เงารักใต้ปีกปักษา บทที่ 13 (จบแล้วจ้า)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เงารักใต้ปีกปักษา บทที่ 13 (จบแล้วจ้า)  (อ่าน 5670 ครั้ง)

ออฟไลน์ yoome

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-03-2022 11:35:40 โดย yoome »

ออฟไลน์ yoome

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
เจ้าชายปักษา
«ตอบ #1 เมื่อ01-12-2021 07:36:31 »

บทที่ ๑
เจ้าชายแห่งปักษา

   เหนือดินแดนแห่งสองโลก เป็นผืนแผ่นดินที่มีเพียงความเงียบสงบ ดินแดนสูงชันที่มีป่าไม้ผลัดใบและธรรมชาติได้แปรเปลี่ยนสีสันไปตามกาลเวลา ขุนเขาสูงเสียดฟ้าซึ่งเป็นแหล่งที่เผ่าปักษาครอบครองอยู่เหนือพื้นดิน ภายในป่าและหินผาอันเงียบสงบ ฤดูหนาวมีหิมะล้อมรอบสูงเสียดฟ้า ฤดูใบไม้ผลิได้แปรเปลี่ยนสีสันของใบไม้ให้กลายเป็นสีน้ำตาล สีส้ม และร่วงลงสู่ผืนดิน
ดินแดนแห่งสายหมอก...
ถูกแบ่งเขตออกเป็นสอง
ไม่มีใครรู้ว่า ภายใต้ภูเขาป่าลึกนั้น มีเผ่าพันธุ์ใดซ่อนตัวหรือหลงเหลืออยู่
   
   ท่ามกลางสายหมอกและอากาศที่หนาวเย็น ผู้คนอาศัยอยู่บนเทือกเขาสูงมีเส้นผมสีทองนุ่มสลวย ผิวขาวเนียนละเอียด ดวงตาสีดำสนิทและทอประกายอ่อนเยา กลางหลังมีปีกสีขาวที่จะคอยโบยบินสู่ฟากฟ้าตามแต่ใจต้องการ พวกเขาหากินไปตามภูเขาสูงเต็มไปด้วยหิมะ หาผลไม้และเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์ นครนาคานตกะเป็นดินแดนแห่งความสงบร่มเย็น ไม่มีการต่อสู้หรือแก่งแย่งชิงดีเพื่อความยิ่งใหญ่
   เช่นเดียวกับกษัตริย์ที่ชื่อ...ผู้ซึ่งครองราษฎรด้วยความเที่ยงธรรม
และพระองค์มีเจ้าชายที่รูปงามที่สุด เส้นผมเป็นสีทองยาวระท้ายทอย ดวงตาทอประกายสีเขียวมรกตนั้น จ้องมองไปยังป่าแห่งรัตติกาล ใบหน้าหวานของพระองค์ ช่างแลดูงดงามยิ่งกว่าสตรีคนไหน ๆ
   “ลามิส...เจ้าว่าเบื้องล่างนั้นจะมีแต่ผืนป่าแห่งความมืดและเหล่าสัตว์ร้ายจริง ๆ หรือเปล่า”
   “กระหม่อมไม่ทราบพะย่ะค่ะ แต่ได้ยินเสียงเล่ารือมาบ้าง...ว่าไม่เคยมีใครลงไป แล้วได้กลับมาเลยสักคน”
   “งั้นหรือ...”
   อัสมาเมียงมองลงไปยังผืนป่าเบื้องล่างจากริมระเบียงพระราชวังสีขาวงดงามเหมือนหิมะ ท่ามกลางทะเลหมอกยามอรุณรุ่ง ผืนป่าเบื้องล่างเป็นสีเขียวงดงามจับตา แต่ไม่มีใครเคยรู้ว่า...ภายใต้ความมืดมิดอันนั้น มีภัยอันตรายใด ๆ ซ่อนอยู่ เขาได้ฟังเพียงนิทานเล่าขานที่กล่าวกันไว้ว่า ลึกลงไปภายใต้ป่าอันมืดมิด มีดวงตาของสัตว์ป่า ที่พร้อมกับฆ่าทุกคนและเต็มไปด้วยสัตว์ป่าดุร้ายนานาพันธ์
   ซึ่งอัสมาไม่เคยเชื่อนิทานเหล่านี้เลย..
   “แต่ข้าเคยได้ยินมาว่า...อาคันตุกะที่มาเยือนดินแดนเรา ต่างก็เดินที่ในเส้นทางผ่านป่านั้น ถ้าอย่างนั้นเรื่องเล่าขานก็ไม่เป็นความจริงเลยน่ะสิ”
   “ข้าเคยได้ยินว่าเหล่าอาคันตุกะพวกนั้น หาได้เดินภายในป่าไม่...แต่พวกเขาไปเป็นหมู่คณะ และเดินอยู่เพียงรอบนอก และเดินในช่วงกลางวัน ข้าเคยได้ยินจากนักเดินทางมาว่า...ในยามค่ำคืนจะมีเสียงสัตว์ร้ายดังระงมภายในป่าไปหมด ไม่มีใครกล้าเข้าไป เมื่อไหร่ที่อาทิตย์ลับขอบฟ้าพวกเขาจะหาค่ายพักแรมรอบนอกนั่น ไม่กล้าเข้าใกล้เขตป่าเป็นอันขาด” ลามิสกล่าว
   “งั้นหรือ....”
   
    ...ป่าไม้สีเขียวขึ้นอยู่ภายในป่า ถัดออกไปเป็นลานหินกว้างมีน้ำตกไหลลงมาสู่ด้านล่างจนเป็นละอองสีรุ้ง น้ำตกแห่งนี้มีความสูงถึงเก้าชั้น มีว่านป่าและดอกไม้นานาพันธ์ล้อมรอบขอบสระส่งกลิ่นหอมรวยระริน ผีเสื้อนับสิบตัวโบยบินกันและเกาะอยู่บนผืนดินประดุจสรวงสรรค์อันงดงาม ที่นี่เป็นป่าใหญ่ทางตอนเหนือของดินแดนแห่งรัตติกาล และไม่ค่อยมีผู้คนแวะเวียนกันมามากนัก
   ชายหนุ่มที่นอนเอามือพิงศีรษะ หลับตาลงอย่างสงบ ผิวสีแทนสูงเกือบแปดสิบหกเซนต์ ผมตัดสั้นสีดำ มีรอยสักที่ไหล่ขวา บุรุษผู้นี้ชอบมาพักพิงในผืนป่า ไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับใคร ชายหนุ่มผู้นี้รักอิสระ แสงแดดที่ลอดช่องใบไม้ลงมาสู่ลำตัวของเขาและใบไม้ที่รกครึ้ม ทำให้ร่างสูงที่นอนอยู่บนกิ่งไม้สูงกลมกลืนกับต้นไม้ซึ่งมีกิ่งก้านกว้างใหญ่ ใบหน้าของเขาคมจัด
ร่างสูงมักชอบหลบหนีออกมาเที่ยวเล่น ชอบเก็บตัวอยู่ภายในป่าใหญ่ อยู่ท่ามกลางธรรมชาติและพืชพรรณรอบน้ำตก มันทำให้เขาเงียบสงบ ทายาทเผ่าอสูรเขี้ยวสมิง เป็นผู้ที่จะต้องสืบราชบัลลังก์แทนพระบิดา แต่กลับมีสีตาแปลกแยกกับทุกคนในเผ่า นับเป็นความน่าหวาดผวาของทุกคนที่ไม่กล้าจะเข้าใกล้เขาเลยแม้แต่น้อย
เคเรสไม่ชอบเลยจริง ๆ...
นัยน์ตาสีทอง แตกต่างกับนัยน์ตาสีดำแปลกแยกจากคนอื่น ๆ 
จ๋อม...
เสียงน้ำกระฉอกเล็ก ๆ ปลุกสติสัมปชัญญะของเคเรสได้ตื่นขึ้นทันที ใบหน้าคมคายลืมตาขึ้นช้า ๆ และเหลียวมองไปยังลำธารน้ำด้วยความสงสัย
ที่นั่น..อาจเรียกได้ว่ามีเทวดามาเยือนผืนแผ่นดิน ชายหนุ่มมีใบหน้าสะสวย ผมสั้นสีทอง ดวงตาสีเขียวมรกต ผิวขาวเหมือนหิมะ เรียวปากสีแดงระเรื่อ นัยน์ตาคู่นั้นเป็นประกายเจิดจรัสเมื่อแลเห็นน้ำตก เคเรสจำได้ทันทีว่าชายคนนี้เป็นเผ่าปักษา ดูได้จากปีกสีขาวกลางหลัง เส้นขนสีขาวเล็ก ๆ โบยบินอยู่รายล้อมตัวเขา
ดวงหน้าหวานปลดกระดุมเสื้อจากหัวไหล่ ชายหนุ่มตั้งใจจะปลดเสื้อผ้าออกหมดเพื่อจะอาบน้ำในสระแห่งสรวงสวรรค์ ทันทีที่ผิวขาวสะอาดของอัสมาโผล่พ้นชายเสื้อออกมา ก็ต้องทำให้เคเรสอดที่จะตะลึงไม่ได้ คิดถึงเผ่าปักษาที่ครอบครองอยู่บนท้องฟ้า และงดงามกว่าเผ่าไหน ๆ ผมสีทองอ่อนยาวถึงต้นคอ กับผิวขาวละลานตา...
จนกระทั่งเมื่ออัสมาก้าวลงไปสายน้ำนั่นแหละ เคเรสจึงได้รู้สึกตัวว่าตนเองไม่สมควรจะมองจึงได้แต่เบี่ยงหน้าหนีไปทางอื่น ชั่งใจอยู่นานว่าจะเอ่ยทักไปดีหรือว่าจะรอให้เรื่องผ่านไปเงียบ ๆ ดี ชายคนนั้นคงตกใจไม่น้อย..เมื่อรู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่ลำพัง แต่กลับมาเปลื้องผ้าต่อหน้าบุรุษเช่นเขา
คิด ๆ แล้ว ก็เลยเงียบไว้ดีที่สุดจะดีกว่า
เจ้าของเรือนร่างขาวสะอาด อาบน้ำไปทั่วลำตัว...ความงามของปักษาทำให้สายน้ำที่ไหลลงมาและดูธรรมดาไปเลยเมื่อเทียบกับตัวเขา และเอาดาบวางอยู่ใกล้ ๆ กับเสื้อผ้า ยังดีที่ยังเอามีดปลายแหลมไว้บนก้อนหินใกล้ ๆ ตัวชายหนุ่ม
โดยไม่ทันได้ระวังตัว...
เคเรสขมวดคิ้วด้วยความเป็นห่วง ผู้ที่เคยอาศัยอยู่บนยอดเขาสูงเสียดฟ้าอย่างเผ่าปักษาไม่เคยต้องลงมาเหยียบย่างอยู่บนผืนดิน ชายหนุ่มจะรู้ไหมว่าท่ามกลางธรรมชาติที่แสนงดงามเหล่านี้ยังมีสัตว์จำพวกงูพิษหรือแม้แต่สัตว์ร้ายที่มักจะโผล่มาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว
ขณะที่เขายังลังเลว่าจะเตือนให้ชายหนุ่มรีบขึ้นมาจากน้ำ อสรพิษที่มีลายพร้อยก็ออกมาจากใต้หินขนาดใหญ่และมีจำพวกว่านและดอกไม้ป่าส่งกลิ่นหอมกระจายไปทั่ว มันเลื้อยเข้าหาตัวชายหนุ่มที่ด้านหลังในขณะที่เขาไม่รู้ตัวเลย ยังคงยืนอยู่ใต้น้ำตกไม่ได้คิดระแวงอะไร
เมื่อมันชูคอขึ้นอันเป็นหายนะของชายหนุ่มนั่นแหละ เคเรสก็ตัดสินใจได้ทันทีเขาชักมีดที่เสียบอยู่ที่เอวขึ้นมาและพุ่งใส่ลำคอของมัน ส่งอสรพิษกระเด็นไปปักอยู่ที่ดินริมตลิ่ง มันบิดลำตัวไปมาตัวมันใหญ่มากและพิษของมันก็ร้ายแรงมากขึ้นไปด้วย
“เอ๊ะ !?”
อัสมาได้ยินเสียงฟันฉัวะของคมมีด ร่างขาวสะอาดหันมามองเคเรส...เห็นไปทุกสัดส่วน แต่มันช้าไปสำหรับเคเรสที่จะหันไปมองที่อื่น เพราะสายตาของเขาประสานกับดวงตาสีเขียวมรกต มากกว่าที่จะมองอสรพิษที่ตายด้วยคมมีดของเขา
เคเรสถอนหายใจยาว ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้วที่เขาจะซุ่มซ่อนตัวต่อไป ไหล่กว้างรูปร่างกำยำกระโดดลงมาจากต้นไม้
“ขอโทษที่มาขัดจังหวะการอาบน้ำของเจ้า แต่มันช่วยไม่ได้จริง ๆ ขืนข้าช่วยเจ้าช้ากว่านี้อีกสักนิดเจ้าก็คงจะตายไปแล้ว” เขาเอ่ยน้ำเสียงเนือย ๆ
แต่คนฟังกลับมองเขาด้วยสายตานิ่งสนิท
“ขอบคุณมาก...ข้าไม่คิดเลยว่าภายในผืนป่าจะมีสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่อีกด้วย” อัสมาเดินไปยังกองเสื้อผ้าของตน แล้วใส่เสื้อผ้า สายตาของเคเรสมองดูแผ่นหลังของเขา ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะเป็นผู้สูงศักดิ์หรือขุนนางอะไรสักอย่าง เพราะดูจากเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับที่เป็นทองแท้ตรงที่รัดแขนเป็นเครื่องหมายของวงศ์ตระกูลอะไรสักอย่าง “และก็ไม่คิดเลยว่า...จะมีผู้อื่นที่แอบดูข้าอาบน้ำด้วย”
เคเรสหยัดยิ้ม นัยน์ตาเป็นประกาย
“ข้าไม่ได้แอบดูเจ้า ข้านอนหลับอยู่บนต้นไม้ดี ๆ แต่เจ้าต่างหากที่จู่ ๆ ก็บินลงมาแถมยังเปลื้องผ้าอาบน้ำต่อหน้าข้าอีก”
เคเรสตัวสูงกำยำมาก ใบหน้าคมคายหล่อเหลา ผิวสีแทนหน่อย ๆ จมูกโด่ง เรียวปากหยักยิ้ม เส้นผมสีดำ มีรอยสักที่หัวไหล่ ดวงเนตรสีทองนั่นมันจ้องมองมายังปักษา ผู้ที่งดงามยิ่งกว่าเทวดาอยู่บนสรวงสรรค์...เขาเคยเห็นเผ่าปักษามาบ้าง ทุกคนล้วนแต่สวยงามกันหมด แต่กลับไม่มีใครงามเท่ากับคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเลย
“เจ้าชื่ออะไร...”
“ก่อนที่จะถามชื่อคนอื่น...ท่านควรแนะนำตัวก่อนดีกว่าไหม”
“ขอโทษที...ข้าชื่อเคเรส เป็นหนุ่มพเนจร...เจ้าล่ะ”
“ข้าชื่ออัสมา...” อัสมาเดินเข้ามาใกล้ “เป็นเผ่าปักษา...ข้าได้ยินมาว่าด้านล่างนี้เต็มไปด้วยป่าใหญ่ และพืชพันธุ์นานาชนิด และมีน้ำตกใสสะอาด ข้าจึงใฝ่ฝันอยากจะเยือนสักครั้ง ข้าควรกลับไปได้แล้ว...เพราะว่าเวลานี้ก็ใกล้จะถึงยามเย็นแล้ว ได้ยินว่ามีสัตว์ร้ายมากมาย มีผู้เดินทางกล่าวอยู่เสมอว่า ยามที่พระจันทร์เต็มดวงให้อยู่ห่างจากป่าแห่งความมืดนี้ไว้ เคเรสเจ้าก็ควรจะกลับไปตอนนี้จะดีกว่า”
อัสมาหยัดยิ้ม มองดูเคเรสที่ขมวดคิ้ว
“ก็อาจใช่...เผ่าปักษาที่คุ้นเคยกับแดนหิมะอย่างเจ้า ไม่ควรลงมาที่นี่หรอก...แต่จ้าจะบอกอะไรไว้อย่าง ว่าภายในป่าแห่งความมืด มีอีกเผ่าพันธุ์หนึ่ง เขามักจะหลบซ่อนตัวเองเอาไว้...ไม่ให้ผู้คนมองเห็นได้ง่าย ๆ นัยน์ตาสีดำของพวกเขาจับจ้องที่จะหาเหยื่อ โดยเฉพาะเผ่าพันธุ์ที่อยู่เหนือศีรษะผู้โบยบินอยู่เหนือท้องฟ้า...”
“มีอีกเผ่าพันธุ์หนึ่งอย่างนั้นหรือ...”
“เผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิงยังไงล่ะ”
อัสมานิ่งเงียบ ดวงตาสีเขียวมรกตของเขาไร้ซึ่งความกังวล อย่างที่เคเรสหวังจะได้เห็น ใบหน้าคมคายโน้มลงมาใกล้พร้อมกับกระซิบแผ่ว
“เจ้าไม่กลัวหรืออัสมา...ข้าอาจจะเป็นเผ่าเขี้ยวสมิงที่อยู่ภายในป่าแห่งรัตติกาลนั้นก็ได้”
“หากเจ้าเป็นเผ่าเขี้ยวสมิงจริง ๆ ล่ะก็...เจ้าคงไม่ช่วยข้าเอาไว้เมื่อตะกี้หรอก” อัสมายิ้ม นัยน์ตาเป็นประกาย เคเรสเงียบงันไปพักใหญ่ สายตาสีทองของเขาจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีเขียวมรกตของเผ่าปักษา เขาจ้องมองอยู่เนิ่นนาน...เหมือนกำลังตกอยู่ในห้วงมนต์สะกด
อัสมาเป็นผู้ที่ไม่กลัวเกรงต่อสิ่งใด...
หรือว่าเป็นเพียงแค่คนที่ปลงต่อชีวิตกันแน่
“เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่...เป็นเผ่าปักษาจริง ๆ หรือ”
“ทำไม !? ยังมีอะไรที่ข้าแตกต่างไปจากเผ่าปักษาที่เจ้าเคยเห็นงั้นหรือ”
เคเรสเหลือบสายตามองไปที่กำไลข้อแขนของชายหนุ่ม มันคล้าย ๆ กับเป็นสัญษลักษณ์อะไรบางอย่างที่เขาคล้าย ๆ ว่าจะเคยเห็น อัสมามองหน้าเขา...ด้วยสายตาเต็มไปด้วยคำถาม
“เปล่าหรอก..เจ้าควรกลับไปได้แล้ว เพราะเวลานี้ใกล้ค่ำเต็มที”
อัสมาไม่ตอบ ทันทีที่เขาหลับตา...ปีกสีขาวขนาดใหญ่ก็ออกมาจากด้านหลังของเขา มีปีกสีขาวราวกับเทวดา เคเรสจ้องมอง อัสมาหันมายิ้มให้เขาเล็กน้อย แทนคำขอบคุณที่อุตส่าห์ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ชายหนุ่มร่างกำยำยืนนิ่ง...แล้วเหยียดยิ้มเล็กน้อย
“ลาก่อน..”
“ขอบใจมากนะ” อัสมายิ้ม แล้วโผบินขึ้นไปบนท้องฟ้า เคเรสมองดูชายหนุ่มผิวเนียนละเอียดบินขึ้นไปท่ามกลางภูเขาสูง มีปีกสีขาวล่องลอยทั่วไปหมด มือของเขาจับปีกสีขาว...เอามาถือไว้ มันเหมือนปีกขนนกขนาดใหญ่ เคเรสเอามันมาใกล้ ๆ จมูก มันมีกลิ่นหอมบางอย่าง...อาจจะเป็นกลิ่นหอมของมวลดอกไม้ แล้วใบหน้าคมคายก็หลับตา...
“รู้อย่างนี้ถามว่าจะลงมาอีกเมื่อไหร่ ก็จะดีหรอก...”
เคเรสยิ้มและเดินกลับเข้าไปภายในป่า...ก่อนที่เสียงของคนกลุ่มใหญ่และเสียงฟาดฟันจะดังแว่ว ๆ มาจากบนท้องฟ้าที่อัสมาเพิ่งบินขึ้นไปเมื่อครู่นี้ ใบหน้าคมคายมองขึ้นไป...แล้วก็ต้องเบิกตาโต เมื่อมองเห็นปีกสีขาวร่วงลงมาสู่พื้นดิน พร้อมกับผู้บุกรุกที่มีปีกสีดำจ้องจะฆ่าอัสมาให้ตาย แทงเขาด้วยหอกอันใหญ่ และก็มีศัตรูบินตามลงมาอย่างมากมายเต็มไปหมด จนอัสมาร่วงลงสู่พื้นดิน
“ตายซะเจ้าชายอัสมา”
“เจ้าพวกทรยศ” อัสมานิ่วหน้า เขาไม่อาจจะบินได้เนื่องจากได้รับบาดเจ็บบริเวณปีกขวาด้านหลัง “ใครเป็นคนส่งพวกเจ้ามา แล้วบิดาข้าล่ะ”
“ท่านสุนิลผู้ครองเผ่านิลกาฬคนต่อไปต่างหากล่ะที่สมควรเป็นกษัตริย์ บิดาของเจ้าน่ะมันแก่แล้ว ส่วนเจ้าก็ไม่มีวันขึ้นครองราชย์ไปได้หรอก จงตายซะเถอะอัสมา”
“อึ้ก...”
เคเรสมองขึ้นไปก็รู้ได้ทันทีว่า เกิดเรื่องไม่คาดฝันแก่เผ่าพันธุ์ปักษา มีการทรยศหักหลังและมุ่งทำร้ายอัสมา เขาวิ่งกระโดดหน้าผาขึ้นไป แล้วชักดาบข้างเอวขึ้นมาฟันปีกสีดำของเผ่านิลกาฬของขาดออกเป็นสองเสี่ยง แล้วอีกมือหนึ่งเขาก็อุ้มร่างอัสมาเอาไว้ ผู้ที่ถูกเขาฟันด้วยดาบร่วงลงสู่พื้นดิน ท่ามกลางเสียงปวดร้าวเหมือนนกปีกหัก อัสมาหันมามองเคเรสด้วยหน้าอันซีดเผือด
“เคเรส...นี่ท่าน”
“เก็บปีกของเจ้าเสีย พวกมันมากันเยอะแยะ...แล้วไปอยู่ด้านหลังของข้าซะ”
“ไม่ได้ นี่เป็นเรื่องของเผ่าพันธุ์ปักษา ข้าจะมัวหลบอยู่ด้านหลังของท่านได้ยังไง” อัสมาจำใจต้องเก็บปีก แต่รอยฟันที่เบื้องหลังมันก็ยังสาหัส เคเรสประคองร่างของเขาเอาไว้ และเอาไปไว้ด้านหลัง เพราะศัตรูบุกลงมาถึงพื้นดิน พวกมันแตกต่างไปจากเผ่าปักษา ปีกของพวกมันทุกตัวล้วนเป็นสีดำสนิท ไม่เว้นแม้แต่ดวงตา
“เจ้าเป็นใครกัน ส่งเจ้าชายออกมาซะ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือน”
“อ้อ...นี่เจ้าเป็นเจ้าชายหรอกหรือ” เคเรสหยัดยิ้ม ถือดาบเอาไว้ขวางหน้าอัสมา “พวกเจ้าต่างหาก อยู่บนฟ้าดี ๆ ไม่ชอบ แต่กลับลงมาสู่พื้นป่าแห่งรัตติกาล เจ้าไม่รู้หรือว่ายังมีเผ่าพันธุ์ที่ดุร้าย กระหายเลือด ที่ชอบลิ้มรสเหยื่อที่มีเลือดสด ๆ ไหวเวียนอยู่ภายในร่างกาย”
เคเรสไล้เลียริมฝีปากกับดาบที่เพิ่งฟาดฟันศัตรูมาหมาด ๆ
ท่าทางของเคเรส่กับดวงตาสีทองที่ทอประกายวาวโรจน์ ทำเอาฝ่ายศัตรูถึงกับทำหน้าไม่ถูก เพราะพวกเขาไม่เคยต้องลงมาสู่ผืนป่าแห่งรัตติกาลมาก่อน และเคยได้ยินว่ามีเผ่าพันธุ์หนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ภายในป่า เจ้าคนหลังเดินเข้ามากระซิบกับผู้ที่เป็นหัวหน้า
“ท่าทางจะเป็นเผ่าเขี้ยวสมิง...”
“เผ่าเขี้ยวสมิงหรือ” ชายวัยกลางคนหรี่ตาลงมอง พร้อมกับกัดฟันแน่น “จะเป็นเผ่าพันธุ์ไหนก็แล้วแต่ แต่ถ้ามาขวางทางของข้า ข้าไม่มีวันยอมยกโทษให้แน่”
เขาตะโกนจากนั้นก็พุ่งเข้ามาท่ามกลางเสียงลมพัด พร้อมกับดาบในมือ พร้อมกับลูกน้องนับสิบที่เข้ามารุมล้อมและต้องการจับตัวเจ้าชายอัสมามาให้ได้ เคเรสเหยียดยิ้ม และเขาก็วิ่งสวนเข้าไปใช้ปลายดาบฟาดฟันปีกของพวกมันจนขาดออกเป็นสองท่อน ราวกับสายลมพัด ร่างกำยำหมุนตัวและพุ่งตัวขึ้นยันต้นไม้ และฟาดฟันเข้าที่หลังของพวกมัน ดวงตาของเคเรสวาวโรจน์ราวกับเปลวเพลิง ชั่วขณะหนึ่งที่เขาแสยะยิ้ม พวกมันแลเห็นเขี้ยวในปากของเขา ก่อนที่พวกมันก็ต้องร้องและล้มกลิ้งไปกับพื้น เมื่อเคเรสใช้ดาบฟันคนสุดท้าย
“อึก...เจ้า...เป็นใครกันแน่” ชายวัยกลางคนที่ถูกฟันที่กลางหลังครางเสียงแผ่ว
“ข้าหรือ !? ข้าก็เป็นเผ่าเขี้ยวสมิงพเนจรไงล่ะ” เคเรสยิ้มและเหยียบเข้าที่กลางหลังของมัน เหยียบขยี้จนมันอ้าปากร้องตะโกน จนอัสมาต้องหันหน้าหนีไปทางอื่น “พวกเจ้ากลับไปสู่ที่ ๆ เจ้าลงมาซะ ก่อนที่ความมืดมันจะร่วงโรย และจงจำเอาไว้ว่าอย่ากลับมาเหยียบพื้นดินที่นี่อีกเป็นครั้งที่สอง”
“แก...ฝากไว้ก่อนเถอะ”
พวกนิลกาฬพาพรรคพวกที่บาดเจ็บ บินหนีขึ้นไปท่ามกลางภูเขาที่มีแต่หิมะ เคเรสมองขึ้นไปด้วยสีหน้าเครียดขรึม จะต้องเกิดเหตุการณ์อะไรสักอย่างแก่เผ่าปักษาแน่...แต่มันจะไปสำคัญอะไรล่ะ เพราะเผ่าปักษาและเผ่าเขี้ยวสมิงไม่เคยยุ่งเกี่ยวต่อกันมาหลายร้อยปีแล้ว
...จะมีก็แต่อัสมา เจ้าชายผู้ที่ได้รับบาดเจ็บคนนี้นี่แหละ
อัสมาหายใจผะแผ่ว...เขาได้รับบาดเจ็บตรงหลังยืนพิงกับต้นไม้ สายตาของเขาจ้องมองเคเรส ก่อนจะหยัดยิ้มด้วยความชื่นชม เขาไม่เคยเห็นเผ่าพันธุ์นิลกาฬต้องพ่ายแพ้ให้แก่เผ่าพันธุ์อื่นขนาดนี้มาก่อน แต่เขาจะมายืนอยู่ตรงนี้ไม่ได้ อัสมาจะต้องกลับไปช่วยบิดากษัตรย์ของเผ่าปักษา ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง
“เจ้าเป็นคนที่เก่งจริง ๆ...ข้าไม่เคยเห็นเผ่านิลกาฬต้องพ่ายแพ้ให้แก่ใครมาก่อน”
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
เคเรสต้องเข้ามาประคอง สายตาของเขาเหลือบไปเห็นรอยเลือดที่กลางหลังของเขา หน้าของอัสมาซีดเผือด..หายใจหอบ เหมือนเขาใกล้จะหมดสติ เมื่อนั้นเขาก็จำได้ว่ากำไลที่ข้อแขนของชายหนุ่มคือตราสัญษลักษณ์เผ่าปักษาผู้ครอบครองภูเขาหิมะ ซึ่งก็คือเขาเป็นเจ้าชายผู้ที่งดงามที่สุด อัสมานิ่วหน้า...และพยายามจะผลักเคเรสออกไป แล้วก็พยายามจะกางปีกออก แต่มันก็บินขึ้นไม่ได้
“เจ้ากางปีกบินขึ้นไปบนท้องฟ้าไม่ได้หรอก...ตอนนี้เจ้าเสียเลือดมาก”
“แต่ข้าจะต้องไปช่วยพระบิดา...ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้”
“กษัตริย์แห่งเมืองปักษาน่ะหรือ...ข้าว่าป่านนี้คงถูกกักขังเอาไว้ที่ไหนสักแห่ง พวกศัตรูของเจ้าเรียกว่าเผ่าอะไรนะ”
“เผ่านิลกาฬ...เขาเป็นฝ่ายศัตรูของเผ่าปักษา มีสุนิลเป็นหัวหน้า”
“พวกศัตรูนี่มีอยู่ทุกที่เชียวนะ...เอาล่ะ ไปกับข้า เจ้าต้องได้รับการรักษาตัวเสียก่อน ส่วนเรื่องอื่นน่ะเอาไว้ทีหลังเถอะ” เคเรสจับต้นแขนบอบบางของอัสมา แต่เขาขัดขืนดิ้นรน และจะกางปีกขึ้นไปให้ได้ ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “หรือเจ้าคิดว่าปักษาคนเดียวจะขึ้นไปทำอะไรได้ นอกจากไปตาย...อย่าหาว่าข้ายุ่งไม่เข้าเรื่องเลยนะ เห็นได้ชัดว่าเผ่าปักษาของเจ้าถูกศัตรูรุกราน และจะฆ่าศัตรูทุกคนที่เห็นหน้า ขืนเจ้าไปน่ะมีแต่ตายกับตายเท่านั้น”
“นี่เป็นปัญหากับเผ่าปักษา...ข้า...”
“เฮ้...อัสมา” เคเรสอุ้มร่างของอัสมาไว้ เมื่อเขาหมดสติลง หน้าซีดเผือดมีเลือดไหลเต็มแผ่นหลัง “ให้ตายสิ..จะตายอยู่แล้ว ยังห่วงอะไรไม่เข้าเรื่อง”
เคเรสตัดสินใจอุ้มร่างของอัสมา ชายหนุ่มตัวเบากว่าที่คิด...และเรือนร่างก็งดงามเหมือนผู้หญิง ชายหนุ่มมองดูด้วยสายตาอ่อนโยน และเดินกลับไปที่เผ่าพันธุ์ของตน...หรือว่านี่จะกลายเป็นเหตุการณ์นำพาตัวเขาไปยุ่งเกี่ยวกับการทรยศหักหลังของเผ่าพันธุ์อื่นที่ไม่เคยยุ่งกันมากว่าร้อยปี

“ท่านเคเรสกลับมาแล้ว” คาลย์ร้องตะโกน เมื่อแลเห็นเคเรสเดินกลับมา พร้อมกับอุ้มร่างของใครคนหนึ่ง ผิวขาวเนียนละเอียด เส้นผมสีทองกลับมาด้วย “นั่น...ท่านอุ้มใครกลับมาด้วยน่ะ”
เคเรสกลับมายังหมู่บ้าน ใจกลางป่าแห่งรัตติกาล...ที่นี่เป็นชุมชนขนาดใหญ่ ทุกคนล้วนมีผิวสีแทนและอยู่กันอย่างสันติ มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เด็กตัวเล็ก ๆ เผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิง...คาลย์กระโดดลงมายังพื้น ด้วยความว่องไว มีความสามารถล่า และใช้มีดได้เป็นอย่างดี
หมู่บ้านแห่งนี้ ทุกคนล้วนเป็นเผ่าเขี้ยวสมิง...ทุกคนล้วนเคลื่อนไหวภายในป่าได้อย่างเงียบเชียบ และมีนัยน์ตาสามารถมองเห็นได้ในที่มืด และกลายเป็นเสือหรือที่เรียกว่าสมิงพรายได้ในยามคืนพระจันทร์เต็มดวง ถือเป็นเผ่าพันธุ์อันตราย...ที่ห้ามไม่ให้นักเดินทางเข้ามาสู่ภายในหมู่บ้าน ล้อมรอบด้วยป่าแห่งความมืดมิด
“ท่านเคเรส...คนผู้นั้น”
“เขาชื่ออัสมา...เป็นเจ้าชายเผ่าปักษา เขาได้รับบาดเจ็บ ดูเหมือนว่าเผ่าปักษาจะมีผู้ทรยศ เกิดความวุ่นวายกันน่าดู และบังเอิญข้าก็อยู่ที่นั่นด้วย”
“เจ้าชายหรือ...” คาลย์มองดูใบหน้างดงามนั้น รวมไปถึงผิวพรรณที่หมดจด เส้นผมสีทอง “งามเหลือเกิน...ข้าเพิ่งเคยเห็นเผ่าปักษา เขาเป็นผู้ชายหรอกหรือ”
เคเรสมองดูคาลย์ ดูเขาจะมองดูอัสมามากเกินไปเสียแล้ว
“หรือเจ้ามองเห็นว่าเป็นผู้หญิงกันล่ะ...ไปเตรียมเต้นท์ที่นอนให้ข้าได้แล้ว เขาได้รับบาดเจ็บข้าจะพาอัสมาเข้าไปทำแผล”
“ขะ...ขอรับ”
ที่พักหรือกระโจมแข็งแรงแห่งนี้ ภายในปูลาดด้วยพื้นพรมสีแดงปักเป็นลวดลายแปลกตา ผ้าฝ้ายสีขาวปักด้วยเส้นด้ายสีทองคลุมอยู่รอบทิศช่วยให้ภายในกว้างใหญ่มากยิ่งขึ้น โต๊ะและเก้าอี้ล้วนทำจากเครื่องทองเหลือง ผ้าม่านด้านหน้าเปิดเอาแสงสว่างและผูกเอาไว้เป็นกระโจมรอบทิศ ทุกสิ่งทุกอย่างภายในนี้ทำมาจากเครื่องใช้ส่วนตัวในยามที่มีภัย ถึงจะไม่กว้างใหญ่นัก
เคเรสอุ้มวางอัสมาไว้บนเตียง เห็นจากรอยเลือดแล้วดูท่าจะเป็นแผลสาหัส
“ช่วยไปเตรียมต้มยาสมานแผล แล้วก็เอาน้ำอุ่นมาให้ข้า...ข้าจะทำแผลให้แก่เขา”
ทุกคนล้วนแต่มองอัสมาด้วยความสนใจ ไม่บ่อยนักที่เขามองเห็นเผ่าปักษาผู้ปกครองฟ้าเบื้องบน จะมีบ้างคนบางคนที่เคยเห็น แต่อัสมางดงามยิ่งกว่าเผ่าปักษาคนไหน เส้นผมสีทองและรูปร่างที่งดงามราวกับผู้หญิง ทำให้ข้างนอกประตูมีแต่ผู้คนที่มามองด้วยความอยากรู้
“พวกเจ้าถอยไป นี่ไม่ใช่ละครสัตว์ให้พวกเจ้าได้ดูกันนะ” คาลย์ออกปากเสียงดัง “พวกผู้หญิงไปช่วยเตรียมน้ำอุ่นและไปจัดการเตรียมยาสมานแผลเอาไว้ด้วย”
เคเรสประคองร่างของอัสมาเอาไว้ และวางเอาไว้บนเตียง...ไม่นานนัก ยาสมานแผลก็มาถึง เขาเอื้อมมือไปรับ แล้วก็กรอกเข้าปากตัวเอง คาลย์เลิกคิ้วสูงเมื่อเห็นท่านเคเรสก้มลงจูบปากของอัสมาเพื่อป้อนยาให้ เขาไม่เคยเห็นผู้นำหรือกษัตริย์องค์นี้ใส่ใจกับเผ่าอื่น ๆ ขนาดนี้มาก่อน
ถูกต้องแล้ว ท่านเคเรสเป็นกษัตริย์ของชนเผ่าเขี้ยวสมิง
แต่เขาเป็นพวกไม่ชอบความวุ่นวาย แถมยังมีดวงตาสีทอง...ผิดไปจากคนอื่น ๆ คาลย์เป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่ติดตามรับใช้ชายหนุ่มมาตั้งแต่เป็นเด็ก แต่กษัตริย์องค์ก่อนก็เพิ่งเสียไปได้สองปี เมื่อนั้นเจ้าชายเคเรสก็ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป
เคเรสจูบปากของอัสมา...สัมผัสความนุ่มละมุน และความหวานล้ำ แต่นั่นหาใช่เหตุที่ทำให้เขาเกิดอารมณ์ไม่ เขาประคองร่างอัสมาหันหลังลงกับเตียง แล้วฉีกกระชากเสื้อที่แผ่นหลังนั้นออก เป็นบาดแผลที่ถูกดาบฟันเป็นแผลลึก และมีเลือดออกมาก
“ท่านเคเรส...คนผู้นี้ถูกทำร้ายมาอย่างหนัก”
“ใช่...ข้าอยู่ตรงนั้นพอดี จึงได้ช่วยเอาไว้”
 :mew2: :mew2: ฝากเรื่องใหม่ด้วยนะคะ

