Do not let the death loves you
#อย่าปล่อยให้ความตายหลงรักคุณ ✴
1
สีแดง...คือนิยามของท้องฟ้าในยามนี้ ตะวันใกล้จะลาลับขอบฟ้า ซ่อนตัวอยู่ในหมู่เมฆ รวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายฉายแสงส่องลงมายังพื้นดินก่อนจะหมดหน้าที่ของมัน
ร่างเล็กร่างหนึ่งนั่งอยู่บนยอดตึกสูง ชายผ้าคลุมสีดำสนิทปลิวไสวไปกับสายลมแรง ห้อยขาลงอย่างไม่เกรงกลัวต่อแรงโน้มถ่วงโลก ที่นั่งแสนหมิ่นเหม่ที่หากเขาขยับพลาดแม้นสักนิด ทั้งร่างเขาคงร่วงลงมากระแทกกับพื้นถนนแหลกเละจนสิ้นลมหายใจเป็นแน่
แน่นอนเขาไม่กลัวเลยสักนิดว่าจะตกตาย
หาใช่เพราะมั่นใจว่าตนจะไม่ตกลงไป แต่เพราะตกลงไปก็ไม่มีทางตายได้ต่างหาก
ยมทูตชุดดำเช่นเขาไม่สามารถตายซ้ำสองได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงเลือกที่จะนั่งชมวิวยามพลบค่ำบนยอดตึกที่สูงที่สุดของเมือง ราวกับเป็นที่นั่งชั้นพรีเมี่ยม
จวบจนแสงสีแดงใกล้จะจากไป เขาทิ้งตัวลงจากตึกไม่ต่างจากทิ้งตัวลงบนฟูกหนานุ่ม แหวกอากาศดิ่งลงสู่ผืนดิน
ได้เวลาทำงานแล้ว
2
ผู้ส่งวิญญาณ คือชื่อเรียกในโลกของเขา โลกวิญญาณ...เขามีหน้าที่รับส่งวิญญาณที่สูญสิ้นร่างเนื้อจากโลกมนุษย์ ไปสู่โลกอีกโลกหนึ่งที่ซึ่งเรียกว่าโลกวิญญาณ หรือบางคนจะรู้จักกันในชื่อโลกหลังความตาย
ผู้ส่งวิญญาณเอง ก็ไม่ต่างจากยมทูต ตามชื่อเรียกของพวกมนุษย์
เด็กหนุ่มผมดำสนิทพร้อมกับเสื้อคลุมดำตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ลักษณะสำคัญที่บ่งบอกว่าเขาคือผู้ที่ทำหน้าที่ตรงนี้ นำพาวิญญาณต่อวิญญาณมาสู่โลกที่ต้อนรับเพียงแค่ดวงจิต เพียงแต่เขาจะทำหน้าที่นี้ได้ก็ต่อเมื่อเวลายังโลกมนุษย์เป็นช่วงพลบค่ำ มีแค่ช่วงเวลานี้ที่ประตูของโลกมนุษย์ที่เชื่อมต่อกับโลกวิญญาณจะเปิดออก
คงเป็นสาเหตุที่ใครหลายคนมักเจอเรื่องลี้ลับในช่วงนี้
กฎมีอยู่ว่าหลังผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปแล้ว หากมีมนุษย์คนใดสูญเสียร่างเนื้อของตน กลายมาเป็นดวงวิญญาณในช่วงหลังพระอาทิตย์ตกดิน ก็มีแต่ต้องรอให้ถึงเย็นวันใหม่เท่านั้น ระหว่างนั้น...ก็คงต้องรอเป็นวิญญาณเร่ร่อนกันไปก่อน
ถึงอย่างนั้น ผู้ส่งวิญญาณอย่างเขาไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงช่วงเย็น ความสามารถพิเศษของอาชีพนี้คือสามารถเข้าออกระหว่างโลกมนุษย์และโลกวิญญาณได้ทุกเมื่อตามความต้องการ ทั้งนี้เป็นเพราะจ้าวนรกไม่ต้องการให้ผู้ส่งวิญญาณว่างงาน ผู้ส่งวิญญาณทุกตนสามารถเฝ้าจับตามองเหยื่อของตนได้ตามต้องการ ทุกที่ ทุกเวลา
ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าผู้ส่งวิญญาณทุกตนจะสามารถบังคับดวงวิญญาณได้ทุกดวง
วิญญาณบางตนไม่ยอมรับว่าตัวเองตาย ไม่ยอมให้ความร่วมมือเดินทางไปกับผู้ส่งวิญญาณ ทางพวกเขาก็ช่วยอะไรไม่ได้ ผู้ส่งวิญญาณไม่สามารถบังคับดวงวิญญาณได้ และแน่นอนว่ามีดวงวิญญาณหลายดวงที่ยังคงเจ้าคิดเจ้าแค้น ทั้งที่ตนตายไปแล้วแต่ยังละเรื่องทางโลกไม่ได้ ไม่ยินยอมที่จะไปยังโลกวิญญาณ คอยสิงสถิตอยู่ที่โลกมนุษย์กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน พวกนี้จะไม่ได้รับการพิพากษาให้ไปเกิดใหม่หรือไปสู่สรวงสวรรค์
สวรรค์...หรือคือที่ซึ่งไม่ต้องกลับไปเวียนว่ายตายเกิดยังโลกมนุษย์อีก
ทั้งนี้หมายเลข 41370 เป็นชื่อของเขา หมายเลขดังกล่าวเป็นการยืนยันตัวตนของเขาในโลกวิญญาณ ดูเหมือนว่าโลกวิญญาณเองก็ยังคงต้องการตัวเลขทางคณิตศาสตร์ คุณคงไม่คิดว่าผู้ส่งวิญญาณมีแค่ตนสองตนหรอกจริงไหม แน่นอนว่าพวกเขามีมากมายไม่ต่างอะไรจากพนักงานบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกมนุษย์ ก้มหน้าทำหน้าที่ของตนไปแต่ละวันๆ เพื่อชดใช้บาปกรรมที่ก่อไว้ครั้นยังมีร่างเนื้อ
ตัวเลขจำนวนเยอะขนาดนี้แน่นอนว่าพวกเขามีเยอะอย่างที่ไม่ต้องคาด จำนวนผู้ส่งวิญญาณมากมายเพียงพอที่จะรองรับวิญญาณจากโลกมนุษย์ที่เสียชีวิตวันต่อวันได้อย่างสบายๆ
และวันนี้เขาก็ทำหน้าที่ได้ยอดเยี่ยมอีกเช่นเคย เมื่อทิ้งตัวดิ่งลงมาจากยอดตึกสูง หมายเลข 41370 พลิกตัวกลางอากาศ ร่อนลงมายังพื้นดินอย่างง่ายดาย เดินตัวลอยไปยังอุบัติเหตุทางถนนที่มีซากรถยนต์และรถบรรทุกประสานงากัน คนขับรถบรรทุกและคนขับรถยนต์รวมถึงทุกคนในรถเสียชีวิตคาที่ ยืนเป็นวิญญาณล่องลอยวนเวียนอยู่รอบๆ นั้น
เขาตรงไปแนะนำตัวอย่างไม่รอช้า ก่อนพาดวงวิญญาณจำนวน 4 ดวงเดินทางไปยังโลกวิญญาณ
แล้วแสงอาทิตย์สุดท้ายของวันก็หมดลง
3
ชีวิตประจำวันผ่านไปอย่างน่าเบื่อหน่าย เขาเฝ้ามองคนตายในเขตตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า วันแล้ววันเล่า ทำหน้าที่รับส่งวิญญาณไปเรื่อยๆ ความตายเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องปกติสำหรับเขายิ่งกว่าเห็นคนธรรมดามีชีวิตเสียอีก ร่างเนื้อแหลกละเอียด กลิ่นคาวเลือด กลิ่นไหม้ของเนื้อ กลิ่นเน่าเหม็นของซากศพ ทุกความตายอย่างผ่านมือเขาหมดแล้วทั้งนั้น ไม่มีความตายรูปแบบไหนที่ทำให้เขาแปลกใจได้อีก
เพียงแต่งานครั้งนี้ค่อนข้างหนักมือ หมายเลข 41370 เกลี้ยกล่อมให้วิญญาณสาวตรงหน้าเข้าใจและยอมตามเขาไปยังโลกวิญญาณเหมือนที่เคยทำปกติ เสียแต่ครานี้ หญิงสาวกลับไม่ยอมทำตามคำกล่าวของเขา สาวสวยยืนยันว่าจะอยู่โลกมนุษย์ต่อไป หล่อนต้องการแก้แค้นชายผู้เคยเป็นที่รัก ผู้ซึ่งลงมือฆ่าตนอย่างแยบยล
แน่นอนว่าหมายเลข 41370 ไม่สามารถบังคับดวงวิญญาณได้ จึงได้แต่ต้องปล่อยมือไป อย่างไรเสียเธอก็ต้องยินยอมตามไปโลกวิญญาณกับเขา มิเช่นนั้นสักวันหนึ่ง ดวงจิตของเธอจะแหลกสลาย อย่างที่จะไม่สามารถอยู่ในโลกไหนๆ ได้อีกต่อไป
เด็กหนุ่มในชุดคลุมดำได้แต่มองร่างหญิงสาวลอยจากไปช้าๆ วันนี้เขาพลาดเก็บวิญญาณไปแล้วหนึ่งดวง...
เมื่อปีก่อน เขาก็เพิ่งพลาดวิญญาณของชายแก่คนหนึ่งไป เพียงเพราะชายชรามีห่วงกับชีวิตลูกหลาน ไม่สามารถไปสู่อีกโลกได้หากลูกหลานเขายังไม่ได้ดิบได้ดี เขาจึงจำเป็นต้องปล่อยให้ดวงจิตชราดวงนั้นเร่ร่อนอยู่บนโลกมนุษย์ไปซักระยะ ได้แต่หวังให้ลูกหลานของชายชราผู้นั้นได้เป็นไปตามใจอยากของชายแก่เสียที
วันหนึ่งผ่านไปอย่างน่าเบื่อหน่าย ผู้ส่งวิญญาณไม่มีความรู้สึก ไม่หิว ไม่ร้อน ไม่หนาว ไม่ง่วง ไม่หลับ ได้แต่ล่องลอยไปมา สอดส่องหาดวงวิญญาณที่ตนเองรับผิดชอบไปเรื่อยๆ ทำหน้าที่วนไปเช่นนี้นานนับร้อยปี เฝ้าดูยุคสมัยที่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงและอารยธรรมของมนุษย์ที่เกิดขึ้นและดับไปอย่างทำอะไรไม่ได้นอกจากรับรู้และทำหน้าที่ของตนเอง
ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก มีบ้างที่ในตอนแรกรู้สึกอิจฉา อยากลองใช้ชีวิตในอารยะธรรมใหม่ๆ นี้ดูบ้าง ยุคสมัยใหม่ที่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมายเช่นนี้ คงสามารถช่วยทำให้ชีวิตเขาตอนยังเป็นมนุษย์มีสีสันไม่น้อย
แต่แน่แท้ เขาไม่สามารถทำได้ เขาไม่สามารถสัมผัสอะไรก็ตามในโลกมนุษย์ได้
ถึงแม้จะมีตำนานกล่าวขานกันว่า...เมื่อใดที่ผู้ส่งวิญญาณสัมผัสตัวมนุษย์แล้ว มนุษย์ผู้นั้นมีอันต้องตาย...
กระนั้นเขาก็ไม่เคยทดลองตำนานที่วานั้นเลยสักครั้ง
ไม่ว่าตำนานจะเป็นจริงหรือไม่ เขาไม่ต้องการคร่าชีวิตใคร ลำพังแค่ชดใช้บาปที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็มากพอแล้ว
4
ชีวิตประจำวันแสนน่าเบื่อหน่ายของผู้ส่งวิญญาณลำดับ 41370 ผ่านไปอย่างน่าเหนื่อยหน่าย แม้นเด็กหนุ่มจะเคยท่องโลกมาจนทั่วแล้ว แต่ก็แค่นั้น เขาสามารถท่องไปยังขั้วโลกเหนือ เฝ้ารอดูปรากฏการณ์ธรรมชาติที่มีเชื่อเรียกว่าออโรร่า แน่แท้ มันสวยงามเกินจะบรรยาย ถึงอย่างนั้นความงามที่ปรากฏมันก็แค่นั้น
ในเมื่อเขาไม่สามารถนำมันไปเล่ากล่าวขานให้ใครได้ฟังได้
เหล่าวิญญาณที่เขาต้องเข้าไปพูดคุยด้วยทุกวันนั้น คงไม่มีตนไหนต้องการจะรู้ถึงความงามของออโรร่านักหรอก
นอกเหนือจากนั้น เขาท่องไปทั่วทุกมุมโลกในช่วงแรกของการเป็นผู้ส่งวิญญาณฝึกหัด ในตอนนั้นเขาบินไปทุกหนแห่งเมื่อว่างจากงาน รู้จักทุกเส้นทางถนนทั้งหมดบนโลก ทั้งหมู่บ้านลึกลับที่ไม่ปรากฏบนแผนที่ เกาะปริศนาที่ไม่มีใครรู้จัก ชนเผ่าโบราณจำนวนน้อยนิดที่ซ่อนตัวอยู่ตามซอกเขา สัตว์สายพันธุ์ประหลาดที่ไม่เคยมีใครค้นพบ พืชพันธุ์ที่ไม่มีอยู่ในตำรา สงครามที่ไม่มีที่สิ้นสุด รวมไปถึงปริศนาของการลอบสังหารผู้นำประเทศแห่งหนึ่ง
ทุกอย่างล้วนไร้ค่า เมื่อเขาไม่สามารถพูดคุยเรื่องนี้กับใครได้เลย
คุยกับวิญญาณไปแล้วได้อะไร อย่างไรเสียพวกนั้นก็ไม่ได้ต้องการจะรู้ หรือหากรู้แล้วความทรงจำตอนเป็นวิญญาณก็จักต้องหายไปอยู่ดีเมื่อต้องไปเวียนว่ายตายเกิดในร่างเนื้ออื่นๆ
ผู้ส่งวิญญาณไม่ได้มีความสามารถในการพูดคุยกัน...
แม้จะมีผู้ส่งวิญญาณมากมายนับแสนเกิดขึ้น กระนั้นพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้สื่อสารกันได้ด้วยคำพูด เสียงของผู้ส่งวิญญาณไม่สามารถส่งต่อไปยังอีกตนได้ อย่างดีที่สุดก็มีเพียงพยักหน้าทักทายกันเมื่อบังเอิญพบกันระหว่างทางเท่านั้น
ทุกสิ่งมหัศจรรย์และน่าตื่นตาของโลกกลายเป็นเรื่องไร้ค่า
กระทั่งเขาได้รู้จักกับวิญญาณสาวตนหนึ่ง
5
หล่อนตายในเขตที่เขาดูแล เป็นเหตุให้ผู้ส่งวิญญาณหมายเลข 41370 ต้องเข้ามาดูแล เสียแต่ครานี้...การตายของหล่อนมิได้เป็นการหมดอายุขัยตามธรรมชาติ
ร่างวิญญาณของหญิงสาวลอยอยู่เหนือร่างเนื้อตัวเองที่นอนจมกองเลือด ชิ้นเนื้อแหลกเละ กระดูกหักบิดเบี้ยวไปคนละทิศละทาง เครื่องในบางส่วนหลุดออกมาจากร่างกายบอบบาง เศษสมองกระจายตัวอยู่รอบๆ ศีรษะ และใบหน้าที่กระทบกับพื้นถนนเละจนแทบจำไม่ได้ว่าเคยเป็นใคร
หล่อนฆ่าตัวตาย อย่างไม่ต้องสงสัย
การตายในกรณีนี้ ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้น...
...เพราะเขาเอง...ก็ตายไม่ได้แตกต่างจากนี้เช่นกัน
6
ผู้ส่งวิญญาณทุกคนล้วนเป็นมนุษย์ที่สิ้นหวังในตัวเอง มนุษย์ผู้โง่เขลาและอ่อนแอ ที่สุดท้ายยอมคร่าชีวิตของตัวเองเพื่อความสุขเห็นแก่ตัว
คือคำจำกัดความของพวกมนุษย์ที่เข้มแข็งและชาญฉลาด...
อาจจะจริงหรืออาจจะไม่ อย่างไรเสีย สมองของมนุษย์ก็ไม่ได้มีเพียงแค่มิติเดียว คนหนึ่งมีความคิดเป็นแสนเป็นล้าน ไม่มีความคิดไหนที่กล่าวได้ว่าเป็นเลือกถูกต้อง
กระนั้นการคร่าชีวิตตัวเองเป็นเรื่องเดียวที่ทำให้เทวดาบนฟ้าต้องปวดใจ พวกเขาล้วนพยายามสรรค์สร้างร่างกายมนุษย์ขึ้นมา เพื่อให้มนุษย์ได้ใช้ชีวิตบนโลกใบเล็กๆ นั้นอย่างเต็มที่ มีความรู้สึก มีหัวใจ ไม่ต้องอยู่ไปวันๆ เหมือนคนบนฟ้าที่ไม่มีเรื่องทุกข์ใจ ไม่มีเรื่องสุขใจ ไม่ต้องกิน ไม่ต้องนอน ล่องลอยไปวันๆ อย่างไร้ความกังวล
กระนั้นไม่ได้หมายความเทวดาจะไร้ความคิด พวกเขาเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่า
...ในเมื่อพวกข้าพยายามสร้างเจ้าออกมาเสียขนาดนี้...
แล้วเหตุใดเล่าเจ้าจึงทำร้ายตัวเอง...
จากความคิดของเหล่าเทวดาจึงนำสู่การพิพากษาให้มนุษย์ทุกคนที่กระทำตนเช่นนี้รับผิดชอบโดยการเป็นผู้ส่งวิญญาณ รับใช้จ้าวนรกในการนำพาวิญญาณจากโลกมนุษย์มาสู่โลกหลังความตาย เฝ้าดูการตายของมนุษย์ไปจนกว่าจะได้รับการให้อภัย...
ใช่...เขาจบชีวิตตนเองจากการฆ่าตัวตาย
...ด้วยเหตุผลที่ว่า ทำไมคนเราถึงเลือกวันตายเองไม่ได้...
7
เขาก้าวออกมาแสดงตัวต่อหน้าดวงวิญญาณหญิงสาว หล่อนยืนมองซากศพของตัวเองท่ามกลางผู้คนที่หวีดร้องมุงอยู่รอบๆ ร่างไร้ชีวิตของเธอ แววตาสิ้นหวัง แน่นอนล่ะ...เธอคงไม่ได้เป็นสุขกับการใช้ชีวิตบนโลกมนุษย์เสียเท่าไหร่
หล่อนเห็นเขาแล้ว แต่ไม่ยักเงยมามองหน้า
เขาเอ่ยแนะนำตัวไป ก่อนบอกให้หล่อนตามตัวเองมา ตะวันใกล้ลับขอบฟ้า เขาเกรงว่าจะไม่ทันประตูปิด
ร่างวิญญาณของหญิงสาวยอมทำตามแต่โดยดี เงยหน้าเชิดมองตรง เดินตามเขาไปอย่างแน่วแน่และไม่คิดจะหันหลังกลับ
...เจ้าหล่อนถูกบันทึกว่าเป็นผู้ส่งวิญญาณในเขตหนึ่ง ที่ซึ่งห่างไกลจากเขตของเขา ห่างไกลจากบ้านเกิดหญิงสาว แน่แท้ ผู้ส่งวิญญาณไม่สามารถเลือกสถานที่ทำงานให้ตนเองได้ เมื่อได้รับการจดทะเบียนว่าเป็นวิญญาณจากการตายประเภทไหนแล้ว ก็จะถูกส่งไปตามสถานที่ที่ได้จัดไว้
จนกระทั่งชี้แจงเรื่องหน้าที่จนหมด เจ้าหล่อนก็ทำเพียงพยักหน้ารับ ก่อนเดินจากไป ตรงไปสู่จุดมุ่งหมายที่ตนเองจำต้องชดใช้
มนุษย์จะคงรูปลักษณ์ในช่วงอายุที่ตนสิ้นอายุขัยไว้ ผู้ส่งวิญญาณหมายเลข 41370 จึงปรากฏรูปลักษณ์เป็นเด็กหนุ่มวัยสิบหกปี ส่วนหญิงสาวตรงหน้าอยู่ในช่วงอายุยี่สิบสองปี
เขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอ แม้เจ้าหล่อนจะมีรูปร่างงดงามก็ตาม เขาเพียงแค่แปลกใจที่นานๆ ทีจะเจอคนตายที่มีอายุไล่เลี่ยกัน ตายด้วยวิธีเดียวกันกับที่ตนเองทำ แต่ก็ใช่ว่าต้องปฏิบัติตนให้พิเศษมากขึ้น เขาแค่ชี้แจง บอกรายละเอียด ส่งมอบหน้าที่ให้เธอ ก่อนที่เธอจะแปรเปลี่ยนไปเป็นผู้ส่งวิญญาณหมายเลข 66,463 และจะไม่สามารถสื่อสารกับเขาได้อีกต่อไป
ในระหว่างที่ผู้ร่วมงานคนใหม่เดินจากไปช้าๆ เขาก็ทำได้เพียงแค่มองเธอจากไปเท่านั้น
8
หลังจากนั้น ชีวิตประจำวันของผู้ส่งวิญญาณหมายเลข 41370 คล้ายจะกลับสู่ปกติ มันควรจะเป็นเช่นนั้น เขาควรจะทำตัวเอ้อระเหยลอยชายไปมา ล่องลอยอยู่บนปุยเมฆ เฝ้ารอเวลาพลบค่ำก่อนตรงไปหาเหล่าดวงวิญญาณที่สิ้นอายุขัยเพื่อนำทางไปสู่อีกโลก ทว่าเด็กหนุ่มกลับสะกดรอยตามชีวิตของชายคนหนึ่งอย่างผิดแปลกวิสัย
ในช่วงแรก เขาใช้ชีวิตตามปกติของผู้ส่งวิญญาณ เพียงแต่พอเวลาผ่านไป เด็กหนุ่มสังเกตเห็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ที่มายังจุดเกิดเหตุของหญิงสาวผู้คร่าชีวิตตัวเองต่อหน้าเขาคนล่าสุด มันคงจะไม่ใช่เรื่องแปลก หากชายหนุ่มดังกล่าวไม่ได้มาที่นี่ทุกวัน และมาในเวลาเดียวกันกับช่วงเกิดเหตุ
หมายเลข 41370 ที่เห็นมนุษย์มานับไม่ถ้วน ไม่เคยใส่ใจมนุษย์ตนไหนบัดนี้กลับรู้สึกสนใจชายหนุ่มคนนี้เป็นพิเศษ ชายหนุ่มผู้ซึ่งเป็นผู้ชายคนแรกที่ทำให้เขาจดจำใบหน้าได้
จากการเฝ้ามองเปลี่ยนเป็นการติดตาม
จนได้รู้มาว่า ชายหนุ่มคนนี้คือคนรักเก่าของหญิงสาวผู้คร่าชีวิตของตัวเองเมื่อครานั้น ความรักช่างหอมหวานและเจ็บปวดราวกับกลืนยาพิษทั้งเป็น
เขาทำใจกับการสูญเสียคนรักไม่ได้
ปวดใจเมื่อตนไม่สามารถช่วยเหลือหัวใจตนเองได้
หญิงสาวผู้เป็นที่รักสุดหัวใจกลับต้องตกตายร่างกายแหลกละเอียด พร้อมด้วยข้อความก่อนตายที่ไม่ได้มีส่วนไหนบ่งบอกว่ารักเขาเลยแม้นเพียงนิด
เขารู้ตัว...รู้มาเสมอว่าหล่อนไม่คิดรักตนเลย
เขาก็แค่...ช่วงชิงความเปราะบางของเจ้าหล่อนยามสูญเสียคนรักที่แท้จริงจากอุบัติเหตุ แทรกตัวเข้ามาชีวิตหล่อน ก่อนสถาปนาให้ตัวเองเป็นคนรักคนใหม่ ด้วยหวังว่าตนจะทำให้หญิงสาวกลับมาร่าเริงได้อีกครั้ง
อนิจจา ความรักกลับไม่หอมหวาน เมื่อเจ้าหล่อนไม่คิดจะรักเขาผู้ปรารถนาดีกับเธอเสมอมาเลยสักนิด
เขารู้อยู่เสมอว่าหญิงสาวไร้ความรักมอบให้เขา มีแต่คิดคะนึงถึงคนรักเก่า เพียงแต่ไม่เคยคิดว่าหล่อนจะเลือกจบชีวิตเช่นนี้ คิดจะจากเขาเพื่อไปหาคนรักเก่าเช่นนั้นหรือ
ความรักของมนุษย์นั้นช่างซับซ้อน...ผู้ส่งวิญญาณหมายเลย 41370 สรุปเป็นความคิดเช่นนั้น เมื่อสืบเสาะจนรู้ความเป็นมาของชีวิตมนุษย์ตัวเล็กๆ สองคนนี้ เขาไม่มีความรู้สึกมานานแล้ว ไม่ค่อยเข้าใจนักหรอก
เพียงแค่ สายตาที่ว่างเปล่าของชายหนุ่มผู้ซึ่งสูญเสียความรักคนนี้ช่างดึงดูดเขาเหลือเกิน
จากการทัวร์รอบโลกยามว่างเปลี่ยนเป็นมาทำตัวเป็นวิญญาณตามติดชายหนุ่มผู้สิ้นหวัง
เขาชักอยากรู้เสียแล้วว่าตำนานการสัมผัสมนุษย์ของผู้ส่งวิญญาณจะเป็นจริงไหม...
9
เมื่อเหตุการณ์ฆ่าตัวตายครั้งนั้นถูกลบเลือนไปจากกาลเวลา ชายหนุ่มยังคงมายังพื้นถนนที่ซึ่งรองรับร่างกายแหลกเละของหญิงสาวที่ตนรักทุกวัน ทั้งยังขึ้นไปยังบนดาดฟ้าที่กลับมาเปิดใหม่อีกครั้ง เขานั่งจุดเดียวกับที่หญิงสาวกระโดดลงไป ห้อยขาอยู่บนตึกสูง สูบควันบุหรี่ก่อนพ่นออกมาเป็นควันเจือจาง ลอยไปตามแรงลม
ข้างกายของชายหนุ่มมีร่างของผู้ส่งวิญญาณหมายเลข 41370 อยู่ แน่นอน เขาเป็นมนุษย์ มิอาจเห็นเด็กหนุ่มได้ ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็เลือกที่จะนั่งข้างๆ ชายหนุ่มอยู่อย่างนั้นด้วยความพึงพอใจของตนเอง
จวบจนพลบค่ำ ผู้ส่งวิญญาณต้องทำหน้าที่ของตน ผละจากชายหนุ่มผู้น่าสนใจออกไป
แต่เป็นทุกวันที่เขาจะต้องพาตัวเองมาพบกับชายหนุ่มคนนี้ ในจุดเดิม ที่ซึ่งเขาจ้องจนเบื่อ หากแต่คนข้างกายกลับไม่คิดเช่นนั้น ชายหนุ่มจ้องมองภาพวิวเดิมๆ ท้องฟ้าและอาคารตรงหน้าราวกับเป็นวิวชั้นยอด
เมื่อบุหรี่หมดมวน ก็จะหมดหน้าที่ของชายหนุ่ม เขาชันตัวลุกขึ้น เดินจากดาดฟ้าของตึกสูงออกไป ตามด้วยร่างวิญญาณชุดคลุมดำของผู้ส่งวิญญาณหมายเลข 41370 ที่ลอยอยู่ไม่ห่าง
เป็นเช่นนี้ วันแล้ววันเล่า...
10
เด็กหนุ่มกำลังเรียนรู้กับความรู้สึกที่ไม่เคยรู้จัก
เขาคิดว่าผู้ส่งวิญญาณทุกตนต้องไร้ความรู้สึก แน่นอนมันเป็นเช่นนั้นมาตลอดจนได้พบกับเขา ที่เมื่อได้พบทีไรกลับเกิดความรู้สึกคันยิบๆ ตรงกลางหน้าอกอย่างน่ารำคาญใจ
ทว่าหนีไปไหนไม่ได้ เด็กหนุ่มไม่สามารถไม่เจอหน้าชายหนุ่มได้ เขาจำต้องมาพบชายหนุ่มคนนี้ทุกวันที่เดิม เพื่อทำให้ความรู้สึกน่ารำคาญใจนี้สงบลง
แต่ยิ่งนานวันเข้า ความรู้สึกนี้กลับยิ่งทวีคูณความน่ารำคาญมากกว่าเก่า เมื่อเด็กหนุ่มหนีไปที่ไหนก็ต้องมีใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้นวนเวียนอยู่ในหัว ราวกับวิญญาณอาฆาตแค้น วันไหนยอมกลั้นใจไม่ไปหา วันนั้นในอกเขาจะทรมานดั่งไฟเผา สิ่งเดียวที่จะหยุดความรู้สึกได้คือการได้ไปนั่งอยู่ใกล้ๆ ชายหนุ่มผู้นั้น แม้จะมีอาการคันยิบๆ แถวหน้าอก แต่ไม่ได้หนักหนาถ้าเทียบกับการไม่มาเจอหน้า
ผู้ส่งวิญญาณหมายเลข 41370 คิดว่าตัวเองกำลังแปลกไป เขาไม่มีเหตุจำเป็นต้องตามติดชีวิตคนๆ หนึ่งมากถึงขนาดนี้ เด็กหนุ่มไม่เข้าใจเหตุผล ไม่รู้จักความรู้สึกที่ไร้ชื่อเรียก ถึงขั้นคิดว่าตัวเองป่วย ทั้งที่ร่างวิญญาณไม่มีทางที่จะสามารถเจ็บป่วยได้เลย
แน่แท้ ยมทูตหนุ่มเพียงไม่รู้จักความรัก
11
ความรู้สึกยิ่งเพิ่มมากขึ้นทวีคูณเมื่อได้เข้าใกล้ชายหนุ่ม หัวใจที่เต้นอย่างแห้งแล้งมานานกลับส่งเสียงเป็นจังหวะหนักหน่วงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาเคยถามวิญญาณยายเฒ่าตนหนึ่งถึงอาการเช่นนี้ หญิงเฒ่าหัวเราะพร้อมกล่าวว่า
เจ้ากำลังมีความรัก
นิยามของความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนทำให้หัวใจเขาตื่นเต้นอย่างบ้าคลั่งกว่าเดิม หญิงเฒ่าสอนถึงอะไรหลายๆ อย่างให้เขาระหว่างที่เดินทางไปยังโลกวิญญาณ ครานี้ ผู้ส่งวิญญาณหมายเลข 41370 รู้ตัวแล้วว่า แม้เป็นวิญญาณก็ยังมีความรู้สึกได้
เขาเฝ้าตามติดชายหนุ่มไม่ห่าง น่าแปลก พอรู้สึกตัวแล้วกลับอยากเผยความในใจออกไป ทว่ายิ่งต้องการให้ชายหนุ่มรับรู้มากแค่ไหนก็ทำไม่ได้ พวกเขาอยู่คนละโลก เสียงของเขาส่งไปยังโลกมนุษย์ไม่ได้ ได้เพียงแต่รู้สึกอึดอัดและอัดอั้นอยู่อย่างนั้น
จนทรมาน
เด็กหนุ่มไม่ได้หวังไปมากกว่าได้กล่าวความในใจ ยมทูตเพิ่งริรักไม่เคยคาดฝันถึงการกระทำอื่น เพียงแต่เขาไม่สามารถทำลายกฎของธรรมชาติได้ จึงได้แต่เฝ้ามองชายหนุ่มวันแล้ววันเล่า ชายหนุ่มยังคงรักหญิงสาวอย่างล้นใจ เขายังคงมาที่เดิมเพียงแต่ไม่ใช่ทุกวันเหมือนคราวก่อนแล้ว เวลาเริ่มพรากความเศร้าในใจของชายหนุ่มไปทีละนิด
จากทุกวันเปลี่ยนเป็นทุกสองวัน จากนั้นก็เริ่มเปลี่ยนเป็นอาทิตย์ละครั้ง จนมาถึงเดือนละครั้ง
ยมทูตตัวจิ๋วยังคงตามติดชายหนุ่มไม่ห่าง เพียงแต่เขาเริ่มสังเกตถึงความเปลี่ยนไปของชายหนุ่มเมื่อเวลาผันผ่าน
แม้ความเศร้าคล้ายจะจาง แต่ไม่มีวันไหนที่ชายหนุ่มไม่เสียใจกับเหตุการณ์นั้น ไม่มีวันไหนที่ชายหนุ่มไม่เคยกล่าวโทษตัวเอง ไม่มีวันไหนที่ชายหนุ่มเลิกรักหญิงสาว
แววตาของร่างเนื้อมีลมหายใจไร้ชีวิตมากขึ้นทุกที ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน ก็ไม่สามารถลบเลือนความรักนี้ออกไปได้ ทุกการกระทำอยู่ในสายตาของยมทูตหนุ่มเสมอ
จนกระทั่งมาถึงเดือนหนึ่ง ครบรอบวันที่ชายหนุ่มจักต้องมายังจุดเกิดเหตุแม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานแล้ว สายตาว่างเปล่าของชายหนุ่มผู้ผิดหวังในรักเหม่อมองออกไป ในครั้งนี้ไม่ใช่ท้องฟ้าหรือตึกข้างเคียงเหมือนทุกที
แต่เป็นพื้นถนนเบื้องล่างของตึกสูง
เป็นวันเดียวกันกับที่ความรู้สึกของยมทูตหนุ่มใกล้จะระเบิดออกมา
ผู้ส่งวิญญาณไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ได้ ไม่สามารถตัดสินใจแทนใครได้ เพียงแต่...ถ้าตำนานมีจริง...เขาก็อยากพิสูจน์มันเสียตอนนี้
เด็กหนุ่มมองร่างชายหนุ่มข้างตนที่ยังคงยืนจ้องพื้นถนนแน่นิ่ง ฝ่ามือขาวขยับเอื้อมออกไป เขาไม่สามารถรู้ความคิดมนุษย์ได้ แต่อย่างไรถ้าหากชายหนุ่มยังไม่สามารถตัดสินใจได้แล้วล่ะก็...
เขาอยากเป็นผู้ช่วยตัดสินใจ
จนกระทั่งฝ่ามือขาวเอื้อมมือไปสัมผัสแผ่นหลังแกร่ง ฝ่ามือทะลุร่างเนื้อตรงหน้าไป หัวใจยมทูตหนุ่มเต้นอย่างบ้าคลั่ง
ก่อนไม่กี่วินาทีหลังจากนี้ ร่างเนื้อของชายหนุ่มจะทิ้งตัวลงไปยังผืนดินตรงหน้า
ดำดิ่งแหวกอากาศลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งร่างกายกระทบกับผืนดิน
แหลกสลายดับสิ้นลมหายใจไปในที่สุด...
12
“สวัสดี”
“...”
“อย่างที่เห็น...คุณได้ตายแล้ว และผมมีหน้าที่เป็นผู้นำทางคุณไปยังโลกวิญญาณ”
“อ่า เช่นนั้นหรือ”
ผู้ส่งวิญญาณหมายเลข 41370 กล่าวแนะนำตัวเช่นเดียวกับทุกครั้งที่ปฏิบัติหน้าที่ เพียงแต่ครั้งนี้ มีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่บนใบหน้าอย่างที่ไม่เคยยิ้มให้วิญญาณตนไหนมาก่อน
เพียงเพราะมีความสุขล้นที่เสียงของเขาสามารถสื่อสารกับอีกฝ่ายได้แล้ว
ยมทูตหนุ่มยื่นมือให้คนตรงหน้า
“จับมือผมสิ”
ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ผู้ส่งวิญญาณจะต้องแตะตัวร่างวิญญาณเพื่อการนำไปสู่อีกโลกหนึ่ง เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่เขาทำเกินความจำเป็น เพียงเพราะต้องการตอบสนองความรู้สึกของตนเอง
ในเมื่อยามอยู่คนละโลก เราไม่สามารถสัมผัสกันได้ ไม่สามารถสื่อสารถึงกันได้ ครานี้เราอยู่ในโลกเดียวกันแล้ว แม้นเพียงครู่เดียว แต่ขอให้เขาสัมผัสถึงความรักที่เกิดขึ้นมานานเพียงสักนิด
ชายหนุ่มยื่นมือส่งมา
ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินจับมือกันท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้า...
END
อยากลองเขียนแนวใหม่ๆ ที่นอกเหนือจากชีวิตปกติดูค่ะ (.__.)
ถูกใจไม่ถูกใจยังไงบอกกันได้นะคะ....
ฝากแฮชแท็ก #อย่าปล่อยให้ความตายหลงรักคุณ ไว้ด้วยนะคะ
ด้วยรัก