หนึ่งวันพิเศษของเขา
ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาบนเตียงด้วยความเคยชิน หลับตานอนรอให้นาฬิกาปลุกดังขึ้นเหมือนทุกวัน ถึงได้เอื้อมมือไปกดปิด ผมดันตัวเองขึ้นนั่งปรับสายตาอยู่บนเตียงพักหนึ่งถึงได้ลุกเข้าห้องน้ำไป น้ำเย็นๆทำให้ผมรู้สึกตื่นเต็มตามากขึ้น ผมจัดการตัวเองเสร็จด้วยเวลาอันรวดเร็ว แล้วกลับเข้าห้องไปแต่งตัวอย่างไม่รีบร้อน
เสียงแจ้งเตือนจากแอพพลิเคชั่นสีเขียวสุดฮิตดังขึ้นทันทีที่ผมแต่งตัวเรียบร้อย หยิบมือถือขึ้นมาเปิดอ่านข้อความที่เหมือนเดิมแทบทุกวัน ‘เฮียออกไปแล้วคร้าบบบ’ ผมเปิดข้อความนั้น แล้วกดส่งสติกเกอร์รูปทหารทำท่าตะเบ๊ะกลับไปพร้อมกับที่เหลือบมองเวลาบนหน้าจอ
5.58
ตรงเวลาเหมือนเดิมเลยนะ ผมคิดในใจ อดไม่ได้ที่จะเผลอยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงคนที่ถูกพูดถึง เจ้าตัวจะรู้รึเปล่านะ ว่ามีไส้ศึกอยู่ในบ้านแบบนี้ ผมคว้าเป้ขึ้นสะพายก่อนจะเดินไปเคาะประตูห้องพ่อแม่เพื่อบอกว่าจะไปโรงเรียนแล้ว พวกท่านอือออตอบกลับมาว่าให้เดินทางปลอดภัย
“กันต์ๆ” ขณะที่ผมกำลังปิดรั้วบ้านอยู่ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังมาจากบ้านข้างๆ หันไปก็เห็นพี่สะใภ้กวักมือเรียก ถึงได้เดินไปหา
“รอแป๊ปนึงนะ” เธอบอกให้ผมยืนรอ ส่วนเธอเดินเข้าไปในพื้นที่เล็กๆที่เหลืออยู่หน้าบ้าน ซึ่งทั้งสองสามีภรรยาคู่นี้แปรสภาพให้เป็นร้านกาแฟขนาดย่อม มีขายทั้งกาแฟกับพวกขนมเค้กขนมปัง แล้วก็ยังมีพวกอาหารเช้าง่ายๆอีกด้วย ผมยืนรอแค่แป๊ปเดียวเธอก็เดินออกมาพร้อมกับขนมปังไส้กรอกสองชิ้นในมือ
“ชิมให้หน่อย นี่พี่เพิ่งลองสูตรใหม่ไม่รู้จะเป็นไงบ้าง” เธอบอกพร้อมกับยื่นมันให้ผม
“โห นี่พี่กะใช้ผมเป็นหนูลองยาใช่ปะเนี่ย”
“ประมาณนั้นล่ะย่ะ” เธอแกล้งค้อนใส่ผมแล้วพูดต่อ “ไปได้แล้ว เดี๋ยวไม่ทันพี่ไม่รู้ด้วยนะ” หลังจากยิ้มล้อเลียนแล้วยีหัวผมจนพอใจเธอก็กลับเข้าร้านไปเตรียมของต่อ
ทุกคนเคยถามผมเหมือนกันว่า ทำไมต้องรีบออกจากบ้านแต่เช้าขนาดนี้ทั้งที่บ้านก็อยู่ถัดจากโรงเรียนไปแค่ไม่ถึงสองซอย เพราะเมื่อก่อนผมเองก็เป็นหนึ่งในกลุ่ม‘ยิ่งใกล้ยิ่งสาย’ แต่ตั้งแต่เหตุการณ์ในเย็นวันหนึ่งเมื่อสองปีก่อน ผมก็กลายเป็นคนที่ตื่นเช้าขึ้นมาแบบไม่ต้องพึ่งนาฬิกาปลุก
เหตุการณ์ที่ว่านั่นคือ ระหว่างที่ผมกำลังยืนรอเพื่อนจีบสาวอยู่ที่ป้ายรถเมล์นั้น อยู่ดีๆก็มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งเดินผลุบลงไปในท่อ ทุกคนที่อยู่แถวนั้นนิ่งอึ้งแล้วหันไปมอง ผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่หันไปมอง ทั้งสงสารทั้งขำ แต่ที่สุดแล้วผมก็กลั้นใจไม่ให้หัวเราะออกมาแล้วเข้าไปช่วยดึงน้องเขาขึ้นจากท่อ
ความรู้สึกตลกเล็กๆก็หายไปทันทีเมื่อเห็นว่าขาขาวๆนั้นเปื้อนไปด้วยน้ำเน่าและเลือดที่ไหลซิบ ผมรีบค้นกระเป๋าตัวเองเพื่อมาอะไรมาช่วยเช็ดให้ น้องดูตกใจแต่ก็บอกขอบคุณผมเบาๆ ผมเอาเสื้อนักเรียนมัดขาเขาไว้ไม่ให้เลือดมันไหลจนดูน่ากลัว แล้วบอกให้เขากลับบ้านดีๆ เขาลุกขึ้นพยักหน้าแล้วรีบวิ่งหนีไปทันที
ผมยิ้มขำให้กับความน่ารักของน้องเขา ยืมมองจนน้องวิ่งลับตาไป ก็หมุนตัวกลับไปหาเพื่อนซึ่งหายไปกับสาวเรียบร้อยแล้ว ผมถอนหายใจกับความรักเพื่อนของมัน สบถด่าอยู่ในใจสองสามคำก็ตัดสินใจจะกลับบ้าน แต่ก็เปลี่ยนใจเดินกลับเข้าโรงเรียนแทน
หลังจากแจ้งเรื่องซ่อมแซมท่อระบายน้ำเสร็จ ผมก็ได้ฤกษ์กลับบ้านเสียที ระหว่างทางผมรู้สึกเหมือนลืมอะไรบางอย่าง จนกระทั่งถึงบ้านแล้วเห็นหน้าแม่นั่นแหละ ถึงได้คิดออกว่า ..นั่นมันเสื้อที่เพิ่งจะใส่ได้ไม่ถึงเทอมเลยนี่หว่า!
วันถัดมาผมก็ถูกลุงรหัสซึ่งเป็นประธานนักเรียนบังคับให้ไปโรงเรียนแต่เช้าเพื่อช่วยกรรมการนักเรียนเตรียมงานเทศกาลประจำปี เกือบหนึ่งอาทิตย์ที่ผมต้องไปแต่เช้า ผมได้เจอกับน้องคนนั้นทุกวัน บางวันก็มากับน้องชาย บางวันก็มาคนเดียว น้องไม่ใช่คนที่ดูเด่นอะไร ผมว่าน้องชายของน้องยังดูเด่นซะกว่า แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไรที่ทำให้ผมสามารถมองเห็นน้องเขาได้ถึงแม้จะอยู่ห่างกันมากก็เถอะ และผมก็ไม่รู้อีกเช่นกันว่า ทำไมทุกวันหลังจากนั้นผมถึงได้ตื่นเช้าเพื่อที่จะไปนั่งรออะไรบางอย่างหรือใครบางคนที่ป้ายรถเมล์เสมอ
ผมชอบที่จะได้เห็นสีหน้าของน้อง มันเปลี่ยนไปไม่ซ้ำกันสักวัน บางวันน้องก็เดินฮัมเพลงเบาๆ บางวันน้องก็ทำหน้าหงุดหงิดกับเศษขยะบนพื้น โดยที่สุดท้ายน้องก็เก็บมันไปทิ้งทุกที นั่นทำให้ผมอยากมานั่งรอดูว่าวันต่อๆไปน้องเขาจะทำอะไรน่ารักๆอีกบ้าง และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมมานั่งรอ ทุกอย่างเป็นไปเหมือนปกติจนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้น
6.14
“ไอ้กันต์! อยู่ไหนวะ เข้ามาในโรงเรียนด่วนเลยมึง งานเข้า!” เสียงโหดๆของรองประธานที่ส่งมาตามสายแทบจะทำให้อารมณ์ดีๆในเช้าที่อากาศสดใสของผมแทบจะหมดลง
“มีอะไรวะ”
“ไฟล์งานพรีเซ้นต์งบหาย! กูจำได้ว่าเคยเซฟใส่แฟลชไดร์ฟมึงไว้ มึงรีบเข้ามาเร็วๆ งานนี้เร่งใช้ตอนเจ็ดโมง! ” มันพ่นคำพูดใส่ผมรัวๆจนแทบจะจับใจความไม่ได้
“เจ็ดโมง? นี่มันเพิ่งกี่โมง มึงจะรีบไปไหนวะ นี่กูยังไม่ออกจากบ้านเลย” ผมโกหกเสียงเรียบทั้งๆที่นั่งอยู่ที่ป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียนมาได้พักหนึ่งแล้ว
“อย่าตอแหล เลิกสโตรกน้องเข้าซักวันเถอะ เข้ามาเร็วๆ!” ผมถอนหายใจแล้วบอกว่าเดี๋ยวเข้าไป ผมปลอบใจตัวเองเบาๆว่าไม่เป็นไรพรุ่งนี้ก็ได้เจอ แล้วตัดใจเดินต่อ พอเห็นว่ามีรุ่นน้องหลายคนเดินแซงหน้าผมไป ผมถึงได้รู้สึกว่าวันนี้ตัวเองเดินเอื่อยผิดปกติ ผมยังคงหวังจะได้เห็นหน้าใครบางคนก่อนเข้าเรียน
ผมเดินไปจนถึงหน้าร้านอาหารตามสั่งก็เจอกับเพื่อนเก่าที่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เห็นหน้า ยืนคุยกับมันสักพักใหญ่ๆก็นึกได้ว่ายังไม่ได้คืนร่มที่มันให้ยืมมา ผมเลยบอกให้มันเปิดซิบหยิบร่มในกระเป๋าผมไป มันด่าผมนิดหน่อยว่ายืมของมันไปยังให้มันเปิดเองหยิบเองอีก ผมเลยหัวเราะแล้วบอกมันไป “กูคืนก็ดีแค่ไหนแล้ว”
“เห้ย กูเจอของดี ขอนะ?” ระหว่างที่กำลังปิดกระเป๋าให้ผม มันก็หยิบขนมปังไส้กรอกออกมาให้ผมดูแล้วถาม ผมพยักหน้าบอกให้มันเอาไปแล้วบอกมันว่ามีอีกอัน ระหว่างที่มันค้นกระเป๋าผมเพื่อหาขนมปังอีกชิ้น โทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น พอกดรับก็ได้ยินเสียงโหดๆเสียงเดิมดังมาบอกว่าให้เข้าไปเร็วๆ ผมเออออไปก่อนจะวางสาย
พอหันไปหาไอ้เจ้าของร่มก็เห็นในมือมันมีแค่ร่มกับขนมปังไส้กรอกชิ้นเดียว
“อีกอันไม่เอาหรอวะ?”
“โคตรแบน มึงเก็บไว้กินเองเถอะ” ผมพยักหน้าแล้วบอกมันว่าจะไปแล้ว มันก็ทำหน้าแปลกๆแล้วพยักหน้าให้ผมแบบขำๆ ผมสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเลยมุ่งหน้าเข้าโรงเรียนต่อ
จู่ๆผมก็รู้สึกได้ถึงแรงดึงเบาๆที่แขนเสื้อ พอหันกลับไปเจอเจ้าของแรงที่ดึงเสื้อไว้ผมก็แทบจะช็อคตายอยู่ตรงนั้น ผมพยายามคิดคำที่จะพูดกับคนตรงหน้าอยู่พักนึงสุดท้ายก็ได้แค่คำว่า
“หืม ?”
“เอ่อ.. กระเป๋า ปิดมั้ยครับ?” เจ้าของเสียงหันมามองผมนิดนึงแล้วหันกลับไปมองกระเป๋าผม ผมรู้สึกว่าสมองสามารถตีความได้ช้าปกติไปหลายวิ แต่พอผมเข้าใจก็รีบปลดเป้มาสะพายข้างเดียว พอเห็นว่ามันเปิดซะอ้าซ่าก็หัวเราะเบาๆ ทั้งที่ในใจอยากจะเดินกลับไปด่าไอ้เพื่อนเวรที่บังอาจเปิดกระเป๋าผม วันหลังผมจะเอาขนมปังบูดไปให้มันกิน หรือไม่ถ้าเจอหน้าอยากจะขอกระโดดถีบสักที
น้องยืนรอจนผมปิดกระเป๋าเสร็จถึงได้เดินต่อ แน่นอนว่าผมไม่พลาดโอกาสที่จะได้เดินข้างน้อง เดินไปได้สักพักน้องหันมามองหน้าผมประมาณว่า ‘ไอ้นี่มันมาเดินข้างกูทำไมวะ’ สมองผมพยายามประมวลผลอย่างหนักหน่วงเพื่อจะหาคำพูดที่ดีที่สุดมาพูดกับน้องเขา
“ขอบคุณนะครับ น้อง” ผมรู้สึกได้ถึงความผิดพลาดอันยิ่งใหญ่ทันทีที่พูดประโยคนี้จบ น้องเขาจะสงสัยรึเปล่าว่าทำไมผมถึงรู้ว่าเขาเป็นรุ่นน้อง ผมเริ่มรู้สึกเหงื่อแตกและคิดคำแก้ตัวต่างๆนานาขึ้นมาทันที แต่สุดท้ายเหมือนน้องเขาจะไม่ได้สนใจอะไร ได้แต่ยิ้มตอบกลับมา
ผมตัดสินใจแล้ว.. วันนี้แหละที่สวรรค์เปิดทางให้ผม ผมจะต้องเดินเข้าโรงเรียนกับน้องเขาให้ได้! ยังคิดไม่ทันเสร็จน้องก็หยุดแวะร้านขายน้ำ ผมแทบจะก้าวเลยไปแล้วแต่ก็หมุนตัวกลับมายืนรอน้องได้ทัน
น้องทำหน้างงหน่อยๆเมื่อหันมาแล้วยังเห็นผมยืนอยู่ ผมแอบเห็นน้องลอบถอนหายใจเบาๆ รู้สึกใจแป้วนิดๆแฮะ แต่ด้วยความหน้าด้านของผมทำให้ผมรีบตามไปเดินคู่กับน้องเขาต่อ เสมือนว่าผมกับน้องเป็นคนรู้จักกันทันที ผมพยายามคิดถึงสิ่งที่ควรจะทำ ก่อนที่โอกาสดีๆนี้จะหมดไป
“ดื่มน้ำอัดลมแต่เช้า จะปวดท้องเอานะ” คำพูดโง่ๆหลุดออกไปจากปากผมอย่างไม่ทันตั้งตัว น้องหันมามองผมด้วยสีหน้าแปลกๆ ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มแก้เก้อ
“อา หรอครับ” น้องส่งยิ้มแห้งๆให้ผม ถึงจะเป็นแค่ยิ้มแห้งๆ แต่มันก็ทำให้ผมได้ใจหาเรื่องชวนน้องเขาคุยต่อ ถึงแม้พอนึกย้อนกลับมา จะมีแต่ประโยคประหลาดๆก็เถอะ แต่ดูเหมือนยิ่งได้คุยกันน้องจะเริ่มสบายใจกับผมมากขึ้นนะ
ผมรู้สึกว่าทางเดินเข้าโรงเรียนมันช่างสั้นเหลือเกิน เหมือนเวลาแห่งความสุขของผมใกล้จะจบลงเมื่อผมเห็นตึกประจำของน้องเขาอยู่ตรงหน้า นึกขึ้นมาได้ว่าผมเดินเลยห้องกรรมการนักเรียนมาแล้ว แต่ขอโทษเถอะเพื่อนๆ นี่มันโอกาสที่ร้อยปีจะมีครั้งของผมเลยนะ ขอให้ผมได้เดินไปกับน้องนานๆหน่อยเถอะ
คงไม่ต้องถามว่าทำไมผมถึงรู้ว่าห้องไหนก็ในเมื่อผมเดินตามน้องเขาเข้ามาทุกวันถึงน้องเขาจะไม่เคยรู้ น้องหยุดเดินเมื่อเดินแทบจะเลยบันไดทางขึ้น แล้วหันมามองหน้าผม
“เอ่อ ผม.. ถึงแล้ว” น้องพูดเบาๆผงกหัวให้ผมแล้วหันหลังไปทันที เห้ย.. ไม่นะ ผมต้องพูดอะไรสักอย่าง อะไรดีวะ ขณะที่ผมกำลังเครียดกับการคิดหาข้ออ้างเรียกน้อง มือก็จับกระเป๋าแน่น .. รู้แล้ว!
“เดี๋ยว น้อง!” พอน้องหันกลับมาผมก็รีบบอกให้น้องรอแป๊ปนึง ส่วนตัวเองก็ค้นของในกระเป๋าให้วุ่น สุดท้ายผมก็เจอของที่ต้องการ ขนมปังไส้กรอก ..แบนอย่างที่เพื่อนผมบอกจริงด้วย
“มันอาจจะแบนไปหน่อย แต่รองท้องไว้น่าจะดี จะได้ไม่ปวดท้องนะ” ผมบอกให้น้องรับไปแต่น้องก็ทำหน้างงๆ ผมเลยรีบยัดใส่มือน้องแล้วรีบเดินไปก่อนที่น้องจะปฏิเสธมัน แต่เหมือนผมจะลืมอะไรไป ..
ทันทีที่ผมคิดได้และวิ่งกลับมาถึงห้องกรรมการ ผมก็เจอกับไอ้รองประธานหน้ายักษ์ยืนกอดอกทำท่าเหมือนจะกินหัวผม มันด่าผมนิดหน่อยก่อนจะรีบเอาไฟล์งานไปดู ไม่ถึงห้านาทีมันก็บอกเรียบร้อยแล้วไปนั่งกดเกมในมือถือ นั่นไง มันจะรีบให้ผมเข้ามาทำไมในเมื่อมันก็ใช้เวลานิดเดียวในการตรวจความเรียบร้อย ผมคิดอย่างเซ็งๆว่าวันนี้เจอแต่เพื่อนทำพิษตั้งแต่เช้า ก่อนจะนึกได้ว่า ถ้าไอ้รองมันไม่ให้ผมรีบเข้ามา ไอ้เพื่อนเลวนั่นไม่แกล้งเปิดกระเป๋าผม ผมคงหาทางคุยกับน้องเขาไม่ได้
“ไอ้แว่นน กูรักมึงงง” ผมก็รีบเข้าไปกอดมันแน่นๆทีนึง มันหันมาด่าแล้วถีบผมออก ผมก็ได้แต่หัวเราะให้มัน มันมองผมแบบเอือมๆแล้วถาม
“คนเมื่อกี้ใช่มั้ย เอาซะเดินเลยห้องเลยนะมึง” อ้าว มันเห็นด้วยเว้ย ผมนึกขอบคุณที่มันเข้าใจและไม่วิ่งออกมาลากผมกลับห้อง ผมพยักหน้ายิ้มๆแล้วถาม “น่ารักใช่มั้ย ?”
“ก็ทั่วไปว่ะ แต่ถ้าเป็นผู้หญิงไปไม่ถึงมึงแน่” มันขยับแว่น ยิ้มน่าถีบ แล้วกลับไปกดเกมต่อ ผมหยิบกระดาษไม่ใช้แล้วมาขยำปาใส่หัวมัน
“อย่ามา คนนี้กูหวง” มันหัวเราะทันทีที่ผมพูดจบ แล้วบอก “กูบอกอยู่ว่าถ้าเป็นผู้หญิง”
วันนี้ทั้งวันผมรู้สึกว่าทุกอย่างมันช่างสดใส เป็นวันเรียนที่มีความสุขเสียเหลือเกิน ถึงงานที่สภาจะเยอะ ผมก็ทำแบบไม่บ่น มีการบ้านหรืองานอะไรมาผมก็ยิ้มรับ จนทุกคนหาว่าผมบ้า
ถึงคาบพักไอ้หลานรหัสตัวดีที่ควบตำแหน่งสายลับให้ผมก็เดินเข้ามาในห้องสภา มันทักผมนิดหน่อยก่อนจะลงไปนอนกองบนโซฟา ทุกคนในห้องมองมันแบบเอือมๆแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะถึงมันจะไม่ใช่กรรมการนักเรียน ชอบมาตากแอร์ฟรี แต่มันก็ช่วยงานหลายๆอย่าง
“ไอ้ตี๋เล็ก” ผมเรียกมัน กวักมือเรียกเป็นท่าประกอบ มันเลิกคิ้วมองผมทำท่าเหมือนจะไม่ลุก แต่สุดท้ายก็ยอมลุกมาคุยกับผม
“กูอยากกินข้าวมันไก่”
“ยอมแล้วหรอ เฮียกันต์” มันยิ้มล้อเลียนผม ความจริงผมเพิ่งจะได้สายลับคนนี้มาเมื่อเร็วๆนี้เองครับ น้องรหัสผมเพิ่งพามันมาให้ผมรู้จักเมื่อสองสามเดือนก่อนผมจำหน้ามันได้ทันทีที่เห็น และทันทีที่มันเห็นหน้าผมมันก็พูดทันทีว่า ‘อ้าว พี่ที่ชอบเดินตามเฮียผมนี่’ ผมแทบจะเอาหัวโขกกำแพงทันทีที่มันพูดคำนั้น มันเห็นด้วยหรอ ..แล้วน้องเขาจะรู้รึเปล่าวะ หรือน้องจะหาว่าผมเป็นไอ้โรคจิตรึเปล่า
‘พี่ชอบเฮียผมใช่ปะ’ คือคำแรกทีมันพูดกับผมหลังจากที่พาแยกตัวจากน้องรหัสมาได้ น้ำที่กำลังดูดอยู่แทบจะพุ่งออกมาใส่หน้ามัน
‘อืม..’ ผมตอบกลับไปง่ายๆ มันเองก็พยักหน้ารับอย่างไม่แปลกใจจนผมสงสัย
‘โธ่ เฮียกันต์ ผมว่าไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกที่จะมีผู้ชายมาชอบเฮียผม อีกอย่างถึงเฮียจะชอบเฮียผม ก็ใช่ว่าเฮียผมจะชอบเฮียนี่’ ถ้าผมเป็นพี่ชายมันผมควรจะดีใจหรือเสียใจที่ได้รับการชื่นชมแบบนี้จากน้องชายกันนะ.. ว่าแต่น้องเขารู้รึเปล่าวะ ว่าผมเดินตาม
‘โอ้ย เฮียแกไม่รู้หรอก วันๆเอาแต่เดินมองขยะบนพื้นไม่รู้หรอกใครเดินตาม ใครมองอยู่อ่ะ แต่ขนาดชอบเดินมองพื้นยังตกท่อได้ โคตรเด๋อ’ มันแซวพี่ชายตัวเองแล้วหัวเราะ คำพูดมันทำให้ผมเริ่มใจชื้น มันถามผมว่าอยากให้มันช่วยพาไปรู้จักมั้ย ผมได้แต่ปฏิเสธแล้วบอกมันไปตามใจจริงของผมว่า ผมอยากหาทางรู้จักน้องด้วยตัวเองมากกว่า มันก็พยักหน้าแล้วบอกว่ามันจะเป็นสายข่าวช่วยบอกเวลาที่เฮียมันออกจากบ้านก็แล้วกัน
ความจริงแล้ววิธีที่จะรู้จักกับน้องมีเยอะแยะครับ รุ่นน้องในสภาคนนึงก็เป็นเพื่อนสนิทกับน้องเหมือนกัน แต่อย่างที่บอกแหละครับ ถ้าเป็นไปได้และผมยังเหลือเวลาอยู่ผมก็ยังอยากหาเหตุการณ์ที่จะรู้จักกับน้องอีกครั้งด้วยตัวเองไม่ใช่ให้ใครมาสร้างให้ และในเมื่อตอนนี้ผมได้เจอกับเหตุการณ์การพูดคุยกันครั้งแรกแล้ว คราวนี้ผมก็จะขอรุกหนักล่ะ!
พอถึงช่วงเย็นไอ้ตี๋เล็กมันก็พาผมเดินไปหน้าห้องพี่ชายมัน น้องเดินออกมาพร้อมกับไนท์รุ่นน้องในสภาที่เป็นสายอีกคนของผม เจ้าหลานรหัสแนะนำให้ผมรู้จักกับพี่ชายมัน แล้วก็บอกว่าวันนี้จะพาผมไปที่ร้านข้าวมันไก่ของบ้านของทั้งสองคน น้องพยักหน้ารับก่อนจะชวนเพื่อนสนิทของตัวเองไปด้วย ไนท์มันตอบตกลงก่อนจะหันมาส่งสายตาแปลกๆให้ผม ผมได้แต่ตีหน้ายุ่งใส่มัน
เดินไปได้สักพักรุ่นน้องตัวดีทั้งสองคนก็เดินกอดคอคุยกันไปแค่สองคน ตั้งใจเปิดโอกาสให้ผมกับน้องเต็มที่ ผมนึกขึ้นได้ว่าเมื่อเช้าเอาขนมปังให้น้องไป
“ขนมปังอร่อยมั้ย?”
“ยังไม่ได้กินเลยครับ” น้องยิ้มตอบ เดินไปไม่นาน ไนท์มันก็หันกลับมา แล้วพูดอะไรที่ผมอยากโดดถีบที่สุด
“เอ้อ! พี่กันต์ผมได้ข่าวว่าเดินเปิดกระเป๋ารับลมหรอ” ผมขยี้หัวตัวเองแบบเซ็งๆแล้วบอกมันว่า อย่ายุ่ง ส่วนตี๋เล็กก็หันมาปล่อยก๊ากพร้อมถามว่า”จริงอะ? เฮีย” อยู่นั่นแหละ
“ขายกันหรอ?” ผมหันไปขยี้หัวคนปล่อยข่าวเบาๆ เจ้าตัวก็ได้แต่หัวเราะกลับมาเป็นคำตอบ เห็นผมทำอย่างนั้นไอ้สองตัวข้างหน้าก็หันกลับมาร้อง “ฮั่นแหน่!” ล้อเลียนผมซะเสียงดัง เอาซะผมรู้สึกหน้าร้อนๆขึ้นมาเลย
ระหว่างทางเดินไปขึ้นรถสองแถวผมแทบจะลืมตัวคว้ามือคนข้างๆมาจับหลายรอบ แต่คิดแล้วคงจะไม่ดีถ้าจะมีผู้ชายสองคนมาเดินจับมือกัน อีกอย่างผมยังหาเหตุผลที่ดีพอจะขอน้องจับมือไม่ได้ เพราะงั้นผมถึงได้แต่ บีบมือเตือนตัวเองจนมือชื้นเหงื่อ
พอไปถึงบ้านน้องผมก็รู้สึกได้ถึงสิ่งผิดปกติ ไนท์มันวิ่งเข้าไปกอดแถมทักทายพ่อแม่น้องเสียอย่างกับมันเป็นลูกแท้ๆของเขา ส่วนลูกในไส้ทั้งสองคนได้แต่ยืนทำหน้าเอือม ผมเดินเข้าไปสวัสดีพ่อกับแม่ของน้อง คุณพ่อท่านก็เรียกให้ผมนั่งคุย แล้วถามเรื่องนู่นนี่จนรู้ว่าผมเป็นประธานนักเรียนก็เลยคุยกันยาว ดูเหมือนเมื่อก่อนท่านก็เคยเป็นประธานนักเรียนเหมือนกัน
ผมรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ข้าวและกับทั้งหมดมาวางอยู่บนโต๊ะด้วยฝีมือของลูกเจ้าของบ้านทั้งสองคน ทำเอาผมรู้สึกผิดนิดหน่อยที่ไม่ได้ไปช่วย พอทุกคนพร้อมคุณพ่อก็บอกให้เริ่มทานกันเลย ระหว่างที่ทานผมที่ยังคงคุยกับคุณพ่อก็รู้สึกเหมือนมีคนมอง หันไปก็เจอน้องมองอยู่ ผมเลยตักไก่ชิ้นนึงวางใส่จานน้อง หันกลับไปก็เจอคุณพ่อทำสายตาแปลกๆใส่ เลยนึกได้ว่าไม่น่าจะทำอย่างนั้นเลย
ผมยิ้มแห้งๆให้คุณพ่อแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย พักนึงน้องก็ลุกถือจานเดินหายไปในครัว
“เราใช่มั้ย ที่เจ้าตี๋เล็กมันไลน์ไปรายงานทุกเช้าเนี่ย” คุณแม่หันมาถามคำถามที่ทำให้ผมแทบช็อค ผมนิ่งไปพักก่อนพยักหน้ารับแล้วตอบ “ครับ”
“ป๊าพูดตามตรงนะ ว่าไม่ได้สนับสนุน” คุณพ่อมองผมนิ่งๆแล้วพูด ทำเอาผมใจแป้ว แต่คำพูดต่อมาก็ทำให้ผมดีใจจนหยุดยิ้มไว้ไม่ได้ “แต่ป๊าก็ไม่ได้ห้าม ถ้ามันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร”
“ก็อย่างที่ป๊าเขาว่านั่นแหละลูก ถ้าไม่ใช่เรื่องไม่ดีป๊ากับม๊าก็ไม่ว่าอะไรหรอก” คุณแม่ยิ้มให้ “จะทำอะไรก็ให้อยู่ในสายตาผู้ใหญ่แบบนี้ดีแล้ว แต่ม๊าจะเตือนไว้อย่างนะ.. เจ้าตี๋ใหญ่น่ะมันความรู้สึกช้า” ผมไม่รู้ว่าผมไปเอาความโชคดีนี้มาจากไหน ที่ทำให้ผมได้เจอกับครอบครัวที่เปิดใจยอมรับเรื่องแบบนี้ได้ขนาดนี้ ผมรู้ว่าท่านทั้งสองคนคงไม่เต็มใจนัก เพราะถึงยังไงน้องก็เป็นลูกชายคนโตของบ้าน
“ผมขอโทษ แล้วก็ขอบคุณมากนะครับ” ผมหันไปสบตาคุณพ่อคุณแม่ คุณพ่อตบบ่าผมทีนึงแล้วบอกให้ผมเอาจานไปเก็บ ผมยิ้มให้คุณพ่อแล้วถือจานเดินไปทางเดียวกับที่น้องเดินไป ส่วนไนท์กับตี๋เล็กก็โห่แซวซะผมเกือบลืมตัวหันไปด่า
“พี่ช่วย” ผมเดินเข้าไปก็เจอน้องนั่งล้างจานอยู่ น้องเงยหน้ามองผมแล้วถามว่าอิ่มแล้วหรอ
ผมนั่งลงเก้าอี้ไม้ข้างๆน้องช่วยน้องล้างน้ำสะอาด พักนึงไนท์กับตี๋เล็กก็เดินเข้าพร้อมกับจานที่เหลือ หยอดมุกปัญญาอ่อนใส่กันมุกสองมุก ตี๋เล็กถึงได้ลากไนท์ออกไปเพราะพี่ชายมันกำลังจะโยนฟองน้ำใส่ ผมได้แต่หัวเราะกับความปัญญาอ่อนของเจ้าสองคนนั้น
“พี่ร้อนมั้ย ?” น้องถามคำถามที่ทำเอาผมแทบหัวทิ่มกะละมัง ถามแบบนี้ผมคิดนะครับ อยากจะตอบกลับไปเหลือเกินว่า จะร้อนเพราะเรานั่นแหละ แต่ก็ได้แต่ตอบกลับไปว่าไม่ร้อน พอนึกได้ว่าน้องอาจจะเป็นไข้เลยหยิบผ้ามาเช็ดมือแล้ววัดอุณหภูมิจากหน้าผาก
“ตัวอุ่นๆนะ อย่าลืมไปกินยาด้วย” ผมบอกไป น้องพยักหน้าแล้วก้มลงล้างจานต่อ เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้น้องถึงได้หันกลับมาอีกรอบ แต่คราวนี้ไม่รู้เพราะอะไรหน้าของผมกับน้องถึงได้ใกล้กันขนาดนี้ ผมไม่รู้ว่าผมจ้องตาน้องอยู่นานเท่าไหร่ แต่เสียงของเจ้าหลานรหัสตัวดีที่โวยวายอะไรสักอย่างข้างนอก ทำให้น้องรีบหันกลับไปล้างจาน
ผมอมยิ้มให้กับหูและแก้มแดงๆที่สามารถเห็นได้จากด้านข้าง พอล้างเสร็จผมก็เอากะละมังไปเทน้ำทิ้งตามที่น้องบอก พอเดินกลับเข้ามาน้องก็ชวนผมไปนั่งคุยกับคนอื่นๆ ผมตามไปถึงความจริงผมจะอยากอยู่กับน้องสองคนก็เถอะ
นั่งคุยกันอยู่ไม่นานกับไนท์ก็ได้เวลากลับบ้าน คุณแม่บอกให้ตี๋เล็กกับพี่ชายมันไปส่งพวกผม ไม่เกินห้านาทีเราก็มาถึงหน้าปากซอย รอรถอยู่พักหนึ่งก็ได้เวลาที่ต้องโบกมือลากันแล้ว ผมพูดอะไรบางอย่างเบาๆให้ได้ยินกันสองคนตอนเดินผ่านน้อง
ผมไม่รู้ว่าน้องจะได้ยินรึเปล่า แต่ผมก็ได้พูดมันออกไปแล้ว ผมคิดว่าอาจจะเป็นเพราะรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของน้องในวันนี้ที่ทำให้ผมรู้สึกแบบที่ตัวเองพูดไปทั้งคืน
“ฝันดีนะครับ”
.
.
.
เช้าวันรุ่งขึ้นทันทีที่ผมเจอพี่สะใภ้ เธอก็ถามผมว่าขนมปังไส้กรอกรสชาติเป็นยังไงบ้าง..