Love, In Every Lifetime : ตอนพิเศษที่ 2 : ปลายฝัน
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : ตอนพิเศษที่ 2 : ปลายฝัน  (อ่าน 9026 ครั้ง)

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 21
«ตอบ #90 เมื่อ23-08-2025 13:21:21 »

Teaser ตอนที่ 21


“What’ s the relationship between you two?”

“I don’ t know. I know it’ s more than friend, but we never talk about it.”

“You should. Because just friend don’ t look at each other like that”

“I know, but too much fear.”

“I understand. Do you have the answer you are looking for?”

“Yes, I do ... love him.” คำตอบนั้นพูดออกมาอย่างง่ายดายกว่าที่คิด ... จนผมเองยังเผลอยิ้มบาง ๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว

“I am glad that you have your answer. But the next step takes a lot of courage. ...”

“... keep fighting, I’ m right behind you.”

“Thanx … But I wonder. Minho said you like me.” พูดถึงประโยคนี้ผมก็หยุดชะงักเพราะไม่แน่ใจว่าจะเป็นการเสียมารยาทหรือเปล่า

Bruno เหมือนรอว่าผมจะพูดอะไรแต่พอเห็นผมเงียบเขาก็ทำท่าเหมือนคิดอะไรอยู่

“I see, but why am I not even flirting with you? . Not once. …” ผมพยักหน้ารับ นั้นแหละที่ผมสงสัย Bruno พักอยู่ห้องข้างๆ ผม เป็นคนแรกที่ผมได้คุยด้วย และถือเป็นเพื่อนร่วมบ้านที่สนิทที่สุดของผม แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยแสดงท่าทีจีบผมเลยแม้แต่น้อย

“… I honestly like you but when I saw you two together. I know I have no chance.” ผมยิ้มรับให้กับคำตอบของ Bruno และภาวนาขอให้ทุกอย่างเป็นจริงตามนั้น


----------


#Just friend don’ t look at each other like that
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime ตอนที่ 21 : หิมะโปรยปราย
«ตอบ #91 เมื่อ24-08-2025 09:04:49 »

ตอนที่ 21 : หิมะโปรยปราย 1/2

เช้าวันถัดไป ผมลืมตาตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าเราทั้งคู่นอนอยู่คนละฝากฝั่งของเตียง ไม่รู้ว่าเพราะผมหรือมันกันแน่ที่นอนดิ้น เข็มสั้นของนาฬิกาบนผนังชี้ไปเกือบจะถึงเลข 11 ไม่บ่อยนักที่ผมจะตื่นสายจนตะวันโด่งขนาดนี้ ผิดกับคนที่นอนอยู่ข้างๆ ที่ตื่นสบายเป็นปกติ บางวันอาจจะเลยไปถึงช่วงบ่ายเลยด้วยซ้ำ ผมลุกขึ้นมาจากเตียงแล้วหันกลับไปมองเพื่อนสนิทที่นอนหันหลังให้ ภาพที่ตัวเองถูกจีกอดไว้ทั้งตัวฉายวาบขึ้นมาในหัว แม้อุณภูมิวันนี้จะอยู่ที่ 10 กว่าองศาแต่ใบหน้าของผมกลับรู้สึกร้อนผ่าววูบวาป ... จีจะรู้ตัวบ้างไหมว่าเมื่อคืนทำให้ผมใจเต้นแรงแค่ไหน

หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ ผมก็เดินขึ้นมาชั้นบน ทุกอย่างเงียบสงัด คิดว่าทุกคนน่าจะยังนอนหลับอยู่ เดาจากเมื่อคืนก่อนจะเผลอหลับ ผมยังได้ยินเสียงดังมาจากชั้น 1 อยู่เลย ตอนแรกคิดว่าจะรอจีตื่นแล้วค่อยหาอะไรกินแต่ตอนเดินผ่านห้องนั่งเล่นเมื่อครู่ เจ้าตัวยังนอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่เลย ถ้ารอต่อไป ผมอาจจะได้กิน late lunch แทน โชคดีที่ในตู้เย็นมีแป้ง pancake เหลือมาจากเมื่อวาน เลยพอประทังความหิวไปได้อีกมื้อ ... pancake เนย วิปครีม และ Maple syrup เป็นส่วนผสมที่โคตรจะลงตัว ขณะกำลังทอด pancake ผมอดคิดไม่ได้ว่าที่เมืองไทยผมแทบจะไม่เคยทำอาหารกินเองเลยด้วยซ้ำ แต่พอมาอยู่ที่นี้ต้องทำเองทุกอย่าง โดยเฉพาะมื้อกลางวันที่ต้องทำ sandwich แล้ว pack ไปกินที่โรงเรียน

“Hi” ในขณะที่กำลังยืนล้างจานอยู่ในครัว น้ำเสียงคุ้นเคยของเพื่อนสนิทก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ... จีตื่นแล้ว

“ตื่นเร็วกว่าที่กูคิดนะเนี่ย” เข็มสั้นของนาฬิกายังเลยเลข 1 มาได้ไม่เท่าไหร่

“กูรู้สึกตัวแล้วเห็นว่ามึงตื่นแล้ว ก็เลยลุกขึ้นมา ... มีไรกินบ้างวะ” จีถามเสียงงัวเงีย ดวงตายังปรือ ทรงผมชี้โด่ชี้เด่ ... ตื่นก็สาย พอตื่นมาแล้วก็ร้องหาของกิน ไม่บ่อยนักที่ผมจะเห็นจีทำตัวเป็นเด็กอายุ 5 ขวบแบบนี้

“มี pancake” ผมเพยิกหน้ายังถ้วยแป้ง pancake ดิบ ถ้วยใหญ่ที่ยังวางอยู่บนเคาน์เตอร์ครัว

“ทำให้กินหน่อย” แม้จะไม่ได้ทำท่าทางหรือน้ำเสียงออดอ้อน แต่พอนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ทั้งคำพูดที่เกินเลยจากคำว่าเพื่อนสนิทไปพอสมควร และเรื่องที่นอนกอดกัน สถานการณ์ตอนนี้เลยทำให้หัวใจของผมวูปไหวไม่น้อย ... ทำไมบรรยากาศมันถึงได้เหมือนคู่รักกันขนาดนี้นะ

“อืม ... กินเยอะปะ” ผมพยักหน้ารับ พลางเดินกลับไปหน้าเตา

“4 แผ่น”

“แดกอะไรเยอะแยะวะ”

“ก็กูหิว ... ทำๆ ไปเถอะ มึงยังมีคดีติดตัวอยู่นะ” ผมหันกลับไปขมวดคิ้วใส่จี คดีอะไรของมันวะ?

“กินอิ่มก่อนแล้วค่อยสะสางกับมึงทีหลัง ถ้าอร่อย โทษมึงอาจจะลดก็ได้นะ” มันยักคิ้วข้างเดียวอย่างมีเลศนัย แสดงท่าทางออกชัดเจนมาว่าถือไพ่เหนือกว่า ... เมื่อวานผมทำอะไรลงไปบ้างวะเนี่ย

“ชิห์” ถึงจะสบถ และทำสีหน้าไม่พอใจ แต่ผมก็บรรจงเทแป้ง pancake ลงในกระทะ ก่อนจะปาดเนยใส่ลงไปหน่อยนึง

“เอาเนยเพิ่มอีก ...” โคตรน่าหมันไส้ ทำมาเป็นยืนกอดอกสั่งโน่นสั่งนี้ ได้ทีละเอาใหญ่ ได้ยินแบบนั้นผมเลยจ้วงเนยกระบิใหญ่ใส่ลงกระทะ

“... มึงกวนตีนกูเหรอ” มือหน้าวางลงบนหัวทุยของเพื่อนสนิทก่อนจะโยกไปมา

“ไอ้จี หน้าเตาไหมมึง” ผมมองหน้ามันตาเขียว แม้จะไม่มีความสามารถในการทำครัว แต่ผมก็รู้ว่าไม่ควรเล่นกันหน้าเตา

“เออมิลค์ มึงทำไข่ดาวเป็นเปล่าวะ” มันถามหลังจากเดินกลับไปยืนในที่ของตัวเอง

“ฮึ ...” ผมส่วยหัว ไข่ดาวนี่ advance ไปนะมึง

“... มึงจะกินกับ pancake ?” คนบ้าอะไรวะกินไข่ดาวกับ pancake

“เปล่า มึงทำให้กูได้ปะ มื้อกลางวัน” หืมมมมมมมมมมมมมมมมมมม ?

“ทุกวัน?...” ผมถามกลับ และสิ่งที่ได้รับกลับมาคือรอยยิ้มมุมปากที่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ของคนตรงหน้า

“... มากไปมั้งมึง ข้าวกลางวันกูยังเป็น sandwich โง่ๆ อยู่เลย” มื้อกลางวันของผมคือ sandwich เด็กอนุบาล คือทาเนยบนขนมปัง ใส่ผักใบเขียว ใส่แฮม ใส้กรอก จบแค่นั้นเลย

“นะๆ ทำให้กินหน่อย” อืมมมมม พฤติกรรมออดอ้อนแบบนี้ไม่ดีต่อหัวใจของผมเลยเอามากๆ

“มึงก็ทำได้ไม่ใช้เหรอ” ผมถามกลับ ไม่เข้าใจว่ามันจะให้ผมทำให้ทำไม เพราะก็รู้อยู่แก่ใจว่า skill ทำอาหารของตัวเองมีมากกว่าผม

“กูตื่นไม่ทัน” รอยยิ้มค้างอยู่บนใบหน้าสวย เมื่อได้ยินคำตอบของคนที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลัง ... แม้จะไม่ได้คาดหวังว่าจะได้คำตอบหวานแหววหัวใจพองฟู แต่ก็ไม่ใช้คำตอบจืดชืดแบบนี้ไหมวะ

“อิเหี้ยยยยยยยย!!!”

“นะมึง ทำให้หน่อย” เออ!!! รู้ว่ากูแพ้ทาง ก็ออดอ้อนใหญ่เชียวนะมึง

“ก็ได้ แต่กูต้องไปแอบมองคนอื่นทำนะ” ผมเห็น Bruno ทอดไข่บ่อย วันหลังจะไปแอบเนียนๆ ดูวิธีทำ

“Yesssssss!!! แต่มึง ... กูขอไข่แดงไม่สุกได้เปล่าวะ”

“ไอ้เหี้ยจี!!! ... กูทอดไข่ให้มึงได้นี่ก็บุญแล้วไหมวะ” ถ้าไม่ใช่ว่ามีคดีติดตัวอยู่ ผมจะเอาตะหลิวฟาดหัวมัน

บนโต๊ะอาหาร คนตรงหน้าตัก pancake คำโตเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ สีหน้าของจีมีความสุขมากจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าฝีมือการทำ pancake ของผมอร่อยขนาดนั้นเลยเหรอวะ

“เบาๆ เดียวติดคอ” ผมปราบเพราะมันยัดห่าขนาดนี้เดียวก็ติดคอตายพอดี

“มึง ...”

