ตอน 36
ใครต่อใครต่างบอกกันว่า ฟ้าหลังฝนมักแจ่มใสเสมอ แต่สำหรับบีมและครอบครัวคงไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อปัญหาเรื่องหนึ่งจบเรื่องต่อไปก็ตามมา
เพราะพวกเราไม่อาจหนีพ้น ‘ความมั่นคงของชีวิตคู่’ ไปได้
ซึ่งความมั่นคงที่ว่า..
ไม่มีอยู่จริงในประเทศนี้เลย
“บีม.. กับนัทมั่นใจแล้วใช่ไหม” แม่เรียกบีมเข้ามาถามในห้องนอนของท่าน ราวกับต้องการพูดคุยเป็นการส่วนตัว หลังจากครุ่นคิดเป็นเวลาหลายวัน
ขณะที่บีมได้แต่นั่งเงียบงันบนพื้นไม้ขัดเงา เพราะยังวางตัวไม่ถูก
“คือแม่หมายถึงชีวิตคู่ของบีมกับนัทหลังจากนี้ มั่นใจแล้วใช่ไหม กฎหมายไม่ได้เอื้ออำนวยให้เราสร้างอนาคตร่วมกันได้ จัดการทรัพย์สินร่วมกันก็ไม่ได้ เซ็นยินยอมการรักษาพยาบาลยามเกิดเหตุฉุกเฉินก็ไม่ได้ แม้กระทั่งจัดการพิธีศพยังทำไม่ได้เลย”
“...”
“ที่แม่พูดไม่ใช่ว่าแม่แช่งชักหักกระดูกหรอกนะ แต่แม่จำเป็นต้องพูดให้บีมรู้ว่าต้องเจอกับอะไร เพราะชีวิตคู่ของบีมกับนัทไม่มีอะไรเป็นหลักประกันได้เลยว่าทุกอย่างจะไม่เลื่อนลอย”
คำพูดของแม่บ่งบอกได้ดีว่า แม่ใช้เวลาอันเงียบสงบหลังจากเปิดอกคุยกันให้เป็นประโยชน์ ด้วยการหาข้อมูลเกี่ยวกับ LGBTQ+ จนกระทั่งพบว่าสวัสดิการต่าง ๆ ที่ควรเสริมสร้างความมั่นคงต่อชีวิตคู่ไม่มีเลยสักอย่าง
ความกังวลของพ่อกับแม่จึงยิ่งท่วมท้น
คล้ายกับปัญหาไม่มีวันมอดดับ
“คบหากันไป สถานะของบีมในทางกฎหมายก็เป็นได้แค่คนอื่น ไม่ใช่คู่ชีวิตอย่างที่ควรเป็น” สิ้นคำเตือนอันหวังดีของแม่ บีมได้แต่นั่งเงียบงันบนพื้นไม้ขัดเงา เพราะความเลื่อนลอยเหล่านี้คือสิ่งที่บีมเคยกังวล
และยังเห็นได้ชัดเมื่อบีมประสบอุบัติเหตุจากการเดินละเมอจนเกือบถึงแก่ชีวิต เพราะถ้าหากบีมเป็นอะไรไปจริง ๆ คุณนัทคงกลายเป็นเพียง ‘คนอื่น’ ในทางกฎหมาย แต่ความจริงแล้วคุณนัทคือบุคคลสำคัญในการดูแลความเป็นอยู่ของบีม
โดยจะมีผลต่อเนื่องไปอีกว่า ทรัพย์สินระหว่างบีมกับคุณนัทจะจัดการกันอย่างไร เพราะก่อนกลับบ้านบีมดำเนินการให้คุณนัทเป็นผู้ถือหุ้นคนสำคัญของห้องเสื้ออิสระ จึงมีสิทธิ์จัดการเงินทองและบริหารงานภายในเทียบเท่ากับบีม
ไหนจะยังมีแพลนการซื้อที่ดินเพื่อสร้างบ้านและหาพื้นที่ประกอบธุรกิจร่วมกันโดยให้เจ้าบ้านเป็นชื่อบีมอีก หากดำเนินการสำเร็จ และผ้าลูกไม้ในวันนั้นไม่ได้ฉีกขาด..
ผลประโยชน์ในส่วนนี้..
ยังจะอยู่ในมือของคุณนัทหรือเปล่า.. ไม่มีทางรู้เลย..
“บีมทราบครับ” เจ้าของห้องเสื้ออิสระได้แต่เอ่ยเสียงแผ่วพลางก้มหน้าไม่ยอมสบตาผู้เป็นแม่ ในใจสั่นระรัวด้วยความกังวล เพราะความห่วงใยของแม่กำลังแสดงออกอย่างชัดเจน
“บีม.. เงยหน้ามองแม่สิ”
“...” ทันทีที่ได้ยินเสียงถอนหายใจและคำพูดจาของแม่ บีมก็รีบเงยหน้าอย่างเชื่อฟัง
“แม่เรียนรู้ที่จะห่วงใยโดยที่ไม่ต้องทำร้ายบีมทางอ้อมแล้ว แม่ไม่ขอให้บีมเลิกกับนัทหรอก เพราะพ่อกับแม่เข้าใจแล้วว่า นัทคือคนที่บีมไม่สามารถปล่อยมือได้ ในมุมมองของพ่อกับแม่ก็เห็นว่าจริงตามนั้น แต่แม่อดเป็นกังวลกับอนาคตอันไม่แน่นอนของความสัมพันธ์ในรูปแบบนี้ไม่ได้”
“แม่ครับ.. เดิมทีบีมไม่ได้คาดคิดว่าจะมีโอกาสใช้ชีวิตคู่อย่างทุกวันนี้ แต่พอได้ลองแล้ว รสชาติและสีสันของมันเหมือนลูกกวาดในเวลาที่เรามีความสุข ส่วนเวลาที่เราเป็นทุกข์บีมรู้สึกว่ามันคือแรงผลักดันที่ทำให้บีมมองเห็นความสุขตรงปลายเส้นทางที่เต็มไปด้วยขวากหนาม”
“...”
“ถึงมันจะเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่มีชื่อเรียกในทางกฎหมาย แต่มันก็เป็นความสัมพันธ์ที่ดีต่อใจนะครับ แล้วมันทำให้บีมอยากวางแผนครอบครัวของเราอย่างจริงจังขึ้นมา” บีมเปรยแพลนในอนาคตให้แม่ทราบอย่างไม่คิดปิดบัง
“แล้วครอบครัวของคุณนัท ดีกับบีมหรือเปล่า ?” แม่เอ่ยถามพลางยิ้มละไมกับคำตอบที่บีมกลั่นกรองออกมาจากหัวใจ
แต่ขณะเดียวกันก็ฉายแววกังวลอยู่ในที
“พวกท่านดีกับบีมมากครับ หลังจากเกิดเรื่องพวกท่านคอยพูดคุยเป็นเพื่อนบีม คอยให้กำลังใจเวลาที่บีมต้องกินยาแล้วเจอเอฟเฟคอันมหาศาล แถมยังเฝ้ารอวันที่บีมจะได้ใส่เดรสกระโปรงบานเต้นลีลาศใต้ต้นปีบอีกครั้ง” บีมพูดไปยิ้มไปบ่งบอกได้ดีว่ากำลังใจจาก ‘บ้านสวน’ ทำให้บีมหลงลืมความน่ากลัวของสิ่งที่ตนเคยเผชิญ
“ยิ่งพูดก็ยิ่งคิดถึงบ้านสวนของพวกท่านครับ”
“ได้ยินแบบนี้พ่อกับแม่ก็หมดห่วง” แม่เอื้อมมือมาลูบศีรษะของบีมด้วยความเอ็นดูพร้อมยิ้มด้วยความโล่งใจ บีมเลยพลอยยิ้มตามไปด้วย เมื่อได้รับไออุ่นที่ให้ความรู้สึกละมุนละไมกว่าที่เคยสัมผัส
“ก่อนกลับกรุงเทพ บีมกับนัทอยากให้พ่อกับแม่จัดงานแต่งอย่างเป็นทางการแบบที่รู้กันแค่ในครอบครัวของเราไหม อย่างน้อยจะได้เป็นหลักประกันให้นัทรักษาสัญญาว่าจะดูแลบีมในฐานะคู่ชีวิตต่อหน้าพ่อกับแม่”
“แม่จะจัดงานแต่งให้บีมจริง ๆ เหรอครับ” บีมเอ่ยถามด้วยความเหลือเชื่อ รอยยิ้มพลันฉีกกว้าง ขณะที่ในอกเต้นตุบ ๆ ราวกับจะระเบิดออกมา
เพราะคำถามของแม่..
