หมายเหตุ ::
1.เรื่องนี้เป็น ภาคแยก มาจากเรื่อง ลำนำมฤคินทร์ โดยไม่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกัน มีเพียงการดึงตัวละครมาใช้เท่านั้น
2.นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆทั้งสิ้น
3.หิมพานต์ ในนิยาย แม้จะมีการบันทึกถึงในวรรณคดี หรือไตรภูมิ ทว่าผู้เขียนได้มีการแต่งเสริมเพิ่มเติมจินตนาการของผู้เขียนลงไป จึงขอให้ หิมพานต์ ในที่นี้หมายถึง เป็นเพียงโลกจินตานาการของผู้เขียนเท่านั้น
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พันธนาการมฤเคนทร์
นิลปารัชญ์กลับเข้าสู่คูหาของตน หลังจำต้องออกเดินทางไปช่วยคลี่คลายปัญหาพิพาทในหมู่จตุราชสีห์ด้วยกันเสียหลายเดือน คูหาแห่งกาฬสีหะแห่งนี้มีเพียงเรือนขนาดกลางสำหรับใช้เป็นที่อยู่อาศัยเท่านั้น จึงถูกต้นพิกุลใหญ่หน้าเรือนแผ่กิ่งก้านสาขาบดบังเสียแทบมิด
“ท่านนิลปารัชญ์ ท่านนิลปารัชญ์! ” เสียงเล็กๆ ร้องดังขึ้น ทันทีที่ผู้เป็นเจ้าของคูหาก้าวผ่านม่านเวทเข้ามา ร่างของเด็กชายอายุเพียงสิบสองปีวิ่งเข้ามากอดเอวของนิลปารัชญ์ไว้แน่นด้วยรอยยิ้มกว้าง จนดวงตากลมคล้ายลูกกวางยิบหยีแทบปิด
“เอะอะอันใดกันเจ้าแก้ว” กาฬสีหะหนุ่มก้มหน้าลงเอ่ยถามแกมขำในท่าทางเกินล้นเด็กชายที่กอดตนไว้
“ข้าดีใจที่ท่านนิลปารัชญ์กลับมานี่จ๊ะ ครานี้ท่านไปนานนัก” เด็กชายผละตัวออกจากราชสีห์หนุ่มแล้วทำหน้ามุ่ย
นิลปารัชญ์นิ่งไปช่วงครู่เพื่อพิจารณา ด้วยตนนั้นใช้ชีวิตมานานจนเลิกนับเดือนปี ทั้งร่างกายของเหล่าจตุราชสีห์นั้นเป็นกึ่งร่างทิพย์ความร้อน เย็น แดด ฝน มิอาจกรายกล้ำ กาลเวลาที่เวียนพ้นเพียงแค่วันเดือนจึงไม่อาจทำให้ราชสีห์หนุ่มรู้สึกได้
กระทั่งถูกเจ้าตัวน้อยออกปากทัก ราชสีห์หนุ่มถึงได้หยุดพินิจดู เมื่อยามเขาเดินทางออกจากถ้ำไปเจ้าเด็กน้อยของเขานั้นยังเปลือยอกนุ่งโจงวิ่งเล่นไปมา หากในยามนี้กลับผลัดเปลี่ยนมาสวมเสื้อแขนกระบอกเนื้อคัดสรรโจงกระเบนยาวเสียแล้ว...เพลานี้คงเข้าสู่เหมันตฤดูกระมัง
“มิดีฤๅเล่า เจ้าจักได้เล่นซนเสียให้เต็มที่ เรือนข้ายังอยู่ดีฤๅไม่เจ้าลูกลิง”
“ฮื่อ ข้าเพียงซนนะจ๊ะ หาได้ชอบทำลายข้าวของเสียเมื่อไร ข้ารึเตรียมผลหมากรากไม้ไว้รอรับ ข้าน้อยใจนะจ๊ะ” เถียงคำไม้ตกฟากจนปากยื่นปากยาว น่าดีดเข้าให้สักที
“เช่นนั้นตามใจเจ้า ไว้หายแง่งอนค่อยมารับของฝากจากข้าแล้วกัน”
“ข้าแค่น้อยใจมิได้แง่งอนนะจ๊ะ ท่านนิลปารัชญ์ขึ้นเรือนเถิดจ้ะ ข้าจักไปยกผลไม้มาให้” เด็กชายตัวน้อยตาวาวรีบยิ้มประจบทันที
นิลปารัชญ์ถึงกับส่ายหน้าไปมา ราชสีห์หนุ่มทั้งระอาทั้งเอ็นดูเจ้าตัวน้อยเสียจนอ่อนอกอ่อนใจไปหมด เห็นเด็กชายวิ่งนำหน้าเพื่อเตรียมสำรับอย่างปากว่า นิลปารัชญ์จึงอดที่จะนึกไปถึงคราแรกที่พบเจอเจ้าตัวเล็กไม่ได้
ยามนั้นอากาศได้นอกหนาวเย็นมากจนมีเกิดน้ำค้างแข็งปกคลุมไปทั่วผืนป่า ในค่ำคืนดึกสงัดคูหาที่มีเขาอยู่อาศัยเพียงตนเดียวกลับมีผู้มาเยือน เป็นเขมอารัณย์คนธรรพ์สหายเก่าที่มาพร้อมห่อผ้าขนาดใหญ่ในอ้อมแขน ภายในมีเด็กชายร่างกายผ่ายผอมอายุราวเจ็ดแปดขวบปีหลับพริ้มอยู่
‘ข้าเห็นนอนสลบไสลหายใจรวยรินอยู่ใต้ต้นพิกุล บริเวณเส้นแบ่งอาณาเขตหิมวันต์แลแดนมนุษย์จึงเก็บมา เกรงว่าคงถูกเอามาทิ้ง ฤๅไม่คงนำมาบูชายัญนั้นแล้ว ครั้นจักเลี้ยงไว้เอง...เจ้ารู้ดีภารกิจที่ข้าต้องกระทำมิอาจเลี้ยงดูมันได้ จักไว้ใจฝากผู้ใดข้านั้น
เห็นมีเพียงท่าน เวทนามันเถิดหนา ปล่อยไปมิพ้นตาย แค่เลี้ยงพอโตค่อยปล่อยมันไป มิสิ้นเพลาเจ้ามากนักหนากระมัง’
‘ชื่อเสียงเรียงนามเล่า’
‘มันเป็นไข้หนัก ก่อนพามาหาท่านข้าพามันไปรักษาไข้เสียที่คูหาสรรพยา ฟื้นขึ้นมาความจำกลับเลอะเลือนชื่อเสียงเรียงนามยังมิอาจจดจำ ข้าเจอมันใต้ต้นพิกุล แลจักตั้งชื่อมันว่าพิกุล เกรงว่าเติบโตไปจักอับอายเสีย’ คนธรรพ์หนุ่มหัวเราะเบาๆ เมื่อจินตนาการไปถึงเรื่องในอนาคต
‘ชื่อว่า แก้ว เป็นเช่นไร พิกุลนั้นมนุษย์บางเหล่าเรียก ต้นแก้ว ดอกแก้ว ชายชื่อแก้ว มิแปลกแปร่งเท่าพิกุล’
‘ตั้งชื่อให้เสียแล้ว เช่นนั้นเป็นอันว่าท่านรับปากเลี้ยงดูมันแล้วหนา เช่นนั้นข้าลาล่ะ’
จากวันนั้นกาลเวลาผันผ่านมาถึงห้าปี ช่างผ่านไปรวดเร็วและแสนสั้นดังที่เขมอารัณย์กล่าวไว้จริงๆ ...
ยามค่ำคืนหลังจากหนึ่งราชสีห์หนึ่งเด็กมนุษย์อิ่มหนำกับมื้ออาหาร เจ้าแก้วที่ควรแยกตัวออกไปทำกิจวัตรส่วนตัว กลับมานั่งเท้าคางส่งยิ้มแต้ใส่เจ้าของเรือนอย่างผิดวิสัย
“ของฝากเจ้าข้าให้ไปหมดสิ้นแล้ว จักเอาสิ่งใดอีกเจ้าตัวร้าย”
“ของฝากส่วนของฝาก สัญญาส่วนสัญญาสิจ๊ะ ท่านนิลปารัชญ์สัญญากับข้าว่าหากข้าทำตัวว่าง่าย มิสร้างเรื่องรอท่านกลับมา ท่านจักเล่าเรื่องของต้นพิกุลต้นนั้นให้ข้าฟัง ท่านจักผิดคำฤๅจ๊ะ” หน้าเป็นอยู่เพียงครู่ กลับมาขมวดมุ่นเสียงอีกแล้ว
“ข้ามิลืม แลข้าจักรู้ได้เช่นไรว่าเจ้าว่าง่ายดังว่า”
“เช่นนั้นวันพรุ่ง ข้าจักไปตามท่านอาจารย์ให้มาเป็นพยานจ้ะ”
“เจ้าแก้ว ท่านฤษีชรามากแล้ว เจ้าจักรบกวนท่านถึงเพียงนั้นมิได้”
“จ้ะ” เมื่อถูกตักเตือนใบหน้าเล็กๆ นั้นกลับแปลงเปลี่ยนเป็นหงอยเหงา ราชสีห์หนุ่มนึกอยากรู้ถึงมาเสียเต็มประดา ภายในครึ่งอึดใจ เจ้าตัวร้ายสามารถเปลี่ยนสีหน้าได้มากเท่าใด
“เอาเถิด ข้าจักเล่าให้ฟัง” สุดท้ายนิลปารัชญ์ก็ยอมแต่โดยดี ราชสีห์หนุ่มทอดมองออกไปนอกเรือน ทิ้งสายตาคมไว้ที่ปลายยอดต้นไม้ใหญ่ยามแสงจันทร์สีนวลตกกระทบเรื่อเรืองราวต้นไม้บนแดนสวรรค์
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่นิลปารัชญ์ยังเป็นสิงห์รุ่น ญาณหยั่งรู้ยังไม่แก่กล้าเท่ายามนี้ สิงห์หนุ่มเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายในการแบ่งแยกชั้นวรรณะ และต้องการเปิดโลกทัศน์ให้กว้างไกล นิลปารัชญ์ในยามนั้นจึงตัดสินใจออกเดินตามกระแสน้ำมุ่งสู้ดินแดนมนุษย์เบื้องล่าง เพื่อร่วมคัดเลือกเป็นนักรบประจำองค์สมมุติเทพของเหล่ามนุษย์
เนื่องจากแดนสวรรค์และแดนอสูร ทั้งสองถือเป็นศัตรูคู่อาฆาตตลอดกาล เพราะแต่เดิมเหล่าอสูรนั้นคือทวยเทพรุ่นเก่า ที่โดนเทวากลุ่มใหม่มอมเหล้าจนไม่ได้สติ จนถูกจับโยนลงมาอยู่เชิงเขาพระสุเมรุ เมื่อฟื้นคืนสติจึงเกิดความแค้นเป็นล้นพ้น ดังนั้นทุกคราเมื่อถึงฤดูดอกแคฝอยเบ่งบาน เหล่าอสูรให้หวนนึกไปถึงดอกปาริชาตบนดาวดึงส์และบ้านเกิด จนความแค้นปะทุขึ้นมาอีก พากันยกทัพเหาะขึ้นไปทำสงครามกับเทพสวรรค์ ต่างผลัดกันแพ้ชนะเรื่อยมาไม่อาจตัดสินกันได้อย่างเด็ดขาด สงครามนี้ถูกเรียกว่า ‘เทวาสุรสงคราม’ วนเวียนมิมีจบสิ้น
กระนั้นผลของความแค้นยังตกมาอยู่ที่แดนมนุษย์ ที่เหล่าเทพล้วนให้ความคุ้มครอง อสูรผู้มากด้วยความแค้นได้หันกลับมาเล่นงานมนุษย์หมายสร้างความวุ่นวายให้แก่เหล่าเทวาฆ่าเวลาก่อนถึงฤดูดอกแคฝอยเบ่งบาน
ครานั้นได้มีอสูรมากด้วยฤทธิ์ตนหนึ่งขึ้นมาอาละวาดบนแดนมนุษย์คร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย จนองค์อินทร์ต้องมีคำสั่งให้แม่ทัพสวรรค์ลงมาปราบปราม ทว่าอสูรตนนั้นแต่เดิมเป็นเทพชั้นสูง แม่ทัพสวรรค์จึงไม่อาจสังหารได้ ทำได้เพียงผนึกร่างอสูรตนนั้นไว้ แลใช้พลังเทพทั้งหมดของตนฉีกทึ้งดึงแยกพลังออกจากร่างอสูร จนมันกลายเป็นหินศิลา เป็นการสิ้นสุดศึกย่อยในครานั้นได้สำเร็จ
อนิจจาเรื่องราวกลับไม่จบลงเพียงเท่านั้น เมื่อพลังอสูรไม่อาจทำให้สลายไปได้ แม่ทัพจากสวรรค์จึงต้องย้ายมันลงไปสู่ร่างของทารกน้อย ร่างกายอ่อนแอคนหนึ่งเพื่อเป็นภาชนะ ด้วยเด็กผู้นั้นมีร่างกายอ่อนแอทำให้ไม่อาจมีแรงกำลังดึงพลังอสูรออกมาใช้ได้ และเพื่อเป็นการป้องกันอีกชั้น เทพตนนั้นยังจุติตนเองลงมาในร่างของชายหนุ่มถือศีลภาวนา เพื่อคอยกำราบหากภาชนะเกิดสามารถใช้พลังอสูรขึ้นมาได้ในวันหนึ่ง สองชีวิตเวียนว่ายตายเกิดมาหลายชั่วอายุคน ทว่าภาชนะและสมมติเทพยังคงปรากฏตัวในแดนมนุษย์ไม่เปลี่ยนไป
โดยนักรบสวรรค์นั้นจะเกิดขึ้นมาจากต้นพิกุลทองที่ยืนต้นสูงตระหง่านหน้าร่างศิลาอสูร ยามถึงกำหนดเวลาดอกพิกุลสีทองจะร่วงหล่นจากต้นผลิบานออกมาเป็นเด็กน้อยหน้าตางดงามพิสุทธิ์ไปทั้งเรือนกาย ส่วนภาชนะอสูรนั้นเป็นเพียงเด็กน้อยผู้มีปานแดงรูปดอกแคฝอยที่อกซ้าย
เพราะสมมติเทพนั้นสำคัญสำหรับชาวมนุษย์เมื่อเด็กน้อยเกิดมาพวกเข้าจะพาทารกเลี้ยงดูไว้ในอารามศักดิ์ สั่งสอนศิลปวิทยาและดูแลอย่างทะนุถนอมยกย่องทัดเทียมเทพเทวา และในเวลานี้สมมติเทพองค์นั้นมีนามว่า...วรา
ด้วยเหล่ามนุษย์ยกย่องสมมติเทพไว้สูง ทำให้ไม่มีผู้ใดคิดอาจเอื้อมแต่งงานมีสัมพันธ์ บางคนที่มีความศรัทธาอย่างเหลือล้นถึงขนาดไม่กล้าแม้กระทั่งเข้าใกล้เฉียดเสมอเงาที่ทอดตัวบนพื้นดิน ทำให้สมมติเทพจำเป็นต้องมีองครักษ์เคียงกาย เกิดเป็นการคัดสรรขึ้นที่บริเวณหน้าอารามเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนเต็ม จากมนุษย์และอมนุษย์ทั่วทุกสารทิศ รวมถึงนิลปารัชญ์ด้วย
ในการคัดเลือกนั้นผู้เข้าคัดเลือกจำต้องผ่านการทดสอบทั้งสภาพจิตใจและสภาพร่างกายอย่างเข้มข้น กระทั่งกว่าจะถึงการประลองตัวต่อตัวขั้นสุดท้าย ผู้ที่หยัดยืนอยู่ได้เหลือเพียงไม่กี่สิบคน
นิลปารัชญ์ในเพลานั้นสามารถผ่านทุกการทดสอบมาได้อย่าง่ายดาย ทว่าเมื่อต้องประลองฝีมือด้วยอาวุธเช่นมนุษย์ มฤเคนทร์เผ่าพันธุ์ที่มุ่งเน้นไปที่การภาวนาจิตเช่น กาฬสีหะ นั้นไม่ใคร่ถนัดนัก ทำให้ราชสีห์หนุ่มเพี้ยงพล้ำให้แก่มนุษย์หนุ่มในรอบตัดเชือก กลายเป็นองครักษ์ฝ่ายซ้าย ลองจาก ‘อัศรี’ ผู้ชนะที่ได้ขึ้นเป็นองครักษ์ฝ่ายขวา
ทันทีที่การประลองจบลง ยามผู้ประลองจับมือยอมรับซึ่งกันและกัน เสียงระฆังพลันดังกังวานขึ้นทั่วสารทิศ ส่งสัญญาณถึงการมาเยือนขององค์สมมติเทพ พร้อมด้วยกลิ่นหอมเย็นจากมวลดอกไม้และน้ำปรุงกำจายตามสายลมเอื่อย ด้านบนเชิงอารามสูงปรากฏชายหนุ่มร่างสำอางแบบบาง ในชุดสีขาว ผมดำขลับราวปีกกาถูกรวบมวยไว้ที่ท้ายทอยเผยดวงหน้าหมดจดเย็นตา มองตรงลงมาเบื้องล่างลานประลอง รูปตาคล้ายกวางหนุ่มทอดมองลงมาแน่วนิ่งที่ผู้ชนะพร้อมด้วยรอยยิ้มบางเบาติดริมฝีปากจนแทบมองไม่ออก...ท่านวรา งดงามราวเทวาบนชั้นฟ้า สมคำเล่าลือ
“ยินดีด้วยหนา ท่านอัศรี แล ท่านนิลปารัชญ์ พวกข้ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จักจัดงานงานสมโภช รับตำแหน่งองครักษ์ประจำกายท่านวรา ในอีกสามสิบทิวา ระหว่างนี้ท่านทั้งสองโปรดพักผ่อนให้สำราญกายใจเถิด” นักบวชชราค้อมกายประกาศก้อง คล้ายเป็นปากเสียงให้แก่ ท่านวรา ตัวจริง ก่อนที่ทั้งหมดจะหันกายกลับเข้าสู่ตัวอาราม
เพราะต้องเข้ารับตำแหน่งองครักษ์ฝ่ายซ้าย ทำให้นิลปารัชญ์จำต้องรั้งอยู่ในแดนมนุษย์ พร้อมกับเข้าฝึกการต่อสู้ด้วยอาวุธนานา ชนิดของชาวมนุษย์จนเกิดความสนิทสนมกับทหารในมหาอาราม กระทั่งสามารถรู้ความเป็นมา และความเคลื่อนไหวต่างๆ รวมถึงความสัมพันธ์ของ อัศรี และ ท่านวรา...
อัศรี นั้นเป็นบุตรชายของนักบวชตำแหน่งใหญ่ในอาราม ทำให้เขาถูกเคี่ยวกรำฝึกฝน เพื่อเป็นองครักษ์ข้างกาย ท่านวราตั้งแต่จำความได้ ทำให้ทั้ง วรา และอัศรีสนิทสนมกันเป็นอย่างมาก ถึงกับมีคนกล่าวว่า อัศรี คือบุคคลผู้เดียวที่ท่านวรารู้จักและรู้ใจ สมกับเป็นองครักษ์ฝ่ายขวา จนมีคำกล่าวกันภายในว่างานสมโภชแต่งตั้งองครักษ์ประจำกาย องค์สมมติเทพนั้น ไม่ต่างจากงานแต่งงานของคนทั้งคู่ เนื่องจากต่อแต่นี้ไปจวบจนสิ้นภารกิจในแดนมนุษย์ องค์สมมติเทพไม่อาจเข้าพิธีวิวาห์กับหญิงใดได้ เช่นนี้องครักษ์ข้างกายจึงต้องเป็นบุรุษผู้ไม่เข้าสู่การครองเรือนตามไปด้วย ในครานั้นนิลปารัชญ์รู้สึกยินดีในความพ่ายแพ้ของตนเองเป็นอย่างยิ่ง
...ดีแล้วที่ท่านวราได้องครักษ์ข้างกายที่คุ้นเคยกันเช่นอัศรี เห็นได้ชัดว่ายามที่วรามองลงมายังผู้ชนะ หนุ่มน้อยผู้นั้นมีความสุขและยินดีมากเพียงใด
ทว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันกลับเกิดขึ้น เมื่อในคืนก่อนงานสมโภช อัศรีกลับกระทำการอุกอาจพานักโทษนายหนึ่งหนีออกจากมหาอาราม ภายในคืนนั้นทั้งนักบวช และ ทหารภายในต่างระดมกำลังออกตามหาจนถ้วนทั่วทว่ากลับไร้เงา จึงเป็นหน้าที่ของนิลปารัชญ์ผู้มีตำแหน่งเป็นองครักษ์ฝ่ายซ้ายจำต้องขึ้นมาอยู่เฝ้าท่านวราแทนผู้ที่หนีหายไป
แผ่นหลังบอบบางยืนนิ่งผินหน้าออกไปยังบานหน้าต่างที่ถูกเปิดทิ้งไว้ ภายในมือกำชุดพิธีของวันรุ่งขึ้นไว้แน่น นิลปารัชญ์จึงเลือกที่จะยั้งเท้าไว้เพียงบานประตู สิงห์จำแลงยืนคอยอยู่เนิ่นนานจนกระทั่งร่างบอบบางนั้นหยุดสั่นสะท้าน ค่อยส่งเสียงนำออกไปเพื่อส่งสัญญาณ
“ท่านวรา...” เจ้าของชื่อสะดุ้งเพียงนิด แล้วยกมือขึ้นมาปัดป่ายใบหน้า ก่อนจะหันกลับมาหาคนเรียกด้วยท่าทางนิ่งสงบ...แม้ดวงตาและปลายจมูกจะยังคงแดงก่ำ
“จงไปบอกท่านหัวหน้านักบวชให้เลิกตามหาอัศรีเสียเถิด เขาเข้ามาลาข้าแล้วด้วยตนเอง ต่อให้เจอเขาคงมิยอมกลับมา อย่าเสียเวลาเสียกำลังเลย เมื่อใจมิคิดอยู่ต่อให้ใช้บ่วงนาคบาศแล้วไซร้ยังมิอาจรั้ง”
“งานสมโภชในวันพรุ่งเล่า”
“ดำเนินการต่อไปเถิด...ท่านนิลปารัชญ์ ต่อจากนี้ข้าคงต้องขอพึ่งพาท่านแล้ว” วรายกยิ้มบางพลางก้มศีรษะลง เพื่อบอกกล่าวฝากตัว ทว่าเจ้าของรอยยิ้มอาจไม่รู้ตัว ว่ามันช่างฝืดเฝื่อนไม่หวานล้ำดั่งวันที่เผยออกมาในลานประลองมากเพียงใด
งานสมโภชมหาอารามและพิธีแต่งตั้งองครักษ์คู่กายเกิดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ตามแผนกำหนดการที่วางไว้ ประชาชนที่มาร่วมงานต่างสนุกสนานตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศและพิธีการอันยิ่งใหญ่ รอบมหาอารามถูกประดับประดาไปด้วยโคมไฟและดอกไม้จนมลังเมลือง มีแต่เพียงคนใกล้ชิดเท่านั้นที่รู้ว่างานในวันนี้หวานอมขมกลืนเพียงใด...
ท่านวราในยามนี้อยู่ในชุดผ้าไหมสีขาวบริสุทธิ์ดูงดงามมากกว่ายามปกติด้วยลวดลายสีทองอ่อนช้อยตามชายผ้า ยามแสงอรุณสาดกระทบยิ่งทำให้ร่างบอบบางดูงามพิสุทธิ์ราวชาวฟ้า ทว่าดวงตาคู่สวยกลับคล้ายหลงวนอยู่ในห้วงคำนึง...และนิลปารัชญ์รู้ดีว่าจิตใจของสมมติเทพองค์น้อยได้ล่องลอยไปหาผู้ใด
“อันใดกัน ไหนกล่าวว่าผูกสมัครรักใคร่สนิทสนมกันตั้งแต่ยังเล็ก เหตุใดอัศรีผู้นั้น จึงใจจืดเห็นผู้อื่นดีกว่า ถึงกับยอมทิ้งท่านวราไปเล่าจ๊ะ” เสียงเล็กๆ เอ่ยแทรกด้วยใบหน้างอง้ำ เห็นทีคนฟังคงรู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนแทน ‘วราในเรื่อง’ ไม่น้อย
“การที่เรากระทำการสิ่งใดไปนั้นย่อมมีสาเหตุ อัศรี ย่อมมีเหตุผลของเขานั่นแล้ว”
“เหตุผลกลใดไยใจร้ายกับท่านวราเพียงนี้เล่า” เจ้าตัวดียังคงฮึดฮัดไม่พอใจ
“กระทำการสิ่งใด ย่อมเป็นไปมิได้ที่จักให้ตรงใจไปทุกผู้ทุกตนดอกเจ้าแก้ว แลอัศรีเลือกแล้วว่าจักเห็นแก่ใจผู้ใดแลทิ้งผู้ใดไว้”
“แต่ว่า...”
“หากเจ้ามิใคร่พอใจการกระทำของอัศรีถึงเพียงนี้ จักให้ข้ายุติเรื่องเล่าไว้เพียงเท่านี้ดีฤๅไม่”
“ไม่จ้ะ ข้าจักมิขัดแล้ว เล่าต่อนะจ๊ะ”
หลังจากงานสมโภช ความตึงเครียดกลับปกคลุมไปทั่วทั้งมหาอารามอีกครั้ง เมื่อ วรา ล่วงรู้ว่ากองกำลังยังคงออกติดตามเพื่อล่า อัศรี นั้นยังไม่ถูกยกเลิกไปตามที่ตนต้องการ
“ข้ารอฟังคำตอบจากท่านอยู่ ท่านหัวหน้านักบวช”
“ข้าขอชี้แจงตามตรง ผู้ที่อัศรีพาหลบหนีไปนั้น คือภาชนะอสูรที่พวกเราพบเจอแลพากลับมากักขังไว้ ข้าจึงมิอาจทำตามความต้องการของท่านได้” ผู้เป็นหัวหน้านักบวชก้มหน้าตอบความจริงอย่างจำใจ
“อัศรีล่วงรู้ถึงสถานะคนผู้นั้นฤๅไม่”
“ข้าตอบมิได้ เพื่อความปลอดภัย พวกข้าหมายจักกำจัดมันอย่างเงียบๆ เท่นนั้น”
“กระนั้นล่ะ แม้แต่ข้ายังมิล่วงรู้สักกระพี้ อํสรีจักล่วงรู้ได้เยี่ยงไร มิได้การ อัศรีอาจถูกล่อลวง เช่นนั้นข้าจักออกตามหาอัศรีด้วยตัวเอง ข้าเชื่อว่าสัญชาตญาณของข้าจักนำทางข้าไปพบภาชนะอสูรผู้นั้นได้”
การเดินทางของวราเป็นไปอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ ภายในคณะประกอบด้วยวรา นิลปารัชญ์ ผู้ได้ขึ้นเป็นองครักษ์คู่กาย และทหารอีกเพียงห้านาย เพื่อความคล่องตัว ก่อนออกเดินทาง วรา นั่งหลังเหยียดตรงบนอาชาสีขาว หยิบตรวนของนักโทษผู้นั้นขึ้นมา นัยน์กลมโตหลับนิ่งตั้งจิตเพียงครู่ เกิดเป็นละอองบางเบาลอยตัวขึ้นเป็นสายไปยังทิศตะวันออก เส้นสายที่นอกจากวรา คงมีเพียง นิลปารัชญ์ ผู้มีญาณพิเศษของเผ่าพันธุ์กาฬสีหะที่สามารถเห็นได้
“อัศรีคงหมายจักเข้าไปหลบซ่อนในเขตหิมพานต์กระมัง” สมมติเทพหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น
“เช่นนั้นต้องเร่งมือ หากเข้าเขตหิมพานต์ไปได้ พวกเราคงมิอาจเจอทั้งคู่ได้อีก” ทหารผู้หนึ่งก้มหัวลงยามเอ่ยออกความเห็น
“เช่นนั้นจงเดินทางเถิด” วรากดหน้ารับคำ ชายหนุ่มกระตุกสายบังเหียนออกเดินทางทันที โดยมีนิลปารัชญ์ขนาบข้าง และเหล่าทหารทั้งห้าล้อมรอบระวังภัยให้ทั้งหน้าและหลัง ไล่ตามสายละอองบางเบานั้นไป
จวบจนตัวตะวันเคลื่อนตัวลงต่ำใกล้พื้นพิภพ คณะเดินทางจำต้องหยุดพักค้างแรมในอารามเล็กๆ ชายป่าโดยการต้อนรับจากนักบวชที่ประจำอยู่ ขณะที่ทุกคนกำลังจัดเตรียมที่ทางและหุงอาหาร ผู้เปรียบเสมือนดวงตาดวงใจของคณะกลับคว้าดาบประจำกายวิ่งตะบึงออกจากอารามไปด้วยความรวดเร็ว !