“... สัญญากับกู ว่าหลังจากนี้ ถ้าไม่มีกูอยู่ด้วย มึงห้ามไปเมาต่อหน้าใคร” อะไรวะ อยู่ๆ ก็เปลี่ยนโหมด ตามอารมณ์มันไม่ทันเว้ย

“อืม” อ่าว!!! อิเชี่ย!!! กูสัญญากับมันง่ายไปไหม ไม่เถียง ไม่ถามให้พอดูมีจริตซักหน่อยเหรอวะ … อย่างว่าแหละ รักเขาไปแล้ว อยู่ๆ ก็กลายเป็นคนว่าง่ายขึ้นมาทันตาเห็น

“มึงรู้ตัวไหม เมื่อคืนถ้ากูไม่ได้อยู่ด้วยป่านนี้มึงได้ผัวฝรั้งไปแล้ว”

“บ้า!!! มึงพูดอะไร กูไม่เคยทำตัวแบบนั้น”

“เนี่ย มึงเมาแล้วก็จำไม่ได้ใช่ไหม” มันส่ายหัวอย่างเอือมระอา

“ใครเมา เมื่อคืนกูไม่ได้เมา” ผมยังคงเถียงคำไม่ตกฝาก

“แถจนสีข้างถลอดหมดแล้ว”

“นี่มึงด่ากูเหรอ”

“เมื่อคืนมึงเมา”

“กูไม่เมา” มันถอนหายใจใส่ผมเฮือกใหญ่ ทำสีหน้าเบื่อหน่ายเต็มทน ... เจ็บจี๊ดเลยวะ

“มึงเมา ... แล้วไปเต้นสีกับฝรั้ง ...”

“... จะต้องให้กูเล่าไหมว่าพวกมึงสีกันแนบชิดขนาดไหน ...”

“... ถ้ากูไม่ได้อยู่ด้วย รับรองได้ว่าเช้านี้มึงโบ๋ไปแล้ว” คำพูดของจีทำเอาผมอ้าปากค้าง มึงเลือกคำพูดได้เหี้ยมากกกกกกกกก ไม่ให้เกียรติความเป็นกุลสตรีของกูเลยซักนิด

“ไอ้เหี้ยจี!!! ...” นี่ขนาดมึงบอกว่าจะไม่เล่านะ ไอ้เพื่อนเลว

“... เออ กูเมา กูก็สัญญากับมึงไปแล้วไง”

“สัญญาแล้วก็ทำตามด้วย ทอดไข่ดาวให้กูตลอด trip ถือเป็นบทลงโทษของมึง แต่ถ้ามีครั้งที่ 2 นะ ...”

“... มึงโดนดีแน่ไอ้ตัวดี” มีดในมือถูกชี้มาทางผมอย่างคาดโทษ ผมที่กำลังจะอ่าปากเถียง แต่พอคิดได้ว่าสงบปากสงบคำไว้น่าจะเจ็บตัวน้อยกว่า สุดท้ายเลยได้แต่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรม



วันถัดๆ ไปสิ่งแรกที่ผมทำคือมายืนดักรอ Bruno ในครัว หลังจากทำเป็นเนียนนั่งกินข้าวไปเรื่อย ในที่สุดเป้าหมายก็เดินขึ้นมาชั้นล่าง เขาเพิ่งไป joking กลับมา ก็ตามประสาคนอยากเรียนวิทย์กีฬาแหละครับ Bruno เป็นพวกบ้าการออกกำลัง แล้วจากที่ได้ยินมา เขาเล่นกีฬาได้ทุกชนิดแต่ที่เก่งที่สุดคงหนีไม่พ้น football ซึ่งถือเป็นกีฬาประจำชาติบราซิล

“Hi, นายไป joking ที่ไหนมา” ผมเดินเข้าไปหา Bruno ในครัว ก่อนจะยืนในจุดที่เหมาะกับการสังเกตการณ์

“สวนสาธารณะแถว uptown” เจ้าตัวพูดพลางตระเตรียมสิ่งของ ... ผมต้องจดจำเอาไว้ กระทะแบนๆ วางอยู่ใต้ซิงค์ แล้วนั้นอะไรวะ หยิบขวดอะไรออกมาจากตู้ด้านบน หน้าตาเหมือนขวดสเปรย์ ... Bruno ฉีดขวดสเปรย์นั้นลงบนกระทะที่ตั้งอยู่บนเตา

“แถวนี้ก็มีสวนไม่ใช้เหรอ” เดินไปอีกหน่อยเป็นโรงเรียนมัธยมที่มีลู่วิ่งรอบสนาม football ผมเคยไปเดินเล่นมาครั้งสองครั้ง

“สวนที่ uptown ดีกว่าเยอะ นายต้องลองไปดู” ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะเห็น Bruno ตอกไข่ใส่กระทะ เสี่ยงซ่าๆ จากในกระทะทำให้ผมคิดออกว่าขวดสเปรย์นั้นคือน้ำมันนี้เอง ฉลาดดีวะเอาน้ำมันใส่ขวดสเปรย์ เวลาใช้ก็แค่พรมให้ทั่วกระทะ ง่ายแถมยังใช้น้ำมันน้อย

“นายไป joking สัปดาห์ละกี่ครั้ง” ผมยังคงหาเรื่องคุยไปเรื่อยๆ เพราะยังต้องสังเกตไปจนกว่าไข่ดาวฟองนั้นจะขึ้นจากระทะ

“3 – 4 วัน ประมาณนั้น ...” เชี่ย!!! โคตร fit ... Bruno ยังคงปล่อยไข่ดาวไว้ในกระทะจนไข่ขาวที่ใสเริ่มจะเปลี่ยนเป็นสีขาวและคงรูปขึ้นมา ในขณะที่ไข่แดงยังดิบเป็นวงสวยอยู่ตรงกลาง

“... ปกตินายออกกำลังบ้างไหม ...” ผมส่ายหัวเป็นคำตอบ

“... นายต้องออกกำลังบ้างนะ มันมีประโยชน์ในระยะยาว” ผมรู้แต่เพราะขี้เกียจไง ... พอดีกับจังหวะที่ไข่ขาวสุกได้ที่ Bruno ใช้ตะหลิวซิลิโคนแซะฐานไข่ดาวขึ้นมา ... แล้วไข่ดาวแบบไข่แดงดิบใบสวยก็วางอยู่บนจาน

“อืม” ผมส่งยิ้มให้กับ Bruno เป็นการบอกว่าผมกำลังจะขอตัว

“นั่งเป็นเพื่อนกันก่อนซิ”

“Okay” ลังเลนิดหน่อยแต่สุดท้ายผมก็ตอบตกลง วันนี้ว่างๆ ไม่มีอะไรต้องรีบอยู่แล้ว

“เงียบหน่อยนะ วันหยุดก็แบบนี้ Minho กับ Nami กว่าจะตื่นก็เกือบเที่ยง ... Linda ก็พาลูกไปข้างนอก” Bruno พูดพลางตักอาหารเข้าปาก

“อืม ฉันชินกับการอยู่ในบ้านเงียบๆ ...”

“... พ่อแม่ฉันไม่ค่อยอยู่บ้านนะ พวกเขาทำงานอยู่ต่างประเทศ” ผมอธิบายเพิ่มเติมเมื่อเห็นคิ้วของคนตรงหน้าขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

“ฉันก็พอจะเดาได้ ...”

“... พวกเรารู้สึกว่านายต่างจากเด็กไทยคนอื่นๆ ที่เคยรู้จัก เลยเอาชื่อนามสกลุนายไป google” คนตรงหน้าอธิบายเพิ่มเติมเมื่อเห็นผมทำหน้าสงสัย

“อ่า!!!!” เพราะผมก็เคยเอาชื่อตัวเองไป search เลยรู้ว่าเพื่อนต่างชาติน่าจะเห็นข่าวเกี่ยวกับครอบครัวผมมาไม่น้อย

“นายเป็นคนดังเหรอ ชีวิตของนายมันไม่ง่ายเลยใช่ไหม”

“ก็ไม่เชิง มันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ...” ผมอธิบายต่อเมื่อจับสังเกตได้ว่าคนตรงหน้ายังอยากให้ผมอธิบายเพิ่ม

“ข้อดีคือฉันมีอิสระ อยากทำอะไรก็ทำ อยากได้อะไรก็ได้ แต่ก็แลกมากับการที่ต้องอยู่คนเดียว แล้วตกเป็นจุดสนใจ ... แต่ฉันชินกับมันแล้ว ไม่ได้รู้สึกว่ามีปัญหาอะไร”

“ฉันถามเรื่องส่วนตัวนายได้ไหม ...” ผมพยักหน้า

“...นายกับจี โตมาด้วยกันเหรอ”

“จะพูดแบบนั้นก็ได้ จีเป็นเพื่อนสนิทของเราตั้งแต่เด็ก”

“วันก่อน เราเห็นนาย 2 คน ... นอนกอดกันในห้องนั่งเล่น”

“นายเห็นเหรอ” แม้จะตกใจแต่ก็คิดไว้อยู่แล้วว่าต้องมีคนเห็น กอดกันกลมกลางห้องนั่งเล่นซะขนาดนั้น

“เห็น ... ตกลงว่าคบกันแล้ว?”

“ยัง”

“ขนาดนี้แล้วยังไม่เรียกว่าคบกันอีกเหรอ คืนนั้นที่จีกินแก้ว shot แทนนาย ก็โคตร feel แฟนแล้วนะ”

“มันก็ทำแบบนี้มาตลอด”

“What’ s the relationship between you two?”

“I don’ t know. I know it’ s more than friend, but we never talk about it.”

“You should. Because just friend don’ t look at each other like that”

“I know, but too much fear.”

“I understand. Do you have the answer you are looking for?”

“Yes, I do ... love him.” คำตอบนั้นพูดออกมาอย่างง่ายดายกว่าที่คิด ... จนผมเองยังเผลอยิ้มบาง ๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว

“I am glad that you have your answer. But the next step takes a lot of courage. ...”

“... keep fighting, I’ m right behind you.”