ไม่ต่างจากเส้นไหมอันเหนียวแน่น ถูกตัดด้วยสองมือของบุพการี ส่งผลให้ความโล่งใจ ดีใจ ผสมปนเปจนบีมทำตัวไม่ถูก
“วันนั้นบีมใส่ชุดเจ้าสาวให้พ่อกับแม่ดูด้วยนะ” แม่รั้งฝ่ามือของบีมทั้งสองข้างวางลงบนตัก พร้อมกระชับแน่นอย่างต้องการคำตอบ
“ชุดของพี่แก้วเหรอครับ” บีมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เพราะลึก ๆ ในใจ บีมยังเกลียดชุดนั้นมาก แต่ก็ไม่อาจฉีกทึ้งด้วยความบ้าคลั่งอย่างใจคิด
มันจึงถูกจัดวางอย่างโดดเด่นอยู่บนหุ่นมูลาจตามเดิม
“แต่ถ้าบีมไม่สะดวกใจก็ไม่เป็นไรนะลูก แม่เข้าใจว่าชุดแต่งงานชุดนั้นสร้างบาดแผลในใจของบีมจนบอบช้ำ” แม่พูดด้วยสีหน้าไม่ดีนัก คงเพราะปฎิกิริยาของบีมที่มีต่อคำขอของแม่และคนบ้านสวนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“ลองดูก็ได้ครับ เพราะถึงอย่างไรบีมก็รักเสื้อผ้าทุกตัวที่บีมออกแบบ ยิ่งได้ใส่ในวันสำคัญ บีมอาจจะลดอคติที่มีต่อมันได้ง่ายขึ้น” บีมครุ่นคิดอยู่นาน จนกระทั่งตัดสินใจแน่วแน่ เพราะบางทีการตัดสินใจในครั้งนี้อาจเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้บีมกล้าที่จะรักผลงานของตัวเอง และไม่รู้สึกเสียดายเวลาในการตัดเย็บ
“แม่ขอโทษนะบีม แต่หลังจากนี้มันจะไม่ใช่ชุดแต่งงานอันไร้ค่าในสายตาของแม่อีกต่อไป เพราะมันจะเป็นชุดที่บีมต้องสวมใส่ในวันสำคัญของตัวเอง”
สิ้นคำพูดของแม่ทำให้บีมพอจะทราบความนัยที่แอบซ่อนภายใต้การจัดงานแต่งอันเหนือความคาดหมาย คงเพราะแม่ทราบดีว่าการกระทำของตัวเองส่งผลกระทบต่อสิ่งใดบ้าง แม่จึงอยากลบล้างความรู้สึกแย่ ๆ ด้วยงานสำคัญที่บีมไม่กล้าคิดฝัน
เมื่อหมดเรื่องคุยบีมก็ขอตัวกลับบ้านริมบึง เพราะมีความเป็นเอกเทศมากกว่า บีมจึงเดินลงจากชั้นสองของบ้านใหญ่ ย่ำผ่านเส้นทางอันเงียบเหงา
พบว่าคุณนัทกำลังนั่งทอดอารมณ์อยู่ตรงระเบียงริมบึง
“เป็นอย่างไรบ้างครับ” พออีกฝ่ายได้ยินเสียงพื้นไม้สะเทือนเลือนลั่นตามจังหวะการก้าวเดินก็รีบยิงคำถามใส่ด้วยความเป็นห่วง
“เหมือนผมจะหาจุดเริ่มต้นของการปลอดล็อกความรู้สึกแย่ ๆ ในอดีตเจอมั้งครับ” บีมเดินเข้าไปยืนเคียงข้างคนรักพร้อมวางมือลงบนระเบียงไม้ ขณะที่สายตาก็ทอดมองออกไปยังบึงบัวแดงที่มีนกอีแจวเดินเล่นอยู่บนใบบัว
“คุณหมายถึง.. ?” คุณนัทเอ่ยถามด้วยความสงสัยพร้อมทำคิ้วขมวดโดยไม่รู้ตัว
“ผมควรจะเปลี่ยนมาสวมแหวนตรงนิ้วนางข้างซ้ายพร้อมชุดแต่งงานที่ผมตัดเองได้สักที” บีมชายตามองคนรักพลางชูฝ่ามือข้างซ้ายให้อีกฝ่ายเห็นพร้อมขยับนิ้วไปมาด้วยรอยยิ้ม
“คุณพ่อกับคุณแม่ของคุณ..” คุณนัทเอื้อนเอ่ยด้วยความตะกุกตะกัก บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวกำลังดีใจมาก
“ยอมรับความสัมพันธ์ของเราแล้ว!” แต่แล้วสองเสียงระหว่างคู่รักก็สะท้อนออกมาในเวลาเดียวกัน ทำเอาใบหน้าที่มีรอยยิ้มยิ่งเบิกบานไปกันใหญ่
บริเวณบึงบัวแดงจึงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและเสียงตะโกนด้วยความดีใจ โดยที่ฝ่ายหนึ่งโอบอุ้มอีกฝ่ายหมุนไปรอบ ๆ ทิศทางอย่างร่าเริง
