Page 08 : เขิน
พี่เป็ดควานหารีโมทกุญแจในช่องวางแก้วน้ำ ก่อนจะกดปุ่มเพื่อเปิดประตูรั้วบ้านตัวเองอย่างคุ้นเคย วอลโว่คันงามขับวนลานน้ำพุขนาดย่อมแล้วมุ่งสู่ลานจอดรถของบ้าน ไม่ทันได้ดับเครื่องสนิท หมาบางแก้วตัวเบิ้มที่น้องจีจำได้ว่าชื่อ “สหกิจ” ก็พุ่งพรวดมารอต้อนรับ และตามมาด้วย “วิจิตรา” ยอร์คเชียเทอร์เรียขนเงาวับที่เดินนวยนาดมาแต่ไกล
โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!
หงิงงงงงงงง
น้องจีหดขาเข้ารถทันทีที่คุณสหกิจและคุณวิตราส่งเสียงทักทาย รอจนพี่เป็ดพาไอ้สองตัวนั้นไปเก็บในคอกเรียบร้อยถึงได้กล้าวิ่งไปรอหน้าประตู เจ้าของบ้านเดินตามมาแล้วพารุ่นน้องเดินเข้าไปในบ้านพร้อมกัน
“ป้าอยู่เปล่าอ่ะพี่เป็ด” แขกผู้มาเยือนเอ่ยถามด้วยความคุ้นเคย
“แม่อยู่ไหนๆ” ลูกชายตัวดีส่งเสียงเรียกลั่นบ้านจนคนมาด้วยต้องเตือนให้เบาเสียงลง
เสียงไมโครเวฟส่งสัญญาณสิ้นสุดการทำงาน พี่เป็ดเลยพาน้องจีไปที่ห้องครัวซึ่งคาดว่ามารดาของตนจะอยู่ที่นั่น “แม่ทำไรอ่ะ ผมพาไอ้จีมาเที่ยว”
บอกแม่เสร็จก็มุดหัวเข้าตู้เย็น ก่อนจะออกมาพร้อมน้ำผลไม้ปั่น และจานใส่องุ่นแดงลูกโต คุณแม่เท้าเอวมองลูกชายคนเดียวของบ้านแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ “ไปล้างมือก่อนเลยตาเป็ด!!” ก่อนจะก็หันมาสนใจเพื่อนลูกต่อ
“น้องจี วันนี้ป้าทำชินนาม่อนโรลล์ ตอนแรกจะฝากเจ้าเป็ดไปให้ชิมกันที่ออฟฟิศ แต่มาก็ดีแล้ว กินตอนร้อนๆ อร่อยกว่านะลูก” คนได้ฟังพยักหน้ายิ้มรับ มาทีไรพุงกางกลับไปทุกที แบบนี้จะไม่ให้อยากมาบ้านไอ้พี่เป็ดได้ไง หุหุ
“ล้างมือแล้วววว ขอยกข้าวไปกินห้องสุนทรีฯ นะแม่” ไม่ทันได้รอฟังคำตอบ เจ้าของบ้านก็สั่งให้ลูกน้องนอกเวลางานขนเสบียงบนโต๊ะกินข้าวไปยังส่วนที่ใช้พักผ่อนของบ้าน หรือที่พี่เป็ดมันนิยามว่าเป็น ‘สุนทรียสถาน’ ซึ่งมีทีวีจอยักษ์พร้อมอุปกรณ์เพื่อความบันเทิงครบครัน
“อยากดูหนังง่ะ” น้องจีกระโดดตุบไปยังชั้นดีวีดีมุมห้อง บ้านพี่เป็ดนี่ถือเป็นความบันเทิงอันดับต้นๆ เลยนะ สระว่ายน้ำ โฮมเธียเตอร์ ห้องนอนก็ใหญ่ยังกะโรงแรม ขนมนมเนยเพียบ แม่ก็สวย หมามันก็หน้าตาดี ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพี่แกต้องกลับมานอนที่บ้านทุกวัน
เซลส์นัมเบอร์วันเท้าคางมองไอ้ตัวเตี้ยที่เขย่งเท้าเลือกดีวีดีอยู่ตรงหน้า ไอ้จีมันเหมือนเด็กไม่ยอมโต จำได้ว่าตอนแรกที่มาฝึกงานในตำแหน่งเซลส์ซับพอร์ตมันก็เป็นแบบนี้แหละ ตัวกะเปี๊ยก หน้าขาวๆ ปากแดงๆ วันที่เจอมันเดินเตร่อยู่แถวออฟฟิศเพราะโดนเด้งจากหอที่จองไว้แล้วก็นึกสงสาร เด็กต่างจังหวัดที่เติบโตมากับโลกแสนสงบสุข คงไม่คุ้นชินกับเหลี่ยมแหลมคมของเมืองกรุงหรอก แต่เพราะมันเป็นคนอย่างนี้ ซื่อๆ บื้อๆ กับตาแป๋วๆ ดูแล้วไม่มีพิษมีภัย ใครเห็นก็อยากจะช่วยเหลือ ไม่งั้นเขาคงไม่ชวนมันมาพักอยู่บ้านนานเป็นเดือนๆ
“ดูเชอร์ล็อคโฮห์มส์นะ” มือเล็กแกว่งกล่องหนังไปมา เจ้าของบ้านพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต ปล่อยให้คนอยากดูไปจัดการเปิดเครื่องทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงเรียกมันมากินข้าวด้วยกัน
“วันนี้แม่ทำมะระยัดไส้ด้วย ยังกะรู้ว่ามึงจะมา” พี่เป็ดชี้ไปที่ถ้วยใบหนึ่ง ข้างกันมีผัดเผ็ดหมูป่า ยำสามกรอบ และกุนเชียงทอด กับข้าวหลากหลายชนิดที่แม่ทำ จริงๆ แล้วก็กินกันอยู่สองคนแม่ลูกเท่านั้น บางทีก็แอบคิดว่า จะมีบ้านสามชั้นไปทำไม ถ้าวันๆ จะอยู่กันสองคนเท่านี้
แขกของบ้านตักอาหารโปรดใส่จานตัวเอง ขณะที่ตาก็จ้องทีวีจอยักษ์ไปด้วย จริงๆ เรื่องนี้ไปดูในโรงมาแล้วแหละ แต่ชอบมาก ให้ดูอีกสามรอบก็ยังได้ เฮ้ย! กล่องพัสดุที่ผู้หญิงถือมันมีระเบิดใช่ป่ะวะ เฮ่ย เฮ่ย โอ้ยยย โฮห์มส์อย่างเท่เลยว่ะ หลบเว้ย เฮ้ย ตำรวจมาๆๆ
“ไอ้จี!” คนกำลังอินกับฉากต่อสู้ในจอถึงกับสะดุ้งสุดตัว ไอ้พี่เปรตแม่ง.... ฮึ่ยยย
“กินข้าวด้วยสิวะ ดูแล้วไม่ใช่รึไงเรื่องเนี้ย” คนอายุมากกว่าเอ่ยเสียงดุ ก็จำได้ว่าไปดูด้วยกัน มึงยังจะอินได้อีกเรอะ
พอโดนว่ามาอย่างนั้น น้องจีเลยรีบๆ กินข้าวให้หมด จากที่เคยคาบช้อนคาปาก กลายเป็นตักคำโตๆ ส่งเข้าปาก เคี้ยวสองสามทีแล้วกลืน จนพี่เป็ดเห็นแล้วอยากจะโบกหัวทุยๆ นั่นสักทีด้วยความหมั่นไส้
“ไม่ต้องรีบกิน เดี๋ยวกูก็ปิดซะเลยนี่” พอเจ้าของบ้านทำท่าจะลุกไปที่เครื่องเล่น น้องจีเลยคว้ามือคนคิดจริงทำจริงไว้อย่างรวดเร็ว
“เอ่อ...กู..ไม่ปิดแล้วก็ได้โว้ย!” พอเจอสายตาลูกหมาขี้อ้อนเข้าไป สุดท้ายคุณวิทยากรก็ต้องกลับมานั่งประจำที่เดิม พลางส่งองุ่นแดงเข้าปากแก้เก้อ ไอ้จี...คุณวิจิตราบ้านกูยังทำตาแบบนั้นไม่เป็นเลยนะ มึงนี่เป็นคนแท้ๆ เสือกทำหน้าเหมือนหมาได้ เฮ้อ....
ภาพยนตร์บนจอเล่นมาถึงท้ายเรื่อง น้องจีที่ตอนนี้ย้ายตัวเองไปนอนกลิ้งบนโซฟานุ่มกำลังยกหมอนขึ้นมาปิดหน้า แต่พักเดียวก็เอาลง แล้วก็ยกขึ้นมาใหม่ พี่เป็ดมองอยู่นานจนทนความรำคาญไม่ไหว “เป็นไรวะจี”
คนกอดหมอนแน่นตอบทั้งๆ ที่ตายังไม่ละจากจอ “เขินนนนน”
“ฮะ??” พี่เป็ดทำเสียงไม่เข้าใจ เขินอะไร ไหน ในเรื่องก็ไม่มีอะไรนี่ ฉากตามล่าคนเนี่ยนะ เขิน?
“ไม่เห็นมีไรเลย” เจ้าของบ้านวางไอแพดลงกับโต๊ะเพื่อตั้งใจดูหนังในจออย่างจริงจัง
“อ๊ากกกกกก >.<” ร่างเล็กบนโซฟาสกรีมเบาๆ แม้ไฟในห้องจะถูกหรี่แสง แต่พี่เป็ดก็ยังเห็นว่าแก้มขาวๆ นั้นขึ้นสีแดงระเรื่อ
เมื่อหันกลับไปมองจออีกครั้ง คราวนี้เซลส์นัมเบอร์วันถึงเข้าใจว่าไอ้เปี๊ยกมันเขินอะไร...
มึงเขินฉากผู้ชายเต้นรำกันเหรอวะไอ้จี๊!!…………. Gayscale Magazine………….
บก.เอ้กำลังอยากระเบิดร่างตัวเองในทุ่งข้าวสาลี เพื่อชีวิตนี้จะกลายเป็นโกโก้ครันช์ไม่ต้องผุดต้องเกิดอีกเลย เพราะนับตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาออฟฟิศ ยังไม่มีสักนาทีที่บก.คนนี้จะได้หยุดพักจากปัญหา เริ่มจาก...
“ทีมเซลส์มีความยินดีที่จะแจ้งให้ทราบว่า รถยนต์ยี่ห้อ X ต้องการซื้อปกหน้า.... ที่รอยาสีฟันยี่ห้อ Y คอนเฟิร์มกลับอยู่ครับ”
เยี่ยม... ทีไอ้เล่มก่อนๆ นี่ปกว่างขนาดให้ไอ้สิปป์ไปเต้นบัลเล่ต์ได้ ไม่ยักกะมีใครสนใจ เสือกมาแย่งกันลงแบบเฉพาะเจาะจงว่าเล่มนี้เท่านั้น! จะให้ยาสีฟัน ก็ดันไม่ชัวร์ว่าจะซื้อ จะยกให้รถยนต์ ก็ดูจะหักหน้าลูกค้าที่จองก่อนเกินไป ตังค์ก็อยากได้ ลูกค้าก็อยากรักษา เดี๋ยวแม่เอายาสีฟันป้ายหน้ารถซะเลยนี่
คิดอะไรไม่ออก บก.เอ้ก็หยิบอายไลเนอร์มาเขียนตาแก้เครียด แต่ลากเส้นไปได้ไม่ถึงครึ่งลูกตาดำ ปัญหาก็วิ่งเข้ามาอีก เมื่อพ่อนักเขียนที่เคารพรักทำท่าจะฆ่าท่านกราฟิกเทวดาทิ้ง เรื่องของเรื่องคือไอ้พี่เก็ตจัดวางตัวอย่างหน้าโฆษณาบ้านพักอัมพวาไม่ถูกใจ ซึ่งจุดนี้บก.พอเข้าใจว่าไม่ใช่แค่ไม่ถูกใจนักเขียน แต่มันหมายถึงไม่ถูกใจคนทั้งโลกนี่แหละ
“เก๊ตตตตต!! แบบนี้ไอ้สิปป์จะอดหลับอดนอนเขียนทำไม ถ้าตัวหนังสือจะเล็กเป็นธุลีดินแบบนี๊!” หลังเดินเข้าไปห้ามทัพ บก.เลยได้ร่วมอารมณ์เสียด้วยอีกคน นี่ไม่ใช่ความติสท์แล้ว แต่มันเป็นอีโก้โง่ๆ ที่มึงแบกไว้บนบ่าชัดๆ
“ก็แล้วจะให้เก็ตทำไง ทำไมไม่บอกแต่แรกล่ะว่าจะเอาขนาดเท่าไร จ้างมาเป็นกราฟิกก็ต้องเคารพไอเดียเก็ตสิ” โอตาคุหน้ามึนทำเหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับผลงานของตัวเอง
“ถ้ากูต้องบอกมึงละเอียดขนาดนั้น กูให้พี่เอ้จ้างกูทำกราฟิกด้วยเลยดีมั้ย มึงคิดมั่งว่าเนื้อมันมีมาให้อ่าน ไม่ได้เอาไว้ประดับให้รกหน้ากระดาษเฉยๆ แล้วตรงนี้มึงจะเว้นปลูกต้นลำพูเหรอ เหลือตั้งเยอะก็ขยายพื้นที่เนื้อหาออกไปดิ่” สิปป์ศิลป์ร่ายยาวแบบไม่วรรคหายใจ อย่าให้กูด่านะ อย่า...
“เว้นไว้พักสายตา” กราฟิกมองพื้นที่ขาวโล่งในหน้ากระดาษแล้วบอกแบบไม่แคร์ ก็ทำไมล่ะ เว้นไว้แล้วมันสวยนี่ จะให้วางติดกันเป็นพรืดเลยหรือไง
“เก็ต...ฟังพี่ งานนี้เป็นแอดโว ลูกค้าต้องการเนื้อหา ย้ำ ลูกค้าต้องการเนื้อหาด้วย เพราะฉะนั้นขยายพื้นที่บทความ เ ดี๋ ย ว นี้ !” พี่เอ้ยื่นคำขาดแล้วไม่รอฟังความเห็นของคนจัดหน้าอีก หากไม่วายได้ยินเสียงมนุษย์อีโก้ตะโกนตามมา
“ส่งไปให้ลูกค้าดูก่อน ถ้าเค้าไม่โอเคเดี๋ยวเก็ตค่อยแก้ตอนวางเลย์เอาท์จริง”
“ไอ้เก็ต!!” เจ้าของบทความยืนตัวสั่นด้วยความโกรธ ถ้าวันนี้กูไม่ได้เด็ดหัวมึงทิ้ง อย่าเรียกกูว่าสิปป์ศิลป์!!
“สิปป์!” ตากล้องที่นั่งสังเกตการณ์อยู่ข้างนอกถลาเข้ามาดึงแขนนักเขียนเลือดร้อนไว้ได้ทัน ก่อนที่จะเกิดคดีฆาตกรรมขึ้น
“ใจเย็น ออกไปก่อนนะ” คนเลือดขึ้นหน้ายอมเดินตามเพื่อนสนิทออกมาสงบจิตสงบใจข้างนอก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อยากบีบคอไอ้กราฟิกแล้วจับมันสไตรค์ไปกับราวระเบียงพร้อมสาปแช่งให้มันโดนไล่ออกเร็วๆ
“อ่ะ กินหนมซะ จะได้อารมณ์ดี” เมตตายื่นกล่องชินนาม่อนโรลล์ที่พี่เป็ดเอามาฝากเมื่อเช้าให้คนโมโห
ก่อนจะคว้าเป็ปซี่กระป๋องมาเปิดต่อ “อ่ะ น้ำ”
ไม่ทันที่อีกคนจะหยิบเข้าปาก เมตตาก็ค้นลิ้นชักโต๊ะแล้วหยิบช็อกโกแลตแท่งออกมาอีก “คิทแคท”
“แอปเปิ้ลเขียว” จากโต๊ะพี่พุด
“ฮาร์ทบีท” จากซอกหลืบในกระเป๋า
“นี่...พาราสองเม็ด”
“เฮ้ยยยย! กูโมโห แต่ไม่ได้หิว มาซะเต็มเลย” คนโวยวายมองสารพัดของกินบนโต๊ะแล้วก็ต้องปล่อยยิ้มออกมา
พอเห็นอีกคนเริ่มยิ้มได้ คนช่างเอาใจก็พลอยยิ้มตามไปด้วย “ก็เห็นอารมณ์ดีทุกทีที่ได้กินนี่”
“บ้า!” มึงว่ากูเห็นแก่กินใช่ม้ายยยย
สิ่งที่เมตตาเห็น : “บ้า” เสียงห้าวพึมพำหากริมฝีปากกลับคลี่ยิ้มกว้าง
สิ่งที่คนทั่วไปเห็น : “บ้า” เสียงห้าวพึมพำหากริมฝีปากกลับคลี่ยิ้มกว้าง
สิ่งที่บก.เอ้เห็น : “บ้า” เสียงหวานพึมพำพร้อมใบหน้าขาวที่ขึ้นสีระเรื่อด้วยความเขิน อ่า....ดีนะที่ยังไม่กลายเป็นโกโก้ครันช์ ไม่งั้นคงไม่ได้ฟินแบบนี้ >.< //บก.เอ้สกรีมในใจTBC.
//ตอนแรกจะมาสั้นๆ แค่พี่เป็ดกะน้องจี แต่มันสั้นเกิ๊น เลยเพิ่มพ้องเพื่อนที่เหลืออีกนิดหน่อย คนเขียนหาย(หัว)ไปนานอีกแล้ว อย่าโกรธกัน นะ นะ
เจอกันตอนหน้าคร๊าาา