#เท่านี้ที่รัก
ต่อให้ต้องพยายามอีกกี่ครั้งเพื่อให้เชื่อว่ารัก
ถ้าคนๆ นั้นเป็นคุณ ผมก็ยินดีที่จะทำ
ดอกกุหลาบที่ปะปนกันหลากหลายสีกำใหญ่ๆ ถูกวางลงทับกระเป๋าเป้ที่วางอยู่บนโต๊ะยาวในโรงอาหารกลางของมหาวิทยาลัย เจ้าของกระเป๋าที่นั่งทำงานอยู่ก่อนเงยหน้าขึ้นมองตามมือที่วางกองกุหลาบก่อนจะย่นคิ้วเข้าหากันพร้อมกับตั้งคำถาม
“ของใคร?”
“ของเรา” เจ้าของดอกกุหลาบตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย ไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรกับทั้งคำพูดและดอกกุหลาบนั้น “ใกล้วาเลนไทน์แล้วก็มีแต่คนเอาดอกกุหลาบมาให้... น่าเบื่อ” คำว่าน่าเบื่อถูกย้ำพร้อมสีหน้าที่แสดงให้เห็นว่าเบื่อจริงๆ และนั่นก็ทำเอาคนที่นั่งรออยู่ก่อนหัวเราะออกมา
“มีคนรักก็ดีกว่ามีคนเกลียดไม่ใช่รึไง”
“ถ้าจะเยอะแล้วลำบากเราขนาดนี้ จะเกลียดบ้างก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ”
“ไม่ค่อยเป็นคนหลงตัวเองเท่าไหร่เลยเนอะ” คนที่นั่งฟังคำพูดพวกนี้มาหลายวันหยิบดอกกุหลาบขึ้นตีคนตรงข้ามหนึ่งทีแรงๆ ก่อนจะวางลงแล้วพูดต่อ “ถ้ามีคนรู้ว่าคนดังของมหาลัยทำหน้าแบบนี้ลับหลังล่ะก็ คงมีคนเกลียดตุลย์สมใจจริงๆ นั่นแหละ น่าหมั่นไส้ชะมัด”
“ช่างสิ” คนหลงตัวเองที่รู้ดียิ่งกว่ารู้ว่าตัวเองมีดีให้หลงยักไหล่ “เราไม่ได้สนคนพวกนั้นสักหน่อย”
“แล้วสนใคร?”
“อยากรู้จริงๆ?” ย้อนถามเสียงสูงพร้อมแววตาที่มองมาตรงๆ ทำให้คนตั้งคำถามก่อนถึงกับต้องยกมือขึ้นดันแว่นกรอบดำอันใหญ่ที่ตัวเองสวมอยู่ แล้วก้มหน้าทำงานต่อราวกับไม่รับรู้อะไร
“งี้แหละน้า คนที่อยากให้สนก็ดันไม่สน เรานี่น่าสงสารจริงๆ เลย” ตุลย์บ่นเบาๆ แต่ก็ตั้งใจให้อีกคนที่นั่งตรงข้ามกันได้ยิน สังเกตจากใบหน้าเนียนที่พยายามก้มมองหนังสือบนโต๊ะมากขึ้น แล้วยังมือที่ยกขึ้นขยับแว่นไปมาอีกด้วย
เจ้าของดอกกุหลาบกองโตสุ่มหยิบกุหลาบที่ได้รับมาจากใครสักคนขึ้นดูหนึ่งดอก ก่อนจะยื่นดอกกุหลาบไปตีหน้าผากของคนที่ทำเป็นตั้งใจอ่านหนังสือเบาๆ
“นี่รัน”
“อือ” แม้จะยังก้มหน้าเหมือนเดิม แต่เจ้าของชื่อก็พึมพำตอบรับ
“วาเลนไทน์ปีนี้ซื้อกุหลาบให้เราดอกหนึ่งสิ”
“ไม่เอาหรอก ตุลย์ได้เยอะแล้วนี่”
“แต่เราอยากได้จากรันนี่นา”
“..........”
“นะๆ ซื้อให้หน่อยสิ ดอกเดียวเล็กๆ ก็ได้”
“อืม”
“อืมนี่คือ?”
“จะซื้อให้” แม้คำตอบนั้นจะเบาและน้ำเสียงเรียบสนิท แต่คนที่ลงทุนขอดอกไม้ก่อนก็ยิ้มแก้มแทบปริ
“สัญญาแล้วอย่าลืมนะ”
“เราไม่ได้สัญญาสักหน่อย”
“นั่นแหละ รันรับปากแล้ว ห้ามลืมนะ”
“พูดมากจะอดนะ”
“ไม่หรอก เรารู้ว่ารันใจดี” คำพูดนั้นมาพร้อมกับดอกกุหลาบในมือที่เคาะลงบนหน้าผากมนอีกครั้ง ก่อนคนตัวสูงกว่าจะเปลี่ยนเรื่องคุยอีก “นี่ วันนี้วันที่สิบสามแล้วนะ”
“อืม วันนี้เรามีสอบย่อยด้วยตอนสิบโมง”
“โธ่...” ดอกกุหลาบในมือเพิ่มแรงเคาะอีกครั้ง “เราไม่ได้หมายถึงเรื่องที่รันมีสอบสักหน่อย”
“..........”
“เราจำได้นะ ว่าวันนี้เมื่อสี่ปีที่แล้วเราบอกรักรันครั้งแรกน่ะ”“เหรอ?” คราวนี้รันเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะยิ้มเรียบๆ แล้วพูดต่อราวกับไม่ได้รู้สึกอะไร
“แต่เราจำได้ว่า วันนี้เมื่อปีที่แล้วตุลย์บอกเลิกเรานะ”“รัน”
“ตุลย์” คนตัวเล็กกว่าพูดชื่อเลียนแบบ
“ตอนนั้นเราทะเลาะกันนี่นา แล้วเราก็พลั้งปากไปงั้นเอง ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นจริงๆ สักหน่อย”
“แต่เราคิดนี่” แหงล่ะ เพราะถ้ารันไม่คิดอะไร ตอนนี้ทั้งคู่คงไม่ได้อยู่ในสถานะที่เรียกว่า “แฟนเก่า” กันแบบนี้หรอก“ตุลย์ เราจริงจังกับคำพูดเรามากนะ คำพูดตุลย์ด้วย สำหรับเรา รักก็คือรัก เลิกก็คือเลิก ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาเราก็บอกตุลย์มาตลอดนี่ว่าระหว่างเรายังไงมันก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้น่ะ”
“เราก็ไม่ได้อยากกลับไปเป็นเหมือนเดิมสักหน่อย” เสียงทุ้มเอ่ยเถียง
“..........”
“เราอยากเริ่มต้นใหม่ต่างหาก”
“แต่การเริ่มต้นใหม่กับคนเดิม เราไม่เรียกมันว่าการเริ่มต้นนะ”
“..........”
“มันคือการกลับไปที่เดิมซ้ำๆ ไม่ใช่เหรอ”
“แต่การที่เราเป็นแบบนี้ มันก็คือการย่ำอยู่กับที่ซ้ำๆ เหมือนกันนี่ เราสองคนไม่ได้ก้าวออกจากความรู้สึกวันนั้นสักหน่อย”
“..........”
“เมื่อไหร่ล่ะรัน ที่รันจะยอมยกโทษให้เรา แล้วเราก็กลับมาคบกันเหมือนเดิมน่ะ”
“ไม่รู้สิ”
“..........”
“อาจจะเป็นวันที่เรารู้สึกได้เต็มหัวใจว่าตุลย์รักเรา เหมือนวันแรกที่ตุลย์เคยบอกรักล่ะมั้ง”
“รัน...”
“อีกครึ่งชั่วโมงเรามีสอบแล้ว ขอตัวก่อนนะ” พูดจบมือเรียวก็รวบหนังสือและกระเป๋าเป้แล้วเดินจากไปทันที ทิ้งไว้เพียงดอกกุหลาบที่เจ้าของไม่ได้อยากได้กับเสียงลมหายใจที่ทอดยาวคล้ายคนหมดแรงเท่านั้น
แล้วเขาต้องทำยังไงล่ะ? ให้อีกคนรู้สึกว่าตอนนี้เขาก็รักมาก ..และมันก็มากกว่าวันแรกที่บอกรักด้วยซ้ำไป
หน้าห้องเรียนตอนพักเที่ยงวุ่นวายเหมือนทุกๆ วัน ยิ่งเป็นวันที่ใกล้วันสำคัญขนาดนี้ ไม่แปลกที่จะเห็นคู่รักหลายๆ คู่มารับกันถึงหน้าห้องเรียน และถึงแม้ว่าวันนี้จะยังไม่ใช่วาเลนไทน์ หากแต่สัญลักษณ์ของวันแห่งความรักกลับมีให้เห็นเต็มไปหมดจนคนที่ยืนอยู่คนเดียวเริ่มรู้สึกเบื่อ ..ไม่ก็อิจฉา
“รัน!” เจ้าของร่างสูงโปร่งที่เป็นเป้าสายตาของใครหลายๆ คนตะโกนเรียกชื่อคนที่เขาตั้งใจมารอเสียงดังลั่นอย่างไม่สนใจว่าจะทำให้ใครหันมามองบ้าง ตุลย์เปิดรอยยิ้มเต็มที่เมื่อคนที่เขาเรียกหันมาหา ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปใกล้แล้วตั้งคำถามเหมือนเมื่อเช้าไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
“ทำข้อสอบได้หรือเปล่า?”
มีเพียงการพยักหน้าตอบจากคนตัวเล็กที่สวมแว่นสายตาอันใหญ่ปิดบังใบหน้าไปกว่าครึ่งเท่านั้น
“หิวไหม? หาอะไรกินกันนะ?” เช่นเดิมที่คำถามนั้นได้รับการตอบรับเป็นการพยักหน้า จะว่าไป นี่ก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่คนอื่นๆ จะได้เห็นตุลย์กับรันไปไหนมาไหนด้วยกันแบบนี้
เพื่อนสนิท.. นี่เป็นคำนิยามที่คนที่รู้จักทั้งคู่ในระดับหนึ่งว่าเอาไว้
แฟนเก่า.. นี่ก็อีกคำนิยามสำหรับคนที่รู้จักทั้งคู่ดีขึ้นมาอีกนิด
รันอาจจะไม่ได้รู้สึกอะไรหรืออาจจะรู้สึกแต่ไม่ได้แสดงออกว่าเจ้าตัวสนใจคำนิยามเหล่านั้น หากแต่ไม่ใช่กับตุลย์ ชายหนุ่มเปิดเผยเสมอว่าไม่พอใจในสองนิยามนั้นมากๆ ถ้าประกาศได้เขาคงประกาศออกไปแล้วว่า รันคือคนที่เขารัก ไม่ว่าจะสี่ปีก่อน ปีที่แล้ว ปีนี้...หรือจะปีต่อๆ ไปในอนาคต
ว่ากันว่าการเอาชนะใจคนคนหนึ่งว่ายากแล้ว การจะเอาชนะใจคนคนนั้นให้ได้เป็นครั้งที่สองยากกว่าหลายเท่า
รันคงกลัว ตุลย์คิดแบบนั้นและเข้าใจแบบนั้นมาตลอด ก็ใครบ้างจะไม่กลัว หากเราต้องกลับไปเริ่มต้นเดินในเส้นทางหนึ่งที่เคยเดินและค้นพบมาแล้วว่าเป็นทางตัน กี่คนกันที่จะเดินย้อนกลับไปเส้นทางสายนั้นอีกครั้ง เพื่อจะค้นหาว่ามันอาจจะมีทางแยกอีกทางที่เคยมองข้าม
ถ้าพบแล้วทางแยกนั้นทำให้ไปสู่จุดหมายที่รอก็ดีไป
แต่ถ้าตรงกันข้ามล่ะ? ถ้าหากไม่พบทางแยก หรือพบทางแยกแต่ทางแยกนั้นก็พาไปสู่ทางตันอีกทางหนึ่งอยู่ดี ใครจะกล้ารับประกันว่านั่นจะไม่ทำให้ผิดหวังอีกมากกว่าเดิม
ใครจะกล้าเอาชีวิต เอาหัวใจตัวเองไปเสี่ยง
เพราะตุลย์คิดแบบนี้ เขาถึงได้เข้าใจว่าที่เราเป็นแบบนี้ในทุกวันนี้เพราะอะไร แล้วจะว่าไปมันก็ความผิดเขาเองทั้งนั้น ถ้าวันนั้นไม่บอกเลิก ไม่เอาอารมณ์ตัวเองเป็นใหญ่ วันนี้ก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอก
“วันนี้กินอะไรดี?” คนตัวสูงถามพลางโยนกุญแจรถในมือขึ้นลง
“แล้วแต่ตุลย์สิ” รันเป็นคนใจดีนะ หลายๆ คนอาจจะตอบคำถามด้วยคำตอบแบบนี้เพราะไม่อยากคิดว่าจะต้องกินอะไร แต่ถ้ารันตอบ นั่นหมายถึงว่าคนที่มากเรื่องเรื่องของกินมากที่สุดยอมตามใจให้เขาเป็นคนเลือก และมันก็น้อยครั้งมากๆ ที่รันจะตอบแบบนี้ เพราะฉะนั้นการถามกลับของตุลย์จึงมั่นใจได้เลยว่าอีกคนอนุญาตแน่นอน
“งั้นกินอะไรก็ได้ แต่ซื้อไปกินที่ห้องรันได้หรือเปล่า?”
“..........” ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นเหมือนทุกครั้งที่ไม่อยากตอบรับด้วยคำพูด แต่ก็ไม่ได้จะปฏิเสธ และไม่นานก็เอ่ยสิ่งที่เรียบเรียงในหัวออกมา “ถ้าอย่างนั้นทำกินเองดีกว่า ตุลย์ยังทำกับข้าวเป็นอยู่ใช่ไหม?”
ตุลย์เกือบจะดึงคนถามมากอดด้วยความหมั่นเขี้ยวแล้วกับคำถามนี้ น้อยคนมากๆ ที่จะรู้ว่าภายใต้ท่าทางเจ้าชู้ เพลย์บอย ลอยไปลอยมาเหมือนลูกคนรวยที่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ตุลย์มีดีอย่างหนึ่ง (อาจจะหลายอย่าง) ที่สามารถอวดใครต่อใครได้ก็คือการทำอาหาร
แถมขนมหวานด้วยก็ยังได้...
“เป็นสิ เดี๋ยวจะแถมขนมหวานตบท้ายให้ด้วย” ลูกชายคนเดียวของเจ้าของโรงแรมที่มีภัตตาคารเป็นของตัวเองอวดรอยยิ้ม “รันว่างตลอดบ่ายใช่ไหม?” ถามแบบนั้นทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่แล้ว
“อื้อ...”
“เดี๋ยวเราล้างจานเอง ตอนตุลย์ทำ ตุลย์ยังไม่ให้เราช่วยเลยนี่” เจ้าของห้องเถียงพลางเดินหลบคนที่จะมาแย่งจานชามกองโตหลังจากอิ่มกันเรียบร้อยแล้ว
“ตามใจ” แม้จะพูดแบบนั้นแต่ตุลย์ก็เดินตามไปที่อ่างล้างจานในครัวเล็กๆ อยู่ดี
“นี่ วันนี้อร่อยหรือเปล่า ฝีมือยังดีอยู่ใช่ไหม?”
“อือ...”
“อยากกินอีกป่ะ?”
“ใจดีขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ก็ไม่เท่าไหร่หรอก แค่จะบอกว่าอยากกินอีกบ่อยๆ ก็ขอเราเป็นแฟนสิ จะมาทำให้กินที่ห้องทุกวัน ทุกมื้อเลยก็ยังได้”
“ไม่เอาหรอก ซื้อกินเองก็ไม่ได้ลำบากอะไร”
“ไม่ต้องตอบเร็วขนาดนั้นก็ได้ คิดหน่อยดิ”
“แต่ถ้าอยากให้เราขอเป็นแฟนก็ทำอาหารมาส่งให้ที่ห้องทุกวันทุกมื้อเลยสิ”
“หืม?” คนได้ฟังทำตาโต “เมื่อกี้รันพูดว่าอะไรนะ?”
“รอบเดียว...”
“มันเบาเว้ย...”
“..........”
“ไม่ได้ยินอ่ะๆ อีกรอบสิ”
“ไม่...หูไม่ดีเอง ช่วยไม่ได้”
“รันอ่ะ...”
“ตุลย์อ่ะ...” คนที่กำลังอารมณ์ดีเลียนเสียงล้อ และนั่นก็ทำให้อีกคนอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นแล้วขยี้ผมแรงๆ อย่างที่ชอบทำ
“เอาเถอะ เราเข้าใจอย่างที่เราได้ยินแว่วๆ ก็ได้”
“..........”
“อย่าลืมล่ะ ถ้าเราทำมาทุกมื้อแล้วต้องมาขอเราเป็นแฟนนะ”
“..........” แม้จะไม่มีคำตอบรับใดๆ แต่อาการก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มนั่นก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุดแล้ว
“รัน...”
“หืม”
“คืนนี้เรานอนที่นี่ได้ป่ะ?”
“ว่าไงนะ?”
“เรารู้ว่ารันได้ยิน นะ ให้เรานอนที่นี่นะ”
“ถ้าเราไม่อนุญาตล่ะ”
“ก็กลับห้องเราไง เราเป็นคนพูดง่ายอยู่แล้ว”
“อือ”
“อือนี่อืออะไร? ให้นอน หรือให้กลับห้อง”
“แล้วแต่...”
“ใจดีเหมือนที่เราคิดไว้เลย” คนได้อย่างที่ขอหัวเราะเบาๆ “แบบนี้ขอนอนบนเตียงด้วยก็ได้สิ”
“กลับห้องไปเลยถ้างั้น” ฟองน้ำยาล้างจานสีขาวถูกดีดใส่คนได้คืบจะเอาศอกเบาๆ ก่อนคนแกล้งจะหัวเราะออกมาบ้างเมื่ออีกคนโวยวาย “สมน้ำหน้า”
“โห เราตาบอดขึ้นมาจะหาว่าไม่เตือน”
“..........”
“อยากมีแฟนตาบอดหรือไง”
“หาใหม่สิ เรื่องอะไร”
“ใครจะยอม เรื่องอะไร” ตุลย์พูดเลียนแบบบ้าง “นี่ รัน...”
“เรียกบ่อยจังวันนี้”
“อยากถามอ่ะ”
“ถามว่า...”
“ใจอ่อนให้เราบ้างหรือยัง”
“ไม่รู้สิ...”
“ใจแข็งว่ะ...”
“เปล่าใจแข็งสักหน่อย” ดวงตากลมของคนไม่ได้ใจแข็งเลยหันมามองสบ “ไม่รู้เหรอ ว่าเราเป็นพวกเจ็บแล้วจำน่ะ จำแล้วไม่ลืมง่ายๆ ด้วย”
“รู้สิ...” ตุลย์ทอดเสียงอ่อน มือหนึ่งยกขึ้นเกลี่ยปลายผมบนหน้าผากมนให้อย่างอ่อนโยน “ถึงได้พยายามอยู่นี่ไง”
รันยืนนิ่งๆ เงยหน้ามองคนตัวสูงกว่าตรงหน้า แล้วบอกจริงจัง เหมือนที่บอกมาตลอด “ถ้าพยายามแล้วเหนื่อยก็บอกเรานะ”
“ไม่หรอก เรามีความสุขที่ได้ทำ มากกว่านี้เราก็ไม่เหนื่อย”
“มีความสุขจริงๆ เหรอตุลย์?”
“มีสิ อาจจะไม่เต็มร้อย แต่การได้เห็นรันยังอยู่ตรงนี้ก็เป็นความสุขของเราแล้วล่ะ เรารู้ว่าเราทำไม่ดีเอาไว้เยอะ แต่เราก็ไม่อยากบังคับรันไง คนทำผิดก็ต้องไถ่โทษสิเนอะ”
“สักวันนะตุลย์...” รันก้มหน้าหลบตา “ถ้าเราลืมได้ว่าวันที่ตุลย์หันหลังให้มันเจ็บยังไง เราอาจจะกลับมาคบกันอีกครั้งได้อีกก็ได้”
ประโยคตรงๆ ที่ไม่เคยถูกเอ่ยถึงเลยตลอดปีที่ผ่านมาทำให้มือที่ยังคงเกลี่ยปอยผมอีกฝ่ายเล่นชะงัก สุดท้าย ตุลย์ก็ดึงคนตัวเล็กกว่ามากอดจนได้
“ขอโทษนะ...”
“..........”
“ถ้าวันไหนที่เรามั่นใจว่าคำบอกรักของเราจะดังมากกว่าคำขอโทษ เราสัญญาว่าเราจะบอกรัน ให้รันมั่นใจ”“อือ”
ก็ถ้าวันไหนที่เราได้ยินคำบอกรักของตุลย์ดังมากกว่าคำขอโทษ วันนั้นเราก็จะบอกตุลย์ให้ตุลย์มั่นใจเหมือนกันผ้าปูที่นอนผืนหนาถูกปูลงบนระเบียงกว้างหลังห้อง หมอนสองใบวางเกยกันอยู่บนนั้น ในขณะที่ทั้งเจ้าของห้องและคนขอมานอนด้วยนั่งกอดเข่าพิงระเบียงมองดาวด้วยกันที่ปลายผ้าอีกฟาก
“ไม่โรแมนติกเลยอ่ะ ไม่เห็นมีดาวสักดวง แถมฟ้ายังปิดอีก” คนตั้งใจอยากโรแมนติกด้วยการหอบผ้า หอบหมอนมาปูเพื่อดูดาวบ่นออกมาหลังจากมานั่งกันจริงๆ แล้วเห็นว่าบนฟ้าวันนี้ไม่มีดาวแม้สักดวง
“มองฟ้าเฉยๆ ก็ได้นี่นา ลมเย็นดีออก” คนเสนอทางเลือกให้หัวเราะเมื่อเห็นท่าทางราวกับคนถูกขัดใจนั้น ก่อนจะเอื้อมมือหยิบ
หมอนแล้วทิ้งตัวลงนอน “หลับตรงนี้ก็ได้เนอะ แต่ฝนจะตกรึเปล่าก็ไม่รู้”
“จะนอนหลับตรงนี้จริงๆ อ่ะ” ตุลย์ถามพร้อมกับล้มตัวลงนอนใกล้ๆ หนุนแขนตัวเองต่างหมอนใบโต
“ยังไม่เลิกนิสัยนอนหนุนแขนตัวเองอีกเหรอ ระวังเถอะ สักวันตื่นมาจะแขนชาแล้วทำอะไรไม่ได้”
“ว่าจะเลิกอยู่ แต่รอคนมานอนหนุนแขนก่อนถึงจะเลิกได้”
“..........”
“สนใจไหม?”
“ไม่เอาหรอก เราไม่อยากเป็นต้นเหตุให้ใครพิการ”
เสียงทุ้มหัวเราะหึๆ กับการปฏิเสธนั้น สักพักตุลย์ก็เงียบ แล้วก็ฮัมเพลงออกมาเบาๆ แทน
รันหลับตาลง ฟังเสียงเพลงคลอเสียงลมเบาๆ ที่พัดผ่านระเบียงห้องบนชั้นเกือบสูงสุดของคอนโด อดไม่ได้ที่จะยิ้มจางๆ ให้คนแอบมองยิ้มตามได้กว้างกว่า
ตอนที่เรายังคบกัน ระเบียงตรงนี้จะมีเก้าอี้ยาวสีขาวตั้งอยู่ด้วย หลายๆ คืนที่ทั้งคู่จะออกมานั่งพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยแล้วหลับไปด้วยกันบนเก้าอี้ไม้นั้น พอบ่อยๆ เข้าเก้าอี้ยาวที่นั่งด้วยกันไม่สะดวกนักจึงถูกเปลี่ยนเป็นเก้าอี้กลมตัวใหญ่ที่สามารถนอนเบียดกันสองคนได้ไม่อึดอัดแทน แต่ตอนนี้ที่นี่เหลือเพียงระเบียงโล่งๆ ตุลย์ก็ไม่อยากถามว่าเก้าอี้นอนกลมๆ นั่นหายไปไหน บางอย่างเขาก็เดาคำตอบได้โดยที่รันไม่ต้องบอก
เสียงฮัมเพลงหยุดลงแล้วเปลี่ยนเป็นเสียงร้องเพลงเบาๆ แทน จากหนึ่งเพลง...สองเพลง...สามเพลง จนคนร้องหยุดร้องแล้วหันมาอีกทีก็พบว่าคนที่นอนข้างๆ หลับสนิทไปแล้ว
ตุลย์ลุกขึ้นเดินกลับเข้าไปในห้องนอนใหญ่ ทีแรกตั้งใจแค่จะไปหยิบผ้าห่มออกมาให้ แต่สายตากลับสะดุดเข้ากับกล่องดนตรีเล็กๆ สีขาวบนโต๊ะข้างหัวเตียงเสียงก่อน คนเดินเข้ามาแอบเสียมารยาทด้วยการไปหยิบมันขึ้นมาดูใกล้ๆ แล้วเปิดฝากล่องดนตรีออก เสียงเพลงที่จำได้ดีว่าเป็นเพลงที่ตัวเองชอบดังออกมาพร้อมๆ กับที่ตุ๊กตาปั้นรูปคนกำลังร้องเพลงหมุนไปมาช้าๆ ฟังจนจนเพลงตุลย์จึงวางกล่องดนตรีลงที่เดิม ตอนนี้เองที่สังเกตเห็นดอกกุหลาบสีขาวดอกเล็กที่ปั้นจากดินวางอยู่คู่กันข้างๆ
เพียงเท่านี้ รอยยิ้มจากคนแอบมองก็เปิดกว้าง
ร่างสูงเดินกลับออกไปที่ระเบียงอีกครั้ง คลี่ผ้าห่มคลุมร่างคนที่นอนหลับสนิท ก่อนจะก้มลงแล้วจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากมนแผ่วเบา
“ฝันดีนะ” น้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนถ่ายทอดสู่ห้วงนิทราคนนอนหลับให้ริมฝีปากอิ่มแย้มรอยยิ้มน้อยๆ จนคนมองอดไม่ได้ที่จะกดจูบลงไปบนริมฝีปากนั้นอีกครั้ง ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนเคียงข้าง
...นี่แหละความสุขของเขา
อย่างที่บอกว่ามันอาจจะไม่เต็มร้อย แต่เท่านี้ก็สุขจนเกือบเต็มหัวใจแล้ว
(มีต่อนะคะ)