ขึ้นชื่อว่า ‘งานแต่ง’ ต่อให้จัดแบบรู้กันในครอบครัวก็ยังเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เพราะญาติผู้ใหญ่ทางฝั่งบีมและคุณนัทต่างก็อยากมีส่วนร่วมกันทั้งนั้น เพียงแต่เงื่อนไขในการจัดงาน บีมตกลงกับคุณนัทไว้แล้ว ว่าเราจะจัดกันก่อนกลับกรุงเทพ ไม่ได้เน้นความหรูหราอะไรมากมาย
เพราะงานแต่งสำหรับเราถือเป็นงานสำคัญทางจิตใจที่เป็นรูปธรรม ว่าเรากำลังจะใช้ชีวิตคู่กันอย่างจริงจัง โดยมีผู้ใหญ่รับรู้
แต่ไม่มีการจดทะเบียนสมรสอย่างที่เราใฝ่ฝัน
เราจึงตกลงกับผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายว่า ถ้าหากประเทศนี้อนุมัติให้สมรสเท่าเทียมผ่านเมื่อไร พวกเราจะจัดงานแต่งอย่างยิ่งใหญ่ตามที่ผู้ใหญ่ทางฝ่ายของคุณนัทร้องขอ เพราะงานสำคัญทางรูปธรรมนี้สามารถสร้างคอนเนกชันทางการค้าให้กับเครือคิมหันต์กรุ๊ปได้อย่างมากมาย
“ที่รักคุณขับดี ๆ สิ จะชนต้นไม้แล้ว” บีมตีลาดไหล่ของคุณนัทด้วยความตกใจ เมื่อมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างของแม่กำลังวิ่งเป๋ไปเป๋มา
“ผมพยายามแล้วนะ” คุณนัทโต้เถียงกลับมา บีมจึงได้แต่ยิ้มขำ เพราะเข้าใจดีว่าการขับขี่จักรยานยนต์ท่ามกลางสวนยางพาราเป็นอะไรที่เรียกได้ว่า ‘หินมาก’ เมื่อเส้นทางแสนจะขรุขระ ยามขึ้นเนินแสนจะยากเย็น แต่ยามลงเนินกลับประคองยาก
“ใกล้ถึงแล้วครับ” บีมที่นั่งอยู่ในรถพ่วงข้างชี้ไปยังทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยดอกหญ้าสีชมพูแสนเบาบาง จนไม่อาจต้านทานสายลมได้ มันจึงปลิดปลิวมาเกาะตามเสื้อผ้าหน้าผม
แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับคนสองคนเท่าไร เพราะพวกเขามีเป้าหมายที่จะนำดอกหญ้าเหล่านี้ไปประดับภายในบ้านริมบึง ตรงบริเวณประตูกระจกที่เคยเกิดเหตุอันตราย โดยคุณนัทเสนอให้ทำแบล็คดรอปปิดไว้ เพราะบีมยังไม่แน่ใจว่าที่ตรงนั้นจะส่งผลต่อความรู้สึกหวาดกลัวว่าจะไม่ปลอดภัยหรือเปล่า
ผ้าม่านจากผ้าลูกไม้จึงถูกนำออกมารังสรรค์พร้อมประดับไฟระยิบระยับท่ามกลางดอกหญ้าแพมพัสสีขาวฟูฟ่องที่ถูกจัดเข้าช่อกับดอกไม้ประดิษฐ์จากไส้มันสำปะหลังสีขาวนวลฝีมือแม่ที่ค่อนข้างทำยาก บีมกับคุณนัทเลยตัดสินใจออกตามหาดอกหญ้ามาเพิ่ม แม่จะได้ไม่เหนื่อยอีกทั้งงบประมาณในการจัดงานจะได้ไม่ต้องใช้เกินความจำเป็น
“ที่รัก..” ขณะที่บีมกำลังตั้งหน้าตั้งตาดึงกิ่งก้านของดอกหญ้าช่อบาง คุณนัทก็เอ่ยเรียก บีมจึงหันไปมองตามเสียง
“ฟู่ววว” เสียงเป่าปากดังพร้อมกับดอกหญ้าสีชมพูบนฝ่ามือใหญ่ปลิวว่อนใส่ใบหน้าของบีมเข้าอย่างจัง
“คนบ้า!” บีมอดสบถใส่คนรักไม่ได้ ขณะที่สองขาพลันวิ่งไล่อดีตชายหนุ่มมาดนักธุรกิจอย่างเอาเป็นเอาตาย จนกระทั่งไล่ตามทันช่อดอกหญ้าทั้งหมดในมือก็ฟาดเพียะลงบนแผ่นหลังของคนรักอย่างไม่เบามือ
ดอกหญ้าอันบางเบาจึงฟุ้งกระจายรอบตัวคนทั้งคู่..
ไม่ต่างจากความรักที่แสดงออกผ่านรอยยิ้มแห่งความสุขและเสียงหัวเราะ
กระทั่งยามเช้าของวันที่รอคอยมาถึง บีมอดตื่นเต้นไม่ได้ ยิ่งเฝ้ามองบรรยากาศสุดโรแมนติกบริเวณห้องตัดเสื้อ หัวใจของบีมก็ยิ่งเต้นรัว ฝ่ามือพลันเปิดปิดสวิตช์หลอดไฟดวงเล็กที่พ่อทำไว้
แสงสว่างสีเหลืองนวลจากหลอดไฟ LED สุดคลาสสิกก็สว่างวาบตามกำแพงและเพดานห้องจนถึงแบล็คดรอปที่มีตัวอักษร N & B จากซังข้าวโพดพันรัดด้วยหญ้าดอกชมพูที่ลงทุนไปเก็บมา
“ผมมีเรื่องน่าสนใจให้คุณพิจารณาตอนเข้าหอ” บีมสะดุ้งด้วยความตกใจ เมื่อจู่ ๆ คนรักที่เดินไปทางบ้านใหญ่ พุ่งเข้ามาโอบกอดพลางกระซิบเสียงแผ่ว
“ลูกเต๋าเสี่ยงทาย ?” บีมแบมือรับของสำคัญที่อีกฝ่ายยื่นให้ก่อนจะเงยหน้ามองว่าที่เจ้าบ่าวด้วยความสนใจและพลิกลูกเต๋าเพื่ออ่านข้อความ
“KISS”
“TOUCH”
“SUCK”
“มีอีกลูกหนึ่งครับ” คุณนัทกระซิบเสียงแผ่วพลางวางลูกเต๋าอีกอันลงบนฝ่ามือของบีม
“HAND”
“THIGH”
“ชักน่าสนใจแล้วสิครับ” บีมคลี่ยิ้มพลางยืดปลายเท้ากระซิบริมหูของนายท่านผู้สรรหาเรื่องสนุกมาให้เชยชม
“แต่ก่อนเพลย์.. ห้ามลืมกล้องวงจรปิดนะครับนายท่าน” บีมผละตัวออกห่างก่อนจะขยับปากไร้เสียง
เมื่ออีกฝ่ายหันมาให้ความสนใจ
ด้วยความที่มีเวลาเหลือเฟือ บีมจึงใช้เวลาหลังมื้อเช้าไปกับการออกแบบ ‘Garter’ หรือสายรัดต้นขาสำหรับเจ้าสาว เพื่อที่เวลาเพลย์จะได้ช่วยเสริมสร้างเสน่ห์ให้ตนเองมากขึ้น
ส่วนคุณนัทหายไปทำคะแนนกับพ่อแม่ของบีมอย่างวางใจ
เพราะบีมไม่มีอาการหวาดกลัวบรรยากาศในห้องตัดเสื้อเหมือนช่วงแรก
“ที่รักรีบแต่งตัวเร็ว วันนี้มีแขกมาร่วมงานด้วยนะ” กระทั่งบีมวางมือจากเครื่องประดับมาให้ความสนใจกับชุดแต่งงานที่เคยเป็นหนามตำใจ เสียงกระหืดกระหอบจากคุณนัทก็เรียกความสนใจจากบีมได้เป็นอย่างดี
“ใครครับ ?” บีมเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะไม่คาดคิดว่าพ่อกับแม่จะเชิญใครมาร่วมงาน
“พวกคุณลุงที่เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านกับภรรยาน่ะครับ” คุณนัทเฉลยพลางเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อนำชุดเจ้าบ่าวสไตล์คันทรีรัสติกที่มีเพียงเสื้อเชิ้ตแขนยาว เนคไท กางเกงสีครีม และเสื้อกั๊กสีน้ำตาลเข้ม
“แล้วพิธีการ ?” บีมเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะตอนแรกตั้งใจว่าจะสวมแหวนต่อหน้าพ่อกับแม่เท่านั้น
“ตามเดิมครับสวมแหวนแล้วก็เข้าหอ” คุณนัทตอบด้วยท่าทางทะเล้น ๆ เหมือนตอนอยู่ที่บ้านสวน
“ไม่มีกินเลี้ยง ?” บีมเอ่ยถามทีเล่นทีจริง ขณะปลดเสื้อผ้าที่เคยสวมใส่โดยไม่มีความเก้อเขิน จนกระทั่งชุดแต่งงานทรงเอไลน์แบบเกาะอกประดับอยู่บนเรือนร่าง
“ไม่มีครับ เพราะคุณแม่เปลี่ยนใจทำขนมมงคลไปแจกจ่ายให้คนงานแทน” คำตอบของคุณนัททำเอาบีมทำสีหน้าไม่ถูก
เพราะบีมไม่คิดเลยว่า..
แม่จะเล่นใหญ่ขนาดนี้
กระทั่งกำหนดการใกล้มาเยือน คุณนัทจึงวีดิโอคอลหาครอบครัวที่บ้านสวน บีมเลยทักทายพวกท่านเล็กน้อย เพราะวันนี้เป็นวันเดียวที่บีมได้เห็นคุณพ่อของคนรักมาร่วมเฟรมด้วย
“หลานย่าคนหนึ่งหล่อ คนหนึ่งแซ่บไม่เบา” คุณย่าออกปากล้อเลียนเมื่อสังเกตเห็นว่าชุดแต่งงานของบีมวันนี้ แม้จะเป็นเกาะอกที่ให้ความรู้สึกเรียบง่ายแต่ก็มีความเซ็กซี่อยู่ในที เพราะการตัดเย็บเน้นการใช้เสน่ห์ของผ้าลูกไม้ให้เป็นประโยชน์จนกลายเป็นว่า..
ท่ามกลางกลีบดอกไม้สีขาวสะอาดตา
กลับมีเกสรสีชมพูซ่อนเร้นได้อย่างแนบเนียน
“ย่าชอบไหม นัทชอบนะ” พอสมโอกาสคุณนัทก็โอบไหล่บีมอย่างแสดงความเป็นเจ้าของพร้อมยื่นหน้าเข้าไปถามญาติผู้ใหญ่เพียงเบา ๆ
“ชอบสิ บีมใส่อะไรก็สวย” พอได้ยินคำชมจากปากคุณย่า บีมก็ได้แต่ยิ้มหน้าบานจนต้องคว้าเวลมาปกปิดใบหน้า
“แขกมาแล้วเริ่มเลยดีกว่าบีม” คุณแม่กับคุณพ่อเดินเข้ามาพร้อมกับบรรดาแขกผู้มีเกียรติ บีมเลยได้แต่จัดแต่งผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวอย่างลวก ๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้สง่าราศีของคนสำคัญประจำงานลดลงเลย
“คุณใส่มันได้แน่นะ” คุณนัทกระซิบเพียงแผ่ว เพื่อย้ำถามความมั่นใจ เพราะการสวมเวลสำหรับบีมไม่ต่างจากการหวนกลับไปยังคืนฝันร้าย
“น่าจะได้ครับ” บีมกระซิบตอบอย่างไม่มั่นใจนัก แต่ก็ไม่มีเวลาแก้ไขอะไรแล้ว เพราะลุงช่วยกำลังรับหน้าที่เป็นพิธีกรดำเนินงาน ส่วนแม่และคุณนัทเดินไปยังส่วนจัดงานเรียบร้อยแล้ว
หัวใจของบีมเต้นระรัวจนไม่รู้ว่าเป็นเพราะเวลที่สวมใส่
หรือพิธีแต่งงานอันเรียบง่ายกันแน่
“คงจะตื่นเต้นมากสินะ ตอนพ่อกำลังเข้าพิธีแต่งงานกับแม่ พ่อก็ตื่นเต้นจนเหงื่อออกมือเหมือนกัน” ผู้ใหญ่หนุ่ยกล่าวพลางกระชับฝ่ามือของบีมให้แน่นขึ้นพร้อมส่งยิ้มให้กับลูกชายเพียงหนึ่งเดียวในชุดเจ้าสาว
“แล้วพ่อทำอย่างไรครับ” บีมเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ เพราะตอนนี้บีมต้องการที่พึ่งกว่าที่คิด เพราะในอกกำลังปั่นป่วนไปด้วยความสุขเหลือประมาณ
“สูดลมหายใจลึก ๆ แล้วก้าวเดินออกไป โดยที่สายตามองหาแต่แม่ของเราคนเดียว” คุณพ่อพูดพลางส่งสัญญาณให้บีมเกาะแขน เดินเข้าไปยังงานแต่งสไตล์คันทรีที่มีแต่แสงสีเหลืองนวลชวนอบอุ่น ส่งผลให้บีมที่อยู่แต่ในห้องนอนอันมืดมิดได้แต่หรี่ตามองบรรยากาศงานแต่งของตัวเองอย่างช้า ๆ จนกระทั่งสบกับใบหน้าของเจ้าบ่าว รอยยิ้มจึงเข้ามาแทนที่ความสั่นระริกของหัวใจ
“ลำดับต่อไปเชิญเจ้าบ่าวสวมแหวนให้กันครับ” สิ้นคำของลุงช่วยแม่ก็เดินถือพานใส่แหวนที่ประดับด้วยดอกไม้ประดิษฐ์จากไส้มันสำปะหลัง
“วันนี้ผมเปลี่ยนจากสวมกำไลเป็นสวมแหวนให้คุณแล้วนะ” คุณนัทกล่าวพลางเอื้อมไปหยิบแหวนเงินเกลี้ยงที่ภายในสลักตัวอักษร N & B ลงบนนิ้วนางข้างซ้ายด้วยรอยยิ้ม ขณะที่บีมได้แต่ยืนเก้กังด้วยความเก้อเขิน
“ขอบคุณนัทสิบีม” แม่กระซิบบอกเมื่อบีมยังคงไม่รู้ประสา
“ขอบคุณครับ” บีมก้มหน้าพลางพูดราวกับเสียงกระซิบ จากนั้นก็หันไปหยิบแหวนเงินวงที่ใหญ่กว่าข้อนิ้วของตนเองสวมลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของอีกฝ่ายที่ให้ความรู้สึกแข็งแกร่งจนสามารถหลอมละลายตัวตนของบีมได้ทุกเมื่อ
“ขอบคุณนะที่รัก” กระทั่งได้ยินถ้อยคำหวานหู ชวนเรียกร้องเสียงโห่แซวจากบรรดาแขกผู้มีเกียรติ บีมก็ยิ่งหน้าแดงไปกันใหญ่
“จูบเลย! จูบเลย! จูบเลย!” ยิ่งเสียงตะโกนเชียร์อันโจ่งแจ้งดังขึ้นเท่าไร บีมก็ยิ่งเลิ่กลั่กมากเท่านั้น เพราะบีมไม่เคยจูบคุณนัทต่อหน้าพ่อกับแม่
และไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสได้ทำแบบนั้นด้วย
“เจ้าบ่าวว่าอย่างไรครับ” ลุงช่วยเร่งรัดคุณนัทให้รีบตัดสินใจ บีมจึงเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างต้องการทำใจกับความเขินอาย
“ก็ต้องตามใจผู้มาร่วมงานสิครับ” คุณนัทหัวเราะด้วยความเก้อเขิน แต่ก็ยังเชยปลายคางของบีมให้อยู่ในระดับเดียวกัน ก่อนจะขยับใบหน้าเข้ามาใกล้จนโฟกัสทางสายตาพร่าเลือน
จากนั้นกลีบปากนุ่มหยุ่นของคุณนัทก็สัมผัสกับริมฝีปากของบีมอย่างแผ่วเบา ราวกับต้องการละเลียดของหวานแสนถูกใจอย่างทะนุถนอม เล่นเอาหัวใจของบีมเต้นระรัวกว่าที่คาดการณ์ไว้ รอบกายพลันเงียบสงัดคล้ายกับที่ตรงนี้มีเพียงคนสองคนที่กำลังแลกเปลี่ยนความหวานฉ่ำจนเกิดเสียงบดเบียดชวนเก้อเขิน
จนกระทั่งบีมได้สติก็รีบผละออกจากอ้อมกอดของคนรักที่ไม่รู้ว่ากักขังตนเองไว้ตั้งแต่เมื่อไร
“ลำดับต่อไปเชิญผู้ใหญ่หนุ่ยและคุณนุ้ยให้คำสอนสั่งแก่คู่บ่าวสาวด้วยครับ” สิ้นการดำเนินงานของลุงช่วยพ่อกับแม่ก็มายืนอยู่ตรงหน้า ส่วนบีมที่ตอนนี้พวงแก้มกำลังร้อนผ่าวได้แต่ก้มหน้าด้วยความวางตัวไม่ถูก
“ชีวิตคู่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหนก็ไม่ง่ายทั้งนั้น แค่ความรักไม่ช่วยให้เส้นทางอันสวยงามคงอยู่ได้ตลอดไป แต่เป็นความเข้าใจและการให้อภัยกันที่จะทำให้ความรักยังคงเติบโตอยู่ในใจ” คุณพ่อคว้าฝ่ามือของเราไปกอบกุมไว้ ขณะเอื้อนเอ่ยข้อคิดเตือนใจในวันมงคล พร้อมลูบฝ่ามือของเราเพียงแผ่ว ราวกับต้องการให้กำลังใจ เพราะท่านคงทราบดีว่าประเทศนี้ ไม่มีสิทธิประโยชน์อันเท่าเทียมอย่างคู่ชีวิตชายหญิง แถมอัตลักษณ์ของคอมมูนิตี้อย่างเรา ๆ ยังถูกนายทุนกลืนกินอย่างตะกลุมตะกลาม แต่ไม่มีส่วนช่วยให้สังคมเปิดกว้างอย่างจริงใจ
“นัท.. แม่ฝากดูแลบีมอย่างที่เคยทำมาตลอดนะลูก เพียงแต่การฝากคราวนี้แม่คงต้องใช้คำว่าตราบชั่วชีวิต เพราะแม่ไม่อาจปฏิเสธความจริงได้ว่า คนเราไม่ได้อยู่ยงคงกะพัน อีกอย่างบีมกับนัทใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเทพ คงมีแต่ต้องคอยดูแลกันและกันมากขึ้น ทั้งสองคนจะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขโดยไม่ต้องถูกความสูญเสียกลืนกิน”
“แม่มีอะไรอยากพูดอีกหลายอย่างเลย แต่แม่ก็เคยพูดกับบีมไปบ้างแล้ว ว่าแม่เป็นห่วงเรื่องที่บีมกับนัทต้องเผชิญกับความไม่เท่าเทียมของชีวิตคู่ เพราะฉะนั้นต้องดูแลกันดี ๆ นะลูก เราสองคนคงไม่อยากทุกข์ใจที่ไม่อาจเซ็นเอกสารต่าง ๆ ทางการแพทย์ในยามฉุกเฉินได้ใช่ไหม ลำพังพ่อกับแม่และญาติ ๆ ยังอยู่คงไม่เป็นไร แต่ถ้าหาก..” แม่พูดไปก็น้ำตาไหลอาบแก้มจนบีมต้องเอื้อมไปเช็ดให้ทั้งที่ฝ่ามือสั่นเทาและน้ำตากำลังไหลพรากเพราะบีมรู้ดีว่า เวลาหลังจากนี้คือความจริงที่ต้องเผชิญ ซึ่งบีมก็ไม่รู้ว่าสิทธิประโยชน์ในเรื่องที่น่ากลัวนี้จะถูกอนุมัติเมื่อไร
เพราะอนาคตเมื่อเราเติบโตจนต้องใช้ชีวิตเพียงลำพังด้วยกัน
มันคงน่าเศร้ามากหากไม่มีญาติผู้ใหญ่ที่มีสิทธิ์ในการจัดการหลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้..
--------------------------✁
ตอนแรกตั้งใจจะเขียนตอนนี้ให้เป็นตอนจบ แต่ว่าเหตุการณ์ที่อยากใส่มันเยอะเกินไป ก็เลยต้องยกการเพลย์ไปไว้อีกตอน และมันจะเป็นตอนจบที่สมบูรณ์ของเรื่องนี้จริง ๆ ค่ะ เพราะว่าตอนนี้ปัญหาทุกอย่างคลี่คลายแล้ว แต่ความลับของช่างตัดเสื้อก็ยังคงต้องเป็นความรับต่อไป เพราะมันคือรสนิยมที่พ่อกับแม่ไม่มีวันเข้าใจ แต่ถึงอย่างนั้นชีวิตของบีมก็เรียกได้ว่าปลดล็อกทุกอย่างแล้ว เพราะพ่อกับแม่ยอมรับความเป็นบีมได้ทั้งหมด พิธีแต่งงานเราพยายามจะทำให้เป็นแบบเรียบง่าย ไม่เน้นอะไรมาก เพราะในมุมมองของทั้งคู่มันเป็นแค่การประกาศการใช้ชีวิตร่วมกันให้คนอื่นทราบ แต่มุมมองของพ่อกับแม่มันเป็นการฝากฝังบีมไว้ในความดูแลของนัทอย่างเป็นทางการ ด้วยความที่ตัวละครในเรื่องมีความเป็นผู้ใหญ่และค่อนข้างคิดถึงอนาคตอย่างจริงจัง เราเลยใส่ประเด็นเกี่ยวกับสมรสเท่าเทียมลงไปด้วย เพราะบีมเคยเกือบเอาชีวิตไม่รอดมาแล้ว ดังนั้นปัญหาการเซ็นเอกสารยินยอมการรักษาจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่คิดไม่ได้เลยค่ะ เพราะทั้งสองคนใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่กรุงเทพ ส่วนครอบครัวอยู่ต่างจังหวัด และอย่างที่แม่บีมบอกค่ะว่าถ้าวันหนึ่งไม่มีพ่อกับแม่หรือญาติ ๆ แล้ว จะทำยังไง นั่นล่ะค่ะคือปัญหาที่น่ากังวล T^T
ตอนหน้าเจอกันกับฉากเพลย์ค่ะ แอบกระซิบว่าเรากำลังเตรียมรวมเล่มนะคะ จ้างวาดปก ของแถมต่าง ๆ ไปแล้ว เหลือแค่เขียนให้จบเท่านั้น!