Time O’Clock
[1]
ป้ายพลาสติกทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีดำพลิกจากด้าน ‘Open’ เป็น ‘Close’ ขณะเดียวกับแสงไฟด้านในบางส่วนดับลง เห็นเป็นเงาจางๆสี่ร่างขยับทำหน้าที่ของตนอยู่ตามมุมต่างๆของร้านบนผนังทาสีน้ำตาลอ่อน เสียงอุปกรณ์ทำความสะอาดกระทบพื้นผิวเป็นจังหวะทำหน้าที่ขับเคลื่อนบรรยากาศไม่ให้เงียบจนเกินไป จนกระทั่งเด็กหนุ่มเจ้าของเงาใกล้เคาน์เตอร์ที่สุดทำลายมันด้วยการส่งเสียงอย่างเกียจคร้าน
“วันนี้มันเหนื่อยดีจริงๆเว้ย”
“ไม่อยากเหนื่อยพรุ่งนี้ก็ไม่ต้องมาทำงานนะ ฉันอนุญาต” ชายหนุ่มเจ้าของร้านซึ่งยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์เอ่ยเสียงเรียบทั้งยังไม่เงยหน้าขึ้นจากเครื่องคิดเลข เรียกเสียงหัวเราะสะใจพร้อมเพรียงจากเด็กหนุ่มสองคนที่เหลือ ขณะคนขี้บ่นรีบแยกยิ้มปะเหลาะทันควัน
“ผมบ่นพล่ามไรไปเรื่อยเฉยๆครับ ไม่ไปไหนหรอก ทำงานกับใครก็ไม่แฮปปี้เท่าทำงานกับคุโรซาวะซังอีกแล้วครับ” ลากเสียงยาวตรงคำสุดท้ายประจบ ทำเมินเสียงโห่จากเพื่อนร่วมงาน ลอยหน้าลอยตาผิวปากหวือกระชับมือจับไม้ถูพื้นต่อแข็งขัน
“ไม่มีเงินค่าปากหวานเพิ่มให้นะนากาโอะ” คุโรซาวะ ทาคุยะ กระตุกยิ้มมุมปาก หัวเราะหึเมื่อได้ยินเสียงโอดครวญตอบกลับมา มีเพื่อนอีกสองคนหัวเราะซ้ำเติมอย่างสนุกสนาน
“พูดถึงอะไรหวานๆ คุโรซาวะซังไม่ลองรับพวกเค้กมาบ้างหรอครับ ตั้งแต่พวกผมมาทำงาน ก็เห็นแต่ร้านขายกาแฟอย่างเดียวเลย” ทาจิบานะ ฮิคารุ ถามขึ้นหลังแกล้งเพื่อนจนพอใจ เขากับนากาโอะ เคียวและฮายาชิ มิซึรุ เพื่อนอีกสองคนมาทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านกาแฟแห่งนี้ได้เกือบครึ่งปีแล้ว ไม่เห็นเค้กหรือของหวานใดๆขายรับประทานคู่กับเครื่องดื่มเหมือนร้านทั่วไป
“มันก็อยากรับนะทาจิ แต่ว่าฉันหาที่ถูกใจมาดีลด้วยไม่ได้ซะที ให้ทำเองก็ฝีมือไม่เอาอ่าว” ทาคุยะถอนหายใจปลงๆ ละมือจากทำบัญชีมาเตรียมชงโกโก้ร้อนให้เด็กหนุ่มทั้งสามอย่างที่ทำประจำหลังปิดร้าน พนักงานพาร์ทไทม์สามคนเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดแล้วเข้าจับจองเก้าอี้สูงหน้าเคาน์เตอร์ กล่าวขอบคุณก่อนยกแก้วกระเบื้องขึ้นจรดริมฝีปาก
“ก็ว่าทำไมถึงมีขนมมาให้พวกผมกินบ่อยๆจนจะกลิ้งได้แล้ว” ฮายาชิหัวเราะคิก โยกศีรษะหลบมือส่งข้ามเคาน์เตอร์มาอย่างเชี่ยวชาญ กอดถ้วยโกโก้แนบอก ทำปากยื่นด้วยความหวงแหนเมื่อคนชงยื่นมือมาหมายจะยึดมันคืนไป
“แกก็รู้ว่าฉันเอามาให้ช่วยชิมไงวะ ว่ามันโอเครึเปล่า”
“แล้วผลคือที่มันราคาถูกก็ไม่อร่อย ที่พอกินได้ก็เรียกราคาแพงเว่อร์เกินไปจนไม่เมกเซนส์ บางที่นอกจากราคารับไม่ได้แล้วยังรสชาติไม่ได้เรื่องไปอีก” เด็กหนุ่มหน้าคมผิวแทนเท้าคางพึมพำ มีนากาโอะโคลงศีรษะเห็นพ้อง
“ถูกของทาจิ ผมจำเค้กผักชีของร้านบล็อกสิบได้ ผักชีห่อแป้งชัดๆ โคตรฝันร้ายเลย แค่นึกถึงก็ขมคอแล้ว”
“จริงๆมันก็มีร้านเบเกอรี่ดีๆอยู่ ราคาแอบแรง แต่สมเหตุสมผลเพราะโฮมเมด ถึงเครื่องจริงๆ เสียดายที่ปิดไปแล้ว มีร้านเปิดใหม่เยอะเกิน เขาสู้ไม่ไหว” ทาจิบานะระบายลมหายใจยาว ซึ่งเหมือนฮายาชิกับนากาโอะจะเข้าใจตรงกัน สองคนพยักหน้ารับเซื่องซึม
ทาคุยะเลิกคิ้ว...เหมือนจะมีเขาคนเดียวที่ไม่รู้เรื่อง
“ร้านไหนวะ”
“ร้านของคาซึกิซังตรงหัวมุมถนนอ่ะครับ ปิดไปก่อนคุโรซาวะซังจะมาเปิดร้านประมาณสองสามเดือนได้” ฮายาชิตอบ ชี้นิ้วไปนอกร้านประกอบ
“ร้านสีครีมๆที่ต้องผ่านถ้าเดินจากสถานีรถไฟมาร้านเราน่ะครับ เค้กเขางานดีมาก ของโฮมเมดขนานแท้ แต่ที่ปิดไปเพราะขาดทุนด้วยส่วนนึง อีกส่วนน่าจะเพราะเขาไม่สบายพอดี ถ้าผมรู้มาไม่ผิด เหมือนจะเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร ตรวจเจอก็ระยะสี่แล้ว ผมรู้จากแม่ผมที่เป็นพยาบาลอยู่โรงพยาบาลที่เขารักษาตัว” นากาโอะรับช่วงต่อ ทาจิบานะพยักหน้าถี่ เสริมจากเพื่อน
“แฟนเขาเป็นหมอโรง’บาลนั้นแหละครับ รู้จักกันมาตั้งแต่ม.ต้น แต่เพิ่งมาคบกันก็ตอนคาซึกิซังเปิดร้าน สูตรเริ่มจากเป็นลูกค้าแล้วจีบตามสเต็ป ตอนนี้เหมือนหมอจะได้ทุนวิจัยอะไรซักอย่างเลยต้องย้ายไปลอนดอน เลยตั้งใจพาไปรักษาตัว ดีไม่ดีอาจจะแต่งงานกันที่โน่นเลย เพราะกฎหมายอังกฤษอนุญาต”
เจ้าของร้านที่ฟังเพลินๆชะงักกึกเมื่อได้ยินช่วงสุดท้าย ดวงตาเรียวรีหรี่ลง คิ้วขมวด
“เดี๋ยวนะ...คุณหมอแฟนคาซึกิซังนี่เป็นผู้ชายงั้นหรอ”
“ใช่!” สามเสียงประสานสามัคคี
“หมอมาเอดะ อัจฉริยะเหมือนไอสไตน์กลับชาติมาเกิด อายุไม่เท่าไหร่ก็ขึ้นแท่นผู้เชี่ยวชาญแล้ว ต่อให้ร่อแร่มายังไง ถึงมือหมอแกก็รอดทุกราย”
“นี่หมอเทวดาหรอวะ” ทาคุยะกลอกตา
“เหย ผมพูดจริงนา” ฮายาชิท้วง “หล่อด้วย แถมเป็นถึงลูกรัฐมนตรี สืบสายมาจากตระกูลขุนนางเก่าอีก คาซึกิซังนี่ยังกะถูกรางวัลที่หนึ่ง”
“ร้านเจ๊งพ่วงมะเร็งระยะที่ไม่รู้รักษาหายรึเปล่าเป็นของสมน้ำหน้าคุณ ถึงถูกรางวัลที่หนึ่งยังไงมันก็ไม่น่าดีใจหรอกนะ”
“จริงของคุโรซาวะซังแฮะ” นากาโอะพยักหน้าเซื่องซึม “ว่าไปแล้วตั้งแต่ปิดร้านไปก็ไม่เห็นเขาอีกเลย ร้านปิดร้างยังกะป่าช้า จะรู้ข่าวก็จากแม่ที่เล่าว่ามาตรวจเดือนละครั้งก็ดูแย่ลงเรื่อยๆ หมอมาเอดะก็ดูเครียดขึ้นทุกวัน”
“คิดถึงยิ้มโลกสดใสเยียวยาหัวใจกับเค้กอร่อยๆเติมพลังช่วงสอบของคาซึกิซังจัง” ฮายาชิจับช้อนคนโกโก้ในแก้วเรื่อยเปื่อย ดวงตากลมดำขลับมีแววหวนรำลึก
เจ้าของร้านเลิกคิ้วขึ้นสูง
“ขอโทษที่ขัดจังหวะถวิลหาอดีตนะ แต่ฟังจากพวกแกแล้วรู้สึกว่าคาซึกิซังนี่เหมือนเทวดามากเลย”
“เป็นคำจำกัดความที่ใกล้เคียงมากครับมาสเตอร์” นากาโอะเท้าคางทำหน้าเพ้อฝันชวนหมั่นไส้ “หน้าคมๆแต่ก็ดูหวาน ขาวมากเหมือนกินนีออนเข้าไป นึกไม่ออกก็ดูเจ้ามิซึรุ ประมาณนี้เลย”
เจ้าของร้านมองเด็กหนุ่มหน้าตาจิ้มลิ้มผิวขาวจัดเหมือนเรืองแสงได้แล้วพยักหน้าเข้าใจ
“ขาวแบบไม่ใช่คนว่างั้น”
“แต่ของไอ้มิซึรุนี่ผิวขาวที่ไม่ส่งความขาวมาถึงจิตใจด้านใน” ทาจิบานะค่อนรุ่นน้อง เบะปากเยาะเย้ยฮายาชิที่ถลึงตาใส่เอาเรื่อง
“ใช่ซี่...ใครจะไปจิตใจงดงามน่ารักเหมือนคาซึกิซังล่ะ”
“รู้ตัวก็ดีไอ้เด็กปีศาจ”
“อย่างน้อยฉันก็มีส่วนขาว ไม่เหมือนนายที่ดำปื๋อทั้งกายและใจ”
“เฮ้ อย่าตีกันเลยน่า เจ้าพวกนี้นี่ อายุก็ไม่ใช่น้อยๆกันแล้ว” นากาโอะห้ามทัพสองคนที่เริ่มฮึ่มๆใส่กันตามหน้าที่พี่ใหญ่ของกลุ่ม โดยมีสายตาระอาปนขบขันจากเจ้าของร้านที่มองอยู่เงียบๆ มือเปิดดูโหลแก้วบรรจุวัตถุดิบต่างๆตรวจสอบปริมาณคร่าวๆด้วยสายตา อันเป็นขั้นตอนสุดท้ายประจำวันก่อนจะปิดร้านแล้วกลับบ้านไปทำบัญชีประจำวันให้เสร็จ
ปลายเข็มสั้นของนาฬิกาบนผนังด้านหลังเคาน์เตอร์ชี้ที่เลขสิบเมื่อเขาโบกมือลาพนักงานทั้งสาม จัดการปิดล็อกประตูร้านให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินแยกไปอีกทาง
ปกติทาคุยะจะพักที่ชั้นบนของร้าน หากถ้าวันต่อไปเป็นวันหยุดประจำสัปดาห์ เขาจึงกลับบ้านที่อยู่ห่างออกไปสี่สถานีรถไฟ ใช้เวลากับครอบครัวบ้าง หลังถูกมารดาค่อนเอาหลายครั้งหลายหนว่าตั้งแต่เปิดร้านกาแฟของตนเองก็หมกตัวอยู่แต่ที่ร้าน บ้านช่องไม่กลับจนพ่อกับแม่จะลืมหน้าลูกชายไปแล้ว
ร้านกาแฟของเขาเพิ่งเปิดกิจการมาได้ประมาณครึ่งปี เป็นเวลาไม่นานนักแต่ก็เป็นที่ภาคภูมิใจกับตนเองว่าที่มุเตรียมการด้านต่างๆนานกว่าสองปีเป็นไปได้ด้วยดี
ทาคุยะยอมรับว่าการมีกิจการและเป็นนายตนเองนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาใฝ่ฝัน จะเรียกว่าไม่เคยอยู่ในความคิดสักนิดก็ย่อมได้ หลังเรียนจบปริญญาตรีสาขาพานิชศาสตร์และการบัญชีจากมหาวิทยาลัยชื่อดังด้วยคะแนนสูง เขาก็เข้าทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนในบริษัทยักษ์ใหญ่มีสาขามากมายในหลายประเทศเหมือนเด็กจบใหม่ทั่วไปนิยม ก่อนจะค้นพบและแน่แก่ใจว่าเขาไม่เหมาะกับงานประเภทนี้เมื่อมีอายุงานครบหนึ่งปี ความคิดอยากมีกิจการเป็นของตนเองก็เริ่มเข้ามาในช่วงนั้น
เขาเริ่มศึกษาการตลาด จนแน่ใจแล้วว่าต้องการจะเปิดร้านกาแฟก็ไปสมัครเรียนหลักสูตรบาริสต้าและสิ่งจำเป็นอื่นๆ ศึกษาหลายสิ่งพร้อมกับเตรียมการไปด้วยกระทั่งเห็นว่ามีครบพร้อมแล้วก็ลาออกจากงานมาบริหารกิจการของตนเต็มตัว นึกขอบคุณตนเองที่ศึกษาอย่างละเอียดก่อนลงทุนก็ตอนเปิดร้านแล้วมีลูกค้าเข้ามาอุดหนุนไม่ขาด ยิ่งช่วงเช้าด้วยแล้วเรียกได้ว่ามือเป็นระวิง
ชายหนุ่มเดินฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีขณะเดินเรื่อยๆไปตามทางเท้า สีครีมของผนังห้องแถวสะท้อนแสงไฟจากตรงหัวมุมถนนเข้ามาในคลองสายตา เรียกชะงักเท้ากำลังจะก้าวข้ามทางม้าลายให้หยุดแทนที่จะผ่านเลยไปดังปกติ ฉุกคิดถึงบทสนทนาระหว่างตนกับเด็กหนุ่มทั้งสามตอนก่อนจะปิดร้าน
‘ร้านสีครีมๆที่ต้องผ่านถ้าเดินจากสถานีรถไฟมาร้านเราน่ะครับ เค้กเขางานดีมาก ของโฮมเมดขนานแท้ แต่ที่ปิดไปเพราะขาดทุนด้วยส่วนนึง อีกส่วนน่าจะเพราะเขาไม่สบายพอดี’
ร้านสีครีม...ตกแต่งด้านนอกน่ารักน่ามองเหมือนบ้านตัวละครในนิทานสำหรับเด็ก ดูสะอาดสะอ้านบอกชัดว่าได้รับการดูแลรักษาอย่างดี จึงเหมือนร้านปิดทำการรอถึงเวลาเปิดในวันใหม่ ไม่ใช่ปิดกิจการทิ้งร้างไปนานกว่าครึ่งปี
ยิ่งเห็นแสงไฟสลัวและเงาคนเดินไปมาจากด้านในด้วยแล้ว คล้ายเจ้าของร้านกำลังตรวจความเรียบร้อยรอบสุดท้ายก่อนกลับ...
ทาคุยะชะงัก ก้มลงมองประตูที่ปิดสนิท ไม่มีแม่กุญแจหรือสายคล้องอยู่ หรืออาจจะเคยมี
หรือจะเป็น...ขโมย
คิดดังนั้น ชายหนุ่มรีบผลักประตูเข้าไปด้านใน ผ่านห้องโล่งว่างที่เคยเป็นส่วนรับลูกค้า ชุดโต๊ะเก้าอี้ถูกนำไปกองซ้อนกันอยู่มุมหนึ่ง เคาน์เตอร์ยังอยู่ที่เดิมและเปิดไฟส่วนนั้นไว้
ทาคุยะก้าวตรงไปหลังเคาน์เตอร์ ขมวดคิ้วเมื่อเห็นถุงกระดาษสีน้ำตาลพิมพ์ตราโรงพยาบาลวางอยู่พร้อมกับหน้ากากอนามัย รูปทรงที่ยังกางออกรับกับใบหน้าและสัมผัสอุ่นที่ยังคงอยู่บ่งว่ามันอาจจะเพิ่งถูกถอดออกมาได้ไม่นาน สิ่งนั้นเรียกให้เจ้าของร้านกาแฟตัดสินใจดึงซองยาในถุงกระดาษออกดูชื่อพิมพ์บนสติ๊กเกอร์
ไม่ผิดจากที่เขาคาดไว้...
‘คาซึกิ ชิน’
ชื่อนั้นทำให้ชายหนุ่มไม่รีรอจะรีบวิ่งขึ้นบันไดไปทันที สิ่งของเหล่านี้ รวมกับเรื่องเล่าที่ได้ฟังมาจากเด็กหนุ่มในร้าน ผลลัพธ์มันออกมาเลวร้ายยิ่งนัก และเขาหวังว่าจะไม่ตรงกับสิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้
โรคมะเร็งระยะที่สี่...อาการทรุดลง...ร้านปิดกิจการเพราะขาดทุน...กลับมาที่ร้านคนเดียวตอนดึกและเดินไปทั่วร้าน
ทั้งหมดนี้ชี้ชัดว่าเจ้าตัวต้องการจะจบชีวิตตนเองเป็นแน่!
“คาซึกิซัง!” เขาตะโกนสุดเสียง กวาดสายตาทั่วชั้นสองอันว่างเปล่ารวดเร็ว แล้วพุ่งขึ้นบันไดไปยังชั้นต่อไป...น่าจะเป็นชั้นดาดฟ้า
ทว่า...ชายหนุ่มต้องหยุดนิ่งกลางคันเมื่อได้ยินเสียงของหนักกระทบพื้นด้านล่างตรงหลังร้าน ความรู้สึกชาวาบไล่ตั้งแต่ปลายเท้าลามขึ้นมาไขสันหลัง ก่อนจะรีบรวบรวมสติหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสายเรียกรถพยาบาล แล้ววิ่งกลับไปตามเสียง
แม้จะทำใจไว้ล่วงหน้าแล้วว่าตนเองต้องเจอกับอะไรเมื่อประตูหลังร้านเปิดผางออก แต่ภาพของผู้ชายอายุไล่เลี่ยกับเขานอนจมกองเลือดก็ทำให้เข่าอ่อน นานเหลือเกินในความรู้สึกกว่าจะไปทรุดลงคุกเข่าข้างร่างนั้น
‘คาซึกิซัง’ ของเจ้าลิงทโมนทั้งสามผิวขาวจัดดังว่า ยิ่งในตอนนี้ยิ่งขาวราวกระดาษ รูปร่างผ่ายผอมเหมือนหนังหุ้มกระดูกเห็นได้ชัดแม้จะอยู่ในชุดเสื้อกางเกงขายาว ถึงกระนั้นจมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากที่น่าจะเคยอิ่มเต็ม ขนตายาวหนาเป็นแพ องค์ประกอบใบหน้าอื่นๆปรากฏเค้าให้พอรู้ว่าที่เจ้าพวกนั้นเพ้อถึงก็ไม่ได้เกินความจริงเท่าไรนัก
ทาคุยะแตะชีพจรตรงลำคอ โล่งใจเมื่อยังรู้สึกถึงสัญญาณชีวิตแม้จะแผ่วเต็มที เช่นเดียวกับลมหายใจรวยริน ระหว่างจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาค้นหาวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นด้วยมือสั่นสะท้าน ก็ได้ยินเสียงรถพยาบาลใกล้เข้ามาพอดี
เจ้าของร้านกาแฟมองดูคนเจ็บถูกนำขึ้นรถฉุกเฉิน กระทั่งท้ายรถปิดลงและแล่นลับสายตา ส่งคำอวยพรไปแม้ตระหนักดีว่าอีกฝ่ายไม่รับรู้
ถึงมือหมอแล้ว...ขอให้ไม่เป็นอะไรและมีกำลังใจกลับมาสู้กับมะเร็งต่อนะ
คาซึกิซัง...
---------------------------------------------
สีหน้าเครียดขรึมของนากาโอะหลังผลักบานประตูเข้าร้านในเช้าสองวันต่อมา...ส่งสัญญาณไม่ดีนัก
“แม่ผมเข้าเวรห้องฉุกเฉินบอกว่าเมื่อวานซืนคาซึกิซังโดดดาดฟ้าร้าน” เด็กหนุ่มคงอ่านคำถามจากสีหน้าของเขา ตอบเข้าประเด็นไม่อ้อมค้อม
“เป็นไงบ้าง” คำถามนั้นไม่ได้มาจากทาคุยะ ทว่ามาจากฮายาชิที่เงยหน้าจากทำความสะอาดโต๊ะอย่างวิตก
“สมองกระเทือนหนักมาก ผ่าตัดแล้วก็อาการไม่ดีมาตลอด จนเมื่อเช้าลองเทสต์ ผลคือสมองตายแล้ว”
เจ้าของร้านค้างนิ้วตรงปุ่มเปิดเครื่องคั่วเมล็ดกาแฟ เหมือนผิวสัมผัสของมันส่งความเย็นวาบผ่านปลายนิ้วไปทั้งสรรพางค์
ถึงไม่มีความรู้ทางการแพทย์ แต่เขาก็พอจะรู้ว่าถ้าอวัยวะนั้นหยุดทำงาน เท่ากับคนๆนั้นได้จากโลกนี้ไปแล้ว เหลือเพียงร่างกายไร้การตอบสนองที่คงอยู่ได้ด้วยสารพัดเครื่องมือช่วยชีวิตคอยประคอง
เสียงเรียกจากพนักงานใกล้ตัวเรียกสติล่องลอยให้กลับมา ทาคุยะกะพริบตา ไม่อยากให้มันเป็นเรื่องจริงที่ว่าชายหนุ่มคนที่เขาพยายามช่วยเหลือเมื่อคืนวานได้จากไปแล้ว
“คุโรซาวะซัง...เป็นอะไรหรือเปล่าครับ หน้าซีดมากเลย” ทาจิบานะจับต้นแขนของเขาอย่างกังวล เจ้าของชื่อสูดหายใจลึก
"ฉันเป็นคนไปเจอและเรียกรถพยาบาลให้เขาเอง” เหตุการณ์คืนก่อนถูกถ่ายทอดออกมาด้วยเสียงที่พยายามควบคุมเป็นปกติ กระนั้นเขาก็รู้สึกถึงปลายนิ้วที่ยังคงเย็นเยียบ
ถ้าหากว่า....ถ้าหาก
“ถ้าฉันเร็วกว่านี้ คงช่วยคาซึกิซังได้ทัน”
“ไม่เป็นไรครับ มันไม่ใช่ความผิดของคุณเลย อย่างน้อยคุณก็ช่วยเขาไว้นะ” นากาโอะปลอบ มือลูบหลังมือเขาเบาๆ
ทาคุยะ ถอนหายใจ ส่ายหน้าช้าๆ
“ฉันก็พยายามบอกตัวเองแบบนั้นเหมือนกัน แต่ลบภาพเขาตัวผอมๆบางๆนอนมีเลือดเต็มไปหมดออกไปจากหัวไม่ได้ซะที ยิ่งพอรู้ว่าอาการเป็นแบบนั้นแล้ว มันยิ่งเข้ามาหลอนในหัว”
เจ้าของร้านหนุ่มยกมือขึ้นคลึงขมับเบาๆ ดึงสมาธิกลับมาจดจ่อกับงานตรงหน้า ทว่าภาพเหตุการณ์คืนก่อนยังเข้ามารบกวนตลอดเวลาจนกระทั่งสุดท้ายบอกเด็กหนุ่มทั้งสามไปว่าวันนี้จะปิดร้านช่วงบ่ายเพื่อไปเยี่ยมคนเจ็บที่โรงพยาบาลด้วยกัน
อย่างน้อยก็หวังว่าจะทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง
หากทว่า...เมื่อได้เห็นร่างของคนเจ็บบนเตียงผ่านกระจกใสแล้ว หัวใจที่หน่วงอยู่ก่อนหน้ายิ่งบีบรัดจนปวดแปลบไปทั้งช่องอก ความคิดที่ว่าหากเขาสังหรณ์ใจเร็วกว่านี้ รีบวิ่งขึ้นไปดาดฟ้าเร็วกว่าเดิม คาซึกิ ชินก็คงไม่ต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ สะท้อนไปมาในห้วงความคิดเหมือนยืนอยู่กลางถ้ำ ลงทัณฑ์ทรมานด้วยความสำนึกผิด
ยิ่งเห็นแพทย์หนุ่มหน้าตาหล่อเหลานั่งกุมมือคนไข้แนบแก้มที่มีหยาดน้ำตาไหลอาบอยู่ข้างเตียงด้วยแล้ว
“คนนั้นไงครับ หมอมาเอดะ แฟนของเขา” นากาโอะกระซิบบอก ทาคุยะพยักหน้ารับรู้ เป็นจังหวะเดียวกับที่นัยน์ตาคมของนายแพทย์ในห้องละจากคนบนเตียงขึ้นมาประสานสายตาเข้าพอดี ไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากยกยิ้มตามมารยาทให้แล้วค้อมศีรษะเป็นเชิงทักทาย ก่อนเลิกคิ้วอย่างฉงนเมื่อฝ่ายนั้นลุกจากเก้าอี้มาเปิดประตู
“คุณคือคนที่ช่วยเขาไว้ใช่ไหมครับ”
เจ้าของร้านกาแฟตอบรับ “ใช่ครับ ผมเป็นเจ้าของร้านกาแฟที่อยู่ห่างออกไปอีกช่วงตึก ตอนเดินไปสถานีรถไฟเห็นร้านของเขาเปิดไฟอยู่และเห็นเงาคนในนั้นเลยเข้าไปดูเผื่อว่าจะมีขโมยหรืออะไร แล้วเห็นซองยาของคาซึกิซัง รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆเลยรีบขึ้นไปดูครับ แต่ก็...”
เว้นจังหวะ กลืนน้ำลายผลักมวลความรู้สึกที่ขึ้นมาจ่อในลำคอ ก่อนจะโค้งลงต่ำ
“ขอโทษที่ถือวิสาสะและ...ขึ้นไปไม่ทันครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมากที่ช่วยเขาไว้ อย่างน้อยก็ให้ผมได้บอกลาเขา” มาเอดะยกยิ้มฝืดเฝื่อน หากดวงตาฉายความขอบคุณจากใจจริง แม้มันจะปกคลุมไปด้วยความเศร้าหมอง เหมือนเค้าเมฆในวันท้องฟ้าสีเทา
“ผมเองก็เห็นแก่ตัว บอกให้เขาสู้เพื่อจะอยู่กับผมไปนานๆ ไม่ได้ถามซักคำว่าเขาเหนื่อยไหม ยังสู้ไหวอยู่รึเปล่า”
เสียงของแพทย์หนุ่มแตกพร่าคล้ายกับหัวใจในยามนี้ วงหน้าคมคายเงยขึ้นสะกดกลั้น ก่อนเอ่ยขอตัวไปทำหน้าที่ของตนต่อ ทิ้งท้ายว่า
“คุณเข้าไปหาเขาได้ไหมครับ ผมอยากให้เขารับรู้ว่านอกจากคนใกล้ตัวแล้ว ก็มีคนอยากให้เขาอยู่ต่อ...อย่างน้อยผมก็หวังว่าเขาจะรับรู้”
คำปฏิเสธที่จ่ออยู่ตรงริมฝีปากกลืนเข้าไปในลำคอทันทีเมื่อสบดวงตาแววโศกวิงวอนคู่นั้น ทาคุยะได้ยินเสียงตนเองรับคำเสียงเบา ค่อยยกมือขึ้นเลื่อนประตูเปิด เกร็งตัวจรดปลายเท้าก้าวเข้าไปด้านใน
นัยน์ตาเรียวรีจับยังท่อนแขนผอมราวกับกิ่งเปราะใกล้แตกหักบนคบไม้เป็นอันดับแรก มันเล็กมาก...จนเขาคิดว่าอาจจะเล็กกว่าข้อมือของเขา บนข้อพับนั้นเต็มไปด้วยรอยเข็มใหม่และเก่าปะปน สะท้อนถึงความเจ็บปวดจากการรักษาโรคร้ายที่ผู้เป็นเจ้าของต้องเผชิญมาตลอดหลายเดือน
ทาคุยะค่อยประคองมือเย็นเยียบขึ้นมาในอุ้งมืออย่างทะนุถนอม บีบมันเบาๆ สายตาเลื่อนขึ้นไปหยุดยังดวงตาปิดสนิท เผยแพขนตายาวเหมือนขนตาผู้หญิงตัดกับผิวแก้มซีดเซียว และริมฝีปากอิ่มเต็มที่เคยเห็นซึ่งบัดนี้ถูกบดบังด้วยแผ่นสีน้ำเงินยึดท่อขนาดใหญ่ต่อจากเครื่องมือตรงข้างเตียงสอดเข้าไปในลำคอ หนึ่งในสายระโยงระยางชวนสับสนแทบจะกลืนร่างผอมบางจมลงไปกับเตียง
“ไม่รู้ว่าคุณเห็นหรือว่าจำผมได้รึเปล่า ผมคือคนที่ตะโกนเรียกชื่อคุณเมื่อวาน และคงเป็นคนที่ดึงคุณตรงดาดฟ้า ถ้าไปถึงเร็วกว่านี้” ริมฝีปากแห้งผากของเขาขยับเอื้อนเอ่ยกับคนเจ็บ
“ผมพอจะรู้บ้างว่าคุณต้องเจอกับอะไรบ้าง ถึงจะไม่เข้าใจความรู้สึกเท่าไหร่ แต่ก็พอรู้ว่ามันยากและเหนื่อยมากใช่มั้ย คุณถึงเลือกทางเดินนี้ ผมก็ไม่อยากพูดไรมากเพราะผมไม่รู้จักคุณเลยก็ว่าได้ ซึ่งผมเสียใจนะที่ไม่รู้จักคุณให้เร็วกว่านี้ พวกเจ้านากาโอะบอกว่าเค้กร้านคุณอร่อยมาก ผมอยากรู้ว่ามันจริงหรือเปล่า ถ้าผมได้เจอคุณเร็วกว่านี้ ผมจะมีโอกาสได้ชิมใช่มั้ย ดีไม่ดีอาจจะมีเค้กของคุณมาวางที่ร้านผม จะได้ไม่ต้องแอบได้ยินลูกค้าบ่นอีก ร้านกาแฟอะไรไม่มีเค้ก” ชายหนุ่มหัวเราะฝืดเฝื่อน บีบมือซีดอีกครั้ง
“ผมเพิ่งได้ยินชื่อคุณครั้งแรกเมื่อวานเอง ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอตัวจริงในสถานการณ์แบบนี้ เอาเป็นว่ายินดีที่ได้รู้จักนะครับคาซึกิซัง”
ยกยิ้มบางเบา ค่อยจับมือผอมลงบนแผ่นอกขยับขึ้นลงตามเครื่องช่วยหายใจ
“และลาก่อน” เขากระซิบ ก่อนผละออกมาด้านนอก ผงกศีรษะทีหนึ่งให้เด็กหนุ่มสามคนที่รออยู่แทนคำบอกว่าถึงเวลากลับร้านแล้ว
ความรู้สึกหนักอึ้งเมื่อช่วงเช้าค่อยเบาบางให้มีสมาธิกับหน้าที่จนกระทั่งถึงเวลาปิดร้าน ทุกอย่างเป็นไปตามอย่างที่ควรเป็น เขาชงโกโก้ให้พนักงานทั้งสาม พูดคุยสัพเพเหระตรงเคาน์เตอร์ ชื่อของคาซึกิเป็นความอ่อนไหวที่ทุกคนเลือกจะหลีกเลี่ยงพูดถึง จนถึงเวลาสมควรก็แยกย้าย ทาคุยะกลับขึ้นมายังชั้นบนซึ่งเป็นส่วนที่พักของตน จัดการทำบัญชีประจำวันเรียบร้อยก็เอนหลังกับพนักเก้าอี้ ทอดสายตามองออกไปด้านนอกหน้าต่าง ยอดกางเขนของโบสถ์คาทอลิกเด่นเป็นสง่าท่ามกลางบ้านเรือนอย่างสมัยเก่าเรียงรายใต้แสงจันทร์เต็มดวง ชวนให้ก้าวออกไปหาเพื่อพิศในระยะใกล้ ชะล้างความรู้สึกคับอกคับใจที่ยังคงค้างคา
ประตูโบสถ์ในยามดึกปิดสนิทดังคาด ทาคุยะยกมือขึ้นประสานระหว่างอก หวังคำภาวนาจะเข้าไปถึงพระผู้เป็นเจ้า
“มีเรื่องทุกข์ใจอะไรหรือลูก” สุ้มเสียงอ่อนโยนเปี่ยมด้วยเมตตาดังขึ้นมาจากประตูที่เปิดออก ชายหนุ่มเงยหน้า บาทหลวงชรามองมายังเขาอย่างอารี
“ผมเกรงว่าจะเป็นการรบกวน” ทาคุยะออกตัวอย่างเกรงใจ ได้รับคำตอบรับเป็นรอยยิ้มปรานีและบานประตูที่เปิดกว้างขึ้น
“พระบิดาต้อนรับลูกแกะของพระองค์เสมอ เข้ามาข้างในก่อนสิ”
ผู้เยาว์วัยกว่าคลี่ยิ้มขอบคุณ โค้งลงต่ำอย่างซึ้งใจ ก่อนจะก้าวขึ้นบันไดทอดสู่อาณาเขตของพระผู้เป็นเจ้า ตามบาทหลวงชราในชุดคลุมยาวไปนั่งลงข้างกันตรงม้านั่งแถวหน้าสุด แสงเทียนสลัวจากคบเพลิงสลักลายพรรณพฤกษาให้รู้สึกอบอุ่นสบายใจแม้จะยังไม่ได้รับคำปลอบโยนใด
“เรื่องใดกันที่ทำให้ลูกต้องออกมาในสถานที่นี้ในตอนดึกดื่น” สำเนียงปลุกปลอบจากข้างตัวให้ชายหนุ่มวางใจจะระบายสิ่งที่ค้างคาและรบกวนทุกห้วงคำนึงออกมา
“เมื่อคืนผมได้ช่วยคนๆหนึ่งครับคุณพ่อ เขากระโดดดาดฟ้าฆ่าตัวตาย แต่ไม่ทัน กว่าผมจะไปถึงเขาก็ลงมาถึงพื้นแล้ว ผมโทรเรียกรถพยาบาลทันก็จริง แต่เขาสมองตาย ทางการแพทย์ถือว่าเขาตายไปแล้ว ผมคิดโทษตัวเองอยู่ตลอดตั้งแต่รู้ข่าว ว่าถ้าผมไปถึงเร็ว เขาก็คงไม่เป็นแบบนี้ ไปจนถึงกระทั่งว่าถ้าผมรู้จักเขาเร็วกว่านี้ ผมอาจจะได้ช่วยเขามากกว่านี้ ผมหยุดคิดเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆครับคุณพ่อ พยายามไม่คิดถึงมันก็ยังเข้ามาวนเวียนจนแทบบ้าแล้ว”
นัยน์ตาผู้ฟังมีแววเมตตา แต่คมลึกจนเหมือนมองตรวจเข้าไปเห็นทุกซอกมุมในหัวใจ
“ทุกสิ่งได้ถูกลิขิตไว้แล้ว หากไม่เป็นแบบไหน เท่ากับสิ่งนั้นไม่ได้ถูกลิขิตให้เกิดขึ้นหรือเป็นเช่นนั้น อย่าคิดมากไปเลย มันไม่ใช่ความผิดของลูก ลูกอาจจะถูกลิขิตมาให้ได้รู้จักและบอกลาเขาในครั้งเดียวกัน”
“ครับ คุณพ่อ”
“ถ้าหากลูกกับเขาได้ถูกลิขิตให้ได้เข้ามามีชะตาผูกพันกันจริง ไม่ว่าจะดูเหลือเชื่อ เป็นไปไม่ได้แค่ไหน สักวัน พวกลูกก็จะได้เจอกัน ลิขิตก็เหมือนอนาคตแหละลูก เรามองไม่เห็นมัน จะเห็นก็เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็เท่านั้น”
ทาคุยะโคลงศีรษะด้วยสีหน้าที่ดูดีขึ้นเล็กน้อย กล่าวขอบคุณท่านสาธุคุณอย่างซาบซึ้งใจ ก่อนฝ่ายนั้นจะปลีกตนออกไปเผื่อให้ความเป็นส่วนตัวแก่ผู้ต้องการที่พึ่งทางใจ
ชายหนุ่มประสานมือกลางอก เงยหน้าขึ้นไปยังกางเขนเด่นสง่าบนแท่นบูชา สายตาจับนิ่งเนิ่นนาน สิ่งที่รบกวนจิตใจมาตลอดวันยังคงอยู่แม้เบาบางหลังได้พูดให้ใครสักคนรับฟัง
“ผมอาจจะถูกลิขิตให้พบกันเพื่อบอกลาเหมือนที่คุณพ่อว่า แต่ผมก็อยากช่วยเขาได้มากกว่านี้จริงๆ ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนแบบผมถึงได้ว้าวุ่นอยู่เป็นวันๆเพราะห้ามคนฆ่าตัวตายไม่ได้” เสียงระบายลมหายใจฟังชัดในโบสถ์อันเงียบสงัด ทาคุยะไม่รู้ว่านั่งนิ่งค้างท่าประสานมือภาวนาตรงม้านั่งอยู่นานแค่ไหนกว่าจะลุกขึ้นยืน เดินกลับออกไปพร้อมกับคำถามไร้ซึ่งคนตอบ
เหตุใด...เขาถึงสลัดเรื่องของคาซึกิ ชิน ออกไปจากความคิดไม่ได้
TBC.