“Thanx … But I wonder. Minho said you like me.” พูดถึงประโยคนี้ผมก็หยุดชะงักเพราะไม่แน่ใจว่าจะเป็นการเสียมารยาทหรือเปล่า

Bruno เหมือนรอว่าผมจะพูดอะไรแต่พอเห็นผมเงียบเขาก็ทำท่าเหมือนคิดอะไรอยู่

“I see, but why am I not even flirting with you? . Not once. …” ผมพยักหน้ารับ นั้นแหละที่ผมสงสัย Bruno พักอยู่ห้องข้างๆ ผม เป็นคนแรกที่ผมได้คุยด้วย และถือเป็นเพื่อนร่วมบ้านที่สนิทที่สุดของผม แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยแสดงท่าทีจีบผมเลยแม้แต่น้อย

“… I honestly like you but when I saw you two together. I know I have no chance.” ผมยิ้มรับให้กับคำตอบของ Bruno และภาวนาขอให้ทุกอย่างเป็นจริงตามนั้น



ช่วงบ่ายผมนัดจีไว้ที่ supermarket สีเหลืองใกล้บ้าน

“กูไปแอบดูวิธีทอดไข่ดาวจาก Bruno มา” ผมพูดในขณะที่กำลังเดินผ่านชั้นวางของ โดยมีจีอาสาเข็นรถเข็นให้

“แสดงว่าพรุ่งนี้กูจะได้กินไข่ดาว ... อย่าลืมว่าไข่แดงไม่สุกนะเว้ย” จีกำชับ

“ชิห์!!! สั่งจังวะ ... มึงภาวนาให้กูทอดแล้วไม่ไหม้ก่อนเถอะ” ผมแยกเขี้ยวใส่มัน

“เออๆๆ อยู่อีกตั้งนาน ยังไงก็ต้องได้กินไข่ดาวไข่แดงไม่สุกฝีมือมึง” พอได้ยินคำตอบก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือจะร้องไห้ดี

“ทำไมกูต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยเนี่ยยยยยย”

“เพราะมึงเมาแล้วแรดไง จำไว้ว่าถ้าไม่อยากโดนลงโทษก็อย่าเมาแล้วแรด”

“อิเหี้ยจี !!!” ถ้าทำได้ ผมจะกระโดดงับหัวมันให้รู้แล้วรู้รอด

“พูดมาก เอาขนมไปแดกซักถุงไป” พูดจบมันก็คว้า chip ถุงใหญ่โยนลงมาในรถเข็น

“ไม่เอา ไม่แดก”

“ช่วงนี้มึงแปลกๆ นะ ปกติชอบขนมกรอบๆ ไม่ใช้เหรอ ทำไมตั้งแต่มาอยู่ที่นี่กูเห็นมึงซื้อแต่ผลไม้วะ” มันหรี่ตามองผม สายตาตรงหน้าจ้องจับผิดผมอย่างไม่ปิดบัง

“กูกลัวอ้วน ... ไอ้จี!!!” ยังไม่ทันขาดขำ มือหนาก็หยิกเข้าที่พุงเหมือนทุกครั้ง ... เขินวะ ทำตัวไม่ถูกเลย

“ก็เท่าเดิม อ้วนอะไรวะ”

“เหรอ” แม้จะไม่ได้ไปเที่ยวต่างประเทศบ่อยๆ แต่เวลามาทีไร ผมต้องน้ำหนักขึ้นทุกครั้ง

“กินไปเถอะ ดูข้าวกลางวันของมึงแต่ละมื้อ sandwich ชิ้นเดียว จะเอาที่ไหนไปอ้วนวะ”

“เออๆ ผลไม้กูก็ชอบกิน” ผมเป็นคนที่ชอบกินผลไม้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แล้วที่นี่ผลไม้ก็รสชาติดีกว่าที่เมืองไทยเยอะ เลยอดไม่ได้ที่จะซื้อติดตู้เย็นไว้ตลอด ผิดกับจีที่ไม่ชอบกินผักผลไม้ เพราะฉะนั้นเลยไม่แปลกที่ตอนนี้ในตระกร้ารถเข็นถึงมีแต่ strawberry apple และ cherry ของผม กับถุงขนมขบเคี้ยวหลากหลายยี่ห้อของจี

“มิลค์!!! …”

“... ไก่ย่างน่ากินวะ” พวกเราเดินมาถึงโซนอาหารปรุงสุก พอมองตามสายตาเป็นประกายของจีก็เห็นไก่ย่างตัวใหญ่หมุ่นอยู่ในเตาอบ มันช่างอวบอ้วนยั่วน้ำลายเหลือเกิน พอมองเลยไปอีกหน่อยตาของผมก็เป็นประกายตามเพื่อนสนิทเมื่อเห็นซี่โครงหมูราดซอสบาบีคิวฉ่ำๆ

“กูอยากกินซี่โครงหมู”

“ซื้อกลับไปกินบ้านมึงกัน”

“เอาดิ!!!”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-08-2025 09:11:48 โดย Milky_Milky_Way »

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 21
«ตอบ #92 เมื่อ24-08-2025 09:11:32 »

ตอนที่ 21 : หิมะโปรยปราย 2/2

“พี่แววววววววว พี่ช่วยมิลค์ด้วย” พอเจอหน้าพี่แววที่โรงเรียน ผมก็ถลาตัวเข้าไปหาพี่สาวร่วมคณะ

“เป็นอะไรมิลค์ ทำไมทำเสียงแบบนั้น”

“Linda เขาจะให้มิลค์ทำอาหารไทยเย็นนี้ เขามัดมือชก บอกว่านัดทุกคนไว้แล้ว”

“555 พี่บอกมิลค์แล้วว่าให้ชิงนัดวันไปก่อน อย่างน้อยเราจะได้เลือกวันได้”

“ก็มิลค์คิดว่าจะเนียนไปเรื่อยๆ จน Linda เขาลืม” ผมผลัดวันประกันพรุ่งมาตลอด หวังลมๆ แล้งๆ ว่า Linda จะลืม ใครจะคิดว่าจะโดน host mother รู้ทันดัดหลังด้วยกันมันมือชกแบบนี้

“แล้วนี้ตั้งใจจะทำอะไรบ้าง”

“มิลค์เอาเครื่องแกงสำเร็จรูปมา ... มีพะแนง ต้มยำกุ้ง แล้วมิลค์คิดว่าจะทำผัดผักเพิ่ม กินกับข้าวสวย”

“ฟังดูก็ไม่น่ายากเท่าไหร่นะ”

“555 พี่แววไม่รู้อะไร มิลค์มันหุงข้าวยังไม่เป็นด้วยซ้ำ” เสียงทับถมของจีดังขึ้นจากด้านหลัง

“ไอ้จี ถ้าไม่ช่วยก็อย่ามาชักใบให้เรือเสีย” ผมมองแรงใส่เพื่อนสนิท ใครจะสบายตัวเหมือนมัน host ของจีเขาไม่ได้เป็น type เดียวกับ Linda เลยไม่เคยขอให้มันทำอาหารไทยให้กินซักมื้อ

“มึงก็รู้ตัวอยู่แล้วว่าต้องทำ กูบอกตั้งแต่อยู่เมืองไทยแล้วว่าให้ฝึก มึงก็ไม่ฝึก แล้วจะโวยวายอะไรวะ”

“แล้วมึงจะดุกูทำไม ... เย็นนี้มึงมาช่วยกูเลย” Linda มัดมือชกผม ผมมัดมืดชกจีบ้าง

“ไม่ไป กูไม่อยากโดนข้อหาสมรู้ร่วมคิดวางยาคนทั้งบ้าน 555” พูดจบมันก็ทำสีหน้าลอยไปลอยมา หมันไส้โว้ยยยยยยยยยยยยยยย

“ไอ้จี!!!”

“เอานะๆ ไม่ต้องทะเลาะกัน เดียวพี่พาไปซื้อของ เอาแบบง่ายๆ เหมือนต้มมาม่าเลยดีไหม ...”

“... ว่าแต่ มิลค์ต้มมาม่าเป็นใช่ไหม” พูดเสร็จพี่แววก็อมยิ้มเป็นเชิงหยอกล้อ

“พี่แววววววววววววววว” ผมโวยเมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังโดนแกล้ง



ณ supermarket ย่าน China town ผมกำลังเดินตามหลังพี่แวว โดยมีจีที่อาสาเข็ดรถเข็นให้เดินตามหลังมาคู่กับวายุ

“ต้มย้ำกุ้ง ใช้กุ้งแช่แข็งก็ได้ ง่ายดี แต่ตอนต้มต้องคอยเช็คนะ เพราะถ้าสุกเกินไปกุ้งจะเล๊ะ มิลค์เช็คเป็นไหม ...” ผมส่ายหัว

“... จับๆ ดูก็ได้ ถ้าเด่งๆ ก็ใช้ได้”

“จับแล้วมันจะไม่ร้อนเหรอครับ” รอยยิ้มของพี่แววถึงกับแข็งค้างอยู่บนใบหน้า เมื่อได้ยินคำถามตามประสาของคนไม่เคยทำอาหารแบบผม

“งั้นลองกินก็ได้ ถ้าเด้งๆ ก็ใช้ได้”

“โอเคครับ” แล้วผมก็หยิบกุ้งแช่แข็ง 1 pack ใส่รถเข็น

“พะแนง เอาเป็นเนื้อละกัน เพราะถ้าไม่สุกก็กินดิบได้ ...” รอบนี้เป็นผมที่ยิ้มค้าง นี่พี่แววกำลังบอกอะไรผมทางอ้อมหรือเปล่า

“... ซื้อเนื้อหั่นเต๋าเลยเวลาทำจะได้ง่ายๆ” ผมผยิบเนื้อ 2 pack ลงในตระกร้า

หลังจากนั้นพี่แววก็พาผมไปซื้อผักและเครื่องปรุงสำหรับผัดผัก รวมถึงติวขั้นตอนการหุงข้าวและการทำอาหารโดยใช้เครื่องแกงสำเร็จรูป ฟังๆ ดูก็ไม่ยากเท่าไหร่ ไม่ต่างอะไรกับการอุ่นซุปกระป๋องแล้วเติมเนื้อสัตว์ลงไป ... ผมเริ่มมีความหวังขึ้นมาบ้างแล้วว่าจะสามารถเอาตัวรอดจาก challenge อาหารเย็นของ Linda

หลังจากซื้อของเสร็จ มีเวลาเหลืออีกนิดหน่อยพวกเราเลยมานั่งกินไอศกรีมด้วยกัน เรา 4 คน ไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนพร้อมกันบ่อยนัก พี่แววจะอยู่กับเพื่อนร่วมชั้นมากกว่า ในขณะที่ผม จี และวายุ ไปเที่ยวด้วยกันทุกวันหลังเลิกเรียน วายุรับหน้าที่เป็นไกด์ และ navigator กิจวัตรประจำวันของมันคือมาเสนอที่เที่ยวให้ผมกับจีในทุกๆ เช้า

“พี่แววกลับวันไหนครับ” ผมถามในระหว่างที่พวกเรากำลัง enjoy กับไอศกรีมตรงหน้า

“เหลืออีก 2 สัปดาห์ ... ยังดีที่ได้ไป Whisler ก่อนกลับ” เพราะพี่แววต้องกลับไปฝึกงานเลยไม่สามารถอยู่ได้เต็ม 2 เดือนเหมือนพวกเรา … Whisler เป็น trip สุดท้ายก่อนที่พี่แววจะบินกลับ ถือว่าโชคยังเข้าข้างเพราะ Whisler ถือเป็น is a must ของ Canada ใครๆ ก็บอกว่าเป็นเทือกเขาที่สวยมาก เพราะปกคลุมไปด้วยหิมะ นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่จัดโอลิมปิกฤดูหนาวอีกด้วย

“ผมก็อยากไป ยังไม่เคยเห็นหิมะเลย” ผมไม่เคยเห็นหิมะ เพราะปกติเวลาไปเที่ยวต่างประเทศไม่เคยจะตรงกับช่วงหิมะตกซักที

“มันต้องสนุกมากแน่ๆ” หลังจากนั้นผมกับพี่แววก็คุยกันเรื่องที่คณะ ซึ่งหนีไม่พ้น topic เรื่องของชาวบ้าน ... และผมก็ต้องประหลาดใจ ที่พี่สาวคนสวนรู้ทุกเรื่อง ตอบได้ทุกอย่างราวกับเป็น Wikipedia

“มิลค์ มึงกินไอติมยังไงของมึงเนี่ย หกเลอะแขนเสื้อหมดแล้ว ...” จีทักขึ้นมาท่ามกลางเสียงพูดคุยจอแจระหว่างผมกับพี่แวว... กว่าจะรู้ตัว แขนเสื้อกันหนาวของผมก็เปื้อนไอศกรีมรสวานิลลาเป็นวงกว้างเสียแล้ว

สายตาของวายุมองไปยังเพื่อนร่วมคณะที่กระวีกระวาดหยิบทิชชูขึ้นมาเช็ดแขนเสื้อให้เพื่อนสนิทราวกับไอศกรีมนั้นหกเลอะเสื้อของตัวเอง ในขณะที่มิลค์ดูไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นักเพราะยังคงพูดคุยกับพี่สาวของเขาไม่หยุดปาก ... ภาพที่เห็นทำให้วายุคิดในใจว่านี่มันเพื่อนหรือลูกกันแน่วะ

“... ไปล้างแขนเสื้อกับกู”

“แป๊บนึง กูเม้าท์อยู่” พอได้ยินเสียงตอบรับแบบขอไปทีของมิลค์ นั้นทำให้คนที่ใจเย็นเป็นปกติอย่างจีตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเข้มๆ

“ไปกับกู อย่าดื้อ” คิ้วข้างหนึ่งของวายุเลิกขึ้นอย่างช้าๆ เขาอดที่จะประหลาดใจไม่ได้ เพราะเพียงแค่จีบอกกล่าวด้วยเสียงเรียบๆ คุณหนูเอาแต่ใจอย่างมิลค์ก็ยอมลุกเดินตามเพื่อนสนิทไปอย่างไม่หือไม่อือ

เขาสังเกตมาซักพักแล้วว่าทั้งคู่ต่างก็รู้จุดพอดีของแต่ละฝ่าย จีที่ปกติจะประคบประหงมตามใจ แต่วายุสัมผัสได้ว่ามีจุดๆ หนึ่งที่เจ้าตัวจะไม่ปล่อยให้อีกคนไปไกลเกินกว่านั้น และเช่นเดียวกันกับมิลค์ที่ถึงจะเอาแต่ใจกับจีแต่เจ้าตัวก็รู้ดีว่าไม่ควรเอาแต่ใจจนเกินจุดที่อีกคนขีดเส้นไว้ ... คงเป็นเพราะทั้ง 2 คนรู้จักกันมานาน จนความสัมพันธ์สลับซับซ้อน เขาเคยได้ยินมาว่าจีมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งซึ่งความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดูแตกต่างจากเพื่อนสนิททั่วไป ตอนแรกเขาก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องจริง จนกระทั้งได้มาใช้ชีวิตอยู่ที่นี้ด้วยกัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนๆ นั้นคือมิลค์อย่างแน่นอน

“แกว่า 2 คนนั้นมี something กันไหม” พี่แววถามขึ้นในช่วงจังหวะที่ทั้งโต๊ะมีกันแค่ 2 พี่น้อง

“ไม่รู้วะเจ้ เคยถามแต่ทั้ง 2 คนก็ตอบเหมือนกันว่าเป็นเพื่อนสนิทกัน”

“ที่คณะคนจีบมิลค์เยอะมากเลยนะ ทั้งผู้ชายผู้หญิง”

“ไอ้จีก็เหมือนกัน popular จนใครๆ ก็แซวว่าเป็นสมบัติคณะ” วายุกล่าวสมทบ

“เจ้เคยสงสัยว่ามีคนจีบมิลค์เยอะขนาดนั้น ไม่มีซักคนเลยเหรอที่เข้าตา ... แต่พอมาเจอ 2 คนนี้ตอนอยู่ด้วยกันแล้ว ก็ไม่แปลกใจนะที่มิลค์จะไม่เคยมีใครอยู่ในสายตาเลย” วายุพยักหน้าเห็นด้วยเพราะเขาคิดว่าเหตุผลของจีก็คงไม่ต่างกัน



ผมกลับมาถึงบ้านในตอนเย็นก็พบว่าทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า host family 3 คน และเพื่อนต่างชาติอีก 3 คน ความรู้สึกตอนที่เปิดประตูเข้ามาแล้วเจอรอยยิ้มของทั้ง 6 คนพร้อมหน้า คือไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี คนเหล่านี้ซินะที่จะเป็นผู้ร่วมชะตากรรมของค่ำคืนนี้ Linda พูดขึ้นตั้งแต่ผมก้าวขาเข้ามาในบ้านว่ามื้อเย็นวันนี้จะเป็นเวที solo เดี่ยวของผม ในขณะที่เธอจะทำหน้าที่เป็นเพียงลูกมือเท่านั้น

เริ่มต้นจากการหุงข้าว พี่แววสอนผมมาอยากดีว่ากินกัน 6 คนใช้ข้าว 3 ถ้วย กับน้ำ 1 ข้อนิ้ว แต่พอมาทำจริงๆ แล้วถึงได้เริ่มสงสัยว่าพี่แววหมายถึงถ้วยขนาดเท่าไหร่ เพราะ Linda มีถ้วยหลากหลายขนาดให้ผมเลือกสรร

"Linda คุณว่ากินกัน 7 คน ข้าว 3 ถ้วย พอไหม" Linda ที่กำลังหันผักเป็นชิ้นอย่างชำนาญ เงยหน้าขึ้นมาพิจารณาถ้วยแบ่ง soup ในมือของผม เธอทำหน้าครุ่นคิด

"ไม่รู้ซิ ฉันเองก็ไม่ค่อยได้หุงข้าวซักเท่าไหร่" รอยยิ้มสวยค้างอยู่บนใบหน้าของผม ถ้าไม่ติดว่าทั้ง 6 คนกำลังตั้งความหวังไว้กับ Thai dinner มื้อนี้ ผมจะกรีดร้องออกมาให้รู้แล้วรู้รอดว่าผมก็หุงข้าวไม่เป็นเหมือนกัน ... แต่พอเห็นรอยยิ้มจริงใจของ Linda แล้ว ... ข้าวสาร 4 ถ้วยก็ถูกโยนลงไปในหม้อพร้อมกับเทน้ำจนสูง 1 ข้อนิ้ว ... เอาวะเหลือดีกว่าขาด

จบปัญหาเรื่องข้าว ผมก็เตรียมตัวจะทำพะแนงเนื้อต่อ พอใส่เครื่องแกงถึงได้เจอกับปัญหาที่ 2 คือผมเอาเครื่องแกงมาน้อยไป ดูจากคำแนะนำข้างถุงแล้วเครื่องแกงน่าจะน้อยกว่าปริมาณเนื้อครึ่งต่อครึ่ง ผมไม่มีทางเหลือกนอกจากอาศัยวิชาเคมีขึ้นพื้นฐานที่ร่ำเรียนมาเมื่อเทอมก่อน สูตรประมาณสารสัมพัทธ์ปรากฏภาพขึ้นในหัว M1V1 = M2V2 ในเมื่อปริมาณมันน้อยก็เจือจางมันซะจะได้มีปริมาณมากขึ้น ผมจัดการเทน้ำลงไปจนแน่ใจว่ามีปริมาณเครื่องแกงมากพอจะคลุกเคล้าเนื้อทั้งหมดได้ แต่พอตักขึ้นมาชิมถึงได้รู้ว่าผมไม่ควรทำแบบนั้น มันคลุกได้ก็จริงแต่ก็แทบไม่เหลือรสชาดของแกงพะแนงเลยแม้แต่น้อย ทุกอย่างเจือจาง หลงเหลือรสพะแนงติดแค่ที่ปลายลิ้น ผมมองซ้ายขวาหาตัวช่วย และสายตาก็เหลือบไปเห็นกระปุกพริกไทยดำ ไม่รอช้าผมจัดการสาดเครื่องปรุงจากโลกตะวันออกลงไปในกระทะหวังเพิ่มความเผ็ดร้อนให้กับโปรตีนจากหลัก เมนูต่อไปคือต้มยำ แม้ผมจะซื้อเครื่องต้มยำมาหลายห่อแต่จากประสบการณ์จากพะแนงก็เดาได้เลยว่าที่เอามานั้นน้อยเกิดไป

"มิลค์ ทำไมเธอยืนหน้าเครียดแบบนั้น" Linda ถามผมที่ยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่หน้าเตา

"ผมว่าต้มยำมันน้อยเกินไป" ครั้งนี้ผมใส่น้ำอย่างระมัดระวังเพื่อรักษารสชาด ถึงกระนั้นต้นยำที่ได้ก็ยังน้อยเกินไปสำหรับ 7 คน

“ฉันมีน้ำกะทินะ ถ้านายอยากลองใส่เพิ่ม" พูดจบเธอก็เปิดตู้ชั้นลอยเหนือเตา ก่อนจะหยิบน้ำกะทิออกมา 3 กระป๋อง

"ดีเลยครับ รสชาดน่าจะออกมาพอดีๆ" ผมยิ้มเพราะคิดว่าถ้าใส่กะทิเข้าไปหน่อย รสชาดคงออกมาใช้ได้พอดี

พูดจบผมก็หันไปจัดการเนื้อในกระทะที่เริ่มจะสุกได้ที่ พอหันกลับมาก็แทบจะกรีดร้องออกมาเต็มเสียงเพราะ Linda จัดการเทน้ำกะทิลงในหม้อรวดเดียว 3 กระป๋องโดยปราศจากการชิมใดใด ... คือจะห้ามก็ไม่ทันแล้ว ต้มยำที่เคยมีสีสันสดใสตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับแกงกะทิสีขาวคลัก สิ่งเดียวที่ทำได้คือ keep cool หยิบช้อนจากลิ้นชักออกมาตักต้มยำขึ้นมาชิม ... เชี่ยยยยยยยยยยยย!!! แย่กว่าแกงกะทิพันเท่า เหมือนแดกน้ำกะทิเปล่าๆ ไม่มีผิดเพี้ยน

"เป็นยังไงบ้าง" Linda ที่ยืนใจจดจ่ออยู่ข้างๆ ถามขึ้นมา

"Yummy!!!" แล้วผมจะตอบอะไรได้มากกว่านี้ ... จะให้บอกว่าในหม้อนี่คือหายนะของอาหารไทยอย่างนั้นเหรอ

"โล่งอกไป ฉันก็คิดว่าจะทำต้มยำของเธอพังซะแล้ว" ... คะ!!! อย่าเรียกว่าพังเลย เรียงว่าฉิบหายน่าจะถูกต้องกว่า

กับข้าว 3 อย่าง อย่างเดียวที่ดูจะฉิบหายน้อยที่สุดคือผัดผัก จนกระทั้งกับข้าวทุกอย่างถูกจัดใส่จาน ผมถึงได้รู้ว่ามีความฉิบหายอย่างสุดท้ายรออยู่ ... ข้าวในหม้อแข็งเกินไป

"ทำยังไงดีละมิลค์" Linda ถามผมด้วยสีหน้าครุ่นคิดไม่ต่างกัน ถ้าผมทำกินเองก็คงช่างหัวมัน โยนข้าวลงถังขยะแล้วกินกับข้าวกับขนมปัง แต่สำหรับฝรั้งแล้วอาหารไทยต้องกินกับข้าวสวยเท่านั้น นอกนั้นผิดผี รับไม่ได้







“แล้วมึงทำยังไงต่อ” จีถามในขณะที่พวกเรานั่งอยู่ใน food court ใกล้โรงเรียน ปกติแล้วพวกเราจะทำอาหารมากินกันมากกว่า แต่ food court ก็เป็นทางเลือกที่ดีในกรณีที่พวกเราเบื่ออาหารฝีมือตัวเองขึ้นสุด บอกเลยว่าผู้ชาย 3 คนที่นั่งอยู่ตรงนี้ฝีมือทำอาหารพอกัน คือกินได้แต่ถ้าเลือกได้ก็อย่ากินเลยจะดีกว่า

“กูคิดอะไรไม่ออก เลยเติมน้ำลงในเพิ่ม ... ไอ้เชี่ย ใครจะคิดว่าข้าวนุ่มขึ้นเฉยเลย 555” ผมพูดออกมาอย่างภาคภูมิใจ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่คนที่แทบจะไม่เคยเข้าครัวทำอาหารเป็นจริงเป็นจังอย่างผมแก้ปัญหาได้เท่านี้ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว

“แล้วต้มยำของมึงละเป็นไง” วายุถาม

“แดกไม่ได้ รสชาติเหมือนกะทิเปล่า ...”

“... แล้ว Linda ก็ซดเอาๆ บอกว่าอร่อยมาก”

“แสดงว่ารอดตัวไป”

“รอดเหี้ยไรละ อยู่ๆ Mark ก็ถามขึ้นมา ว่าถ้าอร่อยขนาดนั้นทำไมกูถึงไม่แตะเลย 555” พูดจบทุกคนก็พร้อมใจกันหัวเราะ ตอนแรกผมก็คิดว่าจะเอาตัวรอดแบบเนียนๆ แต่กลับถูกจับสังเกตได้

“กูนึกแล้วว่าต้องเป็นมื้อเย็นที่บันเทิงที่สุดในชีวิตมึง ... อะมิลค์” จีพูดติดตลกพร้อมกับตักเอาผักสลัดจากจานของตัวเองใส่จานผม ในขณะที่ผมตักข้าวและกับครึ่งหนึ่งให้กับคนข้างๆ

ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เรา 2 คนตกลงแบ่งอาหารในจานของกันและกัน รู้ตัวอีกทีก็เป็นแบบนี้ทุกมื้อ จีไม่ชอบกินผัก ตั้งแต่มาถึงที่นี้ผักในจานของจีจะเหลือทิ้งไว้เสมอ ในขณะที่ผมไม่สามารถจัดการอาหารในจานได้หมดซักมื้อ food court ที่นี้แม้ราคาจะแพงว่าที่เมืองไทยมาก แต่ปริมาณอาหารก็ให้มาไม่ยั้งเหมือนกัน

“มีไรปะ” ผมถามเมื่อเงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นวายุที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอมยิ้มบางๆ

“เปล่าๆ ไม่มีอะไร ... Whisler พวกมึงพร้อมกันไหม”

“พร้อมดิ โคตรตื่นเต้น” ผมไม่เคยเห็นหิมะ เลยหวังเอาไว้มากๆ ว่าจะได้เห็นหิมะที่ Whisler

“พูดถึงแล้วก็ใจหายเนอะ พี่แววจะกลับแล้ว”

“อืมใช่ ไม่น่าเชื่อว่าแป๊บๆ เราอยู่มาเกินครึ่งทางแล้ว” พี่แววกลับไทยหลังจากหลังจบ trip Whisler ไม่กี่วัน ในขณะที่พวกผมยังเหลือเวลาอีกประมาณ 3 สัปดาห์ เวลาผ่านไปเร็วมาก

“กลับไปไม่รู้จะได้อยู่พร้อมหน้ากัน 3 คนแบบนี้ไหม ...”

“... เสียดาย ตอนแรกกูไม่ได้ทำ visa ไว้ ไม่งั้นจะเปลี่ยนใจไป US กับมึงแล้วเนี่ย ... ทำตอนนี้ทันไหมวะ” วายุพูด

“ไม่ทันแล้ว ... กูเช็คเมื่อวันก่อน คิวยาวเป็นเดือน หรือต่อทันก็ได้ visa แค่ไม่กี่วัน ...”

“... กูลองเช็คดู คิดว่าถ้าทำได้จะมาชวนมึงไป NY ด้วยกัน” จีอธิบายเพิ่มเมื่อเห็นวายุขมวดคิ้วเป็นเชิงสงสัย สัปดาห์ก่อนผมอ้อนจีหนักมากให้ชวนวายุยกเลิกแผน road trip แล้วไป NY กับผม จีเลยลองไปเช็คข้อมูลว่าจะสามารถทำ visa US จากที่นี้ได้ไหม และผลก็ออกมาอย่างที่เห็น

“เสียดายวะ ตอนนั้นเราไม่สนิทกันไง กูเลยไม่กล้าไปรบกวนมึง ถ้ารู้ว่าจะสนิทกันขนาดนี้นะ กูตกลงไปกับมึงตั้งแต่วันแรกที่มึงออกปากชวนแล้ว” วายุพูดด้วยน้ำเสียงเสียดายจริงๆ



...



ผมกระชับเสื้อกันหนาวในมือ แม้จะหนาวยะเยือกแต่ก็ไม่สามารถจะละสายตาจากวิวที่เห็นอยู่ตอนนี้ได้ ... ภาพของต้นสนสีเขียวเข้มสูงฉลูด ตัดกับภูเขาใหญ่น้อยปกคลุมไปด้วยหิมะขาวบริสุทธิ์ ... สวยเหมือนภาพที่มักจะถูกบอกเล่าในนิยาย

“สวยเนอะ” จีที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้น พอผมหันกลับมา ถึงได้เห็นว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็จับจ้องบรรยากาศภายนอกเช่นเดียวกับผม

“อืม” ผมตอบรับ ในขณะที่สายตาไม่สามารถละออกจากใบหน้าของเพื่อนสนิทได้ ตาชั้นเดียวที่ผมโคตรจะหลงใหล จมูกสวย ลูกกระเดือกที่บ่งบอกถึงความเป็นชาย ผิวขาวไม่ต่างอะไรจากหิมะที่ปกคลุมภูเขาอยู่ภายนอก ... หล่อ โคตรหล่อ หล่อวัวตายควายล้ม

“มิลค์”

“ฮะ” เพราะได้ยินชื่อตัวเองผมถึงดึงสติกลับมาได้

“หน้ากูมีอะไรติดเหรอ” มันถามพร้อมกับรอยยิ้มล้อเลียน ... มีความหล่อของมึงไง อิเหี้ย รู้ว่ากูแอบมองแล้วจะทักให้กูเขินเพื่อ

“อ่อ ไม่มี” ผมรีบกลบเกลื่อน แล้วตีเนียนชวนมันคุยเรื่องสัพเพเหระ

Whisler สวยเหมือนที่ใครๆ ก็พูดกัน ข้างในแบ่งเป็นหลายขั้นตามระดับความโปรของนักท่องเที่ยว แน่นอนว่านักเรียนจากประเทศเขตร้อนแบบพวกผมต่างก็เลือกลงหลักปักฐานกันที่ level 1 พวกเราสามารถเลือกได้ว่าจะเล่น ski หรือ snow board แต่เพื่อความ cool พวกเราเลยเลือก snow board

“จี รอกูด้วย” ผมตะโกนเรียกเพื่อนสนิทที่เดินจ้ำๆ อยู่ด้านหน้า พวกเรากำลังแบก board ขึ้นไปด้านบนเพื่อจะได้สไลด์มันลงมา

“มึงก็ก้าวเร็วๆ ดิวะ” มันหันกลับมา

“อีกตั้งไกล กูไปรอข้างล่างได้ไหม” ทุลักทุเลจนผมเริ่มจะท้อ

“ไม่ได้ๆ มาขนาดนี้แล้ว เร็วเข้า” แล้วจีก็ตัดสินใจเดินย้อนลงมา มือหนาคว้าที่ข้อมือผมแล้วออกแรงดึงให้เดินตาม

ด้านบนเป็นลานหิมะโลงๆ พวกเราเลยถือโอกาสลองซ้อมเล่นกันก่อน วายุกับจีดูจะมี skill เกี่ยวกับอะไรพวกนี้พอสมควร ในขณะที่ผม พอสไลด์ไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ล้มหน้าคะมำ แล้วจะให้สไลด์ไปข้างล่าง ผมจะรอดไหมเนี่ย

“โอ้ย!!! ...” ผมที่กำลังนั่งอยู่กับพื้นสะดุงเฮือกเมื่อมีบางอย่างเย็นๆ กระทบเข้ากลางหลัง พอหันกลับมาถึงได้เห็นเพื่อนสนิทยืนถือ snow ball อยู่ในมือ มันฉีกยิ้มกว้างเพราะถูกจับได้คาหนังคาเขา

