พิมพ์หน้านี้ - MBK❤lover || ตอนที่ ๔๗ : ความรักชนะทุกสิ่ง || ๑๕ || ๑๗/๑๑/๖๐

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 31-12-2016 19:35:39

หัวข้อ: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๗ : ความรักชนะทุกสิ่ง || ๑๕ || ๑๗/๑๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 31-12-2016 19:35:39
:ped144: :ped144: :ped144:

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ

          กรุณาอ่านทุกคนนะครับ เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือ ชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบน ออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

          ๑. ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

          ๒. ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x, ทำให้กระทู้กลายพันธ์, ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

          ๓. การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

          ๔. ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด  โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

          ๕. ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง ๑๐% ก็ตามเพราะมีคนมากมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

          ๖. อย่า พูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยาย ในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

          เวปไซต์แห่งนี้เป็น เวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

          ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

:c4:

หัวข้อ: Re: คำสัญญาหน้ามาบุญครอง [boy's love ย้อนยุค]
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 31-12-2016 19:42:42

          ย้อนวันคืนแห่งอดีต
ในยุค ส.ค.ส.โรยกากเพชร, แบ๊งค์กาโม่, วงคีรีบูน, เทปคาสเซ็ท, โทรศัพท์บ้าน, กางเกงในแอปเปิ้ล และห้างมาบุญครองพึ่งจะตอกเสาเข็ม

"ผู้ชายสองคน" เขาจะจีบกันยังไงหนอ...


--------------------------------


MBK❤lover


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/1587241796-member.jpg)


แด่ : ชายชราสองคน ❤ ที่เดินกุมมือกัน
ที่ข้าพเจ้าเดินสวนกับทั้งคู่ในห้าง BigC สาขาลาดพร้าว
เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๙
เวลา ๒๑.๔๕ น.

ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนเรื่องนี้


คำนำจากผู้เขียน

          ผู้เขียนชอบเรื่องเก่าๆ โบราณ และประวัติศาสตร์ค่ะ พอลองมานึกถึงว่าเกิดจะมีคู่รัก ชาย+ชาย ที่มีการรักกัน ชอบกัน ในยุคที่ติดต่อกันได้ยากเย็น ไม่ได้เช้าถึง-เย็นถึง ดึกดื่นก็ยังเห็นหน้าได้เหมือนในปัจจุบันนี้ เค้าจะเป็นยังไงนะ

          เลยขอให้ สมนึก (จิว) กับ ต้นข้าว เป็นตัวแทนคู่รัก ชาย+ชาย ของยุคที่ผ่านมา นำเสนอเรื่องกุ๊กกิ๊กในอดีต และสอดแทรกเหตุการณ์สำคัญจริงๆ ตรงตามปี พ.ศ. ในขณะนั้นของเมืองไทยไว้ด้วยนะคะ

          และถ้ามีของเก่าในอดีตที่ตัวละครพูดถึง และปัจจุบันไม่มี หรือหมดการใช้งานไปแล้ว จะพยายามเอารูปประกอบสิ่งนั้นๆ มาลงไว้ให้ด้วย เท่าที่จะสามารถนะคะ ผู้อ่านจะได้เห็นภาพพร้อมกันไปด้วย

ขอฝากนิยายเรื่องแรกของเราด้วยค่ะ

ขอบคุณนะคะ


--------------------------------


:write-a-letter: สารบัญ
MBK❤lover
----------------------------------
ตอนที่ ๑ : ชายชราผู้เดินกุมมือกัน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3547153#msg3547153) (http://www.bloggang.com/data/kampong/picture/1234211412.gif)
ตอนที่ ๒ : สมนึก กับ แว่น (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3547157#msg3547157)
ตอนที่ ๓ : แฟชั่นเด็กสยามสแควร์ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3547166#msg3547166)
ตอนที่ ๔ : รอวันฉันรักเธอ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3547755#msg3547755)
ตอนที่ ๕ : สนุกสุดแสนเที่ยวแดนเนรมิต (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3547904#msg3547904)
ตอนที่ ๖ : ความลับในซองสีน้ำตาล (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3548215#msg3548215) (http://www.bloggang.com/data/kampong/picture/1234211412.gif)
ตอนที่ ๗ : สายน้ำแห่งความคิดถึง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3549413#msg3549413) (http://www.bloggang.com/data/kampong/picture/1234211412.gif)
ตอนที่ ๘ : ของฝากชิ้นสุดท้ายจากดิเรก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3550115#msg3550115)
ตอนที่ ๙ : นครหินอ่อนเป็นพยาน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3550690#msg3550690) (http://www.bloggang.com/data/kampong/picture/1234211412.gif)
ตอนที่ ๑๐ : ค่ายรบค่ายรัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3551896#msg3551896)
ตอนที่ ๑๑ : สวรรค์อยู่ในเต้นท์ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3553512#msg3553512)
ตอนที่ ๑๒ : สะพานแห่งความรัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3555028#msg3555028)
ตอนที่ ๑๓ : มเหสีขี้หึงประหนึ่งเสือ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3555722#msg3555722)
ตอนที่ ๑๔ : ไม่เห็นหน้า เห็นหลังคาก็ยังดี (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3557149#msg3557149)
ตอนที่ ๑๕ : รถไฟผีสิง!!! (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3557942#msg3557942)
ตอนที่ ๑๖ : ข้าวเหนียวมะม่วงของต้นข้าว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3558516#msg3558516)
ตอนที่ ๑๗ : ไปอยู่ดูแลเป็นเพื่อนเธอ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3559479#msg3559479)
ตอนที่ ๑๘ : ความในใจของครอบครัว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3561406#msg3561406)
ตอนที่ ๑๙ : คำอธิษฐานบนหลังเต่า (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3562012#msg3562012)
ตอนที่ ๒๐ : หาดทราย สายลม สองเรา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3563470#msg3563470)
ตอนที่ ๒๑ : เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3565373#msg3565373) (http://www.bloggang.com/data/kampong/picture/1234211412.gif)

----- จบภาคมัธยม -----

ตอนที่ ๒๒ : นางงามจักรวาล (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3567804#msg3567804)
ตอนที่ ๒๓ : แรงบันดาลใจจากโรงลิเก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3569031#msg3569031)
ตอนที่ ๒๔ : อีงูคำคม!!! (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3570336#msg3570336)
ตอนที่ ๒๕ : ปลาร้าพันห่อด้วยใบคา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3571712#msg3571712)
ตอนที่ ๒๖ : เก็บหยดฝนมาร้อยเป็นสร้อย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3574226#msg3574226)
ตอนที่ ๒๗ : เปลวไฟที่ไม่มีวันมอดดับ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3575500#msg3575500)
ตอนที่ ๒๘ : วันที่รัก เดือนที่รอ พ.ศ.ที่คิดถึง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3579019#msg3579019)
ตอนที่ ๒๙ : ไม่สึกไม่หรอเหมือนดินสอเขียนคิ้ว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3580884#msg3580884)
ตอนที่ ๓๐ : คำรักในคืนหลอกลวง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3590283#msg3590283)
ตอนที่ ๓๑ : เรื่องของจิว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3593730#msg3593730)
ตอนที่ ๓๒ : กุหลาบงามย่อมมีหนามแหลม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3597264#msg3597264)
ตอนที่ ๓๓ : เจ็ดปีคัน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3599803#msg3599803)
ตอนที่ ๓๔ : ม่านเวทีที่กำลังปิดลง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3603098#msg3603098)
ตอนที่ ๓๕ : วิมานลวง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3605143#msg3605143)
ตอนที่ ๓๖ : รถด่วนขบวนสุดท้าย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3606920#msg3606920)

----- จบภาคมหาวิทยาลัย -----

ตอนที่ ๓๗ : I will survive - ฉันต้องรอด (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3611810#msg3611810)
ตอนที่ ๓๘ : รักเกิดที่คาราโอเกะ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3624828#msg3624828)
ตอนที่ ๓๙ : เราสัญญานะจิว เรายังสัญญา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3645973#msg3645973)
ตอนที่ ๔๐ : นายแบบเปลือยและรองเท้าแตะสีแดง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3648365#msg3648365)
ตอนที่ ๔๑ : เรื่องลับจากหนุ่มชาวดอย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3651355#msg3651355)
ตอนที่ ๔๒ : แผนบุกถึงโรงงาน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3661256#msg3661256)
ตอนที่ ๔๓ : สะพานเชื่อมจากราชา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3673688#msg3673688)
ตอนที่ ๔๔ : สายลมแห่งความคิดถึง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3686058#msg3686058)
ตอนที่ ๔๕ : เราจะก้าวไกลไปด้วยกัน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3696176#msg3696176)
ตอนที่ ๔๖ : มีดวงใจหนึ่งดวงจะมอบให้เธอไว้ครอง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3718654#msg3718654)
ตอนที่ ๔๗ : ความรักชนะทุกสิ่ง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3738531#msg3738531) (http://www.bloggang.com/data/kampong/picture/1203764734.gif)


หัวข้อ: Re: คำสัญญาหน้ามาบุญครอง [boy's love ย้อนยุค]
เริ่มหัวข้อโดย: aommama ที่ 31-12-2016 19:45:46
รอออออออ
หัวข้อ: Re: คำสัญญาหน้ามาบุญครอง [boy's love ย้อนยุค]
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 31-12-2016 19:48:15

MBK❤lover


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/1587241796-member.jpg)


ตอนที่ ๑ : ชายชราผู้เดินกุมมือกัน


ปี พ.ศ. ๒๕๗๒ ณ ปัจจุบัน

 
          เสียงออนแอร์ประกาศบอกเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงห้างสรรพสินค้าแห่งนี้จะปิดบริการ  วัยรุ่นที่มาช็อปปิ้งก็เริ่มทยอยออกจากห้างเสียงจอแจ ซึ่งสวนทางกับชายสูงอายุคู่หนึ่ง ที่พึ่งจะเข้าประตูห้างมาอย่างไม่รีบร้อนอะไร
 
          ชายสูงอายุทั้งคู่ดูเหมือนอายุประมาณหกสิบปีเท่าๆ กัน คนหนึ่งดูอ่อนแรงเชื่องช้า ใส่เสื้อเชิร์ตแขนยาวสีขาวและกางเกงขาว ขับผิวที่ขาวมากให้ดูสว่างไปทั้งตัว เดินก้าวช้าๆ ส่วนอีกคนดูจะกระฉับกระเฉงแข็งแรงกว่า และแต่งตัวสีสดใสทันสมัยกว่าทั้งๆ ที่วัยเดียวกัน  มือหนึ่งจูง ไม่สิ จะเรียกว่าจูงก็ไม่ถูกเสียทีเดียว ใช้มือหนึ่งกุมมือของชายสูงอายุอีกคน  กุมสอดประกบแน่นครบทุกนิ้ว เหมือนกึ่งประคองเดิน สายตาของคนกุมมือมองตรงไปข้างหน้า แน่วแน่ มั่นคง ไม่วอกแวก

           ส่วนผู้ถูกกุม หน้าก้มต่ำเหมือนต้องมองพื้นในทุกก้าวเดินอย่างระวัง  หากแต่ใบหน้าเสี้ยวหนึ่งเท่าที่ใครจะมองเห็นได้ในมุมก้ม มันเจือไปด้วยรอยยิ้ม มันไม่ใช่รอยยิ้มที่ยิ้มส่งให้พื้นห้างหรอก หากแต่มันระบายอยู่ทั่วหน้า เหมือนส่งออกมาจากความสุขในใจ
 
          หนึ่งในวัยรุ่นที่เดินสวนออกประตูห้าง หันมามองชายสูงอายุคู่นี้จนเหลียวหลัง แน่นอนว่า ณ วันนี้ ในปี พ.ศ. ๒๕๗๒ นี้ ไม่มีใครจะมานั่งประหลาดใจกับคู่รักชายชายกันแล้ว มีกฏหมายออกมารองรับทุกเพศสภาพ นอกเหนือจากคู่ชายหญิงทั่วไปนานหนักหนาแล้ว

           หากแต่ที่ผิดอยู่บ้าง ก็คือห้างสรรพสินค้าแห่งนี้เป็นห้างใจกลางเมืองที่ทันสมัยที่สุดของยุค ซึ่งผ่านการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมาหลายยุคหลายสมัย มันไม่มีที่ดินว่างเปล่าสำหรับสร้างตึกใหม่อีกแล้วในกรุงเทพฯ และห้างนี้เป็นห้างแรกที่ลูกค้าเข้ามาช็อปปิ้งแบบตัวเปล่า และซื้อของเสร็จก็เดินออกไปตัวเปล่า เพราะสินค้าทุกอย่างในห้าง เป็นโฮโลแกรม ๓ มิติหมด เลือกซื้อด้วยปุ่มสแกนนิ้วมือ หรือไม่ก็สั่งจำนวนสินค้าด้วยการสแกนม่านตา แล้วสินค้านั้นจะมีพนักงานส่งให้ถึงบ้านในอีก ๓๐ นาทีถัดไป

           แน่นอน ที่นี่มีแต่วัยรุ่นยุคใหม่ที่ใช้ลายนิ้วมือและม่านตาเปลือง ดังนั้นเมื่อชายสูงอายุที่มีรอยมือหยาบกร้านด้วยกาลเวลา และสายตาฝ้าฟางผิดยุคสองคน จะกุมมือกันเดินในนี้ ก็แค่ดูแปลกที่แปลกทางไปเท่านั้นเอง

           หรือไม่ก็มากกว่านั้นอีกสักนิด อาจมีวัยรุ่นบางคู่ หันมามองผ่านไปสักแว่บหนึ่ง แอบอมยิ้ม แล้วตั้งข้อสงสัยในใจว่า "จะต้องทำยังไงเนี่ย ให้รักกันจนอายุขนาดนี้..." แล้วก็คงเดินสวนผ่านไป ตามสภาพของยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง ที่ไม่มีใครมาสนใจคนแปลกหน้ากันมากนัก
 
          เมื่อเวลาหมุนผ่าน โลกก้าวผ่าน มนุษย์แก้ไข และสร้างความสะดวกสบายทุกเรื่องรอบตัวในชีวิตได้ด้วยชิปที่ประมวลผลในซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ แต่มีเรื่องเดียวที่ยังคงเหมือนเดิมกับเมื่อสัก ๕๐ ปีก่อน ที่ยังไม่มีใคร หรือเครื่องอะไรมาตีโจทย์แก้ปัญหาให้มันแตกได้  ก็คือเรื่องความพิศวงสงสัย และความซับซ้อนของ..."ความรัก"


--------------------------------


หัวข้อ: Re: คำสัญญาหน้ามาบุญครอง [boy's love ย้อนยุค]
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 31-12-2016 19:53:43

MBK❤lover


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/1587241796-member.jpg)


ตอนที่ ๒ : สมนึก กับ แว่น


กรุงเทพมหานคร  พ.ศ. ๒๕๒๗ เมื่อ ๔๕ ปีที่แล้ว

 

         "สมนึก! ไปนั่งที่อื่นไปไป๊"
 
         เสียงแหลมขึ้นจมูกตวาดคนข้างๆ เบาๆ
 
         "รำคาญ จะจดตามครู มานั่งเคาะปากกาคอแร้งอยู่ได้ หนกขู"
 
         แว่น คือเจ้าของเสียงแหลมนั้น และเป็นเจ้าของโต๊ะนักเรียนแถวที่สองจากหน้าสุดโต๊ะนี้ ซึ่งขณะนี้มีนายสมนึก เพื่อนหลังห้อง ลากเก้าอี้ไม้มานั่งเบียดอยู่โต๊ะเดียวกัน
 
         แว่น เป็นเด็กเรียนค่อนข้างดีในชั้นนี้ ชอบอ่านหนังสือ จนต้องใส่แว่นสายตาหนาเตอะสมกับฉายาชื่อเล่น แว่นเป็นเด็กหนุ่ม สูง ๑๘๐ เซนติเมตร ผอม ขายาว โครงหน้ามีเหลี่ยมแบบไทยแท้หล่อได้รูป เหมือนรูปเขียนพวกเทพเทวดาจากฝีมือศิลปินชั้นดี เสียแต่มีสิวประปรายทั่วหน้าตามวัย

          "อ๋าวว มานั่งให้กำลังใจ ให้จดดีๆ ไง จะได้ลอก ฮ่าๆ"

          เจ้าสมนึกตัวดียังมีหน้ามาย้อน แถมยังเลื่อนเก้าอี้เข้ามาชิดโต๊ะใกล้เข้ามาอีก โต๊ะนักเรียนแบบนั่งเดี่ยว ที่เล็กแคบอยู่แล้ว ยิ่งแคบไปใหญ่

          แว่นหันไปมองหน้าเจ้าตัวดีข้างๆ  นายสมนึกเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นลูกคนจีน ผอมเพรียวมีกล้ามน้อยๆ สมวัย ผิวหน้าขาวเนียนละเอียดจนเห็นเส้นเลือดใสพาดผ่านใต้ผิวแก้มจางๆ คิ้วเข้มเป็นเส้นตรงหนาได้รูป จมูกเล็กแต่โด่งสวย และปากบางสีชมพูขัดกับบุคลิกที่มานั่งหลุกหลิกแบบกวนโอ้ยใส่คนข้างๆ โดยสิ้นเชิง
 
         "จะลอกก็เดี๋ยวให้ลอก แต่ช่วยนั่งนิ่งๆ ก่อนได้ป่ะ เขย่าโต๊ะกระเทือน หมึกจะหกหมดขวดอยู่แล้ว"
 
         แว่นบ่นต่อเบาๆ พลางเอากระดาษซับหมึกสีชมพู กดซับน้ำหมึกที่หยดเป็นดวงๆ ด้วยแรงกระฉอกใส่หน้ากระดาษสมุดหน้าปกวีนัสที่กำลังเขียนนั้น
 
         ................
 
         "เอาล่ะครับนักเรียน วันนี้ครูจะเลิกสอนเท่านี้ก่อน ครูมีประชุม นักเรียนอย่าลืมเตรียมงานกิจกรรมวันจันทร์นี้นะครับ"
 
         ครูที่สอนวิทยาศาตร์ หันมาบอกนักเรียนในห้อง ๔/๗ นี้ หลังจากวางชอล์กที่เขียนตารางสูตรสุดท้ายบนกระดานดำเสร็จและเดินออกไป  หลังจากนั้นเสียงจอแจก็ดังระงมในห้องเรียนขึ้นมาทันที
 
         "เออว่ะ...เกือบลืมไปเลย วันอาทิตย์นี้ต้องมาช่วยครูธงชัย จัดนิทรรศการที่โรงเรียนเรานี่หว่า"
 
         กิจกรรมที่สมนึกเปรยขึ้นมานั้น คือ "งานนิทรรศการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมใจ ๒๕๒๗" ที่โรงเรียนรัฐบาลชายล้วนแห่งนี้ ร่วมกันจัดกับโรงเรียนสตรีล้วน ที่อยู่ใกล้ๆ ร่วมคลองคูเมืองเดียวกัน ซึ่งเป็นธรรมเนียมที่ร่วมกันจัดทุกปี โดยสลับการเป็นเจ้าภาพกัน
 
         "แว่น วันอาทิตย์นี้บ่ายๆ กูจะเดินไปหามึงที่บ้านนะ จะได้นั่งรถเมล์มาโรงเรียนด้วยกัน"
 
         สมนึกหันมาบอกยิ้มๆ ขณะที่ลากเก้าอี้ไม้กลับไปคืนที่โต๊ะหลังห้อง
 
         "อ้าว แล้วถ้าจัดห้องงานเลิกดึก รถเมล์หมด มึงจะกลับสี่แยกบ้านแขกได้เหรอ พ่อมึงจะไม่ว่าเหรอ" แว่นเลิกคิ้วถาม
 
         "มึงทำยังไง กูก็ทำแบบมึงแหล่ะ มึงเอาไงอ่ะ"
 
         "กูว่าจะเอาชุดนักเรียนมาเลย ว่าจะนอนที่โรงเรียนเลยอ่ะ พวกกิจกรรมเค้านอนกันเยอะ"
 
         "โอเค จ๊าบเลย เดี๋ยวกูขนมาด้วย"
 
         สมนึกหันมาพยักหน้าหงึกๆ แล้วหยิบกระเป๋านักเรียนจาคอป ที่มีคลิปดำตัวใหญ่หนีบด้านข้างไว้รอบๆ จนทรงกระเป๋าแบนแต๋ มาอุ้มไว้แนบอก พร้อมกับหันไปบอกเพื่อนๆ รอบโต๊ะว่า
 
         "เฮ้ย ไปเว้ย ไปเจอกันร้านน้ำปั่นข้างคลองนะ"

 
         ..........................


         กิจกรรมหลังเลิกเรียนของยุคนั้น ไม่มีอะไรมาก ห้างใหญ่ยังไม่ค่อยมี และก็แพงเกินไปที่จะไปเดินซื้อเสื้อผ้าตามห้าง เช่น ห้างสยามเซนเตอร์ ที่พึ่งจะมาโด่งดังหลังจากเปิดมาเมื่อเกือบสิบปีก่อน หรือกีฬาที่กำลังฮิตสุดๆ ในเมืองไทยคือโรลเลอร์สเก็ต แต่ก็อยู่ไกลถึงห้างใหม่ล่าสุดในกรุงเทพฯ คือห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว ที่พึ่งเปิดตัวห้างใหม่หมาดๆ เมื่อปีที่แล้ว จะไปกันทีก็เหมือนออกต่างจังหวัด ไปกลับยาก รถเมล์ผ่านน้อย ส่วนห้างใกล้โรงเรียนที่มีลานโรลเลอร์สเก็ต คือห้างฮั่วฟง แถวนางเลิ้ง ก็ถูกทางโรงเรียนห้ามเข้าเล่นในวันที่มีเรียนหนังสือ
 
         ความสุขง่ายๆ ก่อนกลับบ้านก็คือการไปนั่งจับกลุ่มเฮฮากันที่ร้านน้ำปั่นเล็กๆ โทรมๆ ข้างคลองคูเมือง ที่นอกจากจะมีน้ำปั่นแทบทุกรสขายแล้ว ยังมีลูกชิ้นชุบแป้งทอดไม้ละบาทแกล้มน้ำปั่นด้วย แถมพี่เจ้าของร้าน ยังเป็นหญิงช่างเม้าท์ช่างเจรจา ปั่นไป เสริฟไป ปากก็ทักทายชื่อลูกค้านักเรียนวัยรุ่นไปแทบทุกคน บ้านใครอยู่ไหน พ่อชื่ออะไรรู้หมด ความที่เงี่ยหูฟังคนคุยไปขณะปั่น เลยตีซี๊กับนักเรียนได้สนิทใจ
   
         "เจ๊ ของผมเอาส้มปั่นเหมือนเดิมนะ แล้วเอามะนาวปั่นกับลูกชิ้นสี่ไม้ ให้ไอ้แว่นมันด้วย"
 
         สมนึก ตี๋หน้าใสตะโกนบอกเจ๊ ขณะเดินเลยไปที่ชุดเก้าอี้หินหลังร้าน โดยไม่ต้องหยุดรอยืนสั่งให้เสียเวลา ผิดกับแว่น ซึ่งเตรียมจะยืนสั่ง แต่ก็ต้องเก้อ เพราะตี๋หน้าใสดันสั่งเผื่อในสิ่งที่เขาชอบไปให้หมดแล้ว
 
         "รู้ดีจังนะมึง ไอ้ตี๋"
 
         "ถ้าไม่กูรู้ แล้วใครจะรู้วะไอ้ปัญญา" ตี๋ยักไหล่ตอบ
 
         "เฮ้ยๆ ปัญญาน่ะชื่อพ่อกู ไอ้เหี้ย" แว่นเสียงสูงถลึงตาใส่
 
         "ฮ่าๆๆ เว้ยๆ มาๆ นั่งข้างกูนี่ เอ้า พวกมึงสั่งแล้วก็นั่งสิวะ ห่า"
 
         ตี๋ร่างสูง หันไปตะโกนรอบๆ ในมาดของขาโจ๋หัวหน้าแก๊งค์เต็มที่
 
         ดิเรก สมพล ศักดิ์สิทธิ์ เนติ และราชา แก๊งค์เพื่อนสนิทอีกห้าคนในกลุ่ม เมื่อสั่งของเรียบร้อยแล้ว ก็นั่งแหมะลงรอบๆ โต๊ะหินนั้นอย่างสบายอารมณ์

         "เฮ้ยๆ พวกมึงดูนั่น โคตรกิ๊กเลย วี๊ดวิ๊ววว น้องสาววว"
 
         เสียงไอ้ดิเรก ทำลายความเงียบขึ้นมา พลางบุ้ยใบ้หันหน้าให้เพื่อนๆ เหล่สาวน้อยในชุดนักเรียนกระโปรงสีน้ำเงิน ๓ คน ที่กำลังเดินเข้ามาในร้านน้ำปั่นนี้
 
         ดิเรก เด็กหนุ่มร่างเตี้ย แต่กำยำล่ำสัน เสียงออกติดสำเนียงทองแดงตามภูมิลำเนาเกิด ใบหน้ากรามกางชัด ผิวสองสี และมีบุคลิกของเด็กหนุ่มเพลย์บอยอยู่ตลอดเวลา
 
         "ปั่ก!!"
 
         เสียงกระเป๋านักเรียนจาคอปใบแบน ตีเข้าหัวดิเรกอย่างไม่จริงจังนัก
 
         "มึง เอาดีๆ ไอ้ห่า เรียกน้องเค้าดีๆ หน่อย... เอ้อ น้องฮะ นั่งด้วยกันตรงนี้ไหมฮะ ฮิฮิ"
 
         สมนึก พูดพลางดึงปกเสื้อนักเรียนให้ตั้งขึ้นมาปิดคอ นั่งมาดเท่ ท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักๆ ของ สมพล ราชา และเนติ
 
         ส่วนศักดิ์สิทธิ์ และแว่น หันไปมองตามเด็กหญิงกลุ่มนั้นด้วยใบหน้าเรียบนิ่งเฉย รวมทั้งดิเรก ที่กำลังคลำหัวป้อยๆ จากที่พึ่งโดนตีกบาลอยู่ พร้อมกับแอบบ่นอุบอิบ
 
         "ห่า จะเอาเองก็ไม่บอก"
 
--------------------------------

 
         หลังจากใช้เวลาชั่วโมงหนึ่งอย่างสบายๆ ในร้านน้ำปั่นแล้ว เด็กทั้งเจ็ดคนก็เตรียมแยกย้ายกันกลับบ้าน แทบทั้งหมดอยู่บ้านทางฝั่งพระนครนี้ ยกเว้นสมนึกกับแว่น ที่บ้านอยู่ฝั่งธนฯ จึงต้องแยกกับเพื่อนๆ กลับกันเองสองคน

          "แว่น กูยังขี้เกียจกลับบ้านอ่ะ กูยังไม่อยากเจอพ่อกูนานๆ แกชอบพูดมาก เซ็งว่ะ" ตี๋ขาวบอกแว่น หลังจากเพื่อนๆ แยกกันที่ป้ายรถเมล์แล้ว
 
         "อ้าว ทำไมล่ะวะจิว" แว่นเรียกชื่อเล่นสมนึก จริงๆ มันก็มาจากแซ่นามสกุลของเจ้าตัวแหล่ะ
 
         "พ่อกูอ่ะดิ อยากให้กูรีบกลับไปช่วยขายรองเท้าแตะที่ตลาดนัดข้างบ้านกูตอนเย็นๆ อ่ะ ขายก็ไม่ดี บ่นใส่กูอีก"
 
         "มึงก็เนี่ยน้า ก็น่าจะช่วยพ่อมึงบ้างนะ พ่อมึงก็ตัวคนเดียวนี่" แว่นมองหน้าตี๋หล่ออย่างจริงจัง
 
         "ช่างบ้านกูเหอะมึง ป่ะ มึงเดินเล่นกะกูก่อน ค่ำอีกนิดค่อยกลับ รถเมล์สาย ๗ ยังไม่หมดหรอก ห่า"
 
         ตี๋หน้าใสพูดจบ ก็เดินนำลิ่วขึ้นสะพานยมราชตรงนั้น ข้ามทางรถไฟไปอีกฝั่ง หนุ่มแว่นเดินตามไปติดๆ
 
         สองคนเดินพ้นสะพานยมราชมาสักครู่อย่างเงียบๆ ไม่ได้คุยอะไรกัน ที่ไม่ได้คุยอะไรกัน ไม่ใช่เพราะไม่ค่อยสนิทกัน แต่หนุ่มน้อยสองคนนี่ถึงคนนอกจะดูเผินๆ ว่าชอบเขม่นใส่กัน กัดกันทุกเรื่อง คนหนึ่งเรียนเก่ง อีกคนเสเพลไม่ค่อยเอาไหน ไม่น่าจะเป็นเพื่อนกันได้  หากความจริงมันก็คงมีอะไร หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ดึงเข้าหากันแหล่ะ แม้กระทั่งความเงียบในการเดินระหว่างกันในช่วงเวลาที่คนใดคนหนึ่งเป็นทุกข์  มันก็คือ "มิตรภาพ" ที่ไม่จำเป็นต้องพูด
 
         "เห้ยย!! นี่เสาอะไรหว่าไอ้จิว"

          ท่ามกลางความเงียบเพลินๆ สองคนเดินมาถึงลานโล่งตรงมุมหนึ่งของสี่แยกปทุมวัน เยื้องๆ กับลานโล่งของตึกสยามเซ็นเตอร์อีกฝั่ง  มันมีสิ่งที่แปลกตาไป เพราะเขาทั้งสองก็ไม่ได้ผ่านมาตรงนี้สักระยะหนึ่งแล้ว
 
         มันคือกองเสาเข็มจำนวนมหึมาบนลานโล่งตรงนั้น!
 
         "เดินเข้าไปดูป่ะ" ตี๋น้อยเริ่มมีชีวิตชีวากลับมาล่ะ
 
         "เฮ้ย จะดีเหรอมึง เข้าไปได้หรือ" แว่นรูปหล่อเริ่มลังเล
 
         "มาเหอะมึง เค้ายังไม่ได้กั้นรั้วเลย ไปตรงป้ายนั่นกัน มันจะสร้างอะไรวะ แม่งเสาเข็มเยอะฉิบหาย กูอยากรู้"
 
         พูดจบ ผู้พูดก็นำลิ่วไปเกือบถึงป้ายปักหน้ากองเสาเข็มนั่นแล้ว แว่นรีบสาวเท้าก้าวยาวๆ ตามไป
 
         "บริษัทจำกัด มาบุญครองอบพืชและไซโล"
 
         "มันคืออะไรวะ มาอบพืชอะไรตรงสี่แยกนี่" ตี๋น้อยพูดทั้งๆ ที่แหงนคอตั้งบ่าอ่านป้ายนั่น
 
         "เออว่ะ ตลกดี แต่แม่งต้องเป็นไซโลอบพืชที่ใหญ่มากเลยนะ ห่า อยู่ตรงสี่แยกกลางสยามเลย ใช่หรือ" ร่างสูงใส่แว่นพูดพร้อมแหงนมองตาม
 
         "มึงมานี่เร็วๆ ตามมาไอ้แว่น" คนพูดพุ่งตัวเลยป้ายเข้าไปแล้ว
 
         "เดี๋ยวๆ รอด้วยๆ มึง เค้าจะจับเราป่าววะ" แว่นพุ่งตัวตาม
 
         "โคตรใหญ่เลย!! เสาเนี่ย" ตี๋หล่อกระโดดขึ้นไปขย่มๆ บนเสาซะแล้วตอนนี้
 
         "เดี๋ยวเสาแม่งหักหรอก ห่านี่" แว่นบ่นอุบอิบ แต่ก็ปีนตามขึ้นไปนั่งห้อยขาบนเสาที่ซ้อนกันสูงๆ นั่นเหมือนกัน
 
         "ดูดหรี่ป่ะ" มือขาวส่งซองบุหรี่สายฝนซองอ่อนยับยู่ยี่พร้อมไม้ขีดไฟตราพญานาคกลักเล็กมาให้
 
         "ม่ายอ่ะ กูไม่ดูด มึงก็รู้นี่" แว่นส่ายหัว
 
         "กูรู้ แต่กูเครียดไง อยากบุหรี่ นึกว่ามึงจะดูดเป็นเพื่อนกู"
 
         เสียงไม้ขีดไฟดังฉ่ามาจากคนพูด พร้อมพ่นควันผุยยาวปลิวไปตามลมผ่านหน้า
 
         "แต่ยังไงก็ขอบใจว่ะแว่น ที่มาอยู่เป็นเพื่อนกู ตอนกูต้องการใครสักคน"
 
         อันที่จริง บุหรี่ในช่วงที่เหมาะสม มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายอะไรนักในเวลาแบบนี้
 
         กลางกรุงเทพฯ ใจกลางของมหานคร ยังไม่มีอาคารสูงใดๆ มาขวางสายตา รถน้อย อากาศดี ดวงตะวันกำลังพลบ สาดแสงสีส้มสวยก่อนจะลับฟ้า ย้อมเมฆ  ย้อมตึกเตี้ยๆ และบ้านเรือนหลังคาสังกะสี รวมทั้งโดมสนามแข่งฟุตบอลขนาดยักษ์ตรงนั้น ให้กลายเป็นเหมือนชามอ่างสีเพลิง แดงฉานตัดกับสีท้องฟ้าที่เข้มมืดขึ้นทุกขณะ นกพิราบกลุ่มสุดท้ายกำลังบินผ่านตรงหัว พร้อมกับสายลมอ่อนที่พัดควันบุหรี่ลอยมาจางๆ เหมือนม่านหมอก
 
         กรุงเทพฯ เมืองสวรรค์ เหมือนหยุดเวลาอันสวยสุด ไว้ให้คนสองคน ที่ต่างนั่งทอดอารมณ์อยู่บนเสาเข็มขนาดใหญ่บนลานนั้น

 
--------------------------------

 
ตึกแถวทั้งหมด ที่เห็นโปสเตอร์หนังติดอยู่ คือพื้นที่ก่อนจะรื้อแล้วสร้างตึกมาบุญครอง

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/378841441-member.jpg)


หัวข้อ: Re: คำสัญญาหน้ามาบุญครอง [boy's love ย้อนยุค]
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 31-12-2016 20:03:03
:mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: คำสัญญาหน้ามาบุญครอง [boy's love ย้อนยุค]
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 31-12-2016 20:11:29

MBK❤lover


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/1587241796-member.jpg)


ตอนที่ ๓ : แฟชั่นเด็กสยามสแควร์


         บ่ายสองโมงตรงเป๊ะของวันอาทิตย์ สมนึกในชุดกางเกงลำลองลายทหารขาสั้นแค่เข่า และเสื้อยืดแขนสั้นสีขาวตัวเก่าสีมอมๆ กลางหน้าอกเสื้อสกรีนเป็นลายสัญลักษณ์สมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี พร้อมสะพายเป้หลัง แถมด้วยหอบกระเป๋านักเรียนจาคอปที่โดนบีบจนแบนแต๋ใบนั้นมาด้วย ก็ได้มายืนอยู่หน้าตึกแถวที่ด้านบนสุดของตึกมีป้ายปูนซีเมนต์หล่อนูนเป็นคำว่า ตึกประยูรวงศ์ ๒
 
         "มาแล้วเหรอ จิว"
 
         แว่นทักไปงั้น เจ้าตัวกำลังก้มลงไปใส่รองเท้าแตะสกอลล์อยู่ เสร็จแล้วออกเดินนำ เสียงพื้นรองเท้าแตะสกอลล์ที่ติดเกือกม้าไว้ กระทบพื้นปูนดัง แกร็บๆๆ
 
         วันนี้แว่นแต่งตัวแปลกตา จะว่าเอาเสื้อพ่อมาใส่ก็ไม่ใช่ ถึงตัวมันจะใหญ่ไหล่ตกและดูโคร่ง แต่ลวดลายมันก็เป็นวัยรุ่น ไม่ใช่ของคนแก่ พร้อมสอดชายเสื้อไว้ในกางเกงผ้าลูกฟูกลายหนาหนักเอวสูง พร้อมคาดเข็มขัดเส้นใหญ่มาก จนแทบจะดูเหมือนเอวกางเกงจะอยู่ตรงใต้ราวนม
 
         สมนึกเดินตามหลังพยายามคิด ว่าเคยเห็นชุดแนวๆ นี้ที่ไหนนะ จนถึงป้ายรถเมล์ที่จะขึ้นตรงวงเวียนเล็ก มองเห็นแผงหนังสือที่ขายข้างทาง เลยพึ่งถึงบางอ้อนึกออก ว่าเป็นชุดแนวแฟชั่นที่กำลังฮ๊อตฮิตของวัยรุ่นตอนนี้ เหมือนที่นายแบบใส่อยู่บนหน้าปกหนังสือ "วัยหวาน" บนแผงตรงหน้านี่เอง
 
         "มึงนี่เยอะจริงๆ นะ"
 
         คนแอบมองข้างหลัง อดไม่ได้ที่จะหลุดปากออกมา
 
         "ฮ่าๆๆ ก็วัยจ๊าบเนอะ มันมี ก็ไม่รู้จะใส่ไปไหนอ่ะ น้าเดียร์ชอบซื้อมาให้ เที่ยวก็ไม่ค่อยเที่ยว ออกมาจากบ้านวันหยุดก็ขอใส่สักหน่อยเหอะ"
 
         คนตอบก็ตอบแบบไม่ได้หันมา เหมือนรู้ตัวว่าอีกฝ่ายต้องเขม่นในชุดที่ใส่มานี้แน่ๆ

 

--------------------------------


 
         หลังจากทั้งคู่ใช้เวลาบนรถเมล์นานกว่าปกติ เพราะดันไปตรงกับเวลาที่สะพานพุทธยกเปิดกลางสะพานเพื่อให้เรือแล่นผ่านข้างใต้พอดี ก็มาถึงโรงเรียนเอาเมื่อเกือบบ่ายสี่โมงเย็น
 
         "งั้นแยกกันตรงนี้นะเว้ยจิว กูเป็นอาสา ห้องนิทรรศการชีวะ กูอยู่ชั้นบนสุดน่ะ"
 
         "โอเค กูเป็นอาสาอยู่ห้องเกมส์เขาวงกต ชั้นล่างนี่เอง ไปเว้ย"
 
         แว่นแยกตัวเดินขึ้นไปที่ห้องพักครูชีวะชั้นบนสุดของตึก เมื่อถึงแล้วก็ได้รับมอบหมายจากรุ่นพี่ให้ไปช่วยยกกล่องกระจกในห้องพักครู มาตั้งแสดงในห้องที่เตรียมแท่นไว้แล้ว แว่นมองหาโต๊ะครู จนเห็นกล่องกระจกที่ว่าจากด้านหลัง จึงเดินอ้อมไปข้างหน้า

          "เฮ้ยยยยย!!!!!"

          แว่นร้องสะดุ้งโหยง มันคือศีรษะมนุษย์ ที่ดองไว้ในกล่องกระจกเพื่อการศึกษา ครูทำเรื่องขอยืมมาจากศิริราช

          --ตายห่าล่ะเว้ยกู--

          นึกพลางก็มองซ้ายมองขวา คว้าได้ผ้าขนหนูเล็กๆ ผืนหนึ่งก็ปิดลงไปบนกล่องนั่น ซึ่งก็ปิดไม่มิดจนสุดกล่องหรอก แต่ก็ดีกว่าไม่ปิด...
 
         หลังจากวุ่นวายกับการขนกล่องกระจกต่างๆ ซึ่งกล่องหลังๆ อาจดีขึ้นหน่อย เช่น มือที่ตัดแค่ข้อดอง ขดลำไส้ใหญ่ดอง หรือนิ้วคนขนาดต่างๆ (เวรกรรม ไอ้แว่นเอ๋ย) และนำไปจัดวางจนเรียบร้อย ก็เกือบสองทุ่มครึ่งแล้ว จึงเดินไปถามรุ่นพี่ว่าเค้าพักนอนในโรงเรียนกันตรงไหน
 
         "พี่ครับ ผมไม่ได้กลับบ้าน จะค้างคืนที่โรงเรียน นอนที่ห้องไหนครับ" แว่นถาม
 
         "อ้าว ก็เป็นอาสาฯ อยู่ห้องนิทรรศการไหน ก็นอนในห้องนั้นแหล่ะน้อง จะได้ช่วยกันเฝ้าของด้วย"
 
         แว่น ".........."
 
         ไม่เกินสองนาทีหลังจากนั้น แว่นก็วิ่งแน่บลงบันไดตึกเรียนอย่างไวจากชั้นห้า ลงมายังห้องเขาวงกตชั้นหนึ่งทันที
 
         "ไอ้จิว ไอ้จิวเว้ยยย"
 
         ที่ต้องตะโกนเรียกหา เพราะเมื่อเปิดประตูเข้าไป ทั้งห้องก็เต็มไปด้วยกองเขาวงกตลายหินปลอมเต็มทั้งห้อง ซึ่งเกิดจากการเอาโต๊ะเรียนมาวางซ้อนสองชั้นบ้าง สามชั้นบ้าง ให้เป็นซอกหลืบเข้าไป แล้วบุด้วยหนังสือพิมพ์ทากาวทับๆ กัน แล้วกลิ้งสีให้เหมือนลายหิน เพื่อให้คนเล่นเกมส์มุดเข้าไปแล้วคลานหาทางออก ซึ่งตอนนี้ไม่เห็นใครสักคน
 
         "ไอ้จิ....."
 
         "นี่ๆๆ อยู่นี่โว้ย ไอ้แว่น ห่า ตะโกนอยู่ได้" เสียงสมนึกดังอยู่นอกห้อง
 
         "อ้าว ไปไหนมา กูก็มองไม่เห็นนี่หว่า" แว่นหันไปตามเสียงนั้น
 
         "กูไปล้างหน้าล้างมือมา ว่าจะมุดเข้าไปนอนล่ะ ไม่มีใครอยู่ค้างเลย กลับบ้านกันหมดว่ะ กูนอนเฝ้าไอ้เขาวงกตนี่คนเดียวเนี่ย"
 
         "ดีเลย" แว่นยิ้มตาหยี "กูมาขอนอนด้วยนะ"
 
         "อ้าว แล้วห้องนิทรรศมึงล่ะ ไม่ต้องนอนเฝ้าเร๊อะ"
 
         "หึหึ...ไม่ล่ะ ใครจะเฝ้าก็เฝ้า กูคนนึงล่ะไม่เฝ้า ใครจะไปนอนลง" แว่นทำท่าขนลุกขนพอง
 
         "ฮ่าๆๆ กูพอนึกออก แล้วใครใช้ให้มึงไปอาสาทำห้องชีวะล่ะวะ" ตี๋หล่อทำตาโตเหมือนเยาะเย้ย
 
         "กูเกรงใจอาจารย์ เค้าดีกับกู กูก็อยากช่วยเค้า แต่เอาน่า ห้องนั้นคนนอนเฝ้าหลายคนแล้ว ของไม่หายหรอก"
 
         "เออๆ เอาเถอะ ดีเหมือนกัน เพราะกูโดนนอนคนเดียวเลยเนี่ย ไอ้กองเขาวงกตนี่มันก็วังเวงลึกลับดีเนาะ มาๆๆ" ตี๋เดินนำเข้าไปมุมนึงของห้อง
 
         หลังจากเก็บของ ปิดห้องปิดไฟแล้ว เด็กหนุ่มสองคนก็คลานไปที่มุมห้องด้านในสุด ติดกับหน้าต่าง แล้วตกลงกันอยู่นาน ว่าจะนอนแบบเอาหัวมุดเข้าไปนอนในช่องเขาวงกตแล้วเอาเท้าโผล่ออกมาดี หรือเอาเท้าเข้าไปแล้วโผล่หัวออกมาดี เพราะพื้นที่มันสั้นแค่นั้น มุดเข้าไปนอนทั้งตัวไม่ได้

         ท้ายที่สุดก็ตกลงกันได้ว่าเอาเท้าและตัวเข้าไปในช่องเขาวงกตดีกว่า เพราะไม่มีผ้าห่มจะห่มนอน โผล่มาแต่หัวก็ไม่เป็นไร

         "อื่อ นอนโว้ย พรุ่งนี้จะได้ตื่นเช้าๆ มึง" เสียงแว่นงึมงัมๆ พร้อมกับถอดแว่นออกวางไว้ข้างตัว

         ห้านาทีผ่านไป ก็มีเสียงกรนเบาๆ จากคนที่พูดเมื่อกี้

         แต่ตี๋หล่อยังไม่หลับ เพราะเป็นเด็กหลับยากมาแต่ไหนแต่ไร ประจวบกับที่บ้าน พ่อก็ชอบบ่น แถมวันไหนพ่อเมากรึ่มๆ มานี่ แทบไม่ได้นอนทั้งคืนเลยทีเดียว

         สมนึกหลับตาพลิกตัวไปมาอยู่หลายตลบก็ไม่หลับสักที จนอ่อนใจ ก็เลยลืมตาขึ้นมา จากมุมที่นอนตะแคงกลับไปกลับมาเมื่อกี้ ก็ปรากฏว่าหน้าทั้งคู่หันมาทางเดียวกันพอดี

         แสงไฟด้านนอกส่องอ่อนๆ ลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่มีหนังสือพิมพ์แปะปิดไว้บางๆ ชั้นหนึ่ง เพื่อให้เขาวงกตมืด แต่เพราะตอนนี้ข้างในห้องมันมืดกว่า เลยพอมีความสว่างให้เห็นได้รำไร
 
         แว่น ซึ่งถอดแว่นหนาเตอะนั้นออกแล้ว ไฟนวลๆ ลอดเข้ามา ทำให้ภาพที่สมนึกเห็น มันเนียนกว่าเวลาปกติ  ใบหน้าของแว่นที่อยู่ห่างจากสมนึกแค่สองคืบนั้น ดูน่าพิศวง แสงในมุมที่มันได้ ทำให้รอยสิวบนหน้ากลับมองไม่เห็นในขณะนี้  สิ่งที่ชัดเจนกลายเป็นช่วงตาที่สวย ขนตาดกหนา คิ้วที่สวยได้รูป เป็นโครงแนวมาจรดสันจมูก ปากสีเนื้อที่อิ่มและเผยอน้อยๆ ตามเสียงกรน เห็นฟันขาวเรียงสวยอยู่ข้างใน  สันกรามด้านข้างได้รูปคมชัด รวมทั้งปลายผมด้านหน้าที่แอบไว้ยาวกว่าปกติจากรองทรงเกรียนทั่วไป ตกลงมาเคลียอยู่ตรงหน้าผาก ทำให้สมนึกหยุดนิ่ง แล้วนอนจ้องหน้าแว่นอยู่อย่างนั้น

         แน่นอนที่สุด ว่าสมนึกไม่ได้คิดอะไร เพียงแต่ช่วงเวลานั้นมันเหมือนมนต์สะกด มันเหมือนคนเราได้มองจ้องอะไรสักสิ่งที่งดงาม ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็น คน สัตว์ หรือสิ่งของก็ตาม มันเป็นการมองทะลุเปลือกของสิ่งนั้น ลงลึกเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง จนเห็นความงามที่ไม่ต้องมีคำอธิบาย มันเป็นสิ่งสากล ไร้เพศ ไร้จำนวน ไม่ต้องมีที่มาที่ไป สมองหยุดนิ่งแต่อิ่มเอมใจในภาพตรงหน้า

         ภาวะนี้ของสมนึก เกิดขึ้นในเวลาไม่นาน หลังจากนั้นก็หลับสนิทตามคนข้างๆ ไป...


--------------------------------


         ๘.๓๐ น. ผอ. โรงเรียนทำพิธีเปิดงาน "นิทรรศการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมใจ ๒๕๒๗" ไปเรียบร้อยแล้ว กลุ่มนักเรียนทั้งเจ้าภาพ และโรงเรียนสตรีที่มาเยือน ก็กระจายกลุ่มกันไป ทั้งกลุ่มนักเรียนผู้เข้าชม และกลุ่มอาสาของทั้งสองโรงเรียน ก็เข้าประจำที่

         "เธอๆ เก้าอี้นี่ว่างใช่มะอ่ะ"

         เสียงใสๆ ของนักเรียนหญิงดังอยู่ข้างๆ  แว่นหันไปมอง เป็นเสียงของสาวน้อยชุดนักเรียนกระโปรงน้ำเงิน สาวน้อยมีผิวขาวใส ผมม้าดำสนิทเรียบตรงสวย มีแววตาที่ขี้เล่น แต่ก็ดูเป็นงานเป็นการอยู่ในที ที่แขนมีแถบปลอกแขนอาสาของงานนี้ติดอยู่ด้วย

         "อ่อ อ่อ นั่งได้ฮะ เป็นอาสาประชาสัมพันธ์ของชีวะเหรอ"

         แว่นตอบ พร้อมแอบเอามือเสยผมที่สั้นๆ ของตัวเอง อย่างไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไร

         "ใช่จ้า เราชื่อดาริน นะ เรียกเรา ลิน ก็ได้"

         "อ่อ อ่อ เราแว่นนะ จริงๆ เราชื่อที่บ้านเรียกว่าต้นข้าว แต่ไม่มีใครเรียกหรอก เรียกแว่นกันทั้งโรงเรียนอ่า"

         "ดีจ้ะต้นข้าว...สวัสดีค่ะ เชิญลงทะเบียนก่อนเข้าห้องนะคะเพื่อนๆ"

         ประโยคหลัง ดารินหันไปบอกกับกลุ่มนักเรียนที่กำลังเดินมาเข้าห้องนิทรรศการชีวะนี่

         ---น่ารักฉิบ---

         แว่น แอบรำพึง และยังจ้องจนเหลียวหลัง แม้กระทั่งเมื่อตนเองไปยืนรอบรรยายให้ผู้เข้าชมข้างโต๊ะสัตว์เลื้อยคลานดอง ที่ตนเองรับผิดชอบอยู่ ยังไม่วายเหลียวมามองดารินเป็นระยะ
 
         และเวลาต่อจากนั้น ทั้งคู่ก็ยุ่งกับงานที่รับอาสาตรงหน้า จนระฆังบอกเวลาพักเที่ยงดังขึ้น

         "ไอ้แว่นนนนนน ไปกินข้าวกัน เฮ้ยยย...ใครวะ น่ารักฉิบ"

         เสียงตี๋หล่อตัวดี ดังขึ้นหน้าห้องทันทีที่เสียงระฆังสงบลง

         "ใครวะ ใครวะ ไอ้แว่น" ตี๋หล่อกระตุกแขนเสื้อแว่นยิกๆ

         "ใครคือใคร คนไหนล่ะมึง มีคนตั้งเยอะ" ร่างสูงตีมึน

         "ห่า คนนั้นไง หญิงผมม้า ตัวขาวๆ น่ารักๆ น่ะ"

         ตอนนี้แขนเสื้อของแว่นจะขาดอยู่แล้วตามแรงกระตุกของมัน

         "อ่อ ดาริน อาสามาจากโรงเรียนข้างๆ ไง อยู่สายวิทย์"

         "น่ารักเว้ยยย มึง ชวนเค้าไปกินข้าวดิ"

         "เออ..." แว่นตอบๆ ไปงั้น เพราะถ้าไม่ตอบ แขนเสื้อคงขาดคามือไอ้ตี๋นี่

         "ลิน ลิน ไปกินข้าวด้วยกันไหมอ่ะ" แว่นจ้องผ่านแว่นที่หนาเตอะถาม

         "ไปดิ" ดารินตอบแบบไม่ต้องคิด "เพื่อนเราต้องอยู่เวรเฝ้าของในห้องนี้ก่อน ไปกินพร้อมเราไม่ได้ เราไปกินกับเธอแทนก็ได้"

         "ป่ะๆๆ" แว่นตอบด้วยอาการลิงโลด แต่ไอ้หล่อที่เกาะแขนเสื้ออยู่ ดูมันตื่นเต้นกว่า


         ทั้งสามคนเดินลงมาที่โรงอาหารของโรงเรียน ก็พบว่าทั้งโรงอาหาร มีนักเรียนทั้งสองโรงเรียนนั่งกินข้าวกันเต็ม และยังมียืนถือถาดอาหารรอโต๊ะนั่งอีกเยอะ

         "เวรล่ะ เอาไงดีวะเนี่ย"  สมนึกเกาหัวแกรกๆ

         "ไปกินที่สโมสรรถไฟ ตรงข้ามนี่ไหมอ่ะ" ดารินเสนอความคิดขึ้น

         "โห แพงอ่ะดิ เราไม่ค่อยมีตังค์"  พอพูดเรื่องตังค์ ไอ้ตี๋หล่อหมดท่าจะแอ็คอาร์ตขึ้นมาทันที

         ดารินหัวเราะเสียงใส

         "ไม่แพงหรอก มันก็เป็นร้านอาหารสวัสดิการเหมือนกัน ถ้าแพงก็แพงกว่าแค่บาทสองบาทเอง"

         "กูเลี้ยงมึงเองน่า อย่าเยอะ ต้องรีบกลับมายืนงานอีก เสียเวลา เร็วๆ"  แว่นสรุปให้

         อีกห้านาทีต่อมา ทั้งสามคนก็มายืนเลือกกับข้าวที่สโมสรรถไฟ ซึ่งก็จริงดังดารินว่า กับข้าวราดแกงที่นี่ ราคาจานละ ๑๐-๑๒ บาท ก็ต่างจากโรงอาหารโรงเรียนนิดหน่อย ถ้ากินในโรงเรียนก็ ๘-๑๐ บาท

         "เออ ลิน นี่เพื่อนเรานะ ชื่อสมนึก หรือชื่อไอ้จิว น่ะ"

         "ดีคร้าบบบ ลิน"  ไอ้ตัวดี กะลิ้มกะเหลี่ยขึ้นมาทันที

         เสียงหัวเราะใสของดารินนำขึ้นมาก่อนพูดอีกครั้ง "นึกว่าจะไม่แนะนำเพื่อนให้ซะแล้ว ดีจ้าจิว"

         บทสนทนาต่อมาของสามคนบนโต๊ะกินข้าว ก็เริ่มต้นขึ้นอย่างออกรส ทั้งเรื่องดูหนัง เรื่องเพลงพุ่มพวง เรื่องวงฮอทเปปเปอร์ซิงเกอร์ เรื่องอำพล ลำพูน ซึ่งเป็นดาราหน้าใหม่ได้ตุ๊กตาทองจากหนังเรื่อง "น้ำพุ" ในปีนี้ เท่สุดๆ อยากไปดูหนังเรื่องนี้จัง งั้นงี๊ และสัพเพเหระต่างๆ นาๆ

         มิตรภาพที่จะเปลี่ยนชะตาชีวิตของคนสามคนในวันข้างหน้า เริ่มต้นที่สโมสรรถไฟแห่งนี้เอง...


--------------------------------


         ๕ วันติดกันในงานนิทรรศการก็ผ่านไป  วัยรุ่นหนุ่มสาวทั้งสามคน ได้ใช้เวลานั้นยึดสโมสรรถไฟเป็นที่กินอาหารกลางวันร่วมกันทุกวัน จิตใจ ความนึกคิด ความรู้สึกต่างๆ นาๆ ของวัยเยาว์ ก็ถูกส่งต่อแลกเปลี่ยนกันตรงนั้นเป็นที่เพลิดเพลิน

         บางวัน เพื่อนสนิทอีกสองสามคนของสมนึกและแว่น ก็ได้มาร่วมแจมด้วย และมีวันหนึ่ง ดารินได้แนะนำเพื่อนหญิงที่สนิท ให้สมนึกและแว่นรู้จักอีกคน

         "ชื่อสมหมาย เพื่อนเราเองเธอ" ดารินหัวเราะนำมาก่อนแล้วแนะนำเพื่อน

         "สมหมายเนี่ยะนะ ชื่อผู้หญิงเหรอ" ตี๋หล่อขาโจ๋โพล่งออกมาแบบไม่เกรงใจเจ้าของชื่อ

         "ทำไมยะ ชื่อสมหมายมันเป็นยังไง" เจ้าของชื่อทำเสียงสูงโวยกลับ

         "ป่าวววว แซวเล่น ฮ่าๆๆ" ขาโจ๋ยังไม่วาย อดขำ

         สมหมายทำปากขมุกขมิบ สาวน้อยวัยรุ่นที่ชื่อสมหมายนี้ เป็นสาวน้อยร่างสูงปริ๊ด รูปร่างเหมือนนักกีฬาวอลเลย์หรือบาสเก็ตบอลประมาณนั้น ผมสั้นแค่หู ดูโผงผาง กล้า ไม่กลัวคน แต่ก็ดูเป็นมิตรดี ตรงข้ามกับน้ำเสียงที่ใช้

         "หืม วันไหนไปเที่ยวสวนสยามกัน จะใส่ชุดว่ายน้ำให้ดู จะได้รู้ว่าชื่อนี้หญิงหรือชายนะเธอนะ" สมหมายท้าให้

         "ฮ่าๆๆ ไม่เอา เราไม่ดูเธอหรอก"  ทีงี้ตี๋หล่อเริ่มหงอล่ะ เวลาเจอคนจริงเข้า

         "กินข้าวกันเหอะ กินๆ อร่อยป่ะแว่น เอาน้ำอะไร เดี๋ยวเราไปซื้อให้"

         สมหมายดูเหมือนจะหยิบยื่นน้ำใจให้แว่นมากกว่าใครในโต๊ะ

         "อุย ไม่เป็นไร ขอบใจจ้าสมหมาย เดี๋ยวเราไปเอง"

         ไม่รู้เป็นอย่างไร แว่นกลับมีความรู้สึกเกรงอกเกรงใจสมหมาย มากกว่าดารินเสียอีก


--------------------------------


         หลายวันหลังจากงานนิทรรศการจบลง นักเรียนทั้งสองโรงเรียนก็เข้าสู่ภาวะปกติ เย็นวันหนึ่ง สมนึกก็ชวนแว่นเดินเล่นเพราะเบื่อพ่อ และไม่อยากจะกลับบ้านเร็ว  ทั้งสองหมายใจจะไปนั่งเล่นบนกองเสาเข็มตรงสี่แยกปทุมวันนั้นอีก เพราะมันมีมุมที่นั่งแอบสูบบุหรี่ได้

         หากแต่ทั้งคู่ก็ต้องผิดหวัง เพราะถึงวันนี้ เสาเข็มบางส่วนเริ่มตอกลงไปในพื้นแล้ว มีปั้นจั่นตอกเสาเข็มหลายแท่นกำลังตอกเสาเสียงดัง ตึ๊มๆๆ สนั่นไปทั่วบริเวณ แถมมีรั้วสังกะสีมากั้นล้อมรอบไปอีก

         สองคนเลยเดินข้ามถนนไปฝั่งสยามเซนเตอร์ ตรงนั้นเป็นลานโล่งติดกับสี่แยก โดยตัวตึกสยามเซนเตอร์อยู่ลึกเข้าไปอีก พื้นที่บริเวณนี้ในภาวะปกติจะใช้จอดรถของคนมาเดินห้าง แต่ถ้าหน้าหนาว จะเป็นลานเบียร์สด ซึ่งเป็นของแปลกใหม่ที่คนกำลังเห่อ และนิยมกันมากในเวลานั้น แต่วันนี้ไม่ใช่หน้าหนาว และเป็นวันธรรมดาที่ไม่มีรถมาห้างมากนัก ลานนั้นเลยโล่ง

         "แว่น" ตี๋หล่อเรียกขึ้น หลังจากนั่งนิ่งๆ มาสักพัก บนลานสนามหญ้านั้น

         "หืม อะไรวะ" แว่นขานรับ โดยไม่ได้ละสายตาจากปั้นจั่นตอกเสาเข็ม ซึ่งกำลังตอกเป็นจังหวะที่ฝั่งตรงข้ามไฟแดงนั้นอยู่

         "กูว่ากูชอบดารินว่ะ" ตี๋สมนึก มีสีหน้าเข้มขึ้นนิดหนึ่งตอนพูด จากมุมที่แว่นหันขวับไปมองตอนนี้

         "เ อ อ ..." แว่นตอบกลับเสียงเบา

         "อะไรเออ เอออะไรของมึง ดีหรือไม่ดีก็ว่ามาสิวะ มา อง มา เออ" ตี๋โวย

         "ก็ดี..." แว่นเสียงยังแผ่วๆ อยู่ และตอนนี้ก้มหน้าลงไปมองพื้นหญ้าแล้ว

         สมนึกมองแว่นอย่างมึนๆ มันเป็นอะไรของมัน อยู่ดีๆ ก็อึนไป อะไรวะ---

         นึกประโยคนั้นเสร็จ ตี๋หล่อหน้าหวานก็เอื้อมมือไปวางบนหลังคออีกฝ่ายเบาๆ พร้อมกับลูบมือแผ่วๆ ไปมาที่หลังคอนั้น  แล้วพูดเสียงอ่อนๆ

         "แว่น เป็นอะไรหรือเปล่า มีอะไรบอกกูได้นะ"

         "เปล่า..." แว่นยังเสียงแผ่วๆ อยู่ แต่ตอนนี้เงยคอกลับขึ้นมามองปั้นจั่นตอกเสาเข็มอีกแล้ว
 
         ผลั่ววว!!!"

         เสียงมือตีเข้ากับต้นคอแว่น แบบกึ่งแรงกึ่งเบา จากที่ลูบๆ เล่นอยู่บนหลังคอเมื่อกี้  ตี๋หล่อคงนึกขวาง อึดอัดขัดใจขึ้นมา จากลูบปลอบใจ เลยฟาดมันซะเลย

         "เฮ้ยยย อะไรวะ ตีกูทำไม" แว่นหันมาโวยเต็มเสียง

         "ฮ่าๆๆๆ กูหมั่นไส้มึงเล่นๆ นี่ล่ะ ห่า ถามความเห็นหน่อยก็ไม่ตอบ มึงเป็นอะไรวะ ---หรือมึงอย่าบอกนะ ว่ามึงก็จะจีบดารินเหมือนกัน ฮ่าๆๆ"

         "เฮ้ย กูไม่..." แว่นโบกมือผ่านหน้า

         "งั้นมึงก็อิจฉากูล่ะสิ"

         "ค-ว-ย เหอะ มึงจีบติดแล้วเหรอไง" แว่นร้องครางลงเสียงต่ำออกมา

         "ถ้าไม่ใช่งั้น ก็แสดงว่ามึงหึงกู  ฮ่าๆๆๆๆๆ"

         "ไอ้เหี้ยยย--- หึงเหิงอะไรของมึ๊งงง" เสียงสองของแว่นแว้ดขึ้นมาทันที
 
         "ฮ่าๆๆ เรื่องของมึง กูอารมณ์ดีแล้วเว้ย ไปไป กลับบ้านกันเถอะ ต่อรถสองต่อจากสยามนี่ล่ะ ขี้เกียจเดินย้อนไปขึ้นสาย ๗ หลังโรงเรียนอีก ป่ะ"

 
--------------------------------

 
ศูนย์การค้าสยาม (สยามเซ็นเตอร์) เมื่อแรกสร้าง

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/251193450-member.jpg)

 
ภาพยนตร์  "น้ำพุ" อำพล ลำพูน / ตุ๊กตาทอง ปี พ.ศ. ๒๕๒๗

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/1120610243-member.jpg)

 
วงฮอทเปปเปอร์ซิงเกอร์

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/2049798318-member.jpg)

 
สโมสรรถไฟ หัวลำโพง


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/32198208-member.jpg)


แฟชั่นเด็กวัยรุ่นสยามเซนเตอร์ ในอดีต

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/1100766781-member.jpg)

 
สะพานพุทธ สมัยยังยกเปิดกลางสะพานได้

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/1142481756-member.jpg)

 
ตราสัญลักษณ์ สมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/1023455799-member.jpg)


หัวข้อ: Re: คำสัญญาหน้ามาบุญครอง [boy's love ย้อนยุค]
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 31-12-2016 20:23:32
:mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: คำสัญญาหน้ามาบุญครอง [boy's love ย้อนยุค]
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 31-12-2016 21:09:41
ชอบธีมเรื่องมาก
อินกับสถานที่ต่างๆ ในเรื่องมากเป็นพิเศษเลย คิคิ
ส่งกำลังใจให้คนเขียนน้าาา
สวัสดีปีใหม่ค่าาา
 :L2:
หัวข้อ: Re: คำสัญญาหน้ามาบุญครอง [boy's love ย้อนยุค]
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 01-01-2017 11:17:55
:กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: คำสัญญาหน้ามาบุญครอง [boy's love ย้อนยุค]
เริ่มหัวข้อโดย: Monkey D ที่ 01-01-2017 14:37:49
น่าติดตามมาก ต่ออีกนะ
หัวข้อ: Re: คำสัญญาหน้ามาบุญครอง [boy's love ย้อนยุค]
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 01-01-2017 15:51:50

MBK❤lover


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/1587241796-member.jpg)


ตอนที่ ๔ : รอวันฉันรักเธอ


         หลังจากวันนั้นมา สมนึกก็รุกคืบกับดารินขึ้น เริ่มจากการขอเบอร์โทรศัพท์บ้าน แต่ก็ถูกปฏิเสธไป เพราะเหตุผลว่าที่บ้านเธอชอบมีคนแอบฟังโทรศัพท์จากเครื่องพ่วง ซึ่งจับไม่ได้ว่าใครชอบมาแอบฟัง และอีกอย่าง โทรศัพท์ตั้งอยู่กลางบ้าน มันจะโดดเด่นมากถ้ามีใครโทรมาจีบแล้วต้องยืนคุยท่ามกลางสายตาของคนทั้งบ้าน

         สมนึกยังไม่หมดความพยายาม เฝ้าเพียรขอที่อยู่บ้านดาริน บอกว่าใกล้ปิดเทอมแล้ว จะได้เขียนจดหมาย หรือไม่ก็จะส่งโทรเลขไปหา อันนี้ดารินคงหมดข้ออ้าง จึงต้องให้ที่อยู่มา ซึ่งแว่นก็ได้ชะโงกอ่านตอนที่สมนึกยื่นกระดาษจดที่อยู่นี้มาอวด ก็ได้ทันเห็นว่าบ้านดารินอยู่ตรงถนนหลานหลวง ตรงข้ามวัดภูเขาทองนี่เอง

         แต่ยังมีอีกอย่างหนึ่ง ที่หนุ่มสาวจะจีบกันต้องทำ ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องมาเกี่ยวพันกับแว่นจนได้...

         "เฮ้ยไอ้แว่น วันเสาร์นี้กูไปนอนค้างบ้านมึงนะ"

         "ค้างเชี้ยอะไร มึงจะมาค้างทำไมอ่ะ" แว่นโวยไว้ก่อน

         ตี๋หล่อหน้าใส เกาหัวแกรกๆ ทำหน้าปูเลี่ยนๆ แต่ดูแล้วหล่อน่ารักมากกว่าเลี่ยน --ก่อนบอกว่า...

         "ก็กูจะไปขอยืมใช้วิทยุมึงอ่ะ ของบ้านกูมีแต่วิทยุธานินทร์ ไม่มีปุ่มอัด กูจะโทรไปขอเพลงในรายการวิทยุ แล้วอัดเทป จะเอาเทปคาสเซ็ทเพลงรักห่อเป็นของขวัญส่งให้ดารินอ่ะ คิกๆๆๆ"

         "แมร่ง...เดือดร้อนกูอีก มึงก็มาบ่ายๆ สิ จะมาเชี้ยอะไรดึกๆ มาค้งมาค้าง วุ่นวาย" หน้าหล่อหลังแว่นตาทำหน้าเซ็ง

         "บ่ายๆ มันอัดเพลงไม่ได้ มึงนี่ไม่เข้าใจ บ้านมึงติดกับวัด เสียงพระสวดเข้าไปในเทปกันพอดี ห่า มันหนกขู ต้องอัดดึกๆ โว้ย มันเงียบๆ เข้าใจป่ะ" ตี๋หล่อทำหน้าแบบผู้เชี่ยวชาญ

         "เออ เออ เรื่องของมึง มาก็มา" แว่นตัดบท "อ้อ แล้วมึงก็ซื้อเทปเปล่าของมึงมาเองด้วย ไม่ใช่มาเอาของกูนะ"

         "รู้แล้วน่าาาา วุ้ย เชี่ยนี่" สมนึกกลอกตาขึ้นลงอย่างอ่อนใจซะเต็มประดา

 
--------------------------------

 
         ค่ำวันเสาร์นั้น ทั้งคู่ก็ได้เดินอิ่มออกมาจากตลาดมืด-วงเวียนเล็ก หลังจากซัดบะหมี่ปู และหอยทอดเจ้าดังกันไปคนละแน่นๆ แล้ว

         "อิ่มฉิบหาย ขอบใจนะโว้ยแว่น ที่เลี้ยงกู อร่อยเหี้ยๆ ไว้กูซื้อทับทิมกรอบแถววงเวียนใหญ่บ้านกูมาฝากมึงมั่ง  เออ ว่าแต่ทำไมแถวบ้านมึงเรียกตลาดมืดวะ กูเห็นแมร่งเปิดไฟสว่างโร่เลย" สมนึกพูดพลาง ลูบท้องไปพลาง ทำท่าเหมือนจะเรอ...

         "มันไม่เกี่ยวกับเปิดไฟปิดไฟหรอกโว้ย ที่เรียกตลาดมืดเพราะมันขายแต่ตอนกลางคืนไง ส่วนกลางวันมันมีแต่แผงพระเครื่อง ไม่มีของกิน" แว่นอธิบาย

         "อ้อ..." ตี๋หล่อผงกหัวงึมงัม

         หลังจากแว่นพาสมนึกเข้าบ้าน สวัสดีแม่และพี่สาวของแว่นแล้ว ก็เตรียมพาสมนึกขึ้นห้องบนชั้นสอง

         "ต้นข้าว เดี๋ยวๆ แม่ฝากนี่ไปหน่อย" เสียงแม่เรียกชื่อเล่นจริงๆ ของแว่น

         "ฮะแม่"

         "ซองจดหมายนี่ จ่าหน้าซองมาถึงน้าเดียร์ ทำไมพึ่งมาส่งไม่รู้ แม่ก็ไม่ได้เปิดดูว่าอะไร มันหนาๆ แม่ฝากให้ต้นข้าวเอาไปส่งไปรษณีย์ให้น้าเดียร์ตามที่อยู่ใหม่ได้ไหมลูก อาจจะสำคัญ น้าเดียร์ต้องใช้หรือเปล่าไม่รู้ เอาไปส่งต่อให้แกหน่อย ตอนแกย้ายออกไปจากที่นี่คงลืมเปลี่ยนที่อยู่"

         "ฮะแม่" แว่นยื่นมือไปรับซองมาถือไว้ แล้วพากันเดินขึ้นชั้นสอง

         "ใครวะน้าเดียร์ กูไม่เห็นเคยเจอ" ตี๋น้อยสุดหล่อ มองซองในมือแว่นแล้วถามขึ้น

         "ญาติกูแหล่ะ มาพักอยู่บ้านกูช่วงนึง นอนกะกูที่ห้องกูนี่ล่ะ แต่ตอนนี้ย้ายออกไปแล้ว"

         "อ้าวเหรอ ย้ายไมวะ ก็ญาติมึงเองไม่ใช่เหรอ"

         "อื่อ ไม่รู้มีปัญหาอะไรกับแม่กูป่าวไม่รู้ แม่ไม่ได้เล่าให้ฟัง ตอนน้าเดียร์แกเก็บของเห็นแกร้องไห้ด้วย กูก็ไม่กล้าถาม...เอ้า ล้างตีนก่อนเข้าห้องด้วยล่ะมึง"

         ห้องแว่น เป็นห้องขนาดพอดีเตียง คือในห้องวางเตียงใหญ่แล้วก็แทบจะคับห้องเลย ไม่มีตู้เสื้อผ้า มีแต่ตู้ไม้ยาวๆ ชิดไปตามผนังตู้หนึ่ง ไม่ใช่ตู้แบบสูง แต่เป็นตู้เตี้ยๆ ซึ่งหลังตู้นี้ก็ใช้วางของจิปาถะได้เหมือนเป็นโต๊ะ และตอนนี้มันก็มีกองหนังสือ วิทยุขนาดกลาง และพัดลมสี่เหลี่ยมยี่ห้อไจโรแอร์ ตามสมัยนิยมวางอยู่ ห้องนี้มีหน้าต่างสี่บาน

         "อ่ะ ทีนี้มึงจะยังไงต่อ" แว่นถาม พลางโยนซองสีน้ำตาลที่ถือขึ้นมาไปบนกองหนังสือ

         "เดี๋ยวกูจะกรอหัวเทปรอไว้ แล้วกูต้องไปโทรศัพท์หา ดี.เจ. คลื่น F.M.101 เพื่อขอเพลง แล้วเราก็รอ พอเค้าเปิดให้ กูก็กดอัดเทป แค่เนี้ยแหล่ะ"

         "งั้นมึงก็ลงไปโทรข้างล่างสิ โทรศัพท์บ้านกูอยู่ตรงตู้โชว์ข้างล่างน่ะ มึงลงไปถูกใช่ไหม ถ้าแม่กูถามมึงก็บอกไปว่าโทรหา ดี.เจ. รายการวิทยุ" แว่นบอก พร้อมเริ่มหาว

         "อื่อ งั้นกูลงไปโทรก่อนนะ เพราะไม่รู้นานแค่ไหนกว่าจะถึงคิวเปิดเพลงให้น่ะ" ตี๋หล่อเดินไปเปิดวิทยุคลื่นที่ต้องการรอไว้ แล้วออกจากห้องไป

         ระหว่างที่สมนึกเดินลงไปโทรศัพท์  แว่นก็เดินไปเปิดหน้าต่างห้อง และไปหยิบกางเกงขาสั้นจากตู้เตี้ยนั่นมาสองตัวแล้ววางบนเตียง กะว่าเดี๋ยวจะเปลี่ยน แล้วเดินเลยไปหยิบที่เขี่ยบุหรี่จากใต้เตียงขึ้นมาเช็ด ตั้งแต่น้าเดียร์ย้ายออกไป ก็ไม่มีใครมาเขี่ยบุหรี่ในห้องนี้อีก เช็ดเสร็จก็วางรอไว้ให้ใกล้ๆ วิทยุ เผื่อไอ้จิวมันจะสูบ และแถมหยิบกลักไม้ขีดไฟในก้นตู้ มาวางเคียงไว้ให้ด้วย จัดเสร็จ สมนึกก็กลับขึ้นมาพอดี

         "ไงวะ ได้มะ" แว่นถาม

         "เรียบร้อย แต่ ฮ่าๆๆ กูลืมไป ขอเพลงเฉยๆ ไม่ได้ มันต้องบอกเค้าด้วยว่ามอบเพลงนี้ให้ใคร เค้าจะพูดออกอากาศให้ก่อนเปิดเพลง เราจะได้รู้ว่าถึงคิวเพลงของเรา จะได้กดอัดเทปทัน และเค้าจะไม่พูดทับหัวเพลงให้ด้วย"

         "อ้าวเหรอ แล้วมึงบอกเค้าไปว่ามอบให้ใครล่ะ แล้วป่านนี้ดารินจะไม่หลับแล้วหรือ จะได้ฟังหรือไง" แว่นสงสัย

         "มึงเดาสิ ไม่ใช่ดารินหรอก เพราะเธอคงหลับไปแล้ว อนามัยซะขนาดนั้น แต่อย่าเดาเลย กูอ้างชื่อมึงแหล่ะ ฮ่าๆๆ อ้างไปว่าขอเพลงนี้ให้มึง" ตี๋หล่อยิ้มฟันขาวใส

         "หึหึ ขอเพลง ดี.เจ. ออกอากาศให้กูเนี่ยนะ เพลงไรวะ"

         "เดี๋ยวมึงรอฟังเอง เพลงกำลังฮ๊อตเว้ย  เออนี่ เสียงพัดลมนี่ดังฉิบหาย กูปิดก่อนนะ เดี๋ยวอัดเทปไม่เพราะ" พูดจบไอ้จิวก็กดปิดปั๊บ

         พอปิดพัดลมสักครู่ สองคนก็เริ่มร้อน หันไปหันมา

         "นี่ๆ กูเตรียมเกงขาสั้นให้มึงแล้ว เปลี่ยนสิ" แว่นส่งกางเกงให้ พร้อมกับของตัวเองก็หยิบมาไว้ตัวหนึ่ง

         สมนึกหันหลังให้ แล้วรูดกางเกงยีนส์ขาม้าลงไปกองกับพื้น แว่นพึ่งสังเกตเห็นเดี๋ยวนี้เองว่าไอ้จิวไม่ได้ใส่กางเกงใน แถมตอนก้มลงไปก็ไม่ได้ระแวงอะไร ถ่างขาได้ก็ก้ม จนมองลอดเห็นไปถึงพวงไข่น้อยๆ เกลี้ยงเกลาสีชมพู ห้อยดุ๊กดิ๊กอยู่ตรงหว่างขานั้น

         ใส่กางเกงขาสั้นบางๆ เสร็จ ไอ้จิวคงยังไม่สะใจหายร้อน เลยหันมาถอดเสื้อยืดที่ใส่ออกด้วย เสื้อคงคอแคบ ตอนถอดเลยติดๆ ขัดๆ อยู่ตรงคอ แถมไปพันกับเชือกร่มห้อยพระที่คล้องอยู่ เลยยกมือคาเสื้อปิดหน้าขลุกขลักอยู่อย่างนั้น

         แว่นจะไม่มองก็ไม่รู้จะหันไปไหน ภาพที่เห็นก็คือรูปร่างของเด็กหนุ่มที่สมบูรณ์ การทำงานหนักช่วยพ่อขี้เมาขายของ ยกของ ทำให้เกิดกล้ามท้องบางๆ พอเป็นลอนๆ เอวเล็กบางยาวสอบแคบลงไป แถมมีร่องรูปตัว V แบบเสือหิว โผล่ขึ้นมาจากขอบกางเกงบางๆ นั้นด้วย

         ส่วนกล้ามแขนที่กำลังสาละวนถอดเสื้ออยู่นั้น เป็นกล้ามน้อยๆ แบบเด็กหนุ่มกำลังโต หัวไหล่สองข้างเป็นลูกกลมๆ ส่วนวงแขนที่กำลังยกสูงต่อสู้กับเสื้อยืดอยู่นั้น ก็มีไรขนรักแร้บางๆ ไล่ลามเป็นขีดๆ ตามร่องรักแร้นั้น มันเป็นรูปร่างที่สมบูรณ์มากๆ ของเด็กหนุ่มร่างหนึ่ง

         "โอย...ห่านี่" ตี๋หล่อด่าลอยๆ แบบไม่มีความหมายอะไร หลังจากถอดเสื้อสำเร็จ หัวยุ่งเหมือนคนพึ่งประกอบกามกิจเสร็จ เหงื่อซึมตามหน้าอกเป็นเม็ดๆ หน้าขาวอมชมพูจัด ถ้าผู้ชายจะมีความเซ็กซี่ และมีความดึงดูดทางเพศได้มากๆ  ตอนนี้จิวคือคนนั้น

         "เฮือกกก~" เสียงถอนหายใจผสมเสียงกลืนน้ำลายลงคอของคนข้างๆ ทำให้จิวหันหน้าไปดู

         "อ้าว ไง มึงอ่ะ ไม่เปลี่ยนเกงหรือ มึงจะอึ้งอะไรมึงอยู่เนี่ย" ตี๋หล่อถามยิ้มๆ พร้อมเสยผมที่ยาวแต่ข้างหน้าให้เข้าที่ "มึงเปลี่ยนเลย แล้วมานอนรอฟัง ดี.เจ. นี่"

         ทีนี้แว่นเลยต้องเปลี่ยนบ้าง แต่แอบนึกในใจว่าคงไม่มีฉากเซ็กซี่แบบเมื่อกี้หรอกนะ ยกให้มึงคนเดียวก็แล้วกัน

         เปลี่ยนกางเกงเสร็จ แว่นก็มานั่งแหม่ะบนขอบเตียง ตาก็จ้องไปที่วิทยุ

         "อ้าว ไม่ถอดเสื้อไงมึงอ่ะ ไม่ร้อนเหรอ"

         "หึ! ไม่อ่ะ" แว่นส่ายหัว

         "อะไรของมึง ห้องมึงบ้านมึงแท้ๆ อายไรวะ หรือมึงมีหัวนมสี่อัน ไหนๆ ถอดดูซิ๊"

         พูดจบ ไอ้ตี๋หน้าใสก็โถมทั้งตัวที่เกือบจะเปลือยเปล่าลงมาทับไอ้แว่นจนหงายเงิบลงไปบนเตียง แว่นร้องงึดๆๆ ไอ้จิวยิ่งกดปล้ำแน่นขึ้น เอาสองเข่าขึ้นทับกดสองต้นขาของแว่น จนเหมือนขาแหกกว้างออกไป กระดิกตัวไม่ได้ แล้วเอาสองมือพยายามถอดเสื้อให้แว่น ซึ่งก็สำเร็จ แถมแว่นตากระเด็นหลุดออกจากหน้า

         "ก็แค่เนี้ย เฮ้อ เหนื่อย"

         ไม่พูดเปล่า ไอ้จิวที่บ่นเหนื่อย ก็ล้มตัวช่วงบนลงไปนอนทับที่อกแว่น ช่วงขายังทับให้ขาแหกแบะออกไปอยู่ กลางลำตัวแนบกันสนิท เอาหน้าใสๆ ขาวๆ ซบลงไปกับอกเปลือยของแว่นที่มีเหงื่อซึมเล็กน้อย หายใจแรงๆ ทำเหมือนเหน็ดเหนื่อยซะเต็มประดา ต้องหมดแรงซบอยู่แบบนี้

         สักพัก ไอ้จิวก็เอามือตบ ป๊าบ!! ลงไปที่อกของแว่น ที่ตัวเองกำลังซบอยู่นั้น แล้วพลิกตัวเองออกไปนอนหงายแผ่ข้างๆ แว่น ตามองเพดานเล่น หูก็ฟังเพลงจากวิทยุ แล้วร้องตามหงิงๆๆ

         ---มึงมีความสุขเหลือเกินนะ ไอ้จิว---

         อันนี้แว่นคิด ไม่ได้พูดออกมา และในเมื่อเป็นอิสระจากการโดนปล้ำถอดเสื้อแล้ว ก็เลยพลอยนอนหงายแผ่อยู่ท่าเดิม เหมือนคนข้างๆ ไปด้วย

          "และช่วงเพลงคุณขอมาช่วงนี้นะครับ-----"

         "เฮ้ยยย มาล้าววว" จิวรีบกระดกตัวขึ้นมาจากเตียง เอานิ้วชี้แตะริมฝีปากเอาไว้ ทำนองว่า จุ๊ๆๆ อย่าส่งเสียง ส่วนอีกนิ้ว แตะรอที่ปุ่มบันทึกเสียง พร้อมที่จะกดเมื่อเพลงมา

         ส่วนแว่น ก็ลุกขึ้นนั่งอย่าง งงๆ บนขอบเตียง  หูก็ฟังเสียง ดี.เจ. พูด   ตาก็จ้องไปที่วิทยุ

         ---ครับ ช่วงนี้เป็นโทรศัพท์หลังไมค์ขอมาจากผู้ฟังทางบ้าน จาก น้องจิว ๔/๗ ขอเพลง "รอวันฉันรักเธอ" ของวงคีรีบูน มอบให้ น้องต้นข้าว ๔/๗ นะครับ แหม เพลงนี้กำลังดังมากทีเดียว

         และน้องจิวยังฝากมาบอกน้องต้นข้าวว่า "ใกล้จะสอบแล้ว ตั้งใจอ่านหนังสือนะ"

         ไปฟังกันเลยครับ "รอวันฉันรักเธอ" จากวงคีรีบูน---

         "มีดวงใจหนึ่งดวง
         จะมอบให้เธอไว้ครอง
         เมื่อยามสองเราต้องจากไกล
         พาดวงใจเลื่อนลอย
         ฝากบทเพลงบรรเลงให้ไว้
         เธอโปรดเก็บใจไว้เพื่อรอ...
         เธอโปรดจำไว้...วันที่ฉันรอ"


         "แกร๊ก!" เสียงปิดปุ่มอัดเทปดังขึ้นเมื่อทั้งเพลงจบลง เป็นอันสำเร็จภารกิจ จิวหันกลับมาที่เตียง ทันเห็นแว่น --หรือ "น้องต้นข้าว ๔/๗"-- ที่ ดี.เจ. ประกาศถึงเมื่อกี้ กำลังเอามือลงจากหน้าพอดี จะแมลงเข้าตาหรือฝุ่นในห้องเยอะยังไงไม่ทราบ เห็นแว่นเอานิ้วเช็ดๆ ที่ขอบตาพอดี

         "ไงล่ะมึง ซึ้งเลยสิ ฮ่าๆๆ ตัวแทนขอเพลง โดนยืมชื่อไปมอบเพลงให้หน่อย ซึ้งแทนดารินเลยนะมึงนะ"

         "อื่อ เพราะดีนะเพลงน่ะ" แว่นก้มหน้าตอบเบาๆ

         "อยู่แล้วล่ะ ก็กูเลือกเองนี่ ฮ่าๆๆ คนได้รับมอบเพลงตัวจริงต้องชอบแน่ๆ" ตี๋หล่อยังหน้าบานไม่หุบที่ภารกิจลุล่วงตามแผนที่วางไว้

         "มา มึง นอนกันเหอะ ง่วงแล้ว เมื่อกี้กว่า ดี.เจ. จะเปิดก็ล่อซะดึกเชียว" ตี๋หล่อตบหมอนป้าบๆ

         "เออแว่น กูนอนดิ้นนะบอกไว้ก่อน และกูติดหมอนข้างด้วย แต่ห้องมึงไม่มี ก็อดทนเผื่อกูเผลอไปนอนก่ายมึงตามความเคยชินหน่อยละกัน"

         ตี๋หล่อ ลงไปนอนแผ่ก่อนแล้ว ชันเข่าขึ้นมาข้างหนึ่ง พาให้กางเกงที่แสนสั้นและบางนั้น ร่นสูงขึ้นมาอีกอย่างน่าเสียวไส้

         "ไม่เป็นไรหรอก" แว่นตอบพร้อมทิ้งตัวนอนตามลงไปข้างๆ "กูเวลาหลับก็เหมือนซ้อมตายน่ะ หลับแล้วหลับเลย กรนสนั่น ไม่รู้เรื่องหรอก"

         "อื่อ ดี..." เสียงจิวอู้อี้ๆ


--------------------------------


         เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หน้าต่างของตึกวัดประยูรฯ ที่อยู่ตรงข้ามหน้าต่างห้องบ้านของแว่น แต่อยู่ระยะห่างไกลออกไปมาก ก็ถูกเปิดออก นักเรียนที่ใส่ชุดขาวมาเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์เริ่มทยอยมาแล้ว และมายื่นหน้าชะโงกเล่นที่ริมหน้าต่างนี้

         ถ้าหากตึกมันจะใกล้กันกว่าที่เป็นจริงอยู่นี้ หรือมีมือเทวดาไปลากตึกให้เข้ามาชิดกันกว่านี้ ภาพที่คนจากตึกโน้นจะมองเห็นที่หน้าต่างห้องตรงข้าม คงจะเป็นภาพเด็กหนุ่มสองคนในห้องนอน ที่มีแสงแดดอ่อนตอนเช้าสาดเข้ามาเป็นริ้วบางเบา ในสภาพแทบจะเปลือยกาย นอนตะแคงหันหน้ามาทางหน้าต่างทั้งคู่ คนหนึ่งนอนก่ายเอาแขนและขาพาดทับอีกคนหนึ่งอย่างแนบแน่นและอบอุ่น ลำตัวแนบชิดกันจนแทบไม่มีช่องว่าง ทั้งสองหลับสนิท และริมฝีปากไม่ได้เผยออ้ากรน แต่มันเป็นรอยยิ้ม...


--------------------------------


https://www.youtube.com/watch?v=uWL4i43lHFM
อัลบั้ม : รอวันฉันรักเธอ / คีรีบูน ปี พ.ศ. ๒๕๒๗

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/248323573-member.jpg)

 
พัดลมสี่เหลี่ยม ไจโรแอร์

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/768633553-member.jpg)

 
หอยทอดเจ้าดัง ตลาดมืด วงเวียนเล็ก


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/96193509-member.jpg)

หัวข้อ: Re: คำสัญญาหน้ามาบุญครอง [boy's love ย้อนยุค]
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 01-01-2017 17:43:26
:impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: คำสัญญาหน้ามาบุญครอง [boy's love ย้อนยุค]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 01-01-2017 17:54:52
แหวกแนวและย้อนยุคได้ใจ
น่าติดตามมากๆ ครับ
หัวข้อ: Re: คำสัญญาหน้ามาบุญครอง [boy's love ย้อนยุค]
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 01-01-2017 18:21:53
อ่านแล้วนึกถึงบรรยากาศเก่า ๆ ขึ้นมาเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: คำสัญญาหน้ามาบุญครอง [boy's love ย้อนยุค]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 01-01-2017 18:50:21
เพิ่งจะเข้ามาอ่านวันนี้
บอกได้เลยว่าถูกใจมาก
มันให้อารมณ์เหมือนกับว่ากำลังอ่านเรื่องเล่า
ที่เป็นเรื่องยอดฮิตในอดีต ของเล้าเป็ดยังไงยังงั้นเลย
ขอ +1 ให้คนแต่ง สุดยอดอ่ะ

มีดวงใจ หนึ่งดวง ไม่ลวงหลอก
มีคำพูด อยากบอก จะมอบให้
มันอัดอั้น ตันตื้น ขืนข้างใน
อยากแหกปาก ออกไป กูรักมึง

ีอาการเป็นอย่างนี้
ใช่หรือเปล่า
แว่น&จิว
อิอิ

รออ่านนะ
ลัฟยู
หัวข้อ: Re: คำสัญญาหน้ามาบุญครอง [boy's love ย้อนยุค]
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 01-01-2017 20:11:25
รอออออออ
= ด้วยความยินดีค่ะ ขอบคุณนะคะ :impress2:


ชอบธีมเรื่องมาก
อินกับสถานที่ต่างๆ ในเรื่องมากเป็นพิเศษเลย คิคิ
ส่งกำลังใจให้คนเขียนน้าาา
สวัสดีปีใหม่ค่าาา
 :L2:
= ขอบคุณมากๆ นะคะ สวัสดีปีใหม่เช่นกันค่ะ  :impress3:


น่าติดตามมาก ต่ออีกนะ
= ด้วยความยินดีค่ะ ขอบคุณมากนะคะ  :man1:


แหวกแนวและย้อนยุคได้ใจ
น่าติดตามมากๆ ครับ
= ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ  :o8:


อ่านแล้วนึกถึงบรรยากาศเก่า ๆ ขึ้นมาเลยค่ะ
= ขอบคุณมากนะคะ ยินดีต้อนรับสู่โลกของจิวและต้นข้าวค่ะ  :impress2:


เพิ่งจะเข้ามาอ่านวันนี้
บอกได้เลยว่าถูกใจมาก
มันให้อารมณ์เหมือนกับว่ากำลังอ่านเรื่องเล่า
ที่เป็นเรื่องยอดฮิตในอดีต ของเล้าเป็ดยังไงยังงั้นเลย
ขอ +1 ให้คนแต่ง สุดยอดอ่ะ

มีดวงใจ หนึ่งดวง ไม่ลวงหลอก
มีคำพูด อยากบอก จะมอบให้
มันอัดอั้น ตันตื้น ขืนข้างใน
อยากแหกปาก ออกไป กูรักมึง

ีอาการเป็นอย่างนี้
ใช่หรือเปล่า
แว่น&จิว
อิอิ

รออ่านนะ
ลัฟยู

= ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ รวมทั้งทุกท่านที่เข้ามาคอมเม้นต์ด้วยค่ะ

 o13
หัวข้อ: Re: คำสัญญาหน้ามาบุญครอง [boy's love ย้อนยุค]
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 01-01-2017 20:15:06

MBK❤lover


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/1587241796-member.jpg)


ตอนที่ ๕ : สนุกสุดแสนเที่ยวแดนเนรมิต


         ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมานี่ แว่นเจอสมนึกแค่ในห้องเรียน แต่ก็เหมือนเคยแหล่ะ ตี๋หล่อขี้เล่นมีอันต้องลากเก้าอี้ไม้มานั่งเบียดที่โต๊ะนักเรียนเดียวกับแว่นแทบทุกชั่วโมงเรียน ซึ่งก็ไม่มีครูคนไหนดุด่าว่ากล่าว อาจเป็นเพราะรู้ดีว่าแว่นเป็นเด็กเรียนเก่ง และสมนึกก็เป็นเด็กใฝ่รู้ คงให้แว่นติวให้ตลอดเวลา แถมเพื่อนนักเรียนที่นั่งติดกับแว่นตัวจริง เป็นนักกีฬาฟุตบอลของโรงเรียน จึงต้องออกไปซ้อมหรือแข่งบ่อยๆ ไม่ค่อยเข้าเรียนตามปกติ โต๊ะติดกันนั้นจึงว่างเสมอ

         หากแต่ที่ผิดแปลกไป คือตอนเย็นไม่มีการรวมแก๊งค์น้ำปั่นเหมือนอย่างเคย เมื่อไม่มีหัวหน้าแก๊งค์ซะคนหนึ่งแล้ว แก๊งค์ซ่าส์ก็แตกไปโดยปริยาย ต่างคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน

         เหมือนเย็นวันนี้ แว่นหันรีหันขวางอยู่หน้าโรงเรียนคนเดียว กำลังลังเลว่าจะไปไหนดี ก็เจอกับศักดิ์สิทธิ์ เพื่อนร่วมแก๊งค์อีกคนกำลังเดินออกมาจากประตูโรงเรียนพอดี

         "อ้าวเอก จะไปไหนอ่ะ" แว่นหันไปถาม เอก-ศักดิ์สิทธิ์

         "ไม่รู้อ่ะแว่น ไปร้านน้ำปั่นกันไหม เราอยากกินลูกชิ้น" เอกถามกลับ

         "อื่อ เอาดิ เซ็งๆ"

         ฟังจบ เอกก็เดินดุ่มๆ นำหน้าไปที่สะพานข้ามคลองคูเมืองเล็กๆ ข้างหน้าทันที โดยมีแว่น เดินก้มหน้าเตะฝุ่น เตะกระป๋องนมตราหมี เตะใบตองตามถนนเล่นไปเรื่อยๆ อย่างไร้เหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น

         ศักดิ์สิทธิ์ เป็นเด็กหนุ่มร่างสูงอีกคนหนึ่ง ผิวสองสี หน้าตาเป็นแบบไทยแท้เหมือนกัน แต่เหมือนหุ่นปั้น ไม่ใช่เหมือนภาพเขียนทวยเทพแบบแว่น คือเอกจะค่อนข้างแข็งๆ ใบหน้าไม่ค่อยบอกอารมณ์เท่าไร นิ่งๆ แต่หล่อน่ะหล่ออยู่ มีไรหนวดบางๆ ถ้าในสายตาผู้หญิง เอกจะอยู่ในจำพวกผู้ชายน่ากอด นิ่งสุขุมนุ่มลึก

         สองคนเดินตามกันมาจนถึงหน้าร้านน้ำปั่นเจ้าประจำ แว่นเกือบจะสั่งอยู่แล้ว แต่สายตาดันมองเลยเข้าไปที่ม้าหินหลังร้าน ก็เห็นภาพที่ใจไม่อยากจะเห็น นั่นคือจิว กำลังนั่งดูดน้ำปั่นอยู่ ส่วนตรงข้าม คือดาริน สาวน้อยอาสาวิชาชีวะ ที่แสนน่ารักนั่นเอง ส่วนจานตรงหน้า วางลูกชิ้นชุบแป้งทอดสี่ไม้ ซึ่งยังไม่มีใครแตะต้องมัน

         ความรู้สึกเจ็บแปลบ พุ่งเข้าจู่โจมในใจแว่นทันที แว่นเองก็คงบอกไม่ถูกเหมือนกัน ว่าความรู้สึกแปล๊บๆ จี๊ดๆ นี้มันเกิดจากอะไร อิจฉาเหรอ โกรธเหรอ เกลียดเหรอ น้อยใจเหรอ หรือเสียใจ

         "เอก เราไม่กินล่ะ เราไปนะ"

         "เฮ้ย เดี๋ยวดิแว่น ไปไหน เป็นอะไรป่าว" เอกตกใจ วิ่งตามแว่นออกมา

         "อื่อ ไม่เป็นอะไร จู่ๆ เราก็ไม่อยากกินขึ้นมาอ่ะ"

         "เมื่อกี้เหมือนเห็นสมนึกนั่งอยู่ในร้านแว๊บๆ นะ ใช่ป่ะ" เอกยังตามมาติดๆ

         "ช่างมัน!! ไม่เห็น! เราไม่รู้!!" แว่นสะบัดใส่

         "อ่ะ อ่ะ ไม่ก็ไม่ เฮ้อ ไรเนี่ย" เอกไม่ทู่ซี้ต่อ "จะกลับเลยไหม บ้านเราอยู่ราม เราจะเดินไปขึ้นรถเมล์ตรงป้ายรถหน้าตึกมาบุญครอง ที่กำลังสร้างใหม่ข้างหน้าเนี่ย เดินไปด้วยกันไหม"

         ---ตึกมาบุญครอง ที่กำลังสร้างใหม่---

         คำนี้ สถานที่นี้ สะดุดหัวใจแว่นขึ้นมาอย่างแรง  ไม่ได้ล่ะ!  ตึกนี้แว่นจะไปกับคนอื่นไม่ได้  ครั้งหนึ่งเคยมีเด็กหนุ่มสองคนขึ้นไปกระโดดเล่นบนเสาเข็มนี้มาก่อน โลกใบนั้นตอนนั้นมีแค่สองคน เราสองคนเป็นเจ้าของ เพราะเห็นก่อน จะมาให้คนอื่นใช้ตึกนี้ร่วมด้วยได้ยังไงกัน

         "ไม่ได้!! ไม่ไป!!" แว่นเสียงแข็ง แต่พอเห็นสีหน้าประหลาดใจของเอกแล้ว นึกได้ว่าเจ้ารูปหล่อหน้านิ่งนี่ ยากที่จะทำสีหน้าแบบนี้ออกมา แสดงว่าแรงไป

         "เอ่อ โทษๆ เราขอโทษนะเอก เราไม่อยากไปไหนทั้งนั้นอ่ะ เรากลับบ้านนะ" แว่นกลับมาใช้เสียงเบอร์ ๑ เหมือนเดิม

         "โอเค นายกลับบ้านดีๆ นะ เราไปล่ะ ฝันดีนะ" เอกบ๊ายบาย แล้วเดินจากไป

         แว่นหยุดมองแผ่นหลังของเอกที่เดินไป แล้วมองทอดตาเลยไปไกลข้างหน้าอีก จริงๆ มองไปก็ไม่ถึงหรอก แต่อยากมองเลยไปให้ถึงตึกที่เราสองคนเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ หึหึ! เราสองคนเท่านั้นเป็นเจ้าของ

         แว่นเดินเลยมาซะไกลแล้วจากตรงที่แยกกันกับเอก จนจะขึ้นรถเมล์สาย ๗ อยู่แล้ว พึ่งนึกขึ้นมาได้

         ---เมื่อกี้เอกมันบอกว่า ฝันดีนะ--- มันบอกเราทำไมหว่า...ยังไม่ค่ำ...ยังไม่ได้กำลังจะขึ้นนอนซะหน่อย!!

 
--------------------------------


         "แว่นๆๆๆๆ"

         ตี๋หล่อวันนี้มาไม้ไหนอีกล่ะเนี่ย  ทำอะไรยุกยิกๆ ข้างตัวแว่นแต่เช้าตั้งแต่วิชาเรียนแรก

         "อะไรวะจิว แหง่วๆ อยู่นั่นล่ะ" แว่นถาม โดยยังแหงนมองกระดานดำอยู่

         "เดี๋ยวจะสอบเสร็จแล้ว และก็ปิดเทอมใหญ่ตั้ง ๓ เดือนกว่าจะเปิดเทอม กว่ามึงกะกูจะกลับมาเจอกันอีก น๊าน นาน ก่อนปิดเทอมเราไปเที่ยวชุดใหญ่กันเถอะ" จิวว่า

         "อ้าว ทำไมไม่ได้เจอล่ะ!!" แว่นโพล่งออกมาทันที เสร็จแล้วก็มานั่งนึกว่าถามผิดป่าวหว่า แทนที่จะโฟกัสว่าจะไปเที่ยวไหนกัน กลับมาห่วงว่าจะเจอหรือไม่เจอกับจิว

         "หึ๋ยย กูไม่อยู่บ้านตอนปิดเทอมน่ะ พ่อกูจะให้กูไปอยู่กับญาติที่นครฐมน่ะ"

         "ไปทำไมวะ คอนถม" แว่นหันมามองหน้าตรงๆ

         "พ่อกูจะให้กูไปเรียนรู้การฉีดพลาสติกรองเท้าฟองน้ำอ่ะ เผื่อแกจะซื้อเครื่องมือสองมาทำเองบ้าง" จิวเล่า

         "อืม เสียดาย..." แว่นพูดลอยๆ เบาๆ ออกไป ซึ่งตัวเองก็ไม่รู้ความหมายเหมือนกันว่าเสียดายอะไร

         "ไรวะ นี่ๆๆ ตกลงไปนะ ไปกันเยอะๆ และเหมือนไปเที่ยวเลี้ยงส่งไอ้ดิเรกด้วย ที่มันต้องย้ายโรงเรียนกลางคัน มันจะกลับนครสวรรค์แล้วอ่ะ เราไปฉลองกันที่ -แดนเนรมิต- ฮิ้วๆๆ" สีหน้าสีตาคนพูดดูมีความสุข

         "อ้อจริงสิ เลี้ยงส่งไอ้ดิเรกด้วย โอเค" แว่นรับปาก "ไปแดนเนรมิตเนอะ"


--------------------------------


         แล้วเช้าวันนั้นก็มาถึง ที่จุดนัดพบคือสนามหลวงฝั่งแม่พระธรณี หน้าซุ้มขายหนังสือเก่าหมายเลข ๑๘ ส่วนตลาดนัดเสาร์-อาทิตย์รอบสนามหลวง ได้ย้ายไปอยู่ที่ใหม่ตรงสวนจตุจักรแล้วเมื่อสองปีก่อน สนามหลวงเลยดูโล่งๆ แปลกตาไป

         คณะวัยรุ่นครั้งนี้ ประกอบไปด้วย แว่น สมนึก ดิเรก ศักดิ์สิทธิ์ สมพล เนติ ราชา สมหมาย ดาริน และเพื่อนผู้หญิงของดิเรก อีกสองคน และเพื่อนชายต่างโรงเรียนของศักดิ์สิทธิ์อีกคนหนึ่ง ซึ่งหน้าตารูปร่างดีมากๆ รวมทั้งหมด ๑๒ คน

         ทั้งหมดขึ้นรถเมล์ครีมแดง จองที่นั่งด้านหลัง และนั่งหัวสั่นหัวคลอนจากสนามหลวงรวดเดียวชั่วโมงกว่า ก็ลงรถมายืนหล่อยืนสวยหน้าห้างสรรพสินค้าที่เปิดใหม่ของกรุงเทพในขณะนั้น -เซ็นทรัลลาดพร้าว- แล้วพากันเดินลัดซอยมาถนนอีกฝั่งหนึ่งเพื่อจะข้ามไปแดนเนรมิต  ก็ได้เห็นสิ่งก่อสร้างที่แปลกตาอย่างหนึ่ง ตั้งงามตระหง่านอยู่ข้างหน้า

         ปราสาทเจ้าหญิงดิสนีย์ ปราสาทนอยส์ชวานสไตน์แห่งเมืองไทย
 
         "วู๊ๆๆ ได้มาเที่ยวแดนเนรมิตล่ะโว้ยยย" หนึ่งใน ๑๒ คนนั้นตะโกนขึ้นมาอย่างมีความสุข

         แล้วช่วงเวลาหลังจากนั้น ก็เป็นเวลาเหมือนอยู่บนสวรรค์ของเด็กจริงๆ

         ทั้งรถไฟเหาะตีลังกา กระเช้าสวรรค์ ไวกิ้ง ล่องแก่งมหาภัย รถไฟรางเดี่ยวโมโนเรียล จานหมุน บ้านผีสิง ฯลฯ สนุกสนานกันเหมือนประหนึ่งโลกไม่เคยมีคำว่าความทุกข์ มีแต่เสียงหัวเราะและร้องกรี๊ดๆ โลกนี้มีแต่เจ้าชายกับเจ้าหญิงในเทพนิยาย หรือจะมีเจ้าชายกับเจ้าชาย...

         --เอ๊ะ!! จู่ๆ แว่นก็นึกคำนี้ออกมาได้ยังไง เจ้าชายกับเจ้าชาย! มันมาจากอะไรหว่า

         หันไปหันมา ก็เห็นเหตุที่มาของคำนี้แล้ว นั่นคือ เอก-ศักดิ์สิทธิ์ กับเพื่อนชายหนุ่มน้อยที่แสนหน้าตาดีของเขาที่มาด้วยกัน มันทำให้แว่นและเพื่อนๆ ในกลุ่มหลายคนเห็น แต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา

         ทั้งสองคนนั่นเหมือนเป็นเจ้าชายกับเจ้าชายรุ่นเยาว์จริงๆ ทั้งความหล่อน่ารักสมกันของทั้งคู่ รูปร่างที่สูงโปร่งเหมือนวัยรุ่นที่กำลังยืดตัวสุดๆ การแต่งตัวที่คล้ายกัน แม้กระทั่งยามทำกิจกรรมหลายๆ อย่าง ทั้งสองมีการแตะเนื้อต้องตัวกันมากกว่าเพื่อนปกติ แต่ไม่ถึงกับจับมือกันเดิน เป็นการที่คนใดคนหนึ่ง ประคองหน้าประคองหลัง หรือแค่แตะแขนเบาๆ ระหว่างกัน หรือซุกตัวเข้าหากันเวลาเข้าบ้านผีสิง

         ถ้าลองเปิดใจกับเรื่องนี้ มันก็เป็นคู่ที่ดูดี และงดงามมากๆ ของวัย ของมนุษย์ ของมิตรภาพที่อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้น...ต่อไปก็อาจ...

         "เอี๊ยดดดด ป้าบบบ~" แว่นสะดุ้งจากแรงตบแผ่นหลังนั้น พอหันไป เห็นตี๋หล่อตัวดียิ้มเผล่ให้อยู่ พร้อมซ่อนอะไรไว้ข้างหลัง

         "มาเหม่อคิดอะไรอยู่ตรงนี้วะแว่น อ่ะกูซื้อมาให้"

         ตี๋หน้าหล่อ ที่วันนี้ดูหล่อกว่าปกติ อาจเพราะเจือด้วยลมแดดจนหน้ามีสีชมพูอ่อนๆ ไล่สีบนหน้าหล่อนั้น จนดูมีมิติขึ้นมาอีกโข และใส่เสื้อผ้าวัยรุ่น ไม่ใช่ชุดนักเรียน --จิวส่งน้ำตาลสายไหมสีสวยที่ซ่อนอยู่ข้างหลังให้แว่นไม้นึง แว่นรับมาถือไว้

         "สนุกดีเนอะวันนี้ มึงสนุกไหมอ่ะ เหนื่อยหรือยัง หิวไหม อยากเล่นอะไรกับกูอีกไหม" ตี๋ยิ้มพร้อมคำหวาน

         จากคำพูดประโลมใจแบบนี้ มีเครื่องเล่นอีกยี่สิบอย่าง ให้เล่นหมุนจนอ้วก แว่นก็จะขึ้นไปเล่น ใบหน้ากำลังจะเริ่มมีรอยยิ้มตอบรับไอ้จิวไป แต่แล้วกล้ามเนื้อบนหน้าก็ต้องเบรคเอี๊ยดล้อฟรี! เมื่อเหลือบไปเห็นมืออีกข้างของสมนึก ถือไม้น้ำตาลสายไหมสีหวานอีกสองไม้ --จะเอาไปให้ใครซะอีกล่ะ!!!

         "ไม่เล่นอ่ะ กูเหนื่อยแล้ว เวียนหัวจะอ้วก" โทนเสียงต่ำของแว่นเริ่มมารำไร

         "ฮ่าๆ กูก็เวียนหัว ไอ้หนวดปลาหมึกหมุนๆ ทำกูจะตายให้ได้ แต่เดี๋ยวรอก่อนเนอะ รอดูขบวนพาเหรดแฟนซีการ์ตูนก่อน ค่อยกลับเนอะ เดี๋ยวกูมานะ" แล้วจิวก็เดินตรงไปที่กลุ่มดาริน

         ตอนนั้นแว่นไม่แน่ใจแล้วว่าน้ำตาลสายไหมไม้นั้นจะหวานหรือขม  ดีที่ต่อจากนั้นเป็นเวลาของขบวนพาเหรดแฟนซีเทพนิยายพอดี ความแปลกใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจของมันทำให้ลืมทุกข์ใดๆ ไปได้ชั่วขณะ

         ตะวันใกล้พลบค่ำแล้ว เด็กๆ ทั้ง ๑๒ คนก็มาจบที่หน้าปราสาทเทพนิยายอีกครั้งหนึ่ง แสงแดดริ้วสุดท้ายสีส้มสวยกำลังพาดผ่านตัวปราสาทเจ้าหญิงพอดี หนุ่มสาว ๑๒ ชีวิตยืนอยู่หน้าปราสาท จับกลุ่มคุยกันเหมือนตั้งท่าถ่ายรูปหมู่ แต่ไม่ได้ถ่ายหรอก ไม่มีใครมีกล้อง เด็กอายุแค่นี้ในเวลานั้นไม่มีใครมีกล้องถ่ายรูปเป็นของตัวเอง หลายๆ ครอบครัวก็ไม่มีกล้องถ่ายรูปเป็นของตัวเองที่บ้านด้วยซ้ำ

         แต่ไม่เป็นไร ไม่มีภาพถ่าย แต่ความทรงจำแห่งวัยเยาว์ครั้งนี้ คงจะติดตราตรึงใจไปกับตัวอีกนานแสนนาน ส่วนจะมากจะน้อย หรือใครพัวพันกับใคร เหตุการณ์ต่อไปในวันข้างหน้าคงจะบอกได้ ว่าให้จำ...หรือลืม

 
--------------------------------

 
ปราสาทเทพนิยาย ที่แดนเนรมิต

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/1261362116-member.jpg)


ตลาดนัดสนามหลวง วันเสาร์-อาทิตย์ ก่อนจะย้ายไปที่สวนจตุจักร

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/2141050123-member.jpg)


ซุ้มขายหนังสือเก่า ที่ริมคลองหลอด สนามหลวง


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/996427329-member.jpg)

 
ศูนย์การค้าสยาม หรือสยามเซนเตอร์ ในช่วงเวลาที่ตึกมาบุญครองกำลังก่อสร้าง

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/2108884947-member.jpg)


หัวข้อ: Re: คำสัญญาหน้ามาบุญครอง [boy's love ย้อนยุค]
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 01-01-2017 21:03:07
:o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: คำสัญญาหน้ามาบุญครอง [ย้อนยุค] บทที่ ๑๐ : สนุกสุดแสนเที่ยวแดนเนรมิต
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 01-01-2017 21:25:53
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: คำสัญญาหน้ามาบุญครอง [ย้อนยุค] บทที่ ๑๐ : สนุกสุดแสนเที่ยวแดนเนรมิต
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 01-01-2017 22:41:19
ใจสับสน ปนสั่นไหว ไม่รู้เรื่อง
หนุนนำเนื่อง เป็นวูบวูบ ลูบริ้วไหว
ไหลน้อยน้อย ค่อยซึมซาบ อาบลงไป
จังหวะเต้น ของหัวใจ ให้ระรัว

หนุ่มน้อยอ่อนหัด
ไม่เจนจัดในความรัก
อิอิ
หัวข้อ: Re: คำสัญญาหน้ามาบุญครอง [ย้อนยุค] บทที่ ๑๐ : สนุกสุดแสนเที่ยวแดนเนรมิต
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 02-01-2017 00:29:05
โธ่ หนุ่มแว่น
เข้มแข็งเข้าไว้
 :mew1:
หัวข้อ: Re: คำสัญญาหน้ามาบุญครอง [ย้อนยุค] บทที่ ๑๐ : สนุกสุดแสนเที่ยวแดนเนรมิต
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 02-01-2017 05:56:34

MBK❤lover


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/1587241796-member.jpg)


ตอนที่ ๖ : ความลับในซองสีน้ำตาล


         ไอ้ดิเรกโทรศัพท์มาที่บ้านแว่นในคืนนั้น เพื่อจะบอกว่าคืนพรุ่งนี้จะมาขอค้างบ้านแว่น เพราะครอบครัวดิเรก ต้องลงเรือที่ท่าสะพานพุทธตอนตีสี่ เพื่อบรรทุกข้าวของจำนวนมากลงเรือใหญ่ล่องกลับไปนครสวรรค์ และดิเรกจะมานอนรอเวลาที่บ้านแว่นเพราะใกล้สะพานพุทธ  ส่วนบ้านญาติของดิเรกที่ซอยกุฎีจีนมีแต่ลังข้าวของเตรียมย้าย ดิเรกไปนอนด้วยอีกคนไม่พอ

         คืนนี้แว่นเลยเตรียมจัดห้องนอนให้เรียบร้อยหน่อย ก็แค่ตรงหลังตู้เตี้ยนั่นแหล่ะ เพราะเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเดียวในห้อง นอกเหนือจากเตียงใหญ่ เพราะไม่รู้ว่าดิเรกจะมีกระเป๋ามาด้วยมากน้อยแค่ไหน

         แว่นดันวิทยุเข้าไปชิดผนัง เอาผ้าคลุมไว้ ดิเรกมันคงไม่ฟังวิทยุหรอกมั้ง เอากระเป๋านักเรียนจาคอป ซึ่งไม่มีสมุดเรียนในนั้นไว้ซอกข้างเตียง แล้วจัดวางกองหนังสือใหม่ให้เรียบร้อย จนถึงชิ้นสุดท้ายบนสุดของกองนั้น แว่นหยิบมันขึ้นมา

         มันคือซองไปรษณีย์สีน้ำตาลหนา ที่แม่สั่งให้แว่นเอาไปส่งต่อให้น้าเดียร์ตามที่อยู่ใหม่

         แว่นเอามือลูบบนซองนั้น ทำไมแว่นจะไม่รู้ว่าในซองนั้นคืออะไร และน้าเดียร์ต้องการมันมากขนาดไหน


--------------------------------


         คืนหนึ่งเมื่อหกเดือนก่อน ที่น้าเดียร์ยังอยู่บ้านแว่น และนอนบนเตียงเดียวกันกับแว่นในห้องนี้ ปกติแว่นจะนอนชิดผนังในสุด และน้าเดียร์จะนอนริมนอกใกล้ตู้เตี้ยนั่น

         คืนนั้นเป็นฤดูหนาว แว่นนอนคลุมโปงด้วยผ้านวม พอตกดึกแว่นปวดท้องฉี่ แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาใต้ผ้านวมก็พบกับความผิดปกติข้างที่นอน แว่นค่อยๆ แง้มผ้านวมที่คลุมขึ้นนิดเดียว

         ภาพที่เห็นก็คือบนตู้เตี้ยนั้นมีโคมไฟเล็กๆ เปิดอยู่ น้าเดียร์นอนหงายอยู่บนที่นอน บนเตียงเดียวกับแว่นนี่แหล่ะ

         แต่ที่ผิดปกติคือเรือนร่างน้าเดียร์เปลือยเปล่า

         น้าเดียร์ ซึ่งเป็นชายหนุ่มอายุประมาณ ๒๒ ปี หน้าตาดี ค่อนไปทางหน้าหล่อแบบหวานๆ ผมสีน้ำตาลอ่อนยาวปรกหู รูปร่างค่อนข้างจะผอมบาง สูงยาว

         สิ่งที่แว่นแอบเห็น คือน้าเดียร์นอนหงายราบกับที่นอน ปรือตาพริ้มอย่างเป็นสุข มือข้างขวายกพาดขึ้นไปบนหมอนเหนือหัว เห็นขนรักแร้น้าเดียร์ดกดำฟูฟ่อง ส่วนมือข้างซ้ายกำลังลูบไล้ไปตามหน้าอกตัวเอง ซึ่งเป็นจุดเล็กๆ สีอ่อน และตอนนี้กำลังแข็งเป็นตุ่มไต

         น้าเดียร์ใช้มือลูบที่ส่วนบนตัวเอง บางช่วงก็แอ่นหลังตามจังหวะ บางช่วงก็ลูบลามลงไปตรงหน้าท้องที่แบนราบ ลูบผ่านตรงไหน เหมือนเนื้อตรงนั้นจะเกร็งแข็งไปตามมือ

         แว่นมองเลื่อนลงไปอีก เห็นกลุ่มเส้นสีอ่อน ละเอียดบาง  มันกินพื้นที่เป็นรูปสามเหลี่ยมเล็กๆ ต่ำลงไปเป็นท่อนสีเนื้อ ที่ตื่นเต็มที่ของน้าเดียร์ ขนาดใหญ่ อวบ และค่อนข้างยาว องศาตรงขึ้นข้างบน ไม่ได้โค้งไปทางใดทางหนึ่ง ดังนั้นเมื่อน้าเดียร์ซึ่งตัวผอมบางนอนราบแบบนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าประติมากรรมส่วนนี้ของน้าเดียร์ จะตั้งสง่าออกมาจากกลางลำตัวแค่ไหน

         และตอนนี้น้าเดียร์ไม่ได้ใช้มือจับมัน แต่มันก็ทรงตัวอยู่อย่างนั้นจนดูเหมือนแทบจะปริแตก และปลายสุด มีหยดใสอยู่ เหมือนเป็นสายใยบางๆ ย้อยหนืดลงมา ซึ่งมองจากมุมของแว่นตรงนี้แล้ว มันสะท้อนกับแสงหลอดไฟบนตู้ จนดูเหมือนมีประกายเพชรวิบวับอยู่บนนั้น

         และส่วนท้ายสุด เป็นถุงเนื้อ ทรงรี สีอ่อน บางทีก็อ่อนนุ่ม บางทีก็ดูตึง มันรั้งขึ้นและย้อยลง ตามจังหวะ เหมือนมีลมหายใจของมันเอง น่าตื่นตะลึงยิ่งนัก

         พักใหญ่ๆ น้าเดียร์เอามือขวาลงมา ในมือขวาน้าเดียร์มีซองสีน้ำตาลแบบเดียวกับที่แว่นมีอยู่นี่ น้าเดียร์เปิดซอง แล้วหยิบปึกรูปในนั้นออกมา เลือกหยิบบางรูปขึ้นจ้องดู ส่วนรูปที่เหลือตกกระจายอยู่ข้างตัว แว่นมองไปที่รูป มันเป็นรูปลับเฉพาะของนายแบบ ที่มีอวัยวะตื่นตัวทั้งสิ้น

         น้าเดียร์กำลังช่วยตัวเองกับรูปโป๊ผู้ชาย!!

         น้าเดียร์เริ่มใช้อีกมือลงไปสนุกกับของตัวเอง ปากได้รูปของน้าเดียร์สูดลมเข้าไป แล้วปล่อยลมออกมาดัง "อ่าห์"

         น้าเดียร์เพลิดเพลินอยู่พักใหญ่ แล้วเลือกรูปขึ้นมาเปลี่ยนจ้องอีกสองสามรูป จนน้าเดียร์เริ่มมีเสียงร้องและเสียงหายใจแหบเครือ หน้าตาที่หล่อน่ารักของน้าเดียร์ ตอนนี้ยิ่งน่าดูมากขึ้น กับการเกร็งหน้าไปตามอารมณ์

         จนท้ายสุด ร่างน้าเดียร์กระตุกเบาๆ แอ่นหลังขึ้นไป แล้วปลดปล่อยออกมา ซึ่งมีกลิ่นพิเศษอ่อนๆ ลอยมาถึงใต้ผ้าห่มแว่น สิ่งนั้นกระจายไปทั่วท้องและต้นขาของน้าเดียร์ และยังเหลือหยาดค้างที่สุดปลายนั้นอีก ยังไหลรินกระทบแสงไฟออกมาระยิบระยับแพรวพราวเป็นสายเรื่อยๆ

         น้าเดียร์นอนหอบอยู่สักครู่ แล้วเอาผ้าขนหนูมาเช็ดทำความสะอาด แล้วใส่กางเกงขาสั้น เก็บรูปโป๊ลงซองสีน้ำตาลใส่ตู้ ปิดไฟ แล้วทุกอย่างก็ตกอยู่ในความสงบ

         แต่สิ่งที่ไม่สงบในคืนนั้น คือแว่นฉี่รดที่นอนเป็นครั้งแรก และฝันเปียกเลอะกางเกงในที่ใส่ เป็นครั้งแรกของชีวิตวัยรุ่น


--------------------------------


         จากเหตุการณ์ของน้าเดียร์เมื่อหกเดือนก่อน ทำให้แว่นเริ่มไม่แน่ใจในตัวเองแล้ว ว่าจริงๆ แล้วแว่นชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย

         แว่นเคยนอนคิดอยู่หลายคืน ว่าทำไมที่แอบเห็นน้าเดียร์เล่นสนุกกับตัวเองในคืนนั้น แว่นรู้สึกว่าตัวเองมีอารมณ์ทางเพศมาก แล้วก็วกมาสับสนคิดใหม่ ว่าแล้วทำไมตอนเจอดารินครั้งแรก แว่นก็รู้สึกชอบและประทับใจ ตกลงแว่นเป็นอะไรกันแน่

         มีวันหนึ่ง แว่นเคยถึงขนาดจะลองจับผิดตัวเองดู เคยลองช่วยตัวเองแบบมีสติ หมายถึงจะไม่ปล่อยไปตามอารมณ์เรื่อยเปื่อย แต่จะลองสนุกกับตัวเองแล้วจะลองนึกถึงหน้าคนสองคน

         วันนั้นแว่นนอนเปลือยกายบนเตียง หลับตา แล้วเอามือจับ "น้องเนื้อ" ของแว่นเองเล่นเพลินๆ โดยยังไม่คิดอะไร

         ช่วงแรก แว่นลองสนุกโดยที่นึกถึงหน้าของน้าเดียร์ นึกถึงประติมากรรมตั้งสง่ากลางตัวของน้าเดียร์ ช่วงนี้แว่นมีความสุขมาก หลับตาปี๋

         แล้วแว่นลองเปลี่ยนบ้าง แว่นลองนึกใหม่ไปถึงหน้าดาริน แล้วลองสนุกต่อ น้องเนื้อของแว่นคลายตัวลงเล็กน้อย แต่ยังสนุกได้อยู่ สนุกไปนึกถึงหน้าดารินไป เอ๊ะ ทำไมนึกได้แต่หน้า ทำไมไม่จินตนาการไปถึงหน้าอก นม สะโพก ต้นขา หรือไม่แม้แต่ส่วนที่ควรนึกล้วงลึกไปถึง เหมือนที่เคยเห็นจากรูปโป๊ผู้หญิงทั่วไป

         นานเข้า น้องเนื้อของแว่นก็อ่อนตัวลงทุกที  จินตนาการถึงดารินก็ยังอยู่แค่หน้า ยังไม่เลยลงไปแม้กระทั่งคอหรือติ่งหู ไปไม่ถึงไหนสักที

         แว่นเปลี่ยนกลับใหม่ ทีนี้นึกไปถึงของดีระดับโอทอปของน้าเดียร์ใหม่ ตัดภาพไปถึงตอนที่น้าเดียร์แอ่นตัวปล่อยนองออกมาเป็นสาย ไหลวนลงมาตามประติมากรรมนั้น

         นึกไปถึงตรงนี้ น้องเนื้อของแว่นเองก็ขึ้นตัวอย่างรุนแรง จนปวดหัว เพราะเลือดในกายก็สับสน ว่าจะไหลไปเลี้ยงสมองหรือไหลไปกองที่ส่วนล่างนั้นดี

         แว่นขยับมือเพิ่ม จนแว่นคิดว่าตอนนี้ถ้ามีรูที่ผนังหินรูเล็กๆ แว่นคงใช้น้องเนื้อของแว่นนี้ ทิ่มเซาะช่องหินนั้นให้แตกระเบิดขยายออกไปได้เลยล่ะ

         จนท้ายที่สุด มาถึงจุดทำลายล้าง เมื่อขยับมือครั้งสุดท้ายลงไป แล้วแว่นก็ปล่อยมือออกทันที ยกมือทั้งสองพาดขึ้นไปที่หมอนบนหัว แล้วหลับตา เข็มวินาทีเดินไปอีก ๕ วินาทีหลังจากปล่อยมือ  มันก็ระเบิดตัวเองอย่างรุนแรง ไปแตกกระจายตัวอยู่ข้างบน แล้วยังมีอาฟเตอร์ช็อคตามมาอีกหลายระลอก โดยที่ไม่ได้ไปแตะต้องมันอีก เหมือนบ่อตาน้ำผุด ล้นแล้วล้นอีก

         แต่สิ่งที่แว่นตกใจช็อคมากกว่า  นั่นก็คือตอนที่หลับตา ก่อนหัวขบวนมวลน้ำจะดันออกมาระลอกแรก ตอนที่ยังอยู่ในภาวะอาการ "สุดๆ ถึงจุด" นั้น ภาพในหัวแว่นยังเห็นของน้าเดียร์ที่กำลังพ่นสายธาร แต่ใบหน้าไม่ใช่น้าเดียร์ แต่เป็นใบหน้าของจิวไปแทนที่!!!!

         ถึงตอนนี้ แว่นก็เริ่มคิดแล้วว่าตัวเองควรจะไปทางไหนดี จุดสุดยอดช่วงที่นรกสวรรค์มาบรรจบกันนั้น มันบังคับความคิดไม่ได้  มันผุดออกมาเองจากส่วนลึกและความต้องการของจิตใจ

         ส่วนใบหน้าของดาริน แว่นก็แอบคิดขำๆ กับตัวเองไปว่า ที่ประทับใจในหน้าของดาริน ก็เพราะคงอยากได้ใบหน้าที่เรียบเนียนดูดีมีออร่าแบบดารินมั้ง เพราะหน้าของแว่นเองก็สิวเขรอะเชียว คงอยากได้เป็นต้นแบบและแรงบันดาลใจ อยากให้ตัวเองดูดี และประทับใจคนทุกคนที่พบเห็น อยากเป็นคนถูกรุมรักบ้าง

         นึกมาถึงตรงนี้ แว่นก็คิดได้แล้ว ว่าสามเดือนที่โรงเรียนปิดเทอมนี้ แว่นจะทำอะไร...


--------------------------------


         ดิเรกมาถึงบ้านแว่นเมื่อพลบค่ำแล้ว และบอกแว่นว่ากินข้าวกินปลามาเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องวุ่นวาย แว่นจะมีอะไรทำก็ตามสบาย

         "งั้นเราพาเธอขึ้นไปนอนเล่นที่ห้องก่อนนะ"

         แว่นไม่ได้พูดกูมึงกับดิเรก อาจเพราะไม่ได้สนิทกันมากด้วย

         "ตามสบายเลยเพื่อน ไม่ต้องห่วงเรานะ" ดิเรกยิ้มๆ

         "เดี๋ยวเราจะออกไปวงเวียนใหญ่กับแม่สักสองชั่วโมงนะดิเรก แม่จะไปไหว้แก้บน ถวายมาลัยเจ็ดสีน่ะ" แว่นบอกก่อนเปิดประตูห้องนอนให้ดิเรก

         ทั้งคู่เข้ามาในห้องนอน ดิเรกหันไปกวาดตามองรอบๆ ห้อง ดูเตียงดูตู้ แต่ไม่ได้พูดอะไร แล้วลงไปนั่งบนขอบเตียง แว่นพึ่งสังเกตว่าดิเรกมาตัวเปล่า ไม่ได้มีกระเป๋าเดินทางหรืออะไรมาด้วยอย่างที่คิด

         "ในบ้านเหลือแต่พ่อที่ไม่ได้ออกไปด้วย แกขี้เกียจเดินน่ะ ป่านนี้คงเข้านอนแล้ว เธอก็นอนเล่นตามสบายนะดิเรก หรือจะลงไปเปิดดูทีวีข้างล่างก็ได้ ไม่มีใครอยู่หรอก"

         "อื่อ ขอบใจนะแว่น แต่คงนอนแหล่ะ เราต้องออกไปท่าเรือตอนตีสี่น่ะ" ดิเรกเริ่มล้มตัวนอนบนเตียง

         "โอเค งั้นเราออกไปกับแม่เราก่อนนะ" แว่นงับประตูห้องปิดให้เบาๆ

         หลังจากแว่นออกไปแล้ว ดิเรกก็หันซ้ายหันขวา ไม่เห็นตู้เสื้อผ้าในห้องนี้ ก็ก้มลงมองที่ชุดตัวเองที่ใส่มา มันเป็นชุดเดินทางเต็มยศเลยนะนี่ ทั้งยีนส์ขาม้า เสื้อเชิร์ตแขนยาวลายตาราง และทับด้วยเสื้อยีนส์อีก จะนอนยังไงนี่ ในห้องนี้ก็ไม่มีชุดเปลี่ยนซะด้วย

         ดิเรกจึงเดินไปที่ประตู กดล็อคห้อง แล้วถอดเสื้อยีนส์ออกแขวนไว้ที่ลูกบิดประตู ตามด้วยเสื้อเชิร์ต อวดผิวสองสีที่เป็นมันละเลื่อมด้วยเม็ดเหงื่อ ดิเรกค่อนข้างเตี้ย และไม่ใช่คนผอมแห้ง จะเป็นผู้ชายตัวแน่นๆ แต่มีมัดกล้ามที่แข็งแรง

         ดิเรกเอามือลูบหน้าท้องที่เปล่าเปลือยของตัวเองเสร็จ ก็ก้มมองกางเกง ก็คงนอนลำบากอยู่ดี ไหนๆ แว่นก็ผู้ชายด้วยกัน ไม่ใส่กางเกงนอนคงไม่เป็นไรมั้ง

         ว่าแล้วดิเรกก็นั่งลงที่เตียง ถอดกางเกงยีนส์ออก แล้วยืนขึ้นเพื่อเอากางเกงแขวนที่ประตู ดิเรกในตัวเปลือยเปล่า มีแค่กางเกงในแอปเปิ้ล ที่เป็นผ้ายืดลายขวางสายรุ้งเจ็ดสี มันค่อนข้างจะเก่าย้วย ทำให้ส่วนหน้าของมัน ที่โดนสิ่งที่อยู่ข้างในดันให้อวบอูมนูนป่องออกมาจากตัวมากๆ ประจวบกับเจ้าตัวชอบเก็บเหน็บอาวุธประจำกายแบบ "พาดขึ้น" ด้วยแล้ว มันจึงนูนเด่นออกมาเต็มสูบของมัน

         หลังจากนั้นดิเรกก็ลงไปครึ่งนั่งครึ่งนอนบนเตียง สายตาก็มองหาว่าจะหาความบันเทิงอะไรฆ่าเวลาดีในห้องนี้ โทรทัศน์ก็ไม่มี วิทยุก็คลุมผ้าไว้ คงจะพังใช้การไม่ได้แล้วล่ะมั้ง หนังสือก็ไม่ชอบอ่าน เลยนั่งเฉยๆ เหม่อมองออกไปที่หน้าต่าง

         นอกหน้าต่าง ก็มีแต่ความมืด มองไม่เห็นอะไร นั่งมองไปมองมา ความเวิ้งว้าง ความเหงาต่างๆ ก็เข้าครอบงำ และมาฉุกคิดได้ว่า พรุ่งนี้ต้องลงเรือกลับนครสวรรค์ ต้องอยู่บนเรือเป็นวันๆ ไม่มีเวลาส่วนตัว งั้นคืนนี้จัดการตัวเองให้สบายตัวดีกว่า

         คิดแล้วดิเรกก็เริ่มเอามือลูบไล้อกตัวเอง อกที่แน่น เป็นมันเลื่อมลูบได้ลื่นมือ อีกมือก็ลงไปสนุกอยู่ที่กางเกงในแอปเปิ้ล จนมันบวมแน่นแทบปริ และไม่นาน ก็มีส่วนพองยืดตัวยาวลามโผล่ออกมาจากขอบกางเกงในแอปเปิ้ล

         ดิเรกเลิกขยำที่กางเกงใน กลับมาใช้ทั้งสองมือขึ้นมาลูบไล้หน้าอกหนักขึ้น ส่วนด้านล่าง มีชิ้นส่วนเลื้อยโผล่ยาวออกมาเรื่อยๆ จนมันพ้นขอบกางเกงแอปเปิ้ลออกมามาก และความแข็งแรงของมัน มันดันตัวจนเป็นอิสระทั้งชิ้น จนขอบกางเกงในย้วยเปิดทางร่นลงไปให้เองโดยไม่ต้องใช้มือหยิบยกออกมา

         บัดนี้ท่ามกลางความสว่างเต็มที่ของห้องที่เปิดไฟไว้ หนุ่มน้อยผิวคล้ำล่ำสัน กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนกลางเตียง ขาสองข้างถ่างออกกว้างและเหยียดทอดยาวราบออกไป กำลังหลับตาจินตนาการพริ้ม สองมือสาละวนอยู่บนหน้าอก และคลึงบนหน้าอกนั้น ส่วนด้านล่าง มันคือเจ้าแห่งรัตติกาลโดยแท้ มันมีสีคล้ำเข้มน่าเกรงขามและประกาศตัวเป็นอิสระ กำแทบไม่รอบ แข็งแรงจนเส้นเลือดขึ้นวนเป็นเส้น โค้งขึ้นด้านบน จนเลยระดับสะดือ และขณะนี้มันเริ่มมีสายใยใสๆ ยืดเป็นยางย้อยหยดลงมาบนเตียงแล้ว

         ก่อนที่ดิเรกจะจัดการอะไรต่อ ความเคยชินที่เคยทำๆ มา เขาจำเป็นที่ต้องมีรูปโป๊ในการใช้ประกอบกิจนี้ให้ลุล่วงไป

         ดิเรกจึงลุกขึ้นเดินไปที่ตู้เตี้ยๆ ข้างผนัง โดยที่เจ้าแห่งรัตติกาลเบื้องล่างก็ยังคงตั้งสง่าภาคภูมิอยู่ สายใยเหนียวหยดย้อยตามทางที่เดิน ดิเรกเปิดตู้แล้วก้มลงมอง เผื่อว่าไอ้แว่นมันจะซุกหนังสือโป๊ไว้บ้าง จะขอยืมใช้ตอนนี้หน่อย

         แต่ในทุกตู้ไม่มีสิ่งนั้น ทุกตู้แน่นขนัดไปด้วยกองหนังสือ จะเอาอะไรยัดเพิ่มลงไปยังไม่ช่องว่าง

         ดิเรกยังไม่ละความพยายาม และหงุดหงิดที่สายใยเยิ้มข้างล่างมันเป็นสายไหลไม่หยุด จึงใช้มือป้ายวนเช็ดออก แล้วเอามือนั้นขึ้นมาป้ายเช็ดที่หน้าอกและสีข้างตัวเอง แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นสิ่งหนึ่ง...
 
         นั่นปะไร!! ซองสีน้ำตาลบนหลังตู้นั่น!!

 
--------------------------------


ตัวอย่าง : กางเกงในแอปเปิ้ล

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/534993453-member.jpg)


หัวข้อ: Re: คำสัญญาหน้ามาบุญครอง [ย้อนยุค] บทที่ ๑๑ : ความลับในซองสีน้ำตาล [R]*
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 02-01-2017 11:07:12
หนูแว่นยังไม่รู้ตัวว่าชอบจิวหล่ะสิ แต่น้าเดียร์ตอนแรกนึกว่าเป็นผู้หญิงนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: คำสัญญาหน้ามาบุญครอง [ย้อนยุค] บทที่ ๑๑ : ความลับในซองสีน้ำตาล [R]*
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 02-01-2017 17:07:59
น่าจะมีเรื่องราวอีกเยอะ
ระหว่างแว่นกับจิว
กว่าจะผ่านกันมาได้
คงจะฝ่าฟันอุปสรรคกัน
..ไม่ใช่น้อย..

โดยเฉพาะอุปสรรคที่สำคัญของชาย+ชาย
ครอบครัวและบรรทัดฐานทางสังคม
แล้วเรื่องนี้ยิ่งเกิดขึ้นในสมัยนั้นด้วยแล้ว

โฮะโฮะ..ไม่อยากจะเดา
หนักหนาสาหัสแน่นอน

ขอนั่งลุ้นอ่านเรื่องนี้ตลอดจนจบ
อาจจะเกร็งในบางตอน เพราะสนุกมาก

ขอเป็นกำลังใจให้คนแต่งนะ
ให้ความมั่นใจได้ว่า..อย่างน้อย
ก็จะมีคนอ่านคนนี้ตามอ่านอยู่ทุกวัน

รอนะ..รอ
จุ๊บๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: คำสัญญาหน้ามาบุญครอง [ย้อนยุค] บทที่ ๑๑ : ความลับในซองสีน้ำตาล [R]*
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 02-01-2017 18:48:21
เสาเข็มตอก บอกตำแหน่ง แห่งหนอยู่
ใจตอกใจ กำหนดรู้ ว่าอยู่ไหน
อาจต้องใช้ สายตา หากันไป
แต่ไม่รู้ หยุดเมื่อไร วันเวลา

+1 ครับ
หัวข้อ: Re: คำสัญญาหน้ามาบุญครอง [ย้อนยุค] บทที่ ๑๑ : ความลับในซองสีน้ำตาล [R]*
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 02-01-2017 20:07:58
:กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: คำสัญญาหน้ามาบุญครอง [ย้อนยุค] บทที่ ๑๒ : ทำอย่างว่า เธอนึกถึงหน้าใคร
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 02-01-2017 20:52:45
พอเปิดเทอมน้องแว่นจะหล่อหรือสวยเนี่ยรอลุ้น ๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: คำสัญญาหน้ามาบุญครอง [ย้อนยุค] บทที่ ๑๒ : ทำอย่างว่า เธอนึกถึงหน้าใคร
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 02-01-2017 21:22:50
โอ๊ยยยย อ่านตอนนี้
โดนเข้ากับตัวเองจังเบ้อเริ่อ

แต่เป็นพี่สาว ม.2 อ่ะ
ตอนนั้นนะ

แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว
อิอิ
หัวข้อ: Re: คำสัญญาหน้ามาบุญครอง [ย้อนยุค] บทที่ ๑๒ : ทำอย่างว่า เธอนึกถึงหน้าใคร
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 02-01-2017 21:48:22
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: คำสัญญาหน้ามาบุญครอง [ย้อนยุค] บทที่ ๑๒ : ทำอย่างว่า เธอนึกถึงหน้าใคร
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 03-01-2017 06:40:37
:กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๓ : กางเกงในแอปเปิ้ล
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 03-01-2017 10:48:37
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๓ : กางเกงในแอปเปิ้ล
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 03-01-2017 14:33:39
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๓ : กางเกงในแอปเปิ้ล
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 03-01-2017 15:11:12
แอปเปิ้ลๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ฮ่าฮ่า


ดิเรกพกมาด้วยเหรออออออ
ตุงกางเกงในซะขนาดน้านนนนน

ขอพิสูจน์ได้ม่ะ
อิอิ
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๓ : กางเกงในแอปเปิ้ล
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 03-01-2017 17:08:57
:mew1: :mew1: :mew1:
=  :-[ :-[ :-[


ใจสับสน ปนสั่นไหว ไม่รู้เรื่อง
หนุนนำเนื่อง เป็นวูบวูบ ลูบริ้วไหว
ไหลน้อยน้อย ค่อยซึมซาบ อาบลงไป
จังหวะเต้น ของหัวใจ ให้ระรัว

หนุ่มน้อยอ่อนหัด
ไม่เจนจัดในความรัก
อิอิ
= กำลังหัดเรียนรู้เนอะ  :mew1:


โธ่ หนุ่มแว่น
เข้มแข็งเข้าไว้
 :mew1:
= หนุ่มแว่น สู้ๆๆ  :really2:


หนูแว่นยังไม่รู้ตัวว่าชอบจิวหล่ะสิ แต่น้าเดียร์ตอนแรกนึกว่าเป็นผู้หญิงนะเนี่ย
= ใช่ค่ะ ยังต้องเรียนรู้อีกสักนิด  o13


น่าจะมีเรื่องราวอีกเยอะ
ระหว่างแว่นกับจิว
กว่าจะผ่านกันมาได้
คงจะฝ่าฟันอุปสรรคกัน
..ไม่ใช่น้อย..

โดยเฉพาะอุปสรรคที่สำคัญของชาย+ชาย
ครอบครัวและบรรทัดฐานทางสังคม
แล้วเรื่องนี้ยิ่งเกิดขึ้นในสมัยนั้นด้วยแล้ว

โฮะโฮะ..ไม่อยากจะเดา
หนักหนาสาหัสแน่นอน

ขอนั่งลุ้นอ่านเรื่องนี้ตลอดจนจบ
อาจจะเกร็งในบางตอน เพราะสนุกมาก

ขอเป็นกำลังใจให้คนแต่งนะ
ให้ความมั่นใจได้ว่า..อย่างน้อย
ก็จะมีคนอ่านคนนี้ตามอ่านอยู่ทุกวัน

รอนะ..รอ
จุ๊บๆๆๆๆ
= ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ  :impress3:


เสาเข็มตอก บอกตำแหน่ง แห่งหนอยู่
ใจตอกใจ กำหนดรู้ ว่าอยู่ไหน
อาจต้องใช้ สายตา หากันไป
แต่ไม่รู้ หยุดเมื่อไร วันเวลา

+1 ครับ
= ขอบคุณจริงๆ นะคะ  :mew1:


พอเปิดเทอมน้องแว่นจะหล่อหรือสวยเนี่ยรอลุ้น ๆ ค่ะ
= นั่นสิเนอะ จะเปลี่ยนแปลงยังไงดีน๊า  :mew2:


โอ๊ยยยย อ่านตอนนี้
โดนเข้ากับตัวเองจังเบ้อเริ่อ

แต่เป็นพี่สาว ม.2 อ่ะ
ตอนนั้นนะ

แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว
อิอิ
= เมื่อเวลาเปลี่ยนไป คนก็ต้องเปลี่ยนแปลงเนอะ  :mew3:


:hao6: :hao6: :hao6:
= อิอิอิอิอิ  :hao6:


o13 o13 o13
= ขอบคุณมากๆ นะคะ  :mew1:


แอปเปิ้ลๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ฮ่าฮ่า


ดิเรกพกมาด้วยเหรออออออ
ตุงกางเกงในซะขนาดน้านนนนน

ขอพิสูจน์ได้ม่ะ
อิอิ

= ชักอยากไปหาซื้อมาใส่สักตัวบ้างแล้ว ฮ่าๆๆๆ

 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๓ : กางเกงในแอปเปิ้ล
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 03-01-2017 17:13:05

MBK❤lover


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/1587241796-member.jpg)


ตอนที่ ๗ : สายน้ำแห่งความคิดถึง


         ดิเรกหยิบซองสีน้ำตาลหนานั้นขึ้นมา มันไม่มีตราอะไรบนซองนั้นที่จะบอกว่ามาจากไหน มีแต่ชื่อที่อยู่ของผู้รับ ซึ่งดิเรกซึ่งกำลังหน้ามืดตามัวตอนนี้ อ่านผ่านๆ เห็นว่าเป็นนามสกุลของแว่น ---คงของมันแหล่ะ ดิเรกคิด

         มือวางอันดับหนึ่งของการสำเร็จความไคร่ตนเอง ผ่านทางรูปลับเฉพาะโป๊เปลือยหมดเปลือกของสาวๆ ต้องยกให้ดิเรกเป็นตัวพ่อ เห็นเด็กๆ อย่างนี้ ดิเรกแก่แดดแก่ลมนัก แถมที่บ้านก็พอจะมีตังค์ เลยสามารถสั่งรูปโป๊ลับเฉพาะของสาวๆ จากหนังสือปกขาว หนังสือนวลนาง หนังสือเพ็ญพักตร์ มาที่บ้านได้บ่อยๆ

         ดิเรกมองปราดเดียวก็รู้ว่ามันถูกส่งมาในรูปแบบซองสีน้ำตาล หนาๆ แบบนี้ จึงถือวิสาสะเปิดซองออก

         ---ยืมหน่อยวะ หงี่มาก อย่าด่ากูนะเพื่อน!

         เมื่อเปิดซองน้ำตาลออก ข้างในมีซองสีขาวขุ่นอีกชั้นหนึ่ง ดิเรกถือไว้ในมือแล้วถอยกลับไปนั่งที่ขอบเตียงริมหน้าต่าง เอามือป้ายหยดเยิ้มที่ยังไหลย้อยจากปลายเจ้าแห่งรัตติกาลออกอีกครั้ง คราวนี้ป้ายมือเช็ดไปบนเตียงเลย --ช่างมัน

         ดิเรกเอามือกระตุ้นไปที่เจ้าแห่งรัตติกาลครั้งหนึ่งเบาๆ เหมือนเป็นการเผาหัวให้นักรบที่กำลังผงาด

         "รอแป็บนะลูก" พ่อกำลังจะจัดให้แล้ว

         ดิเรก ผู้ซึ่งไม่ทันอ่านตัวหนังสือเล็กๆ ที่มุมขอบของซองขาวขุ่น ซึ่งมีตรายางปั้มไว้จางๆ ว่า "ลับเฉพาะ-หนังสือมิถุนา"

         เมื่อดิเรกเปิดซองสีขาวออก เห็นภาพบรรดานายแบบโป๊ล่อนจ้อน ชูชันไม่ต่างกับของตัวเองแล้ว ก็ได้แต่ตะลึงงัน นี่ถ้าเจ้าส่วนหน้าตรงกลางลำตัวของตัวเองไม่อวบหนาใหญ่ยาวพอที่จะมีน้ำหนักถ่วงไว้ละก็ ดิเรกคงหงายเงิบลงไปกับเตียงแล้ว

         ---ไอ้แว่นมันเป็นเกย์หรือนี่!!!---

         ดิเรกยังคงอึ้ง และความอึ้งนี่เอง ทำให้เกิดปฏิกิริยา "ฝ่อ" ขึ้นมาทันที เจ้าแห่งรัตติกาลขนาดอลังการที่เจ้าตัวภูมิใจนักหนา เมื่อกี้ยังเยิ้มย้อยเป็นสาย ตอนนี้กลับหดฮวบยุบตัวลงไปกระทันหัน แทบจะหดจมหายวับลงไปใต้กลุ่มเส้นหยิกหยองกลางตัว ถ้าให้ดิเรกควักมาฉี่ตอนนี้ยังแหวกขนควานหาลูกชายไม่เจอเลย

         "แกรกๆๆๆ" "ก๊อกๆๆ" เสียงคนบิดลูกบิดประตูข้างนอก พร้อมเสียงเคาะ "ดิเรก ดิเรก หลับอยู่ป่าว เรากลับมาแล้ว เปิดตูหน่อย"

         -- ฉิบ หาย แล้ว --

         ดิเรกนึกในใจ หันรีหันขวาง เอาไงดีหว่า ก้มลงไปมองซอกเตียง เห็นกระเป๋านักเรียนจาคอปของแว่นซุกอยู่ตรงนั้น ความที่ตกใจและลนลาน เลยแง้มกระเป๋ายัดปึกรูปโป๊พร้อมซองในมือทั้งหมด รวมทั้งกางเกงในแอปเปิ้ลของตัวเองที่ถอดไว้ด้วยใส่ลงไป ปิดกระเป๋าไว้ลวกๆ แล้วดีดตัวไปที่ประตู รีบเอากางเกงยีนส์มาใส่ ตามด้วยเสื้อเชิร์ต ไม่ติดกระดุมแม่งล่ะ ไม่ทันแล้ว และเอาเสื้อยีนส์แขนยาวมาใส่ รูดซิปรวดเดียวยาวขึ้นไปปิดถึงคอ

         "อื่อ..." ดิเรกแกล้งทำเสียงงัวเงียตาปรือตอนเปิดประตูให้แว่น

         "อ้าวหลับเหรอ ไปนอนต่อสิ" แว่นเป็นห่วง

         ดิเรกทำท่าขนลุกทีนึง แล้วบอกว่า "ไม่อ่ะ เราอยากดูโทรทัศน์ เราขอลงไปดูข้างล่างก่อนนะ"

         "ไปสิเธอ เรายังไม่ได้ปิดไฟข้างล่างน่ะ เดี๋ยวเราตามลงไปนะ" แว่นยิ้มให้

         "อ่อ นานๆ ก็ได้นะ" แล้วดิเรกก็ลงบันไดทีละสองขั้นลงไปข้างล่างอย่างไว

         "อะไรของมันฟร่ะ" แว่นมองตาม บ่นพึม แล้วเดินเข้าห้อง เอามือปิดประตู พร้อมกับทำจมูกฟุดฟิดๆ

         "กลิ่นอะไรในห้องกูวะเนี่ย เหม็นๆ ขื่นๆ เค็มๆ ฉิบหาย..."


--------------------------------


         ตีสี่วันนั้น แว่นก็ลงไปไขประตูบ้านให้ดิเรก ที่จะออกไปขึ้นเรือที่ท่าน้ำ เพื่อกลับบ้านเกิดที่นครสวรรค์  ช่วงก่อนจะจากกันแว่นก็ได้ร่ำลา อวยพรให้เพื่อนโชคดี เดินทางปลอดภัย และหวังว่าวันหนึ่งข้างหน้าจะได้เจอกันอีก

         ดิเรก --หนุ่มน้อยผู้ซึ่งนอนดูทีวีจอดำๆ เปล่าๆ อยู่ข้างล่างจนถึงตีสี่ เพราะทีวีทุกสถานีปิดรายการหมดแล้วตั้งแต่เที่ยงคืน และไม่ได้กลับขึ้นไปบนห้องนอนของแว่นอีก-- ก็ได้เดินทางจากไป

         และนับจากเช้ามืดวันนั้นเป็นต้นมา  ตลอดชั่วชีวิตของคนทั้งสอง ก็ไม่เคยได้พบกันอีกเลย


--------------------------------

 
แม่น้ำนครชัยศรี  จ.นครปฐม


         จิว มาอยู่กับญาติห่างๆ ของพ่อที่นี่ได้สองเดือนกว่าแล้ว โรงงานฉีดพลาสติกแห่งนี้เป็นโรงงานเล็กๆ ไกลผู้ไกลคน รกร้าง และเดินทางลำบากถ้าไม่มีรถส่วนตัว ญาติๆ ทำกันเองในบ้าน มีคนงานชายวัยรุ่นพม่าช่วยอยู่สองสามคน

         ตี๋หล่อมาเรียนรู้งานฉีดพลาสติกจนทำได้หมดแล้ว มันไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก เครื่องมือมันเป็นระบบบ้านๆ หากพังเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นมา เขาก็สามารถซ่อมเองได้ตามสมควรแล้ว

         จิวเริ่มเบื่อ อยากกลับกรุงเทพแล้ว แต่ยังกลับไม่ได้ เพราะช่วงนี้ไม่มีงานฉีดพลาสติก จึงไม่มีรถขนของกลับไปกรุงเทพฯ ที่เขาพอจะนั่งติดรถกลับไปด้วยได้ แถมโทรศัพท์บ้านก็อยู่ในห้องสำนักงานเล็กๆ ข้างใน และมักจะล็อคกลอนอยู่เสมอ ทำให้เขาติดต่อใครไม่ได้เลยตลอดสองเดือนมานี้

         วันนี้จิว เดินเรื่อยเปื่อยมานั่งเล่นริมแม่น้ำ มันเป็นบ่ายวันอาทิตย์ที่เงียบสงบ  ตี๋หล่อยกมือขึ้นเสยผม ความที่สองเดือนไม่ได้ตัดผมเลย ถึงข้างๆ จะไถสั้นเกรียน แต่ข้างหน้าเคยแอบไว้ยาว ตอนนี้มันจึงยิ่งยาวลงมาปรกหน้า ทำให้หน้าตาดูเข้าที่เข้าทางมาก ยิ่งหล่อกว่าเดิมมาก

         นั่งรับลมบ่ายอยู่บนพื้นดินระหว่างพุ่มไม้ริมน้ำสักพัก จิวเห็นว่าลมเอื่อยๆ บางเบา จึงถอดเสื้อยืดที่ใส่ออกแล้วพาดไว้ที่บ่าข้างนึง เหลือไว้แต่กางเกงขาก๊วยตัวเดียว แล้วเอามือลูบๆ ที่แขนและหน้าอก สองเดือนมานี้เขาดูมีกล้ามเนื้อขึ้น อาจเพราะต้องยกของหนัก และวุ่นกับเครื่องจักร เหมือนได้ออกกำลังกายหนักๆ โดยไม่รู้ตัว

         คนเราเมื่อนั่งอยู่ในบรรยากาศที่รื่นรมณ์และสบาย ก็ย่อมจะนึกคิดอะไรที่รื่นรมณ์ในหัวใจไปด้วย จิวนั่งทอดอารมณ์พักใหญ่ๆ แล้วจู่ๆ ความคิดก็สะดุดกึก แล้วถามกับตัวเองว่ามันมีอะไรผิดปกติแล้วล่ะ

         เพราะตลอดเรื่องราวในห้วงความคิดตอนนี้ มันไม่มีดารินอยู่ในนั้น -ไม่มีสักภาพ- ไม่มีแม้แต่แวบเดียว

         หรือเป็นเพราะเมื่อทอดเวลาห่างกันออกไป ไม่มีบริบททางสังคม หรือไม่มีสิ่งที่คนยึดถือว่าถูกต้อง มาเป็นตัวบังคับแล้ว คนเราก็จะหันมาใช้ใจเป็นตัวเลือกตัดสิน มากกว่าเอาที่สังคมชื่นชอบ มาตัดสินแทน

         ส่วนภาพที่วนเวียนไปมาของจริงในความคิดถึง มันกลับเป็นภาพของ เสาเข็ม ปั่นจั่น น้ำปั่นสองแก้ว ลูกชิ้นชุบแป้งทอดสี่ไม้ ขนมทับทิมกรอบที่อยากจะซื้อให้ใครคนหนึ่งกิน ปราสาทเจ้าหญิงดิสนีย์ ภาพวัยรุ่นสองคนนอนก่ายกันตอนเช้าๆ  และ...แว่น...

         เขาคิดถึงแว่น จิวนึกถึงใบหน้าบ๊องๆ สิวเขรอะทั่วหน้า และใส่แว่นหนาเตอะของแว่น คิดไปถึงกางเกงลูกฟูกเอวสูงที่แว่นใส่ นึกถึงตอนนี้แล้วขำ จิวแอบยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ป่านนี้แว่นมันจะทำอะไรอยู่นะ

         มีเสียงกรอบแกรบ และเสียงหัวเราะเบาๆ อยู่หลังพุ่มไม้ข้างๆ

         --ใครหว่า--

         จิวค่อยๆ โผล่หน้าไปดูผ่านพุ่มไม้ เขาเห็นคนงานชายวัยรุ่นพม่าสองคน กำลังอาบน้ำเล่นน้ำกันในแม่น้ำ เล่นหยอกเย้ากันอย่างสนุก คงไม่คิดว่าแถวนี้จะมีใครมานั่งอยู่

         สักพักวัยรุ่นพม่าสองคนก็ขึ้นจากน้ำ ทั้งสองคนไม่ได้ใส่เสื้อผ้า!!! และสมนึกก็เห็นแล้วว่ากลางลำตัวของทั้งคู่ ไม่ได้อยู่ในภาวะปกติ

         จากนั้นวัยรุ่นสองคนก็นั่งเอาขาแช่ลงไปในแม่น้ำ แล้วโน้มคอเข้ามาจูบกัน จูบแบบดูดดื่มและนานมากๆ มือไม้ของทั้งคู่เริ่มสะเปะสะปะ สลับกันลูบหน้าอก สลับกันลงไปกำของเล่นที่กำลังตั้งชู

         "นี่มันกลางวันแสกๆ กลางแดดเลยนะ!!!!" ตี๋หล่ออุทานในใจ

         ท่ามกลางสองตาของจิว  หนุ่มพม่าคนหนึ่ง ถอนปากออกจากจูบ แล้วก้มลงไปใช้ลิ้นที่ปลายเม็ดยอดเล็กๆ บนอกของอีกคน แล้วเลื่อนลิ้นลงไปเรื่อยๆ จนถึงด้านล่าง ใช้ลิ้นตวัดอยู่อึดใจ แล้วครอบปากลงไปตรงนั้นจนมิด...

         ถึงตรงนี้ ตี๋หล่อฟันธงได้แล้วล่ะ ว่าชีวิตตัวเองผิดปกติจริงๆ เพราะว่ากลางกายของเขาเอง มันเริ่มดันตัวโป่งนูนจากกางเกงขาก๊วยออกมาแล้ว มันคับแน่นจนเขาเริ่มทนไม่ไหว

         ทำไมเขาถึงมีอารมณ์เมื่อเห็นภาพผู้ชายด้วยกันมีอะไรกัน!!

         แต่ไม่ไหวล่ะ ไม่มีเวลาคิดแล้ว มันจะระเบิดอยู่แล้ว
 
         จิวทนไม่ไหว แกะปมผ้าที่ผูกของกางเกงขาก๊วยออก ถอดกางเกงลง แล้วตามด้วยกางเกงในสีขาว ลงไปกองอยู่ข้างๆ กัน

         ตอนนี้ จิวมีสภาพไม่ต่างจากวัยรุ่นพม่าสองคนนั่นแล้ว ร่างที่เปลือยเปล่า ขาวจั๊ว เต็มไปด้วยกล้ามน้อยๆ แกร่ง หน้าท้องเป็นลอนน้อยๆ ช่วงขาตรงยาว และที่สำคัญ คือสิ่งที่อยู่กลางลำตัวของตี๋หล่อ!!

         มันเป็นแท่งเนื้อสีเดียวกับผิวตัว ขาว เนียน ใส ไม่มีเส้นเลือดสักเส้นให้เห็น ตัดกับพุ่มหยิกบางๆ รำไรๆ และถุงเนื้อบอลคู่ด้านล่าง ก็สีเดียวกัน ใสอมชมพู ไม่มีไรขนสักเส้นบนนั้น ห้อยตัวเนียนๆ ลงไปตามร่องขา

         "พี่ชาย" ของจิว มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ยาวมาก ดูด้วยตาเหมือนมันมีน้ำหนักมาก มันไม่ได้ตั้งตรง แต่มันชี้เอียงไปทางด้านซ้าย แข็งแรงเต็มที่  มีหยาดน้ำใสที่กระทบแดดเป็นประกายทิ้งสายใยบางๆ ย้อยลงมาอยู่

         จิวชะเง้อผ่านพุ่มไม้ไปอีกครั้ง ตอนนี้วัยรุ่นพม่าสลับกันแล้ว อีกคนหนึ่งก้มลงไปแทน แล้วถอนปากขึ้นสุด และครอบกลับลงไปสุด เสียงน้ำลายหมุนวนในปากขณะรูดขยับขึ้นลง ดัง ซร๊วบ! ได้ยินมาถึงจิวที่ "พี่ชาย" แข็งขันอยู่

         ท่ามกลางแดดกำลังดีในบ่ายวันนั้น กระแสลมอ่อน ไม่ระคายสายน้ำในแม่น้ำนครชัยศรีที่ไหลเอื่อยอยู่ข้างใต้ ทำให้ผิวน้ำตอนนี้ราบเรียบราวกับกระจก

         ฝั่งตรงข้ามลำน้ำมีต้นหลิวใหญ่ ที่แผ่ก้านและใบลู่ลงเรี่ยผิวน้ำ มันมีสมญานามอีกชื่อหนึ่งว่า "ต้นหลิวร้องไห้..." ใช่ มันกำลังร้องไห้ด้วยความตื้นตันอัศจรรย์กับภาพที่งดงามบนฝั่งตรงข้าม

         เด็กหนุ่มวัย ๑๗ ปี ที่ถึงพร้อมทั้งรูปร่างและหน้าตา นอนแผ่เปลือยกายท้าแสงแดดอยู่บนพื้นหญ้า ขาสองข้างกางออกเล็กน้อย ปลายเท้าจุ่มอยู่ในน้ำเบาๆ ระลอกคลื่นไหวเป็นวง ตามการสั่นสะเทือนและการจิกปลายเท้าเมื่อมีการขยับตัว

         มือหนึ่งชูสูงพาดขึ้นไปทอดยาวบนพื้นหญ้าเหนือหัว อีกมือหนึ่งเคลื่อนไหวขึ้นลงอยู่กลางลำตัว บางขณะก็ได้เห็นปลายของพี่ชายสีชมพูใส โผล่เลยมือออกมาอีกเป็นคืบ ขึ้นมารับสายลม

         สายตาจิวเหม่อไกลขึ้นไปบนท้องฟ้า แต่ไม่ได้มองฟ้าหรอก มันคงเลยไปถึงใครอีกคนหนึ่ง ที่ตัวอยู่ไกลแสนไกล และความคิดถึงกำลังเดินทางไปหา ผ่านทาง "สายน้ำพิเศษอีกสายหนึ่ง" ที่กำลังปลดปล่อยจากตัว

         ขาสองข้างของจิวกดจิกรุนแรงชนิดถึงจุดสูงสุด เกร็งกระตุกปลายเท้าบนผิวน้ำ ทำให้เกิดคลื่นน้ำวงใหญ่กระเพื่อมแผ่รัศมีกลมวิ่งไล่กันออกไปเป็นวงกว้าง เกือบไปถึงฝั่งของต้นหลิวร้องไห้...

         หลังจากนั้นทุกสิ่งก็คลายตัวสงบนิ่ง

 
--------------------------------


ต้นหลิวร้องไห้ (Weeping Willow)

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/2063419046-member.jpg)

 
ริมฝั่งแม่น้ำนครชัยศรี


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/1014820915-member.jpg)


หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๔ : มันมีกลิ่นเค็มเค็ม
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 03-01-2017 17:40:05
"ถ้าเจ้าส่วนหน้าตรงกลางลำตัวของตัวเองไม่อวบหนาใหญ่ยาวพอที่จะมีน้ำหนักถ่วงไว้ละก็ ดิเรกคงหงายเงิบลงไปกับเตียงแล้ว" โอ๊ยฮาประโยคนี่อะ ถึงกับต้องอ่านซำ้อีกรอบ   :laugh: :laugh:
ดิเรกน่าสงสารเหมือนกันนะเนี่ย คงตกใจน่าดู
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๔ : มันมีกลิ่นเค็มเค็ม
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 03-01-2017 17:47:48
 :L2: :L1: :pig4:

มองมาสักพัก เพิ่งได้เข้ามาอ่าน
ทำไมบางอย่างเรารู้จัก 55 นี่คือเราแก่แล้วใช่ไหม

รอติดตามแว่น ต้นข้าวสิเนาะ
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๔ : มันมีกลิ่นเค็มเค็ม
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-01-2017 19:22:16
❤️ HAPPY NEW YEAR 2017 ❤️
สวัสดีปีไหม่ ๒๕๖๐
ขอให้ไรท์ มีความสุข มากๆ
。◕‿◕。
แว่น จิว หรือ จิว แว่น  :mew1: :mew1: :mew1:
ดิเรก เอก  :mew1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๔ : มันมีกลิ่นเค็มเค็ม
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 03-01-2017 20:24:24
มาเจอกันซักหน่อยม่ะ..ดิเรก
รู้สึกว่าจะคุยโวโอ้อวดซะเหลือเกินนะ

ไปหยิบไม้บรรทัดมาวัด
ตัวต่อตัวกันเลย

กล้าป่ะล่ะ
อิอิ
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๔ : มันมีกลิ่นเค็มเค็ม
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 03-01-2017 21:04:23
:hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๕ : หลั่งน้ำของความคิดถึง
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 03-01-2017 22:13:11
ดื่มด่ำเต็มอารมณ์จริงๆ
อิโรติกนี้สวยงาม

โลกใหญ่กว้าง อย่างสนใจ ไร้เดียงสา
เฝ้าเพียรถาม ท้องฟ้า กว้างใหญ่ไหม
อยากรู้ว่า ทะเล ลึกเพียงใด
เด็กสงสัย ใคร่รู้ อยู่ทุกวัน

วันนั้นเราจะเติบโต
เน๊าะ จิว+แว่น
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๕ : หลั่งน้ำของความคิดถึง
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 03-01-2017 23:21:17
 :jul1:

เฮือกก! เป็นการเล่าความคิดถึงที่สยิวกี๊วมาก
แงมๆ เราว่า ไม่น่าจะมีคำว่า"ลีน"นะ มันดูไม่เข้ากับบริบท หรือเราคิดมากไป
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๕ : หลั่งน้ำของความคิดถึง
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 04-01-2017 00:44:38
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๕ : หลั่งน้ำของความคิดถึง
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 04-01-2017 13:49:37

MBK❤lover


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/1587241796-member.jpg)


ตอนที่ ๘ : ของฝากชิ้นสุดท้ายจากดิเรก

 
         วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรก เทอมใหม่ และมันอาจเป็นวันเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ของใครสักคนด้วย

         เช่นใครคนนี้ที่กำลังยืนอยู่หน้ากระจกเงาบานเต็มในห้องของแม่ ภาพในกระจก เป็นวัยรุ่นชายหล่อเหลาหน้าตาดีคนหนึ่ง สูงโปร่ง แบบบาง เสื้อนักเรียนผ้าเนื้อดีที่ใส่ใหม่เอี่ยม ขาวโอโม่ ปักชื่อสีน้ำเงินเข้ม ติดเข็มประจำโรงเรียนเข็มใหม่แวววาว

         ต่ำลงมาเป็นเข็มขัดหนังสีน้ำตาลแดงใหม่เอี่ยม หัวเข็มขัดที่เป็นทองเหลือง ถูกขัดถูด้วยบรัสโซหลายรอบ จนมันวาวเหมือนพึ่งหล่อออกมาจากเบ้าหลอมใหม่ๆ  ปลายเข็มขัดหนังมีคลิปหนีบโลหะสีดำตัวเล็กหนีบเก็บปลายเรียบร้อย

         ส่วนกางเกงขาสั้นสีกากีที่ใส่ ไม่ใช่กางเกงที่ซื้อสำเร็จตามพวกห้างน้อมจิตต์ทั่วไป แต่เป็นกางเกงผ้าเวสปอยท์สีกากี ผ้าออกมันๆ สั่งตัดจากร้านตัดเสื้อผ้าวัยรุ่นชื่อดังแห่งยุค ร้านสนู๊ปปี้ ที่ถนนเจริญผล มันเป็นกางเกงขาสั้นที่ค่อนข้างจะสั้นมาก มากที่สุดเท่าที่พอจะกล้อมแกล้มงุบงิบก้มตัวเดินผ่านครูฝ่ายปกครองไหว ปลายขาค่อนข้างบานเล็กน้อย

         ส่วนล่างสุด แน่นอน ถุงเท้าคาร์สันคู่ใหม่เอี่ยม และรองเท้านักเรียน PAN สีน้ำตาลแดงรุ่นใหม่กริบ!

         และถ้าจะย้อนกลับขึ้นไปส่วนบนอีกที ที่คอมีสร้อยดินเผาสีดำจากด่านเกวียน ลายเป็นแฉกๆ เหมือนรังสีพระอาทิตย์ห้อยอยู่ นี่เป็นผลพวงมาจากภาพยนตร์ "น้ำพุ" ที่ดาราชื่อดัง อำพล ลำพูน ใส่ในฉากตอนไปโรงเรียน

         ส่วนใบหน้า ใส เกลี้ยงเกลา ไม่มีริ้วรอยใดๆ บนใบหน้า เพราะการพยายามที่ไปรักษาสิวและผิวอย่างจริงจัง ที่คลินิก แพน คอสเมติก ตลอดสามเดือน เมื่อมีผิวที่ดี ก็ขับโครงหน้าให้ชัดเด่นขึ้น ใบหน้าที่เหมือนภาพเขียนของทวยเทพ

         และบนใบหน้าของต้นข้าวนี้...ไม่ได้ใส่แว่นหนาเตอะแล้ว

         ใช่แล้ว ด้วยเทคโนโลยี่ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ ในยุคนั้นมีคอนแทคเลนส์แบบล่าสุดเข้ามา เป็นคอนแทคเลนส์แบบแข็ง หรือกระจกบางๆ พับงอไม่ได้ ต้องสั่งตัดเฉพาะดวงตาใครดวงตามัน เป็นเลนส์ที่มีอายุใช้งาน 1 ปี  มีราคาหลายพันอยู่ แต่เพราะสายตาสั้นถึง 700 นี่ ผู้ปกครองคนไหนก็อยากให้ลูกมีสายตาที่ดีเหมือนคนปกติทั้งนั้นแหล่ะ

         "อ้าว ต้นข้าว จะไปโรงเรียนแล้วหรือ" แม่เปิดประตูเข้ามาพอดี และทักต้นข้าวไปงั้นๆ

         "ว้าย แล้วนี่ใส่รองเท้าเข้ามาในห้องแม่ทำไม" คราวนี้แม่เสียงสองขึ้นมาทันที

         "แห่ะๆๆ รองเท้าใหม่อ่ะแม่ ต้นข้าวพึ่งเอาออกมาจากกล่อง" ต้นข้าวชูกล่องเปล่าใส่รองเท้าขึ้นมา

         "อ่อ แล้วไป ไปเถอะ เดี๋ยวไปสายนะ รถติด แหม่...วันนี้ทำไมลูกใส่ชุดนักเรียนแล้วหล่อจัง!"

         แม่ทิ้งท้ายแล้วไม่ได้รอคำตอบ เดินนำออกจากห้องไป

         เจ้าหล่อเทพยืดตัวขึ้นนิดนึงเมื่อได้ยินประโยคหลังของแม่

         จากนั้นก็ยืนลังเลอยู่หน่อย ว่าจะเอากระเป๋านักเรียนไปดีไหม เพราะวันนี้วันแรก ยังไม่มีตารางสอนใหม่ ไม่มีสมุดหนังสืออะไรที่ต้องขนไป และส่วนใหญ่ไม่ได้เรียนหรอก เพราะต้องไปจดตารางสอน และทำความสะอาดห้องเรียนกัน

         คิดไปคิดมา ถือไปดีกว่า ถือเอาเท่ ไม่ได้ขนหนังสืออะไรไปก็ดี กระเป๋าจะได้แบนๆ หน่อย เพราะจริงๆ กระเป๋าต้นข้าวก็ไม่ได้ใช้คลิบหนีบให้แบนเหมือนนักเรียนคนอื่น เพราะต้นข้าวชอบแบกหนังสือไปโรงเรียนเยอะๆ

         ตัดสินใจได้ ก็เดินกลับเข้าห้องนอนตัวเอง หันไปหันมาอย่างลังเลครู่นึง แล้วเดินไปก้มตัวที่ซอกข้างเตียง --อยู่นี่เอง กระเป๋าจาคอปของฉัน ไม่เจอกันมาสามเดือน ต้นข้าวหยิบขึ้นมาแล้วปิดล็อคปากกระเป๋า เอาไม้กวาดขนไก่ปัดๆ สองที กระเป๋าก็พร้อมล่ะ

         วันนี้ ทำไมถนนหนทางมันดูรื่นรมณ์แบบนี้นะ ป้ายรถเมล์คนเยอะก็ช่างมัน ขึ้นสาย ๗ คนแน่นต้องโหนประตูออกมานอกรถก็ช่างมัน เอาแขนหนีบกระเป๋าแบนไว้ สองมือจับขอบประตู เอาหน้าปล่อยให้ลมนอกรถโกรก หล่อแล้วนี่ มั่นใจซะอย่าง 555+

         เหตุที่ระรื่นขนาดนี้ ก็เพราะคิดถึงใครคนหนึ่งล่ะ ไม่ได้เจอหน้า ไม่ได้ยินเสียงมาสามเดือนเต็ม เขาจะเป็นยังไงหนอ วันนี้จะมาโรงเรียนหรือเปล่า กลับมาจากนครปฐมหรือยังนะ

         แต่พอรถใกล้ถึง ผ่านโรงเรียนหญิงข้างๆ ไอ้ที่ระรื่นอยู่ก็หุบทันที เมื่อนึกถึงความจริงอันโหดร้าย เขาคนนั้น มีคนอีกคนรออยู่แล้วนี่ที่โรงเรียนนี้ ดารินไง

         พอคิดถึงชื่อนี้ ต้นข้าวหดหน้ากลับเข้าไปในประตูรถอย่างไว กลัวลมพัดตีหน้าเยินขึ้นมาทันที


--------------------------------

 
         "อ้าว แว่น...เฮ้ยยย ไปทำอะไรมา หล่อสัส" เสียงเนติกับราชา ที่แทบจะประสานเสียงพร้อมกัน
 
         "เฮ้ย เฮ้ย กูไม่ได้ใส่แว่นแล้ว เรียกชื่อแว่นไม่ได้แล้วเฟร้ยยย" ต้นข้าวยืดอกขึ้นมานิดนึง

         "ห่า พวกกูเรียกมาตั้งนาน ชินแล้วว่ะ"

         "ไม่ได้เว้ย คนใหม่ นี่ต้นข้าวคนใหม่แล้วนะ"

         "แล้วมึงมองเห็นหรือวะ เสือกไม่ใส่แว่น" เนติสงสัย

         "ฮาร์ทเลนส์ไงมึง เกือบสามพัน แม่กูตัดให้" ต้นข้าวเบิ่งตาโตให้ดู

         "โห แม่มึงลงทุนเนาะ แต่ก็ดี มึงหล่อผิดตาไปเลย นี่ถ้าไอ้ศักดิ์สิทธิ์ กับ ไอ้สมนึกเห็น คงอึ้งล่ะนะมึง"

         --สมนึก-- หืมมม ชื่อนี้อุตส่าห์งุบงิบคิดถึงมาตลอดเช้าวันนี้ มาหรือยังหว่า ต้นข้าวชะโงกไปดูหลังห้อง

         "เออแว่น เอ๊ยย โทดๆ ไอ้ต้นข้าว พวกกูลงไปกินโอวัลตินที่โรงอาหารก่อนนะ มีรถมาแจก ไปมะ"
 
         "ไม่อ่ะ กูกินมาแล้ว" ต้นข้าวโบกมือ จริงๆ ยังไม่ได้กินอะไรมาหรอก แต่ตอนนี้มีอย่างอื่นต้องทำ

         ต้นข้าวเอากระเป๋าจาคอป ไปวางที่พนักพิงบนเก้าอี้ของตัวเอง แล้วทำเดินเลยไปหลังห้อง เหมือนจะไปหยิบไม้กวาดมากวาดอะไรอย่างนั้น

         ตอนนั้นมีเพื่อนนักเรียนร่วมห้องมากันสักสิบกว่าคนแล้ว นั่งๆ ยืนๆ คุยกันรอบห้อง ต้นข้าวเดินไปถึงโต๊ะประจำของจิว ก้มลงมอง ไม่เห็นมีกระเป๋าหรืออะไรในเก๊ะนั้น

         "จึ๊ จึ๊" เสียงดีดปากจากต้นข้าวเบาๆ แบบไม่สบอารมณ์ เลยพาลหงุดหงิด โยนไม้กวาดหวือออ~ กลับไปหลังห้องซะงั้น เพื่อนสองสามคนหันมามอง ต้นข้าวเลยยิ้มแห้งๆ ให้ แล้วเดินไปหยิบวางใหม่ดีๆ


--------------------------------


         "เอาล่ะค่ะนักเรียน ครูจดตารางสอนให้บนกระดานแล้วนะคะ ใครยังไม่ได้จด จดเลยนะคะ ครูจะได้ลบแล้ว"

         เสียงครูสูงอายุฝ่ายปกครองสุดเฮี๊ยบ ที่ต้นข้าวไม่เคยเรียน หรือรู้จักด้วย มาจดตารางสอนให้แทนครูประจำชั้นตัวจริง ครูคนนี้เห็นเพื่อนกระซิบว่าดุนัก ไม่เข้าใครออกใคร

         "การเรียนเทอมนี้ อาจจะดูเยอะหน่อยนะคะนักเรียน หนังสือเยอะ หนักๆ ทั้งนั้น แต่เป็นภาระของนักเรียนที่จะต้องมี"

         พอครูพูดเรื่องหนักๆ ต้นข้าวก็ปวดหลังขึ้นมาพอดี เพราะกระเป๋านักเรียนของตัวเองพิงอยู่ด้านหลังพนักเก้าอี้  ต้นข้าวเลยหันไปหยิบกระเป๋าจาคอปตัวเอง ไปวางพิงที่เก้าอี้ข้างๆ แทน เพราะเพื่อนนักบอลไม่ค่อยมาเรียน โต๊ะยังเหมือนว่างๆ อยู่

         แถมตอนหันไปหยิบกระเป๋า ยังแอบเลยมองไปข้างหลัง  คนที่อยากเจอ อยากเห็นหน้า จนป่านนี้ก็ยังไม่เข้ามาเรียน ยังไม่เห็นหัวอยู่ข้างหลังเลย ถ้ามา จิวมันคงลากเก้าอี้ย้ายมานั่งด้วยกันที่โต๊ะนี้เหมือนเคยแล้ว

         "แต่สบายใจได้นะคะนักเรียน ครูจะบอกข่าวดีให้ฟัง เร็วๆ นี้ แต่ไม่รู้จะภายในสองสามปีนี้หรือเปล่านะ ทางกระทรวงศึกษาได้ประชุมกัน มีความเห็นว่าอาจจะอนุญาตให้นักเรียนเปลี่ยนมาใช้เป้สะพายหลังแทนกระเป๋านักเรียนแบบเดิมได้แล้ว"

         เสียงฮือฮา ดังขึ้นทันทีในห้อง

         "จุ๊ๆ เงียบ!! รอประกาศก่อนค่ะ! นี่ครูเล่าให้ฟังเฉยๆ ตอนนี้ก็ใช้กระเป๋านักเรียนแบบเดิมนี้ไปก่อนค่ะ มันก็ใส่หนังสือเยอะๆ ได้นี่ ใช้ให้มันถูกวิธีหน่อย" ครูปกครองชี้มาที่โต๊ะต้นข้าว

         "เธอ คนหล่อๆ นั่นล่ะ ใครใช้ให้ใส่สร้อยคอแฟชั่นมาเรียนหือ...หล่อไม่เป็นที่เป็นทางนะเรา  เอ้า เธอส่งกระเป๋านั่นมาหน่อย ครูจะสาธิตให้ดู"

         แว่นหันไปหยิบกระเป๋านักเรียนตัวเองที่พึ่งเปลี่ยนที่วางไปเมื่อสักครู่ ยื่นส่งให้ครู

         "นี่ค่ะ กระเป๋านักเรียนที่ถูกต้องนะคะ อย่าเอาคลิปไปหนีบข้างกระเป๋าให้มันแบน มันจะใส่หนังสือได้น้อย จริงๆ ข้างในมันกว้างมากนะคะ มันกางออกได้เยอะ แบบนี้..."

         ไม่พูดเปล่า ครูได้เปิดฝากระเป๋าเสร็จแล้ว และถ่างข้างในกระเป๋าอย่างเต็มที่ หันมาอวดนักเรียนในห้องให้ดูด้วย

         วินาทีนั้น นักเรียนในห้องเรียนเงียบกริบ ทุกสายตาเหมือนจ้องเข้าไปในกระเป๋า รวมทั้งต้นข้าวที่ทำหน้าพิศวงเต็มที่ อ้าปากค้าง ไม่มีใครมองหน้าครู จนครูชักเอะใจ

         "เอ๊ะ อะไร?"

         ครูพลิกปากกระเป๋าเข้าหาตัวเอง ก้มลงไปมอง แล้วถ่างปากกระเป๋าออกกว้าง แล้วใช้มือที่จีบแค่สองนิ้วคือนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ ลงไปคีบหยิบอะไรบางอย่างจากในกระเป๋านักเรียนใบนั้นขึ้นมาชูสูง สายตารังสีพิฆาตที่มองมายังต้นข้าว เหมือนจะฆ่าก่อนแล้วค่อยถามว่ามันคืออะไร

         สองนิ้วที่จับจีบชูขึ้นมาอย่างหมิ่นเหม่ นั่นคือรูปภาพลับเฉพาะของนายแบบปึกหนึ่ง ที่อวัยวะส่วนกลางขนาดมโหฬาร แข็งโด่ชูชัน พุ่งชี้เข้าหน้าครูเต็มที่ และที่หยิบติดนิ้วขึ้นมาพร้อมกันด้วย...คือกางเกงในยี่ห้อแอปเปิ้ลของผู้ชายที่ใส่แล้วตัวหนึ่ง ย้วย และมีคราบขาวแห้งกรังเป็นทางยาว!!!

         ทั่วทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ มันไม่ใช่เรื่องปกติเลย ในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ นี้ เรื่องพรรค์นี้ไม่ใช่เรื่องเปิดเผย หรือยอมรับกันได้ง่ายๆ โดยเฉพาะเด็กมัธยมวัยรุ่นแบบนี้ นี่มันเข้าข่ายโรคจิตเลยนะ แค่เขียนคำหยาบด่าพ่อล่อแม่เพื่อนแรงๆ ใส่กระดาษ แล้วหลักฐานถึงมือครูนี่ ยังโดนเรียกผู้ปกครองเข้าพบเลย

         แล้วนี่เด็กผู้ชายมัธยม พกรูปโป๊ผู้ชายเห็นท่อนลำแข็งขันครบถ้วน บางรูปยังกำลังพ่นน้ำขาวขุ่นแตกเป็นสาย แถมยังมีกางเกงในผู้ชายที่ใส่แล้ว และเต็มไปด้วยคราบขาวเกรอะกรัง พกไปพกมาในกระเป๋า นี่มันจิตวิปริตโดยแท้ สงสัยครูต้องเรียกพบทั้งสาแหรกตระกูลนับขึ้นไปอีกเจ็ดชั้นแน่ๆ

         แค่คิดมาถึงตรงนี้ ต้นข้าวก็รู้สึกเหมือนมีก้อนเย็นๆ วิ่งขึ้นไปบนหัว ทำให้ขนหัวลุกตั้งชัน แล้วก้อนเย็นๆ นั้นก็วิ่งลงข้างล่างไปที่ปลายเท้า ทำให้ชากระดุกกระดิกไม่ได้ ตัวเย็นยะเยือก แข็งเป็นหินไปชั่วขณะ

         --เรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไงหว่า--

         ต้นข้าวไม่มีเวลาคิดนาน ประกาศิตของครูก็ผ่าเปรี้ยงลงมา

         "ชั้นจะโทรเรียกผู้ปกครองเธอเข้ามาพบ"

         --ฉิบหายแล้ว กรูตายดีกว่า-- ต้นข้าวคิดในใจ คือต้นข้าวคิดว่าถ้าแม่รู้เรื่องว่าเป็นเกย์น่ะไม่เท่าไร แม่คงรับได้ไปเรื่อยๆ สักวันหนี่ง เพราะแม่รักต้นข้าวและตามใจมาก และต้นข้าวก็เป็นเด็กดีมาตลอด แถมต้นข้าวเป็นคนอ่อนไหวง่ายมาตั้งแต่เด็ก เผลอๆ แม่จะแอบคิดในใจไว้แล้วด้วยซ้ำ

         แต่เรื่องนี้มันซับซ้อนกว่านั้น เพราะรูปโป๊ที่ว่ามันมาจากซองจดหมายของน้าเดียร์ ที่แม่จะให้ต้นข้าวส่งต่อไปให้ แล้วถ้าแม่รู้ว่าในซองนั้นมันคืออะไร โชคสองชั้นมันจะไปหล่นใส่น้าเดียร์อีกต่อหนึ่งหรือเปล่า เหมือนถูกหวยโดยไม่ต้องซื้อแท้ๆ เฮ้อออ

         แล้วไหนจะอีกางเกงลิงเน่านั่นอีก มันของใครวะ มันมาอยู่ในกระเป๋าเราได้ยังไง เวรแท้ๆ เป็นเกย์น่ะไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าถึงขนาดคนจะคิดว่า โรคจิต ชอบดมกางเกงในผู้ชายใช้แล้วนี่ ต้นข้าวอ่อนใจที่จะนึกต่อ

         คิดแล้วยืนทำตาแดงๆ อย่างไม่รู้จะพูดอะไรตอบครูไป ก้มหน้างุด รอรับชะตากรรมครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิตที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีนี้

 
         "..............."

 
         "กระเป๋านักเรียนใบนั้น ของผมเองครับครู ไม่ใช่ของต้นข้าว"

         เสียงหนึ่งดังขึ้นหน้าห้องเรียน ทั้งห้องหันขวับไปพร้อมกันไม่เว้นแม้แต่ต้นข้าว

         "จิว!!" ต้นข้าวอุทานออกมา

         จิว เดินเข้ามาในห้อง ไม่ได้เดินไปที่โต๊ะตัวเองหลังห้อง แต่มุ่งตรงมาที่โต๊ะของต้นข้าว ที่ต้นข้าวยืนอยู่ แล้วเดินเลยไปนิดนึง ตรงโต๊ะติดกันข้างๆ ที่จิวชอบมานั่งเบียด และเมื่อกี้ต้นข้าวยังเอากระเป๋าของตัวเองวางพิงพนักเก้าอี้ไว้

         จิวล้วงมือลึกเข้าไปใต้โต๊ะ แล้วดึงกระเป๋านักเรียนจาคอปที่มีสีเดียวกันออกมา มันเป็นกระเป๋าที่มีคลิปหนีบแบนด้านข้างรอบๆ แล้วส่งกระเป๋าไปที่มือของต้นข้าว ที่ยังยืนงง จับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ต้นข้าวก็รับกระเป๋าไว้

         "กระเป๋าใบนี้ต่างหากที่เป็นของต้นข้าวครับครู เราวางสลับกัน"

         ตอนนี้ต้นข้าวพึ่งสังเกตเห็น ว่าแขนซ้ายของจิวมีผ้าพันแผลตรงข้อศอก

         คราวนี้ถึงตาครูที่จะงงบ้าง

         "อะไรกันเนี่ย อะไรของพวกเท๊อออ!!"

         ครูใช้เสียงสองร้องออกมา กรอกตาซ้ายขวามองต้นข้าว และจิวสลับกันไปมา แล้วปิดท้ายด้วยมองบนแรง

         "กระเป๋าในมือครู เป็นของผมจริงๆ ครับครู" จิวยังคงยืนยัน

         "งั้นเธอจะเอาอะไรมาพิสูจน์ว่ากระเป๋าที่มีของลามกจกเปรตนี้เป็นของเธอ อย่าลืมนะ ถ้าเป็นของเธอจริง เธอต้องโดนเรียกผู้ปกครองเข้าพบแทนนายต้นข้าวนะ"

         "ครับ ผมพร้อม" จิวมีแววตาแน่วแน่

         "งั้นเธอบอกครูมา ว่ามีอะไรยืนยันได้ว่ากระเป๋าลามกใบนี้ เธอเป็นเจ้าของ ครูถึงจะเชื่อ"
 
         สมนึกจ้องไปที่กระเป๋านักเรียนในมือครู พิจารณาอยู่สักครู่ แล้วตอบไปว่า

         "ถ้ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งในกระเป๋า ที่เป็นลายมือของผมอยู่ในนั้น และผมบอกได้ว่าอยู่ตรงไหน ครูจะเชื่อผมไหมครับ"

         ต้นข้าวหันไปมองหน้าจิว อย่างประหลาดใจ

         "โอเค ถ้าพิสูจน์ได้ว่าเป็นลายมือของเธอ และเธอบอกถูกว่ามันคืออะไร อยู่ตรงไหน ครูจะเชื่อเธอ"

         ครูท้า แต่มั่นอกมั่นใจว่าไม่ใช่แน่ เพราะเมื่อกี้ตอนล้วงลงไปหยิบของลามกพวกนั้น ในกระเป๋าก็ไม่มีอะไรอีก

         จิว หันไปมองหน้าต้นข้าวครู่หนึ่ง เหมือนเป็นการวัดใจ แล้วสีหน้าก็กลับมีประกายมุ่งมั่น เหมือนเป็นการตัดสินใจสุดท้ายที่แน่วแน่ มั่นคง

         ตอนนั้นต้นข้าวได้แต่จ้องมองตอบด้วยความงุนงง

         "กระเป๋าใบที่อยู่ในมือครู ด้านหน้าซ้ายมือ มีช่องใส่ของเล็กๆ อยู่ มีฝากระเป๋าปิดไว้ ในนั้นมีเทปคาสเซ็ท ที่มีลายมือของผมอยู่ครับ"

         ต้นข้าวอ้าปากค้าง!!

         ครูวางกระเป๋าลงบนโต๊ะ แล้วหาช่องในกระเป๋าที่ว่านั้น เมื่อพบก็เปิดออก แล้วล้วงหยิบสิ่งหนึ่งขึ้นมา มันคือเทปคาสเซ็ท ที่ไม่มีกล่องใส่ เป็นตัวตลับเทปเดี่ยวๆ จึงอยู่ในกระเป๋าที่แบนราบได้ โดยไม่นูนออกมา

         นักเรียนในห้องส่งเสียงฮือ และต้นข้าวอ้าปากค้างกว้างกว่าเดิมอีกสองนิ้วจากเมื่อตะกี้ และเริ่มจะคุ้นๆ แล้วว่าเทปตลับนี้เคยเห็นที่ไหนมาก่อน

         ครูแม้มปากจนเกือบเป็นเส้นตรง ยกเทปคาสเซ็ทขึ้นมาอ่านข้อความบนนั้น แล้วเงยหน้าพูดกับจิว

         "เอาล่ะ บนหน้าเทปนี้ ที่อ้างว่าเป็นลายมือเธอ มันเขียนว่าอะไร"

         จิวไม่ได้มองหน้าครูตอนตอบออกไป แต่กลับจ้องตาต้นข้าว แล้วพูดเสียงดังฟังชัดว่า


         "ให้คนนี้ดีกว่า...จากจิว, รอวันฉันรักเธอ คีรีบูน"


         "....................."

 
         แน่นอนว่า คนในห้อง รวมทั้งครู ไม่มีใครรู้ความนัย หรือที่มาที่ไปของข้อความนี้  เพราะมันก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไป ที่จะมีของกุ๊กกิ๊กเตรียมไว้ให้กับแฟน หรืออะไรประมาณนี้

         ยกเว้นหนุ่มน้อยสุดหล่อระดับองค์เทพ ที่โดนจ้องตา และรับฟังข้อความนี้จากจิวเต็มๆ น่ะสิ

         เทปเพลงที่อยู่ในมือครูนั้น คือเทปที่จิวไปอัดจากวิทยุที่ห้องนอนต้นข้าว จิวบอกไว้ทีแรกว่าจะมอบให้ผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วไปไงมาไง มันกลับมาอยู่ในกระเป๋าของต้นข้าว รวมทั้งข้อความที่เขียนขึ้นต้นว่า

         "ให้คนนี้ดีกว่า..."

         ตอนนี้ต้นข้าวมีความรู้สึกว่า ความเครียดเย็นยะเยือกที่อยู่ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าเมื่อกี้ คลายตัวออกไป เปลี่ยนเป็นควันสีชมพู แล้ววนมารวมตัวกันใหม่ หมุนไปรอบๆ เหมือนเซเลอร์มูน ที่ใช้มนต์แห่งจันทรา จงสำแดงฤทธา ณ บัดนี้

         ตอนนี้ต้นข้าวมองไม่เห็นสิ่งรอบตัวแล้ว ครูเลือนหายไป เพื่อนร่วมชั้นเรียนก็เลือนหายไป เหลือแต่จิวและต้นข้าวที่ยืนกอดกระเป๋านักเรียนของจิว จ้องตากันอยู่

         กระดานดำหน้าห้อง เหมือนจะแปลงร่างเป็นผนังของปราสาทเทพนิยายหน้าแดนเนรมิต ชอล์กและแปรงลบกระดาน ก็แปลงร่างเป็นผีเสื้อและนกคีรีบูนแสนสวย บินวนและร้องเพลงอยู่รอบๆ ตัวของต้นข้าวและจิว เหมือนโลกนี้มีแค่ เจ้าชายและเจ้าชาย กันแค่สองคน

         แต่แล้วความฝันนี้ก็ถูกเบรคเอี๊ยดหัวทิ่ม!! แล้วกระจายกลับคืนร่างเดิม ด้วยเสียงแหลมๆ เบอร์สามของครู ว่า...

         "ถูกต้อง!!! ดีล่ะสมนึก งั้นเธอตามชั้นมาที่ห้องฝ่ายปกครอง แล้วเอาเบอร์โทรบ้านเธอมาให้ด้วย ชั้นจะโทรไปเชิญคนที่บ้านเธอให้มารับรู้เรื่องบ้าๆ นี้ เก็บของบัดสีนี่ของเธอใส่กระเป๋าแล้วหิ้วตามครูมา"

         แล้วครูก็เดินฉับๆ นำออกไป ให้จิวรวบรวมเก็บรูปโป๊เหล่านั้น พร้อมกางเกงในแอปเปิ้ล ใส่ลงในกระเป๋าเหมือนเดิมแล้วตามครูออกไป

         ก่อนพ้นห้อง ลับหลังครู  จิวก็หลิ่วตาให้ต้นข้าวทีหนึ่ง พร้อมแอบโยนขยุ้มกระดาษสีน้ำตาลก้อนเล็กๆ มาให้ต้นข้าว ซึ่งรับไว้ทันพอดี

         พอครูกับจิวเดินลับตาไปแล้ว ต้นข้าวจึงคลี่ก้อนกระดาษสีน้ำตาลนั้นออกดู มันคือซองเปล่าที่เคยใช้ใส่รูปโป๊นั่น มันมีชื่อ-นามสกุล และที่อยู่ผู้รับเขียนอยู่บนนั้น และมันเป็นนามสกุล และที่อยู่เดียวกับของต้นข้าวเอง

         อ้อ ฮีโร่ตี๋หน้าใสขี่ม้าขาวมาช่วยออกตัวรับความผิดแทนให้ แล้วยังไม่ลืมทำลายหลักฐานให้ด้วยสินะ


--------------------------------


หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๖ : ของฝากชิ้นสุดท้ายจากดิเรก
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 04-01-2017 14:22:25
เวรกรรม :katai1: ไอ้เพื่อนเวง

ดีใจที่มาต่อไว (นั่งเกาะขอบจอ)
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๖ : ของฝากชิ้นสุดท้ายจากดิเรก
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 04-01-2017 15:03:34
เฮ้ยยยยยยย
อะไรมันจะซวยขนาดนั้น

อุตส่าห์ทำหล่อมาตั้งแต่เช้า
หมดกัน

ถ้าเป็นเรา..จะทำไงหว่า
นึกอะไรไม่ออกจริงๆ

อ่านแล้วสงสารต้นข้าว อิ๋บอ๋าย
ไอ่จิวมันจะรังเกียจเพื่อนคนนี้ไปด้วยหรือเปล่า

กาซิก
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๖ : ของฝากชิ้นสุดท้ายจากดิเรก
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 04-01-2017 18:25:45
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๖ : ของฝากชิ้นสุดท้ายจากดิเรก
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 04-01-2017 20:01:04
  เพิ่งเข้ามาอ่านคับ สนุกมากๆ
  ขำของฝากของดิเรก ต้นข้าวจะทำยังไงน่ะ รออ่านตอนต่อไปคับ 555
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๖ : ของฝากชิ้นสุดท้ายจากดิเรก
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 04-01-2017 20:35:57
จิวจ๋า..อยู่ไหน


รีบมาช่วย..เป็นกำลังใจให้กับต้นข้าวโหน่ยยยยย
คนรักของจิวกำลังจะอ่อนแอ

ช่วยนะ

+1 คนแต่งนิยายตอนนี้
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๖ : ของฝากชิ้นสุดท้ายจากดิเรก
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 04-01-2017 21:22:37
:mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๗ : ฮีโร่ผู้ค้นพบตัวเอง
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 04-01-2017 22:07:14
ต้นข้าว 555 โชคดีจิวเป็นฮีโร่ แล้วทางบ้านจิวจะว่ายังไงล่ะทีนี้
  รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๗ : ฮีโร่ผู้ค้นพบตัวเอง
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 04-01-2017 22:54:25
ฮึ่ย.......ไอ้ดิเรก ว่าวแล้วพาเพื่อนซวยจริงๆ
จิว ช่วยแว่น ไว้ได้
แต่จิวถูกพ่อตีแน่ๆ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๗ : ฮีโร่ผู้ค้นพบตัวเอง
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 04-01-2017 23:05:52
เหมือนมีหมุด สุดดอก ตอกเต็มลิ่ม
ยิ่งกว่าทิ่ม แทงเข็ม เล่มหมื่นแสน
ยกทั้งใจ อยากได้ มาเป็นแฟน
อยากอยู่ใน อ้อมแขน กอดแน่นกัน

เป็นฮีโร่ สุดหล่อ ขอความรัก
ให้รู้จัก สีชมพู ดูเคลิ้มฝัน
ใจตรงใจ ตาตรงตา หาแต่กัน
จะนรก หรือสวรรค์ ฉันจะไป

น่าฮักขนาดเน๊าะ
มายจิว

ขอเหอะ ยกให้เราได้ไหม ต้นข้าว
จะให้เอาอะไรมาแลกก็ยอม

ยอมหมดเลย
ถ้าได้จิว
 :haun4:
อิอิ 
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๗ : ฮีโร่ผู้ค้นพบตัวเอง
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 04-01-2017 23:07:46
อร๊ายยยยยยยยยยยยยย   :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๗ : ฮีโร่ผู้ค้นพบตัวเอง
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 04-01-2017 23:10:26
 :hao5:

พ่อจิวไม่ค่อยโอด้วย จากออร่าชมพูม่วง จะกลายเป็นมาคุอะดิ

 :L2: :L1: :pig4:รักคนเขียนมาติดๆกันเลย (ได้โปรดอย่าหมดไฟแล้วหายไประหว่างทาง เรากลัว)
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๗ : ฮีโร่ผู้ค้นพบตัวเอง
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 05-01-2017 14:21:40

MBK❤lover


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/1587241796-member.jpg)


ตอนที่ ๙ : นครหินอ่อนเป็นพยาน


         วันแห่งอัศวินขี่ม้าขาวที่มาช่วยวันนี้ มีอายุครึ่งวันเท่านั้น เพราะครูปล่อยนักเรียนกลับบ้านตอนเที่ยงเลย เพื่อที่จะมาเริ่มต้นเรียนเต็มๆ ในวันพรุ่งนี้

         ต้นข้าวรอแล้วรอเล่า จิวก็ยังไม่กลับมาห้องเรียน จะเกิดอะไรขึ้นนะ พ่อจิวจะมาพบครูฝ่ายปกครองไหม จะดุด่าว่ากล่าวจิวไหม จะไล่จิวออกจากบ้านไหม คิดไปร้อยแปดพันอย่าง จนบ่ายสอง นั่งรอที่หน้าประตูโรงเรียน ก็ไม่มีแววว่าทั้งจิวทั้งพ่อจะเดินออกมา เลยคิดว่ากลับไปตั้งหลักที่บ้านก่อนดีกว่า

         ระหว่างทางกลับ ต้นข้าวมานึกทบทวนเหตุการณ์ แล้วยังคิดไม่ตกหลายๆ เรื่อง เอาเรื่องบ้าๆ ก่อน ทำไมรูปโป๊เหล่านั้นมันลงไปอยู่ในกระเป๋าเขาเองได้ และที่ทุเรศทุรังสุดๆ คือกางเกงในแอปเปิ้ลนี้มันของใคร มาได้ยังไง

         คิดเรื่องบ้าเสร็จ มาคิดเรื่องดีต่อ นึกมาถึงตอนนี้ แก้มหนุ่มกลับมีสีระเรื่อขึ้นมาได้เหมือนกัน นี่จิวเอาตลับเทปคาสเซ็ทที่อัดด้วยกันคืนนั้น มาแอบใส่ไว้ในกระเป๋าต้นข้าวหรือนี่ ใส่ไว้เมื่อไรกัน แล้วจิวจะบอกความหมายนั้นจริงๆ ให้ต้นข้าวหรือ

         "ให้คนนี้ดีกว่า..."

         มันหมายความว่ายังไง อย่าบอกนะว่าจิวจะชอบต้นข้าว เลยเปลี่ยนใจเอาเทปที่อัดเพลงของวงคีรีบูนนั้นมาให้ต้นข้าวแทน เพราะเรื่องแบบนี้ เพื่อนกันธรรมดาคงไม่ทำกัน

         แล้วถ้าจิวจะชอบต้นข้าวจริงๆ ต้นข้าวเองจะรู้สึกยังไงนะ... คิดมาถึงตรงนี้ เริ่มรู้สึกว่าฟุตบาทที่เดินอยู่ ทำไมปูนมันเบาจัง เหยียบไปแล้วนุ่มๆ ลอยๆ เดินก้าวหนึ่ง ลอยได้อีกก้าวหนึ่ง ทุกครั้งที่ลอยขึ้นไป จะมีกลีบกุหลาบโปรยลงมาครั้งหนึ่ง จนถึงบ้าน


--------------------------------


         เช้าวันใหม่ ต้นข้าวกำลังจะออกไปโรงเรียน วันนี้ต้นข้าวเจ็บตา จากที่ใส่เลนส์เมื่อวาน จึงต้องกลับมาใส่แว่นสายตาหนาเตอะแทนไปก่อนชั่วคราว

         พอเดินลงมาข้างล่างเจอแม่กำลังง่วนอยู่กับของอะไรแดงๆ บนโต๊ะ

         "แม่ ดูอะไรอยู่อ่ะ"

         แม่เงยขึ้นมาแล้วหัวเราะ แล้วชี้ให้หมูกระดาษ ตัวสักประมาณคืบกว่าๆ ที่ทำจากกระดาษทากาว ที่เรียกว่าเปเปอร์มาเช่ พอต้นข้าวเห็นก็หัวเราะ แล้วก็นึกออกว่าแหล่งที่ทำหมูกระดาษแบบนี้ คือของบ้านยายจา  อยู่ท้ายวัดประยูรฯ ไม่ไกลจากบ้านนี่เอง

         "แล้วทำไมมันตัวเล็กนักล่ะแม่ เคยเห็นแต่ตัวใหญ่ๆ เอามานั่งขี่เล่นได้ ตอนเด็กๆ ต้นข้าวยังจำได้ แม่ซื้อมาให้ขี่เล่นอยู่เลย"

         "นี่มันไม่ได้ไว้ขี่นะ มันคือกระปุกหมูออมสินน่ะ" แม่พูดพร้อมชี้ให้ดูร่องตรงกลางหลังหมู มันมีช่องหยอดตังค์อยู่จริงๆ

         "ยายจาเค้าคิดทำขึ้นใหม่น่ะ ลองทำตัวเล็กๆ เป็นกระปุกออมสินมาวางขาย แม่เดินผ่านบ้านเค้าตอนไปตลาด เห็นน่ารักดี เลยซื้อมาสองตัว อยากได้ไหมล่ะ เอาไปสิ"

         "เอาๆ แม่ เอาสองตัวเลยนะ" ต้นข้าวรับหมูออมสินสีแดงสองตัวนี้มาถือไว้

         หมูกระดาษสีแดงที่ว่านี้ เป็นของบ้านยายจา ท้ายวัดประยูรฯ ทำมาจากกระดาษหนังสือพิมพ์ทากาวแป้งเปียก แล้วแปะซ้อนๆ กันหลายๆ ชั้นในเบ้าหินรูปหมู จนหนา ทิ้งไว้จนแห้ง แล้วเอามาประกบกันเป็นตัวหมู ทาสีน้ำมันสีแดงแปร๊ด แล้วเขียนลายบนหลังหมูเป็นดอกไม้เชยๆ แต่ก็นับว่าเป็นของเล่นที่ราคาแพงในสมัยนั้น ต้องมีตังค์หน่อยถึงซื้อให้ลูกขี่เล่นได้

         ต้นข้าวเอาหมูกระดาษสีแดงขึ้นไปเก็บบนห้องนอนตัวหนึ่ง ส่วนอีกตัวหนึ่งเอาใส่ถุงกระดาษโชคดี แล้วถือออกจากบ้านไปโรงเรียนด้วย

         วันนี้น่าจะเจอกับจิวแล้วสินะ จะเป็นยังไงบ้างไม่รู้ เมื่อคืนนอนคิดถึงทั้งคืน และต้นข้าวก็ไม่รู้จะขอบคุณจิวยังไง  ก็เลยคิดว่าจะเอาหมูกระดาษออมสินสีแดงตัวนี้ไปฝาก จิวคงจะเห็นว่าแปลกดี และคงชอบมัน

         เมื่อถึงห้องเรียน ต้นข้าวมองไปหลังห้อง เห็นจิวนั่งเล่นที่โต๊ะอยู่แล้ว จึงวางกระเป๋าแล้วเดินเข้าไปหา

         "จิว" ต้นข้าวเรียก

         "แว่น..." จิวเงยหน้าขึ้นมาแล้วเรียกชื่อบ้าง

         ".........."

         หลังจากนั้นคือความเงียบระหว่างสองคน แล้วต้นข้าวเป็นคนเริ่มก่อนอีกครั้ง

         "จิว มาแต่เช้าเชียว มึงเป็นไงบ้างอ่ะ เมื่อวานโดนอะไรไหม"

         จิวหัวเราะตาหยี ก่อนบอกว่า "โอ้ย สบาย หายห่วง ไม่มีอะไรเลย เรื่องมันยาวน่ะ ไว้เล่าเย็นนี้ทีเดียวเลยนะมึง"

         "แน่นะ มึงโอเคนะ" ต้นข้าวยังแอบห่วงอยู่

         "โอเค๊ โอเคซิ มือชั้นนี้แล้ว" ตี๋หล่อเงยขึ้นมาสบตา

         "โอเคก็ดีแล้ว  ว่าแต่..." ต้นข้าวเหมือนอยากจะถามอะไรสักอย่างกับจิว

         ---แก๊งๆๆๆ--- เสียงระฆังตีเรียกเข้าแถวเคารพธงชาติดังถูกเวลาพอดี


         หลังจากนั้นทั้งวันแห่งการเรียนหนังสือ ต้นข้าวกับจิวก็ต่างวุ่นวายกับการเรียนใหม่ จิวไม่ได้มานั่งเบียดข้างต้นข้าวเหมือนเคย กลางวันพักเที่ยงก็ไม่เจอกัน จนถึงเวลาเลิกเรียน จิวเดินเข้ามาหาต้นข้าวที่โต๊ะ

         "แว่น มึงรีบกลับป่ะ" ตี๋หน้าใสถามต้นข้าว

         "ก็ไม่นะ มีอะไรหรือเปล่า"

         "มึงไปรอกูที่ร้านน้ำปั่นได้ไหม ตอนหกโมงกว่านิดหน่อย กูจะตามไปเจอมึงที่นั่น"

         "ได้สิ เดี๋ยวกูไปนั่งทำการบ้านที่นั่นรอเลยละกัน"

         "โอเคนะ กูไปก่อนล่ะ"

         "เออ เจอกันมึง" ต้นข้าวมองตามหลังจิวไป ถึงจะสงสัยว่า อะไร ทำไม ยังไง ฯลฯ มันก็ดูมีหลายคำถามเหลือเกิน เดี๋ยวเจอกันคงได้รับคำตอบหมดล่ะนะ


--------------------------------

 
         โชคร้ายสุดท้ายของวันนี้ก็คือ เจ๊น้ำปั่น เดินมาบอกต้นข้าวที่โต๊ะหลังร้านตอนห้าโมงครึ่งว่า จะขอปิดร้านเร็วหน่อยวันนี้ จะไปงานศพ

         ต้นข้าว ซึ่งทำการบ้านเสร็จพอดีที่ร้านน้ำปั่น เลยหมุนเคว้ง เอาไงดีหว่า นัดจิวไว้แล้ว หน้าร้านก็ไม่มีที่นั่งซะด้วย

         ต้นข้าวยืนลังเลหน้าประตูร้าน สักครู่ก็นึกอะไรออก จึงหยิบกระดาษแผ่นเล็กๆ ขึ้นมา แล้วใช้หมึกซึมเขียนคำสั้นๆ แล้วเหน็บไว้ที่ข้างประตูร้านน้ำปั่นนั่น

         สมนึก มาถึงหน้าร้านน้ำปั่นตอนหกโมงสิบนาที ประตูร้านปิดสนิทแล้ว แต่ได้เห็นกระดาษใบเล็กๆ สะดุดตาเหน็บอยู่ จึงดึงออกมาอ่าน มีข้อความสั้นๆ ว่า

         "ไปเจอกันที่เดิม /แว่น"

         ที่เดิม! มันที่ไหนกันหว่า สมนึกลังเลอยู่แค่พริบตาเดียว ก็นึกออกว่าที่เดิมนั่นมันคือที่ไหน

         --ตึกมาบุญครอง ที่กำลังสร้าง--

 
--------------------------------


         จิว เดินกึ่งวิ่งจนมาถึงแยกปทุมวัน เมื่อท้องฟ้าเริ่มใกล้มืดแล้ว แต่ยังพอมองเห็นอะไรอยู่บ้าง ภาพที่เห็นข้างหน้าตอนนี้ ทำให้จิวต้องหยุดนิ่งตกตะลึง

         มันไม่ใช่ลานโล่งที่มีปั่นจั่นตอกเสาเข็มเหมือนเดิมที่เคยมานั่งดูแล้ว แต่มันกลายเป็นสิ่งก่อสร้าง ที่เป็นอาคารขนาดใหญ่มาก มากกว่าเท่าที่เคยมีมาก่อนเลยในกรุงเทพฯ มาปรากฎอยู่ตรงนั้นแทนที่

         อาคารสูงขึ้นไปถึงแปดชั้น แต่ละชั้นแยกกันเห็นได้ชัดเจนจากระยะไกล เพราะรอบอาคารแบ่งเป็นริ้วๆ ตามชั้น บุผนังรอบนอกบางส่วนบ้างแล้วด้วยแผ่นหินอ่อนสีขาว และตามพื้นรอบตึกยังมีตู้คอนเทนเนอร์ที่เปิดอ้าไว้ เห็นแผ่นหินอ่อนจำนวนมหาศาลวางรออยู่ ไม่มีใครเคยเห็นอาคารที่ต้องใช้หินอ่อนเยอะมากขนาดนี้มาก่อนในประเทศไทย!!

         ---นี่มัน "นครหินอ่อนใจกลางเมือง" โดยแท้---

         "จิว"

         เสียงคนเรียกเบาๆ ข้างหลัง จิวหันไป เห็นต้นข้าวยืนเอียงคอมองอยู่

         "ตึกใหญ่เนอะ ใหญ่กว่าที่คิดไว้มากเลยอ่ะ" จิวพูดกับคนข้างหลัง

         "เดินไปตรงซอยข้างๆ นี่กันจิว มีม้านั่งอยู่อ่ะ เราเข้าไปใกล้ตึกกว่านี้ไม่ได้ล่ะ" ต้นข้าวแนะ

         เมื่อทั้งสองเข้ามาถึงในซอยที่ว่านั่นแล้ว ก็พากันนั่งลงไปบนม้านั่งตัวเดียวกัน นั่งแหงนคอมองอาคารที่กำลังก่อสร้างตรงหน้า  ต่างคนต่างเงียบ ยังไม่มีใครพูดอะไรออกมา

         "เอาเรื่องอะไรก่อนดี" ในที่สุดจิวเป็นฝ่ายหันมายิ้มๆ ก่อน

         "เรื่องครูฝ่ายปกครองก่อนแล้วกัน" ต้นข้าวร้อนใจเรื่องทางบ้านของจิว เลยแนะขึ้นมา

         จิว หัวเราะออกมาก่อน แล้วเริ่มต้นเล่าให้ต้นข้าวฟัง

         วันเปิดเทอมวันแรก จิวออกจากบ้านเช้ามาก เพราะหนวกหูบ้านข้างๆ ที่มีงานบุญอะไรสักอย่าง แล้วพ่อของจิวก็ดันไปช่วยงานตั้งแต่ตีห้า แต่ไม่ได้ไปช่วยทำงานนะ ไปช่วยเขานั่งกินเหล้า ผลคือเมาปลิ้นตั้งแต่ยังไม่สว่าง เสียงดังล้งเล้ง

         จิวขึ้นรถเมล์มาจากบ้าน พอจะลง เบียดกับอาแปะคนหนึ่งตรงประตูรถ เข่งใส่ผักที่อาแปะขนขึ้นประตูรถเมล์ มาบาดแขนซ้ายของจิว ทีแรกจิวเห็นว่าไม่ลึกมาก เลยเอาผ้าเช็ดหน้ากดไว้ แล้วเดินขึ้นห้องเรียน เอากระเป๋านักเรียนไปสอดเก็บไว้ใต้ลิ้นชักข้างโต๊ะต้นข้าว เพราะคิดว่าวันนี้จะมานั่งด้วยกัน

         แต่พอหลังจากนั้นจิวไปห้องพยาบาล ปรากฎว่าแผลลึกกว่าที่คิด ครูเลยพาไปเย็บแผลสองเข็มที่โรงพยาบาลข้างๆ พอเย็บเสร็จ ก็สายมากแล้ว พอกลับขึ้นห้องเรียน ถอดรองเท้าหน้าห้อง ก็ได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับต้นข้าวนี่แหล่ะ

         "อ้าว แล้วทำไมมึงต้องช่วยกูล่ะ" ต้นข้าวขัดขึ้นมา

         "กูไม่อยากให้มึงลำบากใจ วุ่นวายไปถึงที่บ้านมึงไงแว่น กูเป็นห่วงมึง รูปโป๊งรูปโป๊อะไรวุ่นวายไปหมด"

         จิวยังเรียกชื่อเก่าต้นข้าว เป็นเพราะความเคยชิน

         "ไม่เข้าใจอ่ะจิว  แล้วยังไง มึงมารับแทน มึงก็โดนเรียกผู้ปกครองเหมือนกันอยู่ดี" ต้นข้าวซักต่อ

         "ฮ่าๆๆ มึงนี่ไม่เข้าใจ ฮ่าๆๆ เรียกผู้ปกครอง?? เรียกอาป๊าขี้เมา ที่เมาแป๋ตั้งกะตีห้าของกูนี่นะ!!"

         "อ้าว เออจริง" แว่นเริ่มนึกอะไรได้ลางๆ "แล้วตกลงพ่อมึงมาไหม"

         "มาดิ กูให้มาทั้งเมาๆ นั่นแหล่ะ แม่งจะได้จบๆ มึงทายซิ ว่าครูกะพ่อกู ใครคุยรู้เรื่องกว่าใคร  ป๊ากูคุยตอนเมาๆ ซะจนจบข่าวเลย ฮ่าๆๆ"

         "จบยังไง"

         "ก็ป๊ากูเมาแล้วอ้อแอ้ไปเรื่อยเปื่อย ไปฟ้องครูว่ากูไม่ชอบช่วยงานขายของที่บ้าน บอกกูอู้งาน แต่ชอบไปสุงสิงกับพวกแผงขายรูปถ่ายดาราที่เป็นแผ่นๆ เคลือบพลาสติกไง ข้างๆ แผงขายรองเท้าฟองน้ำของป๊ากู แกว่ารูปโป๊ที่หล่อๆ นี่เป็นดาราทั้งนั้น ในแผงนั่นมีเต็มเลย ครูจะเอาบ้างไหม จะให้กูไปหาซื้อมาให้ครูฟรีๆ แกเมาพูดมั่วจับแพะชนแกะไปเรื่อย แกเคยเห็นรูปดาราพวกนั้นซะที่ไหนล่ะ"

         พูดถึงตรงนี้ ต้นข้าวเริ่มขำ ยิ้มออกมา

         "ครูเลยอ่อนใจเรื่องรูปโป๊  เลยมาเล่นเรื่องกางเกงลิง  ปรากฎว่าไงรู้ไหม  พ่อกูดันใส่เกงในแอปเปิ้ลเหมือนกันอีก แกว่ากางเกงลิงตัวนี้เป็นของแกเอง แล้วหัวเราะเอิ้กอ้าก เอามาโบกใส่หน้ากูอีกนะ ไอ้ห่า เหม็นขื่นๆ เค็มๆ จะตายห่า" จิวเล่าเป็นฉากๆ

         "เฮ้ยย เดี๋ยวนะ กลิ่นมันเหม็นขื่นๆ เค็มๆ เหรอ ทำไมกูคุ้นๆ วะ ว่าได้กลิ่นแนวๆ นี้มาแหม่บๆ ที่ไหนหว่า"

         "ที่ไหนวะ มึงนึกซิแว่น"

         "ห้องกู!! เดี๋ยวนะ ใช่ๆๆ ห้องกู วันที่ไอ้ดิเรกมาขอนอนห้องกูเนี่ย เชี่ยเอ้ย ใช่แล้ว ไอ้เหี้ยดิเรก"

         "ห๊าาา จริงเหรอ  งั้นซองรูปโป๊นั่น ก็เป็นผลงานมันด้วยอะดิ" จิวเดาทางต่อ

         "ใช่ล่ะ  แมร่งจริงๆ ด้วย" ต้นข้าวเริ่มขำออกแล้ว หลังจากทุกอย่างกระจ่าง

         "มิน่าล่ะ ตอนเช้ามืดมันออกจากบ้านกูไป แม่งเดินหนีบกระมิดกระเมี้ยน ที่แท้แม่งไม่ได้ใส่กางเกงในไปลงเรือกลับบ้านนี่เอง"

         "ฮ่าๆๆๆ..."

         หนุ่มน้อยสองคนหัวเราะขึ้นพร้อมๆ กัน บรรยากาศคลี่คลายลง  ตอนนั้นมืดสนิทแล้ว  แต่มีโคมไฟบนถนนส่องอยู่ห่างๆ พอมองอะไรเห็นได้ลางๆ

         แล้วบรรยากาศเงียบก็เข้ามาอีกครั้งหนึ่ง  จนต้นข้าวทนไม่ไหว เริ่มก่อนว่า

         "จิว แล้วเรื่องเทปคาสเซ็ท คือยังไงอ่ะ"

         จิว นิ่งไปสักครู่ มองหน้าต้นข้าว

         "แว่น กูไม่รู้จะพูดยังไงดี ตอนแรกกูอยากลองคบกับดาริน เพราะสวยน่ารักดี  แต่พอกูรู้จักจริงๆ แล้ว มันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดว่ะ กูกลับเฉยๆ กูก็งงตัวเองเหมือนกัน"

         ต้นข้าวมองหน้าจิวนิ่งๆ ไม่ได้พูดอะไร รอให้จิวเล่าต่อเอง

         "กูกลับรู้สึกว่า ถ้ากูจะมีแฟน กูอยากมีแฟนที่สนุกๆ ว่ะ เข้ากับกูได้ กูอยู่ด้วยแล้วมีความสุข ทำเหี้ยทำห่าอะไรก็ได้ วิ่งขึ้นวิ่งลงได้ เอาไว้คิดถึงได้ เดินกินลูกชิ้นกับกูได้ ไม่ต้องมานึกก่อนว่าควรจะต้องทำอะไร หรือทำตัวยังไงอ่ะ"

         "มึงพูดอย่างกับมึงเคยมีแฟนมาหลายคนแล้วแน่ะ ถึงจะเลือกได้ว่าแบบไหนดี แบบไหนไม่ดี"

         "แว่น มึงก็รู้ว่ากูยังไม่เคยมีแฟน แต่กูก็มีตัวเลือกในใจกูเหมือนกันนะ ว่ากูอยากเป็นแฟนใคร"

         "ใคร..."

         "ก็มึงไง แว่น" จิวทำหน้าจริงจัง

         "กูถึงเอาเทปคาสเซ็ทนั่นมาแอบยัดใส่กระเป๋ามึงก่อนวันไปแดนเนรมิตไง  เพราะกูอยากให้เทปเพลงนี้กับมึงมากกว่า  แต่กูคิดว่ามึงยังไม่เห็นเทปนั่นในกระเป๋ามึงแน่ๆ เพราะเห็นมึงเฉยๆ ไม่หือไม่อือกับกู"

         ต้นข้าวมองหน้าจิวนิ่งๆ แต่ทำไมก็ไม่รู้ เก้าอี้ม้านั่งเหล็กที่นั่งอยู่ มันเริ่มนิ่มขึ้นมาอีกแล้ว เหมือนตูดจะลอยๆ บนอากาศ ไม่ติดเก้าอี้ และดูเหมือนกำลังจะมีกลีบดอกกุหลาบโปรยลงมาที่หัว

         "แว่น มึงชอบกูบ้างหรือเปล่า มึงบอกกูซิ"

         "กู เอ่อ กู..." ต้นข้าวเริ่มตะกุกตะกัก

         "มึงบอกกูมาเถอะ มึงกะกูก็ไม่เคยมีแฟน กูไม่รู้หรอกว่าต้องทำตัวยังไงตอนมีแฟนด้วยซ้ำ  แต่กูรู้สึกว่ากูอยากอยู่กับมึงแบบนี้อ่ะ กูสบายใจ"

         "กู กู กูก็ชอบมึงอ่ะ จิว" ต้นข้าวก้มหน้า

         "เยสสสสส~" จิวร้องออกมาดังๆ

         "จิว แต่กูไม่รู้นะ ว่าเค้าเป็นแฟนกันยังไง ทำอะไรยังไงกูยังทำไม่เป็นเลยอ่ะ"

         "มึงก็เป็นอย่างงี้ไปแหล่ะ กูชอบมึงเพราะเป็นแบบนี้ ไม่ต้องมาทำเรื่องอื่นหรอก" จิวย้ำ

         "แล้วมึงคิดว่า คนอื่นเค้าจะคิดยังไง สายตาคนอื่นเค้าจะมองยังไงอ่ะ ถ้าเราเป็นแฟนกัน"

         "สายตาใครจะมองยังไงก็ช่างแม่ง ใครเค้าใช้ตามองกัน เอางี๊..."

         จู่ๆ จิวก็ดึงแว่นตาหนาเตอะของต้นข้าวออกไปจากหน้า  ต้นข้าวสายตาสั้นมากถึง 700 พอถอดแว่น ทุกสิ่งก็ลางเลือนหมด

         "อ่ะ มึงบอกกูสิแว่น ว่าตอนนี้ กูหลับตาหรือลืมตาอยู่" จิวตั้งคำถาม

         "ถ้าให้กูตอบ กูคิดว่ามึงลืมตาอยู่ เพราะมึงต้องจ้องมองจะรอคำตอบกู ใช่ไหม"

         "ใช่แล้วแว่น เห็นไหม มึงมองไม่เห็น มึงยังตอบได้ เรื่องความรักนี่ ใครเค้าใช้ตามองกัน เค้ามองกันด้วยหัวใจเว้ย" เสียงจิวฟังดูสดใส แล้วพูดต่อว่า

         "อ่ะ นี่ของมึง"

         คำว่า -ของมึง- ที่จิวพูด ไม่ใช่แว่นหนาเตอะที่จะใส่คืนให้ แต่มันเป็น...

         จิวโน้มตัวเข้ามาใกล้ใบหน้าต้นข้าวที่กำลังมองทุกสิ่งพร่าเบลอ แล้วจิวก็เอียงคอ ประทับรอยจูบลงไปที่ริมฝีปากต้นข้าว ริมฝีปากทั้งสองแตะกัน แผ่ว บางเบา ชั่วครู่ แล้วถอนออกช้าๆ

         เป็นจูบที่บริสุทธิ์ จูบแรกแห่งวัย

         จิวเอามือข้างหนึ่งวางลงไปที่เข่าของต้นข้าว

         "แว่น สัญญากะกูก่อนนะ มึงกับกูต่างคนก็ไม่เคยกับเรื่องแบบนี้  สัญญาก่อนนะว่าเราจะลองเดินไปด้วยกัน จับมือกันไป ผิดถูกช่างมัน ถ้ามึงมองไม่เห็น กูก็จะจูงมึง และถ้าวันไหนกูล้ม มึงก็ดึงกูขึ้นนะแว่น สัญญานะ"

         "อื่อ สัญญา" ต้นข้าวมองหน้าจิวอย่างจริงใจ

         บนท้องฟ้ามีเสียงครืนๆ เหมือนฝนจะตก และช่วงเวลานั้นเอง มีฟ้าแลบใกล้ๆ ส่งประกายสว่างมากระทบผนังหินอ่อนสีขาวของอาคารยักษ์ข้างหน้า และมันก็สะท้อนวูบกลับ สว่างวาบไปทั่วบริเวณนั้นแวบหนึ่ง รวมทั้งตรงที่หนุ่มน้อยสองคนนั่งอยู่ด้วย

         ตรงที่สองคน กำลังสัญญา...หน้าตึกมาบุญครอง
 

--------------------------------

 
อาคารมาบุญครอง (MBK)
ขณะกำลังก่อสร้างขึ้นไปถึงชั้น ๘ ในปลายปี พ.ศ. ๒๕๒๗


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/907814275-member.jpg)

 
หมูกระดาษออมสิน ป้าจา ซอยชุมชนวัดประยูรฯ ฝั่งธนบุรี

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/171675719-member.jpg)

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/160124714-member.jpg)

 
ตัวอย่าง ถุงโชคดี


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/1937506241-member.jpg)


หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๘ : หมูกระดาษออมสินสีแดง
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 05-01-2017 15:55:21
ตามต่อ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ถุงกระดาษโชคดี หมูกระดาษออมสิน
ย้อนอดีตวันวานจริงๆ
                ❤️❤️
ไรท์ ช่วยลงวันที่ ที่ลงตอนใหม่ด้วยน้า
คนอ่านสับสนไม่รู้ที่ลงเป็นตอนใหม่
คิดว่าเป็นตอนเก่า เพราะไม่ลงวันที่
เช่น  MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๘ : หมูกระดาษออมสินสีแดง+++ หน้า๒++++ (๕/๑/๒๕๖๐)
ขอบคุณค่ะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๘ : หมูกระดาษออมสินสีแดง
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 05-01-2017 16:05:50
"ถ้าเจ้าส่วนหน้าตรงกลางลำตัวของตัวเองไม่อวบหนาใหญ่ยาวพอที่จะมีน้ำหนักถ่วงไว้ละก็ ดิเรกคงหงายเงิบลงไปกับเตียงแล้ว" โอ๊ยฮาประโยคนี่อะ ถึงกับต้องอ่านซำ้อีกรอบ   :laugh: :laugh:
ดิเรกน่าสงสารเหมือนกันนะเนี่ย คงตกใจน่าดู
 :hao7: :hao7:

= เขียนเองยังแอบขำเองเลยค่ะ อิอิ


:L2: :L1: :pig4:

มองมาสักพัก เพิ่งได้เข้ามาอ่าน
ทำไมบางอย่างเรารู้จัก 55 นี่คือเราแก่แล้วใช่ไหม

รอติดตามแว่น ต้นข้าวสิเนาะ

= วัยเยาว์ อยู่ในใจเราเสมอ ขอบคุณมากๆ นะคะ


❤️ HAPPY NEW YEAR 2017 ❤️
สวัสดีปีไหม่ ๒๕๖๐
ขอให้ไรท์ มีความสุข มากๆ
。◕‿◕。
แว่น จิว หรือ จิว แว่น  :mew1: :mew1: :mew1:
ดิเรก เอก  :mew1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

= สวัสดีปีใหม่นะคะ


มาเจอกันซักหน่อยม่ะ..ดิเรก
รู้สึกว่าจะคุยโวโอ้อวดซะเหลือเกินนะ

ไปหยิบไม้บรรทัดมาวัด
ตัวต่อตัวกันเลย

กล้าป่ะล่ะ
อิอิ

= โอโห ผู้อ่านสุดหล่อของเราก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน 555+


ดื่มด่ำเต็มอารมณ์จริงๆ
อิโรติกนี้สวยงาม

โลกใหญ่กว้าง อย่างสนใจ ไร้เดียงสา
เฝ้าเพียรถาม ท้องฟ้า กว้างใหญ่ไหม
อยากรู้ว่า ทะเล ลึกเพียงใด
เด็กสงสัย ใคร่รู้ อยู่ทุกวัน

วันนั้นเราจะเติบโต
เน๊าะ จิว+แว่น

= วันนี้เราคิดอย่างหนึ่ง แต่พอพรุ่งนี้มันอาจไม่ใช่ก็ได้เนอะ //ขอบคุณมากนะคะ


:jul1:

เฮือกก! เป็นการเล่าความคิดถึงที่สยิวกี๊วมาก
แงมๆ เราว่า ไม่น่าจะมีคำว่า"ลีน"นะ มันดูไม่เข้ากับบริบท หรือเราคิดมากไป

= ขอบคุณมากๆ นะคะ แก้ไขให้ตามคำแนะนำแล้วนะคะ


:hao7: :hao7: :hao7:

= อิอิอิอิอิ  :hao6:


เวรกรรม :katai1: ไอ้เพื่อนเวง

ดีใจที่มาต่อไว (นั่งเกาะขอบจอ)

= เพื่อนเราทำไว้แสบจริงๆ ค่ะ 555+


เฮ้ยยยยยยย
อะไรมันจะซวยขนาดนั้น

อุตส่าห์ทำหล่อมาตั้งแต่เช้า
หมดกัน

ถ้าเป็นเรา..จะทำไงหว่า
นึกอะไรไม่ออกจริงๆ

อ่านแล้วสงสารต้นข้าว อิ๋บอ๋าย
ไอ่จิวมันจะรังเกียจเพื่อนคนนี้ไปด้วยหรือเปล่า

กาซิก

= เก๊กหล่อไว้อย่างดี หมดกัน!!!


  เพิ่งเข้ามาอ่านคับ สนุกมากๆ
  ขำของฝากของดิเรก ต้นข้าวจะทำยังไงน่ะ รออ่านตอนต่อไปคับ 555

= ขอบคุณมากๆ นะคะ ที่ติดตามกันค่ะ


จิวจ๋า..อยู่ไหน


รีบมาช่วย..เป็นกำลังใจให้กับต้นข้าวโหน่ยยยยย
คนรักของจิวกำลังจะอ่อนแอ

ช่วยนะ

+1 คนแต่งนิยายตอนนี้

= ขอบคุณมากๆ นะคะ น่ารักที่สุด


ต้นข้าว 555 โชคดีจิวเป็นฮีโร่ แล้วทางบ้านจิวจะว่ายังไงล่ะทีนี้
  รออ่านตอนต่อไปคับ

= รอลุ้น และเอาใจช่วยนะคะ


เหมือนมีหมุด สุดดอก ตอกเต็มลิ่ม
ยิ่งกว่าทิ่ม แทงเข็ม เล่มหมื่นแสน
ยกทั้งใจ อยากได้ มาเป็นแฟน
อยากอยู่ใน อ้อมแขน กอดแน่นกัน

เป็นฮีโร่ สุดหล่อ ขอความรัก
ให้รู้จัก สีชมพู ดูเคลิ้มฝัน
ใจตรงใจ ตาตรงตา หาแต่กัน
จะนรก หรือสวรรค์ ฉันจะไป

น่าฮักขนาดเน๊าะ
มายจิว

ขอเหอะ ยกให้เราได้ไหม ต้นข้าว
จะให้เอาอะไรมาแลกก็ยอม

ยอมหมดเลย
ถ้าได้จิว
 :haun4:
อิอิ

= นี่คนเขียนก็หลงรักจิวเหมือนกัน ต้องแย่งกันนิดนึงนะคะ 555+


อร๊ายยยยยยยยยยยยยย   :mew1: :mew1:

= อิอิอิอิอิอิ......


:hao5:

พ่อจิวไม่ค่อยโอด้วย จากออร่าชมพูม่วง จะกลายเป็นมาคุอะดิ

 :L2: :L1: :pig4:รักคนเขียนมาติดๆกันเลย (ได้โปรดอย่าหมดไฟแล้วหายไประหว่างทาง เรากลัว)

= ไม่หายไปไหนแน่นอนค่ะ ขอบคุณมากๆ นะคะ


ตามต่อ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ถุงกระดาษโชคดี หมูกระดาษออมสิน
ย้อนอดีตวันวานจริงๆ
                ❤️❤️
ไรท์ ช่วยลงวันที่ ที่ลงตอนใหม่ด้วยน้า
คนอ่านสับสนไม่รู้ที่ลงเป็นตอนใหม่
คิดว่าเป็นตอนเก่า เพราะไม่ลงวันที่
เช่น  MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๘ : หมูกระดาษออมสินสีแดง+++ หน้า๒++++ (๕/๑/๒๕๖๐)
ขอบคุณค่ะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ขอบคุณมากๆ สำหรับคำแนะนำค่ะ อิอิ ขออภัยมือใหม่ ครั้งหน้าจะปรับปรุงนะคะ //น่ารักที่สุด  :impress2:


หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๘ : หมูกระดาษออมสินสีแดง +++หน้าสอง+++ (๕/๐๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 05-01-2017 17:16:52
จิวเป็นไรแน่ๆ เลยอะ   :mew4: :mew4:
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๘ : หมูกระดาษออมสินสีแดง +++หน้าสอง+++ (๕/๐๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 05-01-2017 22:41:39
มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่ๆ
ไม่ใช่แค่ยิ้มตาหยี..ส่งมาให้เพื่อกลบเกลื่อนบางอย่าง

รักของสองคนนี้
คงจะยุ่งอีกนาน
เหนื่อยยิ่งกว่าวิ่งมาราธอน
ไปยังภูเขาโอลิมปัส
หึหึ
 :hao7:

+1 จ้า
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๘ : หมูกระดาษออมสินสีแดง +++หน้าสอง+++ (๕/๐๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 06-01-2017 05:31:54
:impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๙ : นครหินอ่อนเป็นพยาน +++หน้า ๓+++ (๖/๐๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 06-01-2017 05:46:16
โอ้......สัญญาหน้าตึกมาบุญครอง
นครหินอ่อนเป็นพยาน
เอิ่ม.....ฟ้าฝนเป็นพยานอีกแรง
รักนี้ยืนยาวแน่แท้   :L1: :L1: :L1:
จิว นายกล้ามาก  :mew1: :mew1: :mew1:
ต้นข้าว ตอบรับฉับไว ดีมาก ถูกใจ ไม่เรื่องมาก :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
มีจูบประทับยืนยันซะด้วย  :ling1: :ling1: :ling1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๙ : นครหินอ่อนเป็นพยาน +++หน้า ๓+++ (๖/๐๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 06-01-2017 11:12:30
อร๊ายยยยยยยย เป็นแฟนกันแล้ว   :mew1: :mew1: :mew1:
โล่งอกที่ไม่มีเรื่อง
 :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๙ : นครหินอ่อนเป็นพยาน +++หน้า ๓+++ (๖/๐๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 06-01-2017 13:03:35
แสนนุ่มนวล ชวนให้เคลิ้ม ประเดิมรัก
เพิ่งรู้จัก ไม่มักคุ้น ชวนลุ้นฝัน
หนึ่งคือหนุ่ม ชวนอีกหนุ่ม กุมใจกัน
พร้อมมุ่งหน้า จะฝ่าฟัน ไม่หวั่นเกรง

อูยยยย อ่านตอนนี้แล้ว
คนอ่านใจแตก อยากจะหาคนมาสัญญากันบ้าง
 :pighaun:

ตึกไหนกำลังจะสร้าง
มีอีกไหม
จะได้ขอให้มาเป็นพยาน
อิอิ
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๙ : นครหินอ่อนเป็นพยาน +++หน้า ๓+++ (๖/๐๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 07-01-2017 01:57:57
  ชอบตอนนี้จัง บรรยายได้ซึ้งถึงความรักที่ออกจากใจของทั้งคู่
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๙ : นครหินอ่อนเป็นพยาน +++หน้า ๓+++ (๖/๐๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: zipboy ที่ 07-01-2017 02:35:36
ผมอ่านแล้วชอบมากเลยครับ ห้างนี้เป็นห้างโปรดผมสมัยผม ม.ปลาย และเป็นความทรงจำส่วนสำคัญของความรักตัวเองด้วย

อ่านแล้วยิ้ม คิดถึงมาก ถึงผมจะไม่ได้แก่เท่าเนื้อเรื่องที่เขียนมา แต่ช่วง 10-15 ปีที่ผ่านมาของผม ก็ MBK นี่แหละครับ ที่ให้ผมกับแฟนเดินเล่น กินข้าว ดูหนัง และโซนโปรดผมคือชั้น 4 ถ้าไม่ลากผมออก ก็น่าจะอยู่ตั้งแต่เปิดยันปิดห้างได้แน่นอน

แถมบางช่วงมีกล่าวถึงแถวบ้านผมด้วย ที่ชอบสุดคือ หลายสิ่งในเรื่อง ถึงจะเก่ากว่าวัยตัวเอง แต่ก็ตรงกับสมัยที่ผมกับแฟนผมเริ่มคบกันใหม่ ๆ ความไม่ไฮเทคในบางอย่าง ความที่ต้องรอ ความรู้สึกที่ไม่ฉาบฉวยเวลาเราจะรักกัน (ถึงยุคผมจะเริ่มเป็นยุค WWW กับ ฟองสบู่ .com แล้วก็ตาม) มีความ Analog หลายสิ่งที่ผมกับแฟนก็ยังทันได้สัมผัสอยู่บ้าง ถึงจะไม่สุด ๆ แบบในเนื้อเรื่องนี้ก็ตาม

สนุกครับ รออ่านจิวกับต้นข้าวต่อไปนะครับ^^
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๑๙ : นครหินอ่อนเป็นพยาน +++หน้า ๓+++ (๖/๐๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 07-01-2017 06:36:54

MBK❤lover


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/1587241796-member.jpg)


ตอนที่ ๑๐ : ค่ายรบค่ายรัก

 
         "หืม ฝนจะตกหรือ" ต้นข้าวเงยขึ้นไปมองท้องฟ้า

         "ไม่น่าตกมั้ง มันร้องไปงั้นแหล่ะ ฟ้าไม่แดงซักหน่อย" จิวแหงนขึ้นไปมองตาม

         "เออ นี่แว่น กระเป๋ามึงอ่ะ มาเปลี่ยนคืนกันไหม กระเป๋านักเรียนของกูนั่นน่ะมันแคบ กูเอาคลิปหนีบไว้ มึงคงใส่หนังสือไม่ได้หรอก"

         จิว ส่งกระเป๋านักเรียนใบที่เกิดเรื่องของต้นข้าวเมื่อวาน ยื่นคืนมาให้ตรงหน้า ต้นข้าวเลยเปิดกระเป๋าของจิวที่ตัวเองถือใช้มาวันนี้ แล้วสลับของของตัวเองใส่กลับเข้าไป แล้วยื่นให้จิว

         "อ่ะ เรียบร้อย ของมึง แล้วนี่ไอ้พวกรูปโป๊นั่นไปไหนแล้วอ่ะ หรือครูยึดไว้" ต้นข้าวสงสัย

         "ครูเผาทิ้งไปแล้วหลังจากพ่อกูกลับ ครูบอกว่าของซวยๆ แบบนั้นไม่ควรมาอยู่ในโรงเรียนน่ะ เผาต่อหน้ากูเลย" จิวเล่าหน้าเซ็งๆ

         "แล้วนี่น้าเดียร์อะไรของมึงเค้าจะว่าไหมอ่ะ ของเค้าโดนเผาไปแล้ว" จิวถามต่อ

         "โอย ไม่ว่าหรอก เค้าคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าของมันมาส่งบ้านกูเนี่ย  ไม่งั้นน้าเดียร์แกคงแวะมาตามเอาไปแล้วสิ  นี่มันผ่านมาสามสี่เดือนละนะ"  ต้นข้าวอธิบาย

         "อืม ก็ดี โอเค" จิวพยักหน้าหงึกๆ

         "เอ่อ เอ่อ แล้วไอ้กางเกงในแอปเปิ้ลนั่นอ่ะ ไปไหนแล้ว"  ต้นข้าวยังสงสัยอยู่

         จิวหันขวับมามองต้นข้าว ส่งเสียงสองสูงขึ้นทันที

         "ถูกเผาไปแล้วเหมือนกัน ทำไมเหรอ มึงยังอาลัยอาวรณ์กางเกงลิงไอ้เชี่ยดิเรกนั่นอยู่อีกเหรอ  เฮ้ยๆ ตอนนี้มึงจะเที่ยวไปดม ไปดูกางเกงลิงของใครไม่ได้แล้วนะเว้ย  ต่อไปนี้มึงดม มึงจับกางเกงในของกูได้คนเดียวเท่านั้น"

         "บ้าาาาาาา" ต้นข้าวอุทานเสียงระดับเบอร์สี่ หน้าหล่อๆ หมดจดดังทวยเทพมีเลือดฝาดแดงก่ำขึ้นมาทันที

         "กูอำมึงเล่น ฮ่าๆๆ หน้าแดงแล้วหล่อน่ารักฉิบหายเลยนะมึงเนี่ย...เป็นแฟนกัน เค้าต้องหึงต้องหวงกันป่ะวะ กูก็ไม่เคย ฮ่าๆๆ"

         "หึงแม้กระทั่งกางเกงใน ไอ้บ้าเอ้ย" หน้าต้นข้าวยังไม่หายแดง

         "มึงไม่ต้องมาหน้าดำหน้าแดงใส่กูเลย  เอ้า นี่ของๆมึง กูตั้งใจให้มึงนะ"

         สิ่งที่อยู่ในมือของจิว คือเทปคาสเซ็ท ซึ่งก็คงเป็นตลับเมื่อวาน ที่อยู่ในกระเป๋าต้นข้าวแหล่ะ เพลงที่ช่วยกันอัด ของวงคีรีบูน แต่วันนี้มันใส่กล่องเทปมาด้วยแล้ว มีปกเรียบร้อย ไม่ใช่ตลับล้วนๆ แบบเมื่อวาน

         หากแต่มันไม่ใช่หน้าปกของวงคีรีบูนจริงๆ เพราะเทปนี้เป็นเทปคาสเซ็ทเปล่า ซื้อมาอัดเพลงเอง  แต่ที่จิวส่งมาให้นี่ เป็นปกเทปที่ทำมาจาก ส.ค.ส.โรยกากเพชร  พิมพ์เป็นรูปหมูสีชมพูกำลังยิ้ม

         "ฮ่าๆๆ" ต้นข้าวอดขำจนหัวเราะออกมาไม่ได้ "มึงนี่จริงๆ เลยนะ ขี้เกียจหาปกเทปหรือไง ถึงเอา ส.ค.ส. มาแปะไว้แทนเนี่ย"

         "กูตั้งใจเดินหาซื้อมาให้มึงเลยนะโว้ย ส.ค.ส. รูปหมูเนี่ย เอาไว้เตือนใจมึงด้วยไงแว่น ว่าอย่าแดกมาก แดกลูกชิ้นชุบแป้งทอดทีนึงสี่ห้าไม้ กูกลัวมึงอ้วน กูไม่อยากมีแฟนอ้วนนะ กูกลัวเลี้ยงไม่ไหว" จิวทำตาใสซื่อหวานฉ่ำจ้องตาแว่น

         "งั้นดีเลย  กูก็มีของให้มึงเหมือนกัน กูเห็นแล้วคิดถึงมึง เลยเอามาให้มึงด้วยอ่ะ"

         ต้นข้าว หันไปหยิบถุงโชคดี (ถุงกระดาษสีน้ำตาลพิมพ์ตารางหมากฮอส) ที่ถือติดมือมาด้วยตั้งแต่เช้าจากบ้าน ส่งให้จิวทั้งถุง

         "อะไรวะ" จิวรับถุงกระดาษไป แล้วล้วงลงไปหยิบหมูกระดาษออมสินสีแดงแปร๊ดขึ้นมา

         "ฮ่าๆๆๆ เชี่ยแว่น  หน้าเหมือนมึงเลย หมูเนี่ยยย  น่าร๊ากที่สุด" จิวยกหมูกระดาษมาเทียบกับหน้าของต้นข้าว

         "หยั่มมา!!! มึงเนี่ย~" ต้นข้าวทำหน้ากระเง้ากระงอด

         "แล้วมึงไปเอามาจากไหนเนี่ย ตัวกระจี๊ดเดียวแค่นี้เอง กูเคยเห็นหมูกระดาษแดงๆ แบบนี้แต่ตัวใหญ่บะเร่อบะร่า" จิวถาม

         "แถวบ้านกูไง เค้าทำตัวเล็กๆ ออกมาขาย แม่กูซื้อมา กูเห็นแปลกดี เลยเอามาให้มึงอ่ะ มึงชอบไหม"

         "ชอบสิ เพราะมึงให้อ่ะ ชอบหมดแหล่ะตอนนี้" ตี๋หน้าใสพยายามเก๊กหน้าหล่อใส่ต้นข้าว แล้วพูดต่อ

         "แต่กูไม่รู้จะเอาไปทำอะไรอ่ะดิมึง ตังค์กูก็ไม่ค่อยจะเหลือ แล้วจะเอามาหยอดกระปุกหมูนี่ได้ไง กูมีแต่แบ็งค์กาโม่น่ะ เอามาหยอดได้ไหม" จิวเอามือลูบๆ ตรงร่องหยอดเหรียญหลังหมูกระดาษ

         "มึงก็ไม่ต้องเอาไว้หยอดเงินหรอก  กูก็แค่อยากเอามาให้มึง  เห็นมันครั้งแรกก็คิดถึงมึงก่อนเลย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แบกไปแบกมาทั้งวันเนี่ย" ต้นข้าวถูมือไปมา

         ไม่รู้ว่าเพราะคำว่า --กูก็แค่อยากเอามาให้มึง-- จากปากต้นข้าวนี้หรือเปล่า หมูกระดาษทาสีแดง เขียนลายดอกไม้เอียงโย้เย้แบบเด็กๆ ธรรมดาๆ ในมือจิว ตอนนี้มันเหมือนกลายเป็นหมูที่แกะสลักเจียระไนจากก้อนคริสตัล สวารอฟสกี้ ก้อนใหญ่ๆ ที่มีประกายแพรวพราว แสนงดงาม และล้ำค่าไปแล้ว

         คุณค่าของสิ่งของ มันขึ้นอยู่กับใครเป็นผู้ให้ และใครเป็นผู้รับจริงๆ

         "จิว"

         "หืม"

         "ขอบคุณนะ"

         "ขอบคุณเรื่องอะไร"

         "เรื่องกระเป๋านักเรียนเมื่อวานไง และเรื่องเทปเพลงที่อัดให้กูนี่อีก"

         จิว ขยับตัวเอนพิงพนักม้านั่งให้อยู่ในท่าที่สบายขึ้น เหยียดขาออกไปอย่างสบายอารมณ์ มือข้างหนึ่งวางยาวออกไปบนพนักพิงเก้าอี้  ส่วนอีกมือหนึ่งก็โอบหลังต้นข้าวไปอีกข้างหนึ่ง และเอาหมูกระดาษสีแดงมาเคาะที่หัวไหล่ของต้นข้าวด้านนั้นเบาๆ เป็นจังหวะต่อเนื่องช้าๆ เหมือนกำลังฮัมเพลงอยู่ในใจ

 
         ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันต่อ  สายตาคนสองคนเหม่อมองสูงไปที่อาคารมาบุญครองอีกครั้ง อากาศยิ่งค่ำยิ่งอบอ้าวขึ้น เสียงแมลงกลางคืนอะไรสักอย่างร้องดังหวีดๆ อยู่ไกลๆ สลับกับนานๆ ที มีเสียงแตรรถที่ถนนด้านนอก  และมีเสียงเคาะหมูกระดาษบนไหล่ เบาๆ เป็นจังหวะ ดัง ปุ่กๆๆๆ

         "เอาไว้มันเปิดแล้วเรามาเดินกันนะ ห้างเนี่ย" ต้นข้าวพูดออกมาเบาๆ สายตายังมองอยู่ที่ตึก

         "มาสิ เราเป็นเจ้าของนี่หว่า  ฮ่าๆๆ เหมือนลูกเลย  เห็นมันโตมากับตา  แต่เป็นลูกที่ตัวใหญ่ฉิบ"

         "อื่อ" ต้นข้าวหันไปมองหน้าจิว และลุกขึ้นยืน หยิบกระเป๋า

         "เรากลับกันเถอะ เดี๋ยวรถเมล์หมด" ต้นข้าวบอก

         "อืม ไปสิ"  จิวลุกหยิบของตาม

         "แว่น ไว้ตอนเรามาเที่ยวห้างนี้  มึงให้กูจูงมือมึงแบบแฟน ตอนเรามาเดินเล่นกันนะ" จิวหันมาทำตากรุ้มกริ่มใส่ต้นข้าว

         ต้นข้าวไม่ได้ตอบจิว  เพราะตอนนั้นมัวแต่พยายามเหยียบพื้นดินให้แน่น ตัวต้นข้าวมันเริ่มจะลอยอีกแล้ว และไหนจะพะวงว่ามีกลีบกุหลาบสีชมพูโปรยลงมาที่หัวหรือยัง...
 

--------------------------------

 
         โรงเรียนที่ต้นข้าวและจิวเรียนอยู่ จะมีกิจกรรมเข้าค่ายของนักเรียนระดับ ม.๕  ในส่วนภาคพิเศษของวิชานันทนาการ ซึ่งจะเป็นคะแนนเก็บรวมไว้ปลายปี

         โดยปีนี้ทางโรงเรียนจะจัดกิจกรรมไปเข้าค่ายค้างคืนที่ ค่ายสมรภูมิทุ่งลาดหญ้า จังหวัดกาญจนบุรี (อุทยานประวัติศาสตร์สงคราม ๙ ทัพ - ในปัจจุบัน) เป็นเวลา ๑ คืน โดยแต่ละห้องเรียน จะแบ่งเป็นอีก ๔ กลุ่มย่อย เพื่อแข่งขันกันทำกิจกรรมในค่ายด้วย

         และผลการจับฉลาก จิวกับต้นข้าว ไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกัน

         "หน้ามุ่ยเชียวมึง เป็นอะไรอ่ะจิว" ต้นข้าวหันไปถาม

         "จะอะไรอีกล่ะ กูไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกับมึงไง" จิวตอบหน้าหงิกๆ

         "โถ ก็ไปด้วยกันอยู่ดี แค่ตอนแข่งขันทำอาหารกลางค่ายประกวดกันเท่านั้นเอง ที่ต้องแยกกันทำนี่"

         "แต่กูอยากนอนเต้นท์เดียวกับมึงไง กูอยากนอนกอดมึง กูกลัวในป่ามันยุงเยอะ" จิวตอบหน้ามึน

         "บ้าเหรอ"

         ต้นข้าวหันไปเอ็ดใส่ แล้วค่อยเสียงอ่อนอ้อยลง

         "...แต่ถ้ามีโอกาส กูก็อยากให้มึงมากอดนะ"

         ได้ยินต้นข้าวพูดดังนั้น มือก็ไวเท่าหูทันที จิวโอบมือสองข้างเข้าโถมกอดต้นข้าวทันทีที่โต๊ะนักเรียนนั่นเอง ต้นข้าวดิ้นขลุกขลักไปมา (ดิ้นไม่แรงมาก...)

         "เฮ้ยๆๆ มึงสองคนนี่ยังไงกัน มานั่งกอดกันอยู่ได้ ห่านี่ กลางวันแสกๆ" เสียงราชา ดังขึ้นข้างๆ

         จิวยังไม่ได้ปล่อยมือจากกอดต้นข้าว แต่ต้นข้าวก็แกะมือจิวทั้งสองออก จนเป็นอิสระแล้วตอนนี้

         "แห่ะๆๆ ไอ้สมนึกมันจะกัดหูกูน่ะ มีอะไรอ่ะราชา" ต้นข้าวเงยขึ้นไปถามเพื่อน

         ราชา เป็นเพื่อนในกลุ่ม เป็นลูกครึ่งแขก หน้าคมๆ มีไรหนวดหนาๆ เหมือนคนมีเชื้อหนักไปทางอินเดีย ตามแขนตามขา มีขนทั่วตัวไปหมด บ้านอยู่สี่แยกบ้านแขก ห่างจากบ้านของสมนึกไปสักสองสามป้ายรถเมล์ ที่บ้านมีกิจการนำเข้าลูกปัดและเครื่องประดับทองเหลืองจากเนปาลเข้ามาขายที่พาหุรัด

         ซึ่งในการจับฉลากนี้ ราชาได้อยู่ในกลุ่มเดียวกับต้นข้าว คือกลุ่ม ๓ ส่วนศักดิ์สิทธิ์ หรือเอก ได้อยู่กลุ่มเดียวกับจิวในกลุ่ม ๔  และเนติกับสมพล เพื่อนอีกสองคน ไม่ได้อยู่ในสองกลุ่มนี้ โดนแยกไปอยู่กันคนละกลุ่มที่เหลือ

         "กูมาเรียกมึงไปประชุมลับแยกกลุ่มน่ะสิ เรื่องอาหารของเราที่จะทำแข่งประกวดที่ค่ายอ่ะ มันต้องเตรียมซื้อของไปเลย" ราชาบอก

         "ได้ๆ ไปๆ เดี๋ยวนี้แหล่ะ"

         ต้นข้าวลุกขึ้นยืนเตรียมเดินไป แต่ปลายนิ้วมือที่ไขว้ไว้ข้างหลังยังจับแตะอยู่ที่มือของจิว ซึ่งจิวก็กำมือนุ่มนั้นไว้แน่น ยึกยักยึกยัก สะบัดกันไปมาอยู่สักครู่ กว่าจะปล่อยมือกันออกอย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วก็ต่างแยกย้ายกันไปประชุมเตรียมกิจกรรมที่จะมาถึงนั้น


--------------------------------


         เช้ามืดของวันเดินทาง ต้นข้าวมาถึงโรงเรียนตีห้าตรงเวลา แต่คนที่มาก่อนคือจิว ตี๋หน้าใสมานั่งอยู่ข้างรถ บขส. แล้ว เพราะพ่อขี่รถจักรยานยนต์มาส่งตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง นั่งยองๆ เข่าท่วมหัวทำหน้าจ๋อยๆ อยู่ พอเห็นต้นข้าวเดินมา ก็รีบลุกขึ้นยืน

         "คิดถึงจัง" ตี๋หน้าใสยิ้มตาหยี

         "คิดถึงอะไร พึ่งแยกจากกันเมื่อวาน" ต้นข้าวแกล้งทำมึน

         "ก็คนมันคิดถึงนี่" จิวอ้อยใส่ต้นข้าว

         "เรานั่งรถคันเดียวกันหรือป่าวอ่ะ" ต้นข้าวมองขึ้นไปที่รถ บขส. สีส้มคาดแถบสีเงิน บนหลังคารถมีทั้งถังน้ำโพลาริส ลังกระดาษ หม้อไห เตาอั้งโล่ และเข่งใส่ผักบรรทุกอยู่เต็ม เพดานรถมีพัดลม ส่วนหน้ากระจกรถมีกระดาษขาวเขียนไว้ว่า ลาดหญ้า/๓+๔

         "อื่อ คันเดียวกัน แต่ต้องนั่งแยกฝั่งตามกลุ่มอ่ะมึง" จิวทำหน้ามุ่ยๆ

         "ถ้าต้องแยกกัน งั้นกูไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ ก็แยกกันตรงนี้เลยละกัน" ต้นข้าวบอกจิว

         "อื่อ" จิวมองตามหลังต้นข้าวไป ทำหน้าครุ่นคิด

         จิวเดินขึ้นรถไปก่อน มีคนนั่งเกือบเต็มแล้ว กลุ่ม ๔ ของจิวได้นั่งฝั่งขวา กลุ่ม ๓ ของต้นข้าวนั่งฝั่งซ้าย และตอนนี้มันเหลือที่ว่าง ๒ ที่ทั้งฝั่งขวาและซ้ายตรงข้ามกัน มีทางเดินคั่น

         จิวลงไปนั่งฝั่งขวาของตัวเอง หันไปมองคนที่นั่งอยู่ก่อนริมหน้าต่าง คือเพื่อนในห้องที่ชื่อไอ้เกตุ จิวไม่ค่อยสนิทเท่าไหร่ ไอ้เกตุเป็นหนุ่มตัวอ้วนดำ ตัวใหญ่ หน้าตามึนๆ เหมือนไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไรในโลก

         "ดีเกตุ" จิวทัก

         "ดี" ไอ้เกตุตอบมาแบบมึนๆ แล้วก็หันไปมองนอกรถต่อ ไม่ได้สนใจอะไรจิว

         จิว มองไปที่ไอ้เกตุสักพัก แล้วเอามือปิดปาก...

         "โอ่กกกกก แหวะ" จิวทำท่าจะขย้อน จนไอ้เกตุตกใจ หันมามอง

         "เฮ้ย เป็นอะไรไปมึง"

         "อ้วกกกกก จะอ้วก กูเมารถอย่างแรงอ่ะ" จิวขย้อนอีก

         "นี่รถยังไม่ได้ออกนะ!!" ไอ้เกตุมองนอกหน้าต่างรถแบบ งงๆ

         จิว เงยขึ้นมาแล้ว ก้มลงไปปิดปากต่อ

         "เออๆ กูเมาไว้ก่อนแหล่ะ โอย ไม่ไหวแล้ว ขอกูนั่งริมหน้าต่างหน่อย เผื่อโผล่หน้าออกไปอ้วกอ่ะ"

         ไอ้เกตุ เห็นท่าไม่ค่อยดี เลยขยับตัวสลับที่นั่งกันกับจิว ให้จิวไปนั่งริมหน้าต่างแทน

         "มึงมีผ้าขนหนูไหมไอ้เกตุ" จิวทำหน้าผะอืดผะอม หันมาถาม

         "ไม่มีอ่ะ มึงจะทำไม"  ไอ้เกตุทำหน้าแหยงๆ

         "กูชอบอ้วกเรี่ยราด หันซ้ายหันขวาอ้วกแบบควบคุมไม่ได้อ่ะ เผื่อกูหันไปอ้วกรดใส่มึงไง"

         "เฮ้ย เชี่ยนี่ ยังไงของมึงเนี่ย" ไอ้เกตุร้องโวยวาย

         "ไม่งั้นมึงย้ายไปนั่งฝั่งตรงข้ามนู่นสิ มีที่ว่างอยู่อ่ะ ครูไม่รู้หรอกใครเป็นใคร อยู่กลุ่มไหน" จิวชี้ไปที่นั่งฝั่งซ้ายของอีกกลุ่ม

         ไอ้เกตุ ดูทรงแล้วตัวเองไม่น่าจะปลอดภัยจากระยะอ้วกพุ่ง เลยย้ายไปนั่งอีกฝั่งตามที่จิวบอก ซึ่งทางโน้นเพื่อนอีกกลุ่มที่นั่งอยู่ก่อนแล้วริมหน้าต่างกำลังนั่งหลับสัปหงกอยู่

         ต้นข้าวเดินขึ้นรถมาพอดี เห็นเหลือที่ว่างตรงจิวนั่งอยู่เป็นเบาะสุดท้ายทั้งรถ  แถมไม่ใช่ฝั่งของกลุ่มตัวเองด้วย มองอย่าง งงๆ แต่ก็เดินไปนั่งคู่กับจิว หันซ้ายหันขวาไปมา แล้วถามจิวว่า

         "ทำไมแถวกลุ่มฝั่งกูมันเต็มอ่ะ แล้วตรงนี้ไม่มีคนนั่งหรือ"

         จิวหันหน้ามายิ้มหล่อสดใส ฟันขาวจั๊ว แล้วบอกต้นข้าวหน้าตาเฉยว่า

         "อื่อ ว่าง คนนั่งมันไปอ้วกแตกน่ะ"

         "อ้าวเหรอ" ต้นข้าวยังไม่แน่ใจ หันซ้ายหันขวาอีก

         "มึงนั่งตรงนี้แหล่ะแว่น เออ มึงอยากนั่งริมหน้าต่างไหม จะได้ดูวิวสวยๆ ลมเย็นๆ"

         พูดไม่พูดเปล่า จิวลุกขยับดันให้ต้นข้าวเข้ามาแทนที่โดยไม่ต้องตอบ ต้นข้าวเลยต้องไปนั่งริมหน้าต่าง แล้วจิวย้ายออกมานั่งข้างนอกแทน

         ".............."

         เช้าวันนั้น บนถนนสายมาลัยแมน ที่จะมุ่งตรงไปจังหวัดกาญจนบุรี  รถ บขส.สีส้ม-หวานเย็นหลายคัน ขับฝุ่นตลบตามกันไปเป็นแถวๆ แดดเจ็ดโมงเช้าเริ่มส่องเข้ามาในรถ แต่ไม่มีผลกับหนุ่มน้อยหน้าตาดีสองคนในรถ ที่นั่งเคียงคู่กันหลับสนิท คนหนึ่งเอาหัวซบบนไหล่คนข้างๆ และอีกคนเอียงหัวทับกลับลงไป  ส่วนมือที่วางอยู่ชิดกันบนเบาะ กำลังกุมประสานซึ่งกันและกันแน่น


--------------------------------


รถ บขส.สีส้ม หรือรถหวานเย็น ใช้วิ่งทางไกลระหว่างจังหวัด ก่อนปี พ.ศ. ๒๕๓๐ / คุณลุงหน้าสุดในภาพ กำลังถือ "ถุงโชคดี" ถุงกระดาษพิมพ์ลายตารางหมากฮอส ใช้ใส่ของต่างๆ ที่นิยมถือกันสมัยนั้น

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/1614661205-member.jpg)

 
"ถังน้ำโพลาริส" น้ำบรรจุขวดเจ้าแรกในประเทศไทย จนคนสมัยนั้นเรียกน้ำบรรจุขวดทุกยี่ห้อว่า "น้ำโพลาริส" กันหมด เหมือนเรียกผงซักฟอกว่า "แฟ๊บ" ไม่ว่ามันจะยี่ห้ออะไรก็ตาม

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/1691736464-member.jpg)


 
ส.ค.ส. โรยกากเพชร ที่นิยมใช้ส่งอวยพรกันในช่วงเวลานั้น

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/690265653-member.jpg)

 
แบ็งค์กาโม่ ของเล่นธนบัตรปลอม ที่พิมพ์ตัวการ์ตูนลงไปบนหน้าธนบัตร


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/99500365-member.jpg)


หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๐ : ส.ค.ส.โรยกากเพชรแทนใจ +++หน้า ๓+++ (๗/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 07-01-2017 11:03:06
แอร๊ยยยยยยย เขินตามอะ   :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๐ : ส.ค.ส.โรยกากเพชรแทนใจ +++หน้า ๓+++ (๗/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 07-01-2017 12:10:03
 :L2: :L1: :pig4:

น่ารัก
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๐ : ส.ค.ส.โรยกากเพชรแทนใจ +++หน้า ๓+++ (๗/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 07-01-2017 12:38:41
  สคส โรยกากเพชร ตอนเด็กๆชั้นประถม ผมยังทันได้ใช้อยู่นะฮ่าๆ
  รอรออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๐ : ส.ค.ส.โรยกากเพชรแทนใจ +++หน้า ๓+++ (๗/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-01-2017 13:50:20
อืม......นึกถึงความหลัง
สคส.โรยกากเพชร สวยจริงๆ
ตอนซื้อเลือกอยู่นั่นแหละ ทั้งที่สวยทุกอัน
แวะร้านขายทุกวัน
เ่ห็นตาเด็กๆ งี้เป็นประกาย
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๐ : ส.ค.ส.โรยกากเพชรแทนใจ +++หน้า ๓+++ (๗/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 07-01-2017 15:23:54
ถ้า MBK เปิดแล้ว
อยากเห็นจิวกับต้นข้าว
ชวนกันไปเดินเล่น จูงมือกันนะ

รอวันนั้น
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๐ : ส.ค.ส.โรยกากเพชรแทนใจ +++หน้า ๓+++ (๗/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: zipboy ที่ 07-01-2017 17:12:57
จิวนี่จัดว่าใจกล้ามากกับความรักแนวนี้กับยุค 80-90

รอ MBK เปิดบริการนะครับ^^
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๐ : ส.ค.ส.โรยกากเพชรแทนใจ +++หน้า ๓+++ (๗/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 08-01-2017 06:22:10
o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๑ : ค่ายรบค่ายรัก +++หน้า ๓+++ (๘/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: zipboy ที่ 08-01-2017 06:29:03
จิวนี่มันร้ายจริง ๆ หึ ๆๆๆ


รออ่านต่อนะครับ^^
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๑ : ค่ายรบค่ายรัก +++หน้า ๓+++ (๘/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 08-01-2017 09:19:35
 :m20:

จิวเป็นหระเอกสายตลกใช่ไหม เมารถก่อนรถออกเนี่ย

 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๑ : ค่ายรบค่ายรัก +++หน้า ๓+++ (๘/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 08-01-2017 10:10:00
 :impress2: :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๑ : ค่ายรบค่ายรัก +++หน้า ๓+++ (๘/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 08-01-2017 14:39:05
 :laugh:
แล้วไอ่เกตมันจะไม่งงเหรอ
อะไรวะ..กูอุตส่าห์หนีอ้วกเมิงมานั่งเบาะนี้ให้แล้ว
ทำไมเมิงยังจะตามมานั่งใกล้ๆกรูอีกเนี่ยะ
ฮ่าฮ่า

รถยังไม่ออกวิ่ง มันรอจะเมารถล่วงหน้า
แต่พอรถออกวิ่ง อ้าววว เสือกนอนหลับเฉยเลย
 :jul3:

แต่จิวก็ทำสำเร็จ ได้นอนซบกับต้นข้าว
นั่งกกกันไปตลอดทาง ฮิ้ววววว
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๑ : ค่ายรบค่ายรัก +++หน้า ๓+++ (๘/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 08-01-2017 15:48:42
  ชอบจิวอะ555 หลอกเพื่อนลงคอ เพื่อจะได้นั่งกับข้าว
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๑ : ค่ายรบค่ายรัก +++หน้า ๓+++ (๘/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-01-2017 21:20:31
ขำจิวมาก ฮากร๊ากกกกก เลย :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
รถยังไม่ออก ชิงเมารถซะก่อน
แย่งที่เพื่อน แถมไล่อีกเฉยเลย
หวานกัน บอกคิดถึงกัน จับมือมุ้งมิ้ง   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๑ : ค่ายรบค่ายรัก +++หน้า ๓+++ (๘/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 09-01-2017 06:49:36

MBK❤lover


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/1587241796-member.jpg)


ตอนที่ ๑๑ : สวรรค์อยู่ในเต้นท์


ค่ายสมรภูมิทุ่งลาดหญ้า  จ.กาญจนบุรี


         ก่อนเที่ยง คณะนักเรียนของโรงเรียน ก็เดินทางมาถึงค่ายสมรภูมิทุ่งลาดหญ้า ซึ่งเต็มไปด้วยภูมิประเทศสูงๆ ต่ำ ทั้งทุ่งแห้งแล้ง ทั้งเนินเขาเตี้ยๆ มีบึงน้ำใหญ่

         ภารกิจในวันนี้ คือช่วงบ่ายนักเรียนจะเข้าอบรมในเรื่องประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสถานที่ เพื่อจบลงตรงคำว่าสามัคคี ตอนเย็นจะปล่อยให้ไปทำอาหารกลุ่มมาเสนอเพื่อแข่งขันกัน แล้วรับประทานอาหารร่วมกันรอบกองไฟ นอนค้างคืน แล้ววันรุ่งขึ้นเช้าก็ไปทัศนศึกษาต่อ แล้วเที่ยงก็เดินทางกลับ

         และตอนนี้ บ่ายแก่ๆ แล้ว หลังจบการอบรมอันน่าเบื่อสำหรับเด็กๆ ม.๕ แล้ว  ครูฝึกก็ปล่อยเด็กๆ ให้ไปกางเต้นท์ตามกลุ่ม และเตรียมตัวทำอาหารมาแข่งกันคนละหนึ่งอย่าง รวมทั้งหมด ๔ กลุ่ม ๔ จาน และช่วงก่อนนักเรียนจะแยกกัน จิวดึงเสื้อต้นข้าวให้หยุด แล้วจับมือต้นข้าว

         "ต้นข้าว มึงนอนเต้นท์ไหนอ่ะ" จิวถาม

         "กลุ่มกูน่าจะเต้นท์โซน ๓ หมายเลข ๑๒ นะ กูนอนกับไอ้ราชา อ่ะ"

         "อ่อ ไม่ไกลกันเนอะ" จิวทำหน้ายิ้มๆ

         "หึหึหึ ไกลๆ น่ะดีแล้ว ไปได้แล้ว ไปทำอาหารมาแข่ง  เอ้อจิว กลุ่มมึงทำอาหารอะไรอ่ะ" ต้นข้าวถาม

         "โหย บอกก็กลัวดิ ไม่บอกโว้ย มีทีเด็ด" จิวรีบคุยโว

         "มึงก็คอยดูของกลุ่มกูแล้วกัน" ต้นข้าวทำหน้ามีชัยชนะ

         ต้นข้าว กลับมาที่กลุ่ม ตรงกลางกลุ่มเป็นลานโล่งวงกลม สำหรับทำกิจกรรมกลุ่ม ส่วนรอบๆ จะล้อมด้วยเต้นท์นอนของกลุ่มนี้  ซึ่งทั้ง ๔ กลุ่ม เป็นรูปแบบเดียวกันหมด

         ตอนนี้ลานกลางกลุ่มของต้นข้าว ตั้งโต๊ะไม้ขนาดยาวเอาไว้เรียบร้อย บนโต๊ะมีส่วนผสม เครื่องปรุง ต่างๆ รออยู่ บนพื้นทางหัวโต๊ะ ตั้งเตาอั้งโล่เรียงกัน ๕ เตา ซึ่งจุดเตาติดถ่านไว้เรียบร้อย

         เมนูของกลุ่มต้นข้าวที่ทำลงแข่ง คือยำไข่ดาว เพราะคิดว่าช่วยกันทำเป็นจำนวนมากๆ ได้ คนทอดไข่ดาวก็ทอดไป ใช้ไข่เป็ด ๑๐๐ ฟอง ทอดน้ำมันท่วมๆ ไฟแรงๆ ให้ไข่ขาวกรอบกว่าปกติ แล้วสะเด็ดน้ำมันตั้งพักไว้

         นักเรียนในกลุ่มอีกชุดหนึ่งก็ลวกกุ้ง รวนหมูสับ ลวกหมูยอ แล้วเอามาวางโปะข้างบนของไข่ดาวทุกฟอง

         ส่วนคนทำน้ำยำก็ทำไป ซอยพริกขี้หนู ซอยหอมหัวใหญ่ ซอยต้นหอม หั่นมะเขือเทศ บีบมะนาว ใส่น้ำปลา น้ำตาล ผสมกันแล้วเอามาราดบนไข่อีกที โรยหน้าด้วยผักชี เป็นอันเสร็จ ตั้งชื่อเข้าประกวดว่า "ยำฮันนีมูน"

         เมื่อเสร็จเรียบร้อย ก็ช่วยกันยกออกไปที่ลานรอบกองไฟ เอาจานเดี่ยวๆ ที่จัดสวยสุดหนึ่งจานเป็นตัวอย่างไปวางบนโต๊ะประกวด พอวางเสร็จ ต้นข้าวก็คิดว่าของตัวเองน่าจะแพ้แน่ๆ

         เพราะบนโต๊ะมีจานของกลุ่ม ๑ และ ๒ วางรออยู่แล้ว จานหนึ่งเป็นน่องไก่ทอดธรรมดาๆ ส่วนของอีกกลุ่มหนึ่ง ดูอลังการมากๆ เป็นผัดอะไรสักอย่าง เห็นข้างบนที่ผัดราดเป็นพริกชี้ฟ้า กะปิ ปู กุ้ง หอยลาย ปลาหมึก ส่วนข้างล่างเป็นเส้นมาม่า รองพื้นจานด้วยผักกาดหอม กลิ่นหอมโชยตลบ มีป้ายเขียนไว้ว่า "มาม่าผัดทะเลใต้"

         "โห แม่งขนทะเลมาถึงเมืองกาญจน์เลยนะ ลงทุนฉิบหาย" เสียงนักเรียนคนหนึ่งพูดดังๆ ออกมา

         "แล้วของกลุ่ม ๔ ล่ะ" ใครอีกคนถามขึ้น

         "มาแล้ว มาแล้ว" เสียงจิวนำมาก่อนเลย พร้อมถือจานมาวางบนโต๊ะ ทุกคนก็ชะโงกไปดู

         ส่วนต้นข้าวเมื่อมองเห็นก็แอบอมยิ้มจนแก้มจะปริอยู่คนเดียว

         เพราะในจานของกลุ่ม ๔ ก็คือ "ลูกชิ้นชุบแป้งทอด" ของโปรดของคนที่ยืนอมยิ้มอยู่นี่เอง

         ลูกชิ้นชุบแป้งทอดของกลุ่ม ๔ เป็นลูกชิ้นทอดที่แปลกตา ใช้ลูกชิ้นหลากหลายเสียบสลับลงไปในไม้เดียวกัน ทั้งลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นกุ้ง ลูกชิ้นปลาหมึก ลูกชิ้นสาหร่าย ทอดชุบแป้งอย่างดี วางเคียงมากับน้ำจิ้มพริกตำ แบบน้ำจิ้มทะเล หลายคนกลืนน้ำลายเอื๊อก!!

         จิว หันมามองหาต้นข้าว เมื่อเห็นแล้วจากระยะไกล ก็ชี้ไปที่จานลูกชิ้น แล้วเอามือขึ้นมาชี้ที่ต้นข้าว ทำหน้าภูมิใจ เหมือนตัวเองชนะแล้วซะอย่างนั้น ยิ้มยิงฟันจนตาปิดยิบหยีเหมือนเด็กเล็กๆ

         หึหึ!! ทำไมต้นข้าวจะไม่รู้ ดูก็ออกว่านี่ไอเดียใคร ไม่ได้คิดจะทำลงแข่งหรอกนั่น แค่ทำมาเอาใจคนชอบกินลูกชิ้นชุบแป้งทอดเท่านั้น --คิดแล้วก็แทบจะอิ่มมื้อค่ำโดยไม่ต้องหยิบขึ้นมากิน มันอิ่มในอก จิวชนะแล้วล่ะ ชนะใจต้นข้าวนี่


--------------------------------


         หลังจากนักเรียนทั้งหมด ทานอาหารที่ช่วยกันทำร่วมกันแล้ว ก็ประกาศผลรางวัลทำอาหาร  ครูตัดสินให้เท่ากันหมด ได้รางวัลทั้งสี่กลุ่ม โดยให้เหตุผลของความสามัคคี ตามโจทย์ที่มาอบรมกันในวันนี้ หลังจากนั้นก็เล่นเกมส์เล็กๆ น้อยๆ รอบกองไฟ

         ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบ ๓ ทุ่มแล้ว กองไฟค่อยๆ มอดลง ครูกล่าวปิดงานคืนนี้ แล้วให้นักเรียนเตรียมตัวไปอาบน้ำเข้านอน แต่ยังมีกิจกรรมสุดท้าย คือให้นักเรียนทุกกลุ่มจับคู่กันฝึกการเฝ้าเวรค่ายตอนกลางคืน เพื่อลองหัดช่วยกันป้องกันภัยให้เพื่อนๆ และทรัพย์สิน โดยมีครูและทหารเดินเวรประกบนักเรียนให้ไกลๆ อีกทีนึง

         โดยคนจับคู่ จะอยู่เวรละ ๑๕ นาที ครบแล้วไปปลุกคนเข้าเวรต่อ กิจกรรมนี้จะสิ้นสุดแค่ตีหนึ่งเท่านั้น

         จิวได้นอนเต้นท์เดียวกับไอ้เกตุ เพื่อนบนรถที่ขามาเปลี่ยนที่นั่งกัน ไอ้เกตุทำหน้าเบื่อๆ ตอนจิวชวนไปอาบน้ำ เพื่อรอมาเข้าเวรที่จับฉลากได้เวรชุดสุดท้ายตอนเที่ยงคืนสี่สิบห้า

         "ง่วงนอนฉิบหายเลยเนี่ย จะให้อยู่เวรทำไมวะ ทหารก็เยอะแยะเต็มค่ายไปหมด พวกครูก็เดินเวรเองอยู่แล้วนี่ ไม่มีใครมาปล้นหรอก มืดก็มืด ยุงก็เยอะ มีผีหรือเปล่าก็ไม่รู้ ดึกๆ ดื่นๆ" ไอ้เกตุบ่น

         จิวหูผึ่งขึ้นมาทันที

         "มีผีด้วยเหรอมึง"

         "เออสิวะ" เกตุตอบ "นี่ค่ายรบนะเว้ย คนมารบกันสมัยโบราณล้มตายที่นี่ไปตั้งเท่าไร" ไอ้เกตุพูดไปก็กลอกตาซ้ายขวาในเต้นท์ไป

         "แล้วมึงกลัวผีมะ" จิวรีบถาม

         "กลัวสิ เชี่ย ผีกะกูนี่ขออยู่ห่างๆ กันเลย นี่กูไม่อยากอาบน้ำหรอกนะ แต่กูไม่กล้านอนในเต้นท์คนเดียวตอนมึงไปอาบน้ำ งั้นกูไปด้วยละกัน"

         "เสร็จกู...เอ้ย ไม่ใช่...มาสิ ถ้ามึงกลัวก็ถือไฟฉายมาด้วยแล้วกัน"

         จิวเปิดเต้นท์คลานนำออกไปก่อน ไอ้เกตุเลยไม่ทันเห็นรอยยิ้มมีเลศนัยของจิว

         หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว ทั้งคู่ก็เดินกลับเต้นท์ มีเดินสวนกับเพื่อนคู่อื่นๆ ที่ไปอยู่เวรบ้างหลายคู่  พอเปลี่ยนชุดเสร็จ ผลัดกันหลับๆ ตื่นๆ จนเที่ยงคืนครึ่ง ทั้งสองก็ออกไปที่จุดอยู่เวร รอบนอกของกลุ่มเต้นท์ ตรงต้นไม้ใหญ่มหึมา ในมุมมืดตะคุ่มๆ มันมีสองต้นขึ้นอยู่เคียงกัน

         พอจิวไปถึงก็ก้มลงกราบพื้น ท่องอะไรงึมงำๆ ไอ้เกตุมองอย่างหวาดๆ

         "มึงกราบอะไรอ่ะ สมนึก" เกตุเริ่มเสียงสั่น

         "จุ๊ๆๆ มึงพูดเบาๆ ลงมากราบนี่ มึงเห็นต้นไม้สองต้นนั้นไหม ไกลๆ โน่นอ่ะ ดูไกลๆ เหมือนรูปคนกำลังขี่ม้าศึกรบกันอยู่เลย" จิวกระซิบเบาๆ

         ไอ้เกตุรีบทำตัวเบาสุด แล้วก้มลงไปกราบพื้นตาม ตัวเริ่มสั่นพั่บๆ

         "กราบเสร็จ มึงมานั่งเงียบๆ ตรงนี้ อย่าพูดอะไรนะไอ้เกตุ" จิวกรอกตามองไปซ้ายไปขวา

         สองคนนั่งนิ่งๆ ในความมืดสักพัก มีเสียงดังแกรบๆ ข้างหลัง เหมือนใบไม้แห้งมีคนเหยียบ ไอ้เกตุเริ่มทำหน้าหวาดกลัวขึ้นเรื่อยๆ หันซ้ายหันขวาไม่หยุด จนอีกสักพักหนึ่ง เสียงจิวร้องอย่างตกใจขึ้นว่า...

         "เฮ้ยยยยยยยยย~"

         "ผี!!!!"

         ไอ้เกตุลุกยืนทันทีที่ได้ยินเสียงจิวร้อง เตรียมจะถลาออกวิ่งแล้ว จิวรีบคว้ามือไว้ทัน

         "เฮ้ย มึงนั่งก่อน รอก่อน กูฟังผีพูดให้จบก่อน" จิวทำตาแข็งๆ ค้างๆ

         "ผะ ผะ ผะ ผี พูดอะไรกับมึง" เกตุเริ่มสั่นหนักเข้า

         "ผีมันบอกว่า มันจะตามกูไปนอนในเต้นท์กับกูด้วยว่ะ" จิวยกมือขึ้นป้องหู เหมือนจะฟังอะไรสักอย่าง

         "มันบอกว่า มันแค้นกู จะตามไปเฝ้ากูตอนนอน จะบีบคอกู" จิวเอามือบีบคอตัวเอง มองไปบนอากาศทำตาเหลือกๆ

         เกตุเหงื่อเริ่มแตก "ฉิบหาย!!! แล้วกูจะทำยังไงเนี่ย"

         "เอางี้ดีไหมไอ้เกตุ กูเป็นห่วงมึง มึงไปนอนอีกเต้นท์นึงก่อนนะ เช้าค่อยกลับมา เต้นท์นั้นปลอดภัยสำหรับมึง"

         "ได้ๆๆ เต้นท์ไหน กูจะไปเลย" เกตุเตรียมวิ่งอีกแล้ว

         "มึงเดินไปโซน ๓ เต้นท์เบอร์ ๑๒ นะ ไปหาไอ้ราชา มันช่วยมึงได้ มึงไปปลุกคนที่นอนเต้นท์เดียวกับไอ้ราชาให้มานอนเต้นท์กูแทน แล้วมึงก็นอนที่นั่น ไป มึงรีบไป" จิวสั่ง

         "แล้วทำไม ไอ้ราชาจะช่วยกูได้ล่ะ" คนกลัวยังไม่วายสงสัย

         "โง่จริงมึงนี่ พ่อไอ้ราชาเป็นหมอผีแขก มึงไม่รู้เหรอ ไปเร็วๆ" จิวทำหน้าจริงจัง

         สิ้นคำปุ๊บ ไอ้เกตุก็เผ่นแน่บไปทันที  ทิ้งให้คนเจ้าเล่ห์หัวเราะอักๆๆ อยู่คนเดียว

 
--------------------------------


         "เจ้าเล่ห์จริงนะ" ต้นข้าว ที่กำลังเข้าเต้นท์จิวมา พูดขำๆ

         ตอนนี้จิว นอนยิ้มอยู่ในเต้นท์ มองต้นข้าวตาประกายวาว

         "ถ้าไม่ฉลาด จะมีคนมานอนให้กอดถึงเต้นท์เลยหรือ"

         "กูว่าพรุ่งนี้มึงโดนไอ้เกตุ กับไอ้ราชา รุมเตะมึงแน่ๆ" ต้นข้าวล้มตัวลงนอนข้างๆ

         "ทำไม มันจะเตะกูเรื่องอะไรล่ะ"

         "อ้าว ก่อนกูเดินออกมาจากหน้าเต้นท์ ได้ยินไอ้เกตุมันถามราชาเสียงสั่นเลยว่า พ่อมึงเป็นหมอผีเหรอ แล้วเสียงไอ้ราชาก็ตวาดมาว่า พ่องมึงสิเป็นหมอผี!! พ่อกูขายกำไลแขกอยู่พาหุรัดเว้ย ค-ว-ย"

         "ฮ่าๆๆๆๆๆ" จิวหัวเราะจนตัวโยน หัวไหล่สั่นกึกๆ

         "มึงก็ระวังให้ดีเหอะ" ต้นข้าวแอบค้อนใส่คนนอนข้างๆ

         "ช่างแมร่งมัน มาคุยเรื่องเราดีกว่า" จิวหันตัวไปใกล้ แล้วเริ่มกอดต้นข้าว "ขอกอดหน่อย"

         "กอดอย่างเดียวนะเว้ย ครูกับทหารเดินยามอยู่รอบเต้นท์เนี่ย" ต้นข้าวเตือน แต่ก็ไม่ได้ปัดมือจิวออก

         "รู้แล้วน่า เต้นท์นี่ก็ไม่มีฝาล็อค ใครจะทำอะไรได้ล่ะ"

         "มึงนี่ก็แปลกเนอะ บ้านกูก็มี ห้องกูก็มี กอดกันง่ายจะตาย จะทำให้มันวุ่นวายทำไมวะ" ต้นข้าวเอามือไปลูบแขนจิวที่กอดตัวเองอยู่เบาๆ

         "กูไม่ชอบของง่าย กูชอบอะไรที่ได้มายากๆ น่ะ" จิวกอดต้นข้าวแน่นขึ้น แล้วพูดต่อว่า

         "แว่น กูขอมึงอย่างนะ กูรู้ มึงอ่ะเป็นคนง่ายๆ แต่กูขอนะ มึงอย่า -ง่าย- สำหรับใครก็ได้ทุกคนนะ" จิวพูดน้ำเสียงจริงจัง

         ต้นข้าวกอดจิวตอบแน่นขึ้น

         "รับปากกูสิ เงียบทำไมอ่ะ" จิวเตือน

         "อือ"

         "ขอกูหอมแก้มทีนึงนะ" จิวกระซิบ

         "หอมอย่างเดียวนะ" อีกคนกระซาบไม่แพ้กัน

         ไม่มีเสียงตอบ แต่ลมหายใจร้อนๆ มาอยู่ตรงแก้มต้นข้าวแล้ว มันหยุดนิ่งอยู่ตรงแก้มสักอึดใจใหญ่ เหมือนอยากจะซึมซาบกลิ่นให้ติดอยู่ปลายจมูกไปนานๆ

         ต้นข้าวหลับตาลง

         หลังจากนั้น ความร้อนจากปลายจมูกของอีกฝ่าย เริ่มลากขึ้นมาแผ่วๆ ลากช้าๆ จากแก้มโดยไม่ได้ยกจมูกออก มันเลื่อนมาเรื่อยๆ จนไออุ่น และสัมผัสได้ของเนื้อปากนุ่ม เริ่มมาอยู่ที่ริมฝีปากล่างของต้นข้าว มันขบลงไปเบาๆ แล้วหยุดนิ่ง

         สักครู่หนึ่ง ไอร้อนก็เริ่มเลื่อนไปที่ริมฝีปากบนของต้นข้าว ตอนผ่านร่องปาก ปากต้นข้าวเผยออ้าออกเล็กน้อย แต่ไอร้อนนั้นผ่านขึ้นไปก่อน เนื้อปากนุ่มไปหยุดขบเม้มอีกเนิ่นนานที่ริมฝีปากบน

         แล้วมันเคลื่อนที่อีกแล้ว ครั้งนี้มันเลื่อนลงมาแล้วหยุดกลางปากเลย สัมผัสครั้งนี้เริ่มไม่อุ่นแล้ว มันเริ่มเป็นไอร้อนขึ้นเรื่อยๆ สัมผัสเนื้อปากแตะกันแผ่วๆ เบาบาง เปิดช่องให้ความร้อนค่อยๆ ลอยออกมาผสมระหว่างกัน

         ทิ้งระยะ แบบให้ใจเต้นโครมครามขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายผู้จู่โจม ก็กดริมฝีปากแนบสนิทลงไป บดแน่นขึ้น บดแน่นขึ้น จนไม่เหลือช่องว่างใดๆ แล้ว

         "................"

         ถ้าหากตรงทุ่งลาดหญ้านี้จะเคยเป็นสมรภูมินรก หนักหนาสาหัสมาขนาดไหนในอดีต  คงต้องยกเว้นพื้นที่ในเต้นท์เล็กๆ ตรงนี้ คืนนี้

         เพราะตอนนี้มันเป็นสวรรค์น้อยๆ ไปแล้ว


--------------------------------


         เช้าวันรุ่งขึ้น เป็นวันที่สดใส แดดร้อนแรงของทุ่งเมืองกาญจน์ กลายเป็นสีชมพูในสายตาของหนุ่มน้อยจิวและต้นข้าว  และตอนนี้ทั้งสองกำลังเดินไปขึ้นรถบัสสีส้มกันแล้ว เพื่อไปทัศนศึกษาต่อ

         "แว่น นี่ครูเค้าจะพาไปไหนต่ออ่ะ กูไม่ได้อ่านตารางเดินทางมา" จิวถามอย่างขี้เกียจ อ้าปากหาว

         "ไม่รู้เหมือนกัน เห็นว่าจะพาไปสะพานอะไรไม่รู้อ่ะ เป็นสะพานข้ามแม่น้ำที่ทำจากเหล็ก"

         "อะไรวะ สะพานทำจากเหล็ก จะไปดูทำไม ที่สะพานพุทธยอดฟ้าแถวบ้านมึงก็มี ต้องถ่อมาดูถึงนี่ ง่วงนอนฉิบหาย"

         "ก็ใครใช้ให้นอนดึกล่ะเมื่อคืนน่ะ" ต้นข้าวหันไปยิ้มๆ ประกายตาวิบวับ

         "ต่อให้ไม่ได้นอนอีกสิบคืน ถ้ามีโอกาสแบบในเต้นท์เมื่อคืน กูยอมว่ะ" จิวก็มีประกายฉ่ำในตาไม่แพ้กัน
 

--------------------------------

 
         "เอาล่ะนะคะนักเรียน" ครูสาวที่ตอนนี้กลายเป็นไกด์แล้ว พูดผ่านโทรโข่งบนรถ

         "เดี๋ยวเราจะลงไปเที่ยวกันที่ สะพานข้ามแม่น้ำแคว กันนะคะ ทางจังหวัดกาญจนบุรี พึ่งโปรโมทให้ชวนกันมาเที่ยวตอนต้นปี ๒๘ นี้เองค่ะ

         เมื่อก่อนนี้ สะพานนี้ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวหรอกค่ะ แต่พอมีภาพยนตร์ฝรั่งเรื่อง The Bridge on the River Kwai เข้ามาฉายในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ แล้วโด่งดังมาก สะพานนี้เลยพึ่งจะมาเป็นที่รู้จัก ก่อนพวกนักเรียนจะเกิดเมื่อสิบปีนี้เองค่ะ ชื่อของสะพานข้ามแม่น้ำแควนี้ ก็พึ่งจะตั้งขึ้นตอนนั้นเอง ตั้งตามชื่อหนัง ก่อนหน้านี้ไม่มีชื่อเรียกนะคะ

         สะพานนี้มีความสำคัญมากนะคะ คือว่าเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง บลา บลา บลา..."

         เสียงครูไกด์ ลอยผ่านหูกล่าวถึงประวัติของ "สะพานเหล็ก" ตามที่จิวและต้นข้าวเห็นว่าไม่เห็นน่าสนใจสักนิด ตอนนี้ทั้งคู่นั่งตัวชิดติดกันบนเบาะรถเดียวกัน (ซึ่งแน่นอนว่า ไอ้เกตุ ไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่นั่งตรงนี้อีกแล้ว --คงละเหี่ยใจเต็มที่แล้วกับคู่นี้)

         และต้นข้าวกำลังชะโงกมองออกไปนอกรถ ดูวิวสองข้างทางเพลิน ซึ่งเป็นทุ่งนาเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา

         "เอาหัวกลับเข้ามา อย่าชะโงกออกไปนอกรถ อันตราย มีรถสวนมา"

         จิวบอกต้นข้าว พร้อมกับเอามือไปจับตรงหน้าผากของต้นข้าวเบาๆ ดึงหัวกลับเข้ามาในรถ แล้วเอามือกดตรงหน้าผากของต้นข้าวให้มาเอนซบกับไหล่ของจิว และขณะนี้ รถเริ่มเลี้ยวเข้าจอดที่ลานโล่งๆ ริมแม่น้ำแล้ว

         "นักเรียนคะ ตามที่ครูเล่าประวัติของสะพานข้ามแม่น้ำแควไปแล้วนะคะเมื่อสักครู่บนรถ เดี๋ยวลงไปข้างล่าง ครูไม่ตามไปเล่าแล้วนะคะ มันเป็นที่โล่ง เสียงโทรโข่งครูจะได้ยินไม่ทั่วกัน

         นักเรียนก็ไปเดินดูตามจุดที่ครูบอกนะคะ แยกย้ายกันไปหลายๆ จุด จะได้ไม่แย่งวิวกัน และเดี๋ยวครูนิล จะมาคอยเดินถ่ายรูปให้นักเรียนด้วยค่ะ ใครอยากถ่ายรูป เรียกครูนิลนะคะ"

         เสียงครูผ่านโทรโข่งสุดท้ายก่อนรถจอดสนิท นักเรียนเริ่มทยอยลงจากรถ และมายืนอยู่ตรงปลายสะพาน ที่ได้ยินมาว่ามีประวัติศาสตร์อันขื่นขม
 
         "สะพานข้ามแม่น้ำแคว"


--------------------------------


ภาพยนตร์เรื่อง The Bridge on the River Kwai ในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ที่ทำให้สะพานนี้มีชื่อเสียงไปทั่วโลก

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/425445686-member.jpg)


หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๒ : อลเวงค่ายทหาร +++หน้า ๓+++ (๙/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 09-01-2017 09:26:23
จิววางแผนอะไรอีกอะ  :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๒ : อลเวงค่ายทหาร +++หน้า ๓+++ (๙/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 09-01-2017 11:14:43
ตลกมากๆ จิวแกล้งเกตุ 555
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๒ : อลเวงค่ายทหาร +++หน้า ๓+++ (๙/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 09-01-2017 11:44:15
 :L2: :pig4:
o18 แผนนี้คือจะหาเรื่องนอนเต้นกับข้าว ป๊ะ
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๒ : อลเวงค่ายทหาร +++หน้า ๓+++ (๙/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 09-01-2017 11:57:33
ไอ่ตี๋เจ้าเล่ห์
แต่น่ารักอ่ะ

อิจฉาข้าว
อิอิ
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๒ : อลเวงค่ายทหาร +++หน้า ๓+++ (๙/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: zipboy ที่ 09-01-2017 12:37:51
อ่านเจอลูกชิ้นปุ๊ป รู้เลย....

ติดตามต่อไปครับ^^
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๒ : อลเวงค่ายทหาร +++หน้า ๓+++ (๙/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-01-2017 13:29:32
จิว วางแผนไปหาแว่นน่ะแหละ
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๒ : อลเวงค่ายทหาร +++หน้า ๓+++ (๙/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 09-01-2017 21:59:54
จิวเป็นไรแน่ๆ เลยอะ   :mew4: :mew4:

= ช่วยกันลุ้นนะคะ


มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่ๆ
ไม่ใช่แค่ยิ้มตาหยี..ส่งมาให้เพื่อกลบเกลื่อนบางอย่าง

รักของสองคนนี้
คงจะยุ่งอีกนาน
เหนื่อยยิ่งกว่าวิ่งมาราธอน
ไปยังภูเขาโอลิมปัส
หึหึ
 :hao7:

+1 จ้า

= ของดี ต้องได้มายากๆ หน่อยค่ะ อิอิ


โอ้......สัญญาหน้าตึกมาบุญครอง
นครหินอ่อนเป็นพยาน
เอิ่ม.....ฟ้าฝนเป็นพยานอีกแรง
รักนี้ยืนยาวแน่แท้   :L1: :L1: :L1:
จิว นายกล้ามาก  :mew1: :mew1: :mew1:
ต้นข้าว ตอบรับฉับไว ดีมาก ถูกใจ ไม่เรื่องมาก :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
มีจูบประทับยืนยันซะด้วย  :ling1: :ling1: :ling1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

= เป็นการขอความรักที่อลังการกันเลยทีเดียว


อร๊ายยยยยยยย เป็นแฟนกันแล้ว   :mew1: :mew1: :mew1:
โล่งอกที่ไม่มีเรื่อง
 :เฮ้อ: :เฮ้อ:

= น่าดีใจแทนทั้งคู่นะคะ


แสนนุ่มนวล ชวนให้เคลิ้ม ประเดิมรัก
เพิ่งรู้จัก ไม่มักคุ้น ชวนลุ้นฝัน
หนึ่งคือหนุ่ม ชวนอีกหนุ่ม กุมใจกัน
พร้อมมุ่งหน้า จะฝ่าฟัน ไม่หวั่นเกรง

อูยยยย อ่านตอนนี้แล้ว
คนอ่านใจแตก อยากจะหาคนมาสัญญากันบ้าง
 :pighaun:

ตึกไหนกำลังจะสร้าง
มีอีกไหม
จะได้ขอให้มาเป็นพยาน
อิอิ

= สงสัยใน พ.ศ. นี้ ต้องหาตึกที่สูงที่สุดในประเทศแทนแล้วค่ะ อิอิ


  ชอบตอนนี้จัง บรรยายได้ซึ้งถึงความรักที่ออกจากใจของทั้งคู่

= ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ


ผมอ่านแล้วชอบมากเลยครับ ห้างนี้เป็นห้างโปรดผมสมัยผม ม.ปลาย และเป็นความทรงจำส่วนสำคัญของความรักตัวเองด้วย

อ่านแล้วยิ้ม คิดถึงมาก ถึงผมจะไม่ได้แก่เท่าเนื้อเรื่องที่เขียนมา แต่ช่วง 10-15 ปีที่ผ่านมาของผม ก็ MBK นี่แหละครับ ที่ให้ผมกับแฟนเดินเล่น กินข้าว ดูหนัง และโซนโปรดผมคือชั้น 4 ถ้าไม่ลากผมออก ก็น่าจะอยู่ตั้งแต่เปิดยันปิดห้างได้แน่นอน

แถมบางช่วงมีกล่าวถึงแถวบ้านผมด้วย ที่ชอบสุดคือ หลายสิ่งในเรื่อง ถึงจะเก่ากว่าวัยตัวเอง แต่ก็ตรงกับสมัยที่ผมกับแฟนผมเริ่มคบกันใหม่ ๆ ความไม่ไฮเทคในบางอย่าง ความที่ต้องรอ ความรู้สึกที่ไม่ฉาบฉวยเวลาเราจะรักกัน (ถึงยุคผมจะเริ่มเป็นยุค WWW กับ ฟองสบู่ .com แล้วก็ตาม) มีความ Analog หลายสิ่งที่ผมกับแฟนก็ยังทันได้สัมผัสอยู่บ้าง ถึงจะไม่สุด ๆ แบบในเนื้อเรื่องนี้ก็ตาม

สนุกครับ รออ่านจิวกับต้นข้าวต่อไปนะครับ^^

= ขอบคุณมากๆ ค่ะ และยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่เรื่องของจิวและต้นข้าว จะทำให้ระลึกถึงความหลังอันแสนหวานครั้งนั้นได้อีกค่ะ


แอร๊ยยยยยยย เขินตามอะ   :o8: :o8: :o8:

= อิอิอิอิอิอิ......


:L2: :L1: :pig4:

น่ารัก

= คนเขียนใช่ไหมคะที่น่ารัก 555+


  สคส โรยกากเพชร ตอนเด็กๆชั้นประถม ผมยังทันได้ใช้อยู่นะฮ่าๆ
  รอรออ่านตอนต่อไปคับ

= คิดถึง ส.ค.ส. แบบนั้นเนอะ


อืม......นึกถึงความหลัง
สคส.โรยกากเพชร สวยจริงๆ
ตอนซื้อเลือกอยู่นั่นแหละ ทั้งที่สวยทุกอัน
แวะร้านขายทุกวัน
เ่ห็นตาเด็กๆ งี้เป็นประกาย
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

= ใช่แล้วค่ะ มีความสุขม๊ากมาก ตอนนั้น อิอิ


ถ้า MBK เปิดแล้ว
อยากเห็นจิวกับต้นข้าว
ชวนกันไปเดินเล่น จูงมือกันนะ

รอวันนั้น

= เรามารอให้ถึงวันนั้นกันค่ะ


จิวนี่จัดว่าใจกล้ามากกับความรักแนวนี้กับยุค 80-90

รอ MBK เปิดบริการนะครับ^^

= มาช่วยกันรอนะคะ


จิวนี่มันร้ายจริง ๆ หึ ๆๆๆ


รออ่านต่อนะครับ^^

= ร้าย แต่น่ารักเนอะ 555+


:m20:

จิวเป็นหระเอกสายตลกใช่ไหม เมารถก่อนรถออกเนี่ย

 :L2: :pig4:

= 55555555+


:impress2: :impress2: :impress2: :impress2:
=  :mew1: :mew1: :mew1:


:laugh:
แล้วไอ่เกตมันจะไม่งงเหรอ
อะไรวะ..กูอุตส่าห์หนีอ้วกเมิงมานั่งเบาะนี้ให้แล้ว
ทำไมเมิงยังจะตามมานั่งใกล้ๆกรูอีกเนี่ยะ
ฮ่าฮ่า

รถยังไม่ออกวิ่ง มันรอจะเมารถล่วงหน้า
แต่พอรถออกวิ่ง อ้าววว เสือกนอนหลับเฉยเลย
 :jul3:

แต่จิวก็ทำสำเร็จ ได้นอนซบกับต้นข้าว
นั่งกกกันไปตลอดทาง ฮิ้ววววว

= น่าอิจฉาที่สุด


  ชอบจิวอะ555 หลอกเพื่อนลงคอ เพื่อจะได้นั่งกับข้าว

= จิวน่าร๊ากกกกก ที่สุด


ขำจิวมาก ฮากร๊ากกกกก เลย :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
รถยังไม่ออก ชิงเมารถซะก่อน
แย่งที่เพื่อน แถมไล่อีกเฉยเลย
หวานกัน บอกคิดถึงกัน จับมือมุ้งมิ้ง   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

= น่ารักเนอะ อิอิอิ


จิววางแผนอะไรอีกอะ  :hao3: :hao3:

= แผนสูงเนอะ หนุ่มน้อยคนนี้ 555+


ตลกมากๆ จิวแกล้งเกตุ 555

= สรุปแล้ว เกตุนี่น่าสงสารสุด ตกเป็นเหยื่อของหนุ่มน้อยจิว อิอิอิอิ


:L2: :pig4:
o18 แผนนี้คือจะหาเรื่องนอนเต้นกับข้าว ป๊ะ

= นั่นสิเนอะ แผนสูงจริงๆ หมอนี่  :hao7:


ไอ่ตี๋เจ้าเล่ห์
แต่น่ารักอ่ะ

อิจฉาข้าว
อิอิ

= เขียนเอง ก็เริ่มหลงรักจิวเองแล้วล่ะ ฮ่าๆๆ


อ่านเจอลูกชิ้นปุ๊ป รู้เลย....

ติดตามต่อไปครับ^^

= แผนสองแผนสาม เยอะที่สุด หนุ่มจิวนี่ อิอิอิ
ขอบคุณมากนะคะ ที่ติดตามเรื่องกัน  :impress2:


จิว วางแผนไปหาแว่นน่ะแหละ

= นั่นสินะคะ ดูท่าทาง แผนสูงจริงๆ น่ารักเนอะ  :-[


-----------------------------

ขอบคุณทุกๆ ท่านมากนะคะ  :mew1:


--------------------------------

หน้าสารบัญ MBK~lover | คำสัญญาหน้า MBK (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3547149#msg3547149)


หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๒ : อลเวงค่ายทหาร +++หน้า ๓+++ (๙/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 10-01-2017 06:47:50
:hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๓ : สวรรค์อยู่ในเต้นท์ +++หน้า ๓+++ (๑๐/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: zipboy ที่ 10-01-2017 07:32:43
แต่ละอย่างที่จิวทำเนี่ย มองบนรัว ๆ

ติดตามตอนต่อไปครับ^^
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๓ : สวรรค์อยู่ในเต้นท์ +++หน้า ๓+++ (๑๐/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 10-01-2017 12:03:34
 ชอบจิวกับข้าวอะ ผู้แต่งบรรยายความรักของสองคนนี้แบบ ความรักบริสุทธิ์ใจจริงๆ รักกันที่ใจจริงๆอะ และก็ตลกเกตุกับราชา ลูกหมอผีแขกนี่ล่ะ
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๓ : สวรรค์อยู่ในเต้นท์ +++หน้า ๓+++ (๑๐/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 10-01-2017 12:28:41
อ่านตอนนี้ได้รู้ประวัติของสะพานข้ามแม่น้ำแควไปเต็มๆ
 :pig4:

รักของจิวกับแว่น สองคนนี้เค้าใสใสดีเนอะ
ใส๊ใส  :haun4: ฮ่าฮ่า

แล้วที่คนแต่งใส่เครื่องหมาย"................" นี้อ่ะ
จะให้คนอ่านนึกถึงภาพอัลไล

นึกภาพอะไรไม่ออกแล้วตอนนี้
 :pighaun:
อิอิ
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๓ : สวรรค์อยู่ในเต้นท์ +++หน้า ๓+++ (๑๐/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 10-01-2017 13:06:24
ขำมากกกกก  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
"พ่อไอ้ราชาเป็นหมอผีแขก"   กร๊ากกกก
"พ่องมึงสิเป็นหมอผี!! พ่อกูขายกำไลแขกอยู่พาหุรัดเว้ย ค-ว-ย" กร๊ากกกกๆ
"......... "
 ไรท์ บรรยายหน่อยสิ อยากรู้  :ling1: :ling1: :ling1:
เห็นแค่ "......... " มันสวรรค์อยู่ในเต้นท์ ยังไง
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๓ : สวรรค์อยู่ในเต้นท์ +++หน้า ๓+++ (๑๐/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 10-01-2017 13:29:37
 :L2: :pig4:

หวานนนน ไม่นับตอนง่วงนะ
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๓ : สวรรค์อยู่ในเต้นท์ +++หน้า ๓+++ (๑๐/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 10-01-2017 16:55:08
 :L2: :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๓ : สวรรค์อยู่ในเต้นท์ +++หน้า ๓+++ (๑๐/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: bluecoco ที่ 10-01-2017 19:49:51
หลงรักเรื่องนี้ สนุกมาก
ละมุนละไมสุดๆ
กลิ่นอายอดีตเป็นฉากหลังที่อบอุ่นมากของเรื่อง
ยุคอนาล็อกให้ควารู้สึกติดตรึงบอกไม่ถูก
เป็นกำลังใจให้ทั้งคู่และคุณนักเขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๓ : สวรรค์อยู่ในเต้นท์ +++หน้า ๓+++ (๑๐/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 10-01-2017 19:57:08

แต่ละอย่างที่จิวทำเนี่ย มองบนรัว ๆ

ติดตามตอนต่อไปครับ^^

= วัยกำลังเปรี้ยว ทำได้ทุกอย่างฮะ 55555+


ชอบจิวกับข้าวอะ ผู้แต่งบรรยายความรักของสองคนนี้แบบ ความรักบริสุทธิ์ใจจริงๆ รักกันที่ใจจริงๆอะ และก็ตลกเกตุกับราชา ลูกหมอผีแขกนี่ล่ะ

= ขอบคุณมากๆ ฮะ / และน่าสงสารปนขำ กับเกตุและราชาเนอะ 555+


อ่านตอนนี้ได้รู้ประวัติของสะพานข้ามแม่น้ำแควไปเต็มๆ
 :pig4:

รักของจิวกับแว่น สองคนนี้เค้าใสใสดีเนอะ
ใส๊ใส  :haun4: ฮ่าฮ่า

แล้วที่คนแต่งใส่เครื่องหมาย"................" นี้อ่ะ
จะให้คนอ่านนึกถึงภาพอัลไล

นึกภาพอะไรไม่ออกแล้วตอนนี้
 :pighaun:
อิอิ

= นิยายเรื่องนี้ใสใส น๊า (ใสหัวเข้าไปในเต้นท์ 555+)

น้องๆ จูบกันอย่างเดียวครับ อิอิ  :hao6:


ขำมากกกกก  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
"พ่อไอ้ราชาเป็นหมอผีแขก"   กร๊ากกกก
"พ่องมึงสิเป็นหมอผี!! พ่อกูขายกำไลแขกอยู่พาหุรัดเว้ย ค-ว-ย" กร๊ากกกกๆ
"......... "
 ไรท์ บรรยายหน่อยสิ อยากรู้  :ling1: :ling1: :ling1:
เห็นแค่ "......... " มันสวรรค์อยู่ในเต้นท์ ยังไง
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

= สวรรค์ของคนเรา มีระดับชั้นที่ไม่เท่ากัน จูบน้อยๆ แค่นี้ของจิวและต้นข้าว ก็เป็นสวรรค์แล้วเหมือนกันน๊า  :ling1:

ปล. ขำเกตุกับราชาเนอะ อิอิ


:L2: :pig4:

หวานนนน ไม่นับตอนง่วงนะ

= ขอบคุณมากคร้าบ  :-[


:L2: :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :L2: :L2:

=  :mew1: :mew1: :mew1:


หลงรักเรื่องนี้ สนุกมาก
ละมุนละไมสุดๆ
กลิ่นอายอดีตเป็นฉากหลังที่อบอุ่นมากของเรื่อง
ยุคอนาล็อกให้ควารู้สึกติดตรึงบอกไม่ถูก
เป็นกำลังใจให้ทั้งคู่และคุณนักเขียนค่ะ

= ขอบคุณมากๆ นะฮะ ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกของจิวและต้นข้าวฮะ //ผู้อ่านน่ารักที่สุด  :กอด1:


--------------------------------


หน้าสารบัญ MBK~lover | คำสัญญาหน้า MBK (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3547149#msg3547149)


หัวข้อ: Re: MBK~lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๓ : สวรรค์อยู่ในเต้นท์ +++หน้า ๓+++ (๑๐/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 11-01-2017 07:49:51

MBK❤lover


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/1865209713-member.jpg)


ตอนที่ ๑๒ : สะพานแห่งความรัก


สะพานข้ามแม่น้ำแคว  จ.กาญจนบุรี


         จิวกับต้นข้าว เดินรวมกลุ่มตามเพื่อนๆ จนมาถึงริมแม่น้ำ ภาพที่อยู่ตรงหน้า มันก็คือ "สะพานเหล็ก" จริงๆ ด้วยแหล่ะ

 
(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/940650561-member.jpg)

สะพานข้ามแม่น้ำแคว ก่อนปี พ.ศ. ๒๕๓๐


         มันเป็นสะพานข้ามแม่น้ำหน้าตาธรรมดาๆ นี่ล่ะ มีเสาปูนอยู่ในแม่น้ำ ส่วนตัวสะพาน เป็นเหล็ก มีราวกั้นสะพานเป็นเหล็กเหมือนกัน เป็นราวโค้ง สลับกับราวทรงเหลี่ยมไปตลอดทั้งสะพาน และบนทางสะพาน ไม่ได้ให้รถหรือคนข้ามผ่าน แต่มันสร้างไว้เพื่อวางรางรถไฟโดยเฉพาะ

         รอบๆ บริเวณริมแม่น้ำ ก็ไม่มีอะไรโดดเด่น มีร้านขายเครื่องดื่มหลังคามุงสังกะสีอยู่สองสามร้าน มีพงหญ้ารกขึ้นครึ้ม ไม่มีนักท่องเที่ยวใดๆ มีแค่ฝรั่งผอมๆ เดินเล่นอยู่ใต้สะพานสองสามคน

         สรุปแล้ว นี่เป็นสะพานเหล็กหน้าตาธรรมดาสามัญที่สุด ไม่มีอะไรโดดเด่นงดงามทางสถาปัตยกรรมเลยโดยสิ้นเชิง!!! มันจะมีอะไรให้คนมาเที่ยววะ --ทั้งสองคนคิดในใจ

         จิวกับต้นข้าว อยู่ในกลุ่มเพื่อนสักพัก เห็นเพื่อนๆ เจี๊ยวจ๊าวแย่งกันให้ครูนิลถ่ายรูปให้ ต้นข้าวเลยสะกิดจิวให้เดินเลี่ยงออกมาก่อน เพราะจะเสียเวลารอทำไม วุ่นวาย

         จิวกับต้นข้าว ลองเดินขึ้นไปบนสะพาน มันก็มีแต่รางรถไฟแหล่ะ แต่ไม้หมอนที่พื้นมีแผ่นเหล็กปูต่อกัน ทำให้คนพอจะเดินบนนั้นได้แค่สวนกัน ไม่กว้างมาก มีพื้นที่แค่ตัวรถไฟแล่นผ่านเท่านั้น

         ทั้งสองเดินไกลมาจนถึงกลางสะพาน มองลงไปคือกึ่งกลางร่องแม่น้ำแควพอดี

         "มึงว่าระเบียงที่ยื่นๆ ออกไปตรงนี้ เอาไว้ทำอะไรอ่ะ"

         จิวเข้าไปยืนตรงระเบียงเล็กๆ ระหว่างราวกั้นขอบสะพาน ที่เหมือนยื่นล้ำออกไปนอกตัวสะพานนิดหน่อย เหมือนยืนอยู่กลางอากาศ

         "ไม่รู้ดิ เอาไว้ยืนตกปลามั้ง" ต้นข้าวตอบแต่ไม่ได้หันมามอง

         ตอนนั้นต้นข้าวยืนกลางสะพาน กำลังก้มมองผ่านช่องรางรถไฟลงไปดูน้ำในแม่น้ำแควด้านล่าง มองวงพรายน้ำที่ปลากระโดดเล่นน้ำหลายตัวอยู่ ใบหน้ายิ้มๆ อย่างมีความสุข และจิวก็กำลังมองต้นข้าวอย่างมีความสุขอีกต่อหนึ่ง

         สักครู่ จิวที่พิงราวเหล็กนอกระเบียงก็รู้สึกประหลาดๆ รู้สึกว่าราวเหล็กมันสั่นน้อยๆ เอ๋!แผ่นดินไหวหรือ

         อีกไม่นาน คำตอบนั้นก็มาถึง รถไฟขบวนหนึ่งกำลังเลี้ยวโค้งตามรางมาแต่ไกล และตอนนี้หัวรถจักรเริ่มเข้ามาในเขตคอสะพานแล้ว

         "ปู๊นนนนนน~"

         เสียงเปิดหวูดจากหัวรถดังมาก และราวสะพานก็สั่นมากขึ้นทุกที

         "เฮ้ย ตายห่าแล้ว รถไฟขึ้นมาบนสะพาน มาทางนี้แล้ว เอายังไงดี"

         ต้นข้าวหน้าซีด เกาะราวสะพานแน่น จะวิ่งกลับไปทางหัวสะพานที่เดินขึ้นมาก็ไม่ทันแล้ว

         หัวรถไฟมันวิ่งเร็วกว่าที่คิดมาก มันกำลังจะถึงกลางสะพานที่สองคนยืนอยู่แล้ว จะหลบไปตรงไหน เสียงหวูดเตือนดังสนั่นหวั่นไหวอีกครั้ง แก้วหูทั้งสองคนลั่นเปรี๊ยะ

         "กระโดดลงน้ำนะ"

         ต้นข้าวทำท่าจะโดดจริงๆ แต่มือของจิว เอื้อมมาดึงต้นข้าวไว้ แล้วลากตัวต้นข้าวอย่างแรงเข้ามาหาตัวจิว ที่กำลังยืนอยู่บนระเบียงเล็กๆ ที่ยื่นออกไปนอกแนวราวสะพานนั่น

         แรงเหวี่ยง ทำให้ต้นข้าวโผเข้าไปชนกับจิว หน้าเกือบชนกัน จิวเอาสองมือรั้งเอวต้นข้าวให้แนบชิดเข้ามาอีก จนตัวจิวและต้นข้าวแทบจะลอยอยู่นอกสะพาน จมูกทั้งสองชนกัน ปากห่างกันไม่ถึงนิ้ว ลมหายใจร้อนรดกัน และหลับตาปี๋

         และเวลาเดียวกัน หัวรถจักรก็วิ่งผ่านหลังต้นข้าวไป รวมทั้งขบวนโบกี้อันยาวเหยียด แล่นผ่านพ่วงกันไปยาวเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด เสียงล้อกระทบรางเหล็ก ดังกึงกังกึงกังสนั่นหวั่นไหว  ลมจากข้างใต้รถหมุนวนตีกลับขึ้นมาจนตัวแทบปลิว จิวกอดต้นข้าวแน่นขึ้นอีก และตอนนี้ต้นข้าวก็ยกมือทั้งสองขึ้นมาปิดสองหูให้จิวด้วยเช่นกัน

         ในที่สุด รถโบกี้ขบวนสุดท้ายก็ผ่านไป ทุกอย่างกลับมานิ่งสงบเหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้นมาก่อน เหลือแต่จิวกับต้นข้าวที่ยังยืนกอดหันหน้าชนกันแน่นแบบนั้น ทั้งคู่หายใจหอบแรง

         สักพักก็เป็นเสียงระเบิดหัวเราะของคนทั้งสอง จิวปล่อยมือต้นข้าว แล้วขำจนไหล่โยก ต้นข้าวก็เช่นกัน

         "เหมือนในหนังไทยเลยนะ ฮ่าๆๆๆ" ต้นข้าวหัวเราะต่อ

         "ฮ่าๆๆ ทีนี้รู้หรือยัง ว่าระเบียงที่ยื่นออกไปนี่ มันเอาไว้ทำอะไร" จิวเอามือเขี่ยหลัง ถามต้นข้าว

         "รู้แล้ว เอาไว้ให้คู่รักยืนกอดกันไง ฮ่าๆๆ" ต้นข้าวยังขำอยู่

         "เราเดินไปต่อกันอีกนิดนะ ไปสุดด้านที่รถไฟมันมาเมื่อกี้น่ะ มันคงไม่มีอีกขบวนมารางเดียวกันหรอก" จิวชวน

         "ไปดิ แต่มาแข่งกันดีกว่า อย่าเดินแบบธรรมดาเลย มาแข่งกันเดินไปบนรางนี่ดีกว่า เดินกันคนละรางเดียวเนี่ย ห้ามเดินตกลงมานะ" ต้นข้าวนึกสนุก

         "ได้เลย มาๆ"

         จิวกระโดดขึ้นไปยืนเลี้ยงตัวบนรางรถไฟแล้ว ยืนโอนเอนไปมา ต้นข้าวก็ขึ้นตาม ทรงตัวเอียงไปเอียงมาทั้งคู่ แล้วเริ่มเดิน

         เมื่อเดินไปสักสองสามก้าว เริ่มรู้สึกว่าทรงตัวยาก แขนของทั้งคู่ต้องกางแกว่งโบกไปมาบนอากาศเพื่อทรงตัวให้ได้บนรางเดี่ยวนั้น

         แกว่งแขนไปมา มือของทั้งคู่ก็มาชนกัน จิวเลยจับมือข้างหนึ่งของต้นข้าวอยู่กลางอากาศนั้น โดยตัวทั้งสองคนยืนอยู่บนรางรถไฟคนละข้าง มือลอยจับกันระหว่างราง ทำให้การทรงตัวมั่นคงขึ้น พอยืนได้นิ่งไม่โอนเอนแล้ว หันมามองหน้ากัน
 
         "เดินจับมือไปด้วยกัน เดินง่ายกว่านะ" จิวบอกต้นข้าวยิ้มๆ

         ต้นข้าวยิ้มตอบ  กำมือจิวกระชับแน่นกว่าเดิม แล้วทั้งคู่ก็เดินต่อไปบนรางนั้น โดยจับมือกันชูสูง ตัวทั้งสองคนที่อยู่บนรางคู่ต่างคนต่างเอียงออกไปซ้ายขวาคนละข้าง เพื่อการทรงตัว  แดดบ่ายส่องเฉียงจากทางด้านหน้า เห็นเป็นเงาทอดยาวมาด้านหลัง เงาจากตัวของทั้งคู่และการจับมือชูสูงแบบนั้น มันทอดมาบนรางรถไฟ มองเผินๆ เป็นรูปหัวใจ!!!

         "แช๊ะ..." เสียงลั่นชัตเตอร์ของกล้องถ่ายรูปจากข้างหลัง

         "นักเรียน นักเรียนสองคนนั่นน่ะ มานี่!!" เสียงครูนิลตะโกนเรียกอยู่ข้างหลัง

         จิวกับต้นข้าวหันมาเห็นครูก็ตกใจ รีบปล่อยมือที่จับกัน ก้าวลงจากรางที่ขึ้นไปเดินอยู่ ย้อนกลับมาหาครูนิล

         "ครับครู" จิวขานรับ

         "กลับได้แล้ว" ครูนิลพูดยิ้มๆ "มีคนบอกว่ารถไฟวิ่งผ่านบนสะพาน แล้วมีนักเรียนติดอยู่กลางสะพาน ครูเลยรีบเดินมาดู ไม่เป็นอะไรใช่ไหม"

         "ครับครู" ต้นข้าวไม่รู้จะพูดอะไรดีกว่านั้น

         "เมื่อครู่นี้ ก่อนครูจะเรียกเธอ ครูเห็นเธอทั้งคู่กำลังเดินจับมือกันบนรางรถไฟใช่ไหม" ครูถาม

         "ครับครู" จิวตอบแต่ในใจกระตุกวูบ แล้วมองหน้าต้นข้าว

         "นั่นสิ ครูเห็นมันมีแสงเงา และองค์ประกอบสวยมาก ครูเลยถ่ายรูปนั้นให้เธอแล้วนะ รูปน่าจะออกมาสวยดี เหมือนรูปหัวใจเลย แต่มันเป็นข้างหลังนะ จะถ่ายใหม่ไหม เอาแบบให้เห็นหน้า" ครูนิลพูดยิ้มๆ

         "ไม่เป็นไรครับครู เอารูปเมื่อกี้ก็ได้ครับ" ต้นข้าวบอก แล้วหันไปยิ้มกับจิว

         "ดี งั้นกลับกันเถอะ"


--------------------------------


         รูปถ่ายที่เห็นแต่ด้านหลังใบนั้น นับเป็นรูปคู่ใบแรกของทั้งสองคน จากนั้นไปอีกชั่วชีวิต จะถ่ายรูปกันอีกกี่พันครั้ง หรือมีกล้องที่ทันสมัยกว่านี้อีกร้อยเท่า แต่ไม่เคยมีรูปใดมีความหมายกับทั้งสอง มากไปกว่ารูปนี้เลย

         ขากลับ จิวและต้นข้าวมองไปทางสะพานข้ามแม่น้ำแควอีกครั้ง แต่คราวนี้ ไม่ได้มองมันในฐานะแค่ "สะพานเหล็กธรรมดา" แล้ว

         บางสิ่งบางอย่าง ถึงจะดูธรรมดา แต่ถ้ามันมีเรื่องราวประทับใจของมันให้นึกถึง มันก็อาจกลายเป็นเรื่องที่ถูกเล่าต่อไปอีกนานแสนนาน

         ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสะพาน...หรือคน


--------------------------------

 
สะพานข้ามแม่น้ำแคว ในปัจจุบัน

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/731077085-member.jpg)


หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๔ : สะพานแห่งความรัก +++หน้า ๔+++ (๑๑/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 11-01-2017 10:38:50
หวานกันได้ทุกที่จริงๆ   :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๔ : สะพานแห่งความรัก +++หน้า ๔+++ (๑๑/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 11-01-2017 13:38:28
 :-[

อ๋ายยย เรานึกตามตอนที่จับมือ ต้องเป็นภาพที่สวยมากๆเลย

:L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๔ : สะพานแห่งความรัก +++หน้า ๔+++ (๑๑/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 11-01-2017 14:25:42
อ่ออออ...รู้แระ
ชวนกันเสียวบนสะพาน
มันดีอย่างนี้..นี่เอง

อิอิ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๔ : สะพานแห่งความรัก +++หน้า ๔+++ (๑๑/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: i_Tipz ที่ 11-01-2017 14:34:47
น่าฮักขนาด  :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๔ : สะพานแห่งความรัก +++หน้า ๔+++ (๑๑/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: zipboy ที่ 11-01-2017 15:43:10
น่ารักจริง อะไรจริง : )

ติดตามต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๔ : สะพานแห่งความรัก +++หน้า ๔+++ (๑๑/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 11-01-2017 16:47:26
 เป็นการโพสถ่ายรูปโดยไม่ได้ตั้งใจแถมยังเป็นความทรงจำดีๆอีกด้วย
  รออ่านตอนใหม่คับ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๔ : สะพานแห่งความรัก +++หน้า ๔+++ (๑๑/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-01-2017 18:12:07
สะพานแม่น้ำแคว
สะพานแห่งความทรงจำ
ความยิ่งใหญ่ของสะพานตามจริง
อนุสรณ์สถานสงครามโลกครั้งที่๒ที่โด่งดังไปทั่วโลก
ไม่เท่าความหวานบนสะพานของคู่รักซะแล้ว
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๔ : สะพานแห่งความรัก +++หน้า ๔+++ (๑๑/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 11-01-2017 20:41:34
อ่านตอนที่หนึ่งแล้วพบว่า นอกจากปากกาคอแร้งแล้ว ก็ไม่มีอะไรเก่าย้อนไปถึงปี 27  ทุกสิ่งที่บรรยายอยุ่ในยุค 30 กว่าๆ เท่านั้น เช่นคำว่า จ๊าบ เป็นต้น
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๔ : สะพานแห่งความรัก +++หน้า ๔+++ (๑๑/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 11-01-2017 21:34:49

หวานกันได้ทุกที่จริงๆ   :mew1: :mew1: :mew1:
= อยากให้หวานกันไปนานๆ เนอะคะ น่ารัก  :mew2:


:-[

อ๋ายยย เรานึกตามตอนที่จับมือ ต้องเป็นภาพที่สวยมากๆเลย

:L2: :pig4:
= ต้องออกมาเป็นภาพถ่ายที่น่าประทับใจจริงนะคะ  :hao5:


อ่ออออ...รู้แระ
ชวนกันเสียวบนสะพาน
มันดีอย่างนี้..นี่เอง

อิอิ
= เปลี่ยนจากตามบ้าน มาเป็นบนสะพาน น่าจะดีนะครับ 555+  :hao7:


น่าฮักขนาด  :impress2: :impress2:
= น่ารักเนอะ  :mew2:


น่ารักจริง อะไรจริง : )

ติดตามต่อไปครับ
= ขอบคุณมากๆ นะครับ  :mew1:


เป็นการโพสถ่ายรูปโดยไม่ได้ตั้งใจแถมยังเป็นความทรงจำดีๆอีกด้วย
  รออ่านตอนใหม่คับ
= ขอบคุณมากๆ นะครับ  :mew3:


สะพานแม่น้ำแคว
สะพานแห่งความทรงจำ
ความยิ่งใหญ่ของสะพานตามจริง
อนุสรณ์สถานสงครามโลกครั้งที่๒ที่โด่งดังไปทั่วโลก
ไม่เท่าความหวานบนสะพานของคู่รักซะแล้ว
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
= หวานกันจนเหล็กละลายกันเลยทีเดียว  :o8:


อ่านตอนที่หนึ่งแล้วพบว่า นอกจากปากกาคอแร้งแล้ว ก็ไม่มีอะไรเก่าย้อนไปถึงปี 27  ทุกสิ่งที่บรรยายอยุ่ในยุค 30 กว่าๆ เท่านั้น เช่นคำว่า จ๊าบ เป็นต้น
= ขอบคุณมากๆ นะคะสำหรับข้อมูล จะพยายามหาข้อมูลให้มากกว่านี้นะคะ  :mew1:


--------------------------------


หน้าสารบัญ MBK~lover | คำสัญญาหน้า MBK (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57141.msg3547149#msg3547149)


หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๔ : สะพานแห่งความรัก +++หน้า ๔+++ (๑๑/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Wendy ที่ 11-01-2017 23:03:51
ตามทันแล้ววว
งานยุ่งมาก เพิ่งจะได้แวปมาอ่านวันนี้เอง
สองหนุ่มพอใจตรงกันแล้วน่ารักมาก
ชอบจิวมาก เป็นผู้ใหญ่ ปกป้อง ดูแลต้นข้าวได้ ที่สำคัญรักน้องม้ากมาก
ชอบภาษาคนเขียนมาก ภาษาสวย สร้างกรอบแนวคิดให้ตัวละครชัดเจน สร้างบรรยากาศในอดีตได้ดีมากด้วย ย้อนวัยเลยยยยย
ติดตามและเป็นกำลังใจให้นะคะ
 :L2:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๔ : สะพานแห่งความรัก +++หน้า ๔+++ (๑๑/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 12-01-2017 06:22:52

MBK❤lover


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/1865209713-member.jpg)


ตอนที่ ๑๓ : มเหสีขี้หึงประหนึ่งเสือ


         เย็นวันหนึ่งตอนเลิกเรียน หลังจากต้นข้าวไปช่วยเพื่อนในกลุ่มจัดบอร์ดความเป็นมาของวันลอยกระทงเสร็จแล้ว ซึ่งจัดกันวุ่นวายหลายคน เถียงเรื่องรูปกันไปมา กว่าจะเสร็จเกินเวลาล่าช้าไปมาก ต้นข้าวก็เดินกลับมาเก็บกระเป๋านักเรียนที่ห้องเรียน แต่ไม่พบจิวอยู่ที่ห้อง เลยยืนทำเสียง จึ๊จ๊ะ หงุดหงิดอยู่คนเดียว

         "ต้นข้าว" เนติเดินมาหาต้นข้าวที่โต๊ะ "จิวมันฝากบอกว่า ให้มึงตามไปเจอมันที่ศูนย์อาหาร ห้างมาบุญครองอ่ะ มันมีธุระ เลยออกไปก่อน ไม่ได้รอมึง"

         "อ้าวเหรอ" ต้นข้าวทำคิ้วขมวด "มันจะรีบไปทำอะไรของมันขนาดนั้น รอหน่อยก็ไม่ได้"

         เนติหัวเราะหน้าทะเล้น "ไม่รู้มัน เห็นรีบออกไปอ่ะ ฮั่นแน่...มึงรีบตามไปดูสิ มันแอบนัดหนุ่มที่ไหนไว้หรือเปล่า ฮ่าๆๆ"

         อารมณ์ต้นข้าวกำลังหงุดหงิดอยู่จากการเสียเวลาจัดบอร์ด แถมจิวยังรีบออกไปไม่บอกไม่กล่าว ใจก็ร้อนพอแล้ว ดันมาเจอไอ้เนติราดน้ำมันเบนซินใส่อีก

         "นัดใครก็ช่างมันปะไร เกี่ยวไรกะกู" ปากต้นข้าวพูด แต่มือก็หยิบกระเป๋าพร้อมออกแล้ว

         จิวนัดใครไว้-จิวนัดใครไว้-จิวนัดใครไว้ เสียงความคิดตัวเองวนเวียนในหัวต้นข้าวตลอดทางที่มาถึงห้างมาบุญครอง

         ในช่วงเวลานั้น "ห้างมาบุญครอง" สถานที่พิเศษของจิวและต้นข้าว ได้เปิดให้บริการมาหลายเดือนแล้ว แต่จิวและต้นข้าวยังไม่เคยได้มาเดินด้วยกันจริงๆ จังๆ เลย นับตั้งแต่ค่ำวันพิเศษสุดที่ทั้งสองคนมานั่งมองมันอย่างหวานชื่นพร้อมคำมั่นสัญญากัน ตอนตึกก่อสร้างใกล้เสร็จ

         ต้นข้าวเดินเข้าประตู "นครหินอ่อนใจกลางเมือง" มาอย่าง งงๆ อาจเป็นเพราะมันค่อนข้างใหญ่โตมาก เรียกได้ว่าเป็นห้างใหญ่โตมากที่สุดในเมืองไทยตอนนั้นเลยล่ะ

         ข้างในตัวห้างยังโล่งๆ ร้านค้ายังมาเปิดไม่ครบ บางชั้นยังตกแต่งไม่เสร็จดี  ต้นข้าวเดินผ่านร้านขายเทปแมงป่อง ที่ขายเทปคาสเซ็ทเพลงทันสมัยแห่งยุค ร้านลูกแมวที่ขายวีดีโอเทป ร้าน "555" (ตองห้า) ขายกระดาษสวยๆ ที่วัยรุ่นเอาไว้เขียนจดหมายจีบกัน

         ต้นข้าวเดินผ่านลานเสก็ตชนิดสี่ล้อ Diamond Skate และเห็นป้ายโฆษณาดาดฟ้าชั้น ๘ มีสวนสนุกของแดนเนรมิตมาเปิดที่นี่ด้วย ของเล่นที่ฮิตสุดคือรถรางไฟฟ้าที่แล่นเข้าบ้านผีสิง

         ต้นข้าวเดินผ่านรูปแกะสลักหินอ่อนรูปคนครึ่งตัว สองรูป มีชื่อเขียนที่ฐานไว้ว่า "นาย มา" และ "นาง บุญครอง" พอเดินเลยมาอีกนิด ก็มาเจอเคาเตอร์ประชาสัมพันธ์ จึงเข้าไปถามทางไปศูนย์อาหาร และได้คำตอบจากพนักงานว่าอยู่ที่ชั้นสี่ ชั้นเดียวกับซุปเปอร์มาเก็ต

         ศูนย์อาหารมาบุญครอง ในตอนนั้น นับว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด ที่ใครฟังแล้วก็ว่ามันตลก อะไรกัน เอาร้านอาหารมาเปิดรวมตัวกันในห้างนี่นะ ใครมันจะเข้าไปนั่งกิน ไม่มีห้างสรรพสินค้าใดๆ ในกรุงเทพฯ ทำมาก่อนเลยสักห้างเดียว

         แถมจะใช้เงินสดซื้ออาหารเหล่านั้นไม่ได้ด้วย ต้องเอาเงินสดไปเปลี่ยนเป็นคูปองกระดาษก่อน จึงเอาคูปองนั้นไปซื้ออาหาร ดูวุ่นวายซับซ้อน ห้างมาบุญครองเป็นห้างแรกที่ริเริ่มทำระบบนี้

         กลางลานชั้นสี่ มีชุดโต๊ะเก้าอี้สำหรับนั่งกินอาหารวางอยู่จำนวนมาก ทั้งแบบอยู่เป็นกระจุกตรงกลาง และแบบหลบเข้ามุมตามเสา หรือซอกหลืบต่างๆ ส่วนริมๆ รอบห้องนั้น เป็นช่องเหมือนร้านขายอาหารเล็กๆ มากมายหลายร้านเรียงกันไป แต่เห็นคนยืนต่อคิวกันแน่นเฉพาะหน้าร้านขายหอยทอดของดารา อรัญญา-เศรษฐา และร้านเกาเหลาเนื้อตุ๋นยาจีน มากกว่าร้านอื่นๆ

         ต้นข้าว ที่ตอนนี้เริ่มร้อนใจ  พยายามชะเง้อมองหาจิว ว่านั่งอยู่ที่โต๊ะไหน เดินหาจนรอบก็ไม่เห็น ตอนนั้นเป็นช่วงเย็น คนในศูนย์อาหารค่อนข้างเยอะ โต๊ะเต็มเกือบทุกโต๊ะ

         เดินหาจนแทบจะถอดใจ เดินเลี้ยวมาอีกมุมหนึ่งทางริมกระจกฝั่งแยกปทุมวัน  ต้นข้าวก็ได้เห็นจิวจากทางด้านข้าง นั่งแอบอยู่โต๊ะที่ค่อนข้างหลบมุม และตอนนี้จิวกำลังนั่งหัวเราะกับใครอีกคนหนึ่งในโต๊ะเดียวกัน ซึ่งตอนนี้ยังมองไม่เห็น เสาบัง ต้นข้าวใจหายวาบ

         ต้นข้าวรีบหลบมุมวูบที่หลังเสา ใจเต้นแรง อะไรกันนี่ หนีออกมาจากโรงเรียนก่อนก็ไม่บอกกัน แถมมาแอบนั่งหัวเราะคิกคักๆ กับใครอยู่ เหมือนที่เนติมันบอกเป็นนัยๆ มาเมื่อกี้เลย

         ต้นข้าวเริ่มลังเล สับสน เกิดอะไรขึ้นระหว่างต้นข้าวและจิวหรือ ทั้งๆ ที่เกือบปีที่ผ่านมา ตอนอยู่ในโรงเรียนตัวก็แทบจะติดกันตลอดเวลา แถมเวลามาและกลับบ้านก็พร้อมกันทุกวัน ยกเว้นจะมีวันที่ลาป่วย หรือลาหยุดเรียนเพื่อทำธุระส่วนตัวของแต่ละคนที่บ้านบ้าง แต่ก็นานๆ ครั้งหนึ่ง

         ส่วนเรื่องการบ้านก็อยู่ช่วยกันทำจนเสร็จ จึงจะแยกย้ายกลับบ้าน ถ้าไม่ไปทำกันที่ร้านน้ำปั่นก็จะมาทำกันที่บ้านต้นข้าว บนห้องนอนต้นข้าว แล้วจิวค่อยกลับบ้าน

         มีเรื่องเดียวที่แปลก คือต้นข้าวยังไม่เคยไปบ้านจิวเลย อาจเพราะบ้านจิวเป็นโรงงานเล็กๆ ไม่สะดวกสำหรับต้อนรับแขก และจิวยังไม่เคยเอ่ยปากชวน ต้นข้าวเลยยังเฉยๆ กับเรื่องนี้

         จนทุกวันนี้เพื่อนๆ ที่โรงเรียนแทบไม่มีใครมีคำถามแล้ว เห็นหน้าคนหนึ่งก็ต้องเห็นอีกคน มีธุระปะปังอะไร ก็ฝากบอกอีกคนได้เหมือนคนเดียวกัน

         หรือนี่มันจะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว

         ต้นข้าวไม่อยากให้ใจเต้นโครมครามมากไปกว่านี้ ถ้านี่จะเป็นสิ่งที่เห็นด้วยตาตนเองว่าจิวจะมีคนอื่นมาแทนที่ หรือแม้แต่จะแอบมีใครอีกคนพร้อมๆ กันไป  แค่คิด ต้นข้าวก็แทบจะรับไม่ได้แล้ว ใจร้อนเหมือนจะลุกเป็นไฟ

         ต้นข้าวเอาตัวแนบเสาต้นใหญ่ตรงนั้น ค่อยๆ โผล่หน้าออกไปทีละนิด แล้วก็ได้เห็น

         จิว กำลังถือตลับเทปคาสเซ็ทตลับหนึ่งในมือ ชี้ชวนให้หนุ่มน้อยคนหนึ่งที่นั่งด้วย ดูสิ่งที่อยู่บนหน้าปกเทปนั้น แล้วหัวร่อต่อกระซิกกัน หน้าตาดูมีความสุข แล้วหนุ่มน้อยคนนั้นก็หยิบเทปจากมือจิวไป เอาไปวางไว้ข้างหน้าตัวเอง แล้วหัวเราะออกมาอีก

         ต้นข้าวอ้าปากค้าง ใจที่เต้นโครมครามเมื่อครู่นี้เหมือนจะหยุดเต้นไปแล้ว มันแปรเปลี่ยนไปเป็นความน้อยใจ ความเสียใจ ความโมโห และท้ายสุด เป็นความแค้น!

         เพราะคนที่นั่งคุยอยู่กับจิว  คือหนุ่มน้อยที่ต้นข้าวเคยเจอมาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง ชื่อ "แจ๊ส" หน้าตาดีมาก ขาว สูง เพรียว ช่างพูดช่างคุย และเคยเป็นแฟนกับเอก-ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อนสนิทในกลุ่มของต้นข้าวและจิวเอง

         "เจ้าชายกับเจ้าชาย" ที่เคยพ่วงไปกับเอก ในวันที่ไปเที่ยวแดนเนรมิตด้วยกันในครั้งนั้น

         เจ้าชายแมวขโมย ตอนนี้กำลังลักกิน แอบกิน!!!


--------------------------------


         ต้นข้าวคิดว่าตนเองทนดูภาพนั้นไม่ได้อีก  ต้นข้าวคงไม่ได้เป็นคนที่สำคัญที่สุดของจิวอีกต่อไปแล้วสินะ จิวคงโทรไปขอเพลงรักจากรายการวิทยุ แล้วอัดเทปมาให้คนใหม่แล้ว  และที่สำคัญ แจ๊สมันเป็นแฟนของเพื่อนแท้ๆ เพื่อนกันยังทำกันได้ลงคอ นี่มันแมวขโมยกินชัดๆ

         ต้นข้าวผละออกจากเสา ตาเริ่มแดงๆ เดินใจลอย กำหมัดแน่น ลงจากห้างมาที่ป้ายรถเมล์  ถ้าครั้งหนึ่งหลายเดือนก่อน ต้นข้าวเคยมีความรู้สึกว่าพื้นปูนที่เดินตอนมีความรัก มันเบา ลอย และมีกุหลาบโปรยลงมาที่หัว

         แต่วันนี้ พื้นหินอ่อนของห้างที่หรูที่สุดในประเทศ กลับแข็งกระด้าง และเป็นตะปุ่มตะป่ำแหลมคม บาดเท้าในทุกก้าวที่เหยียบ แถมบนหัวยังมีเม็ดกรวดและก้อนหินตกลงมาใส่อีก เจ็บปวดไปหมดทั้งตัว  คืนนั้นกว่าต้นข้าวจะหลับตาลง ก็เกือบเช้าวันใหม่ ด้วยความทุกข์และความแค้นเต็มหัวใจ


--------------------------------


         เช้าวันนี้ต้นข้าวมาโรงเรียนสาย หน้าตาเหมือนคนเหม่อลอย ใจมัวแต่พะวงคิดว่า ถ้าวันนี้เจอจิว จิวจะทำหน้าอย่างไร จะมีพิรุธอะไรไหม ต้นข้าวเกลียดคนใจโลเลหลอกลวงกัน เกลียดคนแอบแทงข้างหลัง เกลียดคนแอบลักขโมยกิน และเกลียดคนชื่อแจ๊สนั่น อยากจะทำอะไรลงไปสักอย่างให้รุนแรงและสาสม

         ใจก็บ่นว่าเกลียด แต่พอถึงห้องเรียน ต้นข้าวก็แอบชะเง้อมองไปที่โต๊ะหลังห้อง ก็ไม่เห็นวี่แววของจิว หึหึ! ดีแล้ว อย่าพึ่งมาให้เห็นหน้าเลย ทำใจไม่ได้ --ว่าแต่จิวไปไหนหว่า ทำไมไม่มาเรียน-- ต้นข้าวแอบคิด

         ครึ่งวันเช้าของการเรียน ต้นข้าวเลยตั้งใจจดจ่อกับหนังสือตรงหน้า พยายามไม่คิดอะไร จนระฆังบอกเวลาเที่ยง กำลังจะเก็บหนังสือลงเก๊ะ เอกก็เดินมาหาที่โต๊ะ

         ต้นข้าวเห็นหน้าเอกแล้วแอบเบ้ปากเป็นสระอิ  คิดในใจ เอกมันจะรู้ไหมนี่ ว่าแฟนมันแอบมีกิ๊กใหม่แล้ว แถมกิ๊กคนนั้นคือแฟนกูอีก และกูนี่ล่ะจะต่อยไอ้แจ๊สคนแรก

         "ต้นข้าว เมื่อวานตอนเย็นทำไมนายไม่ไปมาบุญครองล่ะ" เอกทำหน้ายิ้มๆ ถาม

         --ไปสิ ทำไมไม่ไป ไม่งั้นจะได้เห็นอะไรดีๆ เหรอ-- ต้นข้าวคิดในใจ แต่ปากกลับตอบไปว่า

         "อื่อ จัดบอร์ดยังไม่เสร็จน่ะ ตามไปไม่ทัน"

         "แล้วจิวบอกนายหรือยัง ที่เราจะไปเที่ยวด้วยกันอ่ะ" เอกถามต่ออีก

         --ใครจะไปกับมึง-- ต้นข้าวคิด แต่ตอบไปว่า "ป่าวนี่ เรายังไม่เจอจิวเลย ตั้งแต่เมื่อเย็นนะ"

         เอกยิ้ม "เสียดายจัง เมื่อวานน่าจะไป จะได้คุยพร้อมๆ กัน แต่พวกเราก็วางแผนไว้คร่าวๆ แล้วล่ะ"

         --พวกเรา??-- ต้นข้าวเริ่มงงคำนี้ขึ้นมาแล้ว ก็เมื่อวานเห็นจิวอยู่กับแจ๊สสองต่อสองนี่ แล้วจะไป "พวกเรา" อะไรกันตอนไหน

         เอกคงเห็นต้นข้าวทำหน้างงๆ เอ๋อๆ เลยอธิบายต่อ

         "ก็เมื่อวาน เราและแจ๊ส นัดจิวกับนายไปเจอกันที่มาบุญครองไง แต่นายไม่มาน่ะ เราชวนไปคุยเรื่องที่พวกเราจะไปเที่ยวเกาะเสม็ดกัน"

         "พวกเราไปเกาะเสม็ด!!!" ต้นข้าวอุทาน หน้ายิ่งงงงวยมากกว่าเดิม

         เอกมองหน้าต้นข้าว แล้วก็พลอยงงตามต้นข้าวไปด้วย //เอ๊ะ หรือกูจำเหตุการณ์เมื่อวานผิดไป ทำไมต้นข้าวมันงงหว่า มันก็ใช่ตามนี้นะ ไหนลองทบทวนเหตุการณ์เมื่อวานอีกที...


--------------------------------


         เมื่อวานเย็น เอกนัดกับแจ๊สแฟนตัวเองไว้ที่มาบุญครองหลังเลิกเรียน จะคุยเรื่องไปเที่ยวต่างจังหวัด และชวนจิวกับต้นข้าวไปหาแจ๊สด้วยกัน แต่ต้นข้าวลงไปจัดบอร์ดลอยกระทงนานมาก ยังไม่ขึ้นมา

         เอกบอกจิวว่าแจ๊สอยู่คุยด้วยได้ไม่นาน ต้องรีบกลับบ้าน เลยชวนจิวให้รีบออกไปมาบุญครองไปเจอแจ๊สก่อน แล้วฝากบอกเนติ เพื่อนอีกคน ให้บอกต้นข้าวรีบตามไปหา

         เอกและจิวมาถึงมาบุญครอง ก็เจอแจ๊สนั่งรออยู่แล้วที่โต๊ะ ทั้งสามคนก็เริ่มปรึกษากัน

         "เรื่องไปเที่ยวอ่ะ เดือนหน้ามีวันหยุดเรียนตั้งหลายวันแน่ะ" เอกเปิดเรื่อง

         "เราจะไปกันแค่สี่คนนี้ใช่ไหม กู ต้นข้าว มึง และแจ๊สแฟนมึง" จิวถามเอก

         "ใช่แล้วฮะ ไปกันสี่คน ไม่เรื่องมากดีฮะ" แจ๊สชิงตอบพร้อมยิ้มหวานให้

         "เอาไงดี ไปสวนสามพรานไหม หรือสวนนงนุชดี" จิวเสนอ

         "สวนสามพราน อย่าไปเลย เขาบอกไปแล้วจะเลิกกับแฟน" เอกเสริมข่าวลือ

         "โห หยุดหลายวันทั้งที ไปแบบยากๆ หน่อยสิฮะ ที่คนเค้าไม่ไปกัน นี่เลยฮะ นี่ๆๆ" แจ๊สหยิบตลับเทปคาสเซ็ทม้วนหนึ่งส่งให้จิว

         จิวหยิบตลับเทปนั้นขึ้นมาดูหน้าปกแบบงงๆ "อะไรวะ เทปเพลงใคร"

         "ม้วนนี้พึ่งออกใหม่ฮะ แจ๊สพึ่งซื้อมาเมื่อกี้นี้เอง อัลบั้มแรกเปิดตัวศิลปินคนใหม่ฮะ ชื่อเบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย" แจ๊สอธิบายพร้อมชี้ไปที่ปกเทปนั่น

         จิวหยิบเทปมาดูปกใกล้ๆ "ใครวะเบิร์ดแบ๊ดอะไรเนี่ย แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่เราจะไปเที่ยวกันอ่ะ"

         "นี่ไงฮะ" แจ๊สก้มลงไปจะหยิบของจากถุงที่หิ้วมา "อ้าว! โปสเตอร์ที่แถมมากับเทปม้วนนี้ไปไหนล่ะ"

         "เฮ้ย ไปวางไว้ไหน ตัวเองลืมหยิบมาจากร้านที่ซื้อเมื่อกี้ป่าว" เอกตกใจ ก้มลงไปช่วยมองหาบ้าง

         "เดี๋ยวแจ๊สวิ่งลงไปเอาให้ฮะ รอแป็บนะฮะ" แจ๊สทำท่าจะลุก

         "ไม่ต้องหรอกแจ๊ส เดี๋ยวเค้าเดินลงไปเอาให้ตัวเองนะ นั่งอยู่นี่แหล่ะ เอาใบเสร็จมานี่  ซื้อจากร้านแมงป่องใช่ไหม" เอก ทำคะแนนเอาอกเอาใจแฟนน่าดู

         ..................

         ขณะที่เอกเดินลงไปร้านแมงป่อง จิวก็ยกปกเทปขึ้นมาดูใหม่

         "ที่เที่ยวที่จะไป เกี่ยวกับเทปนี่หรือวะ" จิวพลิกเทปไปมา

         "ใช่ฮะ รูปบนหน้าปกเทปนี่ นักร้องเค้าถ่ายรูปคู่กับเรือไม้ที่เกาะเสม็ด เห็นบอกว่าที่อ่าวพร้าวฮะ แจ๊สอยากไป"

         จิวก้มมองอีกที แล้วหัวเราะออกมา "ไปเที่ยวตามรอยปกเทปนี่นะ แล้วจะไปยังไงวะเกาะเสม็ด ไม่เคยไป ไม่เห็นมีใครเขาอยากไปกัน ลำบากลำบนจะตาย"

         แจ๊สเอื้อมหยิบตลับเทปมาวางตรงหน้า แล้วหันหน้าไปซ้ายไปขวา เลียนแบบรูปบนหน้าปกเทป พร้อมกับหัวเราะ แล้วบอกจิวว่า

         "แจ๊สจะขอยืมกล้องถ่ายรูปของพ่อไปด้วยฮะ แล้วไปถ่ายกับเรือแบบนี้ฮะ"

         จิวนึกขำท่าทางดุ๊กดิ๊กของแจ๊ส ก็หัวเราะออกมา

         ..................

         "หัวเราะกันสนุกเลย ตกลงได้แล้วเนอะ ว่าไปเกาะเสม็ดกัน" เอก เดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมโปสเตอร์ที่แถมมากับเทปเพลง

         มันเป็นโปสเตอร์ขยายใหญ่ รูปเดียวกันกับในรูปหน้าปกเทป ที่นักร้อง เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย ถ่ายกับเรือไม้ อยู่ที่หาดทรายบนอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด จ.ระยอง ในอัลบั้มแรกที่พึ่งเปิดตัวไปหมาดๆ "หาดทราย สายลม สองเรา"

         จิวหันไปยิ้ม "ก็ดีนะ แว่นมันคงชอบ ถ้าแว่นรู้แว่นคงอยากไปด้วยกันแน่"

         "โอเคนะฮะ ไปกันเดือนหน้า ไว้ค่อยมานัดก่อนไปกันอีกทีนะฮะ แจ๊สต้องรีบกลับบ้านก่อน เอกไปส่งแจ๊สที่บ้านนะฮะ"

         แล้วแจ๊สส่งม้วนกระดาษให้จิว "จิวเอาโปสเตอร์นี้ไว้ก่อนก็ได้ฮะ เอาให้ต้นข้าวดูก่อน ต้นข้าวจะได้ตื่นเต้นฮะ"

         หลังจากนั้นแจ๊สกับเอกก็ลุกขึ้นจะกลับบ้าน  เอกเห็นว่าเย็นมากแล้ว เลยชวนจิวกลับด้วย แต่จิวบอกว่าต้นข้าวอาจยังจัดบอร์ดที่โรงเรียนไม่เสร็จ ให้เอกกับแจ๊สกลับบ้านไปก่อน จิวจะนั่งรอต้นข้าวอยู่ที่นี่ จนกว่าต้นข้าวจะมา...


--------------------------------


         "เรื่องมันก็เป็นแบบนี้ล่ะ" เอกสรุป หลังจากเล่าให้ต้นข้าวฟังทุกอย่างจนจบ

         "แล้วตกลงเมื่อวานนายไม่ได้ไปเจอจิวเหรอ" เอกถาม

         มาบัดนี้ เสือที่กำลังคิดจะขย้ำจับแมวขโมย กลับไม่มีแม้แต่เสียงจะครางออกมาจากปาก

         ต้นข้าว "................"

 
--------------------------------

 
เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย กับอัลบั้มแรก "หาดทราย สายลม สองเรา" ในปี พ.ศ. ๒๕๒๙

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/514384686-member.jpg)


ห้างมาบุญครอง (MBK) เมื่อแรกเริ่มเปิดให้บริการ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๘

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/308528362-member.jpg)


สวนสนุก บนห้างมาบุญครอง ชั้น ๘ เมื่อเริ่มเปิดให้บริการใหม่ๆ

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/1084124482-member.jpg)


หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๕ : เจ้าชายแมวขโมย +++หน้า ๔+++ (๑๒/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 12-01-2017 06:33:37
อือ.... ถ้าจิวจะเป็นแมวขโมยจริงๆ
จิวจะนัดต้นข้าวให้ตามไปทำไม
แล้วแค่หัวร่อต่อกระซิก ยิ้มแย้มกัน
กับปกเทป ไม่ได้จับมืออะไรกัน
ต้นข้าวอย่าเพิ่งคิดมาก
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๕ : เจ้าชายแมวขโมย +++หน้า ๔+++ (๑๒/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 12-01-2017 09:59:51
ใจเย็นก่อน เข้าใจผิดแน่ๆ   :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๕ : เจ้าชายแมวขโมย +++หน้า ๔+++ (๑๒/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 12-01-2017 11:53:06
หมาหัวเน่า เก่าไปแล้ว แน่วแน่ทิ้ง
นานไปจริง น่าเบื่อเกิน เดินต่อไหว
ไม่กระตุ้น ดุ้นมันหด หมดเร้าใจ
แต่คนใหม่ หัวใจชื่น รื่นหัวจวย

ไอ่จิว
เมิงตาย

แค้นนนนนนนนนน
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๕ : เจ้าชายแมวขโมย +++หน้า ๔+++ (๑๒/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 12-01-2017 17:20:58
 :katai1:

อั้ยย๊ะ เย็นไว้ เย็นไว้

หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๔ : สะพานแห่งความรัก +++หน้า ๔+++ (๑๑/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 12-01-2017 22:55:15
ตามทันแล้ววว
งานยุ่งมาก เพิ่งจะได้แวปมาอ่านวันนี้เอง
สองหนุ่มพอใจตรงกันแล้วน่ารักมาก
ชอบจิวมาก เป็นผู้ใหญ่ ปกป้อง ดูแลต้นข้าวได้ ที่สำคัญรักน้องม้ากมาก
ชอบภาษาคนเขียนมาก ภาษาสวย สร้างกรอบแนวคิดให้ตัวละครชัดเจน สร้างบรรยากาศในอดีตได้ดีมากด้วย ย้อนวัยเลยยยยย
ติดตามและเป็นกำลังใจให้นะคะ
 :L2:
= ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ //น่ารักที่สุด  :mew2:


อือ.... ถ้าจิวจะเป็นแมวขโมยจริงๆ
จิวจะนัดต้นข้าวให้ตามไปทำไม
แล้วแค่หัวร่อต่อกระซิก ยิ้มแย้มกัน
กับปกเทป ไม่ได้จับมืออะไรกัน
ต้นข้าวอย่าเพิ่งคิดมาก
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
= วัยรุ่นใจร้อนเนอะ 555+ //เอ๊ะ หรือจิวจะมีอะไรจริงๆ  :hao5:


ใจเย็นก่อน เข้าใจผิดแน่ๆ   :z3: :z3:
= ภาวนาให้เป็นเช่นนั้นนะคะ  :hao5:


หมาหัวเน่า เก่าไปแล้ว แน่วแน่ทิ้ง
นานไปจริง น่าเบื่อเกิน เดินต่อไหว
ไม่กระตุ้น ดุ้นมันหด หมดเร้าใจ
แต่คนใหม่ หัวใจชื่น รื่นหัวจวย

ไอ่จิว
เมิงตาย

แค้นนนนนนนนนน
= เราไปแก้แค้นจิว ด้วยการนัดกันไปดักปล้ำจิวกันอีกที ดีไหมฮะ 555+  :hao6:


:katai1:

อั้ยย๊ะ เย็นไว้ เย็นไว้
= เย็นไว้โยม วัยรุ่นใจร้อน 555+  :hao7:

......................

และขอบคุณทุกท่านมากๆ นะคะ ที่แวะเวียนเข้ามาอ่านกัน  :m3:

หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๕ : เจ้าชายแมวขโมย +++หน้า ๔+++ (๑๒/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 12-01-2017 23:20:17
ต้นข้าวเข้าใจผิดแน่เลย พวกเขาแค่บังเอิญมาเจอกันรึป่าว อย่าคิดมากน้อยใจสิ  ข้าวจะโกรธแล้ว 555
  รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๕ : เจ้าชายแมวขโมย +++หน้า ๔+++ (๑๒/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: someonexx ที่ 13-01-2017 03:36:48
   โหยยยยยยยย ค้างมากกกกก จิวอย่าใจร้ายยยดิ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๕ : เจ้าชายแมวขโมย +++หน้า ๔+++ (๑๒/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 13-01-2017 06:06:51
:hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๖ : มเหสีขี้หึงประหนึ่งเสือ || หน้า ๔ || ๑๓/๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 13-01-2017 09:44:21
โอ๊..โย้...โหยว....พออ่านเจอ "มเหสีขี้หึงประหนึ่งเสือ"
นึกว่าเข้าเรื่องจักรๆวงศ์ๆ ซะแล้ว
นั่นง้าย......ว่าแล้ว จิวรักต้นข้าวออก
ก้นหม้อข้าวยังไม่ทันดำ เอ๊ย....ยังไม่เคย.....กันเลย
จู่จะแอบมามีกิ๊ก มันแปลกๆอยู่นะ
สรุป พลิกล็อก กันน่าดู.... ถล่มทลาย....♩ ♭ ♪ 
พลิกล็อกกันมากมาย แบบเทกระเป๋า.... ♫ ♬ ♪
ต้นข้าวนอนไม่หลับทั้งคืน ต้องเอาคืนจิวละ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๖ : มเหสีขี้หึงประหนึ่งเสือ || หน้า ๔ || ๑๓/๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 13-01-2017 09:45:42
โหจิวจะเป็นไงบ้างล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๖ : มเหสีขี้หึงประหนึ่งเสือ || หน้า ๔ || ๑๓/๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 13-01-2017 10:03:26
โหหหห ต้นข้าว ทำไงอะทีนี้ จิวรออยู่ที่มาบุญครองรึป่าว ยังไม่เห็นไปโรงเรียนเลย วันนี้ต้นข้าวก็ไม่สนใจจิวด้วย 555
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๖ : มเหสีขี้หึงประหนึ่งเสือ || หน้า ๔ || ๑๓/๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 13-01-2017 14:20:56
 :m26:
ไปเสม็ดเสร็จทั้งวัน

เอ๊ยยยย..เสร็จทุกราย

 :oo1:
ต้นข้าวเอ๊ยยยยย..ได้ข่าวว่า
จิวน้อยไม่น้อยนะ ใหญ่เป้งงงงง เลย

มีคนเคยบอกมา
 :eiei1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๖ : มเหสีขี้หึงประหนึ่งเสือ || หน้า ๔ || ๑๓/๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 13-01-2017 16:02:54
เราเริ่มจิ้นตอนไปเที่ยวละ :hao5:
อัลไรรรรคืิเป็นคู่ๆ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๖ : มเหสีขี้หึงประหนึ่งเสือ || หน้า ๔ || ๑๓/๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 14-01-2017 02:47:41
แพลนเที่ยว สองคู่ชู้ชื่น
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๖ : มเหสีขี้หึงประหนึ่งเสือ || หน้า ๔ || ๑๓/๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: anandawan ที่ 14-01-2017 07:05:19
จะโกรธจิว ตอนนี้จิวคงโกรธมากกว่าแล้วน่ะต้นข้าว
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๕ : เจ้าชายแมวขโมย +++หน้า ๔+++ (๑๒/๑/๒๕๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 14-01-2017 08:56:26
   โหยยยยยยยย ค้างมากกกกก จิวอย่าใจร้ายยยดิ
= ตอนนี้คงได้รับคำตอบแล้วเนอะ ว่าใครร้ายกว่าใครนะคะ 555+


โอ๊..โย้...โหยว....พออ่านเจอ "มเหสีขี้หึงประหนึ่งเสือ"
นึกว่าเข้าเรื่องจักรๆวงศ์ๆ ซะแล้ว
นั่นง้าย......ว่าแล้ว จิวรักต้นข้าวออก
ก้นหม้อข้าวยังไม่ทันดำ เอ๊ย....ยังไม่เคย.....กันเลย
จู่จะแอบมามีกิ๊ก มันแปลกๆอยู่นะ
สรุป พลิกล็อก กันน่าดู.... ถล่มทลาย....♩ ♭ ♪ 
พลิกล็อกกันมากมาย แบบเทกระเป๋า.... ♫ ♬ ♪
ต้นข้าวนอนไม่หลับทั้งคืน ต้องเอาคืนจิวละ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
= ต้นข้าวคงคิดว่า ควรจะเขกหัวตัวเองสักหนึ่งโป๊กเนาะ  :ling1:


โหจิวจะเป็นไงบ้างล่ะเนี่ย
= ป่านนี้ไม่รอจนเหงือกแห้งไปแล้วหรือคะ  :hao7:


โหหหห ต้นข้าว ทำไงอะทีนี้ จิวรออยู่ที่มาบุญครองรึป่าว ยังไม่เห็นไปโรงเรียนเลย วันนี้ต้นข้าวก็ไม่สนใจจิวด้วย 555
= เห็นที จิวจะแย่แน่เลย ไม่กล้ากลับบ้านเลยมั้งคะ นั่งอยู่นั่น 555+  :katai1:


:m26:
ไปเสม็ดเสร็จทั้งวัน

เอ๊ยยยย..เสร็จทุกราย

 :oo1:
ต้นข้าวเอ๊ยยยยย..ได้ข่าวว่า
จิวน้อยไม่น้อยนะ ใหญ่เป้งงงงง เลย

มีคนเคยบอกมา
 :eiei1:
= ไม่แน่ ต้นข้าวอาจรอวันนั้นอย่างใจจดใจจ่อก็ได้นะ 555+


เราเริ่มจิ้นตอนไปเที่ยวละ :hao5:
อัลไรรรรคืิเป็นคู่ๆ
= น่าสนุกแน่ๆ เลยค่ะ  :hao6:


แพลนเที่ยว สองคู่ชู้ชื่น
= น่ามีความสุขดีเนอะคะ  :katai2-1:


จะโกรธจิว ตอนนี้จิวคงโกรธมากกว่าแล้วน่ะต้นข้าว
= ต้นข้างคงต้องรีบทำอะไรสักอย่างแล้วเนอะคะ  :hao7:

..........................

 :mew1: และขอบคุณทุกๆ ท่านนะคะ ที่แวะเวียนเข้ามาอ่านจิวและต้นข้าวกันค่ะ

หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๖ : มเหสีขี้หึงประหนึ่งเสือ || หน้า ๔ || ๑๓/๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 14-01-2017 09:21:11

MBK❤lover


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/1865209713-member.jpg)


ตอนที่ ๑๔ : ไม่เห็นหน้า เห็นหลังคาก็ยังดี


         ช่วงนาทีต่อจากนั้น ต้นข้าวมีความรู้สึกว่าตัวเองคือต้นแบบของประโยคที่ว่า "มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่คิดไปเอง" จริงๆ

         ต้นข้าวยิ้มแห้งๆ แห่ะๆ ให้เอก

         "ไปสิ ทำไมจะไม่ไปล่ะเกาะเสม็ด"

         แล้วต้นข้าวจู่ๆ ก็หันหลังแล้วเดินอย่างไวออกไป ทิ้งให้เอกมองตาม และยืนงง "มันอยากไปเที่ยวจนเพี้ยนแล้วเหรอนั่น"

         ................

         ต้นข้าวรีบเดินออกมา เพราะไม่อยากให้เอกเห็นว่าตนเองมีขอบตาที่เริ่มจะแดงๆ แล้ว น้ำตาเริ่มจะรื้นออกมา --กูบ้าป่าววะเนี่ย--

         หากแม้ต้นข้าวใจเย็นกว่านั้นอีกสักนิด คิดในทางที่ดีกว่านั้นหน่อย แล้วเดินเข้าไปหาจิวที่โต๊ะตามที่นัดไว้ เรื่องเข้าใจผิดบ้าๆ นี้คงไม่เกิดขึ้น ป่านนี้คงนั่งปรึกษากันอย่างครื้นเครงเรื่องที่จะไปเที่ยวแล้ว

         แล้วนี่จิวไปไหน ทำไมไม่มาโรงเรียน อย่าบอกนะว่ายังนั่งรอต้นข้าวอยู่ที่ศูนย์อาหารมาบุญครองอยู่จนถึงเดี๋ยวนี้ ไม่นั่งรอจนแห้งตายไปแล้วหรือ

         --บ้า-- ใครจะทำอย่างนั้น

         เอาไงดีหว่า ชักจะร้อนใจแล้ว ว่าเกิดอะไรขึ้นกับจิวหรือเปล่า หรืออย่างน้อยๆ เพราะต้นข้าวไม่ไปหาจิวเมื่อวาน จิวจะน้อยใจต้นข้าวหรือเปล่า จิวจะคิดว่าต้นข้าวไม่ได้ให้ความสำคัญกับจิวไหม ป่านนี้จะขังตัวอยู่ในห้องไหม ถึงไม่ยอมมาเรียน จะประท้วงอดข้าวอดน้ำไหม จะคิดสั้นผูกคอตายหรือเปล่า

         ---ไอ้บ้า เวรเอ้ย...ใครจะไปทำ---

         ต้นข้าวคิดไปอีกร้อยแปดอย่าง ทั้งเป็นห่วง ทั้งกังวล ทั้งคิดถึง อยากเจอ อยากไปบอกความจริง

         ต้นข้าวเข้าใจอยู่เต็มอก ว่าถ้าต้นข้าวไปเจอจิวเมื่อเย็นวานและกลับบ้านพร้อมกัน จิวก็ต้องบอกต้นข้าวล่ะว่าวันนี้จะหยุดเรียนอย่างนั้นอย่างนี้นะ เพราะต้นข้าวคิดว่าจิวไม่มีความลับกับต้นข้าว

         เดินเพ้อเหม่อลอยมาถึงมุมตึกใกล้ห้องน้ำ ราชา เพื่อนอีกคนก็โผล่มาพอดี ทำหน้าเหมือนปวดท้องเบาหรือหนักไม่รู้ ต้นข้าวนึกอะไรออกก็เลยดึงมือราชาไว้

         "ไอ้แขก ถามอะไรหน่อยสิ"

         "อะไรมึง แป็บนึงได้ไหม กูปวดท้องขี้" ราชาเอามือกุมตูด

         "แป็บเดียวน่า" ต้นข้าวยังดึงมือรั้งไว้ "บ้านมึงกับบ้านจิวน่ะ อยู่ใกล้กันใช่ไหม"

         "ใช่" ราชากระโดดตัวขึ้นๆ ลงๆ เบาๆ หน้าเบ้

         "แล้วมึงเคยไปบ้านจิวไหม รู้ไหมว่าอยู่ตรงไหน" ต้นข้าวมองตามการกระโดดของราชา ที่กำลังโดดเหยงๆ

         "ไม่เคยไป" ราชาตอบ พร้อมเอามือลูบขนลุกที่แขน "แต่กูก็พอรู้คร่าวๆ เพราะมันเคยบอกกู"

         "ถ้างั้น เอ่อ..." ต้นข้าวทำท่าคิด

         "มึงอย่าพึ่งคิด คิดเหี้ยไร ให้กูขี้ก่อนไหม" ราชางอตัวลง เอามือกุมท้อง ขนยังไม่หายลุก

         "เอางี้นะ เย็นนี้มึงพากูไปแถวบ้านจิวหน่อยนะ กูจะไปหามันที่บ้านน่ะ มีธุระ" ต้นข้าวจับแขนราชาแน่น

         "เออ เออ เออ เอาไงก็เอา ปล่อยกู๊ ก่อนนน..."

         ต้นข้าวเอามือตบหลังราชา "ไปเหอะมึง ขอบใจนะ เย็นนี้เจอกัน"

         "สัส" ราชาพูดลอยมาตามลม ส่วนเจ้าตัวน่ะเผ่นแน่บไปแล้ว


--------------------------------


         เย็นวันนั้น เด็กชายวัยรุ่นสองคน สองเชื้อชาติ ก็มาเดินอยู่ริมถนนสี่แยกบ้านแขก ทั้งสองมาเริ่มต้นที่หน้าร้านสเต็กสอาด ตรงใกล้สี่แยก

         "เอาไงมึง" ราชามองไปมองมา

         "จุดนี้หรือ ที่เวลามึงลงรถแยกกับจิวป้ายสุดท้ายน่ะ" ต้นข้าวแหงนมองป้ายรถเมล์ที่จะล้มมิล้มแหล่

         "ใช่ มันลงตรงนี้แหล่ะ มันเคยชี้ให้ดูว่าบ้านมันอยู่ในซอยฝั่งโน้น" ราชาชี้ไปซอยฝั่งตรงข้าม

         "ไปสิ ข้ามถนนเลยมึง" ต้นข้าวลากราชาตามมาอย่างไว

         "นี่ ไอ้ต้นข้าว มึงทำไมไม่หาตู้หยอดเหรียญ แล้วโทรถามมันที่บ้านวะ มาลำบากลำบนเดินหาทำไม"

         "กูโทรแล้ว ก่อนออกจากโรงเรียนมาเนี่ย บ้านมันไม่มีคนรับสาย"

         "วุ่นวายจริงคู่นี้เนี่ย" ราชาบ่นเบาๆ "เอ้า ซอยนี้แหล่ะ"

         ซอยที่ต้นข้าวและราชามายืนอยู่นี่ เป็นซอยเล็กๆ แยกจากถนนหลักเข้ามา มีต้นไม้ครึ้มตลอดซอย ข้างในค่อนข้างจะเป็นที่โล่งๆ เหมือนเป็นที่ตั้งของโกดังเก่าๆ มากกว่าเป็นซอยบ้านเรือนสำหรับอยู่อาศัย

         "กูว่ามึงถามเค้าดีกว่ามะ" ราชาเริ่มไม่แน่ใจ

         "ถามว่าอะไรอ่ะ" ต้นข้าวบทจะมึนขึ้นมา ก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน

         "ถามชื่อพ่อง มันไง สัส นี่บ้านพ่อมัน หรือจะถามชื่อพ่อมึง" ราชาเริ่มจะหงุดหงิด

         "แห่ะๆๆ" ต้นข้าวเกาหัวแกรกๆ สายตามองหาชาวบ้านที่จะถาม

         "ป้าครับป้า บ้านของเฮียจิว อยู่ในซอยนี้ไหมครับ" ต้นข้าวถามป้าคนหนึ่งแถวนั้น พร้อมยกมือขึ้นไหว้

         "อ่อ เฮียจิวขี้เมาน่ะเหรอ นั่นไง เลี้ยวขวาข้างหน้า ที่เป็นตึกสีซีดๆ มีผ้าใบสีฟ้าอยู่บนหลังคาน่ะ แต่เฮียไม่อยู่นะ เห็นเดินผ่านบ้านป้า ออกไปไหนไม่รู้จ้ะ" ป้าใจดีชี้มือให้

         "ขอบคุณครับป้า" ต้นข้าวยกมือไหว้ขอบคุณอีกครั้ง

         "ไอ้ต้นข้าว มึงถามชื่อพ่อมัน แล้วทำไมมึงเรียกชื่อไอ้จิววะ แถมเรียกฮงเรียกเฮีย ตกลงใครเป็นพ่อใคร" ราชาทำหน้างงๆ สะกิดถาม

         "โห ไอ้แขกนี่ มึงเป็นแขกตี้-ขี้แตก มึงจะรู้อะไร สมนึกมันแซ่จิว พ่อมันก็แซ่จิว ใครๆ เค้าก็เรียกชื่อเล่นด้วยแซ่ทั้งนั้นแหล่ะมึง ปู่มัน ยันถึงรุ่นหลานมัน ก็คงถูกเรียกชื่อว่าจิวหมดแหล่ะ" ต้นข้าวอธิบาย แต่ตามองหาผ้าใบสีฟ้า

         "อ้อเหรอ" ราชาทำหน้าครุ่นคิดไปทางต้นข้าว

         "มึงนี่คิดถึงไอ้จิวมันมากขนาดนี้เลยหรือวะ วันจันทร์ก็ได้เจอกันแล้ว ต้องถ่อมาถึงบ้านมัน"

         "อืม กูคิดถึงมัน..."

         ราชามองหน้าต้นข้าวนิ่งๆ เห็นหน้าหล่อๆ ที่ตอนนี้เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อพราว แต่มีความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม ก็อดที่จะเห็นใจไม่ได้ และนึกในใจว่า

         ---นี่ล่ะนะ เข้าตำรา เพราะความคิดถึงจึงมาหา ไม่เห็นหน้า เห็นหลังคาบ้านคนรักก็ยังดี---

         "ไอ้ราชา" จู่ๆ ต้นข้าวก็หันมาเรียก "มึงรีบกลับบ้านหรือเปล่า มึงกลับไปก่อนเลยก็ได้นะ"

         --อ้าวไอ่สัส!!-- ราชานึกในใจ

         "เออ เออ กูกลับก่อนนะเว้ย มึงก็หาดีๆ ล่ะ เอาใจช่วยเว้ยมึง" แล้วราชาก็นึกต่อ --สัส เจอบ้านแล้วทิ้งกูเลยเนาะ--


--------------------------------


         ตอนนี้ต้นข้าวมายืนอยู่หน้าบ้าน หรือโรงงานย่อมๆ แล้ว มันเป็นตึกเล็กๆ สองชั้น ก่อด้วยอิฐบล็อคที่ไม่ได้ฉาบและทาสี ข้างบนดาดฟ้าชั้นสองมีผ้าใบคลุมอะไรสักอย่างบนนั้น มองเห็นแต่ไกล

         หน้าตึกมีประตูไม้บานเฟี้ยม คล้องกุญแจดอกโตเอาไว้ ต้นข้าวส่องไปตามร่องประตู ไม่เห็นอะไรในนั้น นอกจากความมืด

         --ไม่มีคนอยู่จริงๆ ด้วย--

         ต้นข้าวเดินถอยออกมา ก็ชนกับใครคนหนึ่งพอดี หันกลับไปมอง พร้อมกับยกมือไหว้ขอโทษ

         ตอนยกมือไหว้แล้วมองหน้า ต้นข้าวก็เห็นพ่อของจิวล่ะ แน่ใจว่าใช่ เพราะหน้าตาประพิมประพายคล้ายกันมาก พ่อของจิวมีแววว่าหน้าตาคงจะดีมากในสมัยหนุ่มๆ เหมือนจิวตอนนี้ เสียแต่ดูโรยๆ และดูกรึ่มๆ เมาๆ ตลอดเวลา หากแต่ดูจิตใจดี

         "มาหาใครหนู"

         "สวัสดีครับ ผมเป็นเพื่อนกับจิว...เอ่อ...สมนึกครับ มาหาสมนึกครับ เห็นไม่ไปโรงเรียน" ต้นข้าวเริ่มสับสนเองล่ะ ว่าจะเรียกชื่อจิวกับคนไหนดี

         เฮียจิวหัวเราะอารมณ์ดีนำมาก่อน "อ้าวเหรอ ดีๆ นี่สนิทกันเหรอ ดีนะ ไอ้นึกมีเพื่อนหน้าตาดีอย่างนี้ด้วย"

         ต้นข้าวชำเลืองมองหน้าพ่อของจิว แล้วนึกในใจ --คุณพ่อกับคุณลูกชายก็มีดีไม่ต่างกันเลยนะ--

         "ครับผม แล้วจิว...เอ้ยสมนึกไม่อยู่เหรอครับ"

         "ไม่อยู่หร๊อก ไอ้นึกมันคงไม่ทันบอกใครล่ะนะ ว่าวันนี้มันหยุดเรียน มันต้องขนรองเท้าฟองน้ำไปส่งเอเย่นต์ที่ อ.แก่งคอย สระบุรี ให้พ่อน่ะ เค้าสั่งด่วนมาแต่เช้ามืดตีห้าเลย"

         ---แก่งคอย!!--- ไปถึงนั่น! "อ่อ แล้วจะกลับเมื่อไหร่ครับ" ต้นข้าว งงกับที่ๆ จิวไป

         "พรึ่งนี้ มันจะกลับมาพรึ่งนี้ นั่งรถไฟมาลงที่หัวลำโพงเที่ยวเช้าน่ะ เห็นว่าน่าจะถึงสักเก้าโมงนะ"

         "ครับ ขอบคุณนะครับพ่อ เดี๋ยวผมอาจไปรอเจอจิวที่สถานีพรุ่งนี้เช้าก็ได้ฮะ ผมลาล่ะครับ ไว้ผมจะมาใหม่" ต้นข้าวยกมือไหว้

         .................

         พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ ที่หัวลำโพง ต้นข้าวอยากไปรอรับจิว ต้นข้าวอยากให้จิวเห็นต้นข้าวเป็นคนแรกในทันทีที่ถึงกรุงเทพฯ พรุ่งนี้เช้าต้นข้าวจะไปรับจิวแน่ๆ

         ก่อนออกจากซอย ต้นข้าวมองกลับไปที่บ้านจิว มองแล้วอมยิ้มอยู่คนเดียว และมองเลยขึ้นไปถึงหลังคาดาดฟ้าที่มีผ้าใบคลุม ---ด้วยความคิดถึงสุดหัวใจ


--------------------------------


หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๗ : ไม่เห็นหน้า เห็นหลังคาก็ยังดี || หน้า ๕ || ๑๔/๐๑
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 14-01-2017 11:56:09
ไม่ค่อยจะชอบอะไรที่เป็นเซอร์ไพซ์เลย
เพราะส่วนใหญ่คนนั้นมักจะโดนเซอร์ไพซ์กลับทุกที

..โป๊ะแตก..อ่ะ
เจอซะบ่อยๆ

ลุ้นอย่าให้ต้นข้าวต้องเจออะไรแบบนั้นเลยนะ
..มันไม่ไหวจริงๆ..
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๗ : ไม่เห็นหน้า เห็นหลังคาก็ยังดี || หน้า ๕ || ๑๔/๐๑
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 14-01-2017 12:15:12
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๗ : ไม่เห็นหน้า เห็นหลังคาก็ยังดี || หน้า ๕ || ๑๔/๐๑
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 14-01-2017 14:21:48
จำตอนที่ไม่มีมือถือ หรืออินเตอร์เน็ท ได้ว่า ความคิดถึงมันมีมากแค่ไหน
ตอนนี้ ทุกอย่างดูเร็วไปหมด แต่อ่ายไลน์ไม่ตอบก็หงุดหงิดกันจะแย่แล้วเนาะ

คิดถึง ความคิดถึง

 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๗ : ไม่เห็นหน้า เห็นหลังคาก็ยังดี || หน้า ๕ || ๑๔/๐๑
เริ่มหัวข้อโดย: zipboy ที่ 14-01-2017 17:46:12
ไล่อ่านสามบทรวดที่ไม่ได้อ่าน

นายเอกเราคิดไปเองจริง ๆ ส่วนพระเอกเรา ลงรถไฟมา คงโดนนายเอกจัดหนักให้หายคิดถึง

ติดตามต่อไปครับ^^
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๗ : ไม่เห็นหน้า เห็นหลังคาก็ยังดี || หน้า ๕ || ๑๔/๐๑
เริ่มหัวข้อโดย: panitanun ที่ 14-01-2017 18:38:41
 เหมือนได้ย้อนไปในความทรงจำจริงๆค่ะ :katai5:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๗ : ไม่เห็นหน้า เห็นหลังคาก็ยังดี || หน้า ๕ || ๑๔/๐๑
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-01-2017 18:56:43
ไรท์ สวดยอดดดดด
บรรยายราชาอั้นขี้ได้เหมือนเปี๊ยบเลย
มีตบตูด กระโดดเหย็งๆ ด้วย
นี่ถ้าต้นข้าวฉุดไว้ถามอีกหน่อย
ราชาคงขี้แตกตรงนั้น  :ling1: :ling1: :ling1:
ต้นข้าว ไม่เห็นหน้า เห็นหลังคาบ้านจิวก็ยังดี
กลับมาสบายใจ นอนหลับได้แล้ว
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๗ : ไม่เห็นหน้า เห็นหลังคาก็ยังดี || หน้า ๕ || ๑๔/๐๑
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 15-01-2017 04:50:07
ไม่ค่อยจะชอบอะไรที่เป็นเซอร์ไพซ์เลย
เพราะส่วนใหญ่คนนั้นมักจะโดนเซอร์ไพซ์กลับทุกที

..โป๊ะแตก..อ่ะ
เจอซะบ่อยๆ

ลุ้นอย่าให้ต้นข้าวต้องเจออะไรแบบนั้นเลยนะ
..มันไม่ไหวจริงๆ..

= ความจริงก็คือความจริง เราต้องยอมรับมัน เอาใจช่วยต้นข้าวด้วยนะคะ ภาวนาอย่าให้เจอในสิ่งนั้น


:mew1: :mew1: :mew1:

 :mew2: :mew2: :mew2:


จำตอนที่ไม่มีมือถือ หรืออินเตอร์เน็ท ได้ว่า ความคิดถึงมันมีมากแค่ไหน
ตอนนี้ ทุกอย่างดูเร็วไปหมด แต่อ่ายไลน์ไม่ตอบก็หงุดหงิดกันจะแย่แล้วเนาะ

คิดถึง ความคิดถึง

 :L2: :L1: :pig4:

= ใช่ค่ะ เดี๋ยวนี้โลกกว้างก็เหมือนแคบนิดเดียว ซึ่งความคิดถึง มันก็คู่กับการไกลห่างซะด้วยซิคะ //คิดถึง ความคิดถึงเช่นกันค่ะ


ไล่อ่านสามบทรวดที่ไม่ได้อ่าน

นายเอกเราคิดไปเองจริง ๆ ส่วนพระเอกเรา ลงรถไฟมา คงโดนนายเอกจัดหนักให้หายคิดถึง

ติดตามต่อไปครับ^^

= ถึงว่า ว่าหายไปไหน ไม่ได้มาอ่าน 555+  //ลุ้นให้จัดหนักเลยค่ะ


เหมือนได้ย้อนไปในความทรงจำจริงๆค่ะ :katai5:

= ขอบคุณมากๆ นะคะ


ไรท์ สวดยอดดดดด
บรรยายราชาอั้นขี้ได้เหมือนเปี๊ยบเลย
มีตบตูด กระโดดเหย็งๆ ด้วย
นี่ถ้าต้นข้าวฉุดไว้ถามอีกหน่อย
ราชาคงขี้แตกตรงนั้น  :ling1: :ling1: :ling1:
ต้นข้าว ไม่เห็นหน้า เห็นหลังคาบ้านจิวก็ยังดี
กลับมาสบายใจ นอนหลับได้แล้ว
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

= สงสัยตอนเขียนเรื่อง คงจะอั้นอยู่เหมือนกันมั้งคะ เลยเขียนได้เนียนๆ 555+ //ขอบคุณนะคะ


---------------------

และขอบคุณท่านอื่นๆ ทุกท่านที่เข้ามาอ่านด้วยค่ะ   :mew1:

หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๗ : ไม่เห็นหน้า เห็นหลังคาก็ยังดี || หน้า ๕ || ๑๔/๐๑
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 15-01-2017 12:04:21

MBK❤lover


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/1865209713-member.jpg)


ตอนที่ ๑๕ : รถไฟผีสิง!!!


สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง)
วันเสาร์ ที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๙


         เช้าวันนี้ ๐๘.๓๐ น. มีคนผู้คนหนาแน่นเต็มหัวลำโพง เพราะเป็นวันหยุดที่มีทั้งคนจะออกนอกกรุงเทพฯ และคนจากต่างจังหวัดที่เข้ามาในตอนเช้า

         ต้นข้าวนั่งรถเมล์สาย ๗ มาลงสุดสายที่หัวลำโพง วันนี้ต้นข้าวตั้งใจแต่งตัวดีเป็นพิเศษ หน้าตาดูมีความสุข หล่อและสดใส

         ต้นข้าวคิดว่าเรื่องเมื่อสองวันก่อนจริงๆ แล้วมันไม่มีอะไรสักหน่อย จิวเองยังไม่รู้เรื่องที่ต้นข้าวไปแอบดูจิวที่มาบุญครองด้วยซ้ำ ต้นข้าวคิดเองเออเองไปคนเดียว แต่เพราะต้นข้าวรู้สึกผิดในใจ จึงอยากมารอรับจิวกลับบ้านเพื่อทดแทนความรู้สึกผิดนั้น

         ต้นข้าวเดินเข้าไปในสถานีหัวลำโพง ยืนงงหันรีหันขวางอยู่กลางอาคารพักผู้โดยสารสักครู่ หันไปทางไหนก็มีแต่คนเต็มไปหมด แล้วจะเจอจิวยังไงล่ะ ซึ่งมีวิธีเดียวที่จะไม่หลงกัน คือต้องเข้าไปรับที่ชานชาลารถไฟเลย

         ต้นข้าวเดินไปที่ช่องขายตั๋ว

         "พี่ครับ รถไฟจากแก่งคอย สระบุรี จะเข้ามาถึงตอนไหนครับ"

         พนักงานก้มดูตารางเดินรถ "๙ โมงครึ่ง น้อง ที่ชานชาลา ๔"

         "ขอบคุณครับ ผมเดินไปรับคนที่ชานชาลาได้เลยใช่ไหมครับ"

         "ไม่ได้น้อง เข้าข้างในชานชาลาต้องซื้อตั๋วเดินทางก่อน ซื้อตั๋วถูกสุดก็ได้ อ้าวนี่..." พนักงานยื่นตั๋วมาให้ "สองบาท ตั๋วถูกสุดไปสถานียมราช ใช้แทนบัตรผ่านเข้าข้างในชานชาลาได้"

         ต้นข้าวรับตั๋วมา และมองหาทางเข้าชานชาลาหมายเลข ๔ ซึ่งอยู่ข้างในสุดฝั่งซ้ายมือ หลังห้องประชาสัมพันธ์ ซึ่งตรงทางเข้าด้านนี้ คนไม่ค่อยจอแจเท่าไหร่ เพราะเป็นชานชาลาขาเข้า และตอนนี้รถไฟก็ยังไม่มาถึง

         ต้นข้าวเห็นว่ายังมีเวลาอีกนาน และไม่มีเก้าอี้ให้นั่งรอที่ข้างในชานชาลาขาเข้า รวมทั้งทางเข้าก็อยู่ใกล้ๆ ตรงนี้เอง จึงเดินเลยประตูชานชาลาไปอีกนิด ข้างๆ ห้องประชาสัมพันธ์ มีแผงหนังสืออยู่ ต้นข้าวเดินไปยืนเลือกการ์ตูนที่แผงนั้น

         เก๊งๆๆๆๆ --เสียงระฆังในสถานีตีเป็นระยะๆ สลับกับเสียงประกาศออกลำโพงขยายเสียงซึ่งแตกพร่า และติดๆ ดับๆ

         "ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ ท่านผู้...แคร่กๆๆ ซาบ แคร่กๆๆ โปรดมารอที่ชานชาาาาาาา แคร่กๆๆ ได้เลยค่ะ แคร่กๆๆๆ"

         ต้นข้าวเงยหน้าขึ้นไปมองลำโพง แล้วยิ้มขำ --เออเนาะ จะเปลี่ยนให้มันดีหน่อยก็ไม่ได้--


--------------------------------


โรงเก็บหัวรถจักร สถานีรถไฟชุมทางบางซื่อ
ห่างจากหัวลำโพง ออกไป ๔ สถานี

วันเดียวกัน ๐๘.๓๘ น.


         วันนี้นายตรวจกล มีงานยุ่ง เพราะเช้านี้มีหัวรถจักรรอซ่อมถึง ๖ คัน และตอนนี้มันจอดพ่วงเรียงต่อกันบนรางในโรงซ่อมแล้ว

         เขาตรวจระบบหัวรถจักรมาจนถึงคันที่ ๓ ตรงกลาง นายตรวจกลได้ติดเครื่อง ลองเร่งเครื่องรถเปล่าๆ ไปที่ความเร็วสูงสุดเบอร์ ๕ และระหว่างที่รอระบบลมที่กำลังอัดให้เต็มพิกัดอยู่นั้น ก็มีนายช่างอีกคน มาเรียกให้เขาลงไปดูเอกสารด่วน นายตรวจกลจึงลงจากรถคันที่ ๓ ไป

         นายตรวจกลคล้อยหลังไม่กี่ก้าว ก็เกิดเหตุการณ์พิสดารขึ้น คือหัวรถจักรที่พ่วงต่อกันทั้ง ๖ คัน กำลังเริ่มเคลื่อนที่ออกจากรางซ่อมช้าๆ โดยไม่มีคนขับ!!

         "เฮ้ยยย รถไฟวิ่ง!!!!"

         บางเรื่องในโลกนี้ก็ช้าเกินไป บางเรื่องก็เร็วเกินไป

         หัวจักรรถไฟทั้ง ๖ คัน ค่อยๆ วิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ จากรางซ่อม และตอนนี้มันเริ่มเข้าสู่รางหลักแล้ว มุ่งหน้าหันหัวไปในทิศปลายทางคือหัวลำโพง โดยที่ไม่มีอะไรมาหยุดมันได้ ท่ามกลางความตื่นตระหนกของคนทั้งสถานีซ่อมบำรุง

         หัวรถจักร ๖ คัน ที่ไม่มีคนขับ ตอนนี้มันพุ่งทะยานด้วยความเร็วสูงสุดของมันแล้ว ออกจากสถานีบางซื่อ ผ่านแยกประดิพัทธ์โดยไม่มีไม้กั้นถนน ไม่มีเสียงเตือน ไม่มีหวูดรถไฟ มีแต่เสียงล้อเหล็กประทะราง และเสียงลมผ่านอื้ออึงดังพายุ เหมือนรถไฟผีสิง

         มันชน โครม!! กับรถแท็กซี่คันหนึ่งพังยับ และเฉี่ยวเข้ากับรถจักรยานยนต์อีกคันหนึ่งที่กำลังขับข้ามทางรถไฟ จนลอยกระเด็นไปไกล ผู้คนบนท้องถนนและนายสถานี ต่างตกตะลึงกับภาพตรงหน้า

         นายสถานีตั้งสติได้ จึงรีบติดต่อไปยังสถานีจุดตัดระหว่างถนนกับรางรถไฟถัดไป คือ ราชวิถี - สะพานเสาวนีย์ - ยมราช และหัวลำโพง ให้เตรียมรับมือกับเหตุการณ์แปลกประหลาดเหลือเชื่อนี้

         โดยอีกสามสถานีถัดไป สามารถปิดไม้กั้นถนนทัน และทางหัวลำโพง ก็เตรียมรับมือโดยการสับรางรอรับหัวรถจักร ๖ คันนี้ ให้เข้ามาในชานชาลาที่มีคนน้อยที่สุด และมีราวเหล็กกันปะทะแข็งแรงที่สุดตรงปลายราง หวังจะให้มันเป็นตัวปะทะให้รถหยุดจากการแล่นด้วยความเร็วสูงสุด และกำลังจะถึงหัวลำโพงในอีก ๒ นาทีข้างหน้านี้

         ชานชาลาที่ว่านี้ คือชานชาลาหมายเลข !!


--------------------------------


สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง)


         ๐๘.๕๐ น. ต้นข้าวเงยหน้าขึ้นจากการ์ตูนในมือ รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวแปลกๆ รอบตัว มีเสียงนกหวีดดังมากผิดปกติ เริ่มมีเจ้าหน้าที่มาโบกมือไล่คนออกไป

         ต้นข้าววางหนังสือการ์ตูนกลับลงแผง เสียงประกาศตามสายที่แตกพร่าก็ดังขึ้นอีก คราวนี้มันผสมกับเสียงนกหวีดที่เป่าไล่คน รวมทั้งเสียงอื้ออึงรอบตัวด้วย
 
         "ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ ท่านนนนน แคร่กๆๆ กรุณาออ... แคร่กๆๆๆ แคร่กๆๆๆ โดยด่ว..."

         เสียงประกาศดังอยู่สองสามครั้ง จับใจความอะไรไม่ได้ ต้นข้าวเดินออกจากแผงหนังสือ เดินอ้อมผ่านห้องประชาสัมพันธ์เล็กๆ นั่น มองเข้าไปไม่มีเจ้าหน้าที่อยู่ในนั้นแล้ว ต้นข้าวคิดว่าจะเลยเข้าไปดูตรงชานชาลาที่ ๔ สักหน่อย ว่าเกิดอะไรขึ้น

         พอเดินพ้นห้องประชาสัมพันธ์ มีห้องเล็กๆ อีกห้อง เป็นห้องทำการสาขาย่อยของธนาคารกรุงเทพ ประตูห้องเปิดออก และมีเจ้าหน้าที่วิ่งหน้าตื่นออกมาสามสี่คน หนึ่งในนั้น จับมือต้นข้าว แล้วตะโกนบอก

         "น้อง วิ่ง!!!! รถไฟมา"

         ต้นข้าวตัวลอยไปตามแรงดึงของเจ้าหน้าที่นั้น และหันหน้ามองไปทางชานชาลาที่ ๔  ต้นข้าวเห็นแล้วใจหายวาบ หัวรถจักรพ่วงต่อกัน ๖ คัน แต่ไม่มีตู้โบกี้รถไฟสำหรับโดยสาร  กำลังวิ่งพุ่งตรงมาเหมือนจรวดในชานลาชาที่ ๔ โดยไม่มีการชลอความเร็วเหมือนรถไฟที่จะเข้าจอดปกติ

         ตอนนั้นบรรยากาศรอบข้างเริ่มโกลาหลแล้ว เสียงหวีดร้องของผู้โดยสารดังก้องรอบๆ ตัว เสียงวิ่งและเสียงร้องดังกึงกังสะท้อนเพดานโค้งของหัวลำโพงดังก้องน่ากลัว ข้าวของสัมภาระกระเป๋าถูกทิ้งกองบนพื้น คนที่วิ่งบางคนก็สะดุดกองของเหล่านั้น ลงไปกลิ้งกับพื้น คนอื่นๆ ที่วิ่งตาม หลบไม่ทันเหยียบซ้ำก็มี เสียงร้องกรี๊ดๆๆ สลับกับเสียงนกหวีดดังสับสนอลม่าน

         ต้นข้าววิ่งจนหลุดมือจากพนักงานธนาคาร แต่ยังมีสติในการเอาตัวรอด ตอนนี้ต้นข้าววิ่งมาถึงกลางอาคารที่พักผู้โดยสารแล้ว ห่างจากชานชาลาออกไปไกล ต้นข้าวชลอความเร็วในการวิ่ง กำลังจะหันกลับไปมองข้างหลัง

         "โครม!!!! ตูมมมม!!!"

         เสียงปะทะของเหล็กกับเหล็ก เหล็กกับปูน เหล็กกับไม้ ดังกัมปนาทสะท้อนอยู่ใต้โดมของอาคารหัวลำโพง ถ้านี่เป็นภาพยนตร์ที่ต้นข้าวเคยดู มันจะเป็นฉากที่โลกกำลังจะแตก ฟ้ากำลังทลาย แต่นี่ไม่ใช่ มันคือเรื่องจริง และที่จริงยิ่งกว่านั้นคือ...

         หัวรถจักรสองคันแรก มันไม่ได้หยุดด้วยเหล็กแป้นปะทะกั้นปลายราง ด้วยความเร็วสูงสุดของมัน มันวิ่งเลยทะลุออกมานอกราง ทิ่มหัวด้วยความแรงใส่ห้องประชาสัมพันธ์ที่ต้นข้าวไปยืนอ่านการ์ตูนเมื่อสักครู่นี้

         ห้องประชาสัมพันธ์ถล่มยับแยกออกเป็นสองส่วน เสียงเหล็กกระแทกปูนดัง "โครม!!!" สนั่นหวั่นไหว รวมทั้งเสียงกรีดร้องของคนทั้งหัวลำโพงนั้น

         จากนั้นมีเสียง ตูม!!! ตามมาอีกระลอกสอง หัวรถจักรคันที่ ๒ ที่พ่วงมา คว่ำเทไหลหลุดจากหัวรถจักรคันแรก เอียงครูดกับพื้นชานชาลาเสียงดัง พื้นมีประกายไฟแลบตามการไหลของรถ แล้วเลยไปกระแทกกับห้องสาขาย่อยธนาคารกรุงเทพตรงนั้น กระจายยับถล่มลงมาเป็นกองอิฐ พังพินาศ ฝุ่นกระจายตลบ กลิ่นน้ำมันจากหัวรถจักรเหม็นคลุ้ง

         และด้วยแรงดันของหัวรถจักรคันที่ ๓ ที่เป็นคันเดียวที่ติดเครื่องยนต์อยู่ ก็พุ่งดันหัวรถจักรสองคันแรกที่ถล่มสองห้องพังราบไปแล้ว ให้แล่นไหลเข้ามาต่ออีก มันวิ่งเลยช่องขายตั๋ว ไถลเข้ามากลางอาคารที่พักผู้โดยสารใกล้ที่ต้นข้าวยืนอยู่

         ผู้หญิงข้างๆ ต้นข้าวร้องกรี๊ดเสียงดัง ปลุกสติต้นข้าวกลับขึ้นมา ต้นข้าวออกวิ่งต่อ ตามองไปที่ประตูหน้า จะต้องวิ่งฝ่าฝูงคนออกไปนอกตึกให้ได้

         เสียงล้อหัวรถจักรเหล็กครูดกับพื้นหินอ่อนที่ปูทั่วอาคารโดยสารดังสนั่นตามหลังใกล้ต้นข้าวเข้ามาทุกที ไอร้อนของรถแทบจะพ่นใส่ต้นคอ ฝุ่นควันพวยพุ่ง ประกายไฟยังแลบตาม เหมือนพื้นจะแยก ธรณีจะสูบ

         ต้นข้าววิ่งใกล้จะถึงทางออกประตูใหญ่ของหัวลำโพง จู่ๆ ก็มีมือของใครคนหนึ่งผลักด้านหลังต้นข้าวอย่างสุดแรง ตัวต้นข้าวพุ่งถลาไปข้างหน้าเกือบถึงประตู แล้วล้ม หน้าคว่ำลงไปฟาดกับกระสอบใส่ของที่ใครกองทิ้งไว้ กลิ่นคาวเลือดพุ่งขึ้นมา พร้อมๆ กับเสียงครูดพื้นและประกายไฟของหัวรถจักรที่ยังแล่นตามหลังมาติดๆ

         แล้วความรู้สึกของต้นข้าว ก็ดับวูบลง!


--------------------------------


         ภาพเหตุการณ์จริง ของกรณีหัวรถจักรดีเซล ๖ คัน ได้แล่นออกจากโรงซ่อม สถานีรถไฟชุมทางบางซื่อ โดยไม่มีคนขับ เป็นระยะทางประมาณ ๘ กิโลเมตร ด้วยความเร็วสูง ๙๐ กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้เวลา ๑๒ นาที เข้าชนสถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) พุ่งทะลุเลยรางจนเกือบถึงประตูหน้าอาคาร ในเช้าวันเสาร์ที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๙ เวลา ๐๘.๕๐ น.

         ก่อนเกิดเหตุ ทางสถานีได้ออกประกาศเตือนผู้โดยสารแล้ว แต่เนื่องจากความบกพร่องของระบบกระจายเสียง ทำให้เกิดเสียงก้องกังวาน และผู้โดยสารจำนวนมากไม่ทราบการแจ้งเตือนล่วงหน้า

         มีผู้เสียชีวิตทันทีในเหตุการณ์นี้ ๔ คน บาดเจ็บสาหัสอีกจำนวนมาก มูลค่าความเสียหายประมาณ ๒ ล้านบาท เป็นข่าวใหญ่ และแปลกประหลาดพิสดารที่สุด ที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ในรอบ ๑๐๐ ปี

         และสื่อสิ่งพิมพ์ พาดหัวเหตุการณ์นี้ว่า "รถไฟผีสิง"



(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/1699846860-member.jpg)
(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/1999781046-member.jpg)
(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/377407822-member.jpg)


หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๘ : รถไฟผีสิง!!! || หน้า ๕ || ๑๕/๐๑
เริ่มหัวข้อโดย: panitanun ที่ 15-01-2017 12:51:18
ต้นข้าววววว :z3:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๘ : รถไฟผีสิง!!! || หน้า ๕ || ๑๕/๐๑
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 15-01-2017 13:05:54
หลอนไปอีก   :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๘ : รถไฟผีสิง!!! || หน้า ๕ || ๑๕/๐๑
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 15-01-2017 13:07:03
แล้วต้นข้าวก็เจอเซอร์ไพซ์เข้ากับตัวเอง จริงๆ
แต่เหนือความคาดหมายไปมาก

จิว..ยังไม่รู้ว่าต้นข้าวประสบเหตุการณ์ร้ายแรงนี้
จะเป็นยังไงต่อไป

ต้นข้าว..ขอให้ปลอดภัยนะ
ภาวนารัวๆๆๆๆๆๆ
 :amen:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๘ : รถไฟผีสิง!!! || หน้า ๕ || ๑๕/๐๑
เริ่มหัวข้อโดย: dukdikdukdik ที่ 15-01-2017 15:41:45
น้องต้นข้าวต้องปลอดภัยค่ะ :hao5:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๘ : รถไฟผีสิง!!! || หน้า ๕ || ๑๕/๐๑
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-01-2017 15:44:33
โอย......คิดว่าจะเกิดเรื่องกับจิว  :katai1: :katai1: :katai1:
แต่ไปเกิดกับต้นข้าวซะนี่
ต้นข้าวจะเป็นอะไรหรือเปล่านะ  :ling1: :ling1: :ling1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๘ : รถไฟผีสิง!!! || หน้า ๕ || ๑๕/๐๑
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 16-01-2017 05:24:21
ต้นข้าววววว :z3:
= เอาใจช่วยต้นข้าวด้วยนะคะ  :m5:


หลอนไปอีก   :hao7: :hao7:
= ช่วยกันลุ้นให้ต้นข้าวด้วยนะคะ  :m5:


แล้วต้นข้าวก็เจอเซอร์ไพซ์เข้ากับตัวเอง จริงๆ
แต่เหนือความคาดหมายไปมาก

จิว..ยังไม่รู้ว่าต้นข้าวประสบเหตุการณ์ร้ายแรงนี้
จะเป็นยังไงต่อไป

ต้นข้าว..ขอให้ปลอดภัยนะ
ภาวนารัวๆๆๆๆๆๆ
 :amen:
= เดาแม่นมากๆ ค่ะ ช่วยภาวนานะคะ ลุ้นๆๆ จิวจะเป็นยังไงหนอ  :m29:


น้องต้นข้าวต้องปลอดภัยค่ะ :hao5:
= ขอให้เป็นอย่างนั้นนะคะ  :m5:


โอย......คิดว่าจะเกิดเรื่องกับจิว  :katai1: :katai1: :katai1:
แต่ไปเกิดกับต้นข้าวซะนี่
ต้นข้าวจะเป็นอะไรหรือเปล่านะ  :ling1: :ling1: :ling1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
= เอาใจช่วยด้วยนะคะ แงๆๆ  :m5:


ต้นข้าวจะเป็นอะไรมั้ยอะ  ลุ้นเลย
= ช่วยกันลุ้นนะคะ  :m5:


..................................


มนุษย์ มีกรรมเป็นเครื่องกำหนด มีความปรารถนาเป็นเครื่องนำทาง


"หากวันนี้รักใครบอกไปเถิด
อย่ามัวเพลิดเพลินปล่อยกาลให้ผ่านผัน
คิดอย่างไรบอกเค้าก็แล้วกัน
เผื่อว่าวันพรุ่งนี้ไม่ผ่านมา..."

"If Tomorrow Never Comes"


 :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๘ : รถไฟผีสิง!!! || หน้า ๕ || ๑๕/๐๑
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 16-01-2017 05:29:19
ต้นข้าวจะเป็นอะไรมั้ยอะ  ลุ้นเลย
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๘ : รถไฟผีสิง!!! || หน้า ๕ || ๑๕/๐๑
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 16-01-2017 07:56:53

MBK❤lover


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/1865209713-member.jpg)


ตอนที่ ๑๖ : ข้าวเหนียวมะม่วงของต้นข้าว


         วันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา จิวไปคุยเรื่องที่จะไปเกาะเสม็ดกับเอกและแจ๊สเสร็จ จิวก็นั่งรออยู่ที่มาบุญครองอีกชั่วโมงกว่า จนค่ำเต็มทีแล้ว จึงคิดว่าต้นข้าวคงจัดบอร์ดนานมาก และกลับบ้านไปแล้ว เพราะปกติไม่เคยผิดนัดกัน ต้นข้าวคงมีเหตุผลหรือมีธุระอะไรสักอย่าง

         จิวกลับถึงบ้าน คิดว่าจะลองโทรศัพท์เข้าบ้านต้นข้าว แต่พอเดินผ่านห้องทำงานของป๊าจิว เห็นป๊าใช้โทรศัพท์สั่งงานล้งเล้งเสียงดังไปหมด ดูท่าทางจะยาว ก็เลยตั้งใจว่าพรุ่งนี้วันศุกร์ไปโรงเรียน เดี๋ยวก็เจอกัน จะได้เอาโปสเตอร์อัลบั้มเบิร์ด ธงไชย ไปให้ต้นข้าวดู ต้นข้าวคงจะชอบ และอยากไปเกาะเสม็ดด้วยกัน

         หลังจากจิวนอนหลับสนิท ก็ถูกป๊าปลุกขึ้นมาตอนตีสี่ครึ่ง ให้ไปกับคนงานที่บ้าน เอารองเท้าแตะฟองน้ำไปส่งเอเย่นต์ใหญ่ที่แก่งคอย สระบุรี เพราะต้องเก็บเงินก้อนใหญ่กลับมาด้วย ป๊าไม่ค่อยไว้ใจคนงาน จิวจึงต้องหยุดเรียนฉุกเฉินเพื่อเดินทางไปสระบุรี และค้าง ๑ คืน


--------------------------------


อ.แก่งคอย  จ.สระบุรี
วันเสาร์ที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๙


         ตีห้าครึ่ง ฟ้ายังมืด จิวตื่นแล้ว เสร็จธุระเรื่องเอารองเท้าแตะฟองน้ำมาส่งที่แก่งคอยแล้ว และกำลังเตรียมตัวเดินทางไปขึ้นรถไฟกลับกรุงเทพฯ

         เช้าวันกลับวันนี้ จิวตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกแปลกๆ ในใจ บอกไม่ถูกว่าเป็นเพราะอะไร มันหน่วงๆ หนักๆ หรือจิวจะคิดฟุ้งซ่านไปเองก็ไม่รู้

         จิวจะขึ้นรถไฟกลับเที่ยว ๗ โมงเช้า จากสถานีรถไฟชุมทางแก่งคอย และคงถึงหัวลำโพงสักเก้าโมงกว่า แต่ตอนนี้จิวยังมีเวลาเหลือ คิดว่าไปเดินซื้อของฝากให้ทางบ้าน และซื้อของฝากให้ต้นข้าวด้วย

         ตลอดหนึ่งวันกับหนึ่งคืน ไม่มีช่วงเวลาไหนเลยที่จิวไม่คิดถึงต้นข้าว

         จิวฝากสัมภาระไว้กับคนงานที่ไปด้วยที่สถานีรถไฟ แล้วจิวก็ออกไปเดินหาซื้อของแถวตลาดเทศบาลเมืองแก่งคอย เพราะเป็นตลาดเช้า เห็นคนงานบอกว่ามีข้าวเหนียวมะม่วงร้านเก่าแก่เจ้าอร่อยที่นี่ จิวอยากซื้อไปฝากต้นข้าว กะว่าพอถึงกรุงเทพฯ เอาของไปเก็บบ้านแล้ว จะออกไปหาต้นข้าวที่บ้านเลยทันที จะเอาข้าวเหนียวมะม่วงไปให้แต่เช้า จะได้กินอร่อย ไม่ค้างไว้นาน

         ซื้อข้าวเหนียวมะม่วงเสร็จ เดินลึกเข้าไปในตลาด มีของฝากจากอำเภอแก่งคอยขายอยู่หลายร้าน

         อำเภอแก่งคอย ติดกับแม่น้ำป่าสัก จึงมีของฝากพวกปลาแห้ง ปลาย่าง ปลาช่อนแดดเดียว อาหารที่ทำจากปลา จิวซื้อมาอีกสองชะลอมใหญ่ๆ และที่จะลืมไม่ได้ คือซื้อลูกชิ้นปลา ที่ใครคนหนึ่งชอบกินนักหนา เดี๋ยวกลับไปบ้านจะเอาลงชุบแป้งแล้วทอดให้ แค่นึกหน้าคนรับของฝาก จิวก็มีความสุขมากๆ แล้ว

         บางเรื่องแม้เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ถ้าสำหรับคนที่เรารู้สึกพิเศษสุดด้วย จะไม่มีคำว่าเล็กน้อยระหว่างกันสักนิด

         จิวเดินหิ้วชะลอมสองใบ จะกลับมาสถานีรถไฟ เดินผ่านวัดแก่งคอย เห็นพระรูปหนึ่ง ครองจีวรสีเหลืองเข้มเกือบจะเป็นสีน้ำตาล เหมือนพระธุดงค์ตามป่า ดูแปลกตา ยืนนิ่งๆ อยู่หน้าวัด เหมือนรอคอยอะไรสักอย่าง

         ปกติทางบ้านจิวเป็นคนเชื้อสายจีน และตัวจิวเองก็ยังเป็นวัยรุ่น ยังเป็นวัยที่ห่างไกลวัด เรื่องเข้าวัดใส่บาตรไม่ต้องพูดถึง แทบไม่เคยทำด้วยซ้ำ

         แต่วันนี้ จะด้วยแรงสังหรณ์ใดๆ หรือจะเป็นความรู้สึกหน่วงๆ ในใจตั้งแต่จิวตื่นขึ้นมาแล้ว และหาสาเหตุไม่ได้ ทำให้จิวมีความรู้สึกอยากใส่บาตรขึ้นมาเป็นครั้งแรกในชีวิต

         จิวก็ไม่รู้ขั้นตอนของการใส่บาตรหรอก ว่าต้องทำอย่างไร แถมพระที่ยืนอยู่องค์นี้ ก็ยืนนิ่งๆ เฉยๆ ไม่ได้อุ้มบาตรไว้ด้วย แต่จิวอยากทำ และตอนนี้จิวก็นึกว่าควรจะต้องมีอาหารสำหรับใส่บาตรก่อน

         จิวก้มลงไปมองของที่ซื้อมาในชะลอม มันมีแต่ของแห้ง ปลาแห้ง ลูกชิ้นที่ยังไม่ทอด ซึ่งคงใส่บาตรไม่ได้ ยกเว้นแต่ถุงของกินถุงหนึ่งที่จิวตั้งใจซื้อมาเป็นพิเศษ จะเอาไปฝากต้นข้าวโดยเฉพาะ

         มันเป็นข้าวเหนียวมะม่วงของต้นข้าว

         จะด้วยบุญและกรรมใดๆ ที่เคยทำร่วมกันมาแต่หนหลังก็ตาม จิวหยิบถุงข้าวเหนียวมะม่วงนั้นออกมา แล้วเดินเข้าไปหาพระรูปนั้น

         จิวลงนั่งยองๆ แล้วยกมือขึ้นไหว้ "ผมขอใส่บาตรได้ไหมครับ"

         "ได้สิโยม" พระรูปนั้นบอกจิวเสียงเบา และเนื่องจากท่านไม่ได้อุ้มบาตร จึงยกมือขึ้นมารับถุงข้าวเหนียวมะม่วงจากจิวแทน

         ดวงตาทั้งสองสบกันชั่วครู่ ระหว่างเด็กชายวัยรุ่น และพระผู้ทรงศีล ใบหน้าของพระท่านสงบนิ่ง ดูมีราศีแห่งบุญบารมีและเมตตา ท่านมองลึกเข้าไปในดวงตาที่มุ่งมั่นของจิว

         แล้วพระรูปนั้นก็ยกมือขึ้นมาแตะเบาๆ ที่ไหล่ของจิว พร้อมกับให้พรว่า

         "ขออำนาจศักดิ์สิทธิ์แห่งหลวงพ่อลา ผู้มีฤทธิ์ทางด้านคลาดแคล้ว จงบันดาลให้โยม และคนที่โยมรัก มีความปลอดภัยทุกประการ"

         แล้วพระรูปนั้นก็เดินหันหลังกลับเข้าประตูวัด

         จิวยืนนิ่งมองตามพระรูปนั้นไป แล้วหันซ้ายหันขวา --แปลกจัง ลมก็ไม่มี ทำไมมันเย็นๆ ขนลุกตั้งแต่ต้นคอลงไปถึงกลางหลังหว่า--

         ทีแรกจิวคิดว่าจะเดินย้อนกลับไปตลาดอีกครั้ง เพื่อซื้อข้าวเหนียวมะม่วงมาแทนห่อที่ถวายพระไปแล้ว แต่กลัวจะกลับไปขึ้นรถไฟไม่ทัน จึงเดินต่อไปสถานีรถไฟ และขึ้นรถเพื่อกลับกรุงเทพฯ เลย

 
--------------------------------


สถานีรถไฟเชียงรากน้อย  จ.พระนครศรีอยุธยา
เวลา ๐๙.๑๐ น.


         หลังจากเดินทางมาจากแก่งคอยได้เกือบสองชั่วโมง รถไฟก็มาหยุดจอดที่สถานีเชียงรากน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา นานผิดปกติ ไม่แล่นต่อเสียที จนผู้โดยสารหลายคนลงจากรถไฟไปเดินข้างล่างสถานีกันจำนวนมาก จิวเลยเดินลงมาบ้าง

         "น้าครับ" จิวเดินไปสะกิดเจ้าหน้าที่รถไฟคนหนึ่ง "รถไฟเป็นอะไรหรือครับ จอดแช่นานมาก นี่เก้าโมงกว่าแล้ว"

         "วิทยุแจ้งมาว่าเมื่อกี้มีรถไฟชนหัวลำโพงน่ะหนู ยังไม่รู้ว่าจะไปต่อได้หรือเปล่า" เจ้าหน้าที่ตอบมาอย่างเซ็งๆ ปากก็เคี้ยวหมากแหย่บๆ แดงไปทั้งปาก

         "แล้วคือนี่ยังไงอะครับ คือต้องลงจากรถไฟ แล้วต่อรถไปกันเองหรือ" จิวถามแบบ งงๆ

         "ก็งั้นมั้ง จะไปยังไงได้ล่ะหนู ข่าววิทยุบอกชนกันฉิบหายหมดทั้งหัวลำโพงเลย ตอนเก้าโมงเช้านี่เอง มีคนตายตั้งหลายคน รางรถไฟใช้ไม่ได้"

         "หูย รุนแรงขนาดนั้นเลยหรือน้า" จิวเลิกคิ้วขึ้น ทำตาโต

         "นี่มันรถไฟผีชัดๆ แมร่ง ไม่มีคนขับ มันแล่นไปได้ไงวะ" เจ้าหน้าที่ส่ายหัวด๊อกแด๊ก หันไปบ้วนน้ำหมากปรี๊ดลงพื้นชานชาลา แล้วหันหลังเดินไป

         --เอาไงดีวะกู-- จิวมองซ้ายมองขวาหาตู้โทรศัพท์ แล้วเดินไปหยอดเหรียญหมุนเข้าเบอร์บ้านของจิวเอง

         "ฮัลโหล นี่อั๊ว นายห้างสามดาว พูด" เสียงป๊าจิวรับสาย

         "ฮัลโหลๆๆ ป๊า นี่นึกนะ" จิวแอบดีใจ วันนี้ป๊าไม่เมาเหล้าแต่เช้า

         "อ้าว อานึกลื้ออยู่ที่ไหน บนรถไฟหรือเปล่า อั๊วก็ห่วงแทบแย่ รถไฟมันชนกันที่หัวลำโพงน่ะ ข่าวออกวิทยุเมื่อกี้" เสียงป๊าดังโวยวายตามสไตล์นายห้าง

         จิวเอาหูโทรศัพท์ห่างจากหูออกไปหน่อยนึง "อยู่สถานีเชียงรากน้อย อยุธยาป๊า รถไฟวิ่งต่อไม่ได้แล้ว"

         "วิ่งไม่ได้ลื้อก็โบกรถบัสแดงกลับมาแล้วกัน ตังค์อั๊วก็เก็บดีๆ ล่ะ ระวังใครมาล้วง"

         --จะห่วงลูกชายของตัวเองหน่อยไหมเนี่ย ห่วงแต่เงินอะนะ-- จิวคิด แต่ปากก็ตอบไปว่า "อยู่นี่ป๊า เอาหนังยางมัดไว้กับกระเป๋ากางเกงแล้วด้วย ไม่หาย งั้นเท่านี้นะ นึกจะไปโบกรถกลับล่ะ"

         "เดี๋ยว ไอ้นึก เมื่อวานเย็นเพื่อนลื้อมาหาที่บ้านน่ะ"

         "ใครอะป๊า" จิวถาม นึกในใจ ไม่มีเพื่อนคนไหนเคยมาบ้านนี่หว่า

         "ไอ้ที่หล่อๆ อ่ะ สูงๆ บอกชื่อต้นข้าวต้นไม้อะไรเนี่ย"

         จิวยิ้มใส่หูโทรศัพท์กว้างสุดๆ เมื่อพูดชื่อนี้ออกจากปาก "ชื่อต้นข้าว ไม่ใช่ต้นไม้ แล้วเค้ามาทำไมอะป๊า"

         "ก็อีมาหา อีห่วงว่าลื้อไม่ไปโรงเรียน เห็นถามถึงเวลาที่ลื้อจะกลับวันนี้หลายรอบ แต่อั๊วไม่รู้ว่าอีจะถามย้ำไปทำไม จะไปรอรับลื้อก็ไม่น่าใช่นะ รถไฟมันชนกันฉิกหัยหมดแล้ว ใครจะไปได้ยังไงเนี่ย"

         จิวหุบยิ้ม หูโทรศัพท์แทบร่วงจากมือ

         "อะไรนะป๊า ป๊าบอกเค้าไปเหรอ ว่านึกจะกลับถึงหัวลำโพงเวลาไหน" จิวเสียงร้อนรน

         "อื่อ อั๊วบอกอีไป ว่าลื้อจะมาถึงสถานีเก้าโมงเช้าน่ะ แต่อีคงไม่ไปหรอก เชื่อสิ"

         --เชื่อบ้าอะไรล่ะ ต้นข้าวทำจริง ขนาดไม่เคยมาบ้านจิว ยังหาจนเจอ--

         จิวหมดแรงพูดต่อแล้ว ไม่มีสติจะคิดอย่างอื่น มือสั่น ปากสั่น หัวใจเต้นแรง ขาเหมือนจะอ่อนแรงแล้วพับลงไปกองอยู่ตรงนั้น

         สาธุ...ขอให้ต้นข้าวไม่ได้ไปรอรับจิวที่หัวลำโพงจริงๆ เถอะ


--------------------------------


หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๙ : ข้าวเหนียวมะม่วงของต้นข้าว || หน้า ๕ || ๑๖/๐๑
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 16-01-2017 10:45:20
อ๋อยยยยยยยย ลุ้นอ่าาาา  :ling1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๙ : ข้าวเหนียวมะม่วงของต้นข้าว || หน้า ๕ || ๑๖/๐๑
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 16-01-2017 12:31:22
จะด้วยเวร หรือกรรม ทำชาติไหน
ที่ทำให้ เกิดมาใช้ ใจมั่นหมาย
ถึงแม้เรา เพศเดียวกัน ชายกับชาย
แต่จุดหมาย เหมือนกัน มั่นรักเดียว

ซาบซึ้ง
รักของสองคนนี้บริสุทธิ์จริงๆ

อิจฉานะ
จิว+ต้นข้าว
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๙ : ข้าวเหนียวมะม่วงของต้นข้าว || หน้า ๕ || ๑๖/๐๑
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 16-01-2017 12:37:55
 หุยยยยย สมนึกสวดมนต์ให้ต้นข้าวปลอดภัยนะ อ่านแล้วอินเป็นห่วงต้นข้าวอ่ะ 555
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๙ : ข้าวเหนียวมะม่วงของต้นข้าว || หน้า ๕ || ๑๖/๐๑
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-01-2017 12:44:02
ต้นข้าว คนจริง ทำจริง พูดอย่างไรทำอย่างนั้น
ต้นข้าว จะเป็นอะไรร้ายแรงไหมนะ
สงสารจิว คงเป็นห่วงต้นข้าวจนทำอะไรไม่ถูก
จิว ได้ทำบุญถวายอาหารพระ
พรที่ท่านให้คงคุ้มครองไปถึงต้นข้าว
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๙ : ข้าวเหนียวมะม่วงของต้นข้าว || หน้า ๕ || ๑๖/๐๑
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 16-01-2017 13:14:42
 :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๙ : ข้าวเหนียวมะม่วงของต้นข้าว || หน้า ๕ || ๑๖/๐๑
เริ่มหัวข้อโดย: bluecoco ที่ 16-01-2017 20:19:15
สองคนนี้จะละมุนไปไหน
รักความเอาใจใส่กันและกันของพวกเขาจังอ่ะ
อ่านตอนรถไฟชนจบปุ๊บวิ่งไปถามแม่ปั๊บ
แม่เล่าใหญ่เลย ได้รำลึกความหลังกันไป555
ขอบคุณนะที่แต่งนิยายดีๆแบบนี้
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๙ : ข้าวเหนียวมะม่วงของต้นข้าว || หน้า ๕ || ๑๖/๐๑
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 16-01-2017 20:36:28
ติดตามด้วยจ้า
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๙ : ข้าวเหนียวมะม่วงของต้นข้าว || หน้า ๕ || ๑๖/๐๑
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 17-01-2017 15:03:21
อ๋อยยยยยยยย ลุ้นอ่าาาา  :ling1:

= อีกอึดใจเดียวค่ะ อิอิ


จะด้วยเวร หรือกรรม ทำชาติไหน
ที่ทำให้ เกิดมาใช้ ใจมั่นหมาย
ถึงแม้เรา เพศเดียวกัน ชายกับชาย
แต่จุดหมาย เหมือนกัน มั่นรักเดียว

ซาบซึ้ง
รักของสองคนนี้บริสุทธิ์จริงๆ

อิจฉานะ
จิว+ต้นข้าว

= อยากมีแฟนแบบนี้บ้างอ่า


หุยยยยย สมนึกสวดมนต์ให้ต้นข้าวปลอดภัยนะ อ่านแล้วอินเป็นห่วงต้นข้าวอ่ะ 555

= ปาฏิหาริย์จะมีจริงหรือไม่หนอ...


ต้นข้าว คนจริง ทำจริง พูดอย่างไรทำอย่างนั้น
ต้นข้าว จะเป็นอะไรร้ายแรงไหมนะ
สงสารจิว คงเป็นห่วงต้นข้าวจนทำอะไรไม่ถูก
จิว ได้ทำบุญถวายอาหารพระ
พรที่ท่านให้คงคุ้มครองไปถึงต้นข้าว
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

= เค้าเกิดมาคู่กันจริงๆ เนอะคะ


:ling1: :ling1: :ling1:

=  :katai4: :katai4: :katai4:


สองคนนี้จะละมุนไปไหน
รักความเอาใจใส่กันและกันของพวกเขาจังอ่ะ
อ่านตอนรถไฟชนจบปุ๊บวิ่งไปถามแม่ปั๊บ
แม่เล่าใหญ่เลย ได้รำลึกความหลังกันไป555
ขอบคุณนะที่แต่งนิยายดีๆแบบนี้

= ดีใจจัง ที่เรื่องราวที่ค้นคว้ามา ได้เป็นประโยชน์ในการสนทนาและขยายผลได้ต่อ  และขอบคุณมากๆ นะคะสำหรับการเขียนคำแนะนำนิยายให้ในกระทู้แนะนำนิยายต้องอ่าน  //ขอบคุณมากๆ นะคะ  ผู้อ่านน่ารักที่สุด


ติดตามด้วยจ้า

= สวัสดีค่ะ  ด้วยความยินดีค่ะ

หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๒๙ : ข้าวเหนียวมะม่วงของต้นข้าว || หน้า ๕ || ๑๖/๐๑
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 17-01-2017 15:07:19

MBK❤lover


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/1587241796-member.jpg)


ตอนที่ ๑๗ : ไปอยู่ดูแลเป็นเพื่อนเธอ


         ในเวลาเดียวกันกับที่จิวกำลังใช้โทรศัพท์ที่สถานีรถไฟเชียงรากน้อยโทรกลับบ้านอยู่นั้น
 
         ที่หัวลำโพง ต้นข้าวเริ่มรู้สึกตัวตอนมีคนเขย่าเรียก และได้กลิ่นยาดมพิมเสนอยู่ใกล้ๆ ตอนนั้นมีเสียงชุลมุนวุ่นวายไปหมด ทั้งเสียงคน เสียงนกหวีด และเสียงรถหวอ และกลิ่นน้ำมันเครื่องยนต์เหม็นคลุ้ง
 
         ต้นข้าวลืมตาขึ้นได้ครึ่งเดียวก็รู้สึกแสบข้างในตามาก สิ่งแรกที่มองเห็นลางเลือน คือหน้าต้นข้าวกำลังคว่ำทับบนกองผ้าอะไรสักอย่าง สีเหลืองเข้มเหมือนจีวรพระ แต่คางต้นข้าวสัมผัสอยู่ที่พื้น มีเลือดไหลออกมา คางคงไปกระแทกกับพื้นอาคาร
 
         ต้นข้าวลุกขึ้นมานั่ง มีคนช่วยพยุงอีกสองคน ต้นข้าวแสบตา จะเอามือขยี้ตา แต่มีคนรั้งมือไว้ เพราะเห็นว่าตาต้นข้าวแดงก่ำมาก แทบจะเป็นสีเลือด ดูน่ากลัวจะเป็นอันตราย

         เมื่อหันไปมองข้างหลัง หัวจักรรถไฟผีสิง จอดสงบสิ้นฤทธิ์ห่างจากตัวต้นข้าวแค่เมตรครึ่งเท่านั้น ต้นข้าวพึ่งนึกได้ว่า โชคดีที่มีใครไม่รู้มาช่วยผลักต้นข้าวไปข้างหน้าอย่างแรงตอนวิ่งหนี แคล้วคลาดมาอย่างหวุดหวิดแท้ๆ
 
         --ขนลุก-- ต้นข้าวเอามือลูบแขนตัวเอง

         ก่อนต้นข้าวจะไปกับคนที่มาช่วยปฐมพยาบาล ต้นข้าวได้หันกลับไปมองจุดที่ล้มฟาดเมื่อกี้อีกครั้ง อ้าว...มันไม่ใช่กองผ้าจีวรพระนี่ แต่มันเป็นกระสอบเกลือ!! มีเกลือเม็ดใหญ่หยาบๆ บรรจุอยู่ในนั้นเต็มกระสอบ และแตกหกกระจายให้เห็นอยู่รอบๆ พื้นด้วย

         ต้นข้าวรู้สึกแปลกใจ เมื่อสักครู่ต้นข้าวตาไม่ฝาดแน่ เพราะตอนฟื้นขึ้นมาใหม่ๆ หน้าต้นข้าวแนบทับอยู่กับกองผ้าจีวรพระเลย มันไม่ใช่กระสอบเกลือแน่ๆ เพราะต้นข้าวยังนึกเลย ว่าสีมันเข้มเหมือนจีวรของพระธุดงค์ แต่ถ้าเป็นกระสอบเกลือจริงๆ แล้วต้นข้าวล้มฟาดไปแบบนั้น หน้าคงแหกเละเป็นรูๆ ตามเม็ดเกลือไปแล้ว หรือเป็นเพราะเริ่มเจ็บตาอยู่หรือเปล่า ต้นข้าวเลยมองสับสนไปเอง

         หลังจากนั้นมีตำรวจมาถามเบอร์โทรศัพท์บ้านต้นข้าว  แล้วก็ถูกอุ้มไปขึ้นรถพยาบาลที่มีตราโรงพยาบาลหัวเฉียว เปิดไซเรนเสียงลั่น แล้วขับออกไปจากหัวลำโพงนั้น

 
--------------------------------


         กว่าจิวจะต่อรถ บขส.หวานเย็น เข้ามาถึงกรุงเทพฯ ได้ ก็บ่ายแก่ๆ แล้ว ทันทีที่ถึงบ้าน ก็รีบโทรศัพท์ไปบ้านต้นข้าวทันที และได้รับข่าวร้ายว่าตอนนี้ต้นข้าวนอนอยู่ที่โรงพยาบาลหัวเฉียว จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหัวลำโพง
 
         จิวรีบออกไปโรงพยาบาล จนมาถึงห้องรวมที่ต้นข้าวนอนอยู่บนเตียง พอเห็นแล้วจิวก็ถอนหายใจเฮือก ไม่รู้จะตกใจ หรือโล่งใจดี

         ต้นข้าวนอนอยู่บนเตียง ในชุดของโรงพยาบาล ที่ดวงตามีผ้าก๊อซปิดอยู่ทั้งสองข้าง และมีผ้าก๊อซปิดอยู่ที่คาง มีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย นอกนั้นเป็นผ้าก๊อซเล็กๆ รวมทั้งแผ่นพลาสเตอร์ปิดแผลกระจายอยู่แถวข้อศอก เข่า แต่ดูแล้วไม่ได้เข้าเฝือก ไม่ได้ให้น้ำเกลือ หรืออะไรที่ดูรุนแรงไปกว่านั้น
 
         จิวเดินเข้าไปจับมือต้นข้าวเบาๆ
 
         "แว่น แว่น มึงเป็นไงบ้าง"
 
         ต้นข้าวขยับตัว หันหน้ามาตามเสียง เอามือขึ้นมาจับมือจิวอีกที

         "จิวเหรอ กลับมาแล้วเหรอ โอ๊ย เจ็บ!!" พูดจบ คนเจ็บก็เอามือไปกุมตรงคาง ที่พันแผลไว้ พูดต่อ "เย็บคาง เจ็บ อิอิ"

         "ยังอารมณ์ดีอีกเนอะ แล้วเป็นอะไรอีกไหม ตาปิดไว้ทำไมอ่ะ เป็นอะไรหรือเปล่า" จิวมองไปที่ผ้าปิดแผลบนดวงตาอย่างกังวล
 
         "หมอปิดไว้ ไม่น่าจะเป็นอะไรนะ หมอบอกว่า ตอนล้มเอาหน้าฟาด คอนแท็กเลนส์แบบแข็งที่กูใส่ มันกระแทกกับขอบตาดำ เส้นเลือดฝอยในตาขาวแตก อักเสบมาก ต้องปิดไว้" ต้นข้าวเอามือมาแตะที่ผ้าก๊อซ

         "โห แล้วมึงจะมองเห็นหรือแว่น หมอให้ปิดไว้นานไหม" จิวสงสัย
 
         "ไม่รู้เหมือนกัน น่าจะอาทิตย์นึงมั้ง ห้ามเปิด ห้ามใช้สายตา"

         "หมดกัน เป็นไอ้บอดชั่วคราวไปแล้ว จะเดินยังไงแว่นเอ้ย" จิวเอามือกุมต้นข้าวแน่นๆ

         "ก็มึงไง" ต้นข้าวพูดเบาๆ
 
         "กูทำไม" จิวก้มลงกระซิบถาม

         "มึงก็จูงกูไง จิว เคยสัญญากันไว้ไม่ใช่เหรอ" ต้นข้าวกระซิบอีก แอบยิ้ม

         "จำได้สิ ก็กูเป็นคนขอคำสัญญานั้นเองไง"  จิวกุมลงไปสองมือแล้วตอนนี้  "กูต้องรับผิดชอบด้วยไง เพราะมึงจะไปรับกู กูเป็นต้นเหตุให้มึงเจ็บ"
 
         "ไม่หรอก ไม่ใช่ความผิดมึง" ต้นข้าวส่ายหัว
 
         "แล้วมึงไปทำไมล่ะแว่น ที่หัวลำโพงนั่นน่ะ"
 
         "คิดถึง" ต้นข้าวกระซิบหวาน
 
         "........" จิวกำมือแน่นเข้าไปอีก
 
         "โอ้ยย" ต้นข้าวร้อง
 
         "เป็นอะไรไป แว่น" จิวตกใจ
 
         "มือกูอะ เจ็บ บีบเบาๆ หน่อย" ต้นข้าวสูดปากซี๊ด
 
         "โทดๆๆๆ ลืมตัวไป ดีใจ กูก็คิดถึงมึงมากเหมือนกัน"
 
         ..........................
 
         "คุยอะไรกันจ้ะเด็กๆ" เสียงแม่ของต้นข้าวดังมา
 
         จิวปล่อยมือต้นข้าว หันมายกมือไหว้แม่ และเลยไปสวัสดีชายหนุ่มหน้าตาดีที่จิวไม่เคยเห็น ซึ่งเดินมาพร้อมๆ กับแม่ต้นข้าวด้วย

         "สวัสดีครับแม่ สวัสดีครับพี่"
 
         "จ้ะ คนนี้ใช่ไหมเนี่ย ที่ต้นข้าวบอกว่าจะไปรับที่หัวลำโพง" แม่ต้นข้าวถามยิ้มๆ
 
         "ใช่ครับ ผมเอง" จิวหน้าเสีย

         "ดีแล้วลูก เป็นเพื่อนกันต้องเป็นห่วงกันนะ มีอะไรก็ดูแลกัน ไม่งั้นจะมีเพื่อนไว้ทำไมล่ะ เรื่องอุบัติเหตุก็เรื่องนึง ไม่มีใครคิดหรอกว่ามันจะเกิดขึ้น" แม่ยิ้มๆ

         "อ่อ ครับ ครับ" จิวไม่รู้จะตอบอะไร

         "พรุ่งนี้ค่อยไปหาต้นข้าวที่บ้านสิ เพราะคืนนี้ยังต้องนอนโรงพยาบาลอีกคืน รอผลเอ็กซ์-เรย์ ก่อน พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้ล่ะลูก"

         "ครับ งั้นผมกลับก่อนนะครับ" จิวเห็นว่าน่าจะหมดเวลาเยี่ยมแล้ว "แว่น กูไปก่อนนะ พรุ่งนี้จะไปหาที่บ้านนะ"

         "อื่อ"

         คนป่วยคงหมดแรงพูดแล้ว เพราะพูดมากแล้วคงเจ็บแผลที่คาง หรือไม่ก็คงไม่อยากคุยอะไรมากต่อหน้าแม่และชายหนุ่มที่จิวไม่รู้จักคนนั้น


--------------------------------


         สายวันรุ่งขึ้น จิวก็มาหาต้นข้าวที่บ้าน เอาชะลอมของฝากที่ซื้อมาจากแก่งคอยให้กับแม่ของต้นข้าวด้วย และแม่บอกให้จิวเดินขึ้นไปหาต้นข้าวบนห้องนอนได้เลย

         "แว่น แว่น กูมาแล้ว" จิวตะโกนบอกจากหน้าห้องนอนของต้นข้าว แล้วบิดลูกบิดประตูเข้ามา โดยไม่รอฟังเสียงตอบ

         ต้นข้าวครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนเตียง เปิดวิทยุรายการเพลงทิ้งไว้ คงไม่รู้จะทำอะไรเพราะตาถูกปิดอยู่ มองไม่เห็น ได้แต่ฟังอย่างเดียว

         วันนี้ต้นข้าวไม่ได้ใส่เสื้อ สวมแต่กางเกงขาสั้น จริงๆ จิวก็ดูว่าต้นข้าวไม่ได้เป็นอะไรมาก เพราะตามเนื้อตัวไม่มีแผลอะไรเลย มีพลาสเตอร์ปิดแผลตามศอก เข่า บางจุด ส่วนแผลที่ดูเป็นเรื่องเป็นราวที่สุด ก็แค่คางที่เย็บ และตาสองข้างที่ปิดผ้าก๊อซไว้เท่านั้น

         พอจิวขึ้นไปนั่งบนเตียงได้ ก็ล้มตัวลงไปนอนตักต้นข้าวทันที แล้วบิดขี้เกียจ

         "อะไรเนี่ย มาถึงก็อ้อนเป็นเด็กๆ เลยนะ" ต้นข้าวก้มลงมาคุยด้วย ทั้งๆ ที่มองไม่เห็น

         "อ้าว นอนตักไว้ มึงจะได้รู้ไงแว่น ว่ากูกำลังทำอะไรอยู่ เพราะมึงไม่เห็น แต่มึงจะสัมผัสได้ว่ากูอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา" จิวหยอด

         "แหม ไปสระบุรีมาวันเดียว พูดปากหวานได้ด้วย ไปเจอใครเค้าสอนมาเหรอ" ต้นข้าวอ้อยใส่บ้าง

         ในมุมที่จิวนอนหนุนตักอยู่นั้น จิวแหงนมองหน้าต้นข้าว ก็ต้องมองผ่านหน้าอกเปลือยของต้นข้าว จิวเลยนึกๆ ว่าไม่เคยได้มองรูปร่างต้นข้าวนานๆ แบบนี้ โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ เพราะมองไม่เห็น นึกแล้วคนเริ่มหื่นก็แอบอมยิ้ม

         "ไม่มีใครสอนหรอก มันออกมาจากใจ" แต่ตาจิวชำเลืองมองหัวนมต้นข้าว --อืม ชมพูดี--

         ต้นข้าวเอามือลงไปคลำๆ ที่หน้าจิวเล่น "ไหน เล่าให้ฟังบ้างสิ ว่าไปทำอะไรมาบ้างที่แก่งคอย สนุกไหม"

         หลังจากนั้น จิวก็เล่าถึงการที่ต้องไปสระบุรี และไปทำอะไรที่นั่นบ้าง เล่าทุกเรื่องแม้กระทั่งเรื่องซื้อปลาแห้ง ลูกชิ้นมาฝาก ยกเว้นแต่ไม่ได้เล่าเรื่องใส่บาตรเท่านั้น เพราะจิวไม่ทันคิดอะไร

         ต้นข้าวนั่งฟังเพลินๆ ซักถามบ้าง ส่วนจิวก็นอนเล่าให้ฟังเจื้อยแจ้วไปเรื่อย แต่สิ่งหนึ่งที่ต้นข้าวไม่รู้และไม่เห็น ก็คือ ตลอดเวลาที่จิวเล่า จิวไม่ได้มองหน้าต้นข้าว เพราะต้นข้าวตาปิดอยู่

         แต่ตาของจิวขณะเล่า กวาดมองร่างของต้นข้าวไปทั่ว

         มองนม --สีชมพู น่ารักจัง อยากลองชิม-- จิวคิด

         มองแขน --แขนบาง มีกล้ามน้อยๆ อยากกัดจัง หมั่นเขี้ยว!!--

         มองท้อง --หืม แบนราบเว้ยเฮ้ย เนียนจัง อยากเอามือไปลูบๆ--

         มองซอกคอ --โอย อยากเอาหน้าไปซุกตรงนั้นจัง คงจะมีความสุข--

         ...................

         "อ้าว จิว เงียบไปทำไมอ่ะ เล่าต่อสิ" เสียงต้นข้าวเรียกเตือนมา หลังจากช่วงหนึ่งจิวเงียบไป พร้อมเอามือเขี่ยๆ หน้าจิว

         จิวสะดุ้ง!

         "อุ่ย โทดๆๆ กำลังมอง เอ๊ย...กำลังคิด เอ๊ย...กำลังนึกว่าจะเล่าอะไรต่อน่ะ" พูดจบก็แอบหัวเราะไม่ให้มีเสียง แต่หัวไหล่โยกยิกๆๆ

         แถมแอบเนียน ขยับเลื่อนหัวที่หนุนตัก ให้หนุนชิดเข้าไปกลางหว่างขาต้นข้าวอีก แล้วกดหัวหนุนลงไปให้สนิทแนบกว่าเดิม...

         --หุหุหุหุ--

         "แล้วนี่ มึงก็ต้องหยุดเรียนยาวเลยสิ" จิวพูด พร้อมถูหัวที่หนุนไปมาตรงหว่างขาต้นข้าวแรงขึ้น

         "ก็สิบกว่าวันมั้ง พรุ่งนี้วันจันทร์แม่กูจะไปคุยกับครูที่โรงเรียน" ต้นข้าวจับหัวจิวให้หยุด "นอนดีๆ มึงจะส่ายหัวทำไมเนี่ย จั๊กจี๋"

         "หุหุหุหุ" จิวแอบยิ้มเจ้าเล่ห์

         ...............

         "จิว" ต้นข้าวเรียก

         "หืม"

         "พอมึงเลิกเรียนแล้ว มาหากูทุกวันได้ไหม"

         "ต้องมาอยู่แล้ว ไม่ต้องบอกหรอก ทำไมเหรอ" จิวละสายตาจากท้องที่บางเนียน เป็นลอนๆ ของต้นข้าว แล้วเงยขึ้นไปมองหน้า

         "หมอให้เปิดผ้าที่ปิดตาทุกวัน วันละ ๑๕ นาที เพื่อให้ตาปรับแสง ไม่ให้ชินกับความมืดน่ะ" ต้นข้าวตอบ และไม่มีวันรู้ว่าโดนโลมเลียทางสายตาจากจิวนานแค่ไหนแล้ว

         "กูอยากเห็นหน้ามึงเป็นคนแรก ทุกวันที่เปิดตา" ต้นข้าวพูดอ้อมแอ้มมาเสียงแผ่ว...

         จิวได้ยินประโยคนั้น ก็โอบมือทั้งสองขึ้นไปกอดเอวบางของต้นข้าวแน่น และถือโอกาสซุกหน้าลงไปดมๆ หอมๆ ที่หน้าท้องราบแกร่งนั้นด้วยเลย

         "อืม...ชื่นใจ" จิวตาลอย เห็นแต่ตาขาว ทำหน้ามีความสุข

         ต้นข้าวเอามือผลักหน้าจิวออกเบาๆ พอเป็นพิธี

         "หยั่มมา...เหม็นอยู่เนี่ย ไม่ได้อาบน้ำตั้งแต่เช้าวันเกิดเรื่องล่ะนะ"

         "ใช่ๆ เหม็นจริงๆ ด้วย" จิวตาเป็นประกายวาว

         จริงๆ มันไม่ได้เหม็นหรอก หรือถึงจะมีกลิ่นอะไรบ้าง แต่จมูกของคนที่รักกัน มักจะได้แต่กลิ่นที่ชโลมใจเสมอ มันเรียกว่า "กลิ่นของความรัก" หรือเปล่า

         "มา มา เช็ดตัวให้นะแว่น" จิวรีบอาสา แอบเอาลิ้นเลียปากตัวเองครั้งหนึ่ง ที่ต้นข้าวไม่มีวันเห็น

         และก่อนที่ต้นข้าวจะทักท้วงอะไร จิวก็เปิดประตูห้องนอนออกไปแล้ว เดี๋ยวเดียวก็กลับขึ้นมาพร้อมกะละมังใบเล็ก มีผ้าขนหนูสีขาวผืนเล็กขึ้นมาพร้อมสรรพ

         จิวยกหลังต้นข้าวให้นั่งตัวตรง

         "ถอดกางเกงก่อนนะ จะได้เช็ดตัวสะดวก" จิวจับที่ขอบกางเกงขาสั้นของต้นข้าว

         "อย่า ไม่ต้องเลย อาย..." ต้นข้าวอ้อมแอ้ม

         "อายทำไมแว่น มึงมองเห็นเหรอ ไม่ต้องมาอายอะไรหรอก เอางี้ ถ้ามึงกลัวมึงอาย งั้นกูจะถอดเสื้อผ้ากูเองด้วย จะได้เจ๊ากัน ดีมะ" จิวเสนอไอเดียสุดบรรเจิด

         "มึงต้องทำขนาดนั้นเลยหรือ" เสียงต้นข้าว อ้อยใส่ระดับสอง

         "นี่แหล่ะ ดีที่สุดแล้ว" จิวเลียปากอีกครั้งหนึ่ง เพราะรู้สึกเหมือนน้ำลายจะหยด

         จิวเริ่มถอดกางเกงขาสั้นให้ต้นข้าวในท่านั่ง จิวรูดกางเกงต้นข้าวช้าๆ เบาๆ เพราะกลัวไปโดนแผลเล็กๆ ตามขา

         ต้นข้าวไม่ได้ใส่กางเกงใน ผิวเนื้อในร่มผ้า ขาว เนียนจนเกือบชมพู สว่างโพลงอยู่บนเตียงนั้น ช่วงขาที่ยาวได้รูป มันเป็นรูปร่างของวัยรุ่นชายที่สมบูรณ์มาก

         และส่วนสำคัญกลางตัวของต้นข้าว ห้อยสงบนิ่งงดงามอยู่กลางหว่างขานั้น

         จิวกลืนน้ำลายดังอึก! เอามือขึ้นแตะเหนือริมฝีปาก เพื่อเช็คดูว่าตัวเองมีเลือดกำเดาไหลออกมาหรือเปล่า

         แล้วเริ่มถอดเสื้อและกางเกงของตัวเองบ้าง แต่ต่างกันตรงที่ว่า ของๆ จิวมันไม่ค่อยสงบนิ่งน่ะสิ มันเริ่มติดเครื่องเบาๆ พอน่วมๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว

         จิวนั่งชิดลงไปตรงหน้าต้นข้าว ใบหน้าประจันกัน เอาขาทั้งสองกางออกไปหนีบที่ข้างสะโพกต้นข้าว แล้วยกขาต้นข้าวทั้งสองข้าง กางออกแล้วเอาขึ้นมาคร่อมทับบนต้นขาของจิวเองอีกที

         ตอนนี้ตัวทั้งสองแทบจะติดกัน ช่วงบนห่างกันศอกนึง แต่ช่วงล่าง มันแทบจะเกยกัน ท่อนเนื้อกลางลำตัวแตะกันเบาๆ และส่วนปลายหัวส่ายเฉี่ยวกันไปมา ยามที่ทั้งสองขยับตัว

         จิวมองหน้าต้นข้าว แล้วเริ่มเอาผ้าขนหนูสีขาวชุบน้ำ บิดพอหมาดๆ เริ่มแตะเช็ดอย่างแผ่วเบาที่ใบหน้าต้นข้าว ส่วนอีกมือหนึ่งเขี่ยปลายเส้นผม ที่ตกลงมาเคลียหน้าผากต้นข้าว สัมผัสนุ่ม ละมุน แผ่ว...

         ต้นข้าว ก็ยกมือทั้งสองขึ้นมาแตะเอวของจิว ที่ต้นข้าวนั่งคร่อมอยู่

         เสียงเพลงจากรายการวิทยุที่ต้นข้าวเปิดทิ้งไว้ในห้อง กำลังเปิดเพลงใหม่ที่แสนอบอุ่น "ด้วยรักและผูกพัน" ของเบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย ในอัลบั้ม "หาดทราย สายลม สองเรา"

         "หากวันไหนที่เธอ
         เกิดเจอะเจอทุกข์ภัย
         หากเธอนั้นเดือดร้อนใจ
         จะเป็นเรื่องใด ที่ทำให้เธอท้อแท้

         ขอเพียงแต่เขียนมา
         ขอเพียงส่งเสียงมา
         จะไปหา จะไปในทันใด
         จะไปยืนเคียงข้างเธอ
         ไปอยู่ดูแลเป็นเพื่อนเธอ
         ให้เธอหมดความกังวลใจ..."



         จิวเริ่มเช็ดเบาๆ ลงมาที่หน้าอกต้นข้าว เช็ดมาถึงปลายยอดสีชมพูนั่น เบา บาง แผ่ว ส่วนอีกมือหนึ่ง ลูบจับไปตามต้นแขนของต้นข้าว

         มือต้นข้าว เริ่มเปลี่ยนจากที่จับเอวของจิวเมื่อครู่ มาลูบเบาๆ ไปที่หน้าอกจิว และอีกมือลูบอยู่บนแขนจิวที่กำลังเช็ดตัวให้อยู่นั้น ทั้งหมดทำไปโดยไม่รู้ตัว

         ตอนนี้ ส่วนกลางลำตัวของทั้งคู่ ที่ปลายแตะเขี่ยกันไปมาแผ่วๆ เริ่มไม่ปกติแล้ว มันค่อยๆ เริ่มขยายตัวไปตามแกนของใครของมัน ช้าๆ จนขยายตัวขึ้นเต็มที่ถึงขั้นสุด

          จิวเอาผ้าขนหนู ลงชุบน้ำอีกครั้งหนึ่ง แล้วย้อนเช็ดขึ้นไปบนซอกคอต้นข้าวเบาๆ ต้นข้าวยืดคอสูง แล้วเอียงคอให้จิวเช็ดถนัดขึ้น จิวลูบขึ้นลูบลงในซอกคอ พร้อมทั้งอีกมือหนึ่ง ลูบแผ่วๆ ที่หน้าอกของต้นข้าว

         น้ำเย็นจากผ้าขนหนู ทำให้ต้นข้าวเกิดความสะท้านที่ซอกคอ ต้นข้าวยืดคอขึ้น หน้าแหงนเงยขึ้นไปข้างบน ปากเผยออ้าออก หยดน้ำจากผ้าขนหนู ไหลหยดลงมาเป็นสาย ผ่านลงมาถึงปลายยอดสีชมพูที่หน้าอกต้นข้าว ความเย็นแผ่ซ่านเข้าไปถึงหัวใจ

         มือไม้ของต้นข้าวเริ่มสะเปะสะปะ ลูบไปลูบมาที่หน้าท้องที่แบนราบแข็งแกร่งของจิว มือหนึ่งเลยลงไปที่กลางลำตัว ไปแตะลูบแผ่วๆ อยู่ที่แท่งเนื้อแข็งแรงของจิวข้างล่างนั่น

         จิวเริ่มเช็ดลงมาข้างล่างเรื่อยๆ ลากผ้าขนหนูเบาๆ สายตาอ่อนโยนที่มองต้นข้าว เต็มเปี่ยมไปด้วยความละมุนและทะนุถนอม

         จิวเช็ดลูบเบาๆ ไปที่โคนขาสองข้างของต้นข้าว เช็ดสลับข้างไปซ้ายไปขวา ข้อมือที่จับผ้าขนหนู ลากผ่านแท่งกลางลำตัวของต้นข้าวที่ตื่นแข็งแรงเต็มที่ เฉี่ยวสัมผัสผ่านไปมา จนมีหยาดน้ำใสเหนียวเป็นเส้นยืดติดตามมือของจิวไปด้วยยามเคลื่อนไหว

         ระหว่างที่มือจิวกำลังเช็ดตัวให้อยู่ด้านล่าง จิวค่อยๆ โน้มตัวเข้าไปใกล้ขึ้น ตาจ้องใบหน้าต้นข้าวอีกครั้ง แล้วค่อยๆ บรรจงแตะจูบลงไปที่ริมฝีปากอิ่ม ซึ่งกำลังเผยออ้ารออยู่ของต้นข้าว แล้วเริ่มบดจูบลงไป...


         "ก๊อก ก๊อก ก๊อก!!!"


         เสียงคนเคาะประตู พร้อมทั้งเสียงลูกบิดประตูที่ไม่ได้ล็อคไว้ เปิดออก ตามด้วยเสียงของคนที่ยืนอ้าปากค้างหน้าประตูที่เปิดกระทันหันนั้น


         "เฮ้ยยย!!!!!!!!!"


--------------------------------


https://www.youtube.com/watch?v=9o6UTS0ecwE
*ด้วยรักและผูกพัน - เบิร์ด ธงไชย [ OFFICIAL MV ]


หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๓๐ : สายตาที่โลมเลีย || หน้า ๖ || ๑๗/๐๑
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 17-01-2017 18:33:22
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๓๐ : สายตาที่โลมเลีย || หน้า ๖ || ๑๗/๐๑
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 17-01-2017 18:38:56
 :laugh:
อิจิวววว
กลิ่นความหื่น ฟุ้งงงงงงง มากกกก

 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๓๐ : สายตาที่โลมเลีย || หน้า ๖ || ๑๗/๐๑
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 17-01-2017 18:46:52
จิว ต้นข้าว เจอกัน มีคำหวานให้กัน คิดถึง  :ling1: :ling1: :ling1:
จิว ปร๊าดไปนอนหนุนตักคนเจ็บซะและ
ลวนลามต้นข้าวทางสายตาใหญ่เลย
แล้วยังเอาหัวไปหนุนหว่างขาต้นข้าว
เอ่อ.....แถมมีกดหัวตัวเองตรงนั้นใหญ่เลย อะจ๊ากกกก
เดี๋ยวมีอะไร ทั้งแข็งทั้งลุกกันแน่ๆ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
     
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๓๐ : สายตาที่โลมเลีย || หน้า ๖ || ๑๗/๐๑
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 17-01-2017 22:34:04
:laugh:
อิจิวววว
กลิ่นความหื่น ฟุ้งงงงงงง มากกกก

 :L2: :pig4:

ขออนุญาตลอกคำตอบนี้
ฮ่าฮ่า

คิดเหมือนกันเลย ตรงเป๊ะ

จิวโคดจะหื่นเลย
ไอ่ตี๋ขี้เอา
กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๓๐ : สายตาที่โลมเลีย || หน้า ๖ || ๑๗/๐๑
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 17-01-2017 22:49:00
 จิว แบบนี้เขาเรียกโลมเลียนะ ฮ่าๆ  ชอบฉากโรงบาลอะ ห่วงใยกันเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๓๐ : สายตาที่โลมเลีย || หน้า ๖ || ๑๗/๐๑
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 18-01-2017 14:38:11
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๓๐ : สายตาที่โลมเลีย || หน้า ๖ || ๑๗/๐๑
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 18-01-2017 17:31:47
:hao6: :hao6: :hao6:

= อิอิอิอิอิ...


:laugh:
อิจิวววว
กลิ่นความหื่น ฟุ้งงงงงงง มากกกก

 :L2: :pig4:

= 55555555+ ฟุ้งกระจายมาก เรียกว่าพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสเนอะ   :hao6:


จิว ต้นข้าว เจอกัน มีคำหวานให้กัน คิดถึง  :ling1: :ling1: :ling1:
จิว ปร๊าดไปนอนหนุนตักคนเจ็บซะและ
ลวนลามต้นข้าวทางสายตาใหญ่เลย
แล้วยังเอาหัวไปหนุนหว่างขาต้นข้าว
เอ่อ.....แถมมีกดหัวตัวเองตรงนั้นใหญ่เลย อะจ๊ากกกก
เดี๋ยวมีอะไร ทั้งแข็งทั้งลุกกันแน่ๆ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
     

= เริ่มมาอย่างนี้ ต้นข้าวไม่น่าจะรอดเนอะ 555+   :hao6:


:laugh:
อิจิวววว
กลิ่นความหื่น ฟุ้งงงงงงง มากกกก

 :L2: :pig4:

ขออนุญาตลอกคำตอบนี้
ฮ่าฮ่า

คิดเหมือนกันเลย ตรงเป๊ะ

จิวโคดจะหื่นเลย
ไอ่ตี๋ขี้เอา
กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก

= หื่นมากกกกกก อยากโดนตี๋จิวปล้ำมั่งอ่ะ  55555+   :hao6:


จิว แบบนี้เขาเรียกโลมเลียนะ ฮ่าๆ  ชอบฉากโรงบาลอะ ห่วงใยกันเหลือเกิน

= เนอะ มีความห่วงใยแฟน น่าร๊ากกกก   :katai2-1:


:pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

= ขอบคุณมากๆ นะคะ   :mew1:


หัวข้อ: Re: MBK❤lover [ย้อนยุค] บทที่ ๓๐ : สายตาที่โลมเลีย || หน้า ๖ || ๑๗/๐๑
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 18-01-2017 18:06:52
:hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๑ : ไปอยู่ดูแลเป็นเพื่อนเธอ || หน้า ๖ || ๑๘/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 18-01-2017 18:56:02
ฮึ๊ยยยยยยยย ขัดใจมากกก   :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๑ : ไปอยู่ดูแลเป็นเพื่อนเธอ || หน้า ๖ || ๑๘/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 18-01-2017 20:30:11
อ่าาาาาาาา มาเนียนๆ
จากนั้นนน  :a5: จ๊ากกกกกก
 :z6:ทำไมจะทำการใหญ่ ไม่รู้จักปิดประตูฟร๊ะะะะ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๑ : ไปอยู่ดูแลเป็นเพื่อนเธอ || หน้า ๖ || ๑๘/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 18-01-2017 22:06:32
ชิหายแล้ว
แก้ผ้าล่อนจ้อนทั้งคู่ซะด้วย

คำอุทานน่าจะเป็นผู้ชาย
หวยอย่ามาออกมาว่าคือ..น้าเดียร์ นะเว้ยยยย

เดี๋ยวแกจะรีบไปเอากล้องมาถ่ายรูป เอิ่มมมมมม..กล้วยหอมคู่

แช๊ะ..แช๊ะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
เพลินเลย

ฮ่าฮ่า
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๑ : ไปอยู่ดูแลเป็นเพื่อนเธอ || หน้า ๖ || ๑๘/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: zipboy ที่ 19-01-2017 00:33:11
อารมณ์ค้าง...รออ่านต่อนะครับ

จิวมันหื่นจัง.....
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๑ : ไปอยู่ดูแลเป็นเพื่อนเธอ || หน้า ๖ || ๑๘/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 19-01-2017 01:14:00
 เห้ยยย ตัดฉับ ค้างอะ 555  ทั้งจิว ทั้งต้นข้าวกำลังจะ...แล้วเชียว มาขวางทำไมอะ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๑ : ไปอยู่ดูแลเป็นเพื่อนเธอ || หน้า ๖ || ๑๘/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 19-01-2017 08:36:25
โอ๊ย.....ไรท์ หัวใจจะวาย  :ling1: :ling1: :ling1:
อ่านไปก็เสียวไป จิวไม่ล็อคประตู
แหมจากลูบไล้ จากน่วมๆ เป็นต่างคนต่างขยายตัว
ไปตามแกนของใครของมัน จนขยายตัวขึ้นเต็มที่ถึงขั้นสุด อะจ๊ากกกก
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:   ทั้งเคาะ ทั้งเปิดประตู  :z3: :z3: :z3:
ค้างๆๆๆๆ .......  :ling1: :ling1: :ling1:
ไม่ไหวๆ nc อยู่ดีๆ ก็พลิกล็อกกันน่าดู ถล่มทลาย  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
ว่าแต่ใครกันที่เปิดประตูเข้ามา  น่าจะเป็นน้ามากกว่านะ  :katai1: :katai1: :katai1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๑ : ไปอยู่ดูแลเป็นเพื่อนเธอ || หน้า ๖ || ๑๘/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 20-01-2017 04:29:09
ถ้าเรื่องครอบครัวคลี่คลายได้เนิ่นๆก็ยินดีด้วยนะ


ชอบยุคที่ยังเขียนจดหมาย ไม่มีสมาร์ทโฟน
บรรยายได้ดี อ่านแล้วรู้สึกเหมือนอยู่ยุคนั้นจริงๆ
เอ๊ะ หรือเราจะวัยเดียวกัน อิอิ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๑ : ไปอยู่ดูแลเป็นเพื่อนเธอ || หน้า ๖ || ๑๘/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 20-01-2017 08:40:12
ฮึ๊ยยยยยยยย ขัดใจมากกก   :katai1: :katai1: :katai1:

= นี่ถ้าเป็นทีวี สงสัยมีเขวี้ยงรีโมทใส่จอทีวีแหง่ๆ โทษฐานตัดเข้าโฆษณา แหม๋ ขัดใจจริงๆ ฮะ 555+


อ่าาาาาาาา มาเนียนๆ
จากนั้นนน  :a5: จ๊ากกกกกก
 :z6:ทำไมจะทำการใหญ่ ไม่รู้จักปิดประตูฟร๊ะะะะ

= นั่นสิฮะ สงสัยไม่ทันคิด ว่าอะไรจะเลยเถิดไปถึงขนาดนั้น 555+ (แต่หื่นจัดน่ะใช่!!!)


ชิหายแล้ว
แก้ผ้าล่อนจ้อนทั้งคู่ซะด้วย

คำอุทานน่าจะเป็นผู้ชาย
หวยอย่ามาออกมาว่าคือ..น้าเดียร์ นะเว้ยยยย

เดี๋ยวแกจะรีบไปเอากล้องมาถ่ายรูป เอิ่มมมมมม..กล้วยหอมคู่

แช๊ะ..แช๊ะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
เพลินเลย

ฮ่าฮ่า

= ถ้าเป็นสมัยนี้ น้าเดียร์คงย่องเข้ามาเงียบๆ แล้วยกมือถือขึ้นมาแอบถ่ายคลิป ส่งไปให้เพื่อนสาวดู เม้าท์กันหัวเราะคิกคักๆ หรือเปล่าฮะ 555+


อารมณ์ค้าง...รออ่านต่อนะครับ

จิวมันหื่นจัง.....

= จิวคงอยากปล้ำแต็มแก่แล้ว วัยรุ่นอยากลองเนอะฮะ อิอิอิอิ...


เห้ยยย ตัดฉับ ค้างอะ 555  ทั้งจิว ทั้งต้นข้าวกำลังจะ...แล้วเชียว มาขวางทำไมอะ

= ตัดเข้าโฆษณาเป็นละครหลังข่าวเชียว อารมณ์เสีย 555+


โอ๊ย.....ไรท์ หัวใจจะวาย  :ling1: :ling1: :ling1:
อ่านไปก็เสียวไป จิวไม่ล็อคประตู
แหมจากลูบไล้ จากน่วมๆ เป็นต่างคนต่างขยายตัว
ไปตามแกนของใครของมัน จนขยายตัวขึ้นเต็มที่ถึงขั้นสุด อะจ๊ากกกก
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:   ทั้งเคาะ ทั้งเปิดประตู  :z3: :z3: :z3:
ค้างๆๆๆๆ .......  :ling1: :ling1: :ling1:
ไม่ไหวๆ nc อยู่ดีๆ ก็พลิกล็อกกันน่าดู ถล่มทลาย  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
ว่าแต่ใครกันที่เปิดประตูเข้ามา  น่าจะเป็นน้ามากกว่านะ  :katai1: :katai1: :katai1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

= วิเคราะห์ได้ดี เดี๋ยวมาลุ้นกันดูฮะ ว่าใครเป็นคนเข้ามาในนาทีที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มพอดี ฮี่ๆๆ


ถ้าเรื่องครอบครัวคลี่คลายได้เนิ่นๆก็ยินดีด้วยนะ


ชอบยุคที่ยังเขียนจดหมาย ไม่มีสมาร์ทโฟน
บรรยายได้ดี อ่านแล้วรู้สึกเหมือนอยู่ยุคนั้นจริงๆ
เอ๊ะ หรือเราจะวัยเดียวกัน อิอิ

= ขนาดในเพลงของพี่เบิร์ด ในตอนข้างบน ที่แต่งขึ้นในสมัยนั้น ยังร้องว่า "ขอเพียงแต่เขียนมา จะไปหา จะไปในทันใด" ตามความเป็นจริงของยุคสมัยเลยฮะ  แต่ก็นะ กว่าจะเขียนจดหมายไปถึง กว่าเจ้าตัวจะได้รีบไปหา คงล่อเข้าไปเกือบอาทิตย์กว่าๆ 555+ (ใครไม่เกิดตอนนั้นไม่มีวันเข้าใจ ฮ่าๆๆๆ)  //ขอบคุณนะฮะ คนเขียนเลยไม่กล้าบอกเลย ว่าอยู่ในยุคนั้นจริงๆ หรือเปล่า อิอิอิอิ


 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๑ : ไปอยู่ดูแลเป็นเพื่อนเธอ || หน้า ๖ || ๑๘/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 20-01-2017 08:41:29

MBK❤lover


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/1587241796-member.jpg)


ตอนที่ ๑๘ : ความในใจของครอบครัว


         จิวตกใจหันควับไปตามเสียง มือไวเท่าความคิด หยิบผ้าห่มบนเตียงมาคลุมตัวทั้งสองคน หน้าซีดเผือก

         คนที่ยืนอยู่หน้าประตู คือชายหนุ่มหน้าตาดี ที่จิวเห็นเดินมาพร้อมกับแม่ของต้นข้าวที่โรงพยาบาลเมื่อวาน กำลังยืนมองอย่างตกใจ

         "น้าเดียร์!!" เสียงต้นข้าวเรียกชื่อออกมาแบบใจหายวาบ หลังจากที่ได้ยินเสียงร้องเฮ้ยนั่น และรู้แล้วว่าเป็นใคร

         ความเงียบปกคลุมห้องนั้นสักครู่ แล้วน้าเดียร์ก็หันกลับออกไป พร้อมบอกต้นข้าวว่า

         "เดี๋ยวสักพัก ต้นข้าวขึ้นไปหาพี่ที่ดาดฟ้านะ"

         ...................

         "ใครคือน้าเดียร์อะ แว่น" จิวถามเสียงสั่น พร้อมกับรีบหยิบเสื้อผ้ามาใส่ให้ตัวเอง และใส่กางเกงให้ต้นข้าวด้วย

         "น้องชายคนเล็กของแม่ ที่กูเคยเล่าให้ฟังไง ว่าเคยอยู่ที่นี่ นอนห้องเดียวกับกู แต่ย้ายออกไปแล้ว และเป็นเจ้าของซองสีน้ำตาลใส่รูปโป๊ผู้ชายนั่นไง"

         "ตายห่า คนนี้อะนะ หน้าตาดีเชียว แล้วจะเป็นยังไงวะนี่ เห็นอะไรต่ออะไรโล่งโจ้งหมดแล้ว เค้าจะด่าอะไรหรือเปล่า จะไปฟ้องพ่อแม่มึงไหมแว่น" จิวกังวล

         "ไม่รู้เหมือนกัน มึงกลับไปก่อนดีไหม เดี๋ยวกูลองไปคุยกับเค้าดูก่อน"

         "ดีเหมือนกัน กูชักกลัวๆ ล่ะ เฮ้อออ ทำไมชีวิตคู่เรา มันลำบากลำบนแบบนี้วะ"

         ต้นข้าวเอามือไปจับขาจิว "คงไม่เป็นอะไรหรอก ใจเย็นๆ ก่อนนะ"

         "อื่อ ว่าแต่ชั้นดาดฟ้าบ้านมึงเดินขึ้นไปตรงไหน กูจะจูงมึงขึ้นไปส่ง มองไม่เห็นไม่ใช่หรือ เดี๋ยวตกบันไดกันพอดี" คนกังวลยังแอบห่วงไม่ได้

         "ขอบคุณนะจิว" ต้นข้าวจับมือจิวแน่น


--------------------------------



         ดาดฟ้าของตึกแถวประยูรวงศ์ อยู่บนชั้นสาม เป็นดาดฟ้าไม่มีหลังคา โดยปกติไว้ใช้สำหรับตากผ้าของคนในบ้านเท่านั้น แต่ด้วยความที่บ้านนี้เป็นคนรักต้นไม้ใบหญ้า จึงมีกระถางต้นไม้ตั้งเรียงราย ทั้งเล็กและใหญ่ ที่มุมหนึ่งมีโต๊ะม้านั่งหินอ่อนเล็กๆ ตั้งอยู่ใต้ร่ม

         จิวจูงต้นข้าวขึ้นมาส่งที่ปลายบันไดชั้นดาดฟ้าแต่ไม่ได้เดินขึ้นมา และขอตัวกลับบ้านไป  ตอนนี้ต้นข้าวนั่งอยู่บนม้าหินอ่อน แต่ตามองไม่เห็นหรอก ว่าน้าเดียร์นั่งหรือยืน ยิ้มหรือบึ้ง ทำหน้าน่ากลัวหรือทำหน้ายินดี ต้นข้าวไม่เห็น ได้ยินแต่เสียงพูดน้าเดียร์อย่างเดียว

         "เธอสองคนเป็นแฟนกันหรือต้นข้าว" เสียงน้าเดียร์ถาม

         "............." ต้นข้าว

         "อ้าว ตอบพี่มาสิ จะเงียบทำไม"

         น้าเดียร์มีศักดิ์เป็นน้าของต้นข้าว เพราะเป็นน้องคนเล็กของแม่ แต่อายุแก่กว่าต้นข้าวแค่ ๗ ปี เลยเรียกแทนตัวเองว่าพี่มาแต่ไหนแต่ไร

         "ชะ ชะ ใช่ครับ" ต้นข้าวตะกุกตะกัก

         "เธอมีแฟนเป็นผู้ชายมานานแล้วหรือ" เสียงน้าเดียร์ถามต่อ

         "ไม่ครับ คนนี้เป็นคนแรก" ต้นข้าวยังสั่นๆ อยู่

         เสียงน้าเดียร์เงียบไป แล้วต้นข้าวก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของน้าเดียร์เบาๆ คราวนี้เสียงมาจากด้านข้างของต้นข้าว แสดงว่าน้าเดียร์ไม่ได้นั่ง คงเดินไปเดินมา

         "แล้วไปรู้จักกันได้ยังไง" เสียงน้าเดียร์นิ่งๆ ไม่ส่ออารมณ์

         "เป็นเพื่อนห้องเดียวกับต้นข้าวครับ เรียนมาด้วยกัน เคยจะจีบผู้หญิงคนเดียวกัน" ต้นข้าวเริ่มกล้าตอบขึ้นทีละน้อย

         "หึหึหึ" เสียงหัวเราะในคอของน้าเดียร์ดังมา คราวนี้เสียงมาจากด้านหลัง

         น้าเดียร์ไม่ได้ซักอะไรต้นข้าวต่อ แล้วจู่ๆ น้าเดียร์ก็พูดเรื่องของตัวเองขึ้นมา

         "ต้นข้าว รู้มาบ้างไหม ว่าพี่ก็เป็น"

         คราวนี้ต้นข้าวสะดุ้ง "เอ่อ เอ่อ พอรู้มาบ้างครับ"

         "พี่จะไม่ถามล่ะนะ ว่าต้นข้าวไปรู้มาได้ยังไง แต่พี่จะบอกว่า แม่เราน่ะ เค้าก็รู้นะ ว่าพี่เป็น..." เสียงน้าเดียร์ย้ายมาด้านหน้าแล้ว

         ต้นข้าวรู้สึกแปลกใจ แต่ก็นั่งฟังนิ่งๆ

         "กว่าที่แม่เราเค้าจะรับพี่ได้ ก็หลายเดือนนะ พี่ต้องแสดงให้เค้าเห็น ว่าตัวพี่น่ะ เป็นคนดี รักดี รักเรียน รักชีวิตตัวเอง เหมือนชายหญิงปกติทั่วไป ไม่ใช่คนเหลวแหลก" เสียงถอนหายใจดังมาอีก

         "แม่ของต้นข้าวน่ะ รักต้นข้าวมากนะ ต้นข้าวเป็นความหวังของแม่เค้า อย่าทำให้แม่ต้นข้าวเสียใจ หรือผิดหวังล่ะ"

         ".............." ต้นข้าว

         "พี่รู้ ว่าแม่ต้นข้าวก็กลัวว่าต้นข้าวจะเป็นไปอีกคน เพราะแกเห็นแววมาบ้างแล้ว ความละเอียดอ่อนของเธอน่ะ" เสียงน้าเดียร์ดังมาจากจุดเดิมที่ยืน

         แล้วเสียงน้าเดียร์ก็หัวเราะ หึหึหึ ขึ้นมา "ตอนเด็กๆ เธอจำได้ไหม ตอนที่พี่ปัญญา เอ่อ พ่อเธอน่ะ ไปสิงคโปร์ แล้วซื้อของมาฝากคนในบ้านหลายอย่าง พ่อเธอเลือกหุ่นยนต์ให้เธอ แต่เธอกลับไม่เอา กลับไปเลือกโมเดลปราสาทเทพนิยายซินเดอเรลล่าซะอย่างนั้น พี่ยังเห็นเธอเก็บไว้ในตู้ของเธออยู่เลย"

         มีเสียงขำคิกๆ ตามมา คราวนี้จากด้านข้างขวา

         "แต่นั่นมันก็เรื่องเล็กๆ แต่เรื่องความละเอียดอ่อนทางอารมณ์ของเธอน่ะ ใครๆ ก็รู้ทั้งบ้าน เธอเป็นคนคิดมาก ขี้น้อยใจ แสนงอน คิดเองเออเอง นิสัยแทบจะเหมือนผู้หญิง จริงไหมล่ะ"
 
         "ครับ" ต้นข้าวก้มหน้างุด

         "แม่เธอกับพี่ เคยคุยกัน ไม่มีใครอยากให้คนที่ตัวเองรัก ผิดไปจากภาวะปกติหรอก พี่เลยขอย้ายตัวเองออกจากบ้านนี้ไปอยู่บ้านป้า แทนที่จะอยู่กับเธอที่ห้องเธอ เพราะเธอเริ่มโตแล้ว พวกเรากลัวจะเกิดพฤติกรรมการเลียนแบบน่ะ"

         คราวนี้ต้นข้าวเงยขึ้น มองไม่เห็นหรอก แต่เงยไปข้างหน้าเฉยๆ ต้นข้าวไม่เคยรู้เรื่องนี้เลยนะนี่

         "แต่เอาเถอะ ในเมื่อตอนนี้เธอก็คิดซะว่าพี่รู้เรื่องของเธอแล้ว อย่ากังวลอะไรเลยนะ ทำตัวปกติเถอะ พี่ก็ยังเป็นพี่ที่ดี เป็นญาติที่ดีของเธอตลอดไปแหล่ะ"

         ต้นข้าวยิ้มออกมา และได้ยินเสียงถอนหายใจจากทางด้านขวา

         "คราวนี้รู้แล้วใช่ไหม ว่าคนในบ้าน หวังดีกับเธอขนาดไหน อย่าทำให้พวกเขาผิดหวังล่ะ เคยเป็นคนดี รักการเรียนมายังไง ก็ให้ทำดีต่อไปแบบนั้น

         ส่วนเรื่องแฟนหรืออะไรต่ออะไร เป็นเรื่องเฉพาะตัวของเธอ เป็นเรื่องชีวิตวันข้างหน้าของเธอ วันหนึ่งเธอก็ต้องจัดการมันด้วยตัวเธอเอง ถึงวันนั้นทางบ้านก็คงไม่รู้ว่าจะเข้าไปช่วยเธอในเรื่องนั้นได้ยังไง

         ก็คงช่วยได้แต่ให้การศึกษาเธอให้ดีที่สุด เธอก็ตั้งใจเรียน และเลือกหนทางในการเรียนวันข้างหน้า ให้ดี ให้มั่นคงพอกับชีวิตเธอก็แล้วกัน"

         ต้นข้าวยิ้มรับคำพูดน้าเดียร์นี้ และมั่นใจว่าทำได้

         "แต่ยังไง เอ่อ เอ่อ พี่ก็เป็นเหมือนเธอ" เสียงน้าเดียร์ฟังดูขัดเขินขึ้นนิดหน่อย "ดังนั้นพี่ก็อาจให้คำปรึกษาเธอลึกๆ ได้บ้างบางเรื่องนะ"

         มีเสียงหัวเราะกึกๆ ดังมาจากทางซ้าย --ทำไมน้าเดียร์เดินอ้อมโต๊ะมาไวแฮะ-- ต้นข้าวคิดในใจ

         "มีอีกเรื่องหนึ่ง ที่พี่อยากจะเตือนเธอไว้หน่อย ไหนๆ ก็เลือกมาทางนี้แล้ว" เสียงน้าเดียร์กลับมาจริงจัง คราวนี้เสียงมาจากด้านหน้า

         "เธอเคยได้ยินข่าวไหม เมื่อปีที่แล้ว มีผู้ชายไทยคนหนึ่ง มีแฟนเป็นผู้ชายฝรั่งที่อเมริกา แล้วป่วยหนัก ต้องกลับมาเมืองไทย เป็นโรคที่หมอไม่รู้สาเหตุในตอนนั้นน่ะ"

         ต้นข้าวไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ เลย งง

         "ตอนนี้เขาตายแล้ว และหมอค้นพบสาเหตุแล้วว่าเกิดจากโรคใหม่ล่าสุด ที่พึ่งค้นพบ เห็นเขาเรียกว่า โรคเอดส์ น่ะ ผู้ชายคนนั้นเป็นคนแรกในเมืองไทย ที่ติดโรคนี้"

         ต้นข้าวทำหน้างงเข้าไปอีก เกี่ยวกับเรายังไงหว่า

         "ที่เล่านี่ คือจะเตือนว่า มันเป็นโรคติดต่อใหม่ ที่เริ่มระบาดในคู่รักเพศชายเสียเป็นส่วนใหญ่ที่เมืองนอก ดังนั้นเธอต้องรู้จักป้องกันตัว เขาว่าทางเลี่ยงคือ ควรจะรักเดียวใจเดียว ไม่เปลี่ยนแฟนบ่อยๆ และต้องใส่ ถุงมีชัย* ทุกครั้งด้วยนะ"

         ต้นข้าวยิ้มขำ --ยังไม่เคยทำถึงขั้นนั้นซะหน่อย--

         "เธออย่ามาขำ" เสียงน้าเดียร์ขึ้นสูง "มันต้องป้องกันไว้ก่อน ใครจะไปรู้ได้ ต่อไปในอนาคต โรคนี้อาจจะเป็นโรคร้ายแรงไปทั่วโลกก็ได้ ไม่มียารักษา น่ากลัวจะตายไป"

         "ครับ อ้อ...น้าเดียร์ครับ แล้วเรื่องของต้นข้าวนี้แม่จะรู้ไหม น้าเดียร์จะบอกแม่หรือเปล่า"

         ต้นข้าวกังวลที่สุดในเรื่องนี้

         น้าเดียร์เงียบไปอึดใจหนึ่ง "สักวันเธอจะรู้เอง"

         "เอาล่ะ ลงไปข้างล่างกันเถอะ เธอจะได้ไปนอนพักสายตา แล้วไม่ต้องคิดมากล่ะ ที่พี่พูดนี่ เข้าใจไหม" แล้วน้าเดียร์ก็ประคองแขนต้นข้าว  "มาๆ มองไม่เห็นนี่ พี่จะจูงลงไป"

         .....................

         น้าเดียร์คงจะยืนยันคำพูดได้อีกครั้ง เมื่อเวลาผ่านไปอีก ๔๕ ปีข้างหน้า ว่าโลกของเราก็ยังคงไม่มีตัวยาที่จะรักษาและป้องกันไวรัส HIV นี้โดยตรง และยังถือว่าเป็นโรคร้ายแรงที่คร่าชีวิตผู้คนบนโลกเป็นอันดับต้นๆ

         และมีอีกเรื่องหนึ่ง ที่ต้นข้าวยังไม่รู้ เพราะตาสองข้างปิดอยู่

         คือขณะที่ต้นข้าวนั่งคุยสารภาพกับน้าเดียร์ทั้งหมดบนดาดฟ้า แม่ของต้นข้าว ซึ่งนัดแนะกันกับน้าเดียร์ ได้นั่งฟังอยู่ข้างๆ เงียบๆ บนโต๊ะหินอ่อนนั้นด้วย...

         ...ด้วยความเข้าใจกับคำว่า "ลูก คือคนในครอบครัว"


--------------------------------


         *ถุงมีชัย คือ ถุงยางอนามัย (Condoms) ที่ "คุณมีชัย วีระไวทยะ" ได้รณรงค์ให้คนไทยใช้เพื่อการคุมกำเนิด และป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ จนคำว่า "ถุงมีชัย" เป็นคำเรียกติดปากแทนคำว่า "ถุงยางอนามัย" ของคนในสมัยนั้น


 
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๒ : ความในใจของครอบครัว || หน้า ๖ || ๒๐/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 20-01-2017 09:23:49
แม่ กับน้าเดียร์ เยี่ยมมาก
ู้รับรู้ เข้าใจ แนะแนว สอนให้คิด
ให้ทำตัวให้เหมาะสม ทำตัวดีๆ
ให้รักเรียน แล้วสิ่งดีๆจะตามมา
ไม่ลงโทษด้วยอารมณ์ ไม่บังคับ
ทั้งดูแล เฝ้าระวังไปพร้อมๆกัน
บอกถึงโทษภัยที่ตามมา
กับการรักแบบชายชาย  สุดยอดดดด  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๒ : ความในใจของครอบครัว || หน้า ๖ || ๒๐/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 20-01-2017 10:05:58
 :L2: :pig4:

เรื่องตัวตนของเรา การเรียนรู้และการได้รับการยอมรับจาดครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ในความคิดเรานะ
เป็นเกย์นะ ไม่ได้เป็นคนเลว แต่ธรรมชาติของคนมั้งกลัวที่จะไม่เหมือนคนอื่น

ชูป้าย น้าเดียร์


หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๒ : ความในใจของครอบครัว || หน้า ๖ || ๒๐/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 20-01-2017 10:17:58
 :katai4:  แม่ต้นข้าวรู้แล้วก็ดีสิ ต่อไปต้นข้าวก็พิสูจน์ตัวเองล่ะ ยังขำถุงมีชัย 555 ดีที่สมัยนี้ไม่ติดปาก อย่างแฟ้บ 555
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๒ : ความในใจของครอบครัว || หน้า ๖ || ๒๐/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 20-01-2017 11:59:40
เรื่องครอบครัวเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่สุด ต้นข้าวโชคดีแล้วล่ะที่มีครอบครัวที่เข้าใจ
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :3123: :3123: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๒ : ความในใจของครอบครัว || หน้า ๖ || ๒๐/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 20-01-2017 13:31:10
จะเป็นไร เป็นไปเถิด เกิดมาแล้ว
ขอให้แน่ว แน่ความดี ชีวิตหา
ไม่สำคัญ เพศอะไร ใครสั่งมา
ขอแต่ว่า ทำความดี แค่นี้พอ

พ่อแม่รักลูกเสมอ
อยากเห็นแค่ว่า ลูกเป็นคนดี มีชีวิตอย่างเป็นสุข
่เท่านี้..ท่านก็พึงพอใจแล้ว

รักพ่อแม่ฮับ

+1
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๒ : ความในใจของครอบครัว || หน้า ๖ || ๒๐/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: zipboy ที่ 20-01-2017 15:58:56
กับยุคนั้นแล้ว เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องยากมากที่จะเข้าใจ

เลือกจังหวะรู้เรื่องได้พอดีจริง ๆ ที่เหลือก็อยู่ที่ทั้งสองคนละ

รออ่านต่อนะคร๊าบ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๒ : ความในใจของครอบครัว || หน้า ๖ || ๒๐/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: anandawan ที่ 20-01-2017 16:34:08
เป็นครอบครัวที่ดีจังเลยค่ะ

ครั้งต่อไปถ้าต้นข้าวจะทำ...ก็ปรึกษาน้าเดียร์ก่อนนะ เจ็บมั้ย อะไรยังไง  :-[
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๒ : ความในใจของครอบครัว || หน้า ๖ || ๒๐/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 20-01-2017 22:13:16
คุณแม่เปิ๊ดสะก๊าดมากกกก
รักลูกถูกทางจริงๆ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๒ : ความในใจของครอบครัว || หน้า ๖ || ๒๐/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 21-01-2017 08:52:22
แม่ กับน้าเดียร์ เยี่ยมมาก
ู้รับรู้ เข้าใจ แนะแนว สอนให้คิด
ให้ทำตัวให้เหมาะสม ทำตัวดีๆ
ให้รักเรียน แล้วสิ่งดีๆจะตามมา
ไม่ลงโทษด้วยอารมณ์ ไม่บังคับ
ทั้งดูแล เฝ้าระวังไปพร้อมๆกัน
บอกถึงโทษภัยที่ตามมา
กับการรักแบบชายชาย  สุดยอดดดด  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

= ครอบครัวในฝันของ ช-ช เลยเนอะ สุดยอด


:L2: :pig4:

เรื่องตัวตนของเรา การเรียนรู้และการได้รับการยอมรับจาดครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ในความคิดเรานะ
เป็นเกย์นะ ไม่ได้เป็นคนเลว แต่ธรรมชาติของคนมั้งกลัวที่จะไม่เหมือนคนอื่น

ชูป้าย น้าเดียร์

= ถ้าครอบครัวยอมรับได้ซะอย่างเดียว ก็ไม่มีอะไรในโลกนี้อีกแล้วที่ต้องกังวลเนอะ


:katai4:  แม่ต้นข้าวรู้แล้วก็ดีสิ ต่อไปต้นข้าวก็พิสูจน์ตัวเองล่ะ ยังขำถุงมีชัย 555 ดีที่สมัยนี้ไม่ติดปาก อย่างแฟ้บ 555

= มานึกๆ ว่าให้เรียกกันตอนนี้ คงขำพิลึกนะฮะ 555+


เรื่องครอบครัวเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่สุด ต้นข้าวโชคดีแล้วล่ะที่มีครอบครัวที่เข้าใจ
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :3123: :3123: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:

= เป็นเรื่องวิเศษสุดแล้วเนอะฮะ


จะเป็นไร เป็นไปเถิด เกิดมาแล้ว
ขอให้แน่ว แน่ความดี ชีวิตหา
ไม่สำคัญ เพศอะไร ใครสั่งมา
ขอแต่ว่า ทำความดี แค่นี้พอ

พ่อแม่รักลูกเสมอ
อยากเห็นแค่ว่า ลูกเป็นคนดี มีชีวิตอย่างเป็นสุข
่เท่านี้..ท่านก็พึงพอใจแล้ว

รักพ่อแม่ฮับ

+1

= รักพ่อและแม่ด้วยคนครับ


กับยุคนั้นแล้ว เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องยากมากที่จะเข้าใจ

เลือกจังหวะรู้เรื่องได้พอดีจริง ๆ ที่เหลือก็อยู่ที่ทั้งสองคนละ

รออ่านต่อนะคร๊าบ

= เมื่อได้รับการยอมรับแล้ว จากนี้ไป เหลือการจัดการตัวล้วนๆ แล้วล่ะเนอะฮะ


เป็นครอบครัวที่ดีจังเลยค่ะ

ครั้งต่อไปถ้าต้นข้าวจะทำ...ก็ปรึกษาน้าเดียร์ก่อนนะ เจ็บมั้ย อะไรยังไง  :-[

= มากๆ เลยฮะ


คุณแม่เปิ๊ดสะก๊าดมากกกก
รักลูกถูกทางจริงๆ

= เป็นคุณแม่ที่เปรี้ยวมากฮะ


.................


ขอบคุณทุกๆ ท่านมากนะฮะ


 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๒ : ความในใจของครอบครัว || หน้า ๖ || ๒๐/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 21-01-2017 08:55:23

MBK❤lover


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/1865209713-member.jpg)


ตอนที่ ๑๙ : คำอธิษฐานบนหลังเต่า


         วันนี้จิวมาที่บ้านต้นข้าวตั้งแต่ตีห้าครึ่ง เพราะวันนี้เป็นวันเกิดต้นข้าว จิวจะได้มาดูแลต้นข้าวทั้งวันด้วย เพราะต้นข้าวยังไม่ได้เอาผ้าปิดตาออกเลย

         จริงๆ หลังจากเหตุการณ์วันนั้น จิวหายไปจากบ้านต้นข้าวสองสามวัน เพราะอาย ไม่กล้าสู้หน้าทางบ้านต้นข้าว แต่ต้นข้าวก็พยายามพูดให้จิวสบายใจหลายๆ อย่าง และอีกอย่างหนึ่ง น้าเดียร์ก็กลับไปอยู่บ้านป้าแล้ว ไม่ได้อยู่ที่บ้านต้นข้าว ความรู้สึกเขินๆ แบบวันนั้นของจิวก็ทุเลาลง

         วันนี้จิวอาสากับแม่ของต้นข้าว จะเป็นคนจูงต้นข้าวไปใส่บาตรที่หน้าวัดประยุรวงศาวาสฯ เอง ซึ่งอันที่จริงรั้ววัดก็อยู่ติดกับตึกของบ้านนี่แหล่ะ เพราะตึกที่ต้นข้าวอาศัยอยู่ก็เป็นตึกของวัด แต่ทางเข้าวัดมันไกลออกไปอีกทาง

         แม่ต้นข้าว ลุกมาเตรียมทำกับข้าวใส่บาตรให้ตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง กับข้าวเป็นหมูผัดพริกแกงถั่วฝักยาว ต้มโคล้งปลากรอบ ทำมาจากปลาแห้งที่จิวซื้อมาฝากจากแก่งคอย ข้าวเหนียวกล้วยปิ้งห่อใบตองหอม ข้าวสวยร้อนๆ และดอกบัวสีขาวที่พับกลีบอย่างงดงาม ทั้งหมดนี้ใส่ปิ่นโตเถาเล็กๆ สองเถา แม่ของต้นข้าวทำเตรียมไว้ให้สองชุด เผื่อให้จิวได้ใส่บาตรไปด้วยกันเลย

         และมีเพิ่มพิเศษอีกอย่างหนึ่งคือ แม่ของต้นข้าวได้ซื้อเต่าเป็นๆ ตัวเล็กๆ มาจากตลาดตัวหนึ่ง เป็นเต่าหับ ซึ่งสามารถปล่อยลงน้ำได้ เพื่อเตรียมให้ต้นข้าวได้เอาไปปล่อยที่ "เขาเต่า" ในวัดประยูรฯ เนื่องในวันเกิด โดยเตรียมพู่กันและสีน้ำมันกระปุกเล็กๆ ไว้ให้เสร็จ เพราะค่านิยมสมัยนั้น คนปล่อยเต่ามักจะเขียนชื่อตัวเองไว้บนหลังกระดองเต่าที่จะปล่อยด้วย กันไม่ให้คนมาจับเต่าไปทำร้าย เพราะถือว่าปล่อยเคราะห์

         "จิว แม่ว่าอย่าจูงต้นข้าวไปเลย มันเดินไกลเหมือนกันนะกว่าจะไปถึงหน้าวิหารพระพุทธนาคน้อย ที่จะไปยืนรอท่านเจ้าอาวาสน่ะ ท่านกลับกุฏิกันพอดี" แม่ต้นข้าวซึ่งหิ้วปิ่นโตยืนรออยู่ หันมาบอกจิว

         จิวกำลังจูงต้นข้าวลงมาจากชั้นสอง ต้นข้าวเปลี่ยนชุดล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อย ทั้งสองหันมาทางแม่พร้อมกัน ทำหน้าประหลาดใจ

         "แม่หมายถึงว่าจะให้จิวขี่จักรยานไปดีกว่า ให้ต้นข้าวซ้อน จะได้ไปเร็วๆ ไงจ้ะ บ้านเรามีจักรยานเฟสสันอยู่คันนึงไง"

         จิวพึ่งนึกออก จริงด้วย เร็วกว่ามัวแต่มาจูงกันไปจริงๆ จิวไปเข็นจักรยานออกมาตั้งขารอหน้าบ้าน เอาปิ่นโตสองเถาใส่ตะกร้าหน้ารถ จับต้นข้าวขึ้นซ้อนหลังเอามือกอดเอวจิว แล้วจิวก็ค่อยๆ ขี่ออกไปช้าๆ โดยมีแม่ยืนอมยิ้มมองตามหลัง

         จิวขี่รถลัดเลาะในซอยมาเข้ากำแพงวัดทางด้านข้าง จนมาถึงลานหน้าวัด และมาจอดพักคอยท่านเจ้าอาวาสที่จะเดินผ่านมารับบาตรหน้าวิหาร

         ทั้งสองนั่งคอยอยู่ที่ม้านั่งใต้ต้นพิกุลใหญ่เก่าแก่ของวัด อากาศตอนฟ้าสางสดชื่น หอมกลิ่นดอกพิกุลอ่อนๆ มีเสียงนกพิราบกระพือปีกพึ่บพั่บบนหลังคาวิหาร สลับกับเสียงระฆังใบน้อยๆ ที่ชายคาโบสถ์ดังกรุ๋งกริ๋ง

         "จิว มึงเคยขึ้นไปไหว้พระพระพุทธนาคน้อยไหม" ต้นข้าวถาม

         "ไม่เคยหรอก ไม่ค่อยเข้าวัด" จิวตอบเขินๆ

         "ท่านศักดิ์สิทธิ์มากนะ หลวงพ่อพระพุทธนาคน้อยในวิหารข้างหน้าเรานี่ อัญเชิญมาจากสุโขทัย เป็นพระพุทธรูปโบราณ งามมากๆ องค์ท่านเป็นเนื้อนาค องค์ใหญ่มาก เสียดายวิหารยังไม่เปิดตอนนี้ ไม่งั้นจะพาเข้าไป" ต้นข้าวอธิบายจิวอย่างจริงจัง

         "ท่านศักดิ์สิทธิ์เหรอ ขออะไรก็ได้ทุกเรื่องเลยหรือ" จิวถามย้ำ ตามองจ้องไปที่หน้าประตูประดับมุกงดงามของวิหารใหญ่นั้น เหมือนจะมองให้ทะลุเข้าไปเห็นองค์พระข้างใน

         ต้นข้าวหัวเราะ "ไม่รู้สิ ไม่เคยมาขออะไรจริงๆ จังๆ เหมือนกันนะ เคยตามมากับแม่เฉยๆ น่ะ เลยอยากพาจิวขึ้นไปไหว้บ้าง" ต้นข้าวเอามือมาวางบนเข่าจิวและถามว่า

         "ถ้าให้มึงขอ มึงจะขออะไรท่านเหรอ"

         จิวจ้องหน้าต้นข้าว แล้วอมยิ้มในหน้า "ไม่บอกหรอก หึหึ"

         คุยกันถึงตรงนี้ ท่านเจ้าอาวาสก็มาพอดี มีเด็กวัดเดินตามมาด้วยสองคน จิวจูงประคองต้นข้าวลงไปนั่งที่พื้น ต่างคนต่างถวายปิ่นโตที่เตรียมมาทั้งสองเถา แล้วนั่งรับพรจากท่านเจ้าอาวาสจนเสร็จ ก็พากันไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม

         "ดีจังเนอะ นานๆ ใส่บาตรที นี่เป็นการใส่ครั้งที่สองนะ กูเคยใส่ครั้งแรกที่สระบุรีน่ะ" จิวเล่าให้ต้นข้าวฟังยิ้มๆ เพราะพึ่งนึกออกเรื่องใส่บาตรเช้าวันนั้นขึ้นมาได้

         "แม่บอกว่า ถ้าคนเราตั้งใจใส่บาตร เรื่องดีๆ จะเกิดกับตัวเรานะ" ต้นข้าวยิ้มให้จิว

         "นั่นสินะ..." จิวทำท่าเหมือนจะพูดอะไร แต่ไม่แน่ใจ นึกไม่ออกว่ามันคืออะไร เลยไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่อ

         "มาๆ เขียนชื่อบนหลังเต่ากันเถอะ จะได้เอาไปปล่อยกัน" จิวเปลี่ยนเรื่อง เตรียมหยิบเต่าและอุปกรณ์การเขียนขึ้นมา

         "สีน้ำมันที่แม่ซื้อมา สีอะไรอ่ะ" ต้นข้าวถาม เพราะมองไม่เห็น

         "สีเหลืองสด ดีแล้วล่ะ เขียนแล้วเห็นชัดเลย" จิวชูกระปุกสีขึ้นมาตรงหน้าต้นข้าว ถึงรู้ว่าต้นข้าวมองไม่เห็น แต่ก็ชูให้ดูแหล่ะ เพื่อความมั่นใจ

         "มึงจับมือกูเขียนให้หน่อยนะ กะไม่ถูกอะ กลัวเขียนเบี้ยว" ต้นข้าวเอามือคลำๆ บนกระดองเต่า

         "หึยส์ อย่าไปคลำซี๊ซั้วสิ เดี๋ยวไปโดนปากมัน มันก็งับให้หรอก" จิวรีบจับมือต้นข้าวออก "มานี่ จะจับมือให้"

         จิวอ้อมไปนั่งโอบด้านหลังต้นข้าว เอาหน้าชะโงกผ่านคอต้นข้าวมา แก้มทั้งสองแนบกัน มือหนึ่งจิวจับเต่าไม่ให้เดินหนีไปไหน ส่วนมือขวา กุมลงไปที่มือต้นข้าว ที่กำลังถือพู่กันในมือ จับปลายลงไปจุ่มในกระปุกสีน้ำมันนั่น

         "จะเขียนชื่อเฉยๆ เหรอแว่น" จิวถามต้นข้าว

         "อื่อ เขียนชื่อเฉยๆ จับให้เขียนตรงกลางๆ นะ จะได้เด่นๆ วันหลังมาที่เขาเต่านี้อีก เวลาเห็นตัวนี้จะได้จำได้ จะมาป้อนผักบุ้งกับกล้วยให้มันอะ"

         ต้นข้าวหันมาบอกจิวยิ้มๆ ความที่หน้าแนบติดกัน ต้นข้าวลืมตัวหันมาคุยกับจิว ทำให้ใบหน้าพอหันมาก็แทบจะชนกัน ริมฝีปากห่างกันไม่ถึงเซนต์ฯ ต้นข้าวพอรู้ตัวจากสัมผัสแผ่วนั้น ก็หันกลับไปยิ้มเขินๆ

         "อะ เขียนนะ..."

-- ต้ น ข้ า ว --

         จิวจับประคองมือต้นข้าวให้แนวเขียนตรงๆ แต่แรงกดและการเขียนเป็นลายมือของต้นข้าวเอง

         "เรียบร้อยแล้วใช่ไหม โอเคป่ะ เขียนชื่อไม่เบี้ยวนะ กลางกระดองเลยใช่ป่ะมึง จะได้ยกอธิษฐานกับหลวงพ่อนาค" ต้นข้าววางพู่กันลง

         "เดี๋ยวๆ  มึงไปจับ สีเปื้อนริมกระดองเต่าเลย แป็บนึงนะ เช็ดให้ก่อน" จิวดึงเต่าออกไปจากมือต้นข้าว และทำอะไรยุกยิกๆ

         "เรียบร้อยแล้ว อธิษฐานได้เลย จับดีๆ จับข้างๆ กระดองมันนี่ ระวังมันกัด อย่าจับเลยเข้าไปลึกๆ ล่ะ เดี๋ยวโดนสีเลอะอีก" จิวขยับตัวเต่าให้ต้นข้าวยกอธิษฐานไปทางวิหารพระพุทธนาคน้อยข้างหน้า

         "สาธุ" ต้นข้าวยกเต่าจบเหนือหัว "ลูกขอปล่อยเต่านี้ที่เขาเต่าในวัด เนื่องในวันเกิดลูก ขอให้ลูกอายุยืนเหมือนเต่านี้ด้วยเทอญ"

         จิวมองท่าทางจริงจังของต้นข้าวแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ คนเราทำอะไรบริสุทธิ์ใจ มันก็จะเป็นภาพที่สดใสชวนให้มองไม่รู้เบื่อ

         จิวจอดจักรยานพิงไว้ที่ใต้ต้นพิกุลนั้น แล้วประคองจูงต้นข้าวเดินช้าๆ เข้าไปในเขาเต่า

         "เขาเต่า" หรือ "เขามอ" ในวัดประยุรวงศาวาส เป็นพื้นที่ล้อมรอบเฉพาะ เป็นสระน้ำที่ไม่ลึกนัก ตรงกลางก่อเป็นภูเขาเตี้ยๆ ลดหลั่นกันไป จำลองแบบภูเขาตามธรรมชาติแต่ย่อส่วนให้เล็กลง มีต้นไม้พันธุ์หายาก มีอาคารเล็กๆ มีเจดีย์น้อยใหญ่ ทำเหมือนของจริง ในสระเลี้ยงเต่าจำนวนมาก และรอบสระ มีศาลารายรอบๆ ให้ผู้เข้ามาเที่ยวชมได้นั่งเล่นดูเขามอ และดูเต่าเพลินๆ รวมทั้งมีอาหารพวกผักผลไม้ต่างๆ จำหน่ายสำหรับให้เป็นอาหารเลี้ยงเต่าด้วย ในเขาเต่านี้สงบ ร่มเย็น ต่างจากถนนที่รถวิ่งด้านหน้าวัดโดยสิ้นเชิง

         จิวประคองมือต้นข้าว ค่อยๆ ปล่อยเต่าลงไปที่ทางลาดริมตลิ่ง แล้วเล่าตามภาพที่เห็นให้ต้นข้าวฟังว่า ขณะนี้ เต่ามันว่ายน้ำไปยังไงแล้ว

         "น่ารักจัง มันก็เหมือนรู้เนอะ ว่าใครมาปล่อย มีการว่ายไปครึ่งทาง แล้วหันกลับมามองมึงอีกด้วยแน่ะ มันคงหันมาขอบคุณนะ" จิวเล่าขำๆ

         จิวกับต้นข้าวนั่งเล่น และจับมือกันให้อาหารเต่าในเขาเต่าพักใหญ่ๆ ก็มีวัยรุ่นคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ๆ ทักต้นข้าวเสียงดัง

         "เฮ้ย ต้นข้าวป่ะนี่ ตาเป็นอะไร ทำไมปิดตา"

         ต้นข้าวจำเสียงได้ "ไอ้หลง"

         "เออ กูเอง เป็นไงวะมึง ไม่ได้เจอกันนานเลย" คนชื่อหลง นั่งลงข้างๆ ต้นข้าว

         "นี่ชื่อจิว เพื่อนกูนะหลง ส่วนจิว นี่ชื่อหลง ลูกลุงเมี้ยน เคยอยู่แถวบ้านกูอะ เล่นมาด้วยกันตั้งแต่เด็กๆ" ต้นข้าวแนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน

         "ดี หลง" จิวทักหลงยิ้มๆ

         "หวัดดี จิว" หลงทักตอบ

         "ไหน เล่าสิ ตามึงไปโดนอะไรมา" หลงเริ่มเปิดหัวข้อที่ทำท่าจะยาว

         "เดี๋ยวๆ แป็บนึง ขอเบรคก่อน" จิวบอกระหว่างการสนทนาของสองคนนั่น

         "เดี๋ยวพวกมึงคุยกันอยู่ที่นี่ก่อนนะ กูจะไปตรงซอยกุฎีจีน ข้างๆ วัดนี้หน่อย จะไปซื้อ ขนมฝรั่งกุฎีจีน ให้แว่นมัน วันเกิดมัน มันไม่ชอบกินครีมบนหน้าเค้ก กูเลยจะซื้อขนมฝรั่งกุฏีจีนไปให้มันเป่าแทนเค้กเย็นนี้ กูไปซื้อแป็บเดียว" จิวขยับลุกขึ้น ต้นข้าวหันมามองจิวแล้วยิ้มให้อย่างถูกใจ

         "เอามอไซค์กูไปไหมจิว จอดอยู่หน้ารั้วนี่" หลงเสนอขึ้นมา

         "ไม่เป็นไร ขี่จักรยานบ้านแว่นมันมา จักรยานเข้าซอยเล็กสะดวกกว่านะ กุฎีจีนซอยมันแคบมาก เดี๋ยวมานะ" จิวหันมาโบกมือ

         ..................

         "เพื่อนที่โรงเรียนมึงเหรอต้นข้าว หล่อเชียว" หลงถามไปงั้น

         "อื่อ เพื่อนกัน เรียนด้วยกันมาตอน มอ.ปลาย มาสนิทกันช่วงหลัง" ต้นข้าวบอกแบบไม่ได้คิดอะไรมาก

         "แล้วนี่ มึงมาปล่อยเต่ากันเหรอ มากันแต่เช้าเชียว วันพิเศษอะไรหรือเปล่า" หลงหันไปมองรอบๆ

         "วันเกิดกูไง นี่อะ พึ่งปล่อยลงไปเมื่อกี้ตัวนึง กูเขียนชื่อกูไว้กลางหลังเต่า"

         ต้นข้าวชี้ลงไปในสระ ชี้อะไรก็ไม่รู้ เพราะมองไม่เห็น ต้นข้าวแค่คาดคะแนว่ามันคงว่ายไปประมาณกลางสระแล้ว

         หลง มองตามมือต้นข้าว แล้วกวาดตาไปมา จนมาหยุดจ้องที่ริมตลิ่งใกล้ๆ ที่กำลังนั่งอยู่ แล้วเงียบไปสักครู่

         "............."

         "หาเจอไหม เต่ากู" ต้นข้าวถามหลง เอามือไปแกว่งๆ แถวหน้าหลง เพราะเห็นเงียบๆ ไป

         "ไอ้ต้นข้าว มึงมีแฟนหรือยังวะ" จู่ๆ หลงก็ถามขึ้นมา

         "เฮ้ย มีฟงมีแฟนอะไรล่ะ ไม่มีหรอก" ต้นข้าว งง

         "มึงแน่ใจนะ ว่าไม่มี" หลงย้ำ

         "ไม่มี๊" ต้นข้าวเริ่มเสียงสูง

         "แล้วไอ้จิวอะไรเนี่ย เพื่อนมึงจริงๆ ใช่มะ" หลงซักอีก

         คราวนี้ต้นข้าวเริ่มแปลกๆ ล่ะ --อะไรของมันวะ--

         "เอ่อ...ไม่มีอะไร..." ไอ้หลง เสียงเริ่มแผ่วๆ

         "กูเด็กดีโว้ย ตั้งใจเรียน เรื่องแฟนเฟินอะไรไม่สนใจหรอก" ต้นข้าวเปลี่ยนกลับมาน้ำเสียงร่าเริง แต่หน้ามีรอยยิ้มหวานๆ พิกล

         "ตามใจมึงเถอะ วันเกิดมึง ขอให้ได้ตามที่ขอพระไว้ก็แล้วกัน" หลงพูดยิ้มๆ

         "อะไรของมึงวะ รู้เหรอ ว่ากูขออะไร"

         "ไม่รู้หรอก ช่างมันเถอะ มาๆ มึงเล่ามาสิ ว่าลูกกะตามึงไปโดนอะไรมา" หลงเปลี่ยนเรื่องคุย

         ต้นข้าวหัวเราะร่วนนำมาก่อน แล้วเริ่มลงมือเล่าเรื่องที่หัวลำโพงให้ไอ้หลงฟัง เล่าอย่างมีความสุข น้ำเสียงฟังดูเป็นวีรกรรมอันแสนสุข เหมือนเล่าสิ่งรื่นรมณ์ในใจ เหมือนไม่ได้เอาชีวิตไปเสี่ยงกับหัวรถไฟผีสิงนั่น ส่วนไอ้หลงที่ฟัง ก็กำลังคิดว่ามันเล่าเหมือนอารมณ์ไปนัดเดทกับแฟนซะอย่างนั้น ต้นข้าวมันเล่าไปขำไป แอบหน้าแดงบ้าง ยิ้มใสเห็นฟันหมดทุกซี่บ้าง

         --นี่ตกลงมันไปเสี่ยงนรก หรือมันไปขึ้นสวรรค์วะ--

         ไอ้หลง นั่งฟังต้นข้าวไป ตาก็มองลงไปในน้ำริมตลิ่ง เต่าหับตัวน้อย กำลังว่ายน้ำยุกยิก ขาสั้นๆ พุ้ยน้ำไปมา ชูคอยาวปริ่มน้ำอยู่ใกล้ๆ เหมือนอยากจะอวดชื่อเจ้าของบนหลังมัน

         เต่าหับที่ผ่านการอธิษฐานหน้าวิหารหลวงพ่อพระพุทธนาคน้อยตัวนั้น บนกระดองมีตัวหนังสือที่เขียนด้วยสีน้ำมันสีเหลืองสดอยู่ ๒ บรรทัด ลายมือไม่เหมือนกัน เหมือนเขียนคนละคน บรรทัดบนเขียนบรรจงเป็นชื่อตัวใหญ่ ส่วนบรรทัดล่างเป็นตัวเล็กเบียดๆ โค้งไปตามขอบกระดองเต่า เหมือนรีบๆ เขียน หรือไม่ก็มาเขียนเติมทีหลัง

         ไอ้หลงอ่านซ้ำเป็นครั้งที่ร้อยให้แน่ใจ...

-- ต้ น ข้ า ว --
และจิว ขอให้อยู่ด้วยกันตลอดไป


--------------------------------



         "เขาเต่า" หรือ "เขามอ" ในวัดประยุรวงศาวาส ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งธนบุรี คือภูเขาจำลองก่อด้วยศิลา ตั้งอยู่กลางสระน้ำที่ใช้เลี้ยงเต่า มีอายุคู่วัดมากว่า ๑๘๐ ปีแล้ว สร้างขึ้นจากการที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานกองหยดน้ำตาเทียนในห้องสรง ที่หยดจนเป็นรูปทรงเหมือนภูเขาย่อส่วน ให้เป็นต้นแบบแก่ผู้สร้างวัด

(http://www.bloggang.com/data/k/kampong/picture/1484962939.jpg)


         "ขนมฝรั่งกุฎีจีน" ขนมเก่าแก่ในย่านชุมชนโบราณ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งธนบุรี อายุกว่า ๒๐๐ ปีแล้ว มีต้นตำรับมาจากชาวโปรตุเกส ที่มาตั้งถิ่นฐานอยู่ในชุมชนกุฎีจีนเมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยา

(http://www.bloggang.com/data/k/kampong/picture/1484962972.jpg)


หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๓ : คำอธิษฐานบนหลังเต่า || หน้า ๖ || ๒๑/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 21-01-2017 09:19:33
 :-[ขอให้อยู่ด้วยกันตลอดไป :mc4:

จิวคงคอนเสปมากอะ ไม่มีอะจะอะไรตรงไปตรงมา ขอมีแทรก ขอแแหวกตลอด

ดีใจได้อ่านแต่เช้า ขอบคุณคุณคนเขียน :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๓ : คำอธิษฐานบนหลังเต่า || หน้า ๖ || ๒๑/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: anandawan ที่ 21-01-2017 10:03:58
ถ้าต้นข้าวกลับมาเจอเต่าอีกทีจะเขินขนาดไหนเนี่ย
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๓ : คำอธิษฐานบนหลังเต่า || หน้า ๖ || ๒๑/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 21-01-2017 10:33:26
แหมๆ ......อย่างนี้เอง หลงถึงถามต้นข้าวจริงจังเรื่องแฟน
จิว ฉลาด แอบเติม ชื่อตัวเอง และคำอธิษฐาน บนหลังเต่าไปด้วย
                    -- ต้ น ข้ า ว --
และจิว ขอให้อยู่ด้วยกันตลอดไป

จิว ต้นข้าว  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
สองคนดูน่ารัก สดชื่น สดใส ตามวัย
       :L1: :L1: :L1:
 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๓ : คำอธิษฐานบนหลังเต่า || หน้า ๖ || ๒๑/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 21-01-2017 11:49:57
 :L2: :L2: :L2: :L1: :L1: :L1: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๓ : คำอธิษฐานบนหลังเต่า || หน้า ๖ || ๒๑/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 21-01-2017 21:03:43
น้ำตาลเกลื่อนวัด
หวานกระจาย

จิว+ต้นข้าว
ต้องอิจฉาคู่นี้..ทุกครั้ง

หวานกันได้หวานกันไป
อิอิ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๓ : คำอธิษฐานบนหลังเต่า || หน้า ๖ || ๒๑/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 22-01-2017 00:18:44
ชอบตอนต้นข้าวเล่าเหตุการณ์ให้หลงฟัง  ขำหลง ไม่รู้ต้นข้าวกับจิวเป็นอะไรกัน คงเห็นต้นข้าวหน้าแดง เขินแน่ๆ
   
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๓ : คำอธิษฐานบนหลังเต่า || หน้า ๖ || ๒๑/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 23-01-2017 06:22:23
:-[ขอให้อยู่ด้วยกันตลอดไป :mc4:

จิวคงคอนเสปมากอะ ไม่มีอะจะอะไรตรงไปตรงมา ขอมีแทรก ขอแแหวกตลอด

ดีใจได้อ่านแต่เช้า ขอบคุณคุณคนเขียน :L2: :pig4:

= ขอบคุณคนอ่านเช่นกันฮะ น่ารักที่สุด


ถ้าต้นข้าวกลับมาเจอเต่าอีกทีจะเขินขนาดไหนเนี่ย

= นั่นสิเนอะฮะ นึกภาพแล้วน่ารักดี


แหมๆ ......อย่างนี้เอง หลงถึงถามต้นข้าวจริงจังเรื่องแฟน
จิว ฉลาด แอบเติม ชื่อตัวเอง และคำอธิษฐาน บนหลังเต่าไปด้วย
                    -- ต้ น ข้ า ว --
และจิว ขอให้อยู่ด้วยกันตลอดไป

จิว ต้นข้าว  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
สองคนดูน่ารัก สดชื่น สดใส ตามวัย
       :L1: :L1: :L1:
 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:

= คนอ่านก็น่ารักด้วย มีเขียนสีเหลืองตามตัวหนังสือบนหลังเต่าเลย ขอบคุณฮะ  :impress2:


:L2: :L2: :L2: :L1: :L1: :L1: :L2: :L2: :L2:

= ขอบคุณมากนะฮะ  :3123: :3123: :3123:


น้ำตาลเกลื่อนวัด
หวานกระจาย

จิว+ต้นข้าว
ต้องอิจฉาคู่นี้..ทุกครั้ง

หวานกันได้หวานกันไป
อิอิ

= สองคนนี้ พองุ้งงิ้ง อยู่ด้วยกันทีไร รถอ้อยคว่ำทุกที 555+


ชอบตอนต้นข้าวเล่าเหตุการณ์ให้หลงฟัง  ขำหลง ไม่รู้ต้นข้าวกับจิวเป็นอะไรกัน คงเห็นต้นข้าวหน้าแดง เขินแน่ๆ
 

= ช่วงนี้ต้นข้าวคงกำลังเพ้อเนอะ หายใจเข้าหายใจออกเป็นจิว อิอิ


.............................


และขอบคุณผู้อ่านท่านอื่นๆ ทุกท่านด้วยนะฮะ


 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๓ : คำอธิษฐานบนหลังเต่า || หน้า ๖ || ๒๑/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 23-01-2017 06:23:22

MBK❤lover


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/1865209713-member.jpg)


ตอนที่ ๒๐ : หาดทราย สายลม สองเรา


         เช้าวันจันทร์ที่บ้านของจิว จิวลงไปอาบน้ำและแต่งตัวเตรียมไปโรงเรียน พอกลับขึ้นมาบนห้องนอนจะขึ้นมาหยิบกระเป๋านักเรียน เห็นป๊าของตัวเองอยู่ในห้อง

         "อ้าว ป๊า มากวาดห้องนอนนึก ทำไม มานี่ จะทำเอง"

         จิวร้องโวยวาย ที่เห็นพ่อตัวเอง ยืนส่ายไปส่ายมาเหมือนกรึ่มๆ เมาๆ กำลังกวาดห้องนอนของจิวอยู่

         "อื่อออ ไม่เปงรายยย อั๊วกวาดห้องนอนอั๊ว แล้วเลยมากวาดให้ลื้อ กวาดแค่ในห้องแหล่ะ อั๊วกวาดมากองไว้หน้าห้อง ให้คนงานมันกวาดต่อ"

         ป๊ายังเป๋ไปเป๋มาอยู่ เอาไม้กวาด กวาดฝุ่นผงมากองไว้ที่ซอกหน้าประตู ปกติป๊าไม่ชอบให้คนงานเข้าห้องนอนของป๊า เพราะเก็บเงินสด เอกสาร หนังสือจีน และตำราจีนไว้ในนั้นมากมาย เลยชอบเก็บกวาดห้องนอนเอง หรือไม่ก็ให้จิวเข้าไปทำความสะอาดให้

         จิวเอามือจับจมูกฟุตฟิต "กลิ่นเหล้าหึ่งเลยนะป๊า เมาแต่เช้าเชียว"

         "เมาแล้วจะทำไม" ป๊าเดินเซเข้าไปที่หัวเตียงของจิว หยิบหมูกระดาษออมสินสีแดง ขึ้นมาชู

         "นี่อะไรของลื้อ แฟนลื้อให้มาเหรอ"

         จิวสะดุ้ง  หมูกระดาษออมสินสีแดง ที่ต้นข้าวให้มา จิวเอาวางไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียงตลอด ตื่นมาเมื่อไรก็จะได้เห็นสิ่งแทนใจนี้เป็นอย่างแรก จะบอกป๊าว่าอะไรดี แต่ดูท่าแล้ว น่าจะเมาพอสมควร บอกอะไรไปก็ได้มั้ง

         "เพื่อนให้มาน่ะป๊า" จิวอ้อมแอ้ม

         "ดีเนอะ เพื่อนกันให้ของน่ารักน่าเอ็นดูแบบนี้ แถมมาตั้งไว้ข้างเตียงนี่ ของแฟนมากกว่ามั้ง" ป๊าเอาหมูมาส่องๆ ใกล้หน้า ทำหน้าอ้อแอ้ใส่หมู แบบคนเมา

         จิวอึ้ง ".............."

         "ลื้อน่ะ ถ้าจะมีแฟน อั๊วขอให้เป็นคนดีนะโว้ย หาคนที่ทำมาหากิน ช่วยทำงานทำการกัน ต่อไปโรงงานทำรองเท้าฟองน้ำเล็กๆ นี่ก็เป็นของลื้อคนเดียว แม่ลื้อก็มาชิงตายไปก่อนอั๊ว" ป๊าเดินเป๋ไปพูดไป

         "ใกล้จะสอบเอนท์ เข้ามหาลัยแล้วนะไอ้นึก เตรียมๆ ไว้หรือยัง เลือกเอาที่ชอบเรียนเลย ตามสบาย อั๊วหาเงินให้ลื้อเอาไว้เรียนต่อยาวๆ แล้ว เรียนไปเลยให้สูงๆ ป๊าชอบเห็นคนฉลาดๆ" ป๊าเสริมต่อ

         "นี่ตกลงป๊าเมาหรือไม่เมาเนี่ย ตัวส่ายไปส่ายมา แต่ทำไมคุยได้เป็นเรื่องเป็นราวเลย" จิวเริ่ม งง ในพฤติกรรมการเมาของพ่อ

         "เฮ้ยยยย รู้จักป๊าน้อยไปแล้ว กินเหล้ามาสามสิบปี เมาดิบไปงั้นแหล่ะ แต่มีสติเว้ยเฮ้ย ฟังรู้ คุยรู้ มองรู้ เถียงกับคนรู้เรื่องหมด ไม่งั้นจะเลี้ยงลื้อมาได้ยังไงคนเดียว" ป๊าอวด

         จิว หวนคิดไปถึงวันที่ป๊าเข้าพบครูฝ่ายปกครองเรื่องรูปโป๊นายแบบ กับกางเกงในแอปเปิ้ล วันนั้นจิวคิดว่าป๊าเมา นึกแล้วใจหายวาบ พอจะเดาอะไรได้ลางๆ ขึ้นมา

         "ทุกครั้ง ทุกเรื่องเลยหรือป๊า ที่ป๊าเมาดิบ แล้วรู้เรื่องน่ะ" จิวถามให้แน่ใจ

         "เออ สิ ตลอดชีวิตมีครั้งไหนที่ไม่รู้บ้าง รู้แต่ก็แกล้งทำเป็นเมาว่ะ ได้เห็นอะไรแปลกๆ ในชีวิตเยอะดี"

         "................" จิวอึ้งไปอีกรอบ แต่ไม่กล้าถามว่าทำไมป๊าเข้าใจเรื่องแบบนั้นได้ง่ายๆ แถมยังไม่มีการมาซักถามอะไรกับจิวอีกเลยหรือ กับเรื่องบ้าๆ ที่โรงเรียนวันนั้น

         "ป๊า" จิวเสียงอ่อยๆ "ไว้นึกมีแฟน นึกจะพามาไหว้ป๊านะ"

         "เออ พามาเร็วๆ ล่ะ นี่จะไปโรงเรียนก็รีบไป ป๊ากวาดห้องเสร็จจะไปนอนอ่านหนังสือกำลังภายในจีนต่อล่ะ" ป๊าเริ่มหันไปเก็บของ เดินเซชนขอบตู้

         "ไปละ หวัดดีป๊า" จิวยกมือไหว้ แต่ยังหยุดยืนมองด้านหลังของป๊า

         ป๊าของจิวที่กำลังกวาดห้อง อยู่ในชุดนอน คือกางเกงขาก๊วยผ้านิ่มๆ ขาสั้น ที่เอวมีเชือกรูด แบบเดียวกับที่คนแก่ชอบใส่แทนกางเกงใน และแน่นอนว่าป๊าไม่เคยมีกางเกงในแอปเปิ้ล อย่างที่เคยอ้างไว้เรื่อยเปื่อยกับครูฝ่ายปกครองว่าเป็นของตัวเอง

         จิวยิ้มให้แผ่นหลังของป๊า ด้วยสายตาที่ขอบคุณ และเริ่มรู้ซึ้งแล้วว่าที่ป๊าทำไปทั้งหมดเพื่อใคร

         .................

         หลังจากจิวเดินลงไปแล้ว ป๊าของจิวก็เดินไปที่หัวเตียง ยกหมูกระดาษออมสินสีแดงขึ้นมาดู แล้วท่องบทกวีจีนขึ้นมาลอยๆ ว่า

         " 生活中没有什么可怕的东西,只有需要理解的东西. "
         (ไม่มีสิ่งใดในชีวิตที่น่ากลัว  มีแต่สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจ)

         ป๊าเอาหมูออมสินวางกลับคืนที่โต๊ะหัวเตียงของจิว วางหน้าหมูให้หันมองตรงไปที่หมอนบนเตียง แล้วเดินออกจากห้องไป


--------------------------------


         วันคืนอันคลุมเครือ ในชีวิตของจิวและต้นข้าวก็เริ่มจะผ่านไป พร้อมกับดวงตาที่เคยปิดเพราะอุบัติเหตุของต้นข้าว ก็กลับคืนสู่สภาพเดิมแล้ว ดูเหมือนแววตาจะสดใสขึ้นกว่าเดิมด้วย

         ถ้าชีวิตมันไม่มีเมฆหมอกบัง โดยได้รับความรัก ได้รับการยอมรับจากคนรอบข้าง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก "ครอบครัว"

         คนนั้นก็ย่อมมองโลกได้งดงามขึ้น

         อีกสองอาทิตย์โรงเรียนจะสอบปลายภาคแล้ว ทั้งสองคนมุ่งมั่นที่จะอ่านหนังสือ จิวยังคงแวะมาบ้านต้นข้าวทุกเย็นเหมือนตอนที่มาเฝ้าต้นข้าวขณะยังปิดตา แต่มาคราวนี้เพื่อมาท่องหนังสือ ติวหนังสือด้วยกัน

         ต้นข้าวที่เรียนเก่งกว่า ก็ไม่ปิดบังความรู้ ติวเข้มทุกอย่างที่ตัวรู้ ถ่ายทอดให้จิวทุกสิ่ง และจิวเองก็มุ่งมั่นที่จะรับด้วยความตั้งใจ เป็นที่น่าเอ็นดูในสายตาของผู้ใหญ่ในบ้านทุกคน

--------------------------------


         ก่อนวันสอบสามสี่วัน จิว ต้นข้าว เอก และแจ๊ส ได้นัดมาเจอกันที่มาบุญครอง เพื่อคุยปรึกษากันเรื่องเตรียมตัวเดินทางไปเที่ยวเกาะเสม็ดอย่างที่ตั้งใจไว้ พอสอบเสร็จ จะได้เดินทางกันทันที

          บ่ายวันเสาร์ จิวและต้นข้าวก็ได้มายืนอยู่หน้าห้างมาบุญครอง ห้างที่ทั้งสองคนมีความหลังกันตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง จากวันที่เริ่มตอกเสาเข็ม จนเปิดให้บริการมาเกือบปี ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองมาเดินห้างพร้อมกัน

         วันนี้จิวกับต้นข้าว ใส่เสื้อคู่เหมือนกัน มันเป็นเสื้อยืดสีดำที่สกรีนตัวหนังสือตัวใหญ่สีม่วงสดบนหน้าอกว่า "ช่างมันฉันไม่แคร์" เป็นชื่อภาพยนตร์ดังของหม่อมน้อย ที่กำลังเข้าฉายอยู่ตอนนี้

         จิวหันมายิ้มให้กับต้นข้าว แล้วเด็กหนุ่มหน้าตาดีสองคน ก็เอานิ้วก้อยเกี่ยวกัน แล้วผลักประตูหน้าห้างมาบุญครอง เดินคู่กันเข้าไป

         ....................

         "โอ้ยยย มีความสุขฉิบหายเลย" จิวทำหน้าเหมือนมีความสุขซะเต็มประดา พร้อมบิดขี้เกียจไปด้วย

         ตอนนี้จิว ต้นข้าว เอก และแจ๊ส นั่งคุยกันอยู่บนศูนย์อาหารชั้น ๔

         "ความสุขอะไรของนาย เรื่องจะไปเที่ยวเสม็ดน่ะเหรอ"

         เอกถาม แต่ตาและมือกำลังง่วนอยู่กับ เกมส์กด Game & Watch เกมส์ปลาหมึก* ในเครื่องนินเทนโด้อยู่

         "ก็ใช่น่ะสิ อะไรจะสุขเท่า จริงไหมแว่น" จิวพูดจบก็เอามือไปขยี้ผมของต้นข้าวเล่น

         "เราจะไปพักที่หาดไหนดี" เอกหยุดเล่นเกมส์กดแล้ว และเงยหน้าขึ้นมาสนทนา

         "อ้าว ก็พักที่อ่าวพร้าวตามแบบหน้าปกเทปนั่นไง แจ๊สอยากถ่ายรูปไม่ใช่เหรอ" จิวยังเล่นผมของต้นข้าวอยู่

         แจ๊สนั่งมองคนขยี้หัวกันสักพัก ก็พูดขึ้นว่า

         "คู่นี้จะไปเที่ยวหรือไปฮันนีมูนฮะ"

         ต้นข้าวปัดมือจิวที่กำลังเล่นหัวออก แล้วเอานิ้วสางผมตัวเองให้เข้าที่  "ก็ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ เว้ย" ต้นข้าวบอก

         "เหรอ เพื่อนเหรอ" จิวทำหน้าทะเล้นใส่ต้นข้าว และยังแถมด้วยการเอานิ้วไปช่วยปัดไรผมด้านหน้าให้ต้นข้าว ที่กำลังจัดทรงอยู่ด้วยอีกแรง

         "ดี เรามาเตี๊ยมกัน จะได้แบ่งกันแบกของไป" เอกว่า

         "ต้องเอาอะไรไปบ้างอ่ะ เราไม่เคยไป"

         ต้นข้าวถาม และเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำส้มปั่นของจิวที่ยังดูดไม่หมด ขึ้นมาดูดต่อเอง

         "ก็มีน้ำโพลาริสถังขาวถังนึง หม้อเล็กๆ ใบนึง ถ่านหุงข้าว มาม่าลังนึง จานพลาสติก ตะเกียบ กีตาร์ แล้วอะไรอีกวะ" เอกถาม

         "ถ่านหุงข้าวไปซื้อที่นั่นก็ได้มั้ง ไม่ต้องขนไป ไม่ก็ก่อกองไฟเอา"

         จิวบอก  พร้อมกับเอื้อมมือไปดึงแก้วน้ำส้มปั่นของตัวเองคืนจากปากของต้นข้าว แล้วดูดหลอดเดียวกันกับที่ต้นข้าวดูดค้างเมื่อกี้ต่อ ทำหน้ามีความสุข

         "อาหารบนเกาะมันแพง ร้านอาหารมีน้อยด้วย ข้าวผัดกระเพราจานนึงห้าสิบหกสิบบาทแน่ะ โหดฉิบ รอซื้อปลาหมึกจากเรือประมงถูกๆ มาปิ้งเองดีไหม"

         "ช่างมัน เราสองคนกินมาม่ากันทุกมื้อก็ได้เนอะ" จิวกุมมือต้นข้าว พลางพยักพเยิด

         ต้นข้าวบีบมือจิวตอบ พูดยิ้มๆ "เดี๋ยวจะต้มให้กินทุกวันเลยล่ะ"


--------------------------------


เกาะเสม็ด  จ.ระยอง


         แล้ววันนั้นก็มาถึง วันที่เด็กหนุ่มทั้งสี่ นัดพบกันที่สถานีขนส่งเอกมัย เพื่อเดินทางไปเกาะเสม็ด จ.ระยอง

         จิวและต้นข้าวมาที่สถานีเอกมัยพร้อมกันในตอนเช้ามืด ทั้งสองคนใส่เสื้อคู่เหมือนกัน เสื้อกล้ามลายทางขาวดำ และกางเกงผ้าเวสปอยท์สีน้ำเงินตัดสั้นแค่เข่า ต้นข้าวใส่หมวกสานสีน้ำตาลมีปีกสั้นๆ ทั้งคู่หน้าตาสดใส หล่อ และหัวเราะให้กันอย่างร่าเริง ดูมีความสุข

         ข้างตัวจิว มีถังน้ำโพลาริสถังขาว มีถุงใบใหญ่ใส่หม้อ จานพลาสติก ช้อน ตะเกียบ เทียน ไฟฉาย และเป้เดินทางใบใหญ่อีกใบ ใส่เสื้อผ้าของทั้งจิวและต้นข้าวรวมกันในนั้น

         ........................

         "เกาะเสม็ด" ในสมญานามว่า "เกาะแก้วพิสดาร" จากวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณี ของสุนทรภู่ เป็นเกาะใหญ่ที่สุดในอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด พึ่งเปิดตัวให้นักท่องเที่ยวข้ามไปเที่ยวเกาะอย่างเต็มรูปแบบ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๗ นี้เอง

         ดังนั้นการเดินทางไปเกาะเสม็ด ในปี พ.ศ. ๒๕๒๙ นั้น ยุ่งยากพอสมควร ยังไม่มีอะไรสะดวกนัก ต้องเริ่มต้นจากนั่งรถ บขส.หวานเย็นที่เอกมัย กรุงเทพฯ ไปลงที่หน้าตลาดระยองในอำเภอเมือง

         แล้วต่อรถสองแถวไปตำบลบ้านเพอีก เพื่อรอข้ามไปเกาะที่ท่าเรือของป้ากิมห่อ หรือที่เรียกกันโดยชาวบ้านแถวนั้นว่าป้าฮ้อ ในชื่อท่าเรือ "นวลทิพย์" เป็นท่าเรือไม้ที่ยื่นไปในทะเลด้วยความยาว ๘๐ เมตร ใช้สำหรับเป็นสะพานปลา ขนส่งอาหารทะเลเพียงแห่งแรกและแห่งเดียวของตำบลบ้านเพ

         ส่วนเรือข้ามไปเกาะ ดัดแปลงมาจากเรือประมง ซึ่งช่วงนั้นชาวประมงขาดแคลนแรงงาน เนื่องจากพากันออกไปค้าแรงงานยังต่างประเทศกันหมด ทำให้ออกเรือหาปลาไม่ได้ จึงหันมาดัดแปลงเรือเพื่อรับส่งนักท่องเที่ยวไปยังเกาะเสม็ด โดยมีเรืออยู่ประมาณ ๘-๑๐ ลำ ในราคาเหมาลำละ ๖๐๐-๘๐๐ บาท ถ้าไม่เหมา ก็ต้องนั่งรอจนนักท่องเที่ยวครบจำนวนที่หารกันได้ จึงจะออกเรือไปส่งที่เกาะ ระยะทางประมาณ ๖.๕ กิโลฯ

         แต่เรื่องที่ยากลำบากกว่า ก็คือการที่จะต้องขนอุปกรณ์การกินรวมทั้งน้ำดื่มไปเองด้วย ทั้งสำหรับดื่มและใช้ล้างหน้าแปรงฟัน เพราะน้ำบาดาลบนเกาะเป็นบ่อน้ำกร่อย เวลาอาบน้ำฟอกสบู่แล้วล้างแทบไม่ออก ลื่นติดตัว และบนเกาะมีร้านอาหารน้อย และแพงมาก บางกลุ่มใหญ่ๆ ที่ไป ถึงขนาดขนเครื่องครัวกันไปเลยก็มี

         ........................

         ไม่นาน เอกและแจ๊สก็มาถึง สองคนใส่เสื้อคู่เหมือนกัน เป็นเสื้อกล้ามลายทหาร และกางเกงยีนส์ขาสั้น แจ๊สแบกกีตาร์โปร่งยามาฮ่า พร้อมทั้งสะพายกล้องถ่ายรูปตัวใหญ่ที่คอมาด้วย ส่วนเอก สะพายกระเป๋าใบใหญ่ และถุงใบใหญ่ใส่ลังมาม่าและขวดเครื่องดื่มต่างๆ

         ทั้งหมดใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง ต้นข้าวซบหลับที่ไหล่จิวมาตลอดทาง ส่วนเอกนั่งเล่นเกมส์กดในมือ และแจ๊สพิงกระจกหน้าต่างหลับตั้งแต่รถเริ่มล้อหมุน

         กว่าจะข้ามมาถึงท่าเรือหน้าด่านบนเกาะเสม็ด ก็เวลาเข้าไปเกือบบ่ายสามแล้ว และทั้งหมดก็ต้องผิดหวัง เมื่อได้รับรู้ว่า อ่าวพร้าวที่เบิร์ด ธงไชย ถ่ายปกเทปนั้น จริงๆ แล้วไม่มีบ้านพักสำหรับนักท่องเที่ยวเลย มีแต่หมู่บ้านชาวประมง

         "ว้า แย่เลยฮะ แจ๊ส อดถ่ายรูปเลย"

         แจ๊สบ่น แต่หน้ายิ้มมีความสุข ดูไม่แย่อย่างที่ปากว่า มือก็จับแกว่งอยู่กับมือเอกตลอดเวลา

         "ไม่เป็นไรน่า ไว้ค่อยเดินไปถ่ายรูปเฉยๆ ก็ได้" จิวบอก ซึ่งตอนนี้จิวกำลังยืนกอดไหล่ต้นข้าวอยู่ข้างหลัง ทำหน้าแบบสุขล้นปรี่

         "งั้นเราเอายังไงกันดี ต้องหาที่พักให้ได้ก่อนค่ำนะ ไม่งั้นมืดมองไม่เห็นทางเลย" เอกแนะนำ เพราะเคยมาครั้งหนึ่งแล้ว

         "แจ๊สอยากไปหาดที่มีสะพานไม้ยื่นลงไปฮะ แจ๊สชอบฮะ" แจ๊สออกความเห็นอีก

         คราวนี้ต้นข้าวเห็นด้วย "เออ ดีๆ ชอบเหมือนกัน ไปกันนะจิว" ต้นข้าวเอามือเขย่าแขนจิวที่กอดอยู่บนไหล่ตัวเอง

         "ไปสิ ไปขึ้นรถสามล้อสกายแล็ปบนเกาะนะ มันไกลจากนี่มาก เดินแบกของไม่ไหวหรอก" เอกเตรียมหยิบข้าวของ

         .......................

         อีกครึ่งชั่วโมงกับการนั่งรถสกายแล็ปบนเกาะ หัวสั่นหัวคลอนกันมา ทั้งเนิน ทั้งลูกรัง และท้องร่อง จนแจ๊สที่นั่งหน้าดำหน้าแดงอยู่ท้ายรถ แทบจะขอลงไปอ้วก

         ทั้งหมดก็มาถึงด้านหลังของอ่าววงเดือน

         "ต้องลงตรงนี้น้อง รถเข้าไม่ถึงล่ะ น้องเดินตัดหาดนี้ไปจนสุดนะ ข้ามเนินทางซ้ายนั่นไป จะถึงหาดลุงหวัง ที่มีสะพานยื่นๆ นั่นแหล่ะ" น้าคนขับรถตะโกนบอก

         ตอนนี้สี่หนุ่ม ยืนอยู่ใต้ร่มมะพร้าว ลมทะเลพัดเย็น มองออกไปหน้าหาด เห็นทรายสีอ่อนละเอียด ตีวงสวยยาวออกไปไกลทั้งทางด้านซ้ายและขวา ทอดโค้งเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว สมกับชื่อ "อ่าววงเดือน"

         บนหาดมีบ้านพักกระต๊อบหลังเล็กๆ ซุกตัวแอบตามพุ่มไม้ห่างๆ กัน สวย เงียบ สงบ และบริสุทธิ์ แดดบ่ายส่องมาจากทางด้านหลัง ทำให้น้ำทะเลที่กำลังตีคลื่นอยู่ พราวระยับเหมือนประกายเพชร สามารถมองทะลุน้ำทะเลสีฟ้าใสลงไปเห็นพื้นทรายข้างล่างขาวจัดเลยจากระยะไกล

         "สวยว่ะ" ใครคนหนึ่งพูดเบาๆ ออกมา

         "ป่ะ เดินไปต่อกัน" จิวเรียกเพื่อน

         กว่าจะทุลักทุเลแบกของข้ามหาดกันมา จิวและต้นข้าวต้องช่วยกันสลับเปลี่ยนเป็นคนแบกถังน้ำโพลาริสกันหลายรอบ พื้นทรายขาวเนียนละเอียด ย่ำลงไปบนพื้นทรายจะเกิดเสียงเสียดสีกับเท้าดัง บึ่ด! ๆๆ ในทุกก้าวย่ำ จนมาถึงหาดลุงหวัง มองเห็นสะพานไม้ที่แจ๊สและต้นข้าวอยากมา อยู่ไม่ไกล

         "นี่แหล่ะ ที่ประเทศชาติต้องการ"

         ต้นข้าวอุทาน พร้อมปล่อยถังน้ำโพลาริสลงกับพื้นทรายดังปุ่ก! ตาเป็นประกายแวว จนจิวเห็นก็อดแซวไม่ได้

         "งั้นคืนนี้ก็ไม่ต้องนอนในห้องนะ มานอนบนสะพานนี่ล่ะ"

         "มานอนด้วยกันไหมล่ะ" ต้นข้าวหันมายิ้มกว้าง หล่อ ใส ฟันขาวแวววาวเท่ากับประกายน้ำทะเลตอนนี้

         "มานอนนับดาวกัน" ต้นข้าวมองหน้าจิวโดยเฉพาะ

         จิวเห็นหน้าต้นข้าว ใส และยิ้มมีความสุขแบบนี้ ก็นึกอยู่ในใจ...

         --อย่าว่าแต่ดาวเลย ถ้าต้นข้าวจะเอาอ่าววงเดือนเมื่อกี้ทั้งอ่าว จิวก็จะขุดมาให้--


--------------------------------


https://www.youtube.com/watch?v=Ks2CoC4DKbE
*พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ - ช่างมันฉันไม่แคร์  [Official Audio]

         ช่างมันฉันไม่แคร์ ภาพยนตร์ที่เข้าฉายในปี พ.ศ. ๒๕๒๙ กำกับโดย ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล (หม่อมน้อย) นำแสดงโดย สินจัย หงษ์ไทย และ ลิขิต เอกมงคล  เป็นภาพยนตร์ในแนวสะท้อนสังคม โดยจับเอางานอาชีพที่สังคมรังเกียจ มาสะท้อนให้เห็นถึงความเหลวแหลก และความจำเป็นของคนที่ต้องดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดอยู่ในเมืองหลวง

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/302726417-member.jpg)


         *เกมส์ปลาหมึก (Octopus : Game & Watch) เกมส์กดของบริษัท Nintendo วางจำหน่ายครั้งแรกในเดือน มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๔

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/1743932606-member.jpg)


หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๔ : ช่างมันฉันไม่แคร์ || หน้า ๗ || ๒๓/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 23-01-2017 06:53:42
คึกคักตามจิวและ อยากไปเที่ยวเกาะเสม็ดด้วย
วัยหนุ่มสาวนี่ช่างน่ารื่นรมย์ซะจริง
พ่อจิว ทันสมัยมาก ฉลาดด้วย
(ไม่มีสิ่งใดในชีวิตที่น่ากลัว  มีแต่สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจ)
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๔ : ช่างมันฉันไม่แคร์ || หน้า ๗ || ๒๓/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 23-01-2017 11:33:19
อ่านตอนนี้ในช่วงครึ่งแรก
คนอ่านนั่งอมยิ้ม แต่มีน้ำชื้นรื้นขึ้นในลูกตา
ยังงี้นี่เอง..ที่เรียกว่า อ่านไปซึ้งไป
น้ำตาไหลแต่อิ่มความสุข

มีสิ่งใด จะยิ่งใหญ่ ไปกว่าพ่อ
มีคนไหน ไม่ร้องขอ เคยท้อไหม
ทุกสิ่งทำ เพื่อให้ลูก สบายใจ
ขอน้อมไหว้ หมอบกราบ ราบที่เท้า

รักพ่อนะ

ป้อล่อ..ตอนนี้ไม่ได้เม้นท์ถึงจิว+ต้นข้าว อ่ะ
ขอซาบซึ้งในความรักของพ่อ..ยิ่งใหญ่มาก
หุหุ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๔ : ช่างมันฉันไม่แคร์ || หน้า ๗ || ๒๓/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 23-01-2017 11:34:20
 :L2: :pig4:

ปลื้มคุณพ่อ อารมณ์แบบ จอมยุทธขี้เมา55
สองคนนี้เกิดมาโชคดี มีพ่อแม่ที่รักและเข้าใจ

ปล ตอนนี้เรานั่งเรื่องไปสังเกตการณ์ที่เสม็ดแล้ว มาไวไวเถอะะะะะ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๔ : ช่างมันฉันไม่แคร์ || หน้า ๗ || ๒๓/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 23-01-2017 11:50:07
 :mew3: :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๔ : ช่างมันฉันไม่แคร์ || หน้า ๗ || ๒๓/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 23-01-2017 23:17:44
   จิว ต้นข้าวเกี่ยวก้อยกันเดิน 555 พ่อจิวก็รู้แล้ว สบายเลยสิ
  รออ่านต่อคับ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๔ : ช่างมันฉันไม่แคร์ || หน้า ๗ || ๒๓/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 24-01-2017 01:25:07
เขาว่ากันว่า ไปเสม็ดเสร็จทุกราย
จริงหรือเปล่าค่ะพี่จิว
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๔ : ช่างมันฉันไม่แคร์ || หน้า ๗ || ๒๓/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 24-01-2017 12:15:42
คึกคักตามจิวและ อยากไปเที่ยวเกาะเสม็ดด้วย
วัยหนุ่มสาวนี่ช่างน่ารื่นรมย์ซะจริง
พ่อจิว ทันสมัยมาก ฉลาดด้วย
(ไม่มีสิ่งใดในชีวิตที่น่ากลัว  มีแต่สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจ)
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

= อยากย้อนกลับไปเป็นเด็กอีกจัง ไม่ต้องคิดมาก โลกนี้เป็นของเรา  :กอด1:


อ่านตอนนี้ในช่วงครึ่งแรก
คนอ่านนั่งอมยิ้ม แต่มีน้ำชื้นรื้นขึ้นในลูกตา
ยังงี้นี่เอง..ที่เรียกว่า อ่านไปซึ้งไป
น้ำตาไหลแต่อิ่มความสุข

มีสิ่งใด จะยิ่งใหญ่ ไปกว่าพ่อ
มีคนไหน ไม่ร้องขอ เคยท้อไหม
ทุกสิ่งทำ เพื่อให้ลูก สบายใจ
ขอน้อมไหว้ หมอบกราบ ราบที่เท้า

รักพ่อนะ

ป้อล่อ..ตอนนี้ไม่ได้เม้นท์ถึงจิว+ต้นข้าว อ่ะ
ขอซาบซึ้งในความรักของพ่อ..ยิ่งใหญ่มาก
หุหุ

= รักพ่อเช่นกันฮะ  :กอด1:


:L2: :pig4:

ปลื้มคุณพ่อ อารมณ์แบบ จอมยุทธขี้เมา55
สองคนนี้เกิดมาโชคดี มีพ่อแม่ที่รักและเข้าใจ

ปล ตอนนี้เรานั่งเรื่องไปสังเกตการณ์ที่เสม็ดแล้ว มาไวไวเถอะะะะะ

= แต่คนเขียนไม่อยากให้ถึงตอนเกาะเสม็ดเลยอ่า มันเป็นตอนสุดท้ายของช่วงมัธยมแล้วฮะ   :hao5:


:mew3: :mew3: :mew3:

= ขอบคุณมากนะฮะ


   จิว ต้นข้าวเกี่ยวก้อยกันเดิน 555 พ่อจิวก็รู้แล้ว สบายเลยสิ
  รออ่านต่อคับ

= สบายใจล่ะ แอบเกี่ยวก้อยกันได้ อิอิอิอิ


เขาว่ากันว่า ไปเสม็ดเสร็จทุกราย
จริงหรือเปล่าค่ะพี่จิว

= อยากรู้เหมือนกันฮะ 55555+


....................


และขอบคุณผู้อ่านท่านอื่นๆ ทุกท่านด้วยนะฮะ


 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๔ : ช่างมันฉันไม่แคร์ || หน้า ๗ || ๒๓/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 24-01-2017 12:17:10
o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๕ : หาดทราย สายลม สองเรา || หน้า ๗ || ๒๔/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-01-2017 13:12:50
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๕ : หาดทราย สายลม สองเรา || หน้า ๗ || ๒๔/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: aeecd ที่ 24-01-2017 15:03:05
 :z13: คู่หวาน อิอิ ไปเสม็ดจะเสร็จทุกรายรึป่าววว :hao6:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๕ : หาดทราย สายลม สองเรา || หน้า ๗ || ๒๔/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-01-2017 16:39:54
สองคู่ ชู้ชื่น
ทะเล หาดทราย
สายลม สองเรา :katai2-1:
จิว ต้นข้าว / เอก แจ๊ส  :mew1: :mew1: :mew1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๕ : หาดทราย สายลม สองเรา || หน้า ๗ || ๒๔/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 24-01-2017 18:53:27
สมัยก่อนลำบากจริงๆ แม้ปัจจุบันถนนดี รถราก็สะดวกสบายกว่าแต่ก่อนแต่ก็เดินทางด้วยรถเมล์โดยสารก็ 5-6ชม เช่นเดียวกัน 555
 ไหนว่าจะนอนบนสะพานกันไงต้นข้าว เวลานอนจะกอดกันมั้ยอ่ะ ฮ่าๆ รออ่านต่อคับ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๕ : หาดทราย สายลม สองเรา || หน้า ๗ || ๒๔/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 24-01-2017 19:08:57
เสร็จดิ
ยังไงก็ต้องเสร็จ

ไม่งั้นจะเสียเที่ยว เสียชื่อเกาะ

--ไปเสม็ดเสร็จทุกราย--
ฮ่าฮ่า

ป้อล่อ..น้ำทะเลยังรู้สึกว่าหวานเลย
อิอิ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๕ : หาดทราย สายลม สองเรา || หน้า ๗ || ๒๔/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 25-01-2017 01:00:25
 :L2: :pig4:

มาม่า เพื่อนคู่ใจ คงจะหวานมาก พอพอ กับน้ำทะเล
อยากไปเที่ยวบ้างงงงง
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๕ : หาดทราย สายลม สองเรา || หน้า ๗ || ๒๔/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 26-01-2017 06:07:39
:กอด1:

= ขอบคุณมากนะฮะ   :กอด1:


:z13: คู่หวาน อิอิ ไปเสม็ดจะเสร็จทุกรายรึป่าววว :hao6:

= ไม่น่าจะรอดนะฮะ อิอิอิอิอิ


สองคู่ ชู้ชื่น
ทะเล หาดทราย
สายลม สองเรา :katai2-1:
จิว ต้นข้าว / เอก แจ๊ส  :mew1: :mew1: :mew1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

= น่ารักที่สุดเนอะ   :mew1:


สมัยก่อนลำบากจริงๆ แม้ปัจจุบันถนนดี รถราก็สะดวกสบายกว่าแต่ก่อนแต่ก็เดินทางด้วยรถเมล์โดยสารก็ 5-6ชม เช่นเดียวกัน 555
 ไหนว่าจะนอนบนสะพานกันไงต้นข้าว เวลานอนจะกอดกันมั้ยอ่ะ ฮ่าๆ รออ่านต่อคับ

= คนนับดาวกับแฟนสองคนบนสะพาน คงจะมีความสุขน่าดูนะฮะ   :hao6:


เสร็จดิ
ยังไงก็ต้องเสร็จ

ไม่งั้นจะเสียเที่ยว เสียชื่อเกาะ

--ไปเสม็ดเสร็จทุกราย--
ฮ่าฮ่า

ป้อล่อ..น้ำทะเลยังรู้สึกว่าหวานเลย
อิอิ

= ความเค็มของเกลือในทะเล ต้องแอบไปร้องไห้กันเลยทีเดียว


:L2: :pig4:

มาม่า เพื่อนคู่ใจ คงจะหวานมาก พอพอ กับน้ำทะเล
อยากไปเที่ยวบ้างงงงง

= ชีวิตวัยรุ่น ไปเที่ยวกันมันน่าอิจฉาแท้ๆ เลยเนอะ   :-[


..................


และขอบคุณผู้อ่านทุกท่านด้วยนะฮะ


 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๕ : หาดทราย สายลม สองเรา || หน้า ๗ || ๒๔/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 26-01-2017 06:09:13

MBK❤lover


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/1865209713-member.jpg)


ตอนที่ ๒๑ : เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย


         เอกเดินไปติดต่อที่พัก ได้เป็นกระต๊อบสองหลัง ฝาผนังเป็นไม้ระกำ หลังคามุงจาก ห่างกันพอสมควร มีบ่อบาดาลน้ำกร่อยสำหรับตักอาบอยู่ระหว่างกลางของสองหลัง และห้องสุขารวมอยู่ด้านหลัง

         กระต๊อบที่พัก อยู่ติดชายหาด มีชั้นเดียว ห้องเดียวโล่งๆ กลางห้องมีแค่ฟูกนอน หมอน ผ้าห่ม มุ้ง ไม่มีพัดลม ในราคาคืนละ ๗๐ บาท มีไฟปั่นให้ใช้แค่ ๖ โมงเย็นถึง ๔ ทุ่ม ถ้าจะซื้อน้ำจืดอาบ ต้องซื้อเพิ่มถังละ ๕๐  บาท
 
         "งั้นเอากระเป๋าไปเก็บในห้องก่อน" จิวแบกเป้เข้าไปในกระต๊อบด้านหน้า

         "แล้วรีบออกมานะ จะพาไปที่นึง สวยมากๆ" เอกตะโกนบอก ขณะช่วยแจ๊สลากกระเป๋า

         จิวกับต้นข้าวเลือกกระต๊อบที่ด้านหนึ่งคร่อมอยู่บนโขดหิน และด้านหน้ายื่นไปในทะเล ไม่ไกลจากสะพานไม้หน้าหาด

         ไม่นานเอกก็เดินมาเรียกจิวและต้นข้าว ให้เดินไปที่หลังเกาะกัน เพราะจะไปนั่งดูพระอาทิตย์ตก และใช้เวลาเดินไปนานพอสมควร

         .......................

         หลังเกาะ เป็นหน้าผาสูง จุดที่ไปนั่งดูพระอาทิตย์ตก เป็นหน้าผาที่ยื่นล้ำออกไป มองเห็นทะเลเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา ไม่มีอะไรบัง พื้นน้ำตอนนี้ราบเรียบราวกับกระจก สงบ นิ่ง

         จิวกับต้นข้าวเลือกมุมนั่งบนก้อนหินก้อนหนึ่งใต้ต้นไม้ใหญ่ จิวนั่งบนหินแล้วเอนหลังพิงต้นไม้ ส่วนต้นข้าวนั่งคร่อมข้างหน้าจิว เอนหลังพิงลงไปที่อกจิว หัวซบตรงซอกไหล่ จิวเอาสองมือขึ้นมากอดต้นข้าว และต้นข้าวก็เอามือมากุมแขนจิวอีกที ทอดสายตาไปที่พื้นน้ำข้างล่าง

         ท้องฟ้าเย็นวันนั้น ใส มีเมฆลอยเป็นระยะ พระอาทิตย์ซ่อนอยู่หลังก้อนเมฆ ปล่อยแฉกรัศมีเป็นเส้นลอดปุยเมฆนำลงมาก่อน

         แล้วตะวันดวงกลมสีส้มจัดก็ค่อยๆ อัสดงลงมาจากหลังเมฆ หย่อนตัวต่ำลงไปบนผิวน้ำ มีเรือประมงลำเล็กๆ ลอยลำผ่านตรงหน้าพอดี แสงส้มสวยย้อมน้ำทะเลทั้งผืน ทิ้งประกายสะท้อนสีทองเต้นยิบๆ เป็นเกล็ดไหววูบ

         หนุ่มน้อยสองคน ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใดๆ ระหว่างกันตอนนี้ ร่างทั้งสองที่เหมือนรวมเป็นร่างเดียวกัน รวมทั้งภาพราวกับสวรรค์ที่เห็นอยู่ตรงหน้า ทำให้จิวและต้นข้าวปล่อยอารมณ์จมดิ่งไปในความสุขอย่างถึงที่สุด


--------------------------------


         สามทุ่มกว่า เสียงเกากีตาร์ดังมาแบบเป็นเพลงบ้าง ไม่เป็นเพลงบ้าง จากเอก ผู้ซึ่งนั่งทำเท่อยู่บนหาดทราย มีแจ๊สนั่งตบมือเปาะแปะตาม

         หลังจากที่กลับกันมาจากไปดูพระอาทิตย์ตกแล้ว และอาบน้ำที่บ่อข้างที่พักเสร็จ ทั้งหมดก็มาล้อมวงกันบนหาดทรายหน้ากระต๊อบ ก่อกองไฟกองเล็กๆ ต้มมาม่าหลายซองด้วยหม้อที่เอามาด้วย

         "ป้อนหน่อยสิ" เสียงจิวแทรกขึ้นมา

         ต้นข้าวกำลังตักมาม่าที่ยังไม่ทันปรุงรส แบ่งลงถ้วยเล็กๆ ก็เงยขึ้นไปมองหน้าจิว

         "กินเองไม่เป็นหรือไง"

         ปากพูด แต่เจ้าตัวก็เอาตะเกียบคีบเส้นขึ้นมา ควันลอยฉุย แล้วเอาปากบรรจงเป่าให้หายร้อนก่อน

         "เอ้า...อ้ำ..." แล้วคีบยื่นไปให้จิว

         จิว จ้องตาต้นข้าว อ้าปากรอ ต้นข้าวก็มองตาจิว แล้วค่อยๆ ส่งเส้นมาม่าด้วยปลายตะเกียบเข้าไปที่ปากจิว เอาตะเกียบค่อยๆ ช่วยคีบส่งจนปลายเส้นสุดท้ายเข้าไปในปากจนหมด จากนั้นยกนิ้วโป้งขึ้นมาปาดเช็ดรอยเปื้อนที่ริมฝีปากจิวให้

         จิวเอามือขึ้นขยี้ผมต้นข้าว ยิ้มหยีไปถึงลูกตา

         ต้นข้าวยิ้มตอบ แล้วเอาตะเกียบคีบมาม่าเป่าคลายความร้อน ใส่ปากตัวเองบ้าง

         --ยามไร้ เด็ดดอกหญ้าแซมผม
         หอมบ่หอม ทัดดมดั่งบ้า--
         (ลิลิตพระลอ)


         แม้ไม่ใช่อาหารรสเลิศเหมือนในกรุงเทพฯ แต่เมื่ออยู่บนเกาะสงบกลางทะเล ท่ามกลางเสียงคลื่นลม และได้อยู่เคียงข้างกับคนพิเศษ  อาหารธรรมดาที่กระจอกงอกง่อย มีเส้นเปล่าๆ อันจืดชืด ก็กลายเป็นของที่มีรสชาติเหมือนอาหารทิพย์ขึ้นมาทันที

         ......................

         "กินกันเสร็จหรือยัง" เสียงเอกเรียก "มานี่ มาลองนี่กัน ของดีเว้ย"

         จิวกับต้นข้าวหันไป เอกยกขวดเหล้าแบน แสงโสมเหรียญทอง ขึ้นมาอวด

         "หึ๋ย เอาเหล้ามาด้วยเหรอ" ต้นข้าวอุทาน

         "แจ๊สหยิบออกมาจากบ้านด้วยฮะ ของพ่อแจ๊สฮะ" แจ๊สเริ่มมีหน้าสีเรื่อๆ คงจะรินชิมไปบ้างแล้ว

         "มาเหอะ ขวดนิดเดียวเอง ลองดู" เอกรินเหล้าเปล่าๆ ลงในฝาขวด แล้วส่งให้ต้นข้าว

         "อี๋..." ต้นข้าวหลับตาปี๋ เมื่อเหล้าแสงโสมฝาแรก ผ่านลงคอไป "ขม!!"

         จิวส่งแก้วน้ำเปล่าให้ต้นข้าว "กินน้ำตามไปสิ" แล้วจิวก็คว้าขวดแสงโสมจากมือเอกไปรินใส่ฝากระดกลงคอบ้าง

         หลังจากที่ผลัดกันกระดกเหล้าคนละหลายฝา จนขวดแบนนั้นเกือบหมด  ก็มีแสงไฟฉายวอบแวบมาจากหน้าหาดทราย

         "น้องๆ จะสี่ทุ่มแล้ว ถ้ากินกันเสร็จแล้ว อย่าลืมดับกองไฟบนหาดทรายนะ"

         ทั้งหมดเงยขึ้นไปตามเสียง ก็พบว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด ที่มาเดินตรวจหน้าหาดต่างๆ ตามปกติ

         "ว๊า...หมดเวลาสนุกแล้วฮะ" แจ๊สทำหน้ายู่ยี่ แล้วหันไปคล้องแขนเอก

         "งั้นเราเข้าห้องนอนกันเถอะฮะ"

--------------------------------

         
(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/219118782-member.jpg)
*บรรยากาศของเกาะเสม็ด และกระต๊อบที่พักบนเกาะ ในราวปี พ.ศ. ๒๕๒๕-๒๕๒๙


         "จิวกับต้นข้าว ยังไม่เข้านอนเหรอ" เอกเริ่มลุก ปัดทรายตามตัวออก

         "อื่อ นั่งอีกแป็บนึงว่ะ" จิวหันมาบอก

         "นั่งทำไมเนี่ย ดับกองไฟแล้วมืดตึบ ยุงก็เยอะ ไม่มีอะไรทำซะหน่อย ไปนอนเถอะ จะได้ตื่นเช้ามาดูพระอาทิตย์ขึ้น" เอกเสนอแนะ

         เอกเห็นจิวและต้นข้าวยังไม่มีทีท่าจะลุกตาม ก็ยื่นเครื่องเล่นเทป Sony Walkman ที่ห้อยอยู่ตรงเอว ส่งให้จิว

         "เอ้า งั้นเอานี่ไว้ เผื่อนั่งเบื่อๆ จะได้เปิดฟัง มีเทปค้างอยู่ในนั้นม้วนนึงมั้ง เพลงของใครไม่รู้" เอกส่งให้แล้วเดินจูงมือแจ๊สกลับไปที่พักของตัวเอง

         จิวรับเครื่องเล่นเทปคาสเซ็ทมา แล้วส่งให้ต้นข้าว ซึ่งนั่งยิ้มตาวาวเป็นประกายในความมืด เหมือนดวงดาวที่พราวบนท้องฟ้าเหนือเกาะเสม็ดตอนนี้

         "เทปเพลงอะไรนี่ ลองเปิดฟังกัน" ต้นข้าวเปิดฝาเครื่องเล่นเทปออก แล้วดึงเทปคาสเซ็ทในนั้นขึ้นมาอ่านชื่อศิลปิน โดยอาศัยแสงจากหลอดไฟเล็กๆ ที่ฝาเครื่องเล่นเทป

"Whitney Houston : 1985"
(วิตนีย์ ฮูสตัน : ๒๕๒๘)

         "ใครวะ ไม่เคยได้ยินชื่อ" จิวทำหน้างงๆ

         "นักร้องฝรั่งใหม่มั้ง ไม่เคยฟังเหมือนกัน เทปนี่ออกได้ปีกว่าแล้ว" ต้นข้าวเดา

         "ไปนอนฟังกันในห้องกันเถอะ ยุงเริ่มเยอะจริงๆ ด้วย" จิวเอามือเกาที่ขา

         "มาๆ วิ่งแข่งกัน ใครไปถึงห้องก่อน" ต้นข้าวหัวเราะคิกคัก แล้วออกวิ่งนำไปก่อน ทรายกระจายปลิวตามหลัง

         "โหย...รอด้วยยยย"

         จิวควานหารองเท้าแตะ กว่าจะหาเจอ แล้ววิ่งตามต้นข้าวไป พอเข้ามาถึงห้อง ก็เห็นต้นข้าวลงไปนอนแผ่บนฟูกที่นอนแล้ว

         จิวถอดเสื้อออก ตามความเคยชินก่อนนอน แล้วล้มตัวลงไปนอนข้างๆ ต้นข้าว ตอนนั้นต้นข้าวกำลังยุกยิกๆ อยู่กับเครื่องเล่นเทปเครื่องนั้น

         จิวกดมือต้นข้าวไว้

         "อย่าพึ่งฟังเพลงเลย คุยกันก่อนสิ" จิวยิ้มๆ หันไปมองต้นข้าว

         ต้นข้าวเห็นจิวถอดเสื้อ ก็ถามว่า "ร้อนหรือ เมาหรือเปล่านี่" ต้นข้าวถามจิว

         "เมาอะไรล่ะ กินไปนิดเดียวเอง แบ่งกันตั้งสี่คน"

         "หน้าแดงขนาดนี้ ไหน ดมดูหน่อยสิ มีกลิ่นเหล้าเยอะไหม" ต้นข้าวหัวเราะร่วน

         จิวพลิกตัวหันไปทางต้นข้าว ซึ่งต้นข้าวก็นอนตะแคงตัวหันมาทางจิวอยู่แล้ว

         "มาเลย มาดมดูสิ" จิวท้า แถมหลับตา อ้าปาก รอให้ต้นข้าวมาพิสูจน์ แต่รออยู่สักครู่ คนที่บอกจะดม ก็ไม่ดมสักที จึงลืมตาขึ้น

         "ไม่กล้าใช่ไหม งั้นมานี่ จะให้ดมเอง"

         จิวพลิกตัวขึ้นไปนอนทับบนตัวต้นข้าว หน้าห่างกันคืบเดียว จ้องตา

         ต้นข้าวเอามือขึ้นมาจับมือจิวไว้ ไม่ตอบอะไร ได้แต่ยิ้มฟันขาว ตาใสแจ๋วอยู่อย่างนั้น

         "ต้นข้าว..." เสียงจิวกระซิบเรียก

         ต้นข้าวประหลาดใจ! เพราะแต่ไหนแต่ไรมา จิวเคยเรียกชื่อต้นข้าวว่า "แว่น" มาโดยตลอด

         "หืม..." ต้นข้าวกระซิบตอบ

         "มีความสุขไหม ที่มาเที่ยวด้วยกันกับจิวนี่"

         จิวจ้องตาต้นข้าว ยิ้มพราวไปทั้งหน้า จากแสงหลอดไฟเล็กๆ มัวๆ บนเพดานห้องนั้น ทำให้เกิดแสงเงาแปลกตา ขับให้โครงหน้าที่หล่อใสอยู่แล้วนั้น ดูดีมากเป็นพิเศษในคืนนี้

         "มีความสุขมากสิจิว แล้วจิวล่ะ" ต้นข้าวกระซิบถามบ้าง

         จิวยิ้ม ไม่ตอบ แต่กลับประทับจูบลงไปที่ริมฝีปากต้นข้าว

         ต้นข้าวตอบรับจูบนั้น ขยับตัวขึ้นเพื่อให้ปากไปแนบสนิทกันมากขึ้น ลมหายใจแรงร้อนผ่าว มือที่กุมกันอยู่ ยิ่งกำแน่นขึ้น

         จิวขบริมฝีปากต้นข้าวหลายครั้ง เหมือนจะดื่มด่ำความสุขในครั้งนี้ให้ถึงที่สุด ทั้งคู่สบสายตากันตลอดเวลา จิวจูบลึกๆ ลงไปอีกหลายครั้ง แล้วถอนปากออกมาอย่างอ้อยอิ่ง กระซิบต้นข้าว

         "จิวมีความสุขทุกครั้งที่อยู่กับต้นข้าว"

         ต้นข้าวโอบมือไปกอดจิวรั้งตัวกลับลงมา แล้วจูบไปที่ริมฝีปากจิวอีกครั้ง จิวจูบตอบกลับช้าๆ อย่างดูดดื่มและลึกซึ้ง

         มือของต้นข้าวและจิว เริ่มเลื่อนลงไปส่วนล่างของกันและกัน เสื้อ กางเกงขาสั้น และกางเกงในของทั้งคู่ ถูกรูดออกไปจากตัว เสียงลมจูบ สลับกับเสียงกระซิบกระซาบ จากร่างเปลือยของเด็กหนุ่มสองร่าง ลอยอึงอลอยู่ในห้องเล็กๆ นั้น

         สี่ทุ่มตรง เครื่องปั่นไฟหยุดทำงาน ไฟดวงเดียวในห้องนั้นก็ดับมืดลง

         เหลือแต่เสียงกระซิบถ้อยคำรำพัน และเสียงลมหายใจที่ร้อนแรงลอยแผ่วออกมา

         ทุกสิ่งที่ดำเนินต่อในความมืดนั้น เป็นไปตามธรรมชาติ เท่าที่เด็กหนุ่มพึ่งหัดเรียนรู้สองคนจะพึงปฏิบัติให้กันได้ ไม่มีอะไรเคอะเขินหรือติดขัด ทุกสิ่งไหลลื่น สุขสมไปตามที่มันควรจะเป็น

         เสียงออเซาะจากในห้อง ที่ส่งออกมาจากใจของคนสองคน แม้จะเบาแค่เพียงกระซิบ...

         แต่ความสุขมหาศาลที่ก้องกังวานในหัวใจ มันเหมือนจะส่งคลื่นพิเศษ ให้ดังสะเทือนมากกว่าเสียงลมทะเลที่พัดมากระทบผนังไม้ระกำของกระต๊อบที่นอนอยู่จนสั่นโยก

         เสียงซ่านรำพันแผ่ว เดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำ เหมือนคลื่นทะเลวัยหนุ่มที่กำลังคึก ผลัดกันม้วนโยนตัวขึ้นๆ ลงๆ จนสุดแรง แล้วทิ้งตัวแตกฟองซัดสาดซู่สู่ฝั่งริมหาดหน้าอ่าววงเดือน

         และเสียงครวญคร่ำ เปรียบเหมือนเสียงจิ้งหรีดเรไรที่พึ่งได้รับน้ำค้างหยาดแรก ร้องกรีดลั่นบนชายหาด ดังข้ามดงต้นเสม็ดแดง ต้นเสม็ดขาว ต้นไม้ประจำถิ่นของเกาะ ดังสะเทือนข้ามทะเลไปถึงเกาะมันนอก-เกาะมันใน โน่นเลยทีเดียว...

 
--------------------------------

 
         กว่าลมที่พัดกระแทกกระต๊อบจนโยกสั่นจะสงบลง และกว่าทะเลจะหยุดซัดแตกฟองขาวขุ่นที่ปลายหัวคลื่นหลายต่อหลายรอบ  เวลาก็เข้าไปเกือบตีห้ากว่าๆ

         ต้นข้าวเอื้อมหยิบนาฬิกาข้อมือที่หัวนอนขึ้นมาดู แล้วสะกิดเรียกจิว ที่นอนเปลือยหายใจหอบ และกอดต้นข้าวอยู่

         "จิว ออกไปนั่งรอดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ปลายสะพานกัน"

         จิวยิ้มตอบ หันไปหอมแก้มต้นข้าวฟอดใหญ่ แล้วทำท่าบิดขี้เกียจ

         "ไม่อยากออกไปเลย เพลีย! อยากนอนอยู่แบบนี้ตลอดไป"

         "อย่ามา..." ต้นข้าวลุกขึ้นมานั่ง หน้าหล่อมีสีระเรื่อขึ้นบนใบหน้า ดึงมือจิวให้ลุกขึ้นตาม

         จิวลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าอย่างเกียจคร้าน ก่อนออกจากห้อง จิวหยิบเครื่องเล่นเทปติดมือออกมาด้วย


--------------------------------

 
ปลายสะพานไม้ที่ทอดยาวไปในทะเล
หาดลุงหวัง

 
(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/905394132-member.jpg)


         ต้นข้าวกับจิว นั่งห้อยขาเคียงกันอยู่ที่ปลายสะพาน รอเวลาพระอาทิตย์ขึ้น ตอนนั้นฟ้ายังมืดอยู่ ทะเลสงบ ดวงดาวพราวระยับอยู่บนท้องฟ้า

         จิวเอาหูฟังข้างหนึ่งใส่หูตัวเอง ส่วนอีกข้างหนึ่งเอาไปใส่หูต้นข้าว แล้วกดเปิดเพลงฟังจากเทปในเครื่องนั้น

         ทั้งสองนั่งฟังเพลงนิ่งๆ อยู่ครู่ใหญ่ๆ แล้วต้นข้าวก็หันมาหาจิว

         "จิว" ต้นข้าวเรียก "ตลอดสามปีมานี่ เราไม่เคยห่างจากกันเลยใช่ไหม"

         "ใช่" จิวหันมายิ้มให้ต้นข้าว

         "แล้วจิวคิดว่ายังไงอะ ที่เราไม่ได้เลือกเอ็นทรานซ์คณะเดียวกัน แถมยังเลือกคนละมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ" ต้นข้าวถามจิว

         จิวนั่งนิ่งไปสักครู่ ใจหวนนึกไปถึงคำพูดของป๊าเมื่อสองสามเดือนก่อน

         --เลือกเอาที่ชอบเรียนเลย ตามสบาย อั๊วหาเงินให้ลื้อเอาไว้เรียนต่อยาวๆ แล้ว เรียนไปเลยให้สูงๆ ป๊าชอบเห็นคนฉลาดๆ--

         "ไม่เป็นไรนี่ต้นข้าว เราก็เลือกเรียนที่ตรงกับตัวเราดีกว่า ถึงจะเรียนคนละที่กัน ไกลกัน แต่เราก็เป็นแฟนกันแล้ว ยังไงก็ต้องมาเจอกันอยู่ดี" จิวตอบพร้อมรอยยิ้ม

         ต้นข้าวเองก็กำลังนึกย้อนไปถึงวันที่นั่งคุยกับน้าเดียร์บนดาดฟ้า

         --ทางบ้านก็คงช่วยได้แต่ให้การศึกษาเธอให้ดีที่สุด เธอก็ตั้งใจเรียน และเลือกหนทางในการเรียนวันข้างหน้า ให้ดี ให้มั่นคงพอกับชีวิตเธอก็แล้วกัน--

         ใช่เนอะ หนทางวันข้างหน้า มันต้องทำให้ชีวิตเราเติบโตและแข็งแรงก่อน เรื่องอื่นจะตามมาทีหลัง

         ครอบครัวให้โอกาส และการ "ยอมรับ" ในสิ่งที่บางคนอาจไม่มีวันได้รับเลยชั่วชีวิต

         แล้วทำไมเราจะทำในสิ่งที่ครอบครัวเราตั้งความหวังไว้ไม่ได้ล่ะ

         ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเราก่อน

         "อืม" ต้นข้าวมองไปบนฟ้าข้างหน้า "เราก็ต้องมาเจอกันอยู่ดี"

         จิวเอียงหัวซบไปที่ต้นข้าว "ไว้เรากลับกรุงเทพ เราไปจูงมือกันเดินเล่นที่มาบุญครองอีกนะ"


         ..................


         ปลายฟ้าเริ่มมีแสงรำไร ใกล้เช้าขึ้นทุกที ลมสงบเงียบกว่าเดิม เหมือนทุกสรรพสิ่งกำลังรอเริ่มต้นวันใหม่

         จิวกดปุ่มเพิ่มเสียงในเครื่องเล่นเทป

         เพลงของ "วิตนีย์ ฮูสตัน" ที่กำลังเปิดอยู่ ดังลอดหูฟังออกมาแผ่วๆ

         "The greatest love of all
         Is easy to achieve
         Learning to love yourself
         It is the greatest love of all"

         เพราะความรักที่แสนยิ่งใหญ่

         ได้บังเกิดขึ้นแล้วกับชีวิตฉัน

         รักอันมหัศจรรย์นั้นแสนง่ายที่จะได้มา

         "แค่เรียนรู้ที่จะรักตัวเองก่อน"

         นี่แหละความรักที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกสิ่ง


         .................


         จิวหันไปมองต้นข้าว


         "จิวรักต้นข้าวนะ"


         "ต้นข้าวก็รักจิวนะ"


--------------------------------


         ดวงอาทิตย์ของเช้าวันใหม่กำลังขึ้น เด็กหนุ่มสองคน กำลังจะก้าวผ่านเข้าช่วงเวลาใหม่ของชีวิต

         วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรก็สุดรู้ หากแต่สิ่งที่เคยสัญญากันไว้แต่หนหลัง คงจะเหมือนรากเสาเข็มของอาคารใหญ่ ที่ตอกหยั่งลึกลงไปในจิตใจของทั้งสองอย่างมั่นคง และพร้อมจะแบกรับสิ่งใหม่ๆ ที่กำลังจะเข้ามา...

         ...ในชีวิตที่ไม่มีวันหยุดนิ่ง และแปรเปลี่ยนไปตามการขึ้นลงของดวงตะวัน



--- จบภาคมัธยม ---



--------------------------------


https://www.youtube.com/watch?v=IYzlVDlE72w
*Whitney Houston - Greatest Love Of All


หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๖ : เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย* || หน้า ๗ || ๒๖/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 26-01-2017 06:44:10
จิว ต้นข้าว  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
รอสองหนุ่ม ภาคมหาวิทยาลัย
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๖ : เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย* || หน้า ๗ || ๒๖/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 26-01-2017 09:03:29
 :เฮ้อ:

เราควรจะมีความสุขกับตอนนี้นะ เฮ้อออ
มัวแต่กังวลเรื่องอนาคตที่จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ก็นะ
เพื่ออนาคต
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๖ : เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย* || หน้า ๗ || ๒๖/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 26-01-2017 13:00:56
เป็นคนเข้าใจยากค่ะ ขอคำอธิบายโดยละเอียดของ "เท่าที่เด็กหนุ่มพึ่งหัดเรียนรู้สองคนจะพึงปฏิบัติให้กันได้"  :o8:

เชื่อว่าครอบครัวเป็นปัจจัยสำคัญในการหล่อหลอมเด็นคนหนึ่งให้เติบโต
ครอบครัวที่เข้าใจ และเคารพการตัดสินใจของสมาชิก จะทำให้เด็กมีทักษะและกล้าตัดสินใจ

เราจะโตไปด้วยกันนะ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๖ : เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย* || หน้า ๗ || ๒๖/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 26-01-2017 14:12:27
จุฬาคว้า ปักเป้า เร่งเร้าหนี
เจ้าตัวดี แกล้งถอย หวังสอยหาง
คู่ปรับเผลอ เจอเด้า เอากลางทาง
ทั้งสองร่าง ประสานสอด ตลอดตัว

อิอิ
สนั่นครั่นครื้น..ดีแท้

ดีต่อใจ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๖ : เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย* || หน้า ๗ || ๒๖/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-01-2017 16:47:58
ละมุนลไม
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๖ : เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย* || หน้า ๗ || ๒๖/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 26-01-2017 22:15:56
ห๊ะ!! จบภาคมัธยม ใจหายอ่ะ ชอบความรักแบบบริสุทธ์ใจของจิว ข้าวจริงๆ ผู้แต่งบรรยายดีมากๆ ชอบการบรรยายความรักของทั้งคู่จริงๆ มันโดนใจดี และชอบที่จิว ต้นข้าว มีอะไรกันจนกระต๊อบ สั่นโยกนี่ล่ะคับ นึกภาพตาม ขำดี 555
. ภาคต่อจะรอนานมั้ยคับ อยากอ่านต่อ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๖ : เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย* || หน้า ๗ || ๒๖/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: larynx ที่ 26-01-2017 22:58:57
ดีที่กระต๊อบไม่พังนะ รอภาคต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๖ : เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย* || หน้า ๗ || ๒๖/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: anandawan ที่ 27-01-2017 11:47:51
เป็น nc ที่ดีจังเลยค่ะ เอ๊ะ หรือไม่ใช่ nc แต่เป็นการบรรยายบรรยากาศตอนกลางคืนของเกาะใช่มั้ยคะ?

จบภาคมัธยมแล้ว จะมีมหาลัย วัยทำงาน จนแก่เฒ่าใช่มั้ยเอ่ย เราติดตามนะ
เติบโตเพื่อเรียนรู้โลกภายนอกกันนะเด็กๆ อุปสรรคทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นต่อไป ก็เพื่อพิสูจน์ตัวเราเอง ยังไงก็มีครอบครัวเราที่เข้าใจเราที่สุดนั่นดีแล้ว
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๖ : เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย* || หน้า ๗ || ๒๖/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 29-01-2017 14:05:55
กำลังสอบเข้ามหาลัยกันอยู่เหรอ
หายไปหลายวันนะ

จิว+ต้นข้าว
แต่งตัวไปมหาลัยได้แล้ว

รออยู่นะ
อิอิ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๖ : เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย* || หน้า ๗ || ๒๖/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 29-01-2017 22:26:09
จิว ต้นข้าว  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
รอสองหนุ่ม ภาคมหาวิทยาลัย
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

= ขอบคุณมากนะฮะ คนอ่านน่ารักที่สุด


:เฮ้อ:

เราควรจะมีความสุขกับตอนนี้นะ เฮ้อออ
มัวแต่กังวลเรื่องอนาคตที่จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ก็นะ
เพื่ออนาคต

= สงสัยจะสำลักความสุขจนกระต๊อบแทบพังไป เลยมานั่งเพ้อกันเล็กน้อยมั้งฮะ ฮ่าๆๆๆ //ขอบคุณมากนะฮะ


เป็นคนเข้าใจยากค่ะ ขอคำอธิบายโดยละเอียดของ "เท่าที่เด็กหนุ่มพึ่งหัดเรียนรู้สองคนจะพึงปฏิบัติให้กันได้"  :o8:

เชื่อว่าครอบครัวเป็นปัจจัยสำคัญในการหล่อหลอมเด็นคนหนึ่งให้เติบโต
ครอบครัวที่เข้าใจ และเคารพการตัดสินใจของสมาชิก จะทำให้เด็กมีทักษะและกล้าตัดสินใจ

เราจะโตไปด้วยกันนะ

= ตรงท่อนที่ว่า ขอคำอธิบายโดยละเอียดของ "เท่าที่เด็กหนุ่มพึ่งหัดเรียนรู้สองคนจะพึงปฏิบัติให้กันได้" นี่ ผู้เขียนพยายามเพ่งมองแล้วจริงๆ แต่ห้องที่เสม็ดมืดมากฮะ มองไม่เห็นเลย ได้ยินแต่เสียง อิอิอิอิอิ //ขอบคุณมากน๊า


จุฬาคว้า ปักเป้า เร่งเร้าหนี
เจ้าตัวดี แกล้งถอย หวังสอยหาง
คู่ปรับเผลอ เจอเด้า เอากลางทาง
ทั้งสองร่าง ประสานสอด ตลอดตัว

อิอิ
สนั่นครั่นครื้น..ดีแท้

ดีต่อใจ

= เค้าทำอะไรกันหนอ ถึงครั่นครื้นได้ปานนั้นเนอะ 55555+


ละมุนลไม

= ขอบคุณมากๆ นะฮะ   :mew1:


ห๊ะ!! จบภาคมัธยม ใจหายอ่ะ ชอบความรักแบบบริสุทธ์ใจของจิว ข้าวจริงๆ ผู้แต่งบรรยายดีมากๆ ชอบการบรรยายความรักของทั้งคู่จริงๆ มันโดนใจดี และชอบที่จิว ต้นข้าว มีอะไรกันจนกระต๊อบ สั่นโยกนี่ล่ะคับ นึกภาพตาม ขำดี 555
. ภาคต่อจะรอนานมั้ยคับ อยากอ่านต่อ

= ไม่นานฮะ พรุ่งนี้เช้าลงแล้ว //ขอบคุณมากๆ นะฮะที่ติดตามกันจ้า


ดีที่กระต๊อบไม่พังนะ รอภาคต่อไปค่ะ

= เสียวจะพังอยู่เหมือนกัน ฟังจากเสียงเหมือนเลือดกายวัยหนุ่มจะรุนแรง 555+  //ขอบคุณมากนะฮะ


เป็น nc ที่ดีจังเลยค่ะ เอ๊ะ หรือไม่ใช่ nc แต่เป็นการบรรยายบรรยากาศตอนกลางคืนของเกาะใช่มั้ยคะ?

จบภาคมัธยมแล้ว จะมีมหาลัย วัยทำงาน จนแก่เฒ่าใช่มั้ยเอ่ย เราติดตามนะ
เติบโตเพื่อเรียนรู้โลกภายนอกกันนะเด็กๆ อุปสรรคทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นต่อไป ก็เพื่อพิสูจน์ตัวเราเอง ยังไงก็มีครอบครัวเราที่เข้าใจเราที่สุดนั่นดีแล้ว

= อ่านไปอ่านมา ชักไม่แน่ใจว่าเป็นเสียงธรรมชาติของเกาะจริงๆ หรือเปล่านะ 555+ เสียงมันพิกลอยู่ อิอิอิ  //ขอบคุณที่ติดตามนะฮะ


กำลังสอบเข้ามหาลัยกันอยู่เหรอ
หายไปหลายวันนะ

จิว+ต้นข้าว
แต่งตัวไปมหาลัยได้แล้ว

รออยู่นะ
อิอิ

= แอบมาถามถึงกันด้วย 555+ จิวกับต้นข้าวสบายดีฮะ แต่ที่ไม่ปกติคือคนเขียนดันติดเกมส์ออนไลน์ อิอิ   :katai4:  เลยเรื่อยเปื่อยไปหน่อย แถมดันไปหยิบหนังสือสอบสวน อากาธา มาอ่าน เลยติดงอมแงมเข้าไปอีก

แต่เรียบร้อยฮะ ตอนแรกของภาคมหาวิทยาลัย พร้อมลงพรุ่งนี้เช้าฮะ ขออ่านตรวจสอบคำผิดคืนนี้ก่อนนะฮะ  //ขอบคุณมากๆ น๊าที่คิดถึงกัน


 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๖ : เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย* || หน้า ๗ || ๒๖/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 29-01-2017 22:38:58
 :a2:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๖ : เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย* || หน้า ๗ || ๒๖/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 29-01-2017 23:58:12
 :L2:หุยยยดีใจ
จะมาถามอยู่เชียว ว่าหายไปหลายวัน

เจอกันตอนเช้าเลยยยย
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๖ : เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย* || หน้า ๗ || ๒๖/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 30-01-2017 06:11:41

MBK❤lover


(http://www.bloggang.com/data/k/kampong/picture/1485729585.jpg)


--- ภาคมหาวิทยาลัย ---


ตอนที่ ๒๒ : นางงามจักรวาล


๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๑


         "ต้นข้าว" เสียงแม่ตะโกนเรียกจากข้างล่าง "รับโทรศัพท์ จิวโทรมา"

         "ครับแม่" ต้นข้าวเปิดประตูห้องนอนตะโกนตอบลงไป

         ต้นข้าวตรวจดูความเรียบร้อยหน้ากระจกเงาเป็นครั้งสุดท้ายหลังจากแต่งชุดนักศึกษาเสร็จ คว้ากระเป๋าสะพายหนังใบใหญ่ได้ ก็รีบก้าวยาวๆ ลงมาข้างล่าง

         ต้นข้าวย้ายบ้านจากฝั่งธนบุรี เชิงสะพานพุทธมาอยู่ที่บ้านบนถนนแจ้งวัฒนะนี้ได้เกือบปีแล้ว บ้านเดิมที่เป็นตึกแถวประยุรวงศ์นั้นขายต่อให้ญาติไป เมื่อพ่อของต้นข้าวมาซื้อบ้านเดี่ยวขนาด ๘๔ ตารางวาที่นี่

         "ฮัลโหล" ต้นข้าวกรอกเสียงสดใสลงไป

         "ฮัลโหล" ปลายสายเสียงใสไม่แพ้กัน "รู้ยัง เช้านี้เรามีนางงามจักรวาลใหม่เป็นคนไทยคนที่สองแล้วนะ"

         "เดี๋ยวๆ อะไร นางงามจักรวาลไหนหือ" ต้นข้าวยังเรียบเรียงไม่ทัน จิวมามุกไหนอีกนี่

         "ซา หวัด ดี ค่า มาย เนม อีส โป๋ย มิส ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก ฟอร์ม แบ๊งค๊อก ท๊ายแล้นนนนด์..."

         จิวทำเสียงสูง ลากเสียงยาวเลียนแบบเสียงแนะนำตัวของนางงามจักรวาล ต้นข้าวนึกในใจ --ทำไมวันนี้จิวแรดจัง--

         "หา!!! จริงเหรอ ล้อเล่นน่า" ต้นข้าวยังนึกว่าจิวพูดเล่น

         "จะพูดเล่นอะไรล่ะ วิทยุพึ่งประกาศข่าวด่วนเมื่อกี้นี้ ไม่ได้ฟังเหรอ เขาตื่นเต้นกันทั้งเมือง"

         "โหย ดีจังเลย อยากดูเทปแล้วอะ อยากเห็นพี่ปุ๋ย เขาจะเอาเทปมาฉายไหม"

         "ฉายสิ วิทยุบอกว่าสองทุ่มคืนนี้จะเอาเทปมาออก"

         "ดีๆ คืนนี้จะได้รีบกลับมาดู อยากดูรูปแบบเวที สวยไหมไม่รู้ปีนี้ มานั่งดูด้วยกันไหมจิว" ต้นข้าวสนใจเรื่องเวทีมากเป็นพิเศษ สมกับเป็นเด็กนิเทศฯ

         "อย่าพึ่งพูดเลยเรื่องคืนนี้ เอาตอนนี้ก่อน จะรีบออกไปมหาลัยหรือยัง แวะมารอรับที่สถานีรถไฟหลักสี่ด้วยนะ ไปด้วย"

         "เอาสิ นี่พึ่งแต่งตัวเสร็จ กำลังจะกินข้าวเช้าก่อน คงพอดีกันนะ"

         "พอดีแหล่ะ นี่หยอดตู้โทรจากหัวลำโพง เดี๋ยวนั่งรถไฟไปลงหลักสี่ ก็ยี่สิบนาทีได้มั้ง เท่านี้ก่อนนะ เดี๋ยวเจอกัน สายจะตัดแล้ว" จิวเร่งพูดก่อนเหรียญบาทที่หยอดจะหมด


--------------------------------


         จิวกับต้นข้าว ตอนนี้เรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสองกันแล้ว แต่เรียนอยู่คนละมหาวิทยาลัยกัน ทั้งคู่เอนทรานซ์เพื่อเข้ามหาวิทยาลัยของรัฐไม่ติดทั้งคู่

         ต้นข้าว เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง คณะนิเทศศาสตร์ ซึ่งปีหนึ่งและสอง ต้องไปเรียนไกลถึงรังสิต ออกนอกเมืองไปไกลมาก ไปเรียนแต่ละครั้งเหมือนออกต่างจังหวัด นี่อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่พ่อของต้นข้าวมาซื้อบ้านอยู่แจ้งวัฒนะด้วย เพราะแค่บ้านต้นข้าวนี่ ก็ออกนอกเมืองมาแบบกันดารเต็มทีแล้ว

         ส่วนจิว เลือกลงเรียนบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยเปิดของรัฐ เพราะไม่ต้องไปเข้าเรียนเช็คชื่อ จะได้มีเวลาช่วยป๊าของจิวทำกิจการที่บ้านด้วย แต่เอาเข้าจริง เจ้าตัวก็แทบมาผูกติดกับต้นข้าวแทบทุกวัน เพราะถึงไม่ได้เข้าห้องเรียนที่มหา'ลัยตัวเอง แต่ก็มาหาต้นข้าวแทบจะวันเว้นวัน และถือโอกาสไปนั่งเนียนเข้าเรียนไปกับต้นข้าวด้วยในวิชาที่เรียนรวมทั้งคณะ ส่วนวิชาที่แยกเฉพาะห้องย่อย จำนวนคนน้อย จิวเข้าไม่ได้ก็จะนั่งอ่านหนังสือรอที่โรงอาหารบ้าง ซุ้มระหว่างตึกบ้าง จนทั้งจิวและต้นข้าวก็แทบจะมีเพื่อนกลุ่มเดียวกัน

         จิวยังอยู่ที่บ้านเดิมแถวสี่แยกบ้านแขก เวลามาหาต้นข้าว ก็จะนั่งรถไฟดีเซลรางจากหัวลำโพงมาลงที่สถานีรถไฟหลักสี่ ซึ่งเป็นหัวถนนแจ้งวัฒนะ แล้วต้นข้าวก็จะไปรับที่สถานี ถ้าวันไหนต้นข้าวขับรถไป ก็แวะจอดรับไปพร้อมกันเลย แต่ก็ไม่ทุกครั้ง ขึ้นอยู่กับว่ารถที่บ้านต้นข้าววันนั้นจะว่าง ไม่มีคนเอาไปใช้หรือเปล่า

         .................

         อย่างเช่นวันนี้รถที่บ้านไม่มีใครใช้ ต้นข้าวจึงขับ Toyota Corolla DX รุ่นปี 1985 สีเหลืองอ๋อย มาจอดรอจิวอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามสถานีรถไฟหลักสี่ และหมุนคลื่นวิทยุในรถฟังรอ ซึ่งผู้ประกาศแต่ละสถานีกำลังคุยเรื่องนางงามจักรวาลคนที่สองของประเทศไทย ที่พึ่งได้ตำแหน่งในเช้าวันนี้ สลับกับเรื่องสถาบันศิลปะนครชิคาโก สหรัฐอเมริกา จะยินยอมให้นำทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์กลับคืนสู่ประเทศไทย เพื่อไปติดคืนที่ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งวิเคราะห์กันอย่างเมามัน

         "ก๊อกๆๆ" เสียงเคาะกระจกจากด้านนอก แล้วประตูรถด้านข้างคนขับก็ถูกเปิดออก คนเปิดก็โผล่หน้ามายิ้มตาหยีใส่ เป็นรอยยิ้มเดิมที่ต้นข้าวไม่เคยเบื่อที่จะมองนานๆ ได้เลยสักครั้ง

         เกือบห้าปีนับตั้งแต่วันที่รู้จักกัน วันนี้จิว ซึ่งเป็นวัยรุ่นหนุ่มอายุ ๑๙ ปี ดูเหมือนตัวจะสูงเพรียวขึ้น สูงพอๆ กับต้นข้าว คือ ๑๘๓ เซนต์ฯ ขายาว ผิวขาว หน้ายังตี๋อยู่ คิ้วเข้ม แต่ที่ดูเปลี่ยนไปคือเหมือนคอจะยาวขึ้น ไม่รู้ทำไม คอคนเรามันยาวขึ้นได้ด้วยหรือนี่ ทำให้ดูแล้วรับกันกับช่วงไหล่ที่ลาดสวย แต่แข็งแกร่ง ทำให้ใบหน้าที่เล็กนั้นดูโดดเด่นชัดขึ้นมากๆ แถมเจ้าตัวในชุดนักศึกษาไม่ติดกระดุมบนสองเม็ด ที่คอใส่เชือกหนังสีดำสั้นติดคอห้อยจี้รูปหัวกระโหลกเงินอันเล็กๆ รับกันกับทรงผมที่ข้างหน้าค่อนข้างยาว พริ้วตรงแสกกลางลงมาปิดหน้าบางส่วน ทำให้จิวดูเป็นหนุ่มวัยรุ่นที่มองแล้วเท่มาก

         "มารอนานแล้วหรือ" จิวเข้ามานั่งข้างในรถ โยนกระเป๋าเป้สีเขียวขี้ม้าที่สะพายมาไปที่เบาะหลัง

         "ไม่นาน พึ่งมาจอดเนี่ย นั่งฟังข่าวอยู่" ต้นข้าวตอบยิ้มๆ ตาจ้องหน้าจิวหวานเชื่อม

         "มีแต่ข่าวพี่ปุ๋ยภรณ์ทิพย์ใช่ไหมล่ะ เห็นไหม บอกแล้วก็ไม่เชื่อ" จิวทำเสียงมั่นใจ

         จริงๆ จิวและต้นข้าว เกิดปีเดียวกับปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ นางงามจักรวาลคนที่สองของไทย ดังนั้นจึงอายุเท่ากัน แต่คนไทยเรียกพี่ปุ๋ยๆ ทั้งเมือง ต้นข้าวกับจิวเลยต้องเรียกพี่ปุ๋ยบ้าง

         "ก็เชื่อแล้วไงเนี่ย เพียงแต่ตอนแรกตั้งตัวไม่ทันไง ใครจะไปคาดคิดเนอะ" ต้นข้าวพูดแล้วเริ่มเข้าเกียร์ออกรถ "แล้ววันนี้ว่างเหรอ ถึงมาได้นี่"

         "อื่อ ว่าง แต่คิดถึงมากกว่า" จิวหยอด

         ต้นข้าวหันมาหัวเราะ "อะไรจะมาคิดถึง พึ่งเจอกันวันอาทิตย์ที่แล้วนะ นี่พึ่งวันอังคารเอง"

         "เหอะน่า คิดถึงก็คิดถึงสิ ขับไปดีๆ มองถนนสิ จะหันมาทำไม" จิวแกล้งกลบเกลื่อน

         ................

         ต้นข้าวใช้เวลาบนถนนวิภาวดีประมาณ ๕๐ นาที ก็มาถึงมหาวิทยาลัย โชคดีที่ไม่ใช่เวลาเร่งด่วน เลยหลุดจากรังสิตมาได้เร็ว

         วันนี้ต้นข้าวมีเรียนแค่สองวิชา แต่เป็นคาบใหญ่ทั้งสองวิชา เรียนรวมทั้งคณะ จิวเลยเข้าไปนั่งเรียนกับต้นข้าวได้ตลอดวัน และวันนี้ทั้งคู่ก็แปลกใจ ที่เอก และสมพล ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่มัธยม และเรียนที่มหาวิทยาลัยนี้กับต้นข้าวด้วย ไม่ได้มาเรียนในวันนี้ทั้งคู่

         หลังจากจบคาบสุดท้าย ซึ่งกินเวลานานเกือบสองชั่วโมง ในวิชาการถ่ายภาพเพื่อการโฆษณาเบื้องต้น จิวเอาแต่นั่งขำในคำพูดของอาจารย์ผู้สอน ซึ่งเป็นปรมาจารย์ทางการถ่ายภาพของเมืองไทย ที่เล่นมุกตลกเลียนแบบคำพูดของตากล้องคนจีนตามร้านรับถ่ายรูปติดบัตร ที่ต้องใช้กล้องตัวใหญ่แบบมีผ้าดำคลุมหัวช่างภาพ มีเลนส์ดึงยืดเข้ายืดออกได้ แล้วตะโกนบอกคนที่มานั่งถ่ายรูปบนเก้าอี้หวายหน้าฉากว่า

         "นิ่ง โน่ย... ตา โมง โก้ง"


--------------------------------


         พอไม่มีเพื่อนมาที่มหาวิทยาลัยในวันนี้ ทั้งคู่เลยกลับมาบ้านต้นข้าวได้เร็วสมกับที่ตั้งใจไว้ เพราะจะมารอดูเทปการประกวด "Miss Universe 1988" ตอนสองทุ่ม  หลังจากกินอาหารเย็นพร้อมกับครอบครัวที่บ้านต้นข้าวแล้ว ทั้งสองคนก็ขึ้นมานอนเปิดทีวีรอดูบนห้องนอน

         ปกติทั้งคู่ ไม่ใช่คนที่จะมาติดตามดูการประกวดนางงามอะไรนัก แต่วันนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติ เพราะผ่านมา ๒๔ ปีแล้ว สำหรับนางงามจักรวาลคนไทยคนแรกคือคุณอาภัสรา แล้วหลังจากนั้นเรื่องของ Miss Universe ก็เงียบหายไปจากเมืองไทย จนมาถึงคืนนี้ ที่คนไทยตื่นเต้นและรอคอยกันทุกคน

         จิวนอนอย่างสบายอารมณ์ที่กลางเตียง มือหนึ่งเอามาหนุนหัว ส่วนอีกมือหนึ่งพาดทอดยาวไปให้ต้นข้าวนอนหนุนหัวอยู่ข้างๆ ใกล้ริมขอบเตียง ซึ่งทำท่าจะไหลตกเตียงอยู่แล้ว ถึงต้นข้าวจะตีหน้ายักษ์ใส่ หรือเอาศอกดัน หรือจะเขี่ยทุกทางแล้ว พ่อคนอารมณ์ดีที่ครอบครองเตียง ก็ไม่มีทีท่าจะกระเถิบให้ ต้นข้าวเลยต้องเอามือไปกอดจิวแน่นๆ กันตก --หรือนี่จะเป็นแผนมัน-- ต้นข้าวคิดขำๆ

         เวทีนางงามจักรวาลเปิดแล้ว ผู้เข้าประกวดในชุดประจำชาติออกมาแนะนำตัวทีละคน จิวและต้นข้าวตื่นเต้นที่จะรอดูตามลำดับตัวอักษรชื่อประเทศ จนมาถึงหมวด T ไทยแลนด์ พี่ปุ๋ย เดินออกมาในชุดไทยประยุกต์สีม่วงอมน้ำเงินจากห้องเสื้อระพี จิวชักมือออกจากใต้หัวต้นข้าวอย่างเร็ว แล้วเอามือมาผายไปข้างๆ เลียนแบบนางงาม ต้นข้าวหัวตกไปบนที่นอน ขัดใจขึ้นมาก็ทุบกำปั้นลงไปที่หน้าอกจิวดัง ปั่ก!

         "โอ้ย ทุบทำไม" จิวแกล้งโวยวาย

         ต้นข้าวไม่ตอบอะไร แต่ทำปากขมุบขมิบ จิวหันมามองต้นข้าว เลยพลิกตัวต้นข้าวขึ้นมาทับบนตัวจิว

         "ทำไม แค่นี้โกรธเหรอ" จิวกดหน้าต้นข้าวลงมาใกล้ๆ

         "อื่อ อย่า จะดูประกวด" ต้นข้าวยึกยัก

         "อย่าพึ่งดูเลย เรามาประกวดชุดประจำชาติกันเองดีกว่า" จิวยักคิ้วข้างหนึ่งแบบเจ้าเล่ห์

         "อะไร ชุดประจำชาติใคร" ต้นข้าว งง

         "ประจำชาติของเรานี่แหล่ะ ที่เราใส่บ่อยๆ ไง หุหุหุ" มือจิวเริ่มเลี้อยเข้าไปใต้เสื้อยืดต้นข้าว

         "ชุดที่เราใส่บ่อยๆ" ต้นข้าวทวนคำ เริ่มอมยิ้มบ้างแล้ว "ที่เราใส่ หรือ เราถอด เอาดีๆ"

         ต้นข้าวพูดไม่ทันจบ เสื้อต้นข้าวก็ถูกถอดออกไปอย่างเร็ว  จิวพลิกตัวต้นข้าวกลับลงด้านล่าง จิวขึ้นคร่อม แล้วก้มลงไปดูดเม้มอย่างรุนแรงที่อกต้นข้าว ต้นข้าวเอามือดันตัวจิวออก

         "อย่าๆ จะดู เฮ้ย! อุ๊ปส์!"

         จิวประกบปากลงบนปากบางสีเนื้อที่กำลังร้องห้ามอยู่นั้น บดขยี้อย่างเบาๆ แต่แน่นลึกล้ำ มือต้นข้าวเริ่มอ่อนแรงลง แล้วเปลี่ยนมาเป็นเริ่มถอดเสื้อของจิวให้บ้าง เมื่อร่างทั้งคู่เปลือยเปล่า ไฟบนห้องสว่างจ้า เห็นเป็นร่างของเด็กหนุ่มที่สมบูรณ์สองร่างกระจ่างอยู่บนเตียง

         ภาพในทีวีกำลังเป็นการเต้นรวมของผู้เข้าประกวดชุดแฟนซีประจำชาติในเพลง Dancing on the Ceiling ของ Lionel Ritchie

         นอกทีวี ก็กำลังมีการแสดงถ่ายทอดสดประกอบเพลงเดียวกันนี้อยู่เหมือนกัน โดยเสื้อผ้าไม่เกี่ยว

         ถ้านางงามระดับจักรวาลบนเวทีสลับกันเต้นได้แบบมือโปรฯ ขนาดไหน  สองร่างที่นอนสลับหัวสลับหางบนเตียงก็โปรฯ ไม่แพ้กัน จิวกับต้นข้าวส่งต่อความรักความสุขแบบนี้กันมาเกือบปีแล้ว ไม่มีการเขินอาย มันยิ่งทวีความเร่าร้อนขึ้นตามวันเวลาที่ผ่าน โดยใช้เวลากับมันได้นานๆ และบ่อยๆ

         ....................

         บนเวที ผู้เข้าประกวดเต้นจบไปนานแล้ว และกำลังถึงช่วงสัมภาษณ์ แต่ผู้แสดงนอกทีวีพึ่งเสร็จสิ้นกิจกรรม นอนหอบหัวเราะคิกคักกอดกันดูประกวดต่อ

         "ต้นข้าว มึงว่าพี่ปุ๋ยจะตอบดีมะ" จิวลูบหัวต้นข้าวที่นอนหอบอยู่

         "อ้าว ก็ต้องตอบดีสิ ไม่งั้นจะได้เป็นนางงามจักรวาลปีนี้ได้ยังไงล่ะ อ้าวๆ ออกมาแล้ว ฟังสิ" ตาต้นข้าวจ้องเป๋งไปที่เวที ทั้งตื่นเต้นกับพี่ปุ๋ย และใจยังเต้นหลังจากเสร็จภารกิจเมื่อกี้

         การสัมภาษณ์สามคำถามของพี่ปุ๋ยผ่านไป ต้นข้าวกับจิวถึงกับตบมือให้หน้าจอ

         "ตอบได้สุดยอดเลยว่ะ --โป๋ยจะเปลี่ยนเสียงร้องไห้ของเด็ก ให้เป็นเสียงหัวเราะ-- สมควรแล้วเนอะ" ต้นข้าวครางออกมา

         "พี่โป๋ย รักเด็ก พี่จิวก็รักเด็กเหมือนกันนะ" จิวอมยิ้มมองหน้าต้นข้าว

         ต้นข้าวมองตาขวางกลับไป "เด็กอะไรอีกล่ะ เด็กที่ไหน บอกมาดีๆ"

         "เด็กคนนี้ไง เด็กขี้งอน" จิวเอามือขยี้หัวต้นข้าว ที่ยุ่งเหยิงอยู่ก่อนแล้วหลังจากเสร็จกิจกรรมประกอบเพลง "กลับหัวกลับหางบนเพดาน" (Dancing on the Ceiling) ในชุดเปลือยประจำชาติแบบส่วนตัวของทั้งสองเมื่อสักครู่

         "จริงนะ" ต้นข้าวอ้อนใส่จิว กอดซบลงไปที่อกจิว

         "พี่ปุ๋ยมีมงกุฎนางงามจักรวาล พี่จิวก็มีมงกุฎของตัวเองเหมือนกัน ต้นข้าวคือมงกุฎของจิว" จิวกระซิบต้นข้าว

         บนเวที เพลงในรอบผู้เข้าประกวดห้าคนสุดท้ายเปิดขึ้นมา มันเป็นเพลง "You Are My Star" ของวง Little Sisters  ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ เดินนำออกมายืนเรียงห้าคนสุดท้ายอยู่ขวาสุดบนเวที รอฟังประกาศผล

         ต้นข้าวจูบเบาๆ ลงไปที่อกจิว "แล้วไม่ได้เป็นแค่ปีเดียวในตำแหน่งด้วย ต้องเป็นมงกุฎของจิวตลอดไปนะ..."

         You are my star
         You light my way
         You brighten all my nights
         and make my day

         คุณคือแสงดาวส่องทางของฉัน
         คุณคือคนเดียวที่เป็นหนึ่งในจักรวาลของฉัน...



--------------------------------


(http://www.bloggang.com/data/k/kampong/picture/1485731495.jpg)


หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๗ : นางงามจักรวาล || หน้า ๘ || ๓๐/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 30-01-2017 06:46:21
ทีวี ก็ถ่ายทอดไป  บนเตียง ก็กำลังมีการแสดงสด
ประกอบเพลงเดียวกันนี้เหมือนกัน โดยเสื้อผ้าไม่เกี่ยว
สองร่างที่นอนสลับหัวสลับหางบนเตียงก็โปรฯ
อะจ๊ากกกกก ชอบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ต้นข้าวต้องเป็นมงกุฎของจิวตลอดไป
 "You Are My Star" ต้นข้าวเป็นดวงดาวของจิว
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๗ : นางงามจักรวาล || หน้า ๘ || ๓๐/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: anandawan ที่ 30-01-2017 08:21:41
สลับหัวสลับหาง >> ขอภาพประกอบค่าาา  :o8:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๗ : นางงามจักรวาล || หน้า ๘ || ๓๐/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 30-01-2017 10:29:02
 :mc4:มันคือมิติใหม่ของ NC มีเพลงประกอบด้วย  :o8:
เป็นตอนที่เข้ากับสถานการณ์มากๆ

หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๗ : นางงามจักรวาล || หน้า ๘ || ๓๐/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 30-01-2017 11:09:38
    จิวกับต้นข้าวใส่ชุดวันเกิดนอนดูเทปการประกวด 555  เสร็จกันกี่ยกอะ
  รออ่านต่อคับ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๗ : นางงามจักรวาล || หน้า ๘ || ๓๐/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 30-01-2017 21:42:47
ถามจริง
เรื่องนี้ไม่มีดราม่าใช่ไหม

คู่รักเรื่องนี้หวานกันได้ทุกตอน
แทรกหื่นบ้างประปราย

จิว+ต้นข้าว
มั่นคงกันดีนะ

อิจฉา(อีกแล้ว)
อิอิ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๗ : นางงามจักรวาล || หน้า ๘ || ๓๐/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 01-02-2017 08:02:59
ทีวี ก็ถ่ายทอดไป  บนเตียง ก็กำลังมีการแสดงสด
ประกอบเพลงเดียวกันนี้เหมือนกัน โดยเสื้อผ้าไม่เกี่ยว
สองร่างที่นอนสลับหัวสลับหางบนเตียงก็โปรฯ
อะจ๊ากกกกก ชอบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ต้นข้าวต้องเป็นมงกุฎของจิวตลอดไป
 "You Are My Star" ต้นข้าวเป็นดวงดาวของจิว
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

= ปล้ำกันไม่ดูเวล่ำเวลาเลยเนอะ แทนที่จะตั้งใจดูนางงาม 555+


สลับหัวสลับหาง >> ขอภาพประกอบค่าาา  :o8:

= กลัวจะโดนแจ้งลบกระทู้สิฮะ อิอิอิอิ


:mc4: มันคือมิติใหม่ของ NC มีเพลงประกอบด้วย  :o8:
เป็นตอนที่เข้ากับสถานการณ์มากๆ

= นึกว่าจะมีนางงามจักรวาลของไทยเป็นคนที่สามซะแล้วเมื่อวาน อิอิอิ


    จิวกับต้นข้าวใส่ชุดวันเกิดนอนดูเทปการประกวด 555  เสร็จกันกี่ยกอะ
  รออ่านต่อคับ

= สงสัยจะได้ยกเดียว เพราะต้องรีบดูนางงามประกวดต่อ 555+


ถามจริง
เรื่องนี้ไม่มีดราม่าใช่ไหม

คู่รักเรื่องนี้หวานกันได้ทุกตอน
แทรกหื่นบ้างประปราย

จิว+ต้นข้าว
มั่นคงกันดีนะ

อิจฉา(อีกแล้ว)
อิอิ

= โห ไม่มีชีวิตใครปูด้วยกลีบกุหลาบตลอดไปเนอะฮะ ดราม่ามาแน่ อิอิอิอิ...


..................


 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๗ : นางงามจักรวาล || หน้า ๘ || ๓๐/๐๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 01-02-2017 08:04:36

MBK❤lover


(http://www.bloggang.com/data/k/kampong/picture/1485729585.jpg)


ตอนที่ ๒๓ : แรงบันดาลใจจากโรงลิเก


         ปราสาทจำลองเล็กๆ อันนั้นเป็นทรงปราสาทนอยส์ชวานสไตน์ หรือที่รู้จักกันไปทั่วโลกว่าเป็นปราสาทเจ้าหญิงดิสนีย์ ทำมาจากเรซินแข็ง ลงสีเหมือนจริง ทั้งลวดลายสีเทาของหินผนังกำแพง สีแดงแก่ของหลังคายอดปราสาท หรือแม้กระทั่งแนวต้นไม้เขียวสดที่เลื้อยลามขึ้นไปตามผนัง ปราสาทเล็กๆ นี้อยู่ในครอบแก้วพลาสติกใส มีน้ำบรรจุอยู่เต็ม เมื่อเขย่า จะมีเกล็ดหิมะเทียมลอยฟุ้งขึ้นมาเหนือยอดปราสาท เมื่อวางมันลง หิมะจะค่อยๆ โปรยปรายลงมาสู่พื้น

         พ่อของต้นข้าวซื้อเป็นของที่ระลึกมาฝากจากสิงคโปร์หลายปีแล้วตั้งแต่สมัยอยู่บ้านเก่า ต้นข้าวเลือกของเล่นชิ้นนี้มาเก็บไว้กับตัวเอง และตอนนี้ มันตั้งสง่าอยู่บนหัวเตียงที่ต้นข้าวกำลังนั่งขัดตะหมาดเหม่อมองมันอยู่

         ในจินตนาการของต้นข้าว กลับไม่ได้มองอย่างที่คนอื่นคิด ซึ่งน่าจะคิดไปถึงเจ้าชายและเจ้าหญิงที่ครองรักกันในปราสาทนี้ แต่ความเป็นจริง ต้นข้าวกลับคิดไปถึงว่า ปราสาทนี้จะต้องตั้งอยู่ทางมุมขวา มีต้นไม้เป็นแผงหน้า มีแสงลอดลงมาจากกลุ่มใบไม้ด้านบน ส่วนแผงหลังเป็นกลุ่มภูเขาสูงต่ำ และเหนือฟ้าไกลออกไป มีกลุ่มนกบินวนไปมา

         และพอเจ้าชายพาเจ้าหญิงขี่ม้าออกไป ต้นไม้แผงข้างหน้า ที่วาดบนแผ่นไม้อัดก็ถูกเลื่อนเก็บออก ภาพภูเขาข้างหลังที่เป็นผ้าใบก็ถูกชักรอกขึ้นไป และปราสาทเจ้าหญิงที่มีล้อเลื่อนก็ถูกหมุนพลิกกลับ เปลี่ยนมาเป็นฉากภายในท้องพระโรงแทน

         ต้นข้าวกำลังจิตนาการถึงปราสาทของเล่นนี้ในฐานะของการเป็น "ฉาก"

         ต้นข้าวพึ่งมารู้ตัวถึงมนต์เสน่ห์ของการจิตนาการไปถึง "ฉาก" ต่างๆ ที่ใดก็ได้ในโลกที่อยากให้เป็น เมื่อตอนใกล้จะเลือกเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยนี้เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อย้อนคิดไปถึงเหตุการณ์สุดท้าย ที่ทำให้ต้นข้าวตัดสินใจแน่วแน่...


--------------------------------


         ค่ำวันหนึ่งครั้งที่ต้นข้าวยังอยู่บ้านเก่า วัดประยุรวงศาวาสมีงานวัดประจำปีฉลองพระพุทธนาคน้อย เป็นงานใหญ่ที่มีโรงงิ้ว โรงลิเก ชิงช้าสวรรค์ ร้านยิงปืนจุกน้ำปลา หนังกลางแปลงจอเล็ก รวมทั้งร้านรวงต่างๆ

         ต้นข้าวชวนจิวมาเดินงานวัดเล่นกันด้วยความเพลิดเพลิน พาจิวขึ้นไปกราบขอพรหลวงพ่อพระพุทธนาคน้อยได้สมใจอย่างที่เคยตั้งใจไว้ และเลยพากันเดินเข้าไปที่เขาเต่า เพื่อไปเยี่ยมเจ้าเต่าหับที่ต้นข้าวเคยมาปล่อยในวันเกิดตัวนั้น หลังจากเดินหาเกือบ ๑๐ นาที ก็เจอมันกินผักบุ้งอยู่ริมตลิ่งในมุมหนึ่งอย่างสบายอารมณ์ และพอต้นข้าวเห็นข้อความแถวที่สองที่จิวแอบเขียนเพิ่มลงไปบนหลังเต่า ก็หันมาทุบปั่ก! ที่หลังจิว พร้อมกับร้องขำๆ

         "ไอ้บ้า!"

         "ทุบอีกแล้ว ขยันทุบจริงๆ นะ ตั้งกะคบกันมานี่ ทั้งทุบทั้งถอง จะช้ำในตายก่อนไหม" จิวหลิ่วตาให้

         "ก็ดูเขียนเข้าสิ ใครมาเห็นจะอายเขาไหมนี่" ต้นข้าวหน้าแดงเรื่อๆ ก้มลงไปอ่านข้อความที่หลังเต่าอีกรอบ

-- ต้ น ข้ า ว --
และ จิวจะอยู่ด้วยกันตลอดไป

         "ช่างคนมาเห็นมันสิ กลัวอะไรล่ะ เรื่องจริงนี่"

         "ป่าว ไม่ได้อายว่าเรื่องจริงหรือไม่จริง" ต้นข้าวทำหน้านิ่งๆ

         "อ้าว แล้วอายอะไรล่ะ" จิวเริ่มงง

         "อายที่ลายมือจิวที่เขียนด้านล่างไม่สวยอะดิ เขียนหวัดทุเรศทุรังขนาดนั้น มันต้องอยู่บนหลังเต่านี้ไปอีกเป็นร้อยปีนะ" แล้วต้นข้าวก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

         "แอ่ก!!" เสียงกำปั้นปะทะแผ่นหลังต้นข้าวดังสนั่นบ้าง

         "โอ้ย เจ็บนะโว้ย" ต้นข้าวหลังแอ่น สูดปากซี๊ด

         "เจ็บเป็นซะมั่ง" จิวบ่นหมุบหมิบ

         หลังจากทุบถองแลกเปลี่ยนกันอย่างสะใจไปข้างหนึ่งแล้ว จิวก็ปลอบใจต้นข้าวด้วยการพาเดินในงานวัด แล้วซื้อลูกชิ้นชุบแป้งทอดสี่ไม้ให้ และต้นข้าวก็ซื้ออ้อยควั่น ที่หั่นเป็นแว่นหนาๆ เสียบบนปลายไม้ตอก แผ่บานออกเป็นพุ่มดอกไม้ให้จิวไม้หนึ่ง แล้วมายืนสลับกันชวนชิม สลับกันป้อนของตัวเองให้ ใต้แสงเทียนที่คนมาจุดบูชาเป็นแถวระยิบระยับบนกำแพงวิหารหลวงพ่อพุทธนาคน้อย

         "ขึ้นชิงช้าสวรรค์กันไหม" จิวแหงนมองขึ้นไปบนชิงช้าสวรรค์ที่กำลังหมุนช้าๆ หลอดนีออนประดับเป็นแท่งหลากสีหมุนพราวตามเป็นวง ได้ยินเสียงเพลงลูกทุ่งจังหวะสามช่าเปิดดังสนั่น ลมตอนค่ำพัดมาเป็นระยะ ธงราวสามเหลี่ยมหลากสีที่แขวนระโยงเป็นสายทั่วงานวัดปลิวสะบัด

         "ไม่อ่ะ น่าเบื่อ ไม่เห็นมีอะไรเลย ไปโน่นดีกว่า อยากไปยิงปืนจุกน้ำปลา"

         ต้นข้าวเบือนหน้าพยักเพยิดไปทางแนวร้านยิงปืนกระสุนจุกน้ำปลาที่เรียงกันเป็นแถวสามสี่ร้าน รวมทั้งร้านสาวน้อยตกน้ำ ที่เปิดเพลงเสียงดัง เปิดไฟนีออนสว่างจ้า เหมือนไฟล่อให้ฝูงแมงเม่าหนุ่มๆ บินเข้ามารุม

         "ป่ะ ยิงปืนแข่งกัน" จิวโยนพวงอ้อยควั่นที่หมดแล้วทิ้งในเข่งขยะข้างๆ แล้วจูงแขนต้นข้าวไปอย่างสนุกเต็มที่

         .................

         "ฉับ ฉับ ฉับ..."

         เสียงลิงตีฉาบพร้อมกับเอียงคอไปมา เมื่อเวลาคนยิงกระสุนจุกน้ำปลาไปโดนแป้น ดังขึ้นเป็นระยะๆ สลับกับเสียงระเบิดหัวเราะของจิว ที่ยิงเข้าเป้าได้เกือบทั้งหมด โดยไม่ได้ใส่ใจกับดวงตาเขียวปั๊ดของคนข้างๆ แม้แต่น้อยที่ยิงเท่าไรก็ไม่โดนเป้าสักลูก

         ต้นข้าวหันซ้ายหันขวา แหย่ตัวยื่นเข้าไปในร้าน อาศัยความสูงและช่วงมือยาว จับด้ามปืนแหย่ไปที่เป้า จนปลายกระบอกห่างจากเป้าแค่คืบเดียว แล้วกดยิง โป้ง! เข้าไป ตุ๊กตาลิงตีฉาบก็เริ่มตีบ้าง

         "เฮ้ยๆๆ อย่าโกงดิ ใครใช้ให้แหย่ปืนเข้าไปจ่อแป้นขนาดนั้น โอย..." จิวโวยวายลั่น

         เสียงระเบิดหัวเราะจากต้นข้าวดังมาบ้าง "กฏของใครล่ะ ไม่มีกฏอะไรทั้งนั้น" เป็นคำเย้ยมาจากต้นข้าวผู้จะเอาชนะให้ได้

         "เหรอ น่าภูมิใจไหมล่ะ โกงเค้าเนี่ย" จิวไม่หยุดโวย "พอๆ เลิกๆ"

         "เอาน่า นิดๆ หน่อย คนเราต้องทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะ" ต้นข้าวยืดตัวขึ้น ทำเป็นไม่มองตาที่ขวางๆ ของจิว "ไปที่อื่นเหอะ เบื่อแล้ว"

         ต้นข้าวกึ่งจูงกึ่งลากจิวมาถึงหน้าโรงลิเก โรงลิเกในงานนี้หันหลังชนกันกับโรงงิ้วใหญ่ แยกฝั่งใครฝั่งมันไปเลยว่าใครชอบดูแบบไหน ตอนนี้ทั้งลิเกและงิ้ว ยังไม่ออกโรงทั้งคู่ เพราะกว่าจะแสดงก็ต้องดึกหน่อย ให้งานพิธีหลักทางวัดจบเรียบร้อยก่อน แต่มีคนมาปูเสื่อจองที่นั่งบ้างแล้วประปราย

         "ยังไม่แสดงเลยอะ เอาไงดี จะรอไหม" จิวหันซ้ายหันขวา เตรียมจะหาที่นั่ง ท่าทางเมื่อยเต็มแก่

         "เมื่อยยังล่ะ นั่งรอนี่ก่อนละกันเนอะ เดี๋ยวมานะ จะเดินไปซื้อขนมถังแตกกับข้าวเกรียบว่าวตรงโน้นมาให้กิน" ต้นข้าวกดไหล่จิวให้นั่งลงไปตรงมุมๆ หนึ่งหน้าโรงลิเก

         ต้นข้าวเดินออกมาจากตรงนั้น หมายใจจะเดินไปซื้อขนมที่หาบเร่ของแม่ค้าใกล้ๆ จอหนังกลางแปลง แต่เมื่อเดินผ่านหลังโรงลิเก รวมทั้งหลังโรงงิ้วด้วย ซึ่งใช้พื้นที่เดียวกัน เห็นนักแสดงทั้งงิ้วและลิเก นั่งบ้าง ยืนสูบบุหรี่บ้าง แต่งหน้าบ้าง ต้นข้าวเลยไปยืนดูข้างๆ รั้วที่กั้น

         ภาพที่ต้นข้าวเห็น คือนักแสดงลิเกชายคนหนึ่ง ซึ่งแต่งหน้าเสร็จแล้ว แต่ยังไม่ได้แต่งตัว กำลังนั่งยองๆ เอาข้าวเหนียวปั้นจกส้มตำปูปลาร้าในถาดสังกะสีลายดอกไม้ขึ้นใส่ปาก แล้วหักถั่วฝักยาวส่งตามเข้าไป เคี้ยวกร๊อบๆ แล้วสูดปากแบบคนเผ็ด

         ส่วนลิเกชายอีกคน ซึ่งแต่งตัวแต่งหน้าเสร็จแล้ว ลิเกคนนั้นกำลังป่องแก้ม อมลมไว้ในปากจนหน้ากลมป็อก มือหนึ่งกำลังเอาแหนบดึงขนจมูกอยู่หน้ากระจกเงาที่กรอบด้านหลังเป็นรูปดารา เพชรา ชาวราษฎร์ และลิเกหญิงอีกคน ยังนุ่งผ้าถุงกระโจมอก  กำลังพยายามตัดสก็อตเทปให้เป็นแถบเล็กๆ แล้วเอาขึ้นไปแปะที่เปลือกตา ทำให้ตาดูเป็นสองชั้นสวย ซึ่งแปะหลายครั้งยังไม่ลงตัวเสียที ดึงเข้าดึงออกอยู่นั่น

         ต้นข้าวหันไปอีกข้าง เป็นนักแสดงงิ้ว ซึ่งทั้งหมดแต่งตัวเสร็จแล้ว เพราะน่าจะขึ้นแสดงก่อนลิเก นักแสดงทาแป้งขาว ลงสีแดงสีดำที่หน้าจนเดาไม่ได้ว่าหน้าเดิมเป็นอย่างไร รวมทั้งชุดทรงเครื่องเต็มที่ ซึ่งดูจากด้านล่างระยะใกล้นี้ ก็มีเก่าบ้าง ขาดบ้าง บางจุดเห็นเอาหนังยางมัดไว้เป็นปมก็มี ขนนกบนหัวบางเส้นแหว่งหลุดหายไป และไข่มุกบนชุด เห็นได้ชัดว่าเป็นเม็ดพลาสติก และเริ่มสีลอกหลายเม็ด

         ต้นข้าวมองทะลุจากหลังเวทีเลยไปหน้าเวที เห็นจากมุมนี้มันเป็นโครงไม้ไผ่ปล้องใหญ่มามัดประกอบกัน และตอนนี้มีม่านสีดำปิดอยู่ มองไปไม่เห็นที่นั่งคนดู โรงงิ้วมีระบบฉากที่ดีกว่าลิเก อย่างน้อยก็มีม่านปิดเปิดเวลาแสดง ซึ่งโรงลิเกไม่มี

         ต้นข้าวได้ยินเสียงคนแสดงงิ้วผู้หญิงสองคนคุยกันใกล้ๆ เลยหันหน้าตามไปดู เป็นนักแสดงตัวรองๆ เพราะดูจากชุดที่ใส่ไม่ได้จัดเต็มเท่าตัวเอก กำลังผลัดกันสูบมวนยาสูบ ที่มวนจากกระดาษหนังสือพิมพ์  มองไปมองมา ได้ยินเสียงพูด ต้นข้าวแทบไม่เชื่อหูตัวเองว่านักแสดงหญิงงิ้วที่เห็นนี่ เป็นคนไทย! และพูดคุยกันด้วยสำเนียงอีสานขนานแท้ในคราบของงิ้ว!!!

         ต้นข้าวเดินออกมาจากหลังโรงด้วยความประหลาดใจ คิดในใจว่าพลาดมาตลอดที่คิดว่านักแสดงงิ้วจะต้องเป็นคนจีนเท่านั้น ถ้าไม่มาได้ยินกับหูจะไม่เชื่อตัวเองเลย

         กว่าต้นข้าวจะเดินหาซื้อข้าวเกรียบว่าวและขนมถังแตกได้ ก็ร่วมเข้าไปเกือบสิบห้านาที ต้นข้าวเดินกลับมาทางเดิม แต่ตอนนี้โรงงิ้วเปิดม่านแสดงแล้ว และมันทำให้ต้นข้าวประหลาดใจอีกรอบ

         โครงไม้ไผ่ที่มัดขึ้นเป็นโรงงิ้วหยาบๆ เมื่อเปิดม่านเปิดไฟสว่างแล้วตอนนี้ กลายเป็นฉากหลังรูปป่าเขาลำเนาไพรงดงาม ส่วนด้านหน้าเวที มีกลไกง่ายๆ ในการใช้มอเตอร์หมุนผ้าจากฝั่งหนึ่งเวียนไปอีกฝั่งหนึ่งยาวตลอดช่วงล่างของหน้าเวที ผ้านั้นเขียนเป็นรูปสายน้ำ และตอนนี้มันหมุน จึงดูเหมือนสายน้ำจริงๆ กำลังไหลรินอยู่กลางป่า และนักแสดงงิ้วคนไทยอิสานสองคนเมื่อสักครู่ กำลังร้องเพลงงิ้วภาษาจีนเสียงแหลม กรีดนิ้วพร้อมผ้าเช็ดหน้าสีแดงพริ้วในมือชี้ชวนกันเดินชมดงพงไพรในฉากนั้น

         ความแตกต่างกันของหลังเวทีและภาพหน้าเวทีนี้ ต้นข้าวถึงกับคิดในใจ --มายา มันเป็นโลกมายาชัดๆ--

         .................

         "ทำไมช้าจัง ลิเกกำลังเริ่มแล้ว เมื่อกี้ออกแขกจบไปแล้วล่ะ"

         จิวหมายถึงการแสดงเปิดหน้าม่านของลิเกก่อนที่จะเริ่มเรื่อง ที่มีคนแต่งตัวเป็นแขก ออกมาร้องว่า "ฮัดช้าซาลามมาน้า ฮัดช้าละหล่า ฮัลเลวังกา...เอ้าเร่เข้ามา...มาดูลิเก..." เป็นการโหมโรงเรียกคนดู

         ต้นข้าวยิ้มๆ ไม่ได้ตอบว่าอะไร ทรุดลงนั่งข้างจิว แล้วหักข้าวเกรียบว่าวส่งให้จิวไปครึ่งแผ่น ตัวเองก็นั่งกัดอีกครึ่งหนึ่งเคี้ยวกร้วมๆ ตาก็จ้องที่โรงลิเก

         ตลอดการแสดงลิเกในคืนนั้น ซึ่งเล่นเรื่อง "แก้วหน้าม้า" ต้นข้าวดูไปพร้อมกับสิ่งหนึ่งที่ก่อตัวขึ้นในใจ

         ความมหัศจรรย์ของเวทีและแสงสี ทำให้ชายผู้หนึ่งที่เมื่อกี้นี้พึ่งจะนั่งป่องแก้มถอนขนจมูกอย่างเมามันหลังเวที กลายมาเป็นท้าวภูดล กษัตริย์แห่งเมืองมิถิลา ผู้ทรงอำนาจและเกียรติยศ เป็นบิดาแห่งพระปิ่นทอง พระเอกของเรื่อง

         ส่วนชายผู้ซึ่งนั่งยองๆ แหกขา โซ้ยส้มตำปูปลาร้าเผ็ดจนปากเจ่อหุบไม่ลงเมื่อกี้ กลายมาเป็นพระโอรสปิ่นทอง พระเอกสุดหล่อของเรื่อง เท่ อกเอวรูปร่างเหมือนองค์อินทร์ ได้มเหสีหลายคนซึ่งตบตีแย่งกันทั้งเรื่อง และเป็นผู้ได้ครองเมืองการะเกด

         ส่วนหญิงสาวผู้ซึ่งง่วนอยู่กับการติดสก็อตเทปให้ตาเป็นสองชั้น ดึงเข้าดึงออกแปะแล้วแปะอีก จนขนตาและขนคิ้วจริงแทบจะหลุดตามสก็อตเทปออกไปแล้วทั้งแผง เหลือแต่หน้าโล้นๆ เกลี้ยงๆ

         ตอนนี้กลายมาเป็นพระนางมณีรัตนา ร่างสวยของนางม้าแก้วมณี เป็นนางเอกอยู่ในเมืองโรมวิถี ใส่มงกุฎเพชรสวยใหญ่เบ้อเร่อ ท่ารำอ่อนหวาน หน้าสวยใสซื่อ กระพริบตาปริบๆ ขนตาปลอมหนาทั้งบนและล่างกระพือขึ้นลงเป็นแผงเหมือนปีกผีเสื้อกำลังโบยบิน ประหนึ่งตื่นขึ้นมาแล้วสวยเองเลยแบบนี้ โดยไม่ต้องพึ่งมนตราจากพระฤๅษีตนใด...

         "มายา มันเป็นโลกแห่งมายาชัดๆ" ต้นข้าวครางออกมาเบาๆ คราวนี้ออกเสียง ไม่ใช่คิดในใจแบบเมื่อกี้

         "อะไรนะต้นข้าว พูดว่าอะไรนะ" จิวได้ยินแว่วๆ

         ต้นข้าวหันไปยิ้มให้จิว "เปล่าๆ ไม่มีอะไร พระฤๅษีกำลังจะออกโรงแล้ว"


         ................


         ต้นข้าวตัดสินใจในคืนนั้น ว่าวันหนึ่งข้างหน้า ต้นข้าวนี่แหล่ะ จะเป็นเหมือนฤๅษีวิเศษ ที่จะบันดาลให้อะไรก็เกิดขึ้นได้บนเวทีการแสดงทุกชนิด

         ในเมื่อเอนทรานซ์ไม่ติด ต้นข้าวไม่มีความเสียใจ เพราะคณะที่รอคอย ไม่ได้มีในมหาวิทยาลัยของรัฐ  แต่กำลังจะเปิดสอนเป็นปีแรกๆ ในมหาวิทยาลัยเอกชนที่ต้นข้าวกำลังเรียนอยู่นี้

         "คณะนิเทศศาสตร์ วิชาเอกสาขาการละคร"



หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๘ : แรงบันดาลใจจากโรงลิเก || หน้า ๘ || ๐๑/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 01-02-2017 11:51:02
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๘ : แรงบันดาลใจจากโรงลิเก || หน้า ๘ || ๐๑/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 01-02-2017 12:34:10
ต้นข้าว ได้เรียนตามความสนใจจริง
จากความรู้สึกท่ได้รับรู้ โลกแห่งมายา
คณะนิเทศศาสตร์ เอกสาขาการละคร
ดีจริง ที่ได้รู้ความชอบ ความสนใจของตัวเอง  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
น้อยคนที่ทำได้ เพราะส่วนใหญ่ทำไม่ได้
ต้องเรียนตามความต้องการของผู้ปกครอง
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๘ : แรงบันดาลใจจากโรงลิเก || หน้า ๘ || ๐๑/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 01-02-2017 13:27:32
ศิลปะการแสดง
ซาร่ามันจอร์จมาก
อิอิ

ฉันหรือเธอ
ที่เปลี่ยนไป
ซิก..ซิก

ดราม่าเรื่องอะไร
ต้นข้าวกับจิว ไม่น่าจะมีอะไรอีก
เรื่องหนักหนาที่สุดก็ผ่านด่านอรหันต์ครอบครัวได้แล้ว
เดาไม่ออกจริงๆ นอกเสียจากว่า.....โอ้ววววว ม่ายยย
มันเลวร้ายแสนสาหัส เบอร์แรงงงงงง

อย่ามีเลย....ภาวนารัวๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
+1 ติดสินบน
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๘ : แรงบันดาลใจจากโรงลิเก || หน้า ๘ || ๐๑/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 01-02-2017 15:32:29
   ขำต้นข่าว ทั้งงิ้ว ทั้งลิเกเป็นแรงบันดาลใจนี่เอง ชอบตอนโรงงิ้วมากๆ คิดว่าคนจีนแล่นงิ้วที่ไหนได้คนไทยชัดๆ 555
  รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๘ : แรงบันดาลใจจากโรงลิเก || หน้า ๘ || ๐๑/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: anandawan ที่ 01-02-2017 21:34:49
รอดราม่านะคะ
โรคจิต ชอบอ่านบทโศก
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๘ : แรงบันดาลใจจากโรงลิเก || หน้า ๘ || ๐๑/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 03-02-2017 02:46:05
:pig4: :pig4: :pig4:

= ขอบคุณมากนะฮะ


ต้นข้าว ได้เรียนตามความสนใจจริง
จากความรู้สึกท่ได้รับรู้ โลกแห่งมายา
คณะนิเทศศาสตร์ เอกสาขาการละคร
ดีจริง ที่ได้รู้ความชอบ ความสนใจของตัวเอง  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
น้อยคนที่ทำได้ เพราะส่วนใหญ่ทำไม่ได้
ต้องเรียนตามความต้องการของผู้ปกครอง
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

= เป็นความโชคดีจริงๆ ฮะ ที่ได้ทำอะไรดังใจปรารถนา


ศิลปะการแสดง
ซาร่ามันจอร์จมาก
อิอิ

ฉันหรือเธอ
ที่เปลี่ยนไป
ซิก..ซิก

ดราม่าเรื่องอะไร
ต้นข้าวกับจิว ไม่น่าจะมีอะไรอีก
เรื่องหนักหนาที่สุดก็ผ่านด่านอรหันต์ครอบครัวได้แล้ว
เดาไม่ออกจริงๆ นอกเสียจากว่า.....โอ้ววววว ม่ายยย
มันเลวร้ายแสนสาหัส เบอร์แรงงงงงง

อย่ามีเลย....ภาวนารัวๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
+1 ติดสินบน

= ชะตา และฟ้าลิขิต ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว แงๆๆๆ   :hao5:


   ขำต้นข่าว ทั้งงิ้ว ทั้งลิเกเป็นแรงบันดาลใจนี่เอง ชอบตอนโรงงิ้วมากๆ คิดว่าคนจีนแล่นงิ้วที่ไหนได้คนไทยชัดๆ 555
  รออ่านตอนต่อไปคับ

= นั่นสิฮะ น่าประหลาดใจจริงๆ อิอิอิอิ


รอดราม่านะคะ
โรคจิต ชอบอ่านบทโศก

= ไม่ผิดหวังแน่ รับรองสาแก่ใจฮะ 555+


.................


และขอบคุณทุกท่านนะ ที่เข้ามาอ่านกัน ขอให้มีความสุขนะฮะ


 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๘ : แรงบันดาลใจจากโรงลิเก || หน้า ๘ || ๐๑/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 03-02-2017 06:08:33

MBK❤lover


(http://www.bloggang.com/data/k/kampong/picture/1485729585.jpg)


ตอนที่ ๒๔ : อีงูคำคม!!!


         ต้นข้าวกำลังตั้งใจฟังอาจารย์สั่งงานการพรีเซนต์หน้าห้อง โดยให้จับกลุ่มกันกลุ่มละสิบคน ยกตัวอย่างของผลิตภัณฑ์ หรืออาหารอะไรก็ได้ที่ไม่มีในท้องตลาด และต้องมีคุณสมบัติพิเศษมากกว่าสองอย่างขึ้นไป หลังพูดจบเสียงจอแจก็ดังขึ้นระงมในห้องทันที

         "อะไรวะ สิ่งของที่มีคุณสมบัติพิเศษสองอย่างขึ้นไป" เอกหันมาถามต้นข้าว

         "ไม่รู้ว่ะ เดี๋ยวตอนพักเที่ยงก็เรียกกลุ่มเรากันมาคุยกันดูสิ"

         "ช่วยกันนึกหลายๆ คนเดี๋ยวก็นึกออกเองล่ะน่า" สมพล เพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งเสริม

         "เอาล่ะค่ะนักศึกษาค่อยไปคุยกันข้างนอก แล้วเอาหัวข้อมาเสนออาจารย์วันพุธนะคะ วันนี้เท่านี้ก่อน"

         ....................

         หลังจบคลาสต้นข้าวก็เดินดุ่มๆ ออกมาจากห้องเรียนทันที ยังไม่ได้สนใจที่จะคุยกับเพื่อนๆ ก่อนในเรื่องการพรีเซนต์เพราะใจยังพะวงเรื่องจิว เพราะเมื่อวานและวันนี้จิวเงียบหายไป โทรไปที่บ้านจิวก็ไม่เจอ ป๊าบอกว่าไม่รู้ไปไหน

         ต้นข้าวเดินออกมาที่ข้างโรงอาหาร ควานหาเหรียญบาทขึ้นมาสองสามเหรียญ หยอดใส่ตู้โทรศัพท์สาธารณะ หมุนกลับเบอร์บ้านตัวเอง

         ในช่วงเวลานั้น ต้นข้าวและจิวได้ตกลงกันว่า จะใช้โทรศัพท์บ้านต้นข้าวเป็นเหมือนเซ็นเตอร์ของการติดต่อ เพราะบ้านต้นข้าวค่อนข้างจะมีคนอยู่ตลอดเวลา ทั้งแม่ของต้นข้าวเอง หรือพี่อ้อย เป็นแม่บ้านที่บ้าน จะสามารถรับโทรศัพท์ได้ตลอดเวลา โดยทุกเย็นต้นข้าวจะโทรไปเช็คกับที่บ้านว่าจิวโทรเข้ามาฝากข้อความอะไรไว้ให้หรือเปล่า

         และวันนี้ก็มีจริงๆ พี่อ้อยบอกว่าจิวโทรมาบอกไว้แล้ว ว่าเย็นนี้จะเข้ามาหาที่บ้านและจะค้างกับต้นข้าวที่นี่ ให้ต้นข้าวกลับมากินข้าวเย็นพร้อมจิวที่บ้านด้วย

         ได้ฟังแบบนั้นแล้วต้นข้าวค่อยอารมณ์ดีขึ้น วางสายโทรศัพท์แล้วเดินกลับเข้าโรงอาหาร มองหากลุ่มเพื่อนที่จะประชุมเรื่องการพรีเซนต์กัน เมื่อเห็นแล้วก็เดินเข้าไปนั่งรวมกลุ่มด้วย

         โรงอาหารของมหาวิทยาลัยนี้กว้างขวาง ใหม่เอี่ยม สูงโปร่งโล่ง ทุกอย่างสะอาด มีโต๊ะและเก้าอี้ให้นักศึกษานั่งทานอาหารอย่างเพียงพอ สมกับที่พึ่งเปิดเป็นวิทยาเขตใหม่ได้สามปีนี้เอง

         "คุยกันถึงไหนแล้ววะ" ต้นข้าวหันไปถาม ไม่เจาะจงว่าใคร

         บนโต๊ะในโรงอาหารนั้นมีเพื่อนๆ ร่วมห้องนั่งอยู่ประมาณ ๗-๘ คน ทั้งชายและหญิง ซึ่งมีเอกและสมพล เพื่อนเก่าที่สนิทของต้นข้าวและจิวรวมอยู่ด้วย บนโต๊ะมีจานส้มตำวางอยู่สองจาน มันเหลือแต่น้ำขลุกขลิกก้นจาน มีสภาพเหมือนพึ่งโดนรุมจ้วงกินไปแล้วจนหมด

         "ยังไม่ได้คุยอะไรกัน พึ่งชิมส้มตำร้านใหม่กันอยู่เนี่ย" เอกตอบ พร้อมๆ กับเอาไม้จิ้มฟันแคะฟันไปด้วย

         "รอมึง กับ อีงู ด้วย รอพร้อมๆ กันค่อยคุยทีเดียว" สมพลเสริมขึ้นมา

         "อีงู" ที่สมพลพูดถึง คือเพื่อนใหม่ของต้นข้าวอีกคนที่เป็นผู้หญิง พึ่งมารู้จักและสนิทกันตั้งแต่ตอนเข้าปีหนึ่ง จริงๆ อีงู มีชื่อเล่นจริงๆ ว่า "พริก" แต่ความที่พริกเป็นผู้หญิงห้าวๆ เซอร์ๆ หน่อย ไว้ผมยาวฟูหยิก ไม่กลัวผู้ชาย และชอบใส่รองเท้าที่มีสายรัดข้อเท้าขึ้นมาสูงถึงกลางหน้าแข้งเป็นลายงู มองเผินๆ เหมือนมีงูตัวเล็กๆ มาพันขา ใส่ซ้ำแทบทุกวัน เพื่อนๆ เลยพร้อมใจกันเรียกว่า "อีงู" แทนชื่อเล่นจริงๆ ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้ว่าอะไร เรียกกันมาเป็นปีก็หันกลับมาตามเสียงเรียกทุกครั้งไป

         แถมมีสมญาห้อยท้ายอีกนิดนึงด้วยว่า "อีงูคำคม" เพราะนางชอบพูดประโยคต่างๆ ที่เจือไปด้วยคำคม หรือสุภาษิต ซึ่งก็คมบ้างไม่คมบ้าง แต่มักจะพูดบ่อยๆ จนเพื่อนๆ ชอบเอามาล้อลับหลัง

         "อ้าว แล้วอีงูไปไหนล่ะ ยังไม่มาหรือ" ต้นข้าวหันไปมองรอบๆ

         "มาแล้ว มันไปแปรงฟัน เมื่อกี้ยังนั่งกินส้มตำอยู่ด้วยกันนี่เลย นั่นไง พูดถึงก็มา" ใครคนหนึ่งตอบมา

         พริกเดินเข้ามาที่กลุ่ม หัวฟูรุ่ยร่ายตกลงมาปิดหน้าครึ่งหนึ่ง พอถึงโต๊ะแล้วก็แหวกตัวเพื่อนสองคนแล้วนั่งแทรกลงไป นางเงยหน้าเสยผมขึ้นมามองเห็นต้นข้าว ก็ยิ้มให้แล้วทัก

         "อ้าว ข้าว ไปไหนมา"

         ตอนนี้สายตาของเพื่อนๆ ทุกคนไม่ได้สนใจคำถามของพริก แต่พร้อมใจกันจ้องไปที่หน้าของพริกแทน โดยโฟกัสตรงกันที่บริเวณปาก

         "มึงไปแปรงฟัน หรือไปกินยาสีฟันมาวะอีงู" สมพลถามขำๆ

         "อะไรวะ" พริกเอามือขึ้นมาแตะๆ รอบปาก

         "ฟองยาสีฟันสิมึง รอบปากมึงเนี่ย" ต้นข้าวเสริมให้ เจือเสียงหัวเราะ

         คราวนี้พริกเอาปลายแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดรอบปากจนฟองหายหมด ทำปากขมุบขมิบเหมือนให้พรคนรอบข้าง

         "อีห่า กุหลาบงามย่อมมีหนามแหลมเว้ย คนงามก็ต้องมีฟองบ้างเป็นธรรมดา" พริกพูดแก้เกี้ยว

         "มึงนี่นะงาม แล้วกุหลาบกับฟองมันมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้วะ" เอกขำ

         "กูมัวแต่บ้วนปากอะดิ เกลียดกลิ่นปูเค็มในส้มตำนี่ฉิบ เลยไม่ได้ส่องกระจก" พริกอธิบายอ้อมแอ้ม

         "กุหลาบเน่าอะดิ กูว่า" เอกพูดลอยๆ "มาๆ มาเริ่มกันเลยดีกว่า จะพรีเซนต์เรื่องอะไรดี"

         "มีวิกฤตที่ใดย่อมมีโอกาสที่นั่นเสมอ" อีงูคำคมสมชื่อ เปรยขึ้น "เอาผลิตภัณฑ์ยาสีฟันนี่แหล่ะ ดีมะ"

         "น่าสนใจ ยังไงดี" เอก ผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มถาม

         "ก็พรีเซนต์ผลิตภัณฑ์หลักเป็นยาสีฟันนี่ล่ะ แต่คุณสมบัติที่สองมันจะเป็นอะไรได้ล่ะ" ใครอีกคนหนึ่งเสริมขึ้น เพื่อนๆ มองตากันไปมา

         "เป็นน้ำยาบ้วนปากไปด้วยในตัวไง" ต้นข้าวโพล่งขึ้นมา

         "คิดไม่ใช้สมอง ยาสีฟันเป็นครีมข้น แล้วมันจะกลายมาเป็นน้ำยาบ้วนปากได้ยังไงล่ะ" อีงูคำคมแย้ง

         "ก็ในสภาพเดิมๆ ไว้แปรงฟัน แต่มันมีตัวยาพิเศษผสมอยู่ไง ถ้าละลายลงในน้ำเปล่าจะแตกตัวออกมาใสๆ กลายเป็นน้ำยาบ้วนปาก แต่จะไม่ทำปฏิกิริยากับน้ำลาย ดังนั้นตอนแปรงฟัน ก็ใช้ตามปกติ" ต้นข้าวอธิบายเป็นคุ้งเป็นแคว "เอาไว้ให้คนอย่างอีงูมันบ้วนปาก ฟองจะได้ไม่ติดปากให้ขายขี้หน้าคนอื่นแบบเมื่อกี้"

         "มีปากเหมือนมีตูด แต่ช่วงหูรูดใช้ไม่ได้" พริกเปรยๆ พูดลอยๆ กับลมกับแล้ง เพื่อนในกลุ่มหัวเราะกันพรืดๆ

         "มึงด่าใครเหรอ อีงู" ต้นข้าวหันไปถาม

         "เปล่า ไม่มีอะไร"

         "อ่ะๆๆ พอๆ เอางี้นะ แบ่งกันไป เราจะพรีเซนต์แบบรายการทีวีนะ คือให้มีโฆษกคนหนึ่งมาอธิบายคุณสมบัติมัน แล้วมีอีกคนหนึ่งเป็นคนสาธิตมันพร้อมผู้ช่วยอีกคน และมีอีกกลุ่มเป็นพวกเรียกร้องความสนใจในสินค้าผลิตภัณฑ์ จะออกมาเต้นหรืออะไรก็ได้ให้คนจดจำ ดีไหม" เอกสรุปการประชุม

         "ดี" หลายคนเห็นด้วย

         "ว่าแต่มันจะใช้ชื่อสินค้าว่าอะไรอะ" พริกถามเรื่องสำคัญที่เกือบลืม

         "กุหลาบ... มันต้องชื่อกุหลาบ" ต้นข้าวมั่นใจ "ใช้ชื่อ กรีนโรเสส (Green Roses) กุหลาบเขียวแล้วกันนะ สีเขียวควรเป็นสีของน้ำยาบ้วนปาก"

         "ผ่าน เห็นด้วย" เอกฟันธง หลายคนพยักหน้ารับ

         "กูจะเป็นโฆษกอธิบายตอนเปิดหัวเอง ส่วนสมพลคุมเรื่องบันเทิง มึงไปหาคนซ้อมเต้นมา ส่วนต้นข้าวกับอีงู เป็นคนพรีเซนต์ผลิตภัณฑ์นะ มึงเป็นคนเสนอนี่ ไปหาทางทำให้ได้ ว่าครีมยาสีฟันจะกลายเป็นน้ำยาบ้วนปากได้ยังไง คนที่เหลือไปออกแบบป้ายโฆษณาและวาดมา เอาโลโก้เป็นรูปกุหลาบสีเขียว ตามนี้นะ" เอกปิดประชุม

         ..................

         "มึงจะรีบเดินไปไหนนี่  มะเทิ่งเดินนำหน้า เม้ยเจิงภรรยาเดินตามตูด กูเดินตามไม่ทันแล้วนะ"

         พริกร้องโหวกเวก พูดเป็นกลอนจากในเรื่อง "ราชาธิราช" ตอน "พระยาน้อยชมตลาด" ที่มีมะเทิ่งกับนางเม้ยเจิงเป็นผัวเมียกัน  นางเดินซอยเท้าตามต้นข้าวมายิกๆ หลังจากแยกย้ายกับกลุ่มเพื่อนออกมาจากโรงอาหารแล้ว

         "กูจะรีบกลับบ้าน จิวรออยู่ที่บ้านน่ะ" ต้นข้าวไม่หยุดเดิน

         "โอ้ย มีผัวเหมือนมีทองก้อนเท่าหัว ห่างผัวไม่ได้เลยนะมึง" พริกร้องตามหลังมา เริ่มมีเสียงเหนื่อยหอบ

         ต้นข้าวหันขวับมาทันที "ใครเป็นผัวกู หืมส์...อีงู กูไม่เคยมีผัวเว้ย แล้วมึงก็ไม่ใช่เม้ยเจิงอะไรนั่นที่เป็นเมียกูด้วย"

         พริกปล่อยเสียงหัวเราะออกมา "เออๆ กูลืมไป พวกมึงเป่ายิงฉุบกันนี่เนอะ ตอนดึกๆ บนเตียง"

         "ทะลึ่งแล้วมึง แล้วนี่ยังไง ยังจะเดินตามมาอีก"

         "ไปด้วย กูติดรถไปลงแถวหลักสี่แล้วกัน ใกล้บ้านขึ้นมาหน่อยดีกว่ารอคอยใครโดยไร้ความหวัง"

         "ประสาท...!!"

         ต้นข้าวพ่นลมออกมาเบาๆ ส่ายหัวดิกๆ แล้วเปิดประตูรถโตโยต้าสีเหลืองของตัวเองให้พริกขึ้นไปนั่ง


--------------------------------


         หลังอาหารเย็นที่บ้านต้นข้าว จิวกับต้นข้าวก็นอนเอาขาก่ายกันดูทีวี คุยกันหงุงหงิง

         "ไปไหนมาหลายวัน คิดถึง" ต้นข้าวเปิดก่อน เอามือขึ้นไปโอบเอวจิว

         "ทำรายงานส่งที่มหาลัยไง วันนี้พึ่งไปส่งอาจารย์มา" จิวยิ้มอารมณ์ดี มองหน้าต้นข้าวตาหวานเชื่อม "แล้ววันนี้ที่มหาลัยเป็นไงบ้าง"

         "ก็ดี มีงานพรีเซนต์ใหม่เข้ามาด้วย กำลังทำกันอยู่"

         แล้วเหมือนต้นข้าวจะนึกขึ้นมาได้ จึงเล่าเรื่องที่ประชุมวันนี้ให้จิวฟัง รวมทั้งกึ่งๆ ปรึกษาด้วยว่าควรจะพรีเซนต์อย่างไรดี กับการที่จะทำให้ครีมยาสีฟันกลายเป็นน้ำยาบ้วนปากได้

         จิวคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยิ้มออกมา "จำเต่าตัวนั้นได้ไหม"

         ต้นข้าวงง จู่ๆ ทำไมจิวพูดถึงเต่าขึ้นมา "เต่าวันเกิดตัวนั้นอ่ะเหรอ"

         "อือ ที่จิวแอบเขียนข้อความเพิ่มเข้าไป จำได้ไหม"

         "จำได้สิ แล้วยังไงต่อ"

         "มันต้องใช้ช่วงเนียน ช่วงทีเผลอ ช่วงสับสนไง นึกออกป่ะ" จิวพยายามบอกใบ้

         ต้นข้าวพอนึกอะไรออกได้ลางๆ ช่วงเนียน ช่วงทีเผลอ ช่วงสับสน พู่กัน สีเขียนหลังเต่า...

         จริงด้วยสินะ ต้นข้าวคิดออกแล้ว!


--------------------------------


         วันพรีเซนต์งานหน้าห้อง กลุ่มแล้วกลุ่มเล่าถูกเรียกออกไปหน้าห้อง ต่างก็พรีเซนต์ผลิตภัณฑ์ของตัวเองที่ใช้เป็นของสองสิ่งได้ เช่น กระทะที่ใช้ทอดอาหาร พอคว่ำหน้าลง กลายเป็นที่ปิ้งอาหารได้ หรืออีกกลุ่มหนึ่งเป็นหม้อหุงข้าวที่ไม่ใช้วิธีการดงข้าว (หุงข้าวด้วยเตาถ่าน แบบต้องเทน้ำข้าวออก แล้วรุมไฟอ่อนๆ ให้ข้าวระอุ) แต่สามารถวางถ่านที่ติดไฟร้อนบนฝาหม้อแล้วกลายเป็นหม้ออบอาหารได้ เป็นต้น

         จนมาถึงกลุ่มของต้นข้าว คนในกลุ่มต่างก็ออกมาจัดของหน้าห้องเตรียมพรีเซนต์ จิวซึ่งวันนี้มานั่งเนียนฟังการพรีเซนต์ในห้องด้วย เพราะวันนี้เรียนรวมคณะ ห้องใหญ่ จึงเข้ามาได้ ได้ส่งยิ้มให้ต้นข้าวพร้อมยักคิ้วข้างหนึ่งส่งกำลังใจให้

         ระหว่างที่เอกกำลังพรีเซนต์ที่มาที่ไปของ ยาสีฟัน "กรีนโรเสส" ว่ามีคุณสมบัติพิเศษ ละลายน้ำกลายเป็นน้ำยาบ้วนปากแบบใสๆ ได้อยู่นั้น ต้นข้าวและพริกก็ช่วยกันจัดของบนโต๊ะหน้าห้องไปพลางๆ ซึ่งบนโต๊ะนั้นรกและเต็มไปด้วยอุปกรณ์เกี่ยวกับห้องแลปที่ต้นข้าวเตรียมมา วางระเกะระกะไปหมด

         จนเอก พูดมาถึงว่าต่อไปจะเป็นการสาธิตให้เห็นจริงว่าทำได้อย่างไร เชิญคุณต้นข้าวและคุณพริกขึ้นมาพรีเซนต์ครับ

         ต้นข้าวกล่าวสวัสดีเพื่อนๆ แล้วยกชูหลอดยาสีฟันขึ้นมาให้ดู ซึ่งก็เป็นหลอดยาสีฟันของจริงนี่แหล่ะ แต่เอาสติกเกอร์ชื่อ "กรีนโรเสส" แปะทับยี่ห้อจริงไว้

         หลังจากนั้น พริกก็ส่งแปรงสีฟันใหม่ๆ ให้ต้นข้าวห้าหกอัน ต้นข้าวบีบเนื้อยาสีฟันลงไปในทุกแปรง พริกก็เดินเอาตัวอย่างแปรงที่มียาสีฟันนั้นไปส่งให้อาจารย์และเพื่อนในห้องเวียนกันดู ว่าเป็นครีมยาสีฟันของจริง บางคนก็ลองแตะดู บางคนก็ขยี้แล้วเอาขึ้นมาลองดม

         เสร็จแล้วพริกส่งแปรงอีกอันให้ต้นข้าว ต้นข้าวก็บีบยาจากหลอดเดียวกันป้ายลงไป พริกหรืออีงูคำคม ก็เอาแปรงนั้นถูเบาๆ ไปที่ฟันตัวเอง แล้วบ้วนน้ำทิ้งให้ดูว่าเป็นยาสีฟันปกติ ไม่ทำปฏิกิริยาใดๆ กับน้ำลาย

         ต่อมาพริกก็เตรียมรินน้ำเปล่าใส่แก้วใสให้ต้นข้าวแก้วหนึ่ง พร้อมกับที่ต้นข้าวกำลังบีบเนื้อยาสีฟันในหลอดเดิม ซึ่งมีเนื้อยาข้นสีขาว บีบลงบนไม้คนแก้ว ชูให้ทุกคนเห็นว่าใช้เนื้อยาสีฟันนี้จริงๆ แล้วรับแก้วน้ำเปล่าจากพริกมายกขึ้นดู

         "ใส่น้ำน้อยไปหน่อย" ต้นข้าวพูดดังๆ "ใส่น้ำสักครึ่งแก้ว จะบ้วนปากได้พอดีนะครับ"

         ต้นข้าววางไม้คนแก้วลงบนโต๊ะ หยิบขวดน้ำโพลาริสเทเติมลงไปในแก้วจนได้ระดับน้ำที่เหมาะสม ชูให้ทุกคนดูอีกครั้งว่าเป็นน้ำใสบริสุทธิ์ หยิบไม้คนขึ้นมาจ่อที่ปากแก้ว แล้วพูดดังๆ อีกว่า

         "นับหนึ่งถึงสามพร้อมกันนะครับ ๑ - ๒ - ๓"

         พูดจบต้นข้าวก็เอาไม้คนจุ่มลงไปในน้ำ คนเบาๆ สิ่งที่เกิดขึ้นทันทีคือน้ำบริสุทธิ์ในแก้ว เปลี่ยนเป็นน้ำสีเขียวใส สะท้อนไฟนีออนในห้องแพรวพราวสวยงามทั้งแก้ว ไม่มีตะกอนใดๆ ตกค้างก้นแก้ว เสียงฮือฮาอื้ออึงจากเพื่อนในห้องและอาจารย์ดังระงม

         "และเราจะมาลองให้คุณพริกบ้วนปากกันนะครับ"

         ต้นข้าววางแก้วบนโต๊ะที่รกไปด้วยของต่างๆ หยิบผ้ากันเปื้อนช่วยใส่ให้พริก แล้วหยิบแก้วน้ำสีเขียวใสส่งให้ พริกรับไปแล้วกรอกใส่ปากทีเดียวเกือบหมดแก้ว อมไว้จนแก้มตุ่ย หันไปอมยิ้มให้เพื่อนในห้อง ขยับปากไปมา ดูจากลูกกระเดือกที่ขยับขึ้นลง เหมือนนางแอบกลืนลงท้องไปบ้างหลายอึก แล้วหลังจากนั้นก็บ้วนช้าๆ ทิ้งลงในถังที่เตรียมไว้ อ้าปาก ทำเสียง "อ่าห์!!!" เป็นทำนองว่าปากสะอาดแล้วนะจ้ะ แล้วทั้งสองก็โค้งลงขอบคุณให้เพื่อนในห้อง พร้อมกับเสียงตบมือสนั่นหวั่นไหว

         ต้นข้าวแอบผายมือให้จิวหนึ่งที พร้อมกับหลิ่วตาให้ ประมาณว่าความสำเร็จในผลงานครั้งนี้เป็นของจิวนะ

         หลังจากนั้นเป็นการเต้นประกอบเพลงของผลิตภัณฑ์เพื่อการโปรโมทโดยสมพลและเพื่อนอีกสองคน คนในห้องตบมือตาม

         .......................

         หลังโต๊ะวางของหน้าห้อง ต้นข้าวกับพริกช่วยกันรีบเก็บของบนโต๊ะ พริกหยิบไม้คน อันแรกที่มียาสีฟันป้ายอยู่แต่ไม่ได้ใช้ โยนลงในถังขยะแล้วแอบหัวเราะกับต้นข้าวคิกคัก ต้นข้าวหยิบไม้คน อันที่สอง ที่ยังเปื้อนสีโปสเตอร์สีเขียว ที่ป้ายสีไว้สำหรับหยิบสลับเอาลงไปคนแก้วน้ำให้น้ำเปลี่ยนสี ทิ้งตามลงไปในถังขยะ ปิดฝากระปุกสีโปสเตอร์เขียวเล็กๆ เก็บลงถุง

         พริกหยิบแก้วน้ำสีเขียวใส ที่เกิดจากสีโปสเตอร์เขียวที่เอาลงไปคน เททิ้งลงถัง ปิดฝาขวดเล็กๆ ที่ใส่น้ำหวานเฮลซ์บลูบอยสีเขียวเพื่อไว้ผสมน้ำในอีกแก้ว สำหรับสลับเอามากรอกใส่ปากให้พริกอมลงไปจริงๆ เก็บลงถุง แล้วกระซิบกับต้นข้าวว่า

         "มึงนี่มันมือไวจริงๆ แอบสลับเปลี่ยนไม้คน กับสลับแก้วเฮลซ์บลูบอยให้กูได้ ไวมาก อีวอก มึงนี่ไวปานวอก ปัญญากับกิริยาไปด้วยกันจริงๆ ใครสอนมึงวะเนี่ย"

         "มะเทิ่ง พระสวามีกูไง มึงอยากให้กูมีผัวไม่ใช่เหรอ ห๊ะ!...อีเม้ยเจิง! อีงู!" ต้นข้าวพูด พร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคักๆ กันสองคน ดีที่เสียงเพลงที่พวกสมพลกำลังเต้นโชว์อยู่ดังกลบ ไม่มีใครได้ยินเสียงพูดหลังโต๊ะนี้

         …………………..

         และแน่นอน กลุ่มต้นข้าวได้คะแนนสูงสุดของวันนี้ ได้รับคำชมทั้งจากเพื่อนและอาจารย์ถึงความสมจริงของผลิตภัณฑ์ โดยไม่มีใครจับได้ว่ามันคือมายากลแบบเบสิค แถมกลับไปบ้านตอนดึก โดนมะเทิ่งจิว ผู้เป็นสวามี (หรือภรรยา?) ทวงรางวัลสำหรับการชี้แนะไอเดียครั้งนี้ไปอีกหลายรอบแท่งรางวัล...

         ต้นข้าวได้รางวัลทั้งขึ้นทั้งล่อง!


หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๙ : อีงูคำคม!!! || หน้า ๘ || ๐๓/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 03-02-2017 10:32:03
จิวนี่เขาเป็นคู่คิด คู่ชีวิตต้นข้าวจริงๆนะ แล้วหลายรอบแท่งรางวัลคืออะไรอะ 555 ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๙ : อีงูคำคม!!! || หน้า ๘ || ๐๓/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 03-02-2017 11:34:49
 :L2: :pig4:

เอ้ยย ไอ้ตอนท้ายนี่เรา หรือจิวที่ทะลึ่ง เนี่ย
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๙ : อีงูคำคม!!! || หน้า ๘ || ๐๓/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: anandawan ที่ 03-02-2017 11:50:58
ช่วยกันทำมาหากินมาก
ว่าแต่ รางวัลเป็นแท่งๆ นี่มันอาราย
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๙ : อีงูคำคม!!! || หน้า ๘ || ๐๓/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 03-02-2017 11:56:29
รางวัลอะไรเป็นแท่งๆ
กินไอติมกัน ก่อนนอนเหรอ
..ฟันจะผุเอานะ..

ว่าแต่..กินกันไป
คนละกี่แท่งอ่ะ

เหลือเผื่อเราบ้างซักแท่งสองแท่งมั้ย
กินด้วยคนดิ  :z1:

อยากกินอ๊าาาาาาาาาาาา
 :ling1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๙ : อีงูคำคม!!! || หน้า ๘ || ๐๓/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 03-02-2017 13:48:31
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๙ : อีงูคำคม!!! || หน้า ๘ || ๐๓/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-02-2017 21:47:24
ฉลาดมาก เก่งมาก
จิวได้เครดิต เสนอไอเดียเขียนหลังเต่า
ต้นข้าวนำแสดง ฝีมือว่องไว เนียน จนจับไม่ได้
แถมพรีเซนต์ได้คะแนนสูงสุด
กลับบ้าน จิวได้รางวัล
สำหรับการชี้แนะไอเดียครั้งนี้ไปอีกหลายรอบแท่งรางวัล...
แต่ต้นข้าว ได้รางวัลทั้งขึ้นทั้งล่อง!   :pighaun: :haun4::jul1:
คนอ่าน ก็อยากเห็นการให้รางวัลด้วย  :z3: :z3: :z3:
ไรท์ ลงรูปแท่งรางวัลด้วยสิ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ยิ่งหลายรอบแท่งรางวัล อะจ๊ากกกก  :pighaun: :haun4::jul1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๙ : อีงูคำคม!!! || หน้า ๘ || ๐๓/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 05-02-2017 01:53:44
จิวนี่เขาเป็นคู่คิด คู่ชีวิตต้นข้าวจริงๆนะ แล้วหลายรอบแท่งรางวัลคืออะไรอะ 555 ฮ่าๆ

= เกิดมาคู่กันจริงๆ เนาะ //ส่วนแท่งรางวัล น่าจะเหมือนโล่มั้งฮะ แต่ยาวๆ หน่อย 555+


:L2: :pig4:

เอ้ยย ไอ้ตอนท้ายนี่เรา หรือจิวที่ทะลึ่ง เนี่ย

= เรานี่แหล่ะฮะ ทะลึ่งกันเอง 555+  :hao6:


ช่วยกันทำมาหากินมาก
ว่าแต่ รางวัลเป็นแท่งๆ นี่มันอาราย

= มันต้องเป็นแท่งรางวัลที่สุดแสนประทับใจมากแน่ๆ เลยอ่า  :hao6:


รางวัลอะไรเป็นแท่งๆ
กินไอติมกัน ก่อนนอนเหรอ
..ฟันจะผุเอานะ..

ว่าแต่..กินกันไป
คนละกี่แท่งอ่ะ

เหลือเผื่อเราบ้างซักแท่งสองแท่งมั้ย
กินด้วยคนดิ  :z1:

อยากกินอ๊าาาาาาาาาาาา
 :ling1:

= ทางนี้ก็อยากเหมือนกันฮะ น่าอิจฉาเค้า อิอิอิอิ   :hao7:


:pig4: :pig4: :pig4:

= ขอบคุณมากนะฮะ  o13


ฉลาดมาก เก่งมาก
จิวได้เครดิต เสนอไอเดียเขียนหลังเต่า
ต้นข้าวนำแสดง ฝีมือว่องไว เนียน จนจับไม่ได้
แถมพรีเซนต์ได้คะแนนสูงสุด
กลับบ้าน จิวได้รางวัล
สำหรับการชี้แนะไอเดียครั้งนี้ไปอีกหลายรอบแท่งรางวัล...
แต่ต้นข้าว ได้รางวัลทั้งขึ้นทั้งล่อง!   :pighaun: :haun4::jul1:
คนอ่าน ก็อยากเห็นการให้รางวัลด้วย  :z3: :z3: :z3:
ไรท์ ลงรูปแท่งรางวัลด้วยสิ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ยิ่งหลายรอบแท่งรางวัล อะจ๊ากกกก  :pighaun: :haun4::jul1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

= มันต้องเป็นรางวัลลึกลับที่เห็นกันสองคนแน่ๆ เลย อิอิอิอิ


.......................


และขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะฮะ


 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๙ : อีงูคำคม!!! || หน้า ๘ || ๐๓/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 05-02-2017 08:06:02

MBK❤lover


(http://www.bloggang.com/data/k/kampong/picture/1485729585.jpg)


ตอนที่ ๒๕ : ปลาร้าพันห่อด้วยใบคา


         บ่ายวันนี้คาบเรียนของต้นข้าวทิ้งช่วงพักนาน แต่ด้วยแดดอันร้อนแรงของที่ตั้งมหาวิทยาลัยซึ่งอยู่กลางที่โล่ง  รอบบริเวณยังไม่มีอาคารใหญ่ใดๆ รวมทั้งห้างสรรพสินค้าที่ใกล้ที่สุดคือเซ็นทรัลลาดพร้าว นั่นก็แปลว่าไกลจนกลับเข้าเมืองไปแล้ว ทำให้ช่วงพักสองชั่วโมงครึ่งนี้ไม่มีใครคิดจะฝ่าเปลวแดดแวะออกไปไหนนอกมหาวิทยาลัย

         ต้นข้าวนั่งคุยเล่นสลับกับซื้อของมากินรอเวลาเรียนอยู่กับเพื่อนในคณะกลุ่มย่อยๆ สี่ห้าคนที่ซุ้มด้านหลังอาคารเรียน แถวนี้ค่อยสบายหน่อย เพราะเป็นซุ้มที่นั่งเดี่ยวๆ แยกห่างๆ กัน และมีแนวต้นไม้ใหญ่ช่วยบรรเทาความร้อนอบอ้าวลงไปได้มาก หน้าซุ้มเป็นทางเดินไปลานจอดรถกลางแจ้งด้านหลัง มีนักศึกษาเดินผ่านไปผ่านมาเป็นกลุ่มๆ

         "ต้นข้าว" เสียงใสของนักศึกษาหญิงที่คุ้นหูเรียกต้นข้าว

         ต้นข้าวเงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นเพื่อนนักศึกษาหญิงในคณะเดียวกันมายืนกวักมือเรียกต้นข้าวอยู่หน้าซุ้ม แต่ไม่ได้เดินเข้ามา มีผู้ชายที่ไม่ได้เป็นนักศึกษาเพราะใส่ชุดไปรเวทยืนอยู่ข้างๆ ด้วย

         "อ้าว อ้อม" ต้นข้าวทัก แล้วลุกออกจากซุ้มเดินไปหา

         อ้อม เป็นสาวผิวขาวจัดเหมือนไม่ค่อยโดนแดดโดนลม หน้าตาสวยแบบผู้ดี ไม่ได้สวยแบบฉาบฉวยเหมือนวัยรุ่นทั่วไปในมหาวิทยาลัยเอกชนราคาแพงแบบที่นี่ บุคลิกของอ้อมเหมือนเป็นคุณนายคุณหญิงมากกว่าเป็นนักศึกษา ผมดกดำยาวหนา หวีเสยเปิดหน้าผากขึ้นตีโป่งด้านบนแล้วเบี่ยงผมทั้งหมดมาไว้ที่บ่าด้านเดียว เหมือนดาราในยุคเพชรา ชาวราษฎร์ ชุดนักศึกษาเรียบกริบ เข็มตรามหา'ลัยและตุ้งติ้งห้อยปกเสื้อวาวแวว กระโปรงทรงสอบแคบยาวถึงหน้าแข้ง รองเท้าคัทชูสีดำส้นเข็มสูงสามนิ้วครึ่ง

         อ้อมเป็นลูกสาวเจ้าของร้านอาหารไทยขนาดใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ใช้ของแพง ทั้งกระเป๋าถือ นาฬิกาที่ใส่ ขับรถจากัวร์สปอร์ตสองประตู แต่เจ้าตัวเองค่อนข้างจะเรียบร้อย ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใคร นั่งเรียนหลังห้องเงียบๆ คนเดียว ที่แปลกก็คือ อ้อมเป็นดาวของคณะในตอนปีหนึ่งด้วย แต่กลับทำตัวเงียบสงบมาก คบเพื่อนน้อย ผิดกับตำแหน่งที่ได้รับ

         และเมื่อต้นข้าวเดินออกไปหา จึงเห็นว่าคนที่ไม่ได้แต่งชุดนักศึกษาที่ยืนอยู่ข้างๆ อ้อม เป็นทอม ไม่ใช่ผู้ชายอย่างที่ต้นข้าวนึกทีแรก

         "อ้อมกับจุ๊บแฟนอ้อม" อ้อมพยักหน้าไปทางทอมที่ยืนข้างๆ "จะชวนต้นข้าวไปเที่ยวปาร์ตี้วันเกิดของอ้อมจ้ะ จะขอบคุณต้นข้าวด้วยที่เคยช่วยแต่งตัวให้อ้อมเมื่อตอนประกวด เพราะเราไม่ค่อยคุยกันหลังจากนั้นเลย"

         --แม่จ้าว ประกวดตั้งเกือบจะปีนึงมาแล้ว-- ต้นข้าวนึกขำในใจ ความที่ไม่ค่อยคุยกันนาน ขนาดเรียนห้องรวมคณะเดียวกันแท้ๆ


--------------------------------


         ครั้งนั้น ต้นข้าวยังอยู่ปีหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรมดาที่นักศึกษาใหม่จะได้รู้จักเพื่อนร่วมคณะ ซึ่งก็อาจจะได้ทำกิจกรรมร่วมกัน แล้วคบหาเป็นเพื่อนสนิทในวันข้างหน้ากันต่อไปได้ แต่สำหรับอ้อม ทีแรกต้นข้าวคิดว่าจะสนิทด้วย ได้ทำกิจกรรมร่วมกันหลายอย่าง จนค่อยๆ เรียนรู้กันมากขึ้น

         ตอนอ้อมถูกเพื่อนๆ คัดเลือกให้ขึ้นประกวดดาวคณะในปี ๑ ตอนนั้นต้นข้าวยังพึ่งเริ่มคบเป็นเพื่อนกับอ้อมใหม่ๆ อ้อมพาต้นข้าวตระเวนไปตามร้านตัดเสื้อชื่อดังในกรุงเทพหลายที่ เพื่อตัดชุดนักศึกษามาขึ้นเวทีประกวด ทั้งๆ ที่ตัดออกมาก็ไม่ได้ต่างกับชุดนักศึกษาที่ขายสำเร็จรูปเลย

         เมื่อได้เป็นดาวคณะ ต้องเป็นตัวแทนขึ้นประกวดดาวของมหาวิทยาลัยต่อ และเพื่อนๆ ในคณะก็เห็นแล้วว่าต้นข้าว เป็นคนที่แต่งตัวเก่ง ติดตามเรื่องแฟชั่น และสนใจในกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแสดงบนเวที จึงมอบหมายให้ต้นข้าวเหมือนเป็นพี่เลี้ยง "ดาวและเดือน" ของคณะนิเทศฯ ให้เข้าไปจัดการในทุกเรื่องของขั้นตอนประกวดระดับมหาวิทยาลัย

         ช่วงประกวดดาว-เดือนมหา'ลัย ต้นข้าวจัดหาเสื้อผ้าของเดือนได้ไม่ยาก เดือนคณะนิเทศฯ ปีนั้นชื่ออาร์ม หล่อเข้ม สูง รูปร่างดี ต้นข้าวทำจดหมายในนามคณะนิเทศฯ ขอสปอนเซอร์ยืมชุดสูทจากร้าน POLICE ที่สยามเซ็นเตอร์ ซึ่งก็ได้สมดังใจ แต่แอบทะเลาะกับจิวเล็กน้อย ที่จิวหมั่นไส้ว่าต้นข้าวดิ้นรนหาเสื้อผ้าให้เดือนคณะที่หน้าตาหล่อจนออกนอกหน้ามากไปหรือเปล่า กว่าต้นข้าวจะง้อจิวกลับคืนมาได้ ก็งอนกันไปหลายวัน

         แต่สำหรับอ้อมซึ่งเป็นดาว ต้นข้าวแทบไม่ได้มีส่วนตัดสินใจเรื่องเสื้อผ้าเลย เพราะอ้อมเป็นคนพาต้นข้าวไปเป็นเพื่อนเฉยๆ และต้นข้าวต้องตื่นตะลึง ที่เห็นอ้อมซื้อชุดราตรีกระโปรงทรงบอลลูนสั้นสำหรับใส่ประกวดจากห้องเสื้อ "ดวงใจบีส" ที่ตึกชาญอิสสระ ในราคาชุดเดียว -หนึ่งหมื่นแปดพันบาท- ซึ่งใน พ.ศ. ๒๕๓๑ ที่ราคาทองคำบาทละสี่พัน นั่นถือว่าแพงมหาศาล แต่อ้อมดึงมันออกมาจากไม้แขวนบนราวในร้านและจ่ายเงินสดซื้อง่ายๆ พร้อมกับพาไปเช่าเครื่องประดับที่ห้องเสื้อ "กาลวิน" อีกสี่พันบาท และวันงานประกวดอ้อมเกือบมาขึ้นเวทีไม่ทัน เพราะอ้อมมัวแต่ไปเสียเวลาแต่งหน้าทำผมที่สถาบันเสริมสวยเกตุวดี-แกนดินี่! ไฮโซสุด...

         ผลสรุปของการประกวด คณะนิเทศฯ ไม่ได้ตำแหน่ง คนที่ได้เดือนและดาวประจำมหาวิทยาลัยในปีนั้น มาจากคณะบริหารธุรกิจทั้งคู่ และต่อมากลายเป็นนายแบบ และดาราชื่อดัง

         ถึงแม้ว่าคณะของต้นข้าวจะไม่ได้รางวัลในระดับมหา'ลัย แต่ต้นข้าวก็จัดการเรื่องประกวดครั้งนั้นได้อย่างสมบูรณ์ ประสานงานกับคณะอื่นๆ ในการประกวดได้เป็นอย่างดี เป็นที่ชื่นชอบของบรรดาผู้เข้าประกวดและรุ่นพี่ที่เป็นผู้จัดงาน ทุกคนเห็นแววการเป็นนักกิจกรรมบนเวทีของต้นข้าว จนถึงกับออกปากชวนต้นข้าวให้มาสืบทอดร่วมเป็นผู้จัดงานในปีต่อไป

         เมื่อต้นข้าวเอาความดีใจนี้ไปเล่าให้จิวฟัง ก็ถูกจิวแขวะในความมั่นหน้าเห่อผลงานว่า ทำไมไม่ขึ้นประกวดเดือนเองซะด้วยเลยล่ะ ขึ้นประกวดเดือนเองและเป็นผู้จัดประกวดเอง จะได้รับรางวัลเองด้วยไง --ผลสุดท้ายมีการทุบถองแผ่นหลังกันอีกสองสามปึ่กใหญ่ๆ แล้วจบลงด้วยการนอนกอดกันกลมดิกเหมือนทุกที...

         หลังจากการประกวดครั้งนั้น ต้นข้าวกับอ้อมก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอยู่ แต่ไม่ได้สนิทกันมากอย่างที่คิด  เพราะความแตกต่างของการใช้ชีวิตมันคนละเรื่องโดยสิ้นเชิง


--------------------------------


         "วันเกิดอ้อมเหรอ จะไปจัดปาร์ตี้ที่ไหนอะ" ต้นข้าวทวนคำอีกครั้ง และเลยไปมองทอมข้างๆ ที่กำลังกางร่มผ้าลูกไม้สีขาว ยกขึ้นมากันแดดให้อ้อมในขณะที่ยืนคุยกันอยู่

         "จุ๊บเค้าอยากไปเที่ยว The Palace วิภาวดี อยากรอดูแข่งรถซิ่งหน้าถนนวิภาฯ ตอนเลิกด้วย เราเลยจะชวนต้นข้าวไปด้วยกันจ้ะ  จุ๊บจะไปเปิดโต๊ะวีไอพี  มีแชมเปญและเป่าเค้กด้วยนะ งานจะมีอีกสองอาทิตย์ข้างหน้าโน่น" อ้อมสาธยาย

         "จริงๆ เราตั้งใจจะไปเที่ยวดิสโก้เธคบับเบิ้ล ที่โรงแรมดุสิตธานี หรือไม่ก็โรมคลับ ที่สีลมซอย ๔  แต่เรากลัวว่าเพื่อนๆ จะเข้าไม่ได้เพราะดูหน้าตาเป็นเด็กๆ แล้วมันต้องแต่งตัวดีมากๆ ด้วย" จุ๊บเก๊กเสียงหล่อเสริมขึ้นมา

         อ้อมหันไปยิ้มให้จุ๊บ ที่กำลังเอียงร่มให้ได้มุมเพื่อบังแดด เงาแดดที่ลอดทะลุลายลูกไม้จากร่มลงมาเป็นแสงจุดๆ พราวกระจายอยู่บนทรงผมตีโป่งของอ้อม

         "เดอะพาเลซ ดิสโก้เธคน่ะเหรอ เรายังไม่เคยไปเลย เราไม่เคยเที่ยวกลางคืน" ต้นข้าวบอกอ้อมไปตามตรง และคิดในใจว่าจิวก็ไม่ชอบเที่ยวกลางคืนเหมือนกัน

         "ลองไปดูเนอะ สนุกดีจ้ะ อ้อมก็ไม่ค่อยไปบ่อยหรอก แต่จุ๊บไปบ่อย ตกลงตามนี้นะจ้ะ" อ้อมพูดยิ้มๆ แล้วยกมือขึ้นโบก

         "อ้อมไปก่อนนะ แล้วเจอกันนะจ้ะต้นข้าว อ้อ...เกือบลืม อย่าลืมชวนจิวไปด้วยนะจ้ะ จิวสบายดีนะ พักนี้ไม่ค่อยเห็นมาหา"

         "ช่วงนี้จิวมีทำรายงานที่มหา'ลัยโน่น เดี๋ยวเราชวนจิวให้นะอ้อม"

         ต้นข้าวนึกดีใจที่อ้อมซึ่งเป็นคุณนาย เอ๊ย...ผิดๆ เป็นคนนิ่งๆ ไม่ยุ่งกับใคร แต่ยังอุตส่าห์จำจิวได้แม้ว่าไม่ได้เรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน

         "จ้า อ้อมไปก่อนนะจ้ะ"

         อ้อมยิ้มให้ต้นข้าว แล้วเดินนวยนาดช้าๆ ตรงไปทางลานจอดรถพร้อมกับทอมสุดหล่อที่กางร่มลูกไม้บังแดดให้เดินตามไปติดๆ

         ...................

         "เดินย่างเยื้องเป็นนางหงส์เหมราชเลย มีข้าทาสคอยกางฉัตรบังเงาให้อีก แม่คุณเอ๋ย... อ้อมมาหามึงทำไมวะต้นข้าว" พริกถามหลังจากต้นข้าวเดินกลับมาในซุ้มแล้ว ปากพริกกำลังแทะข้าวโพดปิ้งอยู่

         ต้นข้าวทรุดตัวลงนั่ง ปาดเหงื่อที่ยืนตากแดดคุยอยู่กลางแจ้งซะนาน "มาชวนกูไปเที่ยวปาร์ตี้วันเกิดอ้อมที่เดอะพาเลซว่ะ"

         "อ้อมเนี่ยนะจะไปเที่ยวเดอะพาเลซ กูนึกภาพไม่ออกเลยว่าคุณนายขนาดนั้น เข้าเธคแล้วมันจะสนุกยังไง" พริกรำพึงขึ้นมา

         "ไม่สนุกหรอกไปกับคุณนายแบบนั้น ไปด้วยกันดีกว่าไหมต้นข้าว ชวนจิวไปด้วย นี่แจ๊สจะกลับมาจากอังกฤษตอนซัมเมอร์นี้แล้ว จะได้ไปเที่ยวด้วยกัน สนุกกว่านะ" เอกเสริมขึ้นมา

         "ก็น่าจะดีนะ" สมพลเห็นด้วย  "ไม่งั้นเอางี้ เราก็ไปวันเดียวกับอ้อมนั่นแหล่ะ ให้ต้นข้าวมันไปพร้อมอ้อม จะได้ไม่เสียเพื่อนที่อุตส่าห์ชวน แต่พวกเราก็ไปอีกโต๊ะนึง ต้นข้าวได้เดินมาหาเราได้ จะได้ปีนขึ้นไปเต้นบนลำโพงด้วยกัน สนุกกว่าน่า" สมพลเสนออีกไอเดียหนึ่ง

         "ดีเหมือนกันนะมึง ต้นข้าว ไปด้วยกันมาด้วยกันเพื่อนไม่เคยทิ้งกัน" พริกสนับสนุนอีกหนึ่งเสียง

         "กูจะเป็นตัวตั้งตัวตีพามึงไปเอง จะให้เลี้ยงดริ้งค์ด้วยก็ได้ แต่มีข้อแม้เล็กน้อยว่ะ เอาไหม" สมพลยื่นข้อเสนอให้ต้นข้าว

         "ข้อแม้อะไรวะ" พริกรีบถามแทนต้นข้าว ตอนนี้พริกหยุดแทะข้าวโพดแล้ว กำลังหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ

         "เออ อะไรของมึงวะ" เอกถามต่ออีกคน

         "ง่ายๆ เลยนะ ต้นข้าว มึงต้องหัดสูบบุหรี่ให้เป็นภายในอาทิตย์นี้ แล้วกูจะพามึงไปเปิดหูเปิดตา แถมเลี้ยงดริ้งค์มึงด้วยที่เดอะพาเลซ" สมพลโพล่งออกมา

         "................"

         ความเงียบปกคลุมซุ้มนั้นขึ้นมาชั่วคราว ไม่มีใครพูดอะไร สมพลมองหน้าต้นข้าวเหมือนรอคำตอบ  เอกจ้องหน้าสมพลอีกที  เพื่อนอีกคนที่ไม่สูบบุหรี่ ยกแก้วน้ำขึ้นมาดูดจนไม่เหลือน้ำติดก้นแก้ว ส่วนอีกคนที่นั่งอยู่สุดโต๊ะ จู่ๆ ก็ยกหนังสือขึ้นมาอ่านซะอย่างนั้น...

         มีเสียงดัง "ฟู่!!" พร้อมกับกลิ่นฟอสฟอรัสโชยมาที่หัวโต๊ะ ทุกคนหันไปตามกลิ่นและเสียง

         พริก กำลังจุดบุหรี่ด้วยไม้ขีดไฟตราพระยานาค นางเอาสองมือป้องลม จ่อเปลวไฟจุดที่ปลายมวนบุหรี่  พอติดแล้วก็แหงนหน้าขึ้นพ่นควันบุหรี่ยาวต่อเนื่องเป็นสายขึ้นไปบนอากาศ เอานิ้วดีดก้านไม้ขีดหวือผ่านหน้าต้นข้าวไป พร้อมกับเอ่ยลอยๆ เป็นโคลงโลกนิติว่า...

         "ปลาร้าพันห่อด้วย    ใบคา
         ใบก็เหม็นคาวปลา     คละคลุ้ง
         คือคนหมู่ไปหา         คบเพื่อน พาลนา
         ได้แต่รายร้ายฟุ้ง       เฟื่องให้เสียพงศ์"

         "ตั้งกะกูคบมึงมาเนี่ย มีวันนี้แหล่ะที่มึงพูดคำคมได้ดีที่สุด ถูกเวลาที่สุด และไม่น่ารำคาญที่สุด อีงู" เอกหันไปบอกพริกยิ้มๆ แล้วพูดกับสมพลต่อ

         "ไหน มึงลองบอกเหตุผลซิ ไอ้สมพล ทำไมมึงถึงจะให้ต้นข้าวหัดสูบบุหรี่ มันเป็นคนดีอย่างนี้ก็ดีแล้วนะโว้ย ไหนจะไอ้จิวอีก มันรู้เรื่องนี้ มันเอามึงตายแน่"

         "ไม่มีอะไร" สมพลหัวเราะหึหึ "กูลองใจมันเล่นขำๆ เผื่อมันอยากโตขึ้นมาอีกขั้นเว้ย เวลาไปเที่ยวเธคหรูๆ แต่งตัวดีๆ กินเหล้า สูบบุหรี่ มีรถแต่งสวยๆ เท่ฉิบ ใครก็มอง สูบบุหรี่แค่นี้เป็นไรว้า พวกมึงนี่ โตแล้วนะมึง"

         "กวนนะมึงไอ้สมพล ชวนบ้าๆ บอๆ เรื่องดีๆ มีไม่ชวน ต้นข้าวไม่ต้องไปฟังมันนะ" พริกหันไปบอกต้นข้าว

         ต้นข้าวได้แต่หันไปมองคนโน้นคนนี้ ไม่ได้พูดอะไร ปล่อยให้เพื่อนสามคนนั่นพูดกระแทกกันเรื่องบุหรี่สักพักใหญ่ และหัวข้อคุยก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่น จนกระทั่งได้เวลาขึ้นเรียน


--------------------------------


         ดึกคืนนั้นที่บ้านต้นข้าว จิวไม่ได้มาค้างด้วยเพราะมีงานที่บ้าน ต้นข้าวยืนอยู่หน้าชั้นวางของข้างล่าง บนนั้นมีกระเป๋าทำงานของพ่อ เอกสารเล็กๆ น้อยๆ รวมทั้งซองบุหรี่วินสตันและไฟแช็คซิปโป้วางอยู่

         ตาต้นข้าวมองไปที่ซองบุหรี่นั้น คำพูดจากเพื่อนเมื่อตอนบ่ายยังลอยอยู่ในหัว

         --เผื่อมันอยากโตขึ้นมาอีกขั้น--
         --เผื่อมันอยากโตขึ้นมาอีกขั้น--
         --เผื่อมันอยากโตขึ้นมาอีกขั้น--

         ต้นข้าวกำมือแน่นอยู่ข้างตัว ฝ่ายดีและฝ่ายมารกำลังตีกันในร่างกาย ข้างหนึ่งก็บอกกับตัวเองว่า อย่าลองเลย ไม่ดีหรอก และอีกข้างก็กระซิบแว่วมาว่าไม่อยากโตขึ้นอีกขั้นเหรอ เก่งแล้ว ทำงานหลายชิ้นสำเร็จ คนชมหลายเรื่อง โตพอล่ะ

         มือที่กำแน่นเริ่มคลายออก ต้นข้าวตัดสินใจแล้ว...


หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๐ : ปลาร้าพันห่อด้วยใบคา || หน้า ๘ || ๐๕/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: anandawan ที่ 05-02-2017 09:31:22
ถ้าทำจริง จะจับตีให้ก้นลาย
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๐ : ปลาร้าพันห่อด้วยใบคา || หน้า ๘ || ๐๕/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 05-02-2017 10:02:39
เมื่อก่อนก็คิดกันอย่างนั้น
ตอนนี้ควรรู้ว่ามันโง่นะ

 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๐ : ปลาร้าพันห่อด้วยใบคา || หน้า ๘ || ๐๕/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 05-02-2017 13:33:28
ไม่มีใครบังคับใจของเราได้
นอกจากบังคับหรือตามใจตัวของเราเอง

อย่าไปคิดโทษคนอื่นเลย
ทุกสิ่งอย่างล้วนขึ้นอยู่กับตัวเรา

คิดจะทำหรือไม่ทำ

ตอนหน้ารู้กัน
ต้นข้าวจะติดหรือไม่ติด
แล้วจิวล่ะ..จะว่ายังไง

ยังหนุกเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๐ : ปลาร้าพันห่อด้วยใบคา || หน้า ๘ || ๐๕/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 05-02-2017 20:17:48
  จะไปเที่ยวเทคครั้งแรกแล้วต้นข้าว พ่อแม่จะให้ไปมั้ย แล้วจะมีแผนร้ายอะไรมั่ย
  รอ รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๐ : ปลาร้าพันห่อด้วยใบคา || หน้า ๘ || ๐๕/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 05-02-2017 21:52:08
อ่านแล้วขำก๊ากกก เลย
ที่ต้นข้าว ถูกจิวแขวะในความมั่นหน้าเห่อผลงาน
ผลสุดท้ายมีการทุบถองแผ่นหลังกันอีกสองสามปึ่กใหญ่ๆ
แล้วจบลงด้วยการนอนกอดกันกลมดิกเหมือนทุกที... :ling1: :ling1: :ling1:
สมัยก่อน คนสูบบุหรี่เป็น ถือว่าโตแล้ว /คนอ่านรู้ดี
แต่ต้นข้าวเอาโรคเข้าตัวนะ ตายไวเลยแหละ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๐ : ปลาร้าพันห่อด้วยใบคา || หน้า ๘ || ๐๕/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Missmu ที่ 07-02-2017 20:36:45
 o13
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๐ : ปลาร้าพันห่อด้วยใบคา || หน้า ๘ || ๐๕/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 08-02-2017 00:09:03
ถ้าทำจริง จะจับตีให้ก้นลาย

= สงสัยต้นข้าวจะก้นลายก็งานนี้ล่ะฮะ 555+


เมื่อก่อนก็คิดกันอย่างนั้น
ตอนนี้ควรรู้ว่ามันโง่นะ

 :L2: :pig4:

= ใช่แล้วฮะ ช่วยกันลุ้นให้ต้นข้าวคิดได้เนาะ


ไม่มีใครบังคับใจของเราได้
นอกจากบังคับหรือตามใจตัวของเราเอง

อย่าไปคิดโทษคนอื่นเลย
ทุกสิ่งอย่างล้วนขึ้นอยู่กับตัวเรา

คิดจะทำหรือไม่ทำ

ตอนหน้ารู้กัน
ต้นข้าวจะติดหรือไม่ติด
แล้วจิวล่ะ..จะว่ายังไง

ยังหนุกเหมือนเดิม

= คุณพูดได้ถูกต้องที่สุดเลย //ขอบคุณมากน๊า


  จะไปเที่ยวเทคครั้งแรกแล้วต้นข้าว พ่อแม่จะให้ไปมั้ย แล้วจะมีแผนร้ายอะไรมั่ย
  รอ รออ่านตอนต่อไปคับ

= เมื่อสุราพาไป อะไรก็เกิดขึ้นได้เนอะ


อ่านแล้วขำก๊ากกก เลย
ที่ต้นข้าว ถูกจิวแขวะในความมั่นหน้าเห่อผลงาน
ผลสุดท้ายมีการทุบถองแผ่นหลังกันอีกสองสามปึ่กใหญ่ๆ
แล้วจบลงด้วยการนอนกอดกันกลมดิกเหมือนทุกที... :ling1: :ling1: :ling1:
สมัยก่อน คนสูบบุหรี่เป็น ถือว่าโตแล้ว /คนอ่านรู้ดี
แต่ต้นข้าวเอาโรคเข้าตัวนะ ตายไวเลยแหละ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

= เรามาลุ้นอย่าให้ต้นข้าวทำกันนะ  :ling1:


o13

= ขอบคุณมากนะฮะ


.......................


 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๐ : ปลาร้าพันห่อด้วยใบคา || หน้า ๘ || ๐๕/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 08-02-2017 12:36:30

MBK❤lover


(http://www.bloggang.com/data/k/kampong/picture/1485729585.jpg)


ตอนที่ ๒๖ : เก็บหยดฝนมาร้อยเป็นสร้อย


         ต้นข้าวตัดสินใจที่จะลองหัดสูบบุหรี่!!

         หนุ่มน้อยวัยกำลังโต วัยที่คิดว่าตัวเองแน่แล้ว วัยที่กำลังเต็มไปด้วยความฝัน กำลังอยากรู้อยากเห็น เคยนึกบอกกับตัวเองว่า วันหนึ่งจะต้องทำในทุกสิ่งด้วยความสามารถของตัวเอง และจะทำให้คนทุกคนยอมรับในความสำเร็จของตนเองให้ได้

         ดังนั้นอย่ามาท้า...

         ต้นข้าวเคาะบุหรี่ Winston ของพ่อออกจากซอง สองมวน เดินเลยไปที่หน้าหิ้งพระหยิบกลักไม้ขีดไฟตราพระยานาคติดมือขึ้นห้องนอนมาด้วย มือกดล็อคประตู เดินไปก้มหยิบที่เขี่ยบุหรี่ใต้ตู้ซึ่งเตรียมไว้ให้จิวตลอดเวลา อดแปลกใจไม่ได้เมื่อพึ่งสังเกตเห็นว่าที่เขี่ยบุหรี่มันดูสะอาดสะอ้าน เหมือนไม่เคยผ่านการใช้งานเลย

         ผู้โดนท้าและต้องการเอาชนะ นั่งบนขอบเตียง วางอุปกรณ์ทุกสิ่งไว้รอบตัว ขีดไม้ขีดไฟฟู่แรกขึ้นมา แต่ยังไม่ทันจุดกับบุหรี่ ความที่เงอะๆ งะๆ ยังไม่ประสา ทำให้ไม้ขีดไฟดับไปก่อน

         ต้นข้าวจุดไม้ขีดอีกครั้ง คราวนี้ติดดีแล้ว เอาไฟไปจ่อกับปลายบุหรี่ที่มือ ท่าเดียวกับจุดเทียนจุดธูป

         --มันไม่ติดนี่หว่า อ้อ ต้องจุดแล้วดูดไปด้วยสินะ--

         คนหัดสูบจึงเอาบุหรี่ขึ้นมาแตะคาบไว้ที่ปากแล้วลนไฟใหม่ ดูดลมเข้าไปสองครั้ง ควันกรุ่นออกมาตามปากและจมูก

         "โคลกๆๆๆ แค่กๆๆ" เสียงไอตามมาสนั่นหวั่นไหว หน้าดำหน้าแดง หนุ่มน้อยน้ำตาไหลพรากเพราะควันบุหรี่เข้าตา รีบวางบุหรี่ลงบนจานเขี่ยบุหรี่ แล้วลุกขึ้นไปยืนข้างหน้าต่าง สะบัดหน้าไล่ความมึนออกไป --จะไหวไหมเนี่ย--

         แต่ความพยายามยังไม่จบ ต้นข้าวเดินกลับไปนั่งใหม่ แล้วหยิบมวนบุหรี่ที่จุดแล้วขึ้นมาอีกครั้ง กลั้นใจดูดลมผ่านมวนบุหรี่เข้าไปลึกๆ ครั้งหนึ่ง แล้วสำลักออกมาเล็กๆ แล้วแหงนหน้าพ่นควันยาวออกมาเหมือนพวกมือโปร หนุ่มน้อยแอบยิ้มเล็กๆ --ทำได้นี่หว่า-- แล้วลองดูดแรงๆ แบบนั้นอีกหลายครั้ง สลับกับการไอโคล่กๆ เป็นระยะ

         อีกสิบนาทีต่อมา ต้นข้าวก็ได้รับผลที่ทำลงไปทั้งหมด คือการแพ้สารนิโคตินในบุหรี่อย่างรุนแรง หรือภาษาขี้ยาเรียกว่า "เมาบุหรี่" เริ่มจากมีอาการมึนหัวอย่างหนัก สาร Dopamine ในสมองถูกนิโคตินไปกระตุ้น ทำให้หัวใจเต้นแรง เหงื่อออกตามซอกคอและฝ่ามือ จมูกและปากแห้งผาก มีอาการคลื่นไส้อยากจะอาเจียน มึนงง สับสน แสบตา ห้องนอนหมุนคว้าง จนต้องลงไปนอนแผ่หลับตาบนเตียง และเพราะความเวียนหัวอย่างรุนแรงจึงผล็อยหลับลึกยาวไปเลยข้ามคืน

         ......................

         เช้าวันรุ่งขึ้น จิวมาหาถึงบ้าน เคาะประตูห้องอยู่นาน ต้นข้าวถึงเดินสะโหลสะเหลไปเปิดประตูห้องนอนให้ จิวทำจมูกฟุดฟิดๆ หันไปมองรอบๆ ห้อง

         "นี่แอบหัดสูบบุหรี่หรือ" จิวหันไปถามต้นข้าว ตาก็มองสำรวจไปทั่วตัว

         "เปล่า ไม่ได้สูบ" ต้นข้าวอ้อมแอ้มบอก ตาหลบลงต่ำ

         "ยังจะปากแข็งอีก แล้วนี่ก้นบุหรี่ใคร ดับแบบหักครึ่งตัวในที่เขี่ยบุหรี่นี่ หืม มันคือคนดับบุหรี่ไม่เป็นนะนี่" จิวหยิบก้นบุหรี่ที่หักครึ่งชูขึ้นมา

         "ไปล้างหน้าแปรงฟันให้สดชื่นก่อนไป๊ แล้วจะบอกอะไรให้ฟัง" จิวจับแขนต้นข้าวให้ลุกขึ้นจากท่านั่งคอตกที่ขอบเตียง

         อีกสิบห้านาทีต่อมา ต้นข้าวหน้าตาสดใสขึ้น แต่ยังหลบสายตาอยู่ มือถือกาแฟร้อนมาด้วยสองถ้วย ส่งให้จิวถ้วยหนึ่ง ส่วนตัวเองถืออีกถ้วยไปนั่งเป่าให้คลายความร้อนโดยหันหลังให้ที่ปลายเตียง

         "ทำผิด คิดว่าอยู่ปลายเตียงแล้วพ้นผิดหรือไง" จิวยักคิ้วข้างหนึ่งให้กับแผ่นหลังของคนที่รู้ความผิดนั่น

         "เปล่า..." เสียงอ่อยๆ จากต้นข้าว

         "หันมานี่ แล้วฟังนะ" จิวพูดกับต้นข้าวด้วยเสียงอ่อนโยน

         "ดูจากสภาพแล้ว คิดว่าคงไม่รอด ใช่ไหม"  คนพูดจับคางต้นข้าวยกขึ้นมามองหน้า  "จิวจะไม่ห้ามต้นข้าวหรอกนะ ว่าควรหรือไม่ควร แต่เดาแล้วต้นข้าวคงมีคำตอบเองกับตัวแล้วล่ะ

         แต่จิวจะบอกอะไรให้อย่างหนึ่งนะ จิวก็เป็นคนหนึ่งที่สูบบุหรี่ตั้งแต่มัธยม แต่ต้นข้าวเคยสังเกตไหมว่าต้นข้าวแทบจะไม่เคยเห็นจิวสูบบุหรี่ต่อหน้าต้นข้าวเลย น้อยมากๆ ที่จะเห็น ดูอย่างที่เขี่ยบุหรี่นี่สิ" จิวยกจานเขี่ยบุหรี่ที่เจ้าตัวทำความสะอาดเมื่อสักครู่แล้วชูขึ้นมา

         "ต้นข้าวเตรียมที่เขี่ยบุหรี่นี้ให้จิวมาตลอดตั้งแต่บ้านเก่าจนถึงบ้านใหม่ที่นี่ แล้วรู้ไหมว่าจิวไม่เคยใช้มันเลย เพราะอะไร เพราะจิวไม่เคยสูบบุหรี่ต่อหน้าต้นข้าวไง ตลอดเวลาใกล้กัน จิวไม่เคยเลยที่ทำร้ายต้นข้าวด้วยบุหรี่"

         ต้นข้าวมองตามที่เขี่ยบุหรี่นั้น จริงสิ ถึงว่ามันสะอาดอยู่เสมอ เหมือนไม่เคยผ่านการใช้มาเลยด้วยซ้ำ

         "จิวรู้ว่าจิวผิดที่สูบบุหรี่ ซึ่งมันไม่ได้เป็นเรื่องดีเลยสำหรับตัวจิวเอง จิวรู้  แต่มันก็ติดมานานแล้วไง ทำไงได้ แต่ไม่ได้แปลว่าจิวอยากให้ต้นข้าวหรือใครๆ รอบตัวจิวต้องสูบบุหรี่ตามไปด้วยหรอกนะ"

         จิวดึงต้นข้าวเข้ามากอดใกล้ๆ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำยารีดผ้าบนเสื้อจิวยังอยู่ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของผมที่พึ่งสระมาของจิวยังอยู่ กลิ่นเนื้อหนุ่มของจิวที่ต้นข้าวคุ้นชินมาตลอดสี่ห้าปีนี้ยังอยู่ ทั้งหมดนี้ไม่มีกลิ่นบุหรี่จริงๆ ด้วย

         "จิวไม่อยากให้คนที่จิวรัก ต้องมารับสิ่งแย่ๆ ของบุหรี่ไปด้วย ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม"

         ต้นข้าวจ้องหน้าจิวนิ่ง...

         จิวก้มลงไปจูบต้นข้าวเบาๆ ที่ริมฝีปาก หนุ่มน้อยรับรอยจูบนั้น  หลับตาลง แน่นอนว่ามันไม่มีกลิ่นบุหรี่ปนอยู่ในลมหายใจอุ่นนั้น

         สิ่งแบบนี้สินะที่ต้นข้าวต้องการและโหยหามันมากกว่าบุหรี่ รสสัมผัสแห่งความปรารถนาดีครั้งนี้ นุ่มนวล แผ่วหวาน แช่มชื่น สุขสม เนิ่นนาน ทำให้ทั้งตัวเบาเหมือนลอยอยู่บนอากาศ

         จูบครั้งนี้ย้ำเตือนต้นข้าวว่า ไม่มีสารเสพติดใดที่ทำให้มนุษย์เกิดความต้องการเสพ มากเท่ากับ "ความรัก" และ "ความหวังดี"

         สิ่งเสพติดที่น่าลุ่มหลงที่สุดสำหรับ "มนุษย์" นั่นก็คือ "มนุษย์อีกคน" ต่างหากล่ะ

         จิวถอนปากออก เอามือขยี้หัวต้นข้าว แล้วพูดยิ้มๆ ให้

         "คนเก่งของจิวในวันข้างหน้า ต้องเท่เพราะผลงาน เท่ตอนขึ้นไปรับรางวัลบนเวที ไม่ใช่เท่เพราะบุหรี่"


--------------------------------


THE PALACE DISCOTHEQUE  ถนนวิภาวดี


         วันเกิดอ้อมที่นัดกันไว้ก็มาถึง เพื่อนๆ ที่มหา'ลัย รวมทั้งจิว มาแต่งตัวที่บ้านต้นข้าวพร้อมกัน

         เด็กวัยรุ่นกำลังจะเที่ยวดิสโก้เธคสมัยนั้น ต้องนัดกันมาแต่งตัวบ้านเพื่อน บางคนก็ไม่ได้บอกที่บ้านตรงๆ ว่าไปเที่ยว แต่อ้างว่าไปค้างบ้านเพื่อน บางคนก็ไม่กล้าแต่งตัวออกจากบ้านก็มี ต้องออกมาแต่งพร้อมๆ กัน เข้าเธคพร้อมๆ กัน

         การไปเที่ยวเธคแต่ละครั้ง ต้องพิถีพิถันในการแต่งตัวอย่างมาก เหมือนต้องประชันขันแข่งกัน ไม่มีการไปแบบง่ายๆ เสื้อยืดตัวกางเกงยีนส์ตัว เพราะถ้าแต่งแบบนั้น แทบจะเดิน แทบจะออกไปเต้นไม่ได้ สิ้นสง่า อายผู้อายคนกันเลยทีเดียว

         คืนนี้ต้นข้าวใส่เสื้อเชิร์ตแขนสั้นลินินสีขาว สกรีนตัวหนังสือตัวใหญ่คาดเต็มบ่าหลัง เป็นยี่ห้อดีไซน์เนอร์ชื่อดังของยุค "ชูลาภ - CHULARP" สวมกางเกงลูกฟูกสีขาวยี่ห้อแพคชิโน รองเท้าหนังคัทชูหัวแหลม หวีผมเปิดหน้าเรียบขึ้นไป เผยวงหน้าที่หล่อกระจ่างสมวัย

         ส่วนจิว ใส่เชิร์ตแขนยาวและกางเกงดำ ทั้งชุดเป็นของยี่ห้อ POLICE ผมที่ค่อนข้างยาวปรกคอของจิว วันนี้ใส่เยลหวีเรียบเสยขึ้นหมด ต้นข้าวเห็นแล้วถึงกับแซวว่า คืนนี้จะไม่ปล่อยจิวให้คลาดสายตาเลย เพราะกลัวคนมาจีบ!

         ขาไปต้นข้าวเป็นคนขับ จิวนั่งคู่ด้านหน้า มีอีงู เอก และแจ๊สผู้ซึ่งกลับมาพักร้อนจากอังกฤษ นั่งด้านหลัง ส่วนสมพล เพื่อนที่ท้าต้นข้าวเอาไว้เรื่องบุหรี่ จะตามไปเจอในเธคเลยเพราะบ้านอยู่ใกล้กับที่เที่ยวมากกว่า

         ลานจอดรถด้านหน้าเต็ม เพราะทางเธคสำรองที่จอดรถให้เฉพาะรถที่แต่งโชว์และรถซิ่งมาจอดเท่านั้น ต้นข้าวเลี้ยวเข้าไปจอดด้านหลัง ก่อนดับเครื่องรถ วิทยุที่เปิดค้างอยู่ในรถ พูดสปอตโฆษณาของเดอะพาเลซพอดี

         "เก็บหยดฝนมาร้อยเป็นสร้อย
         ประดิษฐ์ประดอยสายฟ้าเสียบผม
         คลี่เมฆหมอกพันร่างพร่างพรม
         ฝังร่างจมหายไปใน The Palace"


         พอทุกคนได้ยินสปอตวิทยุนี้ ก็ก้มลงไปมองชุดของตัวเองโดยอัตโนมัติ โดยเฉพาะพริก ซึ่งอยู่ในเสื้อหลวมตัวโคร่งที่กำลังเป็นที่นิยมของยี่ห้อ "ไข่ จูเนียร์" ต้องยกมือขึ้นมาแตะบนหัวตัวเอง ว่าแถบผ้าคาดหน้าผากสีเดียวกับเสื้อยังอยู่ดีหรือเปล่า

         "ทำไม จะเช็คดูว่าสายฟ้าที่เสียบผมอยู่หลุดไหมเหรอ" จิวแซวพริก คนถูกแซวหันมาค้อนขวับ

         "แล้วสวยไหมล่ะ"

         จิวหัวเราะเอิ้กอ้าก "สวยมั้ง ดูตอนมืดๆ นะ"

         ...................

         เดอะพาเลซ เป็นดิสโก้เธคขนาดใหญ่ และทันสมัยที่สุดของกรุงเทพฯ เป็นเธคเต็มรูปแบบ ที่มีทั้งฟลอร์เต้นรำ เวที วงดนตรี ดีเจ. และมีวีดีโอวอลล์ (จอฉายภาพมิวสิควีดีโอขนาดใหญ่บนผนัง) เป็นแห่งแรกๆ ของไทย ค่าผ่านประตูซื้อเป็นดื่ม ดื่มละ ๘๐ บาท ถ้าวันศุกร์-เสาร์จะเพิ่มเป็นคนละ ๒ ดื่ม

         "แล้วคุณนายอ้อม นั่งอยู่โต๊ะไหนเหรอต้นข้าว" เอกถาม พร้อมส่งห่อของขวัญสลับให้แจ๊สไปถือไว้แทนก่อน คืนนี้เอกก็ดูสดใสไม่แพ้ใคร คงเพราะมีแจ๊สมาเที่ยวด้วย เห็นเดินจูงมือกันไม่ห่าง

         "อ้อมโทรมาบอกก่อนออกมาว่า จองโซฟาชั้นลอยไว้ ขึ้นทางบันไดวนก็เจอเลย" ต้นข้าวบอก เงยหน้าแหงนขึ้นไปมองชั้นบน แต่มืดมองไม่เห็นอะไร

         ตอนนี้ยังไม่สี่ทุ่มดี คนยังไม่เยอะ และดีเจ. ยังไม่เริ่มเปิดเพลงสำหรับเต้น ยังเป็นเพลงช้าๆ แนวฟังสบายอยู่ กลางเพดานฟลอร์เต้นรำ มีลูกมิลเลอร์บอล หรือลูกบอลกระจกเงาทรงกลมหมุนได้ขนาดใหญ่มากสำหรับสะท้อนแสงไฟ ดูน่าตื่นตาตื่นใจ มันกำลังหมุนช้าๆ สะท้อนแสงเป็นจุดๆ วิบวับไปทั่วทั้งร้าน เหมือนดวงดาวที่พร่างพราวอยู่ในราตรีแห่งจักรวาล กำลังเปล่งแสงพิเศษ ที่ส่องไปโดนใครก็สวยก็หล่อดูดีหมด เหมือนว่าทั้งร้านมีแต่เทพบุตร เทพธิดา สมกับเป็น "กรุงเทพราตรี - เมืองแห่งเทพ" ที่น่าอัศจรรย์จริงๆ

         ...................

         "อ้อม สุขสันต์วันเกิดจ้า" ต้นข้าวยืนอยู่หน้าโซฟาบนชั้นลอยที่อ้อมนั่ง ร้องเรียกอ้อมเข้าไปก่อนตัว

         อ้อมหันหน้ามาแล้วยืนขึ้นต้อนรับ ยิ้มให้กับทุกคน

         "โอ้ย ดีใจจัง นั่งก่อนๆ"

         ความที่เป็นผู้หญิงเหมือนกัน พริกหรืออีงู ก็ไม่พลาดช็อตนี้ ขณะที่อ้อมลุกขึ้นยืนเต็มตัว พริกก็พิจารณาชุดของอ้อมจากหัวจรดเท้าทันที

         คืนนี้อ้อมใส่เสื้อต่วนสีขาวตัวใหญ่โคร่งแบบโอเวอร์ไซส์ ยาวลงมาถึงเข่า ตรงกลางเสื้อสกรีนเป็นใบหน้าของ "มาริลิน มอนโร" ที่ใหญ่มากจนเกือบเต็มส่วนหน้าของเสื้อ มันเป็นเสื้อคอลเลคชั่นใหม่จากร้าน "SODA POP" กางเกงรัดรูปสีดำมันเงา รองเท้าส้นเข็มสีดำแบบคลาสสิคสูงสี่นิ้วจากร้านมณีศิลป์  ผมด้านหน้าตีกระบังโป่งเหมือนอย่างเคย แต่เพิ่มผ้าคาดผมแถบใหญ่สีขาวเข้าไปอีก รวบปลายผ้าขึ้นไปผูกเป็นโบว์ใหญ่อยู่ข้างบนกระบังอีกที

         ที่คอ ใส่สร้อยอะคริลิคสีขาวเป็นรูปเรขาคณิตอันใหญ่ห้อยยาวลงมาถึงใต้อก และใส่ตุ้มหูแบบห้อย เป็นอะคริลิคสีขาวทรงกลม ใหญ่เกือบเท่าฝ่ามือ เวลาหันข้าง ตุ้มหูบังใบหน้าครึ่งล่างมิด มองไม่เห็นปากว่าพูดคุยหรือทำอะไร

         พริกแอบขำ  ใจหวนคิดไปถึงสปอตวิทยุที่โฆษณาพาเลซเมื่อกี้อีกที

         "เก็บหยดฝนมาร้อยเป็นสร้อย
         ประดิษฐ์ประดอยสายฟ้าเสียบผม..."


         --คนคิดสปอตนี้มันอยู่บ้านข้างๆ อ้อมป่าวหว่า-- ทำไมเหมือนถอดแนวออกมาเลย เว่อร์วังดีแท้ๆ

         "พวกเราเอาของขวัญวันเกิดมาให้อ้อมจ้า" เอกบอก พร้อมทั้งยื่นของขวัญให้อ้อม คนอื่นๆ ก็ยื่นตามรวมทั้งต้นข้าวและจิว

         จุ๊บแฟนทอมของอ้อม เตรียมจะหยิบแก้วผสมเหล้าให้

         "ไม่ต้องจ้า จุ๊บ ขอบคุณมาก พวกเราเอาของขวัญมาให้เฉยๆ อะ เพื่อนอีกคนมีโต๊ะอยู่ข้างล่างอ่า เดี๋ยวเราลงไปแจมกับเค้า" เอกหันไปบอกจุ๊บ

         อ้อมนั่งไขว่ห้างท่าเก๋อยู่กลางโซฟา มือกรีดจับก้านแก้วแชมเปญยกขึ้นมาจิบ "เสียดาย น่าจะนั่งสนุกกันตรงนี้เนอะ"

         --สนุกเหรอ?-- อีงูคิดในใจ นั่งเชิ่ดเป็นคุณนายซะขนาดนี้

         "เดี๋ยวเราเดินเวียนขึ้นมาหาอ้อมนะ" ต้นข้าวเสริมอีก

         "โอเค อย่างงั้นก็ได้จ้ะ เดี๋ยวมีเพื่อนตามมาอีกหลายคน มีรุ่นพี่มาด้วย อย่าลืมขึ้นมาตอนเป่าเค้กด้วยนะ" อ้อมย้ำอีกที

         ทั้งหมดก็ขอตัวออกมาจากโต๊ะของอ้อม เดินลงบันไดวนลงมา ตอนนี้ดีเจ. เริ่มเปิดเพลงเร็วสำหรับเต้นแล้ว ลูกค้าข้างล่างหนาตาขึ้นอย่างรวดเร็ว เพลงเปิดฟลอร์เป็นเพลงสากลฮิตติดชาร์ตจากเมืองนอก เปิดสลับกับเพลงไทยแนวแดนซ์ด้วย แล้วแต่ว่าช่วงไหนฮิตเพลงอะไร บางเพลงเปิดคืนละ ๕-๖ รอบก็มี

         ตอนนี้ดีเจ. กำลังเปิดเพลง One Night in Bangkok ของ Murray Head กลางฟลอร์เริ่มมีคนออกไปเต้นกันแล้ว ส่วนลูกบอลกระจกตอนนี้หยุดหมุนและเลื่อนขึ้นไปเก็บสูงติดเพดาน ระบบไฟเปลี่ยนไปเป็นไฟเธคที่รูปทรงเหมือนจานบิน มีก้านยื่นออกไปรอบๆ แปดทิศเหมือนขาแมงมุม ฉายแสงเป็นลำสลับสีวูบวาบลงมาที่กลางฟลอร์ รวมทั้งเสียงเบสจากลำโพงที่กระแทกหูดัง ตุ๊บ ตุ๊บ...ทำให้เกิดความเร้าใจไปทั้งฮอลล์แห่งนี้

         ทุกใบหน้าขณะนี้มีแต่รอยยิ้ม ลืมเรื่องขุ่นข้องหมองใจใดๆ ในชีวิต ลืมเรื่องเรียน ลืมเรื่องสอบ ลืมเรื่องเศร้า  การสูบฉีดของหัวใจในสถานที่แห่งนี้ มีจังหวะของดนตรีเข้าไปแทนที่

         ต้นข้าวกำลังผงกหัวไปมาหงึกหงึก...ตามเสียงเบส ขณะที่จิวลากมือต้นข้าวเพื่อจะเอาคูปองบัตรผ่านประตูไปแลกดริ้งค์ที่เคาเตอร์บาร์

         "เฮ้ย ดารา!"

         ต้นข้าวสะกิดจิว เมื่อเห็นว่าหน้าบาร์ฝั่งใต้บันไดวน มีดาราชายวัยรุ่นที่กำลังโด่งดังตอนนี้ยืนอยู่สองคน กำลังคุยกับสาววัยรุ่นหน้าตาแบบลูกครึ่งคนหนึ่งอยู่ ซึ่งสวยมาก ตาจมูกคิ้วสวยโดยไม่ต้องแต่ง ในมุมมองของเด็กเรียนสาขาการละคร ต้นข้าวคิดว่าหน้าตาแบบนั้นคงจะได้เข้าวงการเร็วๆ นี้

         "หล่อเนอะ" จิวทำหน้าตาคึกคัก ต้นข้าวทุบเบาๆ ไปที่หลัง

         "ไหนว่าจะสั่งเครื่องดื่ม" ปากพูด แต่คนทุบหลังก็ยังไม่ละสายตาจากดาราชายวัยรุ่นสองนั้นเหมือนกัน

         "เอาแบบไหนดี จะให้ต้นข้าวดื่มคนเดียว เพราะต้องขึ้นไปสนุกกับวันเกิดอ้อมด้วย ของจิวจะสั่งน้ำส้ม ขากลับจะได้ขับรถได้" พูดจบจิวหันไปยื่นคูปองสองใบให้บาร์เทนเดอร์พร้อมสั่งเครื่องดื่ม โดยไม่รอฟังคำตอบจากต้นข้าว

         "เอาน้ำส้มแก้วนึง กับลองไอส์แลนด์ไอซ์ที แก้วนึงครับ"

         "ลองไอส์แลนด์ไอซ์ที มันเป็นยังไง ชาเย็นเหรอ แรงป่ะ" ต้นข้าวหันมาถามจิว เพราะตัวเองก็ไม่เคยกินค็อกเทลเหมือนกัน

         "ไม่หรอก เบาๆ" จิวทำหน้าเจ้าเล่ห์ใส่ต้นข้าว "เอ้า ลองดูดดู"

         ต้นข้าวรับเครื่องดื่มแก้วทรงสูงสีเหมือนน้ำชาใส่น้ำแข็ง มีหลอดปักสองหลอดและดอกกล้วยไม้ประดับบนปากแก้ว ชูขึ้นมาดู มันดูเหมือนไม่มีพิษสงอะไร

         "เอ้า ชนแก้ว..." ต้นข้าวยกแก้วขึ้นมาชนกับแก้วน้ำส้มของจิว จิวชนแก้วตอบ กระดกคิ้วข้างนึงให้ต้นข้าวแล้วพูดเบาๆ "ค่อยๆ ดูดนะ อย่าดูดทีเดียวหมด"

         จิวนึกภาพส่วนผสมของลองไอส์แลนด์ไอซ์ที (Long Island Iced Tea) แก้วนี้ ซึ่งมีส่วนผสมเป็นเหล้าตัวแรง ๕ ชนิด คือ วอดก้า เตกีล่า เหล้ารัม เหล้ายิน และทริปเปิล-เชก แล้วขนลุก แต่เพราะอยากให้ต้นข้าวสนุกกับเพื่อนๆ ในคืนนี้ให้เต็มที่สมกับที่เข้าเธคครั้งแรก  และอีกอย่างหนึ่งจิวไม่ได้กินเหล้า จึงดูแลต้นข้าวได้แน่ๆ

         ต้นข้าวดูดเหล้าแก้วนั้นเข้าไปอึกนึง แล้วหลับตาปี๋

         "อี๋...!!!"


หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๑ : เก็บหยดฝนมาร้อยเป็นสร้อย || หน้า ๙ || ๐๘/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: anandawan ที่ 08-02-2017 13:11:05
มันเหมือนไม่จบตอน หรือจบแล้วคะ ฮ่าา
เค้าไม่ได้ปาดใช่มั้ยนี่
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๑ : เก็บหยดฝนมาร้อยเป็นสร้อย || หน้า ๙ || ๐๘/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 08-02-2017 13:37:10
ลงจบตอนหรือยังนี่
จะต้องรออ่านตอนนี้อีกมั้ย

จิวดูเชี่ยวเน๊อะ
ต่างกับต้นข้าวดูใสใส

ไว้ใจไม่ได้ไอ่ตี๋หล่อ
ก.....ด......หญ่ายยยยยย
อิอิ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๑ : เก็บหยดฝนมาร้อยเป็นสร้อย || หน้า ๙ || ๐๘/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 08-02-2017 13:45:10
มันเหมือนไม่จบตอน หรือจบแล้วคะ ฮ่าา
เค้าไม่ได้ปาดใช่มั้ยนี่

= จบครึ่งแรกในเดอะพาเลซก่อน เรื่องมันยาว //ไม่ได้ปาดจ้ะ สบายใจได้ อิอิ


ลงจบตอนหรือยังนี่
จะต้องรออ่านตอนนี้อีกมั้ย

จิวดูเชี่ยวเน๊อะ
ต่างกับต้นข้าวดูใสใส

ไว้ใจไม่ได้ไอ่ตี๋หล่อ
ก.....ด......หญ่ายยยยยย
อิอิ

= จิวมันมีแผนจะปล้ำต้นข้าวตอนเมาเปลี่ยนบรรยากาศหรือเปล่าไม่รู้ 555+ //พักเบรคในเดอะพาเลซตอนนี้เท่านี้ฮะ เรื่องมันยาว


..............................


 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๑ : เก็บหยดฝนมาร้อยเป็นสร้อย || หน้า ๙ || ๐๘/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-02-2017 15:29:34
แล้วต้นขาว ก็ได้รู้รสนิโคติน  :m31: :sad4: :เฮ้อ:
จิวเอง ก็น่าจะเลิกบุหรี่นะ
ไม่อยากทำร้ายคนอื่น แล้วทำไม ยังทำร้ายตัวเองล่ะ
ร้านดังๆ สมัยนั้นมาเพียบ
จุ๊บแฟนอ้อม คงชอบอ้อมมาดคุณหญิงคุณนายนั่งคอแข็งสินะ
เพลง One Night in Bangkok ดังมากเลยนะ
ไม่ว่าสมัยไหน ความบันเทิงถึงได้อยู่คู่กับคนชอบสนุกสนานเฮฮา
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๑ : เก็บหยดฝนมาร้อยเป็นสร้อย || หน้า ๙ || ๐๘/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 08-02-2017 15:30:29
  ชอบการบรรยายฉากแฟชั่นการแต่งตัวเข้าเทคสมัยนั้นอะ อยากเห็นรูปคับ
  รออ่านต่อนะคับ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๑ : เก็บหยดฝนมาร้อยเป็นสร้อย || หน้า ๙ || ๐๘/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 09-02-2017 01:48:49
แล้วต้นขาว ก็ได้รู้รสนิโคติน  :m31: :sad4: :เฮ้อ:
จิวเอง ก็น่าจะเลิกบุหรี่นะ
ไม่อยากทำร้ายคนอื่น แล้วทำไม ยังทำร้ายตัวเองล่ะ
ร้านดังๆ สมัยนั้นมาเพียบ
จุ๊บแฟนอ้อม คงชอบอ้อมมาดคุณหญิงคุณนายนั่งคอแข็งสินะ
เพลง One Night in Bangkok ดังมากเลยนะ
ไม่ว่าสมัยไหน ความบันเทิงถึงได้อยู่คู่กับคนชอบสนุกสนานเฮฮา
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

= สงสัยต้องให้ต้นข้าวเป็นคนขอให้จิวเลิกบุหรี่อีกทีเนอะฮะ  :serius2:


  ชอบการบรรยายฉากแฟชั่นการแต่งตัวเข้าเทคสมัยนั้นอะ อยากเห็นรูปคับ
  รออ่านต่อนะคับ

= ภาพประกอบเสื้อผ้าแฟชั่น ช่วงปี ๒๕๒๗-๒๕๓๐ นะฮะ เด็กสยามที่ทันสมัยหน่อยจะแต่งประมาณนี้ นี่ขนาด ตอนกลางวันหน้าสยามเซ็นเตอร์ ยังขนาดนี้ แล้วนึกภาพตอนกลางคืนสิฮะ เวลาเข้าเธค จะจัดเต็มกันขนาดไหน อิอิ

เครดิตภาพ : กระทู้เก่าเก็บในพันทิป http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2008/03/A6399060/A6399060.html (http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2008/03/A6399060/A6399060.html)


(http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2008/03/A6399060/A6399060-0.jpg)

(http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2008/03/A6399060/A6399060-1.jpg)

(http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2008/03/A6399060/A6399060-2.jpg)

(http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2008/03/A6399060/A6399060-3.jpg)

(http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2008/03/A6399060/A6399060-4.jpg)

(http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2008/03/A6399060/A6399060-5.jpg)


..................................

 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๑ : เก็บหยดฝนมาร้อยเป็นสร้อย || หน้า ๙ || ๐๘/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 09-02-2017 13:18:40
 :pig4: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๑ : เก็บหยดฝนมาร้อยเป็นสร้อย || หน้า ๙ || ๐๘/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 10-02-2017 05:38:29

MBK❤lover


(http://www.bloggang.com/data/k/kampong/picture/1485729585.jpg)


ตอนที่ ๒๗ : เปลวไฟที่ไม่มีวันมอดดับ


         "อี๋...!!!"

         ต้นข้าวทำหน้าเหยเกเมื่อเครื่องดื่มอึกนั้นผ่านลงคอไป "แหวะ ขม"

         จิวหัวเราะหึหึ ฉวยแก้วจากมือคนคออ่อนขึ้นมาจิบอึกเล็กๆ แล้วก็ทำหน้าขมขื่นไม่แพ้กัน

         "แรงเนอะ แต่กินๆ ไปเถอะ แก้วเดียวจบ ให้แก้วเดียวพอนะ" จิวส่งคืนแก้วกลับ

         "ออกไปดิ้นกันเถอะ" ต้นข้าวมองไปบนฟลอร์เต้นอย่างนึกสนุก "เอาแก้วไปวางที่โต๊ะเราก่อนเนอะ"

         จิวลากมือต้นข้าวฝ่ากลุ่มลูกค้าแถวหน้าบาร์กลับไปที่โต๊ะ แถวหน้าบาร์ใต้บันไดวนนั่นเหมือนทำเลทองของคนดังคนเก๋ มีทั้งดาราวัยรุ่น เด็กหน้าใหม่ที่อยากแจ้งเกิดในวงการ รวมทั้งคนทำเบื้องหลังต่างๆ ในวงการบันเทิง ล้วนยืนทำเท่ พิงขอบบาร์สูบบุหรี่ อวดตนว่ามีดีมีเด่นอยู่โซนนี้ทั้งสิ้น

         ต้นข้าวมาถึงโต๊ะ เห็นสมพลมาแล้ว ยืนสูบบุหรี่พ่นควันขโมงใส่หน้าต้นข้าว แล้วเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเหมือนจะถามว่า --ยังไงมึง เรื่องบุหรี่น่ะ--

         จิวเอามือมาปัดๆ หน้าต้นข้าว เหมือนจะปัดไล่ควันบุหรี่ให้ เวลาเดียวกันกับที่ต้นข้าวซึ่งเริ่มหน้าแดงเรื่อๆ แล้ว ก็มองหน้าสมพลแบบเยาะเย้ยกลับไป พร้อมกับพูดเสียงดังใส่หน้าว่า

         "กู ไม่ สูบ !!!"

         ประโยคนั้นเรียกรอยยิ้มจากจิว เอก และพริก โดยเฉพาะพริกแทบจะตบมือให้

         "เป็นไงล่ะมึง เจอคนใจคอมั่นคงดังหินผา" พริกตอกใส่สมพล

         "เออๆ กูก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย" สมพลทำปากหมุบหมิบ แล้วทำไก๋ ยกแก้วของตัวเองขึ้นมาชูขึ้นกลางวง

         "เอ้า ชนแก้ว วู้ๆ"

         ทุกคนในโต๊ะ ยกแก้วขึ้นมาชนกลางวง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความสนุก วัยรุ่นก็แบบนี้ ไม่มีติดค้างอะไรนาน มีเรื่องสนุกอื่นๆ รอข้างหน้าอีกเยอะ

         ดีเจ. เปิดเพลง "La Isla Bonita" ของ Madonna ขึ้นมา บนฟลอร์เต้นคนหนาตาขึ้นกว่าเดิม

         พริกทำคอยึกยักๆ ตามเพลง แล้วชวนเพื่อนรอบวง "ออกไปเต้นกันเหอะ"

         "ไปกัน" ต้นข้าวเดินนำเตรียมจะลากมือจิวออกไป "ไปเต้นกันเถอะจิว"

         "ไปเถอะ ไม่ถนัดเพลงแนวนี้ เดี๋ยวยืนเฝ้าโต๊ะให้"

         จิวบอกมายิ้มๆ ขออาสาอยู่โยงเฝ้าโต๊ะที่มีแก้วเครื่องดื่มเพื่อนๆ ตั้งอยู่  แล้วมองตามต้นข้าวที่ออกไปเต้นอยู่ริมๆ ฟลอร์ พอเห็นท่าเต้นก็หัวเราะออกมา เมื่อต้นข้าวที่คงจะเริ่มกรึ่มๆ เหล้าบ้างแล้ว เต้นเลียนแบบท่าเต้นแบบอินเดีย ทำคอยึกยัก ชูมือขึ้นมาส่ายตามจังหวะเพลง คล้ายใน MV. ที่เปิดบนวีดีโอวอลล์

         ไฟกลางฟลอร์กระพริบทุกเทคนิคเท่าที่จะมีลูกเล่นได้ แสงสีทุกอย่างที่มีในโลกเหมือนจะมารวมอยู่ตรงนั้น เสียงเบสที่วิ่งมาตามพื้นดัง ตึบๆๆ กระแทกไปถึงหัวใจ  ต้นข้าวเต้นเพลง "ลา อีสล่า โบนิต้า" ของมาดอนน่าบนฟลอร์อย่างสนุกสนาน หันมาเห็นจิวมองอยู่ ก็กวักมือหยอยๆ เรียกจิวให้ตามออกมา จิวหัวเราะให้แล้วส่ายหัวดิก ชี้มือลงบนโต๊ะ เหมือนจะบอกว่ายืนนี่แหล่ะ

         สักพักหนึ่ง มีมือมาสะกิดข้างเอว จิวจึงหันไปมอง โต๊ะข้างๆ มีวัยรุ่นสาวสวยแต่งตัวแนวบูติคตามสมัยสามคน ส่งยิ้มให้จิวพร้อมชูแก้ว จิวหันซ้ายหันขวาไม่เห็นคนอื่นแสดงว่าหมายถึงตัวเอง จึงยกแก้วน้ำส้มขึ้นเหมือนจะชนตอบ สาวคนหนึ่งขยับเข้ามาใกล้แล้วกระซิบข้างหูจิว

         "เดี๋ยวออกไปกินข้าวต้มด้วยกันต่อไหมคะ"

         --กินข้าวต้ม มันน่าจะแปลว่ากินอย่างอื่นนี่หว่า ไม่ได้หมายถึงกินข้าวต้มจริงๆ ซะหน่อย-- จิวคิดในใจ

         "เอ่อ...ผมมากับแฟนครับ แฟนผมเต้นอยู่นั่น" จิวทำปากบุ้ยใบ้ไปทางริมฟลอร์ "ผู้ชายชุดขาวที่เต้นท่าแขกอยู่นั่นไง"

         สาวคนนั้นมองตาม ทำหน้าปูเลี่ยนๆ แล้วพูดว่า "อ่อค่ะๆๆ" ซ้ำๆ แล้วเดินกลับไปที่โต๊ะ กระซิบกระซาบกับเพื่อน หนึ่งในสองคนทำตาโตเท่าไข่ห่านแล้วมองมาทางจิว "เสียดายของ..." เสียงลอยตามลมมาเข้าหูจิว

         จิวหันกลับมาหัวเราะหึหึ... หันกลับไปทางต้นข้าว ซึ่งฝ่ายนั้นก็จับตามองจิวอยู่ และกวักมือเรียกซ้ำ จิวได้แต่ยกแก้วน้ำส้มขึ้นมาชูแทน ยักคิ้วให้ต้นข้าวข้างหนึ่ง แล้วกรอกน้ำส้มคั้นใส่ปากจนหมดแก้ว

         เพลงจบทุกคนกลับมาที่โต๊ะ พริกหัวเราะคิกคักกับเอกและแจ๊ส สมพลเดินหอบลิ้นห้อย ส่วนต้นข้าวเอามือปาดเหงื่อ หน้าแดงก่ำ ทั้งเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์และความเหนื่อยจากการเต้นเพลงเมื่อกี้

         "สนุกจัง" ต้นข้าวโผไปเกาะบ่าจิว "ไม่ยอมออกไปเต้นด้วยกัน"

         พูดจบก็ยกแก้วเหล้าลองไอส์แลนด์ ขึ้นมากระดกเอื้อกใส่ปากโดยไม่ใช้หลอดดูด จนจิวต้องกดแก้วให้ยั้งๆ มือไว้ "เบาๆ เหล้าแรงนะ ไม่ใช่น้ำชา"

         ดีเจ. เปลี่ยนจังหวะเปิดเพลงใหม่ เป็นเพลงไทย "บังอรเอาแต่นอน" ของ อัสนี-วสันต์ พอจังหวะดนตรีขึ้น แต่ว ตะแหน่ว แน่ว แน่ว...

         จิวแกะมือต้นข้าวออกจากบ่า รีบเดินอย่างไวไปที่ลำโพงริมฟลอร์ กระโดดแผล่วขึ้นไปยืนบนตู้ลำโพง แล้วเริ่มเต้นในจังหวะสามช่าอย่างเมามัน ท่ามกลางการอ้าปากค้างของคนทั้งโต๊ะ โดยเฉพาะต้นข้าวแทบจะสำลักเหล้าที่พึ่งกินเข้าไป

         "แม่จ้าวโวย...อีพี่จิ๊วววววว~" แจ๊สครางออกมาดังๆ แล้วระเบิดเสียงหัวเราะงอหายกันออกมาพร้อมๆ กันทั้งต้นข้าว พริก เอก แจ๊ส และสมพล

         ....................

         ต้นข้าวยืนหัวเราะท่าเต้นของจิวอยู่พักใหญ่ จนเพลงต่อมาคือ "บังเอิญติดดิน" จิวก็ยังเมามันกับการยืนเต้นบนลำโพงนั้นอยู่ หนุ่มน้อยเห็นว่าใกล้เที่ยงคืนแล้ว จึงบอกกับเพื่อนไว้ว่าถ้าจิวกลับมา ให้บอกว่าต้นข้าวจะแวะขึ้นไปที่โต๊ะวันเกิดอ้อมที่ชั้นลอยแป็บนึงก่อน เดี๋ยวทางโน้นจะหาว่าไม่สนใจกัน

         หนุ่มน้อยเดินขึ้นบันไดวนไป มองเห็นว่าที่โซฟาอ้อม มีคนมาเพิ่มหลายคนแล้ว มีทั้งเพื่อนรุ่นเดียวกันที่คุ้นตา และมีรุ่นพี่ด้วยอีกสองสามคนที่ต้นข้าวไม่เคยเห็น

         "ต้นข้าว" อ้อมหันมาเห็น และเรียกต้นข้าวที่ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ "มานั่งนี่สิ มีรุ่นพี่คนนึงอยากรู้จัก ถามหาต้นข้าวตั้งแต่มาถึงล่ะ"

         ต้นข้าวมองไปรอบๆ โซฟา สบตาเข้ากับชายหนุ่มคนหนึ่ง หน้าตาตี๋ๆ ดูรวมๆ ทั้งตัวเท่าที่ต้นข้าวกวาดตามองเห็นในเวลาอันสั้น เป็นคนประเภทสูงยาวเข่าดี ดูลูกคุณหนู ดูรวย จากการแต่งตัวและนาฬิกาที่ใส่ แต่ที่โดดเด่นสุดคือแววตาที่มองขึ้นมาสบตาต้นข้าว ตาเล็กๆ ยิบหยีนั้นเป็นประกายแปลกๆ วาวระยับ

         "ต้นข้าว นี่พี่เป้อร์ รุ่นพี่เรา อยู่ปีสี่ที่มหา'ลัย คณะบริหาร เคยเจอกันไหม" อ้อมแนะนำ เมื่อต้นข้าวนั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้ามพี่เป้อร์อะไรนั่นแล้ว "พี่เป้อร์ นี่ไงต้นข้าวที่พี่ถามถึง"

         ต้นข้าวยกมือขึ้นสวัสดีรุ่นพี่ที่อ้อมแนะนำ นึกในใจว่าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย จะมาถามถึงทำไมเนี่ย

         พี่เป้อร์ยกมือขึ้นรับไหว้ต้นข้าว สายตายังจ้องเป็นประกายอยู่ "ดื่มอะไรดีครับน้องต้นข้าวสุดหล่อ"

         "ไม่เป็นไรครับพี่เป้อร์ ผมดื่มไม่เก่ง เดี๋ยวเมาครับ" ต้นข้าวตอบไปตามความจริง ก็เครื่องดื่มลองไอส์แลนด์แก้วที่จิวสั่งให้นั้น ยังทำให้มึนๆ อยู่เลย ขนาดออกไปเต้นมาแล้วก็ยังมีฤทธิ์อยู่

         "นิดหน่อยน่า เดี๋ยวเจ้าภาพเสียใจนะครับ"

         พี่เป้อร์ทำหน้ากรุ้มกริ่ม แล้วหันไปผสมเหล้าบนโต๊ะให้ ต้นข้าวมองตาม ไม่ทันจะทักท้วงอะไร เห็นพี่เป้อร์บรรจงรินเหล้าแจ็คแดเนียลลงในแก้วที่มีน้ำแข็งก้อน รินสไปรท์ใส่ตามลงไป ใช้ก้านคนเหล้าคนจนพรายฟองเป็นสีเหลืองอำพันสวย เอากระดาษทิชชู่พันรอบแก้ว เสร็จแล้วส่งมาให้ต้นข้าว "นี่ครับ ของน้องต้นข้าว"

         "เอ้า ชนแก้ว สุขสันต์วันเกิดอ้อมสุดสวย" ใครคนหนึ่งในโต๊ะพูดดังๆ ออกมา ทุกคนชูแก้วขึ้นชนกับเจ้าภาพ รวมทั้งต้นข้าวด้วยที่ต้องเลยตามเลย

         ต้นข้าวกลั้นหายใจเมื่อจิบเหล้าอึกแรกในแก้วนั้น แต่พอมันสัมผัสลิ้น ความหวานของสไปรท์ก็กลบกลิ่นเหล้าหมด และรู้สึกว่ากินได้คล่องคอดีกว่าลองไอส์แลนด์แก้วนั้น เลยจิบเหล้าแก้วนี้ไปเรื่อยๆ จนมีความรู้สึกเริ่มมึนๆ หัวเพิ่มขึ้น และเริ่มปวดท้องฉี่ จึงบอกอ้อมว่าจะไปเข้าห้องน้ำก่อน แล้วลุกออกไปจากโต๊ะ โดยไม่ได้หันมาดูว่าพี่เป้อร์ลุกขึ้นและเดินตามหลังต้นข้าวไป

         "เดี๋ยวครับน้องต้นข้าว" หนุ่มน้อยผู้ต้องกลั้นฉี่หันมามองตามเสียงเรียก จึงเห็นว่าเป็นพี่เป้อร์เดินตามมา มุมที่ต้นข้าวหยุดยืนนี้ เป็นซอกหลังประตูพอดี ใครผ่านไปผ่านมาอาจสังเกตไม่ได้ง่ายนัก

         "คับพี่เป้อร์" ต้นข้าวเริ่มพูดลิ้นพันกันตามฤทธิ์แอลกอฮอล์

         พี่เป้อร์ยืนประจันหน้าต้นข้าว ต้นข้าวยืนติดกำแพง "น้องต้นข้าวไม่เคยเจอพี่เลยหรือครับ"

         "ไม่คับ" ต้นข้าวหน้าเรื่อๆ สีเข้มขึ้น ทั้งพิษของเหล้า และความงงของคนชื่อพี่เป้อร์นี้

         "พี่อยู่ในกลุ่มคนทำงานจัดประกวดดาวเดือนในเวทีที่ผ่านมาด้วย แต่พี่ดูเรื่องงบการเงินของงานน่ะ" พี่เป้อร์ยกมือขึ้นมาเท้าฝาผนังไว้ข้างหนึ่ง ต้นข้าวเลยเหมือนตกอยู่ในวงล้อม

         "ฮะ..." ต้นข้าวงง ไม่รู้จะตอบอะไรดีไปกว่านั้น

         "พี่แอบเห็นต้นข้าวทำงานเก่งนะ และต้นข้าวก็น่ารักมากด้วย พี่ไปแอบถามเพื่อนๆ มา ถึงรู้จักชื่อต้นข้าว" คราวนี้พี่เป้อร์เอาอีกมือขึ้นมาจับต้นแขนของหนุ่มน้อย ผู้ที่ตอนนี้ตกอยู่ในวงล้อมเต็มตัว

         "คับพี่เป้อร์ แต่ตอนนี้ต้นข้าวเมาแล้ว...อุ๊ส์...!!!"

         ต้นข้าวยังไม่ทันพูดจบ พี่เป้อร์ก็ก้มลงมาจูบที่ริมฝีปากต้นข้าว ความที่ต้นข้าวอยู่ท่ามกลางวงล้อมของแขน และด้านหลังก็เป็นผนัง ถอยไปไหนไม่ได้

         พี่เป้อร์จูบอย่างรุนแรงและหนักหน่วง ต้นข้าวพยายามไม่อ้าปาก แต่จะเพราะสุราพาไป หรืออารมณ์พามาก็ไม่ทราบ อีกสองสามวินาทีต่อมาปากของต้นข้าวก็เผยอแง้มออก ลิ้นของพี่เป้อร์ก็จู่โจมเข้าหาต้นข้าวทันที ริมฝีปากของพี่เป้อร์ครอบทับริมฝีปากบนและล่างของต้นข้าวสลับกัน รุนแรง ลึก และนาน กว่าต้นข้าวจะยกมือขึ้นมาดันหน้าอกพี่เป้อร์ออกไป

         ต้นข้าวเอาหลังมือขึ้นมาปาดริมฝีปาก ตามองพี่เป้อร์ และพี่เป้อร์ก็มองต้นข้าว สองคนสบตากัน แต่ด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน แววตาของพี่เป้อร์เหมือนกิ้งก่าอีกัวน่าตัวเขียว สีสวย ราคาแพง ชูคอตั้งสง่า พองครีบบนหลัง และกำลังจ้องเหยื่อที่เป็นตั๊กแตนตัวเล็กๆ อันโอชะ

         ส่วนต้นข้าวมองพี่เป้อร์ด้วยแววตาว่างเปล่า

         หลังจากนั้นต้นข้าวก็ดันตัวพี่เป้อร์ออกไป แล้วเบี่ยงตัวเองวิ่งไปเข้าห้องน้ำ ปิดล็อคกลอน ยืนนิ่ง แล้วเอามือขึ้นมาเช็ดริมฝีปากอีกครั้ง

         --บ้าฉิบ! อะไรกันเนี่ย-- มันเกิดอะไรขึ้น

         ต้นข้าวยืนอึ้งอยู่นานในห้องน้ำ ด้วยความเมา มึน งง ตอนนี้หนุ่มน้อยผู้พึ่งโดนจู่โจม กำลังมีความคิดสองเรื่อง เรื่องแรก คืองงก่อน จับต้นชนปลายไม่ถูกที่โดนจูบไม่รู้ตัวแบบนั้น

         ส่วนเรื่องที่สอง ต้นข้าวแอบนึกขออภัยจิวในใจ ที่ดันมีความคิดว่า --รู้สึกดี-- ที่มีคนอื่นมาสนใจตัวเอง จนถึงขนาดมาทำแบบนั้น ต้นข้าวรู้สึกคอยืดสูงขึ้นมานิดหนึ่ง รู้สึกตัวสูงขึ้นมาอีกหน่อย รู้สึกว่าตัวเองเริ่มเป็นคนสำคัญ และรู้สึกถึงอำนาจของรูปร่างหน้าตาตัวเอง รู้สึกถึงเสน่ห์ลึกๆ ที่ตัวเองมี

         ที่ผ่านมา โลกของต้นข้าวมีแต่จิวเท่านั้น ต้นข้าวไม่ต้องคำนึงถึงอะไร รู้ว่ารักจิว จิวเป็นคนเดียวที่ต้นข้าวรัก และจิวก็รักต้นข้าวคนเดียว  แต่เหตุการณ์เมื่อกี้ จากสมองที่กลั่นความคิดออกมาเพราะฤทธิ์สุราครอบงำ ต้นข้าวกลับคิดว่าต้นข้าวก็มีดีในอีกด้านหนึ่งที่เคยมองข้ามตัวเองไป!

         หนุ่มน้อยทำธุระเบาในห้องน้ำเสร็จ จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ แล้วเปิดประตูห้องน้ำออกมาก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อพบกับจิวยืนรออยู่หน้าประตู...

         จิวยืนหน้าแดง พอเห็นต้นข้าวเปิดประตูออกมา ก็ทำท่าโล่งอก ยิ้มให้ต้นข้าว

         "นึกว่าเป็นอะไรไป เมาหรือเปล่าต้นข้าว เข้าไปในห้องน้ำซะนาน จิวยืนรออยู่เนี่ย เกือบจะเคาะประตูเรียกแล้ว"

         "เอ่อ จิวมารอนานแล้วหรือ" ต้นข้าวอ้อมแอ้มถาม

         "ก็สักครู่อ่ะ เมื่อกี้เดินไปถามที่โต๊ะอ้อม เห็นรุ่นพี่คนหนึ่ง ผู้ชายสูงๆ ตี๋ๆ บอกว่าต้นข้าวอยู่ในห้องน้ำ เขาพึ่งเดินสวนออกมา"

         คราวนี้เป็นต้นข้าวบ้างที่โล่งอก ถอนหายใจดังเฮือก!

         "ไม่เมา" ต้นข้าวเริ่มยิ้มออก "แต่เบื่อข้างบนแล้ว รุ่นพี่ชอบชวนชนแก้วบ่อย จะเมาอีกรอบแล้วเนี่ย ลงไปข้างล่างที่โต๊ะของเรากันดีกว่า"

         ต้นข้าวคิดว่า หลบได้เป็นหลบดีกว่า เรื่องอะไรจะไปนั่งปั้นหน้าที่โต๊ะนั้นประจันหน้ากับพี่เป้อร์อะไรนี่โดยมีจิวอยู่ด้วย

         .....................

         จิวกับต้นข้าวเดินลงมาที่โต๊ะโดยไม่ได้แวะไปบอกอะไรกับทางกลุ่มวันเกิดอ้อม ส่วนเพื่อนๆ ที่โต๊ะด้านล่างเห็นจิวกับต้นข้าวกลับมาแล้ว ก็แล้วกัน ไม่ได้ซักถามอะไร ยืนอึนกันนิ่งๆ คงเมื่อยและกรึ่มๆ เหล้ากันพอสมควรแล้ว

         ตอนนี้ดีเจ. พักเบรคเพลงเต้นรำ เปลี่ยนมาเปิดเพลงช้าในช่วง "สโลว์ซบ" ในเพลง "Nothing's Gonna Change My Love For You" ของ George Benson และพอเพลงขึ้น แจ๊สก็จูงมือเอกออกไปที่ฟลอร์ ซึ่งตอนนี้มีหลายคู่ที่ทำซึ้งซบกันขยับตัวช้าๆ ตามเพลง  เอกกับแจ๊สก็กอดซบกันเหมือนคู่อื่นๆ ไฟบนฟลอร์ค่อนข้างมืดมากกว่าปกติ เหมือนเอื้ออำนวยแก่ทุกคู่รักบนนั้นแบบไม่ต้องอายใคร

         ต้นข้าวมองไปบนฟลอร์ตาประกายวาว แล้วหันมาทางจิว "ออกไปสโลว์ซบกันมะ"

         "ไปสิ" จิวรับคำง่ายๆ แล้วออกตัวจูงมือต้นข้าวกลืนเข้าไปท่ามกลางคู่รักอื่นๆ ในความสลัวบนฟลอร์นั้น

         Nothing's
         gonna change my love for you
         You oughta know by now
         how much I love you 

         ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนความรักที่ฉันมีต่อเธอ
         เธอควรรู้ว่าตอนนี้ฉันรักเธอมากแค่ไหน


         เนื้อเพลงแสนหวาน ไฟสลัวเป็นใจ ทั้งสองโยกตัวไปตามเพลงช้าๆ จิวเอาสองมือโอบไปคอต้นข้าวจ้องตาอยู่เนิ่นนาน ต้นข้าวจ้องตอบ ตาฉ่ำเยิ้มไม่แพ้กัน

         "เดี๋ยวเพลงนี้จบ กลับบ้านเรากันนะ" ต้นข้าวกระซิบจิว

         "อื่อ...กลับสิ..." จิวไม่พูดเปล่า จูบเบาๆ ลงไปที่ริมฝีปากต้นข้าว

         อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องมาพร้อมกับฤทธิ์ของสุราคือ เปลวไฟแห่งราคะ มันถูกกระตุ้นด้วยเชื้อเพลิงอารมณ์มาแล้วเมื่อสักครู่ ต้นข้าวจูงมือจิวเพื่อจะกลับบ้าน เพลงช้าสำหรับสโลว์ซบเพลงใหม่เปิดขึ้นมาพอดี "Eternal Flame : เปลวไฟแห่งรักนิรันดร์" ของ The Bangles

         Close your eyes,
         give me your hand, darlin'
         Do you feel my heart beating
         Do you understand

         หลับตาคุณลง
         ให้มือของคุณได้สัมผัสผมสิที่รัก
         คุณรู้สึกถึงหัวใจผม
         ที่มันกำลังเต้นรัวอยู่หรือไม่



--------------------------------


บนห้องนอนที่บ้านต้นข้าว

         จิวและต้นข้าวยืนอยู่กลางห้อง ไฟกลางห้องนอนปิดหมด เหลือแต่ไฟแรงเทียนน้อยเปิดสลัวที่หัวเตียงเพียงดวงเดียว ฉายภาพของจิวและต้นข้าวที่ยืนบังไฟเป็นเงาดำไปที่ผนังห้องนอน

         บนผนังเกิดเงาภาพของชายหนุ่มสองคนในร่างเปลือยยืนกอดกันแน่นอยู่กลางห้อง ริมฝีปากประกบกันรุนแรง เนิ่นนาน เสียงเพลง "Eternal Flame" ยังก้องอยู่ในหู

         Do you feel the same
         Am I only dreaming
         Is this burning an eternal flame

         คุณเข้าใจและรู้สึกเหมือนผมหรือเปล่า
         หรือผมแค่ฝันไป...
         นี่คือไฟรักนิรันดร์ที่ไม่มีวันมอดดับใช่ไหม


         เงาดำพร่าเลือนบนผนังเปลี่ยนไป ฝ่ายหนึ่งยังยืนอยู่ อีกฝ่ายหนึ่งนั่งย่อลงต่ำหันหน้าเข้าไปที่กลางลำตัวของคนยืน  มือคนยืนเคล้าเคลียอยู่ที่เส้นผมอ่อนนุ่มของคนที่นั่งย่อตรงหน้า จังหวะโยกหัวดึงเข้าออกของคนที่นั่งย่อ บางจังหวะแผ่วเบา สลับกับโยกรุนแรงเป็นช่วงๆ บางจังหวะล้ำลึกเข้าไปข้างใต้ คนที่ยืนมีช่วงหนึ่งแหงนเงยหน้าขึ้นไปข้างบน นิ้วสอดเข้าจิกแน่นใต้เส้นผมของคนโยกหัว เห็นในเงาว่าเผยอปากครางชื่ออีกฝ่ายออกมาอย่างเผ็ดร้อน

         Say my name
         Sun shines through the rain
         A whole life so lonely
         And then come and ease the pain
         I don't want to lose this feeling, oh

         เรียกชื่อผมสิ...
         คุณเหมือนดั่งแสงตะวันที่ส่องผ่านม่านฝน
         ตลอดทั้งชีวิตของผมนั้น
         ช่างแสนเดียวดาย แล้วอยู่ๆ ก็มีคุณ
         เข้ามาคลายความเจ็บปวดที่เคยมี
         ผมไม่อยากให้ความรู้สึกนี้หายไปเลย
         ......โอวส์


         เงาดำบนผนังไหววูบเปลี่ยนตามการเคลื่อนที่ เป็นเงาคนหนึ่งนั่งกางขาเหยียดไปบนเตียง เงาของอีกคนนั่งคร่อมทับกลางลำตัวหันหน้าเข้าหากัน คนนั่งล่างเอามือจับเอวของคนนั่งคร่อมด้านบน ยกมือประคองขึ้นลงตามการขยับเอวของอีกคน ส่วนคนที่นั่งคร่อมด้านบน มือทั้งสองเกาะอยู่ที่บ่าของอีกฝ่าย เหมือนเป็นหลักยึดขณะที่บังคับช่วงต้นขาออกแรงยกลำตัวให้โยกขึ้น และ โยกลง ตามจังหวะของไฟอารมณ์

         Do you feel my heart beating
         Do you understand
         Do you feel the same

         คุณรู้สึกถึงจังหวะหัวใจของผม
         ที่มันกำลังเต้นรัวอยู่หรือไม่
         คุณเข้าใจ...คุณรู้สึก...
         เหมือนที่ผมกำลังเป็นอยู่หรือเปล่า


         เงาในผนังกำลังโยกตัวขึ้นและลง รุนแรงขึ้น เร็วแรงขึ้น ร้อนแรงขึ้น ภาพเงาแทบจะปรับโฟกัสตามไม่ทันเปลวแห่งอารมณ์นั้น เงาของใบหน้าทั้งสองโน้มเข้ามาจูบกันรุนแรง แนบแน่น

         Am I only dreaming
         Or is this burning an eternal flame

         นี่ผมแค่ฝันไปหรือเปล่า...
         นี่คือเปลวไฟแห่งรักนิรันดร์
         ที่ไม่มีวันมอดดับใช่หรือไม่


         จนถึงจังหวะสุดท้าย...ในท่านั่งโยกนั้น เงาทั้งสอง แหงนเงยหน้าขึ้นบนเพดานพร้อมกัน เสียงครางชื่อกันและกันของอีกฝ่ายดังประสานออกมา

         " ต้ น ข้  า ว "  " จิ ว "

         แล้วทั้งสองซบหน้าเข้าหากัน กอดแน่น นิ่ง และนาน

         Is this burning an eternal flame?

         ...เปลวไฟอันเป็นนิรันดร์
         คุณเข้าใจหรือเปล่า?


         ...นี่คือเปลวไฟแห่งรักนิรันดร์
         ที่ไม่มีวันมอดดับใช่ไหม...


--------------------------------


https://www.youtube.com/watch?v=oF70stvknQY
*Eternal Flame - Bangles (Lyrics & Thaisub)

หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๒ : เปลวไฟที่ไม่มีวันมอดดับ* [18+] || หน้า ๙ || ๑๐/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: anandawan ที่ 10-02-2017 05:48:24
มาแล้วๆๆ จะต้มน้ำแล้วใช่มั้ยคะ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๒ : เปลวไฟที่ไม่มีวันมอดดับ* [18+] || หน้า ๙ || ๑๐/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 10-02-2017 10:04:44
ต้นข้าว โอนเอน อ่อนไหวไปมาตามแรงลม ในทุ่งนา
ต้นข้าวคน ก็เริ่มไหวเอนตามแรงลม แรงจูบ
จิว เข้มแข็งเป็นหลักยึดให้ต้นข้าวดีๆ
พายุพัดมาแรงๆ เดี๋ยวต้นข้าวปลิวไปตามแรงพายุ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๒ : เปลวไฟที่ไม่มีวันมอดดับ* [18+] || หน้า ๙ || ๑๐/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-02-2017 11:24:01
หวั่นๆใจ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๒ : เปลวไฟที่ไม่มีวันมอดดับ* [18+] || หน้า ๙ || ๑๐/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 10-02-2017 14:09:50
 :L2: :pig4:

ต้นข้าวเป็นคนอ่อนไหว จริงๆ เฮ้อออ
ได้กลิ่นมาม่า

คุ้ยๆเพลงเก่าๆมาฟัง Eternal flame มีหลายversions มาก
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๒ : เปลวไฟที่ไม่มีวันมอดดับ* [18+] || หน้า ๙ || ๑๐/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 10-02-2017 14:12:14
คนหนึ่งปฏิเสธคนอื่นที่เข้ามาหา...อย่างหนักแน่นและมั่นคง
แต่อีกคนหนึ่ง
กลับแค่ยืนงงแล้วต้อนรับรอยจูบ...อย่างสับสนปนหวั่นไหว

เฮ้ออออออออ...ขอกอดปลอบใจจิวล่วงหน้าได้ไหมอ่ะ
ไอ่ตี๋หล่อ พ่ออุตส่าห์ให้มาตั้งเยอะ...แต่ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก
 :กอด1: จิว

เดาผิดหมดเลยยยยยยยย
เกินความคาดหมายที่เดาไว้ คนที่จะจุดไฟต้มมาม่าให้อร่อยคือจิว
แต่ที่ไหนได้ผิดคาด คนนั้นก็คือต้นข้าวเองเหรอออออ
โอ้ววววว...ม่าย ม่ายจริง ไม่อยากจะเชื่อเลย

ขอร้องไห้ให้แมวหมาที่ตาย แต่จะไม่เสียใจให้กับคนที่ไม่รักดี
 o18 ต้นข้าว
หุหุ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๒ : เปลวไฟที่ไม่มีวันมอดดับ* [18+] || หน้า ๙ || ๑๐/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 10-02-2017 16:25:44
ต้นข้าว ทำไมไปจูบกับพี่เปอร์ได้ล่ะ ขอให้เป็นครั้งสุดท้ายนะ  ชอบฉากรักอะ กลมกลืนไปกับสไตล์นิยายดี
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๒ : เปลวไฟที่ไม่มีวันมอดดับ* [18+] || หน้า ๙ || ๑๐/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 11-02-2017 13:33:39
หนังตะลุง ฟุ้งฟอย คอยเปลี่ยนท่า
พระเอกมา นางเอกไป ใจสร้างสรรค์
ผลัดกันเชิด เกิดรุกรับ นับพัลวัน
แสงไฟส่อง จ้องเงานั้น เอากันเพลิน

เห็นแต่หนังและหลังเนื้อ
เหลือเชื่อจริงๆ
อิอิ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๒ : เปลวไฟที่ไม่มีวันมอดดับ* [18+] || หน้า ๙ || ๑๐/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 14-02-2017 20:03:06

MBK❤lover


(http://www.bloggang.com/data/k/kampong/picture/1485729585.jpg)


ตอนที่ ๒๘ : วันที่รัก เดือนที่รอ พ.ศ.ที่คิดถึง


         ก่อนจะจบปีสอง ต้นข้าวมีกิจกรรมพิเศษในมหาวิทยาลัยเพิ่มอีกหลายอย่าง ทั้งงานส่งอาจารย์ ทั้งงานของชมรมการแสดง ชมรมถ่ายภาพ ต้องหัวหมุนวิ่งไปนู่นไปนี่ นอนดึก ตื่นแต่เช้ามากๆ มาหลายอาทิตย์ ไม่ค่อยได้เจอตัวกับจิวเท่าไร นอกจากโทรศัพท์ไปคุยด้วยตอนดึกๆ ในบางวัน

         บ่ายวันหนึ่ง หลังจากลงมาจากคาบเรียนวิชาการถ่ายภาพเพื่อการประชาสัมพันธ์ อาจารย์ได้สั่งงานสุดท้ายก่อนจบ ให้ส่งผลงานเดี่ยวของแต่ละคนเป็นภาพถ่ายสถานที่ท่องเที่ยวในหัวข้อว่า "โปสการ์ด"

         "ดีเหมือนกัน ไปถ่ายรูปด้วย หาเรื่องไปเที่ยวกันด้วยเนอะ" เอกเปรยขึ้นกับเพื่อนๆ ขณะที่นั่งเล่นกันอยู่ในซุ้มประจำด้านหลังอาคารเรียน

         "ใครจะไปไหนกันบ้างวะ จะได้ไม่ซ้ำกัน กูไปถ่ายรูปที่สวนสน" สมพลหันไปมองรอบๆ โต๊ะ

         "เราจะไปถ่ายที่ตลาดน้ำดำเนินสะดวกอะ แจ๊สอยากไปเที่ยวด้วย" เอกบอกของตัวเองบ้าง

         "แจ๊สยังไม่กลับไปเรียนอังกฤษอีกเหรอ" พริกหันไปถาม

         "ยังเลยอะ เห็นว่าอยู่ยาวทั้งเทอมเลย ไม่รู้มัน" แล้วเอกถามพริกต่อ "แล้วมึงล่ะ อีงู ไปไหน"

         พริกยักไหล่สองข้าง "พอดีจะต้องกลับไปเยี่ยมย่าที่โคราชว่ะ เลยว่าจะไปถ่ายโปสการ์ดที่พิมาย ไม่ก็ไปแถวไทรงาม โคราชบ้านเอง"

         "เออดีว่ะ ไม่เหมือนใครดี" เอกบอก แล้วหันไปทางต้นข้าวบ้าง

         "แล้วต้นข้าวล่ะ ไปถ่ายที่ไหน ชวนจิวไปด้วยป่ะ"

         "ยังไม่รู้เลย ไม่มีโปรแกรมว่าจะไปเที่ยวไหนช่วงนี้อะ เดี๋ยวลองถามๆ จิวดูก่อน เผื่อมีไอเดียว่าจะไปไหน"

         .....................

         "เฮ้ย ใครมาหาใครวะ ยืนลับๆ ล่อๆ หน้าซุ้มนั่น" สมพลถามเพื่อน

         ต้นข้าวหันไปมองนอกซุ้ม นั่นประไร!! พี่เป้อร์!

         ตลอดเดือนกว่าที่ผ่านมาหลังจากที่ไปเที่ยวเดอะพาเลซกันในคืนนั้น ต้นข้าวรู้ว่าพี่เป้อร์ยังไม่หยุดความพยายามในเรื่องการเข้าหาต้นข้าว มีทั้งเข้ามาทางคุณนายอ้อม เจ้าของวันเกิดคืนนั้น หรือทางเพื่อนคนอื่นๆ แต่ต้นข้าวก็หาทางหลีกเลี่ยงไปได้ทุกครั้ง หนุ่มน้อยไม่อยากจะเผชิญหน้า บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเพราะอะไร  แต่วันนี้พี่เป้อร์ไปกินดีหมีใจเสือที่ไหนมา ถึงกล้ามาหาต้นข้าวถึงที่ซุ้มนี้ได้ด้วยตัวเองเลย

         ในเมื่อมาหาถึงที่ และพี่เป้อร์เองก็ไม่รู้จักใครคนอื่นในซุ้มนี้ ต้นข้าวก็รู้สึกสงสารถ้าจะปล่อยให้พี่เป้อร์มายืนเก้ๆ กังๆ อยู่แบบนี้คนเดียว จริงๆ ต้นข้าวก็พึ่งมารู้ตัวว่าโตขึ้นมา กลับเป็นคนขี้สงสารคนอื่นมากขึ้น  หนุ่มน้อยใจอ่อนจึงลุกเดินออกจากซุ้มไปหา

         "มาหาใครครับพี่เป้อร์" ต้นข้าวแกล้งถามไปงั้น ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจ

         พี่เป้อร์ยิ้มอย่างที่คิดว่าหล่อสุดแล้วใส่ต้นข้าว --ซึ่งจริงๆ ก็ดูดีอยู่แหล่ะ-- ต้นข้าวคิด เพียงแต่ในคืนนั้นพี่เป้อร์ออกจะโจ่งแจ้งรวบรัดมากไปหน่อย

         "พี่มาหาน้องต้นข้าวแหล่ะครับ"

         "เอ่อ...พี่เป้อร์มีธุระอะไรให้ผมช่วยหรือครับ"

         พี่เป้อร์คว้ามือข้างหนึ่งของต้นข้าวไปกุมไว้ "เปล่าๆ ไม่มีอะไร พี่คิดถึงเฉยๆ"

         หนุ่มน้อยยืนทำหน้าไม่ถูกเมื่อได้ยินคำนั้น จะว่าดีใจก็ไม่เชิง จะว่าอยากหลีกลี้หนีไปไกลก็ไม่ใช่

         เป็นธรรมดาของคนเรา มีคนมารัก มีคนมาคิดถึง ก็ย่อมดีกว่ามีคนมาเกลียดอยู่แล้ว แถมคนที่มายืนบอกคิดถึงนี่ก็หน้าตาดีอยู่ไม่หยอก ออกแนวตี๋ๆ อย่างที่ต้นข้าวคุ้นชินมานานแสนนานแล้วด้วย

         "พี่เห็นไอ้นี่มันน่ากิน เลยซื้อมาฝากน้องต้นข้าวด้วยครับ" พี่เป้อร์ส่งถุงขนม เป็นถุงกระดาษสีขาวเล็กๆ ใส่มือต้นข้าว

         ไอ้นี่ ที่พี่เป้อร์ว่า มันคือขนมไข่นกกระทา สีเหลืองนวลลูกเล็กๆ กลมบ๊อก ดูน่ากิน แต่มันก็ไม่ใช่ของโปรดของต้นข้าวซะหน่อย ดีนะที่ยั้งปากทัน เกือบหลุดปากไปแล้วว่าจริงๆ ต้นข้าวชอบลูกชิ้นชุบแป้งทอดมากกว่า แต่อย่าเลย เดี๋ยวยาว

         "ขอบคุณมากครับพี่เป้อร์" ต้นข้าวยิ้มแห้งๆ ให้ "เกรงใจพี่ครับ วันหลังไม่..."

         หนุ่มน้อยผู้ได้รับของฝากยังพูดไม่จบ พี่เป้อร์ก็กุมมือต้นข้าวรวบไปทั้งมือและถุงขนมนั่น "ไม่เป็นไรครับน้องต้นข้าว พี่อยากซื้อมาให้จริงๆ" พี่เป้อร์ทำหน้าแบบจริงจังประกอบ  ส่วนต้นข้าวเลยต้องก้มตาลงมองต่ำ

         "แล้วนี่กำลังคุยกับเพื่อนๆ อยู่หรือครับ พี่เห็นอ้อมเล่าให้ฟังว่าอาจารย์โฟโต้ สั่งงานให้ไปถ่ายรูปท่องเที่ยวกันหรือครับ แล้วต้นข้าวจะไปถ่ายที่ไหน ให้พี่พาไปไหมครับ"

         ต้นข้าวได้ยินเลยยิ่งไปต่อไม่ถูก ทำไมพี่เป้อร์นี่รู้เรื่องราวอะไรเร็วจัง แล้วจะยังไงเนี่ย

         "พี่แนะนำน้องต้นข้าวให้ไหมครับ บ้านพี่เป็นคนบางไทร เลยอยากพาน้องต้นข้าวไปถ่ายรูปที่อยุธยา ไปที่บางปะอินก็ได้ สวยมากนะครับ มีมุมถ่ายรูปสวยๆ เยอะมาก และไปไม่ไกลจากมหา'ลัยเราด้วย" พี่เป้อร์เห็นต้นข้าวนิ่งไป เลยแนะนำให้เสร็จสรรพ

         "ขอบคุณนะครับพี่เป้อร์ ที่แนะนำให้ งั้นเดี๋ยวผมจะไปปรึกษากับ แฟ...เอ่อ...เพื่อนก่อนนะครับ" ต้นข้าวเกือบหลุดปากไป  ก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงเปลี่ยนสถานะของจิวไปเป็นคำว่าเพื่อน

         "ได้ครับน้องต้นข้าว แล้วยังไงบอกพี่แล้วกัน นี่หมายเลขแพคลิ้งค์พี่" พี่เป้อร์ยัดกระดาษเล็กๆ ใส่มือต้นข้าว "เรียกมาแล้วกันแล้วพี่จะโทรกลับ พี่ไปก่อนนะครับ กลับบ้านดีๆ นะคนเก่ง"

         "เอ่อ..." เสียงต้นข้าวดังไม่เกินกระซิบ เมื่อคนพูดจบก็ส่งยิ้มให้ทีหนึ่ง แล้วเดินก้าวยาวๆ จากไปทันที

         --จะตั้งตัวทันไหมนี่ตรู-- ต้นข้าวยืนเกาหัวแกรกๆ ยกกระดาษเล็กๆ ขึ้นมาดู มันเขียนด้วยหมึกซึมไว้

         "พี่เป้อร์ แพคลิ้งค์ : 573 424"

         เป็นชื่อและเบอร์ประจำเครื่องวิทยุติดตามตัวของบริษัทแพคลิ้งค์ ซึ่งเป็นของใหม่ที่เริ่มเข้ามาใช้ในเมืองไทย และมีคนที่ต้นข้าวรู้จัก เริ่มใช้มันหลายคนแล้ว สองสามวันก่อนคุณนายอ้อมก็พึ่งเอาเครื่องแพคลิ้งค์มาอวด

         ต้นข้าวยัดกระดาษนั่นเก็บใส่กระเป๋ากางเกง เปิดถุงหยิบขนมไข่นกกระทาลูกหนึ่งขึ้นมามองอย่างไร้ความหมาย แล้วโยนใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ พร้อมกับเกินกลับมาในซุ้ม วางถุงขนมไปกลางโต๊ะ

         "อะไรวะ มีส่งส่วย ส่งขนมนมเนยกันด้วย" พริกเปรยออกมา มือก็ล้วงไปหยิบขนมมาใส่ปากทันทีเหมือนกัน

         "พี่เค้าเป็นใคร มีอะไรเหรอต้นข้าว" เอกถาม พร้อมจ้องหน้าต้นข้าว เพราะรู้สึกว่าเรื่องนี้มีอะไรแปลกๆ ล่ะ

         "ไม่มีอะไร อยู่ดีๆ ก็ซื้อขนมมาฝาก" ต้นข้าวตอบ เสียงไม่ได้ส่ออารมณ์ใดๆ

         "เออ แปลกคนเนาะ" เอกรำพึง พร้อมหันหน้ามองตามไปทางที่พี่เป้อร์เดินไปเมื่อกี้ ทำหน้าครุ่นคิด

         ...................

         หัวค่ำคืนนั้น หลังอาหารเย็น ต้นข้าวกับจิวนั่งคุยกันที่โต๊ะหินอ่อนข้างบ้านแจ้งวัฒนะ

         "จิว ที่มหา'ลัยอาจารย์ให้ส่งงานถ่ายรูปโปสการ์ดอะ ไปถ่ายที่ไหนดี ช่วงนี้อยากไปเที่ยวที่ไหนหรือเปล่า"

         จิวหันมามองต้นข้าว "ไม่รู้สิ ไม่มีโปรแกรมไปเที่ยวที่ไหนเลย จะถ่ายรูปแบบไหนอะ เป็นสถานที่เที่ยวเหรอ"

         "ใช่ ที่เที่ยวอะไรก็ได้ ถ่ายเพื่ออัดรูปออกมาทำเป็นโปสการ์ดส่งอาจารย์น่ะ" ต้นข้าวอธิบาย

         จิวแกะถั่วลิสงต้มบนจานข้างหน้าแกะใส่ปาก "เท่าที่นึกออก ไปนครปฐมดีไหม เพราะช่วงนี้จิวต้องไปนครชัยศรีบ่อยๆ ไปดูเครื่องฉีดพื้นรองเท้าแตะ  ป๊าจะซื้อเครื่องใหม่มาลงที่โรงงาน แล้วเลยไปถ่ายรูปพระปฐมเจดีย์ก็ได้"

         ต้นข้าวเหมือนจู่ๆ คิดอะไรออกขึ้นมา จึงบอกจิวว่า "หรือไปบางปะอินกันดีไหม มันใกล้มหา'ลัยดีนะ เห็นเค้าบอกว่าสวยด้วย และเราก็ยังไม่เคยไปกันนี่"

         จิวกำลังง่วนอยู่กับถั่วเม็ดหนึ่งที่แกะยาก พอแกะแล้วจึงพบว่าเม็ดถั่วข้างในมันขึ้นรา จิวเงยหน้าขึ้นจากเปลือกถั่วในมือ มองหน้าต้นข้าวอีกครั้ง

         "อ้าว มีคำตอบอยู่แล้ว จะมาถามทำไมล่ะว่าอยากไปไหน ก็ไปตามที่คนเขาบอกว่าดีสิ"

         "จะมาเสียงแข็งทำไมล่ะ" ต้นข้าวคิดว่าตัวเองคงพูดอะไรพลาดไปแล้ว "ก็อยากไปด้วยกันไง ที่ไหนก็ได้แต่อยากไปด้วยกัน"

         "ก็ตามใจเถอะ งานของต้นข้าวนี่" จิวโยนถั่วเม็ดนั้นลงบนจาน แล้วลุกขึ้นยืน "ไปอาบน้ำก่อนนะ ง่วงแล้ว"

         ต้นข้าวมองตามคนงอน ที่พรวดพราดลุกขึ้นเดินไปซะเฉยๆ อย่างงั้น --นี่ตรูพูดผิดหูขนาดนั้นเลยหรือ--

         หนุ่มน้อยลุกขึ้นแล้วเดินตามคนหงุดหงิดเข้าไปในบ้าน ทิ้งจานของกินเล่นวางไว้บนโต๊ะแบบนั้น ถั่วเม็ดที่จิวโยนลงไป ยังกลิ้งกระดุกกระดิกข้างจาน

         ถั่วลิสงที่เปลือกนอกมีรูแตกเล็กนิดเดียว มองแทบไม่เห็น แต่ก่อให้เกิดเชื้อรากัดกินด้านในได้...

         ..................

         กลางดึกคืนนั้น ต้นข้าวนอนตะแคงข้าง จิวนอนตะแคงกอดต้นข้าวจากด้านหลังอีกที

         "โอยยย..." ต้นข้าวครางเบาๆ

         "ร้องทำไม" จิวถามเสียงกระเส่าไม่แพ้กัน

         "เปล่า...ตกลงไปบางปะอินด้วยกันนะจิว อยากไปด้วยกัน อูยยย~..."

         อีกฝ่ายขยับตัวเบาๆ อยู่ด้านหลัง เงียบไปชั่วครู่

         "อืม ก็ได้ อยากไปไหนก็ไป ตามใจเถอะ"

         รอยยิ้มของคนตะแคงด้านหน้าก็ผุดขึ้นที่มุมปาก

         "อย่าพึ่งดึงออก คาเอาไว้แบบนี้นานๆ นะ ชอบ..."

         "อืมมมม~" เสียงกระซิบตอบมาเบาๆ และดูเหมือนกำลังหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข

--------------------------------

         หลายวันต่อมา เช้าวันนั้นเป็นวันที่อากาศสดใส ท้องฟ้ากระจ่าง มีเมฆลอยเป็นกลุ่มสวย เหมาะกับการถ่ายรูป ต้นข้าวกับจิวขับรถกันมาถึงพระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา แต่เมื่อจอดรถแล้ว เห็นวัดนิเวศธรรมประวัติ ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะกลางน้ำด้านหน้าทางเข้าพระราชวังสวยแปลกดี จึงพากันนั่งกระเช้าข้ามแม่น้ำไปเที่ยวกันก่อน

         วัดนิเวศธรรมประวัติ ตั้งอยู่บนเกาะกลางแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นวัดเดียวในเมืองไทยที่การตกแต่งทั้งวัดเป็นศิลปะแบบยุโรป (โกธิค) ตัวพระอุโบสถมีลักษณะเหมือนโบสถ์ฝรั่งในศาสนาคริสต์ รวมทั้งหมู่กุฏิพระต่างๆ ก็เป็นแบบฝรั่งทั้งหมดเช่นเดียวกัน ต้นข้าวกับจิวสลับกันยืนถ่ายรูปหน้านาฬิกาแดดที่หล่อจากโลหะขนาดใหญ่หลังโบสถ์ด้วยความสนุกสนาน

         เมื่อเดินเล่นรอบวัดแล้ว สองหนุ่มก็นั่งกระเช้าข้ามแม่น้ำกลับมาที่ฝั่งหน้าพระราชวัง ก็ได้เจอกับคนที่ไม่คาดคิดตรงนั้นเอง

         "น้องต้นข้าว" เสียงพี่เป้อร์ตะโกนเรียกจากร้านขายเครื่องดื่มใกล้ๆ และเจ้าตัวกำลังเริ่มเดินเข้ามาหา

         --ตายห่า-- ไม่ต้องสืบเลยว่าพี่เป้อร์รู้ได้ยังไงว่าต้นข้าวจะมาวันนี้ ต้องมาจากคุณนายอ้อมแน่ๆ ที่ไปบอก เพราะอ้อมถามต้นข้าวก่อนมานี่สักสองวันว่าต้นข้าวตกลงจะไปถ่ายรูปที่ไหนและเมื่อไร

         "พี่เป้อร์ สวัสดีครับ" ต้นข้าวยกมือไหว้พี่เป้อร์ พร้อมๆ กับที่จิวก็ยกมือไหว้เหมือนกันเพราะจิวคุ้นหน้ามาบ้างแล้วจากการเจอและคุยกันประโยคเดียวที่เดอะพาเลซตอนไปถามหาต้นข้าวที่ไปเข้าห้องน้ำนาน

         "ตกลงน้องต้นข้าวมาถ่ายรูปที่นี่จริงๆ" พี่เป้อร์พูดยิ้มๆ แล้วเลยมองไปทางจิว "นี่เพื่อนน้องเหรอครับ"

         ต้นข้าวหันไปมองจิว ซึ่งยืนจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่ แล้วตอบพี่เป้อร์เสียงแผ่วลง "ครับ เพื่อนสนิทต้นข้าว"

         "ใช่ครับ เราเป็นเพื่อนสนิทกัน" จิวเสริมขึ้นมา คำท้ายๆ ออกเสียงเน้นเป็นพิเศษ แต่ใบหน้าไม่ได้บอกอารมณ์ใดๆ

         คราวนี้เป็นต้นข้าวเองที่เริ่มทำตัวไม่ถูกแล้ว นึกไปนึกมาก็ยัง งงตัวเองอยู่ว่าทำไมไม่แนะนำจิวไปเลยว่าเป็นแฟน เรื่องมันจะได้จบๆ หรือจะเป็นต้นข้าวเองนะที่จะซื้อเวลาในเรื่องนี้

         "พี่เป้อร์ก็มาเที่ยวเหมือนกันหรือครับ"

         "เปล่า พี่มาเยี่ยมแม่ที่บางไทรน่ะ รู้ว่าต้นข้าวจะมาถ่ายรูปวันนี้ เลยจะดักรอเอาของมาให้" พี่เป้อร์พูดยิ้มๆ ตาจ้องแต่หน้าต้นข้าว แล้วส่งกระดาษให้ต้นข้าวปึกเล็กๆ ปึกหนึ่ง

         ต้นข้าวยกขึ้นมาดู มันเป็นโปสการ์ดของสถานที่ต่างๆ ในพระราชวังบางปะอินจำนวน ๔ แผ่น แบบที่สำหรับขายให้นักท่องเที่ยว หนุ่มน้อยเงยขึ้นมองหน้าพี่เป้อร์ด้วยความสงสัย

         "พี่ซื้อมาจากร้านขายของที่ระลึกหน้าวังนี่ไง เห็นน้องต้นข้าวจะถ่ายแนวโปสการ์ด พี่เลยซื้อเอามาให้เผื่อเป็นตัวอย่างแนวทางการถ่ายน่ะ" พี่เป้อร์พูดไปยิ้มไป

         "เอ่อ ขอบคุณมากนะครับ" ต้นข้าวตะกุกตะกัก ทำตัวไม่ถูกไปก้นใหญ่ มันเริ่มเยอะเข้ามาใกล้ทุกทีละนะ

         "ไม่เป็นไร วันนี้พี่เห็นน้องต้นข้าวมีเพื่อนมาเดินถ่ายรูปด้วยแล้วๆ งั้นพี่กลับก่อนนะครับ ไม่กวนล่ะ ถ่ายออกมาให้สวยๆ นะครับ"

         "ครับพี่เป้อร์ สวัสดีนะครับ" ต้นข้าวยกมือไหว้พี่เป้อร์อีกที อย่างน้อยพี่เขาก็มีน้ำใจล่ะเนาะ

         ต้นข้าวกับจิวเดินแยกจากมา จิวทำหน้าขรึมๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร แต่ไม่รู้ว่าด้วยความตั้งใจที่จะทำ หรือเป็นตามความเคยชิน จิวเอามือข้างหนึ่งขึ้นมาแตะโอบหลังต้นข้าวเบาๆ ขณะเดินอย่างทะนุถนอมและแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของอยู่ในที ถ้าใครก็ตามที่ยังยืนมองอยู่ด้านหลัง ควรจะต้องเข้าใจได้ว่า สิ่งล้ำค่าชิ้นนี้มีเจ้าของแล้ว

         ...................

         "บางปะอิน" ถิ่นที่พบปะ ของพระมหากษัตริย์สมัยอยุธยาพระองค์หนึ่ง กับสาวสวยชาวบ้านที่ชื่อ "อิน" และเกิดความรักต่อกัน จนกลายมาเป็นชื่อเรียก "บาง-ปะ-อิน" และมาเป็นที่ตั้งของพระราชวังอันน่ามหัศจรรย์

         มีคลองน้ำเล็กๆ ไหลคดเคี้ยวแยกมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา มันไหลผ่านไปตลอดทั้งพื้นที่ในพระราชวังบางปะอินที่แสนงดงามแห่งนี้

         ต้นข้าวกับจิวยืนอยู่กลางสะพานปูนขนาดยาวที่ทอดผ่านคลองนั้น มันมีชื่อว่า "สะพานตุ๊กตา" สองข้างขอบสะพานประดับด้วยตุ๊กตาปูนปั้นองค์เทพีที่สั่งนำเข้ามาจากยุโรปวางเรียงเป็นระยะๆ ซึ่งสะพานนี้สร้างเลียนแบบสะพานข้ามแม่น้ำไทเบอร์ ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี น้ำในคลองกระทบแสงแดดบ่าย เต้นระยิบระยับ

         ในลำน้ำนั้น มีพระที่นั่งแบบไทยแท้องค์หนึ่ง คือพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ เป็นพระที่นั่งปราสาทโถงทรงจตุรมุขตั้งอยู่กลางน้ำ เงาสะท้อนประกายของกระจกเกรียบสีทองที่ติดประดับบนยอดหลังคาปราสาทเต้นระริกลงไปในน้ำ มันเข้ากันกับตุ๊กตาปูนปั้นแบบยุโรปบนสะพานด้านนี้อย่างไม่น่าเชื่อ

         จิวลืมความขุ่นมัวในใจบางๆ ลงไป ส่วนต้นข้าวก็ได้แต่มองภาพตรงหน้าอย่างชื่นชม เริ่มขยับกล้องจะขึ้นมาถ่าย ทั้งสองมีเรื่องตรงกันในความตื่นตาตื่นใจของความงามแห่งสถาปัตยกรรมโบราณที่เห็น จนลืมเรื่องอื่นๆ ไปชั่วขณะ

         ต้นข้าวฝากโปสการ์ดทั้งสี่ใบให้จิวถือไว้ ตัวเองก็ปรับแต่งเลนส์กล้องเพื่อจะถ่ายภาพพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ตรงหน้า จิวหยิบโปสการ์ดรูปพระที่นั่งนี้ขึ้นมาดู แล้วชูไปตรงหน้าเพื่อเทียบกับองค์จริงที่เห็น

         "เดี๋ยวก่อน!"

         ต้นข้าวร้องออกมาจากหลังกล้อง จิวตกใจนึกว่าตัวเองชูโปสการ์ดไปบังเกะกะระยะกล้องของต้นข้าวที่กำลังถ่ายรูปอยู่ จึงรีบลดมือลง

         "ไม่ใช่ ชูขึ้นมาแบบเมื่อกี้ดีแล้ว" ต้นข้าวหันไปบอกจิว พร้อมกับดึงทั้งมือทั้งตัวจิวเข้ามาใกล้ๆ จนยืนเบียดหลังกัน "ชูรูปเมื่อกี้ออกไปข้างหน้า เอามือจิวยื่นเข้ามาหน้ากล้องเลย ยืนชิดๆ สิ"

         จิวแม้จะยังไม่เข้าใจอะไรในตอนนั้น แต่ก็เข้าไปยืนชิดต้นข้าวถึงขนาดแนบซ้อนหลังกัน แล้วยื่นมือโอบผ่านหลังต้นข้าว ชูโปสการ์ดใบนั้นไปที่หน้ากล้องของต้นข้าว

         "รูปโปสการ์ดกับภาพของจริงมันซ้อนกันพอดีเลย" ต้นข้าวบอกมาอย่างดีใจ "สวยมากๆ จิวขยับเข้ามาอีก จับให้นิ้วสวยๆ นิ่งๆ นะ"

         จิวขยับเข้าไปอีก จนลมหายใจอุ่นรดต้นคอและหลังหูต้นข้าว กลิ่นหนุ่มที่คุ้นเคย --ถ่ายไปนานๆ นะ อยากยืนแบบนี้ด้วยกันไปนานๆ-- จิวคิด

         ต้นข้าวขยับซ้ายขยับขวาอีกหลายตลบ จนเหมือนจะได้ภาพที่ถูกใจแล้ว เหลือแต่ตอนไปล้างอัดรูปออกมาอีกทีว่าจะออกมาสวยดังใจคิดไว้หรือไม่

         หลังจากบนสะพานนั้นแล้ว ต้นข้าวกับจิวก็พากันเดินถ่ายสถานที่สำคัญในพระราชวังนั้นต่อไปอีก โดยเฉพาะในจุดที่ตรงกับรูปในโปสการ์ดที่เหลืออีก ๓ รูป คือรูปของ "พระที่นั่งวโรภาษพิมาน” เป็นพระที่นั่งทรงตึกชั้นเดียว ศิลปะแบบคอรินเทียนออร์เดอร์ ที่ใช้เป็นท้องพระโรงในสมัยโบราณ

         "หอวิทูรย์ทัศนา" ซึ่งเป็นหอสูงสำหรับดูดาว และพระที่นั่ง "เทียน เม่ง เต้ย" หรือในชื่อภาษาไทยว่า "พระที่นั่งเวหาศน์จำรูญ" เป็นพระที่นั่งแบบจีน สีแดง-ทองอร่าม งดงามมากๆ โดยใช้วิธีการถ่ายรูปซ้อนกับโปสการ์ดแบบเดียวกันทั้ง ๔ รูป ซึ่งจิวก็ร่วมมือกับต้นข้าวในการจับโปสการ์ดขึ้นมาชูผ่านหน้ากล้องได้เป็นอย่างดีและเต็มใจ เพราะบางรูปขณะยืนชิดกันถ่ายรูป จิวก็แอบหอม แอบจูบไปที่ต้นคอของต้นข้าวบ่อยๆ ซึ่งต้นข้าวก็ไม่ได้ว่าอะไร หัวเราะคิกคัก บอกจิวให้จับโปสการ์ดดีๆ แล้วหันไปตั้งใจถ่ายรูปต่อ

         บนรถที่ต้นข้าวขับตอนกลับบ้าน หนุ่มน้อยสองคนหัวร่อต่อกระซิกกัน และพากันคาดเดาว่ารูปที่ถ่ายเมื่อล้างอัดออกมาแล้วจะเป็นอย่างไร สวยสมกับที่ตั้งใจไหม จิวก็แกล้งดูถูกไปต่างๆ นาๆ ว่ารูปต้องออกมาสว่างไปบ้าง มืดไปบ้าง ไม่งั้นก็มัวๆ ไม่คมชัด หรือถึงขั้นเลวร้ายคือใส่ฟิล์มไม่ตรง

         "งั้นพอล้างอัดออกมาแล้วอย่าเอานะ ทีแรกว่าจะส่งเป็นโปสการ์ดไปให้ที่บ้านจิวเลย" ต้นข้าวหัวเราะหึหึ

         "อ้าวได้ไง ส่งมาสิ อย่าลืมนะว่ามือในภาพน่ะมือใคร ถ้าไม่ส่งมามีหวังอดไปเลยเดือนนึง" จิวหัวเราะบ้าง

         "อดอะไร ห๊ะ...อดอะไร" ต้นข้าวหันมาอมยิ้มถาม

         "แล้วบอกให้แช่ไว้นานๆ โรคจิต! หึหึ อดไปเถอะ" เสียงจิวบ่นงึมงึมๆ

--------------------------------

         อีกหนึ่งอาทิตย์ต่อมา จิวก็ได้รับโปสการ์ดส่งมาทางไปรษณีย์ถึงบ้านจิวพร้อมกัน ๔ ใบ เป็นรูปสถานที่สำคัญ ๔ อย่างในพระราชวังบางปะอิน เป็นภาพฝีมือการถ่ายของต้นข้าว ที่สวยสดใส คมชัด งดงาม ในทุกภาพมีมือของจิวที่ถือโปสการ์ดทาบทับตำแหน่งของสถานที่จริงในพระราชวังบางปะอินนั้นอย่างน่ามหัศจรรย์

         จิวพลิกดูด้านหลัง ต้นข้าวเขียนที่อยู่ และเนื้อความในโปสการ์ดซึ่งเขียนเหมือนกันทั้ง ๔ ใบมาว่า

         ไปรษณีย์จ๋ากรุณาส่ง...
         สมนึก แซ่จิว

         วันที่รัก, เดือนที่รอ, พ.ศ.ที่คิดถึง

         ภาพบางภาพมีความหมายในตัวเอง แต่ภาพบางภาพ ความหมายอยู่ที่คนหลังกล้อง กับคนที่ยืนอยู่ข้างๆ คนถ่ายกล้อง

         ยืนอยู่ด้วยกันไปนานๆ นะ

         จากต้นข้าว


(http://www.bloggang.com/data/k/kampong/picture/1487076708.jpg)

(http://www.bloggang.com/data/k/kampong/picture/1487076749.jpg)

(http://www.bloggang.com/data/k/kampong/picture/1487076771.jpg)

(http://www.bloggang.com/data/k/kampong/picture/1487076790.jpg)


หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๓ : วันที่รัก เดือนที่รอ พ.ศ.ที่คิดถึง || หน้า ๙ || ๑๔/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-02-2017 20:42:35
เง้ออออ.......เขาแช่อะไรกันนะ แช่นานๆ ด้วย
คงไม่แช่ผ้าที่จะซักเพราะเปรอะ เอ่อ.....
ค้นข้าว เกรงอะไร ถึงไม่แนะนำจิว ว่าแฟน
อย่าใจอ่อนกับพี่เป้อร์ นะ
เข้มแข็งนะต้นข้าว  :mew2:
มีจิว ที่เป็นมากกว่าแฟนไปแล้วด้วย  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๒ : เปลวไฟที่ไม่มีวันมอดดับ* [18+] || หน้า ๙ || ๑๐/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 14-02-2017 20:52:43
มาแล้วๆๆ จะต้มน้ำแล้วใช่มั้ยคะ

= เริ่มอุ่นเครื่องเบาๆ แระ 555+


ต้นข้าว โอนเอน อ่อนไหวไปมาตามแรงลม ในทุ่งนา
ต้นข้าวคน ก็เริ่มไหวเอนตามแรงลม แรงจูบ
จิว เข้มแข็งเป็นหลักยึดให้ต้นข้าวดีๆ
พายุพัดมาแรงๆ เดี๋ยวต้นข้าวปลิวไปตามแรงพายุ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

= สาธุ ขอให้ไปกันตลอดรอดฝั่งเถอะฮะ อิอิ


หวั่นๆใจ

= มาช่วยกันลุ้นนะฮะ


:L2: :pig4:

ต้นข้าวเป็นคนอ่อนไหว จริงๆ เฮ้อออ
ได้กลิ่นมาม่า

คุ้ยๆเพลงเก่าๆมาฟัง Eternal flame มีหลายversions มาก

= เอาเวอร์ชั่นออริจินอลฮะ เข้ากับเนื้อเรื่องที่สุด ฮี่ๆๆ


คนหนึ่งปฏิเสธคนอื่นที่เข้ามาหา...อย่างหนักแน่นและมั่นคง
แต่อีกคนหนึ่ง
กลับแค่ยืนงงแล้วต้อนรับรอยจูบ...อย่างสับสนปนหวั่นไหว

เฮ้ออออออออ...ขอกอดปลอบใจจิวล่วงหน้าได้ไหมอ่ะ
ไอ่ตี๋หล่อ พ่ออุตส่าห์ให้มาตั้งเยอะ...แต่ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก
 :กอด1: จิว

เดาผิดหมดเลยยยยยยยย
เกินความคาดหมายที่เดาไว้ คนที่จะจุดไฟต้มมาม่าให้อร่อยคือจิว
แต่ที่ไหนได้ผิดคาด คนนั้นก็คือต้นข้าวเองเหรอออออ
โอ้ววววว...ม่าย ม่ายจริง ไม่อยากจะเชื่อเลย

ขอร้องไห้ให้แมวหมาที่ตาย แต่จะไม่เสียใจให้กับคนที่ไม่รักดี
 o18 ต้นข้าว
หุหุ

= โปรดสงสารต้นข้าวด้วยเถิด อย่าพึ่งประนามเลย ฮ่าๆๆ เด็กกำลังอยากลองรัก 555+


ต้นข้าว ทำไมไปจูบกับพี่เปอร์ได้ล่ะ ขอให้เป็นครั้งสุดท้ายนะ  ชอบฉากรักอะ กลมกลืนไปกับสไตล์นิยายดี

= ขอบคุณมากฮะที่ชอบ คนอ่านน่ารักที่สุด


หนังตะลุง ฟุ้งฟอย คอยเปลี่ยนท่า
พระเอกมา นางเอกไป ใจสร้างสรรค์
ผลัดกันเชิด เกิดรุกรับ นับพัลวัน
แสงไฟส่อง จ้องเงานั้น เอากันเพลิน

เห็นแต่หนังและหลังเนื้อ
เหลือเชื่อจริงๆ
อิอิ

= เหลือเชื่อเรื่องการฉายหนังตะลุงหรือฮะ 55555+


เง้ออออ.......เขาแช่อะไรกันนะ แช่นานๆ ด้วย
คงไม่แช่ผ้าที่จะซักเพราะเปรอะ เอ่อ.....
ค้นข้าว เกรงอะไร ถึงไม่แนะนำจิว ว่าแฟน
อย่าใจอ่อนกับพี่เป้อร์ นะ
เข้มแข็งนะต้นข้าว  :mew2:
มีจิว ที่เป็นมากกว่าแฟนไปแล้วด้วย  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

= สงสัยไม่จิวก็ต้นข้าวต้องเป็นโรคจิตแน่ๆ ชอบแช่ผ้าตอนกลางคืนฮะ 55555+


.........................


ขอบคุณทุกท่านน๊า สุขสันต์วันแห่งความรักนะฮะ ใครที่มีรัก ขอให้รักษากันไว้ให้ยาวนานน๊า


 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๓ : วันที่รัก เดือนที่รอ พ.ศ.ที่คิดถึง || หน้า ๙ || ๑๔/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: anandawan ที่ 14-02-2017 21:26:09
อร้ายย ต้นข้าว ไม่ได้แช่ผ้านะ จะได้แช่นานๆ แล้วคราบฝังแน่นจะสลายได้ง่าย
ลามก~~
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๓ : วันที่รัก เดือนที่รอ พ.ศ.ที่คิดถึง || หน้า ๙ || ๑๔/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 14-02-2017 21:28:21
 :L2: :pig4:

ฟีลของต้นข้าว เป็นแบบที่เราเกลียดที่สุด

Happy V s'Day
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๓ : วันที่รัก เดือนที่รอ พ.ศ.ที่คิดถึง || หน้า ๙ || ๑๔/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 14-02-2017 21:44:26
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๓ : วันที่รัก เดือนที่รอ พ.ศ.ที่คิดถึง || หน้า ๙ || ๑๔/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 14-02-2017 23:44:45
จะไม่รักต้นข้าวแล้ว
 o18


รักจิวคนเดียว
 :กอด1:

เน๊าะจิวเน๊าะ
 :n1:
อิอิ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๓ : วันที่รัก เดือนที่รอ พ.ศ.ที่คิดถึง || หน้า ๙ || ๑๔/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: zenesty ที่ 15-02-2017 12:25:51
เพิ่งเข้ามา แต่ยังไม่ได้อ่าน ไม่กล้าเปิดอ่านเลยค่ะ คืออ่านแค่เกริ่นนำก็น้ำตาไหลแล้ว เป็นคนเซ็นซิทีฟกับเรื่องแบบนี้ คืออ่านเกริ่นนำก็เหมือนบอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างที่ผ่านมา มันทราบซึ้ง มันตรึงใจ กว่าคนสองคนจะรักกันต้องผ่านเรื่องราวต่างๆ มามากมาย ขอทำใจก่อนซักปี 2 ปี หืออออออ 
 :mew6: :mew6: :mew6: :mew6: :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๓ : วันที่รัก เดือนที่รอ พ.ศ.ที่คิดถึง || หน้า ๙ || ๑๔/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 17-02-2017 15:12:24
อร้ายย ต้นข้าว ไม่ได้แช่ผ้านะ จะได้แช่นานๆ แล้วคราบฝังแน่นจะสลายได้ง่าย
ลามก~~

= นั่นสิเนอะ 55555+


:L2: :pig4:

ฟีลของต้นข้าว เป็นแบบที่เราเกลียดที่สุด

Happy V s'Day

= โลเล จะอะไรก็ไม่อะไรใช่ไหมฮะ ไม่ชัดเจนสำหรับอีกคน แต่ก็เนอะ บางทีคนทำก็อาจมีเหตุผลลึกๆ ที่เราไม่รู้


:pig4: :pig4: :pig4:

= ขอบคุณมากนะฮะ


จะไม่รักต้นข้าวแล้ว
 o18


รักจิวคนเดียว
 :กอด1:

เน๊าะจิวเน๊าะ
 :n1:
อิอิ

= อย่าพึ่งเกลียดต้นข้าวเลยฮะ น้องอาจจะอยากเรียนรู้อะไรสักอย่างก็ได้


เพิ่งเข้ามา แต่ยังไม่ได้อ่าน ไม่กล้าเปิดอ่านเลยค่ะ คืออ่านแค่เกริ่นนำก็น้ำตาไหลแล้ว เป็นคนเซ็นซิทีฟกับเรื่องแบบนี้ คืออ่านเกริ่นนำก็เหมือนบอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างที่ผ่านมา มันทราบซึ้ง มันตรึงใจ กว่าคนสองคนจะรักกันต้องผ่านเรื่องราวต่างๆ มามากมาย ขอทำใจก่อนซักปี 2 ปี หืออออออ 
 :mew6: :mew6: :mew6: :mew6: :mew6: :mew6:

= ขอบคุณมากน๊า แต่ลองอ่านภาคแรกดูก็ได้ฮะ เบาๆ หน่อย เพราะภาคมหาวิทยาลัยนี่เข้าเขตดราม่าไปซะแล้วอ่าฮะ ลองดูเนอะ


.......................


ขอบคุณทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาทักทายกันครับ


 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๓ : วันที่รัก เดือนที่รอ พ.ศ.ที่คิดถึง || หน้า ๙ || ๑๔/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 17-02-2017 15:13:30

MBK❤lover


(http://www.bloggang.com/data/k/kampong/picture/1485729585.jpg)


ตอนที่ ๒๙ : ไม่สึกไม่หรอเหมือนดินสอเขียนคิ้ว


         วันแห่งการจบภาคเรียนของนักศึกษาปี ๒ ก็มาถึง ซึ่งในเทอมหน้าเป็นการขึ้นปี ๓ ต้นข้าวก็ต้องแยกคลาสเรียนกับเพื่อนๆ ที่ต่างคนต่างเลือกสาขาวิชาเอกของแต่ละคนไป หนุ่มน้อยยังยืนยันเลือกอย่างที่ตั้งใจไว้คือสาขาการละคร ซึ่งมีเพื่อนเลือกสาขาเดียวกันนี้อีกสองคน คนแรกคือพริกหรืออีงู เพราะเธอว่าอยากไปเป็นผู้เขียนบท ไหนๆ ชีวิตก็มาทางคำคมซะแล้วนี่ ก็ใช้ประโยชน์ของมันเลยแล้วกัน และอีกคนคือคุณนายอ้อม เธอว่าเธออยากเป็นนางเอก

         ส่วนเอก เลือกสาขาประชาสัมพันธ์ และสมพล เลือกสาขาวิชาโฆษณา เท่ากับเพื่อนๆ กลุ่มเดิมที่เรียนมาด้วยกันถึงปีสอง ต่อจากนี้เวลาเข้าเรียนและกิจกรรมต่างๆ ก็แทบไม่ตรงกันเสียแล้ว

         ในกลุ่มที่สนิทกันทั้งหมดไปฉลองการปิดภาคและฉลองการสิ้นสุดปี ๒ ด้วยการไปเกาะเสม็ดอีกครั้งหนึ่ง ต้นข้าวพาจิวไปด้วย มีสมพลพาแฟนผู้หญิงจากคณะบัญชีไป ส่วนพริก และเอก ไปแบบเดี่ยวๆ ทั้งคู่ โดยเอกให้เหตุผลว่าแจ๊สบินกลับไปอังกฤษแล้ว ส่วนพริกเป็นที่แน่นอนว่านางยังหาแฟนไม่ได้

         ที่เกาะเสม็ด หลังจากที่ต้นข้าวและจิวเคยมาเมื่อเกือบ ๓ ปีก่อน มีการเปลี่ยนแปลงบ้างเล็กน้อย คือบ้านพักเริ่มดีขึ้นบ้าง มีมุ้งลวดโดยไม่ต้องกางมุ้ง และเริ่มมีห้องน้ำในตัวบ้านพัก แต่ต้องซื้อน้ำเพิ่มเองทีละตุ่มถ้าใช้ตุ่มแรกหมด การไปเสม็ดครั้งนี้ราบรื่น ทุกคนสนุกสนานกันดี มีเสียงหัวเราะกันระหว่างเพื่อนฝูงตลอดวัน ตกค่ำก็ตั้งวงดื่มเหล้า ร้องเพลงเล่นกีตาร์เคาะถังน้ำแข็งไปตามเรื่อง

         อ้อ...มีการเปลี่ยนแปลงอีกเรื่องหนึ่งอยู่นิดหน่อย คือเสม็ดคงจะคลายมนต์ขลังของประโยคที่ว่า "เกาะเสม็ดเสร็จทุกราย" ไปบ้างแล้วสำหรับจิวและต้นข้าว

         เพราะครั้งนี้เมื่อหนุ่มน้อยทั้งสองโตขึ้น และจากค็อกเทล "ลองไอส์แลนด์" แก้วแรกที่ต้นข้าวได้สัมผัสที่เดอะพาเลซ ต้นข้าวก็กินเหล้าได้ลื่นขึ้น หนักขึ้น ส่วนจิวไม่ต้องพูดถึง จัดว่าระดับตัวพ่อ เพราะไม่ใช่ว่าจิวจะได้แค่ "ของดี" ขนาดเขื่องน่าอิจฉาที่พ่อให้มาเท่านั้น แต่ป๊าของจิวยังมอบมรดกเรื่องความเมาติดมาให้ด้วย

         ดังนั้นเมื่อกลับเข้าห้องนอนหลังจากดื่มเหล้าแสงโสมหมดไปหลายกลม สองหนุ่มก็นอนเปลือยกายกอดกันตัวกลมดิก แต่เป็นการแข่งกันนอนกรน! เสียงกรนดังสนั่นหวั่นไหวกลบเสียงคลื่นซัดสาด ไม่มีกระต๊อบที่โยกแทบพัง ไม่มีทะเลซัดแตกฟองขาวขุ่นที่ปลายหัวคลื่นซ้ำๆ หลายรอบ ส่วนจิ้งหรีดเรไรยามดึกที่เคยกรีดร้องประสานเสียง คืนนี้รู้สึกว่าเสียงแหบแห้งลงไปพิกล คงไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเร้าใจ

         แต่ไม่ต้องกังวลไป ไม่ใช่ว่าทั้งสองไม่รักกัน หากแต่ต้นข้าวกับจิวเหมือนเป็นชีวิตคนๆ เดียวกันไปแล้วในเวลานั้น ไม่มีอะไรให้เคลือบแคลงใจต่อกัน การลองผิดลองถูกและการเรียนรู้ในโลกความจริง มันคัดเลือกให้ว่าใครคือของแท้ หรือใครมาเป็นพญามารที่แค่ผ่านเข้ามา "ลองของ" เท่านั้น

         หลายเรื่องในชีวิตต้องแก้ปัญหาด้วยการวางแผนที่ซับซ้อน แต่ขณะเดียวกันบางเรื่องก็ไม่ต้องไปทำอะไรกับมันเลย มันเข้ามาแล้วมันก็จากไปเมื่อเวลาอันสมควร

         เหมือนอย่างกรณี "พี่เป้อร์" ที่จู่ๆ พอเรียนจบปี ๔ ในปีนี้ ก็ออกจากมหาวิทยาลัย หายไปจากชีวิตต้นข้าวด้วยความโล่งใจ หลังจากพี่เป้อร์เพียรพยายามเทียวไล้เทียวขื่อกับต้นข้าวมาตลอด พอไม่มีอะไรคืบหน้า และตัวต้นข้าวเองก็ไม่ได้เล่นด้วยมากไปกว่านี้ พอพี่เป้อร์จบการศึกษาแล้ว ก็จบกันเพียงเท่านั้น ต้นข้าวไม่เคยให้เบอร์ติดต่อหรือที่อยู่ใดๆ ไว้ทั้งสิ้น

         การเรียนรู้ครั้งนี้ของต้นข้าว เหมือนยืนมองฟ้าผ่ากลางทะเล มันผ่าแวบๆ อยู่ไกลๆ จนคล้ายกับว่ามันทำอะไรเราไม่ได้ แต่บางมุมกลับเหมือนมันใกล้มาก จนอยากวิ่งหนีแสงและเสียงที่ดังกัมปนาท หากก็ยังอยากฝืนยืนรอดูให้ถึงที่สุด ว่ามันจะฟาดฟันไปถึงไหน ยึกยักอยู่อย่างนั้น

         แต่สรุป...มันก็แค่ผ่าเปรี้ยงลงมาแล้วจางหาย

         ชีวิตต้องดำเนินต่อไป และ 'พญาวสวัสดีมาร' ผู้ชอบ 'ลองของ' ก็ไม่ได้มีแค่ตนเดียว ดังนั้นความมั่นคงของจิตใจก็ยังต้องมีบททดสอบต่อ  เช่นในอีกสามอาทิตย์ถัดมาหลังกลับจากเกาะเสม็ดนี้...

--------------------------------

         "ต้นข้าว คืนนี้ว่างหรือเปล่า" เอกถามขึ้นในช่วงพักเที่ยง หน้าตาดูหงอยๆ พิกล

         "ทำไมหรือ ก็ว่างอยู่นะ จิวไม่ได้มาหาวันนี้" ต้นข้าวเงยหน้าจากจานข้าวผัด หันไปมองเอก

         "เบื่อ เซ็ง อยากไปเที่ยว" เอกยักไหล่ขึ้นข้างหนึ่ง ตาหลุบมองต่ำ

         "เป็นอะไรหรือ เล่าให้เราฟังได้นะเว้ยเอก" ต้นข้าวเห็นว่าท่าทางไม่ค่อยเป็นเรื่องปกติแล้ว

         เอกนั่งเงียบไปอีกครู่หนึ่ง คราวนี้ตามองเหม่อไปข้างหน้า ต้นข้าวเห็นเอกยังไม่พร้อมจะเล่า  จึงตักข้าวใส่ปากตัวเองเคี้ยวกินรอไปได้อีกสามคำ เอกถึงเปิดปากพูดออกมา

         "เราเลิกกับแจ๊สแล้วล่ะ"

         ต้นข้าวหยุดตักข้าวใส่ปาก วางช้อนลง "อ้าว ทำไมล่ะ เกิดอะไรขึ้นเหรอ"

         "ไม่รู้ว่ะ พูดยาก มันสะสมมาเรื่อยๆ ล่ะนะ แต่เราไม่ได้เล่าให้ใครฟังเอง คงเพราะต่างคนต่างเจ้าชู้มั้ง"

         คราวนี้หนุ่มน้อยผู้รับฟังแทบจะรวบช้อนส้อมเลิกกิน ผลักจานออกไปห่างตัว "ทั้งเอก ทั้งแจ๊ส นี่นะเจ้าชู้!! เราไม่เคยเห็นจะมีวี่แววเลย"

         "ก็เราไม่เคยเล่าให้ใครฟังไง แจ๊สเองก็อยู่ไกล ปีนึงกลับมาเจอกันกี่ครั้งเอง คงไปมีแฟนใหม่ที่ลอนดอนด้วย  ความรู้สึกระหว่างเรามันไม่เหมือนเดิม เราสัมผัสได้น่ะ"

         "อ้าว แล้วเอกเองล่ะ ไปเจ้าชู้ตอนไหน" ต้นข้าวยังสงสัยเรื่องเอก เพราะก็ดูเป็นคนเรียบร้อย ไว้ตัวพอสมควร หรือมันจะเข้าตำรา --เห็นเงียบๆ แอบฟาดเรียบสินะ-- คิดมาถึงตรงนี้แล้วไม่กล้านึกต่อ

         "ต้นข้าวรู้จักอาร์มไหม อาร์ม เดือนคณะของปีเรา ที่หล่อๆ ตัวใหญ่ๆ เป็นนักรักบี้ของทีมมหา'ลัยน่ะ"

         ต้นข้าวจำคนชื่ออาร์มได้ อันที่จริงแทบทุกคนที่เรียนในรุ่นเดียวกันก็ต้องรู้จักอาร์ม เพราะอาร์มเคยเป็นเดือนของคณะนิเทศฯ ตอนปีหนึ่ง ต้นข้าวก็เคยดูแลให้อาร์มตอนประกวด หาสปอนเซอร์ชุดจากร้าน POLICE ให้ใส่ เป็นคนรูปร่างดีแบบนักกีฬารักบี้ และภายหลังมีชื่อเสียงทางการเป็น "นักรัก" ประจำรุ่น พูดง่ายๆ ว่าเจ้าชู้ และ "ง่าย" ในเรื่องบนเตียงกับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย

         "เราเคยนอนกับอาร์มแล้ว..." เอกสารภาพเสียงเบา

         --กูว่าแล้ว-- ต้นข้าวแอบทำตาเหลือกมองบน  แต่รีบกลับมาปรับหน้าให้นิ่ง แล้วถามต่อ

         "นอนแล้วยังไงล่ะ แจ๊สจับได้เหรอไง"

         "อื่อ แล้วทีนี้แจ๊สมันไปแอบทำความรู้จักกับอาร์ม ตอนที่เราพาแจ๊สมาที่มหา'ลัยนี่ครั้งนึง แล้วมันก็แอบไปนอนด้วยกัน"

         --พอกันทั้งคู่!!!-- ต้นข้าวหันข้าง แอบทำตาเหลือกมองบนแรงกว่าเมื่อกี้ คราวนี้ตาดำหายขึ้นไปเลย เห็นแต่ตาขาว!

         "เวรกรรม..." ต้นข้าวไม่รู้จะพูดอะไรให้ดีกว่านั้น "แล้วนี่จะทำยังไง"

         "ก็ช่างแมร่ง จบก็จบ" เอกสรุปง่ายๆ ทำหน้านิ่งๆ ตามบุคลิก สมกับเป็นคนง่ายๆ (กับหลายๆ คน) จริงๆ

         "แล้วก็เลยจะชวนเราไปเที่ยวแก้เซ็งคืนนี้ ว่างั้น ?" ต้นข้าวเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นถาม

         "นะ ไปนะ อยากไปที่นั่น เราเคยไปมาแล้วครั้งหนึ่ง" สายตาเอกดูมีความหวังขึ้นมาทันที

         "แล้วตกลงมันคือที่ไหนล่ะ ไปเดอะพาเลซอีกเหรอ" ต้นข้าวก็ไม่ค่อยรู้ที่เที่ยวแบบอื่นมากเท่าไหร่ รู้จักแต่แนวเธคฯ ไม่กี่ที่

         "ไม่ใช่เธค เอาเหอะน่า เดี๋ยวพาไปเอง รับรองเด็ดสะระตี่" เอกทำตาวิบวับ "สองทุ่มครึ่งไปเจอกับเราที่หน้า เซเว่น-อีเลฟเว่น ที่เปิดใหม่ตรงหัวมุมซอยพัฒพงษ์ บนถนนสุรวงศ์นะ"

         เอกหมายถึง 7-11 ที่พึ่งเปิดใหม่เป็นสาขาแรกในประเทศไทย เป็นจุดนัดหมายที่ใครๆ จะไปถนนนั้นต้องรู้จัก เพราะเป็นร้านขายของจิปาถะหลายอย่าง และเปิดไฟสว่างทั้งวันทั้งคืน คนในกรุงเทพฯ ตื่นเต้นกับความแปลกใหม่ของมันมาก

         "ก็ได้ เดี๋ยวจะโทรชวนจิวไปด้วยนะ"

         "อย่าๆ" เอกรีบจับข้อมือต้นข้าวกดไว้ ทำท่าเหมือนกับว่าต้นข้าวจะหยิบเครื่องโทรศัพท์บนอากาศขึ้นมาหมุนเบอร์ทันทีตอนนั้น

         "ไม่ต้องบอกจิวได้ป่ะ เราไปกันเองสองคนสนุกกว่านะ นะ..."

         "เฮ้ย..." ต้นข้าวยกมือขึ้นเกาหัวแทน "แล้วมันคือที่เที่ยวอะไรน่ะ ทำไมเอาจิวไปด้วยไม่ได้"

         "เอาน่า" เอกลดเสียงพูดลง ทำตาล่อกแล่ก เหมือนกำลังแอบลักลอบทำการใหญ่ "รับรองสนุก ที่แบบนี้เค้าไม่พกแฟนไปด้วยหรอก"

         "เอางั้นนะ" ต้นข้าวทำหน้ากังวล ในใจยังคิดว่าจะโทรบอกจิวยังไงดีหว่า

         "ตามนี้แหล่ะ เจอกัน สงสารเพื่อนผู้อกหักหน่อยเถอะ" เอกทำหน้าทำตาน่าสงสาร เรียกคะแนนจากเพื่อนเพิ่มอีกหน่อยนึง

         ........................

         ตอนเย็นต้นข้าวกลับถึงบ้าน นึกหาคำพูดอยู่นานที่จะโทรศัพท์ขอจิวออกไปเที่ยวกลางคืนกับเอก โดยที่จิวไม่ต้องไปด้วย แต่ท้ายที่สุดก็คิดได้ว่าก็แค่พูดไปตามความจริงเท่านั้นก็พอ จะนึกหาเรื่องทำไม

         "ฮัลโหล จิวเหรอ" หนุ่มน้อยกรอกเสียงลงไปเมื่อมีคนรับปลายสาย

         "อื่ม กลับถึงบ้านแล้วเหรอ คืนนี้จิวไม่ได้เข้าไปหานะ และน่าจะไม่ได้เจอกันจนอีกสองสามวันเลยล่ะ เพราะต้องไปนครชัยศรีเรื่องโรงงานกับป๊า ขอโทษทีนะ"

         --อ้าว เรื่องมันก็ง่ายขึ้นแล้วสิเนี่ย-- ต้นข้าวโล่งใจขึ้น

         "จิว คืนนี้เอกมันจะชวนเราไปเที่ยว คงจะชวนไปดื่มน่ะ มันเซ็ง มันอกหัก มันเลิกกับแจ๊สแล้วนะ"

         "เฮ้ย! เหรอ เป็นไปได้ยังไง" เสียงปลายสายดูตกใจจริงๆ

         ต้นข้าวเล่าให้จิวฟังเท่าที่ได้ยินจากปากเอกเมื่อตอนกลางวันจนครบหมดทุกประโยค และได้ยินปลายสายถอนหายใจยาว

         "เฮ้อ ทำอะไรไว้ก็ได้อย่างนั้น เสียดายเวลาจัง" จิวพูดแบบปลงๆ "แต่เดี๋ยวก่อน แล้วนี่จะชวนไปไหนกัน"

         ต้นข้าวต้องอธิบายจิวอีกครู่ใหญ่ ว่าไม่รู้เหมือนกันว่าไปที่ไหน รู้แต่ว่าน่าจะเป็นที่โปรดปรานของเอก

         .......กว่าต้นข้าวจะได้วางหูจากจิว ก็กินเวลาอีกเกือบ ๑๕ นาที เพราะจิวได้พร่ำบ่น สั่งเสีย บังคับ ขู่ ดุ ประชด และชี้ให้เห็นถึงการไปเที่ยวในที่ๆ ไม่รู้จัก คืออะไรก็ไม่รู้ ระวังอย่าให้ใครมาจีบ ห้ามให้เบอร์โทรกับใคร ใครยื่นอะไรให้อย่าไปรับ อย่าชนแก้วมั่ว อย่าฝากแก้วเหล้ากับคนอื่น เข้าห้องน้ำให้ระวัง เวลายืนฉี่ให้เอามือปิดๆ ไว้บ้าง...บลา บลา บลา...

         .................

         สองทุ่มครึ่งคืนนั้น ต้นข้าวมายืนรอเอกที่หัวมุมถนนพัฒพงษ์ตัดกับถนนสุรวงศ์ หนุ่มน้อยไม่ได้เดินเข้าไปใน 7-11 หรอก เพราะร้านค่อนข้างเล็กและมีลูกค้าที่กำลังเห่อของใหม่อยู่ในนั้นจำนวนมาก มีคนเดินเข้าเดินออกผลักประตูกระจกเปิดปิดตลอดเวลา มีสุนัขจรจัดผอมๆ ตัวหนึ่ง นอนซังกะตายอยู่หน้าประตู ตอนนี้มันกำลังเงยจ้องหน้าต้นข้าวนิ่งอยู่

         "ต้นข้าว" เอกทักขึ้นมาก่อนถึงตัว "มานานยัง ไปกัน"

         คืนนี้เอกแต่งตัวซะหล่อ ใบหน้าดูมีความสุขดี ไม่มีวี่แววของความเศร้าเหมือนเรื่องราวที่ได้ยินตอนเที่ยงเลยสักนิด แสดงว่าสถานที่จะเข้าไปเที่ยวนี่มันต้องน่าสนใจสำหรับเอกมากจริงๆ

         เอกพาต้นข้าวเดินข้ามถนนสุรวงศ์มาอีกฝั่งหนึ่ง แล้วเดินลัดเข้าซอยไปอีกหน่อย จนมายืนอยู่หน้าบันไดทางขึ้นแคบๆ มืดๆ ตรงซอกตึก มีป้ายเล็กๆ เขียนไว้ว่า "ทไวไลท์ อะโกโก้บาร์"

         ต้นข้าวอ่านชื่อแล้วหันไปมองหน้าเอก

         "เหอะน่า มาเถอะ" เอกดึงมือต้นข้าว แล้วพาก้าวเร็วๆ ขึ้นบันไดแคบๆ นั่นไป

         ชั้นบนมีขนาดเหมือนชั้นสองของห้องแถวทั่วไป ค่อนข้างมืด มีเก้าอี้แบบสตูลที่นั่งเดี่ยวๆ วางอยู่เต็มห้อง ไม่มีโต๊ะ เหมือนว่าให้ลูกค้านั่งอย่างเดียว เพื่อดูการแสดงบนเวทีเล็กๆ ติดริมผนังด้านหนึ่งของห้อง หน้าเวทีมีขนาดไม่เกิน ๔ เมตร มีเคาเตอร์บาร์ผสมเครื่องดื่มตั้งยาวอยู่ตลอดหน้าเวที

         บนเวทีมีเสาแสตนด์เลส ๔ เสาตั้งห่างกันเป็นระยะ ไฟพาร์เก่าๆ โทรมๆ ที่แขวนอยู่บนเพดานกำลังส่องไฟสีมลังมเลืองลงไปที่บนเวที ที่มีหนุ่มน้อยทั้งแบบรูปร่างกำยำ และมีทั้งแบบผอมบาง ใส่กางเกงในตัวเดียวเต้นยึกยักๆ โยกเล่นอยู่กับเสาแสตนด์เลส ๔ คน

         ต้นข้าวอ้าปากบ๋อ! หันไปมองหน้าเอกอีกรอบหนึ่ง ซึ่งเอกก็ยิ้มให้พร้อมยักคิ้วขึ้นข้างนึงเป็นทำนองว่าชอบมะ!

         "ทำไมไม่บอกว่าชวนมาแบบนี้" ต้นข้าวกระซิบเบาๆ กับเอก

         "บอกก่อนแล้วจะมาด้วยกันเหรอ" เอกหัวเราะหึหึ

         .................

         "รับเครื่องดื่มอะไรดีฮะ" เสียงกัปตันของบาร์เดินมาถามถึงตรงเก้าอี้ที่ทั้งสองนั่ง

         "เบียร์สองขวดครับ" เอกหันไปตอบกัปตันคนนั้น แล้วหันมากระซิบต้นข้าว "กินเบียร์น่ะปลอดภัยสุด ไม่ต้องกลัวเหล้าปลอมหรือใส่ยา"

         ต้นข้าวทำตาโต --มันน่ากลัวขนาดนี้เลยเหรอ--

         ..................

         "เอ้าชนขวด!!" คนอกหักชูขวดเบียร์ขนาดเล็กที่มีปลอกโฟมห่อรอบขวดสำหรับถือกันความเย็น มาชนกับขวดของต้นข้าว "สนุกให้ลืมแมร่ง..."

         ต้นข้าวแม้จะยังตื่นๆ อยู่กับสถานที่รูปแบบที่ไม่เคยมาก่อนเลยอย่างนี้ แต่ใจหนึ่งก็สงสารเอก คงต้องการเพื่อนสักคนมาอยู่ข้างๆ เพื่อดับทุกข์ ก็เลยชนขวดเบียร์ดื่มตามไปด้วยเพื่อสร้างความสนุกให้เพื่อน

         เบียร์ขวดเล็กผ่านไปยังไม่ถึงครึ่งขวด บนเวทีเริ่มเปลี่ยนอารมณ์ไฟ เด็กหนุ่มในกางเกงในตัวเดียวลงจากเวทีไปหมดแล้ว เสียงพิธีกรสาวประเภทสองซึ่งเป็นรุ่นป้าๆ ประกาศดังเจื้อยแจ้ว

         "เอาล่ะค่ะ มาถึงช่วงเวลาโชว์ตัวของน้องๆ กันแล้ว รีบเล็งเอาไว้ ชอบคนไหนกระซิบจองกับกัปตันไว้เลยนะคะ"

         บนเวทีเด็กหนุ่มอีกกลุ่มเดินขึ้นมายืนเรียงพร้อมกัน ๘ คน คราวนี้ทุกคนไม่ได้ใส่อะไรเลย เปลือยหมด และส่วนกลางลำตัวพองอวดเรียกแขกเต็มที่!!

         ต้นข้าวแทบสำลักเบียร์ที่พึ่งจิบเข้าไปอึกใหญ่ นี่เป็นเรื่องใหม่ของเด็กหนุ่มที่ได้เห็นเด็กผู้ชายเปลือยกายแข็งแรงชูชันมายืนรวมกันมากๆ แบบนี้ ใจต้นข้าวเต้นตึกตัก...

         เด็กหนุ่มเปลือยสี่คน เดินก้าวข้ามจากบนเวทีมายืนที่เคาเตอร์บาร์ด้านหน้า ลูกค้าแถวหน้ารีบยกแก้วเครื่องดื่มของตัวเองที่วางไว้บนเคาเตอร์นั่นหนีออกอย่างเร็ว คราวนี้มันไกล้ชิดคนดูมากถึงขนาดจะทิ่มตา หรือฟาดหัวได้เลยล่ะ เสียงพิธีกรบรรยายสรรพคุณอีก

         "ชอบไหมคะ ชอบคนไหนก็จับได้ คลึงได้ ดูดได้ ไม่สึกไม่หรอเหมือนดินสอเขียนคิ้วคร่า~"

         ต้นข้าวขำพรืดกับคำบรรยายของพิธีกรรุ่นป้านั้น แทบจะสำลักเบียร์อีกรอบ บอกไม่ถูกว่าขณะนั้นมีอารมณ์แบบไหน มันปนเปกันไปหมด จะว่ามีอารมณ์ก็มี จะว่าขำก็ขำ อีกใจหนึ่งก็นึกสงสารเด็กหนุ่มเหล่านั้น ที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นจำนวนมาก

         เด็กหนุ่มเหล่านี้เวียนกันขึ้นมาโชว์ตัว (และโชว์ "ของ") จนครบเกือบสามสิบคน เสียงเชียร์ เสียงตบมือ และเสียงครางฮือเมื่อมีบางคนที่พ่อให้มามันใหญ่โตโอฬารเกินเพื่อนเดินขึ้นมาบนเวที เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังระงมแทบกลบเสียงเพลงสนิท เอกที่นั่งอยู่ข้างๆ ตบมือให้กับหนุ่มเปลือยบนนั้นหลายคนเมื่อเดินผ่านหน้า

         เมื่อเพลงจบ ทุกคนลงจากเวทีหมด เหลือแค่นายแบบหนุ่มหล่อหน้าตาดีเปลือยกายเพียงคนเดียว คราวนี้กัปตันเดินเอาลูกโป่งสองสามลูก มาแจกให้ลูกค้าชูถือไว้สูงๆ บังเอิญหนึ่งลูกมาอยู่บนมือลูกค้าที่นั่งติดกับต้นข้าวเลย หนุ่มน้อยมองตามด้วยความสงสัย

         บนเวที นายแบบหนุ่มเริ่มหันหลังแล้วโก้งโค้งลง ในมือถือหลอดไม้ซางอันเล็กๆ ยาวประมาณคืบกว่าๆ เอาปลายข้างหนึ่งสอดเข้าไปในร่องด้านหลังตรงบั้นท้ายของตัวเอง แล้วส่ายเล็งหลอดไม้ซางนั่นไปมา เหมือนปืนที่กำลังเล็งหาเป้า

         "ปุ๊งงง!!!" เสียงลูกโป่งในมือของลูกค้าข้างๆ ต้นข้าวแตกระเบิดด้วยลูกดอกอันเล็กๆ ที่ปลิวมาจากปลายไม้ซางนั่น พร้อมกับเสียงตกใจของต้นข้าวที่หลุดปากร้องออกมา "เอิ๊บบบบ~!!" จนเอกผู้ซึ่งนั่งถัดไปต้องหัวเราะขำออกมา

         --เฮ้ย-- ทำได้ไง ต้นข้าวคิดในใจหลังจากตั้งสติได้ แอบอายเล็กน้อยที่เผลอร้องตกใจออกมาแบบนั้น ดีที่ลูกค้าแน่น นั่งติดๆ กัน เลยไม่ได้เป็นที่สังเกตเท่าไร

         อันที่จริงกว่าต้นข้าวจะรู้เบื้องหลัง ก็อีกหลายปีต่อมา ว่าไม้ซางนั่นไม่ได้ยิงลูกดอกออกมาเพราะลมเบ่งจากบั้นท้ายของหนุ่มนั่นหรอก แต่มันแอบมีปุ่มสปริงกดเพื่อยิงลูกดอกมากระทบลูกโป่ง เทคนิคนี้หากินในบาร์เมืองไทยไปได้อีกหลายสิบปี

         ..................

         ตอนนี้บนเวทีเปลี่ยนเป็นโชว์คาบาเร่ต์จากสาวประเภทสองแล้ว ในชุดกี่เพ้าจีนสีแดงสด นักแสดงสวย แต่งหน้าเข้มปากแดงจัด กำลังลิปซิ้งค์เพลง "หนี่ เจิ่น เมอ ซัว (เธอเคยพูดกับฉันไว้ว่าอย่างไร)" ของ เติ้ง ลี่ จวิน อยู่

         "กัปตัน" เสียงเอกเรียกพนักงาน ดึงความสนใจจากต้นข้าวให้หันไปมอง

         "ตามน้องบอย เบอร์ ๑๒ ให้ผมด้วยครับ" แล้วเอกหันมาหาต้นข้าว "ต้นข้าวล่ะ จะเรียกเบอร์อะไร ชอบคนไหน"

         ต้นข้าวส่ายหัวดิก "ไม่อ่ะ..."

         "เหอะน่า เรียกมานั่งคุยกันเล่นๆ ไม่อ็อฟออกไปก็ไม่เป็นไร" เอกหันไปบอกกัปตันให้เสร็จสรรพ "งั้นตามน้องอ้น เบอร์ ๕ มาด้วยอีกคนฮะ ให้เพื่อนผม"

         "หึ๋ย! ไม่เอาไง" ต้นข้าวตกใจ

         "น่า นั่งคุยกับน้องเป็นเพื่อนเราหน่อย" เอกทำหน้าสบายอกสบายใจ เหมือนเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่สุด

         ต้นข้าวทำหน้ามุ่ย แต่ก็ไม่อยากขัดเพื่อน

         น้องบอยที่เดินมาสวัสดีเอก เป็นหนุ่มน้อยหน้าตาดี แนวเข้มๆ ผิวสองสี ตอนนี้เปลี่ยนใส่กางเกงขาสั้นแล้ว ไม่ได้เปลือยแบบบนเวที มีเบอร์ ๑๒ ติดอยู่ที่ขอบกางเกง ท่าทางการทักทาย เหมือนเคยคุ้นหรือรู้จักกันกับเอกมาก่อนแล้ว

         ส่วนน้องอ้น หนุ่มน้อยเบอร์ ๕ ที่เอกเรียกให้ต้นข้าว จะว่าเอกมันตั้งใจหรือยังไงไม่รู้ น้องมีใบหน้าตี๋ ขาว ผอมโปร่งมาเลยทีเดียว ถอดเสื้อ ใส่แต่กางเกงขาสั้นเหมือนกันกับน้องบอย ต้นข้าวไม่ได้สังเกตเห็นน้องคนนี้มาก่อนตอนอยู่บนเวที

         น้องอ้น ยิ้มนำเข้ามาก่อน ตาตี่ยิบหยีมีประกายซุกซน พอยกมือไหว้เสร็จ ก็นั่งลงตัวแทบติดกัน เอามือวางลงบนต้นขาต้นข้าว บีบเบาๆ แล้วพูดเสียงเก๊กหล่อกับต้นข้าวว่า

         "พี่หล่อจัง เป็นดาราหรือเปล่าครับ คืนนี้พี่ออกไป 'เที่ยว' กับผมต่อนะครับ..."


--------------------------------


หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๔ : ไม่สึกไม่หรอเหมือนดินสอเขียนคิ้ว || หน้า ๑๐ || ๑๗/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 17-02-2017 16:27:02
 :เฮ้อ:

เพื่อนหนอ
ตัวเองหนอ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๔ : ไม่สึกไม่หรอเหมือนดินสอเขียนคิ้ว || หน้า ๑๐ || ๑๗/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 17-02-2017 21:00:31
มารไม่มา
บารมีไม่เกิด

ถ้าสติเตลิด
ตัณหาก็จะเกิด

แล้วแย่งกันสลัดผ้า
ผลัดกันเปิด เชิดมังกร

..ตะลุ่งตุ้งแช่..

ดี๊ยยยดียยย เอ๊ะ หรือว่าไม่ดี
หุหุ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๔ : ไม่สึกไม่หรอเหมือนดินสอเขียนคิ้ว || หน้า ๑๐ || ๑๗/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 17-02-2017 22:58:27
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๔ : ไม่สึกไม่หรอเหมือนดินสอเขียนคิ้ว || หน้า ๑๐ || ๑๗/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: anandawan ที่ 18-02-2017 05:27:34
ต้นข้าว เด็กดื้อ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๔ : ไม่สึกไม่หรอเหมือนดินสอเขียนคิ้ว || หน้า ๑๐ || ๑๗/๐๒/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 03-03-2017 00:12:30

MBK❤lover


(http://www.bloggang.com/data/k/kampong/picture/1485729585.jpg)


ตอนที่ ๓๐ : คำรักในคืนหลอกลวง


         อยู่ดีๆ ใครมาชมกันแบบนั้นก็ต้องมีเขินบ้างล่ะ ต้นข้าวมองหน้าอ้น หนุ่มน้อยเบอร์ ๕ แล้วหัวเราะหึหึ

         "ปากหวานจังนะเรา"

         "อ้าว ก็จริงๆ นี่ครับพี่" อ้นลากเก้าอี้เข้ามาชิดขึ้นอีก

         "พี่พึ่งมาครั้งแรกเหรอฮะ ผมไม่เคยเจอที่นี่เลย"

         "ใช่ พี่พึ่งเคยมาครั้งแรก ปกติพี่ไม่ชอบเที่ยวแบบนี้" ตาต้นข้าวตอนนี้มองขึ้นไปบนเวที นางโชว์กำลังเปลี่ยนเป็นโชว์ตลกเพลงลูกทุ่ง

         "ผมนี่โชคดีจัง ที่ได้เจอกับพี่คืนนี้ พี่เหมือนพระมาโปรดผมเลยนะเนี่ย" อ้นจ้องหน้าต้นข้าวไม่วางตา

         ต้นข้าวหันกลับไปมองอ้นบ้าง "ทำไม โชคดีเรื่องอะไรเหรอ"

         อ้นเริ่มตีหน้าเศร้า "ก็ผมนึกว่าคืนนี้จะเน่าซะแล้วสิครับ ผมกลัวไม่มีเงินไปรักษาแม่ แม่ผมป่วยนอนอยู่ที่บ้าน"

         ---มันเป็นเรื่องที่ควรจะคุยกับคนแปลกหน้าไหมเนี่ย--- ต้นข้าวคิดในใจ

         อ้นเห็นต้นข้าวเฉยๆ กับประโยคนั้น คราวนี้จึงจับมือต้นข้าวมากุมไว้สักครู่ แล้วค่อยๆ ดึงมาวางที่กลางลำตัวตนเองเลย อ้นใส่กางเกงขาสั้นมากสีขาว เนื้อผ้าค่อนข้างบาง สัมผัสของมือที่วางลงไปลึกไปถึงไหนต่อไหน จับได้เป็นชิ้นเป็นอันเลยล่ะ

         ต้นข้าวก้มลงไปมองตามมือตัวเอง แล้วเงยหน้าขึ้นมองอ้น ส่งยิ้มให้เบาๆ แล้วค่อยๆ ดึงมือตัวเองออกจากกลางเป้านั้น เอามาประคองขวดเบียร์ที่ดื่มอยู่แน่นไว้ทั้งสองมือ ---ดูสิว่าคราวนี้มันจะทำอะไรอีกได้---

         ต้นข้าวหันไปมองที่เอกบ้าง เอกผู้ซึ่งนั่งเก้าอี้ติดกัน และมีหนุ่มน้อยที่ชื่อบอยเบอร์ ๑๒ กำลังยืนกอดเอกจากทางด้านหลังแน่น ทั้งลำตัวสนิทแนบไปกับแผ่นหลังของเอก ไม่ต้องคิดเลยว่าอะไรต่ออะไรในตัวมันจะไปถูหลังคนนั่งที่โดนกอดอยู่บ้าง

         เอกหัวเราะร่าเริง ดูมีความสุขมากในคืนนี้ ความทุกข์ระทมที่เกิดจากเรื่องแจ๊ส คงละลายหายไปพร้อมๆ กับเบียร์ขวดที่สองหรือสามที่สั่งมากินเพิ่มแล้วล่ะ เสียงหัวเราะต่อกระซิกที่เอกเงยหน้าขึ้นไปคุยกับบอย บอกให้รู้ว่าตอนนี้สองคนเหมือนเข้าไปนั่งคุยกันในตู้เล็กๆ อะไรสักตู้ที่ปิดประตูสนิท โลกนี้มีกันสองคน ไม่มีใครมาเกี่ยวข้อง

         ต้นข้าวนั่งเบื่ออยู่อีกพักใหญ่ๆ ไหนจะต้องรับฟังอ้น ซึ่งกำลังเล่าถึงความทุกข์ระทมต่างๆ ของชีวิตตัวเองที่เจอ เรื่องแม่ที่ป่วย เรื่องพ่อไม่เหลียวแล เรื่องน้องชายที่ไม่ตั้งใจเรียน พร้อมทั้งย้ำอยู่นั่นแล้วว่าโชคดีที่เจอต้นข้าวในคืนนี้ อยากใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานๆ อยู่ค้างคืนด้วยเลยได้ไหม นั่น นู่น นี่...

         "กลับเถอะ" ต้นข้าวหันไปสะกิดเอก

         "อ้าว อยากเอาแล้วเหรอ" เอกหันมาหัวเราะเอิ้กอ้ากด้วย หน้าเริ่มแดง ลิ้นเริ่มพันกันแล้ว

         "บอย ไปบอกกัปตันว่าเช็คบิล รวมทั้งค่าออฟคืนนี้ของบอยกับอ้นด้วยนะ" เอกเงยขึ้นไปบอกเด็กของตัวเอง ฝ่ายนั้นยิ้มร่า แล้วรีบเดินไปจัดการตามคำสั่ง

         "หึ๋ย...ออฟอ้นไปด้วยทำไม เราไม่เอานะ" ต้นข้าวตกใจที่เอกสั่งเด็กไปแบบนั้น

         "เหอะน่า เราจัดการให้ เราเลี้ยงค่าออฟ ถือว่าเป็นการขอบคุณที่มาเที่ยวเป็นเพื่อนเราคืนนี้น่ะ ไม่ต้องอายหรอก สบายๆ อย่าคิดมาก" เอกโบกมือไปมา

         ต้นข้าวรู้แหล่ะ ว่าบ้านเอกมีฐานะดี จะเลี้ยงอีกสองสามคนก็ได้ แต่เรื่องนี้มันไม่ใช่ไง

         "เราจ่ายไปแล้ว จ่ายแล้วก็เอาๆ ไปเถอะ ขำๆ"

         ---ใครจะไปขำด้วย เรื่องแบบนี้--- แล้วนี่มันคือเด็กบาร์ เด็กขายบริการด้วยเนี่ยนะ

         "งั้นผมไปเปลี่ยนชุดเลยนะครับ แล้วผมยืนรอหน้าประตูข้างล่างนะ" เสียงอ้น เบอร์ ๕ บอกมา ต้นข้าวจะอ้าปากบอกว่าไม่ต้อง ก็ไม่ทันแล้ว ---เฮ้อ เอาไงดีวะเนี่ย---

         "ป่ะ ไปกัน" เอกลุกขึ้นยืน เซเล็กน้อย รับเงินทอนจากกัปตัน และทิปกลับไปด้วยแบ็งค์ร้อย กัปตันแทบจะปูพรมแดงให้ตอนขากลับ

         ทั้งสองคนเดินลงมาจากชั้นสอง ก็พบกับเด็กหนุ่มบาร์สองคนนั่นยืนรออยู่แล้ว ในชุดใหม่ที่เหมือนจะออกไปเที่ยวปกติ ซึ่งถ้าไม่สังเกตก็จะไม่รู้ว่าเด็กสองคนนี้มีอาชีพอะไร

         เอกเดินไปจูงมือเด็กของตัวเอง แล้วหันมาบอกต้นข้าวซึ่งยืนทำตัวไม่ถูกอยู่นั้น

         "เราแยกกันตรงนี้นะ เราจะไปที่ห้องน้องบอย ไม่ต้องเสียค่าโรงแรม"

         ต้นข้าวยิ่งทำหน้าเหวอหนักขึ้น อะไรกันวะนี่ นี่กูมาทำอะไรแบบนี้ก็ได้ด้วยเหรอ คิดจบก็หันไปมองหน้าอ้น ซึ่งเหลือยืนอยู่คนเดียว กำลังจ้องมองต้นข้าวรออยู่แล้วด้วยสายตาหวานเยิ้ม

         "งั้นเราไปกันเถอะครับพี่ พี่เอารถมาหรือเปล่าครับ"

         ต้นข้าวพยักหน้ารับอย่าง งงๆ ไม่รู้จะทำยังไงดีแล้วตอนนี้ ได้แต่เดินนำอ้นไปที่จอดรถในซอยโรงแรมมณเทียรข้างๆ นั้น

         "รถพี่สวยจัง" อ้นบอกในขณะที่เข้ามานั่งเบาะข้างในรถต้นข้าว พร้อมกวาดตามองไปทั่วทั้งในรถ "เราจะไปนอนคุยกันที่ไหนดีครับ"

         มือของอ้นเริ่มไว ขณะที่ต้นข้าวกำลังเข้าเกียร์ถอยออกมาจากซองจอด อ้นก็เริ่มเลื้อยมือมาที่ต้นขาของต้นข้าวทันที

         "เฮ้ย อย่า..." ต้นข้าวตกใจ เพราะมือหนึ่งจับพวงมาลัย อีกมือกำลังสาละวนกับการเปลี่ยนเกียร์รถอยู่ อ้นหัวเราะเสียงดัง แต่ไม่ได้ถอนมือออกจากขาชายหนุ่ม

         "ผมมีความสุขที่สุดเลยที่อยู่กับพี่ในคืนนี้" เจ้าเด็กอ้นนั่นเริ่มทำตาเคลิ้มฝัน หันมามองต้นข้าวแล้วก็เลยเอนหัวมาซบไหล่ต้นข้าวทั้งๆ ที่กำลังขับรถอยู่แบบนั้น

         "นั่งดีๆ พี่ขับรถไม่ถนัด"

         ต้นข้าวยักไหล่ข้างที่อ้นมาซบพิงแรงๆ ให้หัวเจ้าเด็กนั่นกระเด้งออก ตอนนี้ต้นข้าวเลี้ยวเข้าถนนราชดำริแล้ว ตั้งใจจะขับกลับบ้านโดยจะผ่านไปทางประตูน้ำเข้าถนนวิภาวดี ในใจก็คิดว่าจะปล่อยเจ้าอ้นลงตรงไหนดี

         "พี่ชอบแบบไหนครับ ผมทำให้พี่ได้หมดเลยนะ" เจ้าเด็กอ้นนี่ยังไม่ละความพยายาม

         "เอ่อ..." ต้นข้าวก็ไม่รู้จะตอบเรื่องนี้ยังไง เอาเข้าจริงๆ ต้นข้าวก็ไม่เคยมีอะไรกับคนอื่นเลยตั้งแต่โตมา มีแฟนแค่จิวคนเดียวมาตลอดตั้งแต่เริ่มรู้จักกับความรัก จึงรู้สึกแปลกๆ บ้างที่ต้องมาคุยเรื่องแบบนี้กับคนที่พึ่งรู้จัก จึงรีบพูดตัดบทเปลี่ยนเรื่องออกไป จะได้จบๆ สักที

         "แล้วนี่อ้นบ้านอยู่ไหนนี่ พี่จะไปส่ง"

         อ้นหันมายิ้มเจื่อนๆ "ห้องเช่าผมอยู่แถวประตูน้ำครับ แต่ผมพาพี่ไปห้องผมไม่ได้ เพราะแม่ผมนอนป่วยหนักอยู่ที่ห้องอะ"

         "ไม่ใช่ พี่หมายถึงพี่จะแวะไปส่งอ้นกลับห้อง ไม่ใช่ว่าพี่จะขึ้นไปกับอ้นที่บนห้อง" นี่มันคิดกันไปคนละเรื่องเลยนี่นะ ต้นข้าวนึกในใจ

         "อ้อ ฮะ แต่แถวประตูน้ำ มีโรงแรมถูกๆ นะครับ เราไปเปิดห้องที่นั่นกันก็ได้ครับ" อ้นยังพล่ามไปคนละเรื่องต่ออีก

         "ผมรู้สึกรักพี่จังเลย"

         ต้นข้าวหันไปมองหน้าอ้นชัดๆ อีกที --เออเนาะ คนเราพึ่งเจอกันก็บอกรักกันง่ายๆ งี๊ก็มีด้วย--

         ต้นข้าวรู้สึกผิดสังเกตว่าทำไมรถติดไฟแดงนานจัง ตอนนี้รถมาจอดรอไฟแดงอยู่ที่แยกหลังสวน นี่มันสี่ทุ่มกว่าแล้ว ปกติรถโล่งแทบจะขับซิ่งได้ หันไปมองรอบรถซ้ายขวา คนขับรถทุกคันข้างๆ ทำหน้าเซ็งๆ อยู่หลังพวงมาลัยรถกันหมด

         "รถติดอะไรหว่า" ต้นข้าวพูดลอยๆ ออกมา

         "ติดก็ดีสิครับ"

         "ดียังไง เบื่อ พี่อยากกลับบ้านแล้ว บ้านพี่ยังอีกไกล"

         "เราจะได้อยู่ด้วยกันนานๆ ไง" พูดจบอ้นก็เอามือมากุมมือต้นข้าวที่จับค้างอยู่บนเกียร์รถ ลูบไปลูบมาเบาๆ

         ต้นข้าวเหนื่อยที่จะคุยด้วย เพลียที่จะคิดอะไรต่อแล้ว จึงปล่อยให้ไอ้เด็กอ้นนี่มันลูบมืออยู่แบบนั้น ส่วนตัวเองก็หลับตาเอนตัวพิงเบาะ ทำท่าอยากจะหลับๆ ไปแล้วตื่นมาให้พ้นจากตรงนี้

         นาฬิกาผ่านไปอีก ๔๐ นาที รถยังไม่มีทีท่าว่าจะเขยื้อน นี่มันไม่ใช่เรื่องปกติแล้วล่ะ ต้นข้าวได้ยินเสียงรถหวอจำนวนมากวิ่งเปิดไซเรนอยู่ไกลๆ หันมองไปนอกรถ เจ้าของรถหลายคนดับเครื่องยนต์ แล้วออกจากรถมายืนสูบบุหรี่อย่างหงุดหงิดริมถนนราชดำรินี้บ้างแล้ว หันกลับไปมองอ้น กำลังหลับอยู่บนเบาะ ต้นข้าวคิดในใจ ---ไหนบอกรักอย่างโน้นอย่างนี้ ไหนบอกอยากอยู่ด้วยกันนานๆ แต่ชิงหลับไปก่อนแล้วนี่นะ---

         ต้นข้าวลองหมุนปุ่มวิทยุ จะลองเปิดฟังเผื่อมีข่าวอะไรออกอากาศ ปรากฎว่าเหมือนคลื่นวิทยุถูกรบกวน ทั้งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ อยู่ใจกลางกรุงเทพแท้ๆ แต่เสียงที่ออกมาจากวิทยุเหมือนเรานั่งรถออกไปต่างจังหวัดไกลๆ แล้วคลื่นวิทยุไปไม่ถึง ส่งเสียงโครกครากอยู่อย่างนั้น ต้นข้าวเลยปิดวิทยุ เจ้าอ้นก็ลืมตาตื่นขึ้นมาพอดี

         "โห รถยังไม่เคลื่อนเลยหรือพี่ นี่กี่โมงแล้ว" อ้นคว้าข้อมือของต้นข้าวมาพลิกดูนาฬิกา มันเป็นเวลา ๕ ทุ่มกว่า เลยอุทานเสียงดังออกมา

         "ตายห่า!! จะเที่ยงคืนแล้ว"

         อ้นหันไปมองริมถนนนอกรถ เห็นตู้โทรศัพท์สาธารณะอยู่ริมถนนไม่ไกล มีคนยืนต่อคิวอยู่สัก ๗-๘ คน ก็หันมาบอกต้นข้าวอย่างร้อนรนว่า "พี่มีเหรียญหยอดตู้โทรศัพท์ไหม ขอหน่อย ผมจะโทรไปหาแม่ว่าแกเป็นยังไงบ้าง แกนอนป่วยอยู่คนเดียว"

         ต้นข้าวก้มลงไปค้นหาเหรียญในช่องใส่ของหน้ารถ นึกในใจว่าดีเหมือนกัน ให้มันโทรไปหาใครก็โทรไป จะได้ไปพ้นๆ ซะที แต่เหรียญที่หยิบติดมือขึ้นมาเป็นเหรียญ ๕ บาทกับเหรียญ ๑๐ บาท ซึ่งในประเทศไทยพึ่งจะผลิตเหรียญสองชนิดนี้ใช้ครั้งแรกเมื่อสักปีกว่านี่เอง ถือว่ายังเป็นของใหม่อยู่ ทำให้ตู้โทรศัพท์สาธารณะยังไม่ได้รองรับเหรียญนี้

         "เอ้านี่ มีแค่สามบาท" ต้นข้าวควานหาเหรียญบาทจนเจอ อ้นรีบรับเหรียญบาทนั่นไป แล้วลงจากรถเพื่อเดินไปที่ตู้โทรศัพท์ ต้นข้าวคิดในใจ ---ขอให้มันโทรไปหาแม่มัน แล้วรีบกลับๆ ไปเหอะ---

         ...................

         ต้นข้าวเอาคางเกยกับพวงมาลัยรถ เอานิ้วเคาะที่พวงมาลัยรถเป็นจังหวะอย่างไร้ความหมาย ตามองเหม่อไปที่เจ้าเด็กอ้นเบอร์ ๕ นั่น ซึ่งกำลังยืนรอคิวหน้าตู้โทรศัพท์อย่างกระสับกระส่าย

         ป่านนี้จิวจะเป็นยังไงบ้างนะ จะหลับหรือยัง จะตื่นมาหิวกลางดึกหรือเปล่า จะมีคนต้มมาม่าอย่างที่ชอบให้กินไหม ไม่รู้เดินทางไปที่นครชัยศรีจะลำบากลำบนอย่างไร และขากลับมาคงจะปวดเมื่อยหลังน่าดู เดี๋ยวเจอกันต้นข้าวจะนวดหลังให้จิวดีกว่า จิวเป็นคนเก่งนะ ช่วยงานป๊าที่โรงงานได้ทุกอย่างเลย อีกหน่อยก็คงได้เป็นเจ้าของโรงงานทำรองเท้าฟองน้ำ 'ตราสามดาว' ต่อจากป๊าแหล่ะ

         ต้นข้าวคิดถึงจิวจัง...

         .....................

         "ฮัลโหล" อ้นกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์เมื่อปลายสายมีคนรับแล้ว

         "ไอ้เหี้ยอ้น มึงอยู่ไหนแล้ว" เสียงแหลมๆ ของผู้หญิงปลายสายแว่วออกมา

         "รถยังติดอยู่ตรงราชดำริเลย ยังไม่ได้ขึ้นโรงแรมเลย" เสียงอ้นอ่อนลง

         "มึงนี่นะ โง่จริง ทำไมมึงไม่พาเข้าโรงแรมจิ้งหรีดแถวที่ทำงานมึง มึงจะนั่งรถออกมาทำไมให้โง่ ห่ะ!!"

         "..............."

         "แล้วนี่มึงรู้ไหม ข่าวออกว่ามีไฟไหม้ รถมันก็ติดสิ ลูกมึงก็ร้องอยู่นั่นล่ะ กูเป็นเมียมึงนะไม่ใช่ขี้ข้า นี่มึงขึ้นห้องน้ำแตกกับแขกไปกี่รอบแล้ว นมกระป๋องลูกมึงหมดแล้วนะ"

         "ยังไม่ได้แตกสักรอบนึง มาเจอไอ้เหี้ยนี่ ซวยฉิบหาย ไม่รู้ดัดจริตอะไรของแมร่งมัน จะพาไปขึ้นห้องแถวประตูน้ำอีก เรื่องมากฉิบหาย"

         "มึงก็ไปอ้อนๆ มันหน่อย ตอแหลบอกรัก บอกชอบมันไปเยอะๆ พวกตุ๊ดพวกเกย์นี่มันโง่จะตายห่า มึงงัดของๆ มึงออกมาจากกางเกงขี้คร้านมันก็พร้อมจ่ายให้มึงเยอะๆ เพราะไอ้นั่นของมึงมันก็อันไม่ใช่น้อยๆ นี่"

         "กูตอแหลว่ารักมันไปหลายรอบแล้ว ท่าทางมันโง่ๆ เหมือนไก่อ่อนคงหลอกได้แหล่ะ แต่กูว่าเดี๋ยวกูทิ้งมันดีกว่า รถแมร่งติดไม่ขยับนาน เสียเวลาเป็นชั่วโมงแล้วเนี่ย ไปจับแขกคนใหม่ดีกว่านะมึง อย่างน้อยกูก็ได้ค่าออฟจากร้านมาฟรีๆ แล้ว ไม่ต้องเสียน้ำกับมันด้วย"

         "ดีแล้ว มึงไถตังค์ค่าเสียเวลามันมา แล้วไปหาแขกโง่ๆ คนใหม่เหอะ เอาตังค์กลับมาเยอะๆ หรือมึงจะขโมยกระเป๋า ขโมยนาฬิกา หรือของอะไรในรถของมันมาด้วยก็ได้ นี่แม่ของมึงก็ออกไปเล่นไพ่ข้างห้องอีกแล้ว เห็นพูดเสียงดังว่าคืนนี้จะไถตังค์มึงอีก มึงเตรียมไว้ให้แม่มึงด้วยเถอะ กูรำคาญ"

         "เออ เออ เท่านี้นะ เดี๋ยวกูไปตอแหลมันก่อน"

         "เดี๋ยวๆ ไอ้อ้น แล้วเวลามึงเข้าโรงแรมไปกับลูกค้ามึงเนี่ย อย่าลืมปิดไฟมืดๆ นะโว้ย เดี๋ยวพวกมันเห็นแผลบนไอ้นั่นมึง ว่ามึงเป็นโรคหงอนไก่กับหนองใน เดี๋ยวแขกจะด่าแม่มึงอีก"

         "เออ กูรู้แล้วน่า กูเอาถุงมีชัยมาด้วย กูจะรีบสวมปิดแผลไม่ให้เห็น...กูวางหูเท่านี้นะ บาย"

         ........................

         เสียงเปิดประตูรถ ทำให้ต้นข้าวสะดุดหยุดนึกถึงเรื่องของจิว หันกลับมามองคนที่กำลังผลุบเข้ามานั่งในรถข้างๆ

         "พี่ แม่ของผมท่าทางไม่ค่อยดีแล้วอ่ะ ผมขอกลับก่อนได้ไหมครับ"

         ต้นข้าวถอนหายใจเฮือก! "เอาสิ แต่รถติดแบบนี้จะไปยังไงล่ะ"

         "เดี๋ยวผมเดินไปเรื่อยๆ ครับ เดี๋ยวเจอรถสามล้อก็เรียกกลับห้องได้ ดีกว่าติดอยู่แบบนี้อ่ะ"

         ต้นข้าวพยักหน้า "อืม ดี รีบกลับไปดูแม่เถอะ"

         "พี่ครับ แต่ผมก็ชอบพี่จริงๆ นะครับ ผมถูกชะตากับพี่ จริงๆ ผมอยากนอนกอดพี่ทั้งคืนเลย" เจ้าเด็กอ้นนั่นถูมือไปมา

         ต้นข้าวหัวเราะหึหึ

         "พี่ครับ ผมขอค่ารถกลับบ้านสักห้าร้อยได้ไหมครับ" อ้นโพล่งออกมา

         "ห้าร้อย!!" ต้นข้าวอุทานออกมา นึกในใจว่าจริงๆ ก็พอจะรู้มาบ้างว่าถ้าออฟเด็กออกมาจากบาร์แล้ว นอกจากค่าออฟที่จ่ายให้ร้าน พอนอนกับเด็กเสร็จก็ต้องทิปให้เด็กอีกประมาณ ๓๐๐-๕๐๐ บาท แล้วแต่ความพอใจ แต่นี่ยังไม่ได้มีอะไรกันเลยไง

         "นะ พี่นะ ช่วยผมหน่อย แม่ผมป่วย..."

         "อ่ะ เอาไปๆๆ" ต้นข้าวเปิดกระเป๋าสตางค์หยิบเงินส่งให้ นึกในใจจะได้จบๆ พ้นๆ ไปซะที

         เจ้าเด็กอ้นเบอร์ ๕ คว้าเงินจากมือต้นข้าวอย่างเร็ว พร้อมกับหลิ่วตาให้ข้างหนึ่ง "ขอบคุณครับพี่ ผมรักพี่นะ" แล้วก็เปิดประตูรถลงไป

         ต้นข้าวมองตามผ่านกระจกส่องหลัง อ้นเดินไปทางด้านหลัง คือทางที่ผ่านมา ไม่ใช่ทางที่จะตรงไปประตูน้ำอย่างที่ปากว่า ต้นข้าวถอนหายใจดังเฮือก! เสียงคำพูดสุดท้ายยังก้องในหู "ผมรักพี่นะ"

         และตอนนี้ต้นข้าวก็พึ่งนึกอะไรออกอีกอย่างหนึ่งว่าตั้งแต่เอกเรียกเด็กคนนี้มาให้ที่โต๊ะ จนถึงคำบอกรักเดี๋ยวนี้จากปากก่อนแยกจากกัน เด็กคนนี้ไม่เคยถามต้นข้าวเลยสักคำว่าต้นข้าวชื่ออะไร!!

         คำรักที่พูดตามลมลอยๆ ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อเสียงเรียงนามกันนี่นะ

         ต้นข้าวหันไปมองบนเบาะนั่งข้าง เพราะเห็นอะไรแวบๆ สีชมพูมากระทบตาจากซอกเบาะ เจ้าเด็กอ้นนั่นคงทำตกไว้ตอนลุกเข้าๆ ออกๆ จากรถ

         หนุ่มน้อยหยิบมันขึ้นมา เป็นซองพลาสติกใสเล็กๆ ข้างในมองเข้าไปเห็นเป็นถุงมีชัย (ถุงยางอนามัย) ของกระทรวงสาธารณสุข ๒ ชิ้นในซองตะกั่วที่ยับยู่ยี่ หักพับ และดูเก่าจนหวาดเสียวว่าถุงยางในนั้นจะหมดอายุ หรือทะลุไปแล้วหรือเปล่า และสิ่งของอีกชิ้นในถุงนั้นคือตลับสีชมพูเล็กๆ มีคราบน้ำใสๆ เกรอะกรังตามขอบฝา ดูสกปรกและผ่านการปิดเปิดใช้งานหลายรอบ ต้นข้าวเดาว่ามันน่าจะเป็นสารหล่อลื่น (KY) ที่ใช้ตอนจะมีเพศสัมพันธ์ ชนิดแบบแบ่งจากหลอดใหญ่ใส่ลงตลับพกพา

         ต้นข้าวเปิดประตูรถแง้มนิดหนึ่ง หย่อนถุงพลาสติกทั้งถุงนั้นลงไปบนพื้นถนน แล้วปิดประตูรถดังปัง เหมือนกลัวว่าเชื้อโรคจะตามกลับขึ้นมาบนรถด้วย

         หนุ่มน้อยเริ่มรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า โชคดีมากๆ ที่รถมาติดอย่างหนักหนาสาหัสในกลางดึกคืนนี้ และมีความรู้สึกว่าการรอคอยที่รถจะเริ่มวิ่งต่อได้ ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป

         ....................

         ต้นข้าวใช้เวลารอคอย และขยับรถทีละน้อยบนถนนเส้นนั้นไปอีกชั่วโมงครึ่ง และต้องเลี้ยวอ้อมออกไปอีกหลายถนน จนถึงบ้านที่แจ้งวัฒนะเมื่อใกล้ตีสอง รวมใช้เวลาบนถนนถึงสี่ชั่วโมง

         เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อต้นข้าวตื่นขึ้นมาที่บ้าน จึงได้รู้ถึงสาเหตุที่ทำให้รถติดอย่างสาหัสเมื่อคืนบนถนนราชดำริ

         และคงจะเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่ต้นข้าว หรือคนในกรุงเทพฯ อีกจำนวนมากต้องจดจำไปอีกนานแสนนาน กับการพาดหัวข่าวตัวใหญ่บนหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับในเช้าวันนั้น

         "รถแก๊สระเบิดที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่!! โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ ในวันจันทร์ที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๓๓ เวลาประมาณ ๒๒.๐๐ น."


--------------------------------


         หมายเหตุ : รำลึก ๒๗ ปี เหตุการณ์แก๊สระเบิดที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่  http://news.mthai.com/general-news/386513.html


หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๕ : คำรักในคืนหลอกลวง || หน้า ๑๐ || ๐๓/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 03-03-2017 00:37:57
   โหหหให้ทิปไป100บาท สมัยนั้นถือว่าเยอะมาก ก้วยเตี๋ยวถ้วยหนึ่งยังไม่ถึง25บาทเลยอะ 555
  ข้าวทำถูกแล้ว ตอนอ่านนี่ลุ้นว่าข้าวจะนอกใจจิวรึป่าว เห้ออโล่งใจไปเลยข้าวคิดถึงจิวคนเดียว
  รออ่านตอนต่อไปคับ
 ** หายไปนานมาก คิดถึงเรื่องนี้มาก มารออ่านทุกวัน ดีใจที่มาวันนี้คับ**
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๕ : คำรักในคืนหลอกลวง || หน้า ๑๐ || ๐๓/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 03-03-2017 01:49:10
 :L2: :pig4:

ดีใจ คุณนักเขียนกลับมาแล้ว เราก็รอ
ดีใจรอบสองที่ยังไม่ได้รับมาม่า จิตมั่นๆไว้ข้าว
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๕ : คำรักในคืนหลอกลวง || หน้า ๑๐ || ๐๓/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: anandawan ที่ 03-03-2017 05:17:42
ดีใจที่กลับมาต่อแล้ว รอนานมากๆๆ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๕ : คำรักในคืนหลอกลวง || หน้า ๑๐ || ๐๓/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 06-03-2017 14:49:24
น้ำก็ไม่แตก
เสือกขอเงินกูไปแดกตั้ง 500

ไอ่หงอนแถมหนอง
หุหุ


ดูดิ๊..ต้นข้าวยังคิดถึงแต่หน้าจิวคนเดียว
นี่ดิ ถึงจะเรียกว่ารักแท้ อิอิ

ดราม่าอะไร..ไม่มีหรอกอ่ะเรื่องนี้
เน๊าะ คนแต่ง

บวกๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๕ : คำรักในคืนหลอกลวง || หน้า ๑๐ || ๐๓/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 08-03-2017 06:10:44
   โหหหให้ทิปไป100บาท สมัยนั้นถือว่าเยอะมาก ก้วยเตี๋ยวถ้วยหนึ่งยังไม่ถึง25บาทเลยอะ 555
  ข้าวทำถูกแล้ว ตอนอ่านนี่ลุ้นว่าข้าวจะนอกใจจิวรึป่าว เห้ออโล่งใจไปเลยข้าวคิดถึงจิวคนเดียว
  รออ่านตอนต่อไปคับ
 ** หายไปนานมาก คิดถึงเรื่องนี้มาก มารออ่านทุกวัน ดีใจที่มาวันนี้คับ**

= ทิปร้อยนึงนี่เดินเป็นเจ้าพ่อได้เลยฮะ อิอิ //ขอบคุณมากนะฮะที่ติดตามต้นข้าวและจิว ดีใจเช่นกันคร้าบ


 
 :L2: :pig4:

ดีใจ คุณนักเขียนกลับมาแล้ว เราก็รอ
ดีใจรอบสองที่ยังไม่ได้รับมาม่า จิตมั่นๆไว้ข้าว

= ช่วงที่ผ่านมามีงานเข้าพอดี เลยแวบหายไปเล็กน้อยฮะ ขอบคุณมากฮะที่ยังรักกัน


 
ดีใจที่กลับมาต่อแล้ว รอนานมากๆๆ

= ขอบคุณมากๆ นะฮะ คนอ่านก็น่ารักที่สุด


 
น้ำก็ไม่แตก
เสือกขอเงินกูไปแดกตั้ง 500

ไอ่หงอนแถมหนอง
หุหุ


ดูดิ๊..ต้นข้าวยังคิดถึงแต่หน้าจิวคนเดียว
นี่ดิ ถึงจะเรียกว่ารักแท้ อิอิ

ดราม่าอะไร..ไม่มีหรอกอ่ะเรื่องนี้
เน๊าะ คนแต่ง

บวกๆๆๆๆๆๆ

= ถ้าเป็นสมัยนี้ (ถ้าไปเที่ยวบาร์โฮส) ก็ต้องบอกว่า "เสียเป็นแสน ปลายแขนไม่ได้แตะ" 55555+

ส่วนเรื่องดราม่า ไม่มี๊...(เสียงสูง) ชีวิตใครจะไปดราม่าใช่ไหมฮะ มีแต่โรยด้วยกลีบกุหลาบทั้งนั้น อิอิ //โอ้ย หนามกุหลาบตำมือ!!


 --------------------------------


และขอบคุณผู้อ่านท่านอื่นทุกท่านด้วยฮะ น่ารักที่สุด


ปล. ช่วงหลังๆ ทำไมตัวหนังสือในเวปนี้ เวลาอ่านผ่านมือถือตัวมันเล็กลงอ่า


 :กอด1:  :กอด1:  :กอด1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๕ : คำรักในคืนหลอกลวง || หน้า ๑๐ || ๐๓/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 08-03-2017 11:46:06
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๕ : คำรักในคืนหลอกลวง || หน้า ๑๐ || ๐๓/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 08-03-2017 13:01:12

MBK❤lover


(http://www.bloggang.com/data/k/kampong/picture/1485729585.jpg)


ตอนที่ ๓๑ : เรื่องของจิว


         สามวันหลังจากที่ต้นข้าวออกไปเที่ยวบาร์กับเอก จิวก็กลับมาจากนครชัยศรี และวันนี้ได้นัดเจอกับต้นข้าวที่ห้างมาบุญครอง ในร้านไอศกรีมสเวนเซ่นส์  ทั้งสองนั่งอยู่ที่โต๊ะมุมในสุดห่างไกลจากโต๊ะอื่นๆ มีไอศกรีมเอิร์ธเควกจานโตวางอยู่ตรงหน้า

         "รสนี้อร่อยดี" ต้นข้าวพูดหลังจากเอาช้อนตักไอศกรีมเข้าปาก แล้วเลียปลายช้อนอย่างอร่อย

         "ไหนๆ ชิมหน่อย"

         จิวชะโงกหน้าข้ามโต๊ะเข้ามาใกล้แล้วมองหน้า  ต้นข้าวเลยต้องเอาช้อนของตัวเองตักไอศกรีมรสเมื่อกี้ยื่นไปป้อนใส่ปากจิว

         "อืม อร่อย" จิวหลับตาพริ้ม ทำหน้ามีความสุข ต้นข้าวป้อนให้แค่ครึ่งช้อน แต่รู้สึกอร่อยเหมือนได้กินไอศกรีมทั้งถังใหญ่ๆ

         "อร่อยจริงอ๊ะ" ต้นข้าวอมยิ้ม เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง แล้วเอาปลายช้อนขึ้นมาเลียๆ เศษไอศกรีมที่ติดอยู่อีกครั้ง จิวมองตามปลายลิ้นสีชมพูนั้น แล้วหัวเราะหึหึ

         "มันอร่อยตรงที่ทำแบบนั้นมั้ง เห็นแล้วอยากจะกัดให้ลิ้นขาดเลย"

         "บ้า" คราวนี้ต้นข้าววางช้อนลง เปลี่ยนเรื่องคุย

         "แล้วเป็นยังไงบ้าง ไปนครชัยศรีงวดนี้"

         "ก็ดี ป๊าจะสั่งซื้อเครื่องฉีดพลาสติกทำพื้นรองเท้าแตะรุ่นใหม่ ไม่ใช่เป็นฟองน้ำแล้ว คราวนี้เป็นเนื้อ PVC ทันสมัยขึ้น เครื่องจะมาส่งเดือนหน้านี้ล่ะ"

         "ดีจังเลย แล้วมันยุ่งยากไหม" หนุ่มน้อยผู้อยากรู้เรื่องกิจการของบ้านแฟนถามต่อ

         "ขั้นตอนไม่แตกต่างจากตอนทำรองเท้าฟองน้ำของเก่านะ เพียงแต่เปลี่ยนวัสดุแค่นั้นเอง แต่มีข้อดีคือมันออกแบบรองเท้าใหม่ๆ ได้อิสระขึ้น น่าจะขายได้หลากหลายกลุ่ม หลายตลาดมากขึ้นน่ะ"

         "ดีจัง" ต้นข้าวพูดซ้ำอีกทีแล้วตั้งคำถามต่อ "ตอนนี้ก็ยุ่งกันทั้งบ้านเลยสิ"

         "ก็ยุ่งนะ ต้องเตรียมพื้นที่วางเครื่อง แต่คนที่จะยุ่งสุดน่าจะเป็นจิวนี่ล่ะ เพราะป๊าจะให้จิวลงไปทำเรื่องนี้เต็มตัวเลย แถมให้ออกแบบเองด้วย"

         ต้นข้าวหน้ามุ่ยลงทันทีเมื่อได้ยินประโยคนี้  เพราะเดาทางได้ว่า 'เวลาของเรา' มันต้องหายไปแน่ๆ กับการที่จิวจะต้องลงไปทำกิจการที่บ้านเต็มตัว พอจิวเห็นต้นข้าวทำหน้าแบบนั้น ก็เอามือขึ้นมาขยี้ผมต้นข้าวอย่างปลอบใจ

         "จะทำหน้าอย่างนั้นไปทำไมล่ะหือ ต้นข้าวคิดถึงก็มาหาจิวที่โรงงานสิ หรือถ้าจิวว่างก็ต้องไปหาต้นข้าวที่บ้านอยู่แล้ว ไม่ได้จากกันไปไหนสักหน่อย"

         ต้นข้าวพยายามฝืนยิ้มแห้งๆ ให้จิว เอาสองมือขึ้นไปจับมือจิวที่กำลังขยี้ผมตัวเองอยู่ให้หยุด แล้วกดมือให้คาไว้บนหัวแบบนั้น พูดเสียงอ่อยๆ "ก็คนมันคิดถึงนี่"

         จิวดึงมือออกจากหัวต้นข้าว ก้มคงไปควานหาของใต้โต๊ะ ปากก็พูดว่า

         "คิดถึงก็กินนี่ไปก่อน ซื้อส้มโอนครชัยศรีมาฝาก อร่อยจัง เห็นแล้วคิดถึงอยากซื้อมาให้"

         "หูย...ลงทุนนะเนี่ย แบกส้มโอเป็นลูกๆ มาเดินห้างด้วยเหรอ" ต้นข้าวหัวเราะขำ

         "เฮ้ย ใครจะแบกมาเป็นลูกล่ะ" จิวเงยหน้าขึ้นมองต้นข้าว ดวงตาพราวระยับไปด้วยความเอ็นดู แล้วดึงกล่องทัพเพอร์แวร์ขึ้นมาวางบนโต๊ะ "แกะมาให้แล้ว ในกล่องนี่ไง"

         ต้นข้าวยิ้มกว้างขึ้น เอื้อมมือจะไปหยิบ

         "เอ๊ะ เดี๋ยวนะ ลูกนี้อร่อยหรือเปล่าไม่รู้ ลืมชิม" จิวดึงกล่องทัพเพอร์แวร์กลับมาใกล้ตัว ต้นข้าวเอื้อมมือคว้าไปไม่ทัน  จิวเปิดฝากล่องหยิบส้มโอ ของฝากขึ้นชื่อจากนครชัยศรีสีนวลสวยขึ้นมากัดกินไปคำหนึ่ง แล้วทำหน้าเหมือนกินของเปรี้ยวจัดเข้าไป ทำตาหยีจนใบหน้าที่ออกจะตี๋หล่อนั้นเหลือดวงตาอยู่เป็นขีดเล็กๆ สองขีด

         "ทำไม เปรี้ยวเหรอ" ต้นข้าวมองลูกกระเดือกจิวที่วิ่งขึ้นๆ ลงๆ ตามการกลืนของส้มโอชิ้นนั้น ส่วนตัวเองก็แอบกลืนน้ำลายตามเมื่อจินตนาการถึงความเปรี้ยวของมัน

         จิวไม่ตอบ แต่กัดส้มโอเข้าไปอีกคำหนึ่ง เคี้ยวตุ้ยๆ แล้วมองหน้าต้นข้าวนิ่งอยู่

         "ตกลงจะซื้อมาฝาก หรือซื้อมากินเอง หา..."

         ต้นข้าวยังพูดไม่ทันจบดี ส้มโอครึ่งชิ้นที่ถูกกัดชิมไปแล้ว ก็เข้ามาอยู่ที่ปากต้นข้าวอย่างนิ่มนวล คนป้อนจ้องตาต้นข้าวแบบขำๆ พูดเบาๆ "เคี้ยวดูเองว่าอร่อยไหม"

         ต้นข้าวทำหน้าพิกลที่จู่ๆ ก็ถูกป้อนส้มโอให้แบบไม่ตั้งตัว เอามือประคองปลายชิ้นส้มโอที่คาอยู่ในปาก แล้วลองเคี้ยวตามจิวบอก ในใจตั้งธงไว้แล้วว่ามันต้องเปรี้ยวแน่ เตรียมจะทำหน้ายู่ยี่ตามจิวอยู่แล้วเชียว แต่พอเคี้ยวเข้าไปจริงๆ มันกลับมีรสหวาน กรอบ อร่อย และฉ่ำ

         "อร่อยนี่..." ต้นข้าวพูดอ้อมแอ้ม ส้มโอยังถูกเคี้ยวอยู่เต็มปาก

         "แน่นอนอยู่แล้ว ใครเป็นคนซื้อล่ะ แหม...ว่าแต่ลองอีกชิ้นซิ" จิวเปิดฝากล่อง แต่ยังไม่ทันหยิบ คนนั่งตรงข้ามมือไวกว่า คว้ามาได้ทั้งกล่องเอามากอดไว้

         "พอเหอะ จะซื้อมาฝาก หรือจะซื้อมากินเอง หา?"

         จิวทำหน้าปูเลี่ยนๆ ยกมือเกาหัวแกรกๆ บ่นอุบอิบ "ขอชิมอีกชิ้นก็ไม่ได้"

         "ไม่ให้!!" เสียงประกาศิตขั้นเด็ดขาดจากหนุ่มน้อยหน้าตาดีตรงหน้า จิวมองหน้าแล้วนึกในใจ ถ้าจะหน้าตาดีขนาดนี้ ตรูยอมก็ได้ นี่นั่งมองหน้ามาห้าหกปียังไม่รู้เบื่อเลย

         หลังจากจิวตักไอศกรีมจากถ้วยตรงหน้ากินไปอีกสองคำแก้เขิน ก็ถามต้นข้าวในเรื่องการเรียนของต้นข้าวบ้างว่าที่มหาวิทยาลัยเป็นยังไงบ้าง เพราะจิวก็ไม่ได้ตามไปหาหลายวันแล้ว

         ต้นข้าวเล่าให้จิวฟังถึงการเรียนภาคการละคร เล่าถึงวิชาที่ต้องขึ้นเรียน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นวิชาในทางปฏิบัติทั้งสิ้น ห้องเรียนคือห้องซ้อมละคร ไม่ก็เวทีบนหอประชุม เรียนการออกเสียง เรียนการแอ็กติ้ง เรียนเรื่องฉาก ศึกษาเรื่องสีของฉากและสีของเสื้อผ้าที่มีผลต่ออารมณ์ตัวละคร ศึกษาประวัติศาสตร์การละครยุโรป และเล่าให้จิวฟังถึงโปรเจคใหญ่ของคณะฯ ที่กำลังเตรียมตัวกันอยู่ คือการทำละครเวทีประจำปี ซึ่งปีนี้จะทำเป็นละครเพลง

         "ละครเพลงเนี่ยนะ มันไม่ยากไปเหรอ เล่นเรื่องอะไรอ่ะ" จิวสงสัย

         "เรื่อง -ดอกไม้สำหรับมิสซิสแฮริส- น่ะ เอาบทมาแปลงเป็นละครเพลง"

         "อ๋อเหรอ ดีจัง จิวชอบหนังสือเรื่องนี้มากๆ อ่านซ้ำหลายรอบแล้ว ของพอล กาลลิโค ใช่ป่ะ ที่เป็นเรื่องของแม่บ้านรับจ้างทำความสะอาดตามบ้านในลอนดอนที่ชื่อ 'มิสซิสแฮริส' ที่ต้องการจะเก็บเงินหลายร้อยปอนด์ซื้อชุดราตรียาวจากห้องเสื้อ 'คริสเตียง ดิออร์' ที่แพงมากๆ ในช็อปที่ฝรั่งเศสน่ะ"

         "ใช่ๆๆ นั่นแหล่ะ เรื่องนั้น เพราะความฝันไม่มีวันแก่ และไม่มีวันหมดอายุ - ดอกไม้สำหรับมิสซิสแฮริส" ต้นข้าวตาเป็นประกายที่จิวก็รู้จักเรื่องนี้

         "แล้วต้นข้าวแสดงเป็นบทอะไรล่ะ อย่าบอกนะว่าจะแต่งหญิงแสดงเป็นมิสซิสแฮริส?"

         ต้นข้าวเงื้อกล่องทัพเพอร์แวร์ ทำท่าจะเขวี้ยงใส่คนที่นั่งตรงข้าม แต่นึกเสียดายว่าส้มโออร่อย จึงลดมือวางลง "บ้า..."

         "ล้อเล่นน่า" จิวหัวเราะเสียงดัง "แล้วจริงๆ แสดงเป็นบทอะไร"

         "ยังไม่รู้เลย ไม่แน่ใจว่าจะเป็นคนทำเบื้องหลัง พวกทำฉากหรือทำชุดหรือเปล่า แต่ถ้าลองแคสติ้งการแสดงผ่าน ก็อาจได้บทแสดงบ้างน่ะ แต่คงไม่ใช่ตัวหลักๆ เพราะอาจารย์อยากให้คนเรียนภาคการละครโดยตรงให้ทำงานเบื้องหลังเป็นทีมงานมากกว่าไปแสดงเอง" ต้นข้าวอธิบายยืดยาว

         "ดีแล้ว ถ้าแสดงเมื่อไร จิวจะไปนั่งดูต้นข้าวแสดงทุกรอบเลยนะ" จิวพูดยิ้มๆ

         "ขอบคุณนะ" ต้นข้าวยิ้มตอบกลับให้จิว แล้วค่อยๆ แง้มเปิดกล่องทัพเพอร์แวร์ยื่นส่งให้ "อ่ะ ให้ชิมส้มโออีกชิ้นนึง"

         จิวหัวเราะจนตาหยีอีกครั้งนึง "ไม่เป็นไร ต้นข้าวเก็บไว้กินเถอะ จิวซื้อมาฝากจะมาแย่งกินทำไม ที่บ้านยังมีอีกหลายลูก"

         ....................

         จิวกับต้นข้าวเดินเคียงกันลงมาจากชั้นสามของห้างมาบุญครอง กล่องทัพเพอร์แวร์ที่ใส่ส้มโอถูกเก็บลงถุงผ้าเรียบร้อย และจิวเป็นคนถือของทั้งหมดนี้ให้ต้นข้าว

         "เดี๋ยวตอนกลับต้นข้าวไม่ต้องขับรถไปส่งจิวที่บ้านนะ เพราะจะได้ไม่ต้องอ้อมไปอ้อมมา กว่าต้นข้าวจะขับกลับไปแจ้งวัฒนะอีกตั้งไกล"

         "จริงๆ อยากไปส่ง แล้วนอนค้างบ้านจิวด้วย แต่พรุ่งนี้มีเรียนเช้า เสียดายจัง คิดถึง..." ต้นข้าวพูดเสียงอ่อยๆ หน้าม่อยๆ

         "ไว้ให้ว่างๆ ก่อนเถอะ บ้านจิวไม่ได้หายไปไหน" จิวยกมือขึ้นมาโอบไหล่ต้นข้าว อมยิ้มและมองตาต้นข้าวด้วยความเข้าใจในคำว่า 'คิดถึง' นั้น

         "เออ แล้ววันก่อนโน้นที่โทรมาบอกว่าจะไปเที่ยวกลางคืนกับเอกน่ะ เป็นยังไงบ้าง สนุกไหม" จู่ๆ จิวก็ถามต้นข้าวขึ้นมา

         ต้นข้าวสะอึกไปนิดหนึ่ง รีบเรียบเรียงคำพูดในใจอยู่สักครู่ แล้วจึงเล่าให้จิวฟังตามความเป็นจริงโดยละเอียดทั้งหมดด้วยความบริสุทธิ์ใจ และจิวก็ตั้งใจฟังทุกคำพูดอย่างนิ่งๆ

         "...ดีนะ ที่รถติดซะก่อน ถึงได้พ้นๆ มาได้นี่ เสียไปห้าร้อย แม้แต่ปลายก้อยยังไม่ได้เฉี่ยวกันเลย" ต้นข้าวเล่าทิ้งท้ายขำๆ

         จิวฟังอย่างเงียบๆ ทั้งสองคนเดินมาเกือบถึงอาคารจอดรถของมาบุญครองแล้ว

         "จิว ให้ไปส่งไหม" ต้นข้าวถามจิว เมื่อเห็นว่าจิวเงียบๆ ไป

         "ไม่อะ"

         "จิวเป็นอะไรหรือเปล่า โกรธเราหรือที่ไปเที่ยวแบบนั้นน่ะ"

         ไม่มีคำตอบจากจิว สักพักจิวก็ส่งถุงผ้าที่ใส่ทัพเพอร์แวร์ให้ต้นข้าว "กลับล่ะนะ" แล้วจิวก็หันหลังเดินกลับ

         "................"

         "เดี๋ยวจิว!!" ต้นข้าวร้องเรียกและรีบเดินตามมาจนทัน เอามือคว้าแขนจิวไว้ "อย่าพึ่งไป เราขอโทษ โกรธเราหรือที่เราไปแบบนั้นอะ"

         จิวหยุดเดินและหันมามองต้นข้าวนิ่งๆ

         "เราขอโทษ เราขอโทษนะ เราไม่ได้อยากไปที่แบบนั้นเลย" ต้นข้าวละล่ำละลักที่จะอธิบายจิว

         "ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่" จิวตอบต้นข้าวเสียงเรียบ หน้านิ่งๆ

         "ไม่ได้ว่า แต่ไม่คุยกับเรา เอาแต่เดินหนีแบบนี้เหรอ จิวคบกับเรามาหลายปี ยังไม่รู้จักเราอีกเหรอ เราไม่มีวันไปนอนมีอะไรกับคนแปลกหน้าแน่ๆ จิวก็รู้นี่"

         เรื่องนี้ทำไมจิวจะไม่รู้ ต้นข้าวเป็นอย่างนั้นจริงๆ ซึ่งสวนทางกันกับบุคลิกลักษณะภายนอกมาก ต้นข้าวเป็นคนหน้าตาดี มีมนุษยสัมพันธ์ดี เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ที่ผ่านมามีคนพยายามจะเข้าหาต้นข้าวอยู่เรื่อยๆ แต่ต้นข้าวไม่เคยเล่นด้วยจนเกินเพื่อนหรือเป็นได้แค่คนรู้จัก  จิวรู้ว่าต้นข้าวเป็นคนที่มีเซ็กส์ยาก โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้านี่แทบเป็นไปไม่ได้เลย

         ต้นข้าวนับถือ 'ความรัก' มากกว่าเรื่องเซ็กส์ ต้นข้าวชอบอารมณ์ของการเป็นแฟน ต้นข้าวชอบการ 'ปลูกต้นรัก' ต้นข้าวชอบอารมณ์ของการกุ๊กกิ๊กอ้อยสร้อยมากกว่าการขึ้นเตียง จิวรู้ แต่ในครั้งนี้จิวก็บอกตนเองไม่ถูกเหมือนกัน ว่าทำไมต้องมีปฏิกิริยาแบบนั้นกับต้นข้าว หรือจิวจะรักต้นข้าวมากเกินไป จิวจะหวงต้นข้าวมากเกินไป จนจิวไม่อยากได้ยิน ไม่อยากรับรู้ในเรื่องแบบนั้น

         "ต้นข้าวกลับบ้านไปเถอะ ไว้ค่อยคุยกัน" จิวทิ้งท้ายไว้ประโยคสุดท้ายแล้วเดินออกมาจากลานจอดรถ ปล่อยให้ต้นข้าวอ้าปากค้างอย่างงุนงง และเจือไปด้วยความเสียใจ

--------------------------------

         จิวเดินเข้าซอยบ้านด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้นกว่าเมื่อชั่วโมงที่แล้ว ลมเย็นๆ ที่พัดตีเข้าใบหน้าจากหน้าต่างรถเมล์เมื่อสักครู่ ทำให้ความขุ่นมัวบรรเทาลงไป พอเปิดประตูบ้านเข้าไปก็ได้ยินเสียงป๊าเรียกมาจากในห้องทำงานของป๊า

         "อานึก เข้ามาหาป๊าหน่อย"

         "ครับป๊า" จิวเข้าไปนั่งหน้าโต๊ะทำงานของป๊า ซึ่งเต็มไปด้วยเอกสาร กระดาษ หนังสือ และแผงลูกคิดสำหรับคำนวณตัวเลขสองแผง

         "ลื้อทำไหวแน่นะ รองเท้า PVC รุ่นใหม่เนี่ย" ป๊าถอดแว่นสายตายาวออกวางบนโต๊ะ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ทำงาน ยืดเท้ายาวออกไป เอาสองมือกุมไว้ที่พุงป่องๆ ของป๊า

         "ไหวสิป๊า เครื่องมันไม่ได้ซับซ้อนอะไร จะยากก็ตรงที่ต้องออกแบบรองเท้าแบบใหม่มากกว่าน่ะ ว่าจะโดนใจพวกซับพลายเออร์ที่จะรับไปขายหรือเปล่าแค่นั้น" จิวอธิบายป๊า

         "ดีแล้ว ก็ลองไปเรื่อยๆ ลื้อก็หาหนังสือแฟชั่นมาดูเยอะๆ หน่อย เดี๋ยวก็นึกแบบออกแหล่ะ"

         "ครับป๊า นี่ก็พยายามดูเรื่อยๆ มีตัดๆ รูปถ่ายแฟชั่นรองเท้าในนิตยสารเก็บไว้บ้างแล้ว"

         "เออดี เหนื่อยหน่อยนะ" ป๊ามองจิวด้วยสายตาที่อ่อนโยน "ตั้งใจทำในวันที่ป๊ายังยืนไหว ลื้อจะได้เก่งๆ วันหนึ่งข้างหน้าโรงงานนี้ก็เป็นของลื้อคนเดียว"

         "ป๊าก็ พูดอะไรแบบนั้น ป๊าแข็งแรงจะตาย"

         ป๊าจิวหัวเราะเอิ้กอ้าก "ป๊ายังฟิตปั๋งโว้ย...ก็ช่วยกันทำไปอย่างนี้ล่ะ จนกว่าลื้อจะมีใครมาเป็นคู่คิดคู่ครองช่วยลื้อในวันข้างหน้า..."

         ป๊าทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างต่อ แต่ป๊าหยุดคำพูดไว้แล้วเปลี่ยนเรื่อง "แล้วนี่ต้นข้าวหายไปไหน ทำไมพักนี้ไม่มาเที่ยวหาที่บ้าน"

         ชื่อนี้เรียกความรู้สึกถึงคนหนีเที่ยวบาร์เกย์เมื่อสักชั่วโมงที่แล้วกลับคืนมาอีก จิวทำจมูกย่นทีนึงด้วยความหมั่นไส้ แล้วตอบป๊า

         "ต้นข้าวกำลังยุ่งน่ะป๊า เห็นว่าตอนนี้กำลังจะทำละครเรื่องใหม่ในมหา'ลัย คงต้องให้ว่างๆ ก่อน แต่เมื่อกี้นึกก็ไปเจอกันมา พึ่งแยกกันน่ะป๊า"

         "อ้อ ดีแล้ว" ป๊ามองแบบยิ้มๆ "มีเพื่อนดีๆ มีคนดีๆ ก็อย่าขาดการติดต่อกันนะ" ป๊าเน้นเสียงคำว่า -คนดีๆ- เป็นพิเศษ "วันหน้าเรายิ่งย้ายบ้านไปไกลออกไปอีก กลัวจะห่างกัน"

         พอป๊าพูดเรื่องจะย้ายบ้านแล้วจิวก็ใจหาย ยังไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ต้นข้าวฟังเลย ว่าป๊ามีโครงการจะย้ายโรงงานหรือบ้านนี้ ไปอยู่ไกลถึงพุทธมณฑลสายสอง เพราะป๊าไปได้ที่ดินมาซึ่งกว้างกว่าที่นี่มาก สามารถขยายโรงงานรองเท้าแตะให้ใหญ่ขึ้นได้ในอนาคต

         "เราจะย้ายไปเมื่อไรนะป๊า" จิวเคยแกล้งทำเป็นลืมๆ เรื่องย้ายบ้าน เพราะไม่อยากคิดถึงวันนั้น แต่ตอนนี้แกล้งไม่ได้ล่ะ เพราะป๊าพูดเรื่องนี้บ่อยขึ้นแล้ว

         "อั้วก็ยังไม่รู้ ไหนจะต้องก่อสร้างมันอีก มันเป็นที่ดินเปล่า ที่ยังไม่ได้ถมดินเลย คงสักสองสามปีมั้ง ไว้จะพาลื้อไปดู"

         "ฮะป๊า" จิวเสียงอ่อยลง "ไม่อยากย้ายไปเลย รู้สึกว่ามันไกลมากๆ"

         "เอาน่า โรงงานตราสามดาวของเรามันต้องเจริญรุ่งเรืองสิวะ สู้ๆ กันโว้ยไอ้นึก" ป๊าบิ้วอารมณ์อนาคตน่าดู

         "เออป๊า" จิวพึ่งนึกออกว่าจะพูดกับป๊าหลายทีแล้ว "ชื่อบริษัทหรือชื่อโรงงานนี่ ถ้าให้นึกเป็นคนดูแล นึกขอเปลี่ยนชื่อมันนิดหน่อยได้ไหมป๊า"

         "เปลี่ยนเป็นอะไรล่ะ ชื่อนี้ตั้งมาตอนป๊าหนุ่มๆ ป๊าฝันเห็นดวงดาวสามดวงนะโว้ย"

         "เปลี่ยนแค่จากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษแค่นั้นเองป๊า มันจะได้ทันสมัยขึ้น สมัยนี้เขานิยมสินค้ามาจากเมืองนอกนะ"

         "ลื้อจะเปลี่ยนเป็นอะไร"

         "เป็นจาก ตราสามดาว เป็น บริษัท ทรี-สตาร์ (Three Star) น่ะป๊า มันจะได้ดูเป็นสากลหน่อย ยกระดับโรงงานเราขึ้นมา ดีป่ะ"

         ป๊านิ่งคิดไปชั่วครู่ "ตามใจลื้อ ดีเหมือนกัน เพราะมันก็ความหมายเดิมล่ะนะ"

         "แต่นึกขออีกอย่างนึงนะ คือมันชื่อ Three Star ก็จริง แต่เวลาเขียนหรือเวลาทำโลโก้ นึกจะใช้ตัวย่อว่า T-Star เฉยๆ นะ ไม่เขียนแบบเต็ม แต่เวลาเสียงอ่านมันออกเสียงแบบเดียวกัน"

         "เออ เข้าท่าดีนี่ ก็ฟังดูล้ำสมัยดี ตามใจลื้อเถอะ บริษัทของลื้อ" ป๊าพูดไปยิ้มไป คงภูมิใจในตัวลูกชายที่จะสานต่อกิจการครอบครัวได้แน่ๆ

         ป๊าเริ่มขยับขึ้นนั่งตัวตรง เอามือกวาดเอกสารและแผงลูกคิดให้ออกไปกองข้างโต๊ะ อีกมือก้มลงไปหยิบขวดเหล้าชีวาสที่เหลือครึ่งขวดขึ้นมาวางแทน

         "มีธุระอะไรกับป๊าอีกไหม" ป๊าเลิกคิ้วสีเทาๆ ข้างหนึ่งขึ้น แล้วกระดกอีกมือที่ถือแก้วเปล่าใบหนึ่งให้เห็น เหมือนเป็นสัญญาณเตือนเด็กหนุ่มสมนึกลูกรัก ว่าต่อไปเป็นเวลาส่วนตัวของป๊าล่ะนะ

         "ไม่มีล่ะป๊า ขอบคุณนะเรื่องชื่อบริษัทที่ให้เปลี่ยน นึกจะไปอาบน้ำล่ะ อ้อ ดื่มให้มันน้อยๆ หน่อยนะป๊า" จิวพูดยิ้มๆ

         "เหอะน่า ค่ำลงมันหนาวเหน็บเข้ากระดูก ไร้แม่หญิงใดมาเคียงข้าง มันก็ต้องร่ำสุราแบบนี้ล่ะ" ป๊าหัวเราะเอิ้กอ้าก

         "ยังไม่ทันเมาเลย สำนวนเป็นหนังจีนกำลังภายในเชียว" จิวพูดกับตัวเองพึมพัม ส่ายหัว แล้วเดินออกจากห้องทำงานป๊าไป

         ....................

         จิวกดเปิดสวิตช์ไฟบนห้องนอน ไฟกลางห้องเปิดสว่างมองเห็นทุกอย่าง เหนือสวิตช์ไฟบนผนังห้องแขวนกรอบรูปๆ หนึ่งขนาดฟุตกว่า ข้างในเป็นรูปถ่ายขาวดำบนสะพานข้ามแม่น้ำแคว จ.กาญจนบุรี กลางภาพเป็นเด็กชายสองคนเดินหันหลังคู่กันบนรางรถไฟ จับมือกันชูสูง เงาในภาพที่ทอดลงมาบนรางเป็นรูปหัวใจ

         ตี๋หล่อถอดเสื้อออกแล้วเอาไปแขวนที่ฝาตู้เสื้อผ้า ถอดกางเกงขายาวออกเปลี่ยนเป็นกางเกงใส่สบายๆ ขาสั้น ลงไปกึ่งนั่งกึ่งเอนตัวบนเตียง ยกมือขึ้นบิดขี้เกียจไปมาซ้ายขวา พอหันไปทางหัวเตียงเห็นกระปุกหมูออมสินกระดาษสีแดงบนโต๊ะข้างเตียง ก็หยิบมันขึ้นมาดู

         มันยังไม่มีเศษตังค์ใส่ในกระปุกนั้น มันยังเบาและว่างเปล่าอยู่ คนรับกระปุกนี้มาไม่ได้หมายใจว่าจะเอาไว้หยอดเงินหรอก แต่จิวตั้งใจไว้ว่ามันคือสัญลักษณ์เติมใจจากคนๆ หนึ่ง ที่มอบไว้ให้อีกคนหนึ่ง พร้อมกับคำสัญญาตอนที่อยู่หน้าห้างมาบุญครอง ว่าวันหนึ่งข้างหน้าจะได้อยู่เคียงข้างกัน จะช่วยเหลือซึ่งกันและกันยามเมื่อคนหนึ่งล้ม จะได้ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ร่วมกัน และคงจะมีความทรงจำที่ดีมากมาย มากล้นเกินกว่าที่จะหยอดลงไปในกระปุกหมูออมสินนี้ได้

         .....................

         และมีอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครรู้ แม้แต่ต้นข้าว หรือป๊าของจิวเองที่พึ่งคุยแยกกันมาสักครู่ ว่าความหมายจริงๆ ของตัว T ในชื่อบริษัท T-Star ที่จิวขอเปลี่ยน จิวตั้งใจจะให้ความหมายของตัว T คือตัวย่อของชื่อ 'ต้นข้าว' ต่างหาก ไม่ใช่ Three ที่แปลว่าสาม!!

         ใช่! ต้นข้าว, ดวงดาวเพียงหนึ่งเดียวของจิว

         จิวอยากให้ชื่อของต้นข้าวเข้ามาอยู่บนชื่อโรงงาน และอยู่บนโลโก้ของจิว มันจะได้เป็นเหมือนแสงดาวนำทางให้จิวสู้ต่อไปบนธุรกิจที่จะต้องทำในวันข้างหน้าด้วยความเหนื่อยยาก

         และถ้าวันไหนที่จิวประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้ขึ้นมา ชื่อของคนๆ เดียวที่อยู่บนโลโก้นี่แหล่ะ คือคนที่จิวจะอุทิศความสำเร็จและผลงานอันน่าภาคภูมินั้นให้ ในฐานะที่เป็นกำลังใจอันยิ่งใหญ่ในชีวิต

         จิวกอดกระปุกหมูออมสินกระดาษสีแดงนี้ไว้ในอ้อมแขน หลับตาลงพักสายตา ตั้งใจว่าสักครู่ค่อยลงไปอาบน้ำ...


หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๖ : เรื่องของจิว || หน้า ๑๐ || ๐๘/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 08-03-2017 14:04:17
 :L2: :L1: :pig4:


อยากได้จิวววววววววววววว
โดนต้นข้าวตบ


คิดถึงคนเขียนจัง สบายดีไหม ยุ่งๆหรือเปล่า ลงไม่บ่อยเหมือนเคย

รอติดตามต่อไป
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๖ : เรื่องของจิว || หน้า ๑๐ || ๐๘/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: anandawan ที่ 08-03-2017 16:04:30
ต้นข้าว แบ่งจิวให้พี่มั่งเน้อ สลับวันกันก็ได้ ผู้ชายคนนี้รักจริงหวังแต่งอะ เค้าชอบ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๖ : เรื่องของจิว || หน้า ๑๐ || ๐๘/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 08-03-2017 19:17:20
จิวไม่ได้โกรธต้นข้าวที่ไปเที่ยวบาร์ แค่เคืองเฉยๆ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๖ : เรื่องของจิว || หน้า ๑๐ || ๐๘/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 08-03-2017 20:29:09
เธอเป็นมากกว่ารัก เพราะเธอนั้นคือครึ่งชีวิต
ฉันใช้เวลาทั้งชีวิต เพื่อตามหาและรอคอยเธอมาแสนนาน
และสุดท้ายก็เจอว่าเธอคือทุกอย่างที่เติมเต็มหัวใจ
จากนี้ทุกลมหายใจฉันคือเธอ..
จากนี้ทุกลมหายใจ..ฉันคือเธอ..
#มากกว่ารัก โรส ศิรินทิพย์

จิวกับต้นข้าว
ต่างก็เป็นครึ่งชีวิตของกันและกัน

เพราะความรักไม่มีเพศ
รักก็คือรัก มันก็แค่นั้นเอง
LOVE
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๖ : เรื่องของจิว || หน้า ๑๐ || ๐๘/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-03-2017 00:05:58
ขำต้นข้าว ตอนถามเอกเรื่องต่างคนต่างเจ้าชู้แล้วถามต่อ
ต้นข้าวแอบทำตาเหลือกมองบน  แต่รีบกลับมาปรับหน้าให้นิ่ง
พอรู้ว่าทั้งคู่ต่างนอนกับอาร์ม --พอกันทั้งคู่!!!
ต้นข้าวก็หันข้างแอบทำตาเหลือกมองบนแรงกว่าเมื่อกี้
คราวนี้ตาดำหายขึ้นไปเลย เห็นแต่ตาขาว! กร๊ากกกกก
จิวหวงต้นข้าวมากกกก เลย สั่งเสียซะ
ไม่ค่อยชอบเอกเลย ชวนต้นข้าวไปที่อโคจรแบบนี้
ไม่บอกที่ๆไปกับต้นข้าว แล้วยังสั่งห้ามไม่ให้บอกจิว
เพื่อนแบบนี้มีแต่ชวนไปเสียอนาคต
ดีแล้วที่ต้นข้าวไม่วอกแวก แล้วหลุดพ้นจากเด็กขายช่างป้อยอ โป้ปด
แล้วที่ดีที่สุดคือไม่ไปที่ถนนเกิดเหตุแก๊สระเบิด โชคดีจริงๆ
ทำให้เห็นว่ายังไงไม่ควรเที่ยวยามวิกาลจริงๆ
เรื่องไปเที่ยว ต้นข้าวอุตส่าห์เล่าตามความจริง
แต่ยังไงจิว ก็เคือง ก็คนรักของเรานี่นะ
ถึงไม่ได้ทำอะไร แต่ใจก็อดหวง อดห่วง อดโกรธไม่ได้
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
       
         
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๖ : เรื่องของจิว || หน้า ๑๐ || ๐๘/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 14-03-2017 19:33:15
:L2: :L1: :pig4:


อยากได้จิวววววววววววววว
โดนต้นข้าวตบ


คิดถึงคนเขียนจัง สบายดีไหม ยุ่งๆหรือเปล่า ลงไม่บ่อยเหมือนเคย

รอติดตามต่อไป

= ผู้เขียนสบายดีจ้า มีจ๊อบเข้านิดหน่อย เลยยุ่งไปนิดฮะ แห่ะๆๆ
ปล. จิวน่ารักมากเนอะ


ต้นข้าว แบ่งจิวให้พี่มั่งเน้อ สลับวันกันก็ได้ ผู้ชายคนนี้รักจริงหวังแต่งอะ เค้าชอบ

= จิวน่ารักเนอะ แย่งจิวกันดีกว่า 555+


จิวไม่ได้โกรธต้นข้าวที่ไปเที่ยวบาร์ แค่เคืองเฉยๆ

= รักมากก็หวงมากเนอะ เค้ารักของเค้า ^^


เธอเป็นมากกว่ารัก เพราะเธอนั้นคือครึ่งชีวิต
ฉันใช้เวลาทั้งชีวิต เพื่อตามหาและรอคอยเธอมาแสนนาน
และสุดท้ายก็เจอว่าเธอคือทุกอย่างที่เติมเต็มหัวใจ
จากนี้ทุกลมหายใจฉันคือเธอ..
จากนี้ทุกลมหายใจ..ฉันคือเธอ..
#มากกว่ารัก โรส ศิรินทิพย์

จิวกับต้นข้าว
ต่างก็เป็นครึ่งชีวิตของกันและกัน

เพราะความรักไม่มีเพศ
รักก็คือรัก มันก็แค่นั้นเอง
LOVE

= เลยต้องไปหาเพลง มากกว่ารัก นี่ฟังเลย 555+


ขำต้นข้าว ตอนถามเอกเรื่องต่างคนต่างเจ้าชู้แล้วถามต่อ
ต้นข้าวแอบทำตาเหลือกมองบน  แต่รีบกลับมาปรับหน้าให้นิ่ง
พอรู้ว่าทั้งคู่ต่างนอนกับอาร์ม --พอกันทั้งคู่!!!
ต้นข้าวก็หันข้างแอบทำตาเหลือกมองบนแรงกว่าเมื่อกี้
คราวนี้ตาดำหายขึ้นไปเลย เห็นแต่ตาขาว! กร๊ากกกกก
จิวหวงต้นข้าวมากกกก เลย สั่งเสียซะ
ไม่ค่อยชอบเอกเลย ชวนต้นข้าวไปที่อโคจรแบบนี้
ไม่บอกที่ๆไปกับต้นข้าว แล้วยังสั่งห้ามไม่ให้บอกจิว
เพื่อนแบบนี้มีแต่ชวนไปเสียอนาคต
ดีแล้วที่ต้นข้าวไม่วอกแวก แล้วหลุดพ้นจากเด็กขายช่างป้อยอ โป้ปด
แล้วที่ดีที่สุดคือไม่ไปที่ถนนเกิดเหตุแก๊สระเบิด โชคดีจริงๆ
ทำให้เห็นว่ายังไงไม่ควรเที่ยวยามวิกาลจริงๆ
เรื่องไปเที่ยว ต้นข้าวอุตส่าห์เล่าตามความจริง
แต่ยังไงจิว ก็เคือง ก็คนรักของเรานี่นะ
ถึงไม่ได้ทำอะไร แต่ใจก็อดหวง อดห่วง อดโกรธไม่ได้
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
       
       

= ผู้อ่านคนนี้อ่านได้ลึกซึ้ง อ่านได้ละเอียดจริงๆ นับถือๆ //น่ารักที่สุดเลยฮะ +1


......................


และขอบคุณผู้อ่านที่ผ่านเข้ามาทุกท่านด้วยนะฮะ

 :fire: *ดราม่ามาแล้ว งานเข้าแล้วอ่า /me ปวดใจ T_T


 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๖ : เรื่องของจิว || หน้า ๑๐ || ๐๘/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 14-03-2017 19:37:31

MBK❤lover


(http://www.bloggang.com/data/k/kampong/picture/1485729585.jpg)


ตอนที่ ๓๒ : กุหลาบงามย่อมมีหนามแหลม


        สองสามอาทิตย์หลังจากนั้น ต้นข้าวยุ่งกับการออดิชั่นละครเพลง 'ดอกไม้สำหรับมิสซิสแฮริส' รวมทั้งประชุมทีมงานต่างๆ เกี่ยวกับละครของภาคฯ เรื่องนี้ด้วย จนมีเวลาเจอกับจิวน้อยมาก อย่างดีก็ได้แค่โทรหาหรือรับสายที่บ้านสองสามครั้ง เพราะตัวจิวเองก็ยุ่งกับงานโรงงานใหม่ เครื่องฉีดพลาสติกทำรองเท้าใหม่ที่บ้านเหมือนกัน
        ผลสรุปของการประชุมและออดิชั่น ต้นข้าวก็ผ่านการแคสตัวแสดง ได้ขึ้นแสดงในบทตัวละครตัวหนึ่งชื่อ 'มาร์ควิส เดอ ชาสซาญ' ที่จะมีบทบาทในฉากเมืองปารีสอยู่สองฉากด้วย

        อีงูหรือพริก ได้ทำละครเพลงเรื่องนี้ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้เขียนบท ส่วนเอกกับสมพล ซึ่งไม่ได้เรียนภาควิชาละคร แต่อยู่ในคณะนิเทศฯ เหมือนกัน ก็ต้องมามีส่วนร่วมในละครคณะฯ ประจำปีนี้ด้วย โดยดูแลในส่วนของโฆษณาและประชาสัมพันธ์ให้ละครตามสาขาที่เรียน

(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/421590187-member.jpg)

        ......................

        "แล้วเธอจะไหวเหรอต้นข้าว ได้บทสำคัญที่ต้องทั้งแสดง ทั้งต้องร้องเพลงในละครด้วย ต้องฝึกสองอย่างเลย" อีงูถามขึ้น

        "ไหวดิ" ต้นข้าวตอบคำถามของพริก "ออกแค่สองฉากเอง ฉากใหญ่ฉากนึงคือฉากแฟชั่นโชว์ในละคร ฉากนั้นไม่มีร้องเพลง กับอีกฉากเป็นฉากชมสวนกับมิสซิสแฮริส อันนี้แหล่ะต้องร้องเพลงนึง ถ้าจะเหนื่อยก็เหนื่อยตอนซ้อมนี่ล่ะ เพราะต้องเวิร์คช็อปหนักเท่าๆ กันทุกตัวละครน่ะ"

        "คุณนายอ้อมเลยได้ขึ้นแสดงด้วยสมใจเลยนะ ในบท 'นางบัทเทอร์ฟิลด์' เป็นเพื่อนของมิสซิสแฮริสที่ลอนดอน" พริกพูดขำๆ "เออ แล้วคนแสดงที่เป็นพระเอก 'นายอองเดร โฟเวล' เป็นใครนะ ชั้นไม่เคยเจอมาก่อนเลย"

        "อ๋อ ชื่อพี่ตุ๊ก แกอยู่ปีห้าแล้ว เรียนยังไม่จบ เพราะแกเคยดรอปเรียนไว้เป็นปีตอนป่วยหนัก แล้วเพื่อนแกไปชวนแกให้ลองมาออดิชั่นละครนี้ แล้วผ่านน่ะ"

        "อยู่ตั้งปีห้าแล้วนี่นะ แก่ฉิบ"

        "เฮ้ย ไม่ได้ดูแก่ แต่ยังดูดีอยู่เลยนะ แกเซอร์ๆ ดี เป็นคนเงียบๆ ไม่ใช่คนดังอะไร ไม่ได้ทำกิจกรรม ไม่ค่อยมีใครรู้จักหรอก"

        "ไม่มีใครรู้จัก ไม่ดังในมหา'ลัย ไม่เคยร่วมกิจกรรม แล้วทำไมทีมงานถึงเลือกเข้ามาแสดงเป็นตัวเอกล่ะ" พริกสงสัย เพราะตอนออดิชั่นนักแสดง พริกไม่ได้เข้าร่วมด้วย

        "พี่เขามีประกายออร่าดี ตอนอยู่ข้างล่างดูงั้นๆ แหล่ะ แต่พอขึ้นไปยืนบนเวทีแล้วเจิดจรัสโดดเด่นมากๆ ร้องเพลงบนเวทีได้ดีเพราะละครเรื่องนี้ต้องร้องเพลงกันทั้งเรื่อง แถมเป็นคนถ่ายรูปขึ้นอีกต่างหาก ถ่ายทำโปสเตอร์โปรโมทละครได้เจ๋งเลยล่ะ" ต้นข้าวเล่าด้วยประกายตาวิ้งๆ แปลกๆ

        พริกจับตามองต้นข้าวอยู่ และรู้สึกว่ามีอะไรพิกลๆ อยู่ในชั่ววินาทีของประกายตานั้น แต่ยั้งปากไว้ไม่ได้พูดอะไรอย่างที่อยากพูด กลับไปพูดเรื่องอื่น...

        "ผีเสื้อมันโบกปีกสวยๆ บินผ่าน มันก็แค่บินผ่าน..."

--------------------

        หลายวันต่อมาต้นข้าวนั่งคุยอยู่กับกลุ่มนักแสดง ซึ่งแต่ละคนกำลังออกความเห็นกันอย่างสนุกสนานเกี่ยวกับฉากบนเครื่องบิน ว่าจะทำอย่างไรให้ดูเป็นการนั่งบนเครื่องบินจริงๆ บนเวที ต้นข้าวเมื่อยจากการนั่งถกความเห็น จึงมองเหม่อพักสายตาไปบนเวทีที่มีนักแสดงบางส่วนกำลังซ้อมอยู่

        ตอนนั้นบนเวที พี่ตุ๊ก-ผู้รับบทพระเอกของเรื่องกำลังยืนคุยสนุกสนานอยู่ท่ามกลางกลุ่มนักแสดงที่เป็นแดนเซอร์ในฉากๆ หนึ่ง พี่ตุ๊กยืนอยู่ตรงกลางเวที ไฟโคมบนเพดานเวทีส่องตรงลงกลางตัวพี่ตุ๊กพอดี กลุ่มหมู่มวลแดนเซอร์นั่งฟังพี่ตุ๊กคุยอยู่รอบๆ ตัว พี่ตุ๊กเลยเป็นจุดเด่นมากบนเวทีนั้น

        พี่ตุ๊กเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง แขนยาว ขายาว คอยาวรับกับไหล่ลาด หน้าเล็ก ผิวขาว จมูกได้รูป และปากมีรอยยิ้มน้อยๆ ตลอดเวลาแม้กระทั่งตอนยืนนิ่งอยู่เฉยๆ ผมค่อนข้างยาวปรกต้นคอ และด้านหน้ายาวเป๋มาปิดใบหน้าครึ่งหนึ่ง เจ้าตัวต้องคอยสะบัดคอบ่อยๆ เพื่อให้ผมปัดออกไปจากใบหน้า พี่ตุ๊กนุ่งกางเกงยีนส์สีมอมๆ ตัวโคร่งและแทบจะหลุดตูด ใส่เสื้อยืดสีขาวแขนกุดรัดรูปโชว์ให้เห็นหน้าท้องที่แบนราบ สำหรับสายตาของต้นข้าวแล้ว พี่ตุ๊กดูเท่มากๆ

        ต้นข้าวมองภาพนั้นเพลิน มันมีสิ่งหนึ่งที่อยู่ลึกๆ ในใจหนุ่มน้อยตั้งแต่เลือกที่จะลงเรียนทางด้านการแสดงละครแล้ว นั่นคือการนิยมชมชื่นในบุคคลที่มี 'ออร่า' ในตัวเอง บุคคลที่มีความโดดเด่นและเหมือนจะ เกิดมาเพื่อเป็นดาว โดยเฉพาะ สิ่งนี้มันสร้างหรือประดิษฐ์ขึ้นมาไม่ได้ มันจะออกมาเองเป็นลักษณะเฉพาะตัวของคนๆ นั้น รวมทั้งพรสวรรค์ในการร้องเพลงที่ดีด้วยอีกต่างหาก พี่ตุ๊กจึงเป็นคนๆ หนึ่งที่เข้าลักษณะแบบนี้ ต้นข้าวพึ่งจะมาจับตามองพี่ตุ๊กหลังจากที่ได้ผ่านการแคสตัวนักแสดงเข้ามานี่เอง

        ต้นข้าวสะดุ้งเมื่อรู้สึกว่ามีใครมาเขี่ยด้านหลังจึงหันไปมอง

        "อ้าว อีงู" ตอนนี้ต้นข้าวพึ่งเห็นว่ากลุ่มที่นั่งคุยกันแยกย้ายไปแล้ว มีนั่งคุยตกค้างกันอีกแค่สองสามคนไกลออกไป

        "มานั่งเหม่อลอยอะไรตรงนี้" พริกมองตามต้นข้าวขึ้นไปบนเวที และเห็นพี่ตุ๊กอยู่บนนั้น

        "เปล่า มองไปเรื่อยเปื่อยน่ะ" ต้นข้าวหันมาดึงมือพริกในนั่งลงข้างๆ "ของฝ่ายเธอเสร็จแล้วเหรอ ประชุมเขียนบทน่ะ"

        "ยัง พักเบรคก่อนน่ะ ตกลงเรื่องแก้บทกันไม่ได้" พริกยักไหล่ขึ้นข้างหนึ่ง "เมื่อกี้เดินสวนกับไอ้เอก มันก็มาประชุมเรื่องการทำโฆษณาละครเรื่องนี้ด้วยนี่ เธอได้เจอมันหรือเปล่า"

        "ไม่เจอ ไม่ค่อยได้เจอเลยพักนี้ จิวก็เคยเคืองๆ มันอยู่ ตอนมันพาเราไปเที่ยวออฟเด็กที่บาร์ทไวไลท์น่ะ จำได้ป่ะ" ต้นข้าวถาม

        "ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ" พริกหัวเราะเสียงดัง "จิวยังโทรมาด่าเราเลย ว่าปล่อยให้เพื่อนทำแบบนี้ได้ยังไง เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง ต้องเอากระดูกมาแขวนคอแท้ๆ แล้วอีกอย่าง ต้องจำได้แม่นสิเพราะคืนนั้นมันเป็นวันรถแก๊สระเบิดไง ข่าวออกจะดังไปทั่วประเทศ"

        ต้นข้าวได้ยินเรื่องที่ว่าจิวโทรมาด่ากับพริกด้วยก็รู้สึกผิดจริงๆ "อีงู เราขอโทษนะที่ทำให้เธอโดนจิวบ่นน่ะ"

        "หู้ย ไม่เป็นไรหรอกเพื่อนกัน อย่าคิดมาก เรื่องมันแล้วไปแล้ว ช่างเถอะ ว่าแต่สารภาพมาซะดีๆ ว่าจริงๆ แล้วคืนนั้นน่ะแอบไปทำอะไรมาหรือเปล่า" พริกยักคิ้วหลิ่วตาอย่างมีเลศนัย

        "เฮ่ยยย ยังไม่รู้จักเราดีพอหรือไง เราไม่เอาหรอก" ต้นข่าวทำท่าขนลุกขนพอง "รังเกียจ"

        "แซวเล่น รู้น่า แหม เธอมันนักปลูกต้นรัก ปลูกสวนสตรอเบอรี่ใช่มะ ไม่ใช่แนวลากขึ้นห้องไปปั่มป้าม" พริกหัวเราะออกมาแล้วถามต่อ

        "เออ ว่าแต่ไอ้เอกเมื่อกี้ที่เราเจอ มันไม่สบายหรือป่วยอะไรหรือเปล่าวะ ทำไมพักนี้มันโทรมๆ ผอมซูบลงไปเยอะเลย หน้าตาดำหมองคล้ำ ดูเหมือนคนหมดเรี่ยวแรง"

        "เหรอ ไม่รู้สิ มันยังไม่หายอกหักจากแจ๊สมั้ง ก็พักนี้เราไม่ค่อยได้เจอมันไง" ต้นข้าวตอบพริก แต่สายตาเริ่มมองไปบนเวทีอีกแล้ว

        "ต้นข้าว พักนี้จิวหายไปไหนอะ ไม่เห็นมาหาเธอเหมือนเคย" พริกชวนคุย แต่ตามองตามขึ้นไปบนเวทีอย่างหวั่นๆ ในใจอย่างไรพิกล

        "จิวไม่ว่างน่ะ" ต้นข้าวยิ้มตอบแบบไม่มีอะไร "ที่บ้านจิวยุ่งเรื่องธุรกิจใหม่ คงสักพักแหล่ะกว่าจะอยู่ตัวน่ะ"

        "แต่ก็คุยกันอยู่ใช่ไหม" พริกยังกังวลแทน

        "คุยสิ คุยกันล่าสุดจิวโทรมาที่บ้านเมื่อห้าหกวันที่แล้วน่ะ"

        "ตั้งห้าหกวัน!! เชียวเหรอ" พริกตกใจ

        ต้นข้าวหัวเราะใส "บางวันโทรมาเราหลับไปก่อนก็มี ไม่ได้ลงไปคุย เพราะเหนื่อยจากมหา'ลัยนี่ด้วยไง ซ้อมหนัก รายงานก็เยอะ หัวถึงหมอนก็หลับเป็นตายเลย"

        "เธอไม่คิดว่า เอ่อ...มันแปลกๆ หรือ แฟนกันไม่ค่อยคุยกัน" พริกขยี้เรื่องนี้ต่ออย่างไม่ยอมปล่อยผ่านง่ายๆ

        "ไม่นี่" ต้นข้าวหน้าตาตื่น "ไม่เห็นแปลกอะไรเลย เราคบกับจิวมาตั้งหลายปีแล้วนะ รู้ใจกันทุกเรื่อง ไม่ได้คุยกัน ไม่ได้เจอกันหลายๆ วันก็ไม่เห็นเป็นไรเลย"

        พริกไม่ได้ตอบอะไรต้นข้าว แต่ในใจนึกว่า --มีอะไรแน่นอน บนสิ่งที่คิดว่าแน่นอนในชีวิตนี้บ้าง--

--------------------

        เช้าวันต่อมาก่อนออกจากบ้านไปมหาวิทยาลัย ต้นข้าวโทรไปหาจิวที่บ้าน คุยทักทายกันตามปกติ แต่น้ำเสียงจิวบ่งบอกว่ายุ่งน่าดู เพราะเรื่องการควบคุมเม็ดสีของพลาสติก PVC ตอนจะฉีดลงไปในแม่พิมพ์มันละเอียดอ่อน สีจะเพี้ยนเอาง่ายๆ ถ้าควบคุมแรงอัดความร้อนไม่ดีพอ

        ต้นข้าวฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างในเรื่องเครื่องยนต์กลไก จึงไม่มีคำถามใดๆ ต่อ แต่ก็ทนฟังจิวเล่าจนจบ พอจิวเล่าจบต้นข้าวก็เล่าเรื่องของตัวเองบ้างในเรื่องของละคร เล่าถึงการซ้อม จิวก็ฟังต้นข้าว แต่ก็ไม่มีคำถามใดๆ เหมือนกัน เพราะจิวก็ไม่มีความรู้เรื่องการแสดงเหล่านี้

        ต้นข้าวเล่าเรื่อยเปื่อยมาถึงว่าต้องร้องเพลงบนเวทีในฉากหนึ่งของละคร และตนเองยังท่องเนื้อเพลงไม่ได้หมด เพราะเนื้อเพลงเป็นภาษาฝรั่งเศส

        "เพลงอะไรหรือ" เสียงตามสายจิวถามมา น้ำเสียงเรียบๆ เรื่อยเปื่อย

        "เพลง La vie en Rose - ชีวิตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ น่ะจิว"

        "อือ" เสียงจิวตอบมาสั้นๆ

        "อยากฟังไหม จะร้องให้ฟัง เพลงเพราะนะ ความหมายดีมากๆ เลย La vie en Rose โลกนี้เป็นสีชมพู มีแต่ความรัก เหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ" ต้นข้าวพูดต่อด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นกับเพลง

        "เอ่อ...ต้นข้าว เท่านี้ก่อนนะ เทอโมมิเตอร์ในเครื่องฉีดพลาสติกร้องเตือนล่ะ เครื่องมันเป็นอะไรหรือเปล่าไม่รู้" เสียงจิวดูเนือยๆ "ไว้คุยกันนะต้นข้าว ไปเรียนดีๆ ล่ะ ขับรถไปดีๆ อย่าขับเร็วนะ หาอะไรกินด้วย อย่าปล่อยให้ท้องว่าง เดี๋ยวจะปวดท้องเอา"

        "กริ๊ก"

        เสียงวางสายโทรศัพท์จากจิว...พร้อมกับอารมณ์ของต้นข้าวที่กำลังอยากจะร้องเพลงให้ฟังสะดุดกึก

        ....................

        บ่ายวันนั้น ต้นข้าวมาถึงห้องซ้อมก่อนคิวซ้อมของตัวเอง เพราะวิชาเรียนถูกยกเลิกไปคาบหนึ่งทำให้เหลือเวลาว่าง พอมาถึงห้องซ้อมละคร บนเวทีมีแดนเซอร์กำลังซ้อมเต้นกันอยู่ ต้นข้าวเห็นคุณนายอ้อมกำลังเดินผ่านไปห้องซ้อมอีกห้องหนึ่ง นางหันมาพยักหน้ายิ้มให้ต้นข้าวแทนคำทักทายจากระยะไกล

        ต้นข้าวเห็นว่าตัวเองว่างอยู่ เลยเดินตามคุณนายอ้อมเข้าไปนั่งดูอีกกลุ่มหนึ่งซ้อมกันบ้าง วันนี้ในห้องซ้อมนี้กำลังทำการเวิร์คช็อปเรื่องการแอคติ้ง ในหัวข้อที่ต้องการให้นักแสดงดึงอารมณ์จริงๆ มาใช้บนเวที

        หนุ่มน้อยไปนั่งดูอยู่ในมุมหนึ่งของห้องซ้อม ครูสอนให้จับคู่นักแสดงแบบสุ่มมาหนึ่งคู่ เป็นนักแสดงชายทั้งคู่ ให้ยืนประจันหน้ากัน แล้วให้พูดประโยคเพียงประโยคเดียวกันใส่กันเป็นเวลานานๆ โดยให้ค่อยๆ ใส่อารมณ์ลงไปเรื่อยๆ และประโยคบังคับของคู่นี้คือ "กูเกลียดมึง"

        นักแสดงทั้งสองซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกันยืนประจันหน้ากัน แล้วต่างคนต่างพูดใส่กันว่า "กูเกลียดมึง" ซ้ำๆ กัน แรกๆ ก็พูดเบาๆ แต่พอพูดซ้ำกันมากๆ ของเริ่มขึ้น อารมณ์เริ่มมา คำว่า "กูเกลียดมึง" จึงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดเมื่อผ่านไปเกือบ ๑๐ นาที มันจึงกลายเป็นแผดเสียงใส่กันอย่างรุนแรง และนักแสดงเริ่มโผเข้าหากันจะต่อยกันแล้ว

        ครูฝึกสอนและเพื่อนนักแสดงที่เฝ้าระวังอยู่แล้ว รีบเข้าไปแยกนักแสดงทั้งคู่ และพาไปสงบสติอารมณ์กันครู่ใหญ่กว่าจะให้กลับเข้ามาในห้องเหมือนเดิม ให้จับมือกัน พร้อมกับให้จำความรู้สึกนี้ไปประยุกต์ใช้ในการแสดงบนเวทีด้วย

        ต้นข้าวดูไปขนลุกไป การซ้อมแบบนี้มันเรียกอารมณ์ได้จริงๆ เลยนะนี่ เดี๋ยวถ้าถึงเวลาที่ต้นข้าวต้องเวิร์คช็อปแบบนี้บ้างจะเป็นยังไงนะ

        หนุ่มน้อยห่อไหล่ เอามือกอดอกตัวเองแล้วสั่นเบาๆ แบบขนลุก อารมณ์บนเวทีมันขลังแบบนี้เอง

        ................

        ต้นข้าวเดินไปหยิบบทของตัวเองขึ้นมานั่งท่องอยู่ที่เก้าอี้โรงละครแถวหลัง บทของต้นข้าวจะต้องมีร้องเพลงๆ หนึ่งในฉากสวนดอกไม้ด้วยกันกับตัวละครมิสซิสแฮริส นี่ยังท่องเนื้อเพลงไม่จบเลย หนุ่มน้อยก้มหน้าก้มตาท่องบทอยู่จนเพลิน

        "น้องต้นข้าว" เสียงเรียกมาจากข้างๆ ต้นข้าวเงยขึ้นไปมอง

        "พี่ตุ๊ก" ต้นข้าวเรียกชื่ออย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อ

        "พี่หยิบส้มมาฝาก ฝ่ายสวัสดิการละครซื้อมาเป็นเข่งเลย ซ้อมสักเดือนนึงจะกินหมดหรือเปล่าไม่รู้"

        พี่ตุ๊กพูดพร้อมรอยยิ้มบนหน้า และนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ ต้นข้าว ส่งส้มสามลูกวางลงไปบนตักของต้นข้าว เพราะมือต้นข้าวถือบทละครอยู่

        ต้นข้าวก้มตามลงไปมองส้มที่หว่างขาตัวเอง "ขอบคุณมากฮะพี่ตุ๊ก"

        "เบื่อจัง ตอนนี้ยังใช้เวทีไม่ได้เลยเพราะแดนเซอร์ซ้อมฉากเต้นอยู่ แล้วนี่ต้นข้าวท่องบทหรือครับ" พี่ตุ๊กมองลงมาที่บทในมือต้นข้าว "ซ้อมอ่านต่อบทกันกับพี่ไหม"

        "ผมกำลังท่องเนื้อเพลง La vie en Rose อยู่ฮะ ต้องร้องในฉาก ยังท่องไม่ได้เลย"

        พี่ตุ๊กสะบัดคอให้เส้นผมที่ตกลงมาด้านหน้าเปิดออก เห็นดวงตาลุกวาว น้ำเสียงตื่นเต้น

        "โอว เพลงของนักร้องผู้ยิ่งใหญ่แห่งฝรั่งเศส 'เอดิท เพียฟ' เพลงนี้เพราะเนอะ พี่เห็นในลิสรายการชื่อเพลงทุกเพลงของละครเรื่องนี้แล้ว ยังนึกอยู่เลยว่าบทของใครจะได้ร้องเพลงนี้ แต่มันร้องยากนะ มันเป็นบทเพลงสัญลักษณ์แห่งความรักไปแล้ว"

        "ยากมากฮะ เลยต้องพยายามอยู่นี่ แถมยังต้องปรับคีย์ให้เป็นคีย์เสียงผู้ชายอีก ร้องตามจากต้นฉบับไม่ได้เลยเพราะเสียงสูงมากฮะ" ต้นข้าวดีใจที่มีคนชอบเพลงนี้เหมือนกัน

        "มาซ้อมร้องด้วยกันมา พี่ก็ว่างๆ วันนี้พี่มีซ้อมคิวเดียวเอง เบื่อๆ อยู่พอดี" พี่ตุ๊กขยับหันตัวเข้าหาต้นข้าวให้ถนัดขึ้นจนตัวทั้งสองคนแทบจะติดกัน

        "ผมขึ้นต้นก่อนนะ" ต้นข้าวเริ่มร้องท่อนแรก

        "Des yeux qui font baisser les miens,

        สายตาที่จ้องมองมาที่ฉัน

        Un rire qui se perd sur sa bouche

        เสียงหัวเราะที่ค่อยๆ จางหายไปจากมุมปากของเขา"


        ...............

        พี่ตุ๊กร้องต่อท่อนที่สอง...

        "Voilà le portrait sans retouche

        นั่นแหละคือสิ่งที่แสดงตัวตนที่แท้จริง

         De l’homme auquel j’appartiens.

        ของคนรักในฝันของฉัน"


        ................

        "โห...เก่งนี่" พี่ตุ๊กหยุดร้อง ทำตาโต และพูดออกมาดังๆ ด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น "ต้นข้าวร้องเพลงภาษาฝรั่งเศสได้ดีเลยนะ ยอดเยี่ยมมาก"

        "ขอบคุณครับพี่ตุ๊ก" ต้นข้าวยิ้มอายๆ กับคนที่ตนเองนึกนิยมในออร่าความเป็นดาวมาพูดชม "ฝึกนานเหมือนกันฮะ ซ้อมร้องในห้องน้ำที่บ้านทุกวันเลย"

        "ดีแล้ว แต่ให้สำเนียงออกหวานกว่านี้หน่อย เพราะเพลงนี้ถือว่าเป็นแนวโลกสวยเว่อร์ๆ" พี่ตุ๊กพูดไปขำไป ยกมือกางนิ้วยาวเรียวสวยแบบศิลปินขึ้นมาเสยผมตัวเองที่ตกลงมาปิดหน้าในมาดเท่

        "คนแต่งเพลงนี้ เอดิท เพียฟ ไม่รู้แต่งเข้าไปได้ยังไง ชีวิตคนแต่งรันทดแทบจะฆ่าตัวตายอยู่แล้ว แต่แต่งออกมาได้โลกสวยขนาดนี้"

        "นั่นสิฮะ ผมยังชอบมากๆ เลย ชีวิตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ" ต้นข้าวหันไปยิ้มกว้าง ตาเป็นประกายให้พี่ตุ๊ก

        "La Vie En Rose ไม่ใช่หมายถึงชีวิตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบนะ แต่หมายความว่า ชีวิตขณะที่ตกอยู่ในห้วงรัก ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นสีชมพูเหมือนสีกลีบกุหลาบ" พี่ตุ๊กเล่าต่อพร้อมกับรอยยิ้มอันเป็นบุคลิกของตน

        "ถ้าจะพูดตรงๆ มันน่าจะประมาณว่า ช่วงเวลาขณะรัก ที่มีกลีบกุหลาบโปรยบนหัวต่างหากนะน้องต้นข้าว"

        ---กลีบกุหลาบโปรยบนหัว--- ต้นข้าวสะดุดประโยคนี้ จริงสินะ!! ครั้งหนึ่งเมื่อเกือบเจ็ดปีที่แล้ว เมื่อต้นข้าวเริ่มคบกับจิวใหม่ๆ ต้นข้าวเคยมีความรู้สึกนี้ ต้นข้าวเคยเหมือนกับเดินแล้วพื้นนิ่มดังปูพรม และมีกลีบกุหลาบโปรยลงมาบนหัวในทุกก้าวย่าง แต่ความรู้สึกนั้นมันจางเลือนลาง และเนิ่นนานมาแล้ว

        บัดนี้ความรู้สึกของกลีบกุหลาบที่โปรยลงหัวนั้น มันเหมือนจะกลับมาหาต้นข้าวอีกครั้งหนึ่ง ณ ขณะที่นั่งซ้อมร้องเพลงอยู่กับพี่ตุ๊กเพลงนี้...

--------------------

https://m.youtube.com/watch?v=Zt7y8y1Axcs&feature=youtu.be
*Edith Piaf - La Vie en Rose Original 1945 Album Remastering

หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๗ : กุหลาบงามย่อมมีหนามแหลม || หน้า ๑๐ || ๑๔/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-03-2017 19:54:52
เวลาก็ผ่านไปนาน
ความรักของต้นข้าวกับจิว ก็เช่นกัน
จะไม่ค่อยหวาน ตื่นเต้นในกันและกันแล้ว
ยิ่งช่วงเวลาที่ต่างฝ่ายต่างมีอะไรๆเข้ามา
ถ้าอีกฝ่ายไม่เข้มแข็ง ก็จะเกิดการอ่อนไหว
หวั่นไหวกับสิ่งใหม่ๆ คนใหม่ๆ
ชักห่วงต้นข้าวละ ยิ่งชอบๆคนมีออร่าอยู่ด้วย
จะดราม่าขนาดไหนกัน  :katai1: :katai1: :katai1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๗ : กุหลาบงามย่อมมีหนามแหลม || หน้า ๑๐ || ๑๔/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 14-03-2017 21:49:57
 :pig4: :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๗ : กุหลาบงามย่อมมีหนามแหลม || หน้า ๑๐ || ๑๔/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: zenesty ที่ 14-03-2017 23:57:46
 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๗ : กุหลาบงามย่อมมีหนามแหลม || หน้า ๑๐ || ๑๔/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: appattap ที่ 15-03-2017 15:42:37
ต้นข้าวมองพี่ตุ๊กเหมือนคนมองแบบปลื้มๆ
แต่มาเศร้าคำพูดของพริกที่มันเหมือนดูมีอะไร
เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะค้าาา
 :sad4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๗ : กุหลาบงามย่อมมีหนามแหลม || หน้า ๑๐ || ๑๔/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 15-03-2017 17:27:15
 สมัยนั้นภาษาฝรั่งเศสบูมมากๆ ขนาดในโรงเรียนพาณิชยการยังมีการสอนอะ ดูสมัยนี้สิ เป็นไปตามโลกหมุนจริงๆ
   เอาละสิต้นข้าว ยังไงกับรุ่นพี่แล้วจิวล่ะ  รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๓๒ : กุหลาบงามย่อมมีหนามแหลม || หน้า ๑๐ || ๑๔/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: nonaness ที่ 18-03-2017 06:48:00
ฮ็อยยยยยอ่านเรื่องนี้ละคิดถึงสมัยเด็กๆเลย
นี่ก้เคยปล่อยเต่าที่วัดประยูรเคยกินขนมกุฎีจีน
นั่นมันถิ่นเราเลยเมื่อ10กว่าปีก่อน นี่เรียนรร.คอนแวนท์ในซอยนั้น
เดินทุกวันในตลาดนกกระจอกก็ของกินเยอะเลย55555555555555555
ละทุกวันนี้ก็ยังกินสเต็กร้านสอาดตรงสี่แยกบ้านแขก โครตหร่อย!

เอาเป็นว่าคนเขียนแต่งดีมากๆค่ะทำให้เราอินไปกับเหตุการณ์สมัยก่อนที่เราลืมไปแล้ว
อินกับความรักบริสุทธิ์ใรยุคเทคโนโลยีไม่เฟื่องฟูของจิวกับต้นข้าว
นี่อ่านไปอมยิ้มไปแทบทุกตอน เค้าจีบกันด้วยความจริงใจจริงๆค่ะซิส>_______<

หัวข้อ: Re: MBK❤lover || บทที่ ๔๗ : กุหลาบงามย่อมมีหนามแหลม || หน้า ๑๐ || ๑๔/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 19-03-2017 05:29:05
เวลาก็ผ่านไปนาน
ความรักของต้นข้าวกับจิว ก็เช่นกัน
จะไม่ค่อยหวาน ตื่นเต้นในกันและกันแล้ว
ยิ่งช่วงเวลาที่ต่างฝ่ายต่างมีอะไรๆเข้ามา
ถ้าอีกฝ่ายไม่เข้มแข็ง ก็จะเกิดการอ่อนไหว
หวั่นไหวกับสิ่งใหม่ๆ คนใหม่ๆ
ชักห่วงต้นข้าวละ ยิ่งชอบๆคนมีออร่าอยู่ด้วย
จะดราม่าขนาดไหนกัน  :katai1: :katai1: :katai1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

= มันคือเรื่องของจิตใจมนุษย์โดยแท้เลยนะฮะ จะมั่นคงแข็งแกร่ง หรืออ่อนยวบ วันเวลาจะเป็นผู้สอนให้เองเนาะ //ขอบคุณมากๆ จ้า

:pig4: :pig4: :pig4: :3123:

= ขอบคุณมากนะฮะ

:hao5: :hao5: :hao5:

= ขอบคุณมากจ้า

ต้นข้าวมองพี่ตุ๊กเหมือนคนมองแบบปลื้มๆ
แต่มาเศร้าคำพูดของพริกที่มันเหมือนดูมีอะไร
เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะค้าาา
 :sad4:

= จะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าหนอ ขอบคุณมากๆ นะฮะ

สมัยนั้นภาษาฝรั่งเศสบูมมากๆ ขนาดในโรงเรียนพาณิชยการยังมีการสอนอะ ดูสมัยนี้สิ เป็นไปตามโลกหมุนจริงๆ
   เอาละสิต้นข้าว ยังไงกับรุ่นพี่แล้วจิวล่ะ  รออ่านตอนต่อไปคับ

= เพื่อนหลายคน เรียนภาษาฝรั่งเศสกันเยอะเลยฮะสมัยมัธยม ฮิตจริงๆ //ขอบคุณมากนะฮะที่ติดตามกัน

ฮ็อยยยยยอ่านเรื่องนี้ละคิดถึงสมัยเด็กๆเลย
นี่ก้เคยปล่อยเต่าที่วัดประยูรเคยกินขนมกุฎีจีน
นั่นมันถิ่นเราเลยเมื่อ10กว่าปีก่อน นี่เรียนรร.คอนแวนท์ในซอยนั้น
เดินทุกวันในตลาดนกกระจอกก็ของกินเยอะเลย55555555555555555
ละทุกวันนี้ก็ยังกินสเต็กร้านสอาดตรงสี่แยกบ้านแขก โครตหร่อย!

เอาเป็นว่าคนเขียนแต่งดีมากๆค่ะทำให้เราอินไปกับเหตุการณ์สมัยก่อนที่เราลืมไปแล้ว
อินกับความรักบริสุทธิ์ใรยุคเทคโนโลยีไม่เฟื่องฟูของจิวกับต้นข้าว
นี่อ่านไปอมยิ้มไปแทบทุกตอน เค้าจีบกันด้วยความจริงใจจริงๆค่ะซิส>_______<

= ลืมเรื่องตลาดนกกระจอกไปเลย 555+ อดบรรจุลงไปในเรื่องซะนี่ ตลาดสำคัญตรงพื้นที่นั้นซะด้วย อิอิ //ขอบคุณมากๆ จ้า สำหรับคำคอมเม้นต์ น่ารักที่สุด


........................


*ดราม่าหนักหน่วง ถ้ารักกันจริง อดทนอีกนิด ให้ผ่านช่วงเวลานั้นไปให้ได้นะฮะ สู้ๆๆ


 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๒ : กุหลาบงามย่อมมีหนามแหลม || หน้า ๑๐ || ๑๔/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 19-03-2017 06:21:03

MBK❤lover


(http://www.bloggang.com/data/k/kampong/picture/1485729585.jpg)


ตอนที่ ๓๓ : เจ็ดปีคัน


          บ่ายวันนี้มีซ้อมละครของคณะฯ ต้นข้าวมาถึงห้องซ้อมพอดีกับเวลานัด พอเข้าห้องไปเห็นพี่ตุ๊กนั่งอยู่ก่อนแล้วข้างๆ กลุ่มแดนเซอร์ พี่ตุ๊กส่งยิ้มมาให้พร้อมยกมือขึ้นมาโบก หนุ่มน้อยโบกมือตอบแล้วลงไปนั่งฟังรุ่นพี่ที่กำลังจะเริ่มบรีฟการซ้อมแอคติ้งวันนี้

          "วันนี้เราจะซ้อมแอคติ้งในหัวข้อการบิ้วอารมณ์ในเรื่องของ 'ความรัก' นะน้องๆ" รุ่นพี่ที่ทำหน้าที่ผู้กำกับเริ่มเปิดการซ้อม

          "เดี๋ยวพวกพี่จะจับฉลากสุ่มการจับคู่ของนักแสดงขึ้นมา แล้วซ้อมแบบวันก่อนในการพูดประโยคเดียวแล้วบิ้วอารมณ์ทางด้านความรักขึ้นมาให้ได้นะฮะ ขอให้อินกับคำพูดที่พูด และนึกไปถึงเรื่องที่กำลังพูดด้วย" ผู้ช่วยผู้กำกับเสริมขึ้นมา

          ผลการจับฉลากก็ออกมาต้นข้าวได้สุ่มจับคู่บิ้วอารมณ์กับพี่ตุ๊ก หนุ่มน้อยแอบดีใจลึกๆ ส่วนพี่ตุ๊กก็ส่งยิ้มมาให้

          ต้นข้าวกับพี่ตุ๊กถูกสั่งให้นั่งประจันหน้ากัน ห้ามใช้มือหรือส่วนใดของร่างกายแตะต้องกันในขณะบิ้วอารมณ์ ให้ใช้แต่คำพูดประโยคเดียวและการบิ้วด้วยสายตาที่ส่งความรู้สึกให้กันเท่านั้น และประโยคที่ต้องพูดนั่นคือ "ผมรักคุณ"

          "นักแสดงคนอื่นๆ ขอให้อยู่ในความเงียบนะครับ ขอให้ใช้สมาธิด้วย เอ้า เริ่มต้นได้..."

          พี่ตุ๊กนั่งจ้องหน้าต้นข้าว ยิ้มน้อยๆ ในใบหน้า และเริ่มเอ่ยคำพูดตามที่ได้รับความสั่ง

          "ผมรักคุณ"

          ต้นข้าวจ้องหน้าและเอ่ยตอบ "ผมรักคุณ"

          "ผมรักคุณ"

          "ผมรักคุณ"

          ........

          ต้นข้าวลองพยายามนึกถึงจิว แต่ตอนนี้กลับนึกไม่ออก ใบหน้าที่มาแทนในใจตอนนี้มันกลายเป็นหน้าของพี่ตุ๊กไปแทน ทำไมเป็นแบบนี้นะ หรือเพราะเด็กหนุ่มคิดว่าจิวเป็นของตายอยู่แล้ว จึงไม่มีอะไรตื่นเต้นให้นึกถึง

          "ผมรักคุณ"

          "ผมรักคุณ"

          "ผมรักคุณ" ทั้งคู่ยังคงบิ้วคำพูดนี้ใส่กันต่อไปเรื่อยๆ

          ...........

          ต้นข้าวลองพยายามนึกว่าจิวเคยพูดแบบนี้กับตนเองหรือเปล่า เด็กหนุ่มนึกสงสัยแบบลางเลือนว่าที่ปลายสะพานที่ทอดยาวไปในทะเลที่อ่าวลุงหวัง บนเกาะเสม็ดครั้งแรกนั้น จิวเคยจ้องหน้าแล้วพูดบอกรักแบบนี้กับตัวเองหรือเปล่านะ

          "ผมรักคุณ" พี่ตุ๊ก ทำตาหยาดเยิ้มใส่

          "ผมรักคุณ" ต้นข้าวยิ้มตอบ

          ...........

          ต้นข้าวมองหน้าพี่ตุ๊กที่อยู่ตรงหน้า ทำไมเวลาพี่ตุ๊กพูดคำนี้ พี่ตุ๊กดูเท่ ดูน่ามองมากจริงๆ

          "ผมรักคุณ" พี่ตุ๊กพูดซ้ำ ยิ้มฟันขาวสะอาด

          "ผมรักคุณ" ต้นข้าวยิ้มตอบ เห็นฟันขาวแวววาวไม่แพ้กัน

          ต้นข้าวนึกจินตนาการไปถึงตอนละครเรื่องนี้ออกทำการแสดงและมาถึงตอนจบ เด็กหนุ่มนึกภาพว่าพี่ตุ๊ก ซึ่งแสดงเป็นพระเอกดัง ออร่าแรง เท่ กำลังจับมือต้นข้าว ชูขึ้นสูง แล้วก้มลงต่ำขอบคุณผู้ชมที่ปรบมือให้ หนุ่มน้อยนึกไปถึงว่าบีบมือพี่ตุ๊กแน่น...

          "ผมรักคุณ" ต้นข้าวทำตาหยาดเยิ้มขณะกำลังพูด

          "ผมรักคุณ" พี่ตุ๊กมองลึกเข้าไปในตาต้นข้าว หมือนสะกดจิตให้หัวใจหวั่นไหว

          "ผมรักคุณ" ต้นข้าวเสียงแผ่วลง เหมือนพูดให้ได้ยินกันแค่สองคน

          "ผมรักคุณ" พี่ตุ๊กกระซิบแผ่วตอบ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ต้นข้าว

          " ผม  รัก  คุณ " พี่ตุ๊กพูดช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ

          " ผ ม รั ก คุ ณ " ต้นข้าวพูดอ้อยสร้อยกลับไป

          " ผม - รัก - คุณ " พี่ตุ๊กย้ำชัดๆ ยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ต้นข้าวมากขึ้นอีก คราวนี้มันจะติดกันอยู่แล้ว

          " ผม ผม ผม..รัก คุณ" ต้นข้าวหลับตาลงพริ้ม

          " ผม รัก คุ...." ปากพี่ตุ๊กสัมผัสแผ่วจนเกือบแตะริมฝีปากต้นข้าวแล้ว ลมหายใจร้อนกระทบกัน

          "คัท...หยุด พอครับน้อง เยี่ยมมาก" ผู้กำกับสั่งหยุดการซ้อมแอคติ้ง

          "น้องๆ ตบมือหน่อยครับ คู่นี้บิ้วอารมณ์รักออกมาได้ดีมาก จำความรู้สึกทางการแสดงนี้ไว้นะครับน้องๆ"

          ...............

          กว่าต้นข้าวจะสงบสติจากการแอคติ้งที่ดูสมจริงสมจัง และใจเต้นแรงนั้นลงได้ก็อีกเป็นชั่วโมงถัดมา พริกเข้ามานั่งคุยเป็นเพื่อนด้วย เพราะพริกก็ได้ดูการซ้อมเมื่อสักครู่อยู่ตลอดเวลา

          "เธอแสดงจริงจังไปเปล่า" พริกเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากลในเรื่องนี้

          "ไม่นี่ ก็เรียกอารมณ์ตามที่ผู้กำกับบอกไง" ต้นข้าวตอบแบบยังมีอารมณ์อึนๆ อยู่ในสมอง

          "ถ้าเธอสองคนแสดงสมจริงขนาดนี้ มีหวังได้ตุ๊กตาทองกันเป็นโหลแล้วมั้ง เมื่อกี้เกือบจะจูบกันจริงๆ แล้วนะ"

          "ไม่หรอกน่า ผู้กำกับห้ามแตะตัวกันนะ"

          "ชั้นเห็นเธอหลับตาพริ้มเลยนี่" พริกพูดแบบหมั่นไส้

          ต้นข้าวไม่ได้ตอบอะไร แต่มองไปอีกทาง ใจคิดไปถึงการซ้อมเมื่อกี้ ความรู้สึกมันเหมือนจะส่งให้จูบกันจริงๆ อย่างที่อีงูบอกนั่นแหล่ะ นึกแล้วรู้สึกร้อนวูบวาบที่หน้า เหมือนเลือดจะสูบฉีดขึ้นมามากกว่าปกติ ใจเต้นตุบตับขึ้นมา และกลีบกุหลาบกำลังเริ่มโปรยบนหัวอีกแล้ว

          พริกจ้องหน้าต้นข้าวนิ่งๆ แล้วถามขึ้น "แล้วจิวเป็นไงบ้าง ไม่เห็นค่อยมาหาเธอที่มหา'ลัยเลย และพักนี้เธอก็ไม่ค่อยพูดถึง"

          หนุ่มน้อยเงียบลงไปอีก ก่อนจะตอบพริก

          "ก็ไม่มีอะไร จิวยุ่งๆ น่ะ เห็นว่าป๊าไม่ค่อยสบายด้วย ลื่นล้มในห้องน้ำตอนเมา"

          "อุ๊ต่ะ!" พริกอุทานอย่างตกใจ "แล้วเป็นอะไรมากไหม"

          "ไม่รู้สิ ไม่น่าเป็นอะไรมากนะ ไม่เห็นจิวว่ายังไงเลย ไม่หือไม่อือ แถมกำลังจะย้ายบ้านย้ายโรงงานไปที่อื่นด้วยนะ ไม่บอกกันสักคำ"

          ต้นข้าวตอบพริก สายตามองเหม่อไปข้างหน้า สีหน้าไม่มีความรู้สึกใดๆ

          "เธอคบกับจิวมากี่ปีแล้วนะต้นข้าว" พริกถาม

          "กำลังจะเข้าปีที่เจ็ดนี้ล่ะ" เด็กหนุ่มตอบเนิบๆ

          "เจ็ดปีคัน!!"

          พริกอุทานออกมาลอยๆ พร้อมจ้องหน้าต้นข้าว

          "คืออะไรเจ็ดปีคัน" ต้นข้าวงงกับคำนี้

          "มันคือทฤษฎี 'Seven Year Itch - เจ็ดปีคัน' ที่บอกว่าใครที่เป็นแฟนกัน ๗ ปี หากไม่ได้แต่งงาน หรือถ้าไม่มีอะไรคืบหน้า ก็ต้องมีเหตุให้เลิกรากัน หรือไม่ก็จะแอบไปมีกิ๊กกับคนอื่นน่ะ"

          "ไม่รู้สิ" ต้นข้าวหันมามองหน้าพริก "ก็เราจะแต่งงานกันได้ยังไง เป็นผู้ชายทั้งคู่นี่นะ"

          "มันไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องแต่งงานกันไง มันอาจหมายถึงการได้อยู่ร่วมกัน การทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตร่วมกันไรงี้ด้วย เค้าเรียกว่า อาถรรพ์ ๗ ปี แต่ถ้าใครผ่านมันได้ ก็ดีไป แต่ถ้าไม่...ก็ ๗ ปีแล้วจบ!"

          "ถ้ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ไม่รู้แล้วล่ะ ตามเวรตามกรรมเถอะ" ต้นข้าวพูดอย่างปลงๆ

          "เธอไม่คิดเสียดายเวลาเหรอ"

          "มีเวลาสำหรับทำอะไรใหม่ๆ อีกตั้งเยอะ" ต้นข้าวโต้คำคมกับพริกบ้าง

          --แต่มันคงไม่ใช่ช่วงเวลาดีๆ อันแสนพิเศษสุดเหมือนที่ผ่านมาหรอก--

          คราวนี้พริกไม่ได้พูดออกมาแล้ว แค่แอบนึกในใจ และภาวนาขอให้ทุกสิ่งมันผ่านไปด้วยดีเถอะ

          ..........

          "เออ นี่เธอก็ยุ่งวุ่นวายกับการซ้อมละครเวทีและวุ่นรับจ๊อบข้างนอกเนี่ย สังเกตอะไรหรือเปล่า เรื่องเพื่อนเราน่ะ" พริกนึกอะไรขึ้นมาได้หลังจากนั่งกันนิ่งๆ อยู่ครู่ใหญ่

          "ใคร เพื่อนคนไหนเป็นอะไรเหรอ"

          คราวนี้คนฟังหน้าตาตื่น เพราะที่ผ่านมาก็วุ่นวายเรื่องรับงานจริงๆ และมัวแต่ใส่ใจกับเรื่องของพี่ตุ๊กด้วย จึงไม่ได้สังเกตใครคนอื่นรอบตัวเลย

          "เอก เพื่อนเราน่ะ มันลาออกจากมหา'ลัยแล้วนะ" พริกหน้าสลดลงไปเมื่อพูดถึง

          "อ้าว ไม่ได้สังเกตเลย นานยัง ทำไมอะ มันมีปัญหาอะไรกับใครหรือ มันก็เรียนดีนี่"

          "คือ...เอกมัน..." พริกหันมาจ้องหน้า แล้วเอามือมาจับแขนต้นข้าว "ต้นข้าว เธอน่ะโชคดีฉิบ..."

          ต้นข้าวจ้องหน้าพริกเขม็ง เหมือนจะเค้นหาคำตอบ แต่พอจะนึกอะไรออกได้ลางๆ แล้ว

          "เอกมันติดโรคร้ายแรงน่ะ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หมอบอกว่าเป็นไวรัสที่ไม่มีทางรักษา นี่ทางบ้านเลยให้ลาออก แล้วจะส่งไปรักษาตัวที่อเมริกา" เสียงพริกเริ่มสั่นเครือ

          ต้นข้าวกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก คำพูดของน้าเดียร์บนดาดฟ้าเมื่อหลายปีมาแล้ว แว่วเข้ามา...

          -- ที่เล่านี่ คือจะเตือนว่า มันเป็นไวรัสใหม่ ที่เริ่มระบาดในคู่รักเพศชายเสียเป็นส่วนใหญ่ที่เมืองนอก ดังนั้นเธอต้องรู้จักป้องกันตัว เขาว่าทางเลี่ยงคือ ควรจะรักเดียวใจเดียว ไม่เปลี่ยนแฟนบ่อยๆ และต้องใส่ถุงมีชัยทุกครั้งด้วยนะ --

--------------------

          การซ้อมละครเวทีเรื่อง "ดอกไม้สำหรับมิสซิสแฮริส" เริ่มงวดเข้ามา ใกล้เวลาที่จะแสดงจริงเต็มที่แล้ว ต้นข้าวเริ่มยุ่งหัวปั่นขึ้นมาก ทั้งการเรียนปกติ ทั้งการซ้อมละครเวที และเหมือนช่วงนี้จะ 'ดวงขึ้น' ในเรื่องของเส้นทางบันเทิง เพราะมีจ๊อบงานนอกเข้ามาหาเรื่อยๆ ทั้งจากรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว หรือการบอกต่อๆ ของคนที่เคยร่วมงานด้วย

          และที่พัฒนาไปอีกเรื่องหนึ่ง คือความสัมพันธ์ของต้นข้าวและพี่ตุ๊กมีมากขึ้น พี่ตุ๊กเข้าใกล้ชีวิตต้นข้าวมากขึ้น กินข้าวกลางวันที่มหา'ลัยพร้อมกันแทบทุกวัน และทุกๆ วันพี่ตุ๊กจะซื้อขนมนมเนย ของกินต่างๆ มาฝากหนุ่มน้อยตอนซ้อมละครเสมอ

          ต้นข้าวก็บอกตัวเองไม่ถูกเหมือนกันว่าตนเองรักพี่ตุ๊กหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ มันเหมือนมีสิ่งยึดเหนี่ยวใหม่ๆ ในหัวใจ มีสิ่งใหม่เติมเข้ามาในชีวิต และสิ่งนั้นมันเหมือนเป็นตัวแทนลึกๆ ของความฝันของตนเองด้วยคือ 'เงาแห่งวงการบันเทิง' ที่แฝงอยู่ในตัวของคนๆ หนึ่งแบบที่พี่ตุ๊กเป็น ที่ต้นข้าวไม่ได้เจอในตัวคนอื่น

          ทุกครั้งที่พี่ตุ๊กขึ้นแสดง ทุกครั้งที่พี่ตุ๊กร้องเพลง ต้นข้าวจะจับตามองอย่างมีความสุข บางครั้งก็เผลอยิ้มกับภาพที่พี่ตุ๊กกำลังเขินอายบนเวทีเมื่อได้รับเสียงตบมือในขณะที่แสดงอะไรสักอย่างจบลงและหันมามองทางตนเองเสมอ ต้นข้าวก็นึกไปเองว่า พี่ตุ๊กอุทิศเสียงตบมือนั้นให้ตนเอง ในฐานะที่เป็นกำลังใจเบื้องหลังอันสำคัญ

          ..............

          มีงานจ๊อบข้างนอกงานหนึ่ง ที่ต้นข้าวได้รับต่อมาจากรุ่นพี่คนหนึ่งที่จบไปแล้วและไปเข้าทำงานในบริษัทนิตยสารแฟชั่นวัยรุ่นที่กำลังฮิตเป็นอันดับต้นๆ ในตอนนั้น ในตำแหน่ง รอง บก.หน้าแฟชั่น

          ครั้งนั้น รุ่นพี่คนนี้เดินทางไปเชียงใหม่หลายวัน แต่ดันมีงานเปลี่ยนตัวนางแบบขึ้นปกที่ถ่ายไปแล้ว เพราะนางแบบเก่ามีข้อสัญญาที่รับไม่ได้ ทำให้ต้องถ่ายนางแบบคนใหม่ซ่อมด่วนเพื่อให้ทันตีพิมพ์ปกใหม่ และรุ่นพี่คนนี้ ได้โทรทางไกลมาให้ต้นข้าวไปเป็นสไตล์ลิสควบคุมการถ่ายทำแทนตัวเอง ในเซ็ตแฟชั่นนางแบบใหม่ขึ้นปก รวมทั้งแฟชั่นนายแบบแทรกในหน้าเล็กๆ ที่แนะนำร้านอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งถ่ายพร้อมกันในวันเดียวเลย รุ่นพี่คนนี้เชื่อใจในฝีมือของต้นข้าว และเคยเห็นการทำงานที่ผ่านมาของต้นข้าวอยู่

          แน่นอนที่สุด เมื่อต้นข้าวได้รับความไว้วางใจจากรุ่นพี่ บก.แฟชั่น จึงมีอำนาจเต็มที่ในการคัดเลือกนางแบบและนายแบบ เมื่อหนุ่มน้อยเล่าเรื่องความภูมิใจกับงานที่ได้รับความมอบหมายนี้ให้จิวฟัง จิวกลับดูเฉยๆ เพราะไม่ได้ติดตามเรื่องแฟชั่นและไม่เคยซื้อหนังสือเล่มนี้อ่าน ต้นข้าวจึงต้องเงียบและไม่รู้จะเล่าอะไรต่อ

          แต่สำหรับพี่ตุ๊ก ทันทีที่รู้ข่าวนี้ ก็ดูตื่นเต้นไปกับต้นข้าวด้วย และรีบมารอต้นข้าวที่ห้องซ้อมแต่เช้า พร้อมกับเอารูปถ่ายที่พี่ตุ๊กเคยถ่ายไว้ตามห้องภาพต่างๆ มาให้ต้นข้าวดู ว่าพี่ตุ๊กพอจะเป็นนายแบบในการถ่ายเซ็ตนั้นได้หรือเปล่า

          "ไหวไหมครับน้องต้นข้าว" พี่ตุ๊กทำเสียงอ้อน

          "ก็ดีนะครับ เค้ากำลังอยากได้นายแบบหน้าใหม่ด้วย เพราะงบไม่มาก จึงไม่น่าจะเรื่องมากยุ่งยากอะไร และเซ็ตของนายแบบมันเป็นคอลัมน์เล็กๆ ข้างในเอง" ต้นข้าวพลิกดูรูปพี่ตุ๊กในมือไปมา

          "ให้พี่ได้ถ่ายเซ็ตนี้ไปก่อน แล้วครั้งหน้าน้องต้นข้าวก็ค่อยให้พี่ขึ้นปกดีไหม" พี่ตุ๊กยิ้ม หน้าตาใสกระจ่าง

          .......................

          ต้นข้าวผ่านงานจ๊อบที่ได้รับมานั้นไปด้วยดี พี่ตุ๊กได้ถ่ายแบบประกอบในคอลัมน์แนะนำร้านอาหารนั้นได้สมดังใจ รูปออกมาสวย พี่ตุ๊กดูดีในเสื้อผ้าของห้องเสื้อ 'Fi Produce' จากตึกชาญอิสระ และมีรูปหนึ่งต้องถอดเสื้อที่ริมสระว่ายน้ำของร้านอาหารนั้น พี่ตุ๊กมีรูปร่างและกล้ามเนื้อที่ดีมาก ลูกค้าที่เป็นเจ้าของร้านอาหารชอบแฟชั่นเซ็ตนี้ และกล่าวชมต้นข้าวไปทางต้นสังกัดนิตยสารด้วย

          ส่วนนางแบบคนใหม่ที่จะมาขึ้นปก ทางสปอนเซอร์เสื้อผ้าที่ต้องสวมใส่ขึ้นปกเป็นคนส่งนางแบบหน้าใหม่มาให้จากโมเดลลิ่งเล็กๆ โมฯ หนึ่ง ซึ่งต้นข้าวก็เห็นชอบด้วย และตกลงเลือกนางแบบคนนี้ทันที พอแต่งหน้าทำผมแล้วก็มีแต่คนในกองถ่ายตกตะลึง เพราะออกมาดูดีมาก นางแบบหน้าใหม่คนนี้หน้าตาออกไปทางลูกครึ่งฝรั่ง แต่งหน้าออกมาแล้วสวยเหมือนใบหน้าของภาพเขียน 'โมนาลิซ่า' ที่โด่งดังในฝรั่งเศสเลยทีเดียว

          ในช่วงพักเบรคกองถ่ายแฟชั่นช่วงกลางวัน ต้นข้าวพานางแบบหน้าใหม่คนนี้ไปนั่งกินข้าวที่ร้านอาหารเล็กๆ ริมคลองหลอดใกล้ๆ กับกองถ่ายเพราะดูน่าสงสาร มาคนเดียวไม่มีเพื่อนหรือญาติมาด้วย นั่งกินข้าวไปก็ร้องไห้ไป น้ำตาไหลหยดแหม่ะๆ เล่าให้หนุ่มน้อยคนเก่งฟังถึงความระทมในชีวิตที่ไม่มีพ่อแม่ มีแต่ยายแก่ๆ ที่เลี้ยงดูมา ที่อยากเข้าวงการบันเทิงเพราะอยากมีเงินไปเลี้ยงดูยาย  เธออยากจะสวยที่สุดบนปกนี้ เพราะนี่เป็น 'โอกาสแรกในชีวิต' ของเธอแล้ว และต้นข้าวคือคนที่จะมอบสิ่งนั้นให้แก่เธอได้

          ซึ่งต้นข้าวคนเก่งก็ทำจ๊อบนั้นออกมาอย่างดีที่สุด หน้าปกนิตยสารเล่มนั้น เมื่อวางแผงแล้วสะดุดตาด้วยรูปโคสอัพหน้านางแบบโนเนมคนนี้เต็มหน้าปก สวย ล้ำยุค และใหม่สดในวงการ

          -- และอีก ๓๐ ปีต่อมา ต้นข้าวยิ่งภูมิใจมากขึ้นอีก เมื่อนางแบบโนเนมไร้ญาติคนนั้นกลายเป็นดาราหญิงที่ดังมาก และท้ายที่สุดกลายไปเป็นผู้จัดละครที่มีชื่อเสียงโด่งดัง มีนิสัยที่ดีเสมอต้นเสมอปลาย เป็นเจ้าหญิงแห่งวงการ --

--------------------

          หลังจากปิดจ๊อบนิตยสารนั้นแล้ว ต้นข้าวมีจ๊อบอีกสองจ๊อบ จ๊อบหนึ่งเป็นงานข้างนอกที่ระดับใหญ่มาก จะมีขึ้นในอีกเกือบเดือนหนึ่งข้างหน้า งานนี้ได้รับต่อมาจากรุ่นพี่อีกคนเหมือนกัน คืองาน "มหกรรมลูกทุ่งสยาม ๒๕๓๔" ที่เวทีหอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ต้นข้าวจะได้เป็นหัวหน้ากลุ่ม Back Stage ในส่วนของศิลปินและนักแสดง จึงมีการประชุมเตรียมงานเครียดหลายครั้งล่วงหน้า

          และอีกงานหนึ่งเป็นงานที่จัดขึ้นก่อน เป็นงานภายในมหาวิทยาลัยเอง ซึ่งเป็นงานฉลองครบรอบการถือกำเนิดมหา'ลัย ซึ่งจัดใหญ่ มีการแสดง มีดนตรี คอนเสิร์ต และการประกวด "Mr. & Miss Diamond 1990"

          ในงานครบรอบของมหาวิทยาลัยนี้ ต้นข้าวจะต้องดูแลในเรื่องของการแสดงต่างๆ ร่วมกับรุ่นพี่อีกสองคน แต่ด้วยความสนิทสนมส่วนตัว ต้นข้าวก็ดันให้พี่ตุ๊ก ได้ขึ้นร้องเพลงบนเวทีงานมหา'ลัยครั้งนี้ด้วย จำนวน ๔ เพลง โดยให้เหตุผลว่าเป็นการโปรโมทละครเวทีของคณะนิเทศศาสตร์

          พี่ตุ๊กดีใจที่ได้รู้ว่าตนเองต้องขึ้นร้องเพลง แต่ความจริงแล้วพี่ตุ๊กเองแหล่ะที่เป็นคนกล่อมให้ต้นข้าวเสนอชื่อพี่ตุ๊กเข้าไปในการแสดงครั้งนี้ เมื่อตัวเองได้ร้องแล้วก็ได้ขอร้องต้นข้าวให้เพิ่มกลุ่มแดนเซอร์ในละครให้มาร่วมเต้นประกอบเพลงของพี่ตุ๊กในงานนี้ด้วย โดยอ้างว่าจะได้ดูยิ่งใหญ่อลังการ ซึ่งต้นข้าวก็จัดให้ได้ตามนั้น

          ช่วงหลังๆ ต้นข้าวเอาใจพี่ตุ๊กมาก และพี่ตุ๊กเองก็เอาอกเอาใจต้นข้าวมากขึ้นไปอีก ทั้งคำหวาน คำชม ขนม อาหารการกิน และกลับบ้านก็โทรหาทุกคืน

          งานของมหาวิทยาลัยครั้งนั้นประสบความสำเร็จไปด้วยดี ทุกสิ่งราบรื่น ผู้หลักผู้ใหญ่และอาจารย์ในมหาวิทยาลัยกล่าวชื่นชมงานกันเกรียวกราว

          และมีเรื่องน่ายินดีด้วยว่าในงานนี้ ต้นข้าวทำจดหมายในนามของมหาวิทยาลัย เชิญ "เจ้าทางเหนือ" ไฮโซฯ ท่านหนึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังในการออกงานสังคม งานตัดริบบิ้นเปิดร้าน และมักเป็นกรรมการประกวดในเวทีต่างๆ มาเป็นกรรมการตัดสิน Mr. & Miss Diamond 1990 ครั้งนี้ด้วย และเมื่อจบงาน ท่านได้ชื่นชมต้นข้าวในเรื่องการจัดงาน และชมว่าต้นข้าวเป็นคนหนุ่มที่เก่ง มีอนาคตทางการงานที่ดี และมีรูปร่างที่ดีมากๆ

--------------------

          บ่ายวันหนึ่ง ต้นข้าวเสร็จจากการประชุมเตรียมงานมหกรรมลูกทุ่งสยาม ๒๕๓๔ ที่ใกล้จะถึงแล้ว และประชุมเครียดขึ้นทุกที เพราะจะมีอะไรผิดพลาดไม่ได้ ในงานจะมีศิลปินเพลงลูกทุ่งในเมืองไทยจำนวนมาก และมีชื่อเสียงโด่งดังทั้งสิ้น บางท่านก็ไม่ขออยู่ห้องแต่งตัวห้องเดียวกัน บางท่านยืนร้องเพลงติดกันไม่ได้ ขอให้มีคนยืนคั่น บางท่านก็สบายๆ จัดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น

          ประชุมเสร็จอย่างหงุดหงิด เด็กหนุ่มกลับมาบ้าน และได้รับโทรศัพท์จากจิวที่โทรเข้าบ้านมาพอดี จิวขอให้ต้นข้าวมาที่บ้านจิว เพื่อช่วยให้ถ่ายรูปรองเท้าฟองน้ำรุ่นใหม่ด่วน เพราะกล้องถ่ายรูปของโรงงานจิวเสีย ต้องรีบส่งฟิล์มไปล้างและอัดรูปส่งให้เอเย่นต์ต่างจังหวัดสำหรับออร์เดอร์งานล็อตใหม่นี้

          ต้นข้าวรับปากจิว เพราะใจหนึ่งก็คิดว่าไม่ค่อยได้เจอกันหลายอาทิตย์แล้ว ไปหาสักหน่อยก็ดี และอีกอย่างหนึ่งก็อยากช่วยงานจิวด้วย งานบ้านจิว ในทางครอบครัวก็เหมือนคนบ้านเดียวกัน เป็นเรื่องที่ต้นข้าวควรไปช่วยอยู่แล้ว จึงขับรถไปบ้านจิวที่ฝั่งธนฯ โดยที่ใจยังหงุดหงิดติดค้างกับงานจ๊อบอันวุ่นวายหลายเรื่องประดังกันเข้ามา ซึ่งต้นข้าวอยากจะทำมันทั้งหมดให้ออกมาดีที่สุด

          ..................

          "หน้ามุ่ยเชียว งานยุ่งเหรอ" จิวถามต้นข้าวเมื่อทั้งสองคนเดินเข้ามาในโรงงานรองเท้าของป๊าจิวแล้ว

          "ยุ่ง"

          "แล้วรู้เรื่องเอกแล้วใช่ไหม" จิวชวนคุยอีก

          "รู้แล้ว!"

          ต้นข้าวตอบสั้นๆ ใจกำลังนึกถึงว่าพรุ่งนี้ต้องมีซ้อมละครเวที 'ดอกไม้สำหรับมิสซิสแฮริส' ครั้งสุดท้ายก่อนแสดงจริงแล้ว และเย็นๆ ต้องประชุมงานมหกรรมลูกทุ่งฯ อีก ส่วนมือก็เปิดกระเป๋ากล้องถ่ายรูป สะละวนควานหากลักฟิล์มในนั้นไปมา

          "ละครเวทีเป็นไงบ้าง ใกล้ขึ้นแสดงแล้วสิ" จิวยังถามด้วยความใจเย็น ตามองดูคนหงุดหงิดที่กำลังควานหาของในกระเป๋าแบบหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่

          "ที่ผ่านมาโทรมาเล่าก็ไม่เห็นจะสนใจ แล้ววันนี้จะมาถามทำไม"

          ต้นข้าวตอบเสียงสะบัด --นี่กลักฟิล์มมันกลิ้งไปไหนนะ ควานหาไม่เจอสักที--

          ต้นข้าวอึดอัดขัดใจกับการหาของไม่เจอ จึงคว่ำเททั้งกระเป๋ากล้อง ซึ่งหลังๆ มาเหมือนเป็นกระเป๋าใส่ของจุกจิกสารพัดประโยชน์ด้วย ของในนั้นกลิ้งตกลงมา มีทั้งปากกา ดินสอสี กระดาษโน๊ต บทละครที่พับครึ่งยับยู่ยี่ กระดาษเนื้อเพลง และกล่องเล็กๆ ใส่ของจุกจิกอีกหลายกล่อง รวมทั้งกลักฟิล์มที่จะต้องใช้ ร่วงลงมาด้วย

          "อ้าว...อารมณ์เสียอะไรมาเนี่ย" จิวมองต้นข้าวหาของด้วยสายตาสงสัย

          "จะให้ถ่ายอะไร เอามาวางสิ" ต้นข้าวสั่งจิว หลังจากเอาฟิล์มบรรจุลงกล้องถ่ายรูปเรียบร้อย และหมุนเฟืองกล้องเสียงดังแกรกๆ

          จิวหยิบรองเท้ารุ่นใหม่ของโรงงานที่เตรียมไว้มาวางบนโต๊ะ เป็นรองเท้าแตะแบบสวม ส่วนที่เป็นพื้นรองเท้าและสายคาดเป็นสีเหลืองแปลกตา

          "สวยไหม สีใหม่เลยนะเนี่ย ในท้องตลาดไม่มีใครทำกัน มีทั้งหมด ๗ สีไม่ซ้ำกันเลย" จิวเล่าอย่างภูมิใจ

          ไม่มีคำตอบหรือคำพูดจากต้นข้าว มีแต่เสียง 'แชร็กๆๆ' ของชัตเตอร์กล้อง เด็กหนุ่มถ่ายรูปรองเท้าด้วยความรวดเร็ว มือแทบไม่ได้จับหรือขยับรองเท้าบนโต๊ะให้เข้าที่เข้าทางเลยด้วยซ้ำ

          ในเมื่อจิวเห็นว่าต้นข้าวไม่พูดอะไร จิวก็ไม่พูดอะไรต่อ พอถ่ายคู่แรกเสร็จ จิวก็หยิบคู่ต่อๆ ไปขึ้นมาวางเปลี่ยนให้ถ่าย จนครบ ๗ คู่

          "หมดล่ะ" จิวหันมาบอกต้นข้าว "ทีนี้ถ่ายรูปจิวถือรองเท้านี่หน่อย ป๊าจะส่งไปให้เอเย่นต์ต่างจังหวัดดูด้วย เพื่อแนะนำตัวว่าต่อไปต้องติดต่อกับจิวนี้ จะได้รู้จักหน้าตาไว้ก่อน เวลาไปหาที่ต่างจังหวัดจะได้สะดวกตรงที่ว่าเคยเห็นรูปกันมาก่อนแล้ว ป๊ากลัวใครจะมาสวมรอยเก็บตังค์ค่ารองเท้าน่ะ"

          "ยืนถือสิ" ต้นข้าวสั่งจิว ตายังไม่ได้เงยขึ้นมามอง เพราะมัวแต่เปลี่ยนเลนส์กล้องอยู่

          จิวก้าวเข้ามายืนระยะหน้ากล้อง เอามือเดียวหอบรองเท้าแตะ ๗ คู่ ๗ สี ขึ้นมาอุ้มไว้ตรงหน้าอก ไม่รู้จะทำท่าอะไร เก้อๆ ขึ้นมา เลยเอามือหนึ่งขึ้นมาเสยผมแบบเก้ๆ กังๆ เข้าไปอีก เหมือนคนไม่คุ้นชินกับการถ่ายรูปหรืออยู่ต่อหน้ากล้อง

          "ทำท่าอะไรนี่ ทำไมมันวุ่นวายทุเรศทุรังแบบนี้" ต้นข้าวตวาดจิว

          จิวอ้าปากค้าง งงกับอารมณ์ที่ไม่อยู่กับร่องกับรอยของต้นข้าว

          "แล้วจะให้ทำท่ายังไง ก็บอกสิ คนไม่รู้นี่ ไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิงนี่นะ"

          เหมือนคำพูดมาจี้ใจดำ เหมือนคำพูดที่กระทบหอกแหลมที่กำลังปักติดหลังของต้นข้าวอยู่ เหมือนคนที่มีแผล สะกิดนิดก็แสบ  คำพูดที่เคยแซวกันเล่นระหว่างแฟนโดยไม่ได้คิดอะไร ตอนนี้มันกลับกลายเป็นคำพูดที่เหมือนมาจับผิดกัน ประชดประชันกันไปแล้ว

          "ไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิงก็ไม่ต้องถ่าย!!"

          ต้นข้าวพูดกระแทกเสียง แล้วกดชัตเตอร์ถ่ายรูปจิวลงไป 'แชร็ก' เดียว รูปเดียว จิวยังอ้าปากค้าง มือยังเกาหัว แถมเผลอๆ รูปนั้นหลับตาด้วยซ้ำ

          จิวยืนอึ้งไม่มีคำพูดจะพูด มือที่หอบรองเท้าฟองน้ำ ๗ คู่ ปล่อยให้ตกลงไปที่พื้นข้างตัว ต้นข้าวหมุนกรอฟิล์มกลับ แล้วเปิดฝาหลังกล้องดึงฟิล์มออกมาวางกระแทกบนโต๊ะ

          "เอ้า...เอาไปล้างอัดรูปเองนะ กลับก่อนล่ะ"

--------------------


หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๓ : เจ็ดปีคัน || หน้า ๑๐ || ๑๙/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: anandawan ที่ 19-03-2017 07:04:24
แรกรัก น้ำต้มผักก็ว่าหวาน
เรียนรู้วันนี้ เพื่อวันข้างหน้าจะได้รักกันมากขึ้น สาเหตุที่อาจจะมาเพราะ ไม่พูด ไม่คุย ไม่เคลีย คิดว่ารู้ใจกันที่สุด แต่จริงๆแล้ว ไม่มีใครรู้ใจคนอื่นทุกเรื่อง

แต่อ่านตอนนี้แล้ว ขอตบต้นข้าวสักทีได้มั้ย ตบเสร็จชั้นจะรวบตัวจิวมาซบอก
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๓ : เจ็ดปีคัน || หน้า ๑๐ || ๑๙/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 19-03-2017 07:41:00
 :angry2: :z6:

เอาต้นข้าวไปเก็บด้วย
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๓ : เจ็ดปีคัน || หน้า ๑๐ || ๑๙/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: graciej ที่ 19-03-2017 09:03:39
นี่สินะที่เรียกว่า หลงระเริง
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๓ : เจ็ดปีคัน || หน้า ๑๐ || ๑๙/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 19-03-2017 14:06:31
  เดี๋ยวต้นข้าวก็จะรู้เองล่ะ ว่าวงการบันเทิงเขาเป็นยังไง อ่านๆดูเหมือนรุ่นพี่จะใช้ต้นข้าวเป็นบันไดสู่วงการเลย
  รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๓ : เจ็ดปีคัน || หน้า ๑๐ || ๑๙/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: appattap ที่ 19-03-2017 16:16:22
ต้นข้าวนี่หลงพี่ตุ๊กมากเวอร์ ยอมเขาทุกอย่างเลยนะเธอ
ทีจิวนี่ยอมไม่ได้เลย คำพูดการกระทำนี่ขัดตาไปหมดด 
ขอต้นข้าวสมัยมัธยมกลับมาได้ไหม ตอนนั้นน่ารักมากเลยนะ
อ่านแล้วอินเบอร์แรงมากกกก
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๓ : เจ็ดปีคัน || หน้า ๑๐ || ๑๙/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ajkub ที่ 19-03-2017 22:00:50
ติดตาม  ติดตาม และติดตาม
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๓ : เจ็ดปีคัน || หน้า ๑๐ || ๑๙/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: hibatsumoe ที่ 19-03-2017 22:35:49
ขัดใจต้นข้าว  :katai1:
ติดตามตอนต่อไป :katai5:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๓ : เจ็ดปีคัน || หน้า ๑๐ || ๑๙/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 21-03-2017 11:03:00
 :pig4: :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๓ : เจ็ดปีคัน || หน้า ๑๐ || ๑๙/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 21-03-2017 18:32:39
ต่างฝ่ายต่างไม่คุย
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๓ : เจ็ดปีคัน || หน้า ๑๐ || ๑๙/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 24-03-2017 11:49:34

MBK❤lover


(http://www.bloggang.com/data/k/kampong/picture/1485729585.jpg)


ตอนที่ ๓๔ : ม่านเวทีที่กำลังปิดลง


          บ่ายวันรุ่งขึ้นหลังจากต้นข้าวซ้อมละครเวที 'ดอกไม้สำหรับมิสซิสแฮริส' ครั้งใหญ่ครั้งสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มก็ไปเข้าประชุมเตรียมงานจ๊อบ 'มหกรรมลูกทุ่งสยาม ๒๕๓๔' ที่สำนักงานแห่งหนึ่งใกล้ๆ มหาวิทยาลัยต่อ

          ในการประชุม มีการออกความคิดเห็นเรื่องเพลงที่แดนเซอร์จะต้องออกมาเต้นประกอบเพลง ซึ่งบางเพลง ตัวศิลปินลูกทุ่งบางท่านจะมีหางเครื่องจากวงมาด้วย แต่บางท่านก็ไม่มีวงดนตรีลูกทุ่งเป็นของตัวเอง ทางผู้จัดก็จะหาแดนเซอร์ หรือนักแสดงมาประกอบเพลงนั้นๆ ให้

          เหมือนอย่างเพลง 'แรงงานข้าวเหนียว' ที่เนื้อเพลงจะพูดถึงผ้าไหมจากแดนอิสาน จะใช้แดนเซอร์ใส่ชุดราตรียาวและเดินลากผ้าไหมผืนยาวออกมาเดินสวนกันประกอบเพลง ต้นข้าวเป็นคนรับเรื่องนี้ โดยจะใช้แดนเซอร์รุ่นน้องที่แสดงละครเวทีด้วยกันมาแสดง โดยมีผ้าไหมผืนสวยที่ต้นข้าวได้ทำเรื่องขอสปอนเซอร์ไว้ให้แล้วมาใช้จริงๆ

          ประชุมเสร็จ ต้นข้าวกลับไปมหาวิทยาลัย เพื่อไปที่ห้องซ้อมละครเวทีอีกครั้ง ตั้งใจว่าจะไปคอนเฟิร์มกับน้องนักศึกษาหญิงที่เป็นแดนเซอร์สองคนที่รับงานนอกนี้  แต่ต้นข้าวก็เดินสวนกับพี่ตุ๊กที่ออกมาจากห้องซ้อมละครก่อนพอดี

          "น้องต้นข้าว จะไปไหนครับ กินข้าวหรือยัง" พี่ตุ๊กทัก ดูหน้าตาไม่ค่อยสดใส

          "อ้าวพี่ตุ๊ก" ต้นข้าวยิ้มออกในครั้งแรกของวันที่ยุ่งเหยิงนี้ "จะเข้าไปหาอ้อย ที่เป็นแดนเซอร์ครับ จะคอนเฟิร์มเรื่องงานนอกที่รับไว้"

          "อ้อยไม่อยู่!" พี่ตุ๊กตอบแทนอย่างรวดเร็ว แล้วลดเสียงพูดลง "อ้อยบอกพี่ว่าไม่ค่อยสบายน่ะ กลับบ้านไปตั้งแต่ตอนซ้อมละครเสร็จน่ะ"

          "อ้าว...ยังไงดีเนี่ย" ต้นข้าวมองหน้าพี่ตุ๊กค้างอยู่

          "พี่ว่า ต้นข้าวเปลี่ยนตัวแดนเซอร์ที่ไปรับจ๊อบงานนอกลูกทุ่งอะไรนี่ดีกว่าไหม พี่กลัวอ้อยจะยังไม่หายป่วยน่ะ"

          "จะไม่หายทันได้ยังไงอะพี่ตุ๊ก ละครเวทีมิสซิสแฮริสของเราก็จะเริ่มแสดงรอบแรกวันมะรืนนี้แล้ว น้องก็ซ้อมกันไปหมดแล้ว ส่วนงานนอก งานลูกทุ่งนั้นอีกตั้งเกือบสองอาทิตย์ข้างหน้านะฮะ ยังไม่ได้ซ้อมเพลงเพิ่มเลย ป่านนั้นจะยังไม่หายป่วยอีกหรือ" ต้นข้าวเริ่มงง

          "เอ่อ..." พี่ตุ๊กเริ่มหลุกหลิก "เอาน่า พี่ว่าเปลี่ยนตัวอันที่เป็นงานจ๊อบลูกทุ่งนั่นดีกว่า ต้นข้าวจะได้สบายใจเนอะ มาๆ พี่จะไปช่วยเลือกคนใหม่เป็นเพื่อน"

          พี่ตุ๊กลากมือต้นข้าวเข้าไปในห้องซ้อม ซึ่งยังมีแดนเซอร์นั่งคุยเล่นอยู่ในนั้นหลายคน และเริ่มช่วยคัดเลือกแดนเซอร์หญิงคนใหม่อย่างที่ว่า จนเรียบร้อยอย่างที่ต้นข้าวต้องการ และพาต้นข้าวออกไปนั่งกินข้าวด้วยกันที่ร้านอาหารข้างๆ มหาวิทยาลัย ด้วยรอยยิ้มที่อยู่บนหน้าของต้นข้าวตลอดทั้งมื้ออาหารนั้น

--------------------

โรงละคร, หอประชุม AUA  ถนนราชดำริ

          ละครเวที 'ดอกไม้สำหรับมิสซิสแฮรีส' ของนักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ ประจำปีการศึกษา ๒๕๓๔ ได้เริ่มเปิดม่านการแสดงแล้วที่โรงละคร AUA บนถนนราชดำริ ผู้เข้าชมและนักศึกษาต่างสนุกสนานเพลิดเพลินไปกับตัวละครทุกตัว ได้รับชมฉากเมืองลอนดอนและเมืองปารีสอันตระการตา รวมทั้งบทเพลงต่างๆ ที่สอดแทรกในละคร การเต้นของนักแสดง ไฟ แสงสีเสียงที่สมบูรณ์แบบ เรียกเสียงตบมือดังอย่างกึกก้องในทุกรอบที่การแสดงจบลง

          ...............

          ๗ วันต่อมา จิวผู้ซึ่งเดินทางไปดูเครื่องจักรที่นครชัยศรีอีกครั้ง ได้กลับมาถึงโรงงานที่กรุงเทพฯ และได้รับโทรศัพท์จากพริก ซึ่งเป็นห่วงและสงสัยว่าทำไมจิวถึงไม่ได้มาดูละครเวทีที่ต้นข้าวแสดงเลย พริกจึงโทรชวนให้จิวมาดู และมาให้กำลังใจต้นข้าวในการแสดงรอบสุดท้าย พริกจะฝากบัตรไว้ให้ที่เคาเตอร์ประชาสัมพันธ์หน้าโรงละคร โดยที่ต้นข้าวไม่รู้เรื่องที่พริกชวนจิวมาในรอบนี้

          จิวมาที่โรงละคร AUA ในเวลาที่ละครเริ่มแสดงพอดี ในมือถือช่อดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่ ตั้งใจจะมอบให้ต้นข้าวเมื่อการแสดงจบลง

          จิวได้ที่นั่งเกือบหลังสุดของโรงละคร และตั้งใจดูการแสดงทุกฉากอย่างไม่ให้คลาดสายตา โดยเฉพาะสองฉากที่ต้นข้าวออกแสดง ฉากแรกที่ต้นข้าวเล่น เป็นฉากการแสดงแฟชั่นโชว์ของห้องเสื้อ คริสเตียง ดิออร์ ต้นข้าวเป็นตัวละครตัวหนึ่งที่นั่งชมการเดินแฟชั่นโชว์อยู่ในนั้น  และอีกฉากหนึ่ง เป็นฉากในสวนดอกไม้ใจกลางกรุงปารีส ที่ต้นข้าวต้องร้องเพลง La Vie En Rose ร่วมกันกับมิสซิสแฮริส มีฉากหลังเป็นหอไอเฟลอันมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ไกลๆ

          ต้นข้าวแสดงฉากนี้ได้ดี ถึงแม้ว่าตัวละครจะต้องแต่งให้ดูแก่ เพราะเป็นตัวละครชายที่อยู่ในวัยเกษียณแล้ว หากแต่น้ำเสียงที่สดใส ความตั้งใจ และประกายบางอย่างที่ออกมาจากต้นข้าว ทำให้จิวอมยิ้มและดีใจที่ต้นข้าวกำลังก้าวเข้าไปอยู่ใน 'วงการมายา' อีกขั้นหนึ่งแล้ว

          แต่เมื่อจิวนั่งมองต้นข้าวบนเวทีไปเรื่อยๆ จิวกลับตระหนักถึงความจริงข้อหนึ่งว่า ตนเองกับต้นข้าวเหมือนเริ่มห่างกันไปทุกที ทั้งระยะห่างของรูปแบบการใช้ชีวิต ระยะห่างของความชอบเฉพาะตัว ระยะห่างของเวลาสำหรับคนสองคน

          และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อต้นข้าวยิ่งก้าวสูงเข้าไปใกล้ขอบฟ้า เพื่อให้ถึงดวงดาวอย่างที่ต้นข้าวอยากจะเป็น ทำให้ระยะทางสู่ฝันของคนๆ หนึ่ง กลับเป็นถนนที่ไกลเกินเอื้อมของอีกคนหนึ่ง ที่จิวไม่มีวันจะก้าวเข้าไปเดินเคียงข้างได้เลย

          จิวก้มลงไปมองช่อกุหลาบในมือ แล้วถอนหายใจยาว

          ...............

          เสียงตบมือกึกก้องและยาวนานกว่าทุกรอบดังขึ้น เรียกภวังค์ของจิวให้กลับมาสู่ตัวอีกครั้ง บนเวทีดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย นักแสดงทั้งหมดออกมาโค้งขอบคุณบนเวที ผู้ชมบางส่วนที่เตรียมช่อดอกไม้มา เริ่มกรูกันไปที่หน้าเวทีเพื่อมอบช่อดอกไม้นั้นแก่นักแสดงหรือทีมงานที่ตนเองมาเป็นกำลังใจให้

          จิวลุกขึ้นยืนจากที่นั่งท้ายโรงละคร ในมือประคองจับช่อกุหลาบสีแดงอย่างทะนุถนอม  สายตามองอย่างชื่นชมไปที่ต้นข้าว ในใจนึกยินดีไปกับความสำเร็จครั้งนี้ของคนที่ตนรักด้วย และเริ่มเดินเบียดผู้ชมตรงไปหาที่หน้าเวทีเพื่อจะมอบช่อดอกไม้นี้ให้บ้าง

          ................

          ต้นข้าวหัวเราะอย่างมีความสุขบนเวที เมื่อการแสดงละครจบลง ไฟบนเวทีเปิดส่องสว่าง กระดาษสายรุ้งสีทองถูกโปรยลงมาจากเพดานเวทีเป็นประกายระยิบระยับ วงดนตรีออร์เคสตราหน้าเวทีบรรเลงเพลงจังหวะครึกครื้นส่งท้าย นักแสดงออกมาโค้งขอบคุณหน้าม่าน ต้นข้าวหันไปมองพี่ตุ๊ก ซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลกันในฐานะนักแสดงนำ ส่งยิ้มให้ และพี่ตุ๊กก็หันมายิ้มตอบ รวมทั้งยกนิ้วโป้งชูให้ต้นข้าวด้วย

          ผู้ชมและเพื่อนนักศึกษาในมหาวิทยาลัยมายื่นช่อดอกไม้ให้พี่ตุ๊กและต้นข้าวเป็นจำนวนมาก สองคนสลับกันก้มลงไปรับ ส่งยิ้มให้กัน เมื่อช่อดอกไม้เต็มอ้อมแขนของต้นข้าว พี่ตุ๊กก็เข้ามาช่วยแบ่งช่อดอกไม้จากมือเด็กหนุ่มไปวางเก็บให้หลังเวที แล้วออกมายืนคู่กันรับช่อดอกไม้ใหม่

          มีช่างภาพนับสิบขึ้นมารุมถ่ายรูปนักแสดงบนเวที พี่ตุ๊กดึงมือต้นข้าวเข้ามายืนข้างๆ เพื่อให้ถ่ายรูปด้วยกัน ทั้งสองเอามือโอบหลังกันและกัน ยิ้มกว้าง สายตาสู้แสงแฟลชจากกล้องที่ส่องประกายจ้า เหมือนมันกำลังปล่อยแสงสว่างวาบมาเปิด 'โลกแห่งมายา' อันน่าหลงไหล แม้จะต้องฝืนดวงตาจ้องรับแสงที่แสบแรงของมันก็ตาม

          แต่น่าเสียดายที่ว่าแสงขาวโพลนของแฟลช ได้บดบังภาพแห่ง 'โลกใบเดิม' ในความเป็นจริงตรงหน้าไปเสียสิ้น

          รวมทั้งบดบังภาพของเด็กหนุ่มหน้าตี๋ตัวสูงคนหนึ่งทางด้านล่างเวที ที่ถือช่อดอกกุหลาบสีแดงในมือเก้ๆ กังๆ และหลังจากยืนชะเง้อมองขึ้นไปบนเวทีอยู่นาน หนุ่มหน้าตี๋ก็ตัดสินใจหันหลังเดินจากไปอย่างเงียบๆ ด้วยความเจียมตน หายลับไปที่ทางออกหน้าประตูโรงละคร AUA นั้น

--------------------

          หลังจากโปรเจ็คละครเวทีจบลง ต้นข้าวก็ยุ่งกับเรื่องงานคอนเสิร์ต 'มหกรรมลูกทุ่งสยาม ๒๕๓๔' ที่ไปรับจ๊อบมา ซึ่งมีทั้งการซ้อมของแดนเซอร์ การนัดแนะเรื่องคิวนักแสดงต่างๆ

          ต้นข้าวตั้งใจทำจ๊อบงานลูกทุ่งนี่เป็นอย่างมาก เพราะมันเป็นงานใหญ่ระดับประเทศ หากงานออกมาสำเร็จงดงาม มันก็จะเป็นประวัติที่ดี สามารถใช้อ้างอิงได้เมื่อไปสมัครงานหลังจากเรียนจบ

          ส่วนเหตุผลที่สอง เด็กหนุ่มคิดว่านี่เป็นโอกาสที่จะได้เข้าใกล้ศิลปินและดาราต่างๆ ที่มีชื่อเสียงเป็นจำนวนหลายสิบคนพร้อมๆ กัน เช่น ราชาเพลงโห่ ราชินีลูกทุ่ง ราชาเพลงแหล่ หรือ ราชินีลำตัด รวมทั้งศิลปินแห่งชาติอีกจำนวนมาก

          และเหนือสิ่งอื่นใด คือต้นข้าวคิดว่าการได้เข้าไปจัดงานในเวทีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เป็นการบรรลุความฝันแล้วของงานบนเวที เพราะที่นี่คือสุดยอดของเทคโนโลยีทั้งหลายทั้งปวงที่เกี่ยวข้องกับการแสดง และมันพึ่งก่อสร้างเสร็จและเปิดใช้มายังไม่ถึง ๒ ปี ดังนั้นจึงมีน้อยคนนักที่จะได้เข้าไปสัมผัสที่นี่

--------------------

          และแล้ว พรุ่งนี้จะเป็นวันงานมหกรรมลูกทุ่งสยาม ๒๕๓๔  แต่เช้าวันนี้ต้นข้าวหัวปั่นยังไม่หยุด อารมณ์เสียตั้งแต่เรื่องแดนเซอร์โทรมาที่บ้าน เพื่อต่อรองเรื่องสีของรองเท้าที่จะต้องใส่เต้นเพราะหาไม่ได้ตรงตามกำหนด หรือตัวประกอบโชว์หลายคนมาซ้อมบ่ายวันงานไม่ได้ จะขอซ้อมก่อนเปิดงาน ๑๕ นาทีได้ไหม  หรือช่างแต่งหน้าบางคนจะขอบัตรสต๊าฟเข้าหลังเวทีเพิ่มอีก นั่น นู่น นี่...

          แต่ที่อารมณ์หงุดหงิดมากกว่าสิ่งอื่น คือเช้านี้ต้นข้าวยังติดต่อพี่ตุ๊กไม่ได้ ทั้งๆ ที่นัดกันไว้แล้วว่าเที่ยงๆ วันนี้พี่ตุ๊กจะมาเจอ และมีบางสิ่งจะคุยกับต้นข้าว แต่ยังไม่ได้นัดสถานที่กัน ทำให้เด็กหนุ่มต้องนั่งรอรับโทรศัพท์พี่ตุ๊กก่อน

          ในเมื่อออกจากบ้านยังไม่ได้ ต้นข้าวจึงคิดว่าเตรียมความพร้อมของตัวเองสำหรับงานพรุ่งนี้ก่อนดีกว่า ตั้งแต่เช็คความเรียบร้อยของชุดที่จะต้องใส่ เอกสาร สคริปต์ต่างๆ ไปจนถึงเรื่องบัตรจอดรถของตัวเองที่จะต้องติดไว้ที่หน้ากระจกรถสำหรับขับผ่านเข้าไปจอดในส่วนของทีมงาน แต่ปรากฎว่าต้นข้าวหาบัตรนี้เท่าไรก็ไม่เจอ

          เด็กหนุ่มผู้หัวเสียกับงาน พยายามนึกว่าเอามันไปเก็บไว้ที่ไหน มันเป็นบัตรบางๆ ใบเล็กเท่ากับนามบัตร พิมพ์หมายเลขทะเบียนรถของต้นข้าวและมีลายเซ็นฝ่ายอาคารศูนย์ประชุมฯ บนนั้น บัตรนี้ทางทีมงานมอบให้ไว้เมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา

          ต้นข้าวลองค้นในกระเป๋าทุกใบ จนมาถึงกระเป๋าใส่กล้อง ค้นจนทั่วและถึงกับเททุกสิ่งออกมาดู จึงคิดได้ว่าเคยเทของออกมาแบบนี้แล้วครั้งหนึ่งที่บ้านจิวเร็วๆ นี้

          เด็กหนุ่มยกหูโทรศัพท์หมุนหมายเลขไปที่บ้านจิว

          "ฮัลโหล" เสียงจิวรับสาย

          "วันก่อนนี้ที่ไปถ่ายรูปรองเท้าให้ มีเอกสารอะไรตกอยู่ที่บ้านไหม" ต้นข้าวถาม

          "มี... มีกระดาษใบเล็กๆ หล่นอยู่สองแผ่น เก็บไว้ให้แล้ว" เสียงจิวดูเหนื่อยๆ

          "แล้วทำไมไม่โทรมาบอกว่ามีเอกสารตกอยู่" เสียงต้นข้าวเริ่มแข็งขึ้น

          เสียงพูดทางจิวเงียบไป  ต้นข้าวเลยกรอกเสียงลงไป "ไม่ได้ออกไปไหนใช่ไหม เดี๋ยวจะเข้าไปเอานะ"

          แล้วต้นข้าวก็วางสายลงไปทันทีด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิดมากขึ้น --เออ ลืมของไว้แทนที่จะโทรมาบอก โอ้ย หงุดหงิดโว้ย--

          เด็กหนุ่มหันรีหันขวาง จะเอายังไงดี พี่ตุ๊กก็ยังไม่โทรเข้ามาสักที โทรไปที่บ้านก็ไม่มีคนรับ แต่เรื่องบัตรจอดรถนี่ก็สำคัญ จะไปขอทำใหม่ก็เหมือนคนไม่มีความรับผิดชอบ คิดแล้วจึงตัดสินใจขับรถออกไปบ้านจิวเพื่อไปจัดการเรื่องบัตรจอดรถก่อนดีกว่า

          ระหว่างทางที่ขับรถ ต้นข้าวนึกเรื่องราวต่างๆ ไปตลอดทาง ทั้งเรื่องงานลูกทุ่งในวันพรุ่งนี้ รุ่นพี่ผู้รับงานนี้มาได้ย้ำนักหนาว่าให้ทำออกมาอย่างดีที่สุดและต้องไม่มีอะไรผิดพลาดเลย ซึ่งเรื่องนี้ต้นข้าวและทีมงานทุกคนเข้าใจเป็นอย่างดี

          หนุ่มน้อยนึกจินตนาการต่อไปถึงงานจบ จะต้องได้รับเสียงปรบมืออย่างกึกก้อง ควรจะต้องได้รับคำชื่นชมจากสื่อมวลชนทุกแขนง และงานครั้งนี้จะต้องเป็นตำนานเกียรติยศของเวทีลูกทุ่ง ที่จะถูกเล่าขานและจดจำไปอีกนานแสนนาน

          ต้นข้าวนึกไปถึงตอนเสร็จงานแล้ว และจะมีงานเลี้ยงฉลองทีมงานเบื้องหลัง ต้นข้าวจะควงคู่ไปในงานกับพี่ตุ๊ก ภาพที่เห็นจะต้องออกมางดงามและโดดเด่น ผู้กำกับเวทีหนุ่มอายุน้อยแต่ไฟแรง ควงคู่มากับนายแบบนักแสดงดาวรุ่ง ต้องเรียกแสงแฟลชจากสื่อมวลชนได้มากแน่ๆ หนุ่มน้อยนึกมาถึงตรงนี้แล้วอมยิ้ม

          ...............

          ในความคิดคำนึง และจินตนาการของต้นข้าวในขณะขับรถอยู่ทั้งหมดนี้...ไม่มีเรื่องราวของจิวอยู่ในนั้น


หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๔ : ม่านเวทีที่กำลังปิดลง || หน้า ๑๑ || ๒๔/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 24-03-2017 15:24:59
คนลืมตัว..วัวลืมตีน


ทำได้แค่ต้องปล่อยมันไป
หลงระเริงให้เต็มที่
เมื่อคิดถึงตัว กลัวจะไม่มีตีนเมื่อไร
ก็จะซมซาน เซซังกลับมา

แต่จิวจะรับเหรอ?????

ถ้าเป็นเรา..ไปแล้วอย่ากลับมา
หุหุ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๔ : ม่านเวทีที่กำลังปิดลง || หน้า ๑๑ || ๒๔/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: graciej ที่ 24-03-2017 15:35:59
ไปกันใหญ่แล้วต้นข้าว
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๔ : ม่านเวทีที่กำลังปิดลง || หน้า ๑๑ || ๒๔/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: anandawan ที่ 24-03-2017 16:31:09
ช่วงชีวิตหนึ่งของคน ที่ได้ทำตามความฝันของตัวเอง ฝันแต่ละคนเล็ก ใหญ่ไม่เท่ากัน โอกาสที่จะทำให้ฝันเป็นจริงได้ก็ไม่ได้มาหาทุกคน มีโอกาสก็คว้าไว้ เหมือนต้นข้าวนี่แหละ เข้าใจต้นข้าวนะในเรื่องนี้

แต่นี่มันอะไรกัน เหมือนพึ่งเริ่มนับหนึ่ง ต้นข้าวก็เป็นแบบนี้แล้ว ถ้ามีชื่อเสียงขึ้นมาจะเป็นขนาดไหน จิวทนได้สักเท่าไหร่ ต้นข้าวคงหลงระเริงแสงแฟลชมากมายจนลืมตัว

ไม่เป็นไร เราชอบดราม่า ฮี่ๆๆ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๔ : ม่านเวทีที่กำลังปิดลง || หน้า ๑๑ || ๒๔/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 24-03-2017 16:53:49
ตัวเธอ ไม่น่ารักเลยว่ะ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๔ : ม่านเวทีที่กำลังปิดลง || หน้า ๑๑ || ๒๔/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 24-03-2017 17:04:23
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๔ : ม่านเวทีที่กำลังปิดลง || หน้า ๑๑ || ๒๔/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 24-03-2017 22:45:12
 ทุกคนมีความฝัน เมื่อโอกาสเข้ามาหาก็ต้องคว้าไว้ แต่ต้องแลกกับความห่างจากคนรักนี่ มันได้อย่างต้องเสียอย่างจริงๆ บทเรียนของต้นข้าวมาแล้ว
  รออ่านตอนต่อไปคับ
















หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๔ : ม่านเวทีที่กำลังปิดลง || หน้า ๑๑ || ๒๔/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 27-03-2017 19:48:13
คนลืมตัว..วัวลืมตีน


ทำได้แค่ต้องปล่อยมันไป
หลงระเริงให้เต็มที่
เมื่อคิดถึงตัว กลัวจะไม่มีตีนเมื่อไร
ก็จะซมซาน เซซังกลับมา

แต่จิวจะรับเหรอ?????

ถ้าเป็นเรา..ไปแล้วอย่ากลับมา
หุหุ

= ไม่เห็นแก่ความรักครั้งเก่าของเราสองเลยเหรอฮะ แงๆๆ

ไปกันใหญ่แล้วต้นข้าว

= น่าเสียดายจริงๆ ฮะ อยากจะร้องไห้

ช่วงชีวิตหนึ่งของคน ที่ได้ทำตามความฝันของตัวเอง ฝันแต่ละคนเล็ก ใหญ่ไม่เท่ากัน โอกาสที่จะทำให้ฝันเป็นจริงได้ก็ไม่ได้มาหาทุกคน มีโอกาสก็คว้าไว้ เหมือนต้นข้าวนี่แหละ เข้าใจต้นข้าวนะในเรื่องนี้

แต่นี่มันอะไรกัน เหมือนพึ่งเริ่มนับหนึ่ง ต้นข้าวก็เป็นแบบนี้แล้ว ถ้ามีชื่อเสียงขึ้นมาจะเป็นขนาดไหน จิวทนได้สักเท่าไหร่ ต้นข้าวคงหลงระเริงแสงแฟลชมากมายจนลืมตัว

ไม่เป็นไร เราชอบดราม่า ฮี่ๆๆ

= ที่นี่คือความฝัน คือสรวงสวรรค์อันวิไล นาทีนี้ต้นข้าวคงตามฝันแบบเกาะไม่ปล่อย แต่โชคชะตามักเล่นตลกกับเราเสมอเนอะ

ตัวเธอ ไม่น่ารักเลยว่ะ

= น่าเสียดายจริงๆ สิ่งที่มาบังตามันคือมายาลวงแท้ๆ

:pig4: :pig4: :pig4:

= ขอบคุณมากนะฮะ

ทุกคนมีความฝัน เมื่อโอกาสเข้ามาหาก็ต้องคว้าไว้ แต่ต้องแลกกับความห่างจากคนรักนี่ มันได้อย่างต้องเสียอย่างจริงๆ บทเรียนของต้นข้าวมาแล้ว
  รออ่านตอนต่อไปคับ

= เป็นบทเรียนที่มีราคาแพงจริงๆ

......................

และขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาอ่านนะฮะ

*อีกสองตอน จะจบภาคมหาวิทยาลัยแล้ว


 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๔ : ม่านเวทีที่กำลังปิดลง || หน้า ๑๑ || ๒๔/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 27-03-2017 19:48:44

MBK❤lover


(http://www.bloggang.com/data/k/kampong/picture/1485729585.jpg)


ตอนที่ ๓๕ : วิมานลวง


          จิววางสายโทรศัพท์จากต้นข้าวเสร็จ ก็ถอนหายใจยาว จุดบุหรี่สูบและนั่งเหม่อลอยที่เก้าอี้ข้างโทรศัพท์นั้นอีกนาน จนในที่สุดเขาก็เดินขึ้นไปที่ห้องนอนของตัวเองบนชั้นสองของโรงงาน ซึ่งตอนนี้มีทั้งลังใส่ของ และกระเป๋าเดินทางหลายใบวางเกะกะอยู่ สำหรับเตรียมเก็บของเพื่อจะย้ายไปอยู่บ้านใหม่เร็วๆ นี้

          เขาหยิบช่อกุหลาบบนโต๊ะหัวเตียงขึ้นมา มันเป็นช่อเดียวกับที่สองอาทิตย์ก่อนได้เอาไปที่โรงละคร AUA เพื่อจะมอบให้ต้นข้าวบนเวที แต่ได้เปลี่ยนใจจึงถือกลับมาบ้านด้วย

          ชายหนุ่มยกมันขึ้นมาดู เอามือจับกลีบกุหลาบที่บัดนี้แห้งเฉาโรยราไปแล้วอย่างทะนุถนอม แววตารื้นด้วยน้ำตาขึ้นมาวูบหนึ่งแล้วจางหายไปอย่างรวดเร็ว เขาตัดสินใจเอาช่อกุหลาบนั้นไปวางซ่อนบนหลังตู้เสื้อผ้า เรื่องบางอย่างเมื่อถึงเวลามันจะต้องเป็นไป ก็คงให้มันเป็นไป แต่จะขอเก็บความทรงจำไว้ในพื้นที่ส่วนตัวในซอกลึกสุด

          เขาเดินกลับไปที่ผนังข้างประตูห้องนอน ปลดรูปภาพที่แขวนอยู่ข้างๆ ประตูห้องลงมาดู มันเป็นรูปที่จิวและต้นข้าวเดินอยู่บนรางรถไฟที่สะพานข้ามแม่น้ำแคว  เขาตั้งใจว่าจะเตรียมหาอะไรมาห่อมันไว้ก่อน เพราะเวลาย้ายบ้าน กรอบรูปนี่จะเป็นสิ่งแรกๆ ที่จิวจะต้องรักษาไว้ให้ดีที่สุด เพื่อจะนำมันไปแขวนที่ห้องนอนใหม่

          จิวหันมองซ้ายขวาในห้อง เด็กหนุ่มเห็นว่ากระดาษหนังสือพิมพ์ที่เตรียมมาห่อกรอบรูป ไม่น่าจะพอ คงต้องซ้อนห่อหนาๆ หน่อยเพราะกลัวมันจะกระเทือนแตก เขาเลยตัดสินใจแขวนมันกลับคืนที่เดิมไปก่อน ขณะกำลังแขวนได้ยินเสียงรถยนต์จอดที่หน้าโรงงาน จึงรีบเดินไปเปิดหน้าต่างให้กว้างแล้วชะโงกลงไปมองว่าเป็นรถต้นข้าวหรือเปล่า โดยไม่ทันดูว่ากรอบรูปนั้นถูกแขวนอย่างหมิ่นเหม่บนหัวตะปูที่ผนังห้องนั้น

          เด็กหนุ่มละสายตาจากหน้าต่าง เดินไปเปิดลิ้นชักที่หัวเตียง หยิบกระดาษเล็กๆ สองแผ่นขึ้นมาเตรียมไว้ให้ต้นข้าว มันคือบัตรติดหน้ารถสำหรับจอดที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยแผ่นหนึ่ง และอีกแผ่นเป็นกระดาษโน้ตจดอะไรเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งร่วงปลิวลงมาในวันที่ต้นข้าวเทกระเป๋ากล้องเพื่อหากลักฟิล์มถ่ายรูปเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นต้นข้าวยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องนอนที่เปิดค้างไว้พอดี

          ทั้งสองยืนมองหน้านิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง ไม่ได้โผเข้าหากัน ไม่ได้คิดจะเข้ามากอดกันอย่างคู่รักที่ไม่ได้เจอกันนานๆ จะพึงทำแก่กัน  และท้ายที่สุดจิวเป็นคนเปิดการสนทนาก่อน

          "เป็นยังไงบ้าง ละครเวทีดีไหม"

          ต้นข้าวยักไหล่แล้วตอบสั้นๆ "ก็ดี..."

          จิวจ้องหน้าต้นข้าวนิ่ง แสดงว่าต้นข้าวไม่รู้จริงๆ ว่าจิวก็ได้ไปดูต้นข้าวแสดงที่โรงละครด้วย  จิวเดินไปใกล้ ส่งกระดาษสองแผ่นนั้นให้ต้นข้าว

          "กระดาษที่ลืมตกไว้" จิวพูดไปงั้น เพราะไม่มีอะไรจะพูดต่อ

          "ขอบคุณนะ" ต้นข้าวพูดแบบอารมณ์เรียบๆ เฉยๆ และทำท่าจะหันหลังกลับ

          "เดี๋ยว ต้นข้าว" จิวเรียกต้นข้าวเบาๆ "มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเราหรือเปล่า"

          ต้นข้าวมองหน้าจิว แล้วหลุบตาลงต่ำ "ไม่มีมั้งจิว เรายุ่งน่ะช่วงนี้ รายงานที่มหา'ลัยก็ยุ่ง งานนอกก็เยอะ แถมมีแต่ปัญหา"

          "ไม่ใช่ต้นข้าวไปมีคนใหม่ใช่ไหม" จิวถามต้นข้าวไปตรงๆ

          "ไม่มี!! จะไปมีอะไรที่ไหนล่ะ" เสียงต้นข้าวเปลี่ยนขึ้นมาทันที แววตามีประกายอย่างหนึ่งวูบขึ้นมา "ใครมันมาบอกอะไรอีกล่ะ"

          "ไม่มีใครมาบอกทั้งนั้นแหล่ะ จิวรู้สึกได้เองน่ะ"

          "ก็ดีแล้วนี่..." ต้นข้าวยักไหล่ พูดไว้แบบค้างๆ คาๆ

          จิวจ้องต้นข้าวนิ่งอีก แล้วตัดสินใจถามด้วยความเจ็บปวดใจในทุกคำพูดที่เอ่ยออกมา

          "ช่วงนี้ต้นข้าวอาจจะดูยุ่งๆ ต้นข้าวอาจไม่ค่อยมีเวลาให้จิว ต้นข้าวอยากเป็นอิสระกับชีวิตไหม จะได้ทำตามความฝันให้สำเร็จโดยไม่ต้องพะวงเรื่องของเรา

          ...เราสองคนลองแยกกันสักพักไหม"

          จิวคิดว่าสิ่งที่ดีที่สุดตอนนี้ คือต้องการหายไปจากความเย็นชาและความห่างเหินแบบนี้จากอีกฝ่าย เขารักต้นข้าวมาก และทนไม่ได้กับการเจ็บปวดค้างๆ คาๆ แบบนี้ สู้ปล่อยให้คนที่ตัวเองรักไปทำตามความฝันดีกว่า เด็กหนุ่มจะยังรู้สึกยินดีด้วยมากกว่า และตัวเองจะได้เจ็บน้อยลง

          --การผ่าตัดไปเลย ดีกว่าการค่อยๆ รักษา-- จิวคิด

          จากหน้าต่างห้องที่ยืนอยู่ใกล้ๆ มีลมพัดโชยเข้ามาจนม่านหน้าต่างปลิวสะบัด แต่ไม่ได้ช่วยให้อารมณ์ของคนในห้องดีขึ้น  ต้นข้าวมองตอบจิวด้วยสายตาวาวโรจน์

          "อย่าใช้คำพูดที่ดูดีเลยจิว ไม่ต้องลองแยกกันสักพักหรอก เราแยกกันขาดไปเลยก็แล้วกัน!"

          จิวมองต้นข้าวด้วยสายตาปนกันหลายอย่าง ทั้งผิดหวัง ทั้งเสียใจ กับอีกอารมณ์หนึ่งคือนึกดีใจ ถ้าต้นข้าวจะเป็นอิสระ แล้วสามารถไปตามฝันของตัวเองได้จริงๆ

          ต้นข้าวจ้องหน้าจิวแบบไม่ต้องการคำตอบ และเริ่มหันหลังจะออกประตูห้อง ลมแรงอีกวูบหนึ่งพัดเข้ามาทางหน้าต่างห้องที่เปิดกว้าง  มันพัดไปถึงประตูห้องนอนที่อ้าอยู่  กระแทกปิดเสียงดัง 'ปัง!!' ก่อนที่ต้นข้าวจะทันเดินออกไป

          แรงกระแทกของประตูที่ปิดแบบกระทันหันนั้น กระเทือนไปถึงกรอบรูปที่แขวนอย่างหมิ่นเหม่ รูปคู่ใบแรกของทั้งสอง มันตกลงมาแตกกระจายที่พื้นดังโครม! เพล้ง!!!

          ทั้งต้นข้าวและจิวก้มลงไปมองกรอบรูปที่แตกนั้นอย่างตกตะลึง แล้วต้นข้าวก็หันกลับมามองจิว ยิ้มแสยะด้วยมุมปากข้างหนึ่ง พร้อมกับทำเสียง "หึ หึ..." แล้วหันกลับไปเปิดประตูห้องอีกครั้ง เดินออกไป ปิดประตูเสียงดังกริ๊ก...ที่เบาแต่สั่นคลอนความรู้สึกของจิวผู้ซึ่งมองตามหลังแทบจะทะลุเลยบานประตูนั้นไป ด้วยน้ำตาที่ไหลอาบแก้มโดยปราศจากอาการสะอื้น


--------------------


          ต้นข้าวขับรถออกมาจากบ้านจิวด้วยความคิดที่ว่างเปล่า มันเหมือนชาๆ ในหัวใจ ยังไม่มีความรู้สึกใดๆ ในตอนนี้ เขาเหลือบตามองขึ้นไปที่กระจกหน้ารถ ซึ่งตอนนี้มีบัตรจอดรถของหอประชุมศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยติดไว้เรียบร้อยแล้ว งานสำหรับวันพรุ่งนี้ราบรื่นไปอีกเรื่อง

          ตอนนี้ยังเหลืออีกเรื่องหนึ่งที่คาอยู่ คือเขายังติดต่อพี่ตุ๊กไม่ได้ เพราะพี่ตุ๊กเกริ่นไว้ว่าวันนี้มีสิ่งสำคัญที่จะบอกต้นข้าว เด็กหนุ่มอมยิ้มขึ้นมาเมื่อนึกถึงตรงนี้ พี่ตุ๊กมีอะไรจะบอกหนอ เขานึกไปถึงเรื่องการยืนเคียงคู่กันของต้นข้าวและพี่ตุ๊ก มันไม่มีอะไรให้สงสัยเลย เป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากๆ ระหว่างผู้อยู่เบื้องหลังวงการบันเทิงไฟแรง กับนักแสดงนายแบบหนุ่มรุ่นใหม่ที่น่าจับตามอง เป็นดาวเด่นคนเก่งของมหาวิทยาลัย คิดแค่นี้ก็เหมือนหนทางสู่ดวงดาวเปิดประตูรออยู่ข้างหน้าแล้ว

          เด็กหนุ่มหันหัวรถโตโยต้าสีเหลืองเข้าจอดริมถนนพระรามสี่ แล้วลงจากรถไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะ หยอดเหรียญลงไปแล้วหมุนหมายเลขโทรศัพท์บ้านพี่ตุ๊ก พร้อมทั้งถอนหายใจอย่างโล่งอกที่พี่ตุ๊กเป็นคนรับสายเอง

          "น้องต้นข้าวขับรถมาใช่ไหมครับ น้องต้นข้าวไปรอพี่ที่ร้านอาหาร 'lost&found' ตรงแถวหน้ารามนะครับ ที่เราเคยไปกินด้วยกันมาครั้งหนึ่งแล้วน่ะ น้องต้นข้าวจำได้ไหม"

          เด็กหนุ่มรับคำ และรีบขับรถไปที่ร้านอาหารนั้นตามนัด กว่าจะถึงร้านก็บ่ายแก่ๆ แล้ว ร้าน 'lost&found' เป็นร้านอาหารเล็กๆ อยู่ในตึกแถวขนาดสองห้องละแวกย่านรามคำแหง ตกแต่งอย่างอบอุ่น มีต้นไม้ประดับในร้านดูร่มครึ้มน่าสบาย โต๊ะเก้าอี้เป็นเครื่องหวายทาสีขาว ขายอาหารไทย และไอศกรีม เค้กต่างๆ

          ต้นข้าวสั่งเค้กและกาแฟร้อนมานั่งกินเล่นรอพี่ตุ๊กในร้านตรงมุมเงียบๆ มุมหนึ่งที่ตอนนี้แทบไม่มีลูกค้าในร้านเลย  สักพักพี่ตุ๊กก็เดินเข้ามาในร้านพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่ง พี่ตุ๊กมีใบหน้าที่ไม่รื่นเริงอย่างเคย ต้นข้าวจำผู้หญิงคนนี้ได้แม่น เพราะเธอคือ 'อ้อย' รุ่นน้องนักแสดงแดนเซอร์ที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน แสดงละครเวทีของมหา'ลัยเรื่องที่ผ่านมาด้วยกัน และเป็นคนที่พี่ตุ๊กขอเปลี่ยนตัวไม่ให้แสดงในงานลูกทุ่งที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้

          ทั้งสองลงนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามต้นข้าว อ้อยยกมือขึ้นมาไหว้ต้นข้าวแล้วก้มหน้างุดลงไป พี่ตุ๊กเป็นคนเริ่มการสนทนาขึ้น

          "ที่พี่ชวนน้องต้นข้าวมาวันนี้ เพราะพี่อยากจะขอให้น้องต้นข้าวช่วยอะไรพี่หน่อยครับ"

          ต้นข้าวที่ตอนนี้ใจเต้นแรงขึ้นมา นั่งจ้องหน้าพี่ตุ๊กเหมือนรอฟังสิ่งนั้นอยู่

          "น้องต้นข้าวว่างใช่ไหมครับช่วงเย็นนี้" พี่ตุ๊กเอ่ยด้วยเสียงเบาๆ เหมือนกลัวโต๊ะข้างๆ จะได้ยิน

          "ว่างครับพี่ตุ๊ก" ต้นข้าวตอบ และแอบเหล่ตามองไปที่อ้อยอย่างสงสัย ว่ามาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย

          "คืองี๊ น้องอ้อยเนี่ยเป็นเมียพี่ เรามีอะไรกันแล้ว" พี่ตุ๊กอ้อมๆ แอ้มๆ ตอบ

          ต้นข้าวช็อก! อ้าปากค้างจ้องพี่ตุ๊กและอ้อยสลับกันไป

          "ตั้ง...ตั้ง แต่เมื่อไหร่" ต้นข้าวค่อยๆ ตั้งสติแล้วถามออกไป

          "ตั้งแต่เราเริ่มซ้อมละครมิสซิสแฮริสกันใหม่ๆ น่ะ น้องต้นข้าวโกธรพี่ไหม" พี่ตุ๊กพูดไปก้มหน้าไป

          คราวนี้ต้นข้าวจัดลำดับเหตุการณ์ได้ขึ้นมาทันที มิน่าล่ะ ทุกครั้งที่ต้นข้าวเจอกับพี่ตุ๊กที่ห้องซ้อมละคร ไม่ว่าพี่ตุ๊กจะมีคิวซ้อมหรือไม่มี ก็จะเห็นพี่ตุ๊กอยู่กับกลุ่มพวกแดนเซอร์หญิงเหล่านี้เสมอ

          รวมทั้งงานนอกต่างๆ ที่ได้รับจากต้นข้าว พี่ตุ๊กซึ่งได้ไปร้องเพลงโชว์ จะผลักดันให้ใช้แดนเซอร์หญิงไปเต้นประกอบด้วยทุกงาน อ้อ...ผัวเมียช่วยกันทำงานสินะ มุมปากต้นข้าวเริ่มกระตุก

          "แล้วที่พี่นัดน้องต้นข้าวมาวันนี้ คือว่าพี่...พี่..จะขอยืมเงินต้นข้าวสักแปดพันบาท กับขอยืมรถน้องต้นข้าว ขับพาอ้อยไปทำแท้งที่คลินิกใกล้ๆ นี้เพื่อเอาเด็กออกน่ะ ตอนนี้อ้อยท้องได้สองเดือนแล้ว ส่วนน้องต้นข้าวก็นั่งรอที่ร้านอาหารนี้ก่อน พอพี่ไปส่งอ้อยเสร็จจากคลินิกแล้วพี่จะเอารถมาคืน" เสียงพี่ตุ๊กดังไม่เกินกระซิบ

          วินาทีนั้น ต้นข้าวเหมือนยืนๆ อยู่แล้วล้มฟาดลงไปกับพื้น แถมที่พื้นก็ร้อนเป็นไฟ นี่ยังไม่ทันตกนรกเลย ต้นข้าวก็เหมือนกำลังจะก้าวขาลงไปจุ่มในกระทะทองแดงแล้ว เหงื่อต้นข้าวแตกซิก ใบหน้าเปลี่ยนสีไปมาระหว่างสีแดงกับคล้ำดำ ขนหัวลุกกับสิ่งที่มนุษย์ชายหญิงสองคนผัวเมียนี้กำลังขอร้องกับตัวเอง

          "นรก!" ต้นข้าวแค่นเสียงลอดไรฟันออกมา

          "อะไรนะ น้องต้นข้าวว่าอะไรนะครับ" พี่ตุ๊กดูตกใจทำหน้าเหรอหรา

          "กูบอกว่า นรก! ให้พวกมึงไปลงนรกเถอะ"

          ต้นข้าวตะเบ็งเสียงดัง พนักงานในร้านที่กำลังเบื่อที่ไม่มีลูกค้าและง่วงเหงาหาวนอน ตกใจมาชะเง้อดู

         "น้องต้นข้าว! ทำไมพูดกับพี่แบบนี้" พี่ตุ๊กตกใจลุกขึ้นยืน ส่วนอ้อยก้มหน้าลงไปกับฝ่ามือแล้วร้องไห้

          ต้นข้าวลุกขึ้นมายืนบ้าง มือกำหมัดแน่น รับรู้ได้ถึงความปวดจากการกดของเล็บมือ แล่นพล่านขึ้นไปถึงสมองและหัวใจ

          "ทำไมกูจะพูดไม่ได้ ห่ะ พวกมึงสองตัวเชิญลงไปตกนรกกันเองเถอะ ไม่ต้องมาชวนกูลงไปร่วมกับมึง!!"

          "ไอ้ต้นข้าว!!! ไอ้ตุ๊ด!! มึงไม่ช่วยกูแล้วมึงจะมาด่ากูทำไม ห่ะ มึงนึกว่ากูพิศวาสมึงนักหรือไง" พี่ตุ๊กตะเบ็งเสียงไม่แพ้กัน

          ต้นข้าวคว้าได้แก้วกาแฟร้อนที่วางอยู่ตรงหน้าขึ้นมา สาดไปที่หน้าของพี่ตุ๊ก ควันกรุ่นร้อนจัดของกาแฟลอยตามเป็นสาย แล้วเหวี่ยงแก้วกาแฟเปล่ากลับคืนลงไปที่โต๊ะ มันกระแทกจานรองแก้วแตกออกเป็นสองเสี่ยงดังเพล้ง  ช้อนคนกาแฟกระเด็นขึ้นไปหมุนคว้างกลางอากาศ อ้อยร้องกรี๊ดออกมาทั้งๆ น้ำตาอาบหน้า

          เด็กหนุ่มไม่รอให้เกิดอะไรขึ้นต่อ เดินกระแทกส้นเท้าออกจากร้าน ตรงไปที่รถ ติดเครื่องยนต์และขับออกไปด้วยความรวดเร็ว

          ถ้าหากจะอัดกาแฟพร้อมกันเข้าไปสิบแก้ว หัวใจของต้นข้าวยังไม่เต้นตูมตามขนาดนี้ ในความคิดของต้นข้าวตอนนี้ จับต้นชนปลายอะไรไม่ได้แล้ว สมองมึนงง สับสนปนเปกันไปทุกเรื่อง ทั้งรัก ทั้งแค้น ทั้งความผิดพลาด ความสูญเสีย การถูกดูหมิ่นเกียรติและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ มันมากมายเกินไปแล้ว

          ต้นข้าวเร่งความเร็วรถขึ้นอีกไปทางถนนวิภาวดีรังสิต มีสถานที่เดียวที่จะต้องไป สำหรับคนที่เจ็บปวด และมืดบอดในชีวิตเมื่อยามที่หมดหนทางสำหรับเดินต่อ

          ที่นั่นคือ...บ้านเพื่อน


--------------------

หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๕ : วิมานลวง || หน้า ๑๑ || ๒๗/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: anandawan ที่ 27-03-2017 20:01:39
ฮ่าาา เราสมน้ำหน้าต้นข้าวได้มั้ยอะ

นึกถึงตอนตัวเองจะเลิกกับแฟน แฟนทำแหวนหักครึ่ง ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะเออ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๕ : วิมานลวง || หน้า ๑๑ || ๒๗/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: 4life ที่ 27-03-2017 20:09:30
เเหม ทำเป็นด่าคนอื่นจะทำเเท้ง เเกดีนักหนิอีต้น
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๕ : วิมานลวง || หน้า ๑๑ || ๒๗/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: appattap ที่ 28-03-2017 16:58:03
เสียใจจจ จิวพยายามรักษาความรักไว้ทุกทางแล้ว
ต้นข้าวคนน่ารักไปไหนนน เอะอะเหวี่ยงตลอดดดด
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๕ : วิมานลวง || หน้า ๑๑ || ๒๗/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 28-03-2017 17:07:24
 :3123: :3123: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๕ : วิมานลวง || หน้า ๑๑ || ๒๗/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 28-03-2017 20:29:44
  ทำไมของที่อยู่ใกล้ๆตัวเราๆถึงมองไม่เห็นค่า จะเห็นก็ต่อเมื่อมีปัญหา จะไปบ้านใครน่ะ ทำไมไม่รักจิวแล้วเหรอ
   รอ รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๕ : วิมานลวง || หน้า ๑๑ || ๒๗/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 30-03-2017 13:31:14
ฮ่าาา เราสมน้ำหน้าต้นข้าวได้มั้ยอะ

นึกถึงตอนตัวเองจะเลิกกับแฟน แฟนทำแหวนหักครึ่ง ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะเออ

= น่าสมน้ำหน้าจริงๆ 555+ ทำตัวเองแท้ๆ เนาะ

เเหม ทำเป็นด่าคนอื่นจะทำเเท้ง เเกดีนักหนิอีต้น

= ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหนเนอะ


เสียใจจจ จิวพยายามรักษาความรักไว้ทุกทางแล้ว
ต้นข้าวคนน่ารักไปไหนนน เอะอะเหวี่ยงตลอดดดด

= น่าสงสารจิวจริงๆ ฮะ และหวังว่าต้นข้าวคนเดิมคงจะกลับมาเนอะ จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นคงจะเรียนรู้ได้แล้ว

:3123: :3123: :pig4: :pig4:

= ขอบคุณมากๆ นะฮะ


  ทำไมของที่อยู่ใกล้ๆตัวเราๆถึงมองไม่เห็นค่า จะเห็นก็ต่อเมื่อมีปัญหา จะไปบ้านใครน่ะ ทำไมไม่รักจิวแล้วเหรอ
   รอ รออ่านตอนต่อไปคับ

= นั่นสิฮะ มีเพชรเม็ดงามอยู่ในมือแท้ๆ

..................

 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๕ : วิมานลวง || หน้า ๑๑ || ๒๗/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 30-03-2017 13:33:00

MBK❤lover


(http://www.bloggang.com/data/k/kampong/picture/1485729585.jpg)


ตอนที่ ๓๖ : รถด่วนขบวนสุดท้าย


          พริกเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ 'คิดยังไง...คิดให้ต่าง' ของนักเขียนต่างประเทศรุ่นเก่าที่กำลังอ่าน เมื่อได้ยินเสียงรถมาจอดหน้าบ้าน และไม่นานเกินรอ เจ้าของรถก็มายืนอยู่หน้ารั้วบ้านแล้ว

          "ต้นข้าว" พริกอุทานออกมา "ไปไงมาไงกันนี่ ไม่บอกไม่กล่าว มาๆ เข้ามาก่อน"

          ต้นข้าวเดินมึนๆ เข้ามาในบ้านพริกโดยไม่พูดไม่จาใดๆ พอถึงโต๊ะในบ้านก็นั่งแหมะลงไป เอาศอกเท้าโต๊ะและเอามือทั้งสองขึ้นไปกุมหัว

          ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบสองทุ่มแล้ว กว่าต้นข้าวจะมาถึงบ้านพริกที่ถนนลาดปลาเค้า ก็ขับหลงหลายรอบ เพราะความที่ใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทำให้ต้องเลี้ยวกลับรถหลายต่อหลายตลบ

          บ้านพริกเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวในซอยค่อนข้างลึก ในบ้านมีต้นไม้ใหญ่หลายต้นร่มครึ้ม บรรยากาศเงียบเพราะเป็นหลังสุดท้ายก้นซอย ทว่าในบ้านเปิดไฟสีเหลืองนวลทั้งบ้านทำให้ดูอบอุ่น ไม่ได้ดูอ้างว้างแม้ว่าจะมีพริกอยู่บ้านเพียงคนเดียวตอนนี้

          "เป็นอะไรไปวะ ต้นข้าว" พริกนั่งจ้องต้นข้าวที่นั่งเอามือกุมหัวอยู่นาน จนต้องเอ่ยปากถาม "หรือเธอรู้เรื่องเอกแล้ว ?"

          คราวนี้ต้นข้าวเงยหน้าขึ้นมามองพริกอย่างสงสัย และเปิดปากพูดเป็นประโยคแรกตั้งแต่เข้าบ้านมา "เรื่องเอก ? ทำไม เอกมันเป็นอะไรอีก"

          "อ้าว นึกว่าเธอรู้แล้วและจะมาคุยกันเรื่องนี้ที่บ้านชั้นนะนี่" พริกลดเสียงพูดลง

          "...เอก ตายแล้วนะ"

          ต้นข้าวผู้ซึ่งไม่ได้พร้อมที่จะรับฟังเรื่องเลวร้ายอะไรใหม่ๆ อีกแล้ว แล้วจู่ๆ พริกก็พูดเรื่อง 'เอก ศักดิ์สิทธิ์' เพื่อนสนิทที่เรียนด้วยกันกับต้นข้าวตั้งแต่มัธยมจนมาถึงมหา'ลัย มาตายปุบปับแบบนี้อีก ตอนนี้ต้นข้าวมีสภาพหน้าตาเหมือนคนโดนโลกทับใว้ทั้งใบ ใต้ตาเหี่ยวย่น ปากซีดเซียวอ้าเผยอ เหมือนคนตกใจอะไรตลอดเวลา มันเกือบจะมีอาการพะงาบๆ อยู่รอมร่อแล้ว ดูน่าสมเพชเวทนา

          "พอพ่อแม่ของเอกเห็นว่ามันป่วยหนัก หมอเมืองไทยบอกว่าไวรัสที่เรียกกันว่า HIV ตัวนี้ยังไม่มียารักษา เลยส่งไปรักษาที่อเมริกา แล้วจู่ๆ มันก็ปอดติดเชื้อ แล้วตายเมื่อวานนี้ที่โรงพยาบาลในอเมริกานั่น ชั้นโทรไปถามข่าวที่บ้านเอกมา ถึงได้รู้เนี่ย"

          พริกก็ไม่ทันคิดอะไร ไหนๆ เกริ่นขึ้นมาเลยพูดให้หมด แต่พอยิ่งพูดไป เริ่มเห็นต้นข้าวที่ทำหน้าเหมือนจะเป็นคนป่วยระดับโคม่าที่ต้องหามขึ้นรถหวอนำส่งโรงพยาบาลซะเอง

          สำหรับต้นข้าวแล้ว วันนี้มันสาหัสจริงๆ เรื่องของจิว มันเหมือนโดนฉีดยาชาวางยาสลบ มันอึ้งๆ พูดอะไรไม่ออก หัวใจไร้ความรู้สึกไปชั่วขณะ ส่วนเรื่องพี่ตุ๊ก เหมือนโดนมีดผ่าตัดมาชำแหละหัวใจสดๆ แล้วพอมาเจอเรื่องเพื่อนตาย อันนี้ใจหายเหมือนวิญญาณที่เหลืออยู่น้อยนิดแทบจะปลิดปลิว

          "เฮ้ย ต้นข้าว เธอเป็นอะไร ไหวไหมนี่..." พริกเข้ามาเขย่าๆ ตัวต้นข้าว เอามืออังหน้าผาก

          "ตัวก็ไม่ร้อนนี่ ใจเย็นๆ นะเธอ รอแป็บนะ ชั้นไปเอาน้ำอุ่นๆ มาให้เธอกิน นั่งนิ่งๆก่อนนะ"

          พริกเอามือแตะหลังต้นข้าวเบาๆ แล้วเดินไปหลังบ้าน ในใจนึกว่า --นี่ชั้นพูดเรื่องนี้ผิดเวลาหรือเปล่าหว่า มันเป็นอะไรของมัน หรือทะเลาะกับจิวมา--

          หลังจากพริกเอาน้ำอุ่นมาให้ต้นข้าวจิบ และนั่งใจเย็นรอให้ต้นข้าวสบายใจขึ้น เลิกเอามือกุมหัว จนกระทั่งต้นข้าวเริ่มเปิดปากเล่าในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดวันนี้ ตั้งแต่เรื่องของจิว ไปจนถึงเรื่องของพี่ตุ๊ก

          .................

          "จัญไรแท้" พริกด่าออกมาเมื่อฟังเรื่องของพี่ตุ๊กจบลง "มันหลอกใช้เราเป็นบันไดตะกายดาวมาตลอดเลยนะนั่น ดีแล้วล่ะ จบๆ มันไปเถอะ ไม่ต้องไปคิดเรื่องของมันอีกต่อไป ไม่มีค่าอะไรให้จดจำ แล้วคราวหน้าคราวหลังก็อย่าเผลอใจกับเรื่องแบบนี้อีกนะ"

          "ส่วนเรื่องของจิว เฮ้อ..." พริกถอนหายใจยาว "จริงๆ เรื่องนี้มันก็เป็นเรื่องของคนสองคนที่จะทำความเข้าใจกันเนอะ ชั้นก็ไม่ควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวบางเรื่อง และไม่กล้าแนะนำอะไรกับเธอหรอก เพราะถ้าแนะนำไป บทจะเลิกกัน ชั้นก็เป็นบ่างช่างยุ หรือถ้ากลับมาคืนดีกัน ชั้นก็จะกลายเป็นหมา

          เอาเป็นว่าชั้นเคารพในการตัดสินใจของเธอ แต่ไหนๆ เธอก็เล่าแล้ว และเรื่องมันก็มาขนาดนี้แล้ว ชั้นก็ขอสารภาพอะไรอย่างหนึ่งกับเธอหน่อยแล้วกัน"

          "ยังมีอะไรที่เราไม่รู้เหรอ" ต้นข้าวเลิกคิ้วถาม สภาพหน้าตาที่บิดเบี้ยวจากความทุกข์ระทมตอนมาถึงบ้านใหม่ๆ เริ่มทุเลาลงบ้างแล้วหลังจากได้ระบายออกมา

          "จิวได้มาดูเธอแสดงละครเวทีมิสซิสแฮริสนะต้นข้าว ชั้นแอบโทรไปชวนจิวมาเองแหล่ะ ก่อนหน้านั้นไม่ใช่เพราะจิวไม่อยากมา แต่เขาต้องไปต่างจังหวัด และกลับมาทันดูรอบสุดท้ายพอดี ชั้นเป็นคนฝากตั๋วไว้ให้เองแหล่ะ แต่ชั้นเองก็ไม่ได้เจอจิววันนั้นนะ มัวแต่ยุ่งหลังเวที"

          ต้นข่าวเงียบอึ้งไป ไม่ได้พูดอะไรออกมา

          "จิวเค้ารักเธอมากนะต้นข้าว...วันนั้นชั้นก็เลยจัดให้ ชั้นอยากให้จิวมาเห็นในวันที่เธอทำอะไรสักอย่างออกมาสำเร็จตามฝันน่ะ ความสำเร็จก็เหมือนสายลม..." พริกพูดพร้อมกับทอดสายตาออกไปที่สวนข้างบ้านนอกหน้าต่าง

          ต้นข้าวหันไปมองหน้าพริกแบบ งงๆ ในคำสุดท้ายที่พริกพูดออกมา "คืออะไร ความสำเร็จก็เหมือนสายลม ?"

          "ก็คนเรานี่ไง เวลาทำอะไรสำเร็จไม่ว่าจะเป็นร้อยเป็นพันเรื่อง ได้ขึ้นรับถ้วย รับโล่ รับเสียงตบมือขนาดไหนก็ตาม ความสำเร็จนั้นก็เหมือนสายลม มันจะพัดผ่านเลยไป ยกเว้นแต่ว่าเรามีคนที่เรารักสักคนหนึ่ง อยู่เป็นกำลังใจเคียงข้างเรา และเราก็อุทิศความสำเร็จนี้ให้เขา นั่นแหล่ะ เราถึงจะรู้ว่าผลงานนั้นมันเสียงดังก้องและยิ่งใหญ่มหาศาลขนาดไหน"

          ................

          "ดีขึ้นแล้วนะเธอ" พริกถามต้นข้าว เมื่อเวลาผ่านไปอีกเกือบชั่วโมง

          "อืม ดีขึ้นมากแล้ว ได้ระบายออกไปบ้าง ขอบใจเธอมากนะอีงู"

          "ไม่เป็นไรหรอกเราเพื่อนกัน แต่มันน่าจะดีกว่านี้นะ ถ้าพรุ่งนี้เธอไปทำงานใหญ่ โดยมีชั้น มีจิว มีเอก ไปนั่งตบมือให้กำลังใจเธอตอนจบงานอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันน่ะ"

          "นั่นสินะ แต่มันคงเป็นไปไม่ได้แล้วล่ะ" ต้นข้าวพูดอย่างปลงๆ

          "เราไม่มีทางรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันข้างหน้า ถ้าเรายังมีโอกาส เราควรทำสิ่งๆ ดีๆ และบอกรักคนที่เรารักบ้างเนอะ ก่อนที่จะไม่มีโอกาสบอกเหมือนกับ...เอก..." พริกมีสีหน้าที่เศร้าสลดลง

          ต้นข้าวหันไปมองหน้าพริก "ขอบใจจริงๆ นะอีงู เรารักเธอนะ เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด"

          "ชั้นก็รักเธอ เพื่อน" พริกหันมายิ้มกว้างให้ต้นข้าว "ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พรุ่งนี้เธอต้องทำงานมหกรรมลูกทุ่งสยามนี้ให้ออกมาดีที่สุด อย่าให้อะไรมากวนใจเธอ 'The show must go on'  ถ้าเธอยังเจ็บปวดใจจนเดินไม่ไหว ก็ให้คลานไป ถ้าเธอคลานไม่ไหว ให้กลิ้งไป ถ้ากลิ้งไปไม่ไหว ให้บอกชั้น ชั้นจะหามเธอไปเอง เพราะ การแสดงยังต้องดำเนินต่อไป"

          ต้นข้าวยิ้มให้พริก อีกฝ่ายก็ยิ้มตอบ และมองตากันด้วยความเข้าใจ พร้อมทั้งพูดทิ้งท้ายก่อนส่งเด็กหนุ่มคนเก่งขับรถกลับบ้าน

          "แต่อย่างน้อย เธอก็สำเร็จไปขั้นหนึ่งแล้วล่ะต้นข้าว ตั้งแต่เธอมาบ้านชั้นคืนนี้ เล่าทุกอย่างให้ชั้นฟัง ชั้นยังไม่เห็นน้ำตาเธอสักหยด เธอเป็นคนใจแข็งมากนะ ชั้นนับถือหัวใจเธอจริงๆ เธอต้องทำงานพรุ่งนี้ให้สุดพลังเลยนะ"


--------------------


งานมหกรรมลูกทุ่งสยาม ๒๕๓๔
หอประชุมใหญ่
ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย


          วันที่ต้นข้าวรอและตั้งใจทำก็มาถึง เขาไปถึงศูนย์วัฒนธรรมตั้งแต่ ๙ โมงเช้า เพื่อประชุมลูกน้องทีมงานในส่วนของการกำกับเวที รับบรีฟจากโปรดิวเซอร์ เตรียมห้องแต่งตัวศิลปินและนักร้องต่างๆ ดูความพร้อมของอาหารและเครื่องดื่มทีมงาน ช่างแต่งหน้า-ทำผม

          กว่าจะประชุมและการเตรียมงานเสร็จในส่วนด้านหลังเวทีก็เป็นเวลาเย็นแล้ว ต้นข้าวเดินขึ้นมายืนมองบนหอประชุมใหญ่ของศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทยนี้ ตอนนี้มันยังโล่ง เพราะยังไม่เปิดประตูให้ผู้ชมเข้ามา มีเพียงพนักงานทำความสะอาดสองสามคนกำลังดูดฝุ่นพื้นพรมอยู่

          ต้นข้าวเดินเข้าไปใกล้หน้าเวที ตอนนี้มีผ้าม่านผืนมหึมาปิดอยู่ มันเป็นผ้าม่านปักลายที่งดงามวิจิตรมาก ออกแบบร่างโดยศิลปินแห่งชาติท่านหนึ่ง ลวดลายที่เห็นเป็นภาพของพระพุทธเจ้า ท่ามกลางองค์เทพและเทวดาล้อมรอบเต็มทั้งผืน


(http://cdn-th.tunwalai.net/files/member/440179/496797334-member.jpg)


          ผ้าม่านผืนนี้ผืนเดียวมีมูลค่าสูงถึง ๒๗ ล้านบาท! ต้องส่งไปทอและปักลายที่ประเทศญี่ปุ่น เพราะในเมืองไทยยังไม่มีเครื่องทอผ้าชิ้นเดียวที่มีขนาดใหญ่มากโดยไร้รอยต่อแบบนี้ได้ รวมทั้งเทคนิคการปักลายที่วิจิตรพิสดารอลังการเช่นนี้

          หนุ่มน้อยยิ้มให้กับผ้าม่านผืนงาม นี่สินะ ความฝันตั้งแต่เด็กๆ ของเขา ที่ต้องการจะเข้ามาเปิดม่านแห่งโลกมายาใบนี้ ต้นข้าวเดินมาไกลจากความฝันหลังโรงงิ้วและโรงลิเกที่สร้างจากไม้ไผ่ในงานวัดไปมากแล้ว

          ไฟบนเพดานเริ่มหรี่ลง ประตูทางเข้าหอประชุมถูกเปิดออก แขกผู้มีเกียรติและคนในวงการเริ่มทยอยเข้าประจำที่นั่ง

          ...................

          "สแตนด์บายเพลงเปิดม่าน  ห้า - สี่ - สาม - สอง - ไป..."

          เสียงโปรดิวเซอร์สั่งเข้ามาในวิทยุสื่อสารของระดับหัวหน้าทุกฝ่าย  เพลงเปิดเวทีเริ่มบรรเลง ผ้าม่านผืนใหญ่อันวิจิตรค่อยๆ เลื่อนเปิดขึ้นไปด้านบน เผยให้เห็นเวทีที่ตกแต่งใน Theme ท้องทุ่งนาที่เปรียบเหมือนโลกแห่งเสียงเพลงลูกทุ่ง

          การแสดงบนเวทีเริ่มขึ้นแล้ว ศิลปินเพลงลูกทุ่ง ๔๐ ชีวิตที่มีชื่อเสียงทั่วประเทศมารวมตัวกันบนเวทีนี้ ทุกเพศ ทุกวัยตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงรุ่นเก่า มีทุกสมญานาม

          ต้นข้าววิ่งวุ่นอยู่หลังเวที ควบคุมลูกน้องที่เป็น Backstage ให้จัดการคิวของนักร้อง และแดนเซอร์ หรือตัวประกอบให้เป็นไปอย่างราบรื่น บางคนใช้ไมค์ลอย บางคนใช้ไมค์มีสาย บางคนต้องมีขาตั้งไมค์

          บางศิลปิน ออกไปหน้าเวทีด้วยทางออกประตูซ้ายขวาปกติ บางคนเข้าซ้ายแต่ต้องออกขวา บางศิลปินก็ต้องขึ้นมาบนเวทีด้วยลิฟท์ไฮดรอลิค แล้วแต่สคริปต์ที่กำหนดไว้

          ...................

          งานดำเนินไปแล้วเกินครึ่งทาง  ต้นข้าวเดินสั่งลูกน้องไปรอบๆ หลังเวทีอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ต้นข้าวส่งยิ้มให้กับศิลปินเพลงลูกทุ่งที่กำลังโด่งดังมาก คือ 'ราชินีลูกทุ่งคนปัจจุบัน' ซึ่งเป็นที่น่าเศร้าว่าในขณะนั้นเธอกำลังเป็นโรคเอสแอลอี หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง ต้นข้าวช่วยดูความเรียบร้อยของเสื้อผ้าให้ ก่อนที่รุ่นน้องสต๊าฟจะพาเธอไปเตรียมตัวขึ้นเวที

          อีกแค่ไม่กี่เพลงงานก็จะจบลง ต้นข้าวเดินสวนและยิ้มให้กับนักร้องลูกทุ่งหญิงผู้ได้รับสมญานามว่า 'นักร้องขวัญใจลูกทุ่งเมืองย่าโม' ที่พึ่งร้องเพลงเสร็จกำลังกลับเข้าหลังเวที

          และยกมือสวัสดีกับศิลปินรุ่นใหญ่ 'แม่เพลงพื้นบ้านและเพลงอีแซว' รวมทั้งรับไมค์ที่ร้องเสร็จมาจาก 'นักร้องลูกทุ่งหญิงมหาบัณฑิตคนแรกของไทย' และ 'นักร้องสาวเสียงพิณแหบเสน่ห์ลูกคอเก้าชั้น' ฯลฯ

          ................

          ในความวุ่นวายของห้องแต่งตัวหลังเวทีนั้น ต้นข้าวสังเกตเห็นศิลปินเพลงลูกทุ่งสูงอายุท่านหนึ่งกำลังนั่งหวีผมอยู่เงียบๆ คนเดียว ไม่ได้มีพี่เลี้ยงหรือช่างทำผมมาช่วย พอเดินเข้าไปดูใกล้ๆ จึงเห็นว่าเป็นนักร้องระดับที่แฟนเพลงทุกคนเรียก 'คุณป้า' หรือ 'คุณแม่' ในสมญานามที่รู้จักกันทั้งประเทศว่า 'ราชินีลูกทุ่งคนแรกของไทย'

          ต้นข้าวยืนมองอยู่สักครู่ อยู่ๆ ก็รู้สึกดีและศรัทธาในบุคลิกที่เรียบง่ายของคนที่ได้สมญานามที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น อีกทั้งเห็นว่านี่เป็นคิวสุดท้ายแล้ว ไม่มีสิ่งอื่นต้องทำต่อ จึงบอกรุ่นน้องสต๊าฟที่กำลังจะพาศิลปินสูงอายุท่านนี้ลงไปที่ลิฟท์ไฮดรอลิคชั้นล่าง ว่าตนเองจะเป็นผู้ปล่อยคิวคนนี้ให้แทน

          ต้นข้าวเข้าไปแนะนำตัวว่าเป็นสต๊าฟ และเดินพาคุณป้านักร้องลงไปที่ลิฟท์ไฮดรอลิค หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า 'เวทียก' ซึ่งอยู่ด้านล่างใต้เวทีใหญ่ของหอประชุม

          มันมีลักษณะเหมือนลิฟท์โดยสารที่เลื่อนจากชั้นใต้ดินขึ้นไปที่เวที มันโล่งๆ ไม่มีผนังกั้นทั้งสี่ด้าน ไม่มีประตูปิด มีเพียงแค่พื้นยกสูงขึ้นมานิดหน่อย ส่วนด้านบนเพดานที่อยู่เหนือขึ้นไปเป็นหลุมช่องว่างขนาดเดียวกัน และเมื่อไฮดรอลิคทำงาน ศิลปินจะถูกยกลอยขึ้นไปปรากฏตัวที่กลางเวทีข้างบนอย่างยิ่งใหญ่เลยทีเดียว

          ต้นข้าวจูงคุณป้าให้ไปยืนรอที่จุดนั้น  เด็กหนุ่มส่งไมค์ลอยให้คุณป้า ส่วนตัวเองยกวิทยุสื่อสารขึ้นมาแนบหู เพื่อรอฟังคำสั่งจากโปรดิวเซอร์ที่ห้องคอนโทรลด้านนอก

          คิวของเพลงนี้ที่ต้นข้าวจะต้องปล่อยคือ โปรดิวเซอร์จะให้สัญญาณดนตรีบรรเลง แล้วศิลปินจะร้องเพลงหนึ่งท่อนที่ชั้นใต้ดินนี้ก่อน ผู้ชมจะยังไม่เห็นตัว จนเข้าเนื้อเพลงท่อนที่สอง เขาจึงจะกดปุ่มไฮดรอลิคเพื่อส่งศิลปินท่านนี้ขึ้นไปที่กลางเวที

          ต้นข้าวสังเกตว่าตัวคุณป้าค่อนข้างจะสั่น มือที่จับไมค์ลอยนั้นไม่มั่นคง จับเปลี่ยนสลับมือไปมา ไหล่ห่อ งองุ้ม และยืนยุกยิกอย่างไม่มั่นใจในตัวเอง มีสีหน้าที่กังวลใจ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปมองหลุมพื้นเวทีด้านบนบ่อยครั้ง ซึ่งตอนนี้มีศิลปินคนหนึ่งกำลังร้องเพลงอยู่ แต่มองไม่เห็นตัวเพราะต้องยืนอยู่ให้ห่างจากหลุมนี้ เห็นแต่แสงไฟบนเวทีวูบไปวูบมาในบางช่วง

          "ป้าตื่นเต้นจัง" ศิลปินท่านนั้นเอ่ยขึ้นกับต้นข้าว

          เด็กหนุ่มไม่เชื่อหูตัวเองเมื่อได้ยินคำนี้ออกมาจากปากของผู้ที่ได้ชื่อเรียกขานกันทั้งประเทศว่า 'ราชินีลูกทุ่งคนแรกของไทย' เพราะมองจากอายุที่มาก และประสบการณ์ในการอยู่บนเวทีของศิลปินท่านนี้แล้ว เขาคิดไปเองว่ามันควรจะต้องไม่มีการตื่นเต้นแล้วสินะ หรือคุณป้าจะกลัวการขึ้นไฮดรอลิค

          "ทำไมคุณป้าตื่นเต้นล่ะครับ" ต้นข้าวออกปากถามไป

          คุณป้ายิ้มน้อยๆ ก่อนตอบ

          "ป้าตื่นเต้นทุกครั้งที่ขึ้นเวที" เธอพูดเสร็จก็ก้มลงมองชายเสื้อและเอามือจับๆ อย่างไม่รู้จะเอามือไปวางตรงไหน

          "ป้าตั้งใจร้องเพลงมาก จนตื่นเต้นทุกครั้งตอนกำลังจะเริ่มร้อง สามีของป้าคงตั้งใจดูป้าอยู่ ป้าไม่อยากทำให้เขาผิดหวัง"

          "อ้อ ดีจัง สามีคุณป้ามาด้วยหรือครับ นั่งอยู่ไกลไหมครับ" ต้นข้าวได้ยินเหตุผลที่น่ารักแบบนั้นก็ยิ้มออกมา

          "ไม่หรอกค่ะ...สามีของป้าเสียไปนานแล้ว เขาคงมองป้าอยู่จาก 'ข้างบน' ป้าจะนึกถึงเขาทุกครั้งที่ร้องเพลงค่ะ "

          คุณป้ายิ้ม และเงยหน้ามองขึ้นไปเหนือหลุมพื้นเวทีอีกครั้งหนึ่ง มันสามารถมองสูงขึ้นไปได้ถึงเพดานของหอประชุม ที่ตอนนี้มีไฟส่องเวทีหลากสีแขวนอยู่ ดูจากสายตาเธอแล้ว คงมองเลยทะลุสูงขึ้นไปอีก อาจถึงบนฟ้า...

          ต้นข้าวชะงัก อึ้ง และนิ่งไป

          เสียงโปรดิวเซอร์สั่งผ่านวิทยุสื่อสารให้เตรียมตัว ตอนนี้เสียงเพลงข้างบนเมื่อสักครู่จบลงไปแล้ว มีเสียงพิธีกรกำลังพูดเข้าเพลงต่อไปคือเพลง "ด่วนพิศวาส"

          "สแตนด์บายเพลงด่วนพิศวาส  ห้า - สี่ - สาม - สอง..ไป" เสียงโปรดิวเซอร์สั่ง

          เสียงวงออร์เคสตราเริ่มบรรเลงดนตรี มีเสียงเอฟเฟคหวูดรถไฟเปิดดังยาว

          "หวูดดดด!!"

          คุณป้าที่เมื่อสักครู่ยืนยุกยิกๆ อย่างไม่มั่นใจ แต่ทันทีที่ดนตรีขึ้น เธอกลับยืนสงบตัวตรง วางขาสองข้างอย่างมั่นคง ลำคอยืดตั้งขึ้น สายตามองนิ่งแน่วแน่ไปข้างหน้า เหมือนมองเลยผ่านต้นข้าวไปอีกไกลแสนไกล มือยกไมค์โครโฟนขึ้นมารอพร้อมที่จะร้อง สีหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างประหลาด ไม่มีภาพของคุณป้าที่ตัวสั่นกังวลและตื่นเต้นเหมือนตอนแรกอีกเลยแม้แต่น้อย

          ต้นข้าวมองเห็นราศีของความเป็น 'ราชินีลูกทุ่งคนแรกของไทย' พุ่งออกมา  เด็กหนุ่มขนลุกซู่ นี่สินะคือ The show must go on ไม่ว่าจะมีสิ่งมากระทบอย่างไร การแสดงต้องดำเนินต่อไป

          "เสียง...รถด่วนขบวนสุดท้าย
          แว่วดังฟังแล้วใจหาย
          หัวใจน้องนี้แทบขาด"


          ..............

          เสียงอันทรงพลังและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของศิลปินเพลงท่านนี้ ร้องประโยคนี้ต่อหน้าต้นข้าวคนเดียว...เพียงคนเดียว! เพราะมีแต่เขาเท่านั้นที่ยืนประจันหน้ากับเธอตรงชั้นใต้ดินนี้ ต้นข้าวรับรู้ได้ถึงเสียงพิเศษอันมหัศจรรย์ที่ครองใจคนอย่างยาวนานมาแล้วทั่วประเทศ

          และบัดนี้ เพลงนี้ มันกำลังเริ่มสะกิดใจต้นข้าวให้นึกถึง 'อะไร' บางอย่างที่เกือบจะลืมเลือนไป ภาพของรถไฟ ภาพของจิว เริ่มสลับกันเข้ามาในสมอง

          เมื่อจบเพลงท่อนนั้น ต้นข้าวกดปุ่มไฮดรอลิคเพื่อยกศิลปินขึ้นไปกลางเวที เด็กหนุ่มแหงนมองตามคุณป้าที่เริ่มลอยขึ้นไป จนพื้นเวทียกไปปิดสนิทกับเวทีข้างบน แสดงว่าศิลปินถึงกลางเวทีและปรากฏตัวกับผู้ชมในหอประชุมแล้ว เสียงปรบมือดังสนั่นหวั่นไหวลงมาถึงชั้นใต้ดินที่เขายืนแหงนมองอยู่

          เสียงร้องเพลงท่อนต่อไปดังลอดลงมาถึงข้างล่าง

          "พี่จ๋าลาแล้ว
          น้องแก้วต้องจำนิราศ
          ดั่งถูกสายฟ้าฟาด
          หัวใจน้องจะขาดแล้ว"


          ................

          ประโยคหนึ่งในคำพูดเมื่อสักครู่นี้ของคุณป้ายังก้องในหูต้นข้าว

          ---เขาคงมองป้าอยู่จาก 'ข้างบน' ป้าจะนึกถึงเขาทุกครั้งที่ร้องเพลงค่ะ---

          เด็กหนุ่มพึ่งสำนึกตัวเองได้เดี๋ยวนี้ แล้วตัวต้นข้าวล่ะ ใครคือแรงบันดาลใจ และเป็นกำลังใจที่จะต้องนึกถึงในการลงมือทำสิ่งต่างๆ

          ความสำเร็จจะไม่มีคุณค่าเลย ถ้าเราไม่มีใครสักคนที่เรารัก และพร้อมจะอุทิศรางวัลจากผลงานอันยิ่งใหญ่ให้

          "หัวใจสั่นหวิว
          เมื่อต้องลมฉิวพัดแผ่ว
          เสียงหวูดรถดังแว่ว
          ฟังแล้วมันบาดใจ"


          ...............

          เด็กหนุ่มหวนรำลึกไปถึงเรื่องราวเมื่อนานแสนนานมาแล้ว มีเด็กชายวัยรุ่นสองคนกำลังหัวเราะอย่างเบิกบานอยู่บนรถไฟเหาะในสวนสนุกแดนเนรมิต ในมือของต้นข้าวมีน้ำตาลสายไหมสีหวานที่จิวซื้อให้ และมีฉากหลังเป็นปราสาทในเทพนิยาย

          และครั้งหนึ่งกลางแดดยามบ่ายในจังหวัดกาญจนบุรี มีหนุ่มน้อยสองคนเดินเคียงคู่กันบนรางรถไฟที่สะพานข้ามแม่น้ำแคว มือทั้งสองเกี่ยวก้อยกัน มีเงาทอดยาวเป็นรูปหัวใจ เสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังลั่น ราวกับว่าโลกทั้งใบนี้มีกันอยู่เพียงสองคน

          ต้นข้าวนึกไปถึงตอนตัวเองกับจิวกอดกันแน่นบนขอบสะพานเหล็ก ขณะที่รถไฟเปิดหวูดดังสนั่นหวั่นไหว แล่นสะเทือนผ่านด้านหลังเป็นขบวนยาวเหยียด จิวกอดต้นข้าวไว้ และต้นข้าวเอามือปิดหูให้จิว ริมฝีปากทั้งสองแทบจะแตะกัน สัมผัสได้ถึงไอร้อนจากลมหายใจ

          ตอนนี้ต้นข้าวไม่สามารถมองอะไรเห็นในชั้นใต้ดินนี่แล้ว เพราะน้ำตาเอ่อขึ้นมา กลบเต็มสองลูกตา แล้วค่อยๆ หยาดไหลลงมาที่แก้ม         

          "พี่จ๋าน้องขอลาก่อน
          ลาแล้วเคหาห้องนอน
          ที่เคยพักผ่อนอาศัย
          น้องเป็นผู้แพ้
          แพ้รักสุดหักห้ามใจ"


          ..............

          เขานึกไปถึงเช้าที่สดใสวันหนึ่ง ที่ตนเองไปรอรับจิวซึ่งกำลังกลับจากแก่งคอย ที่สถานีรถไฟหัวลำโพง ด้วยความตื่นเต้น ด้วยความเป็นห่วง ด้วยการอยากขอโทษ และด้วยความ 'คิดถึง' อย่างสุดหัวใจ จนได้รับอุบัติเหตุจากรถไฟครั้งนั้น ซึ่งจิวก็มาดูแลต้นข้าวที่บ้านทุกวันจนหายดี

          ต้นข้าวเริ่มสะอื้นหนักขึ้น เสียงสะอึกและลมหายใจติดขัดพาให้แข้งขาอ่อนเหมือนคนสิ้นแรง ต้องทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าที่พื้น น้ำตาไหลเป็นสายไม่หยุด เขาวางวิทยุสื่อสารลงกับพื้นพร้อมกับทิ้งกระดาษสคริปต์งานที่อยู่ในมือ

          "เสียงรถด่วนขบวนสุดท้าย
          บอกเตือนเหมือนกำหนดหมาย
          หยาดน้ำตาไหลนองหน้า"


          ..............

          น้ำตาต้นข้าวแทบจะเป็นสายเลือด กับการที่ได้สูญเสียสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตไปแล้ว  มันแทบจะเรียกร้องให้กลับคืนมาไม่ได้  ไม่ต้องไปหวังถึงวันที่จะได้รับการให้อภัย... มันไม่มีทางมาถึง

          เสียงสะอื้นเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ สติสุดท้ายของต้นข้าว หวนนึกถึงคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับจิวในค่ำวันหนึ่งหน้าห้างมาบุญครอง แต่แล้วตัวต้นข้าวเองกลับเป็นคนทำลายมันให้แตกสลายลงไปในวันที่อารมณ์กระเจิดกระเจิงและหลงผิด

          สองมือต้นข้าวที่ยึดกับพื้นขณะทรุดนั่งเริ่มสั่นระริก เด็กหนุ่มสะอื้นอย่างแรงจนตัวโยน

          "ขออำลาแล้ว ดวงแก้วมณีล้ำค่า
          หากว่าแม้นชาติหน้า
          มีจริงค่อยเจอกัน"


          ..............

          เสียงเพลงจากราชินีลูกทุ่งคนแรกของไทยร้องจบประโยคสุดท้าย ผ้าม่านบนเวทีผืนมหึมาที่ปักลายวิจิตรก็เลื่อนปิดลงมา เป็นสัญลักษณ์ว่าการแสดงสิ้นสุดลง ผู้ชมกว่า ๒,๐๐๐ คนพร้อมใจกันลุกขึ้นยืนและปรบมืออย่างกึกก้องยาวนานไปทั้งหอประชุมศูนย์วัฒนธรรมแห่งนี้

          ความสำเร็จของงาน 'มหกรรมลูกทุ่งสยาม ๒๕๓๔' กลายเป็นตำนานที่ถูกเล่าขานในวงการลูกทุ่งไปอีกหลายสิบปี

          และลึกลงไปที่ชั้นใต้ดินของเวที หลังจากเสียงปรบมือจางลง ต้นข้าวผู้ซึ่งเหมือนคนไร้เรี่ยวแรง โดดเดี่ยว และพ่ายแพ้ต่อจิตใจของตัวเอง ก็หมดสติล้มฟาดลงไปคว่ำหน้าแน่นิ่งอยู่ที่พื้นข้างเครื่องไฮดรอลิคนั้น



--- จบภาค มหาวิทยาลัย ---



--------------------


หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๖ : รถด่วนขบวนสุดท้าย || หน้า ๑๑ || ๓๐/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 30-03-2017 14:36:11
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๖ : รถด่วนขบวนสุดท้าย || หน้า ๑๑ || ๓๐/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 30-03-2017 15:42:35
 :o12: :o12:

เราเศร้าาาา โป้งคนเขียนเลย
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๖ : รถด่วนขบวนสุดท้าย || หน้า ๑๑ || ๓๐/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 30-03-2017 16:32:01
  ต้นข้าวหนอต้นข้าว เสียใจจนสลบไปเลย ยังไม่สายที่จะเริ่มใหม่กับจิวนะ บทเรียนต้องรู้
 
 ตอนใหม่จะมาเมื่อไหร่คับผู้แต่ง อยากอ่านไวๆ



หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๖ : รถด่วนขบวนสุดท้าย || หน้า ๑๑ || ๓๐/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 30-03-2017 17:03:29
 :L1: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๖ : รถด่วนขบวนสุดท้าย || หน้า ๑๑ || ๓๐/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: anandawan ที่ 30-03-2017 21:25:14
จิว ย้ายบ้านหนีไปเล้ยย
หัวข้อ: Re: MBK lover || ตอนที่ ๓๖ : รถด่วนขบวนสุดท้าย || หน้า ๑๑ || ๓๐/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 03-04-2017 14:46:04
โอ๊ยยย น้ำตาซึมเลยย เหมือนชีวิตตัวเองบางส่วน คนเราเหมือเจอสิ่งใหม่ใจก็เปลี่ยนไม่สนใจคนที่เคยยืนอยู่ข้างๆ บางเลยย :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๖ : รถด่วนขบวนสุดท้าย || หน้า ๑๑ || ๓๐/๐๓/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 08-04-2017 05:44:46

MBK❤lover


(http://www.bloggang.com/data/k/kampong/picture/1485729585.jpg)


--- ภาควัยทำงาน ---


ตอนที่ ๓๗ : I will survive - ฉันต้องรอด



          "เฮ้ย! ใครมานอนตายอยู่หน้าไฮดรอลิคนี่...โว้ย...ช่วยด้วยยยยย"

          เสียงดังโวยวายของชายหนุ่มคนหนึ่ง พูดเสียงลิ้นแบๆ แบบบอกยี่ห้อว่าไม่ใช่คนไทย ร้องสนั่นไปทั่วโรงงานนี้ และมีชายหนุ่มอีกคนวิ่งหน้าตั้งตามเข้ามาอย่างไว และทำท่าจะเข้ามายกร่างที่นอนนิ่งอยู่

          แต่ร่างที่ถูกโวยว่านอนตาย ก็กลับค่อยๆ เงยหัวขึ้นมาจากใต้ไฮดรอลิค ร่างนั้นเปลือยครึ่งท่อน ทำตาเหลือกไปเหลือกมา ถ้าเป็นตอนกลางคืนคงมีใครวิ่งป่าราบแน่

          "ข้าเอง! เอ็งจะร้องโวยวายหาพระแสงอะไรวะ" คนพูดทำหน้างงๆ วงหน้ามีแววว่าหล่อเหลา คม ดูเป็นตี๋ใหญ่ที่น่าอบอุ่น แต่ตอนนี้เลอะมอมไปด้วยคราบน้ำมันเครื่อง มองจ้องไปที่หนุ่มสองคนที่ตื่นเต้นโวยวายอยู่

          "เสี่ยจิว!!!" หนุ่มสองคนร้องประสานเสียงออกมาพร้อมๆ กัน

          "เออ ข้าเอง นึกว่าผีหรือไงวะ" คนถูกเรียกว่าเสี่ยจิวค่อยๆ ชันตัวขึ้นมานั่งกอดเข่าอยู่หน้ารถไฮดรอลิคสำหรับยกของเล็กๆ มือข้างหนึ่งยังถือประแจเหล็กที่ซ่อมเครื่องจักรค้างอยู่

          "เห็นคนลงไปแก้ผ้านอนกองอยู่ หัวหายไปใต้เครื่อง ผมก็นึกว่าใครมาถูกข่มขืนตายตรงนี้" ชายหนุ่มคนแรกเกาหัวแกรกๆ "แล้วเสี่ยลงไปทำอะไรใต้นั้นล่ะ ทำไมไม่เรียกพวกผมมาดู"

          "เรียกเอ็งมาดู? ไอ้จอซูเอ้ย เอ็งจะทำเครื่องข้าพังซ้ำอีกล่ะสิ ระบบมันติดขัด เอ็งซ่อมเป็นหรือไง"

          "ไม่เป็นครับนาย" ไอ้จอซูตอบอ่อยๆ

          "ไม่เป็นก็อย่ามาสาระแน ไปโว้ย พวกเอ็งจะไปทำอะไรก็ไป ทั้งไอ้จอซู ทั้งไอ้มินเดืองห์ ข้าเครียดจะตายห่าอยู่แล้ว" เสี่ยจิวปัดมือไล่สองคนนี้ให้ออกไปพ้นๆ

          สิ้นเสียง ทั้งจอซู และมินเดืองห์ก็แผ่นแผล่วลับตัวออกไปจากโกดังเก็บของทันทีอย่างรู้ใจรู้อารมณ์เจ้านายของตัวดี

          เสี่ยจิวมองตาม ส่ายหัว แล้วค่อยๆ ยกตัวขึ้นยืน ชายหนุ่มอายุ ๓๒ ปี แต่ดูเหมือนจะเป็นคนที่ดูแลตนเองดี อีกทั้งเจ้าตัวเป็นคนผิวขาวจัดจึงดูอ่อนเยาว์กว่าวัยจริง

          ตอนนี้ชายหนุ่มกำลังยกแขนเอาผ้าขนหนูสีขาวขึ้นมายกซับเหงื่อที่หลังคอ ในสภาพที่ไม่ได้สวมเสื้อ ทำให้เห็นกล้ามท้องเป็นลอนๆ หน้าอกกว้าง และเห็นกล้ามแขนเป็นลูกกล้ามน้อยๆ แต่ชัดเจนแบบคนทำงานหนัก ไม่ใช่กล้ามโอเวอร์แบบคนที่เล่นยิม เหงื่อเกาะพราวไปทั้งร่าง

          ชายหนุ่มโยนผ้าขนหนูพาดไว้ที่ราวข้างเครื่องไฮดรอลิค แล้วหยิบเสื้อกล้ามที่ถอดพาดไว้ขึ้นมาสวมแทน ก้าวยาวๆ ไปยังห้องทำงานข้างๆ โกดังนั้น

          มันเป็นห้องทำงานที่ไม่ใหญ่มาก ไม่ได้ดูหรูหราแต่ก็น่านั่งสบาย ติดแอร์เย็น เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งห้องใช้ไม้สักอย่างดี มีโซฟารับแขกอยู่มุมหนึ่งของห้อง และตรงข้ามเป็นโต๊ะทำงานที่มีเอกสารข้าวของอยู่รก แต่มีสิ่งหนึ่งที่ดูทันสมัยตั้งเด่นอยู่บนโต๊ะ นั่นคือคอมพิวเตอร์ ฮิวเลตต์-แพคการ์ด เครื่องหนึ่ง

          ชายหนุ่มคือเจ้าของโรงงานรองเท้า T-Star ที่คนในโรงงาน รวมทั้งคนในละแวกบ้านแถวพุทธมณฑลสายสองนี่เรียกเขาว่า "เสี่ยจิว" หรือไม่ก็ "เสี่ยสมนึก" แล้วแต่ว่าจะติดต่อกันในลักษณะไหน

          เสี่ยจิวย้ายบ้านมาที่โรงงานแห่งนี้ได้สิบปีแล้ว อันที่จริงไม่ใช่ย้ายครั้งเดียวมานี่หรอก ก่อนหน้านี้เมื่อสิบปีก่อน การก่อสร้างโรงงานนี้ติดขัด เปิดไม่ได้ตามกำหนด แต่ทางบ้านเสี่ยจิวจำเป็นต้องย้ายออกจากสี่แยกบ้านแขกก่อน เพราะบอกขายไปแล้ว จึงต้องย้ายทั้งโรงงานไปอยู่ชั่วคราวที่ อ.นครชัยศรี นครปฐม อยู่สักเจ็ดแปดเดือน ถึงจะย้ายอีกครั้งมาที่พุทธมณฑลสายสองนี่ และช่วงย้ายครั้งนั้น ป๊าของเขาซึ่งป่วยกระเสาะกระแสะอยู่ก็เสียชีวิตลง ทำให้เขาซึ่งเป็นลูกชายคนเดียวต้องสืบทอดต่อ

          ในช่วง พ.ศ. ๒๕๓๕ จนถึง ๒๕๔๒ มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องการสื่อสารในเมืองไทยขนานใหญ่ ตั้งแต่การเปลี่ยนจากจำนวนหมายเลขโทรศัพท์บ้านจากเดิม ๖ ตัว มาเป็น ๗ ตัว และมาเพิ่มรหัสเขตเข้าไปอีกทีหลังกลายเป็นเลข ๙ ตัว รวมทั้งมีช่วงหนึ่งที่หมายเลขโทรศัพท์ในกรุงเทพฯ ขาดแคลน และมาซ้ำอีกด้วยการเปลี่ยนระบบของโทรศัพท์จากแบบหมุนหมายเลข มาเป็นระบบกดแป้นหมายเลขแทน

          รวมทั้งการเข้ามาของโทรศัพท์มือถือรุ่นแรกๆ ทำให้โฉมหน้าของการติดต่อสื่อสารของไทยเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง สมุดโทรศัพท์หน้าเหลืองแทบจะพิมพ์เปลี่ยนระบบไม่ทัน ทำให้การติดต่อสื่อสารขาดช่วงไปบ้าง  เสี่ยจิวเอง ก็ขาดการติดต่อกับเพื่อนเก่าๆ ไปทั้งหมด ติดต่อได้แต่กับกลุ่มคู่ค้า และลูกค้าที่ต้องติดต่อกันทุกวันเท่านั้น

          นึกมาถึงตรงนี้เขาได้ยินเสียงกุกกักหน้าห้องทำงาน จึงเงยมองไปเห็นเจ้าหนุ่มจอซู มาเคาะประตูหน้าห้องทำงานที่ไม่ได้งับประตูปิดไว้ดังแก๊กๆ ในมือกำลังประคองถาดเครื่องดื่มและของกินเล่นเข้ามาให้เขา

          เจ้าจอซู และมินเดืองห์ สองหนุ่มจากประเทศเพื่อนบ้านข้างเคียง เสี่ยจิวเอามาเป็นผู้ช่วยเขาในโรงงาน ชายหนุ่มชวนทั้งสองมาจากนครชัยศรี และจริงๆ แล้วสองคนนี่ คือคนในอดีตที่ครั้งหนึ่งตอนเสี่ยจิวยังวัยรุ่น ไปนั่งเล่นริมแม่น้ำนครชัยศรี และแอบเห็นวัยรุ่นชายพม่าสองคนมีอะไรกันริมแม่น้ำกลางวันแสกๆ ทำให้ชายหนุ่มเกิดอารมณ์ด้วย จนต้องช่วยตัวเองตามไปในครั้งนั้น

          สองคนนั้น คือจอซูและมินเดืองห์ในวันนี้นี่เอง หากแต่สองคนนี่ไม่ได้มีอะไรด้วยกันแล้ว มันเป็นแค่ความอยากลองของชีวิตวัยรุ่นเท่านั้น ส่วนในปัจจุบันมันทั้งสองก็อายุเข้าไปเกือบ ๓๐ แล้ว มันเหมือนเป็นพี่น้อง เหมือนเพื่อน และบางเวลาก็ต่อยตีกันด้วยซ้ำ จอซูตัวสูงใหญ่กว่า หน้าตาดีกว่า ส่วนมินเดืองห์เตี้ยกว่าหน่อย หน้าตาพื้นๆ ทั่วไป และมักมีแป้งทานาคา (ตะนัดคา) ประเป็นลายพร้อยที่แก้มสองข้างอยู่เสมอ

          .................

          "มีอะไรกินบ้างวะไอ้จอซู" เสี่ยจิวถาม

          จอซูเอาถาดวางลงบนโต๊ะ เอามือกวาดๆ เอกสารรกๆ บนโต๊ะไปกองข้างหนึ่งโดยไม่แคร์สายตาเจ้าของโต๊ะที่มองตามอย่างขวางๆ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร

          "น้ำมะนาวปั่น กับลูกชิ้นชุบแป้งทอดครับเสี่ย ป้าคนขายเข็นรถผ่านหน้าโรงงานพอดี นานๆ เจอที เลยซื้อมาให้เสี่ยครับ" จอซูพูดไปก็ลำเลียงของออกจากถาดวางบนโต๊ะทำงานของเขา

          ชายหนุ่มมองตามจานที่กำลังถูกวางบนโต๊ะ แล้วเงยหน้าขึ้นมองเจ้าจอซูนิ่งๆ ไม่ได้พูดอะไร เจ้านั่นพอเห็นเจ้านายเฉยๆ ก็คิดว่าถูกใจแล้ว จึงหันหลังเดินออกจากห้องไป

          เสี่ยจิวนั่งเหม่อมองจานลูกชิ้นชุบแป้งทอดอยู่นิ่งๆ สักพัก แล้วหยิบมันขึ้นมาไม้หนึ่ง ชูขึ้นมองตรงหน้า ใจหวนนึกไปถึงเรื่องราวครั้งหนึ่งที่นานแสนนานมาแล้ว มีใครคนหนึ่งที่ชอบกินลูกชิ้นชุบแป้งทอดนี่หนักหนา ใครคนนั้นที่เขาไม่ได้เจอ และไม่ได้ติดต่อกันมาสิบปีเต็มนี่แล้ว แต่ไม่เคยที่จะลืมเลือนไปจากหัวใจเลย นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เขามุ่งมั่นทำงานอย่างหนัก และครองตัวเป็นโสดมาจนทุกวันนี้ เหมือนรอคอยอะไรสักอย่าง

          เสี่ยจิวส่งลูกชิ้นใส่ปากไปลูกหนึ่ง เคี้ยวๆ กลืนลงไป แล้วมองลูกชิ้นที่เหลือ พร้อมกับเผลอเรียกชื่อใครคนนั้นที่อยู่ในความคิดคำนึงออกมา...

--------------------

          "คุณข้าวคะ"

          เลขาฯ และผู้ช่วยงานสารพัดอย่างเรียกชื่อมาจากหน้าห้องที่เขานั่งทำงานอยู่

          คุณข้าวเงยหน้าขึ้นจากสมุดโทรศัพท์หน้าเหลือง ที่เขากำลังพยายามหารายชื่อลูกค้าเก่าเมื่อห้าหกปีที่แล้ว แต่หาเท่าไรก็ไม่เจอ หมายเลขโทรศัพท์และหมวดหมู่มันเปลี่ยนไปหมด ทำให้เขาหงุดหงิด แล้วเอ่ยตอบไป

          "ว่าไงอัญชุลี"

          "คุณสมชาย โทรมาถามว่างานพิธีเปิดตึกใหม่ตรงรัชดาฯ อยากให้คุณข้าวจัดงานให้อลังการแบบงานปิดสวนสนุกแดนเนรมิตเมื่อปีที่แล้วได้ไหมคะ แกไปงานนั้นมาแล้วชอบมาก"

          คุณข้าวทำตามองบนแรง เอามือขยี้หัวตัวเองจนผมยุ่งลงมารุ่ยร่ายที่หน้าผาก มันดูกระเซิง แต่ปอยผมที่ตกลงมาปรกหน้าทำให้ใบหน้าที่หล่อเหลานั้นดูอ่อนเยาว์ลงกว่าอายุ ๓๒ ที่แท้จริง

          "โอยยย บ้าป่าว นั่นมันงานปิดกิจการ แล้วนี่จะเปิดตึกใหม่ จะให้ทำแบบงานนั้นได้ไง โว้ยยย ตรูล่ะกลุ้ม!!"

          คุณข้าวเอามือสองข้างวางบนโต๊ะทำงาน หายใจแรง มองเขม็งไปที่หน้าห้อง ทำท่าเหมือนเสือที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อ  ทำให้อัญชุลีเลขาฯ ทำคอย่นทีหนึ่ง แล้วรีบผลุบหายกลับไปที่โต๊ะทำงานตัวเองทันที

          --อยากจะบ้าตาย--

          ชายหนุ่มรำพึงกับตัวเองเบาๆ  ตั้งแต่เขาเปิดบริษัท "สมใจนึก ออร์กาไนซ์ แอนด์ โมเดลลิ่ง" มาสิบปีเต็มจนถึงวันนี้ ณ ปี พ.ศ. ๒๕๔๔ นี่ ไม่เคยเลยที่จะว่างเว้นจากการได้เจอลูกค้าที่มีความต้องการแปลกๆ บางครั้งก็พิศดารเกินเสียจนเขาไม่กล้ารับงาน แต่ถ้างานไหนมันแปลกแต่ท้าทายรูปแบบใหม่ๆ เขาก็ยินดีทำ เพราะเป็นการพัฒนาตนเองด้วย

          แต่ความแปลกของงาน บางทีก็เกือบทำให้เขาแทบไปไม่รอด เช่นเมื่อสองปีที่แล้ว ไปรับงานอีเว้นท์เปิดตัวศาลเจ้าใหม่ที่ยิ่งใหญ่ระดับจังหวัดๆ หนึ่ง ผู้จัดอยากได้ธูปปลอมใหญ่ๆ สูงเกินสิบเมตร หนักเป็นตัน ทั้งหมดสามแท่งมาตั้งหน้างาน ชายหนุ่มเถียงกันอยู่นาน แต่เจ้าของงานจะเอาให้ได้ ปรากฎว่าวันงานธูปนั้นถล่มลงมาทับคนที่มาเที่ยวงาน!! ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ! ชายหนุ่มแทบจะเอาหัวมุดลงไปในธูปแท่งนั้นแก้ความอับอาย แถมยังต้องเทียวขึ้นลงสถานีตำรวจเพื่อเคลียร์คดีเรื่องคนเจ็บอีกหลายรอบ

          แล้วนี่อะไรอีกนี่ คุณสมชายเจ้าของตึกที่รัชดาฯ จะให้เขาไปจัดงานเปิดตึกใหม่ที่จำหน่ายอุปกรณ์อิเลคโทรนิค แต่กลับจะเอางานแบบ 'แดนเนรมิต ฉันจะคิดถึงเธอ' ที่เป็นงานปิดกิจการสวนสนุกอย่างถาวร เพราะที่ดินหมดสัญญานั้น มันเป็นเรื่องเดียวกันที่ไหนเนี่ย!!

          ชายหนุ่มเอามือขยี้หัวอีกครั้งหนึ่ง แล้วตะโกนเรียกอัญชุลี ให้เข้ามาหาใหม่

          "คะ? คุณข้าว" อัญชุลีโผล่แต่หน้าเข้ามาครึ่งเดียว อีกครึ่งแอบหลังบานประตู เพราะเดาใจเจ้านายไม่ออก ยังไงซะก็เตรียมทางหนีทีไล่ไว้ก่อนดีกว่า

          "ไอ้กบ มันกลับมาหรือยังนี่ ใช้ให้ไปซื้ออะไรมากินตั้งนานแล้ว หายหัวไปไหนของมัน" คุณข้าวถาม หรี่ตามองอัญชุลีที่โผล่หัวมาครึ่งเดียว

          อัญชุลีหันไปมองด้านหลัง แล้วรีบพูดเสียงร้อนรน "อ้อ มาแล้วค่ะ คุณกบมาแล้ว"

          อัญชุลีเรียกกบว่า 'คุณกบ' เพราะจริงๆ กบก็เหมือนญาติห่างๆ ของคุณข้าวที่มาทำงานด้วยที่บริษัท ในตำแหน่ง 'เจเนอรัล-เบ๊' คือมั่วมันไปซะทุกเรื่อง ซึ่งก็ไม่มีใครถือสาอะไร แม้แต่คุณข้าวเอง แต่ไม่แน่ใจว่ารวมถึงวันนี้ด้วยหรือเปล่า...

          อัญชุลีหลีกทางอย่างหวาดๆ ให้กบเดินผ่านเข้าไปในห้อง และตัวเองก็แนบหัวแอบฟังอยู่อย่างนั้น

          "มาแล้ว มาแล้ว" เสียงกบเริงร่านำเข้าไปก่อน โดยไม่ได้ดูหน้าของคุณข้าว ว่าอยู่ในอารมณ์ไหน

          "มาแล้วเหรอ ไอ้ตัวดี ไหน ของกินของข้า" ชายหนุ่มถาม ตาจ้องไอ้กบเขม็ง

          "ไม่มี ไม่มีของกิน ได้แต่ไอ้นี่มา" กบพูด พลางหยิบลอตเตอรี่ ๒ ใบ วางตรงหน้าคุณข้าว ท่ามกลางลูกตาที่แทบถลนของอัญชุลีที่แอบดูอยู่หน้าห้อง

          "ลอตเตอรี่!!! มันคืออะไร ข้าบอกเอ็งให้ไปซื้อลูกชิ้นชุบแป้งทอดมาให้กิน แล้วนี่??" เสียงคุณข้าวตะเบ็งสูงขึ้น อัญชุลีหลับตาปี๋อยู่หลังประตู

          "อ้าว ก็พี่ข้าว เอ๊ย คุณข้าวบอกว่า ไปซื้อลูกชิ้นชุบแป้งทอดมาให้กินหน่อย ถ้าไม่มีให้ซื้ออะไรมาแทนก็ได้" ไอ้กบเล่าฉอดๆ

          ตอนนี้ ดวงตาคุณข้าวเบิ่งโตเกือบเท่าไข่ห่าน อัญชุลีค่อยๆ เอื้อมมือไปปิดประตูห้องช้าๆ

          "ทีนี้ลูกชิ้นชุบแป้งทอดไม่มีขาย กบก็เลยซื้อลอตเตอรี่มาให้คุณข้าวอย่างที่บอก ว่าซื้ออะไรมาแทนก็ได้อะ" กบคนซื่อ เล่าตาใสแจ๋ว

          อัญชุลีปิดประตูห้องลงอย่างคนรู้งาน เพราะกลัวลูกหลงอะไรที่จะเขวี้ยงออกมาโดน พร้อมๆ กับเสียงตะโกนแว๊กๆๆ ของกบ ดังลอดออกมา เหมือนโดนบีบคอหรืออะไรสักอย่าง

          ...............

          อีกห้านาทีต่อมา อัญชุลีก็โดนเรียกกลับเข้าไปในห้องคุณข้าวอีกครั้ง ทีแรกก็เดินเข้าไปอย่างหวาดๆ แล้วก็ต้องถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อเห็นคุณข้าวกำลังจัดเอกสารเรียงบนโต๊ะ เหมือนพร้อมจะเลิกงานแล้วสำหรับเย็นนี้ ส่วนกบ นั่งอยู่บนโซฟาอ่านการ์ตูน และผิวปากหงิงๆ เหตุการณ์ทุกอย่างกลับเป็นปกติ เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเลยในห้องนี้

          "เตรียมรถไว้นะอัญชุลี เดี๋ยวออกไปกินข้าวกัน แล้วเลยไปหาอะไรดื่มกันหน่อย หัวจะระเบิดแล้ว เครียดโว้ย ของกินเล่นรองท้องก็ไม่มี" ประโยคหลังเขาบุ้ยหน้าไปที่ไอ้กบ

          "ค่ะคุณ" อัญชุลีรับคำ แบบคนที่อยู่กันมานาน และเข้าใจถึงอารมณ์ลักปิดลักเปิดของคุณข้าวแบบนี้มานานนม  เธอเป็นพนักงานรุ่นแรกตั้งแต่ชายหนุ่มก่อตั้งบริษัทนี้มาเมื่อสิบปีที่แล้ว อายุอ่อนกว่าคุณข้าว ๑ ปี และเป็นสาวโสดขาลุย หน้าตาเวลาแต่งจัดๆ ก็สวยเฉี่ยว ไว้ผมทรงบ๊อบเท ไม่เกี่ยงงาน บ้านก็อยู่ใกล้ๆ แถวนี้ด้วย

          เลขาฯ เดินออกไปจัดของในเบาะหลังรถอัลฟ่าโรมิโอของคุณข้าวที่จอดหน้าออฟฟิต ที่นี่เป็นทั้งออฟฟิตและชั้นบนเป็นบ้านของคุณข้าวในตัวด้วย เขาย้ายมาเมื่อเกือบสิบปีก่อน มันอยู่บนถนนแจ้งวัฒนะเหมือนเดิม หากถัดจากซอยบ้านเก่ามาหลายซอย แต่เพราะเป็นบ้านเดี่ยวอยู่ริมถนนและมีที่จอดรถเยอะ จึงสะดวกต่อการติดต่องานต่างๆ มากกว่าบ้านเก่า

          ส่วนบ้านเดิมนั้นขายไปแล้ว เพราะพ่อของเขาต้องย้ายไปรับตำแหน่งใหญ่ที่ต่างจังหวัดก่อนเกษียณ โดยแม่ของเขาตามไปกับพ่อด้วย เขาจึงอยู่บ้านใหม่คนเดียว และภายหลังจึงมีไอ้กบ ซึ่งเป็นญาติรุ่นน้อง อายุ ๒๗ ปี มาอยู่เป็นเพื่อนและช่วยวิ่งงานไปในตัว ถึงมันจะไม่ค่อยเอาไหน แต่ก็ยังถือว่ามีเพื่อนอยู่ดูแลบ้านด้วยกัน แถมเวลาหอบหิ้วติดสอยห้อยตามไปพบลูกค้า มันก็ดูโอเค เพราะไอ้กบก็จัดว่าเป็นหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งเหมือนกัน

          ...............

          หลังอาหารเย็นแถวถนนงามวงศ์วาน เวลาก็เข้าไปเกือบสองทุ่มแล้ว คุณข้าวสั่งให้ไอ้กบขับรถไปเรื่อยๆ เพื่อจะหาร้านเหล้าหรืออะไรสักอย่างนั่งดื่มแก้เซ็งจากเรื่องงาน แต่ตอนนี้รถก็ยังติดอยู่ เพราะเป็นคืนวันศุกร์ แถมถนนเหลือเลนเดียว เขาจึงนั่งเบื่อๆ ที่เบาะหลัง เอาหน้าแนบกระจก

          "มีเทปเพลงอะไรฟังบ้างนี่ในรถ" ชายหนุ่มถามลอยๆ

          "มีแต่เทปที่อัดไว้สำหรับซ้อมงานเลี้ยงของคุณหญิงอุ่นเรือนค่ะ"

          อัญชุลีตอบ หลังจากพลิกดูเทปคาสเซ็ตในมือไปมา คุณหญิงอุ่นเรือนคือลูกค้าคนหนึ่งที่มักให้งานคุณข้าวไปจัดบ่อยๆ แนวๆ งานคุณหญิงคุณนายในห้องจัดเลี้ยงโรงแรมหรู

          "อื่อ เปิดมาฟังซิ" เขาพูดแบบเบื่อๆ สายตาไม่ได้ละจากการมองเหม่อไปนอกกระจกรถ

          --แกร๊ก-- เสียงดันเทปเข้าไปในช่อง แล้วเพลง I will survive ของ Gloria Gaynor ก็ดังขึ้น

          "At first I was afraid
          I was petrified
          Kept thinking I could never live
          Without you by my side

          ตอนแรกฉันก็กลัวๆ
          รู้สึกหวาดหวั่นใจ
          คิดว่าตัวเองคงอยู่ไม่ได้แน่
          หากไม่มีเธอข้างกายแล้ว"


          ................

          ชายหนุ่มอมยิ้มให้กระจกรถ จริงสินะ เมื่อสิบปีที่แล้วเขาเกือบจะตายจริงๆ จากเรื่องราวของความรักตอนนั้น

          "Weren’t you the one
          who tried to hurt me
          with goodbye
          Did you think I’d crumble
          Did you think I’d lay down and die
          Oh no, not I

          I will survive

          ไม่ใช่เธอหรอกเหรอ
          ที่ทำร้ายฉันด้วยการบอกลา
          คิดล่ะสิว่าฉันจะย่ำแย่
          คิดใช่ปะว่าฉันจะทรุดลง และตายไป
          หึหึ...นั่นไม่ใช่ฉันหรอก

          ฉันต้องรอด"


          ...............

          ด้วยกำลังใจอันแข็งแกร่งของเขาเอง รวมทั้งความรักจากครอบครัว จากเพื่อนรอบข้าง ทำให้ 'ต้นข้าว' ในวันนั้น กลับลุกขึ้นมายืนและเติบโตในหน้าที่การงาน จนกลายมาเป็น 'คุณข้าวคนเก่ง' ที่คนในวงการเรียกขานอย่างทุกวันนี้ได้

          และจากความผิดพลาดในอดีต ชายหนุ่มไม่เคยหลงกล หรือไปเผลอใจให้ใครอีก ทั้งๆ ที่ต้องอยู่ในวงการมายา ท่ามกลางนายแบบรูปหล่อที่ต้องการไต่เต้า บทเรียนในอดีตเมื่อสิบปีที่แล้วมันรุนแรงฝังใจ จนเขาไม่เคยพลาดกับใครอีกเลย และยังเป็นโสดจนทุกวันนี้

          "Oh as long as i know how to love
          I know I will stay alive
          I’ve got all my life to live
          I’ve got all my love to give
          And I’ll survive

          I will survive

          ตราบใดที่ฉันรู้วิธีการรัก
          ฉันรู้ว่าฉันจะอยู่ได้
          ฉันมีชีวิตที่ต้องใช้
          ฉันมีความรักที่จะต้องให้ต่อไปอีก

          ฉันจะเก็บความรักนี้
          เพื่อรอมอบให้กับคนที่รักฉันจริง"


          ...............

          "จิว"

          ชื่อนี้ลอดแผ่วออกมาจากปากชายหนุ่ม จนอัญชุลีที่นั่งอยู่ข้างหน้าคู่กับไอ้กบคนขับ ต้องหันหลังกลับมาถาม

          "เมื่อกี้คุณข้าวพูดว่าอะไรนะคะ"

          "อ่อ เปล่าๆ ไม่ได้พูดอะไร" เขาเอามือขึ้นมาเสยผมแก้เก้อ "นี่ถึงไหนแล้วล่ะ จะไปดื่มร้านไหนดี"

          "ตรงนี้มันจะเลี้ยวไปบางบัวทองได้ เลี้ยวไหมฮะ หนีรถติด ตรงบางบัวทองมีร้านที่กบเคยไปเที่ยวกับเพื่อน แต่มันเป็นร้านเล็กๆ นะ" ไอ้กบเอี้ยวตัวมาบอกจากที่นั่งคนขับ

          "เออ ไปเถอะ ร้านบ้าอะไรก็ได้ เป็นเพิงกระต๊อบขายลาบเปิดไฟแดงๆ ยังได้เลยนาทีนี้ ขอให้มีเหล้าเบียร์กินเถอะ" ชายหนุ่มตอบอย่างเซ็งๆ

          ไอ้กบหัวเราะออกมา "ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกฮะ พอนั่งไหวน่า ถึงไม่ได้หรูหราแบบในกรุงเทพที่คุณข้าวเคยไปประจำ แต่ลองเปลี่ยนบรรยากาศแบบบ้านๆ ดูบ้าง มันชื่อร้าน 'น้อง คาราโอเกะ' ฮะ"

          "อื่อ" ชายหนุ่มรับคำสั้นๆ ขยับนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา แล้วนั่งเหม่อคิดอะไรต่อไปเรื่อยเปื่อย

--------------------

          "ทุ่มครึ่งเองหรือนี่ เบื่อโว้ยยย"

          เสี่ยจิววางช้อนส้อมลงกับจานข้าวที่พึ่งกินหมด แล้วบิดขี้เกียจแบบสุดตัว

          "เบื่อ งั้นคืนนี้ออกไปเที่ยวไหนดีครับเสี่ย วันนี้วันศุกร์ด้วย" ไอ้จอซูทำหน้าทะเล้นอยู่ข้างๆ โต๊ะกินข้าวในโรงงาน

          "งานการไม่ทำ หาแต่เรื่องเที่ยวนะเอ็งน่ะ" เสี่ยจิวหันไปมองขวางๆ "แต่ก็ดีเหมือนกัน ออกไปหาแป๊ะซะปลาช่อนกินแกล้มเหล้าดีกว่า ยิ่งเซ็งๆ เรื่องโรงงานอยู่ด้วย"

          ไอ้จอซู ก้มลงมองจานข้าวของเจ้านาย ที่เกลี้ยงจานบนโต๊ะอีกครั้ง แล้วเอ่ยขึ้นมาอ้อมๆ แอ้มๆ

          "เอ่อ ได้ข่าวว่าเสี่ยพึ่งกินข้าวหมดไปตะกี้..."

          "เรื่องสาระแนนี่ไม่มีใครเกินเอ็งเลยนะ แป๊ะซะมันเอาไว้กินแกล้มเหล้าเว้ย ห่านี่"

          จอซู เบี่ยงองศาที่ยืน กะให้พ้นรัศมีเท้าของเสี่ย แล้วหัวเราะแห่ะๆ

          "เอ็งไปเตรียมตัว ออกไปกินเป็นเพื่อนข้า ไปลองชวนไอ้มินเดืองห์ด้วยว่ามันอยากจะไปหรือเปล่า ถ้ามันไม่อยากไปก็ให้มันนอนเฝ้าโรงงานนี่ไป"

          "ครับนาย เอ่อ ว่าแต่จะไปร้านไหนครับ ผมจะได้ใส่เสื้อผ้าไปถูก" จอซูถาม

          "โอโห...ไปกินที่บับเบิ้ล ในโรงแรมดุสิตธานีมั้งเอ็งน่ะ ต้องใส่เสื้อผ้าไปให้ถูก แหม่ๆ เอ็งน่ะต้องถามข้า เพราะต้องไปเตรียมให้ข้า ไม่ใช่มาถามถึงชุดเอ็ง ห่านี่" เสี่ยจิวส่ายหัวดิก

          "แห่ะๆๆ" เสียงหัวเราะแห้งๆ ของหนุ่มจอซู

          "เอ็งจะไปใส่อะไรก็ใส่ไปไป๊ อย่าเดินแก้ผ้าไปเป็นพอ ไปร้านเล็กๆ ที่เคยไปน่ะ ร้านอะไรนะตรงบางบัวทอง"

          "ร้าน 'น้อง คาราโอเกะ' ครับเสี่ย" จอซูรีบตอบ เพราะออกจะชอบร้านนี้อยู่เหมือนกัน

          "เออ น้อง คาราโอเกะ ลืมทุกที ไปๆ เตรียมเอารถออกด้วย"

          "คร้าบบบ เสี่ยยย" เจ้าตัวดีวิ่งปร๋อเข้าห้องตัวเองเพื่อเปลี่ยนชุดอย่างไว

--------------------


หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๗ : I will survive - ฉันต้องรอด || หน้า ๑๑ || ๐๘/๐๔/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 08-04-2017 13:34:23
ดีใจกลับมาแล้ว จิว-ข้าว จะได้เจอกันแล้ว ห่างกัน10ปี ถ้าเจอหน้ากันจะวิ่งมากอดกัน จะร้องไห้ หรือแค่ยิ้มให้กันแค่คนคุ้นเคยกันรึป่าว รออ่านตอนต่อไปคับ ค้างมาก
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๗ : I will survive - ฉันต้องรอด || หน้า ๑๑ || ๐๘/๐๔/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 08-04-2017 16:59:14
 :pig4: :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๗ : I will survive - ฉันต้องรอด || หน้า ๑๑ || ๐๘/๐๔/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 08-04-2017 21:01:15
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๗ : I will survive - ฉันต้องรอด || หน้า ๑๑ || ๐๘/๐๔/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: hibatsumoe ที่ 08-04-2017 22:40:54
ค้างงง o22
จะได้เจอกันในรอบสิบปี อยากให้ต้นข้าวเป็นฝ่ายง้อจิวบ้าง  :z10:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๗ : I will survive - ฉันต้องรอด || หน้า ๑๑ || ๐๘/๐๔/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-04-2017 23:23:15
จะเจอกันไหม  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๗ : I will survive - ฉันต้องรอด || หน้า ๑๑ || ๐๘/๐๔/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 08-04-2017 23:56:21
 :mc4:         :3123: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๗ : I will survive - ฉันต้องรอด || หน้า ๑๑ || ๐๘/๐๔/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 27-04-2017 23:37:53
อยากเห็นจิวมีเมียใหม่
คนที่ไม่ลืมความรักของจิวง่ายๆ

ส่วนต้นข้าว จะรู้สึกอะไรหรือเปล่า
ไม่กล้าเดา หุหุ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๗ : I will survive - ฉันต้องรอด || หน้า ๑๑ || ๐๘/๐๔/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 28-04-2017 13:18:45

MBK❤lover


(http://www.bloggang.com/data/k/kampong/picture/1485729585.jpg)


ตอนที่ ๓๘ : รักเกิดที่คาราโอเกะ


          รถวอลโว่ 850 สีแดงแปร๊ดพุ่งเข้ามาจอดที่ลานจอดด้านหน้าร้าน "น้อง คาราโอเกะ" ริมถนนบางบัวทอง เด็กโบกรถรีบวิ่งเข้ามากุลีกุจอโบกพร้อมส่องไฟฉายให้ แต่ดูเหมือนไม่ทันการแล้ว เพราะเจ้าของรถเลี้ยวจอดอย่างชำนาญ แถมเบรคเอี๊ยดเกือบชนกระถางต้นไม้แถวนั้นอย่างเฉียดฉิว มันเหลือที่จอดช่องนี้ช่องเดียวพอดี นอกนั้นเต็มไปด้วยรถอื่นๆ และมอเตอร์ไซด์จำนวนมากจอดอยู่ก่อนแล้วเต็มลาน

          จอซู เปิดประตูข้างคนขับวิ่งลงมาอย่างไว แล้ววิ่งอ้อมประตูมาที่ด้านคนขับ ชนกันกับเด็กโบกรถที่กำลังแย่งเปิดประตูให้เจ้าของรถนั้น ยื้อมือกันไปมา จนเจ้าของรถต้องเปิดประตูเอง และออกมายืนมองทั้งสองอย่างขวางๆ

          "อะไรของพวกเอ็งวะ"

          "แห่ะๆๆ เปล่าครับเสี่ย เชิญครับเชิญ" ไอ้เจ้าเด็กโบกรถทำตาวาว มองดูเสี่ยจิวทั้งตัวด้วยความสนใจ

          คืนนี้เสี่ยจิวใส่ชุดที่บอกยี่ห้อว่าเป็น "เสี่ย" เต็มรูปแบบ ตั้งแต่เสื้อเชิร์ตแขนยาวลายพร้อยไปทั้งตัวของเวอร์ซาเช กางเกงผ้าสีดำเข้ารูปแนบตัว รองเท้าหนัง ที่คอมีสร้อยทองเส้นโตเกือบเท่านิ้วก้อยห้อยออกมานอกเสื้อ แขวนพระ 'หลวงพ่อลา' จากวัดแก่งคอย เลี่ยมทองล้อมเพชรอร่าม ที่ซอกแขนข้างหนึ่งหนีบกระเป๋าหนัง 'ชาร์ลจูดอง' แบนๆ และในมือถือโทรศัพท์โนเกีย 8250 รุ่น 'ปีกผีเสื้อ' และตอนนี้หน้าจอมีแสงสีฟ้าสว่างสวยแวบออกมา

          เสี่ยจิวแหงนคอมองหน้าร้าน มันเป็นเหมือนร้านที่สร้างขึ้นง่ายๆ มีโครงหลังคาสูงๆ โปร่งๆ เหมือนโรงยิม กั้นผนังด้วยอิฐแต่ไม่ได้ฉาบเรียบ ทั้งหมดทาสีดำ มีป้ายชื่อร้านเป็นสีสะท้อนแสงโดดเด่นออกมาจากแสงไฟสีม่วงๆ มองเข้าไปข้างใน เป็นกลุ่มโต๊ะที่กระจายรอบห้อง มีลูกค้านั่งอยู่เกือบเต็ม เหมือนโต๊ะร้านอาหารทั่วไป ไฟค่อนข้างมืด ผนังด้านหนึ่งมีจอสีขาวขนาดใหญ่กำลังเปิดคาราโอเกะอยู่ เห็นเป็นภาพนางแบบเดินสโลว์โมชั่นริมทะเล เส้นผมปลิวไปมา ด้านล่างของจอมีเนื้อเพลงวิ่งอยู่

          จอซูพาเสี่ยจิวเดินไปนั่งที่โต๊ะริมผนังด้านหนึ่ง มันค่อนข้างจะหลบมุม แต่สามารถมองเห็นจอฉายภาพชัดเจน เสี่ยจิวลงนั่งแล้วสั่งของกับกัปตันที่ยืนรอรับออเดอร์โดยไม่ได้เปิดเมนู

          "เอารีเจนซีขวดนึง โซดา น้ำแข็ง ผ้าเย็น และแป๊ะซะปลาช่อนทอดที่นึง"

          "ครับเสี่ย" กัปตันรับคำ โค้งให้แล้วเดินไป

          "ร้องเพลงไหมเจ้านาย" จอซูยิงฟันขาวในไฟสลัวๆ ถามมา ท่าทางสนุกที่ได้ออกมาเที่ยวคืนนี้

          "ข้าไม่ร้องเว้ย เอ็งอยากร้องก็เขียนขอไปสิ" ชายหนุ่มส่ายหน้าดิก

          "โหนาย อ่านหนังสือไทยผมยังแทบจะตาย แล้วจะอ่านตัวคาราโอเกะได้หรือ" จอซูเกาหัวแกรกๆ

          "เอ็งก็ร้องดำน้ำมั่วๆ ไปสิ ผิดถูกช่างมัน มีแต่คนเมา ไอ้ห่า หรือไม่ร้องก็ไม่ต้องร้อง ดีซะอีก ข้าขี้เกียจหนกขู"

          เสี่ยจิวพูดไปพร้อมๆ กับบุ้ยปากไปทางโต๊ะๆ หนึ่ง ที่มีคนเมากำลังร้องเพลงเสียงอ้อแอ้ น่าหนวกหู และมันฟังดูไม่เป็นเพลงเลย

          เด็กเสริฟเริ่มเอาอาหารและเครื่องดื่มมาตั้งบนโต๊ะ จานแปลแป๊ะซะพร้อมเตาร้อนถูกยกมาวางกลางโต๊ะ ข้างใต้จุดแอลกอฮอลล์ไฟลุกเป็นเปลวสีน้ำเงิน ส่งกลิ่นแป๊ะซะให้โชยหอมฉุย รีเจนซีน้ำแข็งโซดาที่ผสมแล้วแก้วหนึ่งวางตรงหน้าเสี่ยจิว

          "เอ้า ชนเว้ย แด่ความฉิบหายของโรงงานที่กำลังจะเกิดขึ้น เสียดายไอ้มินเดืองห์ไม่ได้มาด้วยกัน" ชายหนุ่มชูแก้วมาตรงหน้าจอซู

          จอซูชนแก้วตอบกับเจ้านาย ปากกำลังจะอ้าถามว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับโรงงานรองเท้าหรือ แต่ยังไม่ทันจะพูด ที่นั่งข้างๆ ก็ถูกนั่งโดนคนๆ หนึ่ง พร้อมกับเสียงแหลมเจื้อยแจ้วทิ่มหู

          "ว๊าย กราบหว่างตักเสี่ยงามๆ คร่า"

          เจ้าของเสียงเป็นหญิงกลางคน หน้าตาดูเจ๊ๆ แต่งหน้าจัด ใส่สูทสีกรมท่ายับๆ เหมือนกัปตันทุกคนในร้านนี้

          "อ้าวเจ๊พร" ชายหนุ่มทัก

          "ไม่ร้องเพลงกันหรือคะนี่ แล้วนี่เสี่ยเมาหรือยังคะ" ไม่พูดเปล่า เจ๊พรขยับเข้ามาใกล้เสี่ยจิว เอามือคล้องแขน เอียงหัวเข้ามาซบ ทำท่าเหมือนสาวแรกรุ่น ใกล้จนเห็นริ้วรอยตีนกาลึกลงไปบนหน้าที่ฉาบรองพื้นหนาเตอะ

          "ร้องเพลงกันไม่เป็นสักคน" ชายหนุ่มตอบ ยิ้มแห้งๆ ทำท่าเริ่มอยากจะปลดมืออีเจ๊พรที่พยายามคล้องแขนแน่นอยู่

          "ต๊าย ไม่ได้นะคะ มาคาราโอเกะต้องร้องเพลงค่ะ เอางี้นะคะ เสี่ยเรียกน้องมานั่งคนนึงนะคะ น้องเค้าจะผสมเหล้าให้ และจะได้ร้องเพลงให้ด้วยไงคะ" เจ๊พรจีบปากจีบคอบอก แถมเอามือขึ้นมาลูบๆ แผงอกของเสี่ยจิวด้วย

          เสี่ยจิวได้ยินดังนั้น ก็อ้าปากหวอ หันไปมองหน้าไอ้จอซูทันที จอซูก็เหมือนรู้ รีบถามเจ๊พรทันที

          "เดี๋ยวๆ เจ๊ ที่นี่มีเด็กนั่งดริ้งค์ด้วยเร๊อะ แล้วมันคือเด็กผู้หญิงหรือผู้ชาย"

          เจ๊พรหัวเราะคิกๆ เอามือตีแขนจอซูดังเพี๊ยะ "น้องผู้หญิงซิคะ ที่นี่มีน้องผู้ชายที่ไหน อุ๊ยตาย อย่าบอกนะคะว่าหนุ่มโต๊ะนี้ชอบเด็กผู้ชายด้วยกัน"

          "เอ่อๆๆ ตามใจเจ๊เถอะ จะเอามาก็เอามา เอามานางเดียว...เอ๊ย คนเดียวนะ" ชายหนุ่มบอกเสียงอ่อยๆ

          "คร่า...ได้คนเดียวแหล่ะค่ะ ตอนนี้เหลือคนเดียวเอง ถ้าช้า เดี๋ยวโต๊ะวัยรุ่นขี้เมาตรงโน้นจะแย่งไปแล้วนะคะ" เจ๊พรบุ้ยปากไปที่โต๊ะชิดผนังด้านโน้น ซึ่งดูเมา และเสียงดังเอะอะวุ่นวายทั้งโต๊ะ

          "เอาเถอะ ไปเอามาแล้วกัน เอ้านี่ติปเจ๊" เสี่ยจิวส่งแบ็งค์ร้อยที่หยิบออกมาจากกระเป๋าแบนที่หนีบมาด้วยส่งให้ ในใจนึกว่าอีเจ๊นี่มันจะได้ไปพ้นๆ สักที

          "ต๊ายยย กราบขอบคุณเสี่ยงามๆ คร่า"

          แล้วอีเจ๊ก็กราบจริงๆ ดังปากพูด คือก้มกราบลงไปที่ตักบริเวณเป้ากางเกงของเสี่ยจิว ชายหนุ่มไม่ทันได้ตั้งตัว สะดุ้งเฮือก!! แล้วรีบเอามือลงไปกุมตรงเป้ากางเกงที่นูนๆ เด่นสง่าของตัวเองทันที

          "คริคริ...เสี่ยนี่มีของดีอยู่กับตัวก็ไม่บอก ใหญ่กว่าหัวปลาช่อนบนโต๊ะนี้อีก"

          เจ๊พรทำตาชมดชม้อยใส่เสี่ยจิว เอามือขึ้นมาปิดปากแบบดัดจริต แล้วเดินส่ายสะโพกออกจากโต๊ะไป

          "เฮือกกกกก!" เสียงถอนหายใจของชายหนุ่มดังยาวมา พร้อมๆ กับยกแก้วกระดกหมดเหมือนจะย้อมใจ

          ...............

          สิบนาทีผ่านไป เสี่ยจิวกินเหล้าเป็นแก้วที่สาม ก็มีหญิงสาวคนหนึ่ง รูปร่างกระทัดรัด ใส่เสื้อผ้ารัดรูป แต่ดูยับเยินเหมือนไม่ได้รีดมา เนื้อผ้าดูราคาถูก รูปทรงเหมือนสาวเชียร์เบียร์เชยๆ ลงมานั่งระหว่างจอซูกับเสี่ยจิว แล้วยกมือขึ้นไหว้

          "สวัสดีค่ะเสี่ย"

          ชายหนุ่มกับไอ้จอซูหันไปมองพร้อมกัน แล้วสะดุ้งเฮือกขึ้นมาพร้อมกัน โดยเฉพาะไอ้จอซูถึงกับร้องออกมาอย่างลืมตัว...

          "เฮ้ยยย!"

          สาวนางนั้น จะว่าไปก็ถือว่าสวยแบบบ้านๆ แต่ที่ต้องตกใจกันนั้น เพราะใบหน้าของเธอ จะเป็นเพราะเธอไปนั่งแต่งหน้าในความมืดหรือเปล่า สีแป้งของเธอจากที่มองตอนนี้ มันคือ 'หน้าเทา' ชัดๆ !!!

          ผิวเดิมเธอคงเป็นคนผิวสองสี แต่เธอใช้แป้งสีขาวจัด มองออกว่าแป้งทาหน้านี้เนื้อหยาบๆ ไม่ใช่ของดีมียี่ห้ออะไร เธอพอกลงไปเต็มหน้า ใช่...เฉพาะหน้าเฉยๆ นะ ทาแล้วหยุดที่หน้า ไม่ได้ลงมาที่คอแม้แต่นิดเดียว ทำให้รอบๆ กรามเธอลงมาถึงคอเป็นสีเนื้อเข้มๆ เดิมๆ มองจากไฟสลัวนี้มันน่ากลัวมาก มันอมเขียวอมเทา แถมเธอใช้ดินสอเขียนคิ้วสีดำจัด ลากเป็นเส้นตรงๆ มองดูเหมือนคนสะดุ้งเลิกคิ้วตกใจตลอดเวลา

          ---ถ้าเทากว่านี้ ก็สีอะลูมิเนียมที่โรงงานกูแล้ว มึงเอ๋ย--- ชายหนุ่มครางออกมาเบาๆ

          "อะไรนะคะเสี่ย" สาวหน้าเทามองตาตื่นๆ เลิ่กลั่ก

          "อ่อ อ่อ เปล่าจ้ะ" ชายหนุ่มไม่กล้ามองหน้าเธอตรงๆ

          สาวหน้าเทาหัวเราะออกมา ความสดใสทำให้ดูดีขึ้นมาในระดับหนึ่ง "เจ๊พรให้หนูมานั่งกับเสี่ยค่ะ หนูชื่อลำไยนะคะ"

          "จ้ะน้องเทา...เอ๊ย โทดๆๆ น้องลำไย ตามสบายนะจ้ะ พี่ชื่อเสี่ยจิว และนี่ลูกน้องพี่ ชื่อจอซูจ้ะ"

          ลำไยส่งยิ้มแบบหน้าเทาๆ คิ้วเข้มกระดกไปกระดกมาให้จอซูอีกครั้ง เด็กหนุ่มก็ยิ้มเหยๆ ตอบ ทำท่าเหมือนพร้อมจะลุกวิ่งเผ่นทันทีถ้าสาวนางนี้แยกเขี้ยวหรือเอามือแหวกหน้าอกล้วงไส้ออกมาแบบในหนัง

          ลำไยคงทำงานเป็นและเชี่ยวชาญ เธอชงเหล้าให้ตัวเองแก้วหนึ่ง แล้วเติมเหล้าให้เสี่ยจิวและจอซูที่พร่องอยู่จนเต็ม เอาทิชชู่พันรอบแก้วให้เนี๊ยบกริบ จัดจานกินข้าวตรงหน้าเสี่ยจิวให้สะอาดเรียบร้อย เรียงช้อนส้อมในจานให้เป็นระเบียบ เก็บเศษอาหารและทิชชู่ใช้แล้วบนโต๊ะจนสะอาดเหมือนตอนพึ่งมานั่งใหม่ๆ ท่ามกลางสายตาของเสี่ยจิวและจอซูที่มองอย่างทึ่งๆ

          พอจัดแจงเสร็จ เงยหน้าขึ้นมาเห็นลูกค้าตัวเองจ้องอยู่ ลำไยก็ยิ้มอ่อนๆ เขินๆ หยิบสมุดรายชื่อเพลงขึ้นมาพร้อมกระดาษและปากกา พร้อมจด

          "พี่สองคนหน้าตาดีทั้งคู่เลยนะคะ ท่าทางจะร้องเพลงเพราะ อยากร้องเพลงอะไรเอ่ย ลำไยจะเขียนขอเพลงให้ค่ะ"

          "พี่ร้องไม่เป็น ส่วนไอ้เจ้านี่ก็อ่านไทยไม่แตก" ชายหนุ่มบุ้ยปากไปทางไอ้จอซู "เธออยากจะร้องเพลงอะไรก็เขียนขอไปแล้วกัน"

          "ค่ะเสี่ย" ลำไยพยักหน้า แล้วจดชื่อเพลงที่จะร้องส่งให้พนักงานเสริฟ

          --เพล้ง!!-- เสียงขวดแตกดังมาจากโต๊ะไกลๆ ทั้งสามคนหันไปชะโงกมองตามเสียง แต่ไม่เห็นมีอะไร จึงหันมาชนแก้วเหล้ากันต่อ เสี่ยจิวควานหาซองบุหรี่ในกระเป๋าก็พบว่ามันเหลือแค่ตัวเดียวแล้ว

          "ลำไย ในร้านมีบุหรี่ขายไหม" ชายหนุ่มถาม

          "ไม่มีบุหรี่นอกค่ะเสี่ย มีแต่กรองทิพย์ แต่ให้เด็กเดินออกไปซื้อได้ค่ะ ข้างนอกถนนมีร้านขายของชำ มีบุหรี่ฝรั่ง"

          ลำไยหันมาบอก มือกำลังง่วนอยู่กับการตักปลาช่อนในจานแป๊ะซะลงมาแกะก้างออก แล้ววางเนื้อปลาบนจานให้เสี่ยจิว

          "งั้นไอ้จอซูออกไปซื้อให้ข้าหน่อยแล้วกัน จะได้แลกแบ็งค์ร้อยมาด้วย เผื่อไว้แจกทิป แลกมาสักพันนึงก็ได้" เสี่ยจิวสั่ง

          "ได้ครับนาย" จอซูรับแบ็งค์พันจากชายหนุ่มมาสองใบ แล้วรีบเดินออกไป

          "เพลงมาพอดี" ลำไยอุทานขึ้นมาเบาๆ เมื่อได้ยินอินโทรเพลงขึ้น พร้อมๆ กับพนักงานเดินไมค์โครโฟนมาให้ที่โต๊ะ

          ชายหนุ่มนั่งฟังลำไยร้องเพลงด้วยความทึ่ง เพลงที่เธอขอไปนั้นคือเพลง 'สุดท้ายที่กรุงเทพ' ของสุนารี ราชสีมา

          ลำไยร้องเพลงนี้ได้ดี สายตาใส่อารมณ์เศร้าสร้อยรันทดชีวิตไปตามเนื้อเพลง ที่พูดถึงการถูกหลอกเข้ามาทำงานหนักและต้องต่อสู้ดิ้นรนในเมืองหลวง ดูแล้วชายหนุ่มก็ซึ้งตาม พร้อมกับเกิดความรู้สึกว่า แป้งหนาหน้าลอยที่เคลือบฉาบอยู่จนออกเทาๆ เหมือนคนกร้านโลกโลกีย์ ไม่สามารถปิดบังตัวตน และความรู้สึกลึกๆ อันละเอียดอ่อนในจิตใจของคนเราได้เลย

          ...............

          "ปิดเพลงได้เแล้วคุณกบ ถึงแล้วนั่น"

          อัญชุลีเตือนกบ เมื่อเริ่มมองเห็นป้ายชื่อร้าน 'น้อง คาราโอเกะ' แล้ว แต่ไอ้กบยังเปิดเพลงวิทยุในรถเสียงดังแล้วแหกปากร้องตามอยู่

          "รู้แล้วน่า หาที่จอดอยู่นี่ ไม่เห็นไง" ไอ้กบตอบ แต่ก็ยอมหรี่ปุ่มเสียงวิทยุลง

          "ทำไมรถเยอะจัง คนเที่ยวเยอะเหรอนี่คืนนี้ ขนาดร้านโทรมมะนังขนาดนี้นะเนี่ย" คุณข้าวเบะปาก ถามมาจากเบาะหลัง

          "เยอะอย่างนี้ทุกวันแหล่ะคุณข้าว" ไอ้กบหันมาบอก "เดี๋ยวลองวนไปจอดไกลๆ โน่น"

          "เดี๋ยวๆๆ" ชายหนุ่มร้องมาจากเบาะหลัง "กบ เอ็งลงไปดูในร้านก่อนสิ คนแน่นไหม มีโต๊ะว่างหรือเปล่า ถ้าเต็มจะได้ไม่ต้องเข้า เสียเวลาหาที่จอด อัญชุลีเธอเปลี่ยนไปนั่งขับแทนสิ"

          "ค่ะคุณ" อัญชุลีรับคำ แล้วลงจากรถเก๋ง 'อัลฟ่าโรมิโอ' เดินอ้อมไปที่ตำแหน่งคนขับแทน ส่วนไอ้กบก็ลงจากรถ จ้องหน้าทำหน้าเชิ่ดใส่กันกับอัญชุลีที่ประตูรถ ต่างคนต่างหัวเราะขำๆ กัน แล้วแยกกันไป

          "ชั้นจะค่อยๆ ขับไปหาที่จอดทางโน้นนะกบ ถ้ามีโต๊ะ เธอเข้าไปนั่งจองเลย" อัญชุลีตะโกนตามหลังกบมา

          "โน่นน่ะ สุดทางโน่น เหมือนจะว่างๆ มีที่จอด" คุณข้าวก้มมองผ่านกระจกหน้า แล้วชี้ให้อัญชุลีดูทางที่จะไปจอดรถ

          ..............

          กบเดินหันซ้ายหันขวามาถึงหน้าร้าน แหงนขึ้นมองป้ายแล้วเดินผ่านประตูเข้าไป แล้วชนพลั๊ว! เข้ากับเด็กหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง

          "อุ๊ปส์ ขอโทษฮะ" กบตกใจ รีบจับมืออีกฝ่ายไว้ กลัวจะล้มลงไป

          "ไม่เป็นไรฮะ เอ่อ อ่า..." อีกฝ่ายจ้องหน้าค้าง ทำหน้าตะลึง "มาเที่ยวเหรอฮะ"

          "ใช่ฮะ คนแน่นจัง" ประโยคหลังเหมือนรำพึงกับตัวเอง

          "ยังไม่มีโต๊ะเหรอฮะ" เด็กหนุ่มผู้โดนชนถาม "มีโต๊ะว่างข้างๆ โต๊ะเราเหลือโต๊ะเดียว ไปนั่งตรงนั้นไหมฮะ"

          กบทำตาโต "ดีเลยฮะ เรามากันหลายคน จะได้ไม่วุ่นวายหา"

          "มาๆ เราพาไป อ้อ เราชื่อจอซูนะ แล้วนายล่ะ" จอซูถือโอกาสไม่ยอมปล่อยมือฝ่ายตรงข้ามนั่น และเดินลากมือไปถึงกลางร้านแล้ว

          "กบฮะ ชื่อกบ" เด็กหนุ่มตัวสูงตอบยิ้มๆ "เฮ้ยยยยยยย!!!!"

          "เฮ้ยยยย!"

          สองคนร้องประสานเสียงออกมาพร้อมกัน พร้อมๆ กับเสียงโวยวายกลางร้าน เสียงโครมคราม ตุ๊บตับ เสียงขวดแตกแก้วแตก และเสียงร้องวี๊ดว๊ายของสาวๆ ในร้าน

          "แขกเมาตีกัน" จอซูร้องออกมา "มานี่ๆๆ"

          จอซูลากมือกบเข้ามาริมผนังด้านหนึ่ง มีเคาเตอร์บาร์เตี้ยๆ อยู่ จอซูดึงมือกบให้นั่งยองๆ หลบลงมา แรงดึงทำให้กบถลาลงไป เบรคตัวไม่ทัน ใบหน้าต่อใบหน้าทั้งสองคนเกือบประกบกัน ห่างกันนิ้วเดียว สองตาจ้องมองกันและกันเป็นประกาย ลมหายใจอุ่นเป่ารดกัน

          "หลบก่อน ระวังลูกหลง" จอซูกระซิบข้างหู

          ...............

          "ว๊าย แขกตีกัน" ลำไยอุทานออกมา คว้ามือชายหนุ่ม "วิ่งออกไปนอกร้านก่อนนะคะเสี่ย"

          "ไม่ต้องๆๆ" เสี่ยจิวสะบัดมือลำไยออกเบาๆ "หลบนี่ๆๆ"

          คำว่า 'หลบนี่' ของชายหนุ่มหน้าตี๋ก็คือนั่งยองๆ หลบลงไปใต้โต๊ะของตัวเองที่นั่งอยู่นี่เอง

          "ขี้เกียจวิ่ง เอาแค่หลบขวดจะปลิวมาก็พอ เสียดายปลาช่อนแป๊ะซะบนโต๊ะ"

          ชายหนุ่มพูดหน้าตาเฉย แล้วทำคอย่นหลบขวดเบียร์ขวดหนึ่ง ที่ลอยปลิวมาแตกเพล้ง! ตรงผนังข้างๆ เศษแก้วกระจายว่อน ลำไยมองตามแล้วกลอกตาเหลือกไปมา

          ...............

          คุณข้าวและอัญชุลีจอดรถเสร็จแล้ว และเห็นว่ากบยังไม่เดินออกมา คิดว่าน่าจะได้โต๊ะแล้ว จึงพากันเดินตามจะเข้าร้าน อัญชุลีกำลังเอามือผลักบานประตู ก็ได้ยินเสียงขวดโซดาลอยมาปะทะกับบานประตูแตกดังสนั่น พร้อมๆ ดับเสียงคนร้องเอะอะวี๊ดว้ายอยู่ข้างใน คุณข้าวก็เดาเหตุการณ์ออกทันที

          "ฉิบหายแล้ว มีตีกันในร้าน" ชายหนุ่มอุทานออกมา อัญชุลีรีบงับประตูปิดทันที

          "เอาไงดีคะคุณ แล้วกบไปไหนนี่ ไม่ใช่ยังอยู่ในร้านนะ" อัญชุลีหน้าตาตื่น

          "เอาเหอะ มันเอาตัวรอดได้น่ะ เราอย่าตามมันเข้าไปเลย มาแอบยืนรอตรงนี้" ชายหนุ่มลากมือผู้ช่วยสาวมาหลบที่หลังรถคันหนึ่งไม่ไกลจากประตู

          ไม่นานนัก มีรถตำรวจเปิดไซเรนมาจอดที่หน้าร้าน นายตำรวจสองคนเปิดประตูวิ่งเข้าไป

          "เดี๋ยวก็เรียบร้อยแล้วล่ะ" ชายหนุ่มมองตามตำรวจเข้าไป แล้วเปรยกับอัญชุลี "ตีกันเฉยๆ ไม่มียิงกันซะหน่อย เฮ้ออ หมดกัน อดกินเหล้าเลย"

          "ออกมาแล้วค่ะ" อัญชุลีร้องออกมา ชี้ให้คุณข้าวดูหน้าประตู

          กบเปิดประตูเดินออกมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีเด็กหนุ่มหน้าตาดีเดินตามออกมาอีกคน แล้วทั้งสองโบกมือลากัน เด็กหนุ่มหล่อๆ นั่นเดินแยกออกไปที่ร้านขายของชำตึกแถวข้างๆ ส่วนกบเดินตรงเข้ามาหา แล้วยิ้มแห้งๆ

          "แขกตีกันครับ ข้างในเปิดไฟแล้ว อดเที่ยวแล้ว"

          "ก็ดี เสียฤกษ์เสียยามล่ะ งั้นก็กลับกันเถอะ" ชายหนุ่มทำหน้าเซ็งๆ แล้วเดินนำกลับไปที่จอดรถ อัญชุลีเดินตาม

          ส่วนกบ หันกลับไปมองข้างหลัง มองตามจอซูที่เดินหายไปในร้านขายของชำ แล้วก้มลงมองเศษกระดาษเล็กๆ ในมือของตัวเอง มันมีหมายเลขโทรศัพท์เขียนอยู่ในนั้น กบพับมันแล้วยัดเก็บลงในกระเป๋า

          ................

          ลำไย ค่อยๆ โผล่หัวขึ้นมาดูเหตุการณ์บนโต๊ะ แล้วผลุบกลับลงไปมองหน้าเสี่ยจิว ซึ่งกำลังนั่งยองๆ ที่พื้น ใช้ไม้จิ้มฟันแคะฟันอยู่อย่างทองไม่รู้ร้อน

          "เหตุการณ์ปกติแล้วค่ะเสี่ย กลับขึ้นมานั่งเถอะค่ะ"

          ชายหนุ่มค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมอย่างเกียจคร้าน ตาชำเลืองมองไปที่จานแป๊ะซะ

          "เธอเอาแป๊ะซะนี่ไปห่อใส่ถุงแล้วกัน ชั้นจะเอากลับไปกินต่อที่บ้าน เอาหัวปลาใส่ลงไปด้วยนะ ห้ามหายล่ะ ชั้นชอบแทะ" ชายหนุ่มพูดหน้าตาเฉย

          "เอ่อ...ค่ะๆๆ" ลำไยแอบขำ นึกในใจว่ามิน่าล่ะ ถึงรวยเป็นเสี่ย

          "แล้วเรียกกัปตันมาเช็คบิลด้วยล่ะ เธอก็ลงดื่มของเธอด้วยนะ ชั้นให้สิบดื่ม แล้ววานแวะไปดูหน้าประตูหน่อย ไอ้จอซูลูกน้องชั้นมันออกไปซื้อบุหรี่นานมาก หรือโดนลูกหลงเค้าตีกันตายห่าไปแล้วก็ไม่รู้"

          ลำไยอ้าปากค้าง แม่จ้าว นั่งแป็บเดียวเสี่ยจิวให้ตั้งสิบดื่ม เรี่ยวแรงเลยมาเต็ม ยกจานแป๊ะซะทั้งร้อนๆ นั่นหิ้วตัวปลิวเข้าไปใส่ถุงให้ที่หลังครัวทันที

          ..............

          อีกสิบนาทีต่อมา เสี่ยจิวก็มานั่งอยู่เบาะหลังรถเพื่อให้จอซูเป็นคนขับขากลับ ท่ามกลางพนักงานที่มายืนโค้งส่ง ตั้งแต่เด็กเสริฟ กัปตัน เด็กสับเยี่ยวในห้องน้ำ เจ๊พร และเด็กรับรถ รวมทั้งลำไยเด็กนั่งดริ้งค์หน้าเทา กำลังพับอะไรสักอย่างยัดลงไปเก็บในซอกนมของเสื้อยกทรง ทุกคนมายืนโค้งส่งเสี่ยจิวหลังจากได้รับทิปไปคนละหนึ่งร้อยบาทอย่างทั่วหน้า

          ก่อนรถจะออก เสี่ยจิวที่นั่งเบาะหลังก็ไม่ทันสังเกต ไอ้จอซูก้มลงไปมองกระดาษเล็กๆ ในมือ ที่เขียนว่า

          ไว้โทรมานะ จาก กบ ๐๒-๕๗๓๔๘๗๗

          จอซูมองแล้วยิ้มกว้าง ถึงอ่านภาษาไทยไม่ออกทุกตัว แต่เขาก็รู้ว่ามันคืออะไร นึกไปถึงตอนที่ตัวเองกับกบ นั่งหลบแขกตีกันในร้านเมื่อกี้ ได้จดเบอร์โทรศัพท์แลกกันไว้ทั้งคู่  เด็กหนุ่มพับกระดาษเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ เข้าเกียร์รถ แล้วเคลื่อนรถวอลโว่ 850 ออกไปจากร้าน 'น้อง คาราโอเกะ' นั้น...


หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๘ : รักเกิดที่คาราโอเกะ || หน้า ๑๒ || ๒๘/๐๔/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 28-04-2017 14:44:24
กลับมาแล้วววววววววววว
เสียดายเขาไม่ได้เจอกัน

รอนะ

ว่าแต่สบายดีไหม รอบนี้หายนานเลย
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๘ : รักเกิดที่คาราโอเกะ || หน้า ๑๒ || ๒๘/๐๔/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 28-04-2017 17:11:18
 :L1: :3123: :pig4: :3123: :L1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๘ : รักเกิดที่คาราโอเกะ || หน้า ๑๒ || ๒๘/๐๔/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 28-04-2017 18:59:54
อีกนิดเดียวก็จะได้เจอกันแล้วววว :ling3: :ling3:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๘ : รักเกิดที่คาราโอเกะ || หน้า ๑๒ || ๒๘/๐๔/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 28-04-2017 19:08:20
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๘ : รักเกิดที่คาราโอเกะ || หน้า ๑๒ || ๒๘/๐๔/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 28-04-2017 19:35:51
อ้าววววว..เกิดกับจอซู+กบ
ลูกน้องกับลูกน้อง ไม่ใช่เสี่ยจิวกับคุณข้าว

เหอะๆ ห่างกันมาสิบปีคงจะยังไม่พอ
งั้นไม่เจอกันอีกสักสิบปีคงจะดี เน๊าะ

แก่เจอแก่กันล่ะคราวนี้
หุหุ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๘ : รักเกิดที่คาราโอเกะ || หน้า ๑๒ || ๒๘/๐๔/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 28-04-2017 20:19:52
จิว-ข้าว หายไปนานมากกเลย เสียดายรอบนี้ไม่ได้เจอกัน
  รออ่านตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๘ : รักเกิดที่คาราโอเกะ || หน้า ๑๒ || ๒๘/๐๔/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: appattap ที่ 28-04-2017 22:39:24
พอโตขึ้น เวลาผ่านไปอะไรๆก็เปลี่ยน
อยากให้เค้าได้เจอกันนน คิดถึงงทั้งคู่
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๘ : รักเกิดที่คาราโอเกะ || หน้า ๑๒ || ๒๘/๐๔/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-04-2017 03:00:20
แหม เสียดายจัง
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๘ : รักเกิดที่คาราโอเกะ || หน้า ๑๒ || ๒๘/๐๔/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 17-05-2017 21:19:08
จิว ข้าว หายไปนานมากล่ะนะ มาเถอะ คิดถึงมมากๆ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๘ : รักเกิดที่คาราโอเกะ || หน้า ๑๒ || ๒๘/๐๔/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: MissMay ที่ 18-05-2017 11:11:05
อ่านรวดเดียวจบ จะสมน่ำหน้าหรือเสียใจแทนต้นข้าวดี
แต่ที่แน่ๆ เสียดายจิว คิดไว้ซะว่าศีลไม่เสมอกันแล้วกันนะจิว
เพราะต้นข้าวนอกลู่นอกทางบ่อยมาก เอนไปตามลมตลอด
ทั้งๆ ที่จิวหนักแน่น ไม่เคยมองใคร เฮ้อออ  :เฮ้อ:

รอไรท์มาต่อนะคะ  :katai5:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๘ : รักเกิดที่คาราโอเกะ || หน้า ๑๒ || ๒๘/๐๔/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 20-05-2017 06:40:34
จากผู้เขียน  :hao3:

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านมากนะคะ
และต้องขออภัยที่ไม่ได้มาต่อเนื่อง

ช่วงก่อนหน้านี้ ผู้เขียนว่างจัด อยู่บ้านเฉยๆ
เลยมีเวลามากที่จะเขียนได้เยอะๆ และต่อเนื่อง
แต่พอบทจะมีงานขึ้นมา ก็มาติดๆ กันเลย
งานจ๊อบลากยาวมาสามอาทิตย์แล้วค่ะ
แต่คาดว่าหมดอาทิตย์นี้คงเบาลงแล้ว

เสี่ยจิว และ คุณข้าว ยังไม่ได้หายไปไหนนะคะ
รอก่อนน๊า...

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านมากๆ อีกครั้งค่ะ
แล้วจะรีบมาต่อนะคะ

ผู้เขียนก็อยากให้เสี่ยจิวกับคุณข้าว
ลงเอยกันเร็วๆ เสียที ฮ่าๆ

รอพบกันนะคะ

 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๘ : รักเกิดที่คาราโอเกะ || หน้า ๑๒ || ๒๘/๐๔/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 20-05-2017 07:26:01
 :ling1:

รออออออ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๘ : รักเกิดที่คาราโอเกะ || หน้า ๑๒ || ๒๘/๐๔/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 02-06-2017 18:41:01

MBK❤lover


(http://www.bloggang.com/data/k/kampong/picture/1485729585.jpg)


ตอนที่ ๓๙ : เราสัญญานะจิว เรายังสัญญา


          เสี่ยจิวเงยหน้ามองเหม่อไปที่โทรทัศน์ตรงหน้า ภาพในจอกำลังนำเสนอข่าวซ้ำๆ มาสองสามวันแล้ว ในเหตุการณ์เครื่องบินถูกผู้ก่อการร้ายบังคับเครื่องให้บินไปชนกับตึกแฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ บนเกาะแมนฮัตตั้น นครนิวยอร์ก ในวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๔๔ แล้วทั้งสองตึกนั้นก็ถล่มลงมาต่อหน้าต่อตาคนทั้งโลก

          ใช่ รวมทั้งถล่มใส่ธุรกิจรองเท้าของเสี่ยจิวด้วย เพราะเสี่ยจิวตั้งความหวังเรื่องส่งออกไว้มาก สัญญาครั้งนี้กำลังจะได้เซ็นภายในสองอาทิตย์นี้แล้วเชียว กลับต้องมาพังทลายลงไปพร้อมๆ กับตึกแฝดนั่น

          เสี่ยจิวเริ่มทำตาแดงๆ อันนี้จริงเขาเกือบจะฟื้นตัวได้แล้วจากภาวะ 'ต้มยำกุ้ง' หรือตอนฟองสบู่แตก เมื่อปี ๒๕๔๐ สามปีก่อน เครื่องจักรต่างๆ ในโรงงานนี้ต้องนำเข้ามาทั้งนั้น ดีที่ว่าได้ออเดอร์ลูกค้าจากไต้หวันมาล็อตใหญ่ล็อตหนึ่ง ถึงรอดช่วงนั้นมาได้

          "แล้วตอนนี้ล่ะ...กูตายแน่ โอย" เสี่ยจิวตาแดงๆ เอามือขึ้นขยี้ผมตัวเอง เมื่อนึกถึงภาวะการเงินในตอนนี้ของโรงงานรองเท้า T-Star ของเขา

          ................

          "เสี่ยๆๆ มีคนมาถามหาเสี่ยหน้าโรงงาน" ไอ้มินเดืองห์ชะโงกหน้าเข้ามาตะโกนบอกชายหนุ่มหน้าห้องทำงาน ทำหน้าตื่นๆ

          "ใครวะ ลูกค้าหรือ" ชายหนุ่มถาม หน้าตาดูมีความหวังขึ้นมา

          "ไม่น่าใช่นะเสี่ย เสี่ยลองคุยดูแล้วกัน" ไอ้มินเดืองห์มีประกายตาแปลกๆ

          ชายหนุ่มเดินตามมินเดืองห์ออกมาที่หน้าโรงงาน เห็นหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะรับแขก มีกระเป๋าเดินทางใบเล็กๆ มาด้วย ฝ่ายหญิงคนนั้นพอมองเห็นเสี่ย ก็รีบลุกขึ้นยืนด้วยความดีใจ

          "สวัสดีค่ะเสี่ย จำหนูได้ไหมคะ"

          "เอ่อ..." เสี่ยจิวเริ่มคลับคล้ายคลับคลา หญิงสาวคนนี้ดูคุ้นๆ --ไม่น่าใช่--

          "หนูไง ลำไยไงคะ ที่เราเจอกันในร้านน้องคาราโอเกะ"

          "เฮ้ยยย" ชายหนุ่มอุทานออกมา มิน่าว่าคุ้นๆ

          แต่เป็นเพราะว่าลำไยในวันนี้ ไม่ได้ทาแป้งขาวหน้าลอยหนาเตอะแบบเมื่อคืนนั้นแล้ว เผยให้เห็นผิวธรรมชาติ ซึ่งค่อนข้างจะดูดีกว่า ไม่ได้ดูเป็นสาวกร้านโลกเริงราตรีแบบตอนนั้น และอยู่ในชุดแต่งตัวแบบหญิงสาวบ้านๆ ทั่วไป จึงดูเป็นหญิงสาวสามัญธรรมดาที่ค่อนข้างจะดูดี เรียบร้อย

          "แล้วไปไงมาไง ทำไมมาถึงนี่ได้" ชายหนุ่มถาม พร้อมทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาข้างๆ กัน

          "ก็หนูโทรหาคุณจอซูไงคะ เขาให้เบอร์หนูไว้คืนนั้นค่ะ"

          "ไอ้จอซู!! ฮึ่มๆ" ชายหนุ่มครางออกมา "แล้วยังไงนี่ เธอมีธุระอะไรหรือเปล่า มาถึงนี่"

          "เอาง่ายๆ เลยนะคะ หนูจะมาขอเสี่ยทำงานที่นี่ค่ะ หนูขนเสื้อผ้ามาแล้ว" ลำไยพูดพร้อมทั้งส่งยิ้มหวาน

          ชายหนุ่มเอามือขึ้นก่ายหน้าผาก ทำตาเหลือกขึ้นข้างบน ลำไยมองตามแล้วแอบอมยิ้มพลางนึกในใจ 'คนหน้าตาดีทำอะไรก็ดูดีไปหมดเนอะ ทำตาเหลือกยังดูดี'

          "โอย จะมาทำงานอะไร โรงงานจะเจ๊งอยู่แล้วนี่ ออเดอร์ก็ไม่มี"

          "ให้หนูทำอะไรก็ได้ค่ะ ทำความสะอาด ทำกับข้าว ซักผ้าอะไรก็ได้ หนูไม่อยากทำงานกลางคืนแล้วค่ะ" ลำไยเขย่าแขนชายหนุ่ม "ช่วงแรกๆ หนูยังไม่เอาเงินเดือนก็ได้ค่ะเสี่ย"

          เสี่ยจิวมองหน้าลำไยอย่างใช้ความคิด ก็ดีเหมือนกันนะ ที่นี่มีแต่ผู้ชายล้วน งานการข้าวของก็ไม่เรียบร้อยตามประสาผู้ชาย ถ้ามีคนงานผู้หญิงมาเป็นแม่บ้านบ้างมันก็น่าจะเรียบร้อยขึ้น

          "นึกซะว่าให้ชีวิตใหม่หนูแล้วกันนะคะเสี่ย หนูเห็นเสี่ยเอาหัวปลาช่อนแป๊ะซะกลับบ้าน หนูก็คิดได้ว่าเสี่ยต้องเป็นคนมีความคิดดี มีหัวคิดทางธุรกิจที่ดี หนูเลยมาขอเป็นที่พึ่งค่ะ"

          "เอา...จะเอางั้นก็ได้ แต่ชั้นจะไม่ใช้งานเธอฟรีๆ หรอกนะ เธอก็พักที่นี่ได้ มีห้องพักคนงานเหลือเฟือ อาหารการกินก็กินด้วยกันที่นี่เป็นกงสี ส่วนเงินเดือนเธอ ช่วงแรกชั้นจะให้เธอครึ่งหนึ่งก่อน ไว้โรงงานดีขึ้นชั้นจะเพิ่มให้นะ ตกลงไหม"

          ลำไยยิ้มกว้างออกมา ผวาเข้ามาพนมมือขอบคุณแทบจะถึงตักของชายหนุ่ม เสี่ยจิวสะดุ้งเฮือกรีบเอามือกุมกลางตักตัวเองไว้อย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสายตาของมินเดืองห์ที่ยืนมองขำอยู่

          "เอ้า ไอ้มินเดืองห์ เอ็งพาลำไยไปห้องพักด้านหลังนะ ขาดเหลืออะไรในห้องพักก็ไปหยิบเอามาใช้จากโกดังเก็บของแล้วกัน และไปชี้ให้ลำไยดูด้วยว่าต้องทำอะไรที่นี่บ้าง"

          "ครับเสี่ย" มินเดืองห์รับคำ พร้อมทั้งพาลำไยเดินไปทางด้านหลังโรงงาน

          ชายหนุ่มมองตาม พร้อมทั้งส่ายหัวไปมาน้อยๆ เออเนาะ ชะตาชีวิต... เรื่องไม่ได้คาดคิดมันก็เกิดขึ้นง่ายๆ แต่ไอ้เรื่องที่ตั้งใจคิด มันกลับทำไม่ได้ และเหมือนจะไม่มีวันเกิดขึ้น

          เหมือนเรื่องคนรัก เรื่องแฟน เรื่องคนที่อยากให้มายืนเคียงข้างในวันที่เขาล้มเหลว ผิดหวัง สิ้นสูญ เขาก็อยากให้มีใครสักคนมายืนอยู่ด้วย พร้อมให้คำปรึกษา หรือแม้แต่แค่จับมือเขาเบาๆ พร้อมกับกระซิบว่า ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไร...ผมจะอยู่เคียงข้างคุณ

          เสี่ยจิวคิดถึงใบหน้าใครคนหนึ่งเหลือเกิน  คิดถึง  และคิดถึง

          --------------------

          คุณข้าว เดินก้าวยาวๆ ออกมาจากห้องประชุมบนชั้น ๗ ห้าง MBK หลังจากมารับบรีฟงานอีเว้นท์จากทางห้างที่จะมีขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้า ชายหนุ่มได้งานอีเว้นท์หลายงานจากที่นี่มาก่อนแล้ว จนวางใจใช้งานกันเรื่อยๆ งานเล็กบ้างงานใหญ่บ้างแล้วแต่วาระโอกาส

          ห้างนี้พึ่งเปลี่ยนชื่อจาก 'ศูนย์การค้ามาบุญครอง' มาเป็น 'MBK Center' เมื่อไม่กี่เดือนมานี้เอง รวมทั้งเปลี่ยนวัสดุรอบตึก จากหินอ่อนทั้งตึก กลายมาเป็นวัสดุสีเงินแวววาวรอบตึก ดูล้ำสมัยในเวลานั้นมาก มันเป็นส่วนหนึ่งของการปรับปรุงห้างครั้งใหญ่เพื่อต้อนรับ 'ปีมิลเลนเนียม' หรือปี Y2K ค.ศ. 2000 ที่ผ่านมา

          ชายหนุ่มเดินออกมาถึงนอกตึก ตั้งใจว่าจะมาดูลานกว้างด้านข้างศาลพระภูมิของห้าง ที่จะเป็นที่ตั้งของกิจกรรมอีเว้นท์นั้น ซึ่งตอนนี้มีวัยรุ่นมาเล่นเสก็ตบอร์ดกันอยู่เป็นกลุ่มๆ

          เขาเดินวนๆ อยู่แถวนั้นสักครู่ พยายามจะคิดว่าจะมีลูกเล่นอะไรในกิจกรรมนั้นดี แล้วเหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่ง ชายหนุ่มจึงเดินออกไปทางซอยด้านข้าง หลังตึก

          ซอยนี้ ครั้งหนึ่งนานแสนนานมาแล้ว เขาเองแหล่ะที่เป็นคนชวนเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่ง มานั่งมองตึกมาบุญครองที่กำลังก่อสร้างเกือบเสร็จตรงนี้ แต่ปัจจุบันนี้มันกลายเป็นถนนเล็กๆ ที่ไว้สำหรับให้รถยนต์ของลูกค้าเลี้ยวเข้ามาเพื่อขึ้นอาคารจอดรถของห้าง

          ชายหนุ่มพยายามมองหาที่ตั้งของม้านั่งยาวที่เคยมานั่งด้วยกัน แต่ด้วยเวลาที่ผ่านมา ๑๗ ปีแล้ว มันจึงไม่เหลือสภาพนั้นโดยสิ้นเชิง มันมีแต่เพิงเล็กๆ ตรงปากซอย ที่มีวินมอเตอร์ไซด์รับจ้างจับจองพื้นที่อยู่หลายคัน

          คุณข้าวแหงนมองตึกขึ้นไปในตำแหน่งที่คิดว่าใกล้เคียงที่สุดกับในอดีต ภาพที่เห็นบนอาคารห้าง มันก็เปลี่ยนไปทั้งหมด 'นครหินอ่อนใจกลางเมือง' มันหายไปหมดแล้ว ในปี พ.ศ. นี้ ใครกันจะมาปูผนังอาคารด้วยหินอ่อนล้วนๆ มันไม่มีแล้ว มันตกยุค พ้นสมัย และไม่ได้รับความนิยมอีกต่อไป

          ภาพที่เห็น มันคือวัสดุสีโลหะเงินเป็นมันวาว เรียงเส้นกราฟฟิคล้อมรอบตึกอย่างล้ำสมัย ส่วนหน้าของตึกด้านสี่แยกปทุมวัน มีตัวอักษรชื่อตึกแบบสมัยใหม่ใหญ่โต เขียนว่า 'MBK' ดูวัยรุ่น ดูเปรี้ยวจี๊ดจ๊าด ไม่ได้ดูสง่าแบบขรึมๆ โบราณ เหมือนครั้งแรกที่สร้างแล้ว

          แต่ถึงภาพจะเปลี่ยนไปเพียงใด  ตัวบุคคลก็ยังเป็นคนๆ เดิม หัวใจดวงเดิม และเมื่อเขากลับมายืนอยู่ที่เดิมตรงนี้ ความทรงจำครั้งเก่าต่างๆ ก็พรั่งพรูออกมา ชายหนุ่มยังนึกถึงรอยจูบที่บริสุทธิ์แรกของชีวิต ณ ตรงนี้ พร้อมๆ กับคำมั่นสัญญาของเด็กหนุ่มสองคนที่นั่งจับเข่าจ้องหน้ากันอยู่...

          ---แว่น สัญญากะกูก่อนนะ มึงกับกูต่างคนก็ไม่เคยกับเรื่องแบบนี้  สัญญาก่อนนะว่าเราจะลองเดินไปด้วยกัน จับมือกันไป ผิดถูกช่างมัน ถ้ามึงมองไม่เห็น กูก็จะจูงมึง และถ้าวันไหนกูล้ม มึงก็ดึงกูขึ้นนะแว่น สัญญานะ---

         "อื่อ สัญญา" คุณข้าวเผลอรับคำออกมาเบาๆ

          "คุณข้าวคะ!! มาอยู่ตรงนี้เอง เดินหาตั้งนาน แล้วนี่คุณข้าวพูดอยู่กับใครคะ"

          เสียงแหลมๆ หนึ่งดังขัดจังหวะขึ้นมา ชายหนุ่มสะดุ้งและหันกลับไปมอง อัญชุลี เลขาฯ ของเขาเองที่ยืนอยู่ข้างหลัง และตอนนี้นางกำลังทำหน้าตื่นเหรอหรา พร้อมทั้งชะโงกหัวไปมามองหาอะไรสักอย่าง

          "เอ่อ อ้อ ปะ เปล่าๆ" ชายหนุ่มทำหน้าเก้อๆ พร้อมเอามือขึ้นเกาหัว "มีอะไรอัญชุลี"

          "เปล่าค่ะ เห็นเดินออกมาจากห้องประชุม ชุลีเลยเดินตามมาที่ลานจัดงาน แต่ไม่ทัน เดินวนหาตั้งนาน จนมาเจอนี่ล่ะค่ะ"

          "อ้อ ดีแล้ว เอาเอกสารมาหมดแล้วใช่ไหม งั้นก็กลับกันเถอะ" ชายหนุ่มพยายามทำหน้าปกติ

          อัญชุลีเดินนำฉับๆ ไปทางอาคารจอดรถ ก่อนหันหลังกลับชายหนุ่มแหงนขึ้นไปมองอาคารห้างอีกครั้ง แสงแดดยามเย็นส่องเฉียงมากระทบวัสดุสีเงินรอบอาคาร MBK สะท้อนแสงแวววาว เขาพูดออกมาเบาๆ

          "ตอนที่เกิดเรื่องรถไฟชนหัวลำโพง เราต้องปิดตา มองอะไรไม่เห็น เธอก็ช่วยจูงช่วยดูแลเราแล้ว แต่เราสิ ยังไม่ได้ทำตามสัญญาของเธอให้ครบเลย เราสัญญานะจิว...เรายังสัญญา"

          --------------------

          ห้องทำงานในโรงงานรองเท้านั้นไม่ได้เปิดแอร์เหมือนอย่างเคย แต่กลับมีพัดลมมาตั้งอยู่แทนที่ ไม่ใช่เพราะอากาศมันเย็นอยู่แล้วหรอก แต่เจ้าของกลัวเปลืองค่าไฟ ถึงแม้จะต้องนั่งเหงื่อแตกซ่ก ต้องถอดเสื้อตัวนอกออก เหลือแต่เสื้อกล้ามสีดำตัวเดียวก็ตาม แต่กล้ามเนื้อที่พ้นเสื้อออกมา มันก็ทำให้เป็นภาพที่น่ามองมากสำหรับลำไย ที่ทำความสะอาดห้องไป แอบชำเลืองมองกล้ามแขนของเสี่ยจิวไป

          ชายหนุ่มนั่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน ตาเหม่อลอย และเปลี่ยนท่านั่งบ่อย บางทีก็ยกมือขึ้นมาประสานบนหัวบ้าง บางทีก็ปิดหน้าฟุบลงไปบนโต๊ะก็มี ลำไยชักใจคอไม่ค่อยดี คิดเตลิดไปถึงว่าเจ้านายใหม่ตัวเองจะถึงกับลุกขึ้นมาผูกคอตายหรือเปล่า ด้วยสาเหตุจากธุรกิจไม่ดี หรือไม่ก็อยู่ดีๆ จะเปิดลิ้นชักหยิบปืนออกมาจ่อเปรี้ยงเข้าที่หัวเหมือนในหนัง

          "เสี่ยจิวคะ เสี่ยจิว" นางค่อยๆ เรียก

          ชายหนุ่มผงกหัวขึ้นมามอง ทำสีหน้าเหมือนมีคำถามว่าอะไร

          "เสี่ยอยากกินอะไรไหมคะ ลำไยจะออกไปซื้อมาทำให้ หรือจะกินแป๊ะซะปลาช่อนก็ได้ ลำไยทำเป็น เอาไหมคะ"

          เสี่ยจิวยิ้มออกมาที่มุมปาก "จะบ้าเร๊อะ ถึงขนาดจะต้องทำแป๊ะซะปลาช่อนในบ้าน หม้อฟงหม้อไฟอะไรเราก็ไม่มี ไม่เอาเว้ย"

          "แห่ะๆๆ ค่ะเสี่ย"

          คราวนี้ชายหนุ่มเลยนั่งมองค้างอยู่แบบนั้น นั่งมองลำไยเช็ดโซฟาในห้องทำงานเขา ดูหน่วยก้านการทำงานก็ไม่เลว ไม่ได้เช็ดแบบลวกๆ แต่ตั้งอกตั้งใจถูแม้กระทั่งในซอกข้างๆ สักพักเขาก็เห็นไอ้มินเดืองห์เดินถือถังน้ำมาเปลี่ยนให้ลำไย ไอ้มินเดืองห์เห็นเขาจ้องมองอยู่ก็ยิ้มแห้งๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร กลับนั่งยองๆ ลงไปคุยซุบซิบกับลำไยแทน

          'มันชักจะยังไงยังไงวะ คู่นี้' ชายหนุ่มคิดในใจ

          "ไอ้มินเดืองห์" เขาเรียกลูกน้องคนสนิท

          "ครับนาย"

          "ไอ้จอซูมันไปไหน พักนี้ไม่เห็นหน้าเห็นตา"

          "เอ่อ ผมเห็นมันนั่งคุยโทรศัพท์ครับนาย ไม่รู้คุยกับใคร พักนี้คุยเยอะมาก ดึกดื่นยังนอนโทรคุยอยู่เลย"

          "เหอะ!! ญาติบนดอยมันคงมีธุระมากสินะ ถึงต้องคุยขนาดนั้น" ชายหนุ่มประชดเข้าให้

          มินเดืองห์ไม่ได้ตอบอะไรเจ้านาย จนเขาเอ่ยขึ้นมาอีก "เออ แล้วนี่รองเท้าแตะในสต๊อกเราที่เก็บในโกดังเหลืออยู่เท่าไร"

          "ประมาณสักหกพันคู่ครับ" มินเดืองห์ตอบเสียงค่อยๆ

          "หา!!! เหลืออีกหกพันคู่!" ชายหนุ่มทำตาเหลือก

          "ครับ หกพันคู่ ส่วนใหญ่เป็นเบอร์ของผู้หญิง และมันเป็นสีแดงด้วย ขายยากครับ"

          "ก็สีแดงทางฝรั่งอเมริกามันชอบนี่หว่า นี่ทำขึ้นมาเพื่อส่งออก ตายๆๆ ขายไม่ออก เงินข้ากองอยู่ในโกดังครึ่งล้านบาทเลยนะนั่น"

          มินเดืองห์ก็ไม่รู้จะตอบเจ้านายว่าอย่างไร ได้แต่กลอกตาไปมา แถมตัวเจ้านายเอง ก็เอามือเกาหัวแกรกๆ มากขึ้น จนหัวยุ่งไปหมดแล้ว

          "เอ่อ เสี่ยคะ" ลำไยเรียกมาเบาๆ

          "ว่าไง" เสี่ยจิวขานรับโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา

          "ลำไยมีญาติเปิดร้านขายรองเท้าที่ห้างมาบุญครอง เป็นล็อคเล็กๆ ให้ลำไยเอารองเท้าไปฝากเค้าวางขายไหมคะ"

          "เค้าเปลี่ยนชื่อเป็น MBK Center แล้วเธอ ไม่ได้ชื่อห้างมาบุญครองแล้ว โอ้ย แล้วมันจะช่วยอะไรได้เนี่ย จะขายได้กี่คู่กัน" เสี่ยจิวทำหน้าสิ้นหวัง

          ลำไยนิ่งคิดอยู่ครู่ใหญ่ หันไปมองหน้ามินเดืองห์เป็นระยะ แล้วค่อยๆ อ้อมๆ แอ้มๆ บอกกับเสี่ยจิวว่า

          "เสี่ยคะ คืองี้ หนูก็เป็นผู้หญิง รักสวยรักงาม ตามบ้านนอกที่หนูจากมา เค้าก็ชอบแต่งตัวสีแปร๊ดๆ สดๆ กันนะคะ แต่มันต้องออกน่ารักๆ สมกับผู้หญิงหน่อย"

          "แล้วยังไงต่อ" คราวนี้ชายหนุ่มเริ่มสนใจ และเงยหน้าขึ้นมามองลำไยอย่างจริงๆ จังๆ

          "คือว่า คือ...รองเท้าในโกดังนั่นหนูไปเห็นมาแล้ว มันเป็นสีแดงไซส์ผู้หญิงก็จริง แต่มันเป็นแบบสวมหัว ไม่ใช่แบบรองเท้าแตะหนีบ แถมตรงแถบที่สวมมันเป็นลายทางแดง-ขาว อีก มันดูแข็งไปค่ะ คนไทยบ้านนอกๆ อย่างพวกหนูไม่น่าจะชอบ ตอนนี้เค้าฮิตแบบดาราหญิงญี่ปุ่นใส่กันค่ะ"

          เสี่ยจิวและมินเดืองห์มองจ้องไปที่ลำไยอย่างทึ่งๆ ชายหนุ่มถึงกับนึกดีใจที่รับลำไยมาทำงานด้วย เพราะอย่างน้อยที่สุดนางก็ช่วยออกความเห็นบ้าง ไม่เหมือนไอ้สองคนนี่ที่อยู่ด้วยกันมานาน มันทำงานดีก็จริง แต่ไม่ได้มีไอเดียสำหรับช่วยคิดอะไรเลย

          "แล้วจะให้ข้าทำยังไงดี" เสี่ยจิวถามเอาจริงเอาจัง

          "เสี่ยลองเปลี่ยนแค่ตรงแถบที่สวมได้ไหมคะ ส่วนตรงพื้นรองเท้าก็เอาไว้แบบนั้น เปลี่ยนตรงที่สวม เค้าเรียกอะไรหนูก็ไม่รู้ แต่ทำให้มันเป็นลายน่ารักๆ กุ๊กกิ๊ก หวานแหววแบบญี่ปุ่นหน่อย จะขายดีมากนะคะ จะเป็นลายหมูหมากาไก่การ์ตูนอะไรก็ได้ค่ะ"

          ลำไยแนะนำเสร็จก็ยิ้มให้ชายหนุ่ม และพร้อมกันนั้นนางก็ทำความสะอาดห้องทำงานนี้เสร็จพอดี จึงเริ่มเก็บไม้กวาดและผ้าขี้ริ้วมาถือไว้ โดยมีเจ้ามินเดืองห์กุลีกุจอช่วยหิ้วถังน้ำและถุงขยะเดินตามกันออกไปต้อยๆ

          ชายหนุ่มมองตามหลังคนทั้งสองไปอย่างครุ่นคิด คำแนะนำของลำไยก็มีประโยชน์ เขามาคิดๆ แล้วก็จริงอย่างที่นางว่า เพราะแต่เดิมเขาผลิตรองเท้าแตะรุ่นนี้ออกมาก็เพื่อจะส่งออกไปแถบอเมริกา แต่ในเมื่อธุรกิจพังไปพร้อมๆ กับตึกแฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ก็ควรต้องหันมาเปลี่ยนเป็นตลาดเอเซียแทน และตอนนี้เทรนด์นิยมก็เป็นญี่ปุ่นที่กำลังครองโลกอยู่ด้วย

          เสี่ยจิวหมุนเก้าอี้ที่นั่งทำงานไปข้างหลัง ตามองขึ้นไปที่ชั้นวางของติดผนัง บนนั้นประดับไปด้วยกรอบรูปต่างๆ มีหิ้งวางพระพุทธรูปอยู่ตรงกลาง มีโล่ประกาศเกียรติคุณจำพวกผู้ส่งออกยอดเยี่ยมประดับอยู่ รวมทั้งตุ๊กตุ่นตุ๊กตาที่ระลึกต่างๆ

          เสียงลำไยที่แนะนำเมื่อกี้ยังแว่วอยู่ในหู ---ทำให้มันเป็นลายน่ารักๆ กุ๊กกิ๊ก หวานแหววแบบญี่ปุ่นหน่อย จะเป็นลายหมูหมากาไก่การ์ตูนอะไรก็ได้ค่ะ---

          ชายหนุ่มกวาดตามองไปทั่วๆ บนชั้นวางของ แล้วสายตาก็ไปปะทะกับของสิ่งหนึ่งบนนั้น มันถูกวางไว้นานจนลืม แต่ตอนนี้มันโดดเด่นจนเหมือนมีประกายของเรื่องราวอะไรบางอย่างพุ่งออกมา ชายหนุ่มลุกจากเก้าอี้ แล้วเดินไปหยิบมันมาถือไว้ในมือ

          --------------------

          คุณข้าวนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะที่ทำงานแบบสบายๆ มันคือโต๊ะอเนกประสงค์ ที่เป็นทั้งโต๊ะอาหารได้ เป็นโต๊ะประชุมก็ได้ รวมทั้งเป็นโต๊ะนั่งเล่นไพ่ยามว่างก็ได้เช่นกัน เพราะนี่เป็นทั้งออฟฟิต และเป็นบ้านของคุณข้าวไปในตัว

          วันนี้ทางบริษัทของคุณข้าวมีประชุมย่อยๆ กันในหัวข้องานอีเว้นท์ที่จะจัดขึ้นในลานกิจกรรมของห้าง MBK ผู้เข้าประชุมจึงมีคุณข้าวเป็นหัวหน้าประชุม มีอัญชุลี เลขาฯ และผู้ช่วย มีหนุ่มๆ อีกสองคนที่เป็นฟรีแลนซ์ในเรื่องการทำฉากและเวที รวมทั้งอีกคนหนึ่งเป็นแผนกไฟและเครื่องเสียง

          "แล้วนี่กบไปไหน ทำไมยังไม่มาประชุม" คุณข้าวหันซ้ายหันขวา มองหาเจ้าคนที่ว่า

          "เห็นนั่งคุยโทรศัพท์อยู่ค่ะ คุยตั้งนานแล้ว ไม่วางสายสักที สองสามวันนี้คุณกบคงมีงานคุยกับลูกค้าเยอะมั้งคะ" อัญชุลีประเมินเอาจากสิ่งที่เห็น

          "ลูกค้าบ้าอะไรล่ะ กบมันมีหน้าที่คุยกับลูกค้าซะที่ไหนล่ะ เธอก็พูดไปเรื่อยเปื่อย" ชายหนุ่มเอ็ดอัญชุลีแบบไม่จริงจังนัก

          "แต่ช่างมันเถอะ มาๆ เริ่มกันเลย เอาเรื่องงานที่ MBK ก่อนนะ ที่คุยค้างไว้ เราตกลงเป็นงานแนวญี่ปุ่นนะ ในชื่องาน J-Trends in Town 2001 มีออกบูทขายของเกี่ยวกับญี่ปุ่น มีแต่งคลอสเพลย์แบบเด็กญี่ปุ่น มีแฟชั่นโชว์เสื้อผ้าแนวญี่ปุ่นนะ มา...ว่ากันเป็นหัวข้อเลย"

          .................

          หลังจากการประชุมอันยาวนานเกือบสามชั่วโมงจบลง ผู้เข้าประชุมก็แยกย้ายกันกลับบ้าน คุณข้าวเดินออกมาที่ห้องรับแขก เห็นกบกำลังวางสายโทรศัพท์พอดี ชายหนุ่มทำตาขวางขึ้นมาทันที

          "เฮ้ยๆๆ นี่มันยังไงกัน งานการไม่ช่วยทำเลยหรือไงไอ้กบ ห่ะ!!"

          กบเงยขึ้นมองหน้าคุณข้าว แล้วทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม ก้มหน้างุดลงไปต่อ

          "จะคุยโทรศัพท์อะไรนักหนา งานวุ่นวายมากหรือยังไง โทรหาใครเนี่ย" ชายหนุ่มยังไม่จบ

          "เปล่าครับคุณข้าว" กบตอบตะกุกตะกัก "กบโทรคุยกับเพื่อนครับ"

          ชายหนุ่มหน้าเขียวขึ้นมาทันที "คุยกับเพื่อน!! เอ็งคุยกับเพื่อนสามชั่วโมงตั้งแต่ก่อนข้าเข้าประชุม จนจบสามชั่วโมงเนี่ยนะ ห๊า!!"

          กบหัวเราะแห่ะๆ ไม่ตอบอะไร

          "มานี่ ตามมานี่ มาที่ห้องทำงานข้าหน่อย" พูดจบชายหนุ่มก็เดินนำไปที่ห้องทำงานของตนเอง

          ห้องทำงานของคุณข้าวใน 'บริษัท สมใจนึก ออร์กาไนซ์ แอนด์ โมเดลลิ่ง' ซึ่งตั้งอยู่ในบ้านตัวเอง อยู่ห้องหน้าสุดของบ้าน มีหน้าต่างบานใหญ่มองออกไปเห็นสวนหย่อมน้อยๆ ข้างบ้านได้ ข้าวของในห้องทำงานตกแต่งแบบร่วมสมัย ดูสบายๆ แต่ตอนนี้ค่อนข้างรกไปด้วยแฟ้มเอกสารต่างๆ รวมทั้งโมเดลตัวอย่างรูปแบบเวทีหลากหลายกองสุมอยู่

          "เมื่อกี้ประชุมมา เรื่องรายละเอียดของงานเดี๋ยวเอ็งไปถามเอาจากอัญชุลีแล้วกัน แต่ที่ข้าอยากได้ก่อนตอนนี้ คือช่วงคลอสเพลย์ของเด็กๆ ที่จะให้แต่งตัวแบบญี่ปุ่นนี่ ทางห้างไม่ให้ใส่เกี๊ยะไม้แบบญี่ปุ่น เพราะเค้าว่าจะทำให้พื้นห้างเค้าเป็นรอย" คุณข้าวร่ายยาวเรื่องงานให้กบฟัง ทำตาปริบๆ

          "เอ็งไปเดินหาซื้อตัวอย่างรองเท้าแตะ พื้นเป็นฟองน้ำน่ารักๆ มาหน่อย แบบที่ใส่กับชุดญี่ปุ่นได้น่ะ และพื้นห้างจะได้ไม่เป็นรอยด้วย ทำได้ไหม เรื่องแค่นี้"

          "โอ้ย สบายมากครับคุณข้าว" กบรับคำแทบจะทันที คุณข้าวชะงักเงิบไปชั่วขณะ

          "อะไรของเอ็ง ทำไมรับคำง่ายๆ อย่างนี้ล่ะ ปกติใช้ให้ไปทำอะไร เห็นลีลาโยกโย้อิดออดอยู่นั่นแล้ว นี่กินยาอะไรผิดไปหรือเปล่า"

          กบหัวเราะหน้าใสนำมาก่อน "หายห่วงครับเรื่องรองเท้านี้ เดี๋ยวสายๆ พรุ่งนี้ผมเอาตัวอย่างมาให้ดูเลยหลายๆ แบบ จะเอาสักร้อยคู่ก็ยังได้"

          "เออ ให้มันจริงอย่างปากว่าเถอะ อย่าขี้คุยให้มันมากนัก ปกติไม่เห็นจะได้เรื่องได้ราวอะไร จะมามั่นใจอะไรกับเรื่องรองเท้าแตะเนี่ย พิลึกคนจริงๆ เอ็งนี่ ไปไป๊ ไปได้แล้ว ข้าจะพิมพ์งานต่อ"

          คุณข้าวมองตามกบ ญาติผู้น้องที่เดินผิวปากอารมณ์ดีออกไปจากห้องทำงานตัวเองแล้วส่ายหัวเบาๆ --มันไปเอาความมั่นใจมาจากไหน แต่ก็ดีเหมือนกัน--

          ชายหนุ่มก้มลงไปมองเอกสารที่กำลังร่างอยู่ อ่านชื่อห้าง MBK บนหัวกระดาษนั่น แต่ไม่ได้นึกไปถึงงานที่จะจัดขึ้นที่นั่นหรอก กลับไปนึกถึงเหตุการณ์ที่ตนเองไปยืนระลึกถึงความหลังตรงข้างอาคารของห้างเมื่อเย็นวันก่อน

          เขากำลังคิดถึง...คิดถึงจริงๆ


หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๙ : เราสัญญานะจิว เรายังสัญญา || หน้า ๑๒ || ๒/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 02-06-2017 19:24:34
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๙ : เราสัญญานะจิว เรายังสัญญา || หน้า ๑๒ || ๒/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 02-06-2017 19:34:49
เราก้อยังตามอ่านมาเรื่อยๆนะ

รอจิวเจอข้าว.   

 :katai2-1:  :katai2-1:   :katai2-1:  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๙ : เราสัญญานะจิว เรายังสัญญา || หน้า ๑๒ || ๒/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-06-2017 19:37:40
 :3123: ได้อ่านต่อแล้ว
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๙ : เราสัญญานะจิว เรายังสัญญา || หน้า ๑๒ || ๒/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 02-06-2017 19:50:56
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๙ : เราสัญญานะจิว เรายังสัญญา || หน้า ๑๒ || ๒/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 02-06-2017 20:03:33
 :L2: :pig4:

คิดถึงมากๆเลย คุณคนเขียนสบายดีไหม ขอบคุณกับตอนนี้
ทุกคนก็ดิ้นลนกันไป
ลุ้นเขาจะได้เจอกันในงานไหม กบ นี่จะเป็นกามเทพไหม เราคิดไปแล้ว
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๙ : เราสัญญานะจิว เรายังสัญญา || หน้า ๑๒ || ๒/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ajkub ที่ 02-06-2017 22:31:28
ติดตามอย่างต่อเนื่อง เรื่องนี้ดีเยี่ยมครับ ^^ o13
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๙ : เราสัญญานะจิว เรายังสัญญา || หน้า ๑๒ || ๒/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 02-06-2017 22:44:40
 มีพนักงานหญิงมาทำงานแล้วต่อไปไม่ต้องห่วงเรื่องอาหารล่ะนะ 555
 จิวกับข้าวจะได้เจอกันแล้ว ลุ้นไปก่อนเลย 555  รออ่านตอนต่อไป
  ดีใจที่ได้อ่านอีก ขอเป็นกำลังใจให้ผู้แต่งผ่านเรื่องต่างๆได้โดยง่ายนะคับ
 
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๙ : เราสัญญานะจิว เรายังสัญญา || หน้า ๑๒ || ๒/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: appattap ที่ 03-06-2017 12:26:31
คิดถึงจิวกับต้นข้าววว คิดถึงคนแต่งด้วยย
อีกไม่นานจะได้เจอกันแล้วนะ คิดถึงจริงๆ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๙ : เราสัญญานะจิว เรายังสัญญา || หน้า ๑๒ || ๒/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 03-06-2017 23:10:23
ลืมไปเลยว่าเคยรักกัน
ให้เป็นความฝันที่แค่คุ้นเคย

ยังโกรธแทนจิวไม่หาย
คนอะไรใจโลเล

ชิสสสสสสสส
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๙ : เราสัญญานะจิว เรายังสัญญา || หน้า ๑๒ || ๒/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: graciej ที่ 04-06-2017 10:20:27
ข้าวได้รับบทเรียน แต่จิวก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๙ : เราสัญญานะจิว เรายังสัญญา || หน้า ๑๒ || ๒/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: MissMay ที่ 04-06-2017 20:15:32
ยังไงก็อยากให้จิวรักกับคนอื่นดีกว่า เอาจริงๆ ไม่ชอบคนโลเล
แล้วยังทำท่าน่าเกลียดตอนเลิกกันอีก ยอมใจ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๙ : เราสัญญานะจิว เรายังสัญญา || หน้า ๑๒ || ๒/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 06-06-2017 13:46:34
:3123: :pig4: :3123:

= ขอบคุณมากฮะ


เราก้อยังตามอ่านมาเรื่อยๆนะ

รอจิวเจอข้าว.   

 :katai2-1:  :katai2-1:   :katai2-1:  :katai2-1:

= ขอบคุณมากฮะ มาลุ้นๆ ให้เจอกันไวไวเนอะ


:3123: ได้อ่านต่อแล้ว

= มาแล้ว มาแล้ว อิอิ


:pig4: :pig4: :pig4:

= ขอบคุณมากนะฮะ


:L2: :pig4:

คิดถึงมากๆเลย คุณคนเขียนสบายดีไหม ขอบคุณกับตอนนี้
ทุกคนก็ดิ้นลนกันไป
ลุ้นเขาจะได้เจอกันในงานไหม กบ นี่จะเป็นกามเทพไหม เราคิดไปแล้ว

= คนเขียนสบายดีฮะ ขอบคุณมากๆ นะฮะ ส่วนคุณ Billie ก็สบายดีเนอะ น่ารักที่สุด เดาทางเก่งฮะ อิอิ


ติดตามอย่างต่อเนื่อง เรื่องนี้ดีเยี่ยมครับ ^^ o13

= ขอบคุณมากๆ จากใจจริงนะฮะ


มีพนักงานหญิงมาทำงานแล้วต่อไปไม่ต้องห่วงเรื่องอาหารล่ะนะ 555
 จิวกับข้าวจะได้เจอกันแล้ว ลุ้นไปก่อนเลย 555  รออ่านตอนต่อไป
  ดีใจที่ได้อ่านอีก ขอเป็นกำลังใจให้ผู้แต่งผ่านเรื่องต่างๆได้โดยง่ายนะคับ

= ดีใจที่ผู้อ่านไม่ทิ้งกันไปไหนเช่นกันจ้า ลุ้นๆ กันเนอะฮะ จะเจอกันหรือยังสองหนุ่มนี่ อิอิ ขอบคุณคุณมากเลยนะฮะ


คิดถึงจิวกับต้นข้าววว คิดถึงคนแต่งด้วยย
อีกไม่นานจะได้เจอกันแล้วนะ คิดถึงจริงๆ

= คิดถึงคุณผู้อ่านเช่นเดียวกันจ้า น่ารักที่สุด ขอบคุณมากนะฮะ


ลืมไปเลยว่าเคยรักกัน
ให้เป็นความฝันที่แค่คุ้นเคย

ยังโกรธแทนจิวไม่หาย
คนอะไรใจโลเล

ชิสสสสสสสส

= แงๆๆๆ //ร้องไห้  สงสารต้นข้าวเถิดนะฮะ อิอิอิอิ


ข้าวได้รับบทเรียน แต่จิวก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน

= ขอให้อดีตเป็นบทเรียนเนอะ แต่ไม่รู้จะสายไปหรือเปล่าอ่า ขอบคุณมากนะฮะ


ยังไงก็อยากให้จิวรักกับคนอื่นดีกว่า เอาจริงๆ ไม่ชอบคนโลเล
แล้วยังทำท่าน่าเกลียดตอนเลิกกันอีก ยอมใจ

= แงๆๆ สงสารต้นข้าวด้วยเถิด นะฮะ ให้โอกาสนะ นะ นะ


........................


และขอบคุณผู้อ่านทุกท่านด้วยนะฮะ


 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๓๙ : เราสัญญานะจิว เรายังสัญญา || หน้า ๑๒ || ๒/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 06-06-2017 13:50:06

MBK❤lover


(http://www.bloggang.com/data/k/kampong/picture/1485729585.jpg)


ตอนที่ ๔๐ : นายแบบเปลือยและรองเท้าแตะสีแดง


          วันนี้คุณข้าวมีนัดกับเพื่อนเก่าที่สตูดิโอแห่งหนึ่งแถวรังสิต เพื่อจะไปแคสติ้งนางแบบและนายแบบวัยรุ่น มาแต่งคอสเพลย์ชุดญี่ปุ่นในงานอีเว้นท์ที่ MBK

          อันที่จริงในบริษัทของเขาเองก็มีนายแบบและนางแบบในสังกัดอยู่มาก แต่มันก็หน้าซ้ำๆ เดิมๆ แถมจะเป็นแนวหน้าตาไทยๆ เสียส่วนใหญ่ด้วย ไม่ค่อยมีที่ดูออกแนวญี่ปุ่นเท่าไร และอีกอย่างหนึ่ง เพื่อนของเขาคนนี้ก็ได้ขอร้องมาว่าให้ช่วยป้อนงานเด็กๆ ของเธอบ้าง เพราะบริษัทที่เธอทำงานอยู่ ใช้เด็กรุ่นเยาว์นี้น้อย ไม่ค่อยมีงานให้มากเท่ารุ่นใหญ่

          ชายหนุ่มล็อครถที่ขับมาเองโดยที่ไม่มีอัญชุลีหรือกบตามมาด้วยเหมือนอย่างเคย เขาแหงนมองขึ้นไปที่ป้ายชื่อบริษัทอันใหญ่โตทันสมัย 'WORK ONE' คือชื่อบริษัทที่เพื่อนเขาทำงานอยู่

          "อ้าว ข้าว...มาแล้วหรือ" เสียงใสทักมาจากประตูหน้าของสตูดิโอนั้น

          "พริก..." เขาร้องทักกลับไป

          ใช่แล้ว พริก คือเพื่อนของเขา เป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัยที่ยังติดต่อไปมาหาสู่กันอยู่

          พริกในวันนี้ เป็นสาวใหญ่เต็มตัว ทรงผมยังคงหยิกฟูเต็มหัว ย้อมสีน้ำตาลแดงดูทันสมัย แต่งตัวภูมิฐานขึ้น พริกแต่งงานมีสามีแล้วและยังไม่มีลูก แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปจากสมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็คือนางไม่ได้ใส่รองเท้าที่มีสายรัดรูปงูอย่างที่เคยชอบ  มันเปลี่ยนเป็นรองเท้าคัทชูส้นสูงแทน ดังนั้นชื่อที่เรียกกันเล่นๆ ว่า 'อีงู' จึงเลือนหายไปกับกาลเวลาหมดแล้ว

          "มาเร็ว น้องๆ มานั่งรอกันครบแล้ว เลือกตามสบายเลยนะ" พริกจับแขนชายหนุ่มพาเดินเข้าไปที่ห้องทำงานของตัวเอง

          พริกทำงานที่นี่ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายแคสติ้งนักแสดง หน้าห้องทำงานของพริกจึงกว้างกว่าปกติ เพราะต้องรองรับนักแสดงและผู้ที่อยากจะก้าวขึ้นสู่ดวงดาวครั้งละหลายๆ คน ชายหนุ่มมองเข้าไปเห็นคนที่มารอคัดเลือกจำนวนมากทั้งหนุ่มและสาว พริกพาคุณข้าวเดินลึกเข้าไปสุดห้อง มีห้องเล็กๆ ประตูปิดมิดชิดซ้อนอยู่ในนั้นอีกที

          "เธอนั่งเลือกนายแบบนางแบบในห้องทำงานเรานี่ล่ะ ใช้อย่างละเท่าไรนะ ชายสิบหญิงสิบหรือเปล่า เลือกไปให้ครบเลยนะ" พริกชี้ไปที่เก้าอี้ในห้องของตนเองให้ชายหนุ่มไปนั่ง

          "อ้าว แล้วเธอจะไปไหนล่ะ ไม่ได้ช่วยกันเลือกหรือ"

          "อื่อ เรามีประชุมความพร้อมรายการใหม่ที่จะออนแอร์พรุ่งนี้น่ะ เธอเลือกตามสบายเลย อีกสักชั่วโมงเราถึงจะกลับออกมา"

          "โอเค ขอบใจนะพริก" เขาส่งยิ้มให้เพื่อนรัก แล้วลงนั่งไปที่เก้าอี้

          .................

          ชายหนุ่มใช้เวลาอยู่ในห้องนั้นเกือบชั่วโมงในการเลือกนายแบบและนางแบบ วันนี้มีคนมารอแคสติ้งเกือบหกสิบคน ซึ่งเขาจะใช้จริงแค่ยี่สิบคน โดยคัดจากรูปร่างหน้าตาให้ไปในแนวญี่ปุ่น ถ้าเป็นผู้หญิงก็ต้องขาว หมวย และสวย ส่วนผู้ชายก็สูง หุ่นดี และตี๋หล่อ โดยเรียกเข้ามาสัมภาษณ์และดูตัวในห้องเล็กๆ นี้ทีละคน ซึ่งตอนนี้คัดได้เกือบครบจำนวนที่ต้องการแล้ว

          จนมาถึงคิวนายแบบคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องและปิดประตูตามหลังอย่างเรียบร้อย หนุ่มน้อยคนนี้หน้าตาดี ตี๋ ขาว สูง หล่อ คุณข้าวเงยขึ้นไปแวบแรกถึงกับใจเต้นแรง เพราะนายแบบคนนี้หน้าตาคล้ายใครคนหนึ่ง ที่ยังคงอยู่ในใจเขาตลอดมา เพียงแต่คนนี้ดูเด็กกว่า และดูมีความกล้ามากกว่า ดูพร้อมที่จะตะกายดาวโดยไม่มีข้อแม้

          --นี่มันจิว ตอนอวตารกลับไปเป็นเด็กวัยรุ่นเลยนะเนี่ย-- ชายหนุ่มแอบคิด ตาเป็นประกายวาว ซึ่งนายแบบก็สังเกตเห็นแววตาของเขาอยู่เหมือนกัน

          "สวัสดีครับพี่" นายแบบตี๋หล่อทักขึ้นก่อน เพราะเห็นผู้ที่จะคัดเลือกเขานั่งมองตะลึงตาค้างอยู่

          "สวัสดีครับน้อง นั่งสิ ชื่ออะไรน่ะเรา"

          "เอื้อครับ ชื่อเอื้อ" คนตอบพร้อมยิ้มฟันขาว หน้าใส

          "สูงเท่าไรครับ" ชายหนุ่มถาม ตาก้มลงไปมองใบกรอกประวัติของนายแบบ

          "๑๘๓ ครับพี่"

          ชายหนุ่มเงยขึ้นจากเอกสาร มองไปที่นายแบบอย่างละเอียด จนไปสะดุดเข้ากับรอยเล็กๆ ตรงหน้าอกของนายแบบที่พ้นร่มผ้าของเสื้อออกมา

          "นั่นรอยสักหรือเปล่าครับ น้องสักมาด้วยเหรอ งานนี้มันงานวัยรุ่นใสๆ ไม่ควรมีรอยสักนะ"

          "ครับพี่" เด็กหนุ่มก้มลงมองอกเสื้อของตนเอง "แต่รอยเล็กนิดเดียวนะครับ ใช้รองพื้นกลบได้"

          "ไหนลองถอดเสื้อให้พี่ดูหน่อยสิ" ชายหนุ่มบอกไปโดยไม่ได้คิดอะไร ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วในการคัดเลือกนายแบบหรือนักแสดง ที่ต้องถอดเสื้อดูรูปร่างกันให้ชัดๆ

          "ได้ครับพี่" นายแบบตี๋หล่อรับคำอย่างรวดเร็วและไม่มีอิดออด เขาถอดเสื้อเชิร์ตที่ใส่มาอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นผิวที่ขาวเนียน อกกว้าง และกล้ามเนื้อชัด ซึ่งก็จริงตามที่พูดในเรื่องรอยสัก มันเป็นรอยเล็กๆ นิดเดียวเป็นรูปนกกำลังบิน

          และก่อนที่คุณข้าวจะพูดว่าอะไรต่อ นายแบบก็ได้ทำสิ่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว คือหันไปกดล็อคประตูห้อง แล้วถอดกางเกงลงไปกองที่ปลายเท้า  คราวนี้ผิวที่ขาวจัดก็สว่างโพลงไปทั้งตัว มีแค่กางเกงในสีดำตัวเล็กจิ๋วเพียงตัวเดียวซึ่งแทบจะห่อปิดอะไรที่ขนาดเขื่องไม่มิด แถมยังใสและบาง สามารถมองทะลุได้ไปถึงไหนต่อไหน ท่ามกลางการอ้าปากค้างของคนที่นั่งมองอยู่

          "เฮ้ย..." เขาอุทานออกมา

          นายแบบผู้เปลือยแทบจะหมดทั้งตัว จ้องตาชายหนุ่ม และยิ้มให้

          "พี่ครับ ผมพูดตรงๆ นะครับ เรารู้กันสองคน พี่จะทำอะไรกับตัวผมก็ได้ครับ ขอเพียงแค่ผมได้งานนี้ หรือไม่ก็งานอื่นๆ ในบริษัทของพี่ก็ได้ครับ ผมอยากดัง" นายแบบกึ่งเปลือยพูดหน้าตาเฉย และเริ่มเอามือคลึงเบาๆ ที่เป้าตัวเอง

          ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ กวาดตามองนายแบบตั้งแต่เส้นผมลงไปถึงปลายเท้า

          ---มันจะไม่มีวันนั้น มันจะไม่มีเรื่องนั้นแน่ๆ--- เขาคิดในใจ

          ในอดีต ถึงเขาจะเคยทำผิดพลาดไป เคยทำให้คนที่เขารักต้องเจ็บปวด และพลัดพรากกันไปแบบที่ไม่รู้ว่าวันใดจะได้พบเจอกันอีก แต่ ณ วันนี้ วันที่เขาเติบโตขึ้นมาก มันเลยช่วงเวลาเรื่องพวกนี้ไปนานแล้ว ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาแอบกินเล็กกินน้อยลับหลัง ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะยังไม่มีใครอยู่เคียงข้างเป็นเจ้าของก็ตามที

          และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะมีนายแบบหล่อๆ หรือแม้กระทั่งดาราชายวัยรุ่นที่กำลังจะเริ่มดัง ต้องการไปให้สุดถึงดวงดาว เสนอตัวขอหลับนอนแลกกับการได้งานจากเขา เพียงเพราะเขาเป็นออร์กาไนซ์เซอร์มือทอง มีงานดังๆ และได้ออกข่าวสังคมต่างๆ เยอะมาก แต่ชายหนุ่มก็ได้ปฏิเสธคนเหล่านั้นทุกคนไปอย่างไม่อาลัยอาวรณ์

          ถ้าให้เลือก เขาก็อยากกลับไปมีคนที่รักคนเดียว ยาวนาน มั่นคง และพร้อมที่จะจับมือกันทั้งในยามหลับหรือยามตื่น กุมมือให้กำลังใจกันไปทั้งตอนที่ชีวิตประสบความสำเร็จ หรือในตอนที่ผิดพลาดล้มเหลวมากกว่า ไม่ใช่การฉวยโอกาสด้วยตำแหน่งหน้าที่แบบนี้ แม้ว่ามันจะล่อตาล่อใจขนาดไหนก็ตาม

          ชายหนุ่มจ้องไปที่กลางลำตัวของตี๋หล่อในร่างเกือบเปลือยนี้อีกครั้ง มันมีสิ่งหนึ่งที่นูน ปูดโปนโดดเด่นสะดุดตาออกมาจากกลางลำตัวหนุ่มหล่อคนนี้ เขาส่งยิ้มให้ แล้วเอ่ยตอบนายแบบไปอย่างเยือกเย็นว่า

          "น้องมีสะดือจุ่นเกินไป ไม่ผ่านครับ กรุณาใส่เสื้อผ้าแล้วกลับบ้านได้ เชิญครับ..."

          .................

          คุณข้าวกับพริกลงมานั่งจิบกาแฟและคุยกันตามประสาเพื่อนรักที่ร้านกาแฟเล็กๆ ข้างบริษัทของพริกเองหลังจากเสร็จงานและเสร็จการคัดเลือกนายแบบนางแบบเรียบร้อยแล้ว

          "ขอบใจนะข้าว ที่ช่วยๆ เอาเด็กเราไปใช้งานบ้าง ไม่งั้นมันไม่มีงานกัน วันหน้าวันหลังเด็กมันจะได้มาหาเราง่ายๆ เวลาเราเรียกมัน"

          "อื่อ ไม่เป็นไรพริก เพราะของสังกัดเราก็ไม่ค่อยมีรุ่นเล็กหน้าตี๋ๆ หมวยๆ ซะด้วยล่ะ ก็ต้องหาใหม่อยู่ดี" ชายหนุ่มมองหน้าพริกยิ้มๆ และเขาก็ตัดสินใจไม่ได้เล่าให้พริกฟังถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องทำงานเมื่อสักครู่ด้วย

          "แต่ช่วงนี้ก็หานายแบบนางแบบง่ายล่ะ คนตกงานกันเยอะ ธุรกิจแย่กันไปหมดเลยตั้งแต่ฟองสบู่แตกปี ๔๐ เนี่ย เธอน่ะยังดีนะข้าว เธอได้งานอีเว้นท์จากหน่วยราชการ ห้างใหญ่ๆ และงานการกุศลพวกคุณหญิงคุณนายซะเยอะ เธอไม่ค่อยโดนกระทบอะไรมาก"

          "มันก็มีบ้างแหล่ะ เอกชน เถ้าแก่ ห้างร้านเล็กๆ โรงงานต่างๆ โดนกันระนาวเลยนี่" เขาพูดพร้อมกับยักไหล่ ทำปากเบะๆ

          "ใช่ๆๆ เธอเคยได้ยินไหมล่ะ ที่เสี่ยเจ้าของธุรกิจต้องหมดตัวตอนฟองสบู่แตก แล้วต้องปิดโรงงานออกมาเดินเร่ขายขนมปังแซนวิชริมถนนน่ะ ยามรุ่งเรืองก็เฟื่องฟูลอย ยามถดถอยก็อย่ากลัวจม" พริกยังไม่ทิ้งนิสัยหยอดคำคม

          "เคยได้ยินสิ ก็น่าชื่นชมเขานะ สู้ชีวิตดี" ชายหนุ่มมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่างร้านกาแฟ

          ทั้งสองคนนั่งนิ่งๆ อยู่สักครู่ใหญ่ๆ ไม่ได้พูดอะไรต่อ จนกระทั่งพริกเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นว่า

          "ข้าว เราถามเธอตรงๆ เธอไม่คิดจะมีแฟนใหม่เหรอ"

          คนถูกถามหันไปมองหน้าเพื่อนรัก แล้วตอบโดยไม่ลังเลเลยว่า "ไม่อะ"

          พริกหัวเราะเบาๆ "เธอไม่เคยลืมสินะ เธอยังหวังว่าจะได้เจอจิวอยู่อีกหรือ มันผ่านมาสิบกว่าปีแล้วนะ เธอก็ไม่เคยมีเบอร์ติดต่อหรือรู้ข่าวคราวเค้าเลย เธอยังคิดถึงจิวอยู่หรือ"

          "คิดถึงสิ...คิดถึงมาก..." ชายหนุ่มตอบเสียงแผ่วลง ดวงตารื้น ดูชุ่มฉ่ำน้ำเป็นประกาย มันเป็นส่วนผสมของอาการกึ่งจะร้องไห้และกึ่งจะเปี่ยมไปด้วยความสุข

          "ถึงเราจะได้เจอ ก็ไม่รู้ว่าจะได้รับการให้อภัยหรือเปล่านะ เราทำเรื่องเลวๆ กับจิวไว้มาก แต่เราก็หวังว่าจะได้เจออีกอยู่ดี ถึงแม้จะได้เห็นแค่เพียงแวบเดียวแล้วจะต้องจากกันไปชั่วนิรันดร์ก็ตาม" เขาพูดต่อ เหมือนรำพึงกับตัวเอง

          พริกวางมือลงบนมือชายหนุ่มเบาๆ "เราเอาใจช่วยเธอนะ ข้าว"

          --------------------

          เสี่ยจิวหันซ้ายหันขวา พับปึกธนบัตรปึกใหญ่ในมือใส่ลงในกระเป๋าอย่างรวดเร็ว แล้วก้าวยาวๆ ออกมาจากโรงรับจำนำแห่งหนึ่ง ที่ไกลจากโรงงานพอสมควร

          สิ้นเดือนนี้ เขาหมุนเงินไม่ทันสำหรับจ่ายค่าแรงลูกน้องในโรงงาน รวมทั้งค่าใช้จ่ายจิปาถะในบ้าน เช็คที่ได้มาก็ขึ้นเงินไม่ได้บ้าง เด้งบ้าง จึงจำเป็นต้องพึ่งบริการจากโรงรับจำนำนี้ไปก่อน โดยถอดสร้อยทองหนัก ๑๐ บาทที่ใส่ประจำวางไว้

          ---ไว้เศรษฐกิจดี ค่อยกลับมาอยู่ด้วยกันใหม่นะลูก--- เขานึกปลอบใจตัวเอง แล้วขับรถกลับไปที่โรงงาน

          .................

          "เอาเว้ย เงินเดือนออก มาเซ็นรับกันไปให้ไว ก่อนข้าจะเปลี่ยนใจเบี้ยว ไม่จ่าย" เสี่ยจิวร้องเรียกลูกน้องขณะที่ตนเองนั่งอ่อนแรงอยู่บนโต๊ะทำงาน

          จอซู มินเดืองห์ ลำไย และคนงานอีกสองสามคนยืนต่อแถวอยู่หน้าโต๊ะของเขา ทุกคนรู้ถึงปัญหาการเงินของเขา จึงมีสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย

          "ไหวไหมครับ...เสี่ย" จอซู คนอยู่แถวหน้าสุด บอกกับเขาเบาๆ น้ำเสียงไม่เหมือนลูกน้องกับเจ้านาย แต่มันเป็นน้ำเสียงแห่งความห่วงใยเหมือนคนในครอบครัวโดยแท้

          "สบายมากเว้ย อย่าห่วง เสี่ยจิวซะอย่าง" เขาฝืนทำเสียงร่าเริง

          "ถ้าเสี่ยติดขัดจริงๆ บอกพวกผมนะครับ ช่วยอะไรได้ผมจะช่วย" จอซูยังส่งความห่วงใยมาอีก

          "เออๆ ขอบใจเว้ยจอซู" เขาขอบคุณมันจากใจจริงๆ

          "เอ้านี่ ส่วนเงินในซองใหญ่นี้รอไว้จ่ายค่ายาง PVC ที่ข้าสั่งไปอีกโรงงานหนึ่งให้ผลิตในส่วนที่จะเอาลายสกรีนน่ารักๆ มาแปะหัวรองเท้าแตะรุ่นใหม่ ก็ลองทำดูตามที่ลำไยแนะนำมาแหล่ะ ข้าลองไปก่อนสองพันชิ้น ก็ออกมาน่ารักดีนะ ได้เห็นกันแล้วนี่"

          "ครับนาย" จอซูรับซองใหญ่นั้นไป

          "ส่วนนี่ ค่าไฟ เออ ทำไมค่าไฟเดือนนี้ไม่เพิ่มวะ คือเราไม่ได้เดินเครื่องจักรมาหลายเดือนก็จริง แต่มีลำไยมาอยู่เพิ่ม ค่าไฟก็ไม่ยักกะขึ้นเนอะ ดีแล้ว ช่วยๆ กันประหยัด"

          คราวนี้เป็นมินเดืองห์ก้าวขึ้นมายืนข้างหน้าแทนจอซู เด็กหนุ่มจูงมือลำไยขึ้นมาด้วย

          "เสี่ยครับ ผมมีอะไรจะสารภาพ" มินเดืองห์พูดเสียงอ่อยๆ

          เสี่ยจิวจ้องมองไปที่ทั้งคู่อย่างสังหรณ์ใจพิกล

          "คือลำไยไม่ได้แยกไปนอนห้องต่างหากอย่างที่เสี่ยสั่งหรอกครับ จริงๆ แล้วลำไยนอนห้องเดียวเตียงเดียวกับผมมาตั้งแต่คืนแรกเลย"

          "ไอ้ห่า ข้าว่าแล้ว แทงหวยไม่เคยถูกแบบนี้" เสี่ยจิวอุทานออกมาอย่างไม่ประหลาดใจเท่าไรนัก เพราะมันมีแววมาอยู่แล้ว

          "แล้วยังไงเธอ ลำไย เธอโอเคไหม" เขาถามไปที่ฝ่ายหญิง

          "หนู หนู...เต็มใจค่ะเสี่ย" ลำไยก้มหน้างุด เห็นใบหน้าแดงระเรื่อ "หนูก็ชอบพี่เดืองห์เขาเหมือนกัน"

          ชายหนุ่มมองหนุ่มสาวคู่นี้ด้วยรอยยิ้ม ช่างเถอะ...เขาคิด คนมันได้รักกัน อยากอยู่ด้วยกัน จะมาไกลกันจากไหน ไม่เคยพบเจอกันมาก่อนในชีวิต แต่ถ้าพรหมลิขิตวางไว้แล้วว่าต้องมาอยู่ร่วมหัวจมท้ายด้วยกัน โลกมันก็เหวี่ยงให้เข้ามาพบเจอกันเองแหล่ะ โดยเฉพาะสำหรับคู่นี้ โลกเหวี่ยงถวายมาให้ถึงใต้หลังคาเดียวกันเลยด้วยซ้ำ

          "เอาเถอะ อยู่ด้วยกันก็ดีแล้ว ช่วยกันทำมาหากินก็แล้วกัน ไว้ข้ามีตังค์อีกหน่อย จะเลี้ยงโต๊ะจีนฉลองให้นะ หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยกันล่ะ" ชายหนุ่มถือโอกาสให้พรคู่บ่าวสาวซะเลย

          "การให้อภัย เป็นของขวัญที่สูงค่าที่สุดในชีวิตมนุษย์" เสี่ยผู้ช้ำรักพูดเบาๆ ไม่แน่ใจว่าพูดให้คู่บ่าวสาวตรงหน้า หรือรำพึงกับตัวเขาเอง...

          --------------------

          คุณข้าวขับรถยนต์เข้าไปจอดที่โรงจอดรถในบ้าน เห็นไฟเปิดไว้น้อยดวง ลูกน้องในบริษัทคงกลับบ้านไปหมดแล้ว เขาลงจากรถแล้วก้าวยาวๆ เข้าไปในตัวบ้าน

          หนุ่มเจ้าของบริษัทเดินผ่านห้องทำงานของตัวเอง เห็นประตูเปิดแง้มไว้ จึงผลักบานประตูเข้าไป หันไปกดปุ่มเปิดไฟในห้อง โดยยังไม่ได้หันหน้าออกไปจากผนัง ไฟในห้องสว่างขึ้น รวมทั้งผนังตรงหน้าก็สว่างให้เห็นรูปหนึ่งที่แขวนอยู่บนผนังตรงนี้ มันเป็นรูปขาวดำที่เขากับจิวถ่ายด้วยกันสมัยวัยรุ่น แต่เห็นแค่ด้านหลัง จับมือกันเดินบนสะพานข้ามแม่น้ำแคว จ.กาญจนบุรี

          คุณข้าวส่งยิ้มให้รูปบนผนัง แล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานของเขา ได้เห็นถุงกระดาษใบหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ เขาเอามือไปคลำๆ นอกถุง สัมผัสได้ว่ามันคือรองเท้าฟองน้ำคู่หนึ่ง พลางนึกในใจว่าครั้งนี้ไอ้เจ้ากบทำงานที่สั่งให้หาได้รวดเร็วดี

          ชายหนุ่มดึงรองเท้าคู่นั้นออกมาจากถุงกระดาษ มันมีห่อพลาสติกห่อไว้อีกชั้นหนึ่ง เขาแกะมันออกมา ทิ้งถุงลงไปในถังขยะ แล้วนั่งมองมันอยู่

          มันเป็นรองเท้าฟองน้ำกึ่ง PVC เป็นรองเท้าแตะแบบสวม หรือที่เรียกว่าสลิปเปอร์ มันมีพื้นสีน้ำเงิน และตรงที่สวมเป็นลายทางสีน้ำเงินสลับสีขาว

          ชายหนุ่มเพ่งมองแล้วเกิดความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ทำไมเขามีความรู้สึกเหมือนเคยเข้าใกล้รองเท้าแบบนี้มาก และยิ่งตอนดึงออกมาจากถุงพลาสติก กลิ่นของมันคุ้นยิ่งกว่าคุ้น มันเหมือนว่าเขาเองเคยไปนอนอยู่ในโรงงานและได้กลิ่นแบบนี้ทั้งคืนเลยด้วยซ้ำ

          ---โรงงานรองเท้าฟองน้ำตราสามดาวของป๊าจิว!!!---

          จู่ๆ ชื่อนี้ก็เข้ามาในหัวของเขา หัวใจที่เต็มไปด้วยความหวังเต้นตึกตัก เขาค่อยๆ พลิกรองเท้าเพื่อดูด้านหลัง เขาหวังใจจะเห็นตราของบริษัทรองเท้านี้ มันควรจะต้องพิมพ์นูนขึ้นมาว่า "ตราสามดาว" เหมือนที่เขาเคยเห็นที่บ้านจิว

          แต่แล้วเขาก็ต้องใจแป้วลงไปทันที เมื่อเห็นชื่อยี่ห้อด้านหลังพื้นรองเท้า มันเป็นลายพิมพ์นูนเหมือนกัน แต่พิมพ์ไว้ว่า

          "T-Star"

          "มันไม่ใช่ตราสามดาว" เขาถอนหายใจออกมา ใจที่เต้นตุบๆ เมื่อสักครู่เริ่มกลับเข้าสภาพเดิม ก็พอดีกับกบ เดินถือไม้กวาดเข้ามาในห้องพอดี เหมือนจะมาทำความสะอาดห้อง

          "อ้อ กลับมาแล้วหรือฮะ ลืมบอกไปครับคุณข้าว กบได้รองเท้ามาแล้ว ถ้าเลือกแบบแล้วชอบอันไหน ก็สั่งกบซื้อได้เลยนะฮะ ได้ราคาโรงงานเลย" กบบอกด้วยน้ำเสียงที่ภาคภูมิใจ

          "เลือกแบบ?" เจ้านายของกบเสียงสูงขึ้นมาทันที "เลือกแบบอะไร มีอยู่คู่เดียวนี่นะเว้ย"

          "อ้าว คู่เดียวหรือ แสดงว่าลืมอีกคู่อยู่ในอีกถุงนึง เดี๋ยวกบวิ่งไปเอามาให้ในห้องกบนะฮะ" กบพูดแล้ววิ่งอย่างไวออกไปจากห้อง

          ....................

          ลำไยกำลังทำความสะอาดอยู่ในห้องทำงานของเสี่ยจิว คืนนี้เสี่ยขึ้นไปนอนเร็ว ตอนหัวค่ำเธอเห็นเสี่ยจิวนั่งเหม่อลอยกินเบียร์หลายขวดอยู่ที่โต๊ะกินข้าวคนเดียว แล้วบ่นว่าปวดหัว จึงขึ้นไปนอนไว

          ลำไยใช้ไม้ขนไก่ปัดทำความสะอาดมาถึงโต๊ะทำงานของเสี่ย เธอเห็นสิ่งผิดปกติวางอยู่ผิดที่ผิดทางบนโต๊ะ จึงเดินอ้อมไปที่หลังโต๊ะแล้วหยิบมันขึ้นมาดู มันคือกระปุกหมูออมสินที่ทำมาจากกระดาษ ทาสีแดงและมีลายดอกไม้เชยๆ วาดอยู่บนหลังมัน ซึ่งตอนที่ลำไยหยิบมันขึ้นมาดูใกล้ๆ จึงเห็นว่ามันเริ่มจะมีสีซีดจางลงไปบ้างแล้ว เหมือนผ่านกาลเวลามานาน และมีสภาพเหมือนได้รับการหยิบจับอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่สภาพใหม่เอี่ยมเหมือนของโชว์ที่วางเก็บงำอย่างดีในตู้โดยไม่ได้แตะต้อง

          ลำไยหันหน้ากระปุกหมูเข้าหาตัว จ้องมองหน้าหมูออมสินนั้นตรงๆ แล้วยิ้มออกมา นี่เอง เป็นที่มาในไอเดียของเสี่ยจิวกับรองเท้าแตะล็อตใหม่ที่กำลังไปวางขายตามคำแนะนำของเธอเอง ว่าควรจะทำแบบน่ารัก แนวญี่ปุ่นกุ๊กกิ๊ก

          อดีตสาวหน้าเทา มองไปที่ชั้นวางของด้านหลังโต๊ะ เธอจำได้ว่าปกติมันวางอยู่บนนั้น เสี่ยจิวคงหยิบหมูออมสินนี้ลงมา แล้วยังไม่ได้เก็บขึ้นไป

          ลำไยวางไม้กวาดขนไก่ลงบนโต๊ะทำงาน เพื่อที่จะเขย่งเอื้อมสองมือเอากระปุกหมูออมสินนี้ขึ้นไปเก็บวางที่เดิมบนชั้นที่ค่อนข้างสูง โดยไม่ทันเห็นว่าปลายไม้กวาดขนไก่ไปเขี่ยโดนหูโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานเสี่ยจิว เผยอหลุดออกจากแท่นวาง

          .....................

          ไอ้กบวิ่งกระหืดกระหอบกลับเข้ามาในห้องทำงานของเจ้านาย พอมาถึงก็วางถุงกระดาษอีกถุงให้บนโต๊ะ พร้อมขยับไม้กวาดที่ถือไว้ในมือ

          "คุณข้าวเลือกดูอีกคู่ฮะ แต่กบว่าคุณน่าจะชอบอันนี้ มันน่ารักดี แล้วยังไงจะเอากี่คู่ก็บอกนะฮะ กบจะไปซื้อให้ที่โรงงานเลย" พูดจบเด็กหนุ่มก็ใช้ไม้กวาด กวาดพื้นไปเรื่อยๆ จนออกจากห้องไป

          เขามองที่ถุงอีกครั้ง แล้วค่อยๆ ดึงมันออกมา มันอยู่ในถุงพลาสติกอีกชั้นหนึ่งเหมือนคู่แรก แต่คราวนี้ รองเท้าคู่นี้มันเป็นสีแดง

          เมื่อแกะซองพลาสติกเสร็จ ชายหนุ่มเห็นรองเท้าแตะสีแดงคู่นี้ชัดๆ แล้วก็ตกตะลึง นั่งอึ้งมองรองเท้าอยู่นาน จนค่อยๆ เอื้อมมือไปจับที่ส่วนหัวของรองเท้า

          มันเป็นรองเท้าแตะแบบสวม พื้นสีแดง และส่วนที่สวมก็เป็นสีแดง แต่มีแผ่น PVC อีกชิ้นหนึ่งติดซ้อนอยู่บนแผ่นสวม ยึดกันแค่ตรงกลาง ปลายสองข้างขยับไปมาได้ มันสกรีนและตัดเป็นลายหน้าหมูสีแดง บนหัวและใบหูของหมูนั้น สกรีนเป็นลายดอกไม้เล็กๆ ทำให้รองเท้าแตะคู่นี้ดูเป็นรองเท้าหน้าหมู น่ารัก คิขุ แบบญี่ปุ่น และชายหนุ่มก็คุ้นเคยกับลายหมูแบบนี้มาแล้วกว่า ๑๗ ปี!!

          "ลายหน้าหมูกระดาษออมสินสีแดง! และโรงงานรองเท้าแตะ!!"

          มันจะเป็นอื่นไปไม่ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ก็เขาเองที่เป็นคนให้หมูออมสินนี้กับลูกชายเจ้าของโรงงานรองเท้าเมื่อในอดีต  สองอย่างนี้จะมาบังเอิญอยู่ในของสิ่งเดียวกัน มันเป็นไปไม่ได้...ชายหนุ่มหัวใจเต้นแรง มันเต้นตุบตับจนแทบจะปะทุระเบิดออกมานอกทรวงอก ดวงตารื้นไปด้วยน้ำตา

          ทำไมเขาถึงได้คิดช้านะ 'สามดาว' มันก็มีคำว่า 'star' อยู่ในนั้นไง ส่วนตัว T มันก็อาจจะย่อมาจาก Three ที่แปลว่าสาม ก็ได้ บ้านจิวอาจจะเปลี่ยนชื่อโรงงานให้ทันสมัยแล้วก็ได้นี่นา

          เหมือนคิดอะไรออก เขาก้มลงตะกุยไปที่ถังขยะ คว้าหยิบถุงพลาสติกที่ห่อรองเท้านี้ขึ้นมา มันมีสติ๊กเกอร์สีขาวเล็กๆ และพิมพ์รายละเอียดของสินค้าแปะเอาไว้ว่า

          สินค้า : รองเท้าแตะยี่ห้อ T-Star
          ชนิด : สีแดง รุ่นหน้าหมู เบอร์ ๖
          ราคา : ๑๕๐ บาท
          วิธีใช้ : สำหรับสวมเท้าเท่านั้น
          ข้อควรระวัง : ห้ามนำไปสวมหัว
          สถานที่ผลิต : ๗๐ พุทธมณฑลสาย ๒
          ผู้ผลิตและจำหน่าย : สมนึก แซ่จิว
          ติดต่อ : ๐๒ ๕๘๘๔๖๑๑
          BARCODE : |||||| | ||||| || |||||| | |||||

          ตอนนี้ชายหนุ่มเหมือนหัวใจหยุดเต้นไปแล้ว มันหยุดนิ่ง แล้วมันก็เต้นใหม่ แล้วหยุดนิ่งสลับกันอยู่แบบนั้น ใจนึกขอบคุณโลกใบนี้ ที่เหวี่ยงเรื่องอันมหัศจรรย์นี่กลับลงมาให้เขา

          กว่าจะรวบรวมสติที่เตลิดไปได้ ก็อีกเกือบห้านาที คุณข้าวยกหูโทรศัพท์ขึ้นมา มือสั่นริกๆ เหงื่อซึมไปทั่วหน้าและแผ่นหลัง เขาตั้งสติกดหมายเลขติดต่อที่พิมพ์อยู่บนป้ายสินค้าลงไป แล้วแนบกระบอกโทรศัพท์แน่นกับใบหู

          "ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด..."


หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๐ : นายแบบเปลือยและรองเท้าแตะสีแดง || หน้า ๑๓ || ๖/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-06-2017 14:14:29
เออ คลาดกันเข้าไป ปีนี้ไม่ต้องเจอกันหรอก
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๐ : นายแบบเปลือยและรองเท้าแตะสีแดง || หน้า ๑๓ || ๖/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 06-06-2017 14:35:19
 :ling1: :katai1: :katai1:

ลำไยยยยยยยยยยยยยย ทำดีมาตลอดเลย ทำไมมาทำเป็นนี้กับเสี่ยจิวววววว
จิครายยยยยยยย
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๐ : นายแบบเปลือยและรองเท้าแตะสีแดง || หน้า ๑๓ || ๖/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 06-06-2017 14:35:32
บวก1 ให้ความเห็น#364 จริงมาก อ่านกันมาข้ามปี แต่ยังสติลรออ่านอย่างอดทน555
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๐ : นายแบบเปลือยและรองเท้าแตะสีแดง || หน้า ๑๓ || ๖/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: kratair ที่ 06-06-2017 14:46:05
เมื่อไรจะได้เจอกันละเนี้ยยย :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๐ : นายแบบเปลือยและรองเท้าแตะสีแดง || หน้า ๑๓ || ๖/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 07-06-2017 12:37:19
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๐ : นายแบบเปลือยและรองเท้าแตะสีแดง || หน้า ๑๓ || ๖/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 07-06-2017 14:38:24
ฟ้าคงยังไม่เห็นใจ
ทั้งจิว ทั้งข้าว เลยยังต้องรอกันต่อไป

ยังไงก็ขอให้น้อยกว่า "แต่ปางก่อน" ก็พอนะ

ฟ้าล่ะก็ ช่วยปรานีสองนี้ได้แล้ว
ทรมานกันมาเกินพอ
ซิกๆ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๐ : นายแบบเปลือยและรองเท้าแตะสีแดง || หน้า ๑๓ || ๖/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-06-2017 15:08:30
คนบนฟ้า ยังอยากทดสอบต่อ ยังไม่อยากให้เจอกันหรือไง
จิว ข้าว  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

รองเท้าแตะลายหมูออมสินคงน่ารัก น่าใส่ น่าจะขายดีนะ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๐ : นายแบบเปลือยและรองเท้าแตะสีแดง || หน้า ๑๓ || ๖/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 07-06-2017 17:57:50
 :ling1:
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๐ : นายแบบเปลือยและรองเท้าแตะสีแดง || หน้า ๑๓ || ๖/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: appattap ที่ 07-06-2017 18:43:33
คนที่ตื่นเต้นกว่าต้นข้าวคือคนอ่านค่าาา
อีกนิดเดียวจะเจอแล้วววว หัวร้อนนิดๆ 55555
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๐ : นายแบบเปลือยและรองเท้าแตะสีแดง || หน้า ๑๓ || ๖/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 07-06-2017 22:36:39
อ่านไปลุ้นไป  โอ้ยยยย! ทำไมคลาดกันตลอดเลย ลุ้นมากอะ 555
  รออ่านตอนต่อไปนะคับ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๐ : นายแบบเปลือยและรองเท้าแตะสีแดง || หน้า ๑๓ || ๖/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 11-06-2017 06:07:14

MBK❤lover


(http://www.bloggang.com/data/k/kampong/picture/1485729585.jpg)


ตอนที่ ๔๑ : เรื่องลับจากหนุ่มชาวดอย


          คุณข้าววางหูโทรศัพท์ลงอย่างขัดใจ ทำเสียงจิ๊จ๊ะ พลางนึกใจว่าคงจะสายไม่ว่าง หรือไม่ก็หมดเวลาทำงานแล้ว ที่นั่นจึงยกหูโทรศัพท์ออก ช่างมัน พรุ่งนี้ค่อยโทรใหม่ แต่ตอนนี้เขามีเรื่องต้องเคลียร์กับไอ้กบนี่ก่อน

          "กบ กบ...ไอ้กบ มานี่ซิ" ชายหนุ่มตะโกนออกไปนอกห้องทำงาน

          "คร้าบ คุณ" เสียงเจ้ากบเข้ามาพร้อมๆ เจ้าตัว ในมือยังถือไม้กวาดค้างอยู่

          "นั่งสิ มีอะไรจะถามหน่อย" เขาชี้ไปที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน

          "เอ็งรู้จักกับเจ้าของโรงงานรองเท้านี้เหรอ" เจ้านายกบเริ่มเปิดคำถาม

          กบหลุบตาลงต่ำ ก่อนจะเงยขึ้นมาตอบเสียงราบเรียบธรรมดา "ไม่รู้จักฮะ กบจะไปรู้จักเจ้าของโรงงานได้ไง กบก็แค่ไปหาซื้อรองเท้ามาให้คุณข้าวเฉยๆ"

          "ไปซื้อมาจากไหน รองเท้าสองคู่นี่"

          "เอ่อ...ซื้อที่ห้าง MBK Center ฮะ มีบูทรองเท้าเล็กๆ ขายอยู่ที่ชั้นล่าง" กบตอบแบบไม่เต็มเสียงนัก

          "อย่ามา...ไอ้กบ เมื่อกี้เอ็งยังพูดอยู่แหม่บๆ ว่าเลือกคู่ไหนเดี๋ยวเอ็งจะไปซื้อให้ที่โรงงานในราคาโรงงานเลย โรงงานบ้านเอ็งตั้งอยู่ที่บูทเล็กๆ ในห้างเหรอ" เจ้านายกบเสียงเข้มขึ้น

          "ง่า...อันที่จริง กบเอาตัวอย่างรองเท้ามาฟรีๆ จากคนที่อยู่ในโรงงานรองเท้านั่นฮะ" กบค่อยๆ อ้าปากคายเรื่องออกมาเสียงอ่อยๆ แหบแห้งเหมือนคนขาดน้ำ

          "ได้มาฟรีๆ!" คราวนี้เสียงชายหนุ่มสูงเต็มสูบ "แล้วเอ็งไปรู้จักสนิทกันอีท่าไหนกับคนในโรงงานนั่น ถึงขนาดให้รองเท้ากันมาฟรีๆ ห๊า?"

          "เอ้า ไอ้กบ นี่น้ำ" ชายหนุ่มส่งขวดน้ำเปล่าขวดเล็กๆ บนโต๊ะไปให้กบ "กินน้ำซะให้สบายใจ แล้วเล่าทุกอย่างมาให้ข้าฟังซิ นี่ข้าไง คุณข้าวของเอ็งนะ นอกจากเป็นเจ้านายแล้ว ข้ายังมีศักดิ์เป็นน้าของเอ็งด้วยนะ ไม่ใช่คนอื่น เล่ามา!!"

          กบกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ เปิดขวดน้ำที่รับมากรอกใส่ปาก แล้วเริ่มต้นเล่าให้เจ้านายฟังทั้งหมด

          ................

          เมื่อสองเดือนก่อน หลังจากคืนนั้นที่กบได้เจอกับจอซูในร้าน 'น้อง คาราโอเกะ' ช่วงที่คุณข้าวกำลังจะเข้าไปเที่ยว แล้วเกิดแขกในร้านตีกันเสียก่อน ซึ่งทั้งคู่ต่างรู้สึกถูกชะตาซึ่งกันและกัน และได้แลกเบอร์กันไว้

          วันรุ่งขึ้น กบได้โทรไปหาจอซู และพูดคุยกันถูกคอขึ้นไปอีก จึงโทรจีบกันทุกวัน ครั้งละนานๆ ส่วนใหญ่จะเป็นตอนกลางคืน เพราะจอซูจะต้องแอบใช้โทรศัพท์ในโรงงาน หรือเครื่องพ่วงจากห้องทำงานของเจ้าของโรงงาน

          และมีหลายครั้งที่ทั้งสองแอบไปนัดเจอกัน นัดเที่ยวเล่นกัน ตัวกบเองก็อาศัยช่วงที่คุณข้าวออกไปประชุม หรือออกไปคุยกับลูกค้าข้างนอก ส่วนจอซูก็ใช้ช่วงที่ออกจากโรงงานไปส่งรองเท้าบ้าง ไปตามร้านของเอเย่นต์บ้าง จึงไม่มีใครรู้สึกผิดสังเกต

          ทั้งกบและจอซูเข้ากันได้รวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นนิสัย ซึ่งก็บ้าๆ บอๆ ห่ามๆ พอกัน มองหน้าก็รู้ใจกันทั้งคู่

          และเหนือสิ่งอื่นใด ทั้งสองคนมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือทั้งสองเป็นชายหนุ่มสองคนที่แสนธรรมดา ไม่ได้เป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม ผมเผ้ากระเซิง แต่งตัวก็ออกไปทางเชยๆ เสื้อผ้าขาดเปื่อยเป็นรูในระดับที่คนงานใส่กัน  สะพายกระเป๋าเป้พลาสติกที่ขายตามตลาดนัด เงินทองก็ไม่ได้มีติดตัวอะไรมากมาย ขึ้นรถเมล์ ยืนกินเกี๊ยวแห้งรถเข็นข้างถนน แทบจะเป็นคนชายขอบของสังคมเลยด้วยซ้ำ

          ดังนั้น เมื่อไม่มีหน้ามีตาใดๆ ในสังคม ไร้คนเฝ้ามอง ทั้งสองหนุ่มจึงสามารถทำอะไรอิสระได้เต็มที่ ไม่ต้องกลัวใครจะมาคิดถึงตัวพวกเขาเองว่าอะไรยังไง...         

          วันหนึ่ง กบและจอซูมาเดินเล่นกันที่ตลาดนัดแถวบางบัวทอง เดินดูเสื้อผ้ามือสองกันกระหนุงกระหนิง กบเห็นเสื้อยืดมือสองจากโรงเกลือตัวหนึ่งลายสวยดีจึงอยากซื้อให้จอซูใส่ ซึ่งมันก็ไม่กี่สิบบาท แต่จอซูยืนยันว่าไม่เอา เสียดายเงิน แต่พูดจบเจ้าจอซูก็ตรงดิ่งไปที่แผงขายหนวดปลาหมึกปิ้งไม้ละห้าบาท ซื้อมาตั้งสี่ไม้เป็นเงินยี่สิบบาท กลับไม่ยักกะเสียดายเงิน แถมยังมานั่งยองๆ กินอยู่ตรงข้างคลองเล็กๆ หลังตลาดบางบัวทองนั้นอีกด้วย

          "กินสิ กินสิ" เสียงจอซูตะแหง่วๆ อยู่ข้างๆ พลางเอามือดึงชายเสื้อที่ย้วยๆ ของกบให้นั่งลงข้างๆ ตาม

          "เอ้า ป้อน" จอซูหันมายิ้มปากแทบฉีก ในปากยังเคี้ยวหนวดปลาหมึกอยู่เลย มือก็ส่งไม้จิ้มหนวดปลาหมึกแห้งๆ ผอมๆ แต่ดูฉ่ำน้ำจิ้มรสเผ็ดจัดมาให้ถึงริมฝีปากของกบ

          กบยิ้มตอบ สั่นหน้าดิกๆๆ "ไม่เอา เผ็ด"

          "กินสิ นะนะ กินเป็นเพื่อนหน่อย อ่ะ ชิ้นเดียว อ้าปากเร็ว" จอซูยังไม่ละความพยายาม กบเห็นแล้วก็นึกขันในท่าทาง เออเนอะ ผู้ชายตัวสูงใหญ่ อายุจะสามสิบเข้านี่แล้ว บทจะอ้อนขึ้นมา อายุหรือรูปร่างมันไม่เกี่ยวจริงๆ อยู่ที่ใจล้วนๆ

          กบอ้าปากรับหนวดปลาหมึกผอมๆ นั่นเข้าปากจากมือคนป้อน เคี้ยวตามหยับๆ ทำตาเป็นประกายใส่จอซู

          ลมเย็นพัดมาวูบหนึ่ง กลิ่นหญ้าเน่าตรงริมคลองส่งกลิ่นอับๆ มาจางๆ น้ำสีเข้มเกือบดำดูสกปรกในคลองเล็กๆ กำลังไหลเอื่อยๆ ตามกระแสลม บนผิวน้ำมีถุงพลาสติก ขวดน้ำพลาสติกเก่า และซากใบตองห่อขนมที่เริ่มเปื่อยเน่าลอยไหลมาตามน้ำ สายลมพัดปอยเส้นผมรุ่ยร่ายตกลงมาที่หน้าผากของจอซู กบเอื้อมมือไปลูบเบาๆ ที่เส้นผมนั่น แล้วปัดมันให้เข้าที่

          จะเป็นริมแม่น้ำแซนในปารีสที่แสนโรแมนติก หรือริมคลองบางแพรกที่บางบัวทอง ถ้าสำหรับหัวใจของคนสองคนที่รู้สึกดีต่อกัน เข้าใจกัน และกำลังจะก่อเกิดเป็นความรักแล้ว สายน้ำทุกแห่งมีคุณค่าแห่งการจดจำเท่ากันหมด ไม่เกี่ยวกับมูลค่าหรือที่ตั้งของมันว่าอยู่ส่วนไหนของโลก

          จอซูนั่งเอามือเท้าคางข้างหนึ่ง มืออีกข้างพยายามโยนหินก้อนเล็กๆ ข้างตัวให้ลงไปที่ปากกระป๋องนมที่ลอยน้ำมาติดอยู่ที่ง่ามไม้ริมตลิ่ง ลงบ้างไม่ลงบ้าง เสียงดัง ป๊อก ป๊อก...

          "กบ" เสียงจอซูเรียกขึ้น

          "หืม" กบขานรับ โดยไม่ได้หันไปมอง แต่ตาจ้องจับอยู่ที่ปากกระป๋องนมที่อีกฝ่ายกำลังโยนหินเล็กๆ ลงไปในนั้นอยู่

          "ถ้าเสี่ยเจ้านายของเราเลิกทำโรงงานแล้ว หรือโรงงานเจ๊งไป นายยังจะคบเราแบบนี้อีกไหม"

          "อ้าว ทำไมล่ะ ทำไมเราถึงจะไม่คบกับนายต่อล่ะ ตอนเราขอเบอร์ หรือคุยกันครั้งแรก เราก็ไม่ได้รับรู้นะว่านายจะทำงานโรงงานอะไรกับใคร หรือจะมีงานอะไรทำหรือเปล่า" กบหันไปจ้องหน้าอีกฝ่ายจริงจัง

          "จริงๆ นะ" จอซูยิ้มฟันขาว "เราขอบใจนายมากนะ เรารู้สึกดีกับนายมากๆ เลย เราอยากเจอกับนายไปนานๆ"

          "จริงสิ" กบเน้นเสียง

          หลังจากนั้นมีเสียงดัง ตูม!! จากอิฐก้อนหนึ่งที่กบโยนลงไปที่กระป๋อง แทนหินก้อนเล็กๆ ที่จอซูพยายามโยนอยู่ กระป๋องจมหายลงไปใต้น้ำ น้ำดำๆ ในคลองกระเด็นมาโดนทั้งสองคน เสียงจอซูโวยวายลั่น พร้อมๆ เสียงหัวเราะของกบ แล้วทั้งคู่ก็ลุกขึ้นมาวิ่งหัวเราะเสียงดังไล่กันอย่างครึกครื้นริมคลองนั่น

          ..............

          "พอๆๆ เบรคๆๆ หยุดเล่าตรงนี้ก่อน" เสียงคุณข้าวดังขัดจังหวะการเล่าของกบ

          "ง่ะ..." กบสะดุดพรืด แววตาเคลิ้มฝันกลับมาสู่สภาพเดิม

          "เว่อร์จริงๆ ไวไฟกันเหลือเกินนะ เจอกันในร้านคาราโอเกะแป็บเดียว จีบกันเป็นแฟนแล้ว" เจ้านายหนุ่มของกบประชดให้

          "ก่อนจะเล่าต่อ เอาเรื่องสำคัญก่อน ตั้งแต่เอ็งคบกับ เอ่อ ใครนะ จอซงจอซูอะไรเนี่ย ชื่อยังกะพวกชนเผ่าที่ลงมาจากยอดดอยแถบเมาะตะมะ เมาะลำเลิงเลย  เค้าเป็นลูกน้องเจ้าของโรงงานรองเท้าหรือ"

          "ใช่ฮะ" กบตอบเสียงอ่อยๆ แต่แอบขำในใจที่คุณข้าวประเมินสภาพทางภูมิศาสตร์ของถิ่นที่อยู่แฟนตัวเองจากชื่อได้ถูกต้อง

          "แล้วเอ็งเคยเจอกับเจ้าของโรงงานไหม ว่าเค้าเป็นใคร หน้าตายังไง"

          "ไม่เคยเจอฮะคุณข้าว"

          "แสดงว่าคืนนั้นที่ร้านน้องคาราโอเกะ เจ้าของโรงงานที่เป็นเจ้านายของแฟนเอ็งก็นั่งอยู่ในร้านหรือ" ชายหนุ่มถาม พร้อมนึกไปถึงคืนนั้นแล้วใจเต้นรัวขึ้นมาซะเฉยๆ อย่างนั้น --นี่เราอยู่ใกล้กันแค่นี้เองหรือจิว--

          "ใช่ฮะ เหมือนจอซูจะบอกแบบนั้น แต่กบไม่ได้เจอนะฮะ มีคนตีกันในร้านซะก่อนที่จะเดินไปถึงโต๊ะ"

          "นั่นสิ ข้าก็เกือบจะเจอเหมือนกัน" ชายหนุ่มพูดเบาๆ เหมือนพูดกับตัวเอง

          "อะไรนะฮะ คุณข้าวพูดว่าอะไรนะ คุณข้าวจะไปเจอใคร" เจ้ากบจับต้นชนปลายคำพูดเจ้านายไม่ถูก

          "อ่อ เปล่าๆ ไม่มีอะไร เอ้าถามต่อ แล้วตลอดเวลาที่ผ่านมาสองเดือนนี้ เอ็งเคยไปที่โรงงาน หรือเคยเจอเจ้าของโรงงานหรือเปล่า มีเถ้าแก่หรือลูกชายเถ้าแก่อยู่ที่นั่นไหม"

          "ไม่ฮะ ไม่เคยเจอเลย จอซูยังไม่เคยพาไปถึงโรงงานฮะ ยกเว้นแต่ว่าถ้าคุณข้าวจะซื้อรองเท้าเอามาใช้งานครั้งนี้แหล่ะ กบถึงจะได้ไปเอารองเท้าที่โรงงานเลย เพราะคุยกับจอซูไว้แล้ว อ้อ...แต่เท่าที่ได้ยิน มีแต่คนที่ถูกเรียกว่า 'เสี่ย' คนเดียวในโรงงานนะ ไม่มีคำว่าเถ้าแก่หรือลูกชายอะไรฮะ"

          "อ้อ งั้นรึ แปลกจัง แล้วเมื่อกี้เอ็งเล่าว่า จอซูมันจะตกงาน โรงงานจะปิดหรือ ทำไม เกิดอะไรขึ้น"

          "ผมก็ไม่รู้ฮะ จอซูมันพูดแค่นี้ เท่าที่กบเล่าไปแล้วฮะ"

          เจ้ากบเริ่มงงกับเจ้านาย นึกในใจว่าก็แค่จะซื้อรองเท้าแตะมาใช้ในงานอีเว้นท์ไม่ใช่หรือ แต่ทำไมเกิดจะมาสนใจเจ้าของโรงงานอะไรนี่ขึ้นมา ถามเสียยังกับว่าจะตามหาใครที่พลัดพรากจากกันไปแน่ะ

          "เป็นแฟนกันประสาอะไรไม่รู้เรื่อง เอางี้นะ เป็นคำขาดจากข้า พรุ่งนี้เอ็งต้องพาเจ้าจอซูอะไรเนี่ยมาที่นี่ ข้าจะถามอะไรมันหน่อย บอกมันว่าห้ามไปบอกใครนะ แล้วข้าจะอนุญาตให้เอ็งสองคนคบกันได้อย่างเปิดเผย"

          "ได้ฮะ" กบยิ้มแล้วรีบรับคำ นึกดีใจกับประโยคสุดท้ายของเจ้านายด้วย

          "เอ๊ะเดี๋ยวก่อนไอ้กบ ถามอีกนิดนะ แล้วเคยได้ยินแฟนชาวดอยของเอ็งพูดไหม ว่า เสี่ยอะไรนั่นที่โรงงานน่ะ มีแฟนหรือยัง มีเมียหรือแต่งงานหรือเปล่า เขาเคยพูดให้ฟังไหม" ชายหนุ่มแอบถามเข้าประเด็นที่อยากรู้สุดๆ

          "ง่า...ไม่นะฮะ เท่าที่ฟัง เหมือนเจ้านายของจอซูอยู่ตัวคนเดียว ไม่เคยได้ยินเรื่องเจ้านายผู้หญิงหรืออะไรอื่น กบว่าน่าจะโสดมั้งฮะ ถึงไปเที่ยวคาราโอเกะได้บ่อยๆ แถมจอซูยังเล่าว่าต้องเป็นคนหาซื้อกับข้าวกับปลาให้นายเค้ากินด้วย แสดงว่าไม่มีเมียคอยดูแลแน่ๆ ฮะ"

          ชายหนุ่มได้ยินประโยคนั้นก็ฉีกยิ้มถึงใบหู แล้วบอกกับกบว่า "ดีแล้ว ขอบใจ เอ็งไปนอนได้แล้วล่ะ ดึกแล้ว พรุ่งนี้ไปตามแฟนเอ็งมาหาข้าที่นี่แต่เช้าแล้วกัน"

          เขาโบกมือให้กบออกไปจากห้อง แล้วตัวเองก็นั่งมองโทรศัพท์อยู่สักครู่ นึกในใจว่าตื่นมาพรุ่งนี้เช้าจะลองโทรไปหาจิวอีกที แต่คงไม่กล้าคุยอะไรหรอกนะถ้าจิวเป็นคนรับสายขึ้นมา เพียงแต่เขาอยากได้ยินเสียงของจิวเฉยๆ ให้แน่ใจ

          คิดแล้วชายหนุ่มก็ยิ้มให้โทรศัพท์ แล้วเดินไปปิดไฟและออกจากห้องทำงาน เพื่อขึ้นไปห้องนอนตัวเอง

          --------------------

          เช้านี้เสี่ยจิวตื่นนอนเร็ว เขาอ้าปากหาวหวอดๆ เดินลงมาข้างล่าง หันซ้ายหันขวาไม่เห็นใคร นึกในใจว่านี่มันโรงงานร้างหรือเปล่าหว่า ลูกน้องไปไหนกันหมด

          "จอซู มินเดืองห์ ลำไยเว้ย ไปไหนกันหมด" เขาตะโกนไปรอบๆ ตัว

          "คร้าบ คร้าบ มาล่ะครับ เสี่ยจะกินอะไรครับ" คนที่โผล่มาคือจอซู วันนี้แต่งตัวสะอาดสะอ้านเป็นพิเศษ ผมเผ้าหวีเรียบร้อย

          "เอากาแฟมาแก้วเดียวพอ"

          ชายหนุ่มสั่งแบบเบื่อๆ จอซูคิดในใจ เออเนาะ เราก็ไม่น่าถาม เพราะเสี่ยกินแบบนี้ทุกวัน นี่ถ้าเสี่ยมีแฟนกะเขาบ้างสักคน แฟนเสี่ยคงจัดการให้เสี่ยแล้ว ไม่ต้องรอให้เรามาถามซ้ำให้เบื่อเล่นแบบนี้ทุกวันสินะ แล้วเมื่อไรเสี่ยจะมีแฟนสักทีหว่า เป็นโสดมาสิบกว่าปีนี่แล้ว เห็นว่างขึ้นมาก็ยืนจ้องแต่กรอบรูปขาวดำอะไรสักอย่างที่แขวนบนผนังห้องนอน เหมือนเป็นรูปเด็กผู้ชายสองคนจูงมือกันเดินบนรางรถไฟ แล้วอย่างนี้จะมีเวลาไปหาแฟนได้ยังไง

          เสี่ยจิวมองไปที่จอซูตั้งแต่หัวจนถึงรองเท้า "แล้วนี่แต่งตัวจะไปไหนแต่เช้า?"

          จอซูก้มลงไปทำเสียงอะไรอุบอิบในลำคอ แล้วเงยหน้าขึ้นตอบเจ้านายตัวเองด้วยความจริงเพียงครึ่งเดียว "จะเอารองเท้าไปให้ลูกค้าใหม่ดูฮะ เห็นว่าจะสั่งไปใช้งานอะไรก็ไม่รู้"

          เสี่ยหนุ่มใหญ่หน้าตี๋มองหน้าจอซู ทำหน้าเหมือนกำลังประเมินลูกน้องตัวเองว่ามันมีลับลมคมในอะไรหรือเปล่า เพราะพักนี้มันออกจากบ้านบ่อยๆ ตกดึกก็คุยแต่โทรศัพท์ หรือมันจะมีความรักหว่า หน้าตาก็ดูสดใสขึ้น

          "เออ ไปเถอะ" เขาพยักหน้าให้ พร้อมนึกในใจว่าช่างมัน มีความรักก็ดีเหมือนกัน เขาเองยังอยากมีบ้างเลย และสักพักเขานึกอะไรออกขึ้นมา

          "เอ้อเดี๋ยวๆ จอซู"

          "ครับนาย" จอซูหยุดรอฟังคำสั่ง

          "เอ็งได้จดเบอร์โทรบริษัทที่รับซื้อของมือสองไว้อยู่ใช่ไหม โทรไปให้ที ให้เขาเข้ามาตีราคาของในโรงงานตอนบ่ายวันนี้หน่อย ข้าจะทยอยขายอุปกรณ์ในโรงงานนี้ออกไปบ้างล่ะ หรือให้เขาโทรกลับมาที่เครื่องในห้องทำงานข้าก็ได้" ชายหนุ่มพูดแล้วก็ถอนใจ

          "ครับนาย" หนุ่มชาวดอยรับคำด้วยหน้าตาเสียดายและนึกเศร้ากับชะตากรรมของโรงงานที่จะเกิดขึ้นไม่แพ้กัน

          .................

          เสี่ยจิวเดินเข้ามาในห้องทำงานของตนเอง เพื่อจะมานั่งตรวจเอกสารต่างๆ และจะนั่งรอกินกาแฟที่นี่เลย

          เมื่อเขานั่งลงบนโต๊ะ ตาเหลือบไปเห็นหูโทรศัพท์วางกระเดิดออกจากแป้นวาง  ก็นึกในใจ สงสัยใครมาทำอะไรบนโต๊ะแล้ววางหูโทรศัพท์ไม่สนิท เขาจึงเอามือไปจับวางลงไปให้เข้าที่ และทันทีที่วางลงไปในตำแหน่งที่มันควรอยู่ เสียงกริ่งโทรศัพท์ก็ดังสวนขึ้นทันที เสี่ยจิวสะดุ้งเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าสายจะเข้ารวดเร็วขนาดนั้น เขายกหูขึ้นมาแล้วกรอกเสียงลงไป

          "ฮัลโหล สมนึกพูดครับ"

          ปลายสายเงียบ ได้ยินเสียงบรรยากาศโดยรอบอยู่แผ่วๆ แสดงว่าโทรศัพท์ไม่ได้ขัดข้อง เพียงแต่ไม่มีคนพูด

          "ฮาโหล ฮาโหล..." เขาย้ำเสียงลงไปอีก

          เงียบ คราวนี้เป็นเสียงลมหายใจแรงแว่วเข้ามาในสาย

          "ฮัลโหล ฮัลโหล นั่นจากบริษัทรับซื้อของมือสองหรือเปล่าครับ ฮัลโหลๆๆ" ชายหนุ่มถามเพราะคิดว่าจอซูคงโทรไปตามเรื่องบริษัทรับซื้อของมือสองแล้ว เขารอฟังคำตอบอย่างใจเย็น เอามือตบๆ เครื่องโทรศัพท์เหมือนสงสัยว่าเครื่องข้างในมันมีอะไรขัดข้องหรือเปล่า

          ปลายสายยังไม่มีเสียงพูดอยู่ แต่คราวนี้เขาได้ยินเสียงลมหายใจแรงดังฟืดฟาดเป็นจังหวะอย่างชัดเจน

          หรือเป็นพวกโรคจิต เซ็กส์โฟน!! ชายหนุ่มคิด นี่เกิดอารมณ์กันแต่เช้าเลยหรือ ใกล้เสร็จแล้วสิเนี่ยถึงครางเสียงกระเส่าเชียว

          เขาจับกระบอกโทรศัพท์ออกจากหู แล้วจ้องมองมัน ก่อนจะกรอกเสียงอันดังมากลงไปว่า

          "ไอ้โรคจิต!!!"

          แล้วเขาก็วางสายโครมลงไปกับเครื่องโทรศัพท์ จนโต๊ะทำงานกระเทือน!!

          --------------------

          คุณข้าวสะดุ้ง ถอนโทรศัพท์ออกจากหูอย่างรวดเร็ว หลับตาปี๋! --หูแทบแตก-- เขาแอบขำในใจ โดยที่ยังหายใจหอบจากความตื่นเต้นที่ได้ยินเสียงของจิวเป็นครั้งแรกในรอบสิบปี หัวใจของชายหนุ่มเต้นตูมตามจนแทบทะลุออกมา ตอนจิวรับสายครั้งแรก เขาเกือบเผลอร้องอุทานออกมาแล้วด้วยซ้ำ ดีที่เอามืออุดปากทัน

          'จิว จิว...' ชายหนุ่มท่องชื่อนี้ในใจ นี่จิวจริงๆ ด้วย เขาคิดถึงจิวจริงๆ คิดถึงอย่างไม่รู้จะเปรียบเปรยว่าอะไรดี

          คนอารมณ์ดีผิวปากออกมาโดยไม่รู้ตัว เดินออกจากโต๊ะที่วางโทรศัพท์แต่เหมือนไม่ได้เดิน กลับเหมือนตัวลอยละล่องออกไปแบบเท้าไม่ติดพื้น มองอะไรรอบตัวในบ้านวันนี้ดูสดใสไปหมด เขาเดินไปที่ครัว เปิดกาน้ำร้อนเพื่อจะชงกาแฟกิน แถมนึกในใจด้วยว่าป่านนี้จิวจะกินกาแฟแก้วแรกของวันหรือยังนะ จิวชอบกาแฟดำไม่ใส่คอฟฟี่เมท ใส่น้ำตาลช้อนครึ่ง เหมือนทุกครั้งที่เขาเป็นคนชงให้จิวกินตอนอยู่ด้วยกันที่บ้านโดยที่ไม่ต้องถาม

          เขาหยิบแก้วกาแฟเดินมานั่งที่โต๊ะทำงาน จิบกาแฟไปแล้วเริ่มเขียนสคริปต์ของงานญี่ปุ่น J-Trends in Town 2001 ที่จะมีขึ้นที่ลานห้าง MBK Center ไปพลางๆ เขียนเสร็จจะได้ส่งให้อัญชุลีเอาไปพิมพ์ต่อไป เพราะงานก็ใกล้เข้ามาแล้ว และตอนสายๆ กบจะพาแฟนมาเพื่อให้เขาซักถามข้อมูลเรื่องจิว เดี๋ยวจะไม่มีเวลาทำงานเอา

          แถมวันนี้เขายังอารมณ์ดีมาก หัวสมองแล่นฉิว ทุกสิ่งทุกอย่างดูโล่งปลอดโปร่งไปหมด ยิ่งเขียนยิ่งเพลิน เขียนสคริปต์งานญี่ปุ่นในกระดาษ A4 แต่ทำไมเหมือนมีดอกซากุระร่วงโปรยปรายลงมาบนหัวตลอดเวลาก็ไม่รู้ ปากก็ฉีกยิ้มคนเดียวจนปวดแก้มไปหมดแล้ว

          จนเวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง เขาละสายตาจากเอกสารตรงหน้า นึกออกว่าใกล้เวลาที่กบจะพาเจ้าจอซูจอซ่วงอะไรนั่นมาแล้ว เขายังไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย จึงวางมือจากงาน แล้วรีบกลับขึ้นไปบนห้องนอนชั้นสองเพื่อจัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อน

          --------------------

          กบลากมือแฟนตัวเองให้เข้ามาในบ้าน หากก่อนเข้าประตู จอซูได้เห็นป้ายชื่อบริษัทของคุณข้าวที่ติดไว้บนกำแพงว่า 'สมใจนึก ออร์กาไนซ์ แอนด์ โมเดลลิ่ง' แล้วก็นึกแปลกใจ เออหนอ ทำไมเจ้านายตัวเองชื่อเสี่ยสมนึก แต่กลับไม่ได้ใช้ชื่อเก๋ๆ แบบนี้มาตั้งชื่อบริษัท แต่ที่นี่กลับใช้ชื่อแบบนี้ สงสัยเจ้าของบริษัทของกบคงชื่อสมนึกเหมือนกัน

          "เดี๋ยวๆ กบ ใจเย็นๆ เราตื่นเต้นไปหมดแล้ว เจ้านายกบจะถามอะไรเราน่ะ ที่ตามเรามาวันนี้" จอซูทำหน้าเลิ่กลั่ก

          "ไม่มีอะไรหรอก เค้าถามอะไรก็ตอบไปตามความจริงก็แล้วกัน อย่างที่บอกไง ถ้าตอบเค้าดีๆ คุณข้าวจะโอเคกับเรื่องการคบกันของเราสองคนน่ะ" กบยิ้มให้จอซู พร้อมลูบหลังเบาๆ ปลอบใจ

          "แล้วนายรู้ไหม ทำไมคุณข้าวของนายนี่ ถึงอยากจะรู้เรื่องของเสี่ยจิวเจ้านายเรา" จอซูยังคาใจ

          "เออ อันนี้เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ เคยพยายามคิด แต่ก็หาคำตอบไม่เจอ ว่าสองคนนี่เค้าจะไปสัมพันธ์กันอีท่าไหน แต่เหมือนประมาณว่ากำลังตามหาใครสักคนที่พลัดพรากกันไปนาน แล้วอยากจะรู้ความเป็นไปในปัจจุบันน่ะ" กบอธิบายยืดยาว

          "แปลกจริง" จอซูรำพึงเบาๆ ทำหน้าครุ่นคิด "หรือเค้าเป็นศัตรูคู่แค้น จะมาหลอกถามข้อมูลไปล้างแค้นอะไรกันหรือเปล่า จะมีไล่ล่ายิงกันตายไหม"

          กบหัวเราะพรืดออกมา "จะบ้าเร๊อะ คุณข้าวของเราไม่ใช่คนแบบนั้น เรียบร้อย หล่อ หน้าตาดีจะตายไป หงิมๆ แบบนั้นจะไปยิงใครได้ อีกอย่างเค้าก็ไม่ได้มีศัตรูที่ไหน ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก"

          "ถ้าไม่ใช่ศัตรู ก็ต้องเป็นคนเคยรู้จักเก่า จะว่าเป็นเพื่อนกันมาก่อน ก็ถามกันเองตรงๆ ไปได้เลยนี่ จะมาถามผ่านเราทำไม" จอซูหันมองไปรอบๆ บ้าน "หรือจะเคยเป็นแฟนเก่ากันมาก่อน?"

          กบหันควับมาทันที "เออเนอะ ลืมคิดประเด็นนี้ไปจริงๆ มันจะเป็นไปได้ไหมหว่า มิน่าล่ะตอนถามอะไรต่ออะไรจากเรา ก็มีพูดอะไรแปลกๆ ลอยๆ เหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว"

          ตอนนี้ทั้งคู่เดินมาถึงห้องทำงานของคุณข้าวแล้ว กบเคาะประตูก่อนแล้วเปิดแง้มเข้าไป แต่ไม่มีเจ้าของห้องอยู่ในห้องนั้น

          "อ้าว คุณข้าวไปไหน" กบอุทานออกมาเบาๆ แล้วเปิดประตูกว้างออกไป เดินนำจอซูเข้ามากลางห้อง "มา เข้ามานั่งรอในห้องนี้ก่อน แอร์เย็นๆ เดี๋ยวคุณข้าวคงลงมา"

          จอซูเดินตามกบผ่านประตูเข้ามา แล้วหันหลังกลับไปเพื่อปิดประตูห้องให้ พองับประตูปิดสนิทสายตาก็เห็นรูปๆ หนึ่งใส่กรอบแขวนบนผนังข้างประตูนั้น

          มันคือรูปขาวดำของเด็กผู้ชายสองคนที่จูงมือเดินหันหลังบนรางรถไฟ เงาที่ทอดลงมาที่พื้นเป็นรูปหัวใจ มันแสนจะชินตาจอซูอย่างที่สุด!!!

          ก่อนหน้าที่ลำไยจะเข้ามาทำงานในโรงงาน เขาเองนี่แหล่ะที่เป็นคนทำความสะอาดห้องนอนเสี่ยจิว ทำความสะอาดทุกซอกทุกมุม รวมทั้งเช็ดถูรูปที่ใส่กรอบแขวนบนห้องนอนเสี่ยจิวด้วย รูปที่เสี่ยจิวชอบเผลอจ้องมองเหม่ออยู่บ่อยๆ

          และตอนนี้รูปนั้นมันอยู่ที่นี่!! ไม่ใช่สิ กรอบที่ใส่มันคนละแบบกัน แต่รูปข้างในน่ะเหมือนกัน เหมือนอัดขยายมาจากฟิล์มเดียวกันเลยล่ะ ใช่...มันเป็นรูปที่เหมือนกันของสองบ้าน

          ต่อให้มาจากยอดเขาปลายดอย หรือจะมาจากสถาบันที่เก่งสุดของโลก ถ้าเป็นคนที่มีหัวใจ ต้องตีความเรื่องนี้ออกทุกคน เจ้าของสองบ้านนี้คือคนสองคนในรูป และคนในรูปคู่นี้ต้องเป็นแฟนกัน!

          จอซูยิ้มออกมาคนเดียว ตอนนี้เด็กหนุ่มรู้แล้วว่าเจ้าของบ้านนี้จะซักถามเขาเรื่องอะไร และคำตอบที่เขาควรจะเล่าคืออะไร

____________________

หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๑ : เรื่องลับจากหนุ่มชาวดอย || หน้า ๑๓ || ๑๑/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 11-06-2017 08:20:05
 :L2: :pig4:

เอ้ยยยยยยยยยยยย อีกนิดหนึ่ง
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๑ : เรื่องลับจากหนุ่มชาวดอย || หน้า ๑๓ || ๑๑/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 11-06-2017 08:44:57
 :katai2-1:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๑ : เรื่องลับจากหนุ่มชาวดอย || หน้า ๑๓ || ๑๑/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 11-06-2017 09:04:51
อ่ะ.  เขาใกล้จะเจอกันแล้วซินะ

รอลุ้นอยู่น้าาาา

 :katai3:  :katai3:  :katai3:  :katai3:  :katai3:

....
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๑ : เรื่องลับจากหนุ่มชาวดอย || หน้า ๑๓ || ๑๑/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: graciej ที่ 11-06-2017 13:41:39
ใกล้แล้ว
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๑ : เรื่องลับจากหนุ่มชาวดอย || หน้า ๑๓ || ๑๑/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: appattap ที่ 11-06-2017 15:10:53
โลดสดใสขึ้นมาเลยนะต้นข้าววว
รอติดตามตอนต่อไปค่าา
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๑ : เรื่องลับจากหนุ่มชาวดอย || หน้า ๑๓ || ๑๑/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-06-2017 15:11:46
 :katai1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๑ : เรื่องลับจากหนุ่มชาวดอย || หน้า ๑๓ || ๑๑/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 11-06-2017 15:42:26
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๑ : เรื่องลับจากหนุ่มชาวดอย || หน้า ๑๓ || ๑๑/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 11-06-2017 21:19:26
รออ่านตอนหน้า ข้าวอาบน้ำนานมาก 555
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๑ : เรื่องลับจากหนุ่มชาวดอย || หน้า ๑๓ || ๑๑/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 12-06-2017 00:02:49
เค้าสองคนจะเจอกันแล้วใช่ไหม
รอลุ้นตอนหน้า จัดมา..เจอกันเหอะนะ

จิวจะได้เลิกเหงา ซะที..ซะที

ส่วนต้นข้าว เค้าคนนี้คงจะไม่เหงาอะไร
..หรอกมั้ง..
หุหุ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๑ : เรื่องลับจากหนุ่มชาวดอย || หน้า ๑๓ || ๑๑/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 16-06-2017 15:48:29
 :ling1:


อยากอ่านมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
วันนี้มาลงหรือเปล่าาาาาาาาาาาาาาาาาาานะ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๑ : เรื่องลับจากหนุ่มชาวดอย || หน้า ๑๓ || ๑๑/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: MyMine104 ที่ 19-06-2017 22:11:58
ฮือออออออออเป็นเรื่องที่น่ารักมากกกกก เราชอบนะความรักในยุคนั้นเสียดายเกิดช้าไปนิดเดียว :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๑ : เรื่องลับจากหนุ่มชาวดอย || หน้า ๑๓ || ๑๑/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: kratair ที่ 23-06-2017 21:09:11
รอเวลาที่จะได้เจอกันนน :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๑ : เรื่องลับจากหนุ่มชาวดอย || หน้า ๑๓ || ๑๑/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ajkub ที่ 23-06-2017 21:34:20
รอต่อไป :katai2-1: :katai5:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๑ : เรื่องลับจากหนุ่มชาวดอย || หน้า ๑๓ || ๑๑/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 23-06-2017 22:09:02
รูปที่จิวกับข้าว ไปเที่ยวสะพานข้ามแม่น้ำแคว กาญจนบุรี
เด็กชายสองคนจับมือกัน แล้วครูถ่ายภาพเอาไว้
กลายมาเป็นสื่อที่ทำให้สองคนพลัดพรากกันกลับมาเจอกัน มันยอดมากกก
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๑ : เรื่องลับจากหนุ่มชาวดอย || หน้า ๑๓ || ๑๑/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 27-06-2017 07:24:52

MBK❤lover


(http://www.bloggang.com/data/k/kampong/picture/1485729585.jpg)


ตอนที่ ๔๒ : แผนบุกถึงโรงงาน


          ตลอดสองชั่วโมงหลังจากนั้น คุณข้าวก็ได้รับรู้ถึงความเป็นมาของเสี่ยจิวทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการย้ายที่อยู่โรงงานรองเท้ามาแล้วสองครั้ง เรื่องป๊าของเสี่ยจิวที่ป่วยหนักและเสียไปแล้ว เรื่องธุรกิจโรงงานที่ตอนนี้เริ่มจะไม่ดี เผลอๆ อาจจะเจ๊งถึงกับต้องปิดกิจการโรงงานได้

          รวมทั้งเรื่องการครองตัวเป็นโสดมาตลอดสิบปีโดยที่ไม่วอกแวกหรือเหลียวแลใครเลย เหมือนว่าเสี่ยแกมีใครในใจอยู่แล้ว แต่ไม่มีใครในโรงงานเคยเห็น วันๆ ก็ยืนจ้องแต่รูปๆ หนึ่งที่แขวนในห้องนอน รูปขาวดำของเด็กหนุ่มสองคนบนรางรถไฟ จอซูเล่าโดยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ว่าเป็นรูปเดียวกับที่แขวนอยู่ข้างประตูในห้องคุณข้าวห้องนี้ด้วย

          เรื่องนี้ทำให้คุณข้าวนั่งฟังแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนกบและจอซูสังเกตเห็นได้

          "แล้วเสี่ยของเธอ ไม่มีพลาดสักครั้งเลยเหรอ มีคนมาจีบบ้างไหม" ชายหนุ่มถามย้ำอีกครั้ง

          "ไม่มีเลยครับคุณข้าว มีบางครั้งลูกค้าสาวใหญ่มาติดต่อเรื่องรองเท้า ถึงขนาดชวนไปเที่ยวทะเลบ้าง ชวนไปนอนคอนโดพัทยาบ้าง แลกกับออร์เดอร์รองเท้าหลายแสน เสี่ยยังไม่เคยไปเลยฮะ เสี่ยจิวไว้ตัวมากในเรื่องนี้"

          จอซูเล่าให้ชายหนุ่มมั่นใจ เพราะประเมินดูแล้วจากการพูดคุยและเห็นหลักฐานจากภาพถ่าย คุณข้าวคนนี้แหล่ะน่าจะเป็นตัวจริงเสียงจริงของเสี่ย ที่อุตส่าห์ครองตัวเป็นโสดมาจนทุกวันนี้

          "แล้ว เอ่อ...เอ่อ ถ้าไม่ใช่สาวๆ แล้วเคยมีหนุ่มๆ มาเกาะแกะเสี่ยของเธอบ้างไหม" คุณข้าวลองเช็คดูทุกทาง เผื่อพลาด

          จอซูหัวเราะระรื่นออกมา "ไม่มีหรอกครับ ปกติเสี่ยหน้าดุจะตาย วันๆ ไม่ค่อยยิ้มกับใครเขา ใครที่ไหนจะกล้าเข้าใกล้ล่ะฮะ"

          คุณข้าวมองดูจอซูยิ้มระรื่น แล้วนึกในใจว่าเจ้าหนุ่มชาวดอยคนนี้ก็หน้าตาหล่อคมสันเข้าทีเหมือนกันนะ ยิ่งนั่งคู่กันกับเจ้ากบ มันก็ดูเป็นคู่ที่สมกันดีเหมือนกัน เพราะกบมันก็เป็นคนที่หน้าตาดีคนหนึ่ง แต่แล้วเหมือนนึกอะไรออก ชายหนุ่มจึงถามสิ่งที่สงสัยมาตั้งแต่เช้าแล้วว่า

          "เออนี่ เมื่อเช้าข้าโทรไปหาเสี่ยเจ้านายเธอ เห็นเขาพูดเหมือนว่ากำลังจะนัดบริษัทขายของมือสองเข้ามาโรงงานหรือ เขาจะเรียกเข้ามาทำไม"

          "อ๋อ ผมลืมเล่าไปฮะ เมื่อเช้าเสี่ยใช้ให้ผมโทรตามบริษัทเข้ามาประเมินราคาเครื่องจักรบางอย่างในโรงงาน เสี่ยจะทยอยขายออกไปบ้างฮะ เพื่อจะพยายามยื้อให้โรงงานอยู่รอดนานที่สุด" จอซูเริ่มทำหน้าม่อย แววตาเริ่มเศร้า

          "แล้วมันจะรอดไปนานแค่ไหนกัน" คุณข้าวเริ่มน้ำเสียงจริงจัง "ขายแล้วจะเอาเครื่องจักรที่ไหนมาผลิตรองเท้าต่อล่ะ"

          "ก็ไม่มีหรอกครับ ผมก็ไม่รู้ว่าเสี่ยเขาจะคิดยังไง จะปิดโรงงานไปเลยหรือเปล่า หรือแค่จะรอขายรองเท้าในโกดังหกพันคู่นี้ให้ออกไปหมดก่อน"

          ชายหนุ่มนั่งนิ่งใช้ความคิดอยู่สักครู่ ตาก้มลงมองไปที่เอกสารบนโต๊ะตัวเอง อ่านชื่อหัวกระดาษที่พิมพ์ชื่อบริษัท 'สมใจนึก ออร์กาไนซ์ แอนด์ โมเดลลิ่ง' เขาอ่านแต่เฉพาะคำว่า สมนึก สมนึก หลายรอบ แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ชะโงกข้ามโต๊ะทำงานไปใกล้จอซู

          "ช่วยอะไรข้าหน่อย" น้ำเสียงเขาจริงจัง

          "ครับคุณข้าว" จอซูตั้งใจฟังคำขอนั้น

          "หมุนโทรศัพท์ไปเดี๋ยวนี้เลย โทรไปหาไอ้บริษัทรับซื้อของมือสองที่ว่านั่น บอกว่ายกเลิกบ่ายนี้ ไม่ต้องเข้าไปตีราคาแล้ว"

          จอซูมองหน้าคุณข้าวนิ่ง แล้วเหมือนตัดสินใจได้ เขาจะเชื่อคุณข้าว คนที่เขาพึ่งรู้จักนี้ด้วยแรงสังหรณ์ในทางที่ดีอย่างบอกไม่ถูก มันต้องมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นแน่

          เด็กหนุ่มยกหูโทรศัพท์บนโต๊ะขึ้นมา กดหมายเลข จนมีคนรับสายจึงกรอกเสียงลงไปว่า "ขอยกเลิกนัดที่จะเข้ามาที่โรงงาน T-Star บ่ายนี้ฮะ แล้วจะติดต่อไปใหม่"

          คุณข้าวยิ้ม "ดีมาก เอาล่ะ เอ็งกลับไปเตรียมตัวได้ บ่ายนี้ถ้ามีบริษัทรับซื้อของมือสองอีกเจ้าหนึ่งหน้าตาแปลกๆ เข้าไปที่โรงงานก็อย่างงล่ะ"

          "ครับคุณข้าว" จอซูรับคำ ในใจเริ่มเดาอะไรได้ลางๆ

          "อ้อ อีกอย่างหนึ่ง ถือซะว่าการมาวันนี้เอ็งก็ได้ผลงานด้วยนะ ข้าขอสั่งรองเท้าฟองน้ำคละแบบคละรุ่นมาก็ได้ หนึ่งพันคู่ พรุ่งนี้เอามาส่งแล้วเก็บเงินสดไปได้เลย"

          "หนึ่งพันคู่!!" คราวนี้เจ้ากบและจอซูร้องออกมาพร้อมกัน

          กบตาเหลือก "คุณข้าวจะเอาไปทำอะไรฮะตั้งพันคู่ งานที่เราจะใช้ มันใช้แค่ยี่สิบคู่เอง"

          "เอาน่า" คุณข้าวยิ้ม "แต่ห้ามไปบอกเสี่ยจิวนะ ว่าข้าเป็นคนสั่งซื้อ บอกว่านายหมานายแมวอะไรเป็นคนซื้อก็ได้ และไม่ต้องไปพูดเลยนะเรื่องที่เรามาเจอกันวันนี้ เอาตามนี้นะ เอ็งกลับไปได้แล้ว บ่ายนี้เห็นอะไรแปลกๆ ที่โรงงาน ก็อย่าทักออกมาล่ะ แล้วว่างๆ มาเที่ยวหาเจ้ากบที่นี่ได้ตลอดเวลา ข้าอนุญาต เอ็งจะมานอนค้างคืนเลยก็ได้ กบมันคงอยากให้เอ็งมาค้างอยู่หรอก"

          ทั้งกบและจอซูมองหน้ากัน มือที่วางใต้โต๊ะแอบมากุมกันแน่น

          "ครับคุณข้าว เสี่ยคงดีใจที่ระบายสต๊อกรองเท้าในโกดังออกไปได้บ้าง" จอซูยิ้มฟันขาว ดูสดชื่นขึ้นมาทันที ยกมือขึ้นไหว้เขา "งั้นผมลาละนะฮะ"

          ชายหนุ่มเดินไปส่งจอซูที่หน้าห้องทำงาน ยืนมองดูเด็กหนุ่มสองคนจูงแขนหน้าตาระรื่นออกไปจากห้องแล้วอมยิ้มออกมา มันเหมือนมองอดีตของตัวเองจริงๆ

          ..................

          แผนของเขาที่ตั้งใจไว้ก็คือ จะแอบปลอมตัวไปเป็นบริษัทตีราคาเครื่องจักร แทนบริษัทตัวจริงที่จอซูโทรไปเมื่อเช้า เพื่อถ่วงเวลาไว้ไม่ให้จิวขายมันไป  เขาจะได้มีเวลาช่วยเหลือจิวจากธุรกิจที่กำลังจะเจ๊งนี้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งให้ได้ ก่อนจะสูญเสียเครื่องจักรหรือโรงงานไปทั้งหมด

          เขาปิดประตูห้องทำงาน ตามองไปที่รูปแขวนบนผนัง แล้วพูดกับตัวเองออกมาเบาๆ

          "เรากำลังทำตามสัญญาข้อสุดท้ายแล้วนะจิว เมื่อใดก็ตามที่เธอล้ม เราจะเป็นคนดึงมือเธอกลับขึ้นมาให้เอง ไม่ว่าตอนนี้เธอจะให้อภัยเราในสิ่งที่เราเคยทำผิดกับเธอหรือไม่ก็ตาม"

          .................

          คุณข้าวเริ่มแผนที่ผุดขึ้นมาในหัวสมองทันที เขาเดินกลับไปที่โต๊ะ ยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาพริกเพื่อนรัก บอกให้เข้ามาหาที่บ้านนี่หน่อย มีเรื่องด่วน

          วางสายเสร็จ เขาเดินออกไปนอกห้อง ไปที่ส่วนหน้าของออฟฟิต ตรงไปที่โต๊ะของอัญชุลี เลขาฯ ของเขาที่กำลังนั่งพิมพ์งานอยู่ เพื่อสั่งให้ต่อโทรศัพท์ขอนัดเพื่อนเก่าแก่สมัยมัธยมของเขาที่ชื่อ 'ราชา' พร้อมทั้งบอกให้อัญชุลีเตรียมเอารถออก

          --------------------

          ช่วงบ่ายของวันนี้เสี่ยจิวว่างจัด เพราะกว่าจะถึงเวลาที่นัดกับบริษัทตีราคาของมือสองที่ให้เจ้าจอซูนัดไว้ ก็อีกเป็นชั่วโมง และวันนี้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะจอซูได้กลับมาบอกว่ามีลูกค้าออร์เดอร์รองเท้าฟองน้ำเป็นจำนวนถึงหนึ่งพันคู่ พอได้ค่าใช้จ่ายต่างๆ ของเดือนนี้แล้ว

          ชายหนุ่มจึงมานั่งเล่นหน้าคอมพิวเตอร์ของตัวเองบนโต๊ะทำงาน นั่งผิวปากและเริ่มกดปุ่มหมุนหมายเลขต่อโมเด็มเพื่อเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางสายโทรศัพท์

          ต๊อด ต๊อด อ๊อด อ๊อด ตื๊ด ตื๊ด...

          กว่าโมเด็มจะเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ก็แทบจะขาดใจ แถมช่วงลุ้น ต้องมีการแอบกลั้นหายใจด้วย เพราะกลัวว่าถ้าหายใจแรง เน็ตจะหลุด!!

          ในที่สุดอินเทอร์เน็ตความเร็ว 56Kbps ก็เชื่อมต่อสำเร็จ เสี่ยจิวถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ดีไม่ขาดใจตายไปเสียก่อนในขณะที่กลั้นหายใจตอนต่อโมเด็มนั้น

          อันที่จริงอินเทอร์เน็ตนี้ก็เป็นของใหม่ในเมืองไทยไม่เกินห้าหกปีนี้เอง เสี่ยจิวจำเป็นต้องเรียนรู้ เพราะลูกค้าต่างประเทศที่ติดต่อส่งออกรองเท้าของเขาจะใช้การสื่อสารด้วยอีเมล หรือที่เรียกว่าจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ เสี่ยจิวจึงเพลิดเพลินกับการทดลองสมัครอีเมลแอดเดรสมันซะทุกผู้ให้บริการที่มีในขณะนั้น เช่นยะฮูเมล ไชโยเมล และไทยเมล

          ในขณะที่เสี่ยจิวเพลิดเพลินกับการเปิดดูเวปไซต์ขายของต่างๆ เช่น ประมูลดอทคอม ตลาดดอทคอม และไทยตำบลดอทคอมอยู่นั้น ก็มีรถปิคอัพกลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่งขับเข้ามาจอดหน้าโรงงาน เขามองเห็นได้จากทางหน้าต่างห้องทำงาน จึงตะโกนเรียกจอซู

          "จอซูโว้ย ไปดูซิใครมา ใช่บริษัทที่จะมาตีราคาของหรือเปล่า"

          ..................

          คุณข้าวนั่งเบียดอยู่บนรถกันสามคน มีเขา มีพริก และมีอัญชุลีซึ่งเป็นผู้ขับรถคันนี้มา รถปิคอัพไดฮัทสุคันนี้คุณข้าวขอยืมมาจากพนักงานที่ทำฉากต่างๆ ให้กับบริษัทของเขา เป็นรถไว้สำหรับขนอุปกรณ์ประกอบฉากในงานอีเว้นท์ต่างๆ มันมีที่นั่งแค่ตอนเดียวด้านหน้า ทั้งสามจึงต้องนั่งเบียดกันมาอย่างทุลักทุเล

          "เอ้านี่ คลุมหัวไว้ซะ" ชายหนุ่มส่งผ้าขาวม้าดูเก่ามอซอผืนหนึ่งให้พริก และในมือตัวเองก็ถือไว้อีกผืนหนึ่ง

          "โอ้ย ทำไมต้องทำให้มันยุ่งยากมากเรื่องแบบนี้นะ ก็ลงจากรถเดินเข้าไปหาซะก็หมดเรื่อง" พริกแอบบ่นเบาๆ แต่ก็รับเอาผ้าผืนนั้นมาคลุมหัว ทำจมูกฟุตฟิต

          "ซักแล้วน่า คลุมๆ ไปเถอะ" ชายหนุ่มหัวเราะกับท่าทางเก้ๆ กังๆ ของเพื่อนสาวรุ่นใหญ่ ก่อนที่ตนเองจะเอาผ้าขาวม้าอีกผืนขึ้นมาคลุมหัวตัวเองบ้าง แถมตวัดชายด้านหนึ่งพาดไปที่ไหล่อีกฝั่งหนึ่ง ดูเหมือนคนงานตัดอ้อยเต็มที่ แล้วหยิบแว่นกันแดดสีดำสนิทขึ้นมาใส่

          "ไหนลองบอกเหตุผลมาซิต้นข้าว ว่าทำไมเธอถึงต้องทำลับๆ ล่อๆ มาแอบดูจิวเขาแบบนี้หือ นี่เธอพยายามค้นหาบ้านช่อง หาทางติดต่อเขามาเป็นสิบปี พอเจอแล้วกลับทำได้แค่มาแอบดูนี่นะ ทำเป็นคนสมัยก่อนไปได้ ไม่ได้เห็นหน้าแฟน มาแอบมองหลังคาก็ยังดี" พริกถามแบบยาวเหยียด

          "โธ่พริก เธอก็รู้นี่ วันที่เราลาจากจิวมา เราทำไม่ดีกับเขาไว้ขนาดไหน ไปบอกเลิกเขาถึงบ้าน ไปทำหน้าทำตาใส่เขา ปิดประตูกระแทกกรอบรูปในห้องนอนเขาตกลงมาแตกอีก จิวไม่ต่อยเราในวันนั้นก็บุญแล้ว ไหนจะเรื่องเราไปมีกิ๊กกับคนอื่นอีก แล้วนี่จะให้เราจู่ๆ เดินดุ่มๆ ลงจากรถเข้าไปหาจิว ไปกอด ไปหอม ไปคุกเข่าขอโทษงั้นเหรอ มันง่ายไปไหม ตลกล่ะ!"

          พริกจ้องหน้าชายหนุ่ม "เออ เอาเถอะ ชั้นก็ตามความคิดเธอไม่ทันจริงๆ เอาไงเอากัน ชั้นล่ะอยากจะรอดูช่วงเวลานั้นจริงๆ ว่าตอนเธอสองคนโผเข้าหากัน มันจะโรแมนติกขนาดไหนนะ"

          "มันจะไม่โรแมนติกหรอกพริก โตๆ กันแล้ว ไม่ใช่เด็กวัยรุ่น แต่เมื่อนาทีนั้นมาถึง เธอคอยดูเถอะพริก วันที่เรากับจิวโผเข้าหากัน ฉากนั้นมันต้องยิ่งใหญ่อลังการ สมกับการจากลากันมาเป็นสิบปีแน่ๆ"

          "ลิเกมากๆ" พริกบ่นอุบอิบในลำคอ

          ชายหนุ่มหัวเราะกับคำบ่นเบาๆ ของพริก แล้วหันไปหาอัญชุลีที่นั่งขำเจ้านายสองคนอยู่

          "เอ้า ลงไปได้แล้วอัญชุลี จะมานั่งยิ้มขำอะไรล่ะ อย่าให้แผนแตกล่ะ เธอต้องทำเนียนว่าเป็นคนมาจากบริษัทตีราคาของมือสองนะ อย่าให้ถูกจับได้ล่ะ ส่วนฉันสองคนคือคนงานที่ติดรถเธอมาด้วย เข้าใจไหม"

          "ค่ะคุณ" อัญชุลีรับคำ ขยับปกเสื้อให้เข้าที่ ให้ดูเป็นการเป็นงานหน่อย ที่คอคล้องกล้องฟิล์มถ่ายรูปคอมแพ็คตัวเล็ก ซึ่งซักซ้อมท่าทางคำพูด และแผนการนี้กันมาจากที่บ้านเป็นอย่างดีแล้ว ก็พอดีกับที่จอซูเดินออกจากประตูโรงงานตรงมาที่รถ

          "มาหาใครครับ อ้าว...คุณขะ...วว"

          คำสุดท้ายของจอซูขาดหายไป เมื่อเห็นหน้าคนในรถที่คลุมผ้าขาวม้าชัดๆ เด็กหนุ่มก็มีอาการขำพรืดออกมา

          "จุ๊ๆๆๆ" เสียงคุณข้าวร้องเตือน

          "อ้อ มาจากบริษัทตีราคาของมือสองนี่เอง เชิญๆๆ ครับเชิญ" ขณะที่พูด เด็กหนุ่มชาวดอยยังไม่หายขำ ตาเป็นประกายสนุก

          .............

          "ใครมาน่ะจอซู"

          เสียงดังดูมีอำนาจดังขึ้นด้านหลัง ทุกคนหันขวับไปมอง เสี่ยจิวซึ่งเดินตามหลังจอซูออกมา กำลังเดินมาใกล้รถแล้ว

          คนที่ตั้งตัวได้คนแรกคืออัญชุลี นางรีบเปิดประตูออกจากรถด้านคนขับ แล้วเดินอ้อมมายืนบังที่ประตูรถอีกฝั่งทันที ปิดภาพอีกสองคนในรถไว้ครึ่งหนึ่ง

          "สวัสดีค่ะ ดิฉันอัญชุลี มาจากบริษัท เอ่อ เอ่อ รับตีราคาของเก่า เอ๊ย ของมือสองค่ะ" เลขาฯ คนหัวไวรีบแนะนำตัว แต่แอบมีตะกุกตะกักบ้าง

          "อ้อ ครับ เชิญด้านในครับ มาคนเดียวหรือครับ" เจ้าของโรงงานหนุ่มยิ้มกว้าง เอี้ยวตัวมองเข้ามาในรถ เห็นเหมือนมีคนงานนั่งคลุมหัวใส่แว่นลับๆ ล่อๆ อยู่สองคนในรถ

          "ค่ะ มากับเด็กคนงานขนของ ปล่อยเค้าไว้ในรถนี่แหล่ะค่ะ" อัญชุลีเอี้ยวตัวเอาสะโพกมาบังหน้าต่างรถให้มากขึ้นอีก

          เสี่ยจิวฉีกยิ้มตาตี่แทบปิดมิด เห็นเป็นขีดเล็กๆ สองขีดบนใบหน้าเข้ามาให้ทางหน้าต่างรถ แล้วผายมือให้อัญชุลี

          "โอเค งั้นเชิญเข้าไปดูเครื่องจักรที่จะขายในโรงงานเลยครับ"

          ................

          พริกมองตามเสี่ยจิว อัญชุลี และจอซูเดินหายเข้าไปในโรงงาน แถมก่อนจะลับตาไป เจ้าจอซูยังแอบหันมองมาทางรถแล้วยิ้มแบบรู้กันให้อีกแน่ะ

          หญิงสาวหันกลับมองมาที่เพื่อน กำลังจะอ้าปากบอกถึงการที่ได้เห็นจิวในรอบสิบปี แต่ก็ต้องยั้งปากไว้แค่นั้น

          เพราะภาพที่เห็นบนใบหน้าของต้นข้าวตอนนี้ พริกบอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันคืออารมณ์อะไร ต้นข้าวจ้องค้างนิ่งไปที่ประตูโรงงาน หน้าซีดขาว อีกสักพักมันก็สลับแดงเรื่อๆ เหมือนผิวเด็กหนุ่มที่ซนๆ ตอนออกไปวิ่งกลางแดด และในแววตาตอนนี้ เหมือนมีประกายวาวๆ ของน้ำตารื้นอยู่ที่ขอบตา

          ต้นข้าวก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าอารมณ์ตัวเองตอนนี้มันคืออะไร นับตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้ยินเสียงจิวก่อนที่จะเห็นตัว ความรู้สึกคุ้นเคยที่ผ่านมาสิบปี มันเหมือนพึ่งจะผ่านมาเมื่อวานนี้เอง คนเคยอยู่ด้วยกันแทบทุกวัน คุยกัน หัวร่อต่อกระซิกกัน ตอนที่จิวนอนหนุนตักต้นข้าวแล้วต้นข้าวก้มลงไปฟังจิวคุยเสียงหงุงหงิง หรือแม้แต่เสียงแผ่วกระซิบรำพันตอนอยู่กันสองคนในห้องนอน มันยังติดอยู่ในหูของเขา

          แล้วยิ่งตอนที่จิวเอี้ยวหน้าเข้ามาใกล้หน้าต่างรถ รอยยิ้มจนตายิบหยีนั้นมันไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย ในช่วงเวลาของอดีตที่ผ่านมา ไม่ว่าต้นข้าวจะทำอะไร แกล้งจิว ขัดใจจิว หรือแม้แต่จะทำดีกับจิว จิวก็มีรอยยิ้มยิบหยีแบบนี้ให้ต้นข้าวเสมอ และเมื่อต้นข้าวเห็นรอยยิ้มนี้ทีไร ก็ใจอ่อน ยอมทุกสิ่งทุกอย่างให้จิวเสมอมาเหมือนกัน

          มันเป็นรอยยิ้มและเสียง ในช่วงเวลาที่ทั้งสองเคยใช้มันร่วมกัน

          สิบปีจะว่านานก็นานสำหรับคนที่มีความทุกข์ แต่สิบปีมันก็ประเดี๋ยวเองสำหรับคนมีความรัก สุดแล้วแต่ ณ เวลานั้นเจ้าของหัวใจอยู่ในอารมณ์ไหน ห่างไกลกันแค่ไหนก็เหมือนใกล้แค่คืบ

          สิบปี...แห่งความคิดถึง วันนี้ต้นข้าวได้เห็นหน้าจิวแล้ว ทำไมนะ ทำไมหน้าของต้นข้าวถึงรู้สึกร้อนๆ และแน่นๆ จนแทบจะระเบิด นี่หรือเปล่าที่คนโบราณชอบเปรียบเปรยเวลาคนดีใจ หรือสุขใจในเรื่องอะไรมากๆ 'หน้าจะบานเป็นจานเชิง' แบบนี้นี่เอง

          ต้นข้าวหลับตาที่มองค้างตามหลังจิวลง หยดน้ำตาที่คลออยู่เมื่อสักครู่ก็ไหลหยดลงมาที่แก้ม ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมาอีกที แล้วหันไปมองหน้าพริก ส่งยิ้มให้ มันเป็นยิ้มทั้งน้ำตา

          "คิดถึงมาก..." ต้นข้าวพูดกับพริกแผ่วๆ

          พริกไม่ได้ตอบอะไร เอามือลงไปกุมมือต้นข้าว บีบที่มือเบาๆ อย่างเพื่อนที่เข้าใจเพื่อน

          ...................

          อัญชุลีได้แสดงบทบาทของตัวแทนจากบริษัทรับตีราคาของมือสองในโรงงานได้เป็นอย่างดี สมกับที่ทำงานกับคนในแวดวงมายาอย่างคุณข้าว

          เสี่ยจิวเชื่อตามที่อัญชุลีบอก ราคาเครื่องจักรที่อัญชุลีประเมินคร่าวๆ ให้เป็นเลขกลมๆ นั้นก็เป็นที่น่าพอใจ เขาน่าจะเคลียร์หนี้ได้หมด และอัญชุลีย้ำหลายรอบว่าห้ามให้ใครมาตีราคาอีก ให้รอจากเธอคนเดียวเท่านั้น ตอนนี้ทั้งสองเดินออกมาจากโรงงานและมาใกล้รถแล้ว

          "มันจะนานไหมครับ ผมก็ต้องรีบใช้เงิน" เสี่ยจิวถาม

          "ไม่น่านานนะคะ ราคาจะส่งมาให้ก่อน พร้อมทั้งรายชื่อคนรับซื้อ เราจะเป็นคนกลางให้ค่ะ" อัญชุลีทำท่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่ตาแอบจ้องเข้าไปที่รถ คนสองคนในผ้าคลุมจ้องตาไม่กระพริบมาทางเสี่ยจิวนี้อยู่

          "ดีครับ ส่งมาเร็วหน่อยก็ดี"

          "อ้อ เสี่ยจิวคะ จะให้ทางเราส่งใบเสนอราคามาทางไหนดีคะ ทางแฟกซ์หรือทางอีเมล" อัญชุลีหยุดถามอยู่ข้างๆ รถ

          "แห่ะๆ เบอร์โทรศัพท์ของแฟกซ์ผมโดนตัดไปแล้ว ไม่ได้จ่ายตังค์เขา ส่งเป็นไปรษณีย์มาได้ไหมครับ" เสี่ยจิวเกาหัวแกรกๆ

          "ไปรษณีย์ช้าไปค่ะ ส่งทางอีเมลดีกว่าไหมคะ เสี่ยเคยใช้อีเมลหรือเปล่า"

          "มีครับมี ผมพึ่งหัดเล่น ได้ลองสมัครไว้สองสามอีเมลแล้ว กว่าจะสมัครได้ ยุ่งยากน่าดูเลย ต้องมั่วๆ เอา ใส่ชื่อมั่วซั่วไปหมด" ชายหนุ่มพูดเขินๆ

          จากมุมมองของคนในรถ ภาพที่จิวเขิน ทำเอาคนที่นั่งคลุมหัวในรถเขินตามไปด้วย แม้ไม่รู้เรื่องว่าข้างนอกคุยอะไรกัน ถ้าเสียงหัวใจของต้นข้าวมีเครื่องขยายเสียง ป่านนี้คงดัง ตุบ ตุบ ตุบ ไปทั่วทั้งพุทธมณฑลสายสองนี่แล้ว

          "มาครับ ผมจะจดอีเมลแอดเดรสของผมให้"

          เสี่ยจิวรับสมุดโน้ตเล็กๆ มาจากอัญชุลี จดยิกๆ ลงไปในหน้าว่างๆ แล้วส่งกลับคืนให้ หญิงสาวก้มลงไปอ่าน ทำหน้าประหลาดใจ

          "เอ๊ะ เสี่ยเป็นคนพม่าหรือคะ พึ่งรู้" อัญชุลีแอบเหลือบตามองมาที่คนข้างในรถ สีหน้าดูขำๆ

          "เปล่านี่ครับ คนไทยนี่แหล่ะ ทำไมครับ" ชายหนุ่มหน้าตี๋ทำหน้าเหรอหรา

          "อ้าว ก็ชื่อเสี่ยในอีเมล เขียนว่า 'มิสะโยอู ตันข่วย' นี่คะ ดิฉันก็นึกว่าชื่อพม่า" อัญชุลีพูดหน้าตาเฉย แต่ลึกๆ ในใจแทบจะหลุดหัวเราะก๊ากออกมา

          เสี่ยจิวหัวเราะเสียงดังออกมาตายิบหยีเป็นประกาย ส่วนต้นข้าวในรถซึ่งไม่รู้เรื่องที่ข้างนอกยืนพูดกัน ได้แต่แอบมองตาม ก็พลอยอมยิ้มไปกับท่าทางของจิวด้วย

          "ผมพึ่งหัดสมัครอีเมล นี่ชื่อแฟนของผมครับ" เสี่ยจิวหน้าแดง

          "อ่อ ค่ะ" อัญชุลีทำเสียงหัวเราะหึหึในลำคอ ตามองมาทางคุณข้าวในรถ แล้วหันกลับไปยกมือไหว้ชายหนุ่ม

          "งั้นดิฉันลาล่ะค่ะ คนงานที่รอในรถคงร้อนแย่แล้ว ดิฉันจะรีบส่งราคาให้นะคะ"

          "เชิญครับ ขอบคุณมากนะครับ"

          เสี่ยจิวยิ้มอยู่ข้างรถ และยืนส่งจนรถแล่นออกไปพ้นโรงงาน

          --------------------

          "โอโห" เสียงพริกร้องโวยออกมา เมื่อรถพ้นเขตโรงงานแล้ว พร้อมๆ กับเหวี่ยงผ้าขาวม้าที่โพกหัวออก

          "โอโหอะไรของเธอ" ต้นข้าวหันไปถาม โดยที่หน้ายังบานเป็นจานเชิงอยู่ ริมฝีปากมีแต่รอยยิ้ม

          "โอโหเธอนั่นแหล่ะต้นข้าว ทำไมไม่ถอดจิตเข้าไปสิงในตัวจิวเขาเลยล่ะ จ้องมองเข้าไปซะขนาดนั้น จะกินเข้าไปทั้งตัวแล้วนะ แหม่ หมั่นไส้จริง" พริกค้อน ทำตาปะหลับปะเหลือก

          "หึหึหึ" ต้นข้าวขำออกมา

          "เอ่อ คุณข้าวคะ" อัญชุลีขัดจังหวะขึ้นมาเบาๆ

          "ว่าไงอัญ มีอะไรที่เธอยังไม่ได้เล่าให้ฉันฟังอีกไหม"

          ชายหนุ่มถามเลขาฯ ซึ่งจริงๆ อัญชุลีก็รู้แผนนี้ทั้งหมด รวมทั้งรู้ถึงความสัมพันธ์ของเสี่ยจิวกับคุณข้าวนี้บ้างแล้ว

          "อัญว่า คุณข้าวสบายใจได้เลยค่ะ ผลของมันต้องออกมาสำเร็จดังใจแน่ๆ"

          "รู้ได้ไง!" สองเสียงประสานพร้อมกัน ทั้งคุณพริกและคุณข้าว

          อัญชุลีส่งสมุดโน้ตให้คุณข้าว ทั้งสองแย่งเอาไปดูเหมือนเด็กๆ แย่งของเล่นกัน

          "เสี่ยจิวบอกว่า ชื่ออีเมลแอดเดรสนี้คือชื่อแฟนเขาค่ะ 'มิสะโยอู ตันข่วย' อัญว่าเขาไม่มีวันลืมแฟนของเขา" อัญชุลียิ้มประหนึ่งเหมือนเป็นผู้ส่งมอบซองประกาศผลรางวัลแห่งชัยชนะให้

          ทั้งคุณพริกและคุณข้าวสะกดอ่านออกเสียงอีเมลแอดเดรสของเสี่ยจิวออกมาพร้อมกัน...และตามมาด้วยเสียงหัวเราะดังคิกคัก

          MiSsYoU_TonKao@thaimail.com

          "คิดถึง ต้นข้าว" !!!!!!


หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๒ : แผนบุกถึงโรงงาน || หน้า ๑๓ || ๒๗/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-06-2017 07:49:31
น้ำตาซึมเลย
แป๊บๆ ขำอีกละ
ีเมลล์ ชื่อพม่า ชื่อคนรักของจิว งี้ข้าวไม่ใจเสียรึ
มิสะโยอู  ตันข่วย อะจ๊ากกกก
จิวมีคนรักเป็นคนพม่า

แต่พออ่านดีๆแล้ว  :hao5:
MiSsYoU_TonKao@thaimail.com

          "คิดถึง ต้นข้าว" !!!!!!
มันสุดยอดดดดดด  :sad4: :heaven
นับถือความรักแท้ มั่นคง จริงใจ ซื่อสัตย์ ของจิวจริงๆ  :pig4: :pig4: :pig4:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๒ : แผนบุกถึงโรงงาน || หน้า ๑๓ || ๒๗/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 27-06-2017 08:08:34
เริ่มต้นก็เห็นแววหวามมาแต่ไกล
รอกระบวนจีบท่าต่อไปนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๒ : แผนบุกถึงโรงงาน || หน้า ๑๓ || ๒๗/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: MyMine104 ที่ 27-06-2017 08:50:08
คิดถึงเสี่ยกับต้นข้าวมากกกกกเขินจังเมื่อไหร่เขาจะดีกันหนอ ลุ้นตัวโก่งเลย55555 :katai2-1:
ปล.มารีเฟรชรอทุกวันเลย :katai4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๒ : แผนบุกถึงโรงงาน || หน้า ๑๓ || ๒๗/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 27-06-2017 09:40:10
 :katai2-1:

 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๒ : แผนบุกถึงโรงงาน || หน้า ๑๓ || ๒๗/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 27-06-2017 10:00:56
 :L2: :pig4: :L1:

คิดถึงมาก
อ๋าาาาาาาา ลุ้นเข้าไป
I miss you,too.
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๒ : แผนบุกถึงโรงงาน || หน้า ๑๓ || ๒๗/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: kratair ที่ 27-06-2017 11:35:00
อยากให้เจอหน้ากันตรงๆเเล้ววว :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๒ : แผนบุกถึงโรงงาน || หน้า ๑๓ || ๒๗/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-06-2017 15:29:14
 :mc4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๒ : แผนบุกถึงโรงงาน || หน้า ๑๓ || ๒๗/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 27-06-2017 20:14:54
 ซึ้งๆ และขำกับอีเมล อ่านตอนนี้แล้วคิดถึง MSN เอาไว้คุยกัน 555
  รออ่านตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๒ : แผนบุกถึงโรงงาน || หน้า ๑๓ || ๒๗/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: appattap ที่ 27-06-2017 21:39:16
คิดถึงจิวกับต้นข้าวววว อ่านเรื่องนี้ละรู้สึกดีทุกครั้ง บรรยายไม่ถูก
แต่ชอบมากๆๆ ชอบในความรักของทั้งคู่ ชอบในชื่อเมล์ด้วย
สมัยเรียนเคยทันใช้ไทยเมล์ ชื่อเมล์ขั้นกว่า missyou คือ love...
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๒ : แผนบุกถึงโรงงาน || หน้า ๑๓ || ๒๗/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 28-06-2017 01:02:00
รอ หรอ รอ. รอให้ต้นข้าวได้พบจิวสักกะที

แต่ก้อยังเป็นแอบพบข้างเดียวอยู่ดี

อีกเดือนนึงตอนหน้ามาใหม่ จะได้เจอะเจอหน้ากันทั้งสองฝ่ายไหมนะ

 :katai5:   :katai5:   :katai5:   :katai5:   :katai5: :katai5:

.....
...... :z13:

..

หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๒ : แผนบุกถึงโรงงาน || หน้า ๑๓ || ๒๗/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 28-06-2017 10:14:44
ซึมซับในความซาบซึ้ง
ความรักของผู้ชายที่ชื่อ "จิว"

หนักแน่นดั่งขุนเขา
มั่นคงปานภูผา
ละเอียดอ่อนเช่นใยไหม

มีเหลืออีกบ้างไหม
จะห่อใส่กลับบ้าน

เอาไปนอนกอดอิงแอบ
อบอุ่นใจเหลือเกิ้นนน

จิว..รักนะ
ด๊วบบบบบ
อิอิ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๒ : แผนบุกถึงโรงงาน || หน้า ๑๓ || ๒๗/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 16-07-2017 21:13:02
รอ.  รอ.  รอ. รอต้นข้าวได้กวดจิวแน่นๆแบบเล่นใหญ่

รอ.  รอ.   รอ เมื่อไหร่จะมาต่ออ่ะ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๒ : แผนบุกถึงโรงงาน || หน้า ๑๓ || ๒๗/๐๕/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 17-07-2017 14:49:58

MBK❤lover


(http://www.bloggang.com/data/k/kampong/picture/1485729585.jpg)


ตอนที่ ๔๓ : สะพานเชื่อมจากราชา


         เสี่ยจิวยืนส่งแขกอยู่ที่ลานหน้าโรงงาน จนรถปิคอัพไดฮัทสุคันนั้นแล่นออกไปพ้นประตู สองขากำลังจะก้าวหันหลังเดินเข้าบ้าน ตาก็เหลือบไปเห็นกระดาษขาวๆ ใบเล็กๆ ตกอยู่ใกล้บริเวณที่รถจอดเมื่อสักครู่

          "นามบัตรใครมาตกอยู่นี่" ชายหนุ่มรำพึงขึ้นมาเบาๆ ก้มลงไปเก็บนามบัตรนั้นขึ้นมาอ่าน

          อัญชุลี ก่องเพ็ชร
          ผู้ช่วยผู้จัดการ
          บริษัท สมใจนึก จำกัด
          ออร์กาไนซ์ แอนด์ โมเดลลิ่ง
          ๐๒-๕๗๓๔๘๗๗

          เสี่ยจิวยืนขมวดคิ้ว ชื่อ 'อัญชุลี' มันชื่อคนที่มาหาเมื่อกี้นี่ นามบัตรนี้คงจะตกลงมาจากสมุดเล็กๆ ที่อัญชุลีส่งให้เขาตอนจดอีเมลแอดเดรส แต่เอ๊ะ! ทำไมชื่อบริษัทมันแปลกๆ มันไม่เห็นจะเกี่ยวกับชื่อบริษัทรับซื้อของมือสองเลยแม้แต่น้อย

          เสี่ยหล่อหน้าตี๋ พลิกนามบัตรในมือไปมา เขาก้าวยาวๆ เข้าไปในโรงงาน เดินเข้าไปที่โต๊ะทำงานของเขาที่มีคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะวางอยู่ เขาตั้งใจว่าจะต่ออินเทอร์เน็ต และจะทดลองพิมพ์ชื่อบริษัทตามนามบัตรนี้ค้นหาข้อมูลในเวปท่า จำพวกเวป Sanook เวป Kapook เวป Yahoo หรืออาจจะลองค้นหาในเวปท่าน้องใหม่อย่าง Google ที่พึ่งเริ่มเป็นที่รู้จักกัน จะได้สืบรู้ว่าบริษัทของอัญชุลีนี้มันคืออะไร ใครเป็นเจ้าของ เพราะถ้าโทรไปถามตามหมายเลขในนามบัตรตรงๆ มันก็จะง่ายไป เดี๋ยวความจะแตกเสียเปล่าๆ

          ขณะที่ชายหนุ่มนั่งรอโมเด็มอินเทอร์เน็ต 56Kbps กำลังต่อผ่านทางสายโทรศัพท์อย่างอืดอาดนั้น ใจก็นึกอยากให้ระบบใหม่ ADSL เข้ามาถึงพื้นที่แถวที่โรงงานนี้เร็วๆ สักที คนพูดกันว่ามันไวมาก ไม่ต้องมานั่งเชื่อมต่อทุกครั้งแบบนี้แล้ว เปิดเครื่องคอมฯ แล้วเค้าว่าใช้อินเทอร์เน็ตได้ทันทีเลย

          "เสี่ยครับเสี่ย" เสียงจอซูตะโกนมาจากหน้าห้อง

          ชายหนุ่มเงยขึ้นมองอย่างเกียจคร้าน ยังไม่ทันได้ตอบอะไรไป เจ้าจอซูก็โผล่หน้าเข้ามาในห้องพอดี พร้อมกับพูดเสียงตื่นเต้นร้อนรน

          "เสี่ย ไปดูลำไยมันหน่อยซิครับ"

          "ทำไม ลำไยมันเป็นอะไรหรือ" ชายหนุ่มเริ่มทำหน้าตื่นบ้างแล้ว

          "มันว่ามันท้อง!! มันกำลังคลื่นไส้ อ้วกแตกอยู่ที่ห้องมันเลยครับ ไอ้มินเดืองห์ผัวมันกำลังออกไปหาซื้อผลไม้อะไรเปรี้ยวๆ ให้มันกินอยู่"

          "หา! ลำไยท้อง มันท้องได้ยังไง ไปทำอีท่าไหนกัน" ชายหนุ่มอุทานออกมาอย่างไม่รู้จะพูดอะไรให้เข้าท่ากว่านั้น

          จอซูเกาหัวแกรกๆ "นี่เสี่ยอยากรู้จริงๆ หรือครับ ว่าไอ้มินเดืองห์กับลำไยมันทำกันด้วยท่าไหนถึงได้ท้อง?"

          "ไอ้นี่นิ เดี๋ยวปั้ด!! ข้าก็พูดไปงั้น ข้ารู้น่าว่าคนเขาทำกันท่าไหนถึงท้อง ไม่ใช่ว่าข้าเป็นโสดตัวคนเดียวแล้วข้าจะไม่รู้นะโว้ย" ชายหนุ่มพูดขำๆ

          "ไปๆ ไปดูมันกัน"

          เสี่ยจิวเอานามบัตรของอัญชุลีที่ถืออยู่ในมือ วางสอดลงไปใต้คีย์บอร์ดหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเขา แล้วก้าวยาวๆ ตามจอซูไปที่ห้องพักคนงานด้านหลังโรงงาน

          --------------------

          คุณข้าวแยกกันกับพริกและอัญชุลีที่บ้านของเขาเอง เพราะพริกเอารถของเธอมาจอดไว้ที่นี่ และหลังจากส่งรถไดฮัทสุคืนให้เจ้าของแล้ว ชายหนุ่มก็จัดผมจัดเผ้าที่ยุ่งเยิงมาจากการโพกผ้าขาวม้าเมื่อกี้ให้เรียบร้อย แล้วขับรถอัลฟ่าโรมีโอส่วนตัวของเขาออกมาจากบ้านอีกครั้ง เพื่อไปยังสถานที่นัดหมายอีกที่หนึ่ง

          เมื่อตอนสายๆ ก่อนจะออกไปที่โรงงานของเสี่ยจิว คุณข้าวได้สั่งให้อัญชุลีนัดหมายกับคุณ "ราชา" ไว้ให้เขา ใช่แล้ว...ราชา คนนี้เอง คือเพื่อนเก่าแก่สมัยเรียนอยู่ชั้นมัธยมของทั้งจิวและต้นข้าว

          ราชา แขกตี้-ขี้แตก ราชา ผู้เคยถูกอำว่า มีพ่อเป็นหมอผีแขก!! คนนั้นเอง

          บัดนี้เมื่อเวลาผ่านไป ราชาได้สืบทอดบารมีจากพ่อของเขา คือคุณธฤษณุซิงห์ พ่อค้าผู้ร่ำรวยเหลือล้นจากการขายเครื่องทองเหลืองนำเข้าจากประเทศอินเดีย จนได้เข้ามาใหญ่โตใน 'สมาคมผู้ส่งออก' ในไทย และตอนนี้มาถึงรุ่นลูกคือราชา เขาได้เป็นถึงหัวหน้าส่วนกิจกรรมในสมาคมผู้ส่งออกนั้น รวมทั้งราชายังได้แต่งงานแล้วกับคุณเฮลเลน ซึ่งเป็นหญิงตระกูลอินเดียผู้มั่งคั่ง ที่ค้าขายเครื่องเพชรจนร่ำรวยในกรุงเทพฯ จึงนับว่าบ้านนี้มีอิทธิพลทางการค้ามากครอบครัวหนึ่ง

          ชายหนุ่มตั้งใจว่าจะไปขอความช่วยเหลือจากราชา ในเรื่องของการส่งออกรองเท้าฟองน้ำตราสามดาวของจิว อ้อ...ไม่ใช่สินะ ต้องเป็นรองเท้าฟองน้ำตรา T-Star ต่างหาก

          เขาคิดว่าราชาคงช่วยได้ ที่จะผลักดันการส่งออกเรื่องง่ายๆ แบบนี้ แถมตัวราชาเองก็ยังถามถึงจิวจากต้นข้าวอยู่บ่อยๆ เพราะราชาเองก็ไม่เคยเจอหรือติดต่อกับจิวได้เลยตั้งแต่จบมหาวิทยาลัยไป ขนาดงานแต่งงานของราชากับคุณเฮลเลน ซึ่งจัดอย่างใหญ่โตหลายปีก่อน ที่ห้องนภาลัย โรงแรมดุสิตธานี ภายในงานมีทั้งรัฐมนตรี และคนใหญ่คนโตในสังคมมาอวยพรกันอย่างมืดฟ้ามัวดิน รวมทั้งเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ทุกคนเสมือนหนึ่งเป็นงานเลี้ยงรุ่นย่อยๆ แต่ยกเว้นจิวคนเดียวที่ใครก็ติดต่อไม่ได้

          ชายหนุ่มนั่งอมยิ้มคนเดียวหลังพวงมาลัยขณะขับรถมุ่งตรงไปยังบ้านของราชาที่แถวบางนา นึกไปถึงวันแต่งงานของราชา ที่เพื่อนทุกคนในงานต่างถามถึงจิวจากเขา จนเขาอดคิดไม่ได้ว่าในวันนั้น เขาจะมีความสุขมากขนาดไหนถ้าจิวได้เดินควงคู่กับเขาเข้าไปในงานนั้นด้วยกัน แน่นอนว่าเพื่อนๆ ทุกคนรู้ และรับได้ในเรื่องนี้ที่เขาทั้งสองเป็นแฟนกัน

          เขาคงเตรียมตัวกันกับจิว คงใส่สูทสีดำเหมือนกันแบบฝาแฝด ซึ่งน่าจะมาจากต้นข้าวเองล่ะที่จะจัดเสื้อผ้าให้จิว เพราะจิวอ่อนด้อยมากในเรื่องแฟชั่น เขาคงจัดให้ผูกโบว์หูกระต่ายสีเดียวกัน ผ้าเช็ดหน้าที่เสียบแลบออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูทคงจะสีเหมือนกัน น่าจะเป็นสีเข้มๆ หน่อยเช่นสีแดงก่ำ เพราะจิวคงไม่ชอบแต่งตัวสีฉูดฉาดมาก และตอนเดินเข้าโรงแรมดุสิตธานีคงจะจูงมือกันเข้าไปอย่างสวีทหวาน คิดแล้วเขาก็ยิ้มและมีความสุข ถ้าหากว่าเรื่องนี้มันเคยเกิดขึ้นจริง

          --------------------

          "นี่มันเรื่องจริงหรือ?"

          เสี่ยจิวหน้าเข้มเป็นสีชมพู ยิ้มตาหยีมิดจนเป็นขีด หลังจากรู้ชัดแล้วว่าลำไยกับไอ้มินเดืองห์จะมีลูกด้วยกันแน่ๆ เขาถามย้ำๆ อยู่อย่างนั้นด้วยความดีใจ

          อันที่จริง ถึงลำไยจะเป็นคนอื่น แต่อย่างน้อยเจ้ามินเดืองห์พ่อของเด็กมันก็คือคนในบ้านเขา เห็นกันมาแต่เล็กแต่น้อย เห็นกันไปถึงไส้ถึงพุงแล้วตั้งแต่ครั้งวัยเยาว์ไปแก้ผ้าอยู่ที่ริมน้ำนครชัยศรีโน่น ถึงไม่ใช่ญาติก็เป็นเหมือนญาติกันไปแล้ว แถมเขาก็ไม่ได้ปกครองแบบเจ้านายกับลูกน้องด้วย มันเหมือนธุรกิจในครัวเรือนมากกว่า จึงมีความผูกพันกันไม่ใช่น้อย ดังนั้นลูกของมันก็เหมือนลูกหลานบ้านนี้คนหนึ่ง

          และประเด็นสำคัญ คือเขาก็ตัวคนเดียว ป๊าของเขาก็ไม่อยู่แล้ว ลูกหลานรุ่นเล็กในบ้านก็ไม่มี แต่ด้วยสัญชาติญาณของความเป็นพ่อ ถึงไม่สามารถมีลูกเองได้ แต่เขาก็อยากมีลูกมีหลานเหมือนคนทั่วไป อยากได้ยินเสียงเด็กร้อง อยากเห็นลูกหลานวิ่งเล่นกันเจี๊ยวจ๊าวในบ้าน เขาตั้งใจจะขอลูกเจ้ามินเดืองห์คนนี้ให้เป็นบุตรบุญธรรมของเขาเลยด้วยซ้ำ มันคงจะทำให้คำว่า 'บ้าน' สมบูรณ์ขึ้น

          คิดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าชายหนุ่มกลับสลดลง จริงสินะ 'บ้าน' มันจะสมบูรณ์ไปได้อย่างไร หากเขายังไร้คนเคียงข้าง ไร้คนที่จะมาร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยในการใช้ชีวิต

          เขายังอยากมีคนมาร่วมรับรู้ความรู้สึกของเขา อยากมีคนมาวุ่นวายใจ อยากมีคนมาคอยตาม คอยหึง คอยถามเขาว่าจะไปไหน หรือคอยตามว่าเมื่อไรจะกลับบ้านเวลาเขาออกไปเที่ยวคาราโอเกะ เขาอยากให้มีคนมาเหวี่ยงใส่เขาบ้างเวลาเขาจู้จี้ใช้ให้ถ่ายรูปสินค้าให้ อยากให้มีคนมาทำตาเขียวใส่เมื่อตอนเขาสูบบุหรี่เหม็นอยู่ในบ้าน

          เขาอยากมีคนมาเลือกเสื้อผ้าให้เขาในยามแต่งตัว และแม้แต่มาร่วมกันยืนยิ้มดีใจอยู่ตรงนี้ เมื่อรู้ว่าคนใน 'บ้านของเรา' กำลังจะมีลูกเล็กๆ ไว้ให้เลี้ยง

          มีแค่ใบหน้าเดียวเท่านั้นที่ลอยเข้ามาในความคำนึงของเขาตอนนี้ นั่นคือใบหน้าของ 'ต้นข้าว'

          มีแค่ต้นข้าวคนเดียวเท่านั้น ที่เป็นรักแรก และรักครั้งเดียวในชีวิตของเขา

          --------------------

          คุณข้าวนั่งมองขึ้นไปที่ช่อไฟแชนเดอเลียร์ขนาดมหึมาบนเพดานห้องรับแขกบ้านของราชา มันจะเรียกบ้านก็คงไม่ถูกนัก น่าจะเรียกว่า 'วังแขก' มากกว่า ดูจากขนาดของตัวบ้านซึ่งตั้งอยู่บนที่ดิน ๔ ไร่ริมถนนบางนานี่แล้ว รวมทั้งของตกแต่งที่นำเข้ามาจากอินเดียแท้ๆ ตามรสนิยมของคุณธฤษณุซิงห์ และมาดามราณี พ่อและแม่ของราชา มันช่างดูมลังมเลืองเกินกว่าคำว่าบ้านธรรมดาไปแล้ว

          นั่งรอไม่นาน ราชาก็เดินลงบันไดแฝดหินอ่อนที่มีราวจับเป็นทองเหลืองกลางบ้านมาจากชั้นสอง โดยมีคนใช้ผู้ติดตามเดินมาด้วยอีกสองคน ราชาซึ่งถ้าย้อนไปตอนในวัยเด็กมัธยม ตามศาสนาห้ามตัดผมตลอดชีวิต จึงไว้จุกกลางหัวแบบเด็กแขก แล้วเอาผ้าขาวๆ คลุมจุกเอาไว้ เหมือนมีซาลาเปาวางอยู่กลางหัว เพื่อนๆ ในห้องเรียนชอบล้อกันเล่นครึกครื้นแต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ถือสา

          มาบัดนี้กลายเป็นหนุ่มใหญ่นักธุรกิจแล้ว เขาก็ยังต้องไว้ผมต่อไป ห้ามตัด แต่เปลี่ยนจากจุกผ้าสีขาว กลายมาเป็นผ้าลินินผืนยาวสีเข้มอย่างดี โพกรอบหัวเอาไว้อย่างเนี๊ยบกริบ หนวดและเคราก็เก็บเรียบในผ้าบางโปร่งสีดำที่รัดเอาไว้รอบใบหน้า และถ้าดูจากการใส่สูทเต็มตัวแบบนี้ในฉากหลังของบ้านที่ใหญ่โตอลังการ ก็ดูน่าเกรงขามไม่ใช่น้อย

          ต้นข้าวเผลอตัวลุกขึ้นจากโซฟาที่นั่งอยู่ ยืนตัวตรงต้อนรับ อารมณ์เหมือนยืนรับเสด็จมหาราชแห่งอินเดียที่กำลังทรงขบวนช้างเข้ามาอย่างไรอย่างนั้น

          "มึงจะยืนต้อนรับทำบ้าอะไรห่ะ! ไอ้ต้นข้าว" เสียงราชาพูดหัวเราะขำๆ พร้อมเดินเข้ามากดไหล่ชายหนุ่มให้นั่งลงที่เดิม "มึงจะมาหาทางแกล้งเปลี่ยนเต้นท์ สลับคนที่กลัวผีหลอกให้มานอนกับกูอีกหรือไง"

          ถึงจะผ่านมาเกือบยี่สิบปี ราชายังคงจำเหตุการณ์ในคืนที่จิวให้ไอ้เกตุไปสลับนอนเต้นท์เดียวกับราชาในค่ายทหารที่เมืองกาญจนบุรีนั้นได้เสมอ และมีวี่แววว่าจะยังคงอำเรื่องนี้ต่อไปอีกหลายปี

          ต้นข้าวหัวเราะขำออกมา เพื่อนยังไงก็คือเพื่อน ถึงในสังคมข้างนอกจะยิ่งใหญ่ยงยศยังไง สำหรับเพื่อนด้วยกันแล้ว หัวโขนทั้งหมดคงต้องถูกถอดวางไว้ก่อน เหลือไว้แต่มิตรภาพเท่านั้น

          หลังจากพากันนั่งลงและทักทายกันแค่นิดหน่อย เพราะทั้งสองได้พบกันบ่อย นอกจากวันงานแต่งของราชาแล้ว ทั้งสองก็พบกันตามงานอีเว้นท์บ้าง งานเลี้ยงบ้าง เพราะต้นข้าวก็ไปจัดงานให้ทางสมาคมฯ อยู่บ่อยๆ ต้นข้าวทำท่าจะเริ่มเรื่องที่เตรียมมาขอร้องราชาในวันนี้เกี่ยวกับเรื่องส่งออกรองเท้าฟองน้ำของจิว แต่ราชากลับเป็นคนเปิดเรื่องใหม่ที่ต้นข้าวไม่รู้ขึ้นมาก่อน

          "เออนี่ต้นข้าว พักนี้งานนายเยอะไหม จะมีงานอีเว้นท์ด่วนให้งานนึง รับทำไหวไหม" ราชาเปิดเรื่อง ขยับนั่งตัวตรงเป็นงานเป็นการขึ้น

          "อ้าว นี่กำลังจะมาคุยเรื่องฝากสินค้าส่งออกอยู่นะเนี่ย ว่าแต่งานอีเว้นท์อะไร งานสมาคมหรือ" ต้นข้าวชะงักในสิ่งที่ตั้งใจจะมาขอให้ช่วย

          "สินค้าอะไรของนายจะส่งออก หึย...อย่าพึ่ง เอาเรื่องของชั้นก่อน งานสำคัญ" ราชาเอามือขึ้นมาโบกห้ามไปมา แล้วพูดต่อ

          "คืองี้ เมื่อสองเดือนที่แล้ว มีแนวคิดจากทางรัฐบาลไทยออกมาเรื่องโครงการใหม่คล้ายๆ โครงการหนึ่งในญี่ปุ่นน่ะ ชื่อ One Village, One Product ของเมืองโออิตะ ประเทศญี่ปุ่น ประมาณว่า ตำบลหนึ่งก็จะให้มีสินค้าของดีเป็นของตัวเองออกมาโปรโมทขาย

          ส่วนของในเมืองไทยน่าจะตั้งชื่อว่า OTOP นะถ้าจำไม่ผิด ชื่อไทยคือ "หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์" ประมาณนี้ จากทั้งหมด ๗,๐๐๐ ตำบลทั่วประเทศ"

          "แล้วมันจะเกี่ยวอะไรกับงานอีเว้นท์เราได้น่ะหืม? เราไม่ได้ทำตลาดสดซะหน่อย" ต้นข้าวถาม

          "เกี่ยวสิ กำลังจะพูดอยู่นี่ไง" ราชาพูดไป ส่ายหัวไปมาด๊อกแด๊ก

          "อีกสองอาทิตย์ นายกของญี่ปุ่นกับพวกนายหน้าตัวแทนสินค้านำเข้าของเขา จะมาเยือนไทย และจะมาขอดูความคืบหน้าของโครงการนี้ ที่เราไปขอเขามาเป็นต้นแบบ แต่ของเรามันยังไม่เป็นรูปเป็นร่างไง นายกเลยขอให้สมาคมส่งออกของเราทำแบบตัวอย่างให้เขาดูก่อน เลยต้องรีบจัดงานด่วนๆ เพื่อโชว์เขานี่ไง"

          "อ้าว แล้วจะโชว์อะไร รูปแบบไหน แล้วผลิตภัณฑ์อะไรที่ว่านี่ มันมีแล้วหรือ" ต้นข้าวซัก

          "ไม่มี!!" คราวนี้ราชาส่ายหัวหนักกว่าเก่า

          "เฮ้ย แล้วจะให้จัดงานอะไรล่ะ บ้าไปแล้ว" ต้นข้าวสะดุ้งจริงๆ

          "เขาให้เราคิดเองเลย นายเป็นครีเอทีฟงานอีเว้นท์ไม่ใช่เหรอ คิดสิ มีงบให้ล้านสอง แต่มีเงื่อนไขว่าต้องจัดที่ MBK HALL ในห้าง MBK นะ เพราะมันมีห้างโตคิวของญี่ปุ่นอยู่ในห้างนั้น เอาใจทางญี่ปุ่นเค้าหน่อย เผื่อเราส่งออกสินค้าให้เขาได้"

          "จะทันหรือนี่ เร็วๆ นี้ห้างกำลังจะทุบ MBK HALL ไปทั้งชั้นเลยนะ เห็นว่าจะเปลี่ยนเป็นโรงหนังแบบสมัยใหม่แทน" ต้นข้าวทำหน้าครุ่นคิด

          "ทันๆๆ" ราชาโบกมือไปมาเหมือนในหนังแขก "ทางสมาคมเราไปคุยกับห้าง MBK ไว้แล้ว งานนี้จะเป็นงานส่งท้ายก่อนทุบ HALL ทิ้ง นายมีหน้าที่คิดก็คิดมาเลย คิดตอนนี้เลยว่าจะเอาสินค้าอะไรไปโชว์ในงาน จะได้อนุมัติเดี๋ยวนี้"

          ต้นข้าวหยิบแก้วน้ำบนโต๊ะขึ้นมาซดหมดแก้ว กลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ หยิบปากกาขึ้นมาขีดๆ เขียนๆ ในสมุดโน้ตที่ถือมา ใจเต้นตุบๆ

          --หรือนี่มันจะเป็นโอกาสของจิวแล้ว--

          "เอางี้" ต้นข้าวเงยหน้าขึ้นมาจากสมุด

          "เราเอาผลิตภัณฑ์ชัวร์ๆ ก่อนสักสี่อย่าง แต่อยู่ในรูปของแฟชั่นโชว์นะ"

          "ว่ามา เอาอะไรบ้าง" ราชากระดกนั่งตัวตรงขึ้นมาตั้งใจฟัง

          "ก็มีผ้าไหม จากอำเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ" ต้นข้าวเริ่ม

          "โอเค ผ่าน" ราชาพยักหน้าหงึกๆ

          "แล้วก็เป็นข้าวหอมมะลิ จากทุ่งกุลาร้องไห้"

          "ดี ผ่าน" ราชาพยักหน้าแรงขึ้น

          "ต่อไปก็เป็นเพชร จากบ้านหม้อ ถนนสายอัญมณีในกรุงเทพฯ" ต้นข้าวค่อยๆ ลดเสียงลง "โดยเฉพาะเพชรจากร้านของคุณเฮลเลน"

          คราวนี้ราชาหัวเราะเอิ้กอ้าก "เมียกูเอง ดีๆ ผ่าน"

          "ส่วนอย่างสุดท้าย คือ รองเท้าฟองน้ำ จากนครชัยศรี นครปฐม" ต้นข้าวอ้อมๆ แอ้มๆ

          "เฮ้ยยย!!!" ราชากระดกตัวขึ้นมาจากเก้าอี้ หน้าแทบจะทิ่มใส่ต้นข้าวอยู่แล้ว "มันจะเกี่ยวได้ยังไงกับอย่างอื่น อันนี้ไม่โอเค"

          ...................

          หลังจากนี้อีกสิบนาที ราชาก็ได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมดของจิว เรื่องการที่ต้นข้าวได้ตามหาจิวพบแล้ว รวมทั้งเรื่องธุรกิจของจิวที่กำลังจะพังพินาศอยู่รอมร่อ

          ราชานั่งฟังแล้วอึ้งไป ต้นข้าวมองเห็นแววตาราชาที่กำลังคิดหนัก จนผ่านไปสักครู่ ราชาจึงเอ่ยปากถามต้นข้าวว่า

          "นายชัวร์ไหมว่า งานนี้จะทำออกมาให้ดีที่สุด"

          "รับรองว่าเราจะทำงานนี้ให้ด้วยหัวใจของเราเองเลยล่ะ" ต้นข้าวรับปากกับราชาด้วยสายตาที่มุ่งมั่นและความหวัง

          "งั้นตกลงตามนี้ทั้งหมด" ราชาสรุปอย่างคนเป็นผู้นำ พร้อมที่จะรับผิด และรับชอบในสิ่งที่จะเกิดขึ้น

          "ขอบคุณมากนะ เพื่อน" ต้นข้าวยิ้มให้ราชา แล้วพูดต่อ

          "คนเราจะเติบโตขึ้นได้ เพราะได้รับโอกาสจากใครอีกคนหนึ่งเสมอ ขอบคุณมากนะ ที่นายให้โอกาสจิว"

          "ยินดีมากเพื่อน" ราชาเอื้อมมือมาตบไหล่ต้นข้าวเบาๆ แล้วพูดต่อ

          "แต่ชั้นว่า คนที่ดีใจมากกว่าคือนายนั่นแหล่ะ สายตานายมันฟ้อง น่าอิจฉาจิวมันจัง ที่มีคนที่มุ่งมั่นจะทำอะไรให้แบบนี้"

          --------------------

          อีกหนึ่งอาทิตย์ต่อมา เสี่ยจิวได้รับโทรศัพท์จากผู้หญิงคนหนึ่ง แนะนำตัวว่านางเป็นตัวแทนจากบริษัทออร์กาไนซ์แห่งหนึ่ง ที่จะจัดงาน "OTOP Showcase 2001 - เปิดโลก หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ๒๕๔๔" สำหรับแสดงสินค้าประจำตำบลเพื่อการส่งออก ที่ MBK HALL และสินค้าจากโรงงานจิวได้รับเลือกเป็นหนึ่งในโชว์นี้ด้วย ขอให้จิวเตรียมตัว และเตรียมเสื้อผ้าชุดสูทสำหรับใส่ไปออกงานนี้ให้พร้อม เพราะเป็นงานใหญ่ นายกรัฐมนตรีและท่านผู้หญิงภริยานายก จะมาเป็นประธานเปิดงานเอง

          "แล้วอย่างอื่นผมต้องเตรียมอะไรไหมครับ เช่นสินค้าไปออกบูธ"

          เสี่ยจิวถาม ทั้งที่ยังงงๆ กับเรื่องราวอยู่ ในขณะเดียวกันก็เริ่มสงสัยว่าเสียงคนที่พูดในสาย ทำไมมันคุ้นหูจัง

          "ในจุดนี้ ยังไม่ต้องเตรียมอะไรค่ะ ถ้ามีอะไรเพิ่มเติม เดี๋ยวอัญชุลีจะแจ้งคุณอีกทีนะคะ" เสียงผู้หญิงปลายสายตอบ

          "เดี๋ยวๆ คุณชื่ออัญชุลีเหรอ ผมก็ว่าเสียงคุ้นจัง คุณอัญชุลี ก่องเพ็ชร จากบริษัทรับซื้อของมือสองหรือเปล่าครับ"

          "แกร๊ก..." เสียงวางสายจากอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วหลังจากเขาถามจบ

          ชายหนุ่มวางหูโทรศัพท์อย่างงุนงง ใจหนึ่งก็นึกดีใจที่รองเท้าฟองน้ำของเขาจะได้ไปแสดงที่งานสินค้าส่งออก มันอาจช่วยพลิกฐานะของโรงงานตอนนี้ได้เลย ส่วนอีกใจหนึ่งกำลังนึกสงสัยความไม่ชอบมาพากลของผู้ที่ติดต่อมา จริงๆ เขาว่ามันตะหงิดๆ ตั้งแต่วันที่ผู้หญิงชื่ออัญชุลีมาที่โรงงานนี้ครั้งแรกแล้ว มาพร้อมกับใครนะ...นึกไม่ออก คนงานหรือเปล่า ที่นั่งซุ่มคลุมหัวอยู่ในรถอีกสองคน

          ..................

          เสี่ยหนุ่มหน้าตี๋ นั่งลงไปที่เก้าอี้หลังโต๊ะทำงานของเขา ตามองไปที่จอคอมพิวเตอร์ตรงหน้า เขาหยิบนามบัตรที่อยู่ใต้คีย์บอร์ดขึ้นมา แล้วพิมพ์ชื่อ 'บริษัท สมใจนึก จำกัด' ลงในช่องค้นหาข้อมูลในเวป Google แล้วกดปุ่ม Enter

          อินเทอร์เน็ต 56Kbps ก็กำลังแสดงผลอันยืดยาดของมันตามสภาพ นั่นคือ IE หรือ Internet Explorer กำลังขึ้นรูปนาฬิกาทรายหมุนพลิกไปพลิกมากลางจอ

          มันกำลังหมุนติ้ว ติ้ว ติ้ว...

หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๓ : สะพานเชื่อมจากมหาราชา || หน้า ๑๔ || ๑๗/๐๗/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 17-07-2017 15:02:21
อ่านทุกข้อความจากผู้อ่านที่คอมเมนต์มาแล้วนะคะ
และ +1 ให้ทุกคอมเมนต์แล้ว

ผู้อ่านน่ารักที่สุดค่ะ

ขอบคุณมากนะคะ ที่ติดตามกัน ปลื้มมาก

...............

ต้องขออภัยด้วยที่ลงในตอนหลังๆ นี่ช้า
เพราะช่วงนี้มีงานเข้ามาเยอะค่ะ
และมีโปรแกรมแบบไม่ได้ตั้งตัว
ต้องออกต่างจังหวัดด้วย
แต่จะพยายามเขียนให้ไวที่สุดค่ะ

เรื่องดำเนินมาจนเกือบจบแล้วนะคะ
อีก 1 หรือ 2 ตอนก็จะจบภาควัยทำงานนี่แล้ว

และจะมีภาคสุดท้ายอีก 2 ตอน ก็จะจบบริบูรณ์

แล้วพบกันนะคะ ขอบคุณทุกท่านมากๆ อีกครั้ง


 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๓ : สะพานเชื่อมจากมหาราชา || หน้า ๑๔ || ๑๗/๐๗/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 17-07-2017 15:44:11
 :3123: :L1: :pig4:

คิดถึงงงงงง
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๓ : สะพานเชื่อมจากมหาราชา || หน้า ๑๔ || ๑๗/๐๗/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 17-07-2017 15:54:32
อูยยย........ค้างงงงง  :ling1: :ling1: :ling1:
จิว จะได้ออกงาน โอท็อป แล้ว หนึงผลิตภัณฑ์ หนึ่งตำบล

ว่าแต่จิว เหมือนสงสัยชื่ิออัญชุลี อยู่นะ
เพราะมันชื่อเดียวกับคนที่มาซื้อสินค้ามือสอง
 
ราชา ผีแขก ได้ออกโรงแล้ว
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๓ : สะพานเชื่อมจากมหาราชา || หน้า ๑๔ || ๑๗/๐๗/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-07-2017 17:03:15
ต้องให้ลุ้นอีกแล้ว ..... (นานไหมจ๊)
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๓ : สะพานเชื่อมจากมหาราชา || หน้า ๑๔ || ๑๗/๐๗/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: appattap ที่ 17-07-2017 17:22:34
คิดถึงต้นข้าวกับเสี่ยจิวคนดี ไม่ว่ายังไงก็ยังรักต้นข้าวเสมออออออ
ชอบความรักแบบนี้ มีอะไรก็คอยช่วยเหลือกัน
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๓ : สะพานเชื่อมจากมหาราชา || หน้า ๑๔ || ๑๗/๐๗/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 17-07-2017 18:50:36
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๓ : สะพานเชื่อมจากมหาราชา || หน้า ๑๔ || ๑๗/๐๗/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 17-07-2017 19:14:31
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๓ : สะพานเชื่อมจากมหาราชา || หน้า ๑๔ || ๑๗/๐๗/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 18-07-2017 19:08:25
จะได้เจอหน้ากันแล้วสินะ ดีใจๆ
ฟินสมกับการรอคอย รออ่านตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๓ : สะพานเชื่อมจากมหาราชา || หน้า ๑๔ || ๑๗/๐๗/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 18-07-2017 21:14:28
แล้วก้อหมุนติ้ว หมุนติ้ว รอ รอ ให้ตอนหน้า มนต์รักMBK ได้เจ๊อะกันสักที

เอ้าาาา ขอให้สมหวังนะคร้าบบบบบ

 :n1:  :n1:  :n1:  :n1:  :n1:

....

..
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๓ : สะพานเชื่อมจากมหาราชา || หน้า ๑๔ || ๑๗/๐๗/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: graciej ที่ 18-07-2017 22:27:50
ณ จุดนี้ รู้สึกซาบซึ้งในความมั่นคงของเสี่ยจิวคนดี รอฉากจิวเจอต้นข้าวอีกครั้ง :hao5: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๓ : สะพานเชื่อมจากมหาราชา || หน้า ๑๔ || ๑๗/๐๗/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 18-07-2017 23:25:16
ลุ้นกับความเร็ว IE 555

ถ้างานไม่ดี โอกาสที่มีก็ศูนย์ค่า

โอกาสก้าวหน้า โอกาสคืนดี รักษาไว้ดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๓ : สะพานเชื่อมจากมหาราชา || หน้า ๑๔ || ๑๗/๐๗/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: MyMine104 ที่ 19-07-2017 09:35:29
เสี่ยจิวมาล๊าวววว คิดถึงจังเลย เจอกันไวๆนะสองคนนี้คนอ่านลุ้นกันจะแย่แล้ว5555  :katai2-1: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๓ : สะพานเชื่อมจากราชา || หน้า ๑๔ || ๑๗/๐๗/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 09-08-2017 07:03:56

MBK❤lover


(http://www.bloggang.com/data/k/kampong/picture/1485729585.jpg)


ตอนที่ ๔๔ : สายลมแห่งความคิดถึง


          คุณข้าวและอัญชุลี หอบเอกสารหลายปึก พร้อมด้วยแผ่นดิสก์เก็ต หรือ ฟลอบปี้ดิสก์ ที่เซฟข้อมูลในการพรีเซนต์งานในวันนี้ มุ่งตรงไปที่บ้านของราชาที่บางนา ชายหนุ่มได้ตั้งใจอย่างมากในการทำการบ้าน หาข้อมูล และได้เตรียมคอนเส็ปต์การแสดงงาน OTOP นี้ไว้พร้อมแล้ว

          ราชารอเขาอยู่ในห้องทำงานอันโอ่โถงที่บ้านของเขา บ้านที่เพดานสูงลิ่วและพื้นหินอ่อนเป็นมันปลาบ หากแต่วันนี้มีคุณเฮลเลน ภรรยาของเขา และมีเลขาฯ อีกคนหนึ่งนั่งร่วมประชุมด้วย

          "ว่ามาเลยเพื่อน เดี๋ยวชั้นมีประชุมต้องรีบไปต่อ" ราชาพูดยิ้มๆ นั่งตัวตรงพร้อมที่จะรับข้อมูลเต็มที่

          คุณข้าวเริ่มเตรียมการพรีเซนต์ เขาเปิดคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะของราชา เสียบแผ่นฟลอบปี้ดิสก์ลงไป เปิดตารางที่ทำมาและเริ่มการพรีเซนต์ โดยมีราชาและคุณเฮลเลนนั่งฟังอย่างตั้งใจ

          .................

          หลังพรีเซนต์จบ ราชามีสีหน้าพอใจมาก หน้าเขาแดงก่ำ แดงขึ้นไปถึงหน้าผากจนแทบจะเป็นสีเดียวกับผ้าโพกหัวสีแดงเข้มที่โพกไว้ตามศาสนาของเขาแล้ว เขาผิวปากเป็นเพลงอินเดียแบบที่พระเอกในหนังใช้เต้นระบำไปรอบขุนเขาหวือออกมา

          "เฮ้ย นี่มันเยี่ยมมากเลยนะเพื่อน ทั้งทางไทยและทางญี่ปุ่นน่าจะชอบ เอาอันนี้แหล่ะ" ราชาพูดพร้อมกับเอามือตบไหล่คุณข้าวเบาๆ

          "ขอถามอะไรสักนิดนึงนะคะ" คุณเฮลเลนซึ่งนั่งฟังและมีสีหน้าตื่นเต้นเอ่ยถามขึ้น

          "ตรงชื่อคอนเส็ปต์ของงาน 'รอยเท้าที่ก้าวเดินบนแผ่นดินทอง' ที่คุณข้าวเสนอมาเนี่ย มันจะแทนความหมายอะไรของประเทศไทยหรือคะ"

          "คืออย่างนี้ฮะ" คุณข้าวขยับตัวอย่างเป็นงานเป็นการ "คืออีกห้าปีข้างหน้า ใน พ.ศ. ๒๕๔๙ ประเทศไทยเราจะมีสนามบินแห่งใหม่เปิดใช้แล้ว คือสนามบินหนองงูเห่า ซึ่งกำลังก่อสร้างอยู่ที่สมุทรปราการใช่ไหมฮะ"

          "ใช่ แต่มันไม่ได้ใช้ชื่อสนามบินหนองงูเห่านี่" ราชาช่วยขัดขึ้น

          "รู้แล้วไง มันมีชื่อที่เป็นทางการน่ะ คือชื่อสนามบิน 'สุวรรณภูมิ' มันแปลว่า 'แผ่นดินทอง' นี่ไง ตลาดการค้าไทยมันจะยิ่งก้าวไปทั่วโลกได้สะดวกขึ้น และ OTOP นี่จะเป็นก้าวแรกของการส่งออกไทยไงล่ะ" คุณข้าวอธิบายอย่างคนที่ทำการบ้านมาดี

          "เยี่ยมไปเลยนะคะ เราจัดงานนี้ ทางการท่องเที่ยวคงจะชอบด้วย ดีเลยคุณ เราขอสปอนเซอร์การจัดงานเพิ่มได้จาก ททท. ด้วยนะคะ" ประโยคหลังคุณเฮลเลนหันไปบอกกับสามีซึ่งนั่งอมยิ้มอยู่

          แล้วจู่ๆ คุณเฮลเลนก็หันไปหยิบกล่องกำมะหยี่สีแดงข้างๆ ตัวมาวางกลางโต๊ะ ท่ามกลางสายตาที่งงๆ ของคุณข้าว แล้วเจ้าของกล่องก็เอ่ยถามเขาอีกว่า

          "นางแบบที่จะใช้เดินฟินนาเล่ชุดสำคัญชุดสุดท้าย ขอให้ใส่เครื่องประดับอันนี้ได้ไหมคะ คุณข้าวจะใช้นางแบบคนไหนนะคะ"

          "รจนาครับ รจนานางแบบไทยที่ไปดังมากๆ ที่เมืองนอก ได้เคยขึ้นปกหนังสือโวคด้วย ในช่วงการจัดงานของเราเธอกลับมาเมืองไทยพอดี ผมให้เพื่อนติดต่อและล็อคคิวไว้ให้แล้วฮะ" ต้นข้าวตอบยิ้มๆ แอบนึกไปถึงว่าตนเองใช้ให้พริกเพื่อนรัก อาศัยเส้นของบริษัทของเธอบีบขอคิวอันแน่นเอี๊ยดของรจนามาให้จนได้

          "ดีเลย ได้นางแบบดังมากๆ ซะด้วย" คุณเฮลเลนพูดพลางมือก็เปิดกล่องกำมะหยี่สีแดงแล้ววางหันมาให้คุณข้าวดู

          "สร้อยคอทับทิมสยามล้อมเพชร!!!" ชายหนุ่มอุทานออกมา ทำตาโต พร้อมๆ กับเสียงอัญชุลีที่นั่งจดการประชุมนี้ก็ร้องเสียงหลง ว๊าย! อย่างตื่นตาตื่นใจออกมาด้วย

          เสียงราชาหัวเราะออกมาดังๆ "เอาให้งาน OTOP งานแรกนี้ได้ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ทุกฉบับเลยแล้วกัน สร้อยทับทิมสยามเส้นนี้เส้นเดียวราคาเกือบ ๓๐ ล้านบาทเลยนะ สร้อยจากร้านเพชรของเมียชั้นเอง"

          คุณข้าวทำหน้าเหยเก ตามองจ้องลงไปที่สร้อยคออันงดงามนั้น มันเป็นทับทิมเม็ดเขื่องเรียงกันอยู่บนสร้อยรวม ๙ เม็ด แต่ละเม็ดมีขนาดเท่ากับไข่นกกระทาเบอร์ใหญ่สุด มีสีแดงก่ำแต่ฉายแสงสดใส ล้อมรอบด้วยเพชรเม็ดใหญ่น้ำขาววับไปทั้งเส้น

          "นี้มิต้องจ้างตำรวจมาเฝ้าหลังเวทีด้วยไหมนี่" ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะถามออกไปเล่นๆ

          "จะจ้างทั้งกองร้อยมาเฝ้าหรือจะทำอะไรก็จัดไปเลยเพื่อน เงินมีซะอย่าง นี่ชั้นของบประมาณการจัดงานจากทางสมาคมเพิ่มให้ด้วยนะ จากล้านเดียวกลายเป็นล้านสอง ทำให้เต็มที่เลยนะงานนี้ เอ้านี่เช็คครึ่งนึง เอาไปก่อน"

          ราชาส่งเช็คที่เตรียมมาในกระเป๋าส่งให้ต้นข้าว ชายหนุ่มรับเช็คมูลค่าหกแสนบาทมาถือไว้

          "รับรองงานนี้ไม่มีผิดหวัง" คุณข้าวรับคำหนักแน่น

          อันที่จริง ในใจลึกๆ ของชายหนุ่ม การรับคำหนักแน่นเมื่อสักครู่นี้ ไม่ได้หมายถึงว่าพูดกับราชาเท่านั้นหรอก แต่เขาหมายถึง 'จิว' ผู้ชายคนเดียวในหัวใจของเขาตอนนี้ ที่เขาตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะทำสิ่งนี้ให้จิว...แทบจะให้จิวเพียงคนเดียวเท่านั้น --รับรองงานนี้จิวไม่มีผิดหวัง--

          ก่อนกลับ ราชาบอกเขาว่า เมื่อการพรีเซนต์บนเวทีและการเดินแฟชั่นโชว์สินค้าจบหมดแล้ว ขอให้ต้นข้าวเป็นคนออกมาโค้งขอบคุณหน้าเวทีกับนางแบบในช่วงฟินนาเล่ด้วย ชายหนุ่มทำหน้าเหมือนจะปฏิเสธ แต่ราชาให้เหตุผลว่าคนญี่ปุ่นเคารพในผลงานของคนที่ทำ และจำเป็นต้องแสดงตัวด้วย เขาจึงรับปากแบบขัดเพื่อนไม่ได้

          --------------------

          สองอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ เสี่ยจิวดูวุ่นวายไปหมดในโรงงาน ทั้งเรื่องการแพ้ท้องอย่างหนักของลำไย ทั้งเรื่องการส่งวัตถุดิบต่างๆ เช่นรองเท้าฟองน้ำตั้งแต่รุ่นเก่าไปจนถึงรุ่นใหม่ รวมทั้งเครื่องจักรรุ่นเก่า ที่ทางผู้จัดงานจะขอไปวางโชว์ที่หน้างาน OTOP นี้ด้วย โดยติดต่อรายละเอียดผ่านมาทางจอซู

          เรื่องการติดต่อต่างๆ จากทางออร์กาไนซ์ผู้จัดงานผ่านมาทางจอซูนี่ทำให้เสี่ยจิวเริ่มงงหลายอย่าง เช่นว่า เจ้าจอซูมันไปสนิทหรือรู้จักกันอีท่าไหนกับทีมผู้จัด มันถึงรู้ไปซะทุกเรื่อง แถมทางโน้นยังเลือกที่จะติดต่อผ่านมันเพียงคนเดียว แต่ความวุ่นวายของการเตรียมตัวทำให้เขาไม่มีเวลาถามมันในเรื่องนี้ ได้แต่จัดการให้ไปตามที่ทีมงานร้องขอ

          อย่างวันนี้ก็เหมือนกัน เจ้าจอซูมาบอกว่าให้เขาเตรียมตัวอาบน้ำหวีผมให้ดี จะมีทีมงานเข้ามาถ่ายรูปเขาถึงที่โรงงาน เพื่อเอาไปอัดขยายติดที่หน้างานตรงส่วนนิทรรศการแสดงผลงานของเจ้าของสินค้า OTOP โดยมีทีมงานมาประมาณสี่ห้าคน จับเขาแต่งหน้าหวีผมซะหล่อ แถมให้ใส่สูทสีดำผูกหูกระต่ายเต็มยศอย่างเท่ บนกระเป๋าเสื้อสูทมีผ้าเช็ดหน้าสีแดงก่ำเหน็บโผล่ไว้อย่างเก๋ไก๋ ซึ่งเป็นสีเดียวกันกับหูกระต่ายที่ผูกบนคอเขา

          หลังถ่ายรูปเสร็จซึ่งกินเวลาไปเกือบครึ่งค่อนวัน เขาก็ถอดสูทออกส่งคืนให้ทีมงาน แต่ทีมงานส่ายหน้า

          "ไม่ต้องคืนค่ะ คุณพริกบอกว่าให้คุณเก็บไว้ใส่ไปร่วมงานในวันงานเลย"

          "คุณพริก!" เสี่ยจิวครางชื่อตามมาเบาๆ เขาคุ้นชื่อนี้จัง เหมือนใครสักคนที่เคยรู้จัก

          ทีมงานคงสะดุดใจอะไรขึ้นมา จึงรีบบอกว่า "อ้อ ไม่ใช่คุณพริกค่ะ คุณฟริกซ์ ค่ะ ชื่อคุณฟริกซ์" หลังพูดจบ มีเสียงถอนหายใจเฮือกมาจากกลุ่มทีมงาน มีหลายคนมองหน้ากันไปมาล่อกแล่ก

          "คุณฟริกซ์ให้ชุดนี้คุณเลย ใช้ใส่ไปงานวันจริงได้เลยนะคะ เพราะคุณต้องนั่งเก้าอี้แถวหน้าๆ ในงาน ต้องออกกล้อง ต้องถ่ายรูปค่ะ" ทีมงานสาวย้ำมาอีกที

          เสี่ยจิวไม่มีเวลาคิดมากจึงรับเสื้อมาถือไว้ ดูเหมือนทีมงานออร์กาไนซ์ที่จัดงานนี้เป็นมืออาชีพมากๆ ถึงได้เตรียมความพร้อมไว้ให้ขนาดนี้ แม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นชุดที่เขาจะต้องใส่ไปในงาน

          "ดีจังเลย ฝากบอกคุณ...เอ่อ...ฟริกซ์ ด้วยนะครับที่จัดหาชุดไว้ให้ เหมือนรู้เลยว่าผมไม่มีชุดสูทใส่ออกงานใหญ่ ผมไม่ค่อยออกงานฮะ" ชายหนุ่มยิ้มอ่อนๆ ให้ทีมงาน

          "เขารู้ค่ะ เพื่อนคุณฟริกซ์เขาเลือกชุดนี้กับมือเอง...เอ่อ...ไม่ใช่แหล่ะ...เอ่อ ไปดีกว่า พวกเราลานะคะ แล้วเจอกันวันงานจริงนะคะ" ทีมงานรีบขอตัวลากลับ ทำท่าเหมือนถ้าอยู่นานจะพูดผิดพูดถูกมากไปกว่านี้ โดยมีเจ้าจอซูซึ่งทำหน้าเหมือนกลั้นขำอะไรสักอย่าง เป็นผู้เดินออกไปส่ง

          เสี่ยจิวมองตามทีมงานกลุ่มนั้นไป เขาเดินไปพิงที่ปากประตูหน้าโรงงาน แล้วก้มลงมองเสื้อสูทที่พาดอยู่บนแขน เอามือลูบที่ผ้าเช็ดหน้าสีแดงก่ำเกือบดำ บนปากกระเป๋าเสื้อ --ทำไมรู้ใจจัง เพราะถ้าเขาจะเลือกหยิบ ก็คงหยิบหูกระต่ายและผ้าเช็ดหน้าสีนี้ เพราะว่ามันมีสีไม่ฉูดฉาด

          คิดแล้วชายหนุ่มก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจขึ้นมาอย่างประหลาด มันเหมือนกับว่ากำลังมีใครสักคนมาทำอะไรดีๆ ให้เขา เขาหลับตาลง สายลมบ่ายพัดมาจากทุ่งโล่งหน้าโรงงานวูบหนึ่ง ลมอ่อนๆ เหมือนหมุนวนอ้อยอิ่งอยู่รอบตัวเขา มันเหมือนอ้อมกอด

          เสี่ยจิวก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมจู่ๆ ถึงรู้สึกแบบนั้น มันก็แค่เสื้อผ้าชุดหนึ่ง...

          --------------------

          สามทุ่ม คุณข้าวนั่งหน้าเคร่งตรวจสคริปต์พิธีกรงาน OTOP เป็นครั้งสุดท้ายที่ห้องทำงานในบ้าน ก่อนจะยิ้มออกมา แล้วกดปุ่มสั่งปริ้นเป็นเอกสารออกมาหลายชุด เขาถอนหายใจเฮือก แล้วเอามือประสานที่ท้ายทอย หลังพิงพนักเก้าอี้ เหยียดขายาวออกไปข้างหน้าอย่างเกียจคร้าน งานของเขาที่เหน็ดเหนื่อยและหนักหนาที่ผ่านมาสองอาทิตย์ได้สิ้นสุดแล้ว

          เขาเตรียมความพร้อมในทุกด้านของงาน งานเซ็ตอัพสถานที่ได้เข้าไปติดตั้งที่ MBK Hall แล้วตั้งแต่วันนี้ตอนบ่าย เหลือแต่พรุ่งนี้เขาต้องเข้าไปแต่เช้าเพื่อไปประชุมทีมงาน ซ้อมการแสดงต่างๆ แสงสีเสียง รวมทั้งพิธีกร แดนเซอร์ นายแบบและนางแบบ เพื่อให้สมบูรณ์พร้อมในตอนค่ำที่จะเริ่มงาน

          ชายหนุ่มเปิดลิ้นชักข้างตัวออก หยิบซองสีน้ำตาลซองหนึ่งขึ้นมาเปิด หยิบรูปถ่ายขึ้นมาใบหนึ่ง มันเป็นรูปตัวอย่างที่จะนำไปขยายใหญ่ติดที่หน้างาน มันเป็นรูปของชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งในชุดสูทสีดำ ผูกหูกระต่ายและมีผ้าเช็ดหน้าสีแดงเข้มเหน็บที่ปากกระเป๋า ชุดสูทนี้ต้นข้าวเป็นคนไปเลือกซื้อด้วยตัวเอง

          รูปนี้มันเป็นรูปจิว

          ต้นข้าวมองเหม่อไปที่รูปจิว เขายิ้มให้กับรูป...นี่สินะ สิ่งที่เป็นแรงใจในการลุกขึ้นมาทำงานใหญ่ครั้งนี้ และพรุ่งนี้แล้วสินะ ที่เขากับจิวจะต้องเจอหน้ากันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ต้นข้าวก็พร้อมแล้ว พร้อมที่จะเจอหน้าจิวแบบที่ไม่ต้องหลบ แต่มันเหลืออยู่เรื่องเดียวเท่านั้น เรื่องเดียวจริงๆ

          นั่นคือต้นข้าวไม่แน่ใจว่าจิวจะให้อภัยในสิ่งที่เขาทำลงไปกับจิวเมื่อสิบปีก่อนหรือเปล่า เขาไม่ได้คาดหวังหรอกว่ามันจะกลับไปเหมือนเดิมได้  เขาแค่คิดอย่างเดียวว่า นี่เป็นสิ่งที่เขาทำ 'ให้จิว' ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ด้วยความที่รู้สึกติดในคำสัญญาที่เคยรับปากไว้ครั้งหนึ่งนานแสนนานมาแล้ว ส่วนผลมันจะออกมาอย่างไรก็สุดแล้วแต่ ถ้าสิ่งที่เขาทำจะเป็นการช่วยเหลือในธุรกิจที่กำลังจะล้มของจิวได้ เขาก็มีความสุขแล้ว

          เสียงคนเดินเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มเงยหน้าจากรูปขึ้นไปมอง เห็นเป็นเจ้ากบทำหน้าระรื่นเข้ามาที่โต๊ะ ถือโทรศัพท์ PCT แนบหูแบบกำลังคุยกับใครสักคนค้างอยู่เข้ามาด้วย

          โทรศัพท์ PCT คือโทรศัพท์ที่กำลังนิยมในตอนนั้น มันเป็นส่วนผสมของโทรศัพท์บ้านกับโทรศัพท์มือถือ คือมันจะถือออกไปโทรได้ในที่ต่างๆ โดยอิสระเหมือนมือถือที่ไร้สาย แต่เครื่องหลักที่ควบคุมมันคือโทรศัพท์บ้าน โดยในหนึ่งเครื่องของเบอร์บ้าน จะมี PCT ย่อยอีกกี่เครื่องก็ได้ เหมือนเบอร์บ้านเป็นเบอร์หลัก แล้วจะต่อไปคุยที่ PCT เครื่องไหนก็ต้องกดเบอร์ภายในต่อไป เช่น กด ๑ กด ๒ แล้วแต่ว่าบ้านไหนจะซื้อ PCT ย่อยไว้กี่เครื่อง แต่ถ้าไม่รู้เบอร์ต่อ ก็กดเลข ๐ มันจะต่อเข้าเครื่องหลักของโทรศัพท์บ้านเลย ซึ่งเครื่องหลักของบ้านนี้ ก็วางอยู่บนโต๊ะคุณข้าวนี่เอง

          เจ้ากบถอน PCT ออกจากหู เอามือปิดที่ด้านไมค์โครโฟนท้ายเครื่อง แล้วบอกกับเขาว่า

          "กบไปนอนก่อนนะฮะคุณข้าว"

          "เออ ไปเถอะ พรุ่งนี้ต้องออกไปทำงานใหญ่แต่เช้า แล้วนี่เอ็งก็เพลาๆ บ้างนะ ที่คุยโทรศัพท์กับแฟนนี่ สายจะไหม้แล้วนะ" คุณข้าวปรามๆ เจ้ากบแบบน้ำเสียงไม่ได้จริงจังอะไรนัก

          "คร้าบ เดี๋ยวกบก็วางหูแล้วครับ จอซูแฟนกบมันก็ง่วงจะวางสายเข้านอนแล้วเหมือนกัน" เจ้ากบหันมายิ้มให้คุณข้าว ก่อนจะคุยโทรศัพท์ต่อแล้วเดินออกไป ปล่อยให้คุณข้าวยังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานนั้นคนเดียว

          ..................

          เสี่ยจิวอาบน้ำเสร็จเตรียมตัวจะขึ้นนอน เขาเดินลงมาตรวจหน้าต่างประตูโรงงานว่าปิดเรียบร้อยดีไหมตามปกติที่เคยทำทุกวัน ชายหนุ่มเห็นเจ้าจอซูกำลังกดวางสายโทรศัพท์ PCT ของเขาพอดี จึงทำตาเขียวใส่

          "คุยอะไรกันนักหนา ดึกดื่นป่านนี้แล้ว"

          จอซูค่อยๆ เดินย่องๆ เอา PCT มาวางคืนที่โต๊ะข้างหน้าเสี่ยจิว แล้วอ้อมๆ แอ้มๆ บอกว่า

          "คุยกับคนทางทีมงานออร์กาไนซ์ครับเสี่ย นัดแนะกันเรื่องของที่ขาด ว่าต้องเอาอะไรไปเพิ่มอีกพรุ่งนี้ เพราะผมต้องไปช่วยเตรียมงานตั้งแต่สายๆ ครับ แล้วเสี่ยค่อยไปตอนค่ำก่อนงานเริ่มได้เลย" เจ้าจอซูธิบายเสี่ยยืดยาว แอบตอบไม่ตรงความจริง แต่อย่างน้อยก็ใกล้ความจริงนิดหน่อยน่า ก็คนบ้านโน้นจริงๆ เนอะที่จัดงาน --เด็กหนุ่มชาวดอยคิด

          เสี่ยจิวจ้องหน้าจอซูนิ่งๆ ไม่ได้ตอบอะไร เหมือนกำลังประเมินในใจว่าเจ้าจอซูมันมีอะไรไม่ชอบมาพากลหรือเปล่า ดึกๆ ดื่นๆ ยังเที่ยวโทรคุยเรื่องงาน มันไม่ใช่เวลาเลยสักนิด แล้วมันไปสนิทอะไรกับทางฝ่ายคนจัดงาน ถึงต้องคุยกันขนาดนั้น

          เขาก้มลงไปมอง PCT แล้วนึกขึ้นมาได้ว่าจะให้จอซูถามคนจัดงานว่าพรุ่งนี้ที่ MBK มันมีที่จอดรถสะดวกหรือเปล่า เพราะเขาเองตั้งแต่ทำโรงงานนี่ ก็ไม่เคยขับรถไป MBK เองเลย จึงไม่รู้ทาง

          คิดแล้วเขาก็ขำตัวเอง จริงสินะ ตั้งแต่โตมาจนอายุสามสิบกว่านี่แล้ว เขายังไม่เคยได้ไปเหยียบ 'มาบุญครอง' หรือ MBK นี่อีกเลย นับตั้งแต่เขาไม่ได้เจอกันกับต้นข้าวเมื่อสิบปีก่อน เพราะเขาไม่รู้จะไปทำไมเมื่อไม่มีต้นข้าว และคนอย่างเขาก็ไม่ใช่คนที่จะไปเดินเล่นในห้างคนเดียวเสียด้วย

          จะว่าไป...แล้วต้นข้าวล่ะ เคยไปเดิน 'มาบุญครอง' กับใครอีกไหมนะ ---ชายหนุ่มเผลอคิด

          พอนึกมาถึงตรงนี้ เขาก็เงยหน้าขึ้นมาจะถามจอซูเรื่องที่จอดรถในห้างที่จัดงาน แต่เจ้าคนดอยตัวดีเดินหายไปหลังโรงงานเสียแล้ว คงกลัวจะโดนถามซักฟอกอะไร

          เสี่ยจิวหยิบ PCT ขึ้นมาถือไว้ ก็เมื่อสักครู่เจ้าจอซูมันพึ่งวางสายกับทีมงานออร์กาไนซ์ตามที่มันว่านี่หว่า แสดงว่าโทรเวลานี้ได้สินะ งั้นโทรถามเองตอนนี้เลยดีกว่า กลัวว่ารอโทรพรุ่งนี้แล้วทุกคนจะยุ่งๆ กัน

          ชายหนุ่มหน้าตี๋ มองไปที่ปุ่ม Last Call หรือปุ่ม 'โทรล่าสุด' บน PCT แล้วกดลงไป เอาโทรศัพท์แนบหู

          "กรุณากดหมายเลข PCT ที่ท่านต้องการติดต่อ หากไม่ทราบกรุณากด ๐" เสียงอัตโนมัตจากเครื่องที่ปลายสายดังมา

          "อ้าว เป็น PCT เหมือนกันนี่หว่า แล้วจะรู้ไหมล่ะว่าต้องกดเบอร์ย่อยเครื่องไหน" เสี่ยจิวบ่นพึมพัมกับตัวเอง แล้วตัดสินใจเอานิ้วจิ้มกดไปที่เลข ๐

          เสียงดังตี๊ดต่อดๆ ยาวๆ สองสามครั้ง ระบบเหมือนจะต่อติดเข้าเบอร์หลักได้แล้ว มีเสียงผู้ชายรับ มันเป็นเสียงที่แสนจะคุ้นหูจิวมานานแสนนาน ต่อให้ผ่านไปอีกยี่สิบปี เสียงนี้ก็ไม่มีวันลืมเลือนไปจากหัวใจเขา

          "ฮัลโหล สวัสดีครับ บริษัทสมใจนึก ออร์กาไนซ์ครับ ผมต้นข้าวพูดสายครับ..."

          ................

          เสี่ยจิวอ้าปากค้าง โทรศัพท์ PCT แทบหล่นจากมือ นี่ไง!! คำตอบสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง เรื่องที่มันเหมือนไกลแสนไกล บางทีมันก็ใกล้จนแทบคาดไม่ถึง

          บางทีความคิดถึงมันก็เพ้อไปไกลยันสุดขอบจักรวาล จนเหมือนไม่มีวันเดินทางไปหาได้ แต่ความเป็นจริงแล้ว คนเดียวกันนั้นกลับเหมือนจะใกล้จนลมหายใจแทบเป่ารดต้นคอ

          หนุ่มหล่อหน้าตี๋ที่ตอนนี้กลับมีเลือดฝาดจนสีหน้าเป็นสีอมชมพูทั้งหน้า ค่อยๆ กดวางสายโทรศัพท์ หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกมานอกร่าง

          น่าแปลกที่ประตูและหน้าต่างในโรงงานถูกปิดหมดแล้วทุกบาน แต่กลับเหมือนมีสายลมอ่อนและบางเบามาหมุนรอบตัวเขา

          มันเป็นสายลมแห่งความคิดถึง

          --------------------


หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๔ : สายลมแห่งความคิดถึง || หน้า ๑๔ || ๙/๐๘/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 09-08-2017 07:26:15
จิวมาแล้ว.  จิวอย่าหลบ ต้นข้าวเดินหน้าเต็มที่  คุยกันนะ

ต่างก้อคิดถึง ให้มันเป็น happy ending เถอะ ....แก่กันแล้วนะ 5555

 :katai5:  :katai5:  :katai5:  :katai5:  :katai5: ...

..

..
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๔ : สายลมแห่งความคิดถึง || หน้า ๑๔ || ๙/๐๘/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 09-08-2017 07:43:53
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๔ : สายลมแห่งความคิดถึง || หน้า ๑๔ || ๙/๐๘/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 09-08-2017 08:59:36
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๔ : สายลมแห่งความคิดถึง || หน้า ๑๔ || ๙/๐๘/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 09-08-2017 09:17:15
 :katai2-1: o13 :katai2-1:

 :L2: :3123: :pig4: :3123: :L2:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๔ : สายลมแห่งความคิดถึง || หน้า ๑๔ || ๙/๐๘/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-08-2017 13:31:27
ลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๔ : สายลมแห่งความคิดถึง || หน้า ๑๔ || ๙/๐๘/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 09-08-2017 23:01:02
อ่านตอนนี้แล้ว
รู้สึกอิ่มเอมและสุขใจ

มันยาวนานเหลือเกินนะ
เจ้าความรักครั้งนี้

จิว&ข้าว
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๔ : สายลมแห่งความคิดถึง || หน้า ๑๔ || ๙/๐๘/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 10-08-2017 00:35:57
โหยยย จะกดวางสายทำไม 555 ตอนหน้าจะได้เจอกันแล้วสิ รอ รอ รอ มาเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๔ : สายลมแห่งความคิดถึง || หน้า ๑๔ || ๙/๐๘/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 10-08-2017 05:08:10
ได้ติดต่อกันแล้ว ได้คุยกันแล้ว เอ๊ย....ไมใช่ จิวได้ฟังเสียงต้นข้าวแล้ว  :z3:
แต่แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว  :ling1: :ling1: :ling1:
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๔ : สายลมแห่งความคิดถึง || หน้า ๑๔ || ๙/๐๘/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: graciej ที่ 27-08-2017 08:39:23
มากดดัน เอ้ย....... มารอฉากเค้าเจอกัน
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๔ : สายลมแห่งความคิดถึง || หน้า ๑๔ || ๙/๐๘/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 27-08-2017 11:18:04
ฮืออ เราเพิ่งมาอ่านเรื่องนี้ค่ะ พลาดไปได้ยังไงเนี่ย ชอบมากกก
ยังอ่านไปได้ไม่กี่ตอน เพราะยาวมากเลย 555 แต่ขอมาให้กำลังใจคนเขียนก่อนนะคะ
อ่านแล้วได้รำลึกวันวานไปด้วย มันมีความสุขมาก ๆ วัยรุ่นยุค'90 ด้วยกันคงเข้าใจ
บางสิ่งที่คนเขียนเอ่ยถึงในเรื่อง เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว ก็ยิ่งทำให้คิดถึง
แถมบางสิ่ง บางสถานที่ เราก็ไม่รู้จักด้วย ทำให้ได้ความรู้ใหม่ไปด้วย ดีจัง
เดี๋ยวต้องไปอ่านต่อก่อนค่ะ ยังไปไม่ถึงไหนเท่าไหร่
แต่เปิดตัวมา ด้วยชายชราสองคนเดินกุมมือกัน ก็ทำให้ประทับใจแล้ว  :-[
มั่นใจว่าอ่านไปเรื่อย ๆ ต้องยิ่งทำให้มีความสุขแน่ ๆ ^^
ขอบคุณคนเขียนมากเลยนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๔ : สายลมแห่งความคิดถึง || หน้า ๑๔ || ๙/๐๘/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 29-08-2017 06:39:21

MBK❤lover


(http://www.bloggang.com/data/k/kampong/picture/1485729585.jpg)


ตอนที่ ๔๕ : เราจะก้าวไกลไปด้วยกัน


          วันจัดงาน "OTOP Showcase 2001 - เปิดโลก หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ๒๕๔๔" ครั้งแรกของเมืองไทยก็มาถึง เสี่ยจิวยืนหันรีหันขวางอยู่กลางลานชั้นหนึ่งในห้าง MBK Center เขามีอาการหอบเล็กน้อย เหงื่อออกซึมตามใบหน้า เนื่องจากต้องเดินมาไกลจากที่จอดรถ ความที่ไม่ค่อยเข้ามาในเมือง กลัวหลงทิศและสับสนการวันเวย์ของถนน เขาจึงเลือกที่จะไปจอดรถในวัดปทุมวนาราม ใกล้แยกอังรีดูนังต์ แล้วเดินเท้าผ่านสยามสแควร์มาจนถึงห้าง MBK Center

          สาวๆ ในห้างหลายคนหันมามองชายหนุ่มแล้วยิ้มให้ เสี่ยจิวเริ่มเขินตัวเอง ทำท่าเก้ๆ กังๆ เอามือจับที่ชายเสื้อสูทอย่างไม่มั่นใจ วันนี้เขาอยู่ในชุดเสื้อสูทหล่อชุดเดิมกับวันที่มีทีมงานมาถ่ายรูปเขาที่โรงงาน และมอบชุดนี้ไว้ให้เขาสำหรับใส่มาในงานค่ำนี้ เขาเอามือจัดผ้าเช็ดหน้าสีแดงแก่ที่โผล่พ้นปากกระเป๋าให้ได้รูป ขยับโบว์หูกระต่ายสีเดียวกันอย่างเขินๆ ชายหนุ่มทำทรงผมหวีเรียบใส่เยล เผยให้เห็นใบหน้าขาว ดูอ่อนกว่าวัย คิ้วเข้มเหนือตาชั้นเดียวที่ลงตัวกับรูปหน้าอย่างมีเสน่ห์

          ในยุคที่ผู้คนกำลังคลั่งไคล้ดาราหนุ่มตาชั้นเดียวจากไต้หวัน อย่างเช่นนักร้องนักแสดงวง F4 จากละครเรื่อง "รักใสใส หัวใจสี่ดวง" เจอร์รี่ (Jerry), แวนเนส (Vanness), เคน (Ken) และ วิค (Vic) ทำให้เสี่ยจิวซึ่งดูเป็นตี๋หล่อคนหนึ่ง ก็ได้ตกเป็นเป้าสายตาสาวๆ ทั้งห้างจริงๆ

          เขาค่อยๆ เดินเลี่ยงสายตาเด็กสาวๆ มา จนกำลังจะขึ้นบันไดเลื่อน สายตาเหลือบไปเห็นร้านขายดอกไม้เล็กๆ อยู่กลางห้าง มีชื่อว่าร้าน PP House เขาเดินไปหยุดที่หน้าร้านนั้น พร้อมกับสั่งทำช่อดอกไม้ช่อหนึ่ง โดยขอเป็นกุหลาบสีแดงล้วน ชายหนุ่มยืนรอจนเสร็จ จ่ายเงิน แล้วรับช่อกุหลาบสีแดงนั้นมาถือไว้ พร้อมกับขำตัวเอง

          "แล้วจะเอาไปทำไมนี่ จะเอาไปให้ใคร?"

          มันเป็นคำถามที่เขาถามตัวเอง และเขาก็ไม่ได้ต้องการคำตอบ  จะด้วยสัญชาติญาณหรือในส่วนลึกของใจสั่งให้ทำ หรืออะไรก็แล้วแต่ เขามีความรู้สึกว่าอยากเอาช่อกุหลาบนี้เข้าไปในงานด้วย ชายหนุ่มยิ้มที่มุมปาก เมื่อคิดได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เขาซื้อช่อดอกไม้ที่เป็นกุหลาบแดงแบบนี้ ก็เมื่อสิบปีที่แล้ว เพื่อจะเอาไปให้ต้นข้าวที่ขึ้นแสดงละครเวทีเรื่อง "ดอกไม้สำหรับมิสซิสแฮริส" แต่ท้ายที่สุดต้นข้าวก็ไม่ได้รับกุหลาบช่อนั้น

          ...................

          เสี่ยจิวเดินขึ้นมาบนชั้น ๕ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ MBK HALL บนนั้นมีคนเดินกันขวักไขว่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ดูเป็นคนในวงการค้าขาย มีหลายคนใส่ชุดผ้าไหมพื้นเมืองอย่างดี แสดงว่าอาจเป็นพวกตัวแทนกลุ่ม OTOP จากจังหวัดต่างๆ และนอกนั้นก็มีคนต่างชาติอันหลากหลายที่เป็นแขกรับเชิญอีกจำนวนมาก

          ชายหนุ่มมองหาคนที่อาจจะรู้จัก แต่ก็ไม่เห็นใคร แม้กระทั่งเจ้าจอซู ซึ่งออกจากโรงงานมาตั้งแต่เช้า เพื่อเป็นตัวแทนเจ้าของสินค้ามาช่วยทีมงานผู้จัดเซ็ตงานในส่วนนิทรรศการผลิตภัณฑ์ เขาเองก็ยังมองไม่เห็นมัน

          เสี่ยตี๋หล่อ เดินเลยเข้ามาถึงส่วนของนิทรรศการสินค้า OTOP ที่จะมีโชว์วันนี้ เขายืนอึ้งมองดูอยู่นาน และนึกชมในความคิดของผู้จัดแต่ง

          มันเป็นการจัดวางในแนวยาวจากที่เขายืนอยู่ไปจนสุดผนังที่มีประตูทางเข้า HALL โดยเริ่มจากป้ายตัวหนังสือขนาดใหญ่เขียนไว้ว่า

          "รอยเท้าที่ก้าวเดินบนแผ่นดินทอง"

          ซึ่งตรงจุดเริ่มใต้ป้ายนี้ จัดแต่งเป็นพื้นดินที่แห้งผาก แล้วมีรองเท้าแตะฟองน้ำรุ่นแรกๆ สมัยยังเป็นตราสามดาวของป๊าของเขา วางเรียงอยู่เหมือนกำลังก้าวเดิน

          ชายหนุ่มเดินลึกเข้ามาตามแนวนิทรรศการ ตอนนี้พื้นดินที่ปูไว้จากที่แตกระแหงเริ่มกลายเป็นสีเขียวแล้ว มีต้นข้าวเริ่มออกรวง มีกระจาดใส่ตัวอย่างเมล็ดข้าวพร้อมป้ายปักไว้ถึงชื่อพันธุ์ข้าวจากทุ่งกุลาร้องไห้ และยังมีรองเท้าแตะของเขาวางเรียงเสมือนเป็นรอยเท้าย่ำนำทางต่อไปเรื่อยๆ

          ตอนนี้รองเท้าแตะของเขาที่วางเรียง เริ่มเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่ขึ้นแล้ว มันนำทางไปสู่พื้นที่จัดแต่งเป็นก้อนหินสีสวย แวววาว และมีตัวอย่างเพชรพลอยอัญมณีวางโชว์อยู่ เหมือนจะบอกว่ามันคือทรัพย์สินแร่จากผืนดินไทย

          เมื่อเขาเดินต่อ ตอนนี้รองเท้าแตะของเขาเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดแล้ว คือรุ่นสวมแบบสลิปเปอร์ และบนหน้ารองเท้าที่สำหรับสวมเป็นแผ่นรูปหน้าหมูออมสินสีแดง มันวางเรียงเหมือนการเดินต่อไปที่พุ่มใบหม่อน อาหารของหนอนไหม วางประดับด้วย "ไน" หรือวงล้อสำหรับกรอด้ายไหม และต่อด้วยการจัดวางผ้าไหมสีสวยจาก อ.บ้านเขว้า ชัยภูมิ

          และสุดทางเดิน เป็นทางเดินเปล่าๆ ที่เขียวขจี รองเท้าแตะสีแดงมาวางหยุดก้าวเดินที่ตรงนี้ และเหลือแต่เฉพาะหน้าแผ่นสำหรับสวมของรองเท้าที่มีหน้าหมูออมสิน ลอยแยกออกจากพื้นรองเท้า และเริ่มแขวนลอยด้วยเอ็นบนอากาศเป็นจำนวนมาก ดูเผินๆ เหมือนผีเสื้อสีแดงกระพือปีกโบยบินเป็นฝูง กำลังบินเข้าหาผนัง HALL ซึ่งพิมพ์เป็นรูปโมเดลของสนามบินสุวรรณภูมิที่เริ่มจะก่อสร้างในจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมกับตัวหนังสือเขียนว่า

          "เราจะก้าวไกลไปด้วยกัน"

          เขาหันไปมองรอบๆ ตัว มีผู้เข้าร่วมงานจำนวนมากมองดูนิทรรศการนี้เช่นกัน ทุกคนมีสีหน้าชื่นชม ชี้ชวนกันดูตรงจุดนั้นจุดนี้ และหยุดถ่ายรูปกันเป็นระยะๆ

          ชายหนุ่มใจเต้นแรง นึกตื้นตันที่สินค้ารองเท้าฟองน้ำของเขาได้มีส่วนในเรื่องราวอันน่าประทับใจเช่นนี้ เขานึกขอบคุณและนึกชื่นชมยินดีกับเจ้าของความคิดนี้จากใจจริง ใครหนอช่างเจ้าความคิด นำสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกันสี่อย่าง มารวมกันได้เป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้

          อีกใจหนึ่งก็อดคิดไม่ได้ว่า เจ้าของเสียงเมื่อคืนนี้ทางโทรศัพท์ -ต้นข้าว- ผู้อยู่ในใจเขาตลอดมา จะมีส่วนร่วมในความคิดอันนี้ไหมหนอ คิดแล้วเขาก็ก้มลงไปมองช่อกุหลาบในมือ เอามือแตะที่กลีบหนึ่งของกุหลาบบางสีแดงเข้มนั้น แล้วอมยิ้ม...

          .................

          หลังจากเสี่ยจิวได้เดินจนสุดนิทรรศการแล้ว เขาก็ได้เจอกับจอซู ซึ่งมายืนอมยิ้มรออยู่หน้าโต๊ะลงทะเบียน มันยืนคู่ตัวติดกันอยู่กับเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งที่เขาไม่เคยเห็น ซึ่งเด็กหนุ่มคนนั้นหน้าตาดี แต่งตัวดี และดูเหมือนทั้งคู่สนิทสนมกัน เขายังไม่ทันพูดคุยอะไร เพราะเหมือนงานกำลังจะเริ่มแล้ว ข้างหน้างานมีความเคลื่อนไหวคึกคัก เหมือนมีผู้หลักผู้ใหญ่ระดับรัฐมนตรีเดินทางมาถึง เขาจึงรีบเซ็นชื่อลงทะเบียน แล้วเข้าไปนั่งใน HALL

          ชายหนุ่มได้นั่งในแถวที่สองเกือบกลางๆ ร่วมกับกลุ่มผู้ประกอบการ OTOP อื่นๆ และมองเห็นเวทีได้ชัดเจน

          เพลงสรรเสริญพระบารมีดังกระหึ่มขึ้น ทุกคนใน HALL ลุกขึ้นยืนตรง หลังจากนั้นไฟในส่วนที่นั่งคนดูก็ค่อยๆ มืดลง กิจกรรมบนเวทีก็เริ่มต้นขึ้น

          --------------------

          ต้นข้าวยืนกระสับกระส่ายอยู่ด้านหลังเวที ชายหนุ่มค่อนข้างจะตื่นเต้นสำหรับงานนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นมือวางอันดับหนึ่งของวงการออร์กาไนซ์ก็เถอะ แต่สำหรับงานนี้ เขาคิดว่ามันสำคัญมาก มันสำคัญมากสำหรับใครอีกคนหนึ่ง เขาจะต้องทำมันให้จบอย่างสำเร็จบริบูรณ์

          ชายหนุ่มยกมือขึ้นจัดผ้าเช็ดหน้าสีแดงก่ำที่เสียบโผล่ออกมาจากปากกระเป๋า และจับหูกระต่ายสีเดียวกันให้เข้าที่อย่างคนใจลอย แน่นอน...ชุดที่เขาใส่ตอนนี้มันเหมือนกันเปี๊ยบกับของจิว เขาตั้งใจเลือกมันเองให้เป็นแบบนี้

          เขายืนหันรีหันขวางอยู่สักครู่ พริกเพื่อนรักก็เดินเข้ามาหา

          เนื่องจากงานวันนี้เป็นงานสำคัญของเขา ชายหนุ่มจึงเลือกที่จะไว้วางใจให้พริก มาเป็นผู้กำกับเวทีของงาน OTOP นี้ให้เขา

          "อ้าวต้นข้าว มายืนทำอะไรตรงนี้ โห นี่ เหงื่อซึมเต็มหน้าเลย ตื่นเต้นเหรอ" พริกเดินเข้ามาใกล้

          ต้นข้าวเอามือไปกุมมือพริก ฝ่ายตรงข้ามสัมผัสได้ว่ามือนั้นเย็นเฉียบ

          "เรากลัวมันออกมาไม่ดีน่ะพริก" ต้นข้าวทำหน้ากังวล

          พริกหัวเราะนำมาก่อน "ทำไมจะไม่ดีล่ะ ไอเดียงานของเธอครั้งนี้นี่สุดยอดจะตาย ดูแค่งานนิทรรศการข้างหน้าสิ คนยังชมกันไม่ขาดปากเต็มหน้างานไปหมด"

          "จริงเหรอ" ต้นข้าวทำหน้าตื่นๆ

          "จริงสิ จะมาพูดเอาใจทำไม เพื่อนกัน ดีก็ว่าดี ถ้าไม่ดีก็จะบอกกันตรงๆ" พริกเอามือตบหลังต้นข้าวเบาๆ

          "เราตั้งใจทำงานนี้ให้...เอ่อ...จิวเลยนะ" ต้นข้าวครางออกมาแผ่วๆ สายตามองเหม่อเหมือนจะทะลุผนังเวทีออกไปถึงคนที่นั่งดูในแถวสอง

          "เรารู้" พริกยิ้มออกมา "มันถึงออกมาดีอย่างนี้ไงล่ะ เธอมุ่งมั่นตั้งใจกับมันมากเลยนะ"

          ต้นข้าวหันมามองพริก จับมือขึ้นมากุมไว้ "พริก ฝากด้วยนะ เอาให้งานบนเวทีนี้ออกมาดีที่สุดเลยนะ"

          "มันต้องดีอยู่แล้วต้นข้าว ทั้งนางแบบ นายแบบและแดนเซอร์ทุกอย่างพร้อมล่ะ ทั้งหมดนี่มันเป็นไอเดียของเธอ เราแค่ประสานมันให้สมบูรณ์บนหน้าเวทีตามสคริปต์ของเธอนั่นแหล่ะ" พริกเอามือขึ้นแตะใบหน้าต้นข้าว

          "เหงื่อออกเต็มไปหมด ไปซับหน้าหน่อยนะต้นข้าว เดี๋ยวตอนจบช่วงฟีนาเล่ เธอต้องออกไปเดินโค้งขอบคุณที่หน้าเวทีด้วย เธอจะให้จิวเห็นเธอหน้ามันย่องแบบนี้ไม่ได้นะ อยู่หน้าเวทีเธอต้องหล่อที่สุด"

          ประกายวูบหนึ่งฉายอยู่ในดวงตาของต้นข้าว มันเหมือนดาวเหนือที่กระพริบสว่างสุกสกาวท่ามกลางท้องฟ้าที่เคยมืดมิดมาสิบปี

          "จริงสินะ ขอบคุณมากๆ นะพริก ขอบคุณสำหรับทุกอย่างเลย"

          พริกกระดกคิ้วข้างหนึ่งให้ชายหนุ่ม แล้วบอกตามหลังไปว่า

          "The show must go on  การแสดงต้องดำเนินต่อไปนะต้นข้าว  ชีวิตของเราก็เช่นกัน หลังจากนี้อะไรจะเกิดขึ้น ก็จงทำตามหัวใจตัวเองเลยนะ"

          ต้นข้าวส่งยิ้มกว้างให้พริก แล้วผลักประตูห้องแต่งตัวนักแสดงหายเข้าไปข้างใน

          --------------------

          จิวตั้งใจมองทุกสิ่งบนเวทีอย่างไม่ให้คลาดสายตา ในช่วงแรกของงานเป็นพิธีการที่เป็นทางการ มีการกล่าวเปิดงาน มีการฉายสไลด์ความเป็นมาของงาน และการเซ็นสมุดลงนามร่วมมือกันของทางสมาคมการค้าไทยกับญี่ปุ่นบนเวที และเขาเห็นราชา เพื่อนเก่าของเขาที่ไม่ได้เจอกันมาสิบปีอยู่บนเวทีนั้นด้วยในกลุ่มของผู้ประกอบการ ชายหนุ่มนึกในใจว่าเดี๋ยวจบงานต้องไปทักเสียหน่อย

          จนมาถึงช่วงไฮไลท์ของงาน ไฟบนเวทีมืดลง จอภาพโปรเจคเตอร์ฉายเป็นรูปพื้นทุ่งนาที่แตกระแหง แล้วมีภาพขาคนใส่รองเท้าแตะเก่าๆ เดินอยู่ แล้วภาพก็เปลี่ยนไปเป็นท้องทุ่งนา

          บนเวทีมีแดนเซอร์ออกมาเต้น ทุกคนใส่ชุดสีดำ แต่ใส่รองเท้าแตะสีแดงของจิว ดูเด่นชัดมากบนเวที ในมือทุกคนถือรวงข้าวบ้าง กระด้งฟัดข้าวบ้าง การแสดงทำให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของข้าวเสาไห้ของไทย

          หลังจากนั้นเป็นการเดินแบบของนางแบบและนายแบบในชุดผ้าไหมไทยประยุกต์ จากอำเภอบ้านเขว้า ซึ่งในช่วงเวลานั้นไม่ค่อยมีคนกล้าทำ มันล้ำสมัยเกินไป แต่การแสดงชุดนี้แปลกใหม่เป็นที่ตื่นตาตื่นใจของคนใน HALL ทุกคน เรียกเสียงปรบมือดังเกรียวกราว

          จนมาถึงโชว์ชุดสุดท้าย ภาพบนจอขึ้นโลโก้ของ ๔ ผลิตภัณฑ์ OTOP ตัวอย่างที่มาโชว์วันนี้ ตั้งแต่โลโก้ T-Star รองเท้าแตะฟองน้ำของจิว โลโก้ข้าวเสาไห้จากสุรินทร์ โลโก้ผ้าไหมบ้านเขว้า และโลโก้เครื่องเพชรจากถนนบ้านหม้อ ถนนสายอัญมณีของกรุงเทพฯ แล้วภาพบนจอก็เปลี่ยนไปเป็นรูปโมเดลของสนามบินแห่งใหม่ที่หนองงูเห่า คือสนามบินสุวรรณภูมิที่กำลังสร้าง

          แดนเซอร์สองคน ลากม้วนพรมสีเขียวออกมาปูเต็มพื้นเวทีอย่างงดงาม มันเป็นสีเขียวสดใสเหมือนต้นข้าวยามเช้า

          หลังจากนั้นดนตรีเปลี่ยนเป็นเพลงที่ดูยิ่งใหญ่ ไฟฟอลโล่ที่สว่างจ้าจับไปที่กลางเวที นางแบบคนไทยที่ชื่อเสียงดังไปทั่วโลก 'รจนา' ก็เดินนวยนาดอย่างสง่างามมาบนเวทีสีเขียวนั้น

          เธอมาในชุดราตรีผ้าไหมสีแดงสด ช่วงบนเป็นเกาะอก เข้ารูปมาถึงสะโพก แล้วบานออกในช่วงล่าง ทิ้งหางลากยาวเหมือนเจ้าหญิง มองไกลๆ เหมือนช่วงปลายกระโปรงมีวัสดุอะไรสักอย่างที่พริ้วไหว กระพือดิ้นเหมือนมีผีเสื้อสีแดงบินอยู่รอบชายกระโปรงนั้น เธอใส่รองเท้าส้นสูงสีแดง ส่วนบนลำคออันยาวระหง มีสร้อยทับทิมสยามล้อมเพชรเส้นใหญ่มูลค่ากว่า ๓๐ ล้านบาท ส่งประกายระยิบระยับสู้กับแสงไฟบนเวที เสียงปรบมือจากผู้ชมดังสนั่นหวั่นไหว พร้อมๆ กับแสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปนับร้อย ส่องให้เวทีนั้นพราวพร่างเหมือนสวรรค์บนดิน...บนผืนแผ่นดินไทยเรานี่เอง

          จิวลดมือลงจากการปรบมือ สายตาจ้องไปที่นางแบบอย่างชื่นชม "สง่างามมาก" เขาคิดในใจ แต่อีกความรู้สึกหนึ่งก็เกิดอาการน้อยใจขึ้นมา จริงสินะ ฉากสุดท้ายนี่มีแต่ความอลังการของสินค้าต่างๆ มารวมอยู่ด้วยกัน เว้นแต่สินค้าของเขา คือรองเท้าแตะฟองน้ำที่ด้อยค่าไม่คู่ควรกับโชว์ชุดนี้ จึงไม่ถูกเอามานำเสนอในชุดฟีนาเล่ของนางแบบนี้ด้วย

          นางแบบรจนา ค่อยๆ เยื้องกรายจากกลางเวที เริ่มเดินออกมาที่ Catwalk ทุกย่างก้าว ชายกระโปรงที่สะบัด เหมือนมีผีเสื้อสีแดงอันมีชีวิต โบกปีกกระพือบินตาม เธอค่อยๆ เดินออกมาจนถึงปลายสุด Catwalk จนมันใกล้กับที่นั่งแถวสองของจิวไม่เกินห้าเมตร แล้วจิวก็เห็นสิ่งหนึ่งอย่างชัดเจนขึ้น

          ปลายกระโปรงที่บานยาวของนางแบบ ที่มองเห็นว่าเหมือนผีเสื้อกำลังโบยบิน แท้จริงแล้วมันคือวัสดุแผ่น PVC ที่เป็นรูปหน้าหมูออมสินสีแดงบนรองเท้าแตะรุ่นใหม่ของเขานั่นเอง หากแต่คนทำชุด แกะเอาเฉพาะส่วนที่เป็นหน้าหมูจากรองเท้า มาเย็บติดให้เคลื่อนไหวได้อย่างมีศิลป์ กระจายรอบชายกระโปรงนั้นสลับกับการปักคริสตัลที่แวววาว ประมาณจำนวนคร่าวๆ ได้หลายร้อยชิ้น!!

          น้ำตาจิวเอ่อคลอออกมา จนเขาต้องเอามือขึ้นมาปาด ชายหนุ่มภูมิใจในสินค้าของตัวเองแทบจะหัวอกระเบิด จริงอยู่ว่ามันไม่ได้ครบสภาพของรองเท้าฟองน้ำอย่างที่มันควรจะเป็น หากแต่ภาพของนางแบบที่สวมชุดนี้ มันจะต้องออกสื่อกระจายไปทั่วภูมิภาคเอเซีย หรืออาจจะไปสักครึ่งโลกก็ได้ถ้าข่าวมันไปถึง

          เขารู้สึกขอบคุณใครก็ตามที่ออกความคิดไอเดียทำชุดนี้ จิวยกมือขึ้นมาปรบมืออีกครั้งหนึ่ง เสียงปรบมือของทั้ง HALL ดูเหมือนจะยังไม่จางง่ายๆ

          ...................

          ต้นข้าวยืนกัดริมฝีปากตัวเองจนแทบจะห้อเลือดอยู่ข้างหลังเวทีด้วยความตื่นเต้น และลุ้นว่าผลตอบรับมันจะออกมาดีไหม หากแต่เสียงปรบมือที่ดังสนั่นหวั่นไหวเข้ามาถึงที่เขายืนอยู่ มันก็เป็นตัวบอกได้แล้วถึงความสำเร็จของมันที่เกิดขึ้น

          เสียงพิธีกรจากหน้าเวที ประกาศขอบคุณผลิตภัณฑ์ทั้งสี่อีกครั้ง แล้วประกาศชื่อผู้ออกแบบชุดและโชว์ครั้งนี้ พร้อมกับเรียกเชิญให้ออกมาปรากฏตัวหน้าเวที

          มันคือชื่อของต้นข้าว

          พริกที่ยืนใส่หูฟังอยู่ข้างๆ สะกิดเตือนให้ต้นข้าวเดินออกไปหน้าเวที

          ชายหนุ่มหายใจเข้าแรงๆ ยาวๆ ครั้งหนึ่ง เขาหลับตาลงชั่วครู่ แล้วลืมตาขึ้น ค่อยๆ เดินอย่างคนที่มั่นใจในตัวเองไปที่กลางเวที โค้งขอบคุณ แล้วเดินต่อไปที่ปลายสุดของ Catwalk ที่นางแบบรจนายืนคอยอยู่

          ต้นข้าวเดินมาหยุดข้างๆ รจนา เขาก้มลงโค้งขอบคุณอีกครั้ง คราวนี้เสียงปรบมือยิ่งดังสนั่นหวั่นไหว กลุ่มตัวแทนภาครัฐจากทางญี่ปุ่นลุกขึ้นยืนปรบมือ พลอยทำให้ทุกคนทั้ง MBK HALL แห่งนี้ลุกขึ้นยืนปรบมือไปด้วย

          และตอนนี้ต้นข้าวมองเห็นจิวที่ยืนปรบมืออยู่ข้างหน้าแถวที่สองแล้ว

          ..................

          จิวหัวใจเต้นแรง จับตามองไปที่เวที ตาทั้งสองแทบไม่ได้กระพริบ เขากลัวจะพลาดกับภาพตรงหน้า เขาไม่อยากจะพลาดไปแม้แต่วินาทีเดียว

          นี่มันเรื่องจริงใช่ไหม นี่มันต้นข้าวจริงๆ ใช่ไหม ไม่ใช่ว่าเขาจำต้นข้าวไม่ได้ ต้นข้าวไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยในสายตาของเขา แต่เขากลัวว่านี่มันคือฝันไป เขาไม่อยากให้มันเป็นเพียงความฝัน

          ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในงานวันนี้ ต้นข้าวทำเพื่อเขาหรือนี่ มันต้องเป็นการตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะให้ออกมาประสบความสำเร็จแบบนี้ งานนี้ไม่ใช่งานเล็กๆ มันจะต้องถูกบันทึกเป็นประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งของวงการค้าของไทย ต้นข้าวคงเหนื่อยน่าดูสำหรับการเตรียมงานในช่วงหลายวันที่ผ่านมา

          จิวจ้องตาประสานไปที่ตาต้นข้าวบนเวที มือของจิวที่ปรบอยู่ ค่อยๆ ยกสูงขึ้น เขาส่งยิ้มอย่างคนที่ให้กำลังใจ ส่งยิ้มอย่างคนที่เข้าใจ ส่งยิ้มอย่างคนที่รับรู้ถึงความปรารถนาดี และส่งยิ้มด้วยความขอบคุณจากเบื้องลึกของหัวใจไปให้ต้นข้าว

          ..................

          ต้นข้าวมองลงมาที่จิว ผู้คนนับพันคนใน HALL ที่กำลังยืนปรบมืออยู่นี้เหมือนหายไปกับธาตุอากาศ HALL ที่กว้างใหญ่บนชั้นห้าใน MBK Center แห่งนี้เหมือนว่าเหลือแค่เขากับจิวเพียงสองคนเท่านั้นโดยมีแค่ความสูงของเวทีกั้น

          ชายหนุ่มอยากหยุดลมหายใจไว้เท่านี้ ถ้าหากว่าเวลาผ่านไปแล้วภาพนี้จะหายไป เขาขอจดจำช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้ไว้ตลอดกาล

          คนที่ยืนปรบมือพร้อมส่งสายตาชื่นชมและขอบคุณมาให้เขานี่คือ 'จิว' คนที่เขาเพียรพยายามตามหามาตลอดสิบปีเต็ม คนที่ยังอยู่ในหัวใจของเขาตลอดเวลาที่ผ่านมา และคือคนเดียวที่เขาตั้งใจทำงานนี้ให้

          เสียงปรบมือยังดังสนั่นไม่ขาดสาย

          บัดนี้ ความสำเร็จของต้นข้าวไม่ได้เป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านเลยอีกต่อไป มันถูกรับแล้วโดยคนอีกคนหนึ่ง ที่เขาอุทิศความสำเร็จและความเหนื่อยยากนี้ให้

          สายตาของทั้งสองจ้องสงบ นิ่ง และเนิ่นนาน มันเป็นสายตาที่แลกเปลี่ยนกันของความเป็น "ผู้ให้" และ "ผู้รับ" อย่างสมบูรณ์

          แล้วไฟบนเวทีก็ดับลง...

หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๕ : เราจะก้าวไกลไปด้วยกัน || หน้า ๑๕ || ๒๙/๐๘/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 29-08-2017 15:18:29
แล้วต่อจากนี้เล่า......... :ling1: :ling1: :ling1:
อยากอ่านตอนต่อไปและ  :z3: :z3: :z3:

จิว ต้นข้าว   :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๕ : เราจะก้าวไกลไปด้วยกัน || หน้า ๑๕ || ๒๙/๐๘/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 29-08-2017 18:13:34
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๕ : เราจะก้าวไกลไปด้วยกัน || หน้า ๑๕ || ๒๙/๐๘/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 29-08-2017 20:20:33
=_=อีกละ ค้างอีกละ ฮือออ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๕ : เราจะก้าวไกลไปด้วยกัน || หน้า ๑๕ || ๒๙/๐๘/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 29-08-2017 21:45:52
 :katai2-1: o13 :katai2-1:

 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๕ : เราจะก้าวไกลไปด้วยกัน || หน้า ๑๕ || ๒๙/๐๘/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-08-2017 22:02:21
 :katai1: อีกนิดดดด
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๕ : เราจะก้าวไกลไปด้วยกัน || หน้า ๑๕ || ๒๙/๐๘/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: graciej ที่ 29-08-2017 22:40:57
เจอกันแล้ว / รู้สึกอบอุ่น  :กอด1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๕ : เราจะก้าวไกลไปด้วยกัน || หน้า ๑๕ || ๒๙/๐๘/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 29-08-2017 23:33:43
รออ่านตอนต่อไป ค้างมากๆ 555 แต่ประทับใจการบรรยาย
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๕ : เราจะก้าวไกลไปด้วยกัน || หน้า ๑๕ || ๒๙/๐๘/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 30-08-2017 06:41:24
ชื่นชมกับผลิตภัณฑ์ไทยนะ. รองเท้าแตะที่มีการพัฒนารูปแบบไปเรื่อยๆ

แต่สุดท้ายก้อจะกลับมาแบบคลาสสิคด้วยพื้นสีขาวสายน้ำเงิน

จิวเจอต้นข้าวละ.

 :hao3:  :hao3:  :hao3:  :hao3:  :hao3:

...
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๕ : เราจะก้าวไกลไปด้วยกัน || หน้า ๑๕ || ๒๙/๐๘/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 12-10-2017 06:13:05

MBK❤lover


(http://www.bloggang.com/data/k/kampong/picture/1485729585.jpg)


ตอนที่ ๔๖ : มีดวงใจหนึ่งดวงจะมอบให้เธอไว้ครอง


          ต้นข้าว ยืนใจเต้นแรงอยู่หลังเวทีเมื่องานทุกอย่างสิ้นสุดลง มันสำเร็จลงเรียบร้อยแล้วสำหรับสิ่งที่เขาตั้งใจอยากจะช่วยธุรกิจของจิว และเหนือสิ่งอื่นใด ภาพของจิวที่ยืนปรบมือให้เมื่อสักครู่นี้ ยังติดตาตรึงใจอยู่ไม่รู้หาย และตอนนี้คงได้เวลาแล้วสินะ ที่เขาจะต้องออกไปเผชิญหน้ากับจิว หลังจากรอคอยมานานถึงสิบปี

          "ต้นข้าว..."

          มีเสียงหนึ่งเรียกเขามาเบาๆ จากทางด้านหลัง ชายหนุ่มหัวใจเต้นแรงหนักกว่าเดิม เขาค่อยๆ กลั้นหายใจพร้อมกับหันกลับมาตามเสียงเรียกนั้นช้าๆ

          ใบหน้าที่มีขนเต็มหน้าพร้อมทั้งผ้าโพกหัวตามเชื้อชาติ ยืนยิ้มเผล่เรียกเขาอยู่นั่น ราชานั่นเอง ต้นข้าวหายใจแรงๆ ออกมาดังเฮือก!!

          "อ้อ ราชา" เขาเรียกออกไปอย่างใจลอย

          ราชาเดินเข้ามาใกล้เขา เอามือหนาหนักตบที่ไหล่เขาเบาๆ

          "งานเยี่ยมมากเลยนะเพื่อน ผู้หลักผู้ใหญ่ชมกันเปาะเลย ยอดสั่งซื้อต้องกระฉูดแน่ ทางญี่ปุ่นก็ชอบมาก เห็นว่าจะออเดอร์รองเท้าฟองน้ำหลายหมื่นคู่เลยนะ"

          ต้นข้าวยิ้มแห้งๆ ให้ "ขอบใจนะราชา ที่ให้โอกาสเราทำงานนี้ และให้โอกาสกับ...เอ่อ...จิว..."

          "โอ้ย จะเป็นอะไรไป เพื่อนกันก็ต้องช่วยกันเนอะ เออ ว่าแต่เมื่อกี้เจอจิวในงานด้วย แล้วนายล่ะเจอกับจิวหรือยัง เห็นแว่บๆ ว่าเดินออกไปนอก HALL  ได้ยินบ่นๆ ว่าจะไปห้องน้ำ จะเอาน้ำมาพรมอะไรสักอย่างนี่ล่ะ ฟังไม่ถนัด"

          ต้นข้าวขมวดคิ้วจนหน้าผากเป็นรอยยับยู่ นึกในใจ --จิวจะเอาน้ำมาพรมอะไรหว่า มันใช่เวลาไหมเนี่ย--

          "เฮ้ย ชั้นไปก่อนนะ ต้องลงไปส่งรัฐมนตรีและพวกญี่ปุ่นก่อน ไว้คุยกันใหม่นะเว้ย รับรองมีงานของ OTOP ให้เธอได้จัดตามมาอีกเพียบ"

          ต้นข้าวโบกมือให้ราชา แล้วตัวเองก็หันหลังกลับไปมองม่านเวทีที่ปิดลงแล้วจากด้านหลังเหมือนเดิม พร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆ

          ...................

          "ต้นข้าว"

          เสียงแผ่วเบา คุ้นหู เรียกชายหนุ่มอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้หัวใจเขาไม่ทันได้เต้นเหมือนเมื่อสักครู่อีกแล้ว คือมันแทบจะหยุดเต้นไปเฉยๆ เสียอย่างนั้น

          ต้นข้าวหันมาเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียง ใช่แล้ว จิว...กำลังยืนทำท่าเขินๆ มองต้นข้าวอยู่

          รอยยิ้มเขินๆ ของจิว ไม่มีอะไรที่แตกต่างไปจากตอนวัยเยาว์เลย รอยยิ้ม แววตา หรือแม้กระทั่งน้ำเสียงที่ใช้เรียกเมื่อสักครู่

          มีแต่ทรงผมของจิวที่เปลี่ยนไป ตัดตามสมัยนิยม และวันนี้หวีเรียบแปล้ รับกันกับชุดสูทพอดีตัว ต้นข้าวพึ่งนึกออกว่าวันนี้เขากับจิวใส่สูทที่เหมือนกันเป๊ะ ทั้งทรง และสี แน่นอนว่าเขาเองแหล่ะเป็นคนเลือกซื้อสูทสองตัวนี้เอง

          "จิว..." ชายหนุ่มเรียกชื่อจิวออกไป

          จิวยิ้มให้ต้นข้าว ทั้งคู่ยืนตรงข้ามกัน มองหน้ากันนิ่งเงียบ และไม่ได้ขยับตัวทำอะไรหรือพูดอะไรออกมาในชั่วระยะเวลาที่คนโบราณเรียกความเงียบนิ่งงันแบบนี้ว่า 'ช่วงเทวดาเดินผ่าน'

          แล้วจิวเริ่มขยับตัวเดินเข้ามาใกล้ต้นข้าว ตอนนี้เขาพึ่งสังเกตเห็นช่อดอกกุหลาบสีแดงในมือจิวที่ถือไว้ข้างหลัง จิวยื่นส่งช่อกุหลาบให้เขา

          "จิวให้... ยินดีในความสำเร็จของงานนะต้นข้าว" เสียงจิวพูดแผ่วๆ แอบมีความตื่นเต้นปนอยู่ในเนื้อเสียงนั้น

          ต้นข้าวส่งยิ้มเก้อๆ ให้จิว รับช่อดอกกุหลาบสีแดงก่ำช่อใหญ่นั้นมาถือไว้ในอ้อมแขน มันเป็นสีแดงก่ำ เหมือนกับสีของโบว์หูกระต่าย และสีของผ้าเช็ดหน้าที่แลบออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูทของทั้งคู่

          ชายหนุ่มก้มลงไปมองที่กลีบกุหลาบ มันมีหยดน้ำเกาะพราว ดูสดใส สดชื่น เหมือนมันพึ่งได้รับการพรมน้ำที่ชุ่มฉ่ำมาสักครู่นี่เอง

          "ขอบคุณมากนะจิว" ต้นข้าวตอบเสียงแผ่ว เงยหน้าขึ้นมามองผู้ที่ยืนยิ้มตรงหน้า

          เกิดความเงียบระหว่างกัน เกิดช่วง 'เทวดาเดินผ่าน' ขึ้นมาอีกครั้ง ยังไม่มีคำพูดใดๆ ต่อจากนั้น ได้ยินแต่เสียงลมหายใจและใจที่เต้นแรงของทั้งคู่

          แล้วต้นข้าวเป็นคนทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน

          "จิวมายังไงนี่ ขับรถมาเองหรือ"

          "อื่อ ขับมาเองคนเดียว ลูกน้องมันแยกกันมาในรถอีกคัน นี่ก็ว่าจะกลับแล้ว" จิวตอบเสียงแผ่วไม่แพ้กัน น้ำเสียงดูใจหายอย่างไรพิกล

          "นั่นสินะ" ต้นข้าวตอบกลับแบบใจลอย "บ้านจิวไปอีกตั้งไกลกว่าจะถึง"

          จิวจ้องหน้าต้นข้าว "อ้าว แล้วต้นข้าวรู้ได้ยังไงว่าบ้านจิวอยู่ที่ไหน ถึงบอกว่าอยู่ไกลน่ะ"

          ต้นข้าวหัวเราะพรืดออกมา จริงสินะ ทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะ ก็เคยปลอมตัวนั่งอยู่ในรถจนไปจอดแทบจะหน้าประตูโรงงานของจิวมาแล้ว

          "เดาเอาน่ะ" เขารีบตอบแก้เก้อ "จิวรอเราสักครู่ได้ไหม สั่งเคลียร์งานเดี๋ยวเดียว เราจะเดินขึ้นไปส่งที่จอดรถนะ"

          "ได้สิ จิวรอหน้างานนะ"

          จิวตอบเสร็จ หันหลังเดินออกไป ก็นึกขึ้นมาได้ว่าตนเองจอดรถไว้ถึงวัดปทุมวนาราม ซึ่งห่างจากที่ห้าง MBK นี่เกือบสองป้ายรถเมล์ ไม่ได้จอดไว้ที่อาคารจอดรถในห้างนี้ ที่ต้นข้าวบอกว่าจะเดิน 'ขึ้นไปส่ง' แต่เขาหันกลับไปบอกไม่ทันแล้ว เพราะร่างสูงของต้นข้าว เดินลิ่วๆ ไปโน่น เหมือนจะรีบไปเคลียร์งานให้จบไวๆ

          --------------------

          สามทุ่ม ใจกลางเมืองหลวง ใจกลางสยามสแควร์ ไฟยังส่องสว่างพราวตามตึก มีผู้คนประปรายที่กำลังเริ่มรอรถเมล์กลับบ้าน แม่ค้าแผงลอยตามริมถนนเริ่มเก็บแผง ลมดึกพัดเอื่อยๆ เศษถุงกระดาษปลิวไปมาบนท้องถนน

          ต้นข้าว รับรู้จากจิวแล้วว่ารถของจิวจอดอยู่ไกลถึงวัดปทุมวนาราม แต่ก็ยังยืนยันว่าจะเดินมาส่งจิวที่รถ ชายหนุ่มถอดเสื้อสูทออกแล้ว เหลือแต่เสื้อเชิร์ตสีขาวที่ใส่ด้านใน ซึ่งตอนนี้พับปลายแขนขึ้นมาถึงข้อศอกให้สบายขึ้น ส่วนช่อดอกไม้ที่จิวให้ เขาส่งต่อให้กบและอัญชุลีลูกน้องเขาจัดการไปเก็บที่รถเรียบร้อย

          จิวถอดเสื้อสูทออกมาถือพาดไว้ที่แขน เดินอย่างเงียบๆ เคียงคู่กันกับต้นข้าว ชายวัยหนุ่มใหญ่สองคนที่สูงเพรียวพอๆ กัน หน้าตาดีเหมือนกัน ทรงผมที่หวีเรียบ กางเกงดำเนี๊ยบกริบพร้อมรองเท้าหนังดำมันปลาบ เรียกสายตาจากผู้คนละแวกสยามสแควร์ได้อย่างโดดเด่นชัดเจน

          ต้นข้าวเหลือบมองไปที่จิวเป็นระยะๆ เขามีคำพูดตั้งเป็นพันคำที่อยากจะพูด และมีคำถามอีกสักหมื่นคำถามที่อยากจะถาม แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร สิบปีที่ผ่านมา ตลอดความคิดคำนึงของเขา มีคนเดียวเท่านั้นที่เขาอยากจะพูด ยากจะระบายในทุกสิ่งด้วย ก็คือจิว ซึ่งตอนนี้เขาก็ได้มาเดินอยู่ข้างๆ จิวแล้ว แต่มันยากมากที่จู่ๆ จะพูดอะไรทุกสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกมาได้

          --มันต้องมีอะไรมาเชื่อมให้มันเริ่มได้สักอย่างสิน่า-- เขาคิด

          จิวหันซ้ายหันขวาบนถนน สลับกับเงยหน้าขึ้นมองข้างบนอย่างตื่นตาตื่นใจ จริงอยู่ว่าตอนขามาเขาก็เดินผ่านตรงนี้ แต่ด้วยความที่รีบจะให้ถึงสถานที่จัดงาน จึงไม่ได้สนใจจะมองอะไรเท่าไหร่

          ตอนนี้ทั้งคู่อยู่ที่ถนนตรงข้ามกับห้าง MBK จิวแหงนมองขึ้นไปบนรางรถไฟฟ้า BTS อย่างทึ่งๆ ตรงนี้เป็นสถานีรถไฟฟ้าสยาม ซึ่งใหญ่โตมาก  มีรางแยกไปอีกสี่ทิศ เหมือนเป็นชุมทางสลับรางใหญ่ๆ ของรถไฟธรรมดาบนพื้นดินที่เขาเคยรู้จัก เพียงแต่อันนี้มันอยู่บนอากาศ บนหัวเขา แถมสูงขึ้นไปอีกสามชั้นด้วย

          รถไฟฟ้า BTS นี้ มันพึ่งเปิดให้บริการไม่ถึงสองปี

          ต้นข้าวมองจิวแบบขำๆ "ยังไม่เคยขึ้นรถไฟฟ้าหรือจิว"

          "ยังไม่เคยเลย" จิวยังไม่ละสายตาจากการแหงนมองขึ้นไป มีรถไฟฟ้าขบวนหนึ่งแล่นฉิวเข้าสถานีพอดี ป้ายโฆษณาข้างรถพิมพ์ตัวอักษรตัวโตว่า 'กรุงเทพฯ ชีวิตดีๆ ที่ลงตัว'

          "ไว้จะพาขึ้นไปนั่งเล่นนะ" ต้นข้าวพูดยิ้มๆ จิวไม่ได้ตอบอะไร แต่หัวเราะ หึหึ ในลำคอ

          จิวละสายตาจากรถไฟฟ้าบนหัวลงมามองรอบตัวบ้าง ตรงจุดที่ทั้งสองเดินผ่านนี้ เป็นมุมหนึ่งของสี่แยกปทุมวัน ในอดีตตรงนี้เคยเป็นลานโล่ง และในตอนเย็นจะมีลานเบียร์สดแห่งแรกของประเทศไทยมาตั้งที่นี่ และทั้งสองเคยมานั่งตรงลานโล่งนี้ในเย็นวันหนึ่งสมัยเรียนมัธยม เพื่อมานั่งมองการก่อสร้างของตึก MBK ฝั่งตรงข้ามที่ตรงมุมนี้ด้วย แต่ตอนนี้มันกลายเป็นตึกศูนย์การค้าทันสมัยไปแล้ว จิวอ่านป้ายชื่อห้าง 'สยามดิสคัฟเวอรี่'

          "หายไปแล้ว ลานโล่งที่เราเคยมานั่งเล่น" จิวพูดออกมาลอยๆ

          ...............

          มีแม่ค้าเข็นรถเข็นสวนผ่านมาบนทางเท้า จิวและต้นข้าวเบี่ยงตัวเข้ามาชิดกันเพื่อหลบ แขนทั้งคู่แนบชิดกัน ปลายนิ้วก้อยทั้งสองเข้ามาแทบเกี่ยวติดกัน

          และเมื่อทั้งสองเดินต่อ ก็ไม่ได้เดินห่างกันแบบเดิมแล้ว แต่เดินต่อด้วยความตั้งใจแบบเนียนๆ ไปอย่างนั้นเลย บางก้าวนิ้วก้อยก็มาเขี่ยๆ แตะติดกัน และหลายๆ ก้าวนิ้วก้อยของทั้งสองก็มาเกี่ยวก้อยกัน จิวยังคงเดินไม่รู้ไม่ชี้ เดินเอื่อยๆ ช้าๆ ทอดน่องมองซ้ายมองขวาอย่างเพลิดเพลิน เหมือนอยากให้เวลาในตอนนี้หมุนช้าที่สุด หรือให้มันหยุดไปเลยก็ดี

          ส่วนต้นข้าว ความเหน็ดเหนื่อยจากการจัดงานและเตรียมงานในวันนี้ที่ผ่านมา มันไม่ได้หลงเหลืออีกต่อไปแม้แต่น้อยแล้ว ถึงจะต้องออกแรงเดินมาส่งจิวที่รถตั้งไกลนี่ แถมตอนกลับเขาจะต้องเดินย้อนกลับไปเอารถของเขาเองที่ห้าง MBK คนเดียวอีกรอบก็ตาม

          เพราะความสุขจนถึงขีดสุด มันอยู่ที่ความเชื่อมต่อจากปลายนิ้วก้อยที่เกี่ยวกันแผ่วๆ นี่แหล่ะ ไม่มีความทุกข์ยาก ลำบากลำบน หรือเหน็ดเหนื่อยสาหัสใดๆ มาถึงตัวได้แล้ว

          ความสุขที่แสวงหามาตลอดสิบปี ความผิดพลาดใดๆ ในอดีตที่ทำร้ายหัวใจมาตลอดเมื่อหวนนึกถึงมัน มันดูโหดร้ายและใหญ่ยิ่ง แต่มันก็ละลายหายวับไปในทันที เพียงเพราะการสัมผัสที่ปลายก้อยของสองคนนี่เอง มันเหมือนเราไม่ได้เดินอยู่ตามลำพังอีกแล้ว --เธอให้ไปที่ไหนจะไปนั่น รักฉันมั่น ฉันไม่หวั่นใด--

          ต้นข้าวและจิว เดินเกี่ยวก้อยเลยจากห้าง 'สยามเซ็นเตอร์' ที่มีชื่อเสียงลือลั่น และเป็นไอคอนของความทันสมัยในการแต่งกายแฟชั่นวัยรุ่นตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน จนมาถึงหน้าโรงแรม 'สยามอินเตอร์ คอนติเนลตัล' ที่งดงามก่อนถึงวัดปทุมวนาราม

          มันเป็นโรงแรมที่ร่มรื่นใจกลางเมือง โดยมีจุดเด่นเป็นอาคารทรงเตี้ยแต่มีขนาดใหญ่มาก หลังคาอาคารเป็นรูป 'งอบ' หรือหมวกสานชาวนา ดูแปลกตาและเป็นที่น่าจดจำของชาวฝรั่งต่างชาติมาก

          แต่บัดนี้ มันถูกล้อมรั้วสังกะสีไว้รอบๆ และไม่ได้เปิดไฟใดๆ ในโรงแรมนั้นแล้ว มีป้ายก่อสร้างแปะติดอยู่ด้านหน้า มีข้อความเขียนไว้ว่า

          'ห้ามเข้า กำลังรื้อถอนอาคารโรงแรม เพื่อก่อสร้างโครงการห้างสรรพสินค้า สยามพารากอน'

          ต้นข้าวเองก็พึ่งสังเกตเห็นป้ายนี้ ก็รู้สึกใจหายวาบอย่างบอกไม่ถูก ที่โรงแรมร่มรื่นกลางเมืองนี้จะกลายเป็นห้างสรรพสินค้าไปอีกห้างหนึ่ง แถมต้นข้าวก็เคยมาจัดงานอีเว้นท์ที่โรงแรมนี้หลายครั้งด้วย จึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

          จิวเหลือบมามองต้นข้าวแล้วอมยิ้ม เอานิ้วก้อยเกี่ยวต้นข้าวให้เดินต่อ พร้อมกับพูดว่า

          "มันก็ต้องเปลี่ยนแปลงล่ะ ไม่มีอะไรในชีวิตนี้ที่ไม่เปลี่ยนแปลง เราตื่นมาทุกวัน มันก็มีอะไรเปลี่ยนแปลงทุกวันนะต้นข้าว  ยกเว้นแต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานขนาดไหน....."

          ต้นข้าวมองหน้าจิว เหมือนรอให้จิวผู้ซึ่งแสนจะมีจิตใจมั่นคงนั้นพูดอะไรต่อ เพราะดูมีแววว่าจิวอยากจะพูดอะไรที่สำคัญสักอย่าง นิ้วก้อยของจิวเกี่ยวที่นิ้วของต้นข้าวแน่นขึ้น แล้วพอจิวอ้าปากกำลังจะพูด ต้นข้าวรีบหลับตาพริ้มลง กลั้นหายใจเตรียมฟังข้อความสำคัญนั้น...

          "ยกเว้นแต่...วัดนี่ไงต้นข้าว วัดไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนไป อยู่อย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ให้ความสุขสงบร่มเย็นกับทุกสรรพสัตว์เสมอ" จิวพูดหน้าตาเฉย

          ต้นข้าวถอนหายใจเฮือก!! ลืมตาขึ้นมามองบน แล้วหัวเราะเบาๆ ออกมา

          "จริงเนอะ วัดไม่เคยเปลี่ยนแปลง เอ่อ เราไปกันเถอะ ไหนรถจิวจอดอยู่ตรงไหน" ต้นข้าวถามแก้เก้อ

          "จอดอยู่นี่ไง แต่เดี๋ยวก่อน ต้นข้าวเดินมาส่งจิว แล้วต้นข้าวก็ต้องเดินกลับไป MBK คนเดียวนี่นะ" จิวหันมาถามต้นข้าว มือก็ล้วงควานลงไปในกระเป๋ากางเกงหากุญแจรถ

          "ก็ทำไงได้ อยากเดินมาส่งจิวไง ไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวต้นข้าวเดินกลับเอง"

          จิวส่ายหน้า "หึ๋ย ไม่ได้หรอก เอาไงดี จะให้ขับวนไปส่งไหม ต้นข้าวบอกทางก็แล้วกัน จิวไม่ชินกับถนนวันเวย์ในกรุงเทพฯ"

          "หรือเอางี้" จิวพูดต่อเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ "จิวจะขับรถไปส่งต้นข้าวถึงบ้านก็แล้วกัน จะได้รู้จักบ้านใหม่ด้วย ต้นข้าวโทรไปบอกลูกน้องให้ขับรถของต้นข้าวกลับไปแทน ดีไหม"

          "หืม...จะดีหรือ" ปากต้นข้าวก็ถามไป แต่มือเริ่มตะกุยที่จับเปิดประตูรถแล้ว แถมดึงแกร๊กๆ ทั้งๆ ที่มันล็อคอยู่ เหมือนกลัวไม่ได้ขึ้นรถจิว

          จิวไขกุญแจเปิดประตูรถ หัวเราะหึหึ "เอ้า เปิดล็อคแล้ว"

          ...............

          "บ้านต้นข้าวย้ายไปที่ไหนน่ะ จิวเคยไปตามหาที่บ้านเดิมก็ไม่มี เขาบอกว่าย้ายออกไปแล้ว"

          จิวถามต้นข้าว ขณะประคองพวงมาลัยรถ ขับออกไปจากเขตวัดปทุมวนาราม

          "ก็อยู่แถวถนนแจ้งวัฒนะเหมือนเดิมแหล่ะ แต่คนละซอยกับบ้านเดิมน่ะ" ต้นข้าวบอกเสียงนุ่ม แววตาเป็นประกายมีความสุข

          หลังจากนั้นทั้งสองก็นั่งกันเงียบๆ ไม่ได้พูดคุยอะไรกัน ทั้งๆ ที่มีเรื่องราวมากมายหลายสิ่งที่อยากจะเล่า อยากจะถามซึ่งกันและกัน

          รถเริ่มเลี้ยวขวาไปทางสามแยกดินแดง ในช่วงรถติดไฟแดงจิวเอื้อมมือโน้มตัวมาที่ลิ้นชักเก็บของหน้ารถฝั่งที่ต้นข้าวนั่ง ใบหน้าซีกหนึ่งเอียงเข้ามาใกล้ต้นข้าว กลิ่นน้ำหอมกับกลิ่นเหงื่ออ่อนๆ ที่ต้นคอของจิว ต้นข้าวแสนจะคุ้นเคย แต่ด้วยเวลาที่ห่างกันไปถึงสิบปี มันกลายมาเป็นสิ่งเร้าใจใหม่ และมันรัญจวนใจ โหยหา และสร้างความปั่นป่วนให้ต้นข้าวอย่างมาก มันปลุกอารมณ์ให้ลุกซู่ ถึงกับต้องนั่งเกร็งตัวแข็งขึ้นมาทันที

          จิวหยิบสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้จากลิ้นชักหน้ารถ มันคือซีดี-รอม แผ่นหนึ่ง ซึ่งจิวเอานิ้วชี้จิ้มรูตรงกลางของมันพร้อมกับเอานิ้วโป้งประคองถือไว้

          การมาถึงของ 'ซีดี-รอม' บนโลกใบนี้ ได้เปลี่ยนวิธีการฟังเพลงและดูหนังของมนุษยชาติไปอย่างสิ้นเชิง มันไม่มีอีกแล้วสำหรับเทปคาสเซ็ท หรือวีดีโอเทป ทุกสิ่งทุกอย่างถูกบรรจุลงไปบนแผ่นแบนๆ กลมๆ มีรูตรงกลางที่เรียกกันสั้นๆ ว่า 'แผ่นซีดี' นี้ทั้งสิ้น

          "จิวจะให้ต้นข้าวฟังเพลงอะไรเพลงนึง จิวเก็บรักษามันไว้นานแล้วนะ นี่อุตส่าห์ไปจ้างให้เขาไรท์จากเทปคาสเซ็ทลงแผ่นซีดีเลยล่ะ" จิวอวดอย่างภาคภูมิใจ

          ชายหนุ่มหน้าตี๋บรรจงสอดแผ่นซีดีลงไปในช่องเครื่องเล่นเพลงบนวิทยุหน้ารถ มันถูกดูดหายเข้าไป แล้วสักพักก็เริ่มมีเสียงออกมาทางลำโพงรถ

          ต้นข้าวพอได้ยินก็นั่งตัวชา แข็งนิ่ง อ้าปากค้าง

          .................

          ---ครับ ช่วงนี้เป็นโทรศัพท์หลังไมค์ขอมาจากผู้ฟังทางบ้าน จาก น้องจิว ๔/๗ ขอเพลง "รอวันฉันรักเธอ" ของวงคีรีบูน มอบให้ น้องต้นข้าว ๔/๗ นะครับ แหม เพลงนี้กำลังดังมากทีเดียว

         และน้องจิวยังฝากมาบอกน้องต้นข้าวว่า "ใกล้จะสอบแล้ว ตั้งใจอ่านหนังสือนะ"

         ไปฟังกันเลยครับ "รอวันฉันรักเธอ" จากวงคีรีบูน---


          ..................

          มันเป็นเสียงการอัดเทปจากรายการวิทยุรายการหนึ่งตั้งแต่สมัยที่ทั้งสองยังอยู่ในวัยมัธยมเมื่อสิบห้าปีก่อน จิวเป็นคนโทรศัพท์เข้าไปขอเพลงในรายการ และมานั่งอัดเทปตอนออกอากาศนี้ที่ห้องนอนต้นข้าว

          ...................

          "มีดวงใจหนึ่งดวง
          จะมอบให้เธอไว้ครอง
          เมื่อยามสองเราต้องจากไกล

          พาดวงใจเลื่อนลอย
          ฝากบทเพลงบรรเลงให้ไว้
          เธอโปรดเก็บใจไว้...เพื่อรอ"


          ..................

          ในสมัยก่อนที่ต้นข้าวได้ยินเพลงนี้ ต้นข้าวได้แต่รู้สึกดีใจที่มีคนขอเพลงให้ และมันก็เป็นเพลงยอดนิยมในสมัยนั้น โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงเนื้อเพลงมันสักเท่าไร ว่ามันจะร้องสื่อถึงอะไรบ้าง

          แต่มาถึงเดี๋ยวนี้ ตอนนี้ ความรู้สึกของการพลัดพราก คิดถึง ห่วงหา แล้วได้กลับมาเจอกันอีกครั้งจริงๆ มันคือเรื่องราวในบทเพลงนี้แท้ๆ --รอวันฉันรักเธอ--

          .................

          "ฝากคำว่าคิดถึง ให้เธออยู่เสมอ
          แม้ไม่ได้เจอฉันก็สุขใจ
          หากชีวิตไม่สิ้น
          ฉันจะกลับเอารักมาให้
          เธอโปรดจำไว้วันที่ฉันรอ"


          ...................

          น้ำตาต้นข้าวเริ่มเอ่อล้นออกมา นี่จิวกำลังจะบอกอะไรต้นข้าวผ่านทางบทเพลงนี้หรือเปล่า ต้นข้าวสะอื้นอีกสองสามครั้ง พร้อมกับตั้งใจฟังเนื้อเพลงต่อ

          ...................

          "ดวงใจฉันคิดถึงเธออยู่
          เธอโปรดจงรู้ดวงใจว่า ยังปรารถนา
          จะกลับมาเพื่อพบเธอ...สุดที่รัก"


          ...................

          ต้นข้าวหันไปมองหน้าจิวทั้งน้ำตา จิวหันกลับมามองต้นข้าวด้วยสีหน้าอ่อนโยน แววตาของจิว ต้นข้าวเห็นความทะนุถนอม แน่วแน่ และมั่นคงอยู่ในนั้น

          ....................

          "แม้ห่างเพียงกาย ก็ไม่ห่างใจ
          เหมือนรักประสานไว้ตลอดเวลา
          ฉันจะรอวัน วันแห่งรักหวนมา
          วันที่เราสัญญาต่อกัน....."


          .....................

          ต้นข้าวสะอื้นโฮออกมา เอื้อมมือไปจับหลังมือของจิวที่วางค้างอยู่บนกระปุกเกียร์รถ

          "จิว...ต้นข้าวขอโทษนะ ขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยทำลงไปกับจิว เราขอโทษนะ"

          จิวค่อยๆ พลิกมือของตัวเองที่ต้นข้าวกำลังจับอยู่นั้นให้หงายขึ้นมา แล้วกำประสานมือแน่นกับต้นข้าว

          "ไม่เป็นไรต้นข้าว ไม่เป็นไร จิวซะอีกที่ต้องขอบคุณต้นข้าวในสิ่งที่ทำให้ในวันนี้ จิวขอบคุณมากๆ นะ"

          จิวค่อยๆ ปลดมือที่ต้นข้าวจับอยู่ออกอย่างเบามือ แล้วเอามือข้างนั้นเอื้อมไปเช็ดปาดน้ำตาที่ไหลเป็นสายบนแก้มของต้นข้าว แล้วค่อยๆ โอบประคองหัวของต้นข้าวให้มาซบที่ไหล่ของตน

          "เรามาเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหมต้นข้าว"


          --------------------

          เกือบห้าทุ่มวันนั้นบนถนนวิภาวดีรังสิต รถเก๋งวอลโว่ 850 สีแดงสด กำลังวิ่งเอื่อยๆ อยู่บนเลนซ้ายสุด เหมือนเจ้าของรถกำลังขับกินลมชมวิวอย่างไม่รีบร้อน

          และหากมีรถคันไหนสักคันขับตามหลัง และส่องไฟสูงสักหน่อยเข้าไปจากหลังรถ ก็คงส่องให้เห็นภาพชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังขับรถ ส่ายหัวตัวเองไปมาน้อยๆ ตามจังหวะเพลงที่เปิดในรถ และมีชายหนุ่มอีกคน กำลังเอนหัวซบลงไปที่ไหล่ของคนขับ ทำมือทำไม้ประกอบการพูดคุยเจื้อยแจ้วอย่างสนุกสนานเพลิดเพลินกับคนขับ

          ก่อนที่รถวอลโว่สีแดงจะเลี้ยวซ้ายลับหายไปในความมืดบนถนนแจ้งวัฒนะในคืนนั้น


หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๖ : มีดวงใจหนึ่งดวงจะมอบให้เธอไว้ครอง || ๑๕ || ๒๒/๑๐/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 12-10-2017 07:42:21
 :L2: :L1: :pig4:

นิ้วก้อยเกี่ยว  :-[
สมกับที่รอ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๖ : มีดวงใจหนึ่งดวงจะมอบให้เธอไว้ครอง || ๑๕ || ๒๒/๑๐/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: TIKA_n ที่ 12-10-2017 09:41:53
ฮืออออ  ในที่สุด ก็ได้เริ่มต้นกันใหม่แล้วน้า   :m1:
อบอุ่น ละมุนละไมมากเลย อ่านแล้วก็มีความสุขไปด้วย
เพลงวงคีรีบูนนี่ เพราะทุกเพลงเลย คิดถึงวัยเด็กอีกแล้ว > <
รอตอนต่อไปค่า ขอบคุณคนเขียนมาก ๆ นะคะ  :กอด1:
 
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๖ : มีดวงใจหนึ่งดวงจะมอบให้เธอไว้ครอง || ๑๕ || ๒๒/๑๐/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 12-10-2017 13:08:32
 :man1:

 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๖ : มีดวงใจหนึ่งดวงจะมอบให้เธอไว้ครอง || ๑๕ || ๒๒/๑๐/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-10-2017 16:35:25
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๖ : มีดวงใจหนึ่งดวงจะมอบให้เธอไว้ครอง || ๑๕ || ๒๒/๑๐/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 13-10-2017 00:50:30
เราชอบเรื่องนี้นะ ย้อนวัยดี ชวนให้ระลึกความหลัง ตามอ่านรอตอนจบอยู่
แต่พออ่านภาคนี้แล้ว สับสนกับไทม์ไลน์ของเทคโนโลยีและสิ่งก่อสร้างนิดหน่อย

อย่างเช่น พีซีที กับมือถือ จริงๆ แล้ว ระดับทำธุรกิจอีเวนท์เจ้าใหญ่อย่างข้าวนี้น่าจะใช้มือถือนะ ตอนนั้นมือถือออกมาขนาดเล็กลง และไม่แพงเป็นแสนเหมือนรุ่นกระบอกน้ำแล้ว ระบบ 800 ของโนเกีย เราเคยใช้เพราะตอนนั้นที่บ้านขอโทรศัพท์บ้านยาก พี่เราเลยซื้อให้ เพราะอยู่คนละบ้าน ตอนนั้นโคตรอายอ่ะ เพราะขึ้นรถเมล์แต่ดันมีมือถือใช้ 555 ไม่กล้าหยิบมารับสายเลย เราน่าจะเรียนรามปีสอง ประมาณสักปี 2537 (โคตรป้า 555) แล้วพีซีทีเพิ่งมีหลังจากนั้น จำได้ว่าตอนเปิดขายพีซีทีนี่คนต่อคิวยาวมาก ต้องมีใบจอง แต่ไม่ค่อยเวิร์คเพราะค่าโทรใช้เรตโทรศัพท์บ้าน ช่วงนั้นโปรมือถือถูกกว่าใช้เบอร์บ้าน แถวหน้ารามตั้งโต๊ะมือถือรับโทรกันเป็นล่ำเป็นสัน เพื่อนเรายังทำเลย รายได้ดีมาก

แล้วช่วงที่ผู้เขียนบอกว่ารถไฟฟ้าบีทีเอสมาสองปี ตอนนั้นเราน่าจะจบมาทำงานได้น่าจะสักปี-สองปี มือถือจอดำเครื่องละไม่ถึงหมื่นเริ่มมีละ แต่รุ่นท็อปของโนเกียถึงจะหลักหมื่น ช่วงก่อนนั้น (ก่อนเราเรียนจบ) ก็มีเพจเจอร์ที่ฮิตๆ กะอันนี้เลยเด็ดสุดคือ ฮอนด้าซีวิค สามประตูในตำนาน (อันนี้น่าจะสักปีสามปีสี่) มาพร้อมกับกระเป๋าหลุยส์รุ่นหนมจึบ กะทรงพัดลายไม้ ที่จำได้เพราะเพื่อนสนิทที่จุฬา ฟูมฟายอยากมีมาก

555 โม้เสียยาว แค่อยากแชร์ว่ามันแปลกๆ เท่านั้นแหละ เป็นลายละเอียดเล็กน้อย

หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๖ : มีดวงใจหนึ่งดวงจะมอบให้เธอไว้ครอง || ๑๕ || ๒๒/๑๐/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 13-10-2017 01:27:22
เราชอบเรื่องนี้นะ ย้อนวัยดี ชวนให้ระลึกความหลัง ตามอ่านรอตอนจบอยู่
แต่พออ่านภาคนี้แล้ว สับสนกับไทม์ไลน์ของเทคโนโลยีและสิ่งก่อสร้างนิดหน่อย

อย่างเช่น พีซีที กับมือถือ จริงๆ แล้ว ระดับทำธุรกิจอีเวนท์เจ้าใหญ่อย่างข้าวนี้น่าจะใช้มือถือนะ ตอนนั้นมือถือออกมาขนาดเล็กลง และไม่แพงเป็นแสนเหมือนรุ่นกระบอกน้ำแล้ว ระบบ 800 ของโนเกีย เราเคยใช้เพราะตอนนั้นที่บ้านขอโทรศัพท์บ้านยาก พี่เราเลยซื้อให้ เพราะอยู่คนละบ้าน ตอนนั้นโคตรอายอ่ะ เพราะขึ้นรถเมล์แต่ดันมีมือถือใช้ 555 ไม่กล้าหยิบมารับสายเลย เราน่าจะเรียนรามปีสอง ประมาณสักปี 2537 (โคตรป้า 555) แล้วพีซีทีเพิ่งมีหลังจากนั้น จำได้ว่าตอนเปิดขายพีซีทีนี่คนต่อคิวยาวมาก ต้องมีใบจอง แต่ไม่ค่อยเวิร์คเพราะค่าโทรใช้เรตโทรศัพท์บ้าน ช่วงนั้นโปรมือถือถูกกว่าใช้เบอร์บ้าน แถวหน้ารามตั้งโต๊ะมือถือรับโทรกันเป็นล่ำเป็นสัน เพื่อนเรายังทำเลย รายได้ดีมาก

แล้วช่วงที่ผู้เขียนบอกว่ารถไฟฟ้าบีทีเอสมาสองปี ตอนนั้นเราน่าจะจบมาทำงานได้น่าจะสักปี-สองปี มือถือจอดำเครื่องละไม่ถึงหมื่นเริ่มมีละ แต่รุ่นท็อปของโนเกียถึงจะหลักหมื่น ช่วงก่อนนั้น (ก่อนเราเรียนจบ) ก็มีเพจเจอร์ที่ฮิตๆ กะอันนี้เลยเด็ดสุดคือ ฮอนด้าซีวิค สามประตูในตำนาน (อันนี้น่าจะสักปีสามปีสี่) มาพร้อมกับกระเป๋าหลุยส์รุ่นหนมจึบ กะทรงพัดลายไม้ ที่จำได้เพราะเพื่อนสนิทที่จุฬา ฟูมฟายอยากมีมาก

555 โม้เสียยาว แค่อยากแชร์ว่ามันแปลกๆ เท่านั้นแหละ เป็นลายละเอียดเล็กน้อย

= ขอบคุณมากๆ ค่ะ ที่อ่านและแชร์ความรู้กันนะคะ น่ารักที่สุด

1. เรื่องโทรศัพท์มือถือ จริงๆ ในเรื่องมีปรากฎอยู่แล้วในตอน "รักเกิดที่คาราโอเกะ" เสี่ยจิวพกโทรศัพท์มือถือโนเกีย รุ่นปีกผีเสื้อ 8250 มาที่ร้านคาราโอเกะด้วยค่ะ ดังนั้น ทั้งเสี่ยจิวและคุณข้าว มีโทรศัพท์มือถือใช้แน่ๆ ค่ะ (แต่ไม่มีฉากที่คุณข้าวใช้มือถือเลยอ่า)

2. โทรศัพท์ PCT ในเรื่อง ใช้เฉพาะในบ้าน เป็นประมาณว่าเบอร์โทรโรงงานหรือสำนักงาน ที่เจ้าของสามารถเดินพูดคุยในบริเวณได้อะค่ะ อารมณ์ประมาณโทรศัพท์บ้านไร้สาย ไม่ได้ใช้สำหรับนำออกไปนอกบ้านค่ะ

3. รถไฟฟ้า BTS เริ่มให้บริการเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2542 และตอนนี้เนื้อเรื่องยังอยู่ใน พ.ศ. 2544 ตามที่ถูกระบุไว้ในตอน "I Will Servive - ฉันต้องรอด" ดังนั้นรถไฟฟ้าพึ่งจะเปิดให้บริการมา 2 ปีจริงๆ ค่ะ

......................

ขอบคุณมากๆ นะคะ ที่เก็บรายละเอียด ผู้อ่านน่ารักที่สุด คนแต่งก็ค่อยหายเหนื่อยสำหรับการเรียงลำดับ Timeline ของประวัติศาสตร์มากๆ ค่ะ 555+ (กลัวพลาดเหมือนกัน)

ขอบคุณอีกครั้งค่ะ


 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๖ : มีดวงใจหนึ่งดวงจะมอบให้เธอไว้ครอง || ๑๕ || ๒๒/๑๐/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 13-10-2017 10:32:03
หัวข้อกระทู้ของไรท์ วันที่ที่อัพ ไรท์ลืมแก้ 
MBK❤lover || ตอนที่ ๔๖ : มีดวงใจหนึ่งดวงจะมอบให้เธอไว้ครอง || ๑๕ || ๒๒/๑๐/๖๐

นึกถึงความหลังเลย ที่ว่ามุมหนึ่งของสี่แยกด้านสยามดิสคัพเวอรี่
มีลานเบียร์ เพราะเคยไปนั่งกินกับพี่ๆน้อง
มีร้านดังๆไปออกร้าน แบบร้านเกี๊ยวซ่า แล้วลานเบียร์ก็หายไป
นั่งรถผ่านก็คิดถึงอดีตเหมือนกัน

แล้วจิว ต้นข้าวก็ได้ปรับความเข้าใจกัน
กลับมาคบกันใหม่ จิวก็เหมือนจิวคนเดิม น่ารัก :mew1: :mew1: :mew1:
ไม่เจ็บแค้น ถือโทษที่ต้นข้าวเคยทำไม่ดีกับจิว ตื้นตันเลย :mew6:
อ่านตรงที่ต้นข้าวพิงใหล่จิว ที่ขับรถ
พลางคุยเจื้อยแจ้ว แล้วรู้สึกดีจริงๆ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:   
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๖ : มีดวงใจหนึ่งดวงจะมอบให้เธอไว้ครอง || ๑๕ || ๒๒/๑๐/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: MissMay ที่ 13-10-2017 11:39:21
อ่านแล้วรู้สึกละมุนมากกกก
จำได้สมัยนั้น ที่เปิดตัว bts เราได้ไปด้วยตอนสมัยเด็กๆ
ตื่นตาตื่นใจมาก 555 อ่านแล้วนึกถึงวันวาน

ส่วนจิวกับข้าวก็ได้เริ่มใหม่ คนเราเมื่อโตขึ้น ก็จะใช้บทเรียนที่ผ่านมามาปรับใช้
ส่วนอะไรที่ไม่ดีก็ให้เป็นบทเรียนหนึ่ง
หลังจากนี้มีอะไรก็ถ้อยทีถ้อยอาศัย

ผู้แต่งแต่งดีมากกก อ่านไปก็น้ำตาซึมไป
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๖ : มีดวงใจหนึ่งดวงจะมอบให้เธอไว้ครอง || ๑๕ || ๒๒/๑๐/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 13-10-2017 11:42:08
ชีวิตรักของจิวกับต้นข้าวตรงตามเพลงจริงๆ รอวันฉันรักเธอ...

แล้วก้อสมหวังนะคร้าบบบบบ

ชอบช่วงเวลาแค่สองป้ายรถเมล์แต่มันฟิน...

 :o8:   :o8:   :o8:   :o8:   :o8:   :o8:

.....
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๖ : มีดวงใจหนึ่งดวงจะมอบให้เธอไว้ครอง || ๑๕ || ๑๒/๑๐/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 13-10-2017 17:57:32
ดีใจเย้ๆ จิวกับข้าวมาเริ่มต้นกันใหม่แล้ว
อ่านไปอินไปชอบตอนนี้จัง เพอร์เฟกมากๆ รออ่านตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๖ : มีดวงใจหนึ่งดวงจะมอบให้เธอไว้ครอง || ๑๕ || ๑๒/๑๐/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 14-10-2017 11:32:39
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๖ : มีดวงใจหนึ่งดวงจะมอบให้เธอไว้ครอง || ๑๕ || ๑๒/๑๐/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 14-10-2017 13:10:10
ส่งจิวมาทางนี้หน่อย
..บอกไปว่าฉันชอบเขา..

อยากได้มากกกกกกกกกกก
จุ๊บๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๖ : มีดวงใจหนึ่งดวงจะมอบให้เธอไว้ครอง || ๑๕ || ๑๒/๑๐/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 10-11-2017 22:13:47
 :mew2:

คิดถึงมากๆ เสาร์อาทิตย์นี้จะมาไหมหนออออ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๖ : มีดวงใจหนึ่งดวงจะมอบให้เธอไว้ครอง || ๑๕ || ๑๒/๑๐/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: กำปงพิราเทวี ที่ 17-11-2017 18:44:03

MBK❤lover


(http://www.bloggang.com/data/k/kampong/picture/1485729585.jpg)


ตอนที่ ๔๗ : ความรักชนะทุกสิ่ง


          วันต่อมาช่วงบ่าย เสี่ยจิวนั่งปล่อยอารมณ์ก้มมองเหม่อไปที่อะไรสักอย่างในลิ้นชักที่โต๊ะทำงานของเขาในโรงงาน ชายหนุ่มนั่งคิดไปถึงการที่เมื่อคืนนี้ได้เจอกันกับต้นข้าว ได้ไปส่งที่บ้าน แถมยังขอให้ต้นข้าวกลับมาเป็นเหมือนเดิมด้วย ถึงต้นข้าวจะยังไม่ได้ตอบอะไรชัดๆ ออกมาจากปาก แต่การกระทำและคำพูดในเรื่องอื่นๆ ที่คุยกันในรถ มันก็พอบ่งบอกได้แล้วว่าต้นข้าวเองก็ยังไม่มีใครอื่น ยังคงคิดถึงจิว และดูเหมือนดีใจมากๆ ที่เจอจิวอยู่เหมือนกัน คิดแล้วใจเขาก็เต้นแรงขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล

          มีเสียงรถมาจอดที่ประตูหน้าโรงงาน ชายหนุ่มหยุดคิดสิ่งที่รื่นรมณ์นั้น แล้วชะโงกออกไปดูจากทางหน้าต่าง ก็ได้เห็นรถปิคอัพคันหนึ่งจอดอยู่ และมีหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งที่เขาเคยเห็นหน้าในงานเมื่อคืน ดูเหมือนจะเป็นลูกน้องของต้นข้าว กำลังยกหุ่นผู้หญิงแบบเดียวกับที่เอาไว้สำหรับใส่ชุดโชว์ตามหน้าร้านตัดเสื้อผ้าลงมาจากรถ โดยมีเจ้าจอซู กำลังกุลีกุจอช่วยยกลงอย่างแข็งขัน เขาจึงเอื้อมมือไปปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานที่เปิดค้างไว้เมื่อสักครู่นี้ แล้วเดินจากห้องทำงานออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น

         "เบาๆ จอซู ระวังหัวหุ่นกระแทกประตู" เสียงเด็กหนุ่มหล่อผู้มาเยือนบอกกับลูกน้องเขา ดูน้ำเสียงท่าทางสนิทสนมกันดี เห็นเจ้าจอซูหัวเราะตอบ แล้วตั้งใจยกหุ่นนั้นอย่างทะนุถนอมมากขึ้น

          "นี่มันอะไรกัน" เสี่ยจิวร้องถามออกไป พลางกวาดตามองไปที่ข้าวของอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ยกลงมาจากหลังรถ

          เด็กหนุ่มหล่อที่กำลังยกของ วางหุ่นที่แบกลงกับพื้น แล้วยกมือสวัสดีเขาก่อน

          "สวัสดีครับเสี่ยจิว หุ่นตัวนี้คุณข้าวให้เอามาไว้ที่นี่ครับ มาพร้อมชุดราตรีสีแดงที่นางแบบใส่บนเวทีเมื่อคืนมาด้วยครับ คุณข้าวบอกว่าเผื่อเสี่ยจิวจะตั้งวางโชว์ไว้ที่โรงงานนี่ครับ"

          "อ้าวเหรอ..." เสี่ยจิวตอบลอยๆ แบบยังจับต้นชนปลายของเรื่องราวไม่ถูก แต่ก็ยืนมองเด็กหนุ่มสองคนช่วยกันลำเลียงของลงมาจากรถจนเสร็จ

          "กบ กบ มาช่วยรูดซิปชุดก่อน"

          เสียงจอซูพูดกับคนที่มาเยือน แถมเจ้าตัวคนพูดก็เบียดกระแซะเข้าไปชิดคนที่ชื่อกบอะไรนั่นด้วย ช่วยกันรูดซิปชุด มือแทบจะพันกัน เหมือนว่าภารกิจสวมชุดให้หุ่นนี้มันหนักหนาสาหัสเหลือเกิน

          เสี่ยจิวยืนมองด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก สิ่งแรกก็คือสงสัยว่าต้นข้าวจะให้เอาหุ่นพร้อมชุดราตรีนี้มาที่บ้านเขาทำไม และที่สงสัยขึ้นมาแบบปัจจุบันทันด่วนตอนนี้ก็คือ...ไอ้เจ้าจอซูลูกน้องเขา ทำไมถึงมีพฤติกรรมแปลกๆ ที่เปลี่ยนไปอย่างนี้ ทั้งการใกล้ชิดกับชายหนุ่มแปลกหน้าอีกคน การถึงเนื้อถึงตัว ไหนจะดวงตาที่ฉ่ำหวานเวลามองซึ่งกันและกันอีก ตั้งแต่เป็นเจ้านายลูกน้องกันมา เขาไม่เคยเห็นสิ่งนี้ในตัวเจ้าจอซูเลย

          .................

          เสี่ยหนุ่มหน้าตี๋เจ้าของโรงงาน อดทนมองนิ่งๆ จนทุกอย่างเสร็จหมด หุ่นพร้อมชุดราตรีสีแดงที่ตรงปลายกระโปรงประดับพราวเป็นรูปผีเสื้อด้วยวัสดุยาง PVC จากหน้ารองเท้าแตะของเขา ตั้งตระหง่านอยู่กลางห้องโถงโรงงาน โชว์ความวิจิตรของชุด โชว์ฝีมือของคนที่ออกแบบมัน และเหมือนจะโชว์ความเย่อหยิ่งด้วยว่าชุดนี้ถูกสวมใส่แล้วบนเวทีระดับประเทศด้วยนางแบบเบอร์ ๑ ของโลกแฟชั่น

          แม้กระทั่งลำไย ลูกน้องเขาที่กำลังท้องได้สองเดือนก็เดินออกมาดูพร้อมกับมินเดืองห์สามี ยังอ้าปากค้างในความงามของชุดราตรีชุดนี้

          แต่แน่นอนในความจริงที่ว่า หุ่นกับชุดสีแดงชุดนี้ มันไม่ได้เข้ากันกับการตกแต่งในโรงงานนี้แม้แต่น้อย

          เสี่ยจิวยืนมองจนเสร็จ จนเห็นเจ้าจอซูประคองขวดเป็ปซี่เย็นๆ มาส่งแทบจะถึงปากเจ้ากบอะไรนั่นอยู่แล้ว เขาเกิดความคิดขึ้นมาตะหงิดๆ ว่าสองคนนี่มันชักจะยังไงๆ อยู่ มันดูเกินเพื่อนหรือคนร่วมงานกันไปหน่อย

          .................

          หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้น เจ้าจอซูป้อนน้ำป้อนท่า รวมทั้งแทบจะซับเหงื่อบนใบหน้าให้อีกฝ่ายจนเสร็จ เด็กหนุ่มสองคนก็มานั่งทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมตรงหน้าเสี่ยจิว

          กบแนะนำตัวเองกับเสี่ยว่าเขาเป็นลูกน้องของคุณข้าว รวมทั้งมีศักดิ์เป็นญาติด้วย และที่เอาหุ่นกับชุดมาในวันนี้ เป็นคำสั่งของคุณข้าวให้เอามาเก็บไว้ที่นี่ เพราะโกดังเก็บของที่คุณข้าวเช่าเอาไว้แถวรังสิตเริ่มจะเต็มแล้ว รวมทั้งกลัวน้ำจะท่วมด้วย เดี๋ยวชุดจะแช่น้ำเสียหายซะเปล่าๆ

          "อ้อ งั้นรึ" เสี่ยจิวมีสีหน้าคลายสงสัยลงบ้าง แถมแอบจะมีสีเลือดฝาดเรื่อๆ ขึ้นบนหน้าอีกด้วย ในเวลานี้ใครพูดถึงต้นข้าว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม เขาอยากฟังหมด อยากได้ยิน อยากรับรู้ไปทุกสิ่ง

          "ทำไมคุณข้าวของเอ็ง ต้องไปเช่าโกดังแถวรังสิตล่ะ ที่บ้านตรงแจ้งวัฒนะเก็บของไม่พอหรือ"

          เขาถามไป เพราะเมื่อคืนตอนไปส่งต้นข้าวที่บ้าน เขาก็เห็นว่ามีเนื้อที่บ้านพอสมควร น่าจะเกือบสองร้อยตารางวาขึ้นไป

          "เห็นคุณข้าวบอกว่า ของบางอย่างมันนานๆ จะเอาออกมาใช้ในงานอีเว้นท์ซ้ำอีกสักครั้ง เก็บที่บ้านมันรก กลัวปลวกจะขึ้นด้วยฮะ เลยต้องแบ่งไปเก็บในโกดังที่เช่าไว้" คราวนี้คนตอบคือเจ้าจอซู!!!

          เสี่ยจิวทำตาโตเท่าไข่ห่านทั้งๆ ที่หน้าตี๋ตาชั้นเดียวนี่ล่ะ

          "เดี๋ยวนะ ไอ้จอซู! แล้วเอ็งไปเกี่ยวอะไรกับบ้านเขา เอ็งรู้จักสนิทสนมกับคุณข้าวมาก่อนหรือไง"

          จอซูทำหน้าเหมือนว่าพลาดไปแล้ว

          พอดีกับมีเสียงรถอีกคันแล่นเข้ามาจอดหน้าโรงงาน ทั้งหมดจึงหยุดความสนใจในเรื่องที่คุยไว้ก่อนเพื่อหันไปดูรถที่เข้ามาใหม่ เสียงจอซูถอนหายใจออกมาดังเฮือก...

          .................

          รถอัลฟ่าโรมิโอคันหนึ่งแล่นอย่างชำนาญเข้ามาในลานหน้าโรงงาน มันไม่ได้จอดขวางหน้าประตูเหมือนรถปิคอัพที่เจ้ากบขับมา แต่มันเลี้ยวเข้าไปจอดข้างๆ รถวอลโว่สีแดงของเสี่ยจิวในช่องจอดที่มีหลังคาคลุม แล้วคนขับก็เปิดประตูลงมาจากรถ

          "ต้นข้าว"

          เสี่ยจิวร้องเรียกออกไปอย่างเต็มเสียง ขณะที่เดินออกมาดูหน้าประตูโรงงาน นี่ถ้าไม่ติดว่ามีเจ้าลูกน้องสองคนที่กำลังทำตาสอดรู้สอดเห็นอยู่ด้วย เขาคงโผเข้าไปกอดต้นข้าวกลางลานจอดรถแล้ว

          "ไปไงมาไงนี่ มาถึงนี่ แล้วมาบ้านจิวถูกได้ไง จะมาทำไมไม่บอกก่อน" จิวละล่ำละลักถาม พอเดินถึงตัวได้ก็จับมือต้นข้าวทั้งสองมือขึ้นมากุมด้วยความดีใจ

          "มาดูว่าเจ้ากบเอาชุดสีแดงนั่นมาส่งเรียบร้อยไหม เดี๋ยวๆ เอาทีละคำถาม ตอบไม่ทัน" ต้นข้าวหัวเราะร่วน มีสีหน้ามีความสุขเช่นเดียวกัน

          แววตาจิวที่มองต้นข้าว มีแววสุกใสเหมือนแววตาเด็กๆ ที่ได้ของชิ้นโปรดซึ่งหายไปนานแสนนาน แล้วจู่ๆ ก็หาเจอมัน

          ..............

          หลังจากจิวพาต้นข้าวเข้าไปนั่งในห้องทำงานแล้ว น้ำท่าชากาแฟขนมนมเนยผลไม้สำหรับต้อนรับแขกที่มีทั้งหมดในบ้าน ก็ถูกยกมาตั้งไว้บนโต๊ะชุดใหญ่จำนวนมากเหมือนจะมีการทำบุญเลี้ยงเพลพระในวัดหลวง โดยการเสริฟจากขบวนลูกน้องของทั้งสองฝ่าย อันประกอบด้วย เจ้าจอซู เจ้ากบ เจ้ามินเดืองห์ และสาวลำไย

          ชะรอยว่าป่านนี้ข่าวความสัมพันธ์ระหว่างคุณข้าวกับเสี่ยจิวคงแพร่ออกไปหมดแล้วทั้งโรงงานจากปากเจ้ากบ!! ของว่างมื้อนี้เลยถูกจัดเต็มจากลูกน้องทั้งสองฝ่าย

          "ใครจะไปกินหมด" ต้นข้าวทำเสียงอ่อยๆ ตาก็มองไปยังของกินสารพัดสิ่งบนโต๊ะ

          "เอาน่า เด็กๆ มันจัดมาให้สำหรับคนพิเศษ" จิวพูดแล้วหัวเราะในลำคอหึหึ

          "ว่าแต่ต้นข้าวมาบ้านจิวถูกได้ไงนี่" จิวเริ่มต้นถามอีกครั้ง ทำตากรุ้มกริ่ม เมื่อเห็นต้นข้าวนั่งอย่างสบายอารมณ์ พร้อมเริ่มจิบกาแฟและขนมบนโต๊ะไปบ้างแล้ว

          "ก็เคยมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่งไง" ต้นข้าวทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ก้มลงทำท่าเป่าแก้วกาแฟที่มีควันหอมลอยกรุ่นเพื่อให้มันคลายความร้อน

          "ต้นข้าวเคยมาบ้านใหม่จิวที่นี่อะนะ เมื่อไรกัน?" จิวเลิกคิ้วถาม มีสีหน้าแปลกใจ

          ต้นข้าววางแก้วกาแฟที่จิบแล้วบนโต๊ะ แล้วเริ่มต้นเล่าถึงการตามหาจิวมาตลอดเวลาในช่วงหลังๆ นี่ เล่าถึงเรื่องของกบและจอซูที่มาเป็นแฟนกัน โยงมาถึงโรงงานรองเท้าของจิว และเรื่องที่ต้นข้าวมานั่งซุ่มแอบดูอยู่ในรถครั้งหนึ่งตอนที่ให้อัญชุลีมาแกล้งตีราคาของเก่าในโรงงานนี้ จนไปถึงการช่วยเหลือของราชาในงาน OTOP เมื่อคืนที่ผ่านมา

          ตลอดเวลา จิวนั่งฟังต้นข้าวเล่าด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปตามเนื้อเรื่องนั้นๆ เขาทำหน้าประหลาดใจในเรื่องของกบกับจอซู และเขาหัวเราะขำออกมาเมื่อรู้ว่าต้นข้าวคือไอ้โม่งที่เอาผ้าขาวม้าคลุมหัวนั่งอยู่ในรถ

          "แสบจริงๆ นะเรา" จิวครางออกมาเมื่อฟังจบ

          "อะไร ใครแสบ หือ" ต้นข้าวยักคิ้วเหมือนแกล้งจะหาเรื่อง

          "เปล่า!!" จิวขึ้นเสียงสูงบ้าง

          "ทำไมจิวไม่ได้ทำแบบต้นข้าวนี้นะ ทั้งๆ ที่จิวควรเป็นฝ่ายที่ตามหาต้นข้าวมากกว่า" เสียงประโยคหลังของจิวเริ่มอ่อนโยนขึ้น

          "ไม่เห็นเป็นไรเลย ต้นข้าวก็รู้ว่า...เอ่อ...จิวยังคิดถึงต้นข้าวตลอดเวลา" ต้นข้าวแย้งขึ้น

          "ใครบอก!! รู้ได้ยังไง" จิวแกล้งทำเสียงเข้ม แบบชวนหาเรื่องบ้าง

          ต้นข้าวหัวเราะร่วนนำมาก่อน

          "ก็ใครล่ะ เอาชื่อต้นข้าวไปเป็นชื่ออีเมล์ ใช้อยู่ตั้งนานสองนาน MiSsYoU_TonKao@thaimail.com น่ะ" แล้วต้นข้าวก็ระเบิดหัวเราะออกมาอีกที

          คราวนี้จิวเป็นฝ่ายหน้าจ๋อยบ้าง แล้วก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย

          "ข้อนี้ไม่มีอะไรจะแก้ตัว ก็มันจริงนี่ คิดถึงจริงๆ" ท้ายเสียงเริ่มอ่อยๆ ผสมอ้อนๆ

          ต้นข้าวมองหน้าจิวเหมือนจะบอกว่าเป็นผู้ชนะ เขาจิบกาแฟร้อนไปอึกหนึ่ง แล้วหยิบขนมปังกรอบชิ้นเล็กขึ้นมาเคี้ยวกร้วมๆ เหมือนเยาะเย้ย ไรหนวดเขียวๆ บนโครงหน้าได้รูปขยับไปมาตามปาก ส่วนจิวก็จ้องกลับด้วยความหมั่นไส้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

          ที่ทำอะไรไม่ได้ไม่ใช่เพราะแพ้ แต่เป็นเพราะคนที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ มันคือคนที่เขารอคอย เขาถวิลหามาตลอดสิบปี ชายหนุ่มหน้าตี๋ไม่เคยมองใครอีกเลยหลังจากแยกจากกันกับต้นข้าว เพียงแต่เขาไม่มีช่องทางและโอกาสแบบต้นข้าวที่จะบังเอิญค้นพบกันจนเจอแบบนี้

          ชายหนุ่มคนที่เคี้ยวขนมปังกรอบอยู่ตรงหน้า ถึงจะเติบโตเป็นหนุ่มใหญ่แล้ว มีบริษัทเป็นของตัวเอง มีลูกน้อง แต่แววตาซุกซนที่อำเขาเล่นเมื่อสักครู่ รวมกับโครงหน้าตาที่ยังฉายแววหล่อคมสันดุจดังใบหน้าของรูปปั้นเทวดาเหมือนสมัยตอนวัยรุ่น ทำให้รู้ว่า ไม่ว่าช่วงวัยจะผ่านไปขนาดไหน แต่สิ่งหนึ่งที่มีเหมือนกันหมด คือคนที่มี 'ความรัก' มักจะดูหน้าตาดีและอ่อนเยาว์ขึ้นเสมอ และจิวก็เชื่อว่าต้นข้าวยังมีความรักที่ให้กับจิวนั้นอยู่แน่ๆ

          ................

          จิวเอื้อมมือไปรินกาแฟจากกาน้ำร้อนที่ชงกาแฟเติมให้ต้นข้าว แต่เพราะโต๊ะทำงานมันมีขนาดกว้างทำให้เขารินไม่ถนัด เสี่ยหนุ่มตี๋จึงลุกขึ้นเดินอ้อมไปฝั่งที่ต้นข้าวนั่ง แล้วยืนรินกาแฟให้ตรงนั้น พอรินเสร็จก็ถือโอกาสลากเก้าอี้ที่วางอยู่ใกล้ๆ เข้ามานั่งติดกันกับต้นข้าวด้วยเลย

          "ต้นข้าว" จิวเรียกทั้งๆ ที่อยู่ใกล้ๆ กันนั่นแหล่ะ นั่งใกล้กันจนแก้มและใบหูแทบจะแนบกันอยู่แล้ว

          "หืม" ต้นข้าวขานเสียงรับ หันมามองหน้าจิว ปลายจมูกทั้งสองห่างกันคืบเดียว กลิ่นกาแฟร้อนหอมกรุ่นควันลอยเป็นสายสีขาวจางๆ ระหว่างใบหน้าทั้งสอง

          "ตกลงเรากลับมาเป็นแบบเดิมได้ใช่ไหม" จิวถามเสียงนุ่ม เอามือกุมมือของต้นข้าวข้างที่ไม่ได้ถือถ้วยกาแฟ

          ถ้าลูกน้องจิวในโรงงานมาได้ยินน้ำเสียงนี้คงหัวเราะขำ เพราะไม่เคยมีภาคหวานๆ แบบนี้จากเสี่ยจิวมาตลอดสิบปีเต็ม

          "แบบเดิมน่ะ แบบไหนหรือจิว" ต้นข้าวแกล้งทำเป็นถามไปอย่างนั้น จริงๆ ก็รู้ทั้งรู้อยู่เต็มอก

          "อ้าว" เสี่ยหนุ่มยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ

          มีเสียงหัวเราะมาจากต้นข้าวเบาๆ พร้อมกับเจ้าตัวหันไปมองรอบๆ ห้องทำงานจิว และพูดเปลี่ยนเรื่อง

          "โรงงานจิวนี่ก็กว้างขวางดีเนอะ"

          "อื่อ" จิวขานรับ แทบจะปรับสมองตามไม่ทันกับหัวข้อเรื่องพูดคุยที่เปลี่ยนไวแบบปุบปับ

          "ที่ดินตรงนี้กี่ไร่นี่" ต้นข้าวยังชวนพูดคุยไปเรื่อยๆ

          "๔ ไร่กว่าๆ รวมอาคารโรงงานกับเรือนพักพนักงานด้านหลังอีก นอกนั้นก็ยังเป็นที่ดินโล่งๆ น่ะ" จิวพูดมาถึงตรงนี้ ก็รู้สึกสมองแล่นตามมาแล้ว แถมยังคิดอะไรออกเพิ่มต่อมาอีก จึงถามต้นข้าวว่า

          "เห็นกบ ลูกน้องของต้นข้าวบอกว่า ต้นข้าวไปเช่าโกดังเก็บของเก็บฉากที่ใช้ในงานอีเว้นท์ไว้ที่แถวรังสิตหรือ"

          "ใช่" อีกฝ่ายตอบ "แต่มันก็กำลังจะเต็มแล้วล่ะ ยังไม่มีเวลาเข้าไปเคลียร์พวกฉากเก่าๆ หรือของที่ไม่ได้ใช้ เอาไปโล๊ะทิ้งเลย"

          ตอนนี้สมองของจิว แล่นเต็มถึงขีดสุด

          "จิวเสนออะไรให้อย่างหนึ่งไหม"

          ชายหนุ่มเจ้าของบริษัทอีเว้นท์หันหน้าไปมองจิว เลิกคิ้วเข้มขึ้นข้างหนึ่งประกอบคำถาม "เสนออะไรเหรอ"

          "ต้นข้าวเดินตามจิวออกมาข้างนอกนี่หน่อยสิ"

          เสี่ยหนุ่มพูดพลางลุกขึ้นยืน และพอเห็นต้นข้าวลุกขึ้นบ้างและหันหลังกำลังจะเดิน จิวกลับเดินอ้อมไปที่ลิ้นชักโต๊ะทำงานของเขา ดึงเปิดมันออกแล้วหยิบอะไรบางอย่างออกมาใส่ในกระเป๋ากางเกงไว้

          ..................

          จิวจูงมือต้นข้าวเดินออกจากห้องทำงาน ผ่านห้องโถงกลางที่มีหุ่นโชว์ชุดแดงตั้งอยู่ และลูกน้องของทั้งฝ่ายยังนั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่ใกล้ๆ หุ่นนั้น พอเจ้านายสองคนจูงมือกันผ่านไป ก็มีรอยยิ้มเกิดขึ้นบนใบหน้าของทุกคน โดยเฉพาะลำไย ถึงกับหน้าแดงซ่าน พร้อมอุทานขึ้นมาเบาๆ "คู่นี้น่ารักจัง"

          สองหนุ่มจูงมือกันเดินออกมาทางด้านหลังโรงงาน มันเป็นที่ดินโล่งๆ ที่ยังไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดๆ มีหญ้าขึ้นสูงบ้างต่ำบ้าง ตามแต่ว่าคนงานจะว่างไปตัดถางแค่ไหน ไกลออกไปมีต้นลั่นทมใหญ่ที่ดูเก่าแก่และมีอายุปลูกอยู่สามต้น ดูจากขนาดของลำต้นแล้วมันน่าจะเก่าแก่กว่าตัวโรงงาน คงจะอยู่ติดที่ดินมาก่อนที่จิวจะปลูกบ้านแล้ว แข่งกันออกดอกสีขาวเป็นกระจุกๆ ที่ปลายช่อ และมีที่ร่วงขาวพราวเต็มพื้นอีกเป็นจำนวนมาก ลมอ่อนๆ พัดมา มันอบอวลไปด้วยกลิ่นของดอกลั่นทมฟุ้งไปหมดทั่วบริเวณ

          ต้นข้าวมองแล้วอมยิ้ม แววตามีแววรื่นรมณ์ มือยังจับจูงอยู่กับมือจิว มันแกว่งไปมาน้อยๆ เหมือนเข้ากับจังหวะแรงลมที่โชยอยู่ในตอนนี้

          "ที่ดินสวยไหม" จิวถามต้นข้าวเบาๆ

          "สวยสิ ดีจังที่จิวซื้อที่ไว้เยอะ นี่ปลูกบ้านเพิ่มได้อีกสองสามหลังเลยนะ" ต้นข้าวตอบ แต่สายตายังมองไปรอบๆ

          "ก็ใช่ไง จิวจะสร้างให้ต้นข้าว"

          ต้นข้าวหันขวับมามองหน้าจิวทันที "หะ...สร้างอะไรหรือ"

          "จิวจะสร้างโกดังเก็บของให้ต้นข้าวที่นี่เอาไหม จะได้ไม่ต้องไปเช่าเขาให้เสียเงิน จิวจะทำให้ใหญ่พอแบบไม่มีวันเต็มได้ด้วยนะ แถมยังสามารถสร้างออฟฟิตใหม่ให้ต้นข้าวได้ด้วยที่นี่ ต้นข้าวมาอยู่ด้วยกันกับจิวนะ"

          จิวมองหน้าต้นข้าวอย่างจริงจัง เมื่อเห็นต้นข้าวเงียบอึ้งไป

          เสี่ยหนุ่มปล่อยมือต้นข้าวอย่างเบามือ หันหน้ามาเผชิญกับต้นข้าว แล้วค่อยๆ นั่งคุกเข่าลงต่อหน้าต้นข้าว มือล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงหยิบสิ่งหนึ่งขึ้นมา แล้วยื่นมันขึ้นไปให้ต้นข้าว

          มันคือแหวนทองวงหนึ่ง ความหนาพอประมาณ รูปทรงเป็นแบบแหวนผู้ชายโบราณ มีรอยเกะสลักนูนขึ้นมาเป็นตัวอักษรภาษาจีน

          "จิวรักต้นข้าวนะ" ชายหนุ่มผู้พูดเงยหน้าจ้องเข้าไปในดวงตาของชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่

          "เรามาสร้างชีวิตวันข้างหน้าด้วยกันที่นี่นะต้นข้าว"

          ต้นข้าวยืนอึ้ง มีแววใสๆ รื้นๆ ที่ขอบตา มีความรู้สึกหลายหลายปนกันจนบอกไม่ถูก ทั้งเรื่องจิวชวนมาอยู่ด้วยกันที่บ้าน ทั้งเรื่องจิวบอกรักแบบชัดถ้อยชัดคำแบบจู่โจมไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ แน่นอนว่ามันไม่ใช่การบอกรักแบบวัยรุ่นที่เป็นรักฉาบฉวย แต่มันดูจริงจังหนักแน่นแบบคนที่โตเต็มที่แล้วทั้งวัยวุฒิและหัวใจ

          และที่ประหลาดใจและทำตัวไม่ถูกที่สุด ก็คือการถูกขอความรักโดยยื่นแหวนแต่งงานแบบฝรั่งอย่างนี้ เพราะคนไทยยังไม่คุ้นชิน แต่ทว่า ณ ปี พ.ศ. ๒๕๔๔ ต้นปีนี้เอง ประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นประเทศแรกของโลกที่ประกาศให้คนเพศเดียวกัน สมรสกันโดยชอบด้วยกฎหมายได้แล้ว

          ต้นข้าวดึงมือจิวให้ลุกขึ้นมายืน แล้วโถมตัวเข้าไปกอดจิว รอยยิ้มกับน้ำตามันมาพร้อมกัน พร้อมกับกระซิบแผ่วที่ข้างหูว่า

          "ต้นข้าวก็รักจิว"

          ...............

          จิวค่อยๆ สวมแหวนทองวงนั้นไปที่นิ้วนางซ้ายของต้นข้าว มันพอดีกับนิ้วอย่างประหลาด ต้นข้าวมองด้วยแววตาที่ตื้นตัน

          "แหวนเก่าแก่ของป๊าจิวเอง แกใส่ติดนิ้วมานานแล้ว แกรักมากเลยนะแหวนวงนี้ นี่จิวส่งต่อความรักให้ต้นข้าวนะ"

          ต้นข้าวยกมือที่สวมแหวนขึ้นมาดูใกล้ๆ "มันแกะสลักอักษรจีนไว้ มันแปลว่าอะไรน่ะจิว"

          "มันคือคำว่า 爱胜过一切 อ่านว่า อ้าย เซิ่งกั้ว อี๋เชี่ย แปลว่า ความรักชนะทุกสิ่ง"

          "ความรักชนะทุกสิ่ง" ต้นข้าวทวนคำแปลเบาๆ

          "ใช่ ต่อจากนี้ไป ถ้าจิวมีต้นข้าว และต้นข้าวก็มีจิว เราก็ไม่ต้องกลัววันข้างหน้านะ เราจะช่วยกันสองคนสร้างอนาคต ให้ความรักชนะทุกสิ่ง" จิวพูดยิ้มๆ ยกมือต้นข้าวข้างนั้นขึ้นมาจูบเบาๆ ที่แหวน

          ต้นข้าวมองจิวอย่างอ่อนโยน "จิว...เรื่องโกดังเก็บของน่ะ ต้นข้าวก็เห็นดีด้วยนะ แต่เรื่องย้ายออฟฟิตมาเลยนี่ ต้นข้าวขอไปทบทวนอีกทีก่อนนะ มันเรื่องใหญ่เกินไปน่ะ"

          "นานแค่ไหน จิวก็จะรอทำให้ต้นข้าวได้เสมอ แค่ต้นข้าวตอบรักจิว จิวก็มีความสุขแล้ว" จิวยิ้มให้จนตายิบหยี

          "คืนนี้ต้นข้าวค้างกับจิวที่นี่คืนนึงนะ"

          จิวพูดอ้อนๆ กำมือต้นข้าวแน่นเหมือนบังคับในคำตอบ

          --------------------

          สี่ทุ่มคืนนั้นต้นข้าวอาบน้ำเสร็จ ใส่กางเกงขาสั้นตัวเดียวมานั่งเช็ดผมที่พึ่งสระอยู่บนขอบเตียงของจิว ตอนนั้นจิวกำลังเข้าไปอาบน้ำต่อ ไฟในห้องเปิดสลัวๆ มีแค่ไฟสีเหลืองนวลแรงเทียนน้อยที่หัวเตียง กับไฟในห้องน้ำที่จิวเข้าไปอาบแบบแง้มปิดประตูเพียงแค่ครึ่งเดียว แสงจึงลอดออกมาในห้องพอรำไร เห็นรูปร่างที่ค่อนข้างจะผอมบางแต่มีมัดกล้ามสมส่วนของต้นข้าวเป็นเงาร่องของกล้ามเนื้อตามแสงไฟ แอร์คอนดิชั่นที่เปิด เงียบสนิทและเย็นเฉียบ

          ต้นข้าวเหลือบไปมองที่หัวเตียง เตียงนอนของจิวเป็นแบบโบราณคือเป็นเตียงใหญ่ หนา ประกอบไม้สักแท้ทาสีเข้มทั้งหลัง เวลาขยับตัวจะมีเสียงไม้เอี๊ยดอ๊าด น่าจะตกทอดมาตั้งแต่รุ่นป๊าจิว มีเสาแกะสลักสี่เสารอบเตียงเหมือนเป็นที่แขวนมุ้ง แต่ในยุคปัจจุบันที่มีแอร์คอนดิชั่นแล้ว มุ้งจึงไม่มีจำเป็นอีกต่อไป

          ข้างหัวเตียง เป็นโต๊ะไม้เตี้ยๆ สำหรับวางของก่อนนอน แต่เป็นโต๊ะที่ไม่ได้เข้ากันกับรูปแบบของเตียงเลย เพราะมันแค่ทำมาจากไม้ประกอบบางๆ หน้าโต๊ะน่าจะทำมาจากไม้อัดด้วยซ้ำ แลดูเหมือนวางอะไรหนักๆ น่าจะหักพังลงไปทีเดียว เพียงแต่ทาสีเข้มเหมือนสีเตียงและวางแนบชิดติดกับเตียง เลยพอกลมกลืนกันไปได้ ชายหนุ่มคิดว่าจิวคงทำเองเอามาไว้วางของชั่วคราว

          ส่วนของที่วางบนโต๊ะ มีแค่สองสิ่ง อย่างแรกคือโคมไฟที่เปิดเพียงดวงเดียวในห้องตอนนี้ เป็นโคมไฟโลหะรูปทรงแบบเก่าที่หนาและหนัก วางอยู่มุมในสุดของโต๊ะ และของอย่างที่สองกลางโต๊ะ คือกระปุกออมสินรูปหมูสีแดงที่ทำมาจากกระดาษ ซึ่งต้นข้าวได้ให้จิวไว้เมื่อ ๑๗ ปีก่อน!! จิวยังเก็บรักษาไว้อย่างดี ถึงจะมีร่องรอยของกาลเวลาบ้างจากการที่เจ้าของได้จับถือมาตลอด ไม่ใช่ใหม่แบบเก็บงำซ่อนในห่อหรือในตู้

          ต้นข้าวลองหยิบมันขึ้นมาดู มันเบาหวิวน้ำหนักเท่ากับตอนที่ได้มันมา แสดงว่าจิวไม่ได้ใช้มันสำหรับหยอดเศษเหรียญเหมือนวัตถุประสงค์ของตัวมันคือเป็นกระปุกออมสินเลย แต่คงไว้ใช้ดู ใช้มอง และจับมันเล่นเพื่อการระลึกถึงมากกว่า

          จิวออกมาจากห้องน้ำพอดี แสงส่องจากห้องน้ำทางด้านหลังทำให้เห็นจิวเป็นเงาดำอยู่หน้าแสงไฟ รูปร่างที่สูงโปร่งสมส่วนของจิว กำลังยืนใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดหัวที่พึ่งสระ หนุ่มตี๋สะบัดหัวไปมา ไม่มีผ้าขนหนูพันตัวที่ช่วงล่าง ไม่มีแม้แต่กางเกงขาสั้น ไม่มีกางเกงใน หรือสิ่งปกปิดใดๆ และจิวกำลังก้าวเดินเปล่าเปลือยมาที่เตียง มาหยุดยืนตรงหน้าต้นข้าวแล้ว

          ...................

          ถ้ากระปุกหมูออมสินสีแดงที่หัวเตียงมันมีความรู้สึกได้...ขณะนี้ มันได้ยินเสียงกระซิบกระซาบแผ่วเบาของชายหนุ่มสองคนจากบนเตียงข้างๆ มันได้ยินเสียงเนื้อแนบเนื้อ ได้ยินเสียงลมหายใจที่สลับกันระหว่างความแผ่วเบา รุนแรง โหยหา

          ตอนนี้ กระปุกหมูออมสินสีแดงสัมผัสได้ถึงความสั่นสะเทือนของเตียง ที่ส่งต่อมายังโต๊ะหัวเตียงที่หมูออมสินวางอยู่ ความบอบบางของโต๊ะ ก่อให้เกิดคลื่นสะเทือนบนผิวโต๊ะ เจ้าหมูออมสินกระดาษที่แสนจะเบา เริ่มสะเทือนตามแรงจนหมุนเต้นไปมา เหมือนมันกำลังวิ่งอย่างร่าเริงเข้าไปในวันเวลาแห่งความหลัง

          มันวิ่งผ่านสถานีรถไฟหัวลำโพง วิ่งเลยยาวไปที่ทุ่งหญ้ากว้าง ไปจนถึงค่ายทหารที่กาญจนบุรี ผ่านเต้นท์สนามที่มีเด็กหนุ่มสองคนนอนกอดกันอยู่ แล้ววิ่งผ่านเลยไปจนถึงสะพานเหล็ก สะพานข้ามแม่น้ำแควที่ลือลั่น

          แรงสั่นสะเทือนจากเตียงใหญ่หยุดนิ่งไปชั่วขณะ เจ้าหมูออมสินก็หยุดนิ่งเหมือนเอียงคอฟังว่าอะไรจะเกิดขึ้น

          มันได้ยินเสียงกระซิบถ้อยคำรำพันต่อ คราวนี้เสียงมันฟังดูเหมือนเจือไปด้วยละอองน้ำมันที่ไวไฟ มันดูร้อนแรงเหมือนจะเกิดประกายไฟขึ้นมาในอีกไม่กี่วินาทีนี้ มีเสียงพลิกตัวจนเตียงส่งเสียงลั่นดังแอ๊ด! และเตียงก็เริ่มสั่นสะเทือนอีก คราวนี้มันสั่นสะเทือนมาก โต๊ะหัวเตียงก็กระเพื่อมตามไม่แพ้กัน

          หมูออมสินกระเด้งขึ้นจากพื้นโต๊ะ มันวิ่งต่อ มันผ่านมหาวิทยาลัยที่ต้นข้าวเรียน มันผ่านโรงละครที่ต้นข้าวแสดง มันผ่านร้านขายดอกกุหลาบที่เข้าช่ออย่างงดงามรอคนมาซื้อมันเพื่อไปมอบให้คนอีกคน

          แรงสะเทือนของเตียงหนักขึ้น หมูออมสินหมุนคว้างจนแทบวนรอบ แหงนหน้าเงยขึ้นมองไปบนเพดาน สูงบ้าง ต่ำบ้าง เสียงสูดปากสลับกับเสียงคราง...มันได้ยินเสียงครางเรียกของเต่าตัวหนึ่งในเขาเต่าวัดประยูร ฝั่งธนฯ เต่าตัวนั้นตัวใหญ่มาก มีรอยสีน้ำมันสีเหลืองจางๆ บนหลังมัน ซึ่งขณะนี้อ่านไม่ออกเป็นตัวอักษรแล้วด้วยกาลเวลาและขนาดที่ขยายของกระดองเต่า แต่ตรงริมๆ กระดอง มีประโยคหนึ่งที่พอจะเห็นลางๆ ว่าเป็นลายมือที่โย้เย้ อ่านได้เฉพาะคำว่า ...อยู่ด้วยกันตลอดไป...

          มีเสียงร้องสุดท้ายก่อนทุกสิ่งจะสงบนิ่ง หมูออมสินสีแดงกลับมายืนสี่ขาแน่นิ่งเหมือนอย่างที่มันเคยเป็น ในห้องนอนกลับสู่สภาพเงียบสงบ เหลือเพียงสิ่งเดียวที่พอสัมผัสได้คือละอองแห่งไอรักที่ลอยแผ่วไปรอบห้องนอนนั้น

          บัดนี้ กระปุกหมูออมสิน ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างครบบริบูรณ์แล้ว ถึงแม้มันจะไม่ได้ถูกบรรจุไว้ด้วยเศษเหรียญเพื่อการออมเงินอย่างที่มันควรจะเป็น หากแต่หมูออมสินสีแดงมันถูกสะสมไปด้วย 'ความหลัง' ที่แสนสุขของชายหนุ่มสองคน มันถูกเติมเต็มจนล้นปรี่ สมกับความตั้งใจของอดีตเด็กหนุ่มวัยรุ่นมัธยมคนหนึ่ง ที่มอบความรัก การดูแล และทำตามคำสัญญาที่เคยให้ไว้แก่เด็กหนุ่มวัยรุ่นอีกคนหนึ่งเรียบร้อยแล้ว


--------------------


-- จบภาควัยทำงาน --


โปรดติดตามภาคสุดท้าย เร็วๆ นี้

หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๗ : 爱胜过一切 ความรักชนะทุกสิ่ง || ๑๕ || ๑๗/๑๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 17-11-2017 19:03:58
 :L2: :L1: :pig4:

ดีใจ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๗ : 爱胜过一切 ความรักชนะทุกสิ่ง || ๑๕ || ๑๗/๑๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 17-11-2017 19:25:08
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๗ : 爱胜过一切 ความรักชนะทุกสิ่ง || ๑๕ || ๑๗/๑๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-11-2017 19:53:30
ไม่รู้จะพูดจะเขียนอะไรเลยอะ มันดีมากๆ
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๗ : 爱胜过一切 ความรักชนะทุกสิ่ง || ๑๕ || ๑๗/๑๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 17-11-2017 20:16:43
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๗ : 爱胜过一切 ความรักชนะทุกสิ่ง || ๑๕ || ๑๗/๑๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 17-11-2017 20:23:44
อู้ววววว........จบแล้ว  :mew1: :mew1: :mew1:

จิว ต้นข้าว  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๗ : 爱胜过一切 ความรักชนะทุกสิ่ง || ๑๕ || ๑๗/๑๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 17-11-2017 22:46:06
โอ้ะ มาราธอนจริงๆเรื่องนี้ เราก้อติดตามกันมาข้ามปี รอต่อภาค4

จิวและต้นข้าว...... และ MBK

ติดตามภาคต่อไป ขอให้สุขสมหวังน้าาาา

 :katai5:  :katai5:   :katai5:   :katai5:  :katai5:  :katai5:

..
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๗ : 爱胜过一切 ความรักชนะทุกสิ่ง || ๑๕ || ๑๗/๑๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 17-11-2017 23:13:14
 :mc4: o13 :mc4:

 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: MBK❤lover || ตอนที่ ๔๗ : ความรักชนะทุกสิ่ง || ๑๕ || ๑๗/๑๑/๖๐
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 18-11-2017 23:01:33
แหม่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ พอคืนดีกันได้ก็จัดเต็มเลยนะสองคนนี้
เข้าใจนะ จิวรอต้นข้าวมาตั้งสิบปี...เห็นใจเสี่ยตี๋ก็ได้ ฮาาาาาาา

ภาคต่อไปเป็นภาคอะไรอ่ะ
จะดราม่ากันอีกไหม

คงจะไม่มีหรอกเน๊าะ
อิอิ