[[[< มนตราในราตรี > ]]] ความหลงใหลในแวมไพร์ - ตอนที่ 17 (10 มีค 61)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [[[< มนตราในราตรี > ]]] ความหลงใหลในแวมไพร์ - ตอนที่ 17 (10 มีค 61)  (อ่าน 6057 ครั้ง)

ออฟไลน์ pui_noizๆ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
อืมมมม... น่าติดตาม
เนื้อหาน่าสนใจทีเดียว ต่างจากที่คิดไว้เยอะเพราะตอนแรกที่เข้ามาคืนอ่านชื่อเรื่องผิดเป็น มนตราในมนตรี :heaven เลยแบบเออ 2 คนในร่างเดียวหรอ พี่สาวมนตรา น้องชายมนตรี แล้วมีใครตายเลยต้องมาสิงร่าง...แต่มันไม่ใช่ เราอ่านผิด กรำๆๆๆ

ยังรอมนตราในยามราตรีอยู่นะ เอ๊ะ หรือมีไปแล้วตอนที่อิ่มโอษฐ์กัน และคงไม่ใช่แค่นั้น 555

ขอบคุณฮะ

ออฟไลน์ kanj1005

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1

ออฟไลน์ NyaKard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
คนเขียน >> ขอบคุณทุกเม้นท์ที่ผ่านมาให้กำลังใจนะ  คนเขียนจะพยายามลงบ่อยๆให้จบเรื่องเร็วๆนี้                 


ตอนที่ 13

 
นกหลงฝูงส่งเสียงร้องกรีดแหลมแทรกความเงียบกลางภูเขาแล้วเลือนหาย  ความทรงจำที่ฝังใจวาริทหวนกลับมาหลอกหลอนเขาทุกคราวเมื่อคิดถึง กลางสายหมอกรางเลือนของดินแดนเล็กๆ ทางยุโรปตะวันออก ได้ยินเสียงฝูงนกอพยพลงใต้เพื่อหนีหนาวดังก้องเต็มท้องฟ้า
 
'ดูแลทุกคนด้วย ฉันคงไม่กลับมาอีก'
 
คำฝากฝังของชาลในวันจากลาเป็นคำสั่งที่วาริทยึดถือและทำตามมาตลอด
 
'ขอโทษที่ให้เธอรับภาระนี้  มีเธอคนเดียวที่เหมาะสมจะเป็นผู้นำกลุ่มคนต่อไป'
 
จากนั้นชาลเอ่ยคำอำลา วาริทมองเขาเดินจากไปโดยไม่หันหลังกลับ รู้สึกเหมือนหัวใจครึ่งหนึ่งหลุดลอยลับหาย  เขาทำได้เพียงยืนมองส่งเงียบๆ อย่างทุกข์ทรมานด้วยเคารพการตัดสินใจของชาล แต่วันนี้เขารู้ซึ้งแก่ใจว่าไม่ควรทำเช่นนั้นอีก...
 
“ถ้าฉันกลับไปคราวนี้ เธอคงไม่ปล่อยให้ฉันกลับมา  ฉันเป็นอดีตของกลุ่มไปแล้ว...วาริท  ตัดใจเถอะ”  ชาลพยายามบอก 
 
วาริทกลับส่ายหน้า เปลวไฟสีมรกตในดวงตาฉายโชน  มือเย็นขาวจัดทั้งคู่ประคองมือที่ร้อนจัดด้วยพิษไข้ไว้แนบแน่น แวมไพร์ผมเงินไม่อาจปล่อยให้คนตรงหน้าเดินหายไปเป็นครั้งที่สอง 
 
“ท่านไม่เคยเป็นอดีตของผม  สำหรับผม...สำหรับกลุ่มของเรา....ท่านยังเป็นปัจจุบัน...ยังเป็นอนาคต...  ทำไมถึงต้องกีดกันผมออกห่างตลอดเวลา”
 
“ฉันไม่ได้กีดกัน เธอมีที่ที่ควรกลับไป ฉันเองก็มีที่ที่อยู่  เอาเลือดฉันไปวิจัยให้พอแล้วกลับไปเถอะวาริท เธอยังมีคนให้ดูแลอีกมาก ยังมีหน้าที่ต้องทำ  ดูฉันไว้เป็นเยี่ยงอย่าง แต่อย่าเดินตามรอยฉันเด็ดขาด”
 
วาริทไม่อยากรับฟัง  “ถ้าจำเป็นต้องใช้กำลังบังคับผมก็จะทำ ถ้าเป็นตอนนี้ผมมั่นใจว่าเอาชนะท่านได้แน่นอน”
 
ดวงตาชาลเป็นประกายแข็งกร้าวฉับพลัน มันทรงอำนาจอย่างที่วาริทเคยสัมผัสมาตลอด  คนเจ็บบีบมือขาวจัดที่กุมไว้เต็มแรงจนวาริทแสดงสีหน้าเจ็บปวด  ชาลประกาศก้อง
 
“อย่าคิดว่าทำแบบนี้แล้วฉันจะยอม  ถ้าบังคับฉันได้ก็เอาเลย  เอาตัวไปสิ !  ฉันจะตายให้เห็นตรงนี้ !  เอาเศษเถ้าถ่านของฉันกลับไปนอนกอดได้เลย !”
 
“ท่านชาล !”  วาริทผงะ เจ็บแปลบกลางใจเหมือนถูกมีดกรีด เขากัดฟันแน่นพลางเบือนหน้าหนี
 
“ทำไม...”
 
ชาลข่มอารมณ์ให้ราบเรียบ คลายแรงที่บีบมือวาริท 
 
“เพราะฉันไม่กล้าสู้หน้าทุกคนในกลุ่มไง...  ฉันละอายใจที่ตัวเองเลือกเดินหนีมา  ฉันเห็นแก่ตัวมากพอจะอยู่กับคนที่รักมากกว่าลูกน้องและทิ้งทุกคนไว้ข้างหลัง  ทิ้งความรับผิดชอบทุกอย่างไว้บนบ่าเธอ...  มันเป็นตราบาปของฉันมาตลอด  ตอนนี้ฉันกำลังรับผลการกระทำตัวเองอยู่  ฟังนะ... ถึงจะย้อนเวลากลับไปให้ฉันเลือกทางชีวิตอีกครั้ง ฉันก็ยังเลือกเส้นทางนี้อยู่ดี  ...เข้าใจรึยังวาริท นี่เป็นทางที่ฉันเลือก และจะไม่เดินกลับไปอีกแล้ว”
 
มือขาวจัดของวาริทเย็นเฉียบราวไร้เลือดไหลเวียน เขาซบศีรษะลงบนที่นอนข้างตัวชาล  วาริทไม่มีน้ำตา มีแต่ความเจ็บปวดรุนแรงตรงจิตใจราวถูกเชือดฟัน กลางอกปวดร้าวไร้เรี่ยวแรง   
 
ชาลเอื้อมมืออีกข้างลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีเงินสลวยอย่างปรานี
 
“ไม่มีฉัน เธอก็อยู่ได้...  ถึงไม่มีฉันมานาน กลุ่มของเราก็ยังอยู่ต่อไปได้”
 
วาริทสั่นศีรษะแม้ใบหน้ายังซบบนที่นอน ไหล่สั่นสะท้าน
 
“ตลอดเจ็ดสิบปีผมยอมทำตามที่ท่านสั่ง ไม่ตามหาท่าน ปล่อยท่านไป...  แต่ผมคิดผิดมาตลอด ผมไม่น่าทำอย่างนั้นเลย”
 
“เธอห้ามฉันไม่หรอก ไม่ว่าเรื่องที่ผ่านมาหรือกำลังจะเกิดขึ้น  คนที่สั่งฉันได้มีแค่ตัวฉันเอง”
 
แม้เสียใจเท่าไหร่ก็ไม่มีน้ำตา วาริทเงยหน้ามองผู้เคยเป็นเจ้านายช้าๆ เอ่ยคำขอร้อง
 
“ถ้าท่านไม่ยอมกลับไป  ช่วงที่ท่านป่วย ขอผมอยู่ข้างท่านจะได้ไหม”
 
“เธอมีหน้าที่ต้องทำ  มีคนที่ต้องดูแล”  ชาลเสียงอ่อนลง
 
“นั่นก็สิ่งที่ท่านยัดเยียดให้ผมไม่ใช่รึไง !”  วาริทระเบิดโทสะ ก่อนได้สติและกลับมาพูดอย่างนุ่มนวล  “ท่านไม่ต้องห่วง ผมไม่ให้เสียงานหรอก  ผมจะทำหน้าที่ทุกอย่างที่ต้องทำ แค่ขอผมอยู่ข้างท่านต่ออีกนิดเถอะ”
 
ชาลถอนใจ เขาเหนื่อยเต็มทีกับการถกเถียงแบบนี้ รู้สึกว่าเชื้อโรคร้ายในตัวกำลังทำงานมากขึ้น 
 
“ตามใจ ขอฉันพักหน่อยเถอะ”
 
วาริทเปิดขวดแก้วเจียระไนเทยาเม็ดสีแดงให้คนเจ็บกินเพิ่ม  ชาลปิดเปลือกตาแล้วเข้าสู่ห้วงนิทราด้วยพิษไข้อ่อนๆ อย่างรวดเร็ว
 
 


 
 
อากาศยามพลบค่ำในภูเขาเย็นลงอย่างรวดเร็ว อัคนิเดินเตร็ดเตร่สำรวจตรวจตราร่องรอยต่างๆ รอบบริเวณบ้านพัก  เด็กชายเป็นคนนำวาริทเดินทางไกลมาถึงที่นี่  วาริทเป็นทั้งหัวหน้ากลุ่มแวมไพร์ที่เขาสังกัดอยู่ และเป็นคนสั่งให้เขามาคอยติดตามดูแลชาล  ทั้งที่อัคนิอยากเข้าไปเจอหน้าเจ้านายถามไถ่อาการใจจะขาด แต่ด้วยความเกรงใจ จึงต้องปล่อยให้วาริทสนทนากับเจ้านายตามลำพัง 
 
บริเวณโดยรอบบ้านยังเรียบร้อย ไม่เจอรอยหมาป่า ไม่พบสิ่งผิดปกติ ราวกับไทวินที่เพิ่งก่อเรื่องเสร็จหมาดๆ เมื่อไม่กี่วันก่อนโยกย้ายถิ่นไปแล้ว  เด็กชายรู้สึกวางใจสถานการณ์ขึ้นมานิดหน่อย ที่เป็นห่วงตอนนี้จึงมีเพียงอาการติดเชื้อไวรัสของชาลเท่านั้น  เขารอฟังข่าวดีเรื่องยาต้านไวรัสจากเรเนียซึ่งเป็นญาติห่างๆ ตลอดเวลา โดยอาศัยเทคโนโลยีโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตข้ามประเทศของมนุษย์ การติดต่อสื่อสารระหว่างกลุ่มแวมไพร์จึงรวดเร็วง่ายดายขึ้นทันตาเห็น
 
อัคนิชะงักเท้าเมื่อเห็นเงาตะคุ่มเดินออกจากตัวบ้าน ...วาริทนั่นเอง
 
“เป็นยังไงบ้างครับ”  เด็กชายเอ่ยคำสุภาพกับหัวหน้ากลุ่มแวมไพร์  น้ำเสียงตอบไม่สบอารมณ์นัก
 
“ท่านชาลยืนยันจะอยู่ที่นี่ ไม่ยอมกลับไป ท่านให้เอาเลือดกลับไปวิจัยได้ตามต้องการ”
 
เด็กชายมีทีท่าห่อเหี่ยวลงเห็นได้ชัด  การได้กลับไปอยู่ใกล้นักวิจัยซึ่งกำลังค้นหายาต้านไวรัสทั้งวันทั้งคืนดูจะให้ความหวังมากกว่ามานอนป่วยกลางป่าแบบนี้
 
“ฉันจะอยู่ที่นี่ด้วย จะดูแลท่านชาลสักพัก”  วาริทบอก  “เธอคอยดูท่านชาลเหมือนเดิม เผื่อห้องวิจัยอยากได้อะไรเพิ่ม เธอจะช่วยเอาของไปส่งได้”
 
อัคนิพยักหน้าด้วยความเต็มใจ ดวงตากลมโตสีแดงแสดงความดีใจจนปิดไม่มิด เขาลองขออนุญาตเข้าไปเยี่ยมชาลบ้าง
 
“ท่านเพิ่งหลับไปเมื่อกี้ อย่าเพิ่งรบกวนเลย” 
 
คนตัวเล็กดูหงอยลงทันทีเมื่อได้ยินคำสั่ง
 
แสงสุดท้ายของช่วงเวลากลางวันเลือนลับไปกลายเป็นแสงสีน้ำเงินจางยามราตรี ลมเย็นพัดพากลิ่นหอมหวานของดอกพลับพลึงสีแดงอบอวลทั่วบริเวณ  วาริทมองหน้าต่างห้องนอนชาลบนชั้นสองที่เปิดไว้เพื่อถ่ายเทอากาศซึ่งมองเห็นอยู่ไกลๆ  พลันนึกถึงชื่อที่ชาลเอ่ยยามพบหน้าเขาครั้งแรกขึ้นมา
 
...ศาสวัติ...
 
วาริทอยากรู้แทบอดไม่ไหว ทำไมชาลจึงเอ่ยชื่อนี้ออกมา
 
“ศาสวัติเป็นใคร”  คำถามจากวาริทค่อนข้างดุและแข็งกระด้าง
 
เด็กชายเริ่มกระสับกระส่าย ด้วยพอรู้มาบ้างว่าวาริทชื่นชมเจ้านายมาก หากรู้ความจริงทั้งหมดที่ผ่านมาเมื่อไม่กี่วันก่อนล่ะก็... 
 
“อัคนิ !”  เสียงสั่งดุดันเยียบเย็นจนเด็กชายสะดุ้ง วาริทมองคนตรงหน้าดุจงูใหญ่จ้องเหยื่อ
 
“วิธีเค้นความลับจากแวมไพร์มีเยอะ ฉันเองก็เรียนรู้มาหลายวิธี เธอคงไม่อยากลองทดสอบด้วยตัวเองใช่มั้ย”
 
คำขู่เรียบง่ายไหลซึมผ่านทางหูตรงสู่ไขสันหลัง เด็กชายตัวสั่นฉับพลันด้วยรู้ว่าอีกฝ่ายพูดจริงทำจริงแค่ไหน  เขาไม่อยากลองวิธีอะไรทั้งนั้น  ยิ่งกับวาริท... ยิ่งต้องหลีกเลี่ยง... 
 
อัคนิยอมปริปากเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่ศาสวัติเข้ามาเกี่ยวข้องโดยไม่ปิดบังอำพราง  ช่วงแรกวาริทยังรับฟังด้วยท่าทีสงบเยือกเย็น  ครั้นเล่าถึงช่วงที่ชาลดื่มเลือดมนุษย์คนนั้นและนอนค้างด้วยกันทั้งคืน เด็กชายแลเห็นเพลิงโทสะเจือชิงชังปะทุประกายภายในดวงตาสีมรกตของวาริท ทั้งยังมองเห็นเค้าลางพายุที่จะพัดกระหน่ำทำลายศาสวัติไม่นานเกินรอ... 
 
อัคนิไม่คิดใส่ใจมนุษย์คนหนึ่งคนใดเป็นพิเศษ แต่สองสามวันที่ผ่านมาชาลดูจะถูกใจมนุษย์คนนี้ไม่น้อย เขาแค่ไม่อยากให้เจ้านายเสียใจหากศาสวัติตายลง
 
เมื่อเด็กชายเล่าทุกอย่างจนจบ วาริทกลับมีท่าทีเยือกเย็นดังเดิม แต่เป็นท่าทีซึ่งอัคนิรู้ได้ว่าอีกฝ่ายตัดสินใจจะทำอะไรบางอย่าง...
 
 

-----------------------------


 
ใกล้รุ่งแล้ว พระจันทร์สีจางในคืนแรมจะลับเหลี่ยมภูเขาอีกไม่นาน อากาศเย็นฉ่ำชื้นกลางป่าส่งสายหมอกบางลอยอ้อยอิ่งรอบบริเวณบ้านพัก  อัคนิซึ่งนอนบนพื้นปูผ้าข้างเตียงชาลลืมตากลางความมืด ยันตัวลุกขึ้นเงียบเชียบ สัมผัสด้วยประสาทพิเศษว่าวาริทที่ดูแลชาลตลอดคืนเพิ่งเข้าสู่ห้วงหลับลึกในห้องนอนตรงข้าม
 
ดวงตาสีแดงใสมองเห็นภาพเจ้านายที่หลับสนิทบนเตียงกลางความมืดได้ชัดเจน  ...ยังไม่มียาต้าน ยังไม่มียารักษา... แม้อาการจะดีขึ้นเล็กน้อยแต่ไม่ช่วยให้อัคนิรู้สึกใจชื้นขึ้นเลย 
 
เด็กชายเดินเข้าไปข้างเตียงชาล นั่งคุกเข่ากับพื้น คางเกยขอบเตียงพอดิบพอดี มือเล็กกว่าเอื้อมจับแขนชาลอย่างกังวลระคนห่วงใย 
 
...ไม่อยากคิดว่าถ้าท้ายที่สุดนักวิจัยผลิตยาต้านไม่ทัน ชาลจะเป็นยังไง... 
 
อัคนินึกเคียดแค้นไทวินจงหนักและเกลียดชังหมาป่าสุดใจ ถ้าเจอหน้าพวกมันอีกครั้ง เด็กชายสาบานว่าจะฉีกพวกมันเป็นชิ้นๆ ด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี แล้วเอาเศษชิ้นส่วนเลือดเนื้อไปกองไว้หน้าบ้านตระกูลใหญ่ของมันเป็นของฝาก
 
เมื่อนึกถึงคราวที่เจอกับชาลใหม่ๆ  อัคนิได้รับคำสั่งจากวาริทให้มาคอยติดตามคนคนนี้ ครั้งแรกเขาอิดออดและนึกปรามาสดูถูกชาลว่าเป็นพวกหนีปัญหาไร้ความรับผิดชอบ และไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องมาดูแลผู้ใหญ่พรรค์นี้ด้วย  แต่เมื่อเวลาผ่านไปทีละน้อยจนครบสองปี ยิ่งอยู่นานยิ่งรู้จักกันมากขึ้น อัคนิจึงพบว่าเจ้านายเป็นพวกจริงจังกับหน้าที่ และละอายใจเสมอเมื่อคิดว่าตนทิ้งคนในความรับผิดชอบมา...
 
"อัคนิ" 
 
เสียงเรียกแผ่วเบาดังใกล้ตัว เด็กชายเงยหน้ามองเจ้านายของตน สีหน้ายังแสดงความเป็นห่วงแม้ชาลบอกว่ารู้สึกดีขึ้นแล้วก็ตาม
 
ชาลยังคงยืนยันเหมือนที่ ดร.อาคัสเคยบอกเด็กชายว่า เชื้อไวรัสที่ได้รับมามีปริมาณไม่มากพอจะทำให้ถึงตายในเวลาอันสั้น และมีโอกาสจะหายได้
 
 "อาการก็คงทรงๆ แบบนี้อีกพักใหญ่  ว่าแต่เธอได้ข่าวของศาสวัติบ้างไหม"  ชาลถาม
 
เด็กชายปฏิเสธว่าตั้งแต่กลับมายังไม่ได้เจอมนุษย์คนนั้นอีก แล้วนิ่งไปครู่หนึ่งคล้ายกำลังไตร่ตรอง  สุดท้ายอัคนิมองเจ้านายด้วยสีหน้าจริงจัง ลดเสียงพูดลงให้เบาที่สุด เนื่องจากบางครั้งเสียงดังเท่าหักก้านไม้ขีดไฟก็สามารถปลุกแวมไพร์บางตนที่โสตประสาทดีเยี่ยมจากห้วงนิทราได้ 
 
"ฉันขอโทษ"  อัคนิบอก  "ท่านวาริทสั่งให้เล่าเรื่องมนุษย์คนนั้นให้ฟัง  ท่านโกรธมาก  คิดว่าท่านต้องอะไรซักอย่างกับมนุษย์คนนั้นแน่ๆ" 
 
ดวงตาสีทองหรี่ซึมเมื่อครู่ทอประกายเรียบเย็น ชาลตบไหล่เด็กชายเบาๆ
 
"ขอบใจนะที่เตือน"
 
อัคนิยังพูดย้ำความตั้งใจเดิมว่า  "ฉันไม่ได้ห่วงอะไรนักหรอก แค่ขี้เกียจฟังนายคร่ำครวญทีหลังก็เท่านั้น"
 
ชาลจุดรอยยิ้มมุมปาก ไม่ตอบอะไร  เขาถอยกลับสู่ห้วงคำนึงของตนพลางคาดการณ์ความคิดของหัวหน้ากลุ่มแวมไพร์คนปัจจุบัน  เพราะชาลยังหลงเหลือความรับผิดชอบการกระทำของตนอยู่บ้าง จึงรู้สึกผิดในใจที่ดึงศาสวัติเข้ามาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งระหว่างแวมไพร์และหมาป่าตั้งแต่แรก  ทว่าที่ผ่านมาจนถึงบัดนี้... สิ่งใดซึ่งเลือกแล้ว ชาลมักไม่ปล่อยให้หลุดมือ โดยเฉพาะมนุษย์ที่เขาสนใจและพึงใจมากคนนั้น จะให้ตัดใจเอาป่านนี้คงไม่มีทาง 
 
ชาลผ่อนลมหายใจ  คราวนี้เขาควรจัดการกรงเล็บที่จ่อคอศาสวัติอีกครั้งด้วยวิธีไหนดี...
     
 

-----------------------------
TBC

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-02-2018 20:07:14 โดย NyaKard »

ออฟไลน์ kanj1005

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1

ออฟไลน์ ดาวลูกไก่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 257
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ชาลจะหายมั้ยคะ นี่ก็หลายวันแล้ว ฮือออ เรายังมองไม่เห็นทางรอดเลยค่ะ แต่ถึงขนาดเจ็บหนักขนาดนี้ก็ยังห่วงชีวิตคนอื่นนน ไม่รักเค้าแน่เหรอคะ ท่านชาลล

ออฟไลน์ NyaKard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0


ตอนที่ 14

 

ลมฤดูร้อนภายนอกหน้าต่างยังคงพัดพาใบไม้แห้งร่วงหล่นจากต้น แต่ความร้อนแล้งไม่อาจยื่นเหยียดเข้ามาถึงภายในห้องคนไข้เดี่ยวซึ่งเย็นสบายด้วยเครื่องปรับอากาศ  ศาสวัติกดรีโมทปิดภาพเคลื่อนไหวบนหน้าจอทีวี หมาป่าตัวมหึมาราวกับอสูรกลายเป็นข่าวใหญ่จนถึงขั้นต้องปิดพื้นที่แถบนั้นชั่วคราวเป็นวันที่สอง ความตื่นกลัวแพร่กระจายไปทั่วเหมือนไฟลามทุ่ง โหมกระพือด้วยเรื่องตำนานที่ฝูงหมาป่าจะกลับมาที่ภูเขาทุกห้าสิบปีโดยมีคำบอกเล่าของผู้สูงวัยมากมายแถบนั้นเป็นพยาน แต่เชื่อว่าไม่นานเมื่อหมดเชื้อข่าวนี้จะมอดดับลงอย่างที่เคย 
 
ศาสวัติเอนตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียงขาวสะอาด เขามองแผลเย็บที่ไหล่ซ้ายซึ่งเริ่มตกสะเก็ดและคันยิบยับเป็นสัญญาณว่ากำลังจะหาย แม้แต่หมอเจ้าของไข้ยังแปลกใจที่แผลแห้งเร็วในเวลาเพียงหนึ่งวันครึ่ง ข่าวดีที่ตามมาคือหมออนุญาตให้เขาออกจากโรงพยาบาลตอนเที่ยงวันนี้ โดยแม่กับน้องสาวจะแวะมารับ  ห้องคนไข้เต็มไปด้วยของเยี่ยมจากเพื่อนๆ ที่มหาวิทยาลัย ทั้งผลไม้ เครื่องดื่มบำรุงกำลัง รวมทั้งช่อดอกไม้ ชวนคิดว่าการขนของทั้งหมดนี่กลับคอนโดคงเป็นงานหนักอย่างหนึ่ง 
 
อีกหนึ่งชั่วโมงก่อนถึงเวลาเที่ยง ประตูห้องผู้ป่วยเปิดกว้างโดยไร้เสียงเคาะ ศาสวัติคิดว่าคงเป็นพยาบาลซึ่งมาเช็คความเรียบร้อยอีกครั้ง เมื่อหันไปมองกลับพบเด็กชายผมหยักศกสีทองในชุดเสื้อผ้าธรรมดา ชายหนุ่มจำได้แม่นว่าเป็นเด็กชายผู้ช่วยเขาไว้คราวที่ถูกไทวินจับขังในบ้านร้าง
 
“น้อง...”  ศาสวัติเรียก 
 
ดวงตาสีแดงใสของผู้มาเยือนมีรอยขุ่นเคืองเพราะสรรพนามที่ได้ยิน อัคนิปิดประตู  “ขอบอกไว้ก่อนว่าฉันไม่ใช่เด็ก อย่าทำเหมือนฉันเป็นเด็ก ฉันชื่ออัคนิ”
 
ศาสวัติกระพริบตาสองสามครั้ง  ...คำพูดคำจาฟังดูเป็นผู้ใหญ่อยู่หรอก แต่ยังไงก็รู้สึกว่าเป็นเด็กที่พยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่อยู่ดี  ถ้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็นสมาชิกแวมไพร์คนหนึ่ง ที่รูปร่างแบบนี้อาจจะเป็นเพราะยีนพิเศษของเผ่าพันธุ์พิเศษอะไรทำนองนั้นอีกล่ะมั้ง... 

ชายหนุ่มจึงได้แต่เออออตามน้ำ  “เข้าใจแล้วๆ  ขอบคุณมากนะที่นายช่วยผมจากหมาป่าเมื่อวันก่อนโน้น ถ้านายไม่ไปช่วย ผมคงไม่รอดถึงตอนนี้”
 
“คำสั่งชาลน่ะ”
 
อัคนิตอบสั้นๆ ขณะเลื่อนเก้าอี้สำหรับคนเยี่ยมไข้มานั่งข้างเตียงศาสวัติ  คนฟังมีสีหน้าอ่อนโยนลง ไถ่ถามถึงเจ้าของชื่อ
 
“ชาลเป็นยังไงบ้าง ตั้งแต่คืนนั้นผมไม่รู้ข่าวเลย”
 
เด็กชายเอียงคอมองเล็กน้อย  “พวกนายนี่ถามเหมือนกันไม่มีผิด ความคิดความอ่านเริ่มส่งผ่านระหว่างกันแล้วเหรอ” 
 
เขาเด็ดองุ่นม่วงลูกหนึ่งจากตะกร้าผลไม้เยี่ยมไข้มาคลึงเล่นในมือ ก่อนตอบว่า
 
“ชาลติดไวรัส ตอนนี้นอนป่วยหนักในบ้านพักบนภูเขา” 
 
ศาสวัติใจหาย นั่งตัวเกร็ง ยังจดจำคำพูดของไทวินที่อธิบายพิษสงของไวรัสได้ ชายหนุ่มถามต่อด้วยน้ำเสียงเบาหวิว
 
“แล้ว...เขาจะหายมั้ย?” 
 
อัคนิตอบนิ่งๆ ว่ายังไม่รู้  "ตอนนี้ทีมนักวิจัยของเรากำลังหายาต้านทั้งวันทั้งคืน ฉันขอให้เจอเร็วๆ”
 
คนเจ็บขยับตัวนั่งหลังตรงมากขึ้น สีหน้าเป็นกังวลระคนห่วงใย  “ผมช่วยอะไรได้มั้ย นายมาหาผมเพราะเรื่องนี้รึเปล่า” 
 
เด็กชายพยักหน้า  “นายคงช่วยได้มากในฐานะมนุษย์ที่มีพาหะไวรัส ทีมวิจัยอยากได้ตัวอย่างเลือดจากนายไปวิจัยซักขวด” 
 
เมื่อเห็นอัคนิหยิบขวดแก้วสูงราวหนึ่งคืบกว้างนิ้วครึ่งออกมา ศาสวัติจึงยื่นแขนให้โดยไม่รีรอ 
 
“เอาสิ ต้องใช้มีดกรีดรึเปล่า ในตะกร้าผลไม้อาจจะมี”
 
เด็กชายคล้ายคาดไม่ถึงเล็กน้อย  “ไม่ต้องหรอก” 
 
 นานๆ ทีอัคนิจะเห็นมนุษย์ซึ่งกล้าเสนอตัวให้แวมไพร์โดยไม่ลังเล  เขาจับแขนศาสวัติ ใช้ปลายเล็บคมกรีดเปิดผิวหนังที่ปลายแขนชายหนุ่มเป็นรอยยาวราวหนึ่งนิ้ว  เมื่อเลือดสีแดงอูดขึ้นมา อัคนินำขวดแก้วไปรองบรรจุของเหลวสีเข้มโดยไม่ให้สัมผัสผิวตน  นึกเสียดายกลิ่นที่เคยหอมหวานชวนน้ำลายสอ มาบัดนี้กลับกลายเป็นกลิ่นเหมือนไม้ชื้นน้ำจากเชื้อไวรัสที่ปะปน
 
ศาสวัติเองก็สนใจไม่แพ้กัน เขาดูเลือดตัวเองที่ไหลรินลงขวดไม่วางตาสลับกับมองเด็กชาย  เมื่อลองพินิจใกล้ๆ จึงพบว่าคนตัวเล็กตรงหน้ามีดวงตากลมโตสีแดงสวย เรือนผมสีทองสว่างช่างดูนุ่มนิ่มน่าสัมผัส  ชายหนุ่มคงสนใจมากไปนิด กระทั่งอัคนิสัมผัสถึงสายตาที่จับจ้องจนต้องเงยหน้ามองคนป่วย และถามว่า
 
“นายไม่กลัวเลยเหรอ พอมนุษย์รู้ว่าพวกเราเป็นแวมไพร์ ส่วนใหญ่จะกลัวจนแทบเสียสติ”
 
“ต่อมความกลัวตายด้านชั่วคราวล่ะมั้ง"  ศาสวัติหัวเราะเสียงจืดชืด  "...เจอทั้งแวมไพร์ทั้งหมาป่าเซ็ตใหญ่ขนาดนั้น” 
 
“ฉันอาจมาทำร้ายหรือฆ่านายก็ได้นะ”  เด็กชายตั้งข้อหักล้าง
 
“ถ้าอยากทำตั้งแต่แรก คงไม่ช่วยผมไว้บนภูเขาหรอกใช่มั้ย”
 
“แต่วันนี้สถานการณ์อาจจะเปลี่ยนไปแล้ว ฉันอาจมาปิดปากนาย”
 
“งั้นคงต้องขอร้องว่าอย่าทำอะไรผมเลย  ผมอุตส่าห์รอดมาได้ อยากใช้ชีวิตต่ออีกยาวๆ”
 
อัคนิมองคนป่วยซึ่งมีสีหน้าสดใส แล้วพูดวิจารณ์ไม่อ้อมค้อม  “นายนี่ประหลาด...  ประหลาดพอๆ กับชาลตอนที่ฉันเจอใหม่ๆ”
 
ศาสวัติเลิกคิ้วอย่างแปลกใจที่อยู่ๆ คนตรงหน้าพลันอ้างถึงชื่อชาล  เด็กชายมองเลือดซึ่งใกล้จะเต็มขวด เขายกปลายนิ้วโป้งอีกข้างของตนขึ้นมากัดก่อนหยดเลือดตัวเองลงเศษผ้าที่เตรียมมา แล้วกดผ้าผืนนั้นบนปากแผลศาสวัติเพื่อห้ามเลือด
 
“ไม่รู้จะใช้ปิดแผลได้รึเปล่า ในตัวนายมีไวรัสที่ทำลายเลือดเราอยู่”
 
ศาสวัติกดผ้าบนปากแผลที่แขน มองอัคนิปิดฝาขวดเก็บตัวอย่างเลือดจนแน่นสนิทและเก็บลงถุงผ้าใบใหญ่ที่ถือมาด้วย ยามเปิดปากถุงชายหนุ่มได้กลิ่นหอมหวานชวนคิดถึงลอยผ่านมาวูบหนึ่ง 
 
“เลือดแวมไพร์ใช้รักษาแผลมนุษย์ได้ด้วยเหรอ” 
 
“อืมม มันช่วยสมานแผลได้เร็วขึ้น” 
 
ศาสวัติมองแผลตกสะเก็ดที่ไหล่ซ้ายของตัวเอง หรือที่แผลหายเร็วแบบนี้เพราะได้เลือดประสิทธิภาพสูงของแวมไพร์มาช่วยเยียวยา งั้นใครล่ะที่รักษาเขา... หรือว่าเป็นชาล
 
ชายหนุ่มลองเปิดผ้าที่กดแผลสดออกดู เลือดหยุดไหลแล้ว แต่ปากแผลยังแยกจากกัน  “เชื่อมั้ยว่าถ้ามีคนรู้เรื่องนี้เข้า เผ่าพันธุ์ของนายอาจถูกล่าจนหมดเพราะอยากได้เลือด  ...ต่างฝ่ายต่างล่ากันเอาเลือด ถือว่าเท่าเทียมดีนะ”
 
อัคนิตวัดสายตาขุ่นเขียวมามอง  “เราถึงไม่อยากยุ่งกับมนุษย์ นอกจากใช้เป็นอาหารไง” 
 
ศาสวัติยิ้มตอบ เขามีเรื่องที่อยากรู้มากมาย ทั้งยังค้างคาใจหลายอย่าง  “เมื่อกี้นายบอกว่าผมนิสัยประหลาด เหมือนตอนที่เจอชาลใหม่ๆ  ตอนนั้นชาลเป็นยังไงเหรอ  เล่าให้ฟังหน่อยสิว่าประหลาดขนาดไหน”
 
แวมไพร์ร่างเล็กจ้องคนถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก  ที่ผ่านมาอัคนิมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ชั่วครั้งชั่วคราวในลักษณะผู้ล่ากับอาหาร แต่มนุษย์คนนี้กำลังคุยกับเขาเหมือนเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง หรือไม่ก็เหมือนตัวคนถามกลายเป็นแวมไพร์ตนหนึ่งไม่ต่างกัน 
 
“ตอนนั้นชาลปลอมตัวเป็นคน อาศัยอยู่บ้านหลังเดียวกับมนุษย์แก่ๆ คนหนึ่ง ชาลเคยบอกว่าสนใจเรื่องการมีหัวใจของมนุษย์  ...แต่สิ่งมีชีวิตชั้นสูงก็มีก้อนหัวใจกันหมด ไม่รู้ว่าสงสัยอะไร”
 
ศาสวัติอดหัวเราะไม่ได้  'การมีหัวใจ' ของชาลคงหมายถึงการมีความรู้สึกแบบมนุษย์ล่ะมั้ง  “แวมไพร์อะไรประหลาดดี” 
 
...นายก็ประหลาดดีเหมือนกัน...  อัคนิคิด  ได้ยินชายหนุ่มพูดคะยั้นคะยอด้วยแววตาสนใจใคร่รู้
 
“แล้วเป็นยังไงต่อ เล่าอีกสิ ชาลคงก่อวีรกรรมอะไรเด็ดๆ ไว้เยอะใช่มั้ย” 

อัคนิคิดซักพักก่อนยอมเล่าต่อ
 
"พอมนุษย์แก่ๆ รู้ว่าเราเป็นแวมไพร์ก็กลัวตัวสั่น  ชาลเอาแต่ขอโทษมนุษย์คนนั้นแบบสำนึกผิดมากๆ แล้วพาฉันออกมา ขอโทษอาหารเนี่ยนะ...  ฉันเคยถามว่าการมีหัวใจของมนุษย์คืออะไร เขาก็ตอบอะไรซักอย่างที่ไม่ค่อยเข้าใจให้ฟัง"
 
ศาสวัตินั่งเอนหลังสบายสีหน้ายิ้มแย้ม  ...ถึงเด็กชายตรงหน้าจะไม่เข้าใจคำพูดแต่คงสัมผัสความหมายของชาลได้จากการกระทำ  เท่าที่เขาพบและยังจดจำ แม้ภายนอกชาลจะดูเย็นชาอยู่บ้าง แต่เขาสัมผัสความมีหัวใจที่ซ่อนแฝงอยู่ 
 
อัคนิล้วงมือในถุงผ้าหยิบบางอย่างขึ้นมา
 
"พอรู้ว่าฉันจะมาหานาย  ชาลฝากนี่มาให้"
 
ศาสวัติเบิกตากว้าง เอื้อมมือรับ
 
ดอกพลับพลึงสีแดงดุจเปลวเพลิงช่อใหญ่บานสะพรั่งในมือ ส่งกลิ่นหอมหวานกำจายทั่วห้อง  ชายหนุ่มแตะกลีบบอบบางที่ช้ำเล็กน้อยจากการเดินทางราวกับไม่แน่ใจว่าเป็นของจริงหรือเป็นแค่ตอนต่อจากความฝัน... 
 
...ตั้งแต่เกิดเรื่องราวบนภูเขา ทุกคราวที่หลับตา ชายหนุ่มฝันมาตลอด  ในเมฆหมอกสีขาวและแสงสลัวราง ศาสวัติยังรู้สึกถึงสัมผัสนุ่มนวลแผ่วเบาที่ค้างบนหน้าผากและบนริมฝีปาก  ภาพชายเค้าหน้าตะวันตกผู้มีดวงตาสีทองสุกสว่างยังติดตรึงผนึกแน่นในความทรงจำ ทุกสิ่งพลันแจ่มชัดเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นอีกครั้ง
 
"นายล่ะคิดยังไงกับชาล"  ดวงตาสีแดงใสของอัคนิจ้องเขม็ง  "ชาลไม่ใช่มนุษย์ มีศัตรูรอบด้าน นายเตรียมใจไว้รึยัง"
 
ศาสวัติตกใจจนสะดุ้งเมื่อได้ยินคำถาม รีบโบกมือปฏิเสธพัลวัน  "เดี๋ยวก่อน...  ผมไม่เกี่ยวแล้วนะ จะลากผมเข้าไปยุ่งเรื่องสงครามเผ่าพันธุ์อะไรนี่เหรอ ไม่เอาด้วยหรอก"
 
"ตอนนี้นายเกี่ยวแล้ว  นายเป็นตัวอย่างวิจัยพาหะไวรัส พวกหมาป่าก็รับรู้ว่านายเป็นคนรักของชาล"  อัคนิยืนยันโดยไม่ใส่ใจเสียงคัดค้านประโยคหลังจากศาสวัติ  "...ถึงฉันจะไม่ชอบใจเท่าไหร่ แต่ชาลสนใจนายมาก เขาไม่ปล่อยสิ่งที่สนใจให้หลุดมือซะด้วย"
 
ศาสวัตินิ่งไป  เขาเป็นห่วงชาลเพราะเคยร่วมเป็นร่วมตายกันมาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ  ความรู้สึกอย่างมากที่สุดมีเพียงความชมชอบฝีมือดาบอันเจนจัดและความชื่นชมชายผู้มีรูปร่างหน้าตาราวหลุดมาจากภาพวาดคนหนึ่ง  หากเป็นไปได้ศาสวัติก็อยากพูดคุยทำความรู้จักเพื่อเป็นเพื่อน
 
...เขาอุตส่าห์ทำใจว่าความสัมพันธ์ทางกายระหว่างกันเป็นเพียงวันไนท์สแตนด์หนึ่งคืน ไม่เคยคิดว่าต้องถึงขั้นกลายเป็นคนรัก  ไม่สิ...อย่างชาล ต้องไม่เหลือทางเลือกให้แน่ๆ  ที่สำคัญ... เขาไม่อยากถูกหมาป่าตามล่าไปตลอดชีวิต เท่าที่ได้เจอก็นับเป็นฝันร้ายมากพอแล้ว...  เมื่อคิดถึงตรงนี้ชายหนุ่มพลันรู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาวขึ้นมา
 
เสียงอัคนิสำทับว่า  "ชาลไม่เคยทรยศคนที่รัก หวังว่าคนรักจะไม่ทรยศเขาเหมือนกัน...  นายอย่าทำให้ชาลเสียใจเด็ดขาด"
 
...สรุปเองเสร็จสรรพแบบไม่ถามความเห็นกันอีกแล้ว...  ศาสวัติคร่ำครวญในใจ  ไม่เคยคิดว่าเรื่องจะลุกลามถึงขั้นนี้ 
 
"ผมไม่ใช่คนรัก ไม่ได้รักอะไรทั้งนั้น !"  ชายหนุ่มพยายามยืนกรานปฏิเสธ หากแต่อัคนิไม่สนใจ

เด็กชายเงี่ยหูฟังเสียงบางอย่างแล้วหยิบกระเป๋าผ้าติดมือลุกขึ้นยืน  "ต้องไปแล้วล่ะ"
 
พูดจบก็เปิดประตูห้องจากออกไปทันทีโดยไม่มีคำร่ำลา เฉกเช่นคราวที่เดินเข้ามา





 
คล้อยหลังเด็กชายเพียงไม่กี่วินาทีก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น  อลิชาเปิดประตูห้อง มารดาของชายหนุ่มอยู่ในชุดเรียบหรูสีครีมจากแบรนด์ดังเหมือนเคย ศศินิศาผู้เป็นน้องสาวโผล่ตามมาติดๆ  สีหน้าทั้งคู่ดูสดชื่นแจ่มใสยิ่งกว่าทุกวันนับตั้งแต่ศาสวัติเข้าโรงพยาบาล
 
อลิชาพูดเสียงเจื้อยแจ้วสดใส  “เสร็จเรียบร้อย หมอให้กลับบ้านได้แล้วจ้ะ  อาหารโรงพยาบาลคงน่าเบื่อแย่ แม่จะพาไปเลี้ยงฉลองเที่ยงนี้เลย วัติอยากกินอะไร” 
 
แม่ของเขาบอกพลางยื่นถุงเสื้อผ้าให้เปลี่ยนอย่างอารมณ์ดี  ศาสวัติรับมา ขณะจะลุกจากเตียงไปเปลี่ยนชุดในห้องน้ำ ศศินิศาเข้ามาทำจมูกฟุดฟิดใกล้ดอกไม้สีแดงสดใสในมือเขา พึมพำเบาๆ
 
“ดอกอะไรน่ะพี่วัติ หอมจัง” 
 
"ไม่รู้เหมือนกัน หน้าตาแบบนี้พลับพลึงล่ะมั้ง มีคนฝากมาให้"
 
เขาตอบน้องสาวพลางก้มมองช่อดอกไม้สีแดงสดราวอัญมณีที่เปล่งประกายในมือ  เสียงนกบนต้นไม้ทิ้งใบนอกหน้าต่างแว่วมาดุจเสียงเพลงขับกล่อม ในหูชายหนุ่มแว่วเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยคำเคล้าคลอกลางสายลมฤดูร้อนที่พัดผ่าน
 
‘เราจะพบกันอีกแน่นอน อีกไม่นาน’
 
หัวใจศาสวัติพลันเต้นแรงสูบฉีดเลือดร้อนผ่าวไปทั้งร่าง ชายหนุ่มสัมผัสข้างลำคอตนเองโดยไม่ตั้งใจ กลิ่นของความฝันกลางค่ำคืนฤดูร้อนยังรวยรินอยู่ในมือ
 
อีกไม่นาน...
 

 
-----------------------------
TBC

ออฟไลน์ skyboylove

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 ขอบคุณมากค่ะ :mew1: สนุกมาก ชอบๆๆๆ  รออยู่นะค่ะ   o13

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
รอให้เขาเจอกันไม่ไหวหลาวววว :ling1:

ออฟไลน์ NyaKard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ตอนที่ 15

 
 
ในศูนย์วิจัยวันรุ่งขึ้น ดร.อาคัส สลับเวรกับรองหัวหน้าศูนย์ฯ ขอมาพักในห้องประจำตำแหน่งชั่วคราวหลังกรำงานตลอดคืน เขาถอดเสื้อกาวน์พาดบนเสาแขวนโค้ทริมประตู นั่งหมดเรี่ยวแรงบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน มีผ้าผืนเล็กชุบน้ำเย็นวางปิดตา แก้วเปล่าวางทิ้งบนโต๊ะมีคราบสีแดงจากเลือดสังเคราะห์ที่ดื่มประทังความหิว
 
เรเนียปรายตามองเจ้าของห้อง เธอลี้ภัยชั่วคราวจากห้องควบคุมแล็บซึ่งขณะนี้ถูกแดนิเญลยึดไว้เช่นกัน
 
นอกจากต้องระดมนักวิจัยใต้อาณัติสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเพื่อค้นคว้าหายาต้านไวรัสทั้งวันทั้งคืนแล้ว เมื่อวานตอนเที่ยงคืน ศูนย์วิจัยยังพบปัญหาใหญ่โดยไม่ทันตั้งตัวเมื่อแวมไพร์หนุ่มหัวแข็งนาม แดนิเญล นำกลุ่มแวมไพร์อีกแปดคนบุกห้องวิจัยเพื่อประท้วงที่ปิดเรื่องไวรัสเป็นความลับ และกดดันให้วาริทเดินทางกลับมาเพื่อดูแลความปลอดภัยสมาชิกในกลุ่ม
 
เมื่อรู้ว่าหญิงสาวกำลังรายงานความคืบหน้าให้หัวหน้ากลุ่มรับทราบ  ชายหนุ่มหน้าตาคมคายรูปร่างสูงใหญ่คว้าโทรศัพท์จากมือเธอโดยไม่สนใจมารยาท
 
"คนที่เป็นหัวหน้าควรมีความรับผิดชอบมากกว่านี้! " 
 
แดนิเญลตะโกนแข็งกร้าวใส่หูโทรศัพท์ในมือ  เขาเอี้ยวตัวหลบหญิงสาวอย่างรวดเร็วเหมือนมีตาหลัง  เรเนียแทบกรีดร้องเมื่อเขาพูดถ้อยคำไร้มารยาทใส่บอสของเธอ
 
"ท่านควรทราบว่านี่เป็นช่วงวิกฤต! ถ้าท่านยังไม่กลับมาภายในเช้าวันพรุ่งนี้ ผมจำเป็นต้องเชิญหัวหน้ากลุ่มแวมไพร์ท่านอื่นมาช่วยดูแลกลุ่มของเราแทน! "
 
หญิงสาวเดือดจัด พุ่งตัวสุดแรงแย่งโทรศัพท์คืนจากมือชายหนุ่มร่างใหญ่ได้สำเร็จ
 
"ขอโทษค่ะบอส"  น้ำเสียงเรเนียเจือเสียงหอบ  "แดนแย่งโทรศัพท์ฉันไป" 
 
คราวนี้เธอหลบแดนิเญลที่หมายคว้าอุปกรณ์สื่อสารได้ทัน  เรเนียเปิดประตูห้องเดินรวดเร็วจนแทบกลายเป็นวิ่งเพื่อให้พ้นจากผู้คุกคาม 
 
"แดนพาพวกแปดคนมาถามเรื่องไวรัสที่ห้องวิจัยค่ะ ไม่รู้ได้ข่าวมาจากไหน  เขาไม่พอใจที่บอสอยู่กับท่านชาลต่อ  ตอนนี้แดนเอาแต่เฝ้าห้องควบคุมรอผลยาต้านไวรัส ทำ ดร.อาคัสเครียดหนักไปด้วย" 
 
เสียง ดร.อาคัสโวยวายแทรกเป็นแบ็กกราวด์ดังตามหลังมาไม่ห่าง  “ช่วยเอาไอ้หมอนั่นออกไปจากศูนย์วิจัยทีเถอะหัวหน้า ลูกน้องผมทำงานไม่ถนัด”
 
เรเนียเดินเลี่ยงหัวหน้าศูนย์วิจัยอีกคน  เมื่อมองเห็นพรรคพวกผู้บุกรุกสองคนยึดพื้นที่ทางเดินข้างหน้า หญิงสาวหลบไปทางอื่น พูดรวดเดียวผ่านโทรศัพท์
 
"ถ้าเป็นไปได้ บอสกรุณากลับมาเถอะค่ะ ฉันกับ ดร.อาคัสรับมือพวกแดนไม่ไหวจริงๆ ส่วนคนอื่นที่พอคุมเขาได้ก็ติดธุระด่วนทางอื่นกันหมด  เราทั้งขู่ทั้งกล่อมผู้บุกรุกทุกคนแล้วแต่ไม่สำเร็จค่ะบอส" 
 
หญิงสาวลุ้นระทึกเมื่อปลายสายเงียบไปนาน มีเพียงความว่างเปล่าดังซ่าเบาๆ กั้นกลาง กระทั่งมีเสียงตอบว่า
 
"ได้ ฉันจะเอาตัวอย่างเลือดกลับไปให้พรุ่งนี้เช้า ฝากบอกแดนด้วยว่าฉันไม่เคยคิดทิ้งทุกคนในกลุ่ม”
 


 
 
     
เช้าวันนี้ เรเนียมาหลบในห้องทำงานของหัวหน้าศูนย์วิจัยพร้อมกับ ดร.อาคัสที่กำลังพักผ่อน เธอถือโทรศัพท์แนบหูเดินไปมาภายในห้องเหมือนเสือติดจั่น  พยายามติดต่อเจ้านายของตนเพื่อแจ้งว่ามีรถไปรอรับที่สนามบินแล้ว แต่โทรศัพท์ปลายทางปิดเครื่องอยู่ตลอด จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจติดต่อได้
 
เสียงเปิดประตูห้องทำงานดังปัง! รุนแรงจน ดร.อาคัสสะดุ้งตื่น  ในเสี้ยววินาทีเรเนียภาวนาเลียนแบบมนุษย์ว่า ขอคนที่มาไม่ใช่แดนิเญล เธอยังไม่พร้อมรับมือขณะนี้...  แต่ดูเหมือนไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดรับฟังคำภาวนาของแวมไพร์  ชายหนุ่มตัวสูงใหญ่เดินเข้ามาในห้องด้วยความว่องไวผิดรูปร่าง  เรเนียเผลอคิดว่าแดนิเญลคงมีเซ้นส์จับสัญญาณโทรศัพท์เป็นแน่ จึงมาได้จังหวะที่เธอกำลังโทรหาเจ้านายแทบทุกครั้ง
 
หญิงสาวเก็บเครื่องมือสื่อสารพกพาลงกระเป๋าเสื้อกาวน์ รีบบอกปัดอย่างหงุดหงิดเมื่อเห็นหน้าอีกฝ่าย  "ยังติดต่อบอสไม่ได้" 

เธอทนเห็นหน้าแดนิเญลมาสามสิบสองชั่วโมงจนเริ่มเอียนเต็มที  ได้ยินเสียงอ่อนเพลียของ ดร.อาคัสแว่วมา  "จะขอพักบ้างไม่ได้รึไงนะ"
 
แดนิเญลยิ้มกว้าง  "อย่างที่ฉันพูดใช่มั้ยล่ะ โชคร้ายของเรานะที่มีหัวหน้าไร้ความรับผิดชอบ เห็นชีวิตคนคนเดียวกว่าคนทั้งกลุ่ม  บอกแล้วว่าเราควรแจ้งให้หัวหน้ากลุ่มท่านอื่นทราบเรื่อง ขอให้มาดูแลแทน"

หญิงสาวดวงตาดุดัน เอ่ยปากโต้แย้งแทนเจ้านาย  "บอสบอกว่ากลับก็คือกลับ  ฉันส่งรถไปคอยรับที่สนามบินแล้ว คอยอีกนิดไม่ได้รึไง  ฉันจะย้ำอีกครั้งนะแดน หัวหน้ากลุ่มท่านอื่นไม่รับคำขอของแกหรอก มันผิดมารยาทระหว่างกลุ่ม  แกจะทำให้กลุ่มของเราขายหน้าเท่านั้น"

"ใช่ ฉันรับเรื่องขายหน้าพรรค์นี้ไม่ค่อยได้ด้วย  คนอื่นจะหาว่าฉันดูแลลูกน้องไม่ดี คุมลูกน้องไม่อยู่"

เสียงคุ้นเคยดังขึ้น  เรเนียโล่งใจจนบอกไม่ถูกเมื่อเห็นบอสของเธอเดินผ่านประตูห้องทำงานเข้ามา  ดร.อาคัสรีบดึงผ้าขนหนูที่ปิดตาออก เด้งตัวนั่งหลังตรงพลางหยิบแว่นตาบนโต๊ะมาสวม เอ่ยทักทาย
 
"อรุณสวัสดิ์ครับหัวหน้าวาริท เดินทางไปที่โน่นเป็นยังไงบ้าง"
 
วาริทพยักหน้า
 
"ก็ดี  ถ้าไม่มีคนตามกัดตลอดเวลา"
 
แดนิเญลพูดพร้อมรอยยิ้มที่ชวนให้นึกขุ่นเคือง  "ผมแค่ทำหน้าที่สมาชิกที่ดี คอยเตือนเวลาหัวหน้าเริ่มออกนอกลู่นอกทาง  เราต้องหาทางแก้ไว้ก่อน"
 
ดวงตาสีมรกตลุกโชนฉับพลัน วาริทเหยียดยิ้ม  "ดี... ขอบใจที่เป็นห่วงสวัสดิภาพของกลุ่มนะ แดน"
 
วาริทคว้าก้านคอคนร่างสูงใหญ่กดลงรุนแรงจนแทบหักคออีกฝ่าย ก่อนฝังเขี้ยวคมบนต้นคอหนาใหญ่อย่างไม่ปรานี  เรเนียยกมือปิดปากอย่างตกตะลึง ขณะ ดร.อาคัส อุทานว้าวอย่างสนอกสนใจ
 
การฝังเขี้ยวบนคอแวมไพร์ด้วยกันถือเป็นการหยามเกียรติร้ายแรงยิ่งกว่าถูกตบหน้า ถือว่าฝ่ายถูกกระทำมีค่าต้อยต่ำยิ่งกว่าอาหารมื้อหนึ่ง  มีทั้งความเจ็บปวดและการถูกดูหมิ่นในคราวเดียวกัน  ดร.อาคัสเห็นด้วยว่าการออกปากจะเชิญหัวหน้ากลุ่มท่านอื่นมาดูแลแทนมันออกจะ...หักหน้ากันเกินไปนิด  ถึงจะทำให้หัวหน้าวาริทยอมกลับมาก็เถอะ...
 
วาริทสะบัดเขี้ยวออก ไสร่างอีกฝ่ายจนล้มหลังกระแทกพื้น คราบเลือดยังติดริมฝีปาก
 
"อย่าลืม คราวหลังคิดให้ดีก่อนพูด"
 
แดนิเญลนั่งหอบ กุมคอตัวเองที่เลือดยังไหลซึม มองวาริทที่เดินออกจากห้องอย่างเคืองแค้น 

เมื่อคืนก่อนแดนิเญลได้รับโทรศัพท์ปริศนาจากชายคนหนึ่ง บอกว่าขณะนี้วาริททิ้งกลุ่มที่กำลังเจอวิกฤตเพื่อไปดูแลแวมไพร์ตนหนึ่งในประเทศไกลห่าง  แค่ได้ฟัง แดนิเญลกับพวกทั้งโกรธจัดทั้งอยากรู้ความจริง ชายหนุ่มบอกตัวเองซ้ำๆ ว่าที่ทำทุกอย่างก็เพื่อประโยชน์ของกลุ่มทั้งนั้น...
 
วาริทไม่สนใจว่าคู่กรณีจะอยากกินเลือดกินเนื้อตนซักแค่ไหน  เขาเดินไปตามทางเดินสว่างไสว ขณะส่งขวดบรรจุตัวอย่างเลือดของศาสวัติและขวดบรรจุเลือดชาลระยะล่าสุดให้ ดร.อาคัสกับเลขานุการสาว พลางถาม
 
"เราวิจัยถึงไหนกันแล้ว"
 
ก่อนจากมา เมื่อวาริทจำใจต้องเอ่ยคำลาจาก ชาลลูบเส้นผมเขาพลางบอกเสียงนุ่มนวล
 
"เธอควรกลับไปหากลุ่ม  นั่นเป็นที่ที่เธอควรอยู่" 
 
สุดท้ายวาริทได้แต่ฝากฝังอดีตเจ้านายตัวเองไว้กับอัคนิและยินยอมกลับมา โดยเขาไม่มีโอกาสรู้ว่าคนที่โทรศัพท์ปริศนาถึงแดนิเญล คือตัวชาลเอง
 

 
-----------------------------


 
บริเวณใกล้แม่น้ำแถบนี้เป็นอาณาเขตส่วนหนึ่งของตระกูลใหญ่ พื้นที่ยังคงสภาพเป็นป่าย่อมๆ เพราะอยู่ค่อนข้างห่างไกลชุมชน  ไทวินเดินตามถนนดินมาถึงบ้านเดี่ยวชั้นเดียวหลังใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ริมน้ำ เขาเคาะประตูสองสามครั้ง เมื่อไร้เสียงตอบรับจึงถือวิสาสะเปิดเข้าไปเอง
 
ไทวินเดินทะลุห้องรับแขกไปยังห้องค้นคว้าซึ่งอยู่ติดกัน สิ่งที่มองเห็นเป็นอย่างแรกเมื่อเปิดประตูคือ ชั้นหนังสือขนาดใหญ่บรรจุหนังสือและตำราเอกสารเกือบพันเล่มครอบครองผนังด้านหนึ่งสูงจากพื้นเกือบจรดเพดาน  ผนังอีกด้านจัดแสดงของสะสมอย่างมีดเก่าแก่และปืนพกโบราณนับร้อยชิ้น  มุมห้องด้านหนึ่งมีกล้องดูดาวขนาดใหญ่คลุมด้วยผ้า  บนโต๊ะกว้างกลางห้องวางกล้องจุลทรรศน์ กล้องส่องทางไกล แผ่นที่ และหนังสือหลายเล่มที่เปิดค้าง  องค์ประกอบในห้องมีความหลากหลายตามแต่ใจเจ้าของ บ้านนี้จึงเป็นเหมือนห้องเก็บสมบัติน่าตื่นตาตื่นใจที่ไทวินชอบมาขลุกเล่นตั้งแต่เล็ก
 
เจ้าของบ้านในชุดลำลองซึ่งนั่งบนเก้าอี้หลุยส์ตัวหนึ่งกำลังจมดิ่งกับเอกสารในมือ เขาเป็นชายวัยปลายสามสิบ ค่อนข้างผอมและดูซีดเซียวเหมือนไม่ค่อยโดนแดด ผมใส่น้ำมันเสยเรียบ ไม้เท้าสีดำลวดลายทองหรูหราสไตล์วิกทอเรียวางพิงข้างตัว เขาเพิ่งละสายตาจากเอกสารเงยหน้ามองเมื่อรู้สึกว่ามีคนเดินเข้ามาใกล้
 
"ไทวินหรอกเหรอ"
 
"ขอโทษที่เข้ามาเองนะอาธีร์ ผมเคาะประตูแล้วไม่มีใครตอบ"  ไทวินทักทายผู้เป็นอา นั่งเก้าอี้ตัวใกล้กัน 
 
"ผมแวะมาบอกว่า ไวรัสที่อาให้ไปทดสอบยอดเยี่ยมมาก"  ชายหนุ่มผิวเข้มยิ้มกว้าง  "แค่ไม่ถึงชั่วโมงก็ออกฤทธิ์เต็มที่ ขนาดชาลโดนเข้าไปนิดเดียวยังแทบเอาตัวไม่รอด ผมไม่เคยเห็นพวกแวมไพร์วิ่งวุ่นขนาดนี้มาก่อน”
 
ธีร์มีท่าทีกระตือรือร้น  “ได้ผลดีขนาดนั้นเชียวเหรอ แต่ชาลคงยังไม่ตายง่ายๆ ล่ะมั้ง  เสียดายอาไม่ได้เห็นกับตา ไม่สะดวกหลายอย่าง”  เขาตบขาซ้ายของตัวเองเบาๆ
 
“ผมห่วงนิดเดียวว่าพวกแวมไพร์จะผลิตยาแก้ได้ก่อน"  ไทวินบอกข้อกังวล แล้วต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นธีร์หัวเราะพอใจ
 
"ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร... นั่นแค่ตัวอย่างทดลอง  ว่าแต่เดินทางคราวนี้เป็นยังไงบ้าง"
 
ไทวินเปลี่ยนอิริยาบถมานั่งไขว่ห้าง เอนหลังจมในเก้าอี้นุ่มสบาย ดวงตาเป็นประกายเหมือนเด็กชายที่เห็นของเล่นชิ้นใหม่  "ผมเจอมนุษย์น่าสนใจคนหนึ่งด้วยล่ะครับ”
 
"หืมม... ใกล้ถึงฤดูเลือกคู่แล้วเหรอ..."  ธีร์หันไปเช็คปฏิทินใกล้ตัวเผื่อความจำของตนจะผิดพลาด  “...อีกตั้งครึ่งปีนี่”
 
"ไม่ใช่ของผมครับ เป็นมนุษย์ที่ชาลมันถูกใจต่างหาก"  ขณะเล่า ไทวินพลันรู้สึกอยากเจอตัวศาสวัติขึ้นมา  "เป็นมนุษย์ผู้ชายคนหนึ่ง ไม่น่าเชื่อใช่มั้ยอาธีร์  ผมกัดมนุษย์คนนั้นต่อหน้าไอ้ตัวดูดเลือดด้วย แบบเดียวที่มันเคยกัดย่าซิลรีญาต่อหน้าปู่"
 
ไทวินหัวเราะร่าเริงเหมือนเด็กที่แก้แค้นเพื่อนคืนได้สำเร็จ  แม้ไม่บอก ธีร์ก็เดาได้ว่าชาลทั้งเจ็บตัวและเจ็บใจขนาดไหน 
 
“ถ้าปู่ของเธอได้ยิน คงดีใจจนลุกจากหลุมมาเต้นระบำได้”  น้ำเสียงธีร์มีแววถากถาง เขาถามหลานชายต่อ  “พรุ่งนี้เช้าว่างมั้ย อยากชวนไปห้องแล็บกับอาซักหน่อย”
 
ไทวินดวงตาเป็นประกาย ร่างคล่องแคล่วปราดเปรียวนั่งโน้มตัวไปข้างหน้ามองอาของตน
 
"ว่างสิครับ เมื่อไหร่เราจะเริ่มแผนกันซักที ผมรอมานานแล้ว"
 
ธีร์ยิ้มใจเย็น ปรามหลานชายที่มักใจร้อนกับทุกเรื่อง  "อดทนอีกนิด  ความอดทนที่พอเหมาะเป็นองค์ประกอบหนึ่งของความสำเร็จนะ"

เขาหยิบไม้เท้าข้างตัวพยุงร่างลุกขึ้นยืน เดินกระเผลกเล็กน้อยไปยังโต๊ะทำงานตัวใหญ่กลางห้อง  "มานี่สิ อาว่าเธอต้องอยากเห็นแน่ ดูโครงสร้างมันไว้ก่อนก็ได้..." 

ธีร์หยิบเอกสารบนโต๊ะส่งให้ไทวิน 

"...นี่ล่ะหน้าตาสิ่งที่จะทำให้แผนของเราเป็นจริง" 

 
 
-----------------------------

 
 
มวลเมฆที่ลอยผ่านนำฝนชุ่มฉ่ำโปรยทั่วภูเขาเป็นช่วงสั้นๆ ตลอดสัปดาห์ ดับความร้อนแล้งโดยรอบไปได้  ชาลลงมาเดินบนพื้นดินอีกครั้ง สัมผัสกลิ่นแมกไม้และไอดินหอมกรุ่น 
 
ต้องขอบคุณวาริท ที่ก่อนจากได้บังคับให้เขาดื่มเลือดสดๆ ซึ่งขอแบ่งปันจากมนุษย์สองคนที่บังเอิญผ่านมา บวกกับยาต้นแบบเพื่อควบคุมไวรัสที่เรเนียเพิ่งนำมาให้จากศูนย์วิจัย  ชาลสัมผัสว่าเรี่ยวแรงที่เหือดหายเริ่มกลับมาราวตาน้ำผุดขึ้นบนผืนดินแห้งผาก รับรู้ว่าเชื้อโรคร้ายในตัวกำลังถูกกำจัด  ร่างกายเขาฟื้นตัวอย่างรวดเร็วกระทั่งลุกจากเตียงได้ในห้าวันถัดมา รอยจ้ำเลือดใต้ผิวหนังเลือนหายไป เหลือเพียงผิวขาวซีดเหมือนกระดาษซึ่งเห็นชัดว่าเพิ่งฟื้นไข้  อัคนิดีใจมากจะหาเลือดสดใหม่มาให้อีก ดีที่เขาห้ามไว้ทัน...  เท่านี้ก็พอแล้ว
 
เมื่อได้รับฝน ต้นพลับพลึงรอบบริเวณบ้านผลิดอกออกช่อสีแดงไสวดูหนาตากว่าที่เคย ส่งกลิ่นหอมกระจายทั่ว ทุกคราวที่กลิ่นดอกพลับพลึงด้านล่างลอยล่องขึ้นไปถึงห้องนอน ชาลพลันนึกถึงกลิ่นหอมหวานของเลือดซึ่งเคยดื่มจากศาสวัติ นึกถึงกลิ่นผิวเนื้ออบอุ่นกรุ่นอยู่ริมจมูก  เขาได้ยินเสียงจากข้างในเรียกร้องโหยหาว่าอยากพบอีกครั้ง

อยากพบอีกครั้ง...

เสียงนี้ดังก้องสะท้อนสะท้านภายในใจไม่ยอมหยุด

ทันทีที่เรี่ยวแรงคืนกลับมาจนน่าพอใจ ชาลจึงย่างเท้าออกจากภูเขาเป็นครั้งแรกในรอบครึ่งเดือน  อัคนิที่ทัดทานเจ้านายไม่ไหวจึงติดตามมาไม่ห่าง  แม้ชินกับนิสัยเจ้านายดีแต่เด็กชายยังอดบ่นไม่ได้ เพราะนอกจากวาริทจะโทรมาถามอาการวันละสามเวลาแล้ว การคุ้มครองคนป่วยจัดว่าเป็นภาระหนักพอสมควร และดูเหมือนตัวคนป่วยเองจะไม่ห่วงความปลอดภัยของตนเท่าไรนัก ทุกเรื่องของเจ้านายจึงกลายเป็นภาระของอัคนิไปหมด
 
กลางหมู่คนวุ่นวายและรถราขวักไขว่ชวนรำคาญ ตึกสูงต่ำติดกันเป็นทิวเทือก ชาลเงยหน้ามองคอนโดมิเนียมสีเทาอ่อนสูงตระหง่านตัดกับท้องฟ้าหลังหนึ่ง
 
การลอบเข้าที่พักใครสักคนไม่ใช่เรื่องยากลำบากสำหรับชาล  เสียงดังคลิกเบาๆ ก่อนเขาจะหมุนลูกบิดเปิดประตูห้องพักอย่างง่ายดาย 

ชาลปิดประตู ก้าวเข้าไปในห้องนั่งเล่นสีครีมขนาดไม่ใหญ่นัก ได้กลิ่นหอมคุ้นเคยแสนคิดถึงซึ่งยังหลงเหลือค้างในห้อง ช่างเป็นความผูกพันที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว...   เขานึกหัวเราะเยาะตัวเอง เมื่อตระหนักว่าตนราวกับคนคลั่งรักที่ไล่ติดตามมา ขอเพียงได้ยินแค่เสียงได้เห็นแค่เงาก็พอใจ
 
เห็นท้องฟ้านอกเฉลียงหลังห้องอาบแสงสีส้มอ่อนยามเย็น ได้ยินเสียงฝีเท้าบนระเบียงทางเดินดังใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ตามด้วยเสียงกุญแจไขประตู  ชาลมองคนที่ตนรอคอยมาตลอดเดินเข้าห้องมา

ศาสวัติในชุดนักศึกษาปิดประตูแล้วถอดรองเท้า อีกมือปลดกระเป๋าหนังสือที่สะพายไหล่  ศาสวัติพลันชะงักเมื่อมองเห็นเขา ปล่อยสายกระเป๋าไหลหลุดจากมือไปกองกับพื้น ดวงตาสีเทาเงินเบิกกว้างขณะเอ่ยชื่อ
 
"ชาล"
 
เขายิ้มให้

 
 
-----------------------------
TBC

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
นิยายดูเหมือนเรื่อยๆ แต่อ่านแล้วอยากอ่านต่อ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ NyaKard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

   
ตอนที่ 16




     นักศึกษาหนุ่มมองคนที่นั่งบนโซฟาเบดกลางห้องนั่งเล่น รู้สึกเหมือนลมพายุพัดผ่านมาโดยไม่ทันตั้งตัว
 
     "ชาล...  คุณเข้ามาได้ยังไง"
 
     "เปิดประตูเข้ามา"
 
     ศาสวัติหันไปเช็กล็อกลูกบิดประตูที่ยังใช้งานได้เป็นปกติ ไม่แน่ใจว่าต้องเปลี่ยนลูกบิดใหม่หรือเปล่าถ้าใครๆ ก็งัดเปิดได้  ไม่สิ... เขารู้สึกว่าต่อให้เปลี่ยนประตูใหม่ทั้งบาน ชาลก็คงเข้ามาได้อยู่ดี
 
     "คุณมาทำอะไรที่นี่"
 
     ชาลยิ้ม  "ฉันมาหาเธอ" 
 
     นั่นเป็นประโยคที่ศาสวัติอยากได้ยินน้อยที่สุด ...ไม่ใช่ว่าเขาไม่กังวลถึงชาล เพียงแต่สังหรณ์ใจว่าความโชคร้ายแบบที่เพิ่งเจอบนภูเขาอาจจะกลับมาเยี่ยมเยือนอีกครั้ง...
 
     "มานั่งสิ เราน่าจะคุยกันอีกนาน"  ชาลเชื้อเชิญราวกับเป็นเจ้าของบ้านเสียเอง
 
     ศาสวัติประเมินสถานการณ์ครู่หนึ่ง ก่อนก้มเก็บกระเป๋าซึ่งยังกองกับพื้นวางบนโต๊ะทานอาหารมุมห้องนั่งเล่น  โซฟาเบดขนาดสองที่นั่งหน้าจอทีวีถูกชาลครอบครองไปแล้วครึ่งหนึ่ง เจ้าของห้องจึงตั้งใจจะนั่งเก้าอี้ที่โต๊ะทานอาหารแทน  แต่ชาลพลันดึงเขาเข้าไปนั่งบนตัก วงแขนแข็งแรงโอบรอบเอวเขาไว้แน่นหนาจนสองร่างแนบชิด ศาสวัติใจหาย

     ชาลสบตาเขาพลางกระซิบถาม
 
     "คิดถึงกันบ้างไหม ศาสวัติของฉัน" 
 
     ใบหน้านักศึกษาหนุ่มพลันแดงเรื่อใจเต้นรัว  คำเรียก 'ศาสวัติของฉัน' สะท้านลึกลงกลางใจ ย้ำเตือนความสัมพันธ์และความเป็นเจ้าของระหว่างกัน มือข้างหนึ่งของชาลเริ่มลูบไล้แก้มเขาเรื่อยลงมาถึงซอกคอแผ่วเบา ศาสวัติพยายามนั่งนิ่งๆ กลั้นใจถาม
 
     "คุณ... คุณอยากได้เลือดผมอีกเหรอ..." 
 
     "ต่อให้อยากกินแค่ไหนฉันก็กินไม่ได้หรอก เลือดเธอมีพาหะไวรัสที่ทำลายพวกเราอยู่ เสียดายจริงๆ"
 
     ...อ้อ ใช่... อัคนิเคยบอกไว้ตอนมาหาเขาที่โรงพยาบาลเหมือนกัน...
 
     "แต่ถ้าแตะต้องตัวเธอโดยไม่ต้องมีเลือดก็ไม่เป็นไร"  ชาลปลดกระดุมเสื้อสองเม็ดบนของคนบนตัก เขาไล้ปลายนิ้วเย็นบนผิวขาวสะอาดเหนือหน้าอกของชายหนุ่ม แล้วโน้มตัวจูบผิวกายส่วนนั้น
 
     ศาสวัติสะดุ้งเมื่อริมฝีปากค่อนข้างเย็นสัมผัสร่าง มือที่โอบเอวเขาด้านหลังกำลังลูบเล่นใต้เสื้อเช่นกัน
 
     "เดี๋ยว! เดี๋ยวก่อน! ปล่อย!"
 
     ศาสวัติดิ้นรนเต็มแรงจนหลุดจากอ้อมกอดชาลถอยไปยืนห่างได้อีกครั้ง รีบกลัดกระดุมเสื้อกลับคืน  ...เกือบไป เกือบหลงเคลิ้มอีกแล้ว อันตรายจริงๆ... 
 
     "ไหนว่านั่งคุยกันไง ตกลงที่คุณมาหาผมมีอะไรรึเปล่า หรือว่าอยากได้ตัวอย่างเลือดไปวิจัย เอาไปสิ..."
เขาพับแขนเสื้อข้างหนึ่งรอ
 
     "ฉันอยากคุยกับเธอก่อนมากกว่านะ เราไม่ได้เจอกันมาครึ่งเดือน"  แวมไพร์หนุ่มพูด แต่เมื่ออีกฝ่ายยังยืนกรานให้เอาเลือดไป ชาลจึงหยิบเข็มฉีดยาหลอดเล็กในกล่องใสออกมา เป็นยาที่เรเนียนำมาให้พร้อมกับยาต้นแบบเพื่อควบคุมไวรัสของเขา

     “อะไรน่ะ”  ศาสวัติยังนึกระแวงเข็มฉีดยาในมือจ่าฝูงหมาป่ากับแวมไพร์อยู่

     ชาลอธิบายว่า  “ยาต้นแบบเพื่อกำจัดไวรัสพาหะที่ทีมวิจัยของพวกเราสร้างได้ เอาไว้รักษาเธอ  มา... ฉันจะฉีดให้"
 
     "แต่หมอในโรงพยาบาลที่ตรวจผมไม่เห็นพูดถึงไวรัสพาหะซักนิด"
 
     "ถ้าไม่ตรวจหามันโดยเฉพาะก็ไม่เจอหรอก ทีมวิจัยเราทดสอบแล้วว่ายารักษาใช้ได้ผล ไม่ต้องกลัว" 
 
     ศาสวัติชั่งใจ แม้ไม่รู้สึกถึงอาการของไวรัสในตัวแต่ก็คิดว่าไม่ควรปล่อยทิ้งไว้อยู่ดี ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปนั่งข้างชาลและยื่นแขนให้  ชาลดึงจุกยางปิดปลายเข็มฉีดยาออก ประคองแขนเขาไว้ขณะจรดปลายเข็มเข้าเส้นเลือดตรงท้องแขนด้านใน ฉีดของเหลวเข้าไปโดยไม่ใช้แอลกอฮอล์เช็ดผิวก่อน 
 
     ศาสวัติกลั้นใจ รอจนชาลดึงปลายเข็มพ้นผิวหนังจึงระบายลมหายใจออก แวมไพร์หนุ่มใช้กระดาษทิชชู่กดปิดปากแผลไว้ กระทั่งศาสวัติอดวิจารณ์ไม่ได้
 
     "สุขอนามัยพวกคุณนี่ต่างจากมนุษย์จริงๆ คงเพราะแผลพวกคุณหายในพริบตาเลยไม่ต้องใส่ใจเรื่องฆ่าเชื้อโรคเป็นพิเศษล่ะมั้ง"
 
     ชาลหัวเราะหึเบาๆ 
 
     คนผมดำเปิดทิชชู่ดูรอยเข็มซึ่งเลือดหยุดซึมแล้ว  “เมื่อไหร่ผมจะหาย จะรู้ได้ยังไงในเมื่อไม่มีอาการอะไรซักอย่าง"
 
     "ฉันจะส่งเลือดเธอไปตรวจทุกวันจนกว่าไม่เจอไวรัส"
 
     ศาสวัติครางในลำคอ  "แปลว่าคุณจะมาหาผมทุกวัน...?"
 
      "ไม่อยากเจอฉันเหรอ"  ชาลย้อนถามยิ้มๆ
 
     "เปล่า... แค่... อ่า..."  เขาจะบอกชาลได้ยังไงว่า แค่พบกันวันนี้ก็ทำเขาใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว เผลอปล่อยใจตามไปแทบทุกครั้งที่คนตรงหน้าสัมผัสแตะต้อง
 
     ชาลพลันเอื้อมมือเย็นประคองมือศาสวัติขึ้นมา แล้วจรดปลายจมูกลงบนหลังมือนั้นอย่างนุ่มนวล แม้ความหอมหวานจะไม่เทียบเท่าในคืนที่มีสัมพันธ์ครั้งแรกเพราะไวรัสที่แปดเปื้อน แต่ยังเชิญชวนให้ลองชิมไม่เปลี่ยนแปลง  ชาลหงายมือข้างนั้นขึ้นบรรจงจูบแผ่วเบาบนข้อมือ 

     ศาสวัตินั่งตัวเกร็ง เมื่อลิ้นเย็นชื้นแตะบนผิวหนังเขาช้าๆ ราวจะเสพกลืนชีพจรที่เต้นเป็นจังหวะเข้าไปด้วย  ชายหนุ่มรู้สึกว่าหัวใจตัวเองเต้นเร็วขึ้นจนชาลน่าจะสัมผัสได้  ดวงตาสีทองเหมือนพระจันทร์สุกสกาวเหลือบขึ้นมอง คงมีอะไรสักอย่างในตาคู่นี้แน่ที่ทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง  ศาสวัติคล้ายมองเห็นรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากชาล ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะละริมฝีปากจากข้อมือเขา แต่ยังจับมือไว้ไม่ปล่อย

     เขามองใบหน้าชาลซึ่งดูซีดเซียวไม่ต่างจากตอนที่บาดเจ็บด้วยน้ำมือหมาป่าใหม่ๆ อดถามไม่ได้
 
     "ได้ข่าวว่าคุณป่วยหนัก ดีขึ้นแล้วเหรอ" 
 
     "ยังไม่หายดีหรอก แต่ฉันอยากมาหาเธอ"  รอยยิ้มของชาลยังสวยจนชวนหลงใหลเช่นเดิม 

     ศาสวัติพยายามเรียกสติกลับมา เขาดึงมือออกก่อนลุกยืน ไม่อยากปล่อยความรู้สึกให้ถลำลึกมากเกินไป ด้วยในใจกำลังหวั่นกลัวหลายอย่าง   

     ชาลมองตาม แล้วเดินเข้าไปโอบกอดเอวคนที่หนีห่างจากด้านหลัง ถามว่า

     “ไม่อยากเจอฉันเหรอ วัติ”

     ศาสวัติสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงทุ้มนุ่มเรียกชื่อเล่นของตัว เขาเผลอเบี่ยงตัวให้พ้นอ้อมกอด ร้องว่า "อย่า!" ขณะผลักอีกฝ่ายออกเต็มแรง 

     หากเป็นช่วงเวลาปกติชาลคงไม่สะท้านสะเทือนด้วยแรงผลักของมนุษย์ แต่ในยามเพิ่งฟื้นไข้เรี่ยวแรงยังไม่กลับมา การผลักแค่นั้นกลับทำให้ชาลเซไปชนมุมแหลมของโต๊ะทานอาหาร ครูดท่อนแขนเป็นแผลยาวตั้งแต่ศอกถึงข้อมือ เลือดสีสดไหลอาบและหยดเป็นสายเจิ่งนองพื้น

     ชาลหัวเราะฝืดๆ พลางบอก  "เธอนี่... แสดงความรักดุเดือดดีนะ"

     ศาสวัติตกใจหนักรีบคว้าผ้าเช็ดตัวมาปิดปากแผลห้ามเลือด บาดแผลใหญ่ปิดตัวเชื่องช้ากว่าปกติหลายเท่าเพราะผลพวงจากไวรัส เลือดจึงยังไหลรินไม่หยุด  ชาลนั่งทรุดกับพื้น ผิวซีดเผือดยิ่งกว่าเคย เขาเริ่มอ่อนเพลียจากการเสียเลือดคล้ายคราวที่ศาสวัติเจอครั้งแรก และคราวนี้ไม่มีเลือดสดๆ จากมนุษย์ใกล้ตัวให้ดื่มเพื่อรักษา

     ชายหนุ่มใช้ผ้ารัดต้นแขนเหนือปากแผลชาลอีกชั้นเพื่อห้ามเลือดขณะคิดว่าจะทำยังไงต่อ พลันได้ยินเสียงเปิดประตูห้องพร้อมอัคนิที่โผล่เข้ามา 

     เด็กชายตกใจพอสมควรขณะก้าวเร็วๆ เข้าไปหาชาล เขาเปิดตลับยา หยิบยาเม็ดสีแดงเท่าเหรียญบาทที่ศาสวัติเคยเห็นมาก่อนสามเม็ดใส่ปากเจ้านาย

     ไม่นานนัก เลือดค่อยๆ หยุดไหล เนื้อเยื่อที่ปากแผลบนแขนชาลเริ่มเกาะเกี่ยวเชื่อมต่อกันและสมานตัวกลับเป็นผิวเนื้อเรียบดังเดิมราวไม่เคยมีบาดแผลมาก่อน  ศาสวัตินั่งตัวแข็ง มองการฟื้นตัวรวดเร็วแทบไม่เชื่อสายตา

     เสียงเด็กชายบ่น  “ทิ้งไว้ไม่ถึงชั่วโมงดันบาดเจ็บอีกซะได้ ยังดีที่ฉันได้กลิ่นเลือดเลยเข้ามาดู ปล่อยให้คลาดสายตาไม่ได้เลยรึไง”

     "ขอโทษที"  ชาลบอก ใบหน้ายังขาวซีดไร้เลือด  "ฉันลืมตัวคิดว่ายังเป็นปกติ เลยทำอะไรไม่ทันระวัง"  เขารับว่าเป็นความผิดตัวเองทั้งหมดจนศาสวัติละอายใจ  ครั้นจะปริปากบอกความจริง ชาลกลับทำสีหน้าเป็นเชิงห้าม

     เด็กชายพยุงชาลที่ยังอ่อนเพลียนั่งบนเก้าอี้และช่วยเช็ดคราบเลือดที่เปรอะผิวตัว  ศาสวัติหยิบไม้ถูมาทำความสะอาดคราบเลือดบนพื้น เขาระบุความแตกต่างได้ว่าเลือดแวมไพร์สีค่อนข้างจางใสและไม่มีกลิ่นคาวจัดเหมือนเลือดมนุษย์
     
     หลังจัดการคราบเลือดที่เจิ่งนองพื้นห้องเสร็จสิ้น ชาลจับแขนศาสวัติไว้ ดวงตาสีทองค่อนข้างหม่น เอ่ยขอโทษอีกครั้งทั้งที่เป็นความผิดของศาสวัติเอง
     
     เจ้าของห้องสั่นศีรษะ พูดเบาๆ ว่า  "ผมต่างหากที่ต้องขอโทษคุณ"  ชายหนุ่มสัมผัสท่อนแขนชาลซึ่งเคยมีบาดแผลยาวเมื่อครู่  "ผมลืมไปว่าคุณยังไม่หายดี"   

     ชาลยังคงยิ้มเหมือนไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ  "ฉันเคยเจ็บเจียนตายมากกว่านี้หลายครั้ง ไม่ต้องกังวลหรอก  แต่วันนี้ฉันคงกลับเองไม่ไหว"

     เขาสบตาศาสวัติ เอ่ยคำขอว่า
     
     "ให้ฉันนอนค้างกับเธอที่นี่ซักคืนนะ"
 
 

-----------------------------
TBC



ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ RBestta

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
มีความอ้อยเบาๆนะคุณแวมไพร์  :laugh:

ออฟไลน์ xexezero

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ NyaKard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ตอนที่ 17


ศาสวัติมองคนหน้าซีดเหมือนกระดาษซึ่งนั่งอ่อนแรงบนเก้าอี้ มือเย็นยังจับแขนเขาไว้ ดวงตาสีทองจางลงแฝงรอยเศร้าระคนอ้อนวอนจนเจ้าของห้องอดใจอ่อนไม่ไหว

“คุณค้างที่นี่ก็ได้... แต่แค่คืนเดียวนะ คืนเดียว! ถ้าดีขึ้นคุณต้องกลับ ห้ามอยู่ต่อ”

ชาลยิ้มละไม  “ฉันรับปาก”

พูดจบเขาเลื่อนมือตามท่อนแขนลงมากุมมือศาสวัติ แล้วยกมือเจ้าของห้องขึ้นมาหมายจูบอีกครั้ง  ศาสวัติรีบตะปบข้อมือชาลไว้แล้วบีบแน่น

“ถ้าจะค้างที่นี่มีเงื่อนไขอีกข้อ ห้ามกอด! ห้ามจูบ! ถ้าคุณไม่ทำตาม ผมไม่ให้ค้าง!”  คนพูดพยายามบอกตัวเองซ้ำๆ ...ใจแข็งเข้าไว้...  เขามองดวงตาสีทองที่ฉายแววผิดหวัง  ...ไม่มีทางยอมหรอก จะไม่ทำพลาดซ้ำอีกเด็ดขาด... 

ชาลเอ่ยเสียงทุ้มนุ่มขณะสบตาเขา ปลายนิ้วเรียวยาวยังคงลูบเล่นที่หลังมือไม่ปล่อย  “เธอจะอายทำไม เราเคยนอนด้วยกัน เคยเห็น เคยสัมผัสร่างกันและกันทุกซอกทุกมุมมาแล้ว ถ้าเธอลืมฉันจะช่วยทบทวนความจำให้...  ฉันยอมรับให้เธอเป็นของฉันแล้ว ตัวฉันก็เต็มใจเป็นของเธอเหมือนกัน”

วิญญาณศาสวัติเกือบหลุดจากร่างทางปาก รีบดึงมือกลับพลางกระโจนถอยกรูด เขาหายใจลึกหลายครั้งเพื่อตั้งสติ และยื่นคำขาด

“ชาล ฟังนะ...  ถ้าคืนนี้อยากพักที่นี่ ห้ามพูดอะไรแบบนี้อีก ไม่งั้นผมไล่กลับสถานเดียว ห้ามกอด! ห้ามจูบ! ห้ามพูดลามก! ห้ามพูดถึงเรื่องที่ผ่านมาอีก! เข้าใจมั้ย!”

ชาลขมวดคิ้วก่อนถอนใจ  “ตามใจ”

แต่ศาสวัติกลับรู้สึกว่าหากมีโอกาสชาลคงไม่ปล่อยหลุดมือแน่ จะทำยังไงให้ยอมเชื่อฟังกันบ้าง...

“ลืมว่าฉันอยู่ด้วยใช่ไหม” 

เจ้าของห้องใจหายวาบเมื่ออัคนิที่เงียบอยู่นานถามน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน  ถ้อยคำนั้นแทงใจดำชายหนุ่มเต็มที่ ...เขาลืมสนิทว่าอัคนิก็อยู่ด้วย...  ดวงตาสีแดงกลมโตจ้องมองเขาไม่วางตา

“ถ้าคืนนี้ชาลพักที่นี่ ฉันก็พักด้วย  หยุด! ไม่ต้องพูด!”  เด็กชายสั่ง  “ฉันทิ้งชาลไว้ที่นี่แค่ชั่วโมงกว่าๆ ก็ยังบาดเจ็บได้ ถ้าทิ้งไว้ทั้งคืนฉันต้องตามมาเก็บเถ้ากลับไปรึเปล่า”

ศาสวัติเถียงไม่ออก นึกสงสัยว่าทำไมเด็กตัวเล็กแค่นี้ถึงดูน่ากลัวกว่าชาลได้  ไม่สิ... เจ้าตัวเคยบอกเองว่าไม่ใช่เด็กแล้ว... 

