แด่ เธอผู้ทำให้ฉันรู้สึก ‘รัก’ เป็น
มันคงเป็นความรัก ที่ทำให้ตัวฉันยังยืนอยู่ตรงนี้
ตึกตึก ตึกตึก ตึกตึก
ใจผมทำไมต้องเต้นแรงขนาดนี้นะ ยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไหร่ มันยิ่งเต้นแรงมากขึ้นเท่านั้น เมื่อเทียบกับเสียงร้องของเหล่านักศึกษาที่ล้อมรอบเพื่อบูม ให้กับรุ่นพี่บัณฑิตมากมายหลายคณะที่ผมเดินผ่านมา แต่ผมกับรู้สึกว่าเสียงใจของผมมันเต้นแรงกว่าอีก
ตอนนี้ผมเดินมาถึงแล้ว อยู่ตรงหน้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ ผู้คนมากมายมาร่วมแสดงความยินดีกับบัณฑิตจบใหม่ทั้งหลาย หากเป็นในเวลาปกติ คนอื่นอาจจะต้องคงมึนหัวกับการมองหาเป้าหมายของคนที่เราอยากมาร่วมแสดงความยินดีกับเขา และก็คงจะต้องนัดแนะตำแหน่งที่อยู่กันสักหน่อย เพื่อไม่ให้เกิดหลงทางหากันไม่เจอในมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ขนาดนี้
แต่กับผม ผมคงไม่มีโอกาสได้นัดแนะกับใครหรอก ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะผมมาโดยที่เขาไม่ได้เชิญน่ะสิ ผมเพียงแต่อยากมาร่วมแสดงความยินดีกับเขา ผมเห็นเขาโพสลงในแอพพลิเคชั่นสีน้ำเงิน เชิญชวนให้มาร่วมแสดงความยินดีกับเขา ผมทำได้แค่กดไลค์ และคิดเอาเองว่า ในเมื่อเขาไม่ได้เจาะจงว่าชวนใคร ผมคงทึกทักเองได้ว่า ผมก็สามารถไปร่วมแสดงความยินดีด้วยได้
ตอนนี้เขายืนอยู่ข้างหน้าผมห่างออกไปพอสมควร รายล้อมไปด้วยครอบครัวและเพื่อน ๆ ของเขา เขาดูเหนื่อย ๆ บนใบหน้ามีหยาดเหงื่อขึ้นอยู่ตามกรอบหน้า เขาคงจะร้อนมากในชุดครุยนั้น แต่บนใบหน้าเขากลับไม่มีมีล่องรอยของความเบื่อหน่ายกับการต้องถ่ายรูปมากหมายพวกนั้น ทั้งที่เขาไม่ค่อยชอบถ่ายเสียเท่าไหร่ กลับกันบนใบหน้าของเขาแม้จะเปื้อนเหงื่อแต่กับมีรอยยิ้มอยู่เต็มใบหน้า และดวงตา เขาคงมีความสุขมาก ผมเชื่อว่าอย่างนั้น
ผมจะทำอย่างไรดี ผมมีของขวัญจะมอบให้แก่เขา อยากแสดงความยินดีกับเขาในวันนี้ กับก้าวแรกที่สำคัญ ที่เขาจะเหมือนเติบโตขึ้นอีกขั้นหนึ่งของชีวิต
แต่ผมไม่กล้า เพราะอะไรอีกน่ะหรือ ก็เพราะเขาไม่รู้จักผมน่ะสิ มีแต่ผมที่รู้จักเขาอยู่ฝ่ายเดียว
อย่าเข้าใจผมผิดนะ ผมไม่ใช่พวกสตอล์คเกอร์อะไรทำนองนั้นหรอก ผมเป็นแค่คนคนนึงที่ แอบรักเขามาตลอดก็เท่านั้นเอง
ผมเคยได้ยินประโยคคำถามคำถามหนึ่ง ว่าคนเราจะสามารถรักคนๆ นึง ได้นานแค่ไหน? ผมเคยได้ยินคนตอบว่า รักได้ทั้งชีวิต รักตลอดไป ผมไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ ก็ผมยังไม่ตายนี่ ยังไม่รู้ว่าเมื่อถึงตอนนั้นผมยังจะรักเขาอยู่หรือเปล่า แต่สำหรับผมถ้าถามว่ารักได้นานแค่ไหน ผมคงตอบไดแค่ว่า เท่าที่ยังรัก เท่าที่วันนี้ยังรู้สึก และถ้าถามว่าผมเคยรักใครสักคนนึงนานเท่าไหร่ อืม ก็คงเกือบ ๆ แปดปีแล้วมั้ง อันที่จริงผมก็ไม่แน่ใจว่าผมเริ่มรักเขาตั้งแต่เมื่อไหร่
ผมจำได้แค่ว่า ตอนนั้นผมอยู่ มัธยมศึกษาปีที่ 3 ประมาณเทอมสอง มันเป็นช่วงที่ผมจะไม่มีวันลืมเลย เพราะมันเป็นเทอมสุดท้ายก่อนจะต้องบอกลากับเพื่อน ๆ ที่ไม่ได้เรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ต่อ เป็นช่วงเวลาเก็บเกี่ยวความทรงจำ และสิ่งที่จะทำให้พวกเราลืมกันช้าลงก็คงจะเป็น ‘เฟรนด์ชิป’ พวกเราเริ่มตกแต่งเฟรนด์ชิป เริ่มคิดว่า อยากให้ใครเขียนหน้าสุดท้ายของมัน เพื่อจะบ่งบอกว่าคนคนนั้นคือคนพิเศษ
แต่ผมไม่มีหรอก คนพิเศษอะไรนั่น หน้าสุดท้ายของผมก็คงหนีไม่พ้นพวกเพื่อน ๆ ผมนั่นแหละ แต่แล้วความคิดผมก็ต้องเริ่มเปลี่ยนไป เมื่อเพื่อนของผมดันมาบอกผมว่า เขาปลื้มคนคนนึง เป็นเด็กห้องคิง ที่เรียนเก่งมาก เขาไปค่ายคณิตศาสตร์ เมื่อปิดเทอมที่ผ่านมา แล้วประทับใจคนคนนั้น ที่สามารถแก้โจทย์เลขที่ไม่มีใครแก้ได้แม้กระทั่งพี่ ม.หก ชื่อว่า ศิลป์
ผมรู้จักเขา มีใครบ้างไม่รู้จัก เด็กชายศิลปะ วิเศษบุตร์ ที่คงเปลี่ยนคำนำหน้าเป็นนายไปแล้วมั้ง เด็กเรียนดี กิจกรรมเด่น ลูกคุณครูที่โหดที่สุดในโรงเรียน ผมรู้จักเขามานาน เราเรียนโรงเรียนเดียวกันมาตั้งแต่ชั้นประถม เพียงแต่ไม่เคยอยู่ห้องเดียวกัน ไม่เคยคุยกัน เพราะเขาเป็นคนเก่ง เก่งมาตั้งแต่เด็ก ส่วนผมเป็นแค่เด็กธรรมดา ธรรมดาไปซะทุกอย่าง ทั้งหน้าตาธรรมดา การเรียนธรรมดา ฐานะธรรมดา คงไม่แปลกที่ผมจะรู้จักเขาเพียงฝ่ายเดียว
เปรมชัย เพื่อนผมมันมีแฟนอยู่แล้วนะและแฟนมันก็เป็นผู้หญิง ผมล่ะไม่เข้าใจมันจริง ๆ ที่อยู่ ๆ ก็มาสนใจ ศิลป์ ที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่ผมก็โม้กับมันไป ว่าผมรู้จักศิลป์อย่างนั้นรู้จักศิลป์อย่างนี้ มันรู้สึกเหมือนเราเจ๋ง รู้จักเด็กเทพของโรงเรียน ที่ใคร ๆ ก็ต่างชื่นชอบเขา แต่ผมก็ยังไม่ได้ชอบเขานะ จนกระทั่ง
จนกระทั่ง ไอ้เปรม มันบอกให้ผมเข้าไปขอให้ ศิลป์ เขียนเฟรนด์ชิปให้มันหน่อย มันบอกว่า มันไม่กล้า เป็นผู้ชายแถมไม่รู้จักส่วนตัว เข้าไปขอคงโดนด่าตาย เลยให้ผมที่มันคิดว่ารู้จัก เข้าไปขอให้มันแทน ผมอยากปฏิเสธ และบอกความจริงไปว่า ผมไม่รู้จักศิลป์เป็นการส่วนตัวจริง ๆ แต่ผมก็ไม่กล้า ผมกลัวเสียฟอร์ม ผมโม้ไว้ตั้งมากมาย ผมเลยจำใจต้องทำ
วันนั้นไอ้เปรมแอบอยู่ที่มุมตึก ให้ผมดักรอศิลป์ ที่จะต้องเดินผ่านทางนี้ ไปหาแม่ของเขาที่ห้องพักครูหลังเลิกเรียน ผมทำใจอยู่นาน อยากจะขออะไรก็แล้วแต่ช่วยดลบันดาลให้วันนี้ศิลป์ไม่อยากเดินผ่านทางนี้ แต่ขอไปก็เท่านั้นแหละ เขากำลังเดินมา ผมตัวแข็งถื่อ ใจเต้นรัว ๆ เหมือนกับคนที่ไม่เคยออกกำลังกายและตอนนี้กำลังวิ่งสี่คูณร้อยอยู่
ศิลป์เดินมาถึงตรงหน้าผมแล้ว และเขากำลังจะเดินผ่านหน้าผมไป ผมตัดสินใจหลับตาและตะโกนเรียนชื่อเขาออกมาดังมาก และเริ่มลืมตาขึ้นมอง แต่เขาไม่ได้หยุด เขาเดินผ่านหน้าผมไปแล้ว ผมยืนนิ่งและคิดได้ว่า ที่ผมตะโกนชื่อเขาไปนั้น ผมตะโกนมัน ‘ในใจ’ ผมไม่กล้า
ผมหันกลับไปมองไอ้เปรม มันมองผมไม่เข้าใจ ในตามันมีความสงสัย มันผายมือทั้งสองข้างออกเป็นเชิงถามว่า อะไร ทำไมผมไม่คุยกับศิลป์ ผมหันกลับมาตั้งสติ สูดหายใจเข้าลึก ๆ ตัดสินใจเดินตามศิลป์ไป ศิลป์เดินเกือบถึงบันไดแล้ว ผมจึงรีบตะโกนให้เขาหยุด ซึ่งครั้งนี้ผมตะโกนมันออกมาจริง ๆ
“เดี๋ยวก่อน!”
ศิลป์หยุดขาที่กำลังจะก้าวขึ้นบันได หันกลับมามองผม เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเหมือนสงสัยว่า ผมพูดกับเขาหรือ
ผมเดินมาหยุดตรงหน้าเขา ไม่กล้าสบตา ไม่รู้ผมเป็นอะไรกับแค่ทักคนคนนึง ทำไมผมถึงต้องรู้สึกว่ามันยากขนาดนี้ด้วยนะ ผมก้มลงมองเท้าตัวเอง หันไปมองบันได ผมรู้สึกอยากมองทุก ๆ อย่างที่นี่ อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่หน้าเขา ผมรู้สึกประหม่าเกินไป
“มีอะไรรึเปล่า”
เขาถามผมกลับมา น้ำเสียงของเขาฟังดู นิ่ง ๆ ไม่แสดงอารมณ์อะไร แต่ไม่ได้แฝงความรำคาญไว้
“เอ่อ คือ คือว่า”
ผมเงยหน้ามองสบตาเขา ดวงตาของเขาเป็นสีดำสนิท กำลังจ้องมองผมด้วยความสงสัยมากกว่าความรำคาญจริง ๆ ผมก้มหน้าลงมองเท้าตัวเองอีกครั้งกลั้นใจพูดประโยคคำถามกับเขาอย่างรวดเร็วและหลับตาปี๋รอฟังคำตอบ
“เราขอเอาเฟรนด์ชิปมาให้นายเขียนได้ไหม”
ผมพูดออกไปแล้ว ตื่นเต้นเป็นบ้า เขาคงไม่ชกหน้าหรือด่าผมกลับมาหรอกนะ เขาเงียบไปสักพักนึง ผมไม่รู้ว่าเขาทำหน้ายังไง ผมเอาแต่หลับตากำมือทั้งสองข้างไว้แน่น
“ก็เอามาให้แล้วกัน”
“…”
เขาตอบกลับมาแบบโมโนโทน ในน้ำเสียงไม่ได้มีความลำบากใจ หงุดหงิดหรือรังเกียจ นั้นทำให้ผมใจชื้น ว่าเขาคงจะไม่ต่อยผมจริง ๆ ผมเงยหน้าขึ้นมองเขาเราสบตากันเพียงเสี้ยววินาที และเขาก็ก้าวขาเดินขึ้นบันไดไป ผมมองตามเขาไปจนลับตา เอามือทาบอกตัวเอง ใจผมมันเต้นแรงมากจริง ๆ
ผมเดินกลับไปหาเปรมชัย จากมุมเมื่อกี้ที่ผมกับศิลป์ยืนอยู่ไปถึงที่ที่เปรมอยู่ มันไม่ได้ยินหรอกว่าผมพูดอะไรกับศิลป์บ้างเพราะมันค่อนข้างไกลพอสมควร
นับแต่นั้นความรู้สึกและการกระทำของผมก็เริ่มแปลกไป ผมมองตามศิลป์บ่อยขึ้น ผมอยากรู้ชีวิตของเขามากขึ้น และผมมักจะเผลอยิ้มตามเขาเสมอเวลาที่เขายิ้ม รอยยิ้มของเขามันดูดีมากจริง ๆ
ศิลป์เป็นคนที่หน้าตาดีทีเดียว ชีวิตเขาเหมือนเพอร์เฟคไปเสียทุกอย่าง คงไม่แปลกที่จะมีคนมากมายที่ชื่นชอบเขา แต่กับผม ผมไม่ได้เริ่มชอบเขาที่หน้าตาหรือความมีพร้อมทุกอย่างของเขา เพราะถ้าผมจะชอบจากเรื่องนั้น ผมคงชอบไปนานแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้ผมชอบเขาจริง ๆ นั่นคือนิสัย ผมแอบมองเขามาตลอดจนรู้ถึงนิสัยของเขาจริง ๆ เขาเป็นคนที่รู้จักคนมากมายแต่เขาไม่ใช่คนที่เฟรนลี่นัก อาจมีบ้างที่คงรู้สึกเบื่อและรำคาญแต่เขาเป็นคนให้เกียรติคนอื่น เขาไม่เคยทำหน้าหงุดหงิดหรือตอกหน้ากลับแรง ๆ กับคนที่เขาไปคุยหรือยุ่งวุ่นวายกับเขา เขารักษาน้ำใจคนอื่นเสมอ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมตกหลุมรักเขา เขาไม่มีทีท่าไม่ชอบใจผมที่ไปขอให้เขาเขียนเฟรนด์ชิปให้ ทั้งที่ผมเป็นผู้ชาย หรือบางที่เขาอาจจะไม่ชอบใจ แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ปฏิเสธทั้ง ๆ ที่จริงแล้วเขาจะปฏิเสธมันก็ได้
ตั้งแต่วันที่ผมไปขอให้เขาเขียนเฟรนด์ชิปให้ ไอ้เปรมก็ไม่ได้ให้ผมเอาเฟรนด์ชิปไปให้เขาเขียนจริง ๆ หรอก พวกเราจบมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผมขึ้นมัธยมปลายแล้ว และเปรมชัยก็ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนอื่น ส่วนผมก็ยังคงอยู่ที่เดิม คิดถึงคนคนเดิม รู้สึกเหมือนเดิม ผมยังคงเฝ้ามองศิลป์เสมอเมื่อมีโอกาส ศิลป์ยังคงโดดเด่นเสมอ เขาสมัครเป็นกรรมการนักเรียน นั่นเป็นสิ่งที่ผมชอบ เพราะหากที่โรงเรียนมีงานหรือกิจกรรมอะไร ศิลป์ก็จะต้องมาร่วมอยู่ด้วยและผมก็จะได้อนิสงค์มองเขาบ่อย ๆ
ศิลป์ลงสมัครเรียนรักษาดินแดนหรือที่เรียกย่อ ๆ ว่า รด. นั่นเอง ณ ตอนนั้นผมอยากลงสมัครด้วย แต่เพราะผมคงอ่อนแอเกินไปในตอนนั้น ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายนักจึงไม่ได้ลงเรียนด้วย แต่ผมก็ไม่ย่อท้อนะ ทุก ๆ วันจันทร์ของสัปดาห์ที่ รด. จะต้องเดินทางไปเรียนอีกที่ ผมจะตื่นเช้า ๆ นำพวกขนมหรือนมบ้างในบางวัน ฝากคนเอาไปให้ศิลป์ สัปดาห์ละ 1 อย่าง และทุก ๆ อย่างที่ผมให้จะต้องเป็นช็อกโกแลต ผมไม่รู้หรอกนะว่าเขาชอบช็อกโกแลตหรือเปล่า แต่ผมคิดเอาเองว่าในเมื่อเราจะให้อะไรใครสักอย่าง นั่นก็น่าจะเป็นสิ่งที่เราชอบ และผมชอบกินช็อกโกแลตมาก ผมฝากทั้งเพื่อนที่เรียน รด. ด้วยบ้าง หรือเพื่อนต่างห้องไปให้เขาบ้าง เพื่อไม่ให้เขารู้ว่าเป็นผม เพราะผมแค่อย่างให้ อย่างน้อยเวลาเดินทางหรือเวลาที่เขาเหนื่อย ๆ จะได้หยิบขึ้นมากิน
มีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมให้เขาแล้วมันทำให้ผมยิ่งรู้สึกกับเขามากขึ้น ก็เมื่อตอนผมอยู่ ม.5 ผมมีโอกาสได้ไปเข้าค่ายปลูกป่าที่จังหวัดกาญจนบุรี ขากลับ อาจารย์ให้แวะลงไปซื้อของฝากได้ แต่ที่บ้านผมบอกว่าไม่ต้องซื้ออะไร ตอนแรกผมก็ว่าจะไม่ลง แต่สุดท้ายก็ต้องลงเพราะเพื่อนขอให้ลงไปเป็นเพื่อน ผมเดินดูของฝากตามเพื่อนจนไปสะดุดตากับพวงกุญแจที่ระลึก
ผมนึกถึงเขา
ผมเลือกพวงกุญแจมาหนึ่งอัน เป็นลายเรียบ ๆ ที่เขียนชื่อจังหวัดที่ผมไป และครั้งนี้ผมอยากให้เขากับมือของผมเองบ้าง
ผมตื่นเต้นมาก มันเหมือนกับวันแรกที่ผมเดินเข้าไปขอให้เขาเขียนเฟรนชิปให้ไม่ผิด วันนั้นเป็นเวลาเย็นมากแล้ว ทำให้ไม่มีคนมากนัก เขานั่งอยู่กับพื่อนอีก 2 คน ที่โต๊ะม้าหินหน้าตึก ผมตัดสินใจอยู่นานว่าจะเอาไปให้เองหรือให้เพื่อนเอาไปให้แทน ผมกลัวว่าผมจะเผลอพูดผิดหรือทำหน้าตื่น จนเขาจับได้ แต่ผมก็ต้องรีบเพราะไม่รู้ว่าเขาจะกลับกันเมื่อไหร่ ผมเลยขอให้เพื่อนผมเดินไปกับผมด้วย ผมให้เพื่อนเป็นคนให้และเป็นคนพูดแทน ส่วนผมแค่เดินไปให้เป็นปกติที่สุดอยู่ข้าง ๆ เพื่อน พอเดินไปถึง ศิลป์กับเพื่อนทั้งสองคนหันมามองพวกผมเป็นตาเดียว สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย ผมรีบหลุบตามองลงพื้นพยายามไม่หลุดยิ้มออกไป พยายามทำตัวให้นิ่งที่สุดเท่าที่ทำได้
“เอ่อ ศิลป์ มีคนฝากมาให้”
“…”
“เฮ้ย ๆ อะไรหว้า เดี๋ยวนี้มีของฝงของฝากด้วยเว๊ย” น้ำเสียงกลั้วหัวเราะแกมล้อเลียนดังออกมาจากปากเพื่อนของศิลป์คนหนึ่ง
“นั่นดิ โอ้โฮ ไม่ธรรมดาว่ะเพื่อน” ตามด้วยเสียงแซวจากเพื่อนอีกคนหนึ่ง
“ขอบใจ” ศิลป์ตอบกลับมาน้ำเสียงนิ่ง ๆ ตามแบบของเขา แต่ก็ทำให้ผมแทบจะกลั้นยิ้มไม่อยู่ ผมรีบลากเพื่อนเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ มือเย็นเฉียบ ในใจนี่ไม่ต้องพูดถึงมันเต้นแรงแทบจะทะลุออกมาให้ได้ ครั้งนี้ผมได้ยินเสียงเขาขอบคุณกับของที่ผมให้เป็นครั้งแรก ถึงแม้จะไม่ได้เป็นคนยื่นให้เองกับมือ แต่แค่นี้ใจผมก็แทบจะระเบิดแล้ว
แค่นี้ก็พอแล้ว
และผมจำได้ว่าวันถัดมา ผมก็เห็นพวงกุญแจของผมที่ให้เขาห้อยอยู่ที่กระเป๋านักเรียนของเขาไปตลอดทั้งเทอม นี่แหละสิ่งที่ทำให้ผมยิ่งรู้สึกกับเขามากขึ้น แค่คิดว่าเขาจะมองเห็นมันทุกวัน แค่จับมันทุกครั้งที่เปิดกระเป๋าผมก็มีความสุขมากแล้ว
แต่ในสิ่งที่ดี ก็ย่อมต้องมีสิ่งที่ไม่น่าจะดีนัก ช่วงปลาย ๆ เทอมสอง ผมเห็นศิลป์กลับไปสนิทสนมกับแฟนเก่าของเขาที่เขาเคยคบหากันอยู่ช่วงหนึ่งตอน ม.ต้น ตอนนั้นผมยังไม่ได้ชอบเขา แต่ก็รู้มาว่าพวกเขาเป็นแฟนกัน ทั้งสองคนเหมาะสมกันมาก เธอชื่อว่า เจน เธอเป็นคนเก่งเหมือน ๆ กับศิลป์ แม้ทั้งสองจะเลิกกันไปนานแล้ว แต่พวกเขาก็ยังเป็นเพื่อนกัน และยังเรียนอยู่ห้องเดียวกันมาตลอดจนถึง ม.ปลาย พอพวกเขาเริ่มกลับมาสนิทสนมกันอีกครั้ง ใจผมมันก็เริ่มห่อเหี่ยว ผมเคยได้ยินมาว่า คู่รักที่เลิกกันไปแล้วแต่ยังสามารถเป็นเพื่อนกันได้อยู่นั้น ถ้าไม่ใช่ว่าไม่เคยรักกันเลย ก็คงจะเป็นยังรักกันอยู่ ซึ่งผมกลัวว่ามันจะเป็นอย่างหลัง ผมไม่ได้คิดครอบครองอยากได้ศิลป์มาเป็นแฟนหรอกนะ แต่ผมก็ไม่อยากให้ศิลป์มีใครเหมือนกัน
ผมเห็นแก่ตัว
สัปดาห์นั้นผมไม่ได้เอาขนมไปให้เขาเลย ไม่ใช่ว่าผมอยากจะเลิกให้เขาแล้วนะ แต่ผมไม่มีโอกาสให้มากกว่า ผมไม่รู้จะฝากใครไปให้ดี จนเวลาล่วงเลยมาจนถึงวันศุกร์ หลังเลิกเรียน ด้วยความที่ช่วงนี้ผมนอยด์ ๆ เกี่ยวกับเรื่องของศิลป์กับเจน ทำให้เพื่อนของผมบอกให้ผมลองเสี่ยงดวงดูเล่น ๆ เผื่อว่าผมจะตัดใจสักที แต่ด้วยความที่ผมไม่อยากตัดใจ ถึงผมจะลองเสี่ยงดู แต่ก็เป็นการเสี่ยงที่ผมมั่นใจว่าผมจะไม่ต้องตัดใจ
“ถ้าไม่มีหวังเรื่องของศิลป์จริง ๆ ขอให้ศิลป์ลงมาจากตึกแล้วไม่ได้ห้อยพวงกุญแจที่ให้ไปแล้ว แต่ถ้ายังพอมีหวังขอให้มันยังห้อยอยู่”
นี่คือสิ่งที่ผมอยากลองเสี่ยงดู
และเมื่อศิลป์เดินลงมาผมกับเพื่อนรีบวิ่งตามหลังไปดูว่าพวงกุญแจมันยังห้อยอยู่ที่กระเป๋ารึเปล่า ซึ่งสิ่งที่ผมเห็นก็คือ ‘ความว่างเปล่า’ ศิลป์ไม่ได้ห้อยพวงกุญแจที่ผมให้ไปแล้ว ผมไม่เข้า เมื่อเช้ามันยังห้อยอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับไม่มี หรือผมจะไม่มีหวังแล้วจริง ๆ และผมจะต้องตัดใจ
ก่อนที่ผมจะต้องตัดใจ ผมก็ยังอยากให้ขนมชิ้นสุดท้ายนี้กับเขา วันนั้นผมให้เพื่อนกลับไปรอที่โต๊ะก่อน และผมก็เดินเอานมนี้ไปให้เขาด้วยตัวเอง เหมือนทุกวันเขากำลังจะเดินขึ้นอีกตึกหนึ่งเผื่อไปห้องพักครู วันนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองมีความกล้านะ หรืออาจเป็นเพราะมันกำลังจะต้องจบ ผมถึงได้สามารถเรียกชื่อของเขาได้โดยที่เสียงไม่สั่นได้
“ศิลป์”
“…” ศิลป์หันกลับมามองผม มันทำให้ผมนึกถึงวันแรกที่ผมได้คุยกับเขา วันนั้นพวกเราก็อยู่ตรงนี้ เวลาเย็น ๆ แบบนี้ เขาที่หันมามองหน้าผมด้วยสายตามีคำถามแบบเดิม
“มีคนฝากมาให้” ผมยื่นนมให้เขากล่องนึง แล้วหันหลังเดินกลับออกมาทันที ผมไม่รู้ว่าเขาทำหน้ายังไง ผมไม่ได้อยู่รอฟัง ว่าเขาจะบอกขอบคุณและถามว่าใครฝากมาให้เหมือนทุกครั้งที่ผมฝากคนไปให้หรือเปล่า ผมไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเขานาน ๆ ด้วยซ้ำ ผมเดินออกมาและคิดว่ามันถึงเวลาที่ผมต้องตัดใจจริง ๆ แล้ว
แต่เมื่อวันจันทร์มาถึง สิ่งที่ผมรู้ก็คือ ผมยังคงเอาแต่ชะเง้อคอยมองหาเขาอยู่เหมือนเดิมตั้งแต่เดินเข้ามาในโรงเรียน เฮ้อ ไหนใครว่าจะตัดใจ และผมก็ต้องเจอกับสิ่งที่ทำให้ผมกลับมาใจเต้นแรงอีกครั้ง และโคตรจะสับสนกับตัวเองเลยก็คือ
เขากลับมาห้อยพวงกุญแจของผมแล้ว
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองโดนปั่นหัวไปมา อะไรคือวันนั้นเลิกห้อยแล้ว แต่วันนี้กลับมาห้อยใหม่ เขาจะเอายังไงกันแน่ ใจนึงผมก็แอบคิดนะว่าเขาอาจจะรู้ก็ได้ว่าคนที่ให้พวกขนม นม และพวงกุญแจเหล่านั้นเป็นผม แต่พอเห็นสายตาเมินเฉยหรือการมองผ่านเลยไปเหมือนผมไม่มีตัวตนนั้น มันก็ทำให้ผมรู้ว่าเขาไม่รู้เลยจริง ๆ
ผมว่าจะตัดก็คือตัด หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้มีอะไรฝากไปให้เขาอีกเลย แม้ว่าผมจะยังคอยแอบมองเขาอยู่ตลอดก็ตาม และไม่นานเขาก็ถอดพวงกุญแจที่ผมให้ออกจากที่ห้อยกระเป๋า
และผมก็ไม่ได้เห็นมันอีกเลย
สรุปแล้วเรื่องเขากับเจนก็ไม่ได้กลับมาเป็นแฟนกันเหมือนเดิม เพียงแต่ยังเป็นเพื่อนที่สนิทกันเท่านั้น ถ้าผมดีใจ จะผิดไหมนะ
ผมจำได้ดีว่าวันวาเลนไทน์ปีนั้นเป็นวันหยุด และผมที่ก็ยังไม่สามารถตัดใจจากศิลป์ได้จริง ๆ ก็เลยคิดว่าอยากจะให้อะไรสักอย่างที่ไม่ใช่แค่ขนมหรือนมที่มีวันหมดอายุ เอาไว้ให้เขาเป็นที่ระลึกว่า อย่างน้อยก็ยังมีใครคนหนึ่งเฝ้ามองเขาอยู่เสมอ และคนคนนั้นก็ยังคงรู้สึกกับเขาเหมือนเดิม ผมจึงเลือกสั่งทำตุ๊กตาตัวหนึ่งเป็นตุ๊กตาเสมือนเขา คือเป็นรูปตุ๊กตาผู้ชายใส่ชุดนักเรียน ปักชื่อกับรหัสประจำตัวของเขาและดัดฟันเหมือนกับเขา ขนาดไม่ใหญ่มากนัก ใส่กล่องและห่อด้วยกระดาษปฏิทินของเดือนแห่งความรัก เขียนข้อความและสัญลักษณ์ไว้ในช่องวันที่ 13 ของเดือน ซึ่งก็คือวันที่ผมมอบให้เขา
‘To…Sil
Happy Valentine Day
From… (Smile) ’ แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้เป็นคนเอาไปให้เองหรอกนะ ผมฝากเพื่อนเอาไปให้และคอยแอบดูอยู่ห่าง ๆ อย่างน้อยผมก็ได้ให้ อย่างน้อยเขาก็ยอมรับมัน อย่างน้อยเขาก็บอกขอบคุณ เหมือนเมื่อก่อน
เมื่อ ม.6 มาถึง ศิลป์ได้ลงสมัครเป็นประธานนักเรียน และแน่นอนผมอยากเลือกเขา ด้วยความเห็นแก่ตัวของตัวเอง ผมรู้มาว่าศิลป์ไม่ได้อยากเป็นประธานนักเรียน เพราะแค่เรื่องเรียนและเรื่องมหาวิทยาลัยเขาก็คงจะเครียดมากพอแล้ว ถ้าต้องมาเป็นประธานนักเรียนก็คงต้องทำงานหนักไม่ได้พักแน่ ๆ แต่ที่เขาลงสมัครเพราะขัดเสียงโหวตจากเพื่อน ๆ และแม่ของเขาที่อยากให้เขาเป็นไม่ได้ และด้วยความเห็นแก่ตัวของผมที่อยากเห็นเขาบ่อย ๆ ทำให้ผมเลือกเขาไปในที่สุด แต่โชคคงเข้าข้างเขาเพราะสุดท้ายเขาก็ไม่ได้เป็นประธานนักเรียน แต่โชคก็เข้าข้างผมอยู่เหมือนกัน ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้เห็นเขาบ่อย ๆ ตามงานกิจกรรมของโรงเรียนในฐานะประธานนักเรียน แต่ผมกลับได้เห็นเขาในทุก ๆ วันหลังเลิกเรียนแทน
ช่วง ม.6 ผมสนิทกับอาจารย์ฝ่ายปกครองหลายคน แต่ไม่ใช่เพราะผมเกเรนะ ผมเป็นเด็กดีพวกเขาเลยเอ็นดูและเรียกใช้ให้ช่วยงานอยู่บ่อย ๆ ทำให้ตอนเย็น ๆ ผมจะเข้าไปช่วยงานและนั่งเล่นในห้องปกครองที่มีแอร์เย็น ๆ เกือบทุกวัน และอีกหนึ่งเหตุผลที่ผมยอมอยู่ช่วยงานอาจารย์ไม่ใช่ว่าผมใจดีและอยากช่วยอะไรมากนัก แต่เป็นเพราะทุกวันศิลป์จะมาเล่นปิงปองอยู่ข้างหลังห้องปกครองนะสิ นั่นถือเป็นโชคดีของผมที่ได้นั่งดูเขาทุกวันแบบไม่ต้องแอบอะไร
เนื่องจากผมได้อภิสิทธิ์ได้นั่งเล่นในห้องปกครองนั่นทำให้ผมได้เห็นใบประวัติของศิลป์ ในนั้นบอกถึงคณะ สาขา และมหาวิทยาลัยที่ศิลป์อยากเข้า รวมถึงเบอร์โทรศัพท์ของเขา และแน่นอนว่าผมรีบเมมเบอร์นั่นทันที ตอนแรกผมชั่งใจอยู่นานไม่กล้าโทรไป แต่พอโดนเพื่อนกล่อมนิดหน่อยผมก็ลองโทรไปดู ซึ่งผมก็โล่งอกเพราะว่าเขาไม่ได้รับสาย เพราะถ้าเขารับผมก็คงไม่รู้จะพูดอะไร เย็นวันนั้นผมลอง add friend แอพพลิเคชั่นสีน้ำเงินของเขาไปดู และผมก็ต้องยิ้มจนปากแทบจะฉีกเพราะเขาตอบรับผมเป็นเพื่อน ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมทำได้แค่แอบส่องหน้าวอลของเขา ไม่กล้าจะ add ไป กลัวเขาไม่รับ แต่ตอนนี้ผมสามารถกดไลค์เขาได้ด้วยอีกต่างหาก
เฮ้อ รู้อย่างนี้ ผมน่าจะ add เข้าไปเสียตั้งนานแล้ว
สักพักมีเสียงโทรศัพท์เข้ามา ผมหยิบมาดูแล้วก็ต้องตกใจหนักไปอีก เพราะเบอร์ที่โชว์อยู่เป็นเบอร์ของเขา เขาโทรกลับมาแล้ว ผมไม่รู้ว่าผมจะรับดีรึเปล่า รับไปจะพูดอะไรยังไง แต่จะไม่รับ ในใจก็อยากคุยอยากได้ยินเสียง จนในที่สุดผมก็กดรับ
[ฮัลโหล] อ่า เสียงของเขา
“…”
[ฮัลโหล ครับ…ได้ยินมั้ยครับ] มันเท่มาก
“เอ่อ ฮัลโหล” ผมตอบกลับไปหลังจากหลงไปกับเสียงของเขาผ่านโทรศัพท์ และผมรู้สึกได้ว่าเสียงผมโคตรสั่น
[ครับ นั่นใครครับ] เขาถามว่าผมคือใคร เอาไงดี ผมคือใคร
“เอ่อ นั่นใช่สองป่ะ” ชื่อของใครก็ไม่รู้โผล่ขึ้นมาในหัวผมตอนนั้น ผมไม่ตอบเขาว่าผมเป็นใคร แต่ผมย้อนถามกลับไปเพื่อให้เขาคิดว่าผมโทรผิด
[ไม่ใช่ครับ นั่นใครครับ] บ๊ะ! จะอยากรู้ว่าเป็นใครอะไรขนาดนั้น
“เอ่อ สงสัยเราโทรผิด ขอโทษนะ” ผมรีบบอกปัดไป ผมไปต่อไม่ได้แล้ว
[อ๋อ ครับ] แล้วผมก็รีบกดวางสายไป พระเจ้าผมอยากจะร้องตะโกนออกมาดัง ๆ ผมได้คุยกับศิลป์ คนที่ผมแอบชอบมาตลอดผ่านทางโทรศัพท์ มันเป็นอะไรที่วิเศษมาก เสียงของเขามันทุ้มเท่มีเสน่ห์มาก 23 วิ ยี่สิบสามวินาทีที่ได้คุยกัน ผมจะไม่มีวันลืมวันนี้เลย ไม่มีวัน