“... ไอ้จี!!!” ผมไม่ยอมมันหรอก

2 มือโกยหิมะข้างตัว ปั้นเป็นก้อน แล้วขว้างออกไปเต็มแรง เสียงร้องดังขึ้น แต่ดูก็รู้ว่ามันตอแหล หลังจากนั้นสงครามบอลหิมะก็เริ่มขึ้น ผมกับมันขว้างบอลหิมะใส่กันไม่ยั้ง เสียงหัวเราะของเรา 2 คนดังลั่น ก่อนที่ละอองเกร็ดสีขาวจะเริ่มโปรยปรายมาจากฝากฟ้า ... หิมะกำลังตก

“เฮ้ย!!!” เพราะว่ามัวแต่สนใจหิมะที่กำลังตก กว่าจะรู้ตัวก็ถูกเพื่อนสนิทเข้าประชิด มันล๊อคคอผมไว้ในวงแขนก่อนที่จะเริ่มกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันจนเราทั้งคู่ล้มไปกับพื้น แต่แทนที่จะหยุด จีกลับคลุกวงในทำให้เรา 2 คนกลิ้งไปมาอยู่บนพื้นหิมะ เสียงหัวเราะของเราดังไม่หยุดทามกลางเกร็ดหิมะที่ร่างหล่นมาจากท้องฟ้า

“พอแล้วๆ กูหายใจไม่ทัน” พอผมเอ่ยปาก มันถึงได้หยุด เราสบตากันเสี่ยววินาทีก่อนที่เพื่อนสนิทที่คร่อมอยู่ด้านบนจะทิ้งตัวลงมานอนอยู่บนพื้นหิมะข้างๆ เรา 2 คนนอนตะแคงหน้าเข้าหากัน

“มึงได้เห็นหิมะแล้ว” มันพูด ... จีรู้ว่าผมไม่เคยเห็นหิมะ แล้วก็ตั้งความหวังไว้สูงมากกว่าจะได้เห็น

“ใช่ ... ได้เห็นพร้อมกับมึง” ผมตอบ







“ไม่อยากให้ช่วงเวลานี้ผ่านไปเลยเนอะ” คนตรงหน้าพูดความรู้สึกของตัวเองออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เรา 2 คนสบตากันเงียบๆ ก่อนมือหนาค่อยๆ เคลื่อนมากุมมือของผมไว้

“อืม ... อย่างอยู่แบบนี้กับมึง ... ตลอดไป” ผมตอบรับและผลั้งเผลอบอกความในใจออกไป

นิ้วมือเรียวสวยค่อยๆ เกี่ยวพันกับนิ้วมือของเพื่อนสนิทก่อนจะประสานมือของเราให้แนบแน่น แม้เราทั้งคู่จะสวมถุงมือ แต่หัวใจของผมกลับสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่ถ่ายทอดมาจากคนตรงหน้า เสี่ยวความคิดหนึ่ง ผมขอพรจากพระเจ้า ...

‘ขอให้ความทรงจำใน summer trip ครั้งนี้

อยู่กับผมไป ... ตลอดกาล’


----------


#ตลอดไป #หิมะโปรยปราย
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-08-2025 20:47:47 โดย Milky_Milky_Way »

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
“เอาเนยเพิ่มอีก ...” โคตรน่าหมันไส้ ทำมาเป็นยืนกอดอกสั่งโน่นสั่งนี้ ได้ทีละเอาใหญ่ ได้ยินแบบนั้นผมเลยจ้วงเนยกระบิใหญ่ใส่ลงกระทะ

“... มึงกวนตีนกูเหรอ” มือหน้าวางลงบนหัวทุยของเพื่อนสนิทก่อนจะโยกไปมา

“ไอ้จี หน้าเตาไหมมึง” ผมมองหน้ามันตาเขียว แม้จะไม่มีความสามารถในการทำครัว แต่ผมก็รู้ว่าไม่ควรเล่นกันหน้าเตา


----------

#เพื่อนเล่น #เล่นเพื่อน #หิมะโปรยปราย
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-08-2025 11:00:34 โดย Milky_Milky_Way »

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
“... ถ้ากูไม่ได้อยู่ด้วย รับรองได้ว่าเช้านี้มึงโบ๋ไปแล้ว” คำพูดของจีทำเอาผมอ้าปากค้าง มึงเลือกคำพูดได้เหี้ยมากกกกกกกกก ไม่ให้เกียรติความเป็นกุลสตรีของกูเลยซักนิด

“ไอ้เหี้ยจี!!! ...” นี่ขนาดมึงบอกว่าจะไม่เล่านะ ไอ้เพื่อนเลว

“... เออ กูเมา กูก็สัญญากับมึงไปแล้วไง”

“สัญญาแล้วก็ทำตามด้วย ทอดไข่ดาวให้กูตลอด trip ถือเป็นบทลงโทษของมึง แต่ถ้ามีครั้งที่ 2 นะ ...”

“... มึงโดนดีแน่ไอ้ตัวดี” มีดในมือถูกชี้มาทางผมอย่างคาดโทษ ผมที่กำลังจะอ่าปากเถียง แต่พอคิดได้ว่าสงบปากสงบคำไว้น่าจะเจ็บตัวน้อยกว่า สุดท้ายเลยได้แต่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรม


----------


#ไข่ดาว #ไข่แดงไม่สุก #ทำโทษ #หิมะโปรยปราย
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-08-2025 11:00:44 โดย Milky_Milky_Way »

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
“มิลค์!!! …”

“... ไก่ย่างน่ากินวะ” พวกเราเดินมาถึงโซนอาหารปรุงสุก พอมองตามสายตาเป็นประกายของจีก็เห็นไก่ย่างตัวใหญ่หมุ่นอยู่ในเตาอบ มันช่างอวบอ้วนยั่วน้ำลายเหลือเกิน พอมองเลยไปอีกหน่อยตาของผมก็เป็นประกายตามเพื่อนสนิทเมื่อเห็นซี่โครงหมูราดซอสบาบีคิวฉ่ำๆ

“กูอยากกินซี่โครงหมู”

“ซื้อกลับไปกินบ้านมึงกัน”

“เอาดิ!!!”


----------

#ไก่ย่าง #ซี่โครงหมู #หิว #หิมะโปรยปราย
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-08-2025 11:00:53 โดย Milky_Milky_Way »

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
“มึงได้เห็นหิมะแล้ว” มันพูด ... จีรู้ว่าผมไม่เคยเห็นหิมะ แล้วก็ตั้งความหวังไว้สูงมากกว่าจะได้เห็น

“ใช่ ... ได้เห็นพร้อมกับมึง” ผมตอบ


“ไม่อยากให้ช่วงเวลานี้ผ่านไปเลยเนอะ” คนตรงหน้าพูดความรู้สึกของตัวเองออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เรา 2 คนสบตากันเงียบๆ ก่อนมือหนาค่อยๆ เคลื่อนมากุมมือของผมไว้

“อืม ... อย่างอยู่แบบนี้กับมึง ... ตลอดไป” ผมตอบรับและผลั้งเผลอบอกความในใจออกไป


----------

#อุ่นใจ #ตลอดไป #US #หิมะโปรยปราย
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนพิเศษที่ 2
«ตอบ #97 เมื่อ29-08-2025 22:33:44 »

Teaser ตอนพิเศษที่ 2

ผมกำลังยืนมองภาพสะท้อนของตัวเองอยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่ ลมหายใจเข้าออกเริ่มกลับมาเป็นจังหวะสม่ำเสมอ อาการปากแห้งหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ความประหม่าที่ถาโถมมาตั้งแต่ช่วงเช้ามลายหายไปเมื่อผมสวมเกราะป้องกัน ดวงตาคู่สวยไล่สายตาจากทรงผมที่ถูกบรรจง set มาอย่างดี ชุดสูททักซิโดแบรนด์หรูพอดีตัวที่กำลังสวมใส่ นาฬิกาข้อมือระดับ iconic และ cufflinks ทองประดับอัญมณีสีแดงสด ... ผมพร้อมแล้ว

ในห้อง grand ballroom ของโรงแรมสุดหรูใจกลางมหานคร New York เพดานห้องสูงไม่ต่ำกว่า 5 เมตร ที่มี Chandaria โคมใหญ่แขวนอยู่ใจกลางห้อง ตามผนังประดับประดาไปด้วยไม้ฉลุสีทอง เสียงเพลงบรรเลงจากวงดนตรีคลาสสิกดังคลอไปกับบรรยากาศของการพูดคุยธรุกิจ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมออกงานสังคมในฐานะลูกของพ่อ


----------

มิลค์ : เจอกันวันอาทิตย์ครับ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือใส่สูทผูกไทด์

#NY #With Arms
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอนพิเศษที่ 2 : ปลายฝัน

ผมกำลังยืนมองภาพสะท้อนของตัวเองอยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่ ลมหายใจเข้าออกเริ่มกลับมาเป็นจังหวะสม่ำเสมอ อาการปากแห้งหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ความประหม่าที่ถาโถมมาตั้งแต่ช่วงเช้ามลายหายไปเมื่อผมสวมเกราะป้องกัน ดวงตาคู่สวยไล่สายตาจากทรงผมที่ถูกบรรจง set มาอย่างดี ชุดสูททักซิโดแบรนด์หรูพอดีตัวที่กำลังสวมใส่ นาฬิกาข้อมือระดับ iconic และ cufflinks ทองประดับอัญมณีสีแดงสด ... ผมพร้อมแล้ว

ในห้อง grand ballroom ของโรงแรมสุดหรูใจกลางมหานคร New York เพดานห้องสูงไม่ต่ำกว่า 5 เมตร ที่มี Chandaria โคมใหญ่แขวนอยู่ใจกลางห้อง ตามผนังประดับประดาไปด้วยไม้ฉลุสีทอง เสียงเพลงบรรเลงจากวงดนตรีคลาสสิกดังคลอไปกับบรรยากาศของการพูดคุยธรุกิจ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมออกงานสังคมในฐานะลูกของพ่อ

“Good evening, Mr. ambassador” พ่อทักทายชายสูงวัยกลางคนที่เดินเข้ามาหาด้วยน้ำเสียงสุภาพ

“Hello Mike and Ploy, you look gorgeous as the last time we met.” ท่านทูตเอ่ยปากทักทายพ่อกับแม่อย่างสนิทสนม ทั้งคำพูดและภาษากายบ่งบอกได้ชัดเจนถึงทักษะทางการทูตชั้นเซียน

“Hello” ผมยื่นมือไปตรงหน้าทันทีที่เขาจับมือกับแม่เสร็จ

“And you are?” ท่านทูตเอ่ยถาม

“Let me…” และในขณะที่พ่อกำลังจะแนะนำตัวผม ท่านทูตก็พูดแทรกขึ้นด้วยท่าทางขบขัน

“No no Tim, let me guess … You take after your mom and same nose as your dad. You must me the son”

“You are right. Let me introduce, Milk, my son.” ผมยิ้มกว้างพร้อมกับจับมือทักทายกับอีกฝ่ายที่ยื่นมาตรงหน้า

“Of course, you are, the next line to the throne hahaha. Nice to meet you.”

“Nice to meet you too.” ผมตอบพร้อมรอยยิ้ม

ตลอดช่วงหัวค่ำของวัน ผมส่งยิ้ม หัวเราะ และพูดคุยสนทนาเรื่องจิปาฐะกับแขกระดับ VIP ที่บินลัดฟ้ามาจากทั่วทุกมุมโลก ทุกคนมาร่วมกันที่นี้เพื่อจุดประสงค์เดียวคือเสาะหาโอกาสทางธุรกิจ ถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าการทุมเทเงินทองมากมายเพื่อจัดงานเลี้ยงระดับนี้จะช่วยให้การเจรจาธุรกิจราบรื่นได้ยังไง ในเมื่อสิ่งที่ผมเห็นคือทุกคนต่างพูดคุยเรื่องทั่วๆ ไป บทสนทนาวนเวียนอยู่กับเรื่องครอบครัว งานอดิเรก หรือไม่ก็เรื่องเก่าๆ สมัยวันวาน



“พ่อดีใจนะที่ลูกตกลงมาช่วยงานพ่อหลังจากเรียนจบ” พ่อที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพูดขึ้น ในขณะที่เราทั้ง 3 คนกำลังนั่งอยู่ใน stretched Rolls-Royce Silver Spirit กลับที่พัก

“แต่มิลค์ขอเป็นหลังจากเรียนจบ ป.โทนะพ่อ” คิ้วของคนตรงหน้าขมวดเข้าหากันทันทีที่ผมพูดจบประโยค

“ลูกบอกคุณแล้วไงคะ ว่าจะขอเรียนโทจบก่อนถึงจะกลับมาช่วย” แม่ที่นั่งอยู่ข้างๆ พ่อช่วยผมพูดอีกแรง

“ก็ได้ ถ้าลูกต้องการแบบนั้น” สีหน้าเข้มขึงดูผ่อนคลายลง ไม่รู้ว่าจำไม่ได้จริงๆ หรือแกล้งทำเป็นลืม

“แล้วนี่จีเป็นยังไงบ้าง ตั้งแต่มาที่นี้ได้ติดต่อกันบ้างไหม” แม่เปลี่ยนประเด็นเพื่อช่วยให้บรรยากาศผ่อนคลาย

“ไม่เลยแม่ เมล์ไปแล้วแต่มันไม่ตอบ”

“ไป backpack คงจะหาคอมลำบาก เดียวค่อยกลับไปเจอกันที่เมืองไทย”

“ครับ”

“แล้วนี้เจ้าจีเรียนอยู่ปีไหนแล้ว” พ่อถามด้วยสีหน้าที่ผ่านคลายขึ้นกว่าเดิมเมื่อพูดถึงเรื่องจี ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่จีก็เป็น ‘ลูกรัก’ ของพ่อเสมอ

“ปี 3 แล้วครับ”

“อีกปีเดียวก็จบแล้วเหรอ ...” ผมพยักหน้ารับ

“… ถามจีนะ ถ้าอยากมาทำงานกับพ่อก็บอกได้ตลอด

“ครับ” ผมตอบรับพร้อมกับรอยยิ้ม อดดีใจแทนเจ้าตัวไม่ได้

“เสียดายที่ไม่ได้มา New York ด้วยกัน” พ่อจบบทสนทนาด้วยประโยคลอยๆ หลังจากนั้นประเด็นเรื่องการกลับมาช่วยงานหลังเรียนจบของผมก็ไม่ถูกพูดถึงอีกเลยตลอดช่วงเวลาที่ผมพักอยู่ที่ New York







“มึงตอบตัวเองได้ยัง” ผมยืนเผชิญหน้ากับไอซ์ มันพูดพลางคีบบุหรี่ในมือขึ้นมาสูบ เหมือนเกิดเดจาวูขึ้นระหว่างผมกับมัน สถานการณ์เดิม บทสนทนาเรื่องเดิม ต่างกันแค่ช่วงเวลา

“ได้แล้ว ... กูรักมัน” ผมบอกไอซ์ไปตามตรง มันหรี่ตามองผม ก่อนจะพ่นควันบุหรี่ออกมาลูกใหญ่

“ในที่สุดก็รู้ใจตัวเอง แล้วมึงคุยกับมันหรือยัง” ไอซ์ถาม ผมส่ายหน้าให้กับคำถามนั้น

“กูไม่กล้า”

“ถ้าไม่พูด แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าพวกมึงใจตรงกันหรือเปล่า กูว่าไอ้จีก็มีใจให้มึง ไม่มากก็น้อย ...”

“... ตั้งแต่มึงกลับมาก็ตัวติดกันตลอดเลยไม่ใช่เหรอ ...” ผมพยักหน้ารับ หลังจากเปิดมือถือได้ไม่ถึง 10 นาที สายแรกที่โทรเข้ามาก็คือของจี วันรุ่งขึ้นจีมาหาผมที่คอนโด มาช่วยลื้อกระเป๋า จัดของ มันมานอนค้างกับผมได้ 2 คืนแล้ว และคืนนี้ก็คงนอนค้างอีกคืน ก่อนที่จะกลับไปนอนบ้านตัวเองในวันถัดไปเพราะวันมะรืนมีงานรับน้องของมหาลัย

“... เล่ามาดิว่าเกิดอะไรบ้าง”

ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ไอซ์ฟัง ทุกเหตุการณ์ ทุกความรู้สึกถูกร้อยเรียงออกมาเป็นเรื่องเล่า ราวกับนิทานก่อนนอน

“ตกลงว่ามันมานานค้างกับมึงทุกสุดสัปดาห์”

“จะพูดแบบนั้นก็ได้” พอเริ่มคุ้นเคยกับสิ่งแวดล้อมใหม่ รู้ตัวอีกทีจีก็มานอนค้างกับผมทุกวันศุกร์และเสาร์ ก่อนที่จะกลับไปนอนบ้านตัวเองวันอาทิตย์ จนสุดท้ายการเห็นจีเดินไปเดินมาในบ้านก็เป็นกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับ housemate ทุกคน

“แล้วเรื่องกอด ทุกคืนเลยเหรอ ...” แม้จะรู้สึกเขินอายแต่ผมก็พยักหน้ารับ

“... แล้วตอนตื่นละ”

“บ้าง แต่ก็จะออกแนวเล่นๆ ซะมากกว่า”

“มันเคยพูดเรื่องนี้กับมึงบ้างไหม” ไอซ์ถามพลางทำสีหน้าครุ่นคิด

“ไม่เคยเลย วันแรกที่นอนกอดกัน กูก็คิดว่าตอนเช้ามันจะพูดอะไรบ้าง แต่ก็เปล่า”

“มีอะไรมากกว่ากอดไหม” ไอซ์ถามคำถามชวนใจเต้นได้เรียบง่ายราวกับเราคุยกันเรื่องลมฟ้าอากาศ ระหว่างรอคำตอบ เจ้าตัวสูดนิโคตินเข้าปอดอีกเฮือกใหญ่

“ไม่มี มากสุดก็ปล่อยมุกทะลึ่งใส่ แต่ตอนนั้นคือเมากันทั้งคู่” พอคิดย้อนไปถึงเหตุการณ์ lubricant หัวใจผมก็เต้นโครมครามอย่างประหลาด

“แปลกนะ จีมันไม่ใช้พวกทำอะไรไม่คิด นอนกอดกันทุกคืนเป็นไปได้เหรอวะ ว่ามันจะไม่ตั้งใจ” ไอซ์ทำสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก

“กูไม่รู้ มันไม่พูดกูก็ไม่กล้าถาม” ผมตอบเสียงแผ่ว

“พอกลับมา มันยังนอนกอดมึงอยู่ไหม”

“ก็กอดนะ” เมื่อคืนก็กอด คืนก่อนหน้านั้นก็กอด แต่พอตื่นเช้ามามันก็ทำเหมือนไม่มีอะไร

“อืมมมม ... กูเพิ่งสังเกตว่าบางครั้งมึงกับมันพูดภาษาอังกฤษกัน”

“อืม มันบอกว่าไม่อยากให้ลืมสิ่งที่ไปเรียนมา”

“เหรอ? แน่ใจนะว่าไม่ใช้ secret language ของมึง 2 คน...” ผมชะงักไปเมื่อได้ยินคำพูดของไอซ์ ... secret language เหรอ ... ก็ดีเหมือนกันนะ ... แล้วรอยยิ้มจางๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวย

“... ตอนนี้มึงรู้สึกยังไง”

“เอาจริงนะ เหมือนคน in love โลกสีชมพู แค่เห็นหน้ามันหัวใจกูก็เต้นรัว ตอนนี้กูไม่กล้าสบตามันด้วยซ้ำ” พูดไปก็เขิน

“โคตรคลั่งรัก” ไอซ์ยิ้ม

“Summer ที่ผ่านมาเหมือนฝัน”

“ถ้าอยากให้เป็นมากกว่าความฝัน มึงต้องคุยกับมันนะ” คำพูดของไอซ์ทำรอยยิ้มของผมค่อยๆ จางหายไป

“กูกลัว”

“กูรู้ว่ามึงกลัว แต่เรื่องแบบนี้มันต้องเสี่ยงหรือเปล่าวะ”

“แล้วถ้ามันไม่ได้คิดเหมือนกู หรือถ้าสุดท้ายแล้วมันไม่ work ละ กูไม่อยากจะเสียมันไป” ผมใคร่ครวญมาตลอดช่วงระยะเวลาหลายสัปดาห์ แต่ก็ไม่สามารถจะเค้นความกล้าเพื่อบอกชอบจีได้ แน่นอนว่าพอได้จินตนาการว่าอีกฝ่ายตอบรับ หัวใจผมก็ฟองโตเหมือนจะลอยไปได้ไกลแสนไกล แต่พอคิดว่าหากถูกปฏิเสธ หรือสุดท้ายแล้วเราไปได้กันไม่รอด ความกังวลก็ก่อตัวขึ้นมหาศาล เพราะจุดจบของความรักระหว่างเพื่อนทั้ง 3 ครั้งของผมดูจะไม่ค่อยน่าอภิรมย์เท่าไหร่นัก

“ไอ้จีไม่มีวันรังเกียจมึง ที่ผ่านมามันก็ยอมรับความรู้สึกทุกอย่างของมึงได้ไม่ใช้เหรอ มึงมีแฟนคนแรกทั้งที่มันก็เตือนแล้วเตือนอีก แต่พอมึงเสียใจมันไม่แม้แต่จะว่ามึงซักคำ”

“แต่นี้ไม่เหมือนกันนะเว้ย ครั้งนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวมัน ... กูกลัว กลัวทุกอย่าง กลัวว่าจะเสียมันไป”

“กูรู้ว่ามึงใช้ความกล้ามากแค่ไหนกว่าจะยอมรับความรู้สึกของตัวเองได้ แต่มันจะต้องใช้ความกล้ามากกว่านั้นอีกหลายเท่าที่จะพูดความจริงกันมัน”

“เป็นมึง มึงจะบอกไหม” ผมถาม

“บอก เพราะถ้าบอกกูยังมีโอกาส แต่ถ้าไม่บอกโอกาสคือศูนย์” คำตอบของไอซ์ทำผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“กูไม่รู้ว่าจะตัดสินใจยังไง”

“มึงต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง เพราะไม่มีใครตอบได้ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง ...”

“... ใช้เวลาเท่าที่มึงต้องการ ชั่งน้ำหนักกับความรู้สึกของตัวเอง และเหมือนเดิม คือมึงต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง” พูดจบมันก็ทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นก่อนจะใช้เท้าขยี้ซ้ำ


...


งานรับน้อง 3 วัน 2 คืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว รู้สึกใจหายเพราะเหมือนเพิ่งผ่านการเป็นน้องใหม่มาเมื่อวาน เผลอแป๊บเดียวผ่านไปแล้ว 1 ปี

“มิลค์ มึงจะไปกินเลี้ยงกับพวกมันไหม” จีถามในขณะที่ผมกำลังเก็บของใส่กระเป๋า

“ไม่ค่อยอยากไปอะ พรุ่งนี้กูเปิดเทอมแล้ว อยากกลับไปพักมากกว่า” ผมตอบปฏิเสธทั้งที่ในใจอยากไปกินข้าวกับจี แต่ผมไม่สนิทกับเพื่อนคนอื่นๆ เหมือนจี ถ้าไปด้วยคงรู้สึกอึดอัดไม่น้อย ... แต่อีกใจก็รู้สึกลังเล ข้างในมันรู้สึกหวิวๆ ยังไงชอบกล พอคิดได้ว่าเมื่อเปิดเทอมแล้วเรา 2 คนต่างก็ต้องห่างกันอีกครั้ง อยากเก็บเกี่ยวทุกวินาทีที่เรา 2 คนมีด้วยกันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

“ไปเถอะ เปิดเทอมแล้วคงวุ่นๆ ไม่ได้มีเวลามานั่งกินข้าวด้วยกันบ่อยๆ ... นะ ไปด้วยกัน ...” เจอลูกอ้อนของจีเข้าไป แล้วผมจะปฏิเสธยังไงไหว เลยได้แต่พยักหน้าตอบตกลง

“โอเค เดียวกูไปบอกคนอื่นว่ามึงไปด้วย เก็บของเสร็จแล้วตามไปที่ใต้ตึกนะ” พูดจบ มันก็เดินตัวปลิวออกจากห้อง

“เฮ่อออออออ!!!” ผมอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ไม่อยากห่างกับจีเลย คิดๆ ดู ตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา ผมกับมันตัวติดกันตลอด ตั้งแต่วันแรกที่สอบเสร็จจนกระทั้งวันนี้ ... ถ้าได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลาก็คงจะดีไม่น้อย

ผมเดินตามจีออกมาด้านนอก เสียงพูดคุยจ๊อกแจ๊กจอแจ ทุกคนกำลังพูดคุยกันสนุกสนาน ผมเดินผ่าฝูงคนออกด้านนอก ส่งยิ้มและทักทายกับเพื่อนคนอื่นๆ เป็นระยะ แต่อยู่ๆ ขาทั้ง 2 ข้างกลับแข็งทื่อ นิ้วมือเรียวสวยกำหูหิ้วกระเป๋าแน่นอย่างลืมตัว เหมือนพายุหมุนลูกใหญ่ถาโถมอยู่ในอก ... รุ่นพี่ผู้ชายคณะวิทยากำลังนั่งตักจีอยู่บนม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ แขนทั้ง 2 ข้างของเพื่อนสนิทพาดอยู่บนเอวของพี่คนนั้นอย่างสนิทสนม

“กูจะกลับบ้าน” รู้ตัวอีกที ผมก็ยืนประจัญหน้ากับมัน ... น้ำเสียงเรียบไร้อารมณ์แต่กลับทำให้ทุกคนรอบข้างนิ่งสนิท บรรยากาศสนุกสนานถูกพัดหายไปจากสายลม แม้จะเป็นคนไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แต่มิลค์ก็ยิ้มแย้มและสุภาพกับทุกคน ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเห็นมิลค์แสดงอารมณ์ขุ่นๆ ออกมา ... ทุกสายตาจับจ้องมายังคน 3 คน บรรยากาศกดดันคาดคั้นจนรุ่นพี่ต้องลุกออกจากตักของจี ... พอตั้งสติได้ผมที่เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรลงไป

“ขอโทษครับ” ผมกล่าวขอโทษรุ่นพี่ที่ทำกิริยาไม่สุภาพใส่ จากนั้นเลยตัดสินใจหันหลังเดินออกมา

“มิลค์!!!...” เสียงของจีดังไล่หลัง ในขณะที่ผมสาวเท้าก้าวยาวๆ

“... มิลค์ หยุดก่อน ... มิลค์!!!” มือหนาคว้าข้อมือผมไว้ ผมหันกลับไปตามแรงฉุดรั้ง แต่พอช้อนสายตาขึ้นมองหน้าเพื่อนสนิท ก็ยิ่งรู้สึกโกรธมากขึ้นกว่าเดิม

“ทำไม!!!” ผมกระชากเสียง ตอบกลับคนตรงหน้า

“เป็นไรวะ ไหนว่าจะไปกินข้าวกันไง”

“ไม่ไป ไม่กิน จะกลับบ้าน” ผมตอบเสียงเข้ม

“ไปกินข้าวกันก่อน แล้วกลับไปเอาของบ้านกู เดียวกูขับรถไปส่งที่คอนโด” คนตรงหน้าพยายามใช้น้ำเย็นเข้าสู้ ... ผมกลืนน้ำลายลงคอ ลืมไปได้ยังไงว่าของใช้ส่วนตัวอยู่บ้านจีทั้งกระเป๋า เพราะไปนอนค้างกับจีตลอดช่วงงานรับน้อง ... แต่จะให้กลับพร้อมกันก็เสียฟอร์มหมดดิวะ

“ไม่เอา จะกลับตอนนี้” ที่ดึงดันอยู่นี่ ไม่มีอะไรหรอก ... ego ของตัวเองล้วน ๆ ที่ตอนนี้น่าจะสูงกว่าตึกใบหยกแล้วมั้ง

“อย่าดื้อดิวะ”

“ไม่ได้ดื้อ จะกลับ ปล่อย!!!” ผมดึงข้อมือกลับแต่มันก็รั้งไว้ไม่ยอมปล่อย

“อย่าดื้อ ไม่พอใจอะไรก็พูด ไม่ใช้มาทำนิสัยแบบนี้” จีเริ่มตอบกลับเสียงเข้ม

“ไม่ได้ทำอะไรเลย กูแค่จะกลับ เชิญมึงไปกินกับพี่มึงเถอะ”

“มิลค์!!! อย่าประชด ไม่พอใจอะไรก็พูดดีๆ ...” เสียงเข้มๆ กับท่าทางหงุดหงิดถูกแทนที่ด้วยความนิ่งสนิท ผมเสียวสันหลังวาบเพราะ the winter is coming

“... ไหน บอกก็ซิว่าไม่พอใจเรื่องอะไร...”

ผมเลือกที่จะเงียบ เพราะเอาเข้าจริงๆ ก็ไม่กล้าบอกความจริงกับจี

“... มองหน้ากูซิ ... Milk, dear, look at me, please...” น้ำเสียงของจีอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด พอเจอประโยคนี้เข้าไป ผมที่ยังก้มหน้าก็ไม่มีทางเลือกนอกจากช้อนสายตาขึ้นมา ... มันยิ้ม ยิ้มทำไมวะ

“... กูไม่ได้ตั้งใจให้คนอื่นนั่งตักเปล่าวะ เขามานั่งของเขาเองแล้วก็เป็นรุ่นพี่ กูเลยต้องปล่อยเลยตามเลย ...”

“... ถ้ามึงไม่พอใจมื้อเย็นนั่งตักกูตลอดเลยก็ได้นะ” ตอนแรกผมคิดว่ามันล้อเล่น แต่มองจากสีหน้าและสายตาแล้วคิดว่าจีไม่ได้พูดเพราะอารมณ์ชั่ววูปแน่ๆ

“ไอ้บ้า ใครจะนั่งตักมึง” ผมด่ามันเพื่อกลบเกลื่อน

“หายโกรธแล้วใช่ไหม ...” ผมพยักหน้า ... เกียจตัวเองฉิบหาย อิห่ามิลค์ มึงนี่โคตรใจง่าย

“... งั้นไปกินข้าวกันนะ กูอยากใช้ช่วงเวลาสุดท้ายของ summer นี้กับมึง” มือหนากุมมือผมไว้แล้วออกแรงฉุดรั้งให้เดินย้อนกลับไปทางเดิม

สายตาของผมจับจ้องไปยังแผ่นหลังของคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวกันมามากมาย ตลอดช่วงระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมาทำให้ผมกับจีผูกพันกันมากขึ้นไปอีกขั้น ผมไม่รู้ว่าหลังจากนี้เรื่องราวของเราจะเป็นอย่างไร เลยได้แค่ภาวนาอยู่ในใจ ขอให้สุดท้ายแล้วเรา 2 คนใจตรงกัน

ช่วงเวลาวันสุดท้ายของ Trip summer ปี 1 จบลงด้วยการที่จีขับรถมาส่งผมที่คอนโด จากนั้นเรา 2 คนนั่งคุยกันในรถจนดึก ก่อนที่ต่างคนต่างแยกย้ายเพื่อกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง


‘เธอกับฉัน เราเป็นอะไรช่วยบอกฉันที
อยากรู้สายตาที่เธอมีให้กัน
มันหมายความว่าอะไร
เป็นแค่เพียงอารมณ์อ่อนไหวที่คงหายไป
หรือซ่อนความรักที่มีเอาไว้
เธอคิดยังไงกับฉัน ช่วยบอกฉันที’

                                                                                                       หมายความว่าอะไร, Mean, 2017

----------


#US #ปลายฝัน
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด