ตอนที่ 15
ในศูนย์วิจัยวันรุ่งขึ้น ดร.อาคัส สลับเวรกับรองหัวหน้าศูนย์ฯ ขอมาพักในห้องประจำตำแหน่งชั่วคราวหลังกรำงานตลอดคืน เขาถอดเสื้อกาวน์พาดบนเสาแขวนโค้ทริมประตู นั่งหมดเรี่ยวแรงบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน มีผ้าผืนเล็กชุบน้ำเย็นวางปิดตา แก้วเปล่าวางทิ้งบนโต๊ะมีคราบสีแดงจากเลือดสังเคราะห์ที่ดื่มประทังความหิว
เรเนียปรายตามองเจ้าของห้อง เธอลี้ภัยชั่วคราวจากห้องควบคุมแล็บซึ่งขณะนี้ถูกแดนิเญลยึดไว้เช่นกัน
นอกจากต้องระดมนักวิจัยใต้อาณัติสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเพื่อค้นคว้าหายาต้านไวรัสทั้งวันทั้งคืนแล้ว เมื่อวานตอนเที่ยงคืน ศูนย์วิจัยยังพบปัญหาใหญ่โดยไม่ทันตั้งตัวเมื่อแวมไพร์หนุ่มหัวแข็งนาม แดนิเญล นำกลุ่มแวมไพร์อีกแปดคนบุกห้องวิจัยเพื่อประท้วงที่ปิดเรื่องไวรัสเป็นความลับ และกดดันให้วาริทเดินทางกลับมาเพื่อดูแลความปลอดภัยสมาชิกในกลุ่ม
เมื่อรู้ว่าหญิงสาวกำลังรายงานความคืบหน้าให้หัวหน้ากลุ่มรับทราบ ชายหนุ่มหน้าตาคมคายรูปร่างสูงใหญ่คว้าโทรศัพท์จากมือเธอโดยไม่สนใจมารยาท
"คนที่เป็นหัวหน้าควรมีความรับผิดชอบมากกว่านี้! "
แดนิเญลตะโกนแข็งกร้าวใส่หูโทรศัพท์ในมือ เขาเอี้ยวตัวหลบหญิงสาวอย่างรวดเร็วเหมือนมีตาหลัง เรเนียแทบกรีดร้องเมื่อเขาพูดถ้อยคำไร้มารยาทใส่บอสของเธอ
"ท่านควรทราบว่านี่เป็นช่วงวิกฤต! ถ้าท่านยังไม่กลับมาภายในเช้าวันพรุ่งนี้ ผมจำเป็นต้องเชิญหัวหน้ากลุ่มแวมไพร์ท่านอื่นมาช่วยดูแลกลุ่มของเราแทน! "
หญิงสาวเดือดจัด พุ่งตัวสุดแรงแย่งโทรศัพท์คืนจากมือชายหนุ่มร่างใหญ่ได้สำเร็จ
"ขอโทษค่ะบอส" น้ำเสียงเรเนียเจือเสียงหอบ "แดนแย่งโทรศัพท์ฉันไป"
คราวนี้เธอหลบแดนิเญลที่หมายคว้าอุปกรณ์สื่อสารได้ทัน เรเนียเปิดประตูห้องเดินรวดเร็วจนแทบกลายเป็นวิ่งเพื่อให้พ้นจากผู้คุกคาม
"แดนพาพวกแปดคนมาถามเรื่องไวรัสที่ห้องวิจัยค่ะ ไม่รู้ได้ข่าวมาจากไหน เขาไม่พอใจที่บอสอยู่กับท่านชาลต่อ ตอนนี้แดนเอาแต่เฝ้าห้องควบคุมรอผลยาต้านไวรัส ทำ ดร.อาคัสเครียดหนักไปด้วย"
เสียง ดร.อาคัสโวยวายแทรกเป็นแบ็กกราวด์ดังตามหลังมาไม่ห่าง “ช่วยเอาไอ้หมอนั่นออกไปจากศูนย์วิจัยทีเถอะหัวหน้า ลูกน้องผมทำงานไม่ถนัด”
เรเนียเดินเลี่ยงหัวหน้าศูนย์วิจัยอีกคน เมื่อมองเห็นพรรคพวกผู้บุกรุกสองคนยึดพื้นที่ทางเดินข้างหน้า หญิงสาวหลบไปทางอื่น พูดรวดเดียวผ่านโทรศัพท์
"ถ้าเป็นไปได้ บอสกรุณากลับมาเถอะค่ะ ฉันกับ ดร.อาคัสรับมือพวกแดนไม่ไหวจริงๆ ส่วนคนอื่นที่พอคุมเขาได้ก็ติดธุระด่วนทางอื่นกันหมด เราทั้งขู่ทั้งกล่อมผู้บุกรุกทุกคนแล้วแต่ไม่สำเร็จค่ะบอส"
หญิงสาวลุ้นระทึกเมื่อปลายสายเงียบไปนาน มีเพียงความว่างเปล่าดังซ่าเบาๆ กั้นกลาง กระทั่งมีเสียงตอบว่า
"ได้ ฉันจะเอาตัวอย่างเลือดกลับไปให้พรุ่งนี้เช้า ฝากบอกแดนด้วยว่าฉันไม่เคยคิดทิ้งทุกคนในกลุ่ม”
เช้าวันนี้ เรเนียมาหลบในห้องทำงานของหัวหน้าศูนย์วิจัยพร้อมกับ ดร.อาคัสที่กำลังพักผ่อน เธอถือโทรศัพท์แนบหูเดินไปมาภายในห้องเหมือนเสือติดจั่น พยายามติดต่อเจ้านายของตนเพื่อแจ้งว่ามีรถไปรอรับที่สนามบินแล้ว แต่โทรศัพท์ปลายทางปิดเครื่องอยู่ตลอด จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจติดต่อได้
เสียงเปิดประตูห้องทำงานดังปัง! รุนแรงจน ดร.อาคัสสะดุ้งตื่น ในเสี้ยววินาทีเรเนียภาวนาเลียนแบบมนุษย์ว่า ขอคนที่มาไม่ใช่แดนิเญล เธอยังไม่พร้อมรับมือขณะนี้... แต่ดูเหมือนไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดรับฟังคำภาวนาของแวมไพร์ ชายหนุ่มตัวสูงใหญ่เดินเข้ามาในห้องด้วยความว่องไวผิดรูปร่าง เรเนียเผลอคิดว่าแดนิเญลคงมีเซ้นส์จับสัญญาณโทรศัพท์เป็นแน่ จึงมาได้จังหวะที่เธอกำลังโทรหาเจ้านายแทบทุกครั้ง
หญิงสาวเก็บเครื่องมือสื่อสารพกพาลงกระเป๋าเสื้อกาวน์ รีบบอกปัดอย่างหงุดหงิดเมื่อเห็นหน้าอีกฝ่าย "ยังติดต่อบอสไม่ได้"
เธอทนเห็นหน้าแดนิเญลมาสามสิบสองชั่วโมงจนเริ่มเอียนเต็มที ได้ยินเสียงอ่อนเพลียของ ดร.อาคัสแว่วมา "จะขอพักบ้างไม่ได้รึไงนะ"
แดนิเญลยิ้มกว้าง "อย่างที่ฉันพูดใช่มั้ยล่ะ โชคร้ายของเรานะที่มีหัวหน้าไร้ความรับผิดชอบ เห็นชีวิตคนคนเดียวกว่าคนทั้งกลุ่ม บอกแล้วว่าเราควรแจ้งให้หัวหน้ากลุ่มท่านอื่นทราบเรื่อง ขอให้มาดูแลแทน"
หญิงสาวดวงตาดุดัน เอ่ยปากโต้แย้งแทนเจ้านาย "บอสบอกว่ากลับก็คือกลับ ฉันส่งรถไปคอยรับที่สนามบินแล้ว คอยอีกนิดไม่ได้รึไง ฉันจะย้ำอีกครั้งนะแดน หัวหน้ากลุ่มท่านอื่นไม่รับคำขอของแกหรอก มันผิดมารยาทระหว่างกลุ่ม แกจะทำให้กลุ่มของเราขายหน้าเท่านั้น"
"ใช่ ฉันรับเรื่องขายหน้าพรรค์นี้ไม่ค่อยได้ด้วย คนอื่นจะหาว่าฉันดูแลลูกน้องไม่ดี คุมลูกน้องไม่อยู่"
เสียงคุ้นเคยดังขึ้น เรเนียโล่งใจจนบอกไม่ถูกเมื่อเห็นบอสของเธอเดินผ่านประตูห้องทำงานเข้ามา ดร.อาคัสรีบดึงผ้าขนหนูที่ปิดตาออก เด้งตัวนั่งหลังตรงพลางหยิบแว่นตาบนโต๊ะมาสวม เอ่ยทักทาย
"อรุณสวัสดิ์ครับหัวหน้าวาริท เดินทางไปที่โน่นเป็นยังไงบ้าง"
วาริทพยักหน้า
"ก็ดี ถ้าไม่มีคนตามกัดตลอดเวลา"
แดนิเญลพูดพร้อมรอยยิ้มที่ชวนให้นึกขุ่นเคือง "ผมแค่ทำหน้าที่สมาชิกที่ดี คอยเตือนเวลาหัวหน้าเริ่มออกนอกลู่นอกทาง เราต้องหาทางแก้ไว้ก่อน"
ดวงตาสีมรกตลุกโชนฉับพลัน วาริทเหยียดยิ้ม "ดี... ขอบใจที่เป็นห่วงสวัสดิภาพของกลุ่มนะ แดน"
วาริทคว้าก้านคอคนร่างสูงใหญ่กดลงรุนแรงจนแทบหักคออีกฝ่าย ก่อนฝังเขี้ยวคมบนต้นคอหนาใหญ่อย่างไม่ปรานี เรเนียยกมือปิดปากอย่างตกตะลึง ขณะ ดร.อาคัส อุทานว้าวอย่างสนอกสนใจ
การฝังเขี้ยวบนคอแวมไพร์ด้วยกันถือเป็นการหยามเกียรติร้ายแรงยิ่งกว่าถูกตบหน้า ถือว่าฝ่ายถูกกระทำมีค่าต้อยต่ำยิ่งกว่าอาหารมื้อหนึ่ง มีทั้งความเจ็บปวดและการถูกดูหมิ่นในคราวเดียวกัน ดร.อาคัสเห็นด้วยว่าการออกปากจะเชิญหัวหน้ากลุ่มท่านอื่นมาดูแลแทนมันออกจะ...หักหน้ากันเกินไปนิด ถึงจะทำให้หัวหน้าวาริทยอมกลับมาก็เถอะ...
วาริทสะบัดเขี้ยวออก ไสร่างอีกฝ่ายจนล้มหลังกระแทกพื้น คราบเลือดยังติดริมฝีปาก
"อย่าลืม คราวหลังคิดให้ดีก่อนพูด"
แดนิเญลนั่งหอบ กุมคอตัวเองที่เลือดยังไหลซึม มองวาริทที่เดินออกจากห้องอย่างเคืองแค้น
เมื่อคืนก่อนแดนิเญลได้รับโทรศัพท์ปริศนาจากชายคนหนึ่ง บอกว่าขณะนี้วาริททิ้งกลุ่มที่กำลังเจอวิกฤตเพื่อไปดูแลแวมไพร์ตนหนึ่งในประเทศไกลห่าง แค่ได้ฟัง แดนิเญลกับพวกทั้งโกรธจัดทั้งอยากรู้ความจริง ชายหนุ่มบอกตัวเองซ้ำๆ ว่าที่ทำทุกอย่างก็เพื่อประโยชน์ของกลุ่มทั้งนั้น...
วาริทไม่สนใจว่าคู่กรณีจะอยากกินเลือดกินเนื้อตนซักแค่ไหน เขาเดินไปตามทางเดินสว่างไสว ขณะส่งขวดบรรจุตัวอย่างเลือดของศาสวัติและขวดบรรจุเลือดชาลระยะล่าสุดให้ ดร.อาคัสกับเลขานุการสาว พลางถาม
"เราวิจัยถึงไหนกันแล้ว"
ก่อนจากมา เมื่อวาริทจำใจต้องเอ่ยคำลาจาก ชาลลูบเส้นผมเขาพลางบอกเสียงนุ่มนวล
"เธอควรกลับไปหากลุ่ม นั่นเป็นที่ที่เธอควรอยู่"
สุดท้ายวาริทได้แต่ฝากฝังอดีตเจ้านายตัวเองไว้กับอัคนิและยินยอมกลับมา โดยเขาไม่มีโอกาสรู้ว่าคนที่โทรศัพท์ปริศนาถึงแดนิเญล คือตัวชาลเอง
-----------------------------
บริเวณใกล้แม่น้ำแถบนี้เป็นอาณาเขตส่วนหนึ่งของตระกูลใหญ่ พื้นที่ยังคงสภาพเป็นป่าย่อมๆ เพราะอยู่ค่อนข้างห่างไกลชุมชน ไทวินเดินตามถนนดินมาถึงบ้านเดี่ยวชั้นเดียวหลังใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ริมน้ำ เขาเคาะประตูสองสามครั้ง เมื่อไร้เสียงตอบรับจึงถือวิสาสะเปิดเข้าไปเอง
ไทวินเดินทะลุห้องรับแขกไปยังห้องค้นคว้าซึ่งอยู่ติดกัน สิ่งที่มองเห็นเป็นอย่างแรกเมื่อเปิดประตูคือ ชั้นหนังสือขนาดใหญ่บรรจุหนังสือและตำราเอกสารเกือบพันเล่มครอบครองผนังด้านหนึ่งสูงจากพื้นเกือบจรดเพดาน ผนังอีกด้านจัดแสดงของสะสมอย่างมีดเก่าแก่และปืนพกโบราณนับร้อยชิ้น มุมห้องด้านหนึ่งมีกล้องดูดาวขนาดใหญ่คลุมด้วยผ้า บนโต๊ะกว้างกลางห้องวางกล้องจุลทรรศน์ กล้องส่องทางไกล แผ่นที่ และหนังสือหลายเล่มที่เปิดค้าง องค์ประกอบในห้องมีความหลากหลายตามแต่ใจเจ้าของ บ้านนี้จึงเป็นเหมือนห้องเก็บสมบัติน่าตื่นตาตื่นใจที่ไทวินชอบมาขลุกเล่นตั้งแต่เล็ก
เจ้าของบ้านในชุดลำลองซึ่งนั่งบนเก้าอี้หลุยส์ตัวหนึ่งกำลังจมดิ่งกับเอกสารในมือ เขาเป็นชายวัยปลายสามสิบ ค่อนข้างผอมและดูซีดเซียวเหมือนไม่ค่อยโดนแดด ผมใส่น้ำมันเสยเรียบ ไม้เท้าสีดำลวดลายทองหรูหราสไตล์วิกทอเรียวางพิงข้างตัว เขาเพิ่งละสายตาจากเอกสารเงยหน้ามองเมื่อรู้สึกว่ามีคนเดินเข้ามาใกล้
"ไทวินหรอกเหรอ"
"ขอโทษที่เข้ามาเองนะอาธีร์ ผมเคาะประตูแล้วไม่มีใครตอบ" ไทวินทักทายผู้เป็นอา นั่งเก้าอี้ตัวใกล้กัน
"ผมแวะมาบอกว่า ไวรัสที่อาให้ไปทดสอบยอดเยี่ยมมาก" ชายหนุ่มผิวเข้มยิ้มกว้าง "แค่ไม่ถึงชั่วโมงก็ออกฤทธิ์เต็มที่ ขนาดชาลโดนเข้าไปนิดเดียวยังแทบเอาตัวไม่รอด ผมไม่เคยเห็นพวกแวมไพร์วิ่งวุ่นขนาดนี้มาก่อน”
ธีร์มีท่าทีกระตือรือร้น “ได้ผลดีขนาดนั้นเชียวเหรอ แต่ชาลคงยังไม่ตายง่ายๆ ล่ะมั้ง เสียดายอาไม่ได้เห็นกับตา ไม่สะดวกหลายอย่าง” เขาตบขาซ้ายของตัวเองเบาๆ
“ผมห่วงนิดเดียวว่าพวกแวมไพร์จะผลิตยาแก้ได้ก่อน" ไทวินบอกข้อกังวล แล้วต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นธีร์หัวเราะพอใจ
"ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร... นั่นแค่ตัวอย่างทดลอง ว่าแต่เดินทางคราวนี้เป็นยังไงบ้าง"
ไทวินเปลี่ยนอิริยาบถมานั่งไขว่ห้าง เอนหลังจมในเก้าอี้นุ่มสบาย ดวงตาเป็นประกายเหมือนเด็กชายที่เห็นของเล่นชิ้นใหม่ "ผมเจอมนุษย์น่าสนใจคนหนึ่งด้วยล่ะครับ”
"หืมม... ใกล้ถึงฤดูเลือกคู่แล้วเหรอ..." ธีร์หันไปเช็คปฏิทินใกล้ตัวเผื่อความจำของตนจะผิดพลาด “...อีกตั้งครึ่งปีนี่”
"ไม่ใช่ของผมครับ เป็นมนุษย์ที่ชาลมันถูกใจต่างหาก" ขณะเล่า ไทวินพลันรู้สึกอยากเจอตัวศาสวัติขึ้นมา "เป็นมนุษย์ผู้ชายคนหนึ่ง ไม่น่าเชื่อใช่มั้ยอาธีร์ ผมกัดมนุษย์คนนั้นต่อหน้าไอ้ตัวดูดเลือดด้วย แบบเดียวที่มันเคยกัดย่าซิลรีญาต่อหน้าปู่"
ไทวินหัวเราะร่าเริงเหมือนเด็กที่แก้แค้นเพื่อนคืนได้สำเร็จ แม้ไม่บอก ธีร์ก็เดาได้ว่าชาลทั้งเจ็บตัวและเจ็บใจขนาดไหน
“ถ้าปู่ของเธอได้ยิน คงดีใจจนลุกจากหลุมมาเต้นระบำได้” น้ำเสียงธีร์มีแววถากถาง เขาถามหลานชายต่อ “พรุ่งนี้เช้าว่างมั้ย อยากชวนไปห้องแล็บกับอาซักหน่อย”
ไทวินดวงตาเป็นประกาย ร่างคล่องแคล่วปราดเปรียวนั่งโน้มตัวไปข้างหน้ามองอาของตน
"ว่างสิครับ เมื่อไหร่เราจะเริ่มแผนกันซักที ผมรอมานานแล้ว"
ธีร์ยิ้มใจเย็น ปรามหลานชายที่มักใจร้อนกับทุกเรื่อง "อดทนอีกนิด ความอดทนที่พอเหมาะเป็นองค์ประกอบหนึ่งของความสำเร็จนะ"
เขาหยิบไม้เท้าข้างตัวพยุงร่างลุกขึ้นยืน เดินกระเผลกเล็กน้อยไปยังโต๊ะทำงานตัวใหญ่กลางห้อง "มานี่สิ อาว่าเธอต้องอยากเห็นแน่ ดูโครงสร้างมันไว้ก่อนก็ได้..."
ธีร์หยิบเอกสารบนโต๊ะส่งให้ไทวิน
"...นี่ล่ะหน้าตาสิ่งที่จะทำให้แผนของเราเป็นจริง"
-----------------------------
มวลเมฆที่ลอยผ่านนำฝนชุ่มฉ่ำโปรยทั่วภูเขาเป็นช่วงสั้นๆ ตลอดสัปดาห์ ดับความร้อนแล้งโดยรอบไปได้ ชาลลงมาเดินบนพื้นดินอีกครั้ง สัมผัสกลิ่นแมกไม้และไอดินหอมกรุ่น
ต้องขอบคุณวาริท ที่ก่อนจากได้บังคับให้เขาดื่มเลือดสดๆ ซึ่งขอแบ่งปันจากมนุษย์สองคนที่บังเอิญผ่านมา บวกกับยาต้นแบบเพื่อควบคุมไวรัสที่เรเนียเพิ่งนำมาให้จากศูนย์วิจัย ชาลสัมผัสว่าเรี่ยวแรงที่เหือดหายเริ่มกลับมาราวตาน้ำผุดขึ้นบนผืนดินแห้งผาก รับรู้ว่าเชื้อโรคร้ายในตัวกำลังถูกกำจัด ร่างกายเขาฟื้นตัวอย่างรวดเร็วกระทั่งลุกจากเตียงได้ในห้าวันถัดมา รอยจ้ำเลือดใต้ผิวหนังเลือนหายไป เหลือเพียงผิวขาวซีดเหมือนกระดาษซึ่งเห็นชัดว่าเพิ่งฟื้นไข้ อัคนิดีใจมากจะหาเลือดสดใหม่มาให้อีก ดีที่เขาห้ามไว้ทัน... เท่านี้ก็พอแล้ว
เมื่อได้รับฝน ต้นพลับพลึงรอบบริเวณบ้านผลิดอกออกช่อสีแดงไสวดูหนาตากว่าที่เคย ส่งกลิ่นหอมกระจายทั่ว ทุกคราวที่กลิ่นดอกพลับพลึงด้านล่างลอยล่องขึ้นไปถึงห้องนอน ชาลพลันนึกถึงกลิ่นหอมหวานของเลือดซึ่งเคยดื่มจากศาสวัติ นึกถึงกลิ่นผิวเนื้ออบอุ่นกรุ่นอยู่ริมจมูก เขาได้ยินเสียงจากข้างในเรียกร้องโหยหาว่าอยากพบอีกครั้ง
อยากพบอีกครั้ง...
เสียงนี้ดังก้องสะท้อนสะท้านภายในใจไม่ยอมหยุด
ทันทีที่เรี่ยวแรงคืนกลับมาจนน่าพอใจ ชาลจึงย่างเท้าออกจากภูเขาเป็นครั้งแรกในรอบครึ่งเดือน อัคนิที่ทัดทานเจ้านายไม่ไหวจึงติดตามมาไม่ห่าง แม้ชินกับนิสัยเจ้านายดีแต่เด็กชายยังอดบ่นไม่ได้ เพราะนอกจากวาริทจะโทรมาถามอาการวันละสามเวลาแล้ว การคุ้มครองคนป่วยจัดว่าเป็นภาระหนักพอสมควร และดูเหมือนตัวคนป่วยเองจะไม่ห่วงความปลอดภัยของตนเท่าไรนัก ทุกเรื่องของเจ้านายจึงกลายเป็นภาระของอัคนิไปหมด
กลางหมู่คนวุ่นวายและรถราขวักไขว่ชวนรำคาญ ตึกสูงต่ำติดกันเป็นทิวเทือก ชาลเงยหน้ามองคอนโดมิเนียมสีเทาอ่อนสูงตระหง่านตัดกับท้องฟ้าหลังหนึ่ง
การลอบเข้าที่พักใครสักคนไม่ใช่เรื่องยากลำบากสำหรับชาล เสียงดังคลิกเบาๆ ก่อนเขาจะหมุนลูกบิดเปิดประตูห้องพักอย่างง่ายดาย
ชาลปิดประตู ก้าวเข้าไปในห้องนั่งเล่นสีครีมขนาดไม่ใหญ่นัก ได้กลิ่นหอมคุ้นเคยแสนคิดถึงซึ่งยังหลงเหลือค้างในห้อง ช่างเป็นความผูกพันที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว... เขานึกหัวเราะเยาะตัวเอง เมื่อตระหนักว่าตนราวกับคนคลั่งรักที่ไล่ติดตามมา ขอเพียงได้ยินแค่เสียงได้เห็นแค่เงาก็พอใจ
เห็นท้องฟ้านอกเฉลียงหลังห้องอาบแสงสีส้มอ่อนยามเย็น ได้ยินเสียงฝีเท้าบนระเบียงทางเดินดังใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ตามด้วยเสียงกุญแจไขประตู ชาลมองคนที่ตนรอคอยมาตลอดเดินเข้าห้องมา
ศาสวัติในชุดนักศึกษาปิดประตูแล้วถอดรองเท้า อีกมือปลดกระเป๋าหนังสือที่สะพายไหล่ ศาสวัติพลันชะงักเมื่อมองเห็นเขา ปล่อยสายกระเป๋าไหลหลุดจากมือไปกองกับพื้น ดวงตาสีเทาเงินเบิกกว้างขณะเอ่ยชื่อ
"ชาล"
เขายิ้มให้
-----------------------------
TBC