูเขินเพื่อ
“อ่อ ไม่มี” ผมรีบกลบเกลื่อน แล้วตีเนียนชวนมันคุยเรื่องสัพเพเหระ
Whisler สวยเหมือนที่ใครๆ ก็พูดกัน ข้างในแบ่งเป็นหลายขั้นตามระดับความโปรของนักท่องเที่ยว แน่นอนว่านักเรียนจากประเทศเขตร้อนแบบพวกผมต่างก็เลือกลงหลักปักฐานกันที่ level 1 พวกเราสามารถเลือกได้ว่าจะเล่น ski หรือ snow board แต่เพื่อความ cool พวกเราเลยเลือก snow board
“จี รอกูด้วย” ผมตะโกนเรียกเพื่อนสนิทที่เดินจ้ำๆ อยู่ด้านหน้า พวกเรากำลังแบก board ขึ้นไปด้านบนเพื่อจะได้สไลด์มันลงมา
“มึงก็ก้าวเร็วๆ ดิวะ” มันหันกลับมา
“อีกตั้งไกล กูไปรอข้างล่างได้ไหม” ทุลักทุเลจนผมเริ่มจะท้อ
“ไม่ได้ๆ มาขนาดนี้แล้ว เร็วเข้า” แล้วจีก็ตัดสินใจเดินย้อนลงมา มือหนาคว้าที่ข้อมือผมแล้วออกแรงดึงให้เดินตาม
ด้านบนเป็นลานหิมะโลงๆ พวกเราเลยถือโอกาสลองซ้อมเล่นกันก่อน วายุกับจีดูจะมี skill เกี่ยวกับอะไรพวกนี้พอสมควร ในขณะที่ผม พอสไลด์ไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ล้มหน้าคะมำ แล้วจะให้สไลด์ไปข้างล่าง ผมจะรอดไหมเนี่ย
“โอ้ย!!! ...” ผมที่กำลังนั่งอยู่กับพื้นสะดุงเฮือกเมื่อมีบางอย่างเย็นๆ กระทบเข้ากลางหลัง พอหันกลับมาถึงได้เห็นเพื่อนสนิทยืนถือ snow ball อยู่ในมือ มันฉีกยิ้มกว้างเพราะถูกจับได้คาหนังคาเขา
“... ไอ้จี!!!” ผมไม่ยอมมันหรอก
2 มือโกยหิมะข้างตัว ปั้นเป็นก้อน แล้วขว้างออกไปเต็มแรง เสียงร้องดังขึ้น แต่ดูก็รู้ว่ามันตอแหล หลังจากนั้นสงครามบอลหิมะก็เริ่มขึ้น ผมกับมันขว้างบอลหิมะใส่กันไม่ยั้ง เสียงหัวเราะของเรา 2 คนดังลั่น ก่อนที่ละอองเกร็ดสีขาวจะเริ่มโปรยปรายมาจากฝากฟ้า ... หิมะกำลังตก
“เฮ้ย!!!” เพราะว่ามัวแต่สนใจหิมะที่กำลังตก กว่าจะรู้ตัวก็ถูกเพื่อนสนิทเข้าประชิด มันล๊อคคอผมไว้ในวงแขนก่อนที่จะเริ่มกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันจนเราทั้งคู่ล้มไปกับพื้น แต่แทนที่จะหยุด จีกลับคลุกวงในทำให้เรา 2 คนกลิ้งไปมาอยู่บนพื้นหิมะ เสียงหัวเราะของเราดังไม่หยุดทามกลางเกร็ดหิมะที่ร่างหล่นมาจากท้องฟ้า
“พอแล้วๆ กูหายใจไม่ทัน” พอผมเอ่ยปาก มันถึงได้หยุด เราสบตากันเสี่ยววินาทีก่อนที่เพื่อนสนิทที่คร่อมอยู่ด้านบนจะทิ้งตัวลงมานอนอยู่บนพื้นหิมะข้างๆ เรา 2 คนนอนตะแคงหน้าเข้าหากัน
“มึงได้เห็นหิมะแล้ว” มันพูด ... จีรู้ว่าผมไม่เคยเห็นหิมะ แล้วก็ตั้งความหวังไว้สูงมากกว่าจะได้เห็น
“ใช่ ... ได้เห็นพร้อมกับมึง” ผมตอบ
…
…
…
“ไม่อยากให้ช่วงเวลานี้ผ่านไปเลยเนอะ” คนตรงหน้าพูดความรู้สึกของตัวเองออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เรา 2 คนสบตากันเงียบๆ ก่อนมือหนาค่อยๆ เคลื่อนมากุมมือของผมไว้
“อืม ... อย่างอยู่แบบนี้กับมึง ... ตลอดไป” ผมตอบรับและผลั้งเผลอบอกความในใจออกไป
นิ้วมือเรียวสวยค่อยๆ เกี่ยวพันกับนิ้วมือของเพื่อนสนิทก่อนจะประสานมือของเราให้แนบแน่น แม้เราทั้งคู่จะสวมถุงมือ แต่หัวใจของผมกลับสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่ถ่ายทอดมาจากคนตรงหน้า เสี่ยวความคิดหนึ่ง ผมขอพรจากพระเจ้า ...
‘ขอให้ความทรงจำใน summer trip ครั้งนี้
อยู่กับผมไป ... ตลอดกาล’
----------
#ตลอดไป #หิมะโปรยปราย
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน