Chapter 24
วันแล้ววันเล่าผ่านไปแบบยุ่งๆ พีทแทบไม่มีเวลาอยู่กับตัวเอง…
ทุกวันเขาตื่นเกือบเที่ยงเพื่อมาสอนเด็กๆ แล้วตกเย็นก็เข้าร้าน รับงานสองต่อกว่าจะกลับถึงบ้านก็เกือบสว่าง วันไหนไม่มีสอนก็ตื่นอีกทีหนึ่งตอนบ่าย ขอบคุณตัวเองที่เป็นคนนอนหลับลึกและหลับสนิทเหมือนซ้อมตาย พีทแทบไม่ได้ใช้ชีวิตนอกลูปเหล่านี้เลยสักวัน
ยกเว้นวันนี้
วันหยุดตามปฏิทินที่ใครๆ เขาก็หยุดกัน และเป็นวันที่ครอบครัวควรจะอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา แต่แพรวกลับไลน์มาบอกเมื่อวานว่ามีงานที่มหาวิทยาลัยจัด พีทหงอยจัดตั้งแต่เมื่อคืนจนกระทั่งเช้าวันนี้ ทั้งที่ใจจริงอยากจะเกรี้ยวกราดแต่ก็ไม่รู้จะโทษใครได้
กลายเป็นว่าเช้าวันนี้พีทว่างเปล่าเหลือเกิน ชีวิตที่ไม่ต้องทำงาน เขาไม่รู้ว่าต้องทำอะไร
เพื่อนฝูงก็พอมีบ้างแต่ไม่รู้จะติดต่อใครไป แต่เขาก็มีเมียมีลูก มีธุระเป็นของตัวเองกันหมด พีทที่นั่งอึนตั้งแต่ตื่นนอนมาหลายสิบนาทีแล้วเลยตัดสินใจว่า...
ไปอาบน้ำก่อนเถอะอันดับแรก
พีทเดินเช็ดหัวออกจากห้องน้ำ แต่ก็ไม่วายมีน้ำหยดเป็นทางจากห้องน้ำไปสู่ห้องนอนเพราะปลายผมเปียกๆ ของตัวเอง แขนเรียวเกร็งยกพัดลมตั้งโต๊ะตัวใหญ่จนเส้นเลือดขึ้น คนผมเปียกเสียบปลั๊ก แล้วเปิดพัดลมเบอร์แรง ก่อนจะก้มเอาหัวเปียกหมาดๆ ของตัวเองตากลม
ที่มันลำบากแบบนี้ก็เพราะแพรวย้ายไปแล้วเอาไดร์เป่าผมไปด้วยนั่นแหละ ว่าจะซื้อใหม่ก็ไม่ได้ซื้อสักทีโว้ย
ลมแรงระดับที่หูตาแทบจะปลิวหลุดออกจากหน้าในที่สุดผมก็แห้ง พีทยกพัดลมหลบแล้วเดินไปเอากระเป๋ากีตาร์ตัวเก่งที่วางพิงกำแพงห้องมาเปิดออก แล้วควักกีตาร์มาวางไว้บนเตียง ก่อนจะผละไปรื้อค้นโต๊ะหนังสือข้างหัวเตียง
อยู่ไหนวะ คัมภีร์โน้ตเพลงประพันธ์โดยพีท บางพลัด
รื้ออยู่สักพักแล้วไม่เจอ ยืนนึกอยู่กลางห้อง ในที่สุดก็ถึงบางอ้อว่าเอามันไปไว้ไหน พีทเอื้อมหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าที่วางเทินไว้หลังตู้เสื้อผ้า กระเป๋าที่ถูกรื้อเอาเสื้อผ้าออกหมดแล้วไม่ได้รูดซิป พอโดนดึงของด้านในเลยร่วงหล่นลงมา พีทกระโดดหลบแทบไม่ทัน
นอกจากเสื้อผ้า ของอย่างอื่นก็อยู่ในกระเป๋าเหมือนเดิมทุกอย่าง แน่นอนสมุดโน้ตที่เขาหาก็ด้วย
พีทเก็บของที่ร่วง และรื้อของอย่างอื่นที่ยังเหลือในช่องเล็กๆ ของกระเป๋าเสื้อผ้า ที่สุดก็เจอของที่เขาก็ลืมไปแล้วเหมือนกันว่าเคยใช้
แฮนด์ครีมที่กรซื้อให้
พีทหยิบแฮนด์ครีมหลอดนั้นขึ้นมาพร้อมสมุดโน้ต ร่างโปร่งทรุดนั่งกับเตียง แล้วแกะหลอดครีมบีบใส่มือ ก่อนจะถูไปถูมา
‘นิ้วนายเรียวสวยดีนะ’
‘แต่มันหยาบกร้านไปหน่อย’
“หึ” พีทหัวเราะ นึกแย้งในใจเหมือนวันนั้นว่าคนจับคอร์ดกีตาร์ทุกวันนิ้วจะไม่ด้านได้ยังไง
ทำอะไรอยู่วะเรา หนุ่มนักดนตรีส่ายหน้าไล่ความทรงจำเก่าๆ ออกจากสมอง
พีทหยิบสมุดมาเปิดและพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อยๆ จนถึงหน้าล่าสุด โน้ตเพลงที่ใช้กีตาร์แต่งเล่นๆ ในตอนนั้นยังแต่งไม่จบยังไงก็อย่างนั้น
นึกถึงคนที่พูดเหมือนจะเปิดค่ายเพลงให้เขา... แต่แค่จะติดต่อกลับมาพูดอะไรสักคำยังไม่ทำเลยด้วยซ้ำ
“แม่งเอ๊ย!!!”
ตุ้บ!!!
พีทเขวี้ยงสมุดเล่มเล็กในมือลงกับเตียง ก่อนจะลุกพรวด แล้วเดินออกจากห้องนอนไปเพราะไม่ต้องการนั่งเฉยๆ แล้วคิดถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับคนๆ นั้น
เขาไม่พร้อม ไม่พร้อมที่จะรับมือกับความทรงจำใดๆ ทั้งนั้น
มือเรียวกดรีโมทเปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้ให้บ้านไม่เงียบ แล้วเดินเข้าไปในห้องครัว แทบจะเป็นครั้งแรกในรอบเดือนเลยมั้งที่เขากินอาหารเช้า เพราะที่ผ่านมากินควบเที่ยงด้วยตลอด ชายหนุ่มเปิดตู้เย็นดูของกิน แทบจะไม่มีของสดเหลือเลย พีทหยิบของที่พอจะกินได้ออกมา
ใครเอาขนมปังแช่ตู้เย็นวะ...
อ๋อ เขาเองนั่นแหละ
พีทเสียบปลั๊กกระติกน้ำร้อน และเตาปิ้งขนมปัง ก่อนจะเปิดตู้ควานหากาแฟสำเร็จรูปมาฉีกซองเทใส่แก้วรอน้ำเดือด ระหว่างนั้นก็ยัดขนมปังลงไปในเครื่องปิ้ง
พอแพรวไม่อยู่ก็กินอยู่แบบอดๆ อยากๆ มาโดยตลอด บ้านเหมือนไม่เป็นบ้าน นี่พีทไม่ได้ดราม่าเกินไปใช่ไหม?
แขนเรียวเท้ากับเคาท์เตอร์ในครัว ยืนจ้องว่าระหว่างน้ำร้อนกับขนมปังอะไรจะสุกก่อนกัน พอเป็นแบบนี้แล้วนึกถึงวันที่กรทิ้งให้เขารอตัวเองอยู่ที่เกาะคนเดียวเลย
“...”
และอีกหลายๆ วันที่เต็มไปด้วยความทรงจำของกรกับเขา
‘…นายจะทำให้ฉันรักนายได้ไหม?’ดูเหมือนว่า... ไม่สิ มันชัดเจนอยู่แล้วว่าพีททำไม่สำเร็จ
‘…ฉันก็ทำให้นายรักฉันเหมือนกัน’แต่กรเก่งจัง แม้จะไม่แน่ใจว่ามันคือความรัก แต่พีทก็ทรมานจนเจียนตายเลยล่ะ
“...”
ภาพเตาปิ้งขนมปังเริ่มเบลอเพราะม่านน้ำตา แข้งขาอยู่ๆ ก็ไม่มีแรงเอาซะดื้อๆ พีทหันหลังพิงเคาท์เตอร์และค่อยๆ ทรุดลงนั่ง มือเรียวสองข้างยกขึ้นมาปิดหน้า น้ำตาเริ่มไหลตามแรงโน้มถ่วงลงมาช้าๆ
เพราะรู้ดีว่าความทรงจำจะย้อนกลับมาทำร้ายเลยพยายามทำตัวให้ยุ่งเข้าไว้
ทุกๆ วันที่เห็นเฉยๆ แต่ความจริงแค่หลับตาก็แฟลชแบ็คช่วงเวลาสั้นๆ พวกนั้นมาในหัวเขาตลอด
รอยยิ้ม โทนเสียง ทุกสัมผัสไม่เคยจางหาย มันน่าเจ็บใจตรงที่พอได้คิดถึงแล้วมันก็อดฟูมฟายไม่ได้... ว่าเราทำอะไรไม่ได้ นอกจากคิดถึงเขาอยู่ตรงนี้ ในที่ที่ไม่มีวันส่งไปถึง
“ฮึก ฮือ...” พีทยกมือขึ้นกอดตัวเองแน่น เป็นครั้งแรกที่เขาเป็นแบบนี้... โดยไม่มีพายุฝน และเสียงของฟ้าแปรปรวน
ความคิดถึงที่ทำได้แค่คิดถึงมันทรมานจริงๆ
ทั้งที่รู้ว่าเรื่องมันจบไปตั้งแต่วันที่มียอดเงินโอนเข้าบัญชีแล้ว
ทั้งที่รู้ว่ารอแล้วก็ไม่ได้อะไร
รู้ทั้งรู้แต่พีทก็ยังมีข้ออ้างให้ตัวเอง...
ในเมื่อกรยังใช้เวลาตั้ง 8 ปีคิดถึงแฟนเก่า แล้วเวลาแค่เดือนกว่าๆ พีทจะลืมเรื่องระหว่างเราหมดจดได้ยังไง
ห้องทำงานผู้บริหารระดับสูงบนชั้นสูงสุดของอาคารสำนักงานใหญ่ บริษัท แสนสุข จำกัด
01.45 PM
ร่างของคนเพียงหนึ่งเดียวนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมในห้องทำงานขนาดใหญ่ที่ตกแต่งภายในด้วยศิลปะตะวันออก โต๊ะและเครื่องใช้ทำจากไม้เนื้อแข็งขัดเงาสลักลวดลายสัตว์มงคลตามความเชื่อของจีน ตู้เอกสารขนาดใหญ่ด้านหลังโต๊ะไม่เพียงแต่เก็บเอกสาร แต่ยังเว้นที่ว่างวางเครื่องปั้นดินเผาโบราณตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง ทั้งหมดช่วยเสริมสร้างอำนาจบารมีและความน่าเกรงขาม รวมถึงแสดงออกถึงความมั่งคั่งตามความเชื่อของผู้บริหารคนเก่าที่เป็นพ่อของเขาเอง
ใช่แล้ว ห้องนี้เป็นห้องทำงานเก่าของพ่อกร และบังเอิญว่ากรไม่ใช่คนหยุมหยิมกับอะไรพวกนี้ พอได้รับสืบทอดมายังไงก็ใช้อย่างนั้น ไม่ได้คิดจะรีโนเวทปรับแต่งห้องใหม่แต่อย่างใด
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
นัยน์ตาคมเหลือบจ้องประตูไม้สลักลายมังกร ความขัดข้องใจมันอยู่ตรงที่หน้าห้องก็มีเลขาฯ แต่จนแล้วจนรอด ลูกน้องที่ผ่านการทำงานกับพ่อเขามาก่อนก็ติดนิสัยการเคาะประตูเรียกด้วยตัวเองมากกว่าจะบอกให้เลขาฯ โทร.เข้ามาบอกเขา กรทำหน้านิ่งกลอกตา
“เข้ามา” กรตะโกนบอก อึดใจเดียวชายในชุดสูทสีดำก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมแฟ้มเอกสารบางๆ ทันทีที่เห็นเขาซึ่งนั่งอยู่ห
ลังโต๊ะทำงานก็โค้งทำความเคารพหนึ่งที
“เอกสารให้เซ็นครับ” ชายคนนั้นวางแฟ้มลงบนโต๊ะ กรหยิบมาอ่านคร่าวๆ แล้วจรดปากกาเซ็นลงไป
“ขอบคุณครับ เสี่ยกร”
“!!!” กรตวัดหางตามองแรงใส่ชายในสูทดำ รังสีอำมหิตแผ่ปกคลุมรอบตัวกรจนสัมผัสได้ ชายคนนั้นรีบพาตัวเองออกจากบรรยากาศอันน่าอึดอัดนี้
แกร๊ก!
“...” เสียงประตูห้องปิดลง กรหลับตาขมวดคิ้วแล้วยกฝ่ามือใหญ่มากุมหัว
คำว่า ‘เสี่ย’ กลายเป็นคีย์เวิร์ดต้องห้ามสำหรับกรไปแล้ว เขาเพิ่งรู้สึกตัว
ทำไมน่ะเหรอ... ก็เพราะคนบางคนเรียกมันด้วยคำนั้นด้วยน้ำเสียงและใบหน้าที่ติดวนเวียนอยู่ในหัวกรไม่ไปไหนเลยน่ะสิ
‘เสี่ย ผมถามอะไรหน่อย’ใบหน้าจริงจังจากคนที่ไม่จริงจังกับอะไรอย่างพีทลอยขึ้นมา ดวงตาเรียวที่จ้องเขม็งมาที่เขากรยังจำได้ดี
‘เสี่ยกร...’น้ำเสียงออดอ้อนตอนที่จะขออะไรจากเขา
‘อมยิ้มอะไรน่ะเสี่ย’ดวงตาปรือ กับริมฝีปากสีชมพูซีดที่พูดด้วยน้ำเสียงรู้ทัน และมันเคยเชิญชวนให้กรประกบริมฝีปากตัวเองลงไป รสชาติริมฝีปากนั้นยังติดอยู่ในความทรงจำไม่จางหาย
‘ทำเหี้ยไรครับเสี่ย’แม้กระทั่งตอนที่เกรี้ยวกราดสบถคำหยาบเพราะโดนแกล้งลบรอยลิปสติกบนคอด้วยรอยคิสมาร์ก กรก็ยังจำได้ น่าแปลกดีที่เขาไม่ใส่ใจ รู้แค่สนุกที่ได้แกล้งทิ้งรอยไว้…
ทิ้งรอยไว้ทั้งร่างกาย... เสียงหอบหายใจ ใบหน้าขึ้นสีเร้าอารมณ์ และสายตาที่จ้องมองเขาในวันนั้น อยู่ๆ สมองเขาก็เล่นวนสิ่งเหล่านี้ในความคิด
‘เสี่ย...แฮ่ก... ส..เสี่ย เสี่ยกร’“บ้าเอ๊ย!!!”
ปัง!!!
กรทุบโต๊ะทำงานอย่างแรง มือกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดโปนไปถึงท่อนแขน พลางกัดฟันกรอดระงับอารมณ์ตัวเองที่มีต่อทุกภาพความทรงจำอันชัดเจนราวกับเรื่องเกิดขึ้นเมื่อวาน ร่างสูงคลายหมัดที่กำแล้วหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานขึ้นมาต่อสายไปหาเลขาฯ หน้าห้อง
(สวัสดีค่ะเสี่ย)
“...” มือที่อุตส่าห์คลายออกจากกันไปแล้วกำหมัดขึ้นอีกครั้ง กรลอบพ่นลมหายใจ ก่อนจะตั้งสติคุยกับปลายสาย “เรื่องที่ให้จัดการไปถึงไหนแล้ว?”
(เรียบร้อยแล้วค่ะ เดี๋ยวส่งข้อมูลไฟล์ทไปให้นะคะ)
“ขอบใจ” กรวางสาย ก่อนจะยกฝ่ามือลูบหน้าแรงๆ แล้วถอนหายใจออกมา
ให้ตายเถอะ ต้องรีบจัดการให้จบๆ ได้แล้ว
ขอบคุณค่ะ