ออฟไลน์ yoome

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
“นี่ขอรับยาสมานแผล” คาลย์ถือถ้วยยามาให้เขา เดี๋ยวข้าจะไปเอาผ้าพันแผลมาให้นะ”
“เดี๋ยวก่อน” เคเรสเอ่ยเสียงเข้ม คาลย์ชะงักฝีเท้าแล้วหันมามองทันที “ไปบอกทุกคน ว่าตลอดระยะเวลาที่อัสมาอยู่ที่นี่ ห้ามใครเรียกข้าว่ากษัตริย์อีกเป็นอันขาด อัสมารู้แค่ว่าข้าเป็นคนธรรมดาในเผ่าเขี้ยวสมิง ข้าไม่อยากให้ความรู้สึกที่อัสมามีต่อข้าแปรเปลี่ยนไป เข้าใจหรือเปล่า”
“ท่านเคเรส แต่ว่า...”
“เจ้าเองก็เหมือนกัน จำเอาไว้ให้ดีคาลย์”
คาลย์อึ้งไปพักใหญ่ จากนั้นเขาก็พยักหน้าและเดินออกไปทันที เคเรสเอาผ้าชุบน้ำอุ่นมาเช็ดบาดแผลและเลือดที่ไหลซึมผ่านร่างของอัสมา ใบหน้าซีดขาวของเขานิ่วเล็กน้อย มีเหงื่อไหลเต็มแผ่นหลังไปหมด ร่างสูงเอายาสมานแผลทาที่รอยแผลอย่างแผ่วเบา หางตาสังเกตเห็นว่าปลายนิ้วของเขากำผ้าปูที่นอนเข้าหากันเล็กน้อย
“อึก...”
“เจ้าปลอดภัยแล้ว”
“ข้า...อยู่ที่ไหน” อัสมานัยน์ตาพร่าเลือน
“เผ่าเขี้ยวสมิง ตอนนี้ข้ากำลังทำแผลให้เจ้าอยู่ อยู่เฉย ๆ เถอะ” เคเรสเอายาสมานแผลทาให้ที่รอยแผลที่แผ่นหลังของอัสมา ชายหนุ่มร้องครางเสียงแผ่ว...กับใบหน้าที่แดงเรื่อด้วยความเจ็บปวดนั่น ทำเอาเคเรสถึงกับชะงัก รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่ร้อนขึ้นไปทั้งตัว ปลายนิ้วที่กดยาลงที่แผลแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว จนอัสมาร้องอุทานออกมาด้วยความเจ็บ เคเรสจึงได้ยกปลายนิ้วขึ้น
“ขอโทษ...ข้าลืมตัวไปหน่อย”
อัสมาหมดสติไปอีกครั้ง...เคเรสหลับตา แล้วสูดลมหายใจเข้าไปในลำคอ และทำแผลให้อย่างแผ่วเบา คาลย์เข้ามาพร้อมผ้าพันแผลพอดี สายตาของเขาจับจ้องไปที่อัสมา มองเห็นแผ่นหลังของเขาที่เนียนละเอียดเหมือนกับผู้หญิง และเส้นผมของสีทองของเขา เคเรสยื่นมือไปจับผ้าพันแผล แล้วก็ต้องขมวดคิ้วทันทีเมื่อเห็นดวงตาตกตะลึงของสหายคนสนิท
“เอาผ้าพันแผลมาให้ข้าที”
“หะ...ห้ะ”
“ข้าบอกให้เอาผ้าพันแผลมาให้ข้าที” เคเรสขมวดคิ้ว คาลย์หน้าแดงจัดแล้วยืนดูอยู่ใกล้ ๆ “ให้ตายเถอะ”
...ชายหนุ่มรู้สึกไม่ชอบใจเอาเสียเลย ทำไมเผ่าปักษาถึงได้มีรูปร่างที่งดงามขนาดนี้ด้วยนะ โดยเฉพาะอัสมาที่รูปร่างเป็นผู้ชายแต่มีความงามไม่น้อยหน้าไปกว่าผู้หญิง ตั้งแต่เขาอุ้มร่างเผ่าปักษาเข้ามา ผู้คนเอาแต่พุ่งสายตามายังเขาด้วยสายตาสนใจ ไม่เว้นแม้แต่คาลย์สหายคนสนิทของเขาด้วย
นี่เคเรสทำผิดอะไรไปหรือเปล่า ถึงได้พาเผ่าพันธุ์อื่นเข้ามาเยือนเผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิง
“รู้สึกว่าเผ่าพันธุ์ปักษาผู้ครองท้องฟ้า จะเกิดการกบฏขึ้น...เมืองทั้งเมืองกำลังล่มสลาย บิดาของอัสมาคงจะถูกกักขังเอาไว้ที่ไหนสักแห่ง เผ่านิลกาฬส่งทหารมาฆ่าฟันเขา...”
“ถ้าอย่างนั้น อีกไม่นานพวกมันจะต้องส่งทหารมาฆ่ายังเผ่าเขี้ยวสมิงแน่”
“มันไม่มาหรอก...ป่ารัตติกาลไม่เคยปล่อยให้ผู้บุกรุกเข้ามาได้เลยแม้แต่คนเดียว” เคเรสยิ้ม และเอาผ้าคลุมบาง ๆ ห่มแผ่นหลังของอัสมาเอาไว้ คาลย์อึ้งไปพักใหญ่...สายตาของเขายังคงจับจ้องมองอยู่ที่เจ้าชาย
“ข้าเคยได้ยินมาว่า...เจ้าชายเผ่าปักษาพระองค์นี้ เป็นเจ้าชายที่รูปงามยิ่งกว่าหมู่มวลดอกไม้ใด ๆ แม้ว่าข้าอาจจะไม่เคยเชื่อเรื่องนี้มาบ้าง แต่พอมาได้เห็นกับตา ข้าว่าข่าวลือไม่ผิดจริง ๆ ท่านอัสมาเป็นเจ้าชายที่รูปงามเสียยิ่งกว่าสตรีเสียอีก”
“ก็คงจะอย่างนั้น...” เคเรสไม่บอกผู้ใด ถึงเรื่องที่เขามองเห็นร่างเปล่าเปลือยของอัสมาตั้งแต่วินาทีแรกที่พบกัน ชายหนุ่มนั้นรูปงาม แต่เขาเองก็ยังไม่เคยเห็นยามที่อัสมาต่อสู้เลยสักครั้ง เมื่อครั้งสุดท้ายที่เจอกันเขาร่วงลงสู่ผืนดิน คงจะถูกซุ่มโจมตีจากที่ไหนสักแห่งเป็นแน่แท้...
“ข้าไม่เคยเห็นท่านเอาใจใส่กับเผ่าอื่นมากเท่านี้มาก่อนเลย” คาลย์หยัดยิ้ม ชำเลืองสายตามองไปยังกษัตริย์ของชนเผ่าเขี้ยวสมิง
“ก็แค่บังเอิญก็เท่านั้น”
“แต่ข้าไม่คิดเช่นนั้น...”
เคเรสชำเลืองมองมายังสหายคนสนิทพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ข้าคิดว่าดูไม่ผิด...สายตาของท่าน รวมทั้งท่าทีเอาใจใส่ของท่านมันเกินกว่าคำว่า ‘บังเอิญ’ ปกติแล้วท่านสามมารถใช้พวกผู้หญิงมารักษาให้ก็ได้ แต่นี่ท่านกลับป้อนยาให้แก่ท่านอัสมาด้วยตัวเอง บอกตามตรงว่าข้าไม่คิดว่านี่จะเป็นนิสัยของท่านเลยท่านเคเรส”
“คิดมากเกินไปแล้วเจ้า” เคเรสเอ่ยเสียงต่ำ และเดินออกไปนอกกระโจม..

...อัสมามีไข้ถึงสองวัน และอาการบาดเจ็บที่บาดแผลเริ่มทุเลาเบาบางไปบ้าง
วันที่สามเขาลืมตาขึ้นมองภายในกระโจม หัวสมองของเขาประมวลผลอย่างรวดเร็ว และพยายามลุกขึ้นแต่อาการบาดเจ็บยังไม่หายดี ใบหน้าหวานของเขาจ้องมองออกไปด้านนอก...ก็มองเห็นสายตาที่หลบวูบทั้งชายและหญิง เขาเลิกคิ้วสูง ดูเหมือนว่าเผ่าเขี้ยวสมิงจะมีผิวสีแทนกันหมด และมีเส้นผมสีดำ ผิดก็แต่ดวงตาสีน้ำตาล แต่ไม่มีใครเลยที่มีดวงตาสีทองเหมือนกับผู้ที่ช่วยชีวิตเขา
“ตื่นแล้วหรือ” เคเรสเดินผ่านประตูกระโจมเข้ามา เขาเหลือบสายตาไปทางด้านหลัง แล้วก็ปลดประตูให้ปิดลงอีกครั้งหนึ่ง ร่างสูงอยู่ในเสื้อเปิดไหล่ เดินเข้ามาแล้วเอาหลังมือแนบกับหน้าผากของอัสมา “เจ้ามีไข้ไปสองวัน บาดแผลของเจ้าก็อักเสบมาก วันนี้ค่อยยังชั่วขึ้นบ้างหรือยังล่ะ”
“ค่อยยังชั่วขึ้นแล้วล่ะ ขอบคุณท่านมาก”
“ไม่เป็นไร” เคเรสหยัดยิ้ม แล้วนั่งลงบนเตียง แล้วโน้มใบหน้าลงใกล้ชิดกับอัสมา...จนเจ้าของดวงตาสีเขียวมรกตต้องลืมตาโต ตัวแข็งไปชั่วขณะ “กายของเจ้ามีกลิ่นเฉพาะตัว คล้าย ๆ กับกลิ่นของบางสิ่งบางอย่างที่คุ้นเคย เอาล่ะ ช่วยหันหลังไปหน่อย ข้าจะช่วยทำแผลให้เจ้า”
อัสมามองหน้าเคเรส แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้คิดอะไรต่อทั้งนั้น
ชายหนุ่มหันหลังให้ เคเรสจึงถอดเสื้อผ้าให้...อัสมาจึงเปลือยเปล่าที่ด้านบน สายตาของเคเรสมองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกบางอย่าง และยกปลายนิ้วไล้ไปบนแผ่นหลัง จนทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งเฮือก
“ท่านเคเรส...”
“ข้าแค่เสียดาย...ที่แผ่นหลังของเจ้าต้องมีรอยแผลเสียแล้ว” เคเรสถอดผ้าพันแผลออก แล้วเอาผ้าพันแผลออกแล้วเปลี่ยนยาชุดใหม่ให้
“ท่านพาข้ามายังเผ่าพันธุ์ของท่าน ไม่กลัวกษัตริย์ของที่นี่ต่อว่าเอาหรือ...ข้ามองเห็นว่าผู้คนของที่นี่ มีชีวิตไม่ต่างอะไรไปจากเผ่าพันธุ์อื่น ๆ เลย ดูท่า...ว่าข้าจะเป็นจุดสนใจของผู้คนที่นี่มากเลยนะ” อัสมายิ้มบาง ๆ “กษัตริย์ของที่นี่อยู่ที่ไหนล่ะ ข้าอยากจะไปเข้าเฝ้าเสียหน่อย”
“พวกเขาไม่อยู่หรอก...เขาไปต่างแดน ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ ข้าก็เป็นแค่ผู้นำเพียงชั่วคราวก็เท่านั้นเอง”
“นี่น่ะหรือคนพเนจร...ท่านนี่โกหกไม่เก่งเลยนะ” อัสมาหัวเราะเสียงแผ่ว “ไม่ช้า พวกนิลกาฬก็จะพาทหารมาที่นี่ ข้าคงจะอยู่ที่นี่นานนักไม่ได้”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นไปหรอก...เพราะที่นี่มีป่ารัตติกาล พวกมันเข้ามาไม่ได้หรอก” เคเรสหยัดยิ้มและผูกพ้าพันแผลไว้ให้แล้ว อัสมาจึงใส่เสื้อแล้วหันกลับมามอง เป็นครั้งแรก...ที่เขามองเห็นใบหน้าหวานของอัสมา และดวงตาสีเขียวมรกตของเขาใกล้ ๆ ถึงเพียงนี้ เส้นผมสีทอง กับกำไลข้อแขนของเขานั้นช่างดูแตกต่างจากชายหนุ่มอย่างสิ้นเชิง
...นี่สินะ ที่เรียกว่าความแตกต่างของเผ่าพันธุ์
“ทำไมท่านถึงได้คิดว่าพวกเขาจะเข้ามาไม่ได้”
“เอาไว้วันหลังข้าจะอธิบายให้เจ้าฟัง...” เคเรสหยิบยาสมุนไพรที่วางไว้บนโต๊ะข้างเตียงไปให้เขา “กินยานี่ก่อนสิ นี่เป็นยาสมุนไพร ช่วยรักษาบาดแผลได้เป็นอย่างดี”
อัสมามองถ้วยยาในมือของเคเรส
“ขอบคุณ...” เขารับยามาถือไว้ แล้วก็ดื่มลงไปรสชาติมันขมมาก...แต่อัสมาก็จำใจต้องฝืนกิน
เมื่อนึกได้...เจ้าของเส้นผมสีทองจึงขมวดคิ้วนิดหนึ่ง
“ตลอดเวลาที่ข้าหมดสติไป...ใครเป็นคนป้อนยานี้ให้แก่ข้า”
“ข้าเอง...ข้าเป็นคนป้อนยาให้เจ้า” เคเรสเอ่ยยิ้ม และมองเข้าไปในดวงตาสีเขียวมรกต “ด้วยปาก...ข้าไม่คิดเหมือนกันนะว่าเรียวปากของเจ้าจะนุ่มนิ่มถึงปานนี้”
แคร๊งง....
อัสมาเบิกตาโต  ใบหน้าเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อ พูดอะไรไม่ออก เคเรสเลิกคิ้วสูงมองเข้าไปในดวงตาสีเขียวคู่นั้น ก่อนที่เขาจะหัวเราะเสียงแผ่วออกมา เหมือนกับจะขำสิ้นดี
“ข้อล้อเล่นน่ะ...ใครมันจะไปทำอย่างนั้นกัน”
“...ข้าไม่ใช่เพื่อนเล่นของท่าน” อัสมาพยายามลงจากเตียง หน้าแดงก่ำทำท่าจะออกไปข้างนอก แต่ท่าทีที่อ่อนแรงทำให้เซล้มลงไปอีกครั้ง ร้อนถึงเคเรสจะต้องโอบประคองร่างกาย ความร้อนของเรือนร่างกำยำ และลมหายใจร้อนระอุทำเอาอัสมาหน้าแดงปลั่ง ได้ยินแม้แต่เสียงหัวใจเต้นของตัวเอง...
“เจ้ายังไม่หายดีเลย...จะรีบออกไปไหนกันล่ะ” เสียงของเคเรสกระซิบแผ่ว
อัสมาขมวดคิ้ว มองหน้าเคเรส ดวงตาของเขาเป็นประกายวาววับ
“ไม่ใช่เรื่องท่าน ตอนนี้ข้าพอจะช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว...ปล่อยข้า”
“ปล่อยให้เจ้าบินจากไปงั้นหรือ...เฮ้อ...เอาไว้ให้เจ้าหายดีก่อนเถอะ แล้วค่อยอวดดี”
“ข้าไม่ได้อวดดี...ข้าจะมามัวนอนอยู่อย่างนี้ไม่ได้”
“เจ้าจะไปตายเสียมากกว่า ข้าอุตส่าห์ไปช่วยเจ้าเอาไว้ แต่เจ้ากลับจะออกไปตายเสียนี่ พักให้หายดี ๆ ก่อนเถอะ ข้าไม่อยากเอาโซ่มาล่ามขาของเจ้าเอาไว้ อ้อ...บอกไว้ก่อนนะ ว่าข้างนอกนั่นมีแต่พรรคพวกของข้าเต็มไปหมดเลย ทุกคนต่างจ้องมองเจ้าอย่างหิวกระหาย คงเป็นเพราะไม่ได้กินเนื้อนกมานาน ก็เลยมองอย่างสนอกสนใจ ถ้าเจ้าไม่เชื่อก็ลองออกไปตอนนี้ดูสิ ไม่โดนพวกเขี้ยวสมิงกระโจนเข้าขย้ำก็นับว่าโชคดี”
อัสมาหน้าซีดเผือด ก่อนจะหรี่ตาลงมอง
“พวกท่านเป็นพวกสัตว์กินเนื้อจริง ๆ ด้วยสินะ”
“ก็คงจะอย่างนั้น”
“ปล่อยข้า...อึก...” อัสมานิ่วหน้าด้วยความเจ็บ ก่อนที่เคเรสจะถอนหายใจยาวก่อนจะย่อตัวลงอุ้มร่างอัสมาแล้ววางลงบนเตียง จากนั้นร่างกำยำก็ห่มผ้าเอาไว้ให้เขา
“ให้ตายเถอะ เจ้านี่มันยุ่งจริง ๆ”
อัสมาหันหน้าไปทางอื่น แล้วหลับตาลง...สมองของเขาเต็มไปด้วยความร้อนรุ่มเต็มไปหมด ป่านนี้เผ่าพันธุ์ปักษาจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ บิดาของเขาจะเป็นเช่นไร ลามิสขุนพลที่ขึ้นตรงต่อบิดาของเขาจะต่อสู้จะหนีเอาตัวรอดแค่สักแค่ไหน แต่เขากลับมานอนบาดเจ็บอยู่ที่เผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิง ผู้ที่ไม่เคยติดต่อกันเลยนับร้อยปี ใบหน้าของอัสมาเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
ลามิส...ป่านนี้เจ้าจะเป็นเช่นไรบ้าง

อัสมานอนหลับไปอีกครั้ง....คราวนี้ดูเหมือนว่าจะนานกว่าเดิม และแน่นอนว่าคนที่คอยดูแลก็ยังเป็นเคเรสอยู่เช่นเดิม เขาเป็นคนที่ป้อนยาให้และเป็นคนเปลี่ยนผ้าพันแผลให้กับอัสมา คาลย์มองดูสายตาสีทองของกษัตริย์แห่งเผ่าเขี้ยวสมิงยามมองเจ้าชายแห่งเผ่าปักษา...ดูเขาจะห่วงใยอัสมาเหลือเกิน แม้ว่าภายนอกจะดูไม่ค่อยเอาใจใส่นักก็ตาม แต่คาลย์ก็รู้ดีว่าท่านเคเรสห่วงใยเจ้าชายเผ่าปักษามากยิ่งกว่าผู้ใด
ในที่สุด...อัสมาก็ลืมตาตื่นขึ้น
“นี่ข้านอนหลับไปนานสักเท่าไหร่...”
“ท่านฟื้นแล้วหรือ”
อัสมามองตามไปยังเสียงที่ไม่คุ้นเคย เขามองเห็นชายหนุ่มเส้นผมสีดำอีกคน อายุอานามไม่ต่างไปจากเคเรสสักเท่าไหร่ และมีรอยยิ้มที่เป็นมิตร ผิดกับเคเรสเป็นคนละคน
“เจ้าคือ...”
“ข้าชื่อคาลย์ เป็นสหายคนสนิทของท่าน...เอ่อ..เคเรสน่ะ ข้าคอยดูแลท่าน และรู้ว่าท่านเป็นใครมาจากไหน เคเรสน่ะฝากให้ข้าช่วยดูแลท่าน จนกว่าท่านจะหายดี” คาลย์ยิ้มกว้าง และเดินเข้ามาใกล้ “ท่านเป็นอย่างไรบ้าง บาดแผลเกือบหายสนิทแล้ว ยังมีไข้อยู่อีกหรือเปล่า”
“ข้าดีขึ้นมากแล้ว ขอบใจเจ้ามาก”
“ข้าอย่างนั้นก็กินยาสมานแผลนี่เสียก่อน...ข้าให้พวกผู้หญิงต้มมาให้ประมาณชั่วโมงกว่าแล้ว ตอนนี้คงจะเย็นจนพอจะดื่มกินได้บ้างแล้ว” คาลย์นั่งลงที่โต๊ะและเอายายื่นให้อีกฝ่ายกิน อัสมารับมาแล้วดื่มกินจนกระทั่งหมด รู้สึกแผลที่หลังใกล้จะหายสนิทแล้ว อาการไข้ก็ไม่มี...ดูเหมือนว่ายาสมานแผลของเผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิงจะให้ผลดีมาก
อัสมาดื่มกินแล้วก็ขมวดคิ้วเมื่อนึกถึงคำพูดของเคเรส
“ยานี่....ใครเป็นคนให้ข้าดื่มตอนหลับงั้นหรือ”
“ท่านเคเรสขอรับ” คาลย์หยัดยิ้ม อัสมาหน้านิ่วคิ้วขมวดยิ่งกว่าเดิม
...แสดงว่าเคเรส เป็นป้อนเขาด้วยปากอย่างนั้นสินะ...
“เจ้าเป็นพวกเผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิงสินะ...เป็นพวกกินเนื้อ เคเรสบอกกับข้าว่าถ้าข้าเดินออกไปจากกระโจม แล้วถูกใครกระโจนเข้าขย้ำก็ถือว่าโชคดีไป แล้วเจ้าล่ะ...เจ้าเข้ามาหาข้า นึกอยากจะกินข้าด้วยอย่างนั้นหรือเปล่า” อัสมาเอ่ยถามหน้าตาเฉย ทำเอาคาลย์ที่กำลังดื่มน้ำอยู่แทบสำลัก
“คะ..แค่ก...ท่านพูดอะไรน่ะ พวกเราน่ะหรือจะกระโจนขย้ำท่าน”
“ก็หรือไม่จริง !?”
“อา...ข้าก็ไม่รู้หรอกนะว่าเคเรสพูดอะไรกับท่าน แต่สำหรับพวกเราน่ะ ถึงจะเป็นเผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิงก็เถอะ แต่เราไม่กระโจนขย้ำคนอื่นง่าย ๆ หรอก ท่านก็เห็นว่าพวกเราเป็นเหมือนคนทั่วไป หากไม่ใช่คืนพระจันทร์เต็มดวง พวกเราก็ไม่เปลี่ยนแปลงรูปร่างหรอก”
“เปลี่ยนแปลงรูปร่างงั้นหรือ !?”
“ถูกต้องแล้ว พวกเราจะเปลี่ยนแปลงรูปร่างไป...ไม่เหมือนเดิม” คาลย์ยิ้ม มองอีกฝ่าย “ท่านกลัวพวกเราหรือเปล่า”
“ข้าไม่กลัวหรอก...เพราะข้ารู้ว่าย่อมมีอะไรที่แตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์เสมอ”
คาลย์เลิกคิ้วสูง มองเข้าไปในดวงตาสีมรกต...คนผู้นี้สมแล้วที่เป็นถึงเจ้าชายของเผ่าปักษา เขาไม่กลัวเกรงเลยเวลาที่มายังเผ่าพันธุ์อื่น ที่มนุษย์ทั่วไปไม่อาจเข้าใกล้ ทั้งสีหน้าและวาจาเต็มไปด้วยความเยือกเย็น มิน่าล่ะท่านเคเรสถึงได้ช่วยอัสมาเอาไว้
“ข้ารู้แล้ว ว่าทำไมเคเรสถึงได้ช่วยเหลือท่านเอาไว้” คาลย์หัวเราะเสียงแผ่ว “ข้าไม่รู้หรอกนะว่าทำไมเคเรสถึงได้ขู่ให้ท่านกลัว แต่ข้ารับรองได้ว่าไม่มีใครกล้ากระโจนขย้ำท่านซึ่งเป็นเจ้าชายของเผ่าปักษาไปได้หรอก พวกเขาสนใจท่านมากเลยนะ อาจจะเป็นเพราะว่าเขาไม่เคยเห็นเผ่าปักษาคนไหน งดงามเท่าท่านมาก่อน”
อัสมายิ้มออกแนวเขิน ๆ
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าควรภูมิใจเลย..ขอบใจเจ้ามากนะคาลย์”
“ไม่เป็นไรขอรับ”
คาลย์ออกไปนอกกระโจม อัสมาคอยจนกระทั่งแน่ใจ...จึงลุกขึ้นจากเตียงแล้วสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย และเอามีดพกเล่มสั้นติดตัวไว้ตรงเอว เจ้าของดวงตาสีเขียวมรกตจะมัวมานอนอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เขาต้องกลับไปยังเผ่าปักษา เพื่อช่วยเหลือพระบิดาและรวบรวมพรรคพวกที่เหลือปราบปรามเหล่ากบฏ ชายหนุ่มร่างบางมองดูข้างนอก เมื่อไม่เห็นว่าเคเรสอยู่ข้างนอกนั่น อัสมาก็เปิดผ้าบังประตูโจมออกมาภายนอก
ทุกคนที่เห็นเขาต่างจ้องมองมายังอัสมา
ชายหนุ่มแน่ใจว่าพวกเขา ต่างจ้องมองมายังเผ่าปักษาเนื่องจากไม่เคยเห็นผู้ที่มาจากต่างเผ่าพันธุ์ อัสมายิ้มให้กับพวกเขา และแน่ใจว่าได้รับรอยยิ้มตอบรับกลับมา

 :hao5: :hao5: :hao5: แงงงงง ไม่มีใครคอมเม้นท์ให้กำลังใจกันเลยง่ะ

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2019
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
 :3123:
ติดตามค่ะ

ออฟไลน์ yoome

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ชายหนุ่มแน่ใจว่าเรื่องที่เคเรสเล่าให้ฟังนั้นเป็นเรื่องปั้นเสริมเติมแต่งให้ดูน่าหวาดกลัวเข้าไว้
ไม่นานอัสมาก็แลเห็นแสงสว่างที่มาจากพระอาทิตย์เบื้องบน ตรงกลางป่าใหญ่มีบ้านเรือนของชาวเผ่าเขี้ยวสมิง มีผู้หญิงและเด็กตัวเล็ก ๆ หันมามอง หมู่บ้านแห่งนี้กว้างใหญ่นักและเต็มไปด้วยต้นไม้หลายคนโอบ เถาวัลย์หงิกงอเหมือนกับที่อยู่ในป่าหายไปหมด มีธารน้ำและป่าด้านบนก็เปิดกว้างให้แสงอาทิตย์ส่องมาถึง
หญิงสาวมองเห็นบ้านของเผ่าอสูรเป็นบ้านที่ก่อสร้างด้วยไม้อย่างแข็งแกร่ง มีเด็กและพวกผู้หญิงทำลังทำอาหารส่วนใหญ่ก็ซักผ้าในริมลำธาร พวกเขาต่างสวมชุดจากผ้าฝ้ายและหนังสัตว์ ผิวกายเป็นสีแทนไม่ขาวสะอาดเหมือนพวกเผ่าปีกนิลกาฬ เส้นผมและดวงตาเป็นสีดำ ด้านหน้าของหมู่บ้านนนี้มีกำแพงสูงชัน
อัสมาเดินไปยังทางเดินไปสู่ป่าใหญ่ แล้วเขาก็ต้องหยุดชะงักเมื่อมองเห็นเด็กตัวเล็ก ๆ อายุประมาณเจ็ดขวบเห็นจะได้ เป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักทีเดียว ดูเหมือนเขาจะซ่อนอะไรไว้ทางด้านหลังด้วย
ชายหนุ่มรูปงามย่อตัวลงต่ำ แล้วยิ้มให้กับเด็กผู้นั้น
“มีอะไรหรือ !?”
“ท่านคือเผ่าปักษาใช่ไหม...ข้าเห็นท่านเคเรสช่วยท่านมาตั้งหลายวันแล้ว ท่านดูงดงามมากเลย ท่านสวยกว่าพี่สาวของข้าเสียอีก เขาว่ากันว่าเผ่าปักษามีรูปร่างหน้าตาที่สวยมากไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง แล้วท่านล่ะ...ยังมีใครสวยไปกว่าท่านอีกหรือเปล่า”
“ไม่รู้สิ...ข้าไม่เคยสนใจเรื่องนั้น ข้ามีเรื่องต้องทำมากมาย เลยไม่มีเวลาสนใจเรื่องความงามมากนัก”
“แต่ข้าชอบท่าน...ข้าเอาดอกไม้มาถักเป็นพวงมาลัยไว้ให้ท่านด้วย” เด็กผู้หญิงก้มหน้าเขินอาย หยิบยื่นพวงมาลัยสีเหลืองทำด้วยดอกไม้มีกลิ่นหอม อัสมามองดูมันด้วยสายตานิ่งอึ้งอยู่พักใหญ่ แล้วก็ยิ้มออกมาหยิบเอาพวงมาลัยมาไว้กับตัวเอง
“ขอบใจเจ้ามากนะ เจ้าเป็นเด็กที่น่ารักมากเลย”
“ข้าไปก่อนล่ะค่ะ”
อัสมามองดูเด็ก ๆ ที่วิ่งผ่านไป ผู้คนที่นี่ล้วนใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป ผู้ชายต่างฝึกการใช้ลูกธนู กับผู้หญิงที่ซักผ้าริมแม่น้ำ จะแตกต่างก็เพียงแต่สีผิวเท่านั้นเอง และเรือนที่พักเท่านั้นเอง ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีทอง...ไม่อาจอยู่ที่นี่ได้นานนัก เขาหมุนตัวเดินเข้าไปในป่าต้องห้าม
....โดยไม่คิดจะกลับมาอีกเป็นครั้งที่สอง
เคเรสเดินกลับมาจากการไปดูลาดเลาภายในป่า เมื่อเดินมาถึงก็เห็นคาลย์ออกมาข้างนอกกระโจม
“อัสมาเป็นอย่างไรบ้าง !?”
“เขาฟื้นแล้วขอรับ...ข้าอยากให้เขาพักผ่อนต่ออีกหน่อย”
“เขาฟื้นแล้วหรือ !? แล้วทำไมเจ้าไม่ดูเอาไว้ บ้าจริง”
เคเรสเปิดกระโจมเข้าไป ด้วยความงุนงงของสหายคนสนิท กลับพบเพียงความว่างเปล่า...สีหน้าของเขาเคร่งเครียด เดินออกไปจากภายในกระโจมด้วยอารมณ์หงุดหงิด
“ท่านอัสมาไม่อยู่ข้างในหรือ”
“ข้าบอกเจ้าแล้วใช่ไหม ว่าให้คอยดูดี ๆ” เคเรสเกือบจะตวาด คาลย์หน้าซีดเผือด เขามองหาไปรอบกายก็ไม่เห็นอัสมาเดินอยู่แถวไหนเลย มีเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เดินเข้ามา แล้วเคเรสก็ก้มลงลงมอง “มีอะไรหรือ !?”
“ข้าเพิ่งอยู่กับเขาเมื่อตะกี้...ข้าเห็นเขาเดินไปทางโน้น”
เคเรสก้มตัวลงมา จับไหล่เล็ก ๆ แล้วเอ่ยถามว่า
“เขาเดินไปทางไหน...”
“เขาเข้าไปทางป่ารัตติกาลค่ะ”
“ป่ารัตติกาลหรือ...” เคเรสกระซิบเสียงแหบพร่า “ขอบใจมากนะ แล้วเจ้าคาลย์ เอาไว้ข้าจะกลับมาลงโทษเจ้า โทษฐานที่ขัดคำสั่งของข้า รู้หรือเปล่าว่าตอนนี้อัสมาต้องการกลับไปเมืองปักษาแค่ไหน เจ้าไม่รู้เลยหรือ”
“โปรดลงโทษข้าด้วยเถอะท่านเคเรส” คาลย์คุกเข่ายอมรับโทษทัณฑ์ “ข้าไม่รู้จริง ๆ...”
เคเรสไม่ฟังเสียง เขาวิ่งเข้าไปภายในป่ารัตติกาล กระโดดไปยังก้อนหินและกิ่งไม้มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่เด็กคนนั้นบอก...อัสมาเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า มองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืดมิด ชายหนุ่มมองเข้าไปในภายในป่า...ดูเหมือนว่าสายตาของเขาจะไม่ได้ฝาดไป เพราะเขามองเห็นต้นไม้กำลังเคลื่อนไหว เปลี่ยนรูปร่างไปมา...ราวกับจะลวงให้ผู้คนที่เดินหลงเข้าไปไม่มีวันกลับออกมาได้
“นี่สินะที่เรียกว่าป่ารัตติกาล ที่เคเรสบอกว่าจะไม่มีศัตรูผู้ใดเข้ามาได้เลยแม้แต่ผู้เดียว”
อัสมาเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า
ชายหนุ่มไม่สนใจภายในป่าหรอก...เพราะที่ ๆ เขาจะไป มันอยู่เหนือป่าแห่งนี้ อัสมาหลับตา...พร้อมกับปีกสีขาวที่โผล่พ้นออกมาจากกลางหลัง มันห่อหุ้มตัวเขาเอาไว้ เพียงชั่วอึดใจที่เขาโบกสะบัด กระแสลมก็พัดพาให้ลมเปลี่ยนทิศ เวลานั้นเคเรสก็เข้ามาถึงพอดี สิ่งที่ปรากฏแก่ดวงตาสีทองของเขา ก็คือภาพของปักษารูปงาม กำลังจะโผบินขึ้นสู่ป่าแห่งรัตติกาล ก่อนจะโผบินขึ้นสู่ที่สูง
“อัสมา อย่าขึ้นไป”
...แต่ช้าไปแล้ว พออัสมาบินขึ้นไปจนจะพ้นป่า ป่าแห่งรัตติกาลก็ไหลไปรวมตัวกันที่ช่องว่างด้านบน จนกลายเป็นความมืดสลัวไร้ซึ่งแสงสว่าง และยิ่งไปกว่านั้นอัสมาก็ถูกปิดทางออก พร้อมด้วยเถาวัลย์ที่พุ่งเข้ามาพันไว้รอบกายของเขา อัสมาเบิกตากว้าง
“นี่มันอะไรกัน...”
“บ้าจริง...ไม่ฟังกันซะบ้างเลย” เคเรสกัดฟันแน่น จากนั้นเขาก็ต้องเลิกคิ้วเมื่อเห็นอัสมาชักมีดจากเอวข้างเอวขึ้นมาฟาดฟันเถาวัลย์จนมันขาดออกจากกัน
อัสมาหรี่ตาลงมองป่ารัตติกาล แล้วหมุนตัวฟันเถาวัลย์รอบ ๆ กาย แล้วหลังจากนั้นเขาก็ใช้ปีกห่อหุ้มตัวเองเอาไว้ แล้วก็กางปีกออกเกิดเป็นสายลมพัดหมุน...พัดพาจนป่าแห่งความมืดมิดปลิวไสวไปหมด ภาพชายหนุ่มที่กางปีกอยู่เหนือศีรษะ พร้อมกับพลังที่เจ้าตัวเก็บซ่อนเอาไว้ ช่างเป็นพลังที่รุนแรงและโหมกระหน่ำ จนทำให้เคเรสหยัดยิ้มและยืนพิงต้นไม้คอยดูว่าอีกฝ่ายจะเอาตัวรอดได้หรือไม่
“ดูท่าฝีมือจะไม่เลวเลยนี่”
อัสมาบินขึ้นไปบนช่องว่างเหนือศีรษะที่เปิดโล่งขึ้นมา แต่ป่ารัตติกาลก็ปิดลงอย่างรวดเร็ว จนเขาฟันเถาวัลย์ได้ไม่หมด ประจวบกับอาการบาดเจ็บของเขาก็ยังไม่หายดี จึงทำให้อัสมานิ่วหน้า...แล้วบินลงมา ท่ามกลางลมหายใจที่หอบ ใบหน้าหวานเงยหน้าขึ้นไปมองผืนป่าที่ปิดสนิท
ป่ารัตติกาลแห่งนี้ ห้ามไม่ให้ผู้ใดได้ออกไปเลยหรือไง
ผู้ใดหลงเข้ามา...จะไม่มีวันออกไปได้เลยชั่วชีวิต
“ไม่เลวนี่...สมกับเป็นเจ้าชายแห่งเผ่าพันธุ์ปักษาเลยจริง ๆ” เคเรสปรบมือให้ แล้วหยัดยิ้มไปยังอัสมาที่ยืนแล้วหันมามองด้วยสายตาเย็นเฉียบ “เจ้าเกือบออกไปได้แล้ว ถ้าไม่บาดเจ็บเสียก่อนน่ะนะ”
“ทำยังไงข้าถึงจะออกไปได้ !?”
“เดินออกไปจากป่ายังไงล่ะ”
“คำพูดของท่านมันเชื่อไม่ได้...ท่านไม่เห็นหรือว่าผืนป่ามันเปลี่ยนไปแค่ไหน นับตั้งแต่ข้าเข้ามาต้นไม้ทุกต้นมันก็เคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต ข้าล่ะแปลกใจกับท่านเหลือเกินที่อุตส่าห์ตามหาข้าจนเจอ” อัสมาหรี่ตามองมายังเคเรส “ถ้าข้าเข้าใจได้ถูกต้อง คนที่จะออกจากป่านี้ไปได้ คงมีแต่พวกเผ่าเขี้ยวสมิงอย่างนั้นสินะ”
“ถูกต้องแล้ว มีแต่พวกเราเท่านั้นแหละ ข้าถึงได้บอกไง ว่าหากเป็นเผ่าพันธุ์อื่นหรือแม้แต่พวกมนุษย์ ก็ไม่มีใครเดินเข้ามาแล้วกลับออกไปได้หรอก มาเถอะ เจ้ายังไม่หายดี กลับไปพร้อมกับข้าเถอะอัสมา”
เคเรสเดินเข้าไปหาอัสมา แต่ครานี้ต้องชะงักกึกเมื่ออีกฝ่ายหันมีดสั้นเข้าใส่
“ข้าไม่กลับไปพร้อมกับท่านหรอก...ข้ามีเรื่องที่จะต้องทำ”
“เจ้าไปคนเดียว ก็เท่ากับจะไปตายเท่านั้น”
“มันเป็นเรื่องของเผ่าพันธุ์ปักษา ไม่เกี่ยวกับท่าน” อัสมาหรี่ตาลงมองด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย “อย่ามายุ่งเกี่ยวกับข้า ถึงแม้จะเป็นท่านก็เถอะ”
“เอาล่ะ...ข้ารู้ว่าถึงแม้จะห้ามเจ้า เจ้าก็ไม่ฟังอยู่ดี ถ้าอยากจะออกไปนัก ก็เชิญตามสบาย” เคเรสยืนกอดอกพิงต้นไม้ อย่างไม่ใส่ใจนัก
“ท่านนั่นแหละที่ต้องพาข้าออกไป...”
“ช่วยไม่ได้ล่ะนะ...”
เจ้าของนัยน์ตาสีทองวาววับเปล่งประกาย แล้วก็พุ่งตัวเข้าหาอัสมาที่เบิกตากว้าง เขาพยายามบินขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับพุ่งมีดเข้ามา แต่หาได้เป็นอุปสรรคต่อเคเรสไม่ การเคลื่อนไหวของเขาช่างรวดเร็วยิ่งกว่าศัตรูคนไหน ๆ ที่อัสมาเคยเห็นมา ชั่วพริบตาข้อมือของเขาก็ถูกฝ่ามือใหญ่จับเอาไว้แน่นและออกแรงบีบเข้าหากันจนมีดหล่นลงกับพื้น ไหล่ของเขาถูกดันเข้าหาต้นไม้อย่างหนักหน่วง
อัสมาหน้าซีดเผือด เมื่อเห็นเคเรสอยู่ใกล้ภายในเวลาไม่กี่วินาที
ดวงตาสีทองของเขาเป็นประกายวาววับ จมูกโด่ง และเรียวปากที่แสยะยิ้มราวกับเสือที่กำลังจะขย้ำเหยื่อ มือทั้งสองข้างของเขาก็จับข้อมือบางของอัสมารวบเข้าหากันไว้เหนือศีรษะบนต้นไม้แน่น ส่วนอีกมือหนึ่งก็ดันต้นไม้ไม่ให้ชายหนุ่มได้หนี อัสมากลืนน้ำลายลงคอ...มองหน้าเคเรสด้วยสายตาเยือกเย็น
...แผ่นอกแกร่งจงใจแนบสนิทกับร่างบาง ในขณะที่ใบหน้าคมคายอยู่ใกล้อัสมาเพียงแค่เอื้อม
“ท่านเป็นใครกันแน่...ฝีมือระดับนี้คงไม่ใช่แค่ผู้นำกระมัง”
“ข้าเป็นแค่คนพเนจร...ฝีมือของข้าเทียบกับเจ้าไม่ได้หรอก”
อัสมาขมวดคิ้ว ‘คำว่าเทียบไม่ได้’ คือชายหนุ่มต่างหาก
เขาพยายามดึงข้อมือออก...แต่ก็ไม่สามารถสู้เรี่ยวแรงของเผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิงได้ เคเรสหยัดยิ้มหลุบตาลงต่ำมองดูเรียวปากแดงระเรื่อที่อยู่ใกล้เขาเพียงแค่เอื้อม...จนชายหนุ่มหวนคิดไปถึงรอยจูบหลายครั้งที่เขาป้อนยาให้กับอัสมาในตอนที่เขาหมดสติไป อา...มันจะหวานแค่ไหนนะ
เคเรสรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนระอุ...ที่ราดรดอยู่ใกล้ ๆ เรียวปาก
ชายหนุ่มก้มลงไปหอมเอาไออุ่นของอัสมา มันเต็มไปด้วยความหอมหวาน...เป็นกลิ่นที่ทำให้เคเรสรู้สึกผ่อนคลาย อัสมาขมวดคิ้วหน้าแดงก่ำ...เขาหันหน้าหนีไปทางอื่น และพยายามดึงมือออก มือของเคเรสที่ว่างอยู่ก็เช่นเดียวกัน เขาแทบไม่รู้ตัวเลยว่าได้ลูบไล้เนื้อตัวของเขาผ่านเสื้อผ้าอันแสนร้อนระอุ
“เคเรส...ท่านจะทำอะไร”
เคเรสไม่ตอบ...นั่นน่ะสิ เขาจะทำอะไร ชายหนุ่มเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าทำไมตัวเองถึงปรารถนาในตัวอัสมาเผ่าพันธุ์ปักษามากขนาดนี้ จะว่าชายหนุ่มรูปงามยิ่งกว่าผู้หญิงนั่นก็ไม่น่าจะใช่...แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของเคเรสมากเหลือเกิน ก็คือดวงตาสีเขียวมรกต ที่ไม่ยอมแพ้ต่ออะไรง่าย ๆ นั่น
มันช่างดึงดูดสายตาสิ้นดี...
“เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าตัวเองจะทำอะไรได้...เป็นแค่เผ่าปักษาตัวเล็ก ๆ ขึ้นไปต่อสู้กับเหล่ากบฏ ก็มีแต่จะไปตายซะมากกว่า อา...ข้าจะทำยังไงกับเจ้าดี ถึงขนาดจับตัวเจ้าชายเผ่าพันธุ์ปักษาแบบนี้เอาไว้ได้ ข้าจะใช้ประโยชน์จากเจ้าดีหรือไม่ หรือเอาไปต่อรองกับพวกกบฏเรียกร้องผืนดินแดนทางตอนเหนือดี ที่นั่นมีอาหารและน้ำตกอยู่มากมาย เจ้าว่าจะดีไหมอัสมา”
“ถ้าท่านคิดว่าพวกนั้นจะฟังท่าน...ก็เชิญเลย”
“เจ้าไม่กลัวการถูกทรมานเลยหรือ...”
“ถ้าข้ากลัว...ก็คงไม่มาอยู่ที่นี่หรอก” อัสมานัยน์ตาพราวระยับ “ถ้าเป็นท่าน...ท่านจะทำยังไง ในเมื่อพระบิดาอยู่ที่ไหนก็ยังไม่รู้ บ้านเมืองถูกรุกรานจากพวกกบฏ ท่านจะยอมอยู่เฉย ๆ อยู่ในป่าแห่งนี้เพียงคนเดียวได้อย่างนั้นหรือ ถึงแม้ข้าจะไม่ใช่เจ้าชาย เป็นเพียงคนธรรมดา ข้าก็ไม่อาจนิ่งดูดายได้หรอก ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้เคเรส”
“เจ้านี่มันดื้อด้านจริง ๆ ให้ตายเถอะ” เคเรสหยัดยิ้ม แล้วก้มลงเหมือนจะหอมแก้มอัสมาอีกครั้ง “ข้าชอบกลิ่นของเจ้า...มันมีกลิ่นหอมในแบบที่ข้าชอบเสียด้วย”
“บอกให้ปล่อยยังไงล่ะ” อัสมาหันหน้าหนีไปทางอื่น
“ปล่อยก็ได้” เคเรสปล่อยอัสมา...ทำให้ชายหนุ่มค่อยหายใจโล่งขึ้นหน่อย สายตาสีเขียวมรกตคู่นั้นจ้องมองเคเรสอย่างไม่เป็นมิตรนัก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย เนื่องจากป่ารัตติกาลปิดทางเข้าออกไว้จนหมด “อย่าห่วงไปเลย เอาไว้รอให้บาดแผลของเจ้าหายดีแล้วก่อนเถอะ จากนั้นไม่ว่าเจ้าจะไปที่ไหน...ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้า”
“ท่านน่ะหรือ..!?”
“ใช่...”
“ทำไม !? เท่าที่ข้ารู้เผ่าพันธุ์ปักษากับเผ่าเขี้ยวสมิงไม่เคยเกี่ยวข้องกันมานานนับร้อยปี แต่ทำไมท่านถึงต้อง..” อัสมาขมวดคิ้วเนื่องจากนึกไม่ถึง
“ถ้าเจ้าช่วยเหลือใครไว้สักคน...แล้วเขาจะต้องไปพบกับหายนะ แล้วเจ้าไม่คิดจะช่วยเหลือเขาเอาไว้หรือ ข้าเองก็เหมือนกัน ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าเหลือตัวคนเดียว ถึงแม้จะห้ามเจ้าก็ไม่เชื่อฟัง ถ้าอย่างนั้นข้าก็พร้อมที่จะไปกับเจ้าด้วย”
“แล้วเมื่อกี้ที่ว่าจะใช้ข้าเป็นเครื่องต่อรอง...”
“ถ้าข้าทำเช่นนั้น ก็ไม่คู่ควรกับเผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิงแล้วล่ะ...ไปกันเถอะ” เคเรสหยัดยิ้ม แล้วจับมือของอัสมาเดินเข้าไปในป่ารัตติกาล ชายหนุ่มรูปงามขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่พูดอะไร...เพราะรู้ดีว่าในป่ารัตติกาล หากมือพลัดจากกัน ก็คงจะพลัดพรากจากกันไปชั่วนิจนิรันดร์

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2019
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ yoome

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าพวกศัตรูจะไม่ตามมา...”
“ป่ารัตติกาลไม่มีทางยอมให้ใครฝ่าด่านเข้ามาได้ง่าย ๆ พวกมันมีชีวิตและมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ใครที่พลัดหลงเข้ามาก็จะหาทางออกไปไม่ได้ ต้องติดอยู่ภายในป่านี้ไปชั่วนิจนิรันดร์ พวกมันไม่กล้าตามเข้ามาหรอก”
อัสมามองดูภาพวิญญาณหรือไฟสีเขียวที่ล่องลอยออกมาจากต้นไม้ของป่า ได้ยินเสียงร่ำร้องและครวญคราง นี่สินะที่เขาเรียกกันว่าแห่งรัตติกาล...ป่าไม้แห่งนี้มีชีวิต และเคลื่อนไหวไปมาราวกับมีจิตวิญญาณ
“ต้นไม้มีวิญญาณด้วยเหรอ”
“พวกมันมีชีวิต และเคลื่อนไหวได้ทุกต้นนั่นแหละ”
“แล้วทำไมถึงมีดวงไฟสีเขียว ๆ ตลอดเวลาล่ะ...”
“มันเป็นวิญญาณของผู้ที่เคยหลงเข้ามาในป่าแล้วหาทางกลับออกไปไม่ได้น่ะ” เคเรสเอ่ยเสียงแผ่ว สายตาสีทองของเขาจ้องมองไปยังภาพวิญญาณสีเขียวที่วนเวียนไป
“แปลว่าคนเหล่านั้นเคยเข้ามาที่นี่งั้นหรือ”
“ตำนานกล่าวไว้อย่างนั้น มันนานเกินกว่าที่ใคร ๆ จะรู้ความจริงได้”
“ตำนานกล่าวไว้ว่าอย่างไร”
เคเรสนิ่งเงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบแหบพร่าว่า
“ตำนานมันกล่าวเอาไว้ว่า นานมาแล้วป่านี้ก็เหมือนกับป่าทั่วไป มีต้นไม้สีเขียวและวัชพืชปกคลุมล้อมรอบ เป็นป่าที่มีเผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิงอาศัยมาเนิ่นนาน จนกระทั่งวันหนึ่งมีพ่อค้าโลภโมโทสันกลุ่มใหญ่ พวกเขาเสาะหาแร่ทองคำและเพชรพลอยที่อยู่ใต้ผืนดินใต้ผืนป่าแห่งนี้ เขาลักลอบเข้ามาวางยาพิษในต้นไม้ทุกต้นจนพวกมันหยิกงอ และตัดโค่นพวกมันล้มตายหมด เพื่อจะเอาแร่ธาตุที่อยู่ใต้ผืนดิน”
เคเรสมองดูต้นไม้ที่เริ่มเคลื่อนไหว...
“...คืนนั้นเอง ป่าไม้ทุกต้นก็บังเกิดความโกรธเกรี้ยวและแปรเปลี่ยนสภาพเป็นป่าแห่งรัตติกาล ต้นไม้ทุกต้นหงิกงอและเปลี่ยนรูปร่างไปหมด พวกมันต่างมีชีวิตและคอยเคลื่อนที่ทำให้ผู้คนที่เข้ามาหาทางออกไปไม่ได้”
“ก็แสดงว่าเหล่าพ่อค้าพวกนั้น...”
“ถูกต้อง พวกพ่อค้าและเหล่าคนงานต่างติดอยู่ในป่าวงกตไปชั่วนิจนิรนดร์ และไม่ได้มีเพียงแค่กลุ่มพ่อค้าเท่านั้นหรอกนะ แต่ยังมีกลุ่มคนเดินทางที่เดินหลงติดอยู่ในป่าแห่งนี้หาทางออกไม่เจอและตายอยู่ในป่าแห่งนี้ ป่าอาถรรพ์ได้กลายเป็นสิ่งมีชีวิต และเต็มไปด้วยวิญญาณที่หลงออกไปไหนไม่ได้ชั่วนิจนิรันดร...หากเจ้าไม่เชื่อ ลองเงี่ยหูฟังเสียงต้นไม้เหล่านี้ดูสิ แล้วเจ้าได้ยินเสียงอะไรบ้าง”
อัสมาเงียบเสียงลงทันที เขาคอยเงี่ยหูฟังเสียงผืนไพรในป่า...
นาทีนั้น เขาได้ยินเสียงแว่วมาแผ่วเบา คล้าย ๆ กับเสียงกระซิบ ร่ำไห้ดังมาให้เขาได้ยิน เมื่อตั้งใจฟังเสียงนั้นก็จะจางหายไป แต่เมื่อใดที่เขาทำเป็นไม่สนใจฟัง ก็จะได้ยินเสียงนั้นแว่วเสียงดังมาอย่างชัดเจน ฟังดูคล้ายเสียงร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าเวทนา...
“...ป่านี้กำลังร้องไห้อยู่”
“มันเป็นเสียงกิ่งไม้เสียดสีกัน บางครั้งก็ฟังดูเหมือนกับร้องไห้”
อัสมาเงียบงัน เขาไม่เคยเห็นป่าไม้ที่ไหนกำลังเศร้าโศกเสียใจมากขนาดนี้เลย ต้นไม้แปรเปลี่ยนเป็นความหงิกงอและเต็มไปด้วยเถาวัลย์หนาทึบ
ความโกรธแค้นได้แปรเปลี่ยนต้นไม้เป็นป่ารัตติกาล ป่าแห่งนี้ไม่ยอมให้ใครผู้ใดได้เข้ามา และกลายเป็นป่าทึบและเคลื่อนไหวไปมา...เผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิงนั้นแตกต่างออกไป เขาเป็นชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในป่า ย่อมมีสัญชาติญาณที่ดีพอย่อมแยกแยะที่อยู่ของตนเองได้ อีกทั้งยังช่วยขับไล่พวกสัตว์กินพืชที่บุกรุกเข้ามาในป่า เป็นการอาศัยซึ่งกันและกัน มิน่าล่ะผู้คนถึงได้เคยเห็นเผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิงกันน้อยนัก
เคเรสพาอัสมาเดินเข้าไป แล้วเขาก็ชะงักกึกเมื่อรู้สึกได้ถึงแรงดึงที่จะทำให้อีกฝ่ายปล่อยมือ
“เจ้าเป็นอะไร !?”
“คือ...ข้าอยากอาบน้ำเสียหน่อย ข้ามาอยู่ที่นี่ได้เกือบอาทิตย์แล้ว รู้สึกเหนียวเนื้อเหนียวตัวไปหมด”
เคเรสอึ้งไปพักใหญ่ เขาสูดลมหายใจลึก...แล้วก็พาอัสมาไปที่น้ำตกที่อยู่ไกลออกไปไม่ไกลนัก เป็นน้ำตกที่สวยงามมาก มีพืชพันธุ์สีเขียวและดอกไม้ขึ้นรอยรอบ จนดูเหมือนกับว่ามันคือสรวงสวรรค์ที่อยู่ภายใต้ป่าแห่งรัตติกาล ชายหนุ่มนัยน์ตาสีทอง นั่งอยู่ที่พื้นหินใกล้แม่น้ำ
“ไปอาบเสียสิ...ข้าจะระวังช่วยดูอันตรายเอาไว้ให้”
“แล้วท่านล่ะ...ไม่อาบพร้อมกันหรือ”
เคเรสขมวดคิ้ว...อัสมาไม่รู้หรือไงว่า...ระหว่างผู้ชายกับผู้ชาย มันไม่ได้ออกแบบมาคู่กันก็จริง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ยังมีอะไรอีกตั้งมากมายที่เขาควรจะรู้เอาไว้ ว่าระหว่างผู้ชายสามารถมีอะไรกันได้ ดวงตาสีทองมองดูอัสมา แต่เขากลับมองไม่เห็นอาการยั่วยวนจากชายหนุ่มเลยแม้แต่นิดเดียว
ให้ตายเถอะ...นี่คิดจะยั่วกันไปถึงไหน
“ไม่ล่ะ...ข้ายังไม่อยากอาบสักเท่าไหร่”
อัสมาไม่พูดอะไรต่ออีก...เขาเริ่มปลดชายเสื้อออกจากไหล่ และถอดเครื่องแต่งกายลงวางไว้บริเวณริมน้ำตก เผยให้เห็นเนื้อตัวขาวสะอาดเหมือนหิมะ และเส้นผมสีทอง เรือนร่างบอบบางยิ่งกว่าสตรี ทว่าเต็มไปด้วยความเข้มแข็ง เคเรสหันหน้าไปทางอื่น เหมือนรู้ว่าไม่สมควรที่จะดูผู้ชายอาบน้ำ
คิ้วของเคเรสขมวดเข้าหากัน...
นี่เขากำลังทำอะไรอยู่...กษัตริย์เช่นเขา ควรจะมีความขวยเขินด้วยเช่นนั้นหรือ
...แต่สำหรับอัสมานั้น...มันแตกต่างออกไป ร่างกายของเขาเป็นผู้ชายก็จริง...แต่การที่จะนั่งดูอัสมาอาบน้ำมันเหมือนกับเคเรสกำลังจะแอบดูผู้หญิงอาบน้ำเช่นไรก็ไม่รู้ หัวใจของเขาเต้นแรง...ใบหน้าร้อนผ่าวไปหมด เคเรสเหลือบมองไปยังอัสมาที่แหงนหน้ากับน้ำตก เรือนร่างของเขาเปลือยเปล่า จะมีก็แต่แผลที่เกือบจะหายดีตรงกลางแผ่นหลัง..
เคเรสหันมามองอัสมาเต็มสองตา...
ดวงตาสีทองของเขา จับจ้องมองอัสมาตั้งแต่ปลายเส้นผมสีทอง เลื่อนลงต่ำไปจนถึงช่วงเอว...รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่ร้อนผ่าวไปทั่วทั้งร่าง เขาพยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่เดินลงไป แล้วกอดเรือนร่างนั้น..ครอบครองเอาไว้กับตัวเอง เคเรสมองเห็นสายตาสีเขียวมรกตหันมามอง แล้วก็ยิ้มบาง ๆ
“ท่านมองข้าอย่างนี้...มันทำให้ข้าอาบน้ำไม่สะดวกนัก”
“ขอโทษที...ข้าแค่เป็นห่วงเจ้า ข้าเคยอาบน้ำร่วมกับพวกผู้ชายบ่อย ๆ ไม่ต้องเขินอายไปหรอก” เคเรสกล่าวคำโกหกคำโต เพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ
“พวกท่านนี่สนิทกันจังเลยนะ...วันนี้ข้าได้พบกับคาลย์ และได้คุยกันนิดหน่อย”
“เขาว่าอย่างไรบ้างล่ะ..”
“เขาบอกกับข้า...ว่าท่านเป็นผู้ป้อนยาให้กับข้า แล้วก็โกหกเรื่องที่เผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิงจะกระโจนใส่ข้า” อัสมาหยัดยิ้ม “ทำไมท่านต้องโกหกข้าด้วย”
เคเรสเลิกคิ้ว พลางหัวเราะเสียงแผ่ว
“ช่างเป็นสหายที่สอดรู้จริง ๆ นะ...เพราะข้ารู้ดียังไงล่ะ ว่าวันนี้จะต้องมาถึง เจ้าแอบออกมานอกกระโจมแล้วหาทางบินกลับไปดินแดนปักษาให้ได้” ชายหนุ่มจ้องมองผู้ที่กำลังเอาน้ำขึ้นมาลูบไล้ไหล่ตัวเอง “แล้วเจ้าล่ะ...รู้ความจริงแล้ว เจ้ารู้สึกยังไงบ้าง”
“เรื่องอะไร !?” อัสมาเหลือบไปมองเคเรส
“เรื่องที่...ข้าป้อนยาให้กับเจ้าด้วยปากยังไงล่ะ” เคเรสเหยียดยิ้ม นัยน์ตาเป็นประกาย
อัสมาหน้าร้อนผ่าว แล้วก็หันไปทางอื่น...
“ถึงแม้จะไม่พอใจนัก...แต่ข้าก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ถ้าเป็นข้า...ข้าก็คงทำเช่นนั้นเหมือนกัน”
“เจ้าพูดจริงหรือ...”
เคเรสเอ่ยถาม และเหยียดยิ้ม เขายันกายลุกขึ้นยืนแล้วเดินลงไปในธารน้ำตก ทั้ง ๆ ที่ยังใส่เสื้อผ้าอยู่ อัสมาขมวดคิ้วเข้าหากัน และทำท่าจะถอยหนีไปทางอื่น แต่ช้าไปแล้ว...เพราะร่างสูงกดไหล่ของเขาทั้งสองข้างไว้กับก้อนหินสูงใหญ่ที่ตั้งอยู่ข้างน้ำตก อัสมาหรี่ตามองเคเรส เมื่อข้อแขนทั้งสองถูกฝ่ามือหนาจับกดเอาไว้แน่น
“ท่านจะทำอะไร...!?”
“เมื่อกี้เจ้าพูดจริงหรือ...” เคเรสหยัดยิ้ม “ที่ว่าเป็นเจ้า...เจ้าก็จะทำแบบนั้นเช่นเดียวกัน”
อัสมาไม่ตอบ ตอนนี้เนื้อตัวเขาเปล่าเปลือยแช่น้ำอยู่เพียงครึ่งตัว แต่นั่นก็หาได้หลุดพ้นจากสายตาของเคเรสได้ ช่างเป็นผู้ชายที่ช่างยั่วกันจริง ๆ ดูท่าทางอัสมาจะไม่รู้ตัวเลย ว่าตัวเองนั้นชวนสัมผัสมากแค่ไหน เคเรสแนบลำตัวเข้าไปใกล้ จนมีเพียงเสื้อบาง ๆ ที่คั่นอยู่ระหว่างอก
เคเรสโน้มใบหน้าและเรียวปากเข้ามาใกล้...
“ท่านจะจูบข้างั้นหรือ...”
“ทำไม...ทำไมข้าจะจูบเจ้าไม่ได้ล่ะ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยจูบเจ้าไปหลายครั้งแล้วด้วย”
“ตอนนั้นข้าหมดสติไป...แต่ข้าขอเตือนไว้อย่าง อย่าคิดที่จะล่วงเกินข้ามากไปกว่านี้”
“ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกัน...ว่าเจ้ายังจะมีพิษสงอย่างไรได้อีก”
เคเรสโน้มเรียวปากลงมาใกล้...อัสมาหรี่ตามอง พร้อมกับหมุนตัวกลับพร้อมทั้งเอาข้อมือของเคเรสไพล่หลังไว้อีกด้วย จากนั้นเขาก็คว้ามีดบนเอวของชายหนุ่มขึ้นมาในชั่วพริบตา แล้วเอาคมมีดเป็นประกายวาววับจ่อคอของเคเรสไว้ภายในไม่กี่วินาที ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง ไม่คิดมาก่อนเลยว่าผู้ชายใบหน้าสะสวยแบบนี้ จะมีฤทธิ์ร้ายกาจแบบนี้ด้วย
น่าสนุกดี
“ให้ตายเถอะ...นี่เจ้าเป็นเจ้าชายจริง ๆ หรือ”
เคเรสก็หมุนตัวกลับแล้วคว้าข้อมือบางจับมีดปลายแหลมไว้แน่น ออกแรงบีบจนอัสมานิ่วหน้าก่อนจะปล่อยมีดลงบนผืนน้ำ แต่ว่าเขาไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เขากางปีกแล้วใช้มันห่อหุ้มตัวเอง...แล้วพัดพาเอาสายลมหมุนตีน้ำและฝุ่นตลบเข้าใส่ใบหน้าของเคเรส จนเขาเปียกไปหมด
“พอแล้ว...ข้าล้อเล่นน่ะ”
“คำว่าล้อเล่นสำหรับข้า มันไม่ใช่สิ่งที่สมควรเลย” อัสมาเริ่มจะโมโห
“ข้าก็เหมือนกัน” เคเรสเหยียดยิ้ม ดูเหมือนว่าเจ้าตัวเองก็เริ่มจะไม่ไว้ใจเขาเหมือนกัน อัสมาหยิบฉวยเสื้อผ้าขึ้นมาใส่อย่างรวดเร็ว ดวงตาสีเขียวมรกตมองเขาด้วยความกรุ่นโกรธ เคเรสมองดูอัสมาพร้อมกับเอามือท้าวเอว...มองเขาด้วยความรู้สึกทึ่ง “เจ้าไปเรียนรู้วิธีเอาตัวรอดมาจากไหนกัน...เจ้าชาย”
“ถ้าหากท่านเกิดเป็นข้าบ้าง ท่านจะทำอย่างไร” อัสมาหยิบเอามีดสั้นมาไว้กับตัวเอง “เกิดมาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่งามกว่าคนอื่น มีผู้คนตั้งมากมายจากทั่วสารทิศเข้ามาสู่ขอข้า ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือแม้แต่ผู้หญิง ถ้าหากข้าไม่เรียนรู้วิธีเอาตัวรอดมาบ้าง ป่านนี้ก็คงจะถูกลักพาตัวไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้งไปแล้ว”
“ใครเป็นคนสอนเรื่องการต่อสู้ให้แก่เจ้า”
“ลามิสเป็นคนสอน...เขาเป็นขุนพลขึ้นตรงต่อข้า”
“ลามิสหรือ !?”
“ใช่...เขาเปรียบเสมือนอาจารย์สอนและเป็นสหายสนิทเพียงคนเดียวของข้า ท่านจะรู้ไปทำไม”
“อย่างนั้นหรือ...คงคล้าย ๆ กับคาลย์สินะ”
“ลามิสไม่ใช่แค่เหมือนคาลย์หรอก เขาเป็นคนเพียงคนเดียวที่ให้ความสนิทกับข้า” อัสมาเอ่ยเสียงแผ่ว “ป่านนี้เขาจะเป็นยังไงบ้าง ข้าก็ยังไม่รู้เลย”
เคเรสขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ...แน่นอน ว่าเขารู้สึกหงุดหงิดใจที่อัสมามีเพื่อนสนิทคนอื่น ๆ แม้แต่ในตอนนี้กษัตริย์แห่งเผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิงก็ยังไม่รู้ใจตัวเองเลย ว่ารู้สึกยังไงต่ออัสมากันแน่...เขาจับมือชายหนุ่ม แล้วพาเดินกลับไปยังหมู่บ้านที่อยู่ท่ามกลางป่ารัตติกาล...
เมื่อพวกเขามาถึงยังหมู่บ้านพร้อมกับทั้งสองคน คาลย์ก็เป็นคนแรกที่ถอนหายใจยาวออกมา...จะด้วยความโล่งอกหรือโล่งใจที่เจ้าชายอัสมายังมีชีวิตรอดก็ไม่รู้ ขณะที่เขาวิ่งไปรับเคเรสพร้อมกับจะก้มตัวลงน้อมรับคำสั่งลงโทษแต่โดยดี เคเรสก็ยกมือห้ามไว้ คาลย์จึงนึกขึ้นได้ว่าเขาถูกสั่งห้ามไม่ให้เปิดเผยตัวตนอันแท้จริง...จึงนึกขึ้นได้
“เจ้าชายอัสมา...โปรยอภัยให้แก่ข้าด้วย”
“ขอโทษนะคาลย์ ที่ข้าออกไปโดยไม่ได้บอกเจ้า”
“ไม่เป็นไรหรอกขอรับ...นี่ท่านอาบน้ำมาแล้วหรือ” คาลย์ถามเมื่อเห็นศีรษะที่ยังเปียก
“ใช่...ข้าเหนียวตัวไปหมด พวกเจ้านี่สามัคคีกันดีนะ ได้ข่าวว่าพวกผู้ชายต่างอาบน้ำร่วมกันหมดใช่ไหม” อัสมาหยัดยิ้ม ทำเอาคนฟังถึงกับทำหน้างง หันไปมองเคเรสซึ่งก็ได้รับคำตอบด้วยการหรี่ตามอง...
ห้ามพูดนะ...เจ้าคาลย์
“เอ่อ..ใช่ขอรับ พวกเรามักจะอาบร่วมกันอยู่เสมอ” คาลย์ยิ้มกว้าง “โปรดให้อภัยผมด้วยเถอะ ที่ผมมัวแต่เลินเล่อจนไม่ทันได้มองว่าเจ้าชายเสด็จไปไหน”
“ช่างเถอะ...ข้าอยากจะนอนพักแล้วล่ะ”
อัสมาถอนหายใจยาว...แล้วเขาก็เดินเข้าไปในกระโจม เหลือเพียงแต่เคเรสยืนอยู่กับคาลย์ที่ด้านหน้า สหายคนสนิทเหลือบสายตามองไปยังท่านเคเรส รู้สึกสงสัยว่าทำไมท่านอัสมาถึงได้พูดว่าผู้ชายของเผ่าพันธุ์เราอาบน้ำด้วยกัน ทั้ง ๆ ที่ความจริง ไม่ใช่อย่างนั้นเลย นี่ก็แสดงว่าท่านเคเรสไปอาบน้ำร่วมกับอัสมามาน่ะสิ
“ท่านไปอาบน้ำ ร่วมกับท่านอัสมามาหรือขอรับ”
“อย่าแม้แต่จะคิด...ใครจะไปอาบน้ำร่วมกับเขากัน”
เคเรสขมวดคิ้ว...แล้วเหลือบสายตามองมายังสหายคนสนิท ก่อนที่เขาจะเดินไปในหมู่บ้าน...คาลย์ลอบยิ้มบาง ๆ ดูท่าทางเจ้าชายแห่งเทือกเขาน้ำแข็ง จะเป็นผู้ทำให้หัวใจอันเย็นเฉียบของกษัตริย์เผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิงร้อนรุ่มขึ้นเสียแล้ว ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินตามไปในหมู่บ้าน...

...บนเทือกเขาสูงชันบนเทือกเขาหิมะ มีวังสูงเสียดฟ้าสีขาวตระหง่านตั้งอยู่บนยอด ล้อมรอบไปด้วยป่าสนสูงและเชิงผาอันมีทางขึ้นอยู่ทางด้านหน้าและด้านตะวันออก ภายในวังทำการหินอ่อนสีขาวและมียอดสูงหลายชั้น มีสลักเสลารูปโค้งของระเบียงและกระจกหน้าต่าง ดูงดงามและเงียบสงบท่ามกลางอากาศอันหนาวเย็น และพื้นดินสีเขียวเบื้องล่าง เนื่องจากอยู่บนยอดเขาสูงชัน จึงทำให้สภาพแวดล้อมเต็มไปด้วยหิมะตลอดทั้งปี ภายในมีทหารชุดสีดำสยายปีกสีเดียวกันยืนเฝ้าอยู่ทุกประตูห้ามไม่ให้ใครเข้ามา
“ข้าบอกให้เจ้าไปนำตัวอัสมามา...แล้วเขาอยู่ที่ไหน”
“ขออภัยขอรับ...ข้าเกือบจะฆ่าเขาได้แล้ว แต่มีศัตรูมาขวางทางเสียก่อน”
“ฆ่าเขาหรือ !?” สุนิลหรี่ตามองดูกองหน้าวัยกลางคนที่เกือบจะฆ่าอัสมาได้แล้ว “ข้าสั่งให้เจ้าฆ่าอัสมาด้วยงั้นหรือ...”
บุรุษผู้นี้คือผู้แข็งแกร่งแห่งเผ่านิลกาฬ รูปร่างสูงโปร่งภายใต้เสื้อคลุมสีดำ เขามีกล้ามเนื้อกระชับสมชาย ผิวขาว เส้นผมสีดำยาวตรงถึงกลางหลัง มักแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีเข้ม ใบหน้างดงามและคมสันมาก ดวงตาสีเทาที่ดูเหมือนจะล่วงรู้ทุกสิ่ง เผ่าปีกนิลกาฬเป็นเผ่าปักษาที่มีปีกสีดำ เขามีใบหน้าที่เหมือนกับรูปปั้น และมีดวงตาที่เยือกเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็ง
“เจ้ารู้หรือเปล่า...ว่าข้าต้องการจับเป็น หาใช่ต้องการเอาชีวิตของอัสมาไม่”
“คือ...ขะ..ข้า” กองหน้าเหงื่อแตกรีบคุกเข่าก้มหน้า “ข้าแค่ฟันที่กลางแผ่นหลังของเขา...แต่ตอนนั้นมีเผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิงคนหนึ่งมาช่วยเขาเอาไว้ พวกเขาสู้เขาไม่ได้เลย จึงจำใจต้องนำทัพกลับมาทั้งหมด ได้โปรดให้อภัยข้าด้วยเถอะขอรับ”
“เผ่าเขี้ยวสมิงงั้นหรือ...”
“ขอรับ..ได้โปรดให้เรานำทัพเข้าไปนำตัวเจ้าชายอัสมาออกมาด้วยเถอะพะย่ะค่ะ”
“พวกเจ้าไม่รู้ถึงป่าแห่งรัตติกาลงั้นหรือ...ถึงพวกเราจะยกทัพไปมากมายสักเท่าไหร่ ก็มีแต่ตายกับตายเท่านั้น ข้าจะเป็นคนไปรับอัสมามาด้วยตัวเอง ส่วนโทษทัณฑ์ของพวกเจ้า...จงตายเสียเถอะ”
ชั่วพริบตาสุนิลก็ฟาดฟันคอของนายทหารที่ก้มตัวลงต่ำ จนมันขาดสะบั้น...ออกเป็นสองท่อน ก่อนที่เลือดจะไหลนองไปทั่วพื้น สายตาสีเทาของสุนิลเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง ชายหนุ่มรู้ดีว่าคนที่จะเข้าไปในป่ารัตติกาลได้นั้นมีเพียงเผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิง เห็นทีร่างสูงคงต้องเข้าไปด้วยตัวเองเสียแล้ว...
“อัสมา...เจ้าหนีข้าไม่พ้นหรอก”

 :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2019
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
 o13

ออฟไลน์ yoome

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
สองสามวันต่อมา อัสมาก็หายสนิท จะเหลือก็แต่แผลเป็นบนแผ่นหลัง...
อัสมาเดินมาตรงทางเข้าป่ารัตติกาล ที่เขาเคยทำเครื่องหมายเอาไว้เมื่อตอนมาครั้งก่อน...ปรากฎว่าไม่มีเครื่องหมายอะไรเลยแม้แต่ต้นเดียว ใบหน้าหวานหรี่ตามอง...แล้วเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า ครั้งนี้เขาตั้งใจจะออกไปให้ได้ ถึงแม้จะเป็นการผิดคำพูดต่อเคเรสก็เถอะ แต่เขาจะลากคนที่ไม่เกี่ยวข้องไปเกี่ยวกับการเรื่องการก่อกบฏได้อย่างไร อัสมาหลับตาลง
ปีกสีขาวของเขาโผล่พ้นออกมาจากกลางหลัง...พัดพาเอาสายลมและใบไม้รอบข้างเต็มไปหมด แต่ว่ายังไม่ทันที่เขาจะบินขึ้นไป กลับมีเสียงเหมือนลมพายุโหมกระหน่ำ ลงมาจากท้องฟ้าเบื้องบน มันเป็นสายลมแรงพร้อม ๆ พลังงานสีดำทะมืนเป็นคลื่นอยู่เหนือท้องฟ้า สามารถเปิดทางป่ารัตติกาลจากข้างบนจนกระทั่งใบไม้แหวกออกจากกัน
อัสมามองผู้ที่บินลงมาพร้อมด้วยปีกสีดำลงมาด้านล่าง
“สุนิล...”
“ในที่สุด ข้าก็เจอเจ้าจนได้นะอัสมา”
เจ้าของใบหน้าคมคาย เส้นผมยาวสลวย สวมเสื้อคลุมสีดำหยัดยิ้ม นัยน์ตาสีเทาทอประกายวาววับ ปีกของเขากว้างใหญ่และเต็มไปด้วยพลังงาน ริมฝีปากของเขาเหยียดยิ้ม และบินลงมาหาเจ้าชายแห่งเผ่าปักษา อัสมากัดฟันกรอดและขยับปีกเป็นสายลมหมุน ชักมีดสั้นออกมาจากข้างเอว และเตรียมรับการจู่โจม
“ช้าไปแล้ว”
สุนิลหยัดยิ้ม และปีกสีดำสนิทก็พัดพาราวกับคมมีดเข้าใส่อัสมา พร้อมด้วยปีกที่คมเหมือนคมมีดที่โหมกระหน่ำเขานับสิบ ๆ เล่ม แต่ละเล่มปักเข้าที่ปีกสีขาวของเขาเข้ากับต้นไม้ใหญ่หลายคนโอบ ทำเอาอัสมาไม่สามารถต่อต้านได้เลย ใบหน้าหวานซีดเผือด ดวงตาสีเขียวมรกตมองดูผู้ก่อกบฏ ที่เท้าเหยียบย่ำลงกับพื้น ปีกของเขากว้างใหญ่มากและเต็มไปด้วยพลังมหาศาล จนอัสมาไม่สามารถดิ้นรนหรือขัดขืนได้เลยแม้แต่นิดเดียว
“อา...อุตส่าห์ตามหามาหลายวัน ที่แท้ก็มาซ่อนตัวอยู่ในป่ารัตติกาลนี้นี่เอง” สุนิลหยัดยิ้ม และเดินตรงเข้าไปหาอัสมา เขาเอามือเชยคางชายหนุ่มรูปงามขึ้น จ้องมองไปในดวงตาสีเขียวมรกตอย่างพึงพอใจ “รู้หรือเปล่า ว่าข้ารอวันนี้มานานแค่ไหนแล้ว ตอนนี้บ้านเมืองของเจ้าลุกเป็นไฟ กษัตริย์พระองค์ก่อนก็ถูกจับอยู่ในคุกอันมืดสนิท ส่วนพวกพ้องของกษัตริย์องค์ก่อนก็ถูกทหารควบคุมไว้หมดแล้ว”
“เจ้ามันเลวที่สุด...”
“ใช้คำว่าชั่วช้าจะดีกว่า...เผ่าปักษากับเผ่านิลกาฬถือเป็นศัตรูกันมานานหลายสิบปี พวกเราต่างหากที่ถูกขับไล่ออกไปเพราะมีปีกสีดำสู่ดินแดนอันหนาวเหน็บ ทั้ง ๆ ที่พวกเราต่างก็เป็นปักษากันทั้งคู่ รู้หรือเปล่า...ว่าข้ายินดีแค่ไหนที่ได้พบกับเจ้าอัสมา”
อัสมาเงยหน้าขึ้นมองตาของสุนิล...

   “นั่นมันอะไรกัน ทางป่ารัตติกาลด้านโน้น”
   คาลย์ร้องตะโกน เคเรสซึ่งกำลังฝึกดาบให้ทหารอยู่พอดี หันไปมอง..ดวงตาสีทองเบิกกว้างเมื่อมองเห็นพายุลูกใหญ่อยู่เหนือป่ารัตติกาล มันรุนแรงและเต็มไปด้วยพลังมหาศาลจนทำให้อากาศด้านบนหมุนคว้าง เคเรสรีบวิ่งไปทางด้านนั้นทันที...สัญชาติญานอะไรมันบอกกับเขาว่า อัสมาต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่
   “บ้าจริง...”
   เคเรสกัดฟันแน่น...เขาเหยียบขึ้นไปบนต้นไม้และก้อนหินพุ่งตัวเข้าไปหาป่ารัตติกาลที่มันถูกรบกวน คงจะมีศัตรูบุกมาทางนั้นแน่ และอาจมีฝีมือมากพอดู ที่อุตส่าห์ฝ่าเข้าป่ารัตติกาลมาได้ เพียงไม่กี่นาทีต่อมา เคเรสก็มาถึงบริเวณที่ป่าถูกเปิดออก พร้อมกับมองเห็นภาพที่ปรากฏชัดในสายตา
   อัสมาถูกสุนิลประกบปาก...ดวงตาของเขาปิดด้วยความขัดขืน ปีกของเขาก็ถูกปีกที่คมเหมือนใบมีดปักคาอยู่บนต้นไม้ใหญ่หลายสิบอัน ศัตรูเป็นเผ่านิลกาฬที่มีปีกสีดำ เส้นผมยาวสลวย และสวมเสื้อตัวยาวสีดำสนิท..เขาใช้มือดันปลายคางของอัสมาเอาไว้
   “ปล่อย...”
   สุนิลนิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่อถูกกัดที่ริมฝีปากล่าง จนเลือดไหลซึมออกมา
   “เจ้านี่ช่างดื้อดึงเสียจริง...กลับไปพร้อมกับข้าเถอะอัสมา”
   เคเรสบังเกิดความโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุด...ดวงตาสีทองอันร้อนแรงเหมือนแสงอาทิตย์ที่กำลังแผดเผา และกลายเป็นพลังงานแผ่ออกมาจากลำตัวของเขาเหมือนสายลมพัดรุนแรง จนทำให้สุนิลและอัสมาหันไปมอง เคเรสกัดฟันแน่น เส้นผมและขุมพลังแผ่ขึ้นไปจากบนพื้นดิน เขาพุ่งเข้าใส่สุนิลด้วยดาบ...กะจะฆ่าฟันให้แดดิ้น แต่ช้าไปสุนิลเอาปีกกั้นไว้ได้เพียงเสี้ยววินาที แล้วเขาก็บินขึ้นไปเหนือศีรษะ
   “เจ้า...” สุนิลมองดูเคเรสด้วยความแปลกใจ “เผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิงหรือ”
   “เคเรส...” อัสมาร้องอุทาน
   “ข้าจะฆ่าเจ้า” เคเรสกัดฟันแน่น ดวงตาสีทองจ้องมองสุนิลด้วยความโกรธ พลังทำลายล้างของเขาพวยพุ่งขึ้นสู่ที่สูงอย่างทรงอำนาจ สุนิลมองเห็นดวงตาสีทองอันนั้นกับเขี้ยวที่โผล่พ้นขอบปาก เคเรสเป็นฝ่ายกั้นกลางระหว่างอัสมาและสุนิล เมื่อสุนิลเห็นอย่างนั้น เรียวปากก็หยัดยิ้ม
   “อย่างนี้นี่เอง...เป็นเจ้าสินะที่เข้ามาขัดขวางพวกของข้า”
   “เจ้าเป็นใคร”
   “ข้าชื่อสุนิล...เป็นกษัตริย์ของเมืองปักษา นี่เป็นเรื่องของเผ่าพันธุ์ของเรา เจ้าเองอย่ามายุ่งเกี่ยวดีกว่า มอบอัสมามาให้กับข้า” สุนิลเหยียดยิ้มที่มุมปาก สายตาเหลือบมองไปยังอัสมา “ข้าไม่คิดหรอกนะว่าอดีตเจ้าชาย จะมัวมาซ่อนตัวอยู่ในป่ารัตติกาล ตอนนี้บ้านเมืองกำลังถูกรุกราน แล้วกษัตริย์พระองค์ก่อนก็ถูกคุมขังยังไม่รู้ชะตากรรม ส่วนทหารที่อยู่อีกฝ่ายก็กระจัดกระจายไปทั่ว...เจ้าจะมัวมาหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่งั้นหรือ”
   “หุบปากของเจ้าซะ”
   “เจ้าชื่ออะไร !?”
   “ข้าชื่อเคเรส”
   “ชื่อเคเรสหรือ...น่าสนใจดี” สุนิลบินขึ้นไปเรื่อย ๆ “ฝากบอกอัสมาด้วย ว่าถ้าไม่อยากให้กษัตริย์พระองค์ก่อนต้องสิ้นพระชนย์ลง ให้มาพบข้าโดยเร็วที่สุด อ้อ...เรียวปากของเจ้านี่ช่างหวานนัก”
   อัสมาหน้าร้อนจัด เคเรสหรี่ตามองอีกฝ่ายด้วยความโกรธเกรี้ยว สุนิลบินหายขึ้นไปบนท้องฟ้าได้อย่างง่ายดาย นี่ถ้าหากว่าเขาต้องการยกทัพมา คงจะสามารถเข้าสู่ฝืนป่ารัตติกาลได้ง่าย ๆ ร่างสูงค่อย ๆ ผ่อนพลังลงกลายเป็นสายลมพัดแผ่วเบาลงกว่าเมื่อครู่ อัสมารู้สึกได้ถึงความร้อนรุ่มภายในใจของเคเรส
   ...อีกฝ่ายคงรู้สึกเสียหน้ามาก ที่ศัตรูเป็นฝ่ายบุกมาถึงเมืองของเขา
   “เคเรส...”
   “อย่าพูดอะไรทั้งนั้น...” เคเรสที่กำลังยืนหันหลังให้อยู่กล่าวเสียงเย็น อัสมาจึงไม่พูดอะไร สักพักหนึ่งเจ้าของดวงตาสีทองก็หันกลับมายังเขา หางตาเหลือบไปมองปลายปีกสีดำหลายสิบอันที่ปักเสียบอยู่ที่ปีกสีขาว...แต่กลับไม่มีอันใดทำให้เลือดในกายของอัสมาไหลรินออกมาเลยแม้แต่อันเดียว
....แสดงว่าฝีมือของศัตรูช่างน่ากลัวนัก ถ้าสุนิลคิดจะฆ่าอัสมาให้ตาย เขาย่อมทำได้ง่ายดายนัก
   “ทำไมเจ้าถึงได้ออกมาคนเดียว...ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ ว่าข้าจะไปพร้อมกับเจ้าด้วย”
   “ข้าไม่อยากดึงคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย...”
   “ก็เลยออกมาตามลำพัง...สุนิลฝีมือร้ายกาจยิ่งนัก ถ้าเขาคิดจะฆ่าเจ้าก็สามารถทำได้ง่าย ๆ เลย”
   “ท่านจะไม่ช่วยข้าก่อนหรือ...”
อัสมาเอ่ยปาก..เพราะตอนนี้เขาก็ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย
   เคเรสถอนหายใจยาว...เขาดึงปลายปีกสีดำออกมา ดวงตาสีทองของเขาหรี่ตาลงต่ำมองดูปีกสีดำ จนบัดนี้ภาพที่ยังติดตาของเขาไม่หาย มันช่างทำให้อารมณ์ของเคเรสร้อนรุ่มเข้าไปอีก
   “น่าหงุดหงิดสิ้นดี...”
   เคเรสโน้มใบหน้าลงและจูบเรียวปากของอัสมา เจ้าของดวงตาสีเขียวเบิกตาโต...เพราะไม่คิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะถูกจูบ

เคเรสเริ่มหึงแล้วจ้า

 :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2019
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
 o13
หึงหนักๆ จัดไปเลยจร้าาา  :katai2-1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ yoome

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
Re: เงารักใต้ปีกปักษา บทที่ 6 หึง
«ตอบ #10 เมื่อ29-12-2021 09:02:00 »

สัมผัสนุ่มละมุนของเรียวปากอันแสนร้อนรุ่ม และแสนจะดุดัน...ทำให้อัสมาหลับตาอย่างขัดขืน ใบหน้าหวานพยายามหันหน้าหนีรอยจูบ แต่เคเรสไม่ให้ไป...เขาบดเบียดเรียวปากกับริมฝีปากแดงระเรื่อนุ่มละมุน ลมหายใจร้อนระอุ และบดเบียดลำตัวเข้าหาร่างของอัสมา
   “อื้อ...เคเรส..”
   อัสมาพยายามร้องห้าม ตอนนี้มือของเขาถูกปีกสีดำตรึงเอาไว้ ปีกก็ใช้งานไม่ได้...แล้วก็ยังถูกเคเรสจูบอีก จูบของเขาร้อนแรง...และเต็มไปด้วยความปรารถนา ร่างกายของเคเรสร้อนรุ่มขึ้นทุกขณะ พัวพันปลายลิ้นเข้าไปยังโพรงปาก สัมผัสความหวานละมุนภายในเรียวปากของอัสมา จนร่างกายของเขาสั่นเทาไปหมด...ลมหายใจร้อนระอุ อัสมาพยายามหันหน้าหนี แต่เคเรสใช้มือจับปลายคางเอาไว้ และใช้อีกมือหนึ่งลูบไล้ไปตามลำตัว เขารู้สึกได้ถึงลมหายใจอันติดขัด และความร้อนรุ่มเป็นเท่าทวี
   “อย่า...”
   เคเรสรู้สึกตัวว่าตัวเองทำอะไรลงไป...เขาดันตัวเองออกมา และมองลงไปยังอัสมา เขามองเห็นเรียวปากแดงช้ำของชายหนุ่ม และเสื้อผ้าที่ถูกดึงลงมาจนเกือบจะหลุดเผยให้เห็นแผ่นอก ดวงตาสีเขียวมรกตมองเขาด้วยความตกใจ เคเรสกลืนน้ำลายลงคอ แก้มร้อนผะผ่าวไปหมด ตอนนี้คิ้วของเขาขมวดมุ่นเข้าหากัน
   ตอนนี้เคเรสรู้สึกตัวแล้ว...ว่าเขารู้สึกยังไงต่ออัสมา
   เป็นความรู้สึกหึง ไม่อยากมอบให้ใครทั้งนั้น ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครก็ตาม
   “ขอโทษ...ดูเหมือนว่าข้าจะรู้สึกชอบเจ้าเข้าซะแล้ว”
   “อะไรนะ...”
   “ข้าชอบเจ้า...ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชอบเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่” เคเรสเอามือจับหน้าผาก หลับตาลงนิดหนึ่ง “ข้าหึงหวงเจ้ากับสุนิล...ยิ่งได้เห็นหมอนั่นจูบเจ้าก็ยิ่งโกรธหนักเข้าไปอีก”
   อัสมาแก้มร้อนผ่าว พูดอะไรไม่ออก
   “สุนิลเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า”
   “นี่มันไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเรื่องนี้” อัสมาหรี่ตาสีเขียวมรกตมองเคเรส “ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ ท่านล่วงเกินข้าถึงปานนี้ ยังมีหน้ามาถามอีกหรือ ว่าสุนิลเกี่ยวข้องยังไงกับข้า”
   เคเรสหรี่ตามองอัสมา ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่รู้ตัวเลย...ว่าตัวเองมีรูปลักษณ์ที่งามเหนือใคร ดูเหมือนว่าสุนิลเองก็ต้องการครอบครองอัสมาด้วยเหมือนกัน ชายหนุ่มเหยียดยิ้ม...แต่ที่ทำให้เขาชอบพอในตัวอัสมา หาได้เป็นรูปลักษณ์ที่งดงามไม่ แต่กลับกลายเป็นดวงตาสีเขียวมรกตไม่ทอประกายไม่ยอมแพ้นั่น
   “ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกัน...ว่าเขาเกี่ยวข้องยังไงกับเจ้า ท่าทางคงจะสนิทกันมาก..ถึงขนาดพูดทิ้งท้ายให้เจ้าได้คิดว่าเรียวปากเจ้าหวานถึงเพียงไร เอาล่ะอยู่นิ่ง ๆ นะ ข้าจะเอาออกให้เดี๋ยวนี้” เคเรสดึงมีดขนนกสีดำออกให้อัสมา เมื่อดึงมีดอันสุดท้ายออกจนหมด อัสมาก็มองหน้าเคเรส
   “มีอะไร !?”
   “คำตอบล่ะ...ที่ข้าเพิ่งพูดไปกว่าชอบเจ้า เจ้าจะตอบข้าว่าอย่างไร” เคเรสเอามือทาบต้นไม้ด้านหลังของอัสมา ร่างบางเอามือขึ้นมากันตัวเองไว้ก่อน แม้เจ้าตัวจะพยายามหันหน้าไปทางอื่น...แต่ไม่พ้นสายตาของเคเรส เขาสังเกตเห็นใบหน้าที่แดงก่ำ และเรียวปากที่เม้มเข้าหากันแน่น
   “...ข้าเป็นผู้ชายนะ”
   “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นผู้ชาย...แล้วก็รู้ด้วยว่าผู้ชาย ก็มีอะไรเหมือนคู่ชายหญิงได้เหมือนกัน”
   “ข้าไม่ได้รังเกียจท่าน...เพียงแต่ว่าตอนนี้...”
   “ไม่ได้รังเกียจ ก็แสดงว่ายอมรับน่ะสิ” เคเรสยังรุกไม่เลิก
   “ไม่ใช่อย่างนั้นนะ”
   “แล้วมันเป็นอย่างไรล่ะ...ข้ารอฟังอยู่นะ” เคเรสก้มลงหอมเรือนร่างจากซอกคอของอีกฝ่าย “กลิ่นของเจ้าหอมมาก...ข้าชอบกลิ่นนี้ที่สุด”
   อัสมาแก้มร้อนจัด...เขาไม่รู้จะพูดยังไง เคเรสเป็นผู้ชายคนแรกที่เข้าใกล้เขาขนาดนี้ ทุกครั้งที่เขาได้รับอันตรายเขาก็โผล่ออกมาช่วยเอาไว้ทุกครั้ง จะว่ารังเกียจ...เขาก็ไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น แต่จะให้ถึงกับรัก...อัสมาเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่ารู้สึกชอบพอเคเรสบ้างหรือเปล่า มันสับสนไปหมด
   “ท่านเข้าใจผิดอะไรไปหรือเปล่า...ข้าไม่ปฏิเสธหรอกว่าข้าเกิดมารูปงามกว่าคนอื่น ๆ จนทุกคนต่างเข้ามาสู่ขอข้าแม้กระทั่งชายหรือหญิง แต่ข้ากลับไม่ชอบเอาเสียเลย...พวกเขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าข้ามีนิสัยอย่างไร ชอบหรือไม่ชอบสิ่งไหน ทุกคนล้วนแต่ชอบรูปลักษณ์ภายนอกของข้าก็เท่านั้น” อัสมากล่าวตามตรง “ท่านเองก็เช่นกัน เมื่อไหร่ที่ข้าหมดสิ้นซึ่งความงาม ความพึงพอใจที่มีต่อข้านั้น ก็คงจะหมดสิ้นไป”
   “ข้าพูดหรือว่าข้าชอบรูปลักษณ์ของเจ้า”
   “.....”
   “ข้าพอจะเห็นเผ่าพันธุ์ปักษามาบ้าง แต่ข้าก็ไม่เห็นว่าเจ้าจะงดงามกว่าคนอื่น ๆ ที่ตรงไหน ข้าชอบนัยน์ตาสีเขียวของเจ้า มันเป็นดวงตาของคนที่ไม่ยอมแพ้ แม้ว่าจะเกิดอุปสรรคใด ๆ ก็ตาม” เคเรสยิ้มบาง ๆ “ข้าปรารถนาที่จะอยู่ร่วมกับเจ้า ในฐานะสหายหรือแม้แต่คนรัก...เจ้าจะว่าอย่างไร”
   อัสมาหน้าร้อนผะผ่าว...ไม่เคยมีผู้ใดกล่าวกับเขาเช่นนี้มาก่อนเลยในชีวิต
   พวกเขาต่างจ้องมองแต่รูปลักษณ์ภายนอก หาได้สนใจเรื่องอื่นไม่...แต่เคเรสกลับสนใจที่นิสัยไม่ยอมแพ้ของเขาต่างหาก ดวงตาสีเขียวมรกตของเขาคู่นั้นจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ
   “คือ...เรื่องนี้ข้า...”
   จู่ ๆ ก็มีเสียงแตรดังก้องไปทั่วหมู่บ้านของเคเรส ซึ่งผู้ที่เป่าแตรอันนั้นเป็นทหารยามที่อยู่ด้านนอกป่ารัตติกาล เป็นเสียงแตรที่บ่งบอกว่ามีผู้มาเยือนเข้ามาภายในดินแดนของเผ่าเขี้ยวสมิง เคเรสขมวดคิ้วและจับมืออัสมา แล้วเขาก็ย่อกายลงอุ้มร่างบอบบางวิ่งเหยียบก้อนหินและกิ่งไม้เข้าไปภายในหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว จนอัสมาตกใจอย่างเสียไม่ได้ ที่เคเรสเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่วินาทีต่อมาเคเรสก็กลับมาถึง คาลย์รีบวิ่งเข้ามารายงานอยู่พอดี
   “เกิดอะไรขึ้น !?”
   “มีผู้บุกรุกมายังดินแดนของเรา...รู้สึกจะเป็นเผ่าปักษาขอรับ”
   อัสมาเบิกตาโต ‘เผ่าปักษา’ งั้นหรือ หรืออาจจะเป็นทหารที่ต้านบ้านเมืองที่ลุกเป็นไฟอพยพมาที่นี่
   “พวกเขามีปีกสีอะไร”
   “สีขาวขอรับ”
   “ต้องเป็นลามิสแน่...เขารู้ว่าข้าอยู่ที่นี่” อัสมากระซิบแผ่ว เคเรสขมวดคิ้วและขึ้นไปบนหลังม้าและเอื้อมมือมาให้ชายหนุ่มด้วย เพื่อที่จะออกไปดูให้รู้แน่
   “มาเถอะ...ใช่หรือไม่ใช่พวกของเจ้า เราจะได้รู้กัน”
   อัสมาเม้มปากแน่น และถูกดึงขึ้นไปนั่งอยู่ด้านหน้า และคาลย์กับผู้ติดตามอีกหลายคนก็ขี่ม้าติดตามไปด้วย เวลานี้อัสมาจิตใจร้อนรุ่ม เสียจนลืมไปเสียสนิทว่าเคเรสนั่งอยู่ทางด้านหลัง ชายหนุ่มเคยได้ยินอัสมาเรียกว่า ลามิส มาหลาวครั้ง รู้สึกว่าเป็นทั้งอาจารย์ฝึกสอนเรื่องการต่อสู้และเป็นขุนศึกรับใช้ราชวงศ์เผ่าปักษา
   “เจ้ารู้ได้ยังไงว่าเขาคือลามิส...”
   “ข้ารู้ก็แล้วกัน...ลามิสมักจะตามหาข้าจนเจอเสมอ เขาคงรู้ว่าข้าลงมาที่นี่ ข้าว่าเรารีบไปกันเถอะ ข้ากลัวว่าถ้าเขาเข้ามายังป่ารัตติกาล แล้วจะพลอยหลงกันหมด” อัสมาร้อนรนใจ
   “ไม่ต้องกลัวไปหรอก นี่มันเป็นหมู่บ้านของเผ่าเขี้ยวสมิงนะ ไม่ว่าเส้นทางจะดำมืดเพียงใด ก็ไม่พ้นจากสายตาของพวกเราไปได้หรอก”
   อัสมาลืมไปเสียสนิท เพราะอย่างนี้นี่เอง..เผ่าเขี้ยวสมิงถึงได้อยู่รอดมานับหลายร้อยปี ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขา...นอกจากคนในเผ่าต้องการออกมาพบกับผู้คน ไม่นานนักอัสมาก็ได้ยินเสียงฝีเท้า...ใกล้เข้ามา คาลย์เงยหน้าสูดลมหายใจก่อนจะมุ่งไปยังทิศใต้ซึ่งเป็นทางแคบ ๆ จนพบกับเผ่าปักษาขี่ม้าเข้ามามากกว่าสามสิบกว่าคน ในสภาพเปื้อนเลือดและเหนื่อยอ่อนกันหมด
   แน่นอนแหละว่าผู้นำของพวกเขา เป็นชายอายุได้ประมาณสามสิบสองปี ใบหน้าคมคาย...และมีเส้นผมสีทอง เขาเบิกตาโต เมื่อมองเห็นเจ้าชายอัสมาขี่ม้าออกมารับ
   “ลามิส”
   “เจ้าชายอัสมา เป็นท่านจริง ๆ ด้วย”
   ลามิสรีบลงจากหลังม้า และอัสมาเองก็เช่นเดียวกัน ทั้งคู่วิ่งเข้าไปหากันแล้วก็จับมือกันเอาไว้แน่น ก่อนที่ลามิสจะคุกเข่าขอรับโทษ
   “โปรดลงโทษข้าด้วยเถอะ ข้าไม่อาจช่วยเหลือกษัตริย์พระองค์ก่อนได้ พระองค์ถูกคุมขังเอาไว้ในคุกใต้ดิน เพียงแค่นำทหารที่ติดตามฝ่าคมดาบและธนูออกได้ พวกเราก็แทบจะเอาชีวิตรอดไม่ได้กันอยู่แล้ว เจ้าชายอัสมา...ข้าเป็นทหารที่เลวเกินกว่าที่ท่านจะให้อภัยได้”
   “ลุกขึ้นก่อนเถอะ...ถ้าไม่มีท่าน เราเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเหมือนกัน” อัสมารีบฉุดรั้งร่างกายของลามิสให้ลุกขึ้น “เราเองก็เกือบต้องตายเหมือนกัน ถูกศัตรูฟันที่กลางหลังจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด โชคดีที่ได้เคเรสช่วยเอาไว้”
   “เคเรสหรือ...”
   “พวกเจ้าเก่งมากที่เอาชีวิตรอดมาถึงที่นี่ได้” เคเรสลงจากหลังม้าและเดินมาหาลามิส “เผ่าเขี้ยวสมิงยินดีต้อนรับทหารผู้แข็งแกร่งจากการรบ เข้าไปด้านในของหมู่บ้านเถอะ ศัตรูไม่มีทางที่จะเข้ามาได้...ถ้าไม่นับสุนิลน่ะนะ แล้วเจ้ารู้ได้ยังไงว่าอัสมาอยู่ที่นี่”
   “วันที่เจ้าชายลงมาที่นี่...วันนั้นสุนิลก็เข้าโจมตีรุกรานหมู่บ้านของเราทันที ข้าจึงคิดว่าถ้าหากเจ้าชายยังโชคดีอยู่บ้าง เขาคงจะหลบหนีเข้ามายังป่ารัตติกาล แล้วก็เจอเข้ากับเผ่าเขี้ยวสมิง แล้วมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ข้าลามิสขอขอบคุณท่านมาก ที่ได้ช่วยเหลือเจ้าชายเอาไว้...ถ้าเกิดเจ้าชายเป็นอะไรไป ข้าคงไม่มีหน้ากลับไปพบกับกษัตริย์พระองค์ก่อนอีกเป็นแน่แท้”
   “ลามิส...พระบิดาเป็นอย่างไรบ้าง”
   “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาถูกขุมขังไว้ในคุกใต้ดิน ข้ารู้เพียงแค่นั้น...”
   “เอาล่ะ...เข้าไปด้านในหมู่บ้านก่อนเถอะ พวกเจ้าได้รับบาดเจ็บมาก จะต้องรีบทำแผลและพักผ่อนโดยเร็ว หลังจากนั้นค่อยว่ากันใหม่ คาลย์พาเขาเข้าไปในหมู่บ้านของเรา”
   “ขอรับท่านเคเรส...”
   ลามิสรู้สึกอึ้งในความเป็นผู้นำของเผ่าเขี้ยวสมิง และก็สังเกตเห็นนัยน์ตาสีทองของเคเรสดูมันช่างแตกต่างไปจากสายตาสีดำของคนอื่น สายตาของเขาชำเลืองมองไปยังอัสมา
   “ท่านอัสมา...ท่านเคเรสคือกษัตริย์ของเผ่าเขี้ยวสมิงใช่หรือไม่”
   “ใครบอกท่าน...เขาเป็นแค่ผู้นำในตอนนี้เท่านั้นแหละ กษัตริย์ไปยังดินแดนอื่น จะกลับมาเมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้เลย” อัสมาเอ่ยตามที่เขาเข้าใจ...แต่ลามิสไม่คิดว่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะผู้คนภายในเผ่าเขี้ยวสมิงดูจะไว้ใจเขามาก และคอยรับคำสั่งของเขาทุกประการ
   “อย่างนั้นหรือ....”
   ...ทุกคนกลับไปยังเผ่าเขี้ยวสมิง เผ่าปักษาทุกคนต่างมองไปยังป่าที่ขึ้นรกชัฏ ที่เหมือนจะเคลื่อนตัวอยู่ตลอดเวลา แต่นั่นหาใช่อุปสรรคต่อชนเผ่าที่มุ่งหน้าไปตามทางไม่ ลามิสได้ยินเสียงพูดคุยอย่างหวาดหวั่นจากผู้ที่ติดตามมา
   “ทุกคน...อย่าออกนอกเส้นทาง ให้เกาะกลุ่มกันเอาไว้”
   ...เพราะเขารู้ดีว่าใจกลางป่าแห่งนี้ เป็นหมู่บ้านของเผ่าเขี้ยวสมิงผู้ไม่พบปะกับผู้ใดมานานหลายร้อยปี ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงภายในหมู่บ้าน ทุกคนล้วนจ้องมองกันยังพวกเขาทั้งหมด และเป็นที่แสงแดดออกอยู่ตลอดเวลา...อัสมาถอนหายใจยาว เคเรสจัดการให้พวกเขาแยกย้ายไปอยู่ตามกระโจมต่าง ๆ และแน่นอนว่าลามิสเป็นผู้ได้รับบาดเจ็บมากที่สุด ทันทีที่เขามาถึงเขาก็รายงานให้เจ้าชายทราบถึงสิ่งทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านเมือง จากนั้นเขาก็นอนพักเนื่องจากทนพิษบาดแผลไม่ไหว
   อัสมานั่นเองเป็นคนต้มยาสมานแผลให้ และก็คอยเอาผ้าเช็ดตัวให้ตลอดเวลา

 :pighaun: :pighaun:
เคเรสกร๊าววววใจจริง ๆ เลย


ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2019
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: เงารักใต้ปีกปักษา บทที่ 6 หึง
«ตอบ #11 เมื่อ31-12-2021 10:14:11 »

 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ yoome

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
Re: เงารักใต้ปีกปักษา บทที่ 7 กบฏ
«ตอบ #12 เมื่อ05-01-2022 07:48:12 »

   “เขาเป็นคนที่เข้มแข็งมาก...บาดเจ็บถึงปานนั้นยังอุตส่าห์นำผู้ติดตามมาหาเจ้าได้ถึงที่นี่อีก”
   “ข้ารู้ว่าเขาเป็นคนที่เข้มแข็ง...ลามิสเป็นทั้งอาจารย์ผู้ฝึกสอนวิชาให้กับข้า และยังเป็นขุนพลที่ข้าไว้ใจมากที่สุด”
   “ดูเจ้าท่าจะชอบเขามากสินะ”
   อัสมาไม่ตอบ...และเขาก็เอาผ้าจุ่มน้ำเป็นครั้งสุดท้าย เดินเข้าหาเคเรสด้วยนัยน์ตาสีเขียวมรกต
   “ข้าจะต้องไปช่วยพระบิดาให้ได้...”
   “ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องพูดอย่างนี้แน่” เคเรสโน้มใบหน้าลงไปหา “ข้าเองก็เหมือนกัน...เอาไว้รอให้พระจันทร์เต็มดวงเสียก่อน แล้วข้าจะไปพร้อมกับเจ้าด้วย”
   “ทำไมต้องรอให้พระจันทร์เต็มดวง”
   “นั่น...เป็นวันที่พวกเรามีพลังสูงสุด...ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่มีทางหยุดยั้งเราได้” เคเรสเอ่ยยิ้ม นัยน์ตาสีทองเป็นประกาย แล้วชำเลืองมองลามิส “ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เจ้าจะมองเห็นเขาเป็นเพียงอาจารย์ผู้ฝึกสอน ไม่ก็ขุนพลที่คอยรับใช้ราชวงศ์ของเจ้า มากกว่าที่จะเป็นอย่างอื่นนะอัสมา”
   อัสมาหน้าแดงก่ำ ขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ
   “พูดบ้า ๆ ลามิสน่ะเขาเป็นทหารที่สนิทกับข้ามากที่สุด มีแต่ท่านนั่นแหละที่เอาแต่คิดเองเออเองอยู่เรื่อย”
   “ข้าเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่า สุนิลก็ปรารถนาจะครอบครองเจ้า...นั่นเป็นสิ่งที่ข้าคิดเอาเองหรือเปล่า” เคเรสยิ้มเย็น เอามือทาบประตูเอาไว้ไม่ให้อัสมาออกไป เรื่องนั้น...ชายหนุ่มร่างบางก็พูดไม่ออกเหมือนกัน เขาเพิ่งรู้ว่าสุนิลเองก็ต้องการแตะต้องครอบครองอัสมาด้วยเหมือนกัน
   “นั่นไม่ใช่ความผิดของข้าเลย...ท่านอย่ามาเหมารวมกันสิ”
   “นั่นสินะ...ใครใช้ให้เจ้ามีรูปลักษณ์ที่งดงามแบบนี้ล่ะ”
   อัสมาหลบสายตา..แล้วก็ปัดมือของเขาออก แล้วเดินออกไปสู่ธารน้ำ คาลย์เดินมาถึง..แล้วเขาก็มองเข้าไปในกระโจมมองเห็นขุนพลที่นอนพักรักษาร่างกายตัวเองอยู่ แล้วก็เหลือบมองไปยังกษัตริย์ของชนเผ่าเขี้ยวสมิง
   “ท่านจะเอาเช่นไรขอรับ...ศึกคราวนี้เห็นทีจะหลีกเลี่ยงไม่ได้”
   “เอาไว้รอให้พระจันทร์ขึ้นเต็มดวงก่อนเถอะ...” เคเรสเอ่ยปากเสียงแผ่ว...

   สุนิลกลับมาถึงวังสูงเสียดฟ้าสีขาวตระหง่านตั้งอยู่บนยอด ภายในวังทำการหินอ่อนสีขาวและมียอดสูงหลายชั้น มีสลักเสลารูปโค้งของระเบียงและกระจกหน้าต่าง ดูงดงามและเงียบสงบท่ามกลางอากาศอันหนาวเย็น ภายในมีทหารชุดสีดำสยายปีกสีเดียวกันยืนเฝ้าอยู่ทุกประตูห้ามไม่ให้ใครเข้ามา ร่างสูงโปร่งเส้นผมสีดำยาวสนิทเช่นเดียวกับปีกของเขา เวลานี้เขาเก็บปีกเข้าไปในร่างกายเรียบร้อยแล้ว
วันนี้เขาลงไปยังป่ารัตติกาลเพียงคนเดียว...
และได้เจอกับอัสมา...ชายหนุ่มคนเดียวที่เขาต้องการ
แต่ไม่อาจชิงมา เพราะเผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิงคนนั้นเพียงคนเดียว...
“น่าเสียดายจริง ๆ...” สุนิลหยัดยิ้ม และบอกกับทหารที่เฝ้าอยู่บริเวณหน้าประตู “ข้าจะอาบน้ำ...ห้ามใครรบกวนเป็นอันขาด”
“ขอรับ”
สุนิลถอดเสื้อผ้า...จนร่างเปลือยเปล่า เดินลงไปยังสระน้ำที่ทำจากหินอ่อน ผิวของเขาเป็นสีขาว...รูปร่างดงามไม่ต่างไปจากเผ่าปักษาเลย แต่หารู้ไม่ว่านอกเหนือไปจากเผ่าพันธุ์ปักษา ผู้ใดที่เกิดมามีปีกสีดำให้ถือว่าเป็นคนละเผ่าพันธุ์เดียวกัน เรียกว่าเผ่านิลกาฬ พวกเขามากกว่าจำนวนร้อยกว่าคนถูกขับไล่ไปยังดินแดนที่มีแต่ความแห้งแล้ง มีเพียงหิมะและอาหารเพียงน้อยนิด
“...ข้ามาเพื่อทวงบัลลังก์คืน จะสังหารเผ่าปักษาทุกคน ไม่ว่าจะเป็นใครทั้งนั้น” สุนิลยกมือขึ้นมามองที่กลางฝ่ามือ เป็นรอยบาดแผลยาวจนเกือบถึงข้อมือ สุนิลหรี่ตามอง...
นานมาแล้ว...เมื่อเขายังเป็นเด็ก
สุนิลกับผู้เป็นแม่มีปีกสีดำ บรรดาเผ่านิลกาฬถูกขับไล่ไปยังดินแดนที่แห้งแล้ง และอยู่ร่วมกันอย่างอดหยาก เพียงเพราะปีกสีดำของเขา เผ่านิลกาฬ สุนิลยังเด็กนัก...แม่ของเขาก็เจ็บออด ๆ แอด ๆ และล้มป่วยลง จนกระทั่งตายไปในที่สุด ตอนเขาอายุได้เพียงเจ็ดขวบ เขาก็สาบานกับตัวเองว่า จะเป็นผู้นำและจะต้องกลับมาแก้แค้นเผ่าพันธุ์ปักษา ผู้ที่ครอบครองท้องฟ้าเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว
จนกระทั่งเขาถูกธนูของเผ่าปักษายิงเข้าที่มาที่กลางฝ่ามือ เพราะเขาเอามือบังเอาไว้ และร่วงตกลงไปสู่พื้นแผ่นดินหิมะ และเป็นวันที่หนาวเหน็บที่สุดในชีวิต ปีกของเขาก็บาดเจ็บ...จนบินอีกไม่ได้ นัยน์ตาของเขาจ้องมองไปยังความตาย
แต่ทว่า...เขามองเห็นเทวดาเบื้องบน
เป็นเด็กอายุอ่อนกว่าเขา และมีปีกสีขาว...ใบหน้าของเขาช่างงดงาม มีนัยน์ตาสีเขียวเป็นประกาย ทันทีที่เขามองเห็นเผ่าพันธุ์ปักษา สุนิลก็เกิดความแค้นเคือง จนอยากจะฆ่าให้ตายด้วยซ้ำ
“เจ้า...เผ่าปักษา จะมาฆ่าข้างั้นหรือ” สุนิลกัดฟันข่มความเจ็บปวด พยายามชักมีดออกมาจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตาย
“อย่ากลัวไปเลย ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก” เสียงเล็ก ๆ นั่นเอ่ยออกมา “เจ้าบาดเจ็บด้วยนี่”
“อย่ามายุ่งกับข้า ไปให้พ้น”
แต่เด็กคนนั้นไม่พูดอะไร เขาดึงดาบสั้นออกมาแล้วตัดเอาชายเสื้อตัวเองเป็นผืนใหญ่ แล้วเก็บมีดของตัวเอง ยังไม่ทันที่สุนิลจะร้องห้าม เด็กคนนั้นก็เอามาผูกไว้บนบาดแผลที่อยู่หลังมือของอีกฝ่าย และพยายามห้ามเลือดจนมันหยุดไหล ก่อนที่เขาจะเอายาสมานแผลที่มีเพียงเผ่าพันธุ์ปักษาเอาไว้ติดตัว มาใส่ไว้บริเวณปีกที่เป็นแผล ไม่ว่าสุนิลจะห้ามยังไง เด็กคนนั้นก็ไม่ยอมฟัง
“เจ้าจะทำอะไร ไม่กลัวว่าเจ้าจะถูกพวกทหารลงโทษหรือ”
“ถ้าข้ากลัว ข้าก็คงไม่ช่วยเจ้าหรอก” เด็กชายยิ้ม “มีคนบอกข้าว่า ถ้าเราเจอคนที่ตกทุกข์ได้ยากแล้วไม่ยอมช่วยเหลือ คนเช่นนั้นไม่สมควรได้รับการอภัยเช่นเดียวกัน ข้าชื่ออัสมา แล้วเจ้าล่ะ”
สุนิลอึ้งไปพักใหญ่ มีด้วยหรือเด็กชายผู้นี้ เขาไม่กลัวปีกสีดำของเขาเลยแม้แต่น้อย แล้วยังมาสารยายเรื่องบาปบุญคุณโทษให้เขาได้ฟังอีก
“ข้าชื่อสุนิล...ข้าคือเผ่านิลกาฬผู้ถูกขับไล่ ข้าโกรธแค้นพวกเจ้าที่อาศัยอยู่บนเทือกเขาสูง และขับไล่พวกข้าไปหาที่อยู่แห่งใหม่ มันช่างแห้งแล้งสิ้นดี ไม่มีแม้แต่สัตว์และพืชพันธุ์ธรรญาหาร ให้พวกเราได้แบ่งกันกิน เจ้ารู้หรือเปล่าว่ามันช่างทรมานแค่ไหน”
อัสมาก้มหน้าลง สีหน้าหมองหม่น
“ข้ารู้...แต่ข้ายังเด็กเกินไป ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความเชื่อเหล่านั้นได้” เด็กชายเอ่ยเสียงเบา “เข้าเอาขนมปังมาด้วยล่ะ เจ้าหิวใช่ไหม เอาของข้าไปกินก็ได้นะ”
สุนิลหรี่ตาแล้วปัดออกเต็มแรง
“ไปให้พ้นนะ เจ้าพวกปักษา”
อัสมามองดูขนมปังที่กลิ้งไปไกล ขณะนั้นเองก็ได้ยินเสียงพวกทหารเผ่าปักษาที่บินลงมาจากข้างบน เด็กชายเห็นดังนั้นจึงรีบดันสุนิลเข้าไปซ่อนใต้หินผา เด็กชายทำท่าจะขัดขืนแต่เมื่อเห็นบรรดาทหารเผ่าปักษาบินลงมาพร้อมกับตั้งหลายคน ก็หรี่ตาพร้อมกับชักมีดออกมา
“เจ้าชายอัสสาเสด็จลงมาทำอะไรตรงนี้ขอรับ”
“ข้า...เอ่อ..ข้าลงมาบินเล่นน่ะ”
คำว่าเจ้าชาย ทำให้หัวใจของสุนิลแทบหยุดเต้น หน้าซีดเผือด...หมายความว่าอัสมาเป็นเจ้าชายของกษัตริย์ผู้ขับไล่เผ่านิลกาฬน่ะสิ สุนิลแค้นจัดถ้าเขาฆ่าอัสมาให้ตายตั้งแต่แรกก็คงจะดีหรอก...ไฟแค้นที่สุมอยู่ในทรวง มันทำให้มือของเขาชักมีดออกมา ถึงแม้เขาจะตายลงไปพร้อมกับอัสมา มันก็คงจะคุ้มค่าที่เขาอุตส่าห์รอดมาถึงที่นี่
   ที่แม่ของเขาต้องป่วยตายก็เพราะเผ่าปักษาเป็นต้นเหตุ
   “เจ้าชาย...ทำไมเสื้อผ้าของเจ้าถึงได้เปื้อนเลือดเช่นนั้น”
   “ข้าช่วยกระต่ายเอาไว้น่ะ...มันบาดเจ็บมาก” เสียงเล็ก ๆ นั้นกล่าวขึ้น พร้อมกับขยับตัวเข้าบังบริเวณหินผาที่ซ่อนตัวสุนิลเอาไว้
   “มันเป็นแค่กระต่าย...ท่านไม่น่าช่วยเอาไว้เลย มันอาจถูกหมาป่าไล่ล่าเอาก็ได้”
   “ข้าได้รับการสั่งสอนมาจากอาจารย์มากมาย ท่านเคยพูดเอาไว้ว่า...ถ้าเราเห็นใครทุกข์ยากลำบาก แล้วเราช่วยเอาไว้ นั่นก็ถือว่าเป็นคนที่มีจิตใจเมตตา แต่ถ้าคนที่มีแต่ความโกรธแค้นบดบัง ชีวิตของเขาก็จะเต็มไปด้วยความแค้น หาความสุขไม่ได้...” อัสมาเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ข้าได้แต่หวังว่า สักวักหนึ่งข้าอาจจะเปลี่ยนแปลงความเชื่อแบบเดิม ๆ เพราะฉะนั้นพวกเราก็จะอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข”
   “เจ้าชายอัสมา...”
   สุนิลก้มลงมองไปยังพื้นหิมะ...คำพูดของอัสมา มันทลายความโกรธที่เขามีไปจนหมดสิ้น เด็กชายหลับตาพร้อมกับกล้ำกลืนน้ำตาลงไปในภายในกาย สุนิลแอบมองจนกระทั่งรู้ว่าทหารพาเจ้าชายขึ้นไปบนเทือกเขาสูง...เด็กชายเดินออกมาและก้มลงดูขนมปัง ที่อัสมาอุตส่าห์มอบให้เผ่านิลกาฬอย่างเขา
   สุนิลหยิบขึ้นมา...มันช่างเย็นเฉียบและปนเปื้อนไปด้วยหิมะสีขาว
   แต่เด็กชายกลับรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น...และคำพูดไร้เดียงสาบริสุทธิ์
   “เจ้าคงลืมคำพูดเหล่านั้นไปหมดแล้วสินะ...อัสมา” สุนิลเหยียดยิ้ม “ข้าจะนำเจ้ากลับมาอีกครั้ง แล้วถามเจ้าว่าเจ้ายังมีความคิดเดิมอยู่อีกไหม ถ้าหากว่าเจ้าลืมไปแล้ว...ข้าจะเป็นผู้สังหารเจ้าด้วยตัวเอง”
      
   ลามิสพักรักษาตัวอยู่นานถึงสองวัน และลุกขึ้นมากินยาสมานแผลที่สตรีนำมาให้กิน อัสมาเดินเข้ามายังประตูโจม ใบหน้างดงามของเขามีรอยยิ้ม แน่นอนแหละว่าเคเรสเองก็ตามมาด้วย ลามิสยิ้มให้เจ้าชายจะก้าวเดินลงจากเตียงเพื่อน้อมทำความเคารพ แต่อัสมาประคองแล้วบอกว่าไม่ต้อง
   “เจ้าไม่ต้องทำความเคารพหรอกลามิส ไม่ใช่...ท่านอาจารย์”
   “ข้าไม่ใช่อาจารย์ท่านอีกแล้วท่านอัสมา...ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าสอน ท่านเรียนรู้ไปจากข้าหมดแล้ว”
   อัสมายิ้มบาง ๆ ดวงตาสีเขียวมรกตเป็นประกาย
   “แต่สำหรับข้า ท่านคืออาจารย์ข้าเสมอ”
   เคเรสกระแอมดัง ๆ ดูราวกับเขามาเป็นก้างขวางคอของคู่รักก็ไม่ปาน
   “เจ้าจะมาถามเรื่องพระบิดาไม่ใช่หรืออัสมา”
   “จริงด้วยสิ...ท่านพอจะทราบหรือเปล่า ว่าตอนนี้พระบิดาข้าเป็นอย่างไรบ้าง มีน้ำมีอาหารให้เพียงพอหรือเปล่า แล้วสุนิลต้องการอะไร หรือว่าเขาต้องการทรมานพระบิดาข้าให้ตายทั้งเป็น”
   “ข้าคิดว่าคงไม่ใช่หรอกพะยะค่ะ เขาคงตั้งใจจะขังไว้อย่างนั้น...คือข้าไม่แน่ใจว่าสุนิลต้องการอะไรบางอย่าง” ลามิสชำเลืองมองอัสมา “ข้าคิดว่า...เขาคงอยากเจอกับท่านอัสมา”
   “ว่ายังไงนะ...”
   อัสมากระซิบแผ่ว...เคเรสขมวดคิ้วกอดอก
   อา...ให้มันได้อย่างนี้สิ
   “ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน...เจ้ากับเขาเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า ถ้าข้าคิดไม่ผิดล่ะก็ สุนิลคงมีบางอย่างอยากจะคุยกับเจ้า สุนิลเป็นคนเดียวที่สามารถเข้ามาภายในป่ารัตติกาล เขามีพลังที่รุนแรงมาก แต่เขาคงจะเปิดทางให้เผ่านิลกาฬเข้ามาทั้งกองทัพไม่ได้ เพราะฉะนั้นเขาคงกักตัวพระบิดาของเจ้าไว้ เพื่อใช้ในการต่อรอง...ข้าเข้าใจไม่ผิดใช่ไหมลามิส”
   “สุนิลมาที่นี่หรือ !? แล้วเขาทำอะไรกับท่านอัสมาบ้าง”
   “เขายังไม่ทันได้ทำหรอก ถึงขนาดเข้ามาในหมู่บ้านเผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิงง่าย ๆ คิดว่าข้าจะยอมหรืออย่างไร” เคเรสเหยียดยิ้มแสยะเขี้ยว และไม่ทันได้บอกหรอกว่าอัสมาถูกสุนิลจูบ...
   อัสมาเม้มปากแน่น...ดวงตาสีเขียวมรกตของเขาหรี่ลง
   “ขอข้าอยู่กับลามิสสักครู่หนึ่งก่อนได้ไหมท่านเคเรส”
   “ได้สิ...แต่อย่าอยู่นานก็แล้วกัน”
   เคเรสเดินออกไปจากกระโจม...อัสมาเดินเข้าไปหาลามิส นัยน์ตาสีเขียวมรกตของเขาเป็นประกาย เขารู้แล้วว่าสุนิลต้องการอะไร ถ้าขืนเขาอยู่ที่นี่ก็ต้องมีคนบาดเจ็บและล้มตายอีกเป็นจำนวนมาก ในเมื่อสุนิลต้องการตัวเขานัก อัสมาก็ยินดีที่จะไปคุยกับเขาตัวต่อตัว แต่ว่าอัสมาจะต้องช่วยบิดาของเขาให้ได้เสียก่อน
   “ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้องท่าน...ท่านอาจารย์”

   “ท่านเคเรส..ช่วยตามมาทางนี้หน่อยขอรับ” คาลย์ลงจากหลังม้าเข้ามา ภายหลังจากการไปลาดตระเวณที่ชายป่า เคเรสไม่พูดอะไร แล้วขึ้นไปยังหลังม้า และชายหนุ่มกับผู้ติดตามก็ขี่ม้าไปยังทางที่ลาดตระเวนเมื่อช่วงเช้า ไม่นานนักเขาก็มองเห็นรอยเท้าปะปนกันไปทั่ว แต่กลับไม่มีใครกล้าล้ำเส้นเข้ามาภายในป่ารัตติกาล พวกเขาอยู่กันถึงรุ่งสาง “ท่านคิดว่าเป็นคนกลุ่มไหน”
   เคเรสหลงจากหลังม้า และเดินดูไปรอบ ๆ หางตาของเขาเหลือบไปเห็นขนปีกนกสีดำที่หล่นตามพื้น แน่นอนแหละว่าจะต้องเป็นเผ่านิลกาฬ พวกมันมาดูลาดเลา..แต่กลับไม่กล้าเข้าไปในป่ารัตติกาล
   “ต้องเป็นเผ่าพันธุ์นิลกาฬแน่ ๆ มันได้รับคำสั่งให้มาดูลาดเลาอยู่ภายนอก”
   “พวกมันคงต้องการเจ้าชายอัสมาเป็นแน่แท้”
   “ข้าก็คิดอย่างนั้น...จะต้องมีอดีตอะไรสักอย่าง ที่อัสมาไม่ยอมบอกให้ข้ารู้ สุนิลต้องการตัวเขา และถึงขนาดบุกรุกป่ารัตติกาลเข้ามาจนถึงตัวเขา ถ้าข้าไปช้ากว่านั้นอีกนิดเดียว อัสมาจะต้องถูกลักพาตัวไปแน่นอน” เคเรสเอ่ยเสียงกร้าว “วันนี้ข้าจะต้องกลับไปถามอัสมาให้รู้เรื่อง”

***************
เสียดายเหมือนกัน ที่ตอนแรกน่าจะเพิ่มฉาก nc คู่พระนายให้เร่าร้อนกว่านี้

ออฟไลน์ yoome

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
...อีกด้านหนึ่ง อัสมาเดินตรงไปยังป่ารัตติกาล พร้อมกับลามิสขุนพลคู่ใจ ไม่ว่าเขาจะเดินเข้าไปทางไหนต้นไม้ก็จะเคลื่อนไหวตลอดเวลา แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่นำพาอัสมามาที่นี่ไม่...แต่เป็นท้องฟ้าบริเวณที่เปิดออกต่างหาก ลามิสเดินดูป่ารัตติกาล ชั่วขณะหนึ่งเขารู้สึกได้ถึงวิญญาณของเหล่าคนตาย
   “ไม่น่าเชื่อเลยนะพะย่ะค่ะ ว่าป่ารัตติกาลจะมีพลังที่เข้มแข็งขนาดนี้ ถ้าขืนวันนั้นข้าฝืนเข้ามา คงหาทางออกไปจากแห่งนี้ไม่ได้เป็นแน่แท้”
   “ทุกคนล้วนถูกขังอยู่ในป่ารัตติกาล และไม่มีวันกลับไปชั่วนิรันดร์”
   “เผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิง คงเป็นผู้เดียวกระมังที่เข้าออกป่านี้ได้โดยง่ายดาย”
   “ใช่...ถ้าไม่มีพวกเขา พวกเราก็คงจะไม่มีวันนี้...อา...ขนาดข้าทำเครื่องหมายเอาไว้ ยังถูกกลืนหายไปหมด” อัสมามองขึ้นไปบนฟ้า ก่อนหันมามองลามิส “เจ้าพร้อมจะไปกับข้าด้วยหรือเปล่าลามิส...ถ้าไปคราวนี้ อาจจะถูกฆ่าตายหรือจับขังคุกไว้ชั่วนิจนิรันดรเลยก็ได้”
   “หากเจ้าชายอยู่ที่ไหน ข้าก็พร้อมที่จะอยู่กับท่านด้วย” ลามิสเอ่ยเสียงกร้าว “ว่าแต่...ท่านไม่บอกท่านเคเรสาก่อนหรือ การออกมาอย่างนี้เท่ากับเป็นการฆ่าตัวตาย”
   “ข้าไม่คิดจะลากคนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย...”
   อัสมาหลับตาลง...พร้อมปีกที่โผล่พ้นออกมา ท่ามกลางกระแสลมหมุนคว้าง เช่นเดียวกับลามิสที่ตั้งใจจะไปพร้อมกับเจ้าชายด้วย ดวงตาสีมรกตมองขึ้นไปยังท้องฟ้าที่ถูกใบไม้ปิดกั้นอยู่ เขามีดาบอยู่แค่เล่มเดียว จะต้องใช้มันฟาดฟันและลมพัดหมุนรุนแรง จึงจะพ้นออกไปได้ อัสมาบินสูงขึ้นไป..ท่ามกลางพลังที่พุ่งพล่าน เพียงแค่เขาระเบิดพลังในชั่วพริบตาก็สามารถทำให้ใบไม้เอนไหว และถอยร่นออกไป
   ลามิสเองก็เช่นเดียวกัน เขาบินตามขึ้นไปติด ๆ ใช้คมดาบฟาดฟันเถาวัลย์จนมันขาดเป็นเสี่ยง ๆ ก่อนจะพุ่งตามติดเจ้าชายกลับขึ้นไปบนยอดเขาสูงเช่นเดียวกัน
   อัสมาสามารถบินขึ้นมาสู่ผืนป่ารัตติกาลได้แล้ว
   ดวงตาสีเขียวมรกตของเขาทอประกาย เขาจะต้องช่วยพระบิดาออกมาให้ได้...
   อัสมาบินลงมายังด้านหลังปราสาท อันเป็นคุกลับอยู่ใต้ดิน มีทหารรายล้อมอยู่มากมาย และมีแตรสังฆ์คอยเป่าสัญญานเวลามีภัยมาถึงตัว ลามิสเป็นคนใช้ดาบฟันคอทหารยามและลากเข้าไปในหลบไว้ด้านหลังต้นไม้ อัสมาขมวดคิ้ว...มองหน้าลามิสที่เป็นคนคุ้มครองเขา และเป็นผู้ใช้ดาบฟาดฟันแม้ว่าตัวเองจะเปื้อนเลือดก็ตาม
   “ลามิส...เจ้าไม่ต้องช่วยข้าหรอก”
   “ท่านเป็นถึงเจ้าชาย...สิ่งใดที่ทำให้ท่านเปื้อนเลือด สู้ให้ข้าทำเองเสียดีกว่า”
   อัสมาเม้มปากแน่น...พวกเขาเก็บทหารยามทีละคนจนหมดสิ้น ลามิสค่อย ๆ เดินจนกระทั่งลงไปถึงบันไดใต้ดิน อัสมารู้สึกได้ถึงกลิ่นสาป และกลิ่นโซ่ตรวนเหล็ก ที่นี่เต็มไปด้วยคราบโลหิตที่เกิดจากการทรมาน...พวกเขามาถึงทหารยามที่ยืนถือหอกอยู่ทางด้านหน้า และแน่นอนว่าอีกฝ่ายมีกุญแจไขประตูคุกอยู่ด้วย
   “ลามิส...”
   “ถอยไปเจ้าชาย..” ลามิสกัดฟันแน่น ก่อนจะพุ่งเข้าไปใช้ดาบฟันคอศัตรูและแทงเข้าไปหัวใจของอีกฝ่าย สมกับเป็นอาจารย์ผู้ฝึกสอนการใช้ดาบให้แก่อัสมา ศัตรูล้มลงขาดใจตายต่อหน้า และเขาก็รื้อค้นเอากุญแจไขเปิดประตูให้แก่คุกลับ อัสมาเป็นผู้มุดประตูเข้าไป และพบกับพระบิดาที่นอนสลบไสลอยู่ ดูท่านอิดโรยมาก และเหมือนกับชายแก่ที่มีแต่รอยช้ำเต็มตัวไปหมด
   “พระบิดา...ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
   “....ใคร”
   “ข้าเอง อัสมา”
   “ลูกหรือ !? นี่เจ้ายังไม่ตายหรือ...แค่ก...” กษัตริย์พระองค์ก่อนถูกขังมาร่วมหนึ่งอาทิตย์ ย่อมร่างกายทรุดโทรมเป็นธรรมดา
   อัสมาเม้มปากแน่น “ข้าจะพาท่านไปรักษา โปรดมากับข้าเถอะ”
   “ไม่ได้...มันอันตรายเกินไป พวกเผ่านิลกาฬจะตามล่าพวกเจ้า ทิ้งข้าเอาไว้ที่นี่เสียเถอะ”
   “ไม่ได้หรอก ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยท่าน”
   “ท่านอัสมา...เราไม่มีเวลาแล้ว”
   “ท่านช่วยนำพ่อของข้าไปยังป่ารัตติกาลที ข้ายังมีเรื่องต้องสะสางกับสุนิล”
   อัสมากัดฟันแน่น...เขาฟันดาบเข้าใส่ทหารที่วิ่งกรูกันลงมา ลามิสไม่รอช้าเขารีบประคองร่างกษัตรยิ์พระองค์ก่อนไว้บนไหล่ แล้วรีบรุดไล่หลังอัสมาออกไปทันที อัสมานัยน์ตาสีเขียวเป็นประกาย...ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าชาย แต่ย่อมมีฝีมือมากกว่าเหล่าทหารชั้นเลวพวกนั้น
   “ฝากพระบิดาข้าด้วยลามิส”
   อัสมาบินตรงไปยังปราสาทชั้นบนสุด เขารู้ว่าสุนิลเป็นคนรอเขาอยู่ที่นั่น ลามิสเป็นผู้ประคองร่างอดีตกษัตรยิ์และพยายามบินลงมาสู่ด้านล่าง แต่ถูกขัดขวางด้วยเหล่าทหารและแตรสังฆ์ที่เป่าร้องว่ามีศัตรูบุกเข้ามา..ลามิสถูกทหารวิ่งเข้ามาหา เขาสามารถเอาตัวรอดได้ถ้าหากว่ามาแต่ลำพัง แต่นี่เขาหาได้เอาตัวรอดได้ไม่เพราะมีอดีตกษัตริย์มาด้วย และได้รับคำสั่งมาจากเจ้าชาย ถ้าหากว่าต้องตาย...
   ลามิสก็พร้อมยอมตายอยู่ที่นี่..
   “ท่านเคเรส...เจ้าชายอัสมากับลามิสไม่อยู่ที่กระโจม” ทหารขี่ม้าตะโกนมาบอกอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เคเรสกับคาลย์ออกมาได้ครู่ใหญ่
   “ว่ายังไงนะ” เคเรสหันกลับไปมอง “พวกเขาไปไหนกัน”
   “ข้าเองก็ไม่ทราบพะย่ะค่ะ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะหายเข้าไปในภายในป่าแห่งรัตติกาล”
   “บ้าจริง บอกแล้วไงว่าดูแลให้ดี ๆ” เคเรสกัดฟันแน่น...เขาควบม้ากลับไปยังใจกลางหมู่บ้าน เช่นเดียวกับคาลย์สหายคนสนิทที่รีบขี่ม้าตามมาติด ๆ เคเรสลงจากหลังม้าและเปิดกระโจมเข้าไป แต่พบแต่เพียงความว่างเปล่า ดวงตาสีทองของเขาจ้องมอง ท่ามกลางสีหน้าซีดเผือด
   “พวกเขาต้องขึ้นไปยังเมืองปักษาแน่เลยขอรับ”
   “ข้ารู้แล้ว...ข้าจะต้องตามไปช่วยเขา”
   “แต่...วันนี้ไม่ใช่คืนพระจันทร์เต็มดวง”
   “แต่ข้าก็ต้องขึ้นไป...” เคเรสหรี่ตาเขี้ยวโผล่พ้นเรียวปาก บ้าที่สุด...บอกแล้วใช่ไหมว่าให้รอถึงวันพระจันทร์เต็มดวงก่อน นี่แปลว่าอัสมาไม่เชื่อใจเขาเลยใช่ไหม ความโกรธของเขาพุ่งทะยานกลายเป็นเปลวคลื่นลมหมุนวนไปทั่วร่าง และกลายเป็นกระแสคลื่นลมร้อนขึ้นสู่ที่สูง พวกผู้หญิงอุ้มเด็กเล็ก ๆ ออกห่างจากเขา คาลย์หน้าซีดเผือด...เขาเอามือบังกระแสลมร้อน ที่พร้อมจะทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า “มันถึงที่สุดแล้ว...”
   ระเบิดพลังทำลายล้างพุ่งออกจากร่างของเคเรส นัยน์ตาสีทองของเขาเจิดจ้า และเริ่มการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย จากมนุษย์กลายร่างเป็นเสือดำ ขนของมันเงายิ่งกว่ารัตติกาล ลำตัวใหญ่และเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ นัยน์ตาสีทองเจิดจ้า และมีพลังทำลายอันรุนแรง มันแยกเขี้ยว...และพร้อมขย้ำใครก็ตามที่ขวางหน้า
   คาลย์ไม่พูดอะไร...นี่คือความแตกต่างระหว่างกษัตริย์ผู้มีนัยน์ตาสีทอง เป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถกลายร่างเป็นเสือดำได้ นอกจากคืนพระจันทร์เต็มดวง ที่คนอื่น ๆ จะสามารถกลายร่างเพื่อต่อสู้กับศัตรู แต่มีเขาเพียงแค่คนเดียวที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อ
   “ท่านเคเรส...”
   เสือดำวิ่งผ่านเข้าไปในภายในป่าแห่งความมืดมิด...ฝีเท้าว่องไวราวกับสายลมพัด เขาสามารถได้ยินถึงเสียงเพรียกของป่า บัดนี้เขากลายเป็นส่วนหนึ่งของป่าแห่งนี้อย่างสิ้นเชิง เสียงกระซิบบอกว่ามีทางขึ้นไปบนภูผาสูงชันทางทิศตะวันออก กล้ามเนื้อของเสือดำพุ่งทะยานไต่ขึ้นไปสู่ก้อนหินสูงใหญ่ และผืนต้นไม้อันสูงชัน ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งเขาได้อีกแล้ว
   “นั่นมันอะไรน่ะ !? ข้าเห็นดวงตาในความมืดนั่น”
   “ข้าไม่เห็นจะมีอะไรเลย”
   “อ้ากกก”
   “กรรจ์...”
   เสือดำพุ่งทะยานเข้าใส่ทหาร และตะปบลำคอจนแดดิ้น และเข้าไปฉีกปีกกว้างใหญ่ของพวกมันจนจมกองเลือด กลิ่นสาปของเหล็กและเสียงไล่ล่าฆ่าฟัน ทำให้เขาวิ่งลงไปยังพื้นใต้ดิน บัดนั้นลามิสกำลังจะพ่ายแพ้ให้แก่เหล่าทหาร เสือดำก็พุ่งเข้ามาฉีกกระชากปีกและขย้ำลำคอของพวกมันจนร้องโหยหวน ลามิสและอดีตกษัตริย์พระองค์ก่อนเห็นผู้มาช่วยเหลือ แล้วก็หน้าซีดเผือดเมื่อเห็นเลือดสด ๆ ของทหารที่กำลังถูกขย้ำจนเลือดกระเซ็น
   “เจ้า...นัยน์ตานั่น”
   เสือดำหันมาจ้องมอง ด้วยนัยน์ตาสีทอง ลำตัวของมันสูงใหญ่กว่าเสือดำตัวอื่น ๆ ขนของมันดำราวกับรัตติกาล เต็มไปด้วยขุมพลังงาน ที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อไม่ให้เหลือ นี่น่ะหรือเผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิง เขาก็เพิ่งเห็นกับตาตัวเองวันนี้แหละ อดีตกษัตริย์ตกตะลึงเมื่อจ้องมองเห็นนัยน์ตาสีทองที่จ้องมองมา
   “ท่าน...กษัตริย์ของเผ่าเขี้ยวสมิง” เขาเอ่ยเสียงแหบพร่า
   ลามิสหันมามองอดีตกษัตริย์ที่ตัวเองกำลังประคองอยู่ด้วยความตกใจ
   “อะไรนะขอรับ”
   เสือดำหรี่ตาลงมอง...ก่อนจะกระโจนขึ้นไปทำลายล้างศัตรูให้แดดิ้น ลามิสไม่รอช้าเขาอุ้มร่างอดีตกษัตริย์และฟาดฟันเหล่าศัตรูที่ขวางหน้า แล้วก็กระโจนลงไปยังเบื้องล่างและเผยปีกสีขาวเพื่อนำพาอดีตกษัตริย์ลงไปสู่พื้นดินอันเป็นเขตป่ารัตติกาล ลามิสหรี่ตาลง...เขารอช้าไม่ได้ เขาจะต้องช่วยกษัตริย์องค์นี้เสียก่อน เพราะเขาได้รับบาดเจ็บมาก อัสมาคงอยู่บนนั้น และคนที่ไปช่วยคงจะเป็นเคเรสอย่างแน่นอน
   “ฝากท่านอัสมาด้วยนะพะย่ะค่ะ กษัตริย์เคเรส” เขากัดฟันแน่น..ก่อนร่วงหล่นลงสู่พื้นป่ารัตติกาล

สุนิลยืนอยู่ใกล้หน้าต่าง...ดวงตาสีเทาของเขามองลงไปยังห้องสูงสุดของชั้นบน เส้นผมของเขายาวถึงกลางหลัง ทั้งชุดเขาสวมเพียงชุดดำ...กลางหน้าผากของเขาคาดด้วยอัญมณีรูปหยดน้ำสีน้ำเงินเข้มอยู่ ใบหน้าคมคายของเขา เยือกเย็น มีเพียงแต่ริมฝีปากที่หยัดยิ้มเท่านั้น...ฝ่ามือของเขาไขว้หลังเอาไว้ ราวกับรอคอยอะไรบางอย่าง...พื้นหินอ่อนใต้ฝ่าเท้ามันเย็นเฉียบ เช่นเดียวกับกษัตริย์เผ่าปักษาพระองค์ใหม่
   ที่ไร้ความปราณี...และอำมหิต
   “มาแล้วหรือ...”
   สุนิลหยัดยิ้ม ใบหน้าคมคายของเขาจ้องมองมายังอัสมา ที่โผล่พ้นความมืดออกมา นัยน์ตาสีเขียวมรกตของเขาหรี่ลง มือถือดาบเข้ามาด้วย
   “ข้าไม่คิดเลยนะว่า...วันนี้จะมาถึง”
   “ข้าเองก็เช่นกัน...” สุนิลหลับตาลงนิดหนึ่ง “ข้ารอมานานเกือบยี่สิบปี เผ่าพันธุ์นิลกาฬก็ยังไม่ได้รับการยอมรับจากเผ่าพันธุ์ของเจ้าอยู่ดี ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ถูกดูถูกขับไล่...เจ้าเองก็คงจะคิดเช่นนั้นเหมือนกัน”
   “ข้าไม่เคยคิดอย่างนั้น...” อัสมาเอ่ยปาก “ข้ากำลังทำทุกอย่างเพื่อให้พวกท่านได้รับการยอมรับ แต่ว่าเหล่าขุนนางไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้ง่าย ๆ ท่านเองก็มีปีกเหมือนกับข้า เราสองเผ่าพันธุ์ล้วนแต่เป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ท่านต่างหากที่ไม่ยอมรับวิธีของข้า ท่านบุกเมืองเราขึ้นมา คิดหรือว่าประชาชนจะยอมรับ”
   “ข้าเองก็ไม่เคยคิดว่าเผ่าพันธุ์จะยอมรับเรื่องนี้ได้” สุนิลหัวเราะเสียงแผ่ว หันหน้ามามองชายร่างบางกว่าเขา “เจ้าเคยพูดว่าจะทำทุกอย่างเพื่อให้พวกเราสองเผ่าพันธุ์ได้อยู่ร่วมกัน เจ้ายังจำได้ไหม...แต่เจ้าก็ทำไม่ได้ ข้าผิดหวังจริง ๆ อัสมา หนทางเดียวก็คือการก่อกบฏยึดครองเมืองของพวกเจ้า ฆ่าทหารของพวกเจ้าจนหมด และกักขังอดีตกษัตริย์ของพวกเจ้า ทำให้เผ่าปักษาเหมือนกับตายทั้งเป็น”
   “ข้าไม่ยอมให้ท่านทำแบบนั้นหรอกสุนิล”
   อัสมาตะโกนก้อง กระโจนเข้าหาสุนิลที่ตั้งท่ารออยู่แล้ว เสียงดาบฟาดฟันกันสนั่นไปหมด เมื่อสู้กันแบบตัวต่อตัว อัสมาผู้เรียนรู้วิชาการต่อสู้มานานย่อมได้เปรียบ แต่เขาไม่รู้หรอกว่าสุนิลต้องต่อสู้มาชั่วชีวิต มีความแข็งแกร่งแค่ไหน สุนิลบินขึ้นไปและหมุนวนคมมีดจากปลายปีกเข้าใส่อัสมา
   “ไม่มีทางหรอก”
   อัสมาใช้ปีกห่อหุ้มร่างกาย จนทำให้คมมีดนับสิบเล่มไม่อาจเข้าถึงตัวได้ สุนิลมองดูอัสมาด้วยความทึ่ง
   “ใช้ได้เลยนี่...”
   “ข้าจะฆ่าเจ้าซะสุนิล”
   “ทำได้หรือ”
   อัสมาหรี่ตากัดฟันแน่น เขาแผ่ปีกกว้างและพุ่งเข้าใส่สุนิลด้วยคมมีดดาบ แต่สุนิลใช้มีดสั้นสองเล่มรับปลายดาบนั่นเอาไว้ เพียงเสี้ยววินาที เขาก็ปัดปลายดาบของอัสมากระเด็นลงกับพื้น และใช้มือแข็งแกร่งจับเส้นผมของเขาเอาไว้ ชายหนุ่มหน้าหวานหลับตานิ่วหน้า เมื่อลำคอถูกปลายมีดสั้นจ่อเอาไว้ เพียงแค่สุนิลออกแรงเพียงเล็กน้อย อัสมาก็จะตายลงไปอย่างง่ายดาย
   “อึก...”
   “ฝีมือแค่นี้น่ะหรือจะฆ่าข้า...มันง่ายเกินไปหน่อยกระมัง” สุนิลกระซิบเสียงแผ่ว พร้อมกับใช้มือหนาจับมือของอัสมาไขว้หลังเอาไว้ เพียงแค่นั้นอัสมาก็ไม่อาจขยับเขยื้อนได้ “รู้หรือไม่...ว่าข้ารอวันนี้มานานแค่ไหนแล้ว คำพูดของเจ้าในวันนั้น ทำให้ข้ามีพลังที่จะมีชีวิตอยู่ เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าไม่อาจฝืนต่อความคิดของพวกเหล่าขุนนางได้ ถ้าอย่างนั้นมาร่วมมือกับข้าสิ ฆ่าพวกนั้นเสีย แล้วเราสองคนก็จะได้อยู่ร่วมกันตลอดไป”
   “ข้า...ไม่ได้หมายถึงแบบนั้น การฆ่าคนไม่ใช่ทางออก”
   “ไม่ใช่สำหรับเจ้า...แต่มันใช่สำหรับข้า”
   “สุนิล...อึก”
   สุนิลดึงเส้นผมของอัสมาขึ้นไป...จนหน้าหวานของเขาหงายและขยับเขยื้อนไม่ได้ ดวงตาสีเทาของเขาจ้องมอง...เวลานี้ร่างกายของอัสมาอยู่ใกล้เขาแค่เอื้อมมือสัมผัส จนชายหนุ่มไล้เลียไปยังบริเวณปลายคางของเขา จนมาถึงบริเวณลำคอ อัสมาแก้มร้อนผ่าวไปหมด สุนิลก้มลงประกบเรียวปากกับริมฝีปากแดงระเรื่อคู่นั้น อัสมาไม่อาจหลบเลี่ยงได้เลย...เรียวปากของสุนิลเร่าร้อนมาก...ร้อนแรงและดุดัน..เขาพัวพันปลายลิ้นเข้าสู่โพรงปากของอัสมา เพื่อค้นหาความหวาน อัสมาพยายามกัดริมฝีปากของสุนิล แต่กษัตริย์พระองค์ใหม่พัวพันปลายลิ้นเข้าไปในเรียวปากของตัวเอง ทำให้อัสมาหมดสิทธิ์ที่จะต่อต้าน
   “อื้อ...”
   อัสมาถูกสุนิลดันไปกดลงกับโต๊ะใจกลางห้อง เขากวาดจนเศษแก้วและข้าวของแตกกระจายเกลื่อน แล้วก็จับกดแขนทั้งสองข้างของชายหนุ่มลงกับโต๊ะ สุนิลยังคงครอบครองเรียวปากนุ่มละมุน แม้ชายหนุ่มจะครอบครองอัสมาสักเพียงไหน แต่ก็ยังคงรู้สึกได้ถึงแรงต่อต้านขัดขืนอยู่ดี ปีกกว้างสีดำของสุนิลคลุมร่างของอัสมาไปจนหมดสิ้น อัสมาหันหน้าหนีไปทางขวา
   “ปล่อยข้านะ...”
   “ข้าจะทำให้เผ่าพันธุ์ปักษารู้น่ะสิ ว่าแม้แต่เจ้าชายก็ยังยอมสยบแทบเท้าข้า” สุนิลมองเขานัยน์ตาเป็นประกาย แล้วเขาก็เคลื่อนเรียวปากไปบนไหล่ มือหนาถอดเสื้อของอัสมาออก เผยให้เห็นรอยแผลเป็นที่กลางหลังที่เพิ่งหายได้ไม่นาน สุนิลหรี่ตามองดูเนิ่นนาน “เสียดายผิวกายของเจ้านัก...เป็นรอยแผลไปเสียได้”
   “สุนิล...”
   “ข้าหวังให้ข้าอยู่ร่วมกับข้า...ข้าไม่สนเผ่าพันธุ์ปักษาคนอื่นหรอก แต่สำหรับเจ้ามันเป็นข้อยกเว้น” สุนิลเหยียดยิ้ม “เจ้าเป็นผู้เดียวที่ทำให้ข้ามีชีวิตอยู่ และแย่งชิงบัลลังก์จากเจ้ามา เจ้าจะอยู่ร่วมกับข้าไหมอัสมา”
   อัสมากัดฟันพยายามดึงมือออก ฉับพลันเขาก็ดึงดาบสั้นออกจากเอวของสุนิล แล้วก็ใช้จังหวะนั้นยกคมมีดขึ้นมาป้องกันตัวเอง สุนิลมองหน้าอัสมา...และรู้สึกได้ถึงเลือดที่ไหลออกมารอยมีดบาดที่ข้างแก้ม อัสมาหรี่ตาลงมอง ต่อให้เขาไม่ใช่เจ้าชาย..เป็นเพียงเผ่าพันธุ์ปักษาธรรมดา เขาก็ไม่คิดจะทรยศเผ่าพันธุ์ของตัวเองหรอก

 :mew6: :mew6: :mew6:

 แง้ มีแต่คนอ่าน แต่ไม่มีคอมเม้นท์เลย (จะเลิกเขียนดีมั้ย) ฮึบ ๆ พยายามหน่อย

ออฟไลน์ yoome

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
“ข้าไม่ขออยู่ร่วมกับเจ้าเป็นอันขาด สุนิลคนนั้นได้หายไปจากความคิดของข้าแล้ว”
   “ข้าหรือเปลี่ยนไป...เจ้าต่างหากล่ะที่เปลี่ยนไป” สุนิลเหยียดยิ้ม และดึงมือของอัสมาเหวี่ยงลงไปบนเตียงนอน ชายหนุ่มร้องอุทาน ก่อนที่กษัตริย์พระองค์ใหม่จะชันเข่าทาบทับขึ้นมา แน่นอนแหละว่าข้อมือทั้งสองข้างของเขาก็ตรึงไว้กับที่นอนแน่น สายตาของสุนิลเป็นประกาย จนอัสมาหน้าซีดเผือด “เจ้าเองไม่ใช่หรือ ที่บอกว่าข้าเจ้าจะทำทุกอย่างเพื่อให้พวกเรากลับมาเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน ข้ารอมาร่วมยี่สิบปี แต่ข้าก็ไม่เห็นสิ่งที่เจ้าว่าเลยแม้แต่นิดเดียว เจ้าต่างหากที่โป้ปดข้า เจ้าทำทุกอย่างเพื่อเผ่าพันธุ์ของเจ้าเองอัสมา”
   “ไม่ใช่...ข้าไม่ได้ทำเพื่อเผ่าพันธุ์ตัวเอง”
   อัสมายังไม่ทันจะพูดจบ สุนิลก็ก้มลงมาประทับเรียวปากอันแสนนุ่มนิ่มของเขา เป็นรอยจูบที่เร่าร้อน...เสียจนเรียวปากของอัสมาแดงช้ำไปหมด สุนิลเลียปลายลิ้นไปยังลำคอ...ข้างแก้ม..และเนินอก อัสมาหายใจหอบ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ยอมแพ้และพยายามดึงมือออกให้ได้
   “อย่า...สุนิล”
   “กรรจ์ !!”
   เสียงคำรามดังลั่นที่ดังก้องเข้ามา พร้อมด้วยอุ้งเท้าสีดำของสัตว์ชนิดหนึ่ง ที่พุ่งเข้าจู่โจมร่างของสุนิล เขากางปีกในชั่วพริบตาและกระโดดออกจากร่างของอัสมาทันที ดวงตาสีเทาของเขาเบิกกว้าง เมื่อมองเห็นเสือดำรูปร่างใหญ่กว่าตัวอื่น ๆ กล้ามเนื้อเป็นมัด ๆ ดวงตาสีทองเป็นประกายเจิดจ้า กำลังแยกเขี้ยวใส่เขาอย่างหมายจะฆ่าให้ตาย พลังทำลายล้างพุ่งออกมารอบกาย อุ้งเท้าเหยียบย่ำบนเตียงราวกับต้องการขัดขวางไม่ให้ผู้ใดได้แตะต้องอัสมาอีก
   อัสมาเองก็เหมือนกัน...เขาเบิกตากว้าง มองเสือดำที่อุตส่าห์มาช่วยเขาเอาไว้ เขาไม่เคยเห็นสัตว์ร้ายรูปร่างใหญ่เช่นนี้มาก่อน ดวงตาก็เป็นสีทองเหมือนเปลวไฟ เสียงขู่ขวัญนั่นก็ทำให้คนที่ได้ยินเกิดความหวาดกลัว...แต่ทำไมเขาถึงได้ไม่รู้สึกหวาดกลัวเสือดำตัวนี้เลยล่ะ
   สุนิลบินห่างออกไปสักประมาณสิบเมตรเห็นจะได้ เขาจ้องมองไปยังสัตว์ร้ายผู้เข้ามาช่วยเหลืออัสมา ชายหนุ่มเอาหลังมือเช็ดเลือดที่ไหลจากคมมีด แล้วเหยียดยิ้ม...
   “อย่างนี้นี่เอง...เผ่าเขี้ยวสมิงสินะ”
   “กรรจ์....”
   “หรือว่า...เคเรส” อัสมากระซิบแผ่ว เมื่อจำได้ถึงดวงตาสีทองคู่นั้น
   “ข้าจำเจ้าได้แล้ว...เจ้าคือเผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิงที่เข้ามาขัดขวางข้าในวันนั้น ข้าจำดวงตาของเจ้าได้” สุนิลหัวเราะหึ ๆ ในลำคอ ชำเลืองมองไปยังอัสมาที่ยังลุกตะแคงอยู่บนเตียง “ดูเหมือนว่าข้าจะมีศัตรูเพิ่มขึ้นเพราะเจ้าเสียแล้ว เคเรสเรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างเผ่าพันธุ์ปักษาและเผ่านิลกาฬ ไม่เกี่ยวกับเจ้าแม้แต่นิดเดียว เราสองเผ่าพันธุ์ไม่เคยเกี่ยวข้องกันมานานนับร้อยปี คืนอัสมามาให้ข้าเสียดีกว่า...”
   เสือดำแยกเขี้ยวใส่สุนิล แน่นอนว่าเขาไม่ยอมง่าย ๆ แน่
   “ไม่หรือ...น่าเสียดายนะ ที่เจ้าต้องมาตายภายในวังปักษา” สุนิลเหยียดยิ้ม และก็พุ่งปีกขนนกสีดำเข้าใส่เสือดำตัวนั้น แน่นอนว่าเขาหลบพ้น แต่ก็ยังไม่อาจหลบพ้นขนนกอีกอันหนึ่งที่พุ่งเป้าใส่หน้าอกของเขา ตอนที่สัตว์ร้ายจะพุ่งตัวเข้าใส่สุนิล ชายหนุ่มบินขึ้นสูง แต่เสือดำกระโดดเหยียบบนกำแพง แล้วพุ่งตัวหมายจะขย้ำสุนิลให้ดับดิ้น
   สุนิลกัดฟันเอามือป้องกันตัวเอาไว้ แต่ก็ไม่พ้นถูกคมเขี้ยวขย้ำปีกจนโลหิตไหล ทั้งคู่ต่อสู้กัน...อัสมามองเห็นเคเรสหายใจหอบ และสุนิลเหยียดยิ้ม นัยน์ตาเป็นประกาย
   “หรือว่า...ปีกขนนกจะอาบยาพิษ”
   “ฉลาดดีนี่” สุนิลเอ่ยเสียงแผ่ว “ถูกต้องแล้ว มันเป็นยาพิษจากงูเห่า มีพิษถึงตายได้เพียงไม่ถึงชั่วโมง เอาล่ะเจ้าจะทำยังไงดีล่ะทีนี้ จะยอมให้เพื่อนของเจ้าตาย หรือว่าจะยอมไปกับข้าคิดดูดี ๆ อัสมา”
   “เจ้ามันเลวที่สุด”
   สุนิลไม่ตอบ...เสือดำหอบหายใจ มันแยกเขี้ยวใส่ศัตรู แล้วก็หันคาบคอเสื้อของอัสมาและพุ่งตัวลงไปจนบานกระจกแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ อัสมาร้องเสียงดัง ปีกสีขาวของเขาพยายามประคองร่างของเขาและเสือดำเอาไว้ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ สุนิลเบิกตากว้าง...ไม่คิดมาก่อนเลยว่า เสือดำจะกล้าทำเรื่องเช่นนี้
   “คิดว่าจะหนีไปจากข้าได้งั้นหรือ” สุนิลกำลังจะพุ่งตัวตามลงไป...แต่ทหารยามต่างวิ่งเข้ามารายงานอย่างรวดเร็วว่า
   “ฝ่าบาท อดีตกษัตริย์ถูกช่วยออกไปได้เมื่อสักครู่ ได้โปรดอภัยด้วย”
   “ว่ายังไงนะ” สุนิลหรี่ตามอง “บัดซบ...ประมาทพวกมันไปเสียได้ เขาหุบปีกแล้วกลับเข้ามาทันที หางตาเหลือบมองไปยังความมืดเบื้องล่าง
   “ข้าจะตามหาเจ้าจนเจออยู่ดีนั่นแหละอัสมา”

   ...เสียงลมที่พัดพาผ่านแก้วหู ทำให้อัสมาประคองร่างของเสือดำที่ตอนนี้กลับคืนร่างเป็นคนเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าเคเรสสลบไม่ได้สติ ชายหนุ่มประคองร่างของเขา...แล้วม้วนตัวออกไปเป็นทาง เขาจะต้องพาเคเรสไปซ่อนตัว เพราะไม่อย่างนั้นสุนิลต้องตามหาเอาชีวิตเขาอย่างแน่นอน อัสมาไม่รู้ว่าจะไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน จนกระทั่งเขานึกไปถึงสถานที่ที่เป็นเกาะท่ามกลางทะเลกว้างใหญ่ทางทิศใต้
   “ข้าจะต้องช่วยท่านให้ได้ท่านเคเรส”
   อัสมาพุ่งตัวไปทางทิศใต้ ร่างของทั้งสองร่วงหล่นสู่ผิวของทะเล เคเรสก็ยังไม่ได้สติ...อัสมาเองก็ดำดิ่งลงไปจับมือของเคเรสเอาไว้ และพยายามนำพามายังเกาะ ที่ร้างไร้ผู้คน...อัสมาหายใจหอบ และมองเห็นถ้ำเล็ก ๆ พอจะอาศัยทำแผลและพักนอนได้ กว่าที่อัสมาจะพาเคเรสมาถึง...เขาก็ต้องสูญเสียพลังงานในร่างกายมาก อัสมาค้นไปตามตัวของเคเรสโชคดีที่มีหินติดไฟ
   อัสมาก่อกองไฟขึ้นมาทันที...แล้วก็ฉีกกระชากชายเสื้อของเคเรสออก แผลเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ
   “บ้าสิ้นดี...” ชายหนุ่มพยายามเอาร่างเคเรสเข้าใกล้ไฟ แล้วเขาก็ฉีกชายเสื้อมาพันเหนือแขนเขาเอาไว้ แล้วก็ใช้ปากดูดพิษให้แก่เขาแล้วบ้วนทิ้ง อัสมาทำเช่นนั้นหลายรอบ...เขาหายใจหอบ ชายหนุ่มก้มลงฟังเสียงหัวเราะเต้น เขาหน้าซีดเผือดเมื่อหัวใจหยุดเต้นไปแล้ว “ท่านอย่าเป็นอะไรนะ”
   อัสมาพยายามปั้มหัวใจของเคเรสหลายรอบ แล้วสลับกับการเป่าปาก
   เวลาผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่รู้ แต่ว่า...ตอนนี้เขาจะปล่อยให้เคเรสมาตายตรงนี้ไม่ได้
   “ท่านเคเรส..ฟื้นสิ ท่านจะมาทิ้งข้าไปแบบนี้ไม่ได้นะ”
   “....อึก” เคเรสเหมือนจะได้สติแล้ว อัสมาถอนหายใจยาว...เขาไม่เคยโล่งใจขนาดนี้มาก่อน เคเรสหันมามองไปรอบกาย แล้วเอ่ยถามเสียงแหบว่า “ที่นี่ที่ไหน...”
   “น่าจะเป็นเกาะทางทิศใต้”
   “ข้ารู้สึกว่าหัวใจจะหยุดเต้นไปพักหนึ่ง...”
   “ทำไมท่านถึงได้...” อัสมาจะตะโกนถาม แต่น้ำตามันก็รินไหลลงมาอีกอย่างห้ามไม่ได้ “ทำไมท่านถึงต้องตามไปช่วยข้า รู้ตัวไหมว่าท่านเกือบจะต้องตายไปอยู่แล้ว ข้ารู้อยู่แล้วว่าจะต้องต่อสู้กับสุนิล ไม่ว่าเขาหรือว่าข้าอาจจะต้องตายไปในวันนี้ แต่ทำไมท่านถึง..”
   เคเรสยันกายมองไปยังอัสมา เนื้อตัวของเขามีแต่รอยจูบ...
   “ข้าว่าสุนิลไม่คิดจะฆ่าเจ้าหรอก...”
   อัสมาหน้าร้อนผ่าว หันหน้าไปทางอื่น...เคเรสเป็นฝ่ายดึงแขนเขาเข้ามาอย่างแรง แล้วก็ประกบปากของอัสมาอย่างรุนแรง ดุดัน..พัวพันปลายลิ้นของเขาเข้าไปควานหาความหวาน ผสมผสานกับความนุ่มนวลและร้อนแรงระคนกัน และก็กัดริมฝีปากด้านล่างของอัสมา จนชายหนุ่มร้องออกมาในลำคอ กว่าที่เขาเคเรสจะทอดถอนเรียวปากออก อัสมาก็รู้สึกเหมือนเรียวปากของเขาช้ำไปหมดและยังมีรอยกัดที่ริมฝีปากด้านล่างอีกด้วย
   “นี่เป็นโทษของเจ้า...เจ้าหนีขึ้นไปด้านบนพร้อมกับลามิส โดยไม่บอกข้า”
   “ข้า...ขอโทษ จริงสิ..พระบิดา”
   “เขาถูกสุนิลช่วยเหลือเอาไว้แล้ว เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วงไปหรอก”
   “ที่แท้ท่านเป็นเสือดำหรอกหรือ...แล้วทำไมถึงต้องปิดบังข้า”
   “ข้าเป็นเพียงคนเดียว ที่สามารถกลายร่างเป็นเสือดำได้ ภายในค่ำคืนที่พระจันทร์ไม่อาจเต็มดวง” เคเรสเอามือแนบบริเวณขนนกพิษปักลงบนกาย “คนอื่นสามารถกลายร่างเป็นเสือดำ เสือดาว ได้ภายในคืนพระจันทร์เต็มดวง มีพลังท่วมทวี และสามารถเอาชนะเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ได้ ข้าถึงได้บอกไงว่าให้รอจนถึงคืนที่มีพระจันทร์เต็มดวงก่อน”
   “...ทำไมท่านถึงได้แตกต่างไปจากคนอื่น ๆ ดวงตาของท่านก็เช่นเดียวกัน...” อัสมากระซิบแผ่ว “ดวงตาของท่านเป็นสีทอง ในขณะที่ดวงตาของคนอื่นนั้นล้วนเป็นสีดำกันหมด”
   “อย่าถามเหตุผลจากข้าเลยอัสมา เอาไว้สักวันเจ้าคงจะรู้เองนั่นแหละ”
   อัสมานิ่งเงียบ เคเรสเกือบจะเข้าไปช่วยเอาไว้ไม่ทัน...เห็นได้ชัดว่าสุนิลปรารถนาที่จะครอบครองร่างกายของอัสมา อา...มันช่างน่าหงุดหงิดเสียจริง ศัตรูผู้นี้เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม แถมยังเยือกเย็นกว่าที่คิด
   “เจ้ากับสุนิลเคยพบกันมาก่อนหรือเปล่า...”
   “....”
   “ตอบมา...ข้าไม่ชอบคนโกหก”
   “ใช่...ข้าเคยพบกับสุนิลมาก่อน แต่นั่นมันเมื่อเกือบยี่สิบปีมาแล้ว” อัสมาเอ่ยเสียงแผ่ว “ตอนนั้นเผ่าพันธุ์ของข้าเต็มไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์เผ่านิลกาฬ พวกปีกสีดำอย่างที่ท่านเห็นนั่นแหละ ขับไล่พวกเขาให้ไปอยู่ในสถานที่แห้งแล้ง และอดหยาก มันเป็นความเชื่อที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถทำลายมันได้...สุนิลเองก็เช่นเดียวกัน”
   “ช่างเป็นความเชื่อผิด ๆ ไปเสียจริง”
   “ข้าเองก็เชื่อเช่นนั้น...” อัสมายิ้มบาง ๆ “ข้ามองเห็นสุนิลอายุประมาณเจ็ดถึงแปดขวบ เขาถูกทหารเผ่าพันธุ์ปักษายิงธนูเข้าใส่ปีก จนทำให้บินต่อไปไม่ได้ ข้าจึงได้เข้าไปช่วยทำแผลให้เขาแล้วเอาขนมปังให้สุนิลกิน...แต่รู้ไหม ว่าเขาเอาแต่จ้องมองข้าอย่างเกลียดชัง ไล่ให้ข้าไปให้พ้น ๆ”
   เคเรสขมวดคิ้ว ฟังจากที่อัสมาเล่ามันช่างแตกต่างไปจากที่เขาเห็น
   “ตอนนั้นทหารลงมาตามหาเขา...เข้าถึงพาเขาไปซ่อนไว้หลังพุ่มไม้ ตอนนั้นข้าบอกว่าพวกทหารว่า...ข้าเคยได้รับการสั่งสอนมามากมาย ท่านอาจารย์เคยสอนเอาไว้ว่า...ถ้าเราเห็นใครทุกข์ยากลำบาก แล้วเราช่วยเอาไว้ นั่นก็ถือว่าเป็นคนที่มีจิตใจเมตตา ข้าได้แต่หวังว่า สักวักหนึ่งข้าอาจจะเปลี่ยนแปลงความเชื่อแบบเดิม ๆ และพวกเราก็จะอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข...”
   อัสมาหรี่ตามองเข้าไปในเปลวไฟ
   “แต่สุดท้าย...ข้าเองที่เป็นคนเปลี่ยนความเชื่อที่มีมาตั้งแต่ดั้งเดิมไม่ได้ สุนิลไม่ผิดหรอกที่เขารอคอยให้ความหวังเป็นความจริงขึ้นมา เพราะข้าเป็นคนให้ความหวังกับเขา” ชายหนุ่มเอ่ย “ข้าพยายามแล้วที่จะเปลี่ยนแปลงความคิด แต่พวกอำมาตย์ต่างทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวาง จนสุดท้ายความคิดของเข้าเป็นเพียงแค่เศษกระดาษ”
   “ข้าทำได้ดีแล้วล่ะอัสมา...”
   “แต่สุนิล...”
   “จริงอยู่ที่สุนิลหวังจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเหมือนที่เจ้าว่า แต่การก่อกบฏนั้นมันง่ายดายกว่าที่คิดจะเปลี่ยนแปลงความเชื่อมานานหลายร้อยปี เขาขึ้นครองเป็นกษัตริย์แทนบิดาเจ้า เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการที่จะกำจัดเผ่าพันธุ์ปักษา ไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว...ยกเว้นเจ้า”
   “ทำไมต้องเป็นข้าด้วย...”
   “เพราะว่า...” เคเรสหรี่ตามอง “สุนิลกำลังหลงรักเจ้าอยู่”
   อัสมาลืมตาโต ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
   “ไม่จริง...เขาบอกเองว่าต้องการให้ข้าสยบใต้แทบเท้าเขา”
   “ข้าเองก็หวังแบบนั้นเหมือนกัน...” เคเรสขยับเข้าไปใกล้ ดวงตาสีทองของเขาจ้องมองไปยังใบหน้างามของอัสมา เขาแทบไม่รู้ตัวเลย...ว่าทุกคำพูดและดวงตาสีเขียวมรกตของเขา ดึงดูดสายตาของคนอื่น ๆ สักเพียงไหน แม้แต่เขาก็ยังเชื่อเลยว่าสุนิลกำลังหลงรักอัสมาอยู่ เพียงแต่ว่าเขาไม่พูดออกมาเท่านั้น มือหนาของเขาจับแก้มเนียนของอัสมา “เจ้ารู้หรือไม่...ว่าข้ารู้สึกหึงแค่ไหน ที่เห็นเจ้าอยู่บนเตียงเดียวกับสุนิล บอกข้าสิ...ว่าระหว่างข้ากับสุนิล เจ้าจะเลือกใคร...”
   “....”
   “ขอโทษที...ข้าไม่ควรถามเจ้าอย่างนี้เลย ข้าควรนอนพักสักหน่อย รู้สึกว่าอาการบาดเจ็บจะยังไม่หายดี”
   อัสมาหรี่ตาลงมอง...แล้วก็จับแขนของเคเรสเอาไว้ ชายหนุ่มหันมามอง ก็มองเห็นใบหน้าของอัสมาเข้ามาใกล้...แล้วเขาก็จูบลงบนเรียวปากได้รูปของเขา มันเย็นเฉียบ...จากนั้นมันก็เร่าร้อน ตามความร้อนรุ่มภายในกาย เคเรสหลับตาลงนิดหนึ่ง...และมือก็ลูบไล้ไปตามช่วงเอวบาง และลูบขึ้นไปบนกลางหลัง
   “อัสมา...”
   อัสมาเอามือลูบใบหน้าของเคเรสขึ้น แล้วขึ้นคร่อมช่วงเอวของเขาเอาไว้ ชายหนุ่มหน้าหวานจูบเคเรส ใบหน้าของเขาแดงปลั่ง เจ้าของดวงเนตรสีทองหรี่ตามองเขา แล้วก็เป็นฝ่ายรุกเร้าเปิดปากและพัวพันปลายลิ้นกับอัสมา รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่ร้อนแรงไปทั่วร่าง เวลานี้มือของเขาลูบไล้ไปตามช่วงเอว อัสมาทอดถอนเรียวปาก...แล้วหรี่ตาสีเขียวมรกตมองดูเคเรส ลมหายใจผะแผ่วจนเคเรสรู้สึกได้
   “ทำไม...”
   “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน...” อัสมากัดริมฝีปาก
   คราวนี้เป็นเคเรสเองก็ดึงแขนของอัสมาลงมา แล้วพลิกตัวลงคร่อมกายของเขาเอาไว้ เนื้อตัวใต้แสงไฟทำให้เนื้อตัวของเผ่าพันธุ์ปักษาแลดูสว่างเข้าไปอีก เคเรสกัดที่ต้นคอของอัสมาน้อย ๆ เวลานี้เขาต้องการชายหนุ่มรูปงามเป็นอย่างมาก ไม่ต้องการยกให้ใครทั้งนั้น ลำแขนแข็งแกร่งโอบประคองร่างของอัสมา และประกบจูบอย่างเร่าร้อน..พัวพันปลายลิ้นเข้าไปควานหาความหวานในโพรงปาก ในขณะที่เขาเริ่มถอดเสื้อผ้าจนร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า อัสมากัดริมฝีปากด้านล่างไว้แน่น
   “เคเรส...”
   “เจ้าเงียบเถอะ...”
   อัสมาหายใจหอบผะแผ่ว...เมื่อเคเรสเป็นฝ่ายรุกเร้าหนัก มือร้อนผ่าวของเขาลูบไปตามแผ่นหลังและช่วงเอวเปลือยเปล่า ปลายจมูกโด่งของเขาและเรียวปากได้รูปเลื่อนลงมายังยอดอกสีชมพูระเรื่อ ใบหน้าของอัสมาร้อนผะผ่าว...เอามือดันบ่าแข็งแกร่งของเคเรสไว้แน่น เมื่อเคเรสแทรกท่อนขาเอาไว้ด้านล่างเรียวขาของอัสมา ลิ้นของเขาเลี้ยไลไปตามใบหู มันทำให้อัสมาขนลุกชัน พยายามอย่างมากที่จะไม่ดันเคเรสออก
   “รู้หรือเปล่า...ว่าข้าหึงเจ้าแค่ไหน ที่เห็นเจ้าอยู่กับสุนิล”
   “อึก...เคเรส”
   “เขาแตะต้องเจ้าตรงไหนบ้าง”
   “....”
   “เขาก็แค่จูบข้าเท่านั้น”
   “ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก...” เคเรสเอามือดันไว้ที่พื้น เพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายได้หนี จากนั้นก็แทรกกายเข้าสู่ร่างกายอันอุ่นร้อนของอัสมา จนเขาร้องเสียงแผ่ว...น้ำตาทำท่าจะไหล เคเรสสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายเนื้อตัวสั่นเทา เขาก้มลงประกบเรียวปากอย่างปลอบประโลม จากนั้นก็ค่อย ๆ แทรกร่างกายเข้าสู่เรือนร่างที่อยู่ใต้เรือนร่างแข็งแกร่ง อัสมาใช้ลำแขนโอบกอดเคเรสเอสไว้พร้อมกับจิกเป็นรอยลึก
   “เคเรส...”
   เคเรสไม่ตอบ...แต่เขาใช้เรือนร่างในการตอบสนอง เร่าร้อน...และดุดัน เขาใช้ปลายฝ่ามือจับกับฝ่ามือของอัสมา ท่ามกลางเสียงร้องคราง...อัสมาไม่เคยได้รับสัมผัสเช่นนี้มาจากใครมาก่อน สัมผัสจากเคเรสทำให้สะโพกของเขาร้อนผ่าวไปหมด อัสมาหายใจหอบ...เมื่อสัมผัสแนบแน่น เป็นหนึ่งเดียว จนทำให้ชายหนุ่มรูปงามร้องครางออกมา เช่นเดียวกับเคเรสที่กอดร่างอัสมาเอาไว้แน่น เขาลืมไปเสียสิ้นว่าเขายังมีบาดแผลยังไม่หาย...
   แต่เคเรสก็ยอมตายเสียยังดีกว่า...เมื่อแลกกับการได้สัมผัสอัสมา
   “ทำไม...ท่านถึงได้ยอมไปช่วยข้า”
   “เพราะว่าข้ารักเจ้ายังไงล่ะ”
   อัสมาแก้มร้อนผะผ่าว กอดตอบเขาเอาไว้แน่นหนา...

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2019
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ yoome

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
“ท่านลามิสมาโน่นแล้วขอรับ”
   เสียงทหารยามร้องบอก คาลย์หันไปทางต้นเสียงทันที เขาขึ้นม้าและควบขี่ไปพร้อมพรรคพวกทันที เมื่อไปถึงลามิสก็ประคองร่างของกษัตริย์ผู้ชรา เต็มไปด้วยบาดแผลเจ็บหนักร่างกายทรุดโทรม ลามิสเองก็เช่นเดียวกัน ดูเขาอิดโรยมาก จนคาล์ยต้องประคองเขาเอาไว้ แล้วคนอื่น ๆ ก็มาช่วยประคองชายสูงวัย
   “ท่านเป็นอย่างไรบ้างท่านลามิส”
   “ท่าน...อัสมาล่ะ”
   “เขาไม่ได้มาพร้อมพวกท่านหรอกหรือ” คาลย์อึ้งไปพักใหญ่ ท่านเคเรสไปช่วยพวกเขาและแน่นอนว่าต้องช่วยท่านอัสมาออกมาแน่นอน แต่ว่าพวกเขาไม่ได้มาที่นี่ “นั่น...คืออดีตกษัตริย์พระองค์ก่อนหรือ”
   “ใช่...ข้าเกือบไม่รอด ถ้าไม่ได้ท่านเคเรสช่วยเอาไว้”
   “เอาไว้เราค่อยคุยกัน...ทหาร พาท่านลามิสกับอดีตกษัตริย์เข้าไปพักรักษาตัวในกระโจมก่อน” คาลย์ตะโกนสั่งพวกทหาร อดีตกษัตริย์ผลักผู้ที่มาช่วยออก แม้ร่างกายของเขาจะทรุดโทรมเพียงใด แต่ดวงตาของเขาก็ดูไม่ผิดไปหรอก
   “เผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิงที่ไปช่วยพวกเรา เขาคือกษัตริย์ของพวกท่านใช่หรือเปล่า” เขากล่าวเสียงแผ่ว คาลย์อึ้งไปพักใหญ่ ลามิสเองก็เช่นเดียวกัน เขาพอจะดูออกว่าเคเรสแตกต่างไปจากคนอื่น ๆ และแน่นอนว่าความกล้าหาญ และฝีมือที่แข็งแกร่งทำให้พวกเขารอดมาได้
   แบบนี้จะหาว่าเคเรสเป็นคนพเนจรได้อย่างไร
   “ในเมื่อท่านรู้ความจริงแล้ว ข้าก็ไม่เป็นต้องปิดบังอีก...ถูกต้องแล้ว ท่านเคเรสเป็นกษัตริย์ของพวกเราจริง แต่ด้วยนิสัยรักอิสระ อีกทั้งยังมีดวงตาสีทองแตกต่างจากผู้อื่น จึงทำให้เขาไม่ค่อยอยู่ที่หมู่บ้านมากนัก”
   “อา...แบบนี้นี่เอง” อดีตกษัตริย์ของเผ่าปักษาเอ่ย “ข้าเคยได้ยินข่าวลือมาว่ากษัตริย์ของเผ่าเขี้ยวสมิงมีดวงตาสีทอง และสามารถแปลงร่างเป็นเสือดำที่มีพลังมหาศาล ข้าได้เห็นก็วันนี้เอง..อึก”
   “อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย ถ้าขืนข้าปล่อยให้ท่านบาดเจ็บจนเป็นอะไรขึ้นมา ท่านอัสมาต้องฆ่าข้าแน่” คาลย์ประคองร่างของอดีตกษัตริย์ขึ้นบนหลังม้า “มาเถอะ...เจ้าเองก็คงมีอะไรจะถามข้าเหมือนกัน”
   ลามิสไม่ตอบอะไร เขาขึ้นบนหลังม้า..และเดินทางเข้าหมู่บ้านโดยการนำพาของเหล่าเขี้ยวสมิง เขารู้ดีว่าป่ารัตติกาลจะเป็นที่คุ้มครองป้องกันตัวได้เป็นอย่างดี ในขณะที่เคเรสกับเจ้าชายอัสมา...จะเป็นอย่างไรบ้าง จะถูกสุนิลจับไปหรือเปล่า เขาเองก็ยังเป็นกังวลนัก...


   ...อดีตกษัตริย์ได้รับการพักรักษาตัวอยู่ภายในกระโจม ด้วยอายุที่มากแล้ว จึงทำให้เขานอนหลับไม่ได้สติ มีแต่ลามิสที่คอยมาดูแลอยู่ใกล้ ๆ ใบหน้าของเขาเคร่งเครียด อาจจะเป็นเพราะว่ายังไม่รู้ชะตากรรมของเจ้าชายอัสมากับท่านเคเรสเลย แถมอดีตกษัตริย์อามานก็ยังมาประชวรหนัก เพราะถูกคุมขังอยู่เป็นเวลาเนิ่นนานอีก
   “อดีตกษัตริย์ยังอาการไม่ดีขึ้นอีกหรือ” คาลย์เอ่ยปาก
   “ยัง...ข้ายังเป็นกังวลอยู่ ตั้งแต่ข้าแยกกับท่านอัสมาแล้ว ก็ไม่รู้ชะตากรรมของท่านอีกเลย จนกระทั่งมองเห็นท่านเคเรสขึ้นไปช่วยเอาไว้ แต่พวกเขากลับไม่ลงมาที่หมู่บ้าน ข้าเป็นห่วงนัก”
   “เรื่องนั้นข้าก็เป็นกังวลเหมือนกัน...แต่ไม่ต้องห่วงไปหรอก ข้าเชื่อว่าท่านเคเรสจะต้องช่วยเจ้าชายอัสมาออกมาได้แน่นอน”
   “เจ้ารู้ได้ยังไง”
   “ข้ารู้ก็แล้วกัน...ท่านเคเรสน่ะเป็นห่วงชีวิตของอัสมายิ่งกว่าอะไรเสียอีก”
   ลามิสฟังดูแล้วรู้สึกแปลก ๆ
   “ที่ท่านพูดหมายถึง...”
   “ใช่...ที่ข้าพูดหมายถึงท่านเคเรสชอบท่านอัสมา” คาลย์ยืนกอดอกยิ้ม “ถึงขนาดตามขึ้นไปช่วยตามลำพังแล้ว เขาคงไม่ปล่อยให้ท่านอัสมาต้องตกอยู่ในอันตรายหรอก ข้าเคยได้ยินท่านเคเรสเล่าให้ฟังว่ากษัตริย์เผ่าปักษาพระองค์ใหม่ที่ชื่อว่าสุนิลนั่น มีพลังร้ายกาจ สามารถเปิดป่ารัตติกาลได้ภายในชั่วพริบตา ข้าคิดว่าท่านเคเรสอาจคิดว่าป่ารัตติกาลไม่ปลอดภัยสำหรับอัสมาก็ได้ จึงพาไปหลบซ่อนอยู่ที่อื่น”
   “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีน่ะสิ....” ลามิสชำเลืองมองไปยังคาลย์ “ท่านเป็นสหายคนสนิทของกษัตริย์เคเรสหรือ ท่าน...คงจะรู้สินะว่าทำไมเขาถึงได้มีสีตาที่แตกต่างไปจากผู้อื่น”
   “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน...มันนานมากแล้ว ที่เขาเกิดมาแล้วมีดวงตาสีทอง และมีความสามารถแปลงร่างได้ในคืนที่พระจันทร์ไม่เต็มดวง แตกต่างไปจากคนอื่น ๆ อดีตกษัตริย์เพิ่งตายลงได้เพียงสองปี แล้วเขาก็ขึ้นสู่บัลลังก์แทนพระบิดา แต่เขากลับทำตัวแปลกแยกไปจากคนอื่น ๆ และไม่ชอบให้ใครเรียกเขาว่ากษัตริย์”
   “ทำไมล่ะ”
   “ข้าคิดว่าเขาอาจไม่ชอบนัยน์ตาของตัวเอง และก็ไม่ชอบความสามารถเฉพาะตัวด้วย...ทั้ง ๆ ที่ข้าคิดว่ามันเป็นความสามารถที่พิเศษแท้ ๆ”
   “แล้วข้าควรเรียกเขาว่าอย่างไร...ดูท่าทางท่านอัสมาจะยังไม่รู้เรื่องนี้”
   “ก็ให้เจ้าเรียกท่านเคเรสอย่างเดิมเถอะ” คาลย์ยิ้ม “ตอนนี้สิ่งที่เราควรกลัวที่สุด ก็คือสุนิลอาจจะบุกมาที่นี่พร้อมกองทัพเผ่านิลกาฬเพื่อมาตามหาอัสมา และเพื่อสังหารท่านเคเรส”
   “ข้าไม่ยอมให้เผ่านิลกาฬเข้ามาง่าย ๆ หรอก”
   “ข้าก็คิดว่าอย่างนั้น” คาลย์เหยียดยิ้ม แล้วก็ตบบ่าเบา ๆ ของลามิส...ขุนพลหนุ่มหน้านิ่วคิ้วขมวด เขาจะมัวมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ไม่ได้ เขาเป็นเผ่าพันธุ์ปักษาและศัตรูของเขาก็เป็นเผ่าพันธุ์นิลกาฬ จะให้เผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิงออกมารับหน้าได้อย่างไร

   ...ที่ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำมีซอกมุมต่าง ๆ ที่งูสามารถเลื้อยไปมาได้ มันถูกคว้าจับโดยชายผู้มีผิวสีแทน ฉับพลันเขาก็เชือดคอมัน แล้วใช้ปากถลกหนังมัน และก็จับโยนลงไปในกองไฟตรงหน้า เคเรสแข็งแรงขึ้นมาแล้ว...เขาสามารถกินได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นนก งู หรือแม้กระทั่งสัตว์มีพิษ อัสมาอึ้งไปพักใหญ่....
   ไม่ใช่อะไรหรอก...
   ถึงแม้ว่าเขาจะถูกเลี้ยงดูมาในฐานะเจ้าชายมาตลอด แต่ถ้าไปหลงอยู่ในป่า...เขาก็มั่นใจได้ว่าย่อมสามารถเอาตัวรอดได้ แต่เรื่องที่จะให้เขากินงูพิษ นก หรือแม้แต่แมงมุมที่อยู่ใต้ดิน บอกตามตรง...ว่าอัสมาไม่ค่อยอยากกินเท่าไหร่ เคเรสมองดูอัสมา
   “เป็นอะไร...เจ้าไม่อยากกินงูนี่หรือ”
   “ไม่ใช่....คือข้า ไม่ค่อยชอบงูเท่าไหร่”
   “อย่างนั้นหรือ...ข้าเองก็ไม่ชอบมันเท่าไหร่นักหรอก ปกติแล้วเจ้ากินอะไรกันล่ะ”
   “ก็พวกผลไม้ หรือไม่ก็ปลา พวกสัตว์ที่เขาเลี้ยงไว้กินเนื้อน่ะ”
   “ข้ากินได้ทุกอย่างนั่นแหละ...เวลาที่เราหลงป่า เราเลือกกินไม่ได้ เจ้าเองก็น่าจะรู้ดี ข้างนอกนั่นมีลำธารอยู่ไม่ไกลนัก เดี๋ยวข้าจะออกไปหาปลามาให้เจ้ากินก็แล้วกัน”
   “ไม่ต้องหรอก ข้าไปเองได้” อัสมาลุกขึ้นพร้อมมีดสั้นเหน็บเอวขึ้นมา “ท่านนอนพักอยู่ที่นี่เถอะ”
   อัสมายิ้มและเขาก็เดินไปยังต้นเสียงของน้ำ และก็แลเห็นน้ำตกใหญ่และมีสายธารกว้าง ที่นั่นมีปลาอยู่มากมาย อัสมาเดินลงไปในน้ำ...และก็เอามือรองรับสายน้ำตก เขาเอามาลูบใบหน้าและตามท่อนแขนเพื่อลูบไล้คราบสกปรก ชายหนุ่มหน้าหวาน...หรี่ตาลงมองสายน้ำ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน แก้มของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีระเรื่อ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาจะยอมมีอะไรกับเคเรส
   แม้ว่าตอนแรกมันจะยังไม่น่าพิสมัยเท่าไหร่
   แต่ตอนหลัง อัสมาจำไม่ได้แล้วว่ามีความสุขเพียงใด
   “บ้าจริง...” อัสมาชักมีดออกมา เล็งไปที่เป้าหมายนั่นก็คือปลาตัวใหญ่ใต้ผิวน้ำ ฉับพลันที่มีดพุ่งออกไปปักไปโดนพื้นผิวโคลนใต้น้ำ เฉียดหัวปลาไปเพียงนิดเดียว ชายหนุ่มเม้มปากแน่น พยายามลองใหม่ คราวนี้เขาพุ่งปักลงไปโดยแรง แต่ก็ยังไม่ได้ผล
   “ปลาพวกนี้น่ะว่องไวกว่าที่เจ้าเห็นมากนะ”
   อัสมามองมายังเคเรส ใบหน้าของเขาเรียบเฉย
   “ให้ข้าช่วยดีกว่า...”
   “ท่านกำลังบาดเจ็บอยู่ไม่ใช่หรือ”
   “แค่นี้น่ะ พักผ่อนแค่วันเดียวก็หายแล้ว” เคเรสเอามีดสั้นที่ติดตัวมา แล้วเดินเข้ามาใกล้กับอัสมา เพียงชั่วพริบตาเขาก็เหวี่ยงมีดสั้นลงไปยังปลาที่อยู่ใต้น้ำ มันดิ้นกระเสือกกระสนแล้วก็ลอยมาให้เคเรสได้จับขึ้นมา อัสมายิ้มบาง ๆ ให้กับเขา ท่ามกลางป่าใหญ่แห่งนี้เขาไม่อาจสู้เผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิงได้เลย
   “สมกับเป็นเผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิง ข้าไม่อาจสู้ได้เลย”
   “ข้าเติบโตมากับป่า....แล้วเจ้าล่ะ ร่างกายยังไหวอยู่หรือเปล่า” เคเรสก้มลงมากระซิบแผ่ว ถามด้วยความเป็นห่วง อัสมาแก้มร้อนผ่าว ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น หลบเลี่ยงสายตาสีทองคู่นั้นมองไปทางอื่น
   “เรื่องเล็กน้อยสำหรับข้า...ท่านไม่ต้องเป็นห่วงนักหรอก”
   “อืม...ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ”
   อัสมาเดินเลี่ยงไปทางอื่น น้ำตกทำให้เสื้อของเขาเปียกไปหมด จนเห็นไปถึงผิวพรรณบาง ๆ ใต้ร่มผ้า และเวลาที่ชายหนุ่มเงยหน้ามองขึ้นไปยังน้ำตก ช่างดูราวกับเทวดาซะจริง เคเรสร้อนผ่าวขึ้นมาทั้งร่าง...เดินไปจับข้อมือบาง อัสมาหันมาและชายหนุ่มก็จับก้อนหินที่อยู่ใกล้ลำตัวของเขา เคเรสจูบไปที่หลังมือของอัสมา ทำเอาแก้มของเขาร้อนผ่าวไปหมด
จากนั้นก็เม้มกัดที่ข้อบาง จนอัสมาตัวสั่นไปหมดทั้งร่าง
   “เมื่อคืน...เจ้างดงามมากรู้ตัวไหม”
   “เคเรส...”
   “เวลาที่เจ้าอยู่ท่ามกลางน้ำตกแบบนี้...เจ้าไม่รู้ตัวเลยหรือว่าเสื้อผ้าเจ้าบางมาก”
   อัสมาหน้าแดงจัดยิ่งกว่าเดิม เขาทำท่าจะหนีออกไปจากเคเรส
   “ข้า...จะกลับไปในถ้ำ”
   “ทำไมต้องหนีหน้าข้าด้วยล่ะ”
   “ข้าไม่ได้หนี...” อัสมาหรี่ตาสีเขียวมรกตไปทางอื่น เขาไม่อาจห้ามหัวใจที่เต้นแรงในเวลานี้ไปได้ เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรเวลาที่อยู่ใกล้กับเคเรส ร่างกายถึงได้สั่นเทานัก เคเรสใช้มือจับปลายคางของอัสมาเอาไว้ ให้เงยหน้ามองเข้าไปในดวงตาสีทอง
   “ข้าชอบเจ้า...แต่ข้ายังไม่ได้รับคำตอบจากเจ้าเลยอัสมา”
   “คำตอบเมื่อคืนยังไม่พอใจอีกงั้นหรือ”
   “ยัง...ข้ายังไม่ได้ยินมันจากปากของเจ้าเลย” เคเรสยิ้ม และโน้มหน้าลงไปหาอัสมา เขารีบเอามือขึ้นมาป้องปากของเคเรสเพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายได้จูบ ดวงตาสีเขียวมรกตทอประกายไม่พอใจ เคเรสมองดูเจ้าชายแห่งเผ่าพันธุ์ปักษา แม้ว่าร่างกายจะเป็นของชายหนุ่มไปแล้ว แต่กลับไม่อาจเปลี่ยนแปลงนิสัยได้เลย เคเรสยิ้มและจับข้อมือบางใช้กำลังแขนกดลงกับพื้นหิน จนอัสมาอุทานด้วยความเจ็บ
   “ท่าน...”
   “เจ้าล่ะชอบนิสัยของเจ้านัก”
   เคเรสประกบเรียวปากเข้ากับริมฝีปากอุ่นร้อนของเจ้าชายอัสมา สัมผัสมันแสนนุ่มละมุนและหวานมาก เสียจนชายหนุ่มไม่อยากทอดถอนเรียวปาก เขาพัวพันลิ้นเข้าไปความหาความหวานภายในโพรงปากของอัสมา ท่ามกลางเนื้อตัวที่สั่นเทา เคเรสรู้สึกได้ว่าเวลาเขาจูบอัสมาทีไร...ร่างกายของเผ่าพันธุ์ปักษาจะอ่อนยวบ เหมือนเข่าจะอ่อนลงไปอย่างนั้นแหละ เคเรสใช้มือจับที่ปลายคางเอาไว้ และจูบอย่างรุ่มร้อน...ดุดัน จนเรียวปากของอัสมาเจ็บไปหมด
   ขณะที่มือหนาก็ลูบไล้ไปตามผิวเนื้อใต้ร่มผ้า...
   อัสมาหายใจผะแผ่ว...ดวงตาคลอไปด้วยน้ำ แก้มแดงปลั่ง
   เคเรสหรี่ตามองอีกฝ่าย...แล้วก็เหยียดยิ้ม อย่างนี้นี่เอง
   อัสมาเองก็มีความปรารถนาเหมือนกัน...แต่ก็ไม่อาจพ้นจากสายตาของเคเรสไปได้
   “เจ้าเองก็ต้องการข้าเหมือนกันไม่ใช่เหรอ...”
   “อึก..ข้า”
   เคเรสไล้เลียไปที่ปลายคาง...แล้วก็ตรงช่วงไหล่ ไล่ลงไปตรงช่วงอก อัสมาแก้มร้อนรุ่มไปหมด พยายามดึงมือออกจากการเกาะกุม แล้วดันชายหนุ่มออกไปสุดแรง ชายหนุ่มรูปงามเอามือบังคอเสื้อตัวเองเอาไว้แน่น แก้มแดงอย่างไม่อาจซ่อนเร้นเอาไว้ได้ หายใจหอบ
   “ห้าม...ท่านทำแบบนี้อีก เข้าใจหรือเปล่า”
   เคเรสยักไหล่ ยอมถอยออกมาหนึ่งก้าวยักไหล่
   “ข้าไม่ฝืนร่างกายเจ้าหรอกอัสมา”
   “ก็ตอนนี้ข้ายัง....” อัสมาเอ่ยพึมพำ มือยังกำคอเสื้อเข้าหากันแน่น หน้าแดงจัด เคเรสเลิกคิ้วเพราะเสียงน้ำตกมันกลบเสียงอันแผ่วเบาของชายหนุ่มไปหมด เคเรสเลยก้มหน้าเข้ามาถามอีกครั้ง
   “เมื่อกี้เจ้าว่ายังไงนะ !?”
   “....”
   “อัสมา..”
   “ที่ข้าปวดเอวก็เพราะท่านนั่นแหละ” อัสมาตะโกนใส่หูของเคเรส พร้อมด้วยหน้าที่แดงก่ำ
   เคเรสเลิกคิ้วสูง ก่อนที่คิ้วจะขมวดมุ่น เอามือขึ้นปิดปาก
   นั่นสินะ...ก็เขาทำเกือบทั้งคืนเลยนี่นา
   “ขอโทษนะ ข้าลืมไป...อ้าวนั่นเจ้าจะไปไหน”
   “ข้าจะกลับไปถ้ำ”
   เคเรสถอนหายใจยาว จากนั้นก็เอาปลาที่หาได้ไปด้วย...ทั้งคู่กินปลาร่วมกันโดยที่อัสมาไม่ยอมมองหน้าเคเรสเลยแม้แต่วินาทีเดียว...หลังจากดับไฟและทั้งคู่ก็เตรียมตัวออกเดินทาง อัสมาไม่รู้เลยว่าเคเรสจะพาไปที่ไหน แต่เท่าที่เขารู้ในอีกสองวันข้างหน้าจะเป็นคืนที่พระจันทร์เต็มดวง วันนั้นแหละที่จะเป็นวันตัดสินว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ เผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิงหรือเผ่าพันธุ์นิลกาฬกันแน่
   แต่ทำไมเคเรสถึงได้มีดวงตาที่แตกต่างไปจากคนอื่น ๆ
   “ท่านจะพาข้าไปที่ไหน”
   “สถานที่บางอย่าง...เป็นที่ที่ใครก็เข้าไม่ถึง”
   “แม้แต่สุนิลด้วยอย่างนั้นหรือ”
   “ใช่”
   อัสมาไม่พูดอะไร เขารู้สึกว่าป่าแห่งนี้ค่อนข้างสว่างกว่าป่ารัตติกาล มีแสงแดดอ่อน ๆ และเริ่มมีบรรดาเหล่านกส่งเสียงร้อง และป่าแห่งนี้ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวลวงหลอก ทำให้อัสมาค่อยหายใจโล่งขึ้นมาหน่อย ชายหนุ่มมองขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับความคิดที่ว่า ถ้าเขาบินไปมันอาจจะถึงสถานที่จะไปได้ง่ายกว่า
   “ถ้าเจ้าคิดจะบินไป ข้าบอกได้เลยว่าไม่มีทาง”
   “ท่านรู้ความคิดของข้าได้เช่นไร”
   “เพียงแค่ข้าแอบมองเจ้า...ก็รู้อยู่แล้วว่าเจ้าคิดอย่างไร” เคเรสหันมายิ้ม ดวงตาสีทองเป็นประกาย
   “ทำไมท่านถึงบอกว่าไม่มีทางล่ะ”
   “เพราะว่าบริเวณนั้นถูกปกคลุมด้วยสายหมอก บดบังทุกสิ่งมีชีวิตไม่ให้เข้าไปใกล้...และเป็นถิ่นกำเนิดของแม่ข้า นางเคยช่วยพ่อของข้าเอาไว้ ทั้งสองอยู่ร่วมกัน...แล้วแม่ของข้าก็จากไปเสียก่อนในวันที่ข้าลืมตาดูโลก”
   “ข้าเคยนึกสงสัยนะว่าเหตุใดท่านถึงได้มีดวงตาแตกต่างไปจากคนอื่น”
   “แม่ของข้าก็มีดวงตาสีนี้...ดวงตาของแสงอาทิตย์อันร้อนแรง ไม่มีใครรู้ถึงอดีตตัวตนของแม่ข้า ไม่รู้ว่านางอายุเท่าไหร่ รู้เพียงแต่ว่านางมีชีวิตอยู่ท่ามกลางป่าแห่งสายหมอก อันเป็นที่ ๆ เรากำลังจะเดินไปถึง”
   อัสมาไม่พูดอะไร...เผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิง แตกต่างไปจากเผ่าพันธุ์ปักษาที่มีปราสาทเพียงหนึ่งเดียวอยู่บนยอดเขาหิมะที่มีต้นสนปกคลุมอยู่หนาแน่น เขารู้ดีว่าถึงถามไปก็คงไม่ได้รับคำถามอยู่ดี...เคเรสอยู่ในฐานะอะไร แล้วแม่ของเขาเป็นคนแบบไหน แล้วเขารู้เส้นทางที่จะไปป่าแห่งสายหมอกนี้ได้อย่างไร
   ...มีแต่ต้องตามเคเรสไปเท่านั้นแหละ
   อยู่ ๆ ก็มีสายหมอกรายรอบอัสมา ตอนแรกมันก็แค่บาง ๆ แต่ตอนนี้ชักจะเริ่มมองอะไรไม่เห็น เขารู้สึกได้ถึงฝ่ามือที่จับมือเขาเอาไว้แน่น อัสมามองอะไรไม่เห็นทั้งนั้น...
   “หลับตาเสีย...เมื่อถึงแล้วข้าจะเรียกเจ้า”
   อัสมาเม้มเรียวปากแน่น...หลับตาลง เดินตามฝ่ามือที่จับมือเขาเอาไว้แน่น เขาไม่เคยรู้สึกอุ่นใจเท่านี้มาก่อน...ที่มีเคเรสเป็นคนนำทาง แม้ปลายเท้าจะเหยียบกิ่งไม้ไปบ้าง แต่ฝ่ามือที่กุมแน่นอยู่ที่มือของอัสมา ก็ไม่เคยปล่อยให้เขาต้องเดินคนเดียวเลยแม้แต่น้อย
   ...เขาได้ยินเสียงของพระบิดา และเสียงร้องเรียกของลามิสขุนพลของอัสมา จนเกือบจะหันหลังกลับไปมอง แต่ก็หยุดชะงักเอาไว้เพราะเสียงของเคเรสดังก้อง
   “ไม่ว่าเจ้าจะได้ยินเสียงร้องเรียกว่าอะไร...อย่าพยายามหันกลับไปมอง”
   อัสมากลืนน้ำลาย...มือของเขาเย็นเฉียบขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ชายหนุ่มพยายามทำเป็นไม่ได้ยินเสียงร้องเรียก แต่มันกลับยากเหลือเกินที่จะไม่หันกลับไป ไม่เคยรู้เลย...ว่าจะมีป่าแห่งสายหมอกที่ซ่อนเร้นเอาไว้แบบนี้ด้วย มือของเคเรสกระชับแน่นเข้าไว้ เมื่อรับรู้ได้ถึงแรงสั่นเทาที่ฝ่ามือและผิวกายที่เย็นเฉียบ
   ...นานแค่ไหนก็ไม่รู้ จนกระทั่ง
   “ถึงแล้วล่ะ...ลืมตาได้อัสมา”
   อัสมาลืมตาขึ้นมอง...สถานที่แห่งนี้ไร้หมอก และเป็นที่ ๆ แสงอาทิตย์ส่องถึง มีสถาปัตยกรรมเก่าแก่ คล้าย ๆ เมืองร้างไปนานนับศตวรรษ มีต้นไม้อยู่รายรอบ...มีกวางป่าและกระต่ายจ้องมองมาอย่างสนอกสนใจ อัสมาตะลึงมากเพราะไม่คิดว่าจะมีสถานที่แห่งนี้มาอยู่ที่เกาะแห่งนี้มาก่อน แสดงว่าเคเรสจะต้องรู้...ว่าเขาจะต้องเดินทางมาที่นี่ เพราะว่าที่นี่มีอดีตของเขาเพียงคนเดียว
   “ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลย...ว่าเกาะแห่งนี้จะมีสถานที่สวยงามเช่นนี้ด้วย”
   อัสมาเดินไปดูสถาปัตยกรรมแถวนั้น...มันมีตะไคร่ขึ้นเขียวไปหมด มีรูปปั้นถูกเถาวัลย์ป่าบดบังเอาไว้ ที่นี่ดูมีอารยธรรมเก่าแก่ อาจนานเกินกว่าเผ่าพันธุ์ปักษาก็เป็นได้ เคเรสเองก็มองหาต้นไม้สูงใหญ่...และมองเห็นมันอยู่ที่สูง อัสมารู้แล้วว่าทำไมที่นี่ถึงป้องกันผู้บุกรุกได้ดี เพราะไม่มีใครเลยที่จะฝ่าม่านหมอกแห่งนี้เข้ามาได้
   “เราขึ้นไปกันเถอะ...”
   “ไปไหน..”
   “ข้างบนนั่น”
   เคเรสประคองอัสมาแล้วกระโดดขึ้นไปเพียงแค่สองก้าว ชายหนุ่มร่างบอบบางอุทานเสียงแผ่ว ก่อนจะขึ้นมาถึงบนยอด เป็นลานกว้างราวกับโพรงถ้ำ และใช้เป็นที่หลบภัยได้เป็นอย่างดี จริงอยู่เคเรสมีร่างกายที่กำยำ แต่เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ เขามีพลังที่เข้มแข็ง
   “ที่นี่เหมาะที่จะใช้ซ่อนตัวดีจริง ๆ”
   “ท่านเป็นใครกันแน่...ท่านไม่ใช่เผ่าเขี้ยวสมิงพเนจรใช่ไหม”
   “ข้าเป็นแค่เผ่าเขี้ยวสมิงธรรมดา” เคเรสหันมาเหยียดยิ้ม
   “...ข้าเกลียดคนโกหกที่สุด” อัสมาหรี่ตามองเคเรสแล้วหยัดยิ้ม “ท่านพูดว่าท่านเป็นเพียงคนพเนจร แต่ท่านมีสายตาที่แตกต่างไปจากคนอื่น มีพลังที่เข้มแข็งกว่า สามารถกลายร่างเป็นเสือดำได้ในชั่วพริบตา ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่คืนที่มีพระจันทร์เต็มดวง แถมท่านยังรู้เส้นทางมายังป่าแห่งสายหมอกอีก บอกตรง ๆ นะ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าท่านเป็นเพียงขุนพลธรรมดา”
   “เดี๋ยวเจ้าก็รู้เองนั่นแหละอัสมา” เคเรสเดินเข้ามาใกล้ เอามือดันต้นไม้ด้านหลัง
   “ท่าน...จะจูบข้าเช่นนั้นหรือ” อัสมาหรี่ตามองเคเรส
   “ถ้าเจ้าอนุญาต...”
   “ถ้าข้าไม่อนุญาตล่ะ...ท่านจะทำอย่างไร”
   “ข้าก็จะไม่ฝืนใจเจ้า”
   “รู้ตัวหรือเปล่า...การแตะต้องหรือสัมผัสเรือนร่างของเจ้าชาย จะมีโทษประการใด” อัสมาหยัดยิ้ม “ข้ายอมรับว่าเมื่อคืนเป็นการตอบแทนท่านที่ให้การช่วยเหลือข้า แต่ต่อไปถ้าข้าไม่อนุญาต ท่านก็ไม่มีสิทธิ์แตะต้องข้า รู้หรือไม่ท่านเคเรส โทษโบยของเผ่าพันธุ์ปักษาน่ะ หนักหนาสาหัสมากนะ”
   เคเรสหัวเราะเสียงแผ่ว
   “นั่นมันเผ่าพันธุ์ปักษา...ไม่สามารถนำมาใช้กับข้าได้หรอก สำหรับเผ่าพันธุ์ของข้า ขึ้นอยู่กับคนสองคน ว่ามีความรักต่อกันหรือไม่ ข้าถูกใจสีของดวงตาของเจ้า...มันเป็นสีเขียวมรกตที่ไม่รู้จักการยอมแพ้”
   “ไม่ใช่เรือนร่างของข้าอย่างนั้นหรือ”
   “อันนั้นมันก็เป็นแค่ส่วนประกอบ...ข้าพบเห็นผู้คนเผ่าปักษามามากมาย หากไม่พอใจล่ะก็ ต่อให้เจ้ามีรูปร่างที่งดงามมากกว่านี้เป็นสิบเท่า ข้าก็อาจไม่สนใจอยู่ดี” เคเรสเหยียดยิ้ม “เจ้าเป็นเจ้าชายที่เข้มแข็งมาก แล้วก็ไม่เคยกลัวใคร...สิ่งนั้นต่างหากล่ะ ที่ดึงดูดข้า ทำให้ข้ารู้สึกพอใจในตัวเจ้า”
   อัสมามองเข้าไปในดวงตาสีทอง...เพิ่งมีเขาเป็นคนแรกที่มองข้ามความงดงามของตัวเขา
   เคเรสถือเป็นผู้ชายคนแรกที่พูดแบบนี้...อัสมาจำความได้ว่าตั้งแต่เขาโตเป็นผู้ใหญ่ มีผู้คนจากรอบทิศทางที่พึงพอใจในความงดงามของเขา มาสู่ขอเป็นจำนวนมาก...ซึ่งนั่นทำให้อัสมาปฏิเสธไปทุกครั้ง บางที...เขาอาจจะรอคำพูดของผู้ชายคนนี้อยู่ก็เป็นได้ คนที่ชอบพอเขาจากข้างใน
   ...หาใช่ความงดงามภายนอกไม่
   “เพิ่งมีท่านที่พูดกับข้าเช่นนี้...” อัสมายิ้มบาง ๆ แล้วเขาก็ดึงคอเสื้อของเคเรสเข้ามาใกล้ แล้วจูบริมฝีปากของเขาอย่างแผ่วเบา ทำเอาชายหนุ่มถึงกับตกตะลึง เพราะเมื่อกี้อัสมาเพิ่งพูดไปหยก ๆ ว่าเมื่อคืนเป็นเพียงการตอบแทนเขาที่ให้การช่วยเหลือ
   ...แต่ตอนนี้อัสมาจูบเขาอย่างแผ่วเบา
   “อัสมา...”
   “ข้ายังไม่รู้จิตใจของตัวเองเลย...ว่าข้ารู้สึกยังไงกับท่าน” อัสมาดึงคอเสื้อของเขาเข้ามาใกล้ แล้วกระซิบแผ่วบนริมฝีปากของเคเรส นัยน์ตาสีเขียวมรกตของเขาช่างงดงามเสียนี่กระไร “แต่ข้าพึงพอใจในตัวของท่าน...ท่านจะช่วยข้ากอบกู้บัลลังก์หรือเปล่าท่านเคเรส”
   “แน่นอน...หากเจ้าต้องการ ข้าก็ยินดีที่จะสละชีวิตเพื่อเจ้า”
   “ข้าไม่ต้องการให้ท่านสละชีวิต...” อัสมามองเข้าไปในดวงตาของเคเรส “แต่ข้าต้องการคนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างข้า...ท่านเคเรส”
   “นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เจ้าจูบข้าหรือ...”
   “นั่นยังไม่พออีกหรือ” อัสมาเหยียดยิ้ม
   “ยังไม่พอ...ข้าต้องการมากกว่านี้อีก”
   อัสมาหลับตาแล้วก็ดึงคอเสื้อของเขาเข้ามาจูบ...ริมฝีปากของเขาช่างหวานละมุน และก็นุ่มนิ่มมาก เคเรสยกมือขึ้นประคองใบหน้าของชายที่ตัวเล็กกว่า เข้ามาจูบอย่างพึงพอใจ...ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงความอ่อนนุ่มและก็เร่าร้อนมาจากรอยจูบนั่น เคเรสใช้มือดันเข้าไปที่ลำต้นไม้ด้านหลังอัสมา และเป็นฝ่ายประกบปากด้วยความรุ่มร้อน...พัวพันปลายลิ้นเข้ากับเรียวปากบอบบางของอัสมา
   ...เขาต้องการอัสมาเหลือเกิน
   รู้สึกหลงใหล...ปรารถนา...ต้องการสัมผัสแตะต้องมากมายเหลือเกิน
   “....ท่านเคเรส” อัสมาหายใจหอบผะแผ่ว
   “หยุดพูดเถอะ”

ออฟไลน์ yoome

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
เคเรสใช้ฝ่ามือดันไหล่ของอัสมาให้นอนลง...ชายหนุ่มก้มลงจูบที่ต้นคอ...และมือหนาก็ล้วงเข้าไปใต้เสื้อผ้าสัมผัสเนื้อตัวที่นุ่มนิ่ม...น่าสัมผัส อุณหภูมิในกายของร่างสูงร้อนผ่าว แล้วก็ดึงเสื้อของอัสมาออกมาที่ข้างเอว เผยให้เห็นยอดอกของเขา และเนื้อตัวก็เป็นสีชมพูระเรื่อ เคเรสใช้ปลายลิ้นเลียไปที่ยอดอกสีชมพู จนอัสมาร้องอุทานเสียงหวาน...
อุณหภูมิภายในร่างกายร้อนรุ่มไปหมด เหมือนเปลวไฟที่มอดไหม้ และไม่อาจดับลงได้โดยง่าย ใบหน้าคมคายประกบเรียวปากนุ่มนิ่ม แต่แสนหวานของอัสมา พัวพันปลายลิ้น ดูดดึงเข้าไปในโพรงปาก..ข้อมือเล็ก ๆ ทั้งสองข้างของอัสมาก็ถูกลำแขนแข็งแกร่งจับกดลงกับพื้น
   “...อา...”
   ...เคเรสยังคงประกบเรียวปากนุ่มนิ่ม น่าสัมผัส จนเรียวปากของอัสมาแดงช้ำไปหมด ใบหน้าคมคายทอดถอนเรียวปากพร้อมลมหายใจผะแผ่ว และบดจูบลงไปอีกครั้ง มือหนาข้างซ้ายที่แสนร้อนรุ่มก็ลูบไล้ไปตามแผ่นหลังของอัสมา อา...มันช่างนุ่มนิ่ม น่าสัมผัสเหลือเกิน เคเรสยังคงบดเบียดริมฝีปากเข้ากับเรียวปากแสนหวาน และเต็มเปี่ยมไปด้วยความต้องการ...จนกระทั่งอัสมาตัวสั่นเทา
   เคเรสพัวพันปลายลิ้นนุ่มนิ่มและแสนหวานเข้าไปในโพรงปาก ร่างสูงใช้ลำตัวกดร่างของอัสมาเอาไว้ และใช้ต้นขายันสะโพกเอาไว้ ไม่ยอมให้อัสมาหนีไปจากชายหนุ่ม จนอัสมารู้สึกได้ถึงลำตัวที่ร้อนผ่าว...สั่นเทาจากเรือนร่างและเรียวปากที่เคเรสสัมผัส ใบหน้าคมคายไม่ยอมทอดถอนเรียวปากจากชายหนุ่ม...ตอนนี้อารมณ์ในกายของเคเรส มันร้อนแรงเกินกว่าจะดับลงง่าย ๆ อัสมาร้องอุทานเสียงหวาน..
   “เดี๋ยวก่อน...ข้ายัง”
   “ข้าจะอ่อนโยนกับเจ้า...” เคเรสจูบไปที่ปลายคาง..และลำคอของอัสมา ชายหนุ่มหน้าแดงจัดเมื่อสัมผัสได้ถึงความคับแน่นและอ่อนโยนใต้เรือนร่าง อัสมากอดไปที่ลำตัวของเขา และจิกเล็บลงไปที่แผ่นหลัง เมื่อเคเรสแทรกกายด้วยความเร่าร้อน...และหนักหน่วง อัสมาถึงกับร้องอุทาน เวลานี้เขาทั้งมีความสุข...และความวาบหวาม เคเรสเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ และเร่าร้อนระคนกัน
   ....ค่ำคืนนั้นอัสมาประสานฝ่ามือลงกับเคเรส ท่ามกลางแสงจันทร์บนฟากฟ้า...

   อัสมาหลับสนิทตลอดทั้งคืน...ด้วยความอ่อนเพลีย จนกระทั่งแสงแดดส่องมาจากเงาบังจากใบไม้เหนือศีรษะ ท่ามกลางเสียงนกร้องยามเช้า ชายหนุ่มค่อย ๆ ลืมตาตื่น เขาได้กลิ่นหอมของดอกไม้ และเมื่อลุกขึ้นเขาก็มองไม่เห็นเคเรสอีกเลย ชายหนุ่มเหลียวมองไปรอบกาย
   ....คาดว่าเขาคงจะไปหาของกินกระมัง
   อัสมาเม้มปากแน่น มองขึ้นไปด้านบน...คิดว่าคงจะมองเห็นอะไรได้บ้าง เพราะที่นี่ก็ไม่ห่างไกลจากป่าแห่งรัตติกาลสักเท่าไหร่ เขากางปีกสีขาว...ก่อนจะบินขึ้นไปเหนือต้นไม้ เพื่อสังเกตการณ์
   แปลกเหลือเกิน...
   ไม่ว่าเขาจะบินไปสูงสักเท่าไหร่ ก็มีแต่หมอกบดบัง...หาได้มีทางออกไม่
   อัสมาแปลกใจเหลือเกิน...ในโลกนี้ยังมีป่าที่บดบังการมองเห็นเหมือนเช่นป่ารัตติกาลอีกหรือ แบบนี้คนใดที่เข้ามาใกล้ ก็ต้องหลงป่าอย่างแน่นอน คงจะมีแต่เผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิงอย่างเช่นเคเรสเท่านั้นถึงจะเข้ามาได้ เขาบินกลับลงมาที่เดิม แล้วก็ต้องได้ยินเสียงร้องเรียกดังมาจากข้างล่าง
   “อย่าพยายามเลย..ที่นี่ไม่มีทางออกหรอก” เคเรสนั่นเอง เขาไปเอาผลไม้สุกมาจากภายในป่าแล้วก็ปลาที่ทำมาเรียบร้อยแล้ว กระโดดเพียงชั่วอึดใจ เขาก็ขึ้นมาถึงบริเวณที่อัสมานั่งอยู่ “ข้าไปหาผลไม้มาให้เจ้ากิน แล้วก็หาปลามาให้เจ้าด้วย เจ้าพอจะกินได้หรือเปล่า”
   “ขอบคุณมาก”
   “ไม่เป็นไร...”
   “ข้าได้กลิ่นหอมของดอกไม้...มันมีกลิ่นกระจายไปทั่วทั้งผืนป่า”
   “มันเรียกว่าดอกไม้หัวใจฤดูหนาวน่ะ...”
   “หัวใจฤดูหนาวงั้นหรือ”
   “ข้าเอามาฝากเจ้าด้วย” อัสมารู้สึกไออุ่นจากเคเรสซึ่งเขาโน้มกายเข้ามาใกล้และกระซิบแผ่วที่ริมหูของเขา เคเรสยื่นดอกไม้ป่าในวงศ์พลับพลึงชูช่องดงามเท่าฝ่ามือ ตรงปลายก้านดอก มีสีชมพูตรงกลาง ดอกแยกออกเป็นหกกลีบ เมื่อบานเต็มที่จะกว้างประมาณหนึ่งฝ่ามือ กลิ่นของมันหอมมาก และส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ
   “...บนภูเขาสูงชันของข้าหาได้มีดอกไม้กลิ่นหอมแบบนี้ไม่”
   “มันขึ้นแต่ที่นี่...เป็นดอกไม้ที่แทนความรักของผู้ให้
   อัสมาแก้มร้อนผ่าว...หลัง ๆ มานี่รู้สึกว่าคำพูดแต่ละคำของเคเรสที่ชวนหวั่นไหวยิ่งนัก
   “ท่านเอามันมาให้ข้าหรือ...”
   “ใช่...ดอกไม้ชนิดนี้ ขึ้นอยู่ตามป่าสายหมอก แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ขึ้นอยู่บริเวณรายรอบมันขึ้นอยู่ตามหินผา ป่าแห่งนี้ก็มีความอุดมสมบูรณ์มาก และข้าก็รู้ว่าเจ้าชอบกลิ่นหอมของมัน”
   อัสมาเอามาจรดปลายจมูกหอมกลิ่นละมุนละไมจากดอกไม้
   “หอมเหลือเกิน...” เขากระซิบแผ่ว..
“มันเป็นตัวแทนของหัวใจที่ส่งกลิ่นหอมไปทั่วผืนป่า”
อัสมามองดูเคเรส ดวงตาสีเขียวราวกับมรกตเป็นประกายระยับ
“ท่านรู้หรือไม่...ว่าการที่ผู้ชายเด็ดดอกไม้ชนิดนี้มาให้กับข้า หมายความว่าอย่างไร”
“รู้สิ...” เคเรสยิ้มบาง ๆ “หมายความว่าข้าชอบเจ้า...ไม่ใช่สิ ข้าหลงรักเจ้ามากกว่า” เคเรสมองอัสมาประดุจแสงแห่งดวงอาทิตย์ “ข้ารู้ว่าเวลานี้เจ้ามีเรื่องปราบพวกกบฏ แต่ว่าข้าขอมอบของหมั้นไว้ให้เจ้าแล้ว...อืม...จะเรียกว่าของหมั้นดีหรือเปล่านะ ก็เจ้าเป็นถึงเจ้าชายเผ่าพันธุ์ปักษา คงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แน่ที่ข้าจะไปสู่ขอเจ้า”
“ท่านนี่ช่างตลกเสียจริง”
“ตลกตรงไหน !?”
“เมื่อคืน....มันยังไม่พออีกหรือไง”
“แค่นั้นมันยังไม่พอหรอก” เคเรสเหยียดยิ้ม “เวลานี้ ข้าเด็ดดอกไม้หัวใจฤดูหนาวแทนความรักเพื่อมอบให้แก่เจ้า...เจ้าจะรับมันเอาไว้และมีชีวิตร่วมกับข้าตลอดไปได้ไหมอัสมา นี่คือคำสัญญาเพียงหนึ่งเดียวที่ข้าจะมีให้แก่เจ้าได้ ข้าจะปกป้อง คุ้มครองเจ้าจากอภันอันตราย และจะมอบหัวใจรักให้แก่เจ้าไปชั่วชีวิต ข้าอยากได้ยินมันจากปากของเจ้าอัสมา” เคเรสเอื้อมมือไปแตะแก้มเนียนใส
ดูเอาเถอะ...ช่างเป็นผู้ชายที่ชอบทำให้หัวใจของเขาหวั่นไหวเสียจริง
อัสมาแก้มร้อนผ่าวไปหมด...แต่ก็ไม่อาจซ่อนความเขินอายไปจากดวงตาสีทองราวกับดวงอาทิตย์นั้นได้ เคเรสยกมือลูบไล้ปลายเส้นผมสีทอง แล้วโน้มปลายจมูกและเรียวปากจรดเส้นผมนุ่มสลวยนั้นเอาไว้ กลิ่นหอมรัญจวนของดอกไม้ อาจทำให้หัวใจของอัสมาไหวเอน
...ดวงตาสีทองราวกับดวงอาทิตย์ที่กำลังมอดไหม้นั้น
ช่างทำให้หัวใจอันเย็นชาของอัสมา...ค่อย ๆ ละลายลงทุกที
“ข้าไม่รู้เลยว่าข้าจะยอมรับการหมั้นหมายจากท่านได้หรือไม่...เพราะว่าข้าเองก็ยังไม่อาจรู้เลยว่าจะมีชีวิตรอดมาจากการปราบพวกกบฏที่มีกันนับพันได้อย่างไร”
“เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง...เมื่อไหร่ที่ดวงจันทร์โผล่พ้นเต็มขอบฟ้า พวกข้าจะเข้าไปช่วยเหลือพวกเจ้าจากพวกนิลกาฬเอง”
“ท่านรู้ได้อย่างไร ว่าพวกเขาจะยอมไปช่วย !?”
   “ข้ารู้ก็แล้วกัน”
“เอาเป็นว่าเจ้ายอมรับการหมั้นหมายจากข้าแล้วใช่ไหมอัสมา” เคเรสเหยียดยิ้ม
“.....” อัสมาไม่ตอบ ดวงตาสีเขียวมรกตช่างสวยงามนัก เคเรสโน้มกายลงมาใกล้...จนเรียวปากห่างกันเพียงไม่กี่เซ็นต์ เคเรสใช้ปลายนิ้วมือจับปลายคางของอัสมาเอาไว้ แล้วกระซิบแผ่วเบาว่า...
“จูบข้าสิ...อัสมา”
เจ้าชายเผ่าพันธุ์ปักษารูปงามนิ่งไปชั่วอึดใจ...ก่อนที่เขาจะโน้มเรียวปากแสนนุ่มนิ่มกับริมฝีปากอุ่นร้อนของเคเรส ก่อนที่ชายหนุ่มผู้ที่ตัวสูงกว่าจะแทรกปลายลิ้นเข้าไปพัวพันหาความหวานในโพรงปาก อา...อัสมารู้สึกร่างกายของเขาจะร้อนขึ้นทุกเมื่อ เมื่อไหร่ก็ตามที่เคเรสสัมผัสร่างกายของเขา อัสมารู้สึกเข่าอ่อนทุกที...จูบอันแสนนุ่มละมุน ทำให้ร่างกายของอัสมาอ่อนยวบ
“หวานเหลือเกิน...รู้สึกว่าเจ้าจะจูบเก่งขึ้นนี่”
“เพราะใครกันล่ะ”
“มาเถอะ...มานั่งกินอาหารเช้า วันพรุ่งนี้พระจันทร์เต็มดวง” เคเรสมองขึ้นไปบนท้องฟ้า “ข้าจะพาเจ้ากลับไปที่เผ่าเขี้ยวสมิง เวลานี้อดีตกษัตริย์น่าจะได้รับการรักษาจนค่อยยังชั่วแล้ว”
อัสมาพอจะนั่งกินปลากลับชะงักกึก
“เป็นอะไร !?”
“ข้าเป็นห่วงพระบิดา รวมไปถึงลามิสด้วย...ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้”
เคเรสขมวดคิ้วมุ่น การที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงลามิสบ่อย ๆ เข้า มันก็ทำให้เขารู้สึกหึงหวงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกัน เขาเอื้อมปลายนิ้วไปหยิกแก้มของอีกฝ่ายอย่างรุนแรงหนึ่งครั้ง จนทำให้อัสมาร้องอุทานด้วยความเจ็บ
“ท่านทำอะไรน่ะ !? มันเจ็บนะ”
“เจ้าทำให้ข้าหึงรู้ตัวหรือเปล่า อะไร ๆ ก็ลามิส เขาเป็นอาจารย์ของเจ้าหรือว่าเจ้าแอบชอบเขากันแน่”
อัสมาลืมตาโต ก่อนที่จะหัวเราะเบา ๆ
“ท่านต่างหากล่ะ ที่ขี้หึงไม่เข้าเรื่อง...ลามิสน่ะเขามีครอบครัวอยู่แล้วนะ แถมยังมีลูกชายอีกด้วย”
“อะไรนะ !?”
“ก็ข้ากำลังพูดอยู่นี่ไง อ้อ...ลืมไป ข้าไม่เคยบอกท่านเรื่องนี้เลยใช่ไหมท่านเคเรส” อัสมาชำเลืองมองเคเรส เรียวปากยิ้มละไม “คนที่ขี้หึงน่ะ เป็นท่านต่างหาก”
“เอาล่ะ ๆ ก็ได้ ข้าเป็นฝ่ายหึงเจ้าเอง” เคเรสกัดเนื้อเอาเข้าปาก “แต่ว่า...เรื่องสุนิล อันนั้นข้าไม่ได้เข้าใจผิดอย่างแน่นอน เขาน่ะชอบเจ้า...และอาจกักขังเจ้าเอาไว้ชั่วนิรันดร์”
“เรื่องการเมือง กับเรื่องส่วนตัว ข้าไม่อยากเอามายุ่งเกี่ยวกันนักหรอก” อัสมาหลับตาลงต่ำ “บอกตามตรง...ข้าเองก็ไม่อยากเชื่อเลยว่า สุนิลจะกลายเป็นผู้นำก่อกบฏ แต่จะว่าไป...ก็เป็นความผิดของข้าอยู่ดี ถ้าข้าต่อต้านพวกขุนนางมากกว่านี้ สุนิลอาจไม่ก่อกบฏก็ได้”
“แล้วเจ้าจะเอายังไง”
“ข้าขอคุยกับเขาสองต่อสอง...เมื่อพูดคุยกันไม่ได้ ก็ต้องใช้กำลังเข้าต่อสู้”
“เจ้าอาจแพ้เขาก็ได้....เรื่องนี้เจ้าเองก็น่าจะรู้ดี” เคเรสกัดลูกแอปเปิ้ลเข้าปาก “สุนิลน่ะแข็งแกร่งมาก และก็มีจิตอาฆาตแค้น เขาต้องการมาเพื่อแก้แค้นทุกคน เจ้าเองก็เหมือนกัน...หากเขารู้ว่าเจ้าไม่เข้าข้างเขาล่ะก็ เขาอาจมอบความตายให้แก่เจ้า มากกว่าที่จะครอบครองเจ้าอัสมา”
“ข้ารู้ดี...ถึงอย่างไร ข้าก็อยากจะคุยกับสุนิลอีกสักครั้ง”
“อา...นั่นสินะ เจ้าเองก็กินเสียเถอะ ดูท่าคืนพรุ่งนี้เผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิงจะมีเสียงดังก้องไปทั่วทั้งป่า”


ออฟไลน์ nut2557

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ yoome

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
คืนพระจันทร์เต็มดวง

   ....คาลย์อยู่ในป่ารกทึบ พยายามมองดูว่ามีบุคคลใดกำลังเคลื่อนไหวอยู่บ้างเป็นเวลาเกือบสองวัน และแล้วเขาก็เห็นเงาราง ๆ ของสองคนที่กำลังเดินเข้าป่ามาถึง ชายหนุ่มยิ้มกว้าง...แล้วอุทานเสียงดังวานว่า
   “ท่านเคเรสกลับมาแล้ว...”
   เคเรสรูปร่างสูงใหญ่ เดินนำหน้าเข้ามาภายในหมู่บ้าน และตามมาด้วยเจ้าชายเผ่าพันธุ์ปักษารูปงาม คนในหมู่บ้านพร้อมใจกันหันมามองดู แล้วใบหน้าก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่เว้นแม้แต่ลามิสและอดีตกษัตริย์อามานที่ได้ยินเสียงตะโกนของคาลย์ แล้วแหวกประตูประโจมออกมา
   “ท่านอัสมาด้วย...พวกท่านไปอยู่ที่ไหนมา”
   “ข้าไปซ่อนตัวอยู่ในป่าแห่งสายหมอกมาน่ะ...เผื่อว่าพวกมันจะตามมา แล้วที่นี่ล่ะมีใครพยายามจะเข้ามาภายในป่ารัตติกาลบ้างหรือเปล่า”
   “ที่ข้าลาดตระเวนก็เห็นกลุ่มคนที่อยู่ข้างนอกของป่าน่ะขอรับ แต่พวกมันไม่กล้าเข้ามาที่นี่หรอก”
   ขณะนั้นลามิสก็เดินเข้ามาถึง เข้ายิ้มกว้างอย่างยินดีที่เห็นเคเรสปลอดภัยและสามารถช่วยอัสมาออกมาได้ด้วย
   “ตอนนั้นข้าต้องขอบคุณท่านมาก ๆ เลยนะขอรับ ถ้าไม่มีท่านคอยช่วยเอาไว้ ป่านนี้ก็ไม่รู้ว่าพวกเราจะเป็นอย่างไรบ้าง บุญคุณครั้งนี้พวกเราจะไม่ลืมบุญคุณเลย”
   “ไม่เป็นไรหรอก...”
   อดีตกษัตริย์อามานเดินถือไม้เท้ามา ท่านทรงชรามากแล้ว แต่ภายใต้เสื้อคลุมสีน้ำเงินและริ้วรอยบาดเจ็บยังมีความเป็นผู้นำสูงสุดอยู่ นัยน์ตาสีเขียวเป็นประกายเจิดจ้า เหมือนกับอัสมา พระเกศาและหนวดเคราก็เป็นสีขาวไปหมด
   “ข้าไม่คิดเลยนะ ว่าจะได้มีโอกาสพบกับท่าน...กษัตริย์แห่งเผ่าเขี้ยวสมิง”
   เคเรสไม่ตอบว่าอะไร แต่คำพูดนั้นทำเอาอัสมาที่ยืนอยู่ข้างหลังถึงกับตกตะลึง ดวงเนตรสีเขียวเบิกกว้าง ใบหน้าซีดเผือดไปหมด จนกระทั่งบิดาของเขายื่นมือออกมาแสดงความนอบน้อมเพื่อจับมือกับเคเรส
   “อย่าพูดเช่นนั้นเลย...ข้าเป็นเพียงแค่ผู้นำธรรมดา ไม่ใช่กษัตริย์ที่ไหนหรอก”
   เคเรสจับมืออีกฝ่ายแล้วบีบเข้าหากันเบา ๆ พลางได้ยินเสียงหัวเราะแผ่ว ๆ ดังมาจากอดีตกษัตริย์เผ่าพันธุ์ปักษา
   “อย่ามาโกหกเลย...ข้ารู้ตั้งแต่พบกับท่านตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ข้าเคยได้ยินข่าวมาว่ากษัตริย์พระองค์ใหม่ของเผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิงจะมีดวงเนตรสีทอง สามารถแปลงกายเป็นเสือดำตัวใหญ่ และมีพลังอานุภาพมหาศาล ข้าเองก็ไม่ค่อยเชื่อข่าวลือสักเท่าไหร่ จนกระทั่งมาพบกับท่าน...เป็นท่านนี่เอง กษัตริย์พระองค์ใหม่แห่งเผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิง”
   เคเรสเงียบไปเล็กน้อย
   อัสมาเหลือบมองทุกคน...ดูท่าเขาจะเป็นสุดท้ายที่รู้เรื่องเคเรสเป็นกษัตริย์แห่งเผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิง ดวงตาสีเขียวมรกตของเขาหรี่ตามองแผ่นหลังของชายผู้ที่อ้างว่าเป็นคนพเนจร แล้วก็เป็นเพียงผู้นำธรรมดา หากแต่เขากลายร่างเป็นเสือดำ แล้วฝ่าดงหิมะขึ้นไปช่วยเขา
   ทั้ง ๆ ที่อัสมาน่าจะรู้ดี
   แต่กลับกลายเป็นคนสุดท้ายที่ได้รู้เรื่องนี้...น่าขำสิ้นดี
   “ระหว่างที่ข้าอยู่ภายในเผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิง...ทุกคนดีต่อข้าอย่างเหลือเกิน สิ่งที่ข้าจะพูดนี้...อาจสร้างความลำบากให้แก่ท่าน แต่บัดนี้ตัวข้าไม่เหลืออะไรอยู่เลย พวกก่อกบฏทำให้บ้านเมืองของข้าลุกเป็นไฟ แล้วเขาก็สังหารเหล่าขุนนาง ภรรยาและบุตรของพวกเขา ข้าในตอนนี้ไม่อาจช่วยเหลือพวกเขาได้...ข้าขอร้องล่ะ โปรดช่วยเหลือข้าปราบเหล่าก่อกบฏทีเถอะ แม้ต้องแลกด้วยชีวิตของข้านับร้อยครั้ง ข้าก็ยินดีจะมอบให้ท่าน”
   “พวกเรารู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น...เผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิง ทุกคนเป็นนักสู้มาตั้งแต่กำเนิด และไม่ทิ้งคนที่เข้ามาช่วยเหลือ” เคเรสมองขึ้นไปบนฟากฟ้า “คืนนี้เป็นคืนที่พระจันทร์เต็มดวง เลือดในกายของพวกเราจะร้อนรุ่ม เป็นคืนที่จะเต็มไปด้วยเสียงคำราม เผ่านิลกาฬจะได้รู้ว่าการเผชิญหน้ากับเผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิงจะเป็นเช่นไร”
   “หมายความว่าท่าน...”
   “รอให้พระจันทร์ขึ้นเต็มดวงก่อนเถอะ เผ่าพันธุ์ของข้าจะไปพร้อมลามิส...ส่วนท่านน่ะร่างกายไม่ค่อยจะดีเนื่องจากโดนทรมานมานาน รอฟังข่าวดีอยู่ที่นี่เถอะ”
   “ข้าจะไปพร้อมกับท่านด้วย”
   “ถ้าจะไปก็ไปตายเสียงเปล่า ๆ...ไม่มีใครคอยช่วยเหลือท่านหรอกนะ” เคเรสพูดตรง ๆ อามานก็นิ่งอึ้งไปเลย พวกเขาพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ รอให้พระจันทร์ขึ้นเต็มดวงก่อนเถอะ...แล้วทหารเกือบสามร้อยคนก็จะบุกฝ่าด่านขึ้นไปข้างบน เพื่อทำการร่วมรบกับศัตรู
   หลังจากที่เคเรสคุยกับอดีตกษัตริย์อามานเรียบร้อยแล้ว...ก็มองหาอัสมา เขาถามคาลย์ก็ไม่รู้ว่าเขาเดินไปที่ใด ชายหนุ่มเหลือบมองไปยังท่านเคเรส แล้วพูดลอย ๆ ว่า
   “ที่เป็นแบบนี้...ไม่ใช่ท่านไปหลอกท่านอัสมาไว้หรอกหรือ”
   “ข้าไม่ได้หลอก...”
   “ไม่ได้หลอก...เพียงแต่ไม่ยอมพูดความจริงใช่ไหมล่ะขอรับ” คาลย์เหยียดยิ้ม “ข้าเห็นท่านอัสมาครั้งสุดท้ายบริเวณทางเดินไปที่อ่างน้ำตก สีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก”
   “พูดมากน่า...” เคเรสเดินตามไปตามทางที่ไปน้ำตก...มันช่วยไม่ได้ไม่ใช่หรือไง เขาก็บอกอยู่ว่าไม่ชอบให้ใครมาเรียกว่ากษัตริย์ เขาชอบเป็นนักพเนจรมากกว่า ร่างสูงเดินไปยังบริเวณน้ำตก...ก็เห็นอัสมาเจ้าชายรูปงามแห่งเผ่าพันธุ์ปักษายืนกอดอกพิงต้นไม้ และมองมาด้วยสายตาไม่ค่อยสู้ดีนัก “อัสมา...คือว่าข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า”
   “ข้าเป็นคนสุดท้ายสินะ...ที่รู้ว่าท่านคือกษัตริย์แห่งเผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิง”
   อัสมาหรี่ตามองเขา...แน่นอนว่าเป็นสายตาที่แสนจะเย็นยะเยือก สีหน้าของเขามองดูอีกฝ่ายอย่างคนไม่รู้จัก เขามองดูเคเรสด้วยแววตาเย็นชา
   “ต้องให้ข้าทำความเคารพท่านด้วยหรือเปล่า...กษัตริย์เคเรส”
   “เรียกข้าว่าเคเรสอย่างเดิมเถอะ” เคเรสถอนหายใจยาว “ข้าไม่ได้ตั้งใจหลอกลวงเจ้า...ข้าไม่ชอบให้ใครเรียกข้าว่ากษัตริย์ ข้าชอบอยู่อย่างอิสระ...ไม่ค่อยอยู่ภายในหมู่บ้านนักหรอก”
   “อ้อ...แล้วพวกกษัตริย์ที่เดินทางออกไปต่างแดน แล้วยังไม่กลับเข้ามาอย่างนั้นด้วยสินะ” สีหน้าของอัสมาหยัดยิ้ม
   “เรื่องนั้นมัน....” เคเรสเอามือเกาท้ายทอย “ก็ได้...ข้าโกหกเจ้า ข้าขอโทษเจ้าด้วยที่ทำให้เจ้าเข้าใจผิดอัสมา”
   “สรุปแล้ว ข้าเป็นคนรู้เป็นคนสุดท้ายสินะท่านเคเรส...”
   “อัสมา...”
   “พอที...เรื่องระหว่างท่านกับข้าให้มันจบลงในวันนี้เถอะ ข้าไม่อยากกลายเป็นคนถูกหลอกลวงไปมากกว่านี้” อัสมาทำท่าจะเดินไปทางอื่น ก่อนเหลือบสายตาลงมอง “ท่านเองก็คงมีนางสนมมากมาย และเจ้าหญิงจากเมืองอื่น ข้าไม่อาจเอื้อม ไปสู้รบปรบมือด้วยหรอก”
   “เดี๋ยวสิอัสมา...เจ้าพูดเรื่องอะไรน่ะ”
   เคเรสจับมือของอัสมาเอาไว้แน่น และไม่มีวันยอมให้เจ้าชายรูปงามแห่งเผ่าพันธุ์ปักษาต้องหลุดมือไปเป็นเด็ดขาด แล้วดึงเข้าหาตัว อัสมาจำใจต้องหันหน้ามาสบตากับเจ้าของดวงตาสีทองราวกับอาทิตย์อีกครั้ง แต่ว่าคราวนี้ดวงตาสีเขียวมรกตไม่มีทีท่าว่าจะหวาดกลัวเขาเลยแม้แต่น้อย ผิดกับทุกคนที่รู้ว่าเขาเป็นถึงกษัตริย์ก็มักจะให้ความนอบน้อมและหลบสายตามากกว่า
   เคเรสกระตุกยิ้ม...สมกับเป็นอัสมาจริง ๆ
   “ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับท่าน...”
   “รวมไปถึงการหมั้นหมายด้วยงั้นหรือ !?”
   “ข้ายังไม่ได้ตกปากรับคำเลยสักคำ”
   “ข้าว่าเจ้ารับการหมั้นหมาย...ด้วยรอยจูบแล้วนะ” เคเรสหยัดยิ้ม
   “ก็แค่จูบ...” อัสมาหรี่ตามอง สมกับเป็นเจ้าชายแห่งภูเขาที่เต็มไปด้วยหิมะ ยามใดที่ไม่พอใจขึ้นมาแม้แต่ดวงอาทิตย์ก็ยังไม่อาจละลายหัวใจของอัสมาได้เลย เจ้าชายทำท่าจะเดินจากไป แต่เคเรสเอามือยันต้นไม้เอาไว้ ไม่ให้เขาได้ออกไป อัสมาทำหน้าไม่พอใจเล็กน้อย “พอข้ารู้ว่าท่านเป็นกษัตริย์ คิดจะใช้กำลังกันเชียวหรือ”
   “ข้าอยากพูดกับเจ้าดี ๆ มากกว่า” เคเรสหรี่ตามอง “ไม่ว่าเจ้าจะรู้ว่าข้าเป็นเพียงคนธรรมดา หรือเป็นกษัตริย์หรือไม่ นั่นไม่สำคัญเลยที่เจ้าจะเก็บมาใส่ใจ และข้าก็ไม่เคยมีสนมนางไหน หรือแม้แต่เจ้าหญิงข้าก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว หัวใจของข้า อยู่ที่เจ้าหมดแล้วอัสมา”
   อัสมามองเคเรส..
   “ข้าแค่ไม่อยากให้เจ้าพูดคุยกับข้าแตกต่างไปจากเมื่อก่อน ข้ารู้ดี...ว่าทุกคนที่รู้ว่าข้าอยู่ในฐานะกษัตริย์ พวกเขาก็เอาแต่หลบเลี่ยงไปจากข้า หรือแม้แต่นอบน้อมกับข้า ข้าไม่ต้องการแบบนั้น...ข้าพอใจที่ได้พูดคุยกับเจ้าเหมือนคนปกติ อย่างที่เจ้าเคยพูดคุยและยิ้มให้กับข้า”
   “ท่านหลอกลวงข้า”
   “ใช่...แต่ข้าก็ขอโทษเจ้าแล้วนี่”
   “ถ้าข้าไม่ยอมยกโทษให้ล่ะ ท่านจะว่าอย่างไร”
   “ข้าก็ตามตื้อเจ้าไม่เลิก” เคเรสยังไม่ละความพยายาม
   “ข้าจะยกโทษให้ท่าน...แต่ว่า...” อัสมากระซิบแผ่วที่ริมหูเคเรส จากนั้นก็ชกเข้าที่กลางท้องของชายหนุ่มเต็มแรง จนเคเรสจุกไปหมด แล้วก็ผลักชายหนุ่มออก เคเรสยังไม่ทันได้ตั้งตัวจึงโดนเข้าไปเต็มแรง อัสมาเป็นฝ่ายเดินกลับไป...แล้วหันมายิ้มให้เล็กน้อย
   “อย่างน้อย ก็เป็นค่าที่ท่านโกหกข้าก็แล้วกัน”
   เคเรสเอามือดันต้นไม้เอาไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งก็กุมหน้าท้องตัวเอง นิ่วหน้ามองไปยังอัสมา...พลางเหยียดยิ้ม ทั้งที่ยังจุกไม่หาย
   “เจ้านี่มือหนักจริง ๆ...” เคเรสหัวเราะเสียงแผ่ว

   ...สุนิลอยู่ภายในปราสาทหินอ่อน มองดูลงไปยังเบื้องล่างที่แสนจะมืดมิด..ทหารที่เขาส่งเข้าไปในป่ารัตติกาลกลับไม่มีใครรอดกลับมาเลยสักคน ใบหน้าหล่อเหลายิ้มละไม..ดูเหมือนว่าค่ำคืนนี้จะเป็นการประหัตประหาร ระหว่างกองทัพนิลกาฬกับเผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิงเป็นแน่แท้...
   “เตรียมกองกำลังไว้หรือยัง..”
   “ข้าเตรียมกองทัพหน้าไว้ถึงหนึ่งร้อยคน...เตรียมทหารยามไว้บนค่าย ไม่ว่ามันจะขึ้นมาสักเท่าไหร่ ก็ไม่พ้นกองทัพของเราไปได้หรอกพะย่ะค่ะ” หัวหน้าทหารก้มตัวลงรายงาน
   “อย่าประมาทเชียวล่ะ”
   “พะย่ะค่ะ”
   สุนิลมองขึ้นไปบนฟากฟ้า...เผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิงไม่มีผู้ใดเคยเข้าไปในหมู่บ้านที่ซ่อนตัวไว้ภายในป่าแห่งรัตติกาล พวกเขาจะเริ่มกลายร่างเป็นเสือดำและเสือดาว มีพละกำลังมหาศาลยิ่งกว่าสัตว์ใด ๆ แต่มันก็เป็นเพียงสัตว์สี่เท้าเดรัจฉาน ไม่อาจสู้พญาปักษาที่มีปีกสามารถบินขึ้นสู่ท้องฟ้าได้ ชายหนุ่มเหยียดยิ้ม...ก็ให้มันรู้กันไป ว่าสงครามระหว่างสองเผ่าพันธุ์ระหว่างเผ่านิลกาฬกับเผ่าเขี้ยวสมิง เผ่าพันธุ์ใดมันจะแน่กว่ากัน
   ...แต่มีอยู่ตัวหนึ่ง ที่เขาต้องระวังให้จงหนัก
   คือเสือดำ เจ้าของดวงตาสีทองตัวนั้น....
   “เคเรส...ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องขึ้นมาที่นี่แน่”
   เคเรสและเผ่าพันธุ์ร่วมรบออกมายืนอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์บนฟากฟ้า อัสมากลืนน้ำลาย...เขาไม่เคยเห็นเคเรสในตอนกลายร่างเลยสักครั้ง เขาหลับตาลง..และมีกระแสลมหมุนพัดพาอยู่รายรอบ เคเรสแยกเขี้ยวคำราม ก่อนที่เสียงนั้นจะคำรามลั่นไปทั่วป่า การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเร็วมาก เนื้อตัวของเขากลายเป็นสีดำสนิทและกลายร่างเป็นเสือดำเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ มีนัยน์ตาสีทอง ตัวใหญ่กว่าบรรดาสัตว์ทั้งหลาย ที่ตอนนี้พากันกลายร่างและคำราม...
   เสียงคำรามเหมือนดังก้องขึ้นไปยังปราสาทเบื้องบน
   อัสมาถูกเสือดำช้อนตัวขึ้นหลัง ในขณะเผ่าพันธุ์ปักษาที่เหลืออยู่ก็รวมตัวกับเผ่าพันธ์เขี้ยวสมิงบุกฝ่าทางชันขึ้นไปยังปราสาท ชายหนุ่มโอบจับต้นคอของเคเรสเอาไว้ นัยน์ตาสีทองหรี่ลง...
   ในที่สุด...วันนี้ก็มาถึง
   “สุนิล...วันนี้แหละ จะเป็นวันที่เราสองคนต้องตัดสินกัน”
   “มีผู้บุกรุกขึ้นมาจากด้านล่าง...” เผ่านิลกาฬเป่าแตร พร้อม ๆ กันนั้น เสือดำและเสือดาวก็กระโจนขึ้นมากัดที่ลำคอจนมันร่วงลงกับพื้น
   เหล่านิลกาฬประมาณหนึ่งร้อยคน ก็หันธนูไปยังทิศทางที่ศัตรูผ่านเข้ามา
   แต่ช้าไป...เมื่อธนูยิงเข้าไป เสือดาวและเสือดำที่ว่องไวราวกับสายลมพัด ก็เหยียบตรงก้อนหินและกระโจนเข้ามายังด้านหลัง กระโจนเข้ากัดปีกและไหล่ของพวกทหารจนมันร้องโหยหวน จะมีบ้างก็พวกที่โดนธนูแต่พวกมันก็กระโจนกัดศัตรูจนจมเขี้ยว ตายไปพร้อม ๆ กัน
   การต่อสู้อันดุเดือดระหว่างเผ่าพันธุ์ทั้งสองเปิดฉากกัน พวกชาวเมืองต่างรีบเข้าบ้านและอุ้มลูกหลานเข้าไปสู่เบื้องหลังประตู พร้อมกับกอดกันด้วยความหวาดกลัว
   “อ๊ากกก !!?”
   “กรรจ์”
   สุนิลบินออกมาดู เขาได้ยินเสียงร่ำร้องและเสียงคำราม เขาหรี่ตามองไปยังอัสมาและเสือดำที่เหยียบย่ำลงบนทหารเผ่าพันธ์นิลกาฬ ดูเหมือนว่าฝ่ายนิลกาฬจะเสียเปรียบ เพราะเมื่อเขาจะบนขึ้นฟ้าแต่บรรดาเสือดำและเสือดาวต่างใช้ความว่องไว กระโดดย่ำลงกับกำแพงตึกและกระโดดกัดที่ลำคอ จนร่วงมาลงสู่พื้นดิน สุนิลกางปีกสีดำ...กางกั้น ทำให้เสือพวกนั้นไม่อาจเข้าใกล้ได้ เมื่อไหร่ที่ก้าวเท้าเข้าไปก็เสมือนถูกเปลวเพลิงเผาผลาญ
   “ไม่เลวนี่...น่าเสียดายนะที่มาได้แค่นี้”
   “พวกก่อกบฏ” ลามิสทำท่าจะบินขึ้นไปประทะกันตัวต่อตัว
   “เดี๋ยวก่อน ให้ข้าเอง” อัสมาหรี่ตามอง “ข้ามีเรื่องต้องสะสางกันสุนิลตัวต่อตัว”
   อัสมาดึงดาบออกมา...ถูกต้องแล้ว ถึงแม้เขาจะเป็นเจ้าชาย แต่ก็ยังมีพลังที่แข็งแกร่ง อาจไม่เทียบเท่ากับกษัตริย์พระองค์ใหม่ แต่ก็ไม่ถึงกับอ่อนแอจนต้องพึ่งการช่วยเหลือจากต่างเผ่าพันธุ์นัก ร่างบางกางปีกพุ่งเข้าหาสุนิล พร้อมกับใช้ดาบฟาดลงไปสุดแรง
   สุนิลเบิกตากว้าง เมื่อรอยแรกสีดำถูกแบ่งออกเป็นสองเสี่ยง ทำให้พวกเสือดำและเสือดาวที่ตามเข้ามาผ่านเข้ามาได้
   “ไม่เลวนี่”
   “ข้ามาเพื่อฆ่าเจ้าสุนิล”
   “ถ้าทำได้ก็ลองดู” สุนิลเหยียดยิ้ม และบินขึ้นสูงเพื่อปะทะกับอัสมาตัวต่อตัว เคเรสมองขึ้นไปบนฟ้า...เท่าที่เขาทำได้ในตอนนี้ คือกำจัดพวกศัตรูข้างล่างนี่ให้ดับดิ้น ระหว่างที่สองฝ่ายกำลังสู้กันอยู่นั้น อัสมาก็กางปีกหมุนวนเป็นสายลมพัดแรง พุ่งขนนกคมมีดใส่สุนิล แน่นอนแหละว่าชายหนุ่มเอาปีกห่อหุ้มตัวเองเอาไว้ เพื่อป้องกันตัวเอง “เจ้าคิดหรือว่าแค่นี้จะทำอะไรข้าได้”
   เมื่อสุนิลกางปีกออกมา ก็ต้องเบิกตากว้าง
   เพราะเขาเห็นอัสมาพุ่งเข้าใส่พร้อมกับดาบที่พุ่งตรงเข้าสู่หัวใจ
   สุนิลซึ่งเตรียมตัวเอาไว้อยู่แล้ว ชักคมดาบขึ้นมารับ อัสมาฟันเขาภายในเสี้ยววินาที...จนเกิดเป็นแผลคมดาบเล็ก ๆ ที่ข้างแก้มของสุนิล เจ้าของเส้นผมสีดำเบิกตาโต ก่อนจะหรี่ตาและเหยียดยิ้ม
   “เจ้านี่ฝีมือดีกว่าที่ข้าคิดอีกนะอัสมา”
   สุนิลเอามือกดที่คอของอัสมาเอาไว้ แล้วบินพุ่งตรงเข้ามาตรงขอบตึก พร้อมกับเอาดาบแทงเข้าใส่บริเวณไหล่ขวาของอัสมา จนเขาร่ำร้อง เลือดสีแดงไหลทะลักบริเวณบาดแผล
   “ข้านึกว่าสีของเลือดเจ้าจะแตกต่างไปจากพวกนิลกาฬเสียอีก”
   “สุนิล...”
   “เจ้าเคยบอกว่าอยากให้พวกเราเป็นหนึ่ง...แล้วนี่อะไร เจ้าเอาเผ่าเขี้ยวสมิงเข้ามาบนปราสาทของเรา เพื่อฆ่าฟันเหล่าทหารจนดับดิ้น ยังมีอะไรให้ข้าเชื่อใจเจ้าได้บ้าง”
   “พวกเขามาเพื่อปราบกบฏ...อึก” อัสมาหน้าซีดเผือด หายใจหอบ “เจ้าต่างหากล่ะ ที่ไม่ยอมฟังอะไรเลย ข้าพยายามทุกวิถีทางเพื่อจะเปลี่ยนความเชื่อผิด ๆ แต่เจ้ากลับก่อกบฏขึ้น แล้วแบบนี้มันจะแตกต่างไปจากสิ่งที่เผ่าพันธุ์ปักษาทำกับเผ่าพันธุ์นิลกาฬตรงไหนกัน ดูพวกชาวเมืองสิ...พวกเขาเอาแต่หวาดกลัวพวกเจ้า เพราะว่าเขาเกิดมามีปีกสีขาว พวกเขาทำอะไรผิดกันล่ะ”
   “นั่นมันเป็นคำพูดของข้าอัสมา...ข้าเคยถามตัวเองนับร้อย ๆ ครั้งแล้วว่าตัวเองทำอะไรผิด ถึงได้ถูกขับไล่ออกจากเมืองไปสู่ดินแดนที่อดหยาก...แต่มันไม่สำคัญเลย เพราะว่าอะไรที่เคยเป็นของเผ่าปักษา เผ่านิลกาฬจะเอามาเป็นของตัวเองให้หมด เด็กที่เกิดมาพร้อมปีกสีขาว พวกเขาจะถูกฆ่าให้ตาย หรือไม่ก็ต้องถูกขับไล่ไปสู่ดินแดนที่อดหยากเหมือนกับข้า”
   “สุนิล...”
   “เจ้าจงเลือกมา...ว่าเจ้าพร้อมที่จะอยู่ร่วมกับข้าหรือไม่อัสมา”
   “ข้าเป็นเผ่าพันธุ์ปักษา ข้าไม่อาจทอดทิ้งเผ่าพันธุ์ไปได้หรอก”
   “น่าเสียดายนัก...งั้นก็จงตายไปเสียเถอะ” สุนิลหรี่ตามอง เขาดึงดาบออกแล้วเหวี่ยงดาบเข้าใส่ต้นคอของอัสมา เคเรสพุ่งตัวเหยียบกำแพงและพื้นหลังคาที่สูงที่สุด กระโดดขึ้นไปด้วยพละกำลังมหาศาล พร้อมกับเขี้ยวและเสียงร้องคำราม สุนิลไม่ทันตั้งตัว จึงถูกกัดเข้าไปที่ปลายปีกร่วงหล่นลงสู่พื้น ชั่วขณะนั้น สุนิลก็ขมวดคิ้วเมื่อแลเห็นดวงตาสีทองชัด ๆ กับเขี้ยวที่คำราม “เคเรสหรือ...เจอกันอีกแล้วนะ ทำไมเจ้าจะต้องมาขัดจังหวะของข้าทุกที”
   “กรรจ์”
   “หยุดนะเคเรส เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างข้ากับสุนิล ห้ามเจ้ายุ่งเกี่ยวเป็นอันขาด” อัสมาบินลงมาพร้อมตะโกน เคเรสแยกเขี้ยว แล้วใช้เท้ายันหน้าอกของสุนิลเอาไว้ ก่อนจะถอยห่างออกไปตามคำขอร้องของอัสมา
   สุนิลลุกขึ้นแล้วใช้ปีกบินขึ้นไปยังกลางอากาศ หยัดยิ้ม
   “ไม่น่าเชื่อเลยนะ...ว่าเจ้าสามารถสั่งเสือดำให้เชื่อฟังเจ้าได้ด้วย”
   “นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้า...”
   “ข้าก็ว่าอย่างนั้น” สุนิลหยัดยิ้ม แล้วทั้งคู่ก็ใช้ดาบห้ำหั่นกัน...แม้อัสมาจะบาดเจ็บ แต่เขาสามารถใช้วิชาที่ร่ำเรียนมาได้เป็นอย่างดี จนฝากรอยแผลไว้ที่แขนของสุนิลเอาไว้ได้ ชายหนุ่มใช้ดาบเหวี่ยงเข้าใส่ต้นคอของอัสมา แต่อีกฝ่ายรู้ดีอยู่แล้วก้มลงหลบ แล้วก็ใช้มีดสั้นที่เตรียมมาแทงเข้าไปที่หัวใจของสุนิล จนอีกฝ่ายเบิกตากว้าง เลือดไหลทะลักออกมาจากบาดแผล และไหลรินออกมาจากเรียวปาก
   อัสมากัดฟันแน่น...เขาไม่อยากทำแบบนี้เลย
   “อภัยให้ข้าด้วยสุนิล...” เจ้าชายแห่งเผ่าพันธุ์ปักษาแทงลึกลงไปอีก
   ...สุนิลหรี่ตามองไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหิมะ...ในขณะที่หัวใจของเขาเต้นอ่อนลงทุกที แปลกเหลือเกินที่เขายังจำรสชาติของขนมปังเย็นชืดในคืนวันนั้นได้ กับดวงตาสีเขียวราวกับมรกต และรอยยิ้มกว้างที่มีให้กับเขาแต่เพียงผู้เดียว...อา...บางที สิ่งที่เขาต้องการอาจไม่ใช่แค่เป็นกษัตริย์ของเผ่าพันธุ์ปักษาเลยแม้แต่น้อย แต่หากเป็นอัสมา เจ้าชายผู้มอบขนมปังให้แก่เขา
   และเป็นความหวังให้เขาตลอดมา...
   สุนิลร่วงหล่นลงกับพื้น โดยมีอัสมาบินตามลงมาด้วย ปีกสีดำของสุนิลกางออก เลือดยังคงไหลไม่หยุด...
   “สุนิล...” อัสมาเอามือกดบาดแผลไว้ และคุกเข่าลงมองดูสุนิล
   “ในที่สุด...ข้าก็แพ้เจ้าอยู่ดี” สุนิลหยัดยิ้ม และพยายามเอามือแตะแก้มเนียน “เจ้าชายสำหรับข้า...ก็มีแต่เจ้าเท่านั้นอัสมา”
   ...ก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายจะดับมอดลง...ทิ้งให้อัสมาหลับตาพร้อมกับหัวใจที่เจ็บปวด เขาเอามือปิดตาของสุนิลเอาไว้ เสียงฝีเท้าด้านหลังของเสือดำเดินเข้ามาใกล้ และเลียใบหน้าของอัสมา ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ
   “ไม่เป็นไรหรอก...”
   อัสมาหลับตาแล้วโอบกอดร่างของเสือดำ ท่ามกลางเสียงร้องและความพ่ายแพ้ของเผ่านิลกาฬ ท่ามกลางหิมะตก เขารู้สึกถึงไออุ่นจากร่างของเคเรส มันอุ่น..เสียจนทำให้น้ำตาของเขาไหลออกมาอีกครั้ง อัสมากอดร่างเสือดำเอาไว้แน่น ร่างกายของเขาสะอึ้นฮัก...
   “ขอโทษ...ขอข้าอยู่แบบนี้อีกสักนิดก็แล้วกัน”
   เสือดำก้มลงอยู่เคียงข้างอัสมา...และหลับตาลง ท่ามกลางหิมะที่ตกโปรยปราย...

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ yoome

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
“พระราชาทรงกลับมาแล้ว ทรงพระเจริญ”
   “เผ่าพันธุ์ปักษากำจัดพวกกบฏได้แล้ว”
   เสียงชาวเมืองรายรอบโห่ร้อง แล้วกษัตริย์อามานก็ได้ครองบัลลังค์พร้อมกับอัสมา มีกลีบดอกไม้อยู่เต็มไปหมด พวกของเผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิงก็คืนสู่ถิ่นฐานเดินตั้งแต่เมื่อคืน มีเพียงเคเรสเท่านั้นที่ยังคงยืนเคียงคู่กับอัสมาเจ้าชายของเผ่าพันธุ์ปักษา มีการสูญเสียอยู่มากมาย...แต่นั่นก็ยังไม่เท่ากับเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี ใบหน้าของอัสมายังคงเต็มไปด้วยความกังวล
   “บัดนี้...บ้านเมืองของเรา กำลังกลับคืนสู่ปกติ ด้วยการช่วยเหลือจากเผ่าพันธุ์เขี้ยวสมิง ณ เวลานี้พวกเราสองเผ่าพันธุ์จะรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เอาล่ะ...ถึงเวลาแล้วที่อัสมาผู้สังหารอัสมาผู้นำของเหล่าก่อกบฏจะพูดอะไรบ้าง ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เขาจะเป็นกษัตริย์พระองค์ใหม่หลังจากที่ข้าได้สละบัลลังก์ให้แก่เขา”
   เคเรสยื่นหน้าเข้าไปหาอัสมา
   “ไปสิ...”
   อัสมาก้าวออกไปข้างหน้า...ถึงเวลาแล้ว ที่เขาสมควรพูดเสียที
   “ข้า...มาเพื่อพูดถึงความแตกต่างระหว่างปีกสีขาว และปีกสีดำซึ่งเป็นเผ่านิลกาฬ พวกเขาถูกขับไล่และไปอยู่ดินแดนที่อดหยาก การที่สุนิลมาก่อกบฏในครั้งนี้...ทำให้พวกเราได้รู้ว่า ผลของการถูกขับไล่ และการฆ่าฟันนั้นเป็นเช่นไรเราล้วนเหมือนกัน มีเพียงปีกสีดำและสีขาวเท่านั้นที่ทำให้พวกเราแตกต่าง...”
   อัสมาเอ่ยเสียงชัดเจน
   “หากเรายังขับไล่เหล่านิลกาฬเพียงเพราะปีกสีดำ ข้าเองก็ไม่อยากจะคิดเหมือนกันว่าจะต้องเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกครั้งเมื่อไหร่ อยากจะปีหน้า หรืออีกสักสิบปี นั่นเป็นเพราะพวกเรายังคงรังเกียจเผ่านิลกาฬเรื่อยมา”
   “อัสมา..” กษัตริย์อามานเอ่ยปาก
   “ท่านพ่อไม่ต้องพูดแล้ว” อัสมานัยน์ตาสีเขียวมรกตประกาศว่า “ข้าขอพูดไว้ตรงนี้เลยว่า...ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าไม่ขอยอมรับเรื่องความเชื่อผิด ๆ อีกต่อไป ปีกสีดำและปีสีขาว ล้วนเป็นของขวัญที่พระเจ้าประทานให้ เพราะฉะนั้น พวกเราจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ข้าขอยกเลิกความเชื่อเดิม ๆ เรื่องขับไล่เผ่านิลกาฬออกไป และขอประกาศไปทั่วยังดินแดนที่ห่างไกลออกไป ว่าให้เผ่านิลกาฬกลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้”
   อัสมาได้พูดออกไปแล้ว กษัตรยิ์อามานก็นิ่งไปพักใหญ่ แล้วก็พยักหน้ายอมรับ..เคเรสก็เป็นฝ่ายปรบมือให้ และก็เริ่มมีเสียงปรบมือและเสียงไชโยโห่ร้องของพวกประชาชน อัสมายิ้มบาง ๆ เขาไม่เคยคิดเลยว่า...วันที่ชาวเมืองให้การยอมรับจะมาถึง
   “พวกเรายอมรับในตัวเจ้าชาย”
   “เจ้าชายอัสมาทรงพระเจริญ”
   เคเรสจับปลายนิ้วของอัสมา และพูดเบา ๆ ว่า
   “เจ้าทำได้ดีแล้ว...”
   

   “ว่ายังไงนะ !? เจ้ายกเลิกการดูตัวทั้งหมดเลยหรืออัสมา”
   กษัตริย์แห่งเผ่าพันธุ์ปักษาอึ้งไปพักใหญ่ หลังจากที่มีผู้เข้ามาสู่ขอจำนวนมากมาย หลังจากที่รู้ถึงการกอบกู้เผ่าพันธุ์ปักษาที่เพิ่งเสร็จสิ้นไปได้ไม่นาน
   “ขอรับพระบิดา”
   “ทำไมล่ะ”
   “เพราะว่าข้าได้ตกลงหมั้นหมายกับคนผู้หนึ่งเอาไว้เสียแล้ว” อัสมายิ้ม และเดินไปที่ริมระเบียง “ข้าไม่อาจแต่งงานกับใครได้ เพราะว่ามีเขาเพียงผู้เดียวที่อยู่กับข้า คอยช่วยเหลือข้าทุกอย่าง ต้องขออภัยด้วยพระบิดา”
   “เดี๋ยวก่อนสิ เจ้าพูดถึงใคร”
   “ข้าขอตัวก่อนล่ะ พระบิดา”
   “อัสมา”
   กษัตริย์ผู้แก่เฒ่าของเผ่าพันธุ์ปักษาถึงกับอ้าปากค้าง...ลามิสที่เพิ่งเดินเข้ามา มองเห็นเจ้าชายอัสมากางปีกกว้างใหญ่ และบินออกไปสู่ป่าเบื้องล่างทันที ชายหนุ่มถึงกับลอบยิ้มไม่ได้...เพราะรู้ดีว่าเจ้าชายอัสมาต้องการไปหาใคร เขาโน้มตัวคุกเข่าลงต่อหน้ากษัตริย์
   “เจ้าชายอัสมาคงจะไปหาท่านเคเรสกระมังพะย่ะค่ะ”
   “เจ้ารู้ได้ยังไง” น้ำเสียงของกษัตริย์อามานไม่ค่อยพอใจนัก
   “ข้ารู้ตั้งแต่มองเห็นสายตาสีทองของเขาผู้นั้นแล้ว” ลามิสหยัดยิ้ม “ไม่มีใครหนีโชคชะตาตัวเองพ้นหรอกพะย่ะค่ะ”
   “แล้วแบบนี้ข้าจะตอบพวกที่มาสู่ขอได้ยังไงกันล่ะ...เฮ้อ..ให้ตายเถอะ”
   
   เจ้าชายอัสมากางบิน...พัดพาเอาสายลมไปสู่ดินแดนอันห่างไกล และเป็นที่ ๆ ที่เขาพบกับเคเรสเป็นครั้งแรก เมื่อเท้าแตะดิน อัสมาก็มองขึ้นไปบนต้นไม้ ก็มองเห็นชายหนุ่มกำลังกัดผลไม้อยู่ ทำเป็นไม่สนใจผู้ที่มาใหม่ ทำเอาเจ้าชายอัสมาอยากจะเอามีดสั้นปักที่หัวใจนัก
   “ไม่ถามหน่อยหรือว่าข้ามาหาท่านเรื่องอะไร”
   “แล้วทำไมข้าต้องถามด้วยล่ะ...”
   “ท่านนี่มัน...”
   เคเรสหัวเราะเสียงแผ่ว...กระโดดลงมาจากต้นไม้ และเดินเข้ามาหาเจ้าชายรูปงาม
   “ได้ข่าวว่ามีผู้คนมากมายมารายล้อมสู่ขอเจ้าเลยไม่ใช่หรือ...”
   “ท่านนี่หูดีไม่ใช่เล่น...” อัสมาหรี่ตามอง “แต่ในบรรดาคนเหล่านั้น กลับไม่มีเผ่าเขี้ยวสมิงเลยสักคนเดียว”
   “ข้าอยากให้เจ้าเลือกแล้วไงล่ะ”
   “ไม่ถามเหตุผลหน่อยหรือ ว่าทำไม...ข้าถึงได้บินมาท่านถึงที่นี่”
   “แล้วเจ้าชายอุตส่าห์บินลงมาถึงนี่ทำไมกันล่ะ” เคเรสยิ้มอย่างกวนประสาท
   “ต้องถามด้วยหรือ”
   “ไม่รู้สิ...ข้าเป็นเพียงคนพเนจร”
   อัสมาดึงคอเสื้อของเคเรสลงมา ทาบทับเรียวปากร้อนรุ่มไปกับริมฝีปากอุ่นร้อนของชายหนุ่ม เคเรสตกตะลึงก่อนที่เขาจะหลับตาและรวบกอดเอวบางไว้แนบกับลำตัวไว้แน่น รอยจูบ...ช่างหวานล้ำ และอบอุ่นทุกคราที่สัมผัส เคเรสพัวพันปลายลิ้นเนิ่นนาน...ก่อนจะทอดถอนเรียวปากออกไป อัสมามองเขานัยน์ตาเป็นประกายวาววับ ฝ่ามือยังคงจับข้างแก้มของเคเรสไว้เนิ่นนาน...
   “ข้าเลือกท่าน...เพราะว่าท่านเป็นเพียงผู้เดียวที่ต่อสู้ร่วมกับข้าท่านเคเรส”
   “เจ้าพูดอย่างนี้...ก็แปลว่าจะไม่ยอมให้ข้าปล่อยมือจากเจ้าได้แล้วนะอัสมา”
   “ข้าเคยพูดหรือ...”
   “ข้ารักเจ้า...” เคเรสกระซิบแผ่ว
   “ข้าก็เช่นเดียวกัน”
   เคเรสแนบหน้าผากลงกับอัสมา ทั้งสองโอบกอดกันและกันอย่างเป็นสุข...บางครั้งชะตาก็เล่นตลก และทำให้เคเรสหลงรักอัสมาตั้งแต่เห็นหน้ากันครั้งแรกแล้วก็เป็นได้...เจ้าชายรูปงาม เจ้าของนัยน์ตาสีเขียวราวกับมรกต ที่หลอมละลายหัวใจอันแข็งกระด้างของเขา ให้บังเกิดความร้อนรุ่มได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกัน...


 

ออฟไลน์ samsung009

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 607
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1

ออฟไลน์ cutelady

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
สนุกมาก  อ่านด้วยความเพลิดเพลิน ชอบความรักของพระเอก ที่มีให้นายเอก
 :mew1: :pig4: :o8:

ออฟไลน์ airicha

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 855
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด