ช่วงนี้อ่านบทความเกี่ยวกับภาษาไทยบ่อย เพราะต้องหาข้อมูลไปเขียนบทความส่งอาจารย์ เลยทำให้เจอประเด็นเกี่ยวกับภาษาไทยที่น่าสนใจหลายๆ ประเด็น เลยอยากจะเอามาแบ่งปันให้เพื่อนๆ ชาวเล้าได้อ่านกันเพลินๆ บ้างค่ะ
เรื่องการเลิกใช้พยัญชนะ ฃ และ ฅ ก็เช่นกัน เป็นเรื่องที่น้องมิสงสัยมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ไม่ได้รับความกระจ่าง จนโตมาก็เห็นคำอธิบายเกี่ยวกับการเลิกใช้พยัญชนะสองตัวนี้เผยแพร่ในอินเทอร์เน็ต แต่คำอธิบายเหล่านั้นยังไม่ได้ตอบข้อสงสัยบางประเด็นที่น้องมิสงสัย พอได้ค้นคว้ามากขึ้นก็เจอข้อมูลเพิ่มเติมที่ตอบข้อสงสัยให้กระจ่าง เลยเอามาเขียนมาเป็นบทความสั้นๆ ให้เพื่อนๆ ที่สงสัยเหมือนน้องมิและยังไม่ได้คำตอบได้อ่านกัน หลายคนอาจจะทราบที่ไปที่มาของการเลิกใช้พยัญชนะสองตัวนี้อยู่แล้ว น้องมิก็ต้องขออภัยด้วยนะคะที่เอามะพร้าวห้าวมาขายสวน
ฃ ที่ไม่ใช่ ขวด ฅ ที่ไม่ใช่ คน
“ก เอ๋ย ก ไก่ ข ไข่ในเล้า ฃ ขวด ของเรา ค ควายเข้านา ฅ คนขึงขัง...” เคยสงสัยบ้างหรือไม่ว่าทำไมเวลาเราท่องจำพยัญชนะ ก ไก่ ข ไข่ พอมาถึงพยัญชนะ ฃ กลับกลายเป็น ขวด ฅ กลับกลายมาเป็น คน แล้วเหตุใดจึงไม่เขียนรูปคำให้ตรงกับตัวพยัญชนะที่ท่อง หรือเพราะเหตุใดจึงไม่ใช้พยัญชนะสองตัวนี้เขียนสะกดคำในภาษาไทยปัจจุบันเลย พยัญชนะสองตัวนี้ไม่มีความสำคัญหรือ และถ้าไม่สำคัญ ไม่มีการใช้พยัญชนะสองตัวนี้เขียนสะกดคำภาษาไทยในปัจจุบันแล้วเหตุใดยังคงต้องรักษารูปพยัญชนะทั้งสองตัวนี้ไว้ในระบบพยัญชนะไทย
ลำดับแรกต้องทำความเข้าใจความหมายของ “พยัญชนะ” ก่อนว่าหมายถึง เสียงที่เปล่งออกมาโดยใช้อวัยวะส่วนต่างๆ ในปากและคอ เมื่อพยัญชนะคือเสียงที่เปล่งออกมาครั้งโดยใช้อวัยวะต่างๆ ในปากและลำคอเป็นตัวกล่อมเกลาทำให้เสียงที่เปล่งออกมามีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นการถ่ายทอดสัญญาณเสียงให้เป็นลายลักษณ์นั้นจึงต้องประดิษฐ์หรือสร้างสัญลักษณ์ขึ้นมาสำหรับแทนเสียงนั้น รูปพยัญชนะจึงเป็นสัญลักษณ์ที่ประดิษฐ์ขึ้นสำหรับใช้สื่อสารแทนเสียงที่เปล่งออกมา พยัญชนะหนึ่งตัวมีหน้าที่แทนเสียงหนึ่งเสียง ในภาษาไทยเรามีรูปพยัญชนะ ๔๔ รูป จึงอนุมานได้ว่าในสมัยเมื่อครั้งที่ประดิษฐ์ตัวอักษรไทยนั้นต้องมีเสียงพยัญชนะที่ออกเสียงต่างกันถึง ๔๔ เสียงจึงต้องประดิษฐ์รูปพยัญชนะถึง ๔๔ รูป เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนเสียงทั้ง ๔๔ เสียงนั้น ด้วยหลักการนี้จึงอธิบายได้ว่า ในอดีตเสียงของพยัญชนะ ฃ ต้องไม่เหมือนกับเสียงพยัญชนะ ข และเสียงพยัญชนะ ฅ ต้องไม่เหมือนกับเสียงพยัญชนะ ค อย่างในปัจจุบันแน่นอน
เมื่อศึกษาลักษณะทางสัทศาสตร์หรือลักษณะการออกเสียงของพยัญชนะ ข ฃ ค และ ฅ พบว่ามีความแต่งต่างกันดังนี้ พยัญชนะ ข และ ค เป็นเสียงกัก ไม่ก้อง มีลม เวลาออกเสียงพยัญชนะสองตัวนี้ โคนลิ้นจะยกตัวขึ้นติดเพดานอ่อนในช่องปาก แต่มีความแตกต่างกันตรงที่เวาลาออกสียงพยัญชนะ ค เราจะออกเสียงเป็นเสียงต่ำ แต่เวลาออกเสียงพยัญชนะ ข เราจะออกเสียงเป็นเสียงสูง ในทางภาษาศาสตร์ใช้สัญลักษณ์ /k/ แทนเสียงของพยัญชนะสองตัวนี้
ลักษณะทางสัทศาสตร์หรือลักษณะการออกเสียงพยัญชนะ ฃ และ ฅ นั้น เนื่องจากปัจจุบันไม่มีตัวอย่างเสียงพยัญชนะสองเสียงนี้แล้ว เสียงพยัญชนะทั้งสองตัวนี้ได้แปรไปเป็นเสียงเดียวกับพยัญชนะ ข และ ค ตามลำดับ ต้องอาศัยการศึกษาเชิงประวัติจึงจะทำให้ทราบลักษณะเสียงเดิมของพยัญชนะทั้งสองตัวนี้ ซึ่งพบว่าพยัญชนะทั้งสองตัวนี้ออกเสียงแตกต่างกับพยัญชนะ ข และ ค ตรงที่เสียงพยัญชนะ ฃ และ ฅ นั้นออกเสียงลึกกว่าเสียงพยัญชนะ ข และ ค คือ เวลาออกเสียงพยัญชนะ ฃ และ ฅ นั้นโคนลิ้นจะแตะกับส่วนที่อยู่ลึกถัดจากเพดานอ่อนเข้าไปในช่องปากอีก ซึ่งเป็นเสียงที่ออกยาก และไม่มีเสียงพยัญชนะตัวอื่นๆ ในภาษาไทยที่มีฐานกรณ์ลึก หรือออกเสียงลึกใกล้เคียงกับพยัญชนะสองตัวนี้มาช่วยยึดเหนี่ยวเสียงเอาไว้ จึงเป็นผลให้เสียงพยัญชนะสองตัวนี้แปรสภาพไปตามธรรมชาติของการออกเสียง โดยขยับฐานกรณ์หรืออวัยวะที่ใช้การการออกเสียงสองเสียงนี้ให้มาอยู่ในตำแหน่งที่ตื้นขึ้นมาซึ่งตรงกับตำแหน่งเพดานอ่อน ทำให้เสียงสองเสียงนี้แปรไปเป็นเสียงเดียวกับเสียงพยัญชนะ ข และ ค ในที่สุด สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นสาเหตุเดียวกับการเปลี่ยนแปลงเสียงพยัญชนะตัวอื่นๆ ในภาษาไทยปัจจุบันที่มีเสียงซ้ำกัน แต่กลับมีรูปเขียนที่แตกต่างกัน เช่น ชุดพยัญชนะเสียง /th/ ได้แก่ ฑ ฒ ท ธ ชุดพยัญชนะเสียง /n/ ได้แก่ ณ น เป็นต้น
เมื่อเสียงของพยัญชนะ ฃ และ ฅ ได้กลายเป็นเสียงเดียวกับเสียงพยัญชนะตัว ข และ ค ไปแล้ว จึงเป็นเหตุให้รูปคำที่เขียนด้วยพยัญชนะฃ และ ฅ เปลี่ยนไปใช้รูปพยัญชนะที่เป็นเสียงแปรตามไปด้วย โดยปรากฏหลักฐานการเลิกใช้พยัญชนะ ฃ และ ฅ อย่างชัดเจนตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๔๕ ในพจนานุกรมฉบับพระยาปริยัติธรรมาดา (แพ ตาละลักษณ์) ร.ศ.๑๒๐ ว่าไม่มีการใช้พยัญชนะสองตัวนี้ในการเขียนสะกดคำแล้ว
เมื่อทราบแล้วว่าเสียงพยัญชนะ ฃ และ ฅ แต่เดิมเป็นคนละเสียงกับพยัญชนะ ข และ ค ดังนั้นต้องปรากฏรูปคำที่ใช้พยัญชนะ ฃ และ ฅ ในอตีตอย่างแน่นอน หากศึกษาศิลาจารึกหลักต่างๆ ในสมัยสุโขทัยจะพบว่า มีการใช้ ฃ สะกดคำทั้งหมด ๑๑ คำ และมีการใช้ ฅ สะกดคำทั้งหมด ๑๑ คำ เช่นกัน ดังนี้
คำที่ใช้พยัญชนะ ฃ สะกด ฃับ (ขับร้อง) ฃ้า (ฆ่า) ฃาม (มะขาม) ฃาย (ขาย) เฃา (ภูเขา) เฃ้า (เข้า) ฃึ้น (ขึ้น) ฃอ (ตะขอ) ฃุน (ขุน) ฃวา (ขวา)
แฃวน (แขวน)
คำที่ใช้พยัญชนะ ฅ สะกด ฅอ (คอ) ฅ้อน (ค้อน) ฅา (คา – ขวางทางอยู่) ฅาบ (คาบ-ครั้ง) ฅำ (ค่ำ)
ฅีน (คืน) แฅน (ดูแคลน) แฅ่ง (หน้าแข้ง) แฅว (แคฺว) ฅวาม (ความ)
ฅวาง (คว้าง)
จะสังเกตเห็นว่าในจำนวน ๒๒ คำที่ใช้พยัญชนะ ฃ และ ฅ สะกดนั้นไม่ปรากฏคำว่า ฃวด ที่เป็นภาชนะบรรจุน้ำ และคำว่า ฅน หรือมนุษย์ อย่างที่สำนักพิมพ์บางแห่งพยามใช้ และรณรงค์ให้หันมาเขียนสะกดคำสองคำนี้ด้วยพยัญชนะ ฃ และ ฅ รวมอยู่ใน ๒๒ คำนั้นเลย จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจว่าสูตรการท่องจำพยัญชนะที่นักการศึกษากำหนดให้เด็กฝึกท่องจำว่า “ฃ ขวด ของเรา” และ “ฅ คนขึงขัง” นั้น ไปได้แนวเทียบคำมาจากที่ไหน และด้วยสูตรการท่องจำพยัญชนะสูตรนี้เองที่ทำให้เกิดความสับสนว่าในเมื่อเวลาท่องจำท่องเป็น ฃ ขวด และ ฅ คน แล้ว เหตุใดจึงไม่ใช้พยัญชนะทั้งสองตัวนี้ในการเขียนสะกดคำสองคำนี้ คำตอบก็คือเราไม่เคยใช้รูปพยัญชนะนี้เขียนสะกดคำสองคำนี้มาแต่เดิมอยู่แล้วดังที่ปรากฏหลักฐานในข้างต้น
กระนั้นแล้วเมื่อเสียงพยัญชนะทั้งสองตัวนี้ได้แปรไปเป็นเสียงเดียวกับเสียงพยัญชนะ ข และ ค โดยสมบูรณ์ในปัจจุบัน ไม่ปรากฏรูปคำที่ใช้พยัญชนะ ฃ และ ฅ สะกดอีกต่อไปแล้ว เหตุใดยังคงต้องรักษารูปพยัญชนะ ฃ และ ฅ ไว้ในระบบพยัญชนะภาษาไทยปัจจุบันอีก นั่นเป็นเพราะว่าการที่เรายังคงรูปพยัญชนะ ฃ และ ฅ ไว้ในระบบพยัญชนะไทยนั้นเป็นการรักษาสัญลักษณ์เชิงประวัติของระบบเสียงภาษาไทยไว้ เป็นการบอกให้คนยุคถัดไปได้รู้ว่า ครั้งหนึ่งระบบเสียงพยัญชนะไทยมีเสียงที่แตกต่างกัน ถึง ๔๔ เสียง เราเคยมีเสียงพยัญชนะที่คล้ายคลึงกับเสียง ข และ ค คือเสียงพยัญชนะที่เขียนแทนด้วย ฃ และ ฅ นั่นเอง แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าความรู้พื้นฐานเหล่านี้ไม่เป็นที่แพร่หลายหลาย ผู้สอนวิชาภาษาไทยในระดับเบื้องต้นบางคนยังไม่มีความรู้ในเรื่องเหล่านี้ จึงไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใดคนในสังคมจึงยังคงมีคำถามและข้อสงสัยเกี่ยวกับพยัญชนะ ฃ และ ฅ อยู่ทั่วไปในปัจจุบัน
กล่าวโดยสรุปในอดีตเสียงของพยัญชนะ ฃ และ ฅ เป็นคนละเสียงกับเสียงพยัญชนะ ข และ ค แต่เนื่องจากปัญหาเรื่องความลำบากในการออกเสียง และเหตุที่ไม่มีพยัญชนะตัวอื่นๆ ในภาษาไทยที่ออกเสียงคล้ายกับพยัญชนะสองเสียงนี้เป็นตัวยึดเสียงของพยัญชนะ ฃ และ ฅ ไว้ ทำให้เสียงของพยัญชนะสองตัวนี้แปรไปเป็นเสียงเดียวกับเสียงของพยัญชนะ ข และ ค ซึ่งออกเสียงคล้ายกัน แต่ทว่าง่ายออกเสียงง่ายกว่าในที่สุด ส่งผลให้การเขียนสะกดคำที่เคยใช้รูปพยัญชนะ ฃ และ ฅ เปลี่ยนไปใช้รูปพยัญชนะของเสียงแปรแทน แต่ถึงไม่ปรากฏรูปคำที่เขียนด้วยพยัญชนะทั้งสองตัวดังกล่าวในปัจจุบันแล้ว แต่เรายังคงรักษารูปพยัญชนะ ฃ และ ฅ ไว้ในระบบพยัญชนะไทยเพื่อเป็นการรักษาสัญลักษณ์เชิงประวัติของระบบเสียงพยัญชนะไทย
บรรณานุกรมกาญจนา นาคสกุล และคณะ.
บรรทัดฐานภาษาไทย เล่ม ๑. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, ๒๕๔๕.
นิตยา กาญจนะวรรณ.
ฃ (ฃวด) ฅ(ฅน) หายไปไหน ใน ภาษาไทยไนส์ตี้ส์. เชียงใหม่: สุริวงศ์บุ๊คเซนเตอร์, ๒๕๔๒.
ราชบัณฑิตยสถาน.
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒. กรุงเทพฯ: นามีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์, ๒๕๔๖.