CH.02 เชสต้องการคุณนะเก้ากันย์
6 นาฬิกา 45 นาที คือเวลาตอกบัตรทำงานของผมที่บ้านเดี่ยวหนึ่งชั้นขนาดกระทัดรัดภายในหมู่บ้านเงียบสงบ แต่ละวันผมต้องเบียดเสียดในรถไฟฟ้าใต้ดิน วันไหนมีออเดอร์ของกินจากเจ้านายก็จะแวะตลาดแล้วค่อยต่อวินมอเตอร์ไซด์เข้าไป กิจวัตรประจำวันของผมไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะเมื่อมาถึงแล้วยังต้องจัดเตรียมอาหารเช้ามาวางไว้ที่โต๊ะให้เรียบร้อย
ประมาณ 7 โมงเช้าของทุกวัน ผมจะเห็นเจ้าของบ้านเดินสะโหลสะเหลออกมาจากห้องนอนในสภาพตาปรือหัวฟู แขนใส่เฝือก มีผ้าคล้องกับคอเพื่อประคองแขนซ้าย เคราหนาครึ้มตัดกับผิวหน้าสีขาวอมชมพูตามกรรมพันธุ์ เขาเป็นลูกครึ่งไทยฝรั่งเศสแต่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ที่ประเทศอังกฤษ นั่นเป็นเพียงข้อมูลอันน้อยนิดที่ผมทราบมาจากพี่รหัส
“มาเช้าเหมือนเคยนะเก้ากันย์”
ใช่ ผมต้องตื่นเช้ากว่าสมัยเรียนซะอีก นั่นคือความทรมานกายอย่างหนึ่งหลังรับงานนี้มา
“ผมมาสิบโมงเช้าได้ไหมล่ะ”
คนที่เดินผ่านร่างผมไปแล้วหันกลับมา ใช้ดวงตาสีเขียวตรึงนิ่งที่ใบหน้าผม
“เท่าที่ผมอนุญาตให้คุณกลับไปนอนค้างบ้านได้ก็ถือว่าใจดีมากพอแล้ว ทั้งที่ผมบอกปิ่นไปแล้วว่าต้องการคนที่พร้อมทำงานตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง”
ไอ้คนช่างขุดช่างคุ้ย!
ก็เพราะไม่ได้บอกไงล่ะ ผมถึงยอมรับข้อเสนอโดยไม่คิดอะไรมาก นี่คือปัญหาประเด็นแรกที่ทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยถูกชะตากับผู้ชายคนนี้นัก
พอคุณกริมม์เห็นผมปราศจากคำโต้แย้งก็ยักไหล่แล้วหมุนกายเดินไป ที่ผมทำได้ก็เพียงมองตามแผ่นหลังกว้างเหยียดตรงด้วยความหมั่นไส้ ทั้งเกลียดเบ้าหน้าที่คล้ายโจรเข้าทุกวัน มือข้างถนัดเดี้ยงแล้วไง ก็ไปร้านให้เขาโกนหนวดโกนเคราให้สิ เห็นหน้าแบบนี้ทุกวันแล้วมันรู้สึกคลื่นไส้ ไม่เจริญหูเจริญตาเอาซะเลย
“แมคบุ๊คกับไอแพดอยู่บนเตียงในห้อง ไปเอามาสิ กลางวันนี้จะนั่งทำที่ห้องนั่งเล่น”
กระทั่งคำพูดคำจาของเขายังทำเอารู้สึกเหมือนผมเป็นทาสในเรือนเบี้ย แต่จำต้องทำตามเพราะจนใจกับอาการแขนเดี้ยงของเขา...
“แท็บย่อหน้า... ชายหนุ่มมองประเมินเพื่อรอจังหวะเร้าใจ ปากหนาคล้ำขยับนับเลขตามเข็มวินาที”
ผมได้ยินเสียงถอนหายใจหลังเขาร่ายยาวเหยียดมาอีกห้าบรรทัด ไม่ทันได้ถามเขาก็ตัดบทพูดเสียงทุ้มเรียบซะก่อน
“นี่! บอกแล้วไงว่าเวลาสะกดผิดให้ปล่อยไป ค่อยแก้ทีเดียว แก้ทีสะดุดที ทำผมต้องพูดซ้ำสองสามรอบ มันเสียเวลานะเก้ากันย์”
“คร้าบบบ”
ผมลากเสียงยาว ทั้งต้องพยายามข่มใจให้เย็นลง ไหนจะปวดก้นเมื่อยขาที่ต้องนั่งพื้นเพื่อพิมพ์งาน แต่ใครบางคนกลับนอนเอนกายสบายบนโซฟานุ่มนิ่ม ในมือถือไอแพดที่เปิดไฟล์ต้นฉบับภาษาอังกฤษ บางครั้งก็เปิดสองหน้าจอควบ Youtube เพื่อดูเทรลเลอร์หนังใหม่ๆ ในขณะที่ทีวีเปิดช่องกีฬาทิ้งไว้ เขาช่างเป็นคนที่แยกประสาทการทำงานได้ดีมากจนส่งผลให้ปลายเท้าผมกระดิกด้วยความคับแค้นใจ
“พักสิบนาทีแล้วกัน”
บอกแล้วก็ปิดเปลือกตาเพื่อพัก เปิดโอกาสให้ผมตีหน้ายักษ์ใส่เพื่อระบายความอัดอั้น แต่ลองคิดย้อนไป สิ่งที่เขาดุผมมันก็เป็นความจริง แต่เพราะอคติทำให้ไม่ชอบใจ คนอะไรไร้มนุษยสัมพันธ์ ทำงานมาด้วยกันสองสัปดาห์ยังไม่เคยยิ้มให้ผมสักครั้ง เอาแต่กดดันจนผมเกลียดทุกอณูขุมขนบนใบหน้าเขาแล้ว
ผมเอนแผ่นหลังพิงโซฟาตัวที่เขานอนพลางเอ่ยถาม
“สรุปผมต้องพิมพ์งานแปลของเชสกี่เรื่องครับ”
“กี่เรื่อง?” เขาพูดทั้งที่ตายังปิดสนิท “นั่นสิ ไม่แน่ใจเหมือนกัน ผมเองก็หัวหมุน แต่ที่แน่ๆ มีแนว Slice of life หนึ่งเรื่อง คุณอ่านฉบับตีพิมพ์ภาษาอังกฤษรึยัง”
“ยังเลยครับ”
“ไม่ต้องซื้อ ไว้เอาของผมไปอ่าน”
โอ๊ะ ใจดีเป็นด้วย
“ขอบคุณครับ”
“แล้วก็มีรวมเรื่องสั้นสืบสวนสอบสวนอีกเล่ม ไฟล์ต้นฉบับภาษาอังกฤษเรียบร้อยแล้ว แค่เร่งทำให้ทันเวลาเพราะต้องออกพร้อมกับต้นสังกัดของต่างประเทศ”
“รวมแล้วสองเรื่อง ว่าแต่คุณไม่แน่ใจอะไรล่ะ”
“ไม่รู้สิ เหมือนเชสกำลังถูกกดดัน”
ขวับ! ผมคว้าหมับที่ข้อมือขวาของคุณกริมม์อย่างลืมตัว ทั้งยังส่งแรงกระชากจนเจ้าตัวถึงกับเบิกตาโพลงแล้วจ้องเขม็งมาที่ผม
“เชสมีปัญหาอะไรเหรอครับ” ผมถามอย่างตื่นตกใจ “เกิดอะไรขึ้นกับเธอเหรอ”
คนตรงหน้าผมหยัดยิ้มมุมปาก สะบัดมือผมออกจากการกอบกุมมือเขา เฮอะ จับนิดจับหน่อยทำเป็นถือตัว อยากจับตายล่ะ
“ดูคลั่งเนอะ”
“ก็… ผมชอบของผม ผมปลื้มของผม” เสือกอะไรด้วยวะ “แต่ที่ไม่เข้าใจคือทำไมเธอต้องทำตัวลึกลับซับซ้อนด้วย มันทำให้แฟนๆ ยิ่งคลั่งเธอหนักกว่าเดิมเพราะความอยากรู้” ไม่วายตัดพ้อเล็กๆ อย่างขมขื่น “ภาษาของเธอสวยงาม เรื่องราวของเธอกระชากหัวใจ ไม่มีเหตุผลที่ผมจะไม่หลงใหลหนังสือของเธอทุกเล่ม”
“หลงใหลหนังสือหรือคนเขียน เอาให้แน่”
“ต้องทั้งสองอย่างอยู่แล้ว” ว่าแล้วผมก็ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเขยิบก้นถูไปกับพื้นเข้าใกล้คุณกริมม์ “ว่าแต่ทำไมคุณรู้เรื่องเธอดีจัง คุณรู้จักเป็นการส่วนตัวกับเธอใช่ไหม”
เงียบ?
วิเคราะห์ว่าไงดีล่ะ อาการแบบนี้มันบ่งบอกว่าอาจเป็นจริงอย่างที่ผมคิด
“ไม่ตอบซะด้วย ที่จริงผมก็แปลกใจตั้งแต่รู้ว่าไทยได้รับสิทธิพิเศษตีพิมพ์ผลงานเรื่องใหม่ของเธอพร้อมกับฉบับภาษาอังกฤษแล้ว มันต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างจริงไหม อย่างเช่น เธออาจจะสนิทกับคนใหญ่คนโตของสำนักพิมพ์ แต่ถ้าเป็นแบบนั้นพี่ปิ่นก็น่าจะกระซิบบอกผมสักคำสิ”
“แล้วยังไงต่อ” ชงมาให้พล่ามต่อใช่ไหมเนี่ย
“หรือไม่ก็เพราะคุณสนิทกับเธอ”
นั่นไง คิ้วเรียวเข้มของเขาโก่งสูงขึ้น แถมยังกระตุกยิ้มมุมปาก อาการแบบนี้เหมือนกำลังกลบเกลื่อนที่ถูกผมจับได้ชัดๆ แบบนี้ต้องเค้นให้ถึงที่สุด
“ไม่งั้นทำไมคุณถึงเป็นคนเดียวที่ถูกเลือกให้แปลงานของเชส ผลงานเก้าเรื่องรวมแล้วกว่าสามสิบสองเล่ม ถูกแปลเป็นภาษาไทยด้วยนักแปลนามปากกา ‘กริมม์’ ผมว่ามันไม่ธรรมดาแล้วนะ ”
“อื้อ ทำตัวเป็นนักสืบสมเป็นแฟนคลับเชสดี” ทั้งที่กำลังถูกเค้น แต่เขากลับแสดงทีท่าคล้ายสนุก “งั้นต้องสนิทถึงขนาดไหนล่ะ เชสถึงยอมขายลิขสิทธิ์ให้สำนักพิมพ์ไทยโดยมีเงื่อนไขว่าคนแปลต้องเป็นผมเท่านั้น”
เปรี้ยง! ได้ยินเสียงคล้ายสายฟ้าฟาดผ่านกลางอกจนหัวใจฉีกขาด และไม่แน่ใจว่าเพราะผมตาเหลือกลานอยู่รึเปล่า คนตรงหน้าถึงได้ใช้นิ้วจิ้มมาที่หน้าผากผมจนหัวโงนเงนเป็นการเรียกสติ
“เพื่อนกัน? แค่เพื่อนใช่ไหมล่ะ เหอะๆ” แล้วผมจะเสียงสั่นทำไม
“หลอกตัวเองรึเปล่า ผมรู้นะว่าในใจคุณกำลังคิดอะไรอยู่”
“ไม่จริงหรอก เธอเหรอจะมาสนใจคนอย่างคุณ คนอย่างคุณมีเสน่ห์อะไรให้เชสมาหลงใหลฮะ”
โพล่งออกไปอย่างไม่ไว้หน้าไม่พอ ยังลืมตัวใช้สายตามองคุณกริมม์ตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างเสียมารยาท รู้ตัวอีกทีก็ตอนสบจ้องกับนัยน์ตาเข้มลึก เล่นเอาหวาดหวั่นอยู่หน่อยๆ เพราะต่อให้ร่างกายคุณกริมม์ไม่สมประกอบ แต่มัดกล้ามที่ขาใช่ย่อย ขนาดตัวก็เกินมาตรฐานชายไทยไปไกลโข ขนาดผมที่สูงร้อยเจ็ดสิบเก้ายังกลายเป็นคนเเคระเมื่อยืนเทียบกับเขา
คนฉลาดต้องรู้จักประมาณตัว ไม่ใช่เรื่องของความขลาดเขลาใดๆ ทั้งสิ้น
“คุณกำลังประเมินคนจากหน้าตางั้นเหรอ?”
ผมรีบส่ายหน้าเป็นระวิง “เข้าใจผิดแล้ว ผมยังพูดไม่จบ อย่าตัดบทกันสิ!” ผมแกล้งชักเสียงดุ ยื่นหน้าเข้าใกล้ร่างที่นอนอยู่บนโซฟาเพื่อใช้สายตามองซอกซอนใบหน้าครึ้มทะมึนละเอียดยิบ พลางร่ายอีกว่า “อันที่จริง ลองมองดูดีๆ สักสองสามรอบ คุณก็หล่อนะเนี่ย เหมือนพระเอกซีรีส์ฟากยุโรปหน่อยๆ อยู่เหมือนกัน”
กระโถนจ๋า... กระโถนอยู่หนายยย หรือผมควรวิ่งเข้าห้องน้ำไปโก่งคออ้วกใส่ชักโครกดี
“ก็ยังไม่พ้นเรื่องหน้าตาอยู่ดี”
“มันก็ใช่่อีกนั่นแหละ... แต่ผมขอแค่ความสะอาดสะอ้านจากหน้าคุณบ้างไม่ได้รึไง อย่างน้อยๆ การที่ผมต้องมานั่งทำงานตัวติดกับคุณทั้งวัน วันละสิบกว่าชั่วโมงแบบนี้ ผมก็มีสิทธิ์ร้องขอทัศนียภาพที่มันดีต่อใจบ้าง จะได้มีแรงใจทำงาน แค่ความไม่แยแสโลกของคุณก็ทำผมเครียดจนจะบ้าตายอยู่แล้ว”
ผมอยากจะพูดต่อ แต่กลับถูกร่างหนาใหญ่มองเข้ม เขาขยับกายลุกขึ้นนั่ง ปาหมอนอิงลอยมาโดนหน้าผมเต็มๆ ถือเป็นการเรียกสติผมให้กลับคืนมาได้เป็นอย่างดี
ผมหยิบหมอนอิงบนพื้นมากกกอดแนบอก อดหงอยเล็กๆ ไม่ได้ แต่ยังทำมั่นหน้ามองตอบเขาอำพรางความหวั่นในใจเพราะคาดเดาความนึกคิดของเขาไม่ได้
“สองสัปดาห์ที่ต้องทนเห็นหน้าผมตลอดทั้งวัน ทำให้หัวใจคุณห่อเหี่ยวมากงั้นเหรอ”
ใช้คำพูดซะน่าสงสารเลย โถว พ่อคุณ แต่หน้านี่ดุไปนะ
“เปล่าหรอก ผู้ชายมีหนวดมีเคราก็ดูเท่ดีออก ดูเป็นผู้ใหญ่ลึกลับ มาดแมนแฮนด์ซัม” นี่อุตส่าห์ตอแหลนะเนี่ย อย่าเอาแต่เงียบกดดันสิ ขอบคุณสักคำก็ยังดี “เอ๊ะ!”
ผมตกใจให้กับปลายนิ้วที่ยื่นมาเกลี่ยแนวสันกรามของผม
“ถ้ามันดูเท่ขนาดนั้น ไม่ไว้หนวดไว้เคราซะเองเลยล่ะ”
ผมดันมือเขาออกอย่างมีมารยาท เงยหน้ามองคนที่นั่งเหนือกว่าพร้อมหาคำแถ
“รอให้มีแฟนแล้วจะไว้ไง”
“หืม?”
“สาวๆ น่าจะชอบ” ผมโปรยยิ้ม “เวลาหอมแก้มหรือไซ้คอพวกเธอคงจั๊กจี๋เนอะ แบบขนลุก แก้มแดง ปากฉ่ำ ตาเยิ้ม แค่คิดก็เคลิ้มแล้วคุณกริมม์”
แค่พูดถึงก็พาใจผมลอยล่องก่อนจะชะงักนิ่งตอนที่มองย้อนไปสบตาเขาอีกครั้ง
“คง?” เพียงคำเดียวที่ย้อนศรมาถามผมก็ทำเอาผมสะดุ้ง “อย่าบอกนะว่าโตมายี่สิบกว่าปียังไม่เคยสอยผู้หญิง? นี่คุณยังเป็นมนุษย์รึเปล่าเนี่ย”
“ฮะ! อะรายยย? มั่ววววววววว กล่าวหาผมแบบนี้ หยามกันชัดๆ กับอีแค่เซ็กส์ ทำไมจะไม่เคย”
“อ้อเหรอ” เขาพูดแค่นั้นแล้วหันไปส่องไอแพดพลางผิวปาก ไม่แยแสต่อสายตาที่ผมใช้มองทิ่มแทงไปยังร่างของเขาจนแทบพรุน
“นี่! อะไร คุณจะมาจบบทสนทนาสั้นๆ แบบนี้ไม่ได้นะโว้ย”
“อะแฮ่ม” เขาละสายตาคมเฉียบจากไอแพดมองมาที่ผม “หรือไม่เคยเฉพาะกับผู้หญิง แต่ช่างเถอะ เรื่องแบบนี้ผมไม่ก้าวก่ายหรือวิจารณ์ นี่มันปี ค.ศ. ไหนแล้ว ผมชิลๆ”
ชิลโพ่ง กวนตีนกูแล้ว
“โว้ยยยย บอกว่าไม่ใช่ไง ลุกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่ต้องมายัดเยียดแล้วบ่ายเบี่ยง... ผมจะไม่รู้ก็ไม่แปลก สาวๆ มารยาเยอะจะตาย บางคนอาจไม่รู้สึกก็ได้ แต่ทำเป็นแสดง เป็นการเอาใจผู้ชายไง เหมือนนางเอกหนังเอวีอ่ะ”
“อื้มๆ เข้าใจแล้ว...”
“คุณเข้าใจง่ายไปนะ!”
“ว่ามีประสบการณ์โชกโชนกับหน้าจอ”
“ผู้ชายมันก็ต้องดูป่ะ หรือคุณไม่เคย”
ผมแย้งก่อนจะหันกลับมาที่หน้าจอสี่เหลี่ยม มึนกับสถานการณ์ระหว่างผมกับเขาที่ทำให้บรรยากาศความรู้สึกต่างไปจากเดิม ไม่ได้สนิทขึ้น แค่คลายความอึดอัดภายในใจให้น้อยลง ผู้ชายกับการพูดคุยหัวข้อใต้สะดือนี่มันเป็นของคู่กันจริงๆ
“อ้อ คุณควรมาค้างที่นี่นะ ผมคิดว่าน่าจะมีโปรเจกต์ใหม่เพิ่มเข้ามา”
ผมส่ายหน้าทั้งที่ยังหันหลังให้เขา
“เชสต้องการคุณนะ... เก้ากันย์”
ชีวิตติดสตั้นด้วยความลังเล ก่อนหัวจะผงกขึ้นลงรัวๆ ด้วยแรงกดจากฝ่ามือหนาใหญ่ที่วางบนกลางกระบาลผม
เฮอะ! ไอ้ลูกครึ่งเวรนี่ ได้ทีแล้วเอาใหญ่ เพื่อนเล่นรึไงวะ!
“ตอบก่อนสิคุณกริมม์ ว่าสรุปแล้วคุณรู้จักกับเชสใช่ไหม”
“สนิทชิดเชื้อสุดๆ”
เชอะ! ทำเป็นข่ม
แต่ “ก็ดีนะ” ถ้าได้มาพักกับคุณกริมม์...
เพราะมองเห็นอุโมงค์โอกาสขยายกว้าง และที่ปลายทางมีเค้ารางของเชสปรากฏเป็นแรงผลักดันให้ผมเอ่ยถ้อยคำตอบรับข้อเสนอไป
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