สุดท้ายเจ้าของห้องก็ปลงตก  ...ช่างเถอะ! แค่คืนเดียว...

“นายนอนโซฟาเบดก็แล้วกัน”  ศาสวัติบอกเด็กชาย ชี้ไปยังโซฟาเบดซึ่งนอนได้สองคนฝั่งตรงข้ามโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่น ก่อนหันไปพูดกับคนเจ็บ

“ส่วนคุณ...”

“ฉันจะนอนบนเตียง”

“หืมม...?”   ศาสวัติงงงัน ถ้าชาลยึดเตียงไปแล้วตัวเขาจะนอนที่ไหน เขาไม่มีที่นอนสำรองอื่นอีก

ชาลชี้ไปยังเตียงขนาดหกฟุตในห้องนอนซึ่งไม่มีประตู มีแค่ไม้เนื้ออ่อนตีเป็นช่องตารางกั้นระหว่างห้องนอนกับห้องนั่งเล่น

“เตียงออกกว้าง นอนคนสองยังสบาย”

ศาสวัติจึงเข้าใจโดยพลัน รีบโบกมือห้าม  “ไม่ๆ งั้นไปนอนเตียงกันให้หมด ผมนอนโซฟาเอง”

ชายหนุ่มยังไม่ทันได้ขยับตัว อัคนิเดินไปจับจองโซฟาเบดเรียบร้อยแทนคำประกาศเงียบๆ ว่าจะนอนที่นี่ ห้ามใครมาแย่งทั้งนั้น

...เจ้านายกับลูกน้องคู่นี้มัน...  ศาสวัติคิดตกอีกครั้ง  ...เอาน่ะ แค่คืนเดียว...  แต่เขาค่อนข้างมั่นใจว่าเห็นชาลแอบอมยิ้มอยู่แน่นอน
 





สงครามชิงที่นอนผ่านพ้นเป็นที่พอใจของทุกฝ่ายยกเว้นเจ้าของห้อง ดวงอาทิตย์ภายนอกลับขอบฟ้าไปนาน ศาสวัติปัดความขุ่นมัวออกจากหัว เดินไปกดสวิตซ์ไฟเมื่อเห็นว่าภายในห้องมืดลง แสงฟลูออเรสเซ้นส์บนเพดานสว่างจ้าฉับพลันจนอัคนิต้องยกมือป้องดวงตาชั่วครู่ ชายหนุ่มที่หันไปเจอพอดีรีบปิดไฟ 

“แสบตาเหรอ”

คำตอบมาจากชาล  “ตาของเราไม่ค่อยถูกกับแสงจ้าๆ โดยเฉพาะหลอดไฟประดิษฐ์ของมนุษย์กับแสงอาทิตย์  ตอนกลางวันเราถึงชอบอยู่ในร่มเงา และชอบแสงจันทร์ที่สบายตามากกว่า”

ศาสวัติรับฟังวิชาแวมไพร์เบื้องต้นอย่างตั้งอกตั้งใจ จะมีซักกี่คนในโลกที่ได้เรียนรู้จากสิ่งมีชีวิตในตำนานตัวจริงเสียงจริง  แม้ไม่ต้องเปิดไฟ แขกพิเศษคืนนี้ก็คงมองเห็นทางได้สบาย แต่เขาคงเดินชนข้าวของระเนระนาดในความมืดเป็นแน่

“งั้นรอเดี๋ยว”  ศาสวัติค้นหาเทียนที่เตรียมไว้เผื่อไฟดับในตู้เก็บของใต้โทรทัศน์ แล้วจ่อไฟแช็กเข้ากับไส้สีขาว จุดดวงไฟเล็กๆ ที่ปลายเทียนทั้งสามเล่ม

“โรแมนติกไม่เลว”

เปลวไฟสีส้มสว่างขึ้นจับผนังห้องจนทุกสิ่งดูกระจ่างเรื่อเรือง  โดยไม่ได้ตั้งใจ ศาสวัติหวนคิดถึงแสงตะเกียงกับความสัมพันธ์ในช่วงเวลาที่อยู่กับชาลในบ้านพักบนภูเขา ยิ่งชาลมาอยู่ใกล้ตัวจนสัมผัสได้ทั้งยังแสดงออกชัดเจนว่าต้องการเขา ศาสวัติแทบสลัดความทรงจำเหล่านั้นออกจากหัวไม่พ้น  ชายหนุ่มทอดถอนใจเงียบๆ เขาไม่อยากมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับชาลมากกว่านี้ เพราะรู้ดีว่าอนาคตไม่มีทางราบรื่นง่ายดาย แต่ตัวเองจะใจแข็งได้นานแค่ไหน...

เมื่อชายหนุ่มหันกลับไปพร้อมเทียนไขในมือก็พบชาลยืนรออยู่ตรงหน้า

“เธอไม่สบายใจ? กังวลเรื่องอะไร”  ชาลรับเทียนในมือเขาไปวางบนโต๊ะทานอาหารใกล้โซฟาเบด

ศาสวัติตรึกตรองหนักก่อนพูดออกมา  “คุณก็รู้... แวมไพร์กับมนุษย์แค่อยู่ด้วยกันก็ยังลำบาก คุณอย่าทำให้เรื่องของเราสองคนยุ่งยากจนแก้ไม่ออกมากกว่านี้ดีกว่า” 

ชาลเหลือบมองก่อนเดินเข้ามาใกล้  “ถ้าเป็นเรื่องของเธอ... เธอไม่ต้องคิดมาก เพราะฉันไม่คิดจะปล่อยเธอไปตั้งแต่แรก” 

“นี่ชีวิตผมนะ คุณไม่ฟังความรู้สึกคนอื่นเลย ทำไมเอาแต่ใจขนาดนี้”

“ก็เพราะเป็นเธอ ฉันถึงอยากอยู่ด้วย”

ศาสวัติมองชาลนิ่ง เขาเก็บคำถามต่อไปไว้ในใจเมื่อเห็นชัดว่าเสื้อผ้าที่ชาลสวมยังมีรอยเลือดขนาดใหญ่ติดอยู่แม้จะเช็ดตัวจนสะอาดแล้ว 

...คืนนี้ยังอีกยาว ไว้ค่อยถามก็ได้... 

“คุณเดินไหวแล้วนี่ ไปอาบน้ำอีกรอบเถอะ ผมจะหาเสื้อผ้าเปลี่ยนให้ ผมไม่อยากนอนดมกลิ่นเลือดทั้งคืน”  ศาสวัติถือเทียนเล่มหนึ่งไปที่ตู้เสื้อผ้าปลายเตียงนอน ค้นหาสักพัก ก่อนส่งชุดไซส์ใหญ่สุดที่มีให้ชาล และชี้บอกว่าห้องน้ำอยู่ตรงข้ามจุดทำครัวหลังประตูทางเข้า

ชายหนุ่มมองชาลเดินเข้าห้องน้ำอย่างว่าง่าย ก่อนได้ยินเสียงอัคนิซึ่งยังอยู่ที่โซฟาเบดตัวเดิมดังแว่วมาว่า

“ฉันอยากดูโทรทัศน์ เปิดให้หน่อยสิ” 

เขาลืมเด็กชายไปอีกรอบ พลันตระหนักว่าแวมไพร์ช่างแฝงตัวในความมืดอย่างกลมกลืนจนน่ากลัว
 





ศาสวัติใช้ช่วงเวลาอาบน้ำของชาลกินมื้อเย็นที่ซื้อใส่กระเป๋าหนังสือมา รู้สึกว่าอาหารมื้อนี้รสชาติไม่คุ้นลิ้นกว่าทุกวัน เขาเห็นเด็กชายผมทองที่เอกเขนกดูโทรทัศน์บนโซฟาเบดข้างตัวเปิดตลับยา หยิบยาเม็ดสีแดงที่ให้ชาลกินเมื่อเย็นส่งเข้าปากตัวเองสองสามเม็ด ชายหนุ่มอดเอ่ยทักไม่ได้

“ผมสงสัยมานานแล้วว่านั่นยาอะไร เคยเห็นตั้งแต่อยู่บนภูเขา”

      อัคนิชูตลับยา  “นี่เหรอ  เลือดสังเคราะห์อัดเม็ด เป็นอาหารสำรองแก้หิวเวลาฉุกเฉิน”

ศาสวัติวางช้อนส้อมในมือ  “จะว่าอะไรมั้ยถ้าผมขอดูหน่อย”

เด็กชายยื่นยาให้ทั้งตลับ ชายหนุ่มรับมาเปิดดู กลิ่นบาดจมูกเหมือนธาตุเหล็กลอยปะทะไม่ต่างจากที่เคยได้กลิ่นครั้งแรก  “ทำจากอะไร  มีเลือดจริงๆ ผสมอยู่รึเปล่า” 

“อันนี้ไม่มีเลือดจริงหรอก ชาลไม่กินเลือดมนุษย์”

...อ้อ แวมไพร์มังสวิรัติล่ะสิ...

 อัคนิอธิบายต่อ  “ยานี่เป็นอาหารสังเคราะห์จากห้องแล็บที่เลียนแบบเลือดมนุษย์  บางคนชอบเอาไปละลายน้ำแล้วเติมเลือดจริงลงไปด้วย”

“น่าจะแก้ปัญหาขาดแคลนเลือดในโรงพยาบาลได้ คนคงขอบคุณนายกันยกใหญ่” 

“ไม่มีทาง เราไม่มีวันให้มนุษย์รู้หรอกว่าเราทำอะไรได้บ้าง”

“อย่างน้อยผมก็รู้แล้วคนหนึ่ง”

ศาสวัติบอกก่อนหยิบยาเม็ดหนึ่งขึ้นมาพลิกดู เมื่อรู้ว่าไม่มีเลือดจริงผสมก็นึกอยากลองชิมว่ารสชาติจะเป็นยังไง แต่ชาลที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จจับมือเขาให้ป้อนยาเม็ดนั้นเข้าปากตัวเองก่อนยิ้มขอบคุณ ทำเอาศาสวัติหน้าตึง เพราะอีกฝ่ายฉวยโอกาสทุกครั้งที่มี

ชาลเอาเสื้อผ้าเปื้อนเลือดใส่ตะกร้าเตรียมซักตามคำสั่งเจ้าของห้อง แล้วเดินกลับมานั่งดูโทรทัศน์ข้างอัคนิที่โซฟาเบด  มนุษย์คนเดียวในห้องมองทั้งคู่ คิดว่าคืนนี้ช่างแปลกประหลาดเมื่อได้อยู่กับแวมไพร์รูปงามสองตนที่กำลังดูโทรทัศน์กลางแสงเทียนในเมืองใหญ่ ทั้งโรแมนติกและย้อนแย้งจนบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าพวกแวมไพร์ถนัดสร้างบรรยากาศลึกลับน่าค้นหาแบบนี้กันหมดรึเปล่า
 





เทียนไขทั้งสามเล่มดับลงเมื่อถึงเวลานอนของศาสวัติ เจ้าตัวกลับนอนตาแข็งหลับไม่ลงบนเตียงเดียวกับชาล แม้ตกลงกันไว้แล้วว่าจะแบ่งเตียงคนละครึ่งและห้ามล่วงล้ำเข้ามา แต่ศาสวัติยังไม่ค่อยวางใจเท่าไหร่จากประสบการณ์ที่มี

แสงไฟจากตึกภายนอกที่มองเห็นผ่านกระจกเฉลียงทะยอยดับลงทีละดวง ชายหนุ่มหวนนึกถึงบทสนทนากับชาลตอนหัวค่ำ

...เธอไม่ต้องคิดมาก เพราะฉันไม่คิดจะปล่อยเธอไปตั้งแต่แรก...

...ก็เพราะเป็นเธอ ฉันถึงอยากอยู่ด้วย...

“คุณยังไม่หลับใช่ไหม”  ศาสวัติเอ่ย  “ที่คุณบอกว่าไม่คิดจะปล่อยผมไป... ที่บอกว่าอยากอยู่ด้วย... ผมอยากรู้คำตอบ...” 

เขาพลิกตัวนอนคว่ำ ยันร่างท่อนบนขึ้นเอาศอกเท้าที่นอนไว้ ขณะมองดวงตาแวววาวของชาลในความสลัว

“ทำไมต้องเป็นผม” 
 
 

-----------------------------
TBC


ออฟไลน์ xexezero

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด