บทที่ ๑
เจ้าชายแห่งปักษา
เหนือดินแดนแห่งสองโลก เป็นผืนแผ่นดินที่มีเพียงความเงียบสงบ ดินแดนสูงชันที่มีป่าไม้ผลัดใบและธรรมชาติได้แปรเปลี่ยนสีสันไปตามกาลเวลา ขุนเขาสูงเสียดฟ้าซึ่งเป็นแหล่งที่เผ่าปักษาครอบครองอยู่เหนือพื้นดิน ภายในป่าและหินผาอันเงียบสงบ ฤดูหนาวมีหิมะล้อมรอบสูงเสียดฟ้า ฤดูใบไม้ผลิได้แปรเปลี่ยนสีสันของใบไม้ให้กลายเป็นสีน้ำตาล สีส้ม และร่วงลงสู่ผืนดิน
ดินแดนแห่งสายหมอก...
ถูกแบ่งเขตออกเป็นสอง
ไม่มีใครรู้ว่า ภายใต้ภูเขาป่าลึกนั้น มีเผ่าพันธุ์ใดซ่อนตัวหรือหลงเหลืออยู่
ท่ามกลางสายหมอกและอากาศที่หนาวเย็น ผู้คนอาศัยอยู่บนเทือกเขาสูงมีเส้นผมสีทองนุ่มสลวย ผิวขาวเนียนละเอียด ดวงตาสีดำสนิทและทอประกายอ่อนเยา กลางหลังมีปีกสีขาวที่จะคอยโบยบินสู่ฟากฟ้าตามแต่ใจต้องการ พวกเขาหากินไปตามภูเขาสูงเต็มไปด้วยหิมะ หาผลไม้และเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์ นครนาคานตกะเป็นดินแดนแห่งความสงบร่มเย็น ไม่มีการต่อสู้หรือแก่งแย่งชิงดีเพื่อความยิ่งใหญ่
เช่นเดียวกับกษัตริย์ที่ชื่อ...ผู้ซึ่งครองราษฎรด้วยความเที่ยงธรรม
และพระองค์มีเจ้าชายที่รูปงามที่สุด เส้นผมเป็นสีทองยาวระท้ายทอย ดวงตาทอประกายสีเขียวมรกตนั้น จ้องมองไปยังป่าแห่งรัตติกาล ใบหน้าหวานของพระองค์ ช่างแลดูงดงามยิ่งกว่าสตรีคนไหน ๆ
“ลามิส...เจ้าว่าเบื้องล่างนั้นจะมีแต่ผืนป่าแห่งความมืดและเหล่าสัตว์ร้ายจริง ๆ หรือเปล่า”
“กระหม่อมไม่ทราบพะย่ะค่ะ แต่ได้ยินเสียงเล่ารือมาบ้าง...ว่าไม่เคยมีใครลงไป แล้วได้กลับมาเลยสักคน”
“งั้นหรือ...”
อัสมาเมียงมองลงไปยังผืนป่าเบื้องล่างจากริมระเบียงพระราชวังสีขาวงดงามเหมือนหิมะ ท่ามกลางทะเลหมอกยามอรุณรุ่ง ผืนป่าเบื้องล่างเป็นสีเขียวงดงามจับตา แต่ไม่มีใครเคยรู้ว่า...ภายใต้ความมืดมิดอันนั้น มีภัยอันตรายใด ๆ ซ่อนอยู่ เขาได้ฟังเพียงนิทานเล่าขานที่กล่าวกันไว้ว่า ลึกลงไปภายใต้ป่าอันมืดมิด มีดวงตาของสัตว์ป่า ที่พร้อมกับฆ่าทุกคนและเต็มไปด้วยสัตว์ป่าดุร้ายนานาพันธ์
ซึ่งอัสมาไม่เคยเชื่อนิทานเหล่านี้เลย..
“แต่ข้าเคยได้ยินมาว่า...อาคันตุกะที่มาเยือนดินแดนเรา ต่างก็เดินที่ในเส้นทางผ่านป่านั้น ถ้าอย่างนั้นเรื่องเล่าขานก็ไม่เป็นความจริงเลยน่ะสิ”
“ข้าเคยได้ยินว่าเหล่าอาคันตุกะพวกนั้น หาได้เดินภายในป่าไม่...แต่พวกเขาไปเป็นหมู่คณะ และเดินอยู่เพียงรอบนอก และเดินในช่วงกลางวัน ข้าเคยได้ยินจากนักเดินทางมาว่า...ในยามค่ำคืนจะมีเสียงสัตว์ร้ายดังระงมภายในป่าไปหมด ไม่มีใครกล้าเข้าไป เมื่อไหร่ที่อาทิตย์ลับขอบฟ้าพวกเขาจะหาค่ายพักแรมรอบนอกนั่น ไม่กล้าเข้าใกล้เขตป่าเป็นอันขาด” ลามิสกล่าว
“งั้นหรือ....”
...ป่าไม้สีเขียวขึ้นอยู่ภายในป่า ถัดออกไปเป็นลานหินกว้างมีน้ำตกไหลลงมาสู่ด้านล่างจนเป็นละอองสีรุ้ง น้ำตกแห่งนี้มีความสูงถึงเก้าชั้น มีว่านป่าและดอกไม้นานาพันธ์ล้อมรอบขอบสระส่งกลิ่นหอมรวยระริน ผีเสื้อนับสิบตัวโบยบินกันและเกาะอยู่บนผืนดินประดุจสรวงสรรค์อันงดงาม ที่นี่เป็นป่าใหญ่ทางตอนเหนือของดินแดนแห่งรัตติกาล และไม่ค่อยมีผู้คนแวะเวียนกันมามากนัก
ชายหนุ่มที่นอนเอามือพิงศีรษะ หลับตาลงอย่างสงบ ผิวสีแทนสูงเกือบแปดสิบหกเซนต์ ผมตัดสั้นสีดำ มีรอยสักที่ไหล่ขวา บุรุษผู้นี้ชอบมาพักพิงในผืนป่า ไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับใคร ชายหนุ่มผู้นี้รักอิสระ แสงแดดที่ลอดช่องใบไม้ลงมาสู่ลำตัวของเขาและใบไม้ที่รกครึ้ม ทำให้ร่างสูงที่นอนอยู่บนกิ่งไม้สูงกลมกลืนกับต้นไม้ซึ่งมีกิ่งก้านกว้างใหญ่ ใบหน้าของเขาคมจัด
ร่างสูงมักชอบหลบหนีออกมาเที่ยวเล่น ชอบเก็บตัวอยู่ภายในป่าใหญ่ อยู่ท่ามกลางธรรมชาติและพืชพรรณรอบน้ำตก มันทำให้เขาเงียบสงบ ทายาทเผ่าอสูรเขี้ยวสมิง เป็นผู้ที่จะต้องสืบราชบัลลังก์แทนพระบิดา แต่กลับมีสีตาแปลกแยกกับทุกคนในเผ่า นับเป็นความน่าหวาดผวาของทุกคนที่ไม่กล้าจะเข้าใกล้เขาเลยแม้แต่น้อย
เคเรสไม่ชอบเลยจริง ๆ...
นัยน์ตาสีทอง แตกต่างกับนัยน์ตาสีดำแปลกแยกจากคนอื่น ๆ
จ๋อม...
เสียงน้ำกระฉอกเล็ก ๆ ปลุกสติสัมปชัญญะของเคเรสได้ตื่นขึ้นทันที ใบหน้าคมคายลืมตาขึ้นช้า ๆ และเหลียวมองไปยังลำธารน้ำด้วยความสงสัย
ที่นั่น..อาจเรียกได้ว่ามีเทวดามาเยือนผืนแผ่นดิน ชายหนุ่มมีใบหน้าสะสวย ผมสั้นสีทอง ดวงตาสีเขียวมรกต ผิวขาวเหมือนหิมะ เรียวปากสีแดงระเรื่อ นัยน์ตาคู่นั้นเป็นประกายเจิดจรัสเมื่อแลเห็นน้ำตก เคเรสจำได้ทันทีว่าชายคนนี้เป็นเผ่าปักษา ดูได้จากปีกสีขาวกลางหลัง เส้นขนสีขาวเล็ก ๆ โบยบินอยู่รายล้อมตัวเขา
ดวงหน้าหวานปลดกระดุมเสื้อจากหัวไหล่ ชายหนุ่มตั้งใจจะปลดเสื้อผ้าออกหมดเพื่อจะอาบน้ำในสระแห่งสรวงสวรรค์ ทันทีที่ผิวขาวสะอาดของอัสมาโผล่พ้นชายเสื้อออกมา ก็ต้องทำให้เคเรสอดที่จะตะลึงไม่ได้ คิดถึงเผ่าปักษาที่ครอบครองอยู่บนท้องฟ้า และงดงามกว่าเผ่าไหน ๆ ผมสีทองอ่อนยาวถึงต้นคอ กับผิวขาวละลานตา...
จนกระทั่งเมื่ออัสมาก้าวลงไปสายน้ำนั่นแหละ เคเรสจึงได้รู้สึกตัวว่าตนเองไม่สมควรจะมองจึงได้แต่เบี่ยงหน้าหนีไปทางอื่น ชั่งใจอยู่นานว่าจะเอ่ยทักไปดีหรือว่าจะรอให้เรื่องผ่านไปเงียบ ๆ ดี ชายคนนั้นคงตกใจไม่น้อย..เมื่อรู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่ลำพัง แต่กลับมาเปลื้องผ้าต่อหน้าบุรุษเช่นเขา
คิด ๆ แล้ว ก็เลยเงียบไว้ดีที่สุดจะดีกว่า
เจ้าของเรือนร่างขาวสะอาด อาบน้ำไปทั่วลำตัว...ความงามของปักษาทำให้สายน้ำที่ไหลลงมาและดูธรรมดาไปเลยเมื่อเทียบกับตัวเขา และเอาดาบวางอยู่ใกล้ ๆ กับเสื้อผ้า ยังดีที่ยังเอามีดปลายแหลมไว้บนก้อนหินใกล้ ๆ ตัวชายหนุ่ม
โดยไม่ทันได้ระวังตัว...
เคเรสขมวดคิ้วด้วยความเป็นห่วง ผู้ที่เคยอาศัยอยู่บนยอดเขาสูงเสียดฟ้าอย่างเผ่าปักษาไม่เคยต้องลงมาเหยียบย่างอยู่บนผืนดิน ชายหนุ่มจะรู้ไหมว่าท่ามกลางธรรมชาติที่แสนงดงามเหล่านี้ยังมีสัตว์จำพวกงูพิษหรือแม้แต่สัตว์ร้ายที่มักจะโผล่มาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว
ขณะที่เขายังลังเลว่าจะเตือนให้ชายหนุ่มรีบขึ้นมาจากน้ำ อสรพิษที่มีลายพร้อยก็ออกมาจากใต้หินขนาดใหญ่และมีจำพวกว่านและดอกไม้ป่าส่งกลิ่นหอมกระจายไปทั่ว มันเลื้อยเข้าหาตัวชายหนุ่มที่ด้านหลังในขณะที่เขาไม่รู้ตัวเลย ยังคงยืนอยู่ใต้น้ำตกไม่ได้คิดระแวงอะไร
เมื่อมันชูคอขึ้นอันเป็นหายนะของชายหนุ่มนั่นแหละ เคเรสก็ตัดสินใจได้ทันทีเขาชักมีดที่เสียบอยู่ที่เอวขึ้นมาและพุ่งใส่ลำคอของมัน ส่งอสรพิษกระเด็นไปปักอยู่ที่ดินริมตลิ่ง มันบิดลำตัวไปมาตัวมันใหญ่มากและพิษของมันก็ร้ายแรงมากขึ้นไปด้วย
“เอ๊ะ !?”
อัสมาได้ยินเสียงฟันฉัวะของคมมีด ร่างขาวสะอาดหันมามองเคเรส...เห็นไปทุกสัดส่วน แต่มันช้าไปสำหรับเคเรสที่จะหันไปมองที่อื่น เพราะสายตาของเขาประสานกับดวงตาสีเขียวมรกต มากกว่าที่จะมองอสรพิษที่ตายด้วยคมมีดของเขา
เคเรสถอนหายใจยาว ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้วที่เขาจะซุ่มซ่อนตัวต่อไป ไหล่กว้างรูปร่างกำยำกระโดดลงมาจากต้นไม้
“ขอโทษที่มาขัดจังหวะการอาบน้ำของเจ้า แต่มันช่วยไม่ได้จริง ๆ ขืนข้าช่วยเจ้าช้ากว่านี้อีกสักนิดเจ้าก็คงจะตายไปแล้ว” เขาเอ่ยน้ำเสียงเนือย ๆ
แต่คนฟังกลับมองเขาด้วยสายตานิ่งสนิท
“ขอบคุณมาก...ข้าไม่คิดเลยว่าภายในผืนป่าจะมีสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่อีกด้วย” อัสมาเดินไปยังกองเสื้อผ้าของตน แล้วใส่เสื้อผ้า สายตาของเคเรสมองดูแผ่นหลังของเขา ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะเป็นผู้สูงศักดิ์หรือขุนนางอะไรสักอย่าง เพราะดูจากเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับที่เป็นทองแท้ตรงที่รัดแขนเป็นเครื่องหมายของวงศ์ตระกูลอะไรสักอย่าง “และก็ไม่คิดเลยว่า...จะมีผู้อื่นที่แอบดูข้าอาบน้ำด้วย”
เคเรสหยัดยิ้ม นัยน์ตาเป็นประกาย
“ข้าไม่ได้แอบดูเจ้า ข้านอนหลับอยู่บนต้นไม้ดี ๆ แต่เจ้าต่างหากที่จู่ ๆ ก็บินลงมาแถมยังเปลื้องผ้าอาบน้ำต่อหน้าข้าอีก”
เคเรสตัวสูงกำยำมาก ใบหน้าคมคายหล่อเหลา ผิวสีแทนหน่อย ๆ จมูกโด่ง เรียวปากหยักยิ้ม เส้นผมสีดำ มีรอยสักที่หัวไหล่ ดวงเนตรสีทองนั่นมันจ้องมองมายังปักษา ผู้ที่งดงามยิ่งกว่าเทวดาอยู่บนสรวงสรรค์...เขาเคยเห็นเผ่าปักษามาบ้าง ทุกคนล้วนแต่สวยงามกันหมด แต่กลับไม่มีใครงามเท่ากับคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเลย
“เจ้าชื่ออะไร...”
“ก่อนที่จะถามชื่อคนอื่น...ท่านควรแนะนำตัวก่อนดีกว่าไหม”
“ขอโทษที...ข้าชื่อเคเรส เป็นหนุ่มพเนจร...เจ้าล่ะ”
“ข้าชื่ออัสมา...” อัสมาเดินเข้ามาใกล้ “เป็นเผ่าปักษา...ข้าได้ยินมาว่าด้านล่างนี้เต็มไปด้วยป่าใหญ่ และพืชพันธุ์นานาชนิด และมีน้ำตกใสสะอาด ข้าจึงใฝ่ฝันอยากจะเยือนสักครั้ง ข้าควรกลับไปได้แล้ว...เพราะว่าเวลานี้ก็ใกล้จะถึงยามเย็นแล้ว ได้ยินว่ามีสัตว์ร้ายมากมาย มีผู้เดินทางกล่าวอยู่เสมอว่า ยามที่พระจันทร์เต็มดวงให้อยู่ห่างจากป่าแห่งความมืดนี้ไว้ เคเรสเจ้าก็ควรจะกลับไปตอนนี้จะดีกว่า”
อัสมาหยัดยิ้ม มองดูเคเรสที่ขมวดคิ้ว
“ก็อาจใช่...เผ่าปักษาที่คุ้นเคยกับแดนหิมะอย่างเจ้า ไม่ควรลงมาที่นี่หรอก...แต่จ้าจะบอกอะไรไว้อย่าง ว่าภายในป่าแห่งความมืด มีอีกเผ่าพันธุ์หนึ่ง เขามักจะหลบซ่อนตัวเองเอาไว้...ไม่ให้ผู้คนมองเห็นได้ง่าย ๆ นัยน์ตาสีดำของพวกเขาจับจ้องที่จะหาเหยื่อ โดยเฉพาะเผ่าพันธุ์ที่อยู่เหนือศีรษะผู้โบยบินอยู่เหนือท้องฟ้า...”
“มีอีกเผ่าพันธุ์หนึ่งอย่างนั้นหรือ...”
“เผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิงยังไงล่ะ”
อัสมานิ่งเงียบ ดวงตาสีเขียวมรกตของเขาไร้ซึ่งความกังวล อย่างที่เคเรสหวังจะได้เห็น ใบหน้าคมคายโน้มลงมาใกล้พร้อมกับกระซิบแผ่ว
“เจ้าไม่กลัวหรืออัสมา...ข้าอาจจะเป็นเผ่าเขี้ยวสมิงที่อยู่ภายในป่าแห่งรัตติกาลนั้นก็ได้”
“หากเจ้าเป็นเผ่าเขี้ยวสมิงจริง ๆ ล่ะก็...เจ้าคงไม่ช่วยข้าเอาไว้เมื่อตะกี้หรอก” อัสมายิ้ม นัยน์ตาเป็นประกาย เคเรสเงียบงันไปพักใหญ่ สายตาสีทองของเขาจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีเขียวมรกตของเผ่าปักษา เขาจ้องมองอยู่เนิ่นนาน...เหมือนกำลังตกอยู่ในห้วงมนต์สะกด
อัสมาเป็นผู้ที่ไม่กลัวเกรงต่อสิ่งใด...
หรือว่าเป็นเพียงแค่คนที่ปลงต่อชีวิตกันแน่
“เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่...เป็นเผ่าปักษาจริง ๆ หรือ”
“ทำไม !? ยังมีอะไรที่ข้าแตกต่างไปจากเผ่าปักษาที่เจ้าเคยเห็นงั้นหรือ”
เคเรสเหลือบสายตามองไปที่กำไลข้อแขนของชายหนุ่ม มันคล้าย ๆ กับเป็นสัญษลักษณ์อะไรบางอย่างที่เขาคล้าย ๆ ว่าจะเคยเห็น อัสมามองหน้าเขา...ด้วยสายตาเต็มไปด้วยคำถาม
“เปล่าหรอก..เจ้าควรกลับไปได้แล้ว เพราะเวลานี้ใกล้ค่ำเต็มที”
อัสมาไม่ตอบ ทันทีที่เขาหลับตา...ปีกสีขาวขนาดใหญ่ก็ออกมาจากด้านหลังของเขา มีปีกสีขาวราวกับเทวดา เคเรสจ้องมอง อัสมาหันมายิ้มให้เขาเล็กน้อย แทนคำขอบคุณที่อุตส่าห์ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ชายหนุ่มร่างกำยำยืนนิ่ง...แล้วเหยียดยิ้มเล็กน้อย
“ลาก่อน..”
“ขอบใจมากนะ” อัสมายิ้ม แล้วโผบินขึ้นไปบนท้องฟ้า เคเรสมองดูชายหนุ่มผิวเนียนละเอียดบินขึ้นไปท่ามกลางภูเขาสูง มีปีกสีขาวล่องลอยทั่วไปหมด มือของเขาจับปีกสีขาว...เอามาถือไว้ มันเหมือนปีกขนนกขนาดใหญ่ เคเรสเอามันมาใกล้ ๆ จมูก มันมีกลิ่นหอมบางอย่าง...อาจจะเป็นกลิ่นหอมของมวลดอกไม้ แล้วใบหน้าคมคายก็หลับตา...
“รู้อย่างนี้ถามว่าจะลงมาอีกเมื่อไหร่ ก็จะดีหรอก...”
เคเรสยิ้มและเดินกลับเข้าไปภายในป่า...ก่อนที่เสียงของคนกลุ่มใหญ่และเสียงฟาดฟันจะดังแว่ว ๆ มาจากบนท้องฟ้าที่อัสมาเพิ่งบินขึ้นไปเมื่อครู่นี้ ใบหน้าคมคายมองขึ้นไป...แล้วก็ต้องเบิกตาโต เมื่อมองเห็นปีกสีขาวร่วงลงมาสู่พื้นดิน พร้อมกับผู้บุกรุกที่มีปีกสีดำจ้องจะฆ่าอัสมาให้ตาย แทงเขาด้วยหอกอันใหญ่ และก็มีศัตรูบินตามลงมาอย่างมากมายเต็มไปหมด จนอัสมาร่วงลงสู่พื้นดิน
“ตายซะเจ้าชายอัสมา”
“เจ้าพวกทรยศ” อัสมานิ่วหน้า เขาไม่อาจจะบินได้เนื่องจากได้รับบาดเจ็บบริเวณปีกขวาด้านหลัง “ใครเป็นคนส่งพวกเจ้ามา แล้วบิดาข้าล่ะ”
“ท่านสุนิลผู้ครองเผ่านิลกาฬคนต่อไปต่างหากล่ะที่สมควรเป็นกษัตริย์ บิดาของเจ้าน่ะมันแก่แล้ว ส่วนเจ้าก็ไม่มีวันขึ้นครองราชย์ไปได้หรอก จงตายซะเถอะอัสมา”
“อึ้ก...”
เคเรสมองขึ้นไปก็รู้ได้ทันทีว่า เกิดเรื่องไม่คาดฝันแก่เผ่าพันธุ์ปักษา มีการทรยศหักหลังและมุ่งทำร้ายอัสมา เขาวิ่งกระโดดหน้าผาขึ้นไป แล้วชักดาบข้างเอวขึ้นมาฟันปีกสีดำของเผ่านิลกาฬของขาดออกเป็นสองเสี่ยง แล้วอีกมือหนึ่งเขาก็อุ้มร่างอัสมาเอาไว้ ผู้ที่ถูกเขาฟันด้วยดาบร่วงลงสู่พื้นดิน ท่ามกลางเสียงปวดร้าวเหมือนนกปีกหัก อัสมาหันมามองเคเรสด้วยหน้าอันซีดเผือด
“เคเรส...นี่ท่าน”
“เก็บปีกของเจ้าเสีย พวกมันมากันเยอะแยะ...แล้วไปอยู่ด้านหลังของข้าซะ”
“ไม่ได้ นี่เป็นเรื่องของเผ่าพันธุ์ปักษา ข้าจะมัวหลบอยู่ด้านหลังของท่านได้ยังไง” อัสมาจำใจต้องเก็บปีก แต่รอยฟันที่เบื้องหลังมันก็ยังสาหัส เคเรสประคองร่างของเขาเอาไว้ และเอาไปไว้ด้านหลัง เพราะศัตรูบุกลงมาถึงพื้นดิน พวกมันแตกต่างไปจากเผ่าปักษา ปีกของพวกมันทุกตัวล้วนเป็นสีดำสนิท ไม่เว้นแม้แต่ดวงตา
“เจ้าเป็นใครกัน ส่งเจ้าชายออกมาซะ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือน”
“อ้อ...นี่เจ้าเป็นเจ้าชายหรอกหรือ” เคเรสหยัดยิ้ม ถือดาบเอาไว้ขวางหน้าอัสมา “พวกเจ้าต่างหาก อยู่บนฟ้าดี ๆ ไม่ชอบ แต่กลับลงมาสู่พื้นป่าแห่งรัตติกาล เจ้าไม่รู้หรือว่ายังมีเผ่าพันธุ์ที่ดุร้าย กระหายเลือด ที่ชอบลิ้มรสเหยื่อที่มีเลือดสด ๆ ไหวเวียนอยู่ภายในร่างกาย”
เคเรสไล้เลียริมฝีปากกับดาบที่เพิ่งฟาดฟันศัตรูมาหมาด ๆ
ท่าทางของเคเรส่กับดวงตาสีทองที่ทอประกายวาวโรจน์ ทำเอาฝ่ายศัตรูถึงกับทำหน้าไม่ถูก เพราะพวกเขาไม่เคยต้องลงมาสู่ผืนป่าแห่งรัตติกาลมาก่อน และเคยได้ยินว่ามีเผ่าพันธุ์หนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ภายในป่า เจ้าคนหลังเดินเข้ามากระซิบกับผู้ที่เป็นหัวหน้า
“ท่าทางจะเป็นเผ่าเขี้ยวสมิง...”
“เผ่าเขี้ยวสมิงหรือ” ชายวัยกลางคนหรี่ตาลงมอง พร้อมกับกัดฟันแน่น “จะเป็นเผ่าพันธุ์ไหนก็แล้วแต่ แต่ถ้ามาขวางทางของข้า ข้าไม่มีวันยอมยกโทษให้แน่”
เขาตะโกนจากนั้นก็พุ่งเข้ามาท่ามกลางเสียงลมพัด พร้อมกับดาบในมือ พร้อมกับลูกน้องนับสิบที่เข้ามารุมล้อมและต้องการจับตัวเจ้าชายอัสมามาให้ได้ เคเรสเหยียดยิ้ม และเขาก็วิ่งสวนเข้าไปใช้ปลายดาบฟาดฟันปีกของพวกมันจนขาดออกเป็นสองท่อน ราวกับสายลมพัด ร่างกำยำหมุนตัวและพุ่งตัวขึ้นยันต้นไม้ และฟาดฟันเข้าที่หลังของพวกมัน ดวงตาของเคเรสวาวโรจน์ราวกับเปลวเพลิง ชั่วขณะหนึ่งที่เขาแสยะยิ้ม พวกมันแลเห็นเขี้ยวในปากของเขา ก่อนที่พวกมันก็ต้องร้องและล้มกลิ้งไปกับพื้น เมื่อเคเรสใช้ดาบฟันคนสุดท้าย
“อึก...เจ้า...เป็นใครกันแน่” ชายวัยกลางคนที่ถูกฟันที่กลางหลังครางเสียงแผ่ว
“ข้าหรือ !? ข้าก็เป็นเผ่าเขี้ยวสมิงพเนจรไงล่ะ” เคเรสยิ้มและเหยียบเข้าที่กลางหลังของมัน เหยียบขยี้จนมันอ้าปากร้องตะโกน จนอัสมาต้องหันหน้าหนีไปทางอื่น “พวกเจ้ากลับไปสู่ที่ ๆ เจ้าลงมาซะ ก่อนที่ความมืดมันจะร่วงโรย และจงจำเอาไว้ว่าอย่ากลับมาเหยียบพื้นดินที่นี่อีกเป็นครั้งที่สอง”
“แก...ฝากไว้ก่อนเถอะ”
พวกนิลกาฬพาพรรคพวกที่บาดเจ็บ บินหนีขึ้นไปท่ามกลางภูเขาที่มีแต่หิมะ เคเรสมองขึ้นไปด้วยสีหน้าเครียดขรึม จะต้องเกิดเหตุการณ์อะไรสักอย่างแก่เผ่าปักษาแน่...แต่มันจะไปสำคัญอะไรล่ะ เพราะเผ่าปักษาและเผ่าเขี้ยวสมิงไม่เคยยุ่งเกี่ยวต่อกันมาหลายร้อยปีแล้ว
...จะมีก็แต่อัสมา เจ้าชายผู้ที่ได้รับบาดเจ็บคนนี้นี่แหละ
อัสมาหายใจผะแผ่ว...เขาได้รับบาดเจ็บตรงหลังยืนพิงกับต้นไม้ สายตาของเขาจ้องมองเคเรส ก่อนจะหยัดยิ้มด้วยความชื่นชม เขาไม่เคยเห็นเผ่าพันธุ์นิลกาฬต้องพ่ายแพ้ให้แก่เผ่าพันธุ์อื่นขนาดนี้มาก่อน แต่เขาจะมายืนอยู่ตรงนี้ไม่ได้ อัสมาจะต้องกลับไปช่วยบิดากษัตรย์ของเผ่าปักษา ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง
“เจ้าเป็นคนที่เก่งจริง ๆ...ข้าไม่เคยเห็นเผ่านิลกาฬต้องพ่ายแพ้ให้แก่ใครมาก่อน”
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
เคเรสต้องเข้ามาประคอง สายตาของเขาเหลือบไปเห็นรอยเลือดที่กลางหลังของเขา หน้าของอัสมาซีดเผือด..หายใจหอบ เหมือนเขาใกล้จะหมดสติ เมื่อนั้นเขาก็จำได้ว่ากำไลที่ข้อแขนของชายหนุ่มคือตราสัญษลักษณ์เผ่าปักษาผู้ครอบครองภูเขาหิมะ ซึ่งก็คือเขาเป็นเจ้าชายผู้ที่งดงามที่สุด อัสมานิ่วหน้า...และพยายามจะผลักเคเรสออกไป แล้วก็พยายามจะกางปีกออก แต่มันก็บินขึ้นไม่ได้
“เจ้ากางปีกบินขึ้นไปบนท้องฟ้าไม่ได้หรอก...ตอนนี้เจ้าเสียเลือดมาก”
“แต่ข้าจะต้องไปช่วยพระบิดา...ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้”
“กษัตริย์แห่งเมืองปักษาน่ะหรือ...ข้าว่าป่านนี้คงถูกกักขังเอาไว้ที่ไหนสักแห่ง พวกศัตรูของเจ้าเรียกว่าเผ่าอะไรนะ”
“เผ่านิลกาฬ...เขาเป็นฝ่ายศัตรูของเผ่าปักษา มีสุนิลเป็นหัวหน้า”
“พวกศัตรูนี่มีอยู่ทุกที่เชียวนะ...เอาล่ะ ไปกับข้า เจ้าต้องได้รับการรักษาตัวเสียก่อน ส่วนเรื่องอื่นน่ะเอาไว้ทีหลังเถอะ” เคเรสจับต้นแขนบอบบางของอัสมา แต่เขาขัดขืนดิ้นรน และจะกางปีกขึ้นไปให้ได้ ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “หรือเจ้าคิดว่าปักษาคนเดียวจะขึ้นไปทำอะไรได้ นอกจากไปตาย...อย่าหาว่าข้ายุ่งไม่เข้าเรื่องเลยนะ เห็นได้ชัดว่าเผ่าปักษาของเจ้าถูกศัตรูรุกราน และจะฆ่าศัตรูทุกคนที่เห็นหน้า ขืนเจ้าไปน่ะมีแต่ตายกับตายเท่านั้น”
“นี่เป็นปัญหากับเผ่าปักษา...ข้า...”
“เฮ้...อัสมา” เคเรสอุ้มร่างของอัสมาไว้ เมื่อเขาหมดสติลง หน้าซีดเผือดมีเลือดไหลเต็มแผ่นหลัง “ให้ตายสิ..จะตายอยู่แล้ว ยังห่วงอะไรไม่เข้าเรื่อง”
เคเรสตัดสินใจอุ้มร่างของอัสมา ชายหนุ่มตัวเบากว่าที่คิด...และเรือนร่างก็งดงามเหมือนผู้หญิง ชายหนุ่มมองดูด้วยสายตาอ่อนโยน และเดินกลับไปที่เผ่าพันธุ์ของตน...หรือว่านี่จะกลายเป็นเหตุการณ์นำพาตัวเขาไปยุ่งเกี่ยวกับการทรยศหักหลังของเผ่าพันธุ์อื่นที่ไม่เคยยุ่งกันมากว่าร้อยปี
“ท่านเคเรสกลับมาแล้ว” คาลย์ร้องตะโกน เมื่อแลเห็นเคเรสเดินกลับมา พร้อมกับอุ้มร่างของใครคนหนึ่ง ผิวขาวเนียนละเอียด เส้นผมสีทองกลับมาด้วย “นั่น...ท่านอุ้มใครกลับมาด้วยน่ะ”
เคเรสกลับมายังหมู่บ้าน ใจกลางป่าแห่งรัตติกาล...ที่นี่เป็นชุมชนขนาดใหญ่ ทุกคนล้วนมีผิวสีแทนและอยู่กันอย่างสันติ มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เด็กตัวเล็ก ๆ เผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิง...คาลย์กระโดดลงมายังพื้น ด้วยความว่องไว มีความสามารถล่า และใช้มีดได้เป็นอย่างดี
หมู่บ้านแห่งนี้ ทุกคนล้วนเป็นเผ่าเขี้ยวสมิง...ทุกคนล้วนเคลื่อนไหวภายในป่าได้อย่างเงียบเชียบ และมีนัยน์ตาสามารถมองเห็นได้ในที่มืด และกลายเป็นเสือหรือที่เรียกว่าสมิงพรายได้ในยามคืนพระจันทร์เต็มดวง ถือเป็นเผ่าพันธุ์อันตราย...ที่ห้ามไม่ให้นักเดินทางเข้ามาสู่ภายในหมู่บ้าน ล้อมรอบด้วยป่าแห่งความมืดมิด
“ท่านเคเรส...คนผู้นั้น”
“เขาชื่ออัสมา...เป็นเจ้าชายเผ่าปักษา เขาได้รับบาดเจ็บ ดูเหมือนว่าเผ่าปักษาจะมีผู้ทรยศ เกิดความวุ่นวายกันน่าดู และบังเอิญข้าก็อยู่ที่นั่นด้วย”
“เจ้าชายหรือ...” คาลย์มองดูใบหน้างดงามนั้น รวมไปถึงผิวพรรณที่หมดจด เส้นผมสีทอง “งามเหลือเกิน...ข้าเพิ่งเคยเห็นเผ่าปักษา เขาเป็นผู้ชายหรอกหรือ”
เคเรสมองดูคาลย์ ดูเขาจะมองดูอัสมามากเกินไปเสียแล้ว
“หรือเจ้ามองเห็นว่าเป็นผู้หญิงกันล่ะ...ไปเตรียมเต้นท์ที่นอนให้ข้าได้แล้ว เขาได้รับบาดเจ็บข้าจะพาอัสมาเข้าไปทำแผล”
“ขะ...ขอรับ”
ที่พักหรือกระโจมแข็งแรงแห่งนี้ ภายในปูลาดด้วยพื้นพรมสีแดงปักเป็นลวดลายแปลกตา ผ้าฝ้ายสีขาวปักด้วยเส้นด้ายสีทองคลุมอยู่รอบทิศช่วยให้ภายในกว้างใหญ่มากยิ่งขึ้น โต๊ะและเก้าอี้ล้วนทำจากเครื่องทองเหลือง ผ้าม่านด้านหน้าเปิดเอาแสงสว่างและผูกเอาไว้เป็นกระโจมรอบทิศ ทุกสิ่งทุกอย่างภายในนี้ทำมาจากเครื่องใช้ส่วนตัวในยามที่มีภัย ถึงจะไม่กว้างใหญ่นัก
เคเรสอุ้มวางอัสมาไว้บนเตียง เห็นจากรอยเลือดแล้วดูท่าจะเป็นแผลสาหัส
“ช่วยไปเตรียมต้มยาสมานแผล แล้วก็เอาน้ำอุ่นมาให้ข้า...ข้าจะทำแผลให้แก่เขา”
ทุกคนล้วนแต่มองอัสมาด้วยความสนใจ ไม่บ่อยนักที่เขามองเห็นเผ่าปักษาผู้ปกครองฟ้าเบื้องบน จะมีบ้างคนบางคนที่เคยเห็น แต่อัสมางดงามยิ่งกว่าเผ่าปักษาคนไหน เส้นผมสีทองและรูปร่างที่งดงามราวกับผู้หญิง ทำให้ข้างนอกประตูมีแต่ผู้คนที่มามองด้วยความอยากรู้
“พวกเจ้าถอยไป นี่ไม่ใช่ละครสัตว์ให้พวกเจ้าได้ดูกันนะ” คาลย์ออกปากเสียงดัง “พวกผู้หญิงไปช่วยเตรียมน้ำอุ่นและไปจัดการเตรียมยาสมานแผลเอาไว้ด้วย”
เคเรสประคองร่างของอัสมาเอาไว้ และวางเอาไว้บนเตียง...ไม่นานนัก ยาสมานแผลก็มาถึง เขาเอื้อมมือไปรับ แล้วก็กรอกเข้าปากตัวเอง คาลย์เลิกคิ้วสูงเมื่อเห็นท่านเคเรสก้มลงจูบปากของอัสมาเพื่อป้อนยาให้ เขาไม่เคยเห็นผู้นำหรือกษัตริย์องค์นี้ใส่ใจกับเผ่าอื่น ๆ ขนาดนี้มาก่อน
ถูกต้องแล้ว ท่านเคเรสเป็นกษัตริย์ของชนเผ่าเขี้ยวสมิง
แต่เขาเป็นพวกไม่ชอบความวุ่นวาย แถมยังมีดวงตาสีทอง...ผิดไปจากคนอื่น ๆ คาลย์เป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่ติดตามรับใช้ชายหนุ่มมาตั้งแต่เป็นเด็ก แต่กษัตริย์องค์ก่อนก็เพิ่งเสียไปได้สองปี เมื่อนั้นเจ้าชายเคเรสก็ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป
เคเรสจูบปากของอัสมา...สัมผัสความนุ่มละมุน และความหวานล้ำ แต่นั่นหาใช่เหตุที่ทำให้เขาเกิดอารมณ์ไม่ เขาประคองร่างอัสมาหันหลังลงกับเตียง แล้วฉีกกระชากเสื้อที่แผ่นหลังนั้นออก เป็นบาดแผลที่ถูกดาบฟันเป็นแผลลึก และมีเลือดออกมาก
“ท่านเคเรส...คนผู้นี้ถูกทำร้ายมาอย่างหนัก”
“ใช่...ข้าอยู่ตรงนั้นพอดี จึงได้ช่วยเอาไว้”
ฝากเรื่องใหม่ด้วยนะคะ