บทที่ 7
หลังจากที่ฮาลมาส่งเขาที่ห้องพัก ซันก็หลับเป็นตายจนถึงช่วงบ่ายของอีกวัน เขาติดต่อไปหาอเล็กซ์ หัวหน้าของเขาทันทีที่มีสติและเรี่ยวแรงมากพอที่จะทำแบบนั้น อีกฝ่ายส่งเสียงเอะอะมาด้วยความตกใจ จากนั้นก็เริ่มเล่าถึงความโกลาหลที่เกิดขึ้นในช่วงสามวันที่เขาหายตัวไป ตอนแรกทุกคนก็ลงความเห็นไปว่าเขาไม่สบายเลยไม่ได้มาทำงาน แต่พอพยายามติดต่อมาก็ติดต่อไม่ได้ ส่งคนมาดูที่ห้องก็ไม่มีใครเปิดรับ จนอเล็กซ์กำลังคิดว่าจะไปแจ้งความอยู่แล้ว แล้วสักพักก็มีเรื่องการตายของแมดเดอลีนเข้ามาอีก
"ผมได้ยินเรื่องของคุณมาจากทางตำรวจแล้ว" อเล็กซ์ว่าด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ซันรู้ดีว่านี่เป็นหนึ่งในเรื่องที่ฮาลบอกเขาไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว เจ้าตัวบอกว่าเขาจะจัดการเรื่องที่ทำงานให้ ขอให้เล่นตามน้ำไปตามนั้นก็พอ "เขาบอกว่าคุณโดนจับตัวไป และมันอาจมีความเกี่ยวข้องกับการตายของแมดเดอลีน"
อย่างน้อยก็ไม่ใช่เรื่องโกหกเสียทีเดียวล่ะนะ
"แล้วคุณเป็นยังไงบ้าง ปลอดภัยดีหรือเปล่า"
"ตอนนี้เรียบร้อยดีครับ แค่เจ็บหนักหน่อย กำลังพักฟื้นตัวอยู่ที่ห้อง อาจจะเข้างานได้อีกทีอาทิตย์หน้า"
"ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นตอนนี้หรอก เฮ้ แล้วพวกมันจับตัวคุณไปทำไม มันได้พูดอะไรกับคุณบ้าง"
"ผมไม่แน่ใจเหมือนกันครับ เหมือนทุกอย่างมันเลือนรางไปหมด"
"งั้นก็เหมือนกับที่ทางตำรวจบอก งั้นผมไม่กวนคุณแล้วดีกว่า ไว้ผมจะติดต่อไปใหม่นะ คุณซัน ถ้ามีอะไรก็โทรหาผมได้ตลอด แล้วก็ ผมเสียใจจริงๆ ที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นทั้งที่คุณเพิ่งจะมาทำงานได้ไม่นาน"
"ไม่เป็นไรครับ" ซันว่าก่อนจะกดวางสายไปแล้วแหงนหน้ามองเพดานของห้องอย่างเหนื่อยอ่อน
ไม่รู้ป่านนี้แอนดรูว์เป็นไงบ้าง จะยังปลอดภัยดีอยู่ไหม แล้วตอนนี้หมอนั่นกำลังทำอะไรอยู่
ชายหนุ่มนึกทบทวนเรื่องวุ่นวายที่เจอมาในช่วงสามสี่วันที่ผ่านมานี้ ร่างของเขาสั่นขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อนึกถึงตอนที่ตัวเองโดนทรมาน รวมถึงตอนที่เจอศพของแมดเดอลีนที่ใต้เตียงนั่น สีหน้าหวาดกลัวก่อนจะขาดใจตายของเจ้าหล่อนยังคงติดตาเขา บางทีเขาน่าจะเสิร์ชหาดูว่ามีวัดไทยที่ไหนใกล้กับที่เขาอยู่ที่สุดบ้าง จะได้ไปทำบุญตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าหล่อนสักหน่อย ถึงเขาจะไม่แน่ใจว่าจะส่งบุญข้ามศาสนากันได้รึเปล่าก็เถอะ
หลังจากนอนพลิกตัวกระสับกระส่ายไปมาบนเตียง หยิบมือถือขึ้นมาดูหน้าจอแล้วก็วางไม่ต่ำกว่าสิบรอบ ยังไงเสียก็คงยังไม่มีการติดต่อจากดรูว์เร็วๆ นี้ ท้องเขาก็เริ่มร้อง แถมการจมอยู่กับความเงียบก็ยิ่งทำให้ซันรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก เขาจึงตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียง โทรไปสั่งพิซซ่าให้มาส่งที่ห้อง จากนั้นก็เข้าไปอาบน้ำให้สบายตัว แม้ว่าการโดนหยดน้ำกระเซ็นใส่เบาๆ จะทำให้เจ้าตัวแสบแผลจนแทบสะดุ้งเลยก็ตาม
กลับออกมานั่งแช่บนโซฟาพร้อมกับดูโทรทัศน์ซึ่งกำลังฉายหนังเรื่องหนึ่งที่เคยเข้าโรงที่ไทย เสียงกริ่งหน้าห้องก็ดังขึ้น ซันเดินไปเปิดประตู นึกในใจว่ามื้อค่ำเขาคงมาแล้ว แต่เจ้าตัวก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นชายหญิงคู่หนึ่งที่เขาไม่รู้จัก ฝ่ายหญิงที่มีเรือนผมสีแดงน้ำตาลเหยียดตรงยาวเลยบ่าพูดขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน
"สวัสดีค่ะ คุณซัน ฉันชื่อเจน โฮแกน ส่วนนี่เพื่อนร่วมงานฉัน ไบรอัน ฟลินน์"
"เอ่อ สวัสดีครับ? " เขาตอบกลับอย่างไม่แน่ใจ "มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่า"
"เราแค่แวะมาทักทายนิดหน่อย ลูมิสเป็นคนขอให้เรามาช่วยจับตาดูคุณ เลยแค่อยากจะโผล่มาให้เห็นว่าถ้าเห็นหน้าเราบ่อยๆ ก็ไม่ต้องตกใจนะคะ ฉันกับฟลินน์จะคอยผลัดกันตามคุณ หรือบางครั้งเราอาจจะอยู่ด้วยกันทั้งคู่ แต่เราจะไม่รบกวนความเป็นส่วนตัวของคุณแน่ค่ะ แค่คอยดูอยู่ห่างๆ "
"อะไรนะ" ซันอุทานอย่างตกใจ ดรูว์ไม่เห็นจะบอกอะไรเขาเรื่องนี้ แล้วนี่มันไม่เกินเหตุไปหน่อยเหรอ "แล้วผมจะรู้ได้ไงว่าเขาเป็นคนส่งพวกคุณมาจริงๆ "
โฮแกนกับฟลินน์หันไปมองหน้ากันก่อนจะหันกลับมาทางซัน จากนั้นโฮแกนก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรออกแล้วยื่นให้ชายหนุ่มชาวเอเชียตรงหน้า
"เอาเป็นว่าคุณคุยกับเขาเองเลยน่าจะดีกว่า"
ซันรับโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูอย่างงงๆ เสียงสัญญาณรอสายดังขึ้นสามกริ่งก่อนที่จะมีคนรับ
"ว่าไง เจน"
ซันเกือบจะหลุดเรียก 'ดรูว์' ไปอยู่แล้ว แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าสองคนตรงหน้ารู้จักปลายสายในชื่อของเบนจามิน ลูมิส ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเรียกชื่อใหม่อีกฝ่ายแทน
"เบนจามิน"
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะอุทาน "ซัน? "
"นี่มันเรื่องอะไรกัน" เขาถามกลับไปเป็นภาษาไทย
"อ้อ นายเจอเจนกับไบรอันแล้วใช่ไหม"
"สรุปว่าสองคนนี้เป็นคนรู้จักนายจริงๆ สินะ"
"ใช่แล้ว นายไว้ใจพวกเขาได้"
"นายปลอดภัยดีใช่ไหม"
"ฉันปลอดภัยดี แต่นายจะว่าอะไรไหมถ้าฉันขอวางก่อน"
ซันตีหน้าหงอยลงทันที ถึงจะรู้ดีว่าดรูว์ไม่มีทางเห็นก็ตาม "แต่ฉันยังอยากคุยอยู่เลยนี่"
"ขอโทษนะครับคนดี" แอนดรูว์พูดเสียงปลอบโยนมาตามสาย ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากคุยกับซัน แต่เขามีเรื่องอื่นที่ต้องทำจริงๆ "ไว้ฉันจะโทรไปหานายตอนที่พอมีเวลานะ รอฉันหน่อยได้ไหม"
"อย่างกับฉันมีทางเลือก"
"ไม่โกรธน่า ซัน ต้องวางแล้ว เดี๋ยวจะติดต่อไปนะครับ" น้ำเสียงเว้าวอนจนซันใจอ่อนตามเคย
"ระวังตัวนะ" อดไม่ได้ต้องพูดออกมาเสียงเบา แอนดรูว์รับปากทันที
"เข้าใจแล้ว นายเองก็ดูแลตัวเองด้วย เจนกับไบรอันจะดูแลความปลอดภัยของนายเอง"
"เรื่องนั้น… มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ"
"นายยังจะพูดแบบนั้นหลังจากโดนลากไปซ้อมมาครั้งหนึ่งแล้วเนี่ยนะ"
ก็จริงของมัน
"ไปแล้ว ซัน เดี๋ยวค่อยคุยกัน"
"โชคดี เบน" แล้วอีกฝ่ายก็วางหูไป ซันยื่นโทรศัพท์คืนให้หญิงสาวตรงหน้า
โฮแกนกับฟลินน์ฝากเนื้อฝากตัวกับเขาอีกสองสามคำก่อนจะจากไป ซันได้แต่กลับไปนั่งอยู่บนโซฟาตามเดิมด้วยความคิด ความกังวลสารพัดที่ผุดขึ้นมาในหัวเป็นระยะๆ อย่างที่เขาห้ามไม่อยู่
แต่พอลองคิดถึงสิ่งที่เขาเจอมาในช่วงสามวันนี้แล้ว เขาก็ไม่นึกโทษความขี้ระแวงของตัวเองเหมือนกัน
…
ลูมิสมองหน้าจอมือถือของตัวเองหลังจากที่กดวางสายไป เขาถือมันอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่งก่อนจะเก็บใส่กระเป๋ากางเกง นัยน์ตาสีเขียวทอดสายตาไปที่บ้านเดี่ยวหลังเล็กชั้นเดียวที่ตั้งอยู่กลางพื้นที่รกร้างและป่าไม้ที่รายล้อมอยู่บริเวณนั้น แทบไม่มีบ้านหรือสิ่งปลูกสร้างใดๆ ในแถบนี้
นี่เป็นที่อยู่ของอดัม จอห์นสัน ชายหนุ่มที่ทางทีมเจาะข้อมูลของเขาสืบมาได้ว่าเป็นคนส่งวิดีโอตอนที่ซันถูกลากไปซ้อมจนน่วมเพียงเพื่อถามความเป็นไปเกี่ยวกับเขา
ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องตบที่ข้างเอวเพื่อหาตรวจสอบว่าปืนอยู่ตรงนั้นหรือไม่ เขารู้ดีว่าอาวุธมากมายที่ซ่อนอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายพร้อมแบบครบครัน เหลือแค่เขาจะเลือกหยิบมาใช้ตอนไหนก็เท่านั้นเอง
ลูมิสเลาะไปตามรั้วบ้าน ความมืดไม่เป็นอุปสรรคของเขาเท่าไรนักเพราะประสบการณ์และการฝึกฝนมากมายที่ทำให้เขาชินกับสถานการณ์แบบนี้ ชายหนุ่มกระโดดข้ามรั้วเตี้ยๆ เพื่อเข้าสู่เขตของตัวบ้าน เท่าที่กวาดตาดูจากรอบๆ เงี่ยหูฟังดูอย่างตั้งอกตั้งใจแล้ว ไม่มีใครอยู่แถวนี้นอกจากเขา นอกเสียจากว่าคนที่อยู่จะเป็นระดับมืออาชีพที่พอๆ กับเขาหรือมากกว่า เขาหวังให้มันไม่ใช่แบบหลัง
ลูมิสใช้เวลาเล็กน้อยในการสำรวจและปลดล็อกกลอนประตูหน้าบ้าน ใช้เวลาไม่นานเลยในการบุกเข้ามาข้างใน นัยน์ตาสีเขียวคมกริบกวาดดูข้าวของอย่างรวดเร็วและสรุปได้อย่างง่ายดายว่าไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นี่มาพักใหญ่แล้ว
โต๊ะกินข้าวกับเก้าอี้สำหรับคนเดียวถูกทิ้งไว้จนฝุ่นเกาะอยู่ที่มุมหนึ่ง อีกมุมมีโซฟาเก่าๆ ที่มีรอยปะอยู่บางส่วน ไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีโทรศัพท์ เขาสงสัยว่าที่นี่จะไม่มีไฟฟ้าใช้แล้วด้วยซ้ำแต่เมื่อเดินเข้าไปในครัว เปิดตู้เย็น ด้านในเย็นเฉียบราวกับมันถูกเสียบปลั๊กไว้แบบนั้นเป็นปกติ ซึ่งขัดกับหลายอย่างในตัวบ้าน หรือแต่ตัวตู้เย็นที่ว่างเปล่าไม่มีอะไรอยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน
มีคนใช้ที่นี่เป็นครั้งคราว
ลูมิสสันนิษฐาน ไม่แน่ใจเสียทีเดียว แต่ที่แน่ๆ คือตอนนี้ไม่มีใครอยู่ในบ้านหลังเล็กจิ๋วนี่นอกจากเขา ชายหนุ่มตัดสินใจว่าจะสำรวจให้ทั่ว เขาเดินไปเปิดประตูห้องนอนที่มีเพียงห้องเดียวในบ้านหลังนี้ ชายหนุ่มถือไฟฉายเล็กจิ๋วที่เขาพกติดตัวไว้ตลอดเวลาส่องไปตามทิศทางต่างๆ ตามที่ต้องการ
กลิ่นกำมะถันลอยปนมาในอากาศทันทีที่ประตูห้องถูกเปิดออก ลูมิสชะงักไปชั่วขณะ มือที่ถือไฟฉายค้างเอาไว้ฉายแสงให้เห็นตัวหนังสือที่ไม่รู้ว่าเขียนด้วยสีแดงหรือว่าเลือด
‘สวัสดีลูมิส ขอบคุณที่มาเล่นด้วยนะ’
“ระยำ” เขาไม่ต้องเสียเวลาคิดต่อจากนั้นแม้แต่เสี้ยววิฯ ชายหนุ่มถลาตัวออกจากห้องแล้วตรงไปที่ประตูหลังบ้านซึ่งอยู่ใกล้กว่า กระชากเปิดพร้อมกับพุ่งตัวออกไป สมองประมวลผลสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ที่ประตูห้องนอนนั่นต้องมีเซนเซอร์บางอย่างอยู่แน่ หรือไม่ก็กล้องวงจรปิดแบบอินฟราเรด ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน แต่ในบ้านหลังนั้นต้องมีระเบิดอยู่แน่ เขาทำได้แค่หวังว่ามันจะไม่ร้ายแรงเกินไป
ลูมิสนึกถึงบ่อน้ำเล็กๆ ที่อยู่ถัดไปอีกเล็กน้อย เขาสังเกตเห็นมันตอนที่จอดรถแล้วย่องมาที่บ้านหลังนี้
สัญชาตญาณสั่งให้เขาพุ่งทะยานไปที่แห่งนั้นทันที ขาเรียวยาวพาร่างของตัวเองทะยานลงผืนน้ำเป็นจังหวะเดียวกับที่แรงระเบิดจากด้านหลังกดทับลงมา ฟองอากาศลอยออกมาจากปากของคนที่อยู่ใต้น้ำเพราะแรงดันมหาศาลที่ทำให้ร่างกายด้านชาจนแทบขยับตัวไม่ได้
แต่ถึงอย่างนั้นก็ดีกว่ารับระเบิดกระแทกหน้าเต็มๆ แน่
ลูมิสลอบคิด กัดฟันข่มความเจ็บปวดที่เพิ่มพูนขึ้นมาจนชวนให้สติหลุดออกจากร่าง เสี้ยววินาทีหนึ่งเขาเกือบจะสลบไปอยู่แล้ว หากสัญชาตญาณในตัวส่งเสียงเตือนว่าขืนเขาหลับตรงนี้ก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกแน่ ชายหนุ่มจึงได้แต่กัดฟัน ประคองสติพาตัวเองแหวกว่ายขึ้นไปด้านบน เมื่อแน่ใจว่าแรงระเบิดเมื่อครู่หายไปหมดแล้วลูมิสก็ตะเกียกตะกายโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำพร้อมกับหอบหายใจระรัว
เขามองกลับไปยังบ้านหลังเล็กที่ตัวเองเพิ่งเข้าไปสำรวจ มันพังราบไปเรียบร้อยแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าเขาตัดสินใจจะก้าวออกมาช้ากว่านั้นสักเสี้ยววินาทีละก็… เขาเองก็คงมีสภาพไม่ต่างจากมัน
ชายหนุ่มไม่เสียขอบคุณในความโชคดีของตัวเองหรือฟูมฟายกับความเจ็บปวด เขายันตัวลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลเพราะบาดแผลที่หนักที่สุดบนแผ่นหลัง เดินกลับไปที่รถด้วยความเร็วที่ช้าลงจากปกติแม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามเร่งฝีเท้าอย่างสุดกำลังก็ตาม
ลูมิสปิดประตูรถ ผ่อนลมหายใจอย่างแรงเฮือกหนึ่งขณะที่เท้าเหยียบคันเร่งด้วยความเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ในหัวนึกทบทวนถึงสิ่งที่เจอซ้ำไปมาเพื่อเตือนไม่ให้ตัวเองลืม
‘สวัสดีลูมิส ขอบคุณที่มาเล่นด้วยนะ’
ใครบางคนกำลังเล่นตลกกับเขา แต่เป็นตลกที่ขำไม่ออก แต่อย่างน้อยก็ชัดเจนแล้วว่าเขาคือเป้าหมายอย่างแน่นอน ทีนี้ก็ต้องมานั่งเสียเวลาคิดแล้วว่าใครที่พยายามจะเก็บเขา
จำนวนที่ผุดขึ้นในหัวมากมายจนไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดีเลย
“อ่า…” ลูมิสครางออกมาแผ่วเบาเพราะสภาพร่างกาย หากในหัวคิดถึงกลุ่มคนที่มีความเป็นไปได้ว่าอยากจะได้ชีวิตเขาตอนนี้
แต่สิ่งที่ลูมิสกำลังกังวลตอนนี้ก็คือ… บางทีเขาอาจเชื่อใจใครไม่ได้เลยแม้แต่คนในองค์กรเดียวกัน
…
ซันนั่งเหม่อลอยมองหน้าจอคอมพิวเตอร์มาเป็นเวลาเกือบสิบนาทีแล้ว นี่ไม่ใช่นิสัยปกติของเขา แต่ถ้าต้องเจอเรื่องที่หนักหนาอย่างโดนลักพาตัวไปซ้อมหลายวันติดกัน เจอศพหัวหน้างานอยู่ใต้เตียงของแฟนตัวเอง ซันว่าแค่เขาไม่เป็นบ้าไปก่อนก็เก่งมากพอแล้ว
และตอนนี้ทั้งบริษัทก็แต่งชุดดำไว้อาลัยให้กับแมดเดอลีน สตีเวนสัน พนักงานคนสำคัญที่ทำให้องค์กรก้าวหน้ามาได้ถึงเพียงนี้ แต่ทุกคนไม่ได้เห็นศพของหญิงสาวเหมือนที่เขาเห็นนี่ แล้วยิ่งการตายของหล่อนสยดสยองขนาดนั้น…
อุบ… แค่คิดถึงมันขึ้นมาก็จะอ้วกแล้ว
ซันลุกออกจากที่ทำงานของตัวเองหลังจากทนแรงกดดันไม่ไหว ชายหนุ่มสะโหลสะเหลราวกับคนป่วยเพิ่งฟื้นไข้ เข้าไปในห้องน้ำโซนที่คนค่อนข้างน้อย ไม่ถึงกับอาเจียนออกมาแต่ก็เกือบไปเหมือนกัน เขาห้ามตัวเองไว้ได้ด้วยการสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อไล่อาการหน้ามืดที่ผลุบๆ โผล่ๆ มาช่วงนี้ เดินไปที่ซิงค์แล้วเปิดก๊อกขึ้นมาวักน้ำใส่หน้า นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเหลือบมองกระจก แทบจะสะดุ้งไปติดอยู่กับผนังด้านบนเมื่อเห็นร่างของใครบางอยู่ด้านหลังเขาในกระจกเงานั่น
เขาเกือบจะส่งเสียงร้องออกมาตอนที่ร่างสูงเพรียวก้าวเข้ามาประชิดแล้วยกมืออุดปากเขาอย่างรวดเร็ว แอนดรูว์ยกนิ้วชี้อีกข้างแตะริมฝีปาก ส่งเสียงชู่เบาๆ เพื่อให้คนรักของเขาเงียบ ซันพยักหน้ารับทีหนึ่งก่อนจะกระซิบถามเสียงเบาอย่างงุนงง
“นาย… มานี่ได้ไงเนี่ยดรูว์ แล้วนี่นายบาดเจ็บเหรอ? ” ซันไม่ได้เห็นบาดแผลเต็มๆ ที่กลางหลังเพราะสายลับหนุ่มจัดการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเรียบร้อยแล้ว ถ้าซันได้เห็นแผลเขาเต็มๆ ละก็ไม่มีทางนิ่งอยู่ได้แบบนี้หรอก
แต่ถึงจะบอกว่านิ่งสีหน้าและแววตาของเจ้าตัวก็บ่งบอกถึงความกังวลมากพอสมควร ลูมิสนับถือแฟนของตัวเองจริงๆ ที่ช่างสังเกตถึงเพียงนี้ ทั้งที่เขาแน่ใจว่าปกปิดแผลแล้วก็กลบเกลื่อนอาการบาดเจ็บของตัวเองได้อย่างแนบเนียนแล้วเชียว
“ก็นิดหน่อย”
“ทำอะไรมา”
ร่างสูงไม่ตอบในทันที เขาหันซ้ายหันขวาเพื่อดูว่าไม่มีใครจากนั้นก็ลากซันเข้าไปในห้องน้ำห้องหนึ่ง ปิดประตูลงกลอน ดันร่างของคนผมดำไปติดผนังแล้วกดจูบลงบนริมฝีปากของซันอย่างรุนแรงและโหยหาราวกับคนตายอดตายอยาก
ซันทั้งตกใจทั้งขำกับจูบที่ย้ำลงมาอีกครั้ง ทั้งที่คนที่ไม่มีเวลาให้ในความสัมพันธ์ของพวกเขาคือคนตรงหน้านี้แท้ๆ แต่เจ้าตัวก็ยังแทะโลมริมฝีปากเขาอย่างตะกละตะกลาม ซันตวัดลิ้นรับจูบของอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวลกว่า แต่แอนดรูว์ไม่ยอมผ่อนจังหวะใดๆ ลงให้เขาเลย ตรงกันข้าม ฝ่ามืออุ่นเริ่มรุกล้ำเข้ามาใต้สาบเสื้อเขาอย่างซุกซนแล้ว
ซันไหวตัวเล็กน้อยอย่างตกใจ มือเลื่อนไปจับแขนแอนดรูว์นิดๆ เพราะไม่ชินกับเรื่องอย่างว่าที่ห่างหายไปนานแรมปี แอนดรูว์ส่งเสียงในลำคออย่างพอใจ ผละจูบออกแล้วเลื่อนริมฝีปากไปคลอเคลียที่ใบหูซัน ท่อนแขนที่แข็งแรงกว่าหลุดออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย กระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงข่มขู่ที่ชวนเร้าอารมณ์คนฟังอย่างบอกไม่ถูก
“เดี๋ยวนี้กล้าขัดฉันเหรอ? ”
“เปล่า…” ซันว่า นึกถึงช่วงปิดเทอมก่อนจะเข้ามหาลัยที่พวกเขาสองคนเล่นบทรักแบบที่อีกฝ่ายต้องทำตามคำสั่งของอีกฝ่ายหนึ่ง เสียงที่แอนดรูว์ใช้ตอนนี้เหมือนกับตอนนั้นไม่มีผิดเลย “แค่ไม่ทันตั้งตัว”
“อาราย” ใบหน้าคมยกยิ้มเจ้าเล่ห์ “ทำตัวเป็นสาวน้อยบริสุทธิ์ไปได้ นี่ ซัน จำช่วงที่เราจบม.6 ใหม่ๆ กันได้ไหม ที่เราเล่น SM กันอะ ฉันยังจำได้เลยว่าเร่าร้อนขนาดไหนเวลารับคำสั่งจากฉัน”
“อย่าเอาเรื่องเก่าๆ มาพูดนะ” หน้าของซันแดงเถือกไปถึงหลังหู ใครจะไปบอกกันล่ะว่าเขาก็กำลังคิดถึงเรื่องเดียวกับที่ดรูว์พูดอยู่เป๊ะเลย
“ที่รักเขินเหรอครับ” ลากลิ้นร้อนลงบนหู มือที่อยู่บนแผ่นอกเริ่มหยอกเย้ากับส่วนยอดที่เริ่มแข็งรับสัมผัสเสียวซ่านจากคนตรงหน้า ซันครางแผ่วเบาในลำคอ ขยับร่างรับฝ่ามือกร้านอีกข้างที่ลากลงมาบนหน้าท้อง ไล้ลงต่ำเรื่อยๆ จนล้วงไปสัมผัสผิวเนื้อใต้กางเกง
เสียงครางแผ่วเบาอย่างพึงพอใจเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากคู่สวย แอนดรูว์ขบริมฝีปากเจ้าตัวอย่างมันเขี้ยว
“อย่าส่งเสียง”
นั่นเป็นประโยคคำสั่ง
ซันปล่อยให้มือหนารูดลงบนส่วนอ่อนไหวของเขาอย่างชำนาญการ ใบหน้าหล่อเหลาของคนผมบลอนด์ห่างจากเขาไปเพียงไม่กี่เซนฯ ลมหายใจอุ่นที่เป่ารดกันทำให้ซันยิ่งเข่าอ่อน ความปรารถนาที่เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ส่งผลให้เขาส่งเสียงครางออกมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่
แอนดรูว์กดจูบลงมาแรงขึ้นเป็นเชิงเตือน
“ผมสั่งว่าไง? ”
“อะ… อือ” นัยน์ตาสีดาร์กช็อกโกแลตหยาดเยิ้มทีเดียวขณะมองมาที่เขาอย่างอ้อนวอน แม้ทั้งคู่จะรู้ว่านี่มันไม่ใช่เวลามาทำเรื่องลามกแบบนี้แต่ก็ไม่มีใครห้ามใครได้
“ถ้าส่งเสียงแล้วคนอื่นเข้ามาจะทำยังไงครับ”
“อะ… ดรูว์…”
แอนดรูว์เหลือบมองแก่นกลางที่อยู่ในมือของตัวเอง ตวัดลิ้นลงบนหูของคนตัวเตี้ยกว่า พอใจที่ได้เห็นซันสะดุ้ง หูที่แดงระเรื่ออยู่แล้วแดงขึ้นกว่าเดิม
“อยากถึงไหม” กระซิบด้วยน้ำเสียงยั่วยวนพร้อมกับเร่งจังหวะมือ คนถูกถามบิดตัวเกร็งด้วยความเสียวซ่าน “รู้ใช่ไหมว่าอยากถึงต้องทำยังไง”
“ดรูว์ ไม่เอา” จะบ้าเหรอ เขาสองคนไม่ใช่เด็กๆ แบบตอนนั้นแล้วนะ จะมาให้พูดอะไรน่าอายแบบนั้นได้ไง
“ไม่เอาก็อด” น้ำเสียงยียวนจนซันอยากทุบหัวใส่สักที ซ้ำเจ้าตัวยังลดจังหวะมือที่ปรนเปรอเขาอยู่อีกต่างหาก ซันกัดฟันกรอด มองไอ้ตัวแสบที่ทำลอยหน้าลอยตาส่งยิ้มเผล่ให้เขาอย่างกวนประสาท อยากจะรับคำท้านั้นอยู่ แต่ถ้าดรูว์ไม่ทำให้เขาตอนนี้เขาต้องคลั่งตายแน่ๆ อีกอย่างกว่าจะได้เจอกันครั้งต่อไปก็ไม่รู้เมื่อไหร่ เขาอยากใช้เวลาทุกนาทีที่อยู่กับหมอนี่ให้มีค่าที่สุด
ยอมลงให้มันก็ได้วะ…
“ดรูว์ครับ” พูดเสียงอ่อยอย่างจำยอม “ทำให้ผมถึงสวรรค์ที”
“ได้สิครับที่รัก” แอนดรูว์หอมแก้มคนขอฟอดใหญ่ เร่งจังหวะมือของตัวเองมากขึ้น เมื่อเห็นริมฝีปากคู่สวยกำลังจะเผยอขึ้นมาเขาก็จูบปิดปากอย่างรวดเร็ว ลงท้ายซันเลยทำได้แค่ส่งเสียงอู้อี้ในลำคอขณะปลดปล่อยน้ำสีขาวขุ่นลงบนฝ่ามืออีกฝ่ายที่รอท่าอยู่แล้ว
ซันทิ้งน้ำหนักตัวกระแทกกับผนังด้านหลังขณะหอบหายใจระรัว เหลือบมองคนตรงหน้าที่หยิบทิชชู่ขึ้นมาเช็ดมือที่เปื้อนน้ำรักของเขาออก
ให้ตายเถอะ นี่พวกเขาสองคนทำบ้าอะไรกันอยู่เนี่ย
“ตกลงทำอะไรถึงบาดเจ็บมา? ”
“เอาจริงดิ? ” แอนดรูว์ขมวดคิ้วขณะโยนทิชชู่ลงในชักโครก “นั่นคือคำแรกที่นายพูดหลังจากที่ฉันส่งนายไปสวรรค์เหรอ? ”
“ตลกมากเลยนะที่มาทำเรื่องหื่นๆ ในสถานการณ์แบบนี้”
“นายก็เคลิ้มดีนี่”
เถียงไม่ออก เขาไม่ต่อต้านผู้ชายคนนี้ได้เลยไม่ว่าจะตอนไหน
“อย่าโยกโย้นะ แอนดรูว์ ตอบคำถามฉันมาได้แล้ว”
“โดนระเบิดน่ะ”
ซันอ้าปากค้าง “นายว่าไงนะ”
“โดนระเบิด แค่เฉียดๆ เอง” พูดพลางยกมือประกอบท่าทางอย่างยียวน “ยังอยู่ครบสามสิบสองประการ แถมยังแข็งแรงพอจะใช้มือทำให้นายได้อีก”
“คิดว่านี่ตลกนักใช่ไหม”
“อย่าซีเรียสสิครับ”
“นาย…” ซันอ้าปากค้าง แฟนของเขาเพิ่งเฉียดตายจากการโดนระเบิดมา สิ่งแรกที่พวกเขาทำด้วยกันก็คือเซ็กส์แบบภายนอกในห้องน้ำเนี่ยนะ? “นายใช้ชีวิตยังงกันแน่วะเนี่ย”
“งานมันเสี่ยง” แอนดรูว์ยอมรับ ดึงซันเข้ามากอดแนบอก “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง แต่ฉันไม่อยากโกหกนาย”
ซันกอดตอบ วินาทีหนึ่งเขาจินตนาการถึงสิ่งที่เลวร้ายที่สุดขึ้นมา ถ้าเกิดคราวหน้าดรูว์ไม่โชคดีเหมือนครั้งนี้ล่ะ? ถ้าคราวหน้าเขาตายจริงๆ ล่ะ?
“นายเลิกงานนี้ไม่ได้เหรอ”
แอนดรูว์จูบหน้าผากของคนในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน
“ไม่ใช่ตอนที่มีคนกำลังตามฆ่าฉันอยู่แน่”
“ว่าไงนะ” ซันอุทาน มองสีหน้าจริงจังขึ้นของคนรักอย่างวิตก
“มีคนพยายามฆ่าฉัน” แอนดรูว์พูดอย่างสงบราวกับมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทุกวัน “ฉันจำเป็นต้องสืบหาให้ได้ว่าใคร ไอ้บ้านั่นมันเข้าหาตัวฉันผ่านนาย เพราะงั้นฉันอยากให้นายระวังตัวให้มากที่สุดระหว่างที่ฉันไม่อยู่ ถึงจะมีเจนกับไบรอันคอยคุ้มครองนายอยู่แล้วก็เถอะ แต่ห้ามประมาทนะเข้าใจไหม”
“นายจะไปไหน” ในที่สุดซันก็รู้เหตุผลที่ดรูว์มาหาเขาในเวลาทำงานแบบนี้ ยิ่งเห็นัยน์ตาสีเขียวเบือนไปอีกทางเหมือนเด็กที่โดนครูจับได้ว่าแอบกินขนมในห้องเรียนแบบนั้นด้วยแล้ว… “นายจะผิดสัญญาฉันใช่ไหม ที่บอกว่าจะติดต่อมาทุกอาทิตย์น่ะ”
“ฉันไม่รู้” แอนดรูว์ยอมรับ “แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันเสี่ยงไปหมด ฉันไม่อยากเอานายเข้ามาเกี่ยวกับตัวเองมากกว่านี้อีกแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้ อีกอย่างฉันจำเป็นต้องไปสืบหาว่าใครคือคนที่กำลังตามล่าฉัน ถ้าฉันไม่พลิกเป็นฝ่ายล่า ฉันก็จะโดนล่าซะเอง นายเข้าใจไหม”
ไม่ ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้นแหละโว้ย!
ซันอยากจะตะโกนตอบกลับไปแบบนั้น แต่วัยวุฒิทำให้เขาต้องกลืนน้ำลายลงคอไปอย่างยากเย็น
“ฉันช่วยนายได้นะดรูว์” ซันพูดเสียงแผ่ว “อะไรก็ได้ ฉันลางานไปสักอาทิตย์หนึ่งเพื่อช่วยนายหาเบาะแสผ่านอินเทอร์เน็ตหรืออะไรแบบนั้นก็ได้”
“ไม่ ขอร้องเถอะซัน นายต้องใช้ชีวิตของนายนะ ฉันไม่อยากเอานายมาเสี่ยงอีกแล้ว”
ซันสูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ เฮือกหนึ่ง “แต่นายจะกลับมาหาฉันใช่ไหม”
“แน่นอน”
“เมื่อไหร่”
แอนดรูว์ไม่ตอบ เรียกว่าตอบไม่ได้น่าจะดีกว่า
“ฉันต้องเป็นฝ่ายรออีกแล้วเหรอ? ”
“ขอโทษ”
ซันหันหลังให้คนรักของตัวเอง แขนยกขึ้นกอดอก “ถ้าฉันขอตามนายไปด้วย ฉันจะเป็นตัวถ่วงนายใช่ไหม”
แอนดรูว์โอบกอดเขาจากด้านหลัง จูบลงบนขมับราวกับจะปลอบโยน “นายไม่เคยเป็นตัวถ่วงของฉัน ซัน”
ซันไม่พูดอะไรตอบ
“นายมีค่าสำหรับฉันมาก… มากๆ ๆ ๆ ๆ ที่สุด เพราะงั้นฉันทนไม่ได้แน่ถ้าต้องเสียนายไป แต่ฉันสัญญา ฉันจะจัดการเรื่องของตัวเอง จากนั้นเราจะได้อยู่ด้วยกันเหมือนเดิม”
ประโยคหลังนั่นทำให้ร่างที่เกร็งอยู่เมื่อคลายลง แม้จะไม่ชอบใจกับความเผด็จการของดรูว์ แต่ซันก็รู้ตัวดีว่าเขาไม่มีทางเลือก
“นายสัญญาแล้วนะเมื่อกี้”
“สัญญาแล้ว”
“ฉันจะรอ” ซันหันกลับมาสบตาอีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา “จะรอ… อย่างที่รอมาตลอด”
เขาปล่อยให้แอนดรูว์เลื่อนหน้าลงมาประทับจูบบนริมฝีปาก มันอ่อนหวานเหมือนเดิมอย่างที่เขาจำได้
“ฉันรักนาย ซัน”
ซันยกยิ้มที่จะติดจะขมขื่น “ฉันก็เหมือนกัน”
-------------------------------------------------
Talk: กลับมาเขียนเรื่องนี้ต่อแล้ว! เยสสส คิดถึงพ่อตาเขียวและน้องพระอาทิตย์มาก XD