◢ 조선에서 ณ โชซอน ◣บทที่ 13: ตกหลุมรัก[30/08/61]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ◢ 조선에서 ณ โชซอน ◣บทที่ 13: ตกหลุมรัก[30/08/61]  (อ่าน 12805 ครั้ง)

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะค่ะ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะค่ะ
สรุปข้อสำคัญดังนี้


1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้าม มิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอ ให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่ นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อ ความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


******************************************************


ณ โชซอน


หนึ่งบุรุษดำรงตำแหน่งจอมทัพแห่งแคว้นหลวง

อีกบุรุษเป็นเพียงท่านหมอจากแคว้นกบฏ

เมื่อลิขิตฟ้าชักพาให้พบพาน ‘จ้าวจื่อถง’ แม่ทัพหนุ่มซึ่งพลาดพลั้งในหน้าที่ ถูกกบฏลอบโจมตีจนตกหน้าผาบาดเจ็บสาหัสกลับรอดชีวิต เขาควรถูกทิ้งให้ตายอย่างอนาถที่ก้นหุบเขา หากแต่สวรรค์กลับประทานให้ ‘ลีจีซอง’ ท่านหมอแห่งแคว้นกบฏมาพบเจอ

เพราะเป็นหมอ ชีวิตของคนย่อมไม่แบ่งแยกว่าฝักฝ่ายไหน ลีจีซองพาจ้าวจื่อถงกลับมารักษาจนหายดี อีกทั้งยังให้อีกฝ่ายแกล้งบ้าใบ้เพื่อรักษาชีวิตให้รอดในแคว้นศัตรู ขณะที่จ้าวจื่อถงคิดเพียงจะชิงตัวองค์หญิงของแคว้นซึ่งเป็นบรรณาการแห่งแคว้นฉินกลับไปเพื่อกอบกู้เกียรติของวงศ์ตระกูลเท่านั้น

ทว่า...สวรรค์กลับเล่นตลกนัก ไม่เพียงแต่ที่เขาจะไม่ได้กลับโดยง่าย ดวงใจทุรยศยังปฏิพัทธ์ต่อท่านหมออย่างไม่สมควร

ท่ามกลางสมรภูมิระหว่างแว่นแคว้น ศัตรูที่รายล้อมลีจีซองก็ผุดพรายให้เห็นทีละน้อยพร้อมกับความลับที่ปกปิดไว้ เมื่อคนรักถูกปองร้าย จ้าวจื่อถงก็มิอาจอยู่เฉย

ตราบใดที่ฝ่าเท้าของเขายังยืนหยัดอยู่ ณ แผ่นดินโชซอน ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจแตะต้องคนรักของเขาได้แม้แต่ปลายเส้นผม!






TALK

จีนโบราณมีเยอะแล้ว เรื่องนี้มาเป็นเกาหลีโบราณกันบ้างค่ะ โทนเรื่องจะออกไปหวานๆ ในส่วนของความสัมพันธ์

แต่จะมีดราม่าพวกการเมืองนะคะ ไม่ปวดไต อ่านได้สบายยยย~



Twitter ติดแท็ก #ณโชซอน


******************************************************

สารบัญ
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-08-2018 14:56:50 โดย NooDangzz »

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Re: ◢ 조선에서 ณ โชซอน ◣
«ตอบ #1 เมื่อ11-06-2018 16:26:39 »

อารัมภบท

แววตาเลื่อนลอยจับจ้องไปยังผืนฟ้าเบื้องบน คำถามผุดพรายขึ้นในหัวราวกับดอกเห็ดผลิบานในวสันตฤดู

ข้าจะต้องมาตายในที่แห่งนี้เช่นนั้นหรือ?

หากแต่ไร้คำตอบจากสรรพเสียงรอบข้าง มีเพียงเสียงต้นหญ้าแห้งพัดไหวเมื่อต้องสายลมโบกโชย คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่ให้คำตอบได้

ชายหนุ่มกะพริบเปลือกตาซึ่งกรังไปด้วยหยาดโลหิตอย่างช้าๆ ปลายนิ้วพยายามเคลื่อนไหวแต่เป็นไปอย่างยากลำบากด้วยร่างกายร้าวรานจนปวดลึกลงไปถึงกระดูก

เพียงปลายนิ้วยังขยับได้ยากยิ่ง กะพริบตาเพียงครั้งก็เจ็บปวดแสนสาหัส สุดท้ายก็ทำได้เพียงนอนนิ่งรอให้มัจจุราชมาพรากดวงวิญญาณเขาไปจากกายเนื้อเท่านั้น

ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะต้องมาตายอย่างอนาถเช่นนี้...

ความหนักอึ้งพร่างพราย จิตใต้สำนึกยอมรับชะตากรรม คงสิ้นแล้วชื่อเสียงเรียงนามอันเลื่องระบือในสมรภูมิรบ แม้ว่าจะรู้แต่แรกแล้วว่าชะตากรรมคงไม่แคล้วมาทิ้งชีวิตไว้ที่สนามรบตั้งแต่ที่ตัดสินใจก้าวเข้าสู่กองทัพ ทว่าอย่างน้อยเขาก็ควรตายท่ามกลางศพไพร่พลทหารในกองร้อยของเขามากกว่าสิ้นใจในก้นหุบเหวลึกรกร้างเช่นนี้

สิ้นชีพเมื่ออายุยังน้อยเป็นเรื่องธรรมดาของคนสกุลจ้าว แต่สิ้นชีพเยี่ยงสุนัขจรน่าอดสูยิ่งกว่า ต่อให้กลายเป็นวิญญาณก็ไม่มีหน้าไปพบบรรพบุรุษในปรโลกเป็นแน่

ในหัวเอาแต่คิดครุ่นถึงเรื่องเกียรติยศของวงศ์ตระกูลที่เขารักษาไว้ไม่ได้ ไม่สนว่าร่างกายของตนจะบาดเจ็บแค่ไหน พลันน้ำตาหยดหนึ่งก็ไหลลู่จากหางตาด้วยเจ็บนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า เขาเป็นข้าผู้ซื่อสัตย์ ไยต้องมาพ่ายแพ้ให้กับกบฏทุรยศที่ลอบกัดกันด้วย...

สวรรค์... หากยังมีเมตตา ก็ขอให้ข้าได้มีชีวิตเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงตระกูลจ้าวอีกครั้ง

ในใจภาวนาอย่างสิ้นหวัง เสียงลมหวีดหวิวเข้าโสตประสาทราวกับเป็นการตอบรับจากเวหา ชายหนุ่มหลับตาลงอย่างเชื่องช้า ปล่อยให้สวรรค์ลิขิตชะตาชีวิตให้อย่างจำนน...

----------------------------

เรื่องนี้เป็นพีเรียดเกาหลียุคช่วงต้นโชซอนค่ะ อิงประวัติศาสตร์นิดหน่อย แต่ก็พลิกแพลงเยอะเช่นกัน ไม่ดราม่าความสัมพันธ์ แต่จะไปเน้นเรื่องการเมืองแทนเน้อ

ฝากเรื่องใหม่ด้วยจ้า

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Re: ◢ 조선에서 ณ โชซอน ◣
«ตอบ #2 เมื่อ11-06-2018 16:27:57 »

บทที่ 1: แม่ทัพสกุลจ้าว

เมื่อจักรวรรดิต้าหมิงเป็นใหญ่ในแผ่นดิน จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งแผ่นดินจีนก็แผ่อำนาจไพศาลไปทั่วทุกหย่อมหญ้า แว่นแคว้นน้อยใหญ่ต่างยอมตกอยู่ใต้อาณัติด้วยไม่สามารถต่อกรกับแสนยานุภาพอันท่วมท้นนี้ได้ ไม่เว้นแม้แต่อาณาจักรหนึ่งทางตอนใต้ที่มิอาจทนต่อการรุกรานของต้าหมิง ยอมตกเป็นเมืองระเทศราชอย่างไร้ทางเลือก

เมื่อถูกผนวกรวมเป็นหนึ่งเดียวในฐานะประเทศราช ก็ย่อมต้องเกี่ยวพันกันทางสายโลหิตเพื่อป้องกันการก่อกบฏในภายภาคหน้า องค์หญิงพระองค์สำคัญของอาณาจักรโชซอนซึ่งมีพระนามว่าเยจี หรือเยว่ฉีที่ชาวต้าหมิงเรียกขาน จึงถูกส่งตัวมาเป็นเครื่องบรรณาการ แม้จะเป็นองค์ประกันโดยนัย กระนั้นแคว้นต้าหมิงก็ได้แต่งตั้งพระนางขึ้นเป็นกุ้ยเฟย[1]ให้สมพระเกียรติ การเสด็จมาของพระนางก็ย่อมต้องต้อนรับอย่างสมเกียรติเช่นกัน โดยปกติแล้วเมื่อมีเครื่องบรรณาการมีชีวิตมาส่งยังแคว้นต้าหมิง องค์ฮ่องเต้จะมีรับสั่งให้แม่ทัพใหญ่ออกไปรับตัวที่ชายแดนทางตอนใต้

การได้รับใช้ฮ่องเต้เป็นเกียรติอันสูงสุดของชีวิต บุรุษในสกุลจ้าวอันดำรงตำแหน่งแม่ทัพแห่งต้าหมิงเองก็คิดเช่นนั้น เมื่อฮ่องเต้มีพระบัญชา แม่ทัพใหญ่สกุลจ้าวจึงน้อมรับพระราชโองการอย่างมิบ่ายเบี่ยง อีกทั้งยังพ่วงบุตรชายซึ่งดำรงตำแหน่งแม่ทัพเช่นกันอย่าง จ้าวจื่อถง มาเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดอีกด้วย

จ้าวจื่อถงเป็นบุรุษวัยฉกรรจ์ที่เพิ่งจะมีอายุครบยี่สิบขวบปีเมื่อไม่นานมานี้ เขาขึ้นรั้งตำแหน่งรองแม่ทัพตั้งแต่อายุได้เพียงสิบแปดขวบปี แม้จะมีอายุน้อย แต่ฝีมือในการออกทัพจับศึกของเขานั้นหาได้เป็นรองผู้ใด ดังนั้นการขึ้นรั้งตำแหน่งแม่ทัพจึงกินเวลาไม่นานนัก ทว่าก็หาได้มีผู้ใดแปลกใจนักด้วยบุรุษในตระกูลจ้าวนั้นล้วนเป็นดำรงตำแหน่งแม่ทัพกันทั้งสิ้น

อันที่จริงแล้ว จ้าวจื่อถงเป็นบุตรชายคนที่สี่ของจ้าวจื้อ เขามีพี่ชายสามคน และทั้งสามเองก็ล้วนเป็นจอมทัพผู้เกรียงไกร แต่ทว่ากลับอายุสั้นนัก เมื่อต้องกรำศึกต่อเนื่องยาวนานก็ไม่แคล้วที่จะต้องเอาชีวิตไปทิ้งไว้ในสมรภูมิ แม้จะโศกเศร้ากับการจากไปของทั้งสามเพียงใด หากแต่นั่นคือเกียรติที่สกุลจ้าวต้องภาคภูมิ จ้าวจื่อถงจึงใคร่ที่จะดำเนินรอยตามบิดาจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เพื่อดำรงไว้ซึ่งเกียรติยศของตระกูลและสืบสานปณิธานของพี่ชายผู้ล่วงลับทั้งสาม

ร่างสูงของจ้าวจื่อถงนั่งตระหง่านอยู่บนหลังอาชาคู่ใจ สายตาทอดมองไปยังขบวนส่งเสด็จองค์หญิงเยว่ฉีจากทางด้านหลังของผู้เป็นบิดาซึ่งเป็นผู้นำทัพ ขบวนเสด็จมาหยุดอยู่ที่เขตชายแดน พลันทหารผู้นำสาส์นก็ควบม้าออกไป ก่อนจะประกาศราชโองการด้วยน้ำเสียงกึกก้อง

“ฮ่องเต้มีรับสั่งให้แม่ทัพจ้าวมารับเสด็จองค์หญิงเยว่ฉี บัดนี้ องค์หญิงเยว่ฉีคือลี่เฟยแห่งแคว้นต้าหมิง รับราชโองการ”

เหล่าขุนนางและข้าราชบริพารที่นำเสด็จองค์หญิงต่างคุกเข่าคำนับราชโองการอย่างจำยอม ภายใต้การยอมจำนนนั้นมีเสียงร่ำไห้ระคนมาให้ได้ยิน เสียงนั้นเป็นของข้าราชบริพารหญิงที่โศกเศร้ากับการพลัดพรากจากองค์หญิงอันเป็นที่รัก

ม่านเกี้ยวถูกเปิดออก ดวงหน้าของดรุณีน้อยวัยอ่อนกว่าจ้าวจื้อถงก็ปรากฏให้เห็น สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความทุกข์ทนที่ต้องตกเป็นของบุรุษผู้มีอายุมากกว่าหลายรอบ แต่นั่นคือหน้าที่ เพื่อให้ประชาราษฎร์มีชีวิตรอด นางจึงจำต้องเสียสละความสุขส่วนตน

สิ่งนั้นคือเรื่องที่ควรกระทำ แม้องค์หญิงจะร้องไห้ปานขาดใจเพียงใด ทว่าก็หาได้เรียกความเห็นใจจากจ้าวจื่อถงได้ เขายังคงนั่งนิ่งอยู่บนหลังม้า กระทั่งบิดาออกปาก ถึงได้ยอมเคลื่อนไหว

“เจ้าไปนำเสด็จองค์หญิงมุ่งหน้าสู่แคว้นต้าหมิง”

“ขอรับ”

เมื่อรับคำก็ควบหน้าออกไปตรงหน้าพร้อมกับกองทหารม้าอีกจำนวนหนึ่ง จ้าวจื่อถงดึงบังเหียนให้ม้าหยุดหน้าขบวนเกี้ยว ทิ้งตัวลงสู่พื้น เข้าถวายบังคมผู้เป็นนายอย่างนอบน้อม

“เชิญพระสนมเสด็จตามกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”

ไร้ซึ่งเสียงตอบรับจากนาง จ้าวจื่อถงเองก็หาได้ใส่ใจ หันกลับไปขึ้นหลังม้าตามเดิมและออกคำสั่ง

“ตามข้ามา”

สิ้นเสียง คนบังคับบังเหียนม้าของเกี้ยวองค์หญิงก็ควบม้าออกเดิน ทว่า...การเดินทางเข้าแคว้นต้าหมิงไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่นนักเมื่อจู่ๆ ก็มีธนูถูกยิงมาปักอกสารถี

เสียงหวีดร้องของข้าราชบริพารหญิงดังขึ้นเมื่อเห็นร่างใหญ่ร่วงหล่นสู่พื้น จ้าวจื่อถงหันไปมองด้วยอารามตกใจ ก่อนจะต้องครางออกมาเมื่อเห็นว่าต้นทางของธนูนั้นมาจากยอดเขาเบื้องบนซึ่งมีกองทัพของแคว้นทางตอนใต้อยู่ เขาไม่แน่ใจนักว่าสัญลักษณ์ที่สลักอยู่บนหมวกเหล็กนั้นคือสัญลักษณ์ของกองทัพแคว้นใด แต่นั่นจะสำคัญอะไรนอกจากการเตรียมพร้อมสู้รบ

“คุ้มกันพระสนม!”

จ้าวจื่อถงประกาศก้อง มือดึงเอาดาบที่อยู่ข้างเอวออกจากฝัก ควบม้าไปข้างหน้าเกี้ยวขององค์หญิงเยว่ฉี หากแต่ก็ไม่ทันการเมื่อจู่ๆ ทหารนายหนึ่งที่คุ้มกันพระนางมาตั้งแต่โชซอนก็กระโดดขึ้นมาประจำที่สารถี และควบม้าออกไปอย่างรวดเร็ว

จ้าวจื่อถงหันมองด้วยอารามตกใจ รับรู้ได้ในพริบตานั้นว่ามีหนอนบ่อนไส้ในขบวนเสด็จ พลันควบม้าตามเมื่อเห็นพระนางถูกลักพาตัวต่อหน้า กระนั้นก็มิอาจตามติดไปโดยง่ายเมื่อเหล่าทหารจากแคว้นอริราชย์กรูกันเข้ามาสกัดกั้นไว้ จ้าวจื่อถงแกว่งไกวดาบประหัตประหารเหล่าทหารฝ่ายตรงข้าม พลันเหลือบมองไปยังกองทัพของตนซึ่งมีอยู่เพียงหยิบมือเท่านั้น ด้วยบิดาคิดว่าการมารับตัวองค์หญิงเยว่ฉีหาใช่เรื่องใหญ่ จึงไม่จำเป็นต้องยกทัพมาเป็นจำนวนมาก โดยหารู้ไม่ว่าการกระทำนั้นช่างประมาท ต่อให้เป็นแม่ทัพใหญ่ซึ่งผ่านการศึกมาตลอดช่วงชีวิตก็มีโอกาสพลาดพลั้งได้

จ้าวจื่อสบถเมื่อทหารของอีกฝ่ายล้อมเขาเอาไว้ ทหารอารักขาที่ติดตามมาก็ถูกปลิดชีพไปทีละคนด้วยธนูและคมดาบ หากแต่นั่นหาได้เป็นเรื่องสำคัญเท่ากับการตามตัวองค์หญิงพระองค์สำคัญกลับมา แม่ทัพใหญ่สกุลจ้าวเองก็คิดเช่นเดียวกัน ร้องตะโกนบอกบุตรชายที่อยู่กลางวงล้อมของข้าศึกด้วยเสียงกึกก้อง

“ตามพระสนมไป นำพระนางกลับมา!”

ไม่ต้องบอก จ้าวจื่อถงก็จะกระทำเช่นนั้น สบโอกาส เขาก็หมายจะควบม้าออกจากวงล้อม ทว่าในจังหวะนั้นเอง บิดาซึ่งฟาดฟันดาบในมือใส่ศัตรูก็ถูกลูกธนูยักษ์พุ่งเข้ามาปักกลางอก แม้แต่เกราะเหล็กหนาก็มิอาจต้านทานได้ ร่างใหญ่ของชายวัยกลางคนชะงักงัน โลหิตสีแดงสดกระอักออกทางปาก จ้าวจื่อถงเบิกตาค้าง ทุกการเคลื่อนไหวนิ่งไปฉับพลัน

“ท่านพ่อ!”

เขาตะเบ็งออกมาสุดเสียง สายตาปราดมองไปยังต้นทางของธนูก็พบว่ามาจากจอมทัพของฝ่ายตรงข้ามที่เล็งเครื่องยิงธนูยักษ์มายังบิดาของเขา ครั้นควบม้าเข้าใกล้บิดา อีกฝ่ายก็ชี้นิ้วไปยังทิศทางที่องค์หญิงเยว่ฉีถูกลักพาตัวไป

“อะ...อารักขาพระสนม”

ถึงจะไม่อยากทิ้งบิดาเพียงใด แต่จ้าวจื่อถงก็จำต้องปฏิบัติตาม ควบม้าฝ่าดงทหารไปยังเส้นทางเลียบหุบเขาที่เกี้ยวรถม้าของพระนางมุ่งไปอย่างรวดเร็ว

มีทหารม้าเร็วตามเขามาอีกหลายสิบนาย ด้วยหนทางที่ลำบากและคับแคบจึงทำให้เกี้ยวรถม้าขององค์หญิงไปได้ไม่ไกลนัก ไม่นาน จ้าวจื่อถงก็ตามติดได้สำเร็จ เขาพุ่งเข้าประชิดตัวทหารของฝ่ายตรงข้ามที่ทำการอารักขาองค์หญิงเช่นเดียวกัน สะบัดดาบฟาดฟันจนอีกฝ่ายร่วงหล่นไปยังขอบผาหลายต่อหลายราย ขณะเดียวกัน ทหารของเขาที่ไล่ตามหลังมาก็ถูกกำจัดด้วยหญ้าแห้งจุดไฟก้อนยักษ์ที่ถูกปล่อยลงมาจากยอดเขา

จ้าวจื่อถงเหลือบขึ้นไปมองก็เห็นว่านอกจากจะมีหญ้าติดไฟก้อนใหญ่แล้ว เบื้องหน้าซึ่งเป็นหน้าผาก็ยังมีเครื่องยิงธนูยักษ์ตั้งตระหง่านอยู่เช่นกัน

ลูกธนูถูกปล่อยทันทีที่เกี้ยวรถม้าขององค์หญิงหักเลี้ยวไปตามไหล่ทางเขา อาชาคู่ใจซึ่งวิ่งมาเต็มฝีเท้าถูกลูกธนูปักเข้ากลางลำตัว จังหวะการวิ่งแปรเปลี่ยนเป็นชะงักงัน หยดเลือดหลั่งลงดินสีน้ำตาลแดง ลมหายใจกระหืดหอบหนักที่ลอยมาตามลมทำให้คนบนหลังม้าตระหนักได้ว่าม้าของเขาไม่อาจวิ่งได้ไหวอีกต่อไป ก่อนที่เจ้าม้าจะล้มพับลงบนพื้นอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว

จ้าวจื่อถงกระแทกหล่นไปบนพื้นดิน ทว่าก็รีบดันตัวขึ้นด้วยรู้ดีว่านั่นเป็นการเปิดโอกาสให้ถูกโจมตี ครั้นลุกขึ้นมาได้ก็ตกอยู่ในวงล้อมของทหารอีกฝ่ายเป็นที่เรียบร้อย มือที่ยังจับดาบอยู่มั่นแกว่งไกวไปเบื้องหน้า สังหารศัตรูอย่างไม่รั้งรอ

แต่เมื่อถูกรุมก็มีต้องพลั้งพลาด คมดาบถูกเหวี่ยงเข้ามาบาดผิวเนื้อที่หัวไหล่ จ้าวจื่อถงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดก่อนจะหันไปตวัดดาบในมือสังหารเจ้าของคมดาบเมื่อครู่ในดาบเดียว จากนั้นก็ใช้ดาบในมือกระหวัดเหวี่ยงใส่คนตรงหน้า เลือดแดงฉานสาดกระเซ็น

จ้าวจื่อถงไม่ต่างอะไรจากปีศาจคลั่งที่สังหารคนมากกว่าสิบเพียงลำพังได้ในพริบตา ทำเอาแม่ทัพของอีกฝ่ายซึ่งควบม้าไล่ตามยอดเขามาสังเกตการณ์เห็นท่าไม่ดีหากปล่อยให้เป็นเช่นนั้น พลันหันไปสั่งกับรองแม่ทัพทางเบื้องหลัง

“ระดมยิงมัน”

“เตรียมธนู!”

เพียงแค่คำสั่งเดียว เหล่าพลทหารก็เข้าประจำที่ ง้างคันธนูในมือ เล็งไปยังร่างของชายหนุ่ม จ้าวจื่อถงเหลือบมองแล้วก็รีบหลบหลีก แต่ลูกธนูกว่าร้อยดอกนั้น เขาไม่สามารถหลบหลีกได้ ธนูบางลูกปักเข้ายังร่าง เขาทรุดลงไปกับพื้นเมื่อขามีเลือดไหลซึม สายตาจ้องมองไปยังแม่ทัพอีกฝ่ายอย่างขุ่นแค้น

เพียงลักพาตัวพระสนมไม่พอ ยังสังหารบิดาเขาต่อหน้า ความแค้นนี้ช่างใหญ่หลวงนัก!

ทว่า...แม่ทัพของฝ่ายนั้นหาได้รู้สึกรู้สาไม่ ในสมรภูมิย่อมต้องมีผู้ชนะและผู้แพ้ ในสมรภูมิแห่งนี้ ผู้ชนะคือเขา ก่อนที่จะโบกมือเล็กน้อยเป็นเชิงเรียกให้พลทหารซึ่งควบคุมธนูยักษ์อยู่ทางเบื้องหลังเล็งศรไปทางจ้าวจื่อถง

ครั้นเห็นอีกฝ่ายหมายเอาชีวิตด้วยลูกธนูอันเขื่องเช่นเดียวกับที่บิดาเขาโดน จ้าวจื่อถงก็พลิกตัวกลิ้งไปกับพื้น หลบหนีการจู่โจมอย่างรวดเร็ว เบื้องบนเห็นว่าชายหนุ่มไม่ยอมศิโรราบโดยง่ายจึงสั่งระดมยิงธนูอีกครั้ง ครานี้จ้าวจื่อถงหลบหลีกไม่ได้ ถูกศรปักเข้าตามแขนและขาหลายแห่ง ก่อนที่จะไถลลื่นตกลงมาจากหน้าผา

ลำตัวกระแทกโขดหิน...หลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งร่วงหล่นสู่พื้นหญ้าด้านล่าง ความเจ็บปวดแล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์กาย กระดูกของเขาคงแหลกละเอียดป่นปี้ไม่มีชิ้นดีไปแล้ว แต่นั่น...หาใช่สิ่งที่เขาอาลัยนัก ในใจเขากลับเต็มไปด้วยความผิดหวังพร่างพราย

เขาแพ้ศึกในครั้งนี้...

ดวงตาเริ่มพร่าเลือนทีละน้อย ก่อนที่เปลือกตาอันหนักอึ้งจะดึงให้เขาสูญเสียซึ่งสติสัมปชัญญะและขาดห้วงไปในอีกไม่กี่พริบตาให้หลัง

 

หมดสิ้นซึ่งตระกูลจ้าวกันในคราวนี้แล้วกระมัง...

นั่นเป็นความคิดของจ้าวจื่อถงก่อนที่สติจะดับวูบไปด้วยคิดว่าตนคงต้องทิ้งชีวิตไว้ยังก้นหุบเหวแห่งนี้ ทว่าหลังจากที่สลบไปกว่าสามวันสามราตรี เขากลับรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา

ชะตาช่างแข็งนัก... แต่นั่นก็หาใช่เรื่องที่ควรดีใจแม้แต่น้อย ต่อให้ยังมีชีวิตอยู่ ทว่าเขาก็ไม่อาจทำการใดได้ด้วยร่างกายรวดร้าวเสียจนไม่อาจขยับ แขนและขายังคงมีลูกธนูหลายดอกปักอยู่ เลือดไหลโทรมกายนั้นเริ่มแห้งกรัง เขาทำได้เพียงนอนรอความตายอย่างช้าๆ โดยไม่รู้ว่าเมื่อไรสวรรค์ถึงจะเลิกทรมานเขาเสียที

จากสามวันกลายเป็นสี่ จากสี่กลายเป็นห้า เขาก็ยังไม่สูญสิ้นลมหายใจ จ้าวจื่อถงไม่เข้าใจนักว่าเหตุใดตนถึงมีชีวิตอยู่จนถึงวันนี้ ทั้งที่ด้านบนนั้น ทหารในกองทัพของเขาคงจะมีใครรอดชีวิต ไม่เว้นแม้แต่บิดาของเขา แต่ถึงเขาจะยังไม่ตายในวันนี้ สุดท้ายก็ต้องตายอยู่ดี ทว่า...ช่างเป็นการตายที่น่าอนาถนัก

แววตาเลื่อนลอยจับจ้องไปยังผืนฟ้าเบื้องบน คำถามผุดพรายขึ้นในหัวราวกับดอกเห็ดผลิบานในวสันตฤดู

ข้าจะต้องมาตายในที่แห่งนี้เช่นนั้นหรือ?

หากแต่ไร้คำตอบจากสรรพเสียงรอบข้าง มีเพียงเสียงต้นหญ้าแห้งพัดไหวเมื่อต้องสายลมโบกโชย คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่ให้คำตอบได้

ชายหนุ่มกะพริบเปลือกตาซึ่งกรังไปด้วยหยาดโลหิตอย่างช้าๆ ปลายนิ้วพยายามเคลื่อนไหวแต่เป็นไปอย่างยากลำบากด้วยร่างกายร้าวรานจนปวดลึกลงไปถึงกระดูก

เพียงปลายนิ้วยังขยับได้ยากยิ่ง กะพริบตาเพียงครั้งก็เจ็บปวดแสนสาหัส สุดท้ายก็ทำได้เพียงนอนนิ่งรอให้มัจจุราชมาพรากดวงวิญญาณเขาไปจากกายเนื้อเท่านั้น

ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะต้องมาตายอย่างอนาถเช่นนี้...

ความหนักอึ้งพร่างพราย จิตใต้สำนึกยอมรับชะตากรรม คงสิ้นแล้วชื่อเสียงเรียงนามอันเลื่องระบือในสมรภูมิรบ แม้ว่าจะรู้แต่แรกแล้วว่าชะตากรรมคงไม่แคล้วมาทิ้งชีวิตไว้ที่สนามรบตั้งแต่ที่ตัดสินใจก้าวเข้าสู่กองทัพ ทว่าอย่างน้อยเขาก็ควรตายท่ามกลางศพไพร่พลทหารในกองร้อยของเขามากกว่าสิ้นใจในก้นหุบเหวลึกรกร้างเช่นนี้

สิ้นชีพเมื่ออายุยังน้อยเป็นเรื่องธรรมดาของคนสกุลจ้าว แต่สิ้นชีพเยี่ยงสุนัขจรน่าอดสูยิ่งกว่า ต่อให้กลายเป็นวิญญาณก็ไม่มีหน้าไปพบบรรพบุรุษในปรโลกเป็นแน่

ในหัวเอาแต่คิดครุ่นถึงเรื่องเกียรติยศของวงศ์ตระกูลที่เขารักษาไว้ไม่ได้ ไม่สนว่าร่างกายของตนจะบาดเจ็บแค่ไหน พลันน้ำตาหยดหนึ่งก็ไหลลู่จากหางตาด้วยแค้นใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า เขาเป็นข้าผู้ซื่อสัตย์ ไยต้องมาพ่ายแพ้ให้กับกบฏทุรยศที่ลอบกัดกันด้วย...

สวรรค์... หากยังมีเมตตา ก็ขอให้ข้าได้มีชีวิตเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงตระกูลจ้าวอีกครั้ง

ในใจภาวนาอย่างสิ้นหวัง เสียงลมหวีดหวิวเข้าโสตประสาทราวกับเป็นการตอบรับจากเวหา ชายหนุ่มหลับตาลงอย่างเชื่องช้า ปล่อยให้สวรรค์ลิขิตชะตาชีวิตให้อย่างจำนน...

คำภาวนานั้น สวรรค์รับรู้ เพียงเขาหลับตาไปชั่วครู่ หูก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามาในโสตประสาท เสียงนั้นหาใช่เสียงฝีเท้าของคนเพียงหนึ่ง แต่เป็นคนหลายสิบชีวิต อีกทั้งยังมีเสียงฝีเท้าม้าและรถลาก

จ้าวจื่อถงใคร่อยากจะหันไปมองนัก หากแต่ก็ไม่อาจทำตามใจประสงค์ กระทั่งเสียงนั้นดังเข้ามาใกล้ จึงมีเสียงพูดคุยดังตามมา

“นั่น...ทหารต้าหมิง!”

เสียงร้องด้วยอารามตกใจนั้นหาใช่ภาษาที่เขาคุ้นเคย เพียงได้ยินก็รับรู้ได้ว่ามันคือภาษาของแคว้นประเทศราช

เขาคงจะได้สิ้นใจก็ตอนนี้กระมัง...

ขณะเดียวกัน เมื่อจู่ๆ ขบวนเดินเท้าที่นำโอสถจากแคว้นข้างเคียงกลับมายังอาณาจักรหยุดชะงัก บุรุษในชุดสีขาวสะอาดตาซึ่งร่วมขบวนเดินทางไปด้วยก็ชะโงกหน้าออกจากเกี้ยวมามอง ครั้นเห็นบรรดาผู้อารักขากองคาราวานพ่อค้ามุงดูอะไรบางอย่าง ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยจนต้องลงจากเกี้ยวเพื่อมามอง ก่อนจะเบิกตาโตเมื่อเห็นว่าสิ่งที่ทำให้กองคาราวานหยุดกะทันหัน

“นั่นมัน...”

“ทหารต้าหมิงขอรับท่านหมอ” ใครบางคนเอ่ยตอบ

ผู้ที่ถูกเรียกว่าท่านหมอนิ่งงันไปชั่วครู่ สายตาพินิจยังร่างบาดเจ็บสาหัสของชายหนุ่มตรงหน้า

“เขายังไม่ตายใช่หรือไม่” เขาถามขึ้นเมื่อสังเกตเห็นแผ่นอกของร่างโชกเลือดนั้นยังกระเพื่อมก็มั่นใจว่ายังมีชีวิตอยู่

“ขอรับ แต่มันจะตายประเดี๋ยวนี้ล่ะ” ใครบางคนเอ่ยตอบอีกเช่นกัน หากแต่ครั้งนี้ไม่เพียงตอบเฉยๆ ยังชักดาบที่อยู่ข้างเอวออกมา หมายจะบั่นคอทหารต้าหมิงที่นอนหายใจรวยรินเสียให้สิ้น ทำเอาท่านหมอถึงกับห้ามปรามไว้แทบไม่ทัน

“ประเดี๋ยวก่อน เจ้าจะสังหารเขาอย่างนี้ไม่ได้”

“ไยจะไม่ได้กันท่านหมอ มันเป็นคนของต้าหมิง” คนถูกห้ามร้องท้วง

หากแต่คู่สนทนากลับตอบเสียงเรียบ “เจ้าทำไม่ได้เพราะเจ้าเป็นคนของโรงหมอ ถึงจะไม่ใช่หมอ แต่เจ้าก็มีหน้าที่รักษาชีวิตคน”

“แต่ว่ามัน...”

“เขาเป็นคน” ท่านหมอขัดขึ้นก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดจบ เขาเข้าใจความรู้สึกของคนตรงหน้าดี ทว่า... “แม้จะเป็นทหารของต้าหมิงที่พวกเราแสนจะเกลียดชังก็ตาม แต่คนเป็นหมออย่างข้ามองพวกเขาเป็นคนเช่นเดียวกันทั้งสิ้น ข้ามีหน้าที่ต้องรักษาชีวิตเขาไว้ หาใช่สังหาร”

นั่นคือเหตุผล... เขารักษาคนโดยไม่สนว่าเป็นคนของแคว้นใด ซึ่งนั่นทำให้เขาเป็นที่รักใคร่ของผู้ตกทุกข์ได้ยากทั่วทุกหัวระแหง ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้เป็นที่ต้อนรับของทุกแว่นแคว้น แต่นั่นก็เป็นไปด้วยความลับเพราะในเวลาที่สถานการณ์บ้านเมืองระส่ำระสายเช่นนี้ เขาไม่ควรจะเข้านอกออกในอย่างเปิดเผย ไม่อย่างนั้นจะถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏได้

อย่างเช่นการเดินทางในครั้งนี้ เขาจำต้องแฝงกายไปกับกองคาราวานพ่อค้าเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต นับว่าเขาเป็นหมอที่มีเส้นสายสนับสนุนอย่างลับๆ มากมายทีเดียว และที่เลือกเดินทางด้วยเส้นทางทุรกันดารนี้ก็เป็นเพราะรู้ดีว่าข้างบนนั้นเป็นสมรภูมิรบ หากเดินทางสุ่มสี่สุ่มห้าก็จะตกเป็นเป้าให้กองโจรที่ดักซุ่มอยู่ละแวกนั้นหรือกองทหารใดๆ โจมตีได้ การลอบเดินทางผ่านก้นหุบเหวนี้เป็นทางเลือกที่ดีกว่า แม้จะต้องใช้เวลานานกว่าปกติสักหน่อยกว่าจะถึงยังที่หมาย ทว่าก็นับว่าปลอดภัยกว่าเดินทางด้วยเส้นทางปกติอยู่โข

เมื่อปรามคนอารักขากองคาราวานได้ ท่านหมอก็ทรุดตัวเข้านั่งยองใกล้ๆ กับร่างของทหารต้าหมิงผู้นั้น

ใบหน้าอาบไปด้วยคราบเลือดเหลือบมองเขาเล็กน้อย ริมฝีปากแห้งผากคล้ายจะพูดอะไรสักอย่างแต่ไร้ซึ่งเสียงเล็ดลอดออกมา ขณะที่อีกฝ่ายพินิจในใจ

คนผู้นี้สวมเครื่องแบบแม่ทัพ ดูท่าจะอายุยังน้อย ต้องมาตายในที่อย่างนี้ก็น่าสงสาร

หากแต่มีเพียงเขาเท่านั้นที่คิดเช่นนี้ คนอื่นหาได้คิดอย่างเดียวกัน แค่รู้ว่าเป็นทหารต้าหมิง ความขุ่นแค้นที่สั่งสมอยู่ในอกก็แทบปะทุออกมา ใคร่อยากจะสังหารเสียให้สิ้น พลันขัดใจอย่างรุนแรงเมื่อท่านหมอเอื้อมมือไปแตะชีพจรที่ข้อมือของอีกฝ่าย

“ชีพจรต่ำนัก พวกเจ้าเอาน้ำมาให้ข้าหน่อย”

“ท่านหมอ ข้าว่าท่านอย่าไปช่วยมันผู้นั้นเลย ช่วยทหารแคว้นต้าหมิงก็เสมือนช่วยงูเห่า จะแว้งมากัดท่านเมื่อไรก็ได้”

หลายคนเห็นด้วยกับคำพูดนี้ ทว่าก็ไม่มีอะไรหยุดยั้งหมอหนุ่มได้ เขาหันไปมอง ก่อนจะย้ำขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

“เอาน้ำให้ข้า ข้าจะให้เขาดื่ม”

เพียงประโยคเดียวก็ไร้ซึ่งผู้ขัดใจ ก่อนที่น้ำดื่มในกระบอกไม้ไผ่จะถูกส่งมาให้ ท่านหมอพยักหน้าเรียกคนใกล้ตัวอีกครา

“เจ้ามาช่วยข้าพยุงเขาขึ้นที”

เด็กรับใช้ที่ยืนอยู่บริเวณนั้นอึกอักเล็กน้อย แต่เมื่อถูกสายตาคมกริบมองจ้องก็ต้องเข้ามาช่วยประคองแม่ทัพแคว้นต้าหมิงขึ้น

หยดน้ำไหลผ่านริมฝีปาก หลายวันมานี้จ้าวจื่อถงไม่ได้ดื่มน้ำสักหยด เมื่อร่างกายรับรู้ว่าของเหลวที่ไหลผ่านมาคือสิ่งใดก็กระหาย รีบร้อนดื่มเสียจนแทบจะสำลักน้ำ กระทั่งดื่มเพียงพอแล้ว เสียงของท่านหมอจึงดังขึ้นอีกครั้ง

“วางเขาลงแล้วไปเตรียมข้าวของในเกี้ยวมาให้ข้า”

“อย่าบอกนะว่าท่านหมอจะรักษามัน?”

ไร้ซึ่งคำตอบจากลีจีซอง เขาเอาแต่จับชีพจรของคนที่นอนนิ่งอยู่ รอให้เด็กรับใช้นำของที่ต้องการมาให้ ไม่นานก็มีเสียงโอดครวญมาให้ได้ยิน

“ท่านหมอ ท่านไม่ควร...”

“รักษาชีวิตคนเป็นหน้าที่ของข้า”

ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็คงได้รับเพียงคำพูดนี้ตอบกลับมา เมื่อท่านหมอตัดสินใจแล้วก็หาได้มีผู้ใดกล้าทัดทาน ใช่ว่าหวาดเกรง แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายมีบุญคุณใหญ่หลวงกับตนมาก่อน เพราะเมื่อตอนพวกเขาป่วยไข้เจียนตาย ก็มีท่านหมอผู้นี้นี่ล่ะที่ดื้อด้านรักษาแม้ว่าหมออื่นๆ จะบอกกันว่าไร้ซึ่งหนทางแล้ว ถึงได้รอดชีวิตมาจนป่านนี้

“พวกเจ้ามาช่วยจับแขนและขาของเขาไว้ที ข้าจะเอาลูกธนูออก”

เมื่อได้ข้าวของจำเป็นมาก็ออกปากสั่ง จากที่อยากปล่อยให้ทหารต้าหมิงผู้นี้ตายก็จำต้องมาช่วยอย่างไม่มีทางเลือก

หมอหนุ่มใช้มีดสั้นเลาะผิวหนังบริเวณรอบปากธนูออกเล็กน้อย ก่อนจะดึงมันออกมา เลือดไหลทะลัก จ้าวจื่อถงอยากจะร้องออกมาด้วยเจ็บปวดสุดจะทน ทว่ากลับไร้ซึ่งเสียงใดๆ มีเพียงลมหายใจหอบหนักเท่านั้นที่ดังขึ้น

หมอหนุ่มชะงักเล็กน้อย เหลือบมองเห็นใบหน้าซีดเผือดของคนตรงหน้าแล้วก็ปลอบประโลม

“ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ดึงลูกธนูทุกดอกออกในคราเดียวหรอก ร่างกายเจ้าไม่อาจทนพิษบาดแผลได้ไหวแน่ แค่บางดอกเท่านั้น จะได้สะดวกแก่การขนย้ายเจ้า”

หากได้ยินไม่ผิด เหมือนคนตรงหน้าจะพูดภาษาของต้าหมิง...

แต่นั่นก็หาได้สำคัญเท่ากับการที่บุรุษผู้นั้นก้มหน้าเลือกลูกธนูที่สมควรดึงออกจากร่างกายชายหนุ่มต่อ ความเจ็บปวดพร่างพรายสู่จ้าวจื่อถงจนไม่อาจนับได้ว่ามีลูกธนูกี่ดอกที่ถูกดึงออกไป พลันดวงตาที่เปิดอยู่ก็ค่อยๆ ปรือปิดลงทีละน้อย

“พาเขาขึ้นรถลาก ข้าจะพากลับแคว้นเรา แล้วช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาด้วย ชุดของเขาก็เอาทิ้งไว้ระหว่างทางแล้วกัน”

“สิ่งที่ท่านทำมันหาใช่เรื่องสมควร คนแคว้นต้าหมิงเป็นอย่างไร ท่านก็รู้ ไยจะต้องช่วยอีก”

ยังคงมีเสียงไม่เห็นด้วยดังตามมา ท่านหมอจึงตอบไปเพียงสั้นๆ เท่านั้น

“แค่ข้าบอกว่าตนเป็นหมอ เท่านี้ก็ชัดเจนแล้วว่าเหตุใดจึงต้องช่วย และข้าก็หวังว่าพวกเจ้าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป”

ไร้ซึ่งสรรพเสียงโต้แย้งใดๆ ต่างคนต่างมองหน้ากัน ก่อนจะต้องรับคำอย่างจำยอม จะมีก็เพียงแต่เสียงของหมอหนุ่มเท่านั้นที่ดังขึ้นพูดกับคนที่นอนราบอยู่

“เจ้าจะต้องรอด อดทนไว้”

ช่วยข้าทำไมกัน...

ไม่มีคำตอบให้จ้าวจื่อถง สิ้นคำถาม สติสัมปชัญญะก็พร่าเลือนและดับลงไปอีกครา ปล่อยให้อีกฝ่ายได้กระทำตามปรารถนาโดยไม่รับรู้สิ่งใดอีก




[1] กุ้ยเฟย ตำแหน่งพระชายาอันดับที่ 1 ในองค์จักรพรรดิ มีศักดิ์สูงสุดใน 4 ตำแหน่งของตำแหน่งสี่พระชายา ซือฟูเหริน



ใช่ค่ะ เรื่องนี้พระเอกคือท่านหมอ นายเอกคือท่านแม่ทัพ เคะถึกๆ กร๊าวใจมาก 555

ฝากติดตามด้วยค่า

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Re: ◢ 조선에서 ณ โชซอน ◣
«ตอบ #3 เมื่อ11-06-2018 16:29:31 »

บทที่ 2: แม่ทัพตกยาก

ทิวาเลื่อนคล้อย ราตรีหมุนผ่าน กี่วันกี่คืนแล้วที่จ้าวจื่อถงนอนไม่ได้สติบนแผ่นดินของประเทศราช

ไม่มีผู้ใดให้คำตอบได้ แม้แต่ตัวของท่านหมอที่รับเป็นธุระพาเขามารักษาตัวยังโชซอนก็ตามที จะนอนไม่รู้สึกตัวกี่วันกี่คืนก็ช่างเถิด อาการบาดเจ็บของจ้าวจื่อถงสาหัสเกินไป ในเวลาอย่างนี้แค่ตื่นขึ้นมาหรือรู้สึกตัวบ้างก็เพียงพอแล้ว

แม้จะไม่ใช่ญาติหรือมิตรสหาย แต่ก็หาใช่ว่าหมอหนุ่มจะไม่รู้สึกอะไรหากชายหนุ่มผู้นี้ต้องมาตายทั้งที่อายุยังน้อย มันน่าเสียดายจะตายไปที่จะต้องมาสูญเสียชีวิตทั้งที่ยังไม่ได้ใช้ให้เต็มที่

แต่ความเสียดายของท่านหมอคงจะไม่เกิดขึ้นแล้วกระมัง เพราะในบ่ายวันนั้นขณะที่เด็กรับใช้กำลังรมยาสมุนไพรรักษาอาการบาดเจ็บให้กับทหารของต้าหมิงอยู่ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นร่างใหญ่ซึ่งมีผ้าพันแผลรอบกายขยับน้อยๆ

ไม่ขยับเปล่า ยังส่งเสียงอืออออีกด้วย พลันเด็กรับใช้ผู้นั้นก็ร้องเสียงหลง

“ทะ...ท่านหมอ! ท่านหมอ!”

คนถูกเรียกรีบละกระบุงสมุนไพรตากแห้งที่กำลังคัดอยู่โผล่พรวดมาด้านในทันที วันนี้ก็ยังคงสวมชุดสีขาวสะอาดตาเช่นเคย แต่นั่นก็หาได้สำคัญเท่ากับการมองเด็กรับใช้ชี้นิ้วไปยังร่างของคนเจ็บบนเตียง

“เขารู้สึกตัวแล้ว”

ครู่แรกคิดว่าเด็กรับใช้อุปาทานไปเอง หากแต่เมื่อเดินมาหยุดที่ข้างเตียงก็รับรู้ว่าสิ่งนั้นคือเรื่องจริงเมื่อเห็นเปลือกตาของอีกฝ่ายกะพริบถี่ขึ้นมาทีละน้อย

ท่านหมอทรุดตัวลงนั่งบนเตียงข้างๆ ยื่นมือไปคลำหาชีพจรที่ข้อมือของจ้าวจื่อถง ขณะที่คนเจ็บเปิดเปลือกตามองกวาดไปรอบกายด้วยความมึนงง

กลิ่นยาเหม็นฉุนลอยเข้าจมูก หลังคามุงจาก และข้าวของเครื่องใช้ไม่คุ้นตาทำให้มีคำถามผุดพรายขึ้นในใจของจ้าวจื่อถงมากมาย

เขาอยู่ที่ไหน... ที่นี่ที่ไหน... คนตรงหน้าผู้นี้คือใคร

หากแต่คำแรกที่เขาสามารถเปล่งเสียงออกไปได้กลับเป็นคำอื่น

“นะ...น้ำ...”

บุรุษชุดขาวพยักหน้าให้เด็กรับใช้ไปหยกกาน้ำชามา จากนั้นก็รินใส่ถ้วยใบเล็กยื่นมาให้ จ้าวจื่อถงถูกประคองขึ้น ก่อนที่น้ำชาอุ่นๆ จะถูกป้อนเข้าปาก

น้ำชาที่ดื่มหาใช่ชาชั้นดีเท่าไรนัก กลิ่นไม่ได้หอมเช่นเดียวกับชาพระราชทานที่ฮ่องเต้มอบให้สกุลจ้าวเป็นประจำ อีกทั้งยังมีรสขมเฝื่อน หากแต่กลับทำให้ชุ่มคอเป็นอย่างยิ่งจนจ้าวจื่อถงร้อนรนดื่มจนสำลัก

“ช้าลงหน่อย น้ำชายังมีอีกมากนัก ข้าไม่หวงเจ้าหรอก”

สำเนียงภาษาบ้านเกิดแปร่งๆ ทำให้จ้าวจื่อถงชะงักงัน พลันเหลือบมองคนข้างกาย ยามนี้เองที่เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน

เป็นบุรุษรูปงาม... ใบหน้าเกลี้ยงเกลา เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน แต่นั่นก็หาใช่สิ่งที่เขาควรจะใช้เวลาพินิจพิจารณานานสักเท่าไรนัก นอกเสียจากร้องถามเท่านั้น

“เจ้าเป็นใคร”

“ข้าคือหมอ” อีกฝ่ายตอบแทบจะในทันที “ลีจีซอง...คือนามของข้า”

ลีจีซอง...

จ้าวจื่อถงทวนชื่อนั้นในใจ

ชื่อเช่นนี้คงเป็นคนของแคว้นทางใต้...

เป็นเช่นนั้นแหละ เขาพอจะจำขึ้นมาได้บ้างแล้วว่าก่อนหน้านั้นเกิดอะไรขึ้นกับเขา

เขาตกหน้าผา ถูกระดมยิงธนูใส่ อาการสาหัสปางตาย จากนั้นก็ถูกบุรุษผู้นี้ช่วยเหลือไว้ขณะเดินทางผ่านมา...

ปะติดปะต่อเรื่องราวได้ทั้งหมดในเวลาอันสั้น ลีจีซองเองก็ไม่คิดที่จะอธิบายอะไรเพิ่มเติม ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ถามก็แสดงว่าเข้าใจถึงสถานการณ์ เป็นเขาเองนั่นล่ะที่เปิดปากถาม

“เจ้าเป็นทหารของมย็องหรือ” เผลอเรียกชื่อแคว้นของอีกฝ่ายด้วยภาษาของตน พอเห็นรอยย่นยู่ที่หัวคิ้วของคนเจ็บแล้ว เขาก็ปรับคำพูด “ข้าหมายถึงต้าหมิง เจ้าเป็นทหารของที่นั่นหรือ”

จ้าวจื่อถงพยักหน้าช้าๆ ให้ลีจีซองได้หัวเราะน้อยๆ

“ข้าก็ไม่น่าถาม เห็นเจ้าสวมเครื่องแบบทหารของที่นั่นก็น่าจะรู้อยู่แล้ว นอนพักต่อเถิด อาการของเจ้ายังไม่สู้ดีนัก”

ว่าพลางเอนกายของจ้าวจื่อถงให้ลงนอนดังเดิม อันที่จริงจ้าวจื่อถงไม่ได้อยากจะยอมทำตามเช่นนั้น แต่ด้วยร่างกายรวดร้าวเกินทน ขยับไปทางไหนก็ปวดแปลบราวกับกระดูกจะแหลกไปทั้งร่าง เพียงขยับปลายนิ้วยังทำได้ยากยิ่ง เขาจึงต้องยอมนอนนิ่งๆ ตามคำสั่งจนได้

กระนั้นก็หาได้หลับตาลงเช่นเดิม กวาดมองไปรอบๆ พินิจข้าวของเครื่องใช้ที่ดู...

ดูจะคล้ายๆ กับข้าวของเครื่องใช้ในต้าหมิง แต่ก็มีบางอย่างที่ผิดแผกไปจากกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสื้อผ้าที่ลีจีซองกับเด็กรับใช้สวมใส่ ดูอย่างไรก็ไม่ใช่อาภรณ์ของต้าหมิงเลยสักนิด

“ข้าอยู่ที่ไหน”

สัญชาตญาณบอกให้เขาต้องถามออกไปเช่นนั้น ลีจีซองซึ่งกำลังเปิดหม้อยารมดูว่าเด็กรับใช้เคี่ยวยาได้ที่หรือยังชะงักมือเล็กน้อย หันไปมองก็พบว่าตนถูกจับจ้องอยู่

“หากข้าบอกไปแล้ว เจ้าจะกัดลิ้นตายไหม”

แสร้งถามด้วยขบขันเพราะรู้ว่าคนต้าหมิงเจ้ายศเจ้าอย่างนัก ถือตนว่าเป็นเมืองใหญ่ การต้องยอมรับว่าได้รับการช่วยเหลือจากคนของแคว้นที่ต้อยต่ำกว่าเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง โดยเฉพาะกับบุรุษฉกรรจ์ที่สวมเครื่องแบบทหารเช่นคนผู้นี้

จ้าวจื่อถงเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมบอกแต่โดยดีก็กดเสียงต่ำ

“ข้าถามว่าข้าอยู่ที่ไหน”

ลีจีซองปิดฝาหม้อยา หันไปเปิดอีกหม้อที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็ใช้ผ้าจับที่หูหม้อดินยกขึ้นจากเตา

“โชซอน” นำหม้อมาวางบนโต๊ะ รินลงถ้วยกระเบื้องเคลือบที่เด็กรับใช้รีบถือมาวางให้ เสร็จสิ้นแล้วถึงหันไปย้ำ “เจ้าอยู่บนแผ่นดินโชซอน”

โชซอน...ก็คือแคว้นทางใต้ซึ่งเป็นเมืองประเทศราชของต้าหมิง

จ้าวจื่อถงตระหนักขึ้นมาได้ในตอนนี้ว่าอยู่บนแผ่นดินที่ไม่สมควรอยู่ขึ้นมาได้ พลันก็พยายามจะดันตัวขึ้นนั่ง หากแต่ความเจ็บปวดก็ทำให้เขาต้องเบ้หน้า ทั้งยังร้องโอดโอยออกมา

ลีจีซองเหลือบมอง คิดอยู่แล้วว่าจะต้องเป็นเช่นนี้ ก่อนจะยกถ้วยยาแล้วกลับไปนั่งข้างๆ เขา

“ไม่ต้องเป็นกังวลไป เจ้าอยู่ที่โรงหมอ คนของโรงหมอไม่ทำอันตรายเจ้า”

พูดราวกับรู้ว่าจ้าวจื่อถงกังวลสิ่งใด ก็แน่ล่ะ ถึงแม้ว่าโชซอนจะส่งเครื่องบรรณาการให้กับต้าหมิงทุกปี แต่ก็หาใช่ว่าจะเป็นมิตรกันแต่อย่างใด ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนแล้วถูกบีบบังคับทั้งสิ้น เหตุนั้นเป็นเพราะจักรพรรดิของโชซอนอ่อนแอ อีกทั้งยังเป็นแคว้นเล็กๆ ไยเล่าจะไปต่อกรกับมหานครอันยิ่งใหญ่เช่นต้นหมิงได้

ผู้คนขุ่นแค้นไปทั่วทุกหัวระแหง คนโชซอนไม่ไปเหยียบต้าหมิง คนต้าหมิงไม่มาเหยียบโชซอน หากใครกล้ำกราย จะถือว่ารุกราน ลูกเด็กเล็กแดงก็ไม่ละที่จะเอาชีวิต

จ้าวจื่อถงเป็นถึงทหาร มิหนำซ้ำยังดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ มาเหยียบแผ่นดินโชซอนเช่นนี้ก็เท่ากับเอาชีวิตมาทิ้งไว้ชัดๆ ทว่าลีจีซองกลับว่าด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“แล้วก็ไม่ต้องห่วง นอกจากข้ากับเด็กรับใช้ แล้วก็พ่อค้าจากกองคาราวาน ก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงตัวตนของเจ้า รักษาตัวจนกว่าจะหายเถิด จากนั้นค่อยลอบกลับมาตุภูมิของเจ้าไป”

สิ้นเสียงก็ยื่นถ้วยยาให้ จ้าวจื่อถงไม่อยากจะรับสักเท่าไรนัก ได้แต่มองนิ่งด้วยเกรงว่าโอสถนั้นจะมียาพิษ

“ไม่ต้องกลัวด้วยว่าข้าจะวางยาพิษเจ้า หากข้าจะฆ่าเจ้าจริงๆ ปล่อยให้ตายอยู่ที่หุบเหวนั้นง่ายกว่าโข ดื่มเสีย”

ไม่ทันไร ลีจีซองก็ว่าออกมาราวกับรู้ทันความคิด จ้าวจื่อถงที่เติบโตมากับความหวาดระแวงของการฟาดฟันระหว่างขุนนางในราชสำนักมีปฏิกิริยาเช่นนั้นก็เพราะสัญชาตญาณ แต่เมื่อลีจีซองพูดเช่นนั้น เขาก็อดคิดไม่ได้ว่ามีเหตุผล กระนั้นก็ยังลังเลอยู่ ทำให้คนตรงหน้าต้องพูดขึ้นอีก

“เหตุใดเจ้าถึงได้ถูกทำร้ายเสียจนปางตาย?”

คนถูกถามไม่พูด ให้อีกฝ่ายเดา

“มีรับสั่งจากจักรพรรดิของเจ้าให้มาทำหน้าที่บางอย่างใช่หรือไม่ ข้าเห็นเครื่องแบบของเจ้า เจ้าไม่ใช่พลทหารชั้นผู้น้อย แต่เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ คงจะมีภารกิจใหญ่หลวงให้เจ้าต้องรับผิดชอบล่ะสิ”

เป็นเช่นนั้นแหละ ถึงจ้าวจื่อถงจะไม่ตอบ แต่ทหารเช่นเขาจะเอาชีวิตตัวเองเพราะสิ่งใดได้อีกเล่าหากไม่ใช่เพราะหน้าที่

“หากเจ้าอยากจะกลับไปสานต่อหน้าที่ของเจ้าให้เสร็จสิ้น เจ้าก็ต้องรักษาร่างกายให้หายดีเสียก่อน ดื่มเสีย เป็นเพียงโอสถรักษาอาการช้ำในเท่านั้น ไม่เป็นอันตราย”

คราวนี้เองที่จ้าวจื่อถงยอมรับยาไปกระดกดื่ม หากแต่สายตาก็ยังเหลือบมองใบหน้าของหมอหนุ่มด้วยความไม่ไว้ใจ ลีจีซองชินแล้วกับคนไข้เช่นนี้ มองปราดเดียวก็ดูออกว่าชายหนุ่มจากต้าหมิงผู้นี้คงจะเป็นคนไข้ที่ทั้งดื้อด้าน ทั้งหวาดระแวง ไม่ไว้ใจผู้ใดง่ายๆ แต่ก็ไม่คณามือหมอมากประสบการณ์เช่นเขาหรอก เขาผ่านคนไข้มานับพันนับหมื่น แค่คะยั้นคะยอให้ดื่มโอสถเข้าไป มันไม่ใช่เรื่องยากหรอก เพียงจับทางให้ได้ว่าคนไข้คิดหรือห่วงสิ่งใด เท่านั้นก็เอามาใช้เป็นเครื่องมือต่อรองได้แล้ว

“เมื่อเจ้าหายดีเมื่อไร ข้าจะพาเจ้าไปส่งที่ชายแดน”

มิหนำซ้ำยังพูดตบท้ายมาให้อีกฝ่ายได้สบายใจด้วย จ้าวจื่อถงไม่รู้หรอกว่าสิ่งนั้นจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ รู้แค่ว่าเขามิอาจวางใจผู้ใดในแคว้นนี้ได้ทั้งนั้น

กบฏ...ไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจวางใจกบฏได้

พระสนมกุ้ยเฟยที่ถูกลักพาตัวไปต้องเป็นแผนของโชซอนเป็นแน่ มิเช่นนั้นแล้วหน้าที่ของเขาจะบกพร่องเช่นนี้หรือ

ที่น่าเจ็บแค้นก็คือบิดาเขาต้องมาสิ้นชีวิตในภารกิจครั้งนี้ด้วย ทั้งที่มันไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย แต่ก็หาได้มีผู้ใดคาดคิด บัดนี้สกุลจ้าวเหลือเพียงเขาเป็นประมุขเพียงคนเดียวแล้ว เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ย่อมแน่ว่าสกุลจ้าวต้องถูกตำหนิติเตียนว่าเพียงหน้าที่ง่ายๆ ก็ยังทำไม่ได้ กระทำผิดพลาดย่อมต้องถูกลงโทษ จะริบทรัพย์หรือสิ่งใด จ้าวจื่อถงไม่สนนักหรอก เขารู้เพียงแต่ว่าเขาจะไม่มีวันยอมให้ชื่อเสียงของสกุลจ้าวต้องมาแปดเปื้อนเพราะกบฏประเทศราชเป็นแน่

เมื่อมาคิดๆ ดูแล้ว เห็นทีว่าการที่จะกอบกู้ชื่อเสียงของสกุลจ้าวกลับมาก็คือการตัดหัวของผู้นำกบฏผู้นั้นกลับไปถวายให้กับองค์ฮ่องเต้ หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องนำตัวพระสนมกุ้ยเฟยกลับคืน

เขาจะไม่ยอมให้โลหิตของบิดาต้องหยุดลงสู่ธรณีโดยไร้ซึ่งความหมาย

จะไม่ยอมให้เหล่าบรรพบุรุษของตระกูลในปรโลกต้องถูกปรามาสว่าเป็นนักรบที่ไม่เอาไหนเป็นแน่

ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะกอบกู้ชื่อเสียงของสกุลจ้าวคืนกลับมาให้ได้!

คิดเช่นนั้น จ้าวจื่อถงก็กระดกดื่มโอสถขมปร่าจนหมดถ้วย ครั้นส่งถ้วยเปล่าคืนให้กับลีจีซองก็มองเขาไม่ละสายตา ความหวาดระแวงพร่างพรายจนคนในห้องต่างสัมผัสได้ หากแต่ลีจีซองก็หาได้ทำสิ่งใดนอกจากจะวางตัวปกติเท่านั้น กระทั่งสังเกตเห็นว่าสายตาของจ้าวจื่อถงจับจ้องไปยังเด็กรับใช้ของโรงหมอ

“นั่นคือยองแจ เจ้าไม่ต้องห่วง เจ้านั่นไม่เอาเรื่องของเจ้าไปบอกผู้ใดหรอก ข้ากำชับไว้แล้วว่าตัวตนของเจ้าต้องเป็นความลับ”

เชื่อได้เพียงใดกัน ในเมื่อลีจีซองบอกว่านอกจากเขากับเด็กรับใช้ที่ชื่อยองแจจะล่วงรู้ตัวตนว่าเขาเป็นใครแล้ว ยังจะมีพ่อค้าจากกองคาราวานอีก

หากแต่ก็ไม่ได้ปริปากถามออกไป ลีจีซองเองก็ไม่ได้พูดสิ่งใด ผุดลุกจากตรงนั้น เดินกลับออกไปทำงานของตนต่อเท่านั้น

 

ยองแจไม่พูด... สิ่งที่ลีจีซองบอกเป็นเรื่องจริง แต่ที่เด็กรับใช้ไม่พูดหาใช่ว่าเป็นเพราะถูกกำชับไว้อย่างเดียว ไม่พูดเพราะพูดภาษาของต้าหมิงไม่ได้ด้วยต่างหาก ถึงแม้ว่าอักษรที่ใช้เขียนจะใช้รูปแบบเดียวกัน แต่คำพูดคำศัพท์ล้วนแล้วต่างกันโดยสิ้นเชิง

ทุกครั้งที่ยองแจมาปรนนิบัติดูแลล้วนเป็นไปด้วยความเงียบงัน จ้าวจื่อถงก็หาได้สนใจ เขาแค่รอเวลาที่ร่างกายจะกลับมาเป็นปกติดั่งเดิมแล้วไปจากที่นี่ก็เท่านั้น หากทว่าก็จำต้องพูดขึ้นมาจนได้เมื่อนึกขึ้นได้ว่าของบางอย่างของเขาหายไป

ของบางอย่าง...ที่สำคัญกับจิตใจของเขามาก

ดาบประจำตัวซึ่งเป็นของตกทอดมาจากตระกูล...

“ดาบข้าอยู่ที่ไหน”

ไม่ใช่ครั้งแรกที่จ้าวจื่อถงพยายามจะเค้นเอาคำตอบจากยองแจ หากแต่ทุกครั้งที่พูดไป ยองแจก็มักจะทำหน้าไม่เข้าใจใส่ตลอด อะไรไม่ว่า ยังมีสีหน้าตื่นกลัวด้วยเมื่อจ้าวจื่อถงตวาดเพราะไม่ได้คำตอบ

“ข้าถามว่าดาบข้าอยู่ที่ไหน!”

ภาษายังไม่เข้าใจกันเลย นี่ยังมาถูกตวาดอีก ใครจะไม่กลัวกัน

ยองแจอึกๆ อักๆ น้ำตาคลอหน่วย จ้าวจื่อถงเห็นแล้วก็ไม่สบอารมณ์ยิ่ง

ทำไมเขาจะต้องมาเสียเวลากับเจ้าเด็กรับใช้คนนี้ด้วยกัน!

“ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง...ดาบของข้าอยู่ที่ไหน”

ตวาดก็แล้ว ตะคอกก็แล้ว ถามดีๆ ก็แล้ว ไม่ได้คำตอบสักที จ้าวจื่อถงถอนหายใจออกมาเต็มแรง จากนั้นก็เริ่มใช้ภาษาที่คิดว่าไม่ว่าคนจากแคว้นใดก็ต้องเข้าใจ

ภาษามือ...

“ดาบ...ของ...ข้า...อยู่...ที่...ไหน...”

พูดช้าๆ ชัดๆ ทีละคำไป มือก็ออกวาดลวดลายเหมือนกำลังฟันดาบเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าตนกำลังหมายถึงอะไร ยองแจมองอยู่ครู่ จากนั้นก็ส่งเสียงร้องดังอ๋อ

“ใช่ๆ ดาบนั่นแหละ”

จ้าวจื่อถงดีใจขึ้นมาที่เข้าใจกันเสียที ยองแจพูดอะไรออกมาสักอย่างที่เขาเองก็ไม่เข้าใจ แต่เขาพยักหน้ารับไปแล้ว ขณะที่เด็กหนุ่มวิ่งปรู๊ดออกไปด้านนอก และกลับมาพร้อมกับ...

“ไม้กวาด?” เรียวคิ้วกระบี่ของจ้าวจื่อถงขมวดมุ่นทันที “ข้าถามหาดาบของข้า ไม่ใช่ไม้กวาด!”

เพล้ง!

มือกวาดเอาถ้วยกระเบื้องเคลือบที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงทิ้งลงพื้นทันที ยองแจกระโดดผลุง น้ำตาที่คลอหน่วยมาตั้งนานไหลอาบใบหน้าในตอนนี้ ขณะที่จ้าวจื่อถงหัวเสียเป็นการใหญ่

“บัดซบเอ๊ย! พวกเจ้าเอาของของข้าไปไว้ที่ไหน เอาคืนมาประเดี๋ยวนี้!”

เสียงนั้นดังมากพอที่จะปลุกให้ท่านหมอซึ่งพักอยู่อีกห้องตื่นขึ้นมากลางดึกได้ เขารีบหุนหันมายังห้องพักของคนไข้ขี้โมโหทันที ก่อนจะพบว่าเด็กรับใช้ที่เขาสั่งให้อยู่ดูแลกำลังร้องไห้น้ำตาอาบหน้า มือถือไม้กวาดตัวสั่นงันงก

ลีจีซองเอื้อมมือไปแย่งไม้กวาดมาถือเอง ก่อนโบกมือเป็นเชิงให้ยองแจออกไปข้างนอกก่อน ส่วนตนก็ยืนมองร่างใหญ่ภายใต้แสงเทียนด้วยสีหน้านิ่งเรียบ

“เห็นทีข้าคงได้เจอคนไข้ขี้โมโหแล้วกระมัง”

“ดาบของข้าอยู่ที่ไหน”

ไม่สนคำพูดของลีจีซองเลยแม้แต่น้อย จะเอาแต่คำตอบที่ตนต้องการอย่างเดียว อันที่จริงแล้วลีจีซองก็พอจะได้ยินบทสนทนาของจ้าวจื่อถงกับยองแจจากห้องนอนของตนเองแล้วว่าพูดคุยกันถึงสิ่งใด ตอนแรกก็นึกขบขันอยู่หรอกที่ต่างฝ่ายต่างพูดกันไม่รู้เรื่อง แต่ตอนนี้ชักไม่ตลกแล้วเมื่อเด็กรับใช้ในอาณัติของเขาถูกทำให้เสียน้ำตาเช่นนี้

“อยู่ที่ใดแล้วสำคัญอย่างไร ในเมื่อตอนนี้เจ้าจับถือสิ่งใดไม่ได้”

“ข้าถามว่าดาบของข้าอยู่ที่ไหน”

จ้าวจื่อถงถามเสียงต่ำ สีหน้าและแววตาเกรี้ยวกราดราวกับจะปลิดชีพคนตรงหน้า แต่ในความเป็นจริงแล้ว แค่ลุกจากเตียงมายืน เขายังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ได้แต่ขยับช่วงท่อนบนเท่านั้นล่ะ

“เจ้าคนไข้ดื้อด้าน ฟังข้า...” ลีจีซองว่า ก่อนเดินเข้ามาใกล้ “หากเจ้าถือไม้กวาดด้ามนี้ไหว ข้าจะคืนดาบให้เจ้า”

พูดมาเช่นนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าดาบอยู่กับคนตรงหน้านั่นเอง จ้าวจื่อถงสบายใจขึ้นมาได้เปลาะหนึ่งว่าดาบของเขาไม่ได้สูญหายไปขณะที่เขาไม่รู้สึกตัว ก่อนที่จะมองไม้กวาดจากมือคนตรงหน้าเขม็ง

แค่ถือไม้กวาด มันจะไปยากอะไร!

ทว่าในยามนี้ยากยิ่งนัก เพียงแค่เขาคว้าเอาไม้กวาดมาไว้ในมือ แขนข้างที่ถนัดก็พลันอ่อนแรงจนด้ามไม้กวาดหลุดมือไปบนพื้น

จ้าวจื่อถงมองแขนที่สั่นระริกของตนพร้อมกับขบกรามแน่นเมื่อความเจ็บแปลบแล่นพล่านไปทั่วทั้งแขนและหัวไหล่ ลีจีซองระบายลมหายใจออกมาน้อยๆ

“เท่านี้ก็ชัดเจนแล้วว่าได้ดาบคืนไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับเจ้า”

ทั้งที่ดูเป็นคนเงียบๆ แท้ๆ แต่เมื่อเปล่งคำพูดออกมา แต่ละประโยคกลับทำให้จ้าวจื่อถงหัวเสียยิ่งนัก

“เอาดาบของข้าคืน...”

“ไว้เจ้าถือไม้กวาดได้โดยไม่สั่นเมื่อไร ข้าจะเอาคืนให้ จะคืนทุกอย่างของเจ้าให้หมดสิ้น”

พูดยังไม่ทันจบ ลีจีซองก็สวนขึ้น มิหนำซ้ำยังสั่งสอน

“แต่ในเวลานี้แค่จะเดิน เจ้ายังไม่มีปัญญา เช่นนั้นก็อย่าก่อเรื่องให้ผู้อื่นลำบากใจนักเลย โดยเฉพาะยองแจ เด็กนั่นดูแลเจ้าเป็นอย่างดี อย่าให้ผู้ใดมาต่อว่าเอาได้ว่าคนต้าหมิงไม่สำนึกบุญคุณคน”

ฟังแล้วก็น่าเจ็บใจนัก แต่จ้าวจื่อถงก็ไม่ได้เถียงอะไร เขาได้แต่เงียบให้ลีจีซองได้ทิ้งท้ายเท่านั้น

“ดึกมากแล้ว นอนเสีย นอนพักให้มาก เจ้าจะได้หายไวๆ แล้วไปจากที่นี่ตามใจปรารถนา ไม่ต้องมาเป็นแม่ทัพตกยากอยู่ที่นี่”

แม่ทัพตกยาก...

ฟังไม่เข้าหูเอาเสียเลย!

จ้าวจื่อถงอยากสบถหยาบคายใส่นัก แต่ลีจีซองก็ไม่อยู่รอฟังอีกแล้ว สิ้นเสียงก็หันหลังกลับออกไป ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ฮึดฮัดอยู่ตามลำพัง

ถึงกับถูกปรามาสเย้ยหยันว่าเป็นแม่ทัพตกยาก... คอยดูเถิด แม่ทัพตกยากอย่างเขานี่แหละที่จะกอบกู้ชื่อเสียงสกุลจ้าวกลับคืนมา ต่อให้เป็นผู้มีพระคุณก็เถิด เขาจะทำให้คนของโชซอนจะพูดไม่ออกเลยสักคำ!

--------------------------------

ตอนใหม่มาแล้วค่ะ วันนี้อัปเช้าหน่อย เขียนเสร็จพอดีหลังจากที่ดองไปเป็นปี 555

ลืมๆ พล็อตไปบ้างแล้ว กำลังพยายามรื้ออยู่

หนูแดงเคยเขียนแนวจีนโบราณนะ แต่ไม่เคยเขียนเกาหลีโบราณสักที เรื่องนี้ก็เลยเอามามิกซ์กันเล็กน้อย โทนเรื่องไม่เครียดค่ะ ความสัมพันธ์พระ-นายค่อนข้างจะหวาน ไปเครียดนิดๆ ตรงช่วงที่เป็นการเมืองแค่นั้น ที่เหลือก็ไม่มีอะไร อ่านสบายๆ ไปทั้งเรื่องค่ะ

ฝากกำลังใจไว้ด้วยนะ

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Re: ◢ 조선에서 ณ โชซอน ◣
«ตอบ #4 เมื่อ11-06-2018 16:29:57 »

บทที่ 3: ท่านหมอ

แม้จะรู้ดีว่าอาการบาดเจ็บของตนสาหัส โดยเฉพาะแขนทั้งสองข้างที่ถูกธนูยิงถูกเส้นเอ็น ถึงเส้นเอ็นจะไม่ขาด แต่ก็ทำให้เขาไม่สามารถใช้งานแขนได้ตามใจนึกนัก ยิ่งเป็นข้างที่ถนัดด้วยแล้ว จ้าวจื่อถงก็ยิ่งหัวเสีย

จับไม้กวาดได้ก่อนแล้วค่อยคิดจะเอาดาบคืนอย่างนั้นหรือ เฮอะ! เจ้าเป็นใคร แล้วข้าเป็นใคร อย่ามาดูถูกกันนะ!

ทว่าก็ได้แต่คิดในใจเท่านั้นล่ะ จ้าวจื่อถงไม่ใช่คนที่จะโวยวายพาโล มีแต่จะปั้นสีหน้าดุดันเท่านั้น ยิ่งไม่สบอารมณ์ก็ยิ่งดูดุดันมากขึ้นทบทวี

เดือดร้อนก็แต่ยองแจเท่านั้นล่ะที่ต้องดูแลเจ้าคนอารมณ์ฉุนเฉียวตลอดเวลา บางครั้งบางคราวก็ถูกตวาดด้วยทำให้จ้าวจื่อถงรำคาญใจ ร้องไห้ละล่ำละลักออกจากห้องไปฟ้องท่านหมอทุกที

ลีจีซองจะทำอะไรได้กันล่ะนอกจากถอนหายใจกับปลอบประโลมยองแจเท่านั้น แต่นานวันเข้า อารมณ์ฉุนเฉียวของจ้าวจื่อถงก็ยิ่งรุนแรง พักนี้ลีจีซองจึงไม่ให้ยองแจเข้าไปปรนนิบัติรับใช้

ในเมื่อชอบตวาด ไหนจะชอบดุทั้งที่คุยกันไม่รู้เรื่อง ก็นอนคนเดียวไปเถิด ยองแจแค่เข้าไปจัดน้ำจัดโอสถไปวางบนโต๊ะให้เท่านั้น จากนั้นก็กลับไปนอนที่ห้องของตัวเอง ไม่ต้องนอนเฝ้าทั้งคืนตามที่ลีจีซองสั่งไว้ในตอนแรกอีกแล้ว

เก่งนักก็ให้ช่วยตัวเองไป...

แต่นั่นก็หาใช่เรื่องใหญ่ของจ้าวจื่อถงสักเท่าไร เขาไม่สนใจนักหรอกว่าเด็กนั่นจะมาดูแลปรนนิบัติเขาหรือไม่ เขาสนแค่ว่าเมื่อไรเขาจะได้ดาบประจำตระกูลของตนเองคืนก็เท่านั้น

และนี่ก็เป็นอีกคืนที่ทำให้จ้าวจื่อถงหัวเสีย เขาพยายามที่จะจับไม้กวาดแล้วยกขึ้นให้ลีจีซองได้ประจักษ์ว่าสมควรแก่เวลาที่ต้องคืนดาบให้แก่เขาเสียที ทว่า...ทุกอย่างไม่ง่ายดายอย่างที่เขาคิดสักเท่าไรนัก อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องยกดาบเลย แค่ยกกาน้ำชาขึ้นรินลงจอก มือก็สั่นระริกจนไม่อาจบังคับได้อยู่

“โธ่เว้ย!”

จ้าวจื่อถงสบถออกมาเมื่อเขาไม่สามารถรินน้ำชาได้ พอหักข้อมือจะรินน้ำชา มือก็ยิ่งสั่นระริกจนเขาหงุดหงิดตัวเอง วางกระแทกกาในมือลงเต็มแรง ก่อนตามมาด้วยการกวาดข้าวของบนโต๊ะทิ้งลงพื้น

เสียงถ้วยกระเบื้องเคลือบแตกดังเพล้งทำให้บุรุษซึ่งอยู่อีกห้องหนึ่งต้องละสายตาจากตำราการแพทย์ในมือมองไปตามต้นเสียง พลันก็ถอนหายใจออกมาเมื่อคาดเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

อันที่จริงก็ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่มีเสียงนี้เกิดขึ้นยามวิกาล มันเกิดขึ้นแทบจะทุกคืนเลยทีเดียว โดยปกติแล้ว ลีจีซองจะแสร้งทำเป็นเมินเฉย ปล่อยให้คนไข้ดื้อด้านคนนี้ของเขาอาละวาดจนเหนื่อยแล้วหลับไป แต่เมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าเมื่อเย็นนี้ ยองแจมาบอกว่าถ้วยชามสำหรับใช้ในโรงหมอแทบไม่มีเหลือแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะต้องลุกขึ้นไปช่วยคนไข้ขี้โมโหของเขาสงบสติอารมณ์สักหน่อย

ขืนปล่อยให้ฉุนเฉียวทุกคืนอย่างนี้ มีหวังถ้วยชามของโรงหมอแห่งนี้ได้ถูกทำแตกจนหมดเกลี้ยงแน่

จากห้องของตนไปยังห้องพักของจ้าวจื่อถงใช้เวลาไม่นานนัก ลีจีซองยกมือขึ้นเคาะที่ขอบประตูไม่กี่ครั้งก็เปิดเข้าไปโดยไม่รอให้คนด้านในบอกอนุญาต สภาพเละเทะ บนพื้นมีถ้วยชามแตกกระจายเกลื่อนกลาดทำให้เขาต้องถอนหายใจออกมาอีกครา ก่อนจะมองเลยไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเตียง

“ค่าหมอ ค่ายา ข้าก็หาได้เก็บ ในเมื่อข้ารักษาให้เจ้าโดยไม่เอาสินทรัพย์สักอย่าง เจ้าก็อย่าทำลายข้าวของของโรงหมอจะได้ไหม”

น้ำเสียงนิ่งเรียบเอ่ยออกมา ไม่อาจรับรู้ได้เลยว่าคนพูดคิดหรือรู้สึกเช่นใด แต่จ้าวจื่อถงจะไปสนใจอะไร ตวัดสายตามองไปยังคนมาใหม่ทันควัน

“ถ้าเจ้าอยากให้ข้าเลิกทำลายข้าวของนัก ก็คืนดาบข้ามาสิ”

จ้าวจื่อถงก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นกัน แต่แววตาและสีหน้าที่ลีจีซองเห็นก็ชัดเจนอยู่ว่ากำลังเดือดดาลเต็มทน

“ข้าบอกเจ้าแล้วว่าเมื่อไรที่เจ้ายกไม้กวาดขึ้นได้ ข้าจะคืนดาบให้กับเจ้า” หมอหนุ่มว่าอย่างไม่ยี่หระ ก่อนที่จะเดินมานั่งที่ขอบเตียง มิหนำซ้ำยังว่าออกมาอย่างไม่สนใจอะไร “ผ้าพันแผลของเจ้าหลุดแล้ว ข้าจะพันให้ใหม่”

จ้าวจื่อถงก็ไม่ได้ขัดขืน เขายอมนั่งนิ่งๆ ปล่อยให้ลีจีซองได้พันแผลให้ใหม่ กระนั้นสีหน้าก็ยังดูไม่สบอารมณ์เช่นเดิม อีกทั้งยังพูดขึ้น

“เมื่อไรข้าจะหาย”

“อยากกลับต้าหมิงถึงเพียงนั้นเลยหรือ”

“ข้าถามว่าเมื่อไรข้าจะหาย!”

ในเมื่อตอบไม่ตรงคำถาม จ้าวจื่อถงก็อดไม่ได้ที่จะขึ้นเสียง ลีจีซองชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ยอมตอบโดยดี

“หากเจ้าไม่ดื้อด้าน เชื่อฟังที่ข้าบอก ดื่มยาให้ครบทุกสามเวลา นอนพักมากๆ ก็จะหายดี อันที่จริงอาการบาดเจ็บของเจ้าก็ดีขึ้นมากแล้ว แต่ก็ยังน่าเป็นห่วงอยู่”

“มีสิ่งใดที่น่าเป็นห่วง”

น้ำเสียงขุ่นๆ ทำให้ท่านหมอต้องสบตากับอีกฝ่าย ก่อนจะว่าเสียงเรียบ

“แขนของเจ้าโดยเฉพาะแขนข้างขวาถูกธนูปักเฉียดเส้นเอ็น เอ็นไม่ขาดแต่ก็ทำให้แขนไม่อาจใช้งานได้ดีดังเดิม ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟู ส่วนขาของเจ้ามีกระดูกบางส่วนที่ไม่เข้าร่องเข้ารอย อาจจะเดินเหินไม่สะดวกไปสักระยะ”

ไม่ใช่ว่าเดินเหินไม่สะดวกหรอก เดินไม่ได้เลยจะดีกว่า ส่วนกระดูกที่ไม่เข้าร่องเข้ารอยนั่น ลีจีซองไม่พูดออกมาตามตรงว่าหักก็เพราะไม่อยากให้คนไข้ขี้โมโหของเขาเป็นอันธพาลไปมากกว่านี้ แต่ถึงจะไม่พูด จ้าวจื่อถงก็พอจะเข้าใจได้ เขาก็ใช่ว่าจะไม่เคยบาดเจ็บมาก่อน แค่เห็นขาของตนมีผ้าพันแผลพันรอบ อีกทั้งยังมีไม้ประกบดามเอาไว้ เท่านี้ก็รู้แล้วว่าเกิดสิ่งใดขึ้น

“แล้วเมื่อไรข้าจะหาย”

“ก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะเชื่อฟังข้าไหม”

“ข้าถามว่าเมื่อไรจะหาย หมายถึงข้าต้องการรู้ระยะเวลา ไม่ใช่มาฟังคำพูดอ้อมไปอ้อมมาของเจ้า!”

แหวเข้าให้เสียทีหนึ่ง ลีจีซองก็มองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง ก่อนจะยอมตอบ

“อยากเร็วก็ครึ่งปี อย่างช้าก็เป็นปี”

นี่ล่ะคำตอบที่จ้าวจื่อถงอยากได้ล่ะ!

แต่พอได้ยินแล้ว เขาก็ไม่ได้ยินดีเลยแม้แต่น้อย เรียวคิ้วกระบี่ย่นยู่มากกว่าเดิมด้วยซ้ำ

ถึงจะรอดชีวิต แต่ต้องมีชีวิตอยู่เช่นนี้บนแผ่นดินผู้อื่นไปพักใหญ่ มันก็หาใช่เรื่องที่น่าพิสมัยเลยแม้แต่น้อย

ทว่าจ้าวจื่อถงก็ทำสิ่งใดไม่ได้นอกเสียจากยอมรับชะตากรรมของตนโดยดุษณี ลีจีซองเห็นอีกฝ่ายเงียบไปก็ทำลายความเงียบขึ้น

“เลือดซึมแล้ว ข้าจะเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ใหม่”

พยักพเยิดไปยังแผลที่ปริออกบริเวณหัวไหล่ข้างหนึ่ง มันเป็นแผลถูกลูกธนูนั่นล่ะ ที่ปากแผลปริก็คงเป็นเพราะใช้แขนไปเมื่อครู่นี้

จ้าวจื่อถงไม่พูดไม่จา ปล่อยให้ลีจีซองได้ทำแผลให้ ฝ่ามือเนียนนุ่มที่สัมผัสลงบนหัวไหล่แกร่งทำให้คนไข้สงบได้ครู่หนึ่ง ขณะที่ลีจีซองมองผิวกายของคนตรงหน้าแล้วก็อดถามขึ้นมาไม่ได้

“เจ้าเป็นแม่ทัพมานานเท่าไรแล้ว”

ที่ถามเช่นนั้นเพราะสังเกตเห็นว่านอกจากบาดแผลใหม่บนเรือนร่างของจ้าวจื่อถงแล้ว เขายังมีร่องรอยแผลเป็นจากคมอาวุธต่างๆ อยู่เต็มร่างกายไปหมด

จ้าวจื่อถงไม่ตอบในทันใด ก่อนจะต้องส่งเสียงโอดครวญเมื่อผ้าที่ซับเอาหยาดโลหิตออกกดลงไปบนปากแผลแรงเล็กน้อย

“เบามือหน่อย”

เขาไม่ได้โวยวาย แต่ก็มีความขุ่นเคืองอยู่ในน้ำเสียง ลีจีซองว่าขึ้นมาลอยๆ

“เห็นไม่พูด นึกว่าเจ้าเป็นใบ้เสียแล้ว ในเมื่อเจ้าไม่ได้เป็นใบ้ ก็ตอบคำถามข้าหน่อยแล้วกันว่าเจ้าเป็นแม่ทัพมานานเท่าไร”

ที่แท้ก็เป็นอุบายหลอกล่อให้จ้าวจื่อถงยอมปริปากพูดขึ้นมานั่นเอง จ้าวจื่อถงขบกรามเล็กน้อย แต่ก็ยอมตอบออกไปจนได้

“สองปี”

“ปีนี้เจ้าอายุเท่าไร”

“ยี่สิบขวบปี”

“แสดงว่าเจ้าขึ้นรั้งตำแหน่งแม่ทัพตั้งแต่สิบแปดขวบปีหรือ”

เป็นเช่นนั่นแหละ แต่จ้าวจื่อถงไม่ตอบ นั่งนิ่งให้ลีจีซองหยุดซักถาม ก้มหน้าก้มตาทำแผลให้เขาใหม่อย่างเดียวเท่านั้น ครั้นทำแผลเสร็จสิ้น ลีจีซองก็อดว่าขึ้นมาไม่ได้

“ข้าพอจะรู้มาบ้างว่าพวกนักรบเป็นพวกทระนงตน หยิ่งในศักดิ์ศรี แต่ก็หาได้คิดมาก่อนว่าจะทระนงตนมากถึงเพียงนี้ แม้แต่จะสนทนาพาทีกับหมอต่ำต้อยเช่นข้ายังเป็นไปได้ยาก”

จ้าวจื่อถงเหลือบมอง “ในเมื่อเจ้ารู้ว่าเป็นเช่นนั้น ก็อย่าถามกวนใจข้าให้มากความ”

“การที่หมอเช่นข้าจะถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของคนไข้นั้นเป็นเรื่องธรรมดา หารู้ไมว่าคนไข้ของข้าจะ ‘ไม่ธรรมดา’ ทั้งที่ยังต้องพึ่งพาข้าอยู่”

ตามมาด้วยการค่อนแคะอีกจนได้ จ้าวจื่อถงนิ่วหน้า อยากรู้นักว่าเขาไปทำอะไรให้อีกฝ่ายขุ่นใจกัน ถึงได้มาคอยกวนใจเขาด้วยคำพูดอยู่ร่ำไปเช่นนี้

ทำอะไรให้ลีจีซองขุ่นใจ... จะว่าไป มีมากมายเลยทีเดียว ตั้งแต่ที่เป็นทหารของต้าหมิง ไหนยังจะดุด่าเด็กรับใช้ทั้งที่คุยกันไม่รู้เรื่องสักคำ อีกทั้งทำลายข้าวของ และอีกสารพัดที่ถ้าเขาเป็นลีจีซองก็พอจะเข้าใจได้ว่าทำไมถึงขุ่นใจ

เพราะคิดได้อย่างนั้น จ้าวจื่อถงจึงไม่พูดอะไร ปล่อยให้ลีจีซองได้ยิ้มบางๆ

“เจ้าจะทระนงหรือหยิ่งในศักดิ์ศรีของตนอย่างไร ข้าก็ไม่ว่า แต่เอาเป็นว่าเวลาเจ้าโมโห อย่าทำลายข้าวของ ถ้วยชามในโรงหมอของข้าจะไม่มีใช้เพราะถูกเจ้าทำแตกหมดแล้ว ถือว่าการอยู่อย่างสงบเป็นการตอบแทนบุญคุณข้าที่ช่วยชีวิตเจ้าไว้ก็แล้วกัน”

ที่แท้ก็ทวงบุญคุณอย่างนั้นหรือ...

จ้าวจื่อถงมองอีกฝ่ายตาเขียว แต่ก็หาได้พูดอะไร ที่ลีจีซองพูดมาก็ถูก เขามาพึ่งพาอีกฝ่ายแล้ว หากตอบแทนไม่ได้ อย่างน้อยก็ไม่ควรทำตัวเป็นปัญหา เช่นนั้นก็เอาเป็นว่าหลังจากนี้ เขาจะไม่สร้างความเดือดร้อนก็แล้วกัน

“อย่างนั้นข้าขอเจ้าเรื่องหนึ่ง”

แต่ก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน...

ลีจีซองเลิกคิ้วสูงเล็กน้อย จ้าวจื่อถงก็พูดต่อ

“ถ้าไม่อยากให้ข้าวของเครื่องใช้ถูกทำลายอีก ก็อย่าถามซักไซ้ข้า ให้ถือเสียว่าข้าเป็นใบ้ ไม่ต้องพูดคุยด้วยหากไม่จำเป็น อย่างไรเสียข้าก็เป็นคนของต้าหมิง ต้าหมิงกับโชซอนไม่ถูกกัน ถึงจะเกี่ยวดองแต่ก็ไม่ลงรอยกันอยู่ดี ไม่ต้องเป็นมิตรกับข้ามากนัก เพราะข้าไม่ได้อยากเป็นมิตรกับพวกเจ้า”

ย่อมแน่ว่าหมายรวมถึงยองแจด้วย...

ลีจีซองไม่ได้ว่าอะไร ยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนจะออกจากห้องไป ได้แต่ปล่อยให้คนใบ้นั่งนิ่วหน้าอยู่เพียงลำพัง

 

คนใบ้ก็คือคนใบ้...

ในเมื่อออกตัวว่าเป็นคนใบ้ จ้าวจื่อถงก็เป็นคนใบ้สมใจเพราะหลังจากวันนั้น เขาก็ไม่พูดไม่จาอีกเลยถ้าหากว่าไม่จำเป็น แม้แต่จะดุด่ายองแจอย่างที่เคยทำก็ไม่ปริปากสักนิด เรียกได้ว่าการที่เขาเป็นอย่างนั้นทำให้เด็กรับใช้ค่อนข้างโล่งใจมากทีเดียวที่ไม่ถูกตะคอกหรือตวาดโดยที่ไม่เข้าใจสักนิดว่าอีกฝ่ายพูดอะไร แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีสักเท่าไร เพราะทุกครั้งที่เข้าไปดูแลจ้าวจื่อถงอย่างเคย ยองแจก็รู้สึกราวกับว่าร่างของแม่ทัพต้าหมิงผู้นั้นมีกลิ่นอายคุกรุ่นบางอย่างแผ่นกำจายออกมาจากร่างตลอดเวลา

เป็นเช่นนี้น่ากลัวกว่าตอนถูกตวาดใส่เสียอีก!

อะไรไม่ว่า เพราะร้อนใจที่ได้ยินลีจีซองบอกว่ากว่าอาการของเขาจะหายดีเป็นปกติก็ใช้เวลาร่วมครึ่งปี หรืออย่างช้าก็หนึ่งปี จ้าวจื่อถงจึงออกอาการดื้อแพ่ง พยายามลงจากเตียงเพื่อลองเดินอยู่ ทำเอาเด็กรับใช้ต้องร้องปรามเป็นการใหญ่ จากนั้นก็กลายเป็นสงครามขนาดย่อมเมื่อทั้งสองพูดคุยกันไม่รู้ความเหมือนเดิม ร้อนถึงลีจีซองที่ตรวจอาการคนไข้อยู่ด้านนอกต้องเข้ามาห้ามปราม

“เจ้าจะอยู่อย่างสงบสักวันไม่ได้เลยหรือ”

น้ำเสียงเรียบที่ออกจะขุ่นนิดๆ เล็ดลอดออกจากริมฝีปากสีชมพูเรื่อของลีจีซองหลังจากที่เขาจับจ้าวจื่อถงนอนลงกับเตียงได้ดังเดิม

“ข้าเพียงพิสูจน์ว่าข้าอาการสาหัสเพียงใดก็เท่านั้น”

คำพูดนี้ทำเอาท่านหมอถึงกับเหลือบมอง

“เดินไม่ได้เช่นนี้ สาหัสเท่าใดกันล่ะ”

ใช่ ก็ยังเดินไม่ได้ แต่ทว่า...

“แต่ข้าไม่ได้ขาหักเช่นที่เจ้าบอก”

จ้าวจื่อถงว่า ถึงเขาจะไม่ได้เป็นหมอ แต่เป็นทหารที่ออกรบมาหลายสมรภูมิ ไยเล่าจะไม่รู้ว่าอาการขาหักเป็นเช่นไร ที่ขาเขามีไม้มาดามไว้เช่นนี้ แต่กลับไม่ปวดหรือเจ็บใดๆ เลยแม้แต่น้อย ยกเว้นบริเวณข้อเท้า มันทำให้เขาจับพิรุธของคนตรงหน้าได้

ลีจีซองเหลือบมองกลับ ลอบถอนหายใจออกมา ดูท่าแผนการตบตาของเขาจะไม่เป็นผลแล้ว จึงยอมรับโดยดุษณี

“ใช่ เจ้าไม่ได้ขาหัก”

เท่านั้นคิ้วกระบี่ของจ้าวจื่อถงก็ขมวดมุ่น

“เช่นนั้นเอาไม้มาดามขาข้าไว้เพื่อการใด”

“ไม่ได้ขาหัก แต่กระดูกข้อเท้าก็ร้าว เจ้ายังเดินไม่ได้อยู่ดี”

ลีจีซองสวนขึ้นมา สิ่งนั้นจ้าวจื่อถงไม่เถียง เขาลองเดินดูแล้ว จากนั้นก็ร้องโอ๊ยดังลั่นเมื่อความเจ็บปวดแล่นพล่านขึ้นมาทั่วทั้งขา มิหนำซ้ำยังพาลไปทำหน้าตาถมึงทึงใส่ยองแจอีก นี่ล่ะสาเหตุของสงครามขนาดย่อมเมื่อครู่ล่ะ

“เมื่อไรจะเดินได้”

“ก็บอกแล้วมิใช่หรือว่าอย่างเร็วก็ครึ่งปี อย่างช้าก็ปีหนึ่ง ที่ข้าหลอกเจ้าว่าขาหักก็เพื่อบังคับให้เจ้าอยู่นิ่งๆ กลายๆ อาการบาดเจ็บจะได้สมานโดยไว”

“ทำเช่นนั้นทำไม”

“เพราะข้าเห็นหน้าเจ้าก็รู้แล้วว่าดื้อด้านแค่ไหน ท่านแม่ทัพ”

พูดมาอย่างนี้ จ้าวจื่อถงก็ไม่เถียงต่อ อย่างที่ลีจีซองพูดนั่นล่ะว่าเขาดื้อด้าน ครั้งหนึ่งที่ไปนำทัพออกรบ ตอนนั้นตนบาดเจ็บที่แขนขวา ไม่สามารถจับดาบยกขึ้นได้ แต่ก็ยังดื้อดึงทำศึกต่อ ไม่ยอมให้แม่ทัพนายอื่นนำทัพแทน ออกรบทั้งที่ใช้มือซ้าย นับว่าเป็นความคิดที่โง่เขลามาก แต่เพราะเขาเอาแต่คิดถึงศักดิ์ศรีของแม่ทัพสกุลจ้าว จึงไม่ยอมให้ผู้ใดมาตีตราว่าไม่เอาไหนทั้งสิ้น ดีที่ศึกในครั้งนั้น เขานำชัยกลับมาได้ มิเช่นนั้นแล้วคงได้ถูกกุดหัวกุดท้ายทั้งตระกูลเพราะความใจร้อนของเขาเป็นแน่

“รู้เช่นนี้แล้วก็อยู่เฉยๆ พยายามอย่าขยับตัวหรือใช้ขาข้างนั้น ไม่อย่างนั้นมันจะหายช้ากว่าที่ข้าคาดการณ์”

ลีจีซองว่าปิดท้าย จ้าวจื่อถงแสดงออกชัดเจนว่าขัดใจยิ่งนัก กระนั้นก็ยอมอยู่นิ่งๆ...แค่ครู่เดียว เผลอแวบเดียวก็ยุกยิกอีกแล้ว

“แต่จะให้ข้านอนเฉยๆ บนเตียงจนกว่าจะหาย ข้าทำไม่ได้”

นั่นปะไร ผิดจากที่คิดไปเสียที่ไหน ลีจีซองก็คิดอยู่แล้วว่าจะต้องได้ยินคำพูดประมาณนี้

“เพื่อตัวเจ้าเอง คิดเอาไว้ให้ขึ้นใจสิว่าจะได้รีบหาย แล้วรีบกลับไปมาตุภูมิของเจ้า”

น้ำเสียงราบเรียบไม่ทุกข์ไม่ร้อนนั่นช่างชวนให้จ้าวจื่อถงหัวเสียเหลือเกิน

ลีจีซองแสร้งไม่ยี่หระต่อสายตาดุดันที่อีกฝ่ายมองมา ตักโอสถขึ้นจากหม้อต้มแล้วยกมาวางบนโต๊ะข้างเตียงให้

“ดื่มยาให้ครบทุกมื้อ อย่าขาด อย่าลืม เมื่อถึงเวลาเมื่อไร ข้าจะพาเจ้าหัดเดิน”

หัดเดินอย่างนั้นรึ?

ไม่ทันจะได้ถาม ลีจีซองก็อธิบายออกมาแล้ว

“เจ้าจะเดินไม่ได้ไปอีกหลายเดือน ยามกลับมาเดินใหม่จะเผลอทิ้งน้ำหนักตัวลงขาข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ เมื่อนั้นเข้าจะสูญเสียการทรงตัวไปเล็กน้อย ที่ต้องให้เจ้าหัดเดินก็เพื่อรักษาการทรงตัวของเจ้าให้สมดุล”

จ้าวจื่อถงพอจะเข้าใจ แต่ทว่า...

“ระหว่างที่ข้ารออาการดีขึ้น เจ้าทำไม้ค้ำยันให้ข้าใช้สักหน่อยไม่ได้หรือ ข้าก็อยากจะยืดเส้นยืดสายบ้าง ไม่ใช่นอนติดกับเตียงเช่นนี้ทุกวี่วัน”

ลีจีซองเหลือบมองหน้า ไม่สำนึกบุญคุณเขาไม่พอ ยังจะมาออกคำสั่งอีก แต่ก็ดี เขาจะได้ใช้เป็นข้อต่อรอง

“ไว้เจ้าทำตัวดีเมื่อไร ข้าจะพิจารณาดูอีกที”

พิจารณาดู...หมายความเช่นไร

“เจ้าต้องการอะไร”

จ้าวจื่อถงรู้ตัวควันว่าถูกต่อรองแล้ว พอถามไปอย่างนั้น ลีจีซองก็ว่าเนิบๆ

“ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าให้เจ้าทำตัวดีๆ”

“อะไรล่ะที่หมายถึงการทำตัวดี”

“ก็เช่น...ไม่ทะเลาะกับยองแจ”

ได้ยินดังนั้น จ้าวจื่อถงก็นิ่วหน้า

เขาไม่ได้ทะเลาะกับเด็กนั่นสักหน่อย เจ้าเด็กนั่นมายั่วให้เขาหงุดหงิดต่างหาก ใครใช้ให้พูดจาด้วยภาษาที่เขาฟังไม่รู้เรื่องกัน!

แต่ก็เอาเถิด ในเมื่อคนตรงหน้าไม่ต้องการให้เขาดุด่าเด็กนั่น เขาก็จะไม่ทำแล้วก็ได้

“เท่านี้หรือ”

“มีอีกหลายอย่าง”

“อะไรล่ะ”

“เจ้าควรปรับคำพูด ในยามนี้เจ้าไม่ใช่แม่ทัพใหญ่แห่งต้าหมิงอีกต่อไปแล้ว ในเมื่ออยู่ในโรงหมอของข้า ผู้ที่ใหญ่ที่สุดก็คือข้า อย่างน้อยก็ควรจะให้เกียรติกัน”

ที่แท้ก็ต้องการการนับถือจากเขานั่นเอง ได้ ในเมื่อต้องการ เขาก็จะให้

ถึงจะดื้อรั้นและมีนิสัยหยาบกระด้างเพียงใด แต่จ้าวจื่อถงก็หาใช่คนพูดไม่รู้เรื่อง บัดนี้ตระหนักได้ว่าใครต่ำใครสูง เขาก็ยกมือขึ้นกุมคารวะ

“ผู้น้อยสำนึกแล้ว บุญคุณของท่านหมอในครั้งนี้ ผู้น้อยจะไม่มีวันลืม”

“...”

“ได้โปรดทำไม้ค้ำยันให้ผู้น้อยด้วย”

ลีจีซองยกยิ้มมุมปากอย่างพึงใจ อันที่จริงจ้าวจื่อถงก็ไม่ใช่คนดื้อด้านอะไรนักนี่นา พูดจาด้วยเหตุผลก็รู้เรื่องเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงยกมือขึ้นคารวะกลับ

“หามิได้ท่านแม่ทัพ ไม่ต้องเกรงใจกันถึงเพียงนั้น ข้าเป็นหมอก็ย่อมต้องไม่เพิกเฉยต่อชีวิตผู้อื่น ส่วนเรื่องไม้ค้ำยัน ไว้ถึงเวลาอันสมควรเมื่อไร ข้าจะทำให้ท่านเอง อย่าได้กังวล”

สิ้นเสียงก็ผุดลุกออกจากห้องไป ปล่อยให้จ้าวจื่อถงมองตามหลังอย่างหัวเสีย

ที่แท้ก็หลอกล่อให้เขาเรียกขานว่า ‘ท่านหมอ’ นี่เอง หน็อย เป็นหมอที่เจ้าเล่ห์ฉ้อฉลนัก ไม่คิดมาก่อนเลยว่าแม่ทัพใหญ่ที่ได้ชื่อว่ามากแผนการเช่นเขาจะมาหลงกลกับดักง่ายๆ เช่นนี้ได้

คอยดูเถิด ไว้เดินได้เมื่อไร เขาจะพังโรงหมอนี่ให้สาแก่ใจเลย ถ้วยชามกระเบื้องก็จะปาแตกไม่ให้เหลือ

เล่นลิ้นดีนัก!

----------------------------

วันนี้อัปเร็วหน่อย เขียนจบตอนพอดี

จะทยอยมาอัปเรื่อยๆ นะคะ ฝากด้วยเน้อ

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
 :z13: เข้ามาจิ้มทิ้งไว้ก่อนค่ะ

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
บทที่ 4: ชายใบ้

แม้ว่าจะขี้โมโหและหงุดหงิดง่ายเพียงใด แต่จ้าวจื่อถงเมื่อหมายมั่นจะกระทำสิ่งใดแล้ว ย่อมทำได้อย่างสัตย์ซื่อทั้งสิ้น เช่นเดียวกับที่ตั้งใจว่าจะให้เกียรติเจ้าของสถานที่ ดังนั้นจึงเรียกลีจีซองว่า ‘ท่านหมอ’ จนติดปาก

นับว่าเป็นเรื่องที่ชวนให้กระอักกระอ่วนอยู่เหมือนกัน แต่กระนั้นลีจีซองก็ถือเอาว่าเป็นเรื่องที่ดีแล้ว เพราะคนไข้ดื้อรั้นอย่างจ้าวจื่อถง ดูท่าในยามปกติคงจะไม่ยอมลงให้แก่ผู้ใดโดยง่าย เป็นเช่นนี้ย่อมง่ายต่อการรักษา เขาว่าสิ่งใด จ้าวจื่อถงว่าตาม เขาบอกให้ทำอะไร จ้าวจื่อถงทำตาม บาดแผลหายเร็ว ร่างกายก็ฟื้นตัวเร็ว เขาจะได้กลับแผ่นดินเกิดสักที

จ้าวจื่อถงปฏิบัติตนเช่นนั้นมาเรื่อยกระทั่งเข้าอาทิตย์ที่สาม เขานั่งแกร่วอยู่บนเตียงในยามอรุณรุ่ง รอให้ยองแจยกสำรับอาหารและโอสถมาให้เฉกเช่นทุกวัน ทว่าวันนี้ดูจะมีสิ่งผิดแผกไปสักนิดเมื่อคนที่เข้ามาดูแลเขากลับหาใช่เด็กรับใช้คนนั้น แต่กลับเป็นท่านหมอแทน

“มีสิ่งใดน่ากังวลอย่างนั้นรึ ท่านถึงได้เป็นฝ่ายยกสำรับมาให้ข้า”

โดยปกติ หากบาดแผลของเขามีอาการน่าเป็นห่วง ลีจีซองจะเป็นฝ่ายเข้ามาดูแลแทนเด็กรับใช้ หากแต่ในครั้งนี้หาใช่เช่นนั้นเมื่อคนถูกถามส่ายหน้าน้อยๆ

“หาใช่ บาดแผลของท่านแม่ทัพล้วนแล้วดีขึ้นมาก”

“ถ้าอย่างนั้น ท่านยกสำรับกับยามาให้ข้าด้วยตนเองทำไม”

ลีจีซองยกยิ้มน้อยๆ “เมื่อท่านดื่มกินเรียบร้อยแล้ว ท่านจะรู้เอง”

จ้าวจื่อถงไม่ถามสิ่งใดต่อให้มากความ มือข้างหนึ่งคว้าชามข้าว มืออีกข้างคว้าตะเกียบ พุ้ยข้าวเข้าปากอย่างไม่รีบร้อน เสร็จสิ้นก็ยกถ้วยโอสถสีเข้มที่มีรสขมปร่าเข้าปาก ครั้นวางถ้วยเปล่าลงก็เหลือบมองหน้าชายหนุ่มอีกคนที่นั่งจัดสมุนไพรแห้งสำหรับต้มยาหม้อต่อไปให้เขาเล็กน้อย

ลีจีซองไม่ได้แสดงท่าทางชะงักให้เห็นได้ชัด แต่ก็วางมือจากการสาละวนจัดยา ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่หน้าเตียง

“ท่านอยากไปสูดอากาศข้างนอกไหม”

จ้าวจื่อถงเลิกคิ้วสูงให้กับคำถามแปลกๆ

“ข้าเดินยังไม่ได้ ท่านหมอก็รู้ ไยจะมาถามข้า”

“ถึงได้ถามอย่างไรว่าอยากไปหรือไม่”

ลีจีซองยอกย้อนไม่จริงจังนัก พลันยื่นมือไปตรงหน้าโดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้ตอบตกลง

จ้าวจื่อถงชำเลืองมอง จากนั้นก็ตัดสินใจยื่นมือไปจับ อีกฝ่ายพยุงให้เขาลุกขึ้น ดูเหมือนการลุกขึ้นยืนในรอบหลายเดือนของแม่ทัพหนุ่มจะเป็นไปโดยยาก เซซ้ายเซขวา ใบหน้าเคร่งขรึมเหยเกเล็กน้อยเมื่อความเจ็บปวดแล่นปราดไปที่ข้อเท้า บัดนี้เขาเข้าใจได้แล้วว่า ‘หินผาที่ว่าแข็งแกร่งเพียงใดก็ย่อมผุกร่อนได้’ เป็นเช่นไร

เขาอย่างไรล่ะ! ใครต่อใครกล่าวกันว่าเขาคือแม่ทัพผู้เกรียงไกร ผู้ใดก็มิอาจโค่นล้มได้โดยง่าย ยามนี้กระดูกข้อเท้าร้าว เพียงแค่ลมวสันต์พัดเอื่อยๆ มาต้องกายก็แทบจะปลิวดั่งใบไม้แห้งแล้ว

ลีจีซองประคองแขนของอีกฝ่ายให้พาดเข้ากับบ่าของตนเอง พลันก็ร้องเรียกเด็กรับใช้ที่รออยู่ด้านนอกมา

ยองแจกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาด้านในพร้อมกับไม้ไผ่หน้าตาประหลาดสองอัน จ้าวจื่อถงปราดมองแล้วก็รับรู้ได้ว่ามันคือไม้ค้ำยัน ก่อนที่ไม้นั้นจะถูกนำมายันไว้ใต้รักแร้ของเขา

“ข้าไม่แน่ใจนักว่าจะพอดีกับร่างกายของท่านหรือไม่ หากไม่พอดี ข้าจะให้คนไปทำมาให้ใหม่ ลองยืนดู”

จ้าวจื่อถงพยายามทรงตัวด้วยตนเองขณะที่ท่านหมอผละออกไปยืนมองอยู่ใกล้ๆ จากนั้นก็คลี่ยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าไม้ค้ำยันคู่นี้พอดิบพอดีกับส่วนสูงของแม่ทัพหนุ่มเลย

“ถือว่าสายตาของข้ายังแม่นยำที่กะความสูงของท่านได้พอเหมาะ ไปเถอะ ลองไปเดินดู ท่านจะได้รู้ว่าฤดูวสันต์ที่โชซอนงดงามเช่นใด”

ผู้ใดอยากจะไปดูกันเล่า เขาไม่สนใจหรอกว่าวสันตฤดูบนแผ่นดินนี้จะเป็นอย่างไร เขาสนแต่เพียงว่าทำอย่างไรถึงจะกลับสู่ต้าหมิงโดยเร็วได้ต่างหาก!

ถึงอย่างนั้นก็ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ เหมือนกับว่าลืมไปแล้วสิ้นว่ามีปากเป็นอวัยวะร่างกายอยู่อีกชิ้นหนึ่ง แต่ก็นั่นล่ะ จ้าวจื่อถงทำตามที่ตนเองเคยบอกไว้

เขาบอกให้ลีจีซองถือว่าตนเป็นใบ้ ดังนั้นเขาก็จะเป็นใบ้ตามที่พูดนั่นล่ะ

ดังนั้นยามที่ทดลองใช้ไม้ค้ำยันพาตัวเองเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนอยู่ที่ลานว่างของโรงหมอ จ้าวจื่อถงจึงไม่พูดสักคำ ได้แต่แสดงสีหน้าเหยเกบ้าง บูดเบี้ยวบ้าง บึ้งตึงบ้าง ตามอารมณ์ที่ขยับร่างกายไม่ได้ดั่งใจนึก ส่วนคนที่พูดมีเพียงลีจีซองเท่านั้นที่ออกปากสั่งให้เขาทำโน่นนี่เป็นระยะ โดยมียองแจร้องโวยวายอยู่ใกล้ๆ ทุกครั้งที่เห็นว่าคนเจ็บเซทำท่าจะล้ม

ดูท่าแล้วการฝึกใช้ไม้ค้ำยันนี่คงจะต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย คนไข้ผู้นี้ช่างไร้ซึ่งประสบการณ์เหลือเกิน

“เห็นท่านเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ รอยบาดแผลบนลำตัวก็มากมาย ข้าก็นึกว่าท่านจะเคยขาหักมาเสียอีก ทีแท้ยามบาดเจ็บก็คงจะเป็นส่วนอื่น ไม่เคยได้รับบาดเจ็บที่ขา”

เป็นเช่นนั้น จ้าวจื่อถงไม่เคยขาหักมาก่อน บาดเจ็บที่ขาอย่างมากก็แค่โดนอาวุธฟันบ้าง แทงบ้าง ไม่ได้หนักหนาสาหัสเป็นแผลฉกรรจ์อะไร ครั้งนี้นับว่าบาดเจ็บมากที่สุดแล้ว

“หัดเคลื่อนไหววันละเล็กละน้อย กล้ามเนื้อจะได้ไม่ฝ่อ เส้นเอ็นได้ยืด ได้ผ่อนคลาย ท่านเองก็จะได้ไม่เบื่อด้วย ไว้พรุ่งนี้ข้าจะให้ยองแจพาท่านออกมาหัดเดินอีก”

ลีจีซองว่าขึ้นเป็นสัญญาณให้ยองแจรู้ว่าควรพาคนไข้กลับเข้าไปในห้องพักได้แล้ว ลมยามเย็นพัดมา ประเดี๋ยวจะทำให้ธาตุเย็นเข้าแทรก จะไม่สบายได้ ทว่าจ้าวจื่อถงกลับขมวดคิ้วยู่ทันควันด้วยขัดใจ

“ในรอบหลายเดือนนี้ ข้าเพิ่งจะได้ออกมาสูดอากาศภายนอกห้อง เท้าเพิ่งได้สัมผัสดิน ไม่ทันไรก็จะไล่ข้าเข้าไปอยู่ในห้องอับๆ อีกแล้ว ท่านเป็นหมอประสาอะไร เหตุใดใจจืดใจดำนัก”

ช่างพูดช่างประชดประชันได้ดี ลีจีซองหยักยิ้ม

“ไม่คิดเลยว่าแม่ทัพใหญ่ นอกจากจะเก่งกาจเรื่องรบแล้ว วาจายังคมคาย ทำให้หมออย่างข้าละอายแก่ใจขึ้นมาฉับพลันได้ เอาเถอะ หากท่านอยากจะเดินเล่นอีกสักหน่อยก็สุดแล้วแต่ใจ แต่อย่าให้ฟ้ามืด น้ำค้างลงกระหม่อม ธาตุเย็นเข้าแทรก ท่านจะป่วยแทรกซ้อนเอาได้ง่ายๆ ในเวลานี้ท่านควรรักษาตัวเองให้ดี”

จ้าวจื่อถงพยักหน้า จากนั้นก็ไม่ได้สนใจอีกฝ่าย มิหนำซ้ำยังไล่ยองแจที่พยายามจะเข้ามาประคองให้ไปให้พ้นด้วยรำคาญใจอีกด้วย

เขาเซหน่อยเดียวก็รีบวิ่งเข้ามาจับ ไถลไปเล็กน้อยก็รีบเข้ามาประคอง เห็นเขาเป็นเด็กเพิ่งเริ่มตั้งไข่หัดเดินหรืออย่างไร!

หัดเดินไปก็ทะเลาะกับไปกับเด็กรับใช้ ปล่อยให้ลีจีซองได้หัวเราะแผ่วในลำคอ ก่อนตรงไปยังแคร่ที่บดยาทิ้งไว้ หากแต่ทำงานต่อได้ไม่เท่าไร ก็มีอาคันตุกะมาเยือนโรงหมอ

ดวงตาคมปราดมองก็พบว่าอีกฝ่ายหาใช่คนไข้ธรรมดา เพียงชุดขุนนางจากราชสำนักก็บ่งบอกแล้วว่ากิจธุระของคนผู้นี้คงไม่ใช่เพราะป่วยไข้แน่

ลีจีซองวางงานในมือลง ลุกขึ้นไปโค้งคำนับชายวัยกลางคนด้วยท่าทางนอบน้อม

“ใต้เท้าคิม ลำบากมาถึงโรงหมอต่ำต้อยเช่นนี้ มีสิ่งใดให้ข้ารับใช้อย่างนั้นหรือ”

ผู้ที่ถูกเรียกว่าใต้เท้าคิมหัวเราะน้อยๆ “หามิได้ๆ ท่านหมอ ท่านถ่อมตัวเกินไปแล้ว โรงหมอต่ำต้อยอะไร เป็นที่กล่าวขวัญไปทั่วฮันยาง[1]ถึงเพียงนี้ ยังจะถ่อมตัวอีก”

ลีจีซองยิ้มรับ คนตรงหน้าคือคิมกียุล มหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายประจำราชสำนัก ครั้งหนึ่งตระกูลคิมเคยกุมอำนาจภายใน แต่เมื่อเปลี่ยนรัชกาล จักรพรรดิพระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ เหล่าผู้มีสิทธิ์ในราชบัลลังก์ต่างพร้อมใจแย่งชิงอำนาจจากรัชทายาท ยามนั้นรัชทายาทยังพระเยาว์นัก มีอายุเพียงสามชันษา

ตระกูลคิมซึ่งถือหางรัชทายาทผู้สืบลายพระโลหิตโดยตรงใช้เหตุผลและกฎมณเฑียรบาลมากมายในการปกป้องพระราชอำนาจของพระองค์ แต่แล้วก็ต้องพ่ายให้กับความฉ้อฉลของเสนาบดีอีกฝ่ายที่คบค้ากับเหล่าขุนนางภายใน จนทั้งตระกูลคิมและรัชทายาทต้องหนีหัวซุกหัวซุน ผ่านมาหลายทศวรรษ เรื่องราวร้าวฉานค่อยๆ มลายหายไป ตระกูลคิมถึงกลับขึ้นมามีอำนาจอีกครั้ง แต่ก็ใช่ว่าจะมีอำนาจมากมายเช่นแต่ก่อน เพราะอำนาจที่ได้มาเป็นเพราะบุตรสาวคนหนึ่งของใต้เท้าคิมรุ่นก่อนถวายตัวเข้าเป็นสนมขององค์จักรพรรดิ ตระกูลคิมถึงได้กลับมามีหน้ามีตาเช่นทุกวันนี้

ถึงเรื่องราวจะผ่านมาเนิ่นนานแล้ว แต่การปรากฏตัวของคิมกียุลก็ไม่ใช่เรื่องที่ปกติสักเท่าไรนัก ลีจีซองไม่ใช่คนโง่ ไยจะไม่รู้ว่าเขามาเพื่อการใด

“ใต้เท้าคิมมีศักดิ์ศรี มีอำนาจบารมีและเงินทอง อีกทั้งยังเป็นที่โปรดปรานของจักรพรรดิ ท่านสามารถจ้างหมอจากราชสำนักหรือทูลขอหมอจากจักรพรรดิให้มาดูอาการหากป่วยเป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ ลำบากมาหาข้าถึงที่นี่ คงจะมีธุระอื่นเสียกระมัง”

เรื่องนั้นย่อมใช่ คิมกียุลคลี่ยิ้มบางๆ ราวกับจำนนที่ถูกชายหนุ่มรุ่นลูกจับได้

“ท่านหมอรู้ทันข้าทุกที” ทำเป็นกลั้วหัวเราะประกอบเพื่อกลบเกลื่อนด้วย ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ กระซิบเสียงแผ่ว “ที่ข้ามาวันนี้เป็นเพราะเรื่องขององค์หญิงเยจี”

องค์หญิงเยจี...

ลีจีซองชำเลืองมอง ขณะที่อีกฝ่ายขมวดคิ้วมุ่น

“ท่านหมอรู้หรือไม่ว่าพระนางถูกพาตัวไปที่ไหน”

ลีจีซองส่ายหน้า “ไม่”

“แล้วอยากรู้หรือไม่”

“ใต้เท้าคิม เรื่องนี้หาใช่เรื่องที่จะมาพูดคุยกันที่โรงหมอ”

“ถ้าเช่นนั้นท่านหมอจะให้ไปพูดคุยกันที่ไหน หอคณิกาดีหรือไม่”

ลีจีซองไม่ตอบ คว้ามืออวบอูมของคนตรงหน้าไปจับชีพจรเสียอย่างนั้น

“ชีพจรปกติ แต่ดูท่าท่านจะความดันต่ำ ข้าจะให้ยองแจไปจัดสำรับยาให้ ต้มดื่มตอนเช้าก่อนมื้ออาหารและก่อนนอน วันละสองครั้ง จะช่วยกระตุ้นเลือดลมให้ดีขึ้น”

ดูก็รู้ว่าลีจีซองตัดบท คิมกียุลก็ไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่ถอนหายใจที่ความคันปากยุบยิบของเขาไม่ได้รับการเยียวยาจากหมอหนุ่มดั่งที่คาดคิด

ทว่านั่นก็หาใช่สิ่งที่เขาสนใจแล้วเมื่อสายตาปราดไปมองยังเด็กรับใช้ที่ลีจีซองเรียกใช้งาน ก่อนจะเห็นว่าที่ตรงนั้นยังมีชายหนุ่มอยู่อีกคน

“แล้วนั่น...ผู้ใดหรือท่านหมอ ไยข้าไม่เคยเห็นหน้า”

รู้ว่าเป็นคนไข้ แต่รูปร่างหน้าตาดูผิดแผกไม่คุ้นเคยก็อดถามไม่ได้ ยองแจที่ถูกลีจีซองเรียกเข้าไปหาเมื่อครู่ถึงกับสะดุ้งเฮือก มองหน้าท่านหมอเป็นพัลวัน ขณะที่ลีจีซองเองก็ย่นคิ้วน้อยๆ

ใครจะไปรู้ล่ะว่าพาจ้าวจื่อถงออกมาหัดเดินวันแรกก็ได้เรื่องเลย เขาก็ลืมไปว่าควรเก็บจ้าวจื่อถงให้มิดชิด ไม่ควรให้ผู้ใดมาเห็นเช่นนี้ ถึงใต้เท้าคิมจะเป็นคนที่ไว้ใจได้ แต่ก็หาใช่ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่ควรเปิดเผย

“ว่าอย่างไร คนผู้นั้นเป็นใครหรือท่านหมอ”

จะไม่ตอบก็ไม่ได้ มีพิรุธแน่ ลีจีซองจึงว่าขึ้นมา

“ชายใบ้น่ะ ข้าเก็บมาได้ระหว่างเดินทางกลับโชซอน เห็นถูกทำร้ายก็เลยช่วยเหลือ”

“ทำร้ายหรือ”

“น่าจะโดนรุมตี เป็นใบ้เลยถูกมองว่าเป็นกาลกิณีหมู่บ้านกระมัง”

สร้างเรื่องให้เป็นตุเป็นตะ ยองแจที่หายตระหนกแล้วกลั้นขำเสียจนหน้าอูม จ้าวจื่อถงถึงจะไม่เข้าใจว่าท่านหมอพูดว่าอะไร แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้ว ดูท่าจะกำลังหมายถึงเขา ซึ่งก็ใช่เมื่อจู่ๆ ลีจีซองก็พูดเสียงดังขึ้นมา

“เจ้าเป็นใบ้ใช่หรือไม่... เป็น – ใบ้ – ใช่ – ไหม”

พูดอย่างเดียวไม่พอ ยังทำไม้ทำมือประกอบราวกับว่าพยายามสื่อสารให้เขารู้ว่ากำลังพูดถึงอะไร ใบหน้าของจ้าวจื่อถงฉายความงุนงงออกมาอย่างเห็นได้ชัด แม่ทัพใหญ่ที่ว่าน่าเกรงขามดูเหลอหลาก็ตอนที่อ่านภาษามือของหมอผู้นี้ไม่ออกนี่ล่ะ

“เจ้า – เข้า – ใจ – ไหม... เข้า – ใจ – ข้า – หรือ – เปล่า”

ยังคงทำไม้ทำมือประกอบอีก ยองแจถึงกับต้องหลบไปเอาหน้าซุกที่ข้างหลังของท่านหมอเพื่อลอบหัวเราะ ขณะที่จ้าวจื่อถงพอจะเข้าใจขึ้นมาแล้ว

คงกำลังบอกให้ข้าแสร้งเป็นใบ้อยู่กระมัง...

เขาเลยพยักหน้ารับน้อยๆ เท่านั้นลีจีซองก็หันไปมองอาคันตุกะ

“ใต้เท้าคิมไม่ต้องห่วง เรื่องที่ท่านมาหาข้าในวันนี้หรือพูดคุยสิ่งใดกับข้า จะไม่มีวันแพร่งพรายแน่ ข้าไม่พูด ยองแจก็ไม่พูด ส่วนเจ้านั่นก็พูดไม่ได้ รับรองว่าจะเป็นความลับ”

คิมกียุลเบาใจยิ่งนัก แต่ก็อดลังเลไม่ได้

“ท่านหมอแน่ใจนะว่าเจ้านั่นจะ...”

“ไม่พูดอย่างแน่นอน” ลีจีซองสวนขึ้น ก่อนจะว่าต่อ “เพราะนอกจากจะเป็นใบ้แล้ว เจ้านั่นยังเป็นบ้าอีกด้วย”

“หืม?”

คนอาวุโสกว่าดูไม่เชื่อใจสักเท่าไรนัก จ้าวจื่อถงเองก็รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล เพราะหลังจากสิ้นเสียง ลีจีซองก็เดินเข้ามาหาเขาก่อนกระซิบด้วยภาษาบ้านเกิด

“เจ้าแกล้งเป็นใบ้แล้วช่วยแกล้งเป็นบ้าอีกอย่างหน่อย”

คนถูกสั่งถึงกับถลึงตา

จะบ้าหรือไร! เขาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ แค่แสร้งเป็นใบ้ก็เสียเกียรติมากพอแล้ว นี่จะให้แกล้งเป็นบ้าอีก! บังอาจนัก!

“ถือเสียว่าช่วยข้า ไม่เช่นนั้นใต้เท้าคิมไม่ยอมกลับไปแต่โดยดีแน่ ร้ายกว่านั้น เขาอาจจะจับพิรุธเจ้าได้ด้วยว่าเป็นใคร มาจากไหน หากเป็นเช่นนั้น เจ้าจะไม่ได้กลับต้าหมิงเอา”

พูดมาอย่างนี้ เห็นทีคงจะต้องร่วมมือแต่โดยดีแล้ว

จ้าวจื่อถงคิดในใจว่าเอาก็เอาวะ ก่อนจะส่งเสียง

“แอะๆ แอ๋...แอ...”

พลางทำหน้าทำตาไม่สมประกอบ ใช้ไม้ค้ำยันในมือของขาข้างที่ยังเดินได้เหวี่ยงไปมาในอากาศ ยกแตะกิ่งไม้บ้าง เขี่ยใบไม้บ้าง ในใจก็โกรธเกรี้ยวไปด้วย

ทำไมข้าจะต้องมาทำท่าทางพิลึกพิลั่นเช่นนี้!

ยองแจหัวร่อตัวงอไปแล้ว แต่ก็ต้องรีบกลั้นไว้เมื่อเห็นสายตาดุๆ ของลีจีซองมองมา

“เห็นไหม เขาเป็นทั้งใบ้ เป็นทั้งบ้า จะไปพูดกับใครรู้เรื่อง ใต้เท้าคิมอย่าได้เป็นห่วง”

ลีจีซองว่า เท่านั้นคิมกียุลก็เบาใจ เชื่ออย่างสนิทใจเลยทีเดียวว่าอีกฝ่ายคงไม่โกหกแน่

“หากเป็นเช่นนั้นข้าก็เบาใจ เอาเป็นว่าเรื่องขององค์หญิงเยจี หากท่านหมออยากร่วมวงสนทนาด้วยแล้วล่ะก็ คืนนี้ที่หอคณิกามีนัดรวมพลขุนนางขี้เมาอยู่”

ขุนนางขี้เมา... เป็นกลุ่มของผู้ใด ไยลีจีซองจะไม่รู้ หากแต่เขาไม่พูดสิ่งใด นอกจากจะค้อมกายคำนับ

“เป็นพระคุณที่ใต้เท้านึกถึงข้า หากไม่มีธุระแล้ว ข้าขอตัวก่อน ยาที่จัดให้ หมดเมื่อไรก็ส่งคนมาแจ้ง ข้าจะเตรียมไว้ให้”

เป็นอันว่าจบบทสนทนากันแต่เพียงเท่านี้ ใต้เท้าคิมกลับออกไปแล้ว เหลือเพียงสามชีวิตในโรงหมอเท่านั้น ยองแจที่กลั้นหัวเราะอยู่นานถึงกับพ่นพรวดออกมา จ้าวจื่อถงถลึงตา เหตุใดเขาจะไม่รู้ว่าเด็กนั่นกำลังหัวเราะเยาะเขา

“หัวเราะสิ่งใด! มีอะไรให้น่าขำนักหรือไง!”

ยองแจไม่เข้าใจหรอก แต่ก็รู้ว่าเขากำลังถูกดุ ลีจีซองก็ไม่แปลให้ ได้แต่ยิ้มน้อยๆ แล้วว่าขึ้น

“เห็นทีข้าคงจะต้องสอนภาษาของคนที่นี่ให้ท่านเสียแล้วล่ะท่านแม่ทัพ ภาษามือคงจะช่วยอะไรมากไม่ค่อยได้” พลันก็ทำท่าเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ “อ้อ ข้าลืมไป ต่อให้ท่านเข้าใจภาษาของโชซอนก็เท่านั้น เพราะนอกจากท่านจะเป็นใบ้แล้ว ยังเป็นบ้าอีกด้วย”

พูดจบก็เดินผ่านหน้าไปเฉยเลย ทิ้งให้จ้าวจื่อถงขมวดคิ้วมองตามที่ถูกหยอกเล่นราวกับเด็กเล็กๆ เช่นนี้

เจ้าหมอบัดซบนี่! หากอยู่ในต้าหมิง คงถูกจับโบยโทษฐานไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงแล้ว!


[1] เมืองหลวงของโชซอน

ออฟไลน์ vivalasvegus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สนุกดีค่ะ ตอนนี้

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
บทที่ 5: ชายบ้าใบ้ผู้นั้นคือขวัญใจของโรงหมอ

ความขุ่นใจของแม่ทัพหนุ่มทวีมากขึ้นทุกวี่ทุกวัน นอกจากอาการบาดเจ็บที่ไม่มีวี่แววจะหายในเร็ววันแล้ว ก็มีเรื่องที่เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นทั้งบ้าทั้งใบ้นี่ล่ะที่ชวนให้หงุดหงิดเสียเหลือเกิน กระนั้นจ้าวจื่อถงก็หาได้แสดงท่าทีใดๆ ออกไปด้วยตระหนักดีว่ายังต้องพึ่งพาโรงหมอแห่งนี้อีกระยะใหญ่ จะมีก็แต่ใบหน้าไม่รับแขกเท่านั้นล่ะที่เผยให้ลีจีซองและยองแจเห็น แต่การที่เขาไม่พูดอะไร ลีจีซองก็ถือว่าไม่มีปัญหาอะไรล่ะนะ

ทว่าปัญหาเริ่มมาหลังจากที่ข่าวของชายหนุ่มบ้าใบ้ประจำโรงหมอกระจายออกไปสู่ชาวบ้าน คนไข้สตรืทั้งสาวทั้งแก่ที่ได้พบเห็นจ้าวจื่อถงต่างพากันพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าชายบ้าใบ้ผู้นั้นช่างมีใบหน้าหล่อเหลายิ่งนัก ท่าทางก็องอาจ รูปร่างล่ำสัน ดูอย่างไรก็ไม่น่าเป็นบ้าเป็นใบ้เลยแม้แต่น้อย และเพราะเหตุนั้นมันจึงเกิดเป็นปัญหาเมื่อใครต่อใครพากันแกล้งป่วยนิดป่วยหน่อยเพื่อที่จะแวะเวียนมาดูหน้าของชายบ้าใบ้ประจำโรงหมอ

กลายเป็นว่าชีวิตอันแสนสงบสุขก็ไม่สงบสุขเสียแล้ว ลีจีซองเป็นผู้แรกที่รู้สึกได้ถึงความยุ่งยากและปัญหาที่จะตามมา ขณะที่จ้าวจื่อถงเริ่มรำคาญที่ใครต่อใครเอาแต่พากันมองหน้าเขาแล้วพูดในสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ

ก็แน่ล่ะ มันคือการชม แต่ลีจีซองไม่บอกหรอก ขืนบอกไปชะรอยว่าท่านแม่ทัพผู้เคร่งขรึมคนนี้จะแสดงท่าทีหยิ่งผยองออกมาให้เห็นมากกว่าเดิม ไม่สมกับเป็นคนบ้าใบ้

แรกๆ เห็นชาวบ้านพากันสับเปลี่ยนหมุนเวียนมายังโรงหมอ ลีจีซองก็ยังไม่คิดมากอะไร แต่เมื่อบ่อยครั้งเข้า เขาก็อดกังวลใจขึ้นมาไม่ได้

หากความลับที่ว่าจ้าวจื่อถงคือแม่ทัพใหญ่แห่งต้าหมิงหลุดออกไป มีหวังคงได้ประสบกับเรื่องยุ่งยากเป็นแน่

ดังนั้นท่านหมอจึงร้องขอให้แม่ทัพหนุ่มแสร้งบ้าใบ้ยิ่งกว่าเดิม จ้าวจื่อถงได้ยินก็หมายจะตัดปัญหาด้วยการหลบอยู่แต่ในเรือนพัก ไม่ออกมาพบหน้าผู้ใด การฝึกเดินหรืออะไรนั่นเอาไว้ทำในยามวิกาลก็ได้ เขาไม่ชอบเรื่องยุ่งยาก มิหนำซ้ำยังไม่ชอบเสแสร้งแสดงเป็นคนที่ไม่ใช่ตนเองด้วย เรื่องอะไรที่เขาจะต้องเชื่อฟังหมอหนุ่มผู้นี้กัน!

แต่...ความตั้งใจของเขากลับไม่เป็นผล วันหนึ่งขณะที่จ้าวจื่อถงนอนเอกเขนกอยู่ในเรือนพักของตน เด็กหญิงวัยซนสามคนก็โผล่พรวดเข้ามาพร้อมกับยองแจที่ตามมาไล่หลัง มองก็พอจะรู้อยู่หรอกว่าเด็กรับใช้พยายามจะต้อนให้เด็กทั้งสามนั้นออกไป หากทว่าเมื่อยองแจสบตาเข้ากับเจ้าของเรือนนอนที่ทอดมองมาอย่างดุดันแล้ว เขาก็ชะงักกึก พูดไม่ออก ทำอะไรต่อไม่ถูกเพราะหวาดกลัว

จ้าวจื่อถงก็อยากจะตวาดนัก แต่หากตวาดออกไปก็ย่อมแน่ว่าต้องเป็นภาษาของต้าหมิง ทำเช่นนั้นมีหวังความลับของเขาคงได้ถูกเปิดเผย ดังนั้นการแกล้งบ้าใบ้จึงเป็นสิ่งที่ต้องกระทำ เห็นเด็กทั้งสามคนมองตาแป๋ว เขาก็ชูไม้ชูมือ ส่งเสียงประหลาดๆ ออกมาให้คนมองได้ขบขัน

ไม่ว่าจะหนีจากการเป็นคนบ้าใบ้มากเท่าใด สุดท้ายก็ต้องกลายเป็นคนบ้าใบ้เหมือนเดิมล่ะสินะ!

ท่าทางพิลึกพิลั่นนั่นเป็นที่ถูกตาต้องใจของเด็กทั้งสามคนอีก ทุกครั้งที่ท่านย่าของเด็กทั้งสามมาให้ลีจีซองตรวจอาการ เด็กน้อยเหล่านี้ก็จะตามเกาะแกะจ้าวจื่อถงไม่เลิก ถึงขั้นที่ท่านย่าของเด็กเหล่านี้พูดแล้วว่า...

“ชายบ้าใบ้ผู้นั้นคือขวัญใจของโรงหมอเสียจริง”
เมื่อลีจีซองแปลให้ จ้าวจื่อถงก็ถึงกับขบกรามแน่น

เขาอยากเป็นขวัญใจของโรงหมอหรือไม่ ลองถามเขาดูสิ!

แต่ก็หนีไม่พ้น สุดท้ายก็ต้องมาเป็นเพื่อนเล่นให้เด็กๆ แกล้งบ้าแกล้งใบ้ไปตามประสา วันนี้ก็เป็นอีกวันที่จ้าวจื่อถงถือว่าเป็นวันมหาวิปโยค

สวรรค์! ท่านย่าของเด็กพวกนั้นมาตรวจสุขภาพอีกแล้ว!

จ้าวจื่อถงคิดจะหนีเข้าเรือนนอน หากแต่หนีไปจะช่วยอะไร เด็กเหล่านั้นก็พร้อมใจกันมาลากเขาออกไปเป็นเพื่อนเล่นอยู่ดี สุดท้ายเขาก็ต้องมานั่งแกร่วอยู่ที่ชานเรือนนอนตนเอง ปล่อยให้เด็กๆ เหล่านั้นพากันแก้มวยผมของเขา ก่อนจะสางผมให้เป็นพัลวัน หลังจากนั้นก็เริ่มแบ่งหน้าที่กัน ผู้หนึ่งถักผม ผู้หนึ่งไปเก็บดอกไม้ที่ร่วงหล่นบนพื้น อีกผู้หนึ่งเลือกดอกไม้มาประดับ

เห็นเขาเป็นตุ๊กตาหรืออย่างไร!?

เค่อ[1]แรกยังพอทำเนา ผ่านไปหลายเค่อ จ้าวจื่อถงทนไม่ไหวอีกต่อไป ถึงจะมีความอดทนมากเพียงใด แต่ก็ใช่ว่าจะทนเป็นใบ้แกล้งเป็นบ้าให้เด็กๆ พวกนี้มาถักผมให้ประหนึ่งตุ๊กตาได้ตลอดหรอกนะ

สายตาเขียวๆ ถูกส่งไปยังท่านหมอที่ยังคงไม่ทุกข์ไม่ร้อน ตรวจอาการผู้เป็นย่าของเด็กพวกนั้นเป็นระยะ กระนั้นลีจีซองก็ไม่หันมามองเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้จ้าวจื่อถงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

เจ้าหมอบัดซบ! หันมามองข้าเสียที!

เสมือนรับรู้ได้ เสี้ยวพริบตานี้เองที่ลีจีซองเหลือบมองมา ก่อนที่เขาจะยกยิ้มบางๆ เมื่อเห็นสภาพของจ้าวจื่อถงในตอนนี้

เส้นผมยาวสลวยถูกถักเป็นเปียเกล้าขึ้นเก็บเรียบร้อย มีดอกไม้เล็กๆ ประดับประดาอยู่เต็มไปหมด หากมองจากด้านหลังก็คงจะหลงคิดว่าเป็นดรุณีวัยแรกแย้มที่ดู...จะรูปร่างใหญ่โตไปเสียหน่อย

และเมื่อมองจากด้านหน้า... อืม ทรงผมช่างไม่ได้เข้ากับสีหน้าป่าเถื่อนนั่นเลยแม้แต่น้อย ช่างขัดแย้งกันสุดกู่ หาความลงตัวไม่ได้เลยแม้เพียงกระผีกเดียว

แต่จ้าวจื่อถงไม่สนหรอก เขาสนแต่เพียงว่าทำอย่างไรก็ได้ รีบมาเอาเด็กพวกนี้ออกไปมากกว่า!

คราแรกก็หมายจะให้ยองแจเป็นผู้จัดการ แต่เจ้าเด็กนั่นถูกใช้ให้ไปส่งโอสถให้กับใต้เท้าคิมในเมือง จึงเหลือเพียงลีจีซองเท่านั้นที่จะช่วยเหลือเขาได้ ทว่าจะพูดบอกก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ ในเมื่อแสร้งว่าเป็นใบ้ อีกทั้งยังเป็นบ้า ดังนั้น...

“แอะ...แอ๋แอ...”

ก็เลยส่งเสียงประหลาดๆ ออกมาพลางพยักหน้าหงึกหงัก เสียงนั้นมีความหมายว่า ‘ช่วยด้วย’

ทว่าผู้ใดจะไปรับรู้ แม้แต่องค์เทพเซียนยังไม่รู้เลยว่ามีความหมายเช่นนั้น ลีจีซองเบือนหน้ากลับไปรักษาท่านย่าของเด็กเหล่านั้นต่อ เมื่อหันมามองก็เห็นจ้าวจื่อถงส่งสัญญาณให้อีก

“แอ...อือ...แอ๊ะแอ๋...”
มาช่วยข้าเดี๋ยวนี้!

มีความหมายเช่นนี้ แต่ลีจีซองยังเฉย

“อ๋า...อือ...”
มาเอาเด็กปีศาจพวกนี้ออกไป!

พยักหน้าหงึกหงัก กวักมือเรียก ทำหน้าตาไม่สมประกอบก็แล้ว ถลึงตาก็แล้ว ส่งสีหน้าไม่พอใจก็แล้ว ยังจะไม่รู้ตัวอีกว่าควรรีบไสหัวมาช่วย!

จ้าวจื่อถึงถึงกับเส้นเลือดที่ขมับกระตุกเมื่อเห็นลีจีซองยังทำเป็นเฉย เอาแต่ยิ้มใจดีให้กับท่านย่าของเด็กพวกนั้น เขาใช้ความอดทนอยู่นานทีเดียวกว่าที่การตรวจนั้นจะเสร็จสิ้น เมื่อลีจีซองลุกขึ้นไปจัดสำรับยาให้คนไข้ของตน จ้าวจื่อถงก็ถือโอกาสผุดลุกตามมาอย่างรวดเร็ว

“ข้าร้องขอความช่วยเหลืออยู่นาน ทำไมไม่มาช่วย”

ไปหยุดอยู่ข้างๆ ได้ก็กดเสียงต่ำถาม ลีจีซองหันไปมอง แสร้งว่าหน้าซื่อตาใส
“เจ้าขอความช่วยเหลือจากข้าตอนไหน”
“ก็เมื่อครู่!” รู้สึกตัวว่าเสียงดัง จ้าวจื่อถงจึงรีบลดเสียงลง ว่าเสียงต่ำอีกครั้ง “ก็เมื่อครู่ข้าร้องบอกไง”
“ร้องว่า...?”
“ก็...”
“ก็อะไร”

จ้าวจื่อถงพูดต่อไม่ออก เขาเองก็จำไม่ได้แล้วว่าเมื่อครู่ส่งเสียงประหลาดอย่างใดออกไปบ้าง
เมื่อเห็นจ้าวจื่อถงไม่ยอมพูด ลีจีซองจึงตัดบท

“ถ้าเจ้าไม่พูด ข้าคงต้องขอตัวก่อน”

เท่านั้นจ้าวจื่อถงก็รีบมาดักหน้า กดเสียงต่ำอีกครั้ง

“ข้าพูดว่าแอ๊ะแอ๋”
“อะไรนะ”
“แอ๊ะแอ๋”
“...”
“อือ...อา...แอ๋แอ...”

ขยายความอีกสักเล็กน้อย เผื่อว่าลีจีซองจะไม่เข้าใจว่าเขาส่งเสียงอย่างไร แต่เมื่อสิ้นเสียงของแม่ทัพหนุ่ม ความเงียบเข้ามาปกคลุมทั้งสองทันที

บัดซบ! นี่มันสถานการณ์บ้าบออะไร!

จ้าวจื่อถงถึงกับหน้าม้านจนดำทะมึนไปหลายส่วน ขณะที่รอยยิ้มประดับพรายขึ้นมาบนใบหน้าของท่านหมอทีละน้อย

“เสียงพวกนั้นมีความหมายว่า...”
“รีบมาช่วยข้าจากเด็กปีศาจพวกนั้นได้แล้ว เจ้าหมอบัดซบ”

ลีจีซองมองใบหน้าเกรี้ยวกราดของอีกฝ่ายแล้วก็ได้แต่หัวเราะในลำคอ จ้าวจื่อถงก็ไม่เข้าใจว่ามีอะไรให้น่าขำนัก หัวเขากลายเป็นของเล่นของเด็กพวกนั้น มันน่าขำตรงไหน!

และแทนที่ลีจีซองจะช่วยเหลือ เขากลับบอกว่า...

“อดทนอีกหน่อย ประเดี๋ยวข้าก็ตรวจท่านย่าของเด็กพวกนั้นเสร็จแล้ว”
มิหนำซ้ำยังหยิบดอกไม้เล็กๆ ที่ร่วงหล่นจากเส้นผมของจ้าวจื่อถงลงมาบนโต๊ะไปเสียบยังที่เดิมให้อีก
“ของหล่น”

หมอหนุ่มว่าทะเล้น ก่อนจะผละจากไป ปล่อยให้จ้าวจื่อถงมองตามด้วยสายตาขุ่นแค้น

ข้าเดินได้ด้วยสองขาของตัวเองเมื่อไร เจ้าจะเป็นคนแรกที่ถูกไม้ค้ำยันฟาด เจ้าหมอเฮงซวย!

ลีจีซองเองก็ไม่สะทกสะท้านต่อสายตานั้น ยื่นห่อยาที่จัดเสร็จสิ้นแล้วให้กับผู้อาวุโสกว่า

“ยานี่ให้ต้มดื่มสามเวลาตามที่ข้าบอก หากอาการไม่ดีขึ้น ท่านย่าก็มาพบข้าอีกครั้งก็แล้วกัน”
“ขอบน้ำใจท่านหมอมาก ถ้าไม่ได้ท่าน ข้าคงแย่แน่ เรื่องค่ารักษา ไว้ข้ามีเมื่อไรจะนำมาใช้คืนให้ท่าน”
“หามิได้ หากท่านย่ามีเงินก็จงเก็บเอาไว้ใช้จ่ายในครัวเรือนเถิด ข้าเป็นหมอ มีหน้าที่รักษาก็ต้องรักษา เห็นคนจะเป็นจะตาย ข้าจะอยู่เฉยได้เช่นไร”
“ประเสริฐนัก! น้ำใจช่างประเสริฐนัก!”

หญิงชราแทบจะก้มลงไปคุกเข่าบนพื้น ลีจีซองรีบประคองนางไว้ก่อนที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้น และบอกอีกหลายต่อหลายครั้งว่าไม่เป็นไร

ภาพนั้นเป็นภาพที่จ้าวจื่อถงเห็นจนคุ้นตา แต่เริ่มจะไม่คุ้นแล้วเมื่อหญิงชราที่ถูกพยุงขึ้นมาปรายตามองมายังเขาแล้วเอ่ยถาม

“ข้าว่าจะถามท่านหมอตั้งนานแล้ว ชายใบ้ผู้นั้นมีชื่อว่าอะไรหรือ”
จ้าวจื่อถงย่นคิ้ว เขารู้ว่าหากลีจีซองบอกไป มีหวังรู้แน่ว่าเขาไม่ใช่คนของโชซอน แต่ลีจีซองหาใช่คนโง่เง่าเช่นนั้น ในเมื่อถูกถามก็ตอบไปโดยพลันด้วยไหวพริบ
“เขาเป็นใบ้ มิหนำซ้ำยังเป็นบ้า ข้าเองก็ไม่รู้จักเขามาแต่แรก ไม่รู้หรอกว่ามีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร”
“เช่นนั้นเอง ถ้าอย่างนั้นท่านหมอก็ตั้งชื่อให้เขาเสียสิ จะได้เรียกกันถูก”

จ้าวจื่อถงลอบพ่นลมหายใจแรงๆ เขาพอจะคาดเดาได้ว่าชื่อที่ลีจีซองจะตั้งให้ต้องเป็นชื่อที่ไม่เข้าหูเขาแน่ๆ หากแต่เมื่อท่านหมอเอ่ยปาก...

“เช่นนั้นข้าจะเรียกเขาว่าจีทงก็แล้วกัน”

...นั่นชื่อเขา เพียงแต่เป็นสำเนียงภาษาของโชซอนเท่านั้น

ก็นับได้ว่าท่านหมอผู้นี้มีเชาว์ปัญญาไม่น้อย

“จีทง จีทง ขวัญใจของโรงหมอมีนามว่าจีทง”

หญิงชราบอกกับหลานๆ ที่พากันเรียกชื่อของชายบ้าใบ้เป็นการใหญ่ จ้าวจื่อถงก็ต้องแสร้งทำเป็นดีใจด้วยท่าทางพิลึกๆ ไปตามประสา ก่อนที่จะหยุดเมื่อทุกชีวิตกลับออกไปจากโรงหมอ เหลือเพียงเขากับลีจีซองเพียงสองคนเท่านั้น

“เจ้ามันน่านัก เห็นข้าคล้อยตามแล้วได้ใจ”

ได้ทีก็กดเสียงต่ำตำหนิเสียไม่ได้ ลีจีซองไม่สะทกสะท้านกับคำพูดนั้น ยังจะคลี่ยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าใบหน้าคร้ามคมดุดันของจ้าวจื่อถงในยามนี้ช่างดูน่าขบขันเสียเหลือเกิน

“มีสิ่งใดให้น่าขำนัก”
จ้าวจื่อถงไม่สบอารมณ์ยิ่งกว่าเดิมอีก เขาตำหนิอีกฝ่ายอยู่แท้ๆ ยังจะมีหน้ามาหัวเราะเยาะ
“ทรงผมของเจ้ากับสีหน้าน่ากลัวช่างไม่เข้ากันเลย”

พอลีจีซองบอก จ้าวจื่อถงถึงตระหนักได้ว่าตอนนี้ตนมีสภาพอย่างไร พลันก็กระชากผมตนเองให้คลายออกจากกันอย่างรวดเร็ว แต่เด็กเหล่านั้นช่างเป็นช่างทำผมที่มีฝีมือ นอกจากจะกระชากให้คลายออกไม่ได้ง่ายๆ แล้ว ยังจะทำให้เส้นผมพันกันยุ่งเหยิงเสียอีก

ลีจีซองเห็นอย่างนั้นแล้วก็คว้ามือสากเอาไว้ ครั้นถูกดวงตาคมของแม่ทัพหนุ่มจ้องมอง เขาก็ค่อยๆ หยิบดอกไม้ที่ติดอยู่บนเส้นผมออกทีละดอก

“แต่ถึงเจ้าจะไม่เข้ากับทรงผมนี้ เจ้าก็เข้ากับดอกไม้นะ”
“เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น”
“เพราะเจ้าอ่อนโยน”

ลีจีซองว่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ คนฟังก็พอจะเข้าใจอยู่ว่าคงหมายถึงที่เขายอมเล่นกับเด็กพวกนั้นโดยไม่เผยตัวตนที่แท้จริงใดๆ แต่นั่นก็หาใช่สิ่งที่เขาภาคภูมิใจ นอกจากจะออกคำสั่ง

“ข้าจะไปรอในเรือนนอน รีบตามมาจัดการให้ข้าด้วย”
จัดการอะไรนั้น ลีจีซองรู้ดี หมายถึงทรงผมของเขานั่นล่ะ
“ขอรับท่านแม่ทัพ ข้าน้อยจะรีบตามไป”

อดไม่ได้ที่จะล้อเลียน คิ้วกระบี่ของจ้าวจื่อถงถึงกับย่นยู่กว่าเดิมเลยทีเดียว ทว่าก็หาได้พูดสิ่งใดนอกจากจะค้ำไม้ยันตัวเองถ่อกลับเข้าไปในเรือนนอน ปล่อยให้อีกฝ่ายได้มองตามหลังพร้อมยกยิ้มขบขัน

อยู่ในสมรภูมิจะเป็นแม่ทัพใหญ่เช่นไร แต่เมื่ออยู่ในโรงหมอของเขาแล้ว ก็เป็นได้เพียงแค่ขวัญใจของโรงหมอเท่านั้นล่ะ
 

[1] เวลาประมาณ 15 นาที







หายไปหลายวัน กลับมาอัปเรื่องนี้แล้วค่ะ จรกาจบอย่างเป็นทางการสักที 555

ฝากเรื่องนี้ด้วยนะคะ พรุ่งนี้เจอกันตอนใหม่เน้อ

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
บทที่ 6: มังกรผงาด

หลังจากวันที่ลีจีซองรักษาอาการเจ็บป่วยของท่านย่าเข้าเด็กสามคนนั้น ใครก็ใครก็พากันแวะเวียนมายังโรงหมอ วันหนึ่งๆ วนเวียนกันมาไม่ขาดสาย เรียกได้ว่าทั้งลีจีซองและยองแจพากันวุ่นวายจนเวียนหัวไปหมด แต่นั่นหาใช่เพราะมีคนเจ็บไจ้ได้ป่วยมากจนต้องช่วยกันรักษาอาการจนหัวหมุนแต่อย่างใด หากแต่เป็นเพราะต้องช่วยกันเกลี้ยกล่อมและไล่ชาวบ้านเหล่านั้นกลับไปเพื่อไม่ให้เกะกะคนป่วยจริงๆ ที่มาขอความเชื่อยเหลือมากกว่า

คนแห่กันมาที่โรงหมอมากมาย เป็นเพราะอะไรน่ะหรือ

สาเหตุก็คือเจ้าคนบ้าใบ้ที่นั่งหน้าง้ำอยู่นี่อย่างไรล่ะ!

ตั้งแต่วันนั้น เจ้าเด็กสามคนก็พากันเล่าโขมงโฉงเฉงว่าคนบ้าใบ้ที่พวกนางเล่นด้วยมีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาเพียงใด มิหนำซ้ำท่านย่าของเด็กเหล่านั้นยังยืนยันว่าจ้าวจื่อถงหน้าตาดีประดุจเทพเซียนจุติลงมา มองอย่างไรก็เป็นบุรุษสมบุรษ ไม่น่าจะบ้าใบ้อย่างที่ท่านหมอว่า แต่น่าเสียดายที่พูดได้เพียง ‘แอ๊ะ’ บ้าง ‘แอ๋’ บ้าง ไม่เป็นคำเลยแม้แต่น้อย แต่กระนั้นก็ทำให้หลายคนอยากพบพานจ้าวจื่อถงเหลือเกินด้วยอยากจะรู้ว่ารูปร่างหน้าตาจะงดงามเพียงใด

และเพราะเหตุนี้นี่เองที่ทำให้ใครต่อใครพากันเวียนมาดูหน้าชายบ้าใบ้ไม่ขาดสาย ตอนนี้เรียกได้แล้วล่ะว่าจ้าวจื่อถงเป็นขวัญใจโรงหมอสมที่ลีจีซองได้ว่าไว้

ส่วนจ้าวจื่อถงนั้นไม่ต้องถามว่ารู้สึกเช่นไร

ก็รำคาญเสียจนหน้าบอกบุญไม่รับจนยองแจไม่กล้าเข้าใกล้แม้เพียงช่วงแขนเดียวแล้ว!

รำคาญเพราะถูกคนแปลกหน้าพากันมุงดู บ้างก็จ้องมองประหนึ่งเขาเป็นของแปลก คนเฒ่าคนแก่มองแล้วก็วิจารณ์ ร้องเสียงดังออกมาด้วยความเสียดาย เหล่าชายฉกรรจ์ต่างมองด้วยความขบขันระคนสมเพชที่คนรูปร่างหน้าตาเช่นนี้เป็นคนบ้าใบ้ ขณะที่เหล่าหญิงสาวมองแล้วก็เอียงอายเคอะเขิน ส่งเสียงเสียดายไม่แพ้กัน โดยหารู้ไม่ว่าหากเขาเดินได้คล่อง เขาจะเอาไม้ค้ำยันไล่ฟาดให้วงแตก กลับออกจากโรงหมอไม่ทันเลย!

แต่ที่แม่ทัพหนุ่มทำได้ก็คือการนั่งนิ่งๆ ปล่อยให้ตนถูกจ้องมองไปตามประสา วันไหนรำคาญมากๆ ก็หนีเข้าไปในห้อง ขังตัวอยู่ในนั้นทั้งวี่ทั้งวันเสียดื้อๆ เรียกได้ว่าการอาศัยอยู่ในแว่นแคว้นนี้หาใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาเลยแม้แต่น้อย

กระนั้นก็หาใช่ว่าจะมีแต่เรื่องชวนให้หงุดหงิดใจเพียงอย่างเดียว เพราะเขากลายเป็นขวัญใจของโรงหมอ อีกทั้งเหล่าเด็กๆ ก็พากันมาถักผมให้เขา เอาดอกไม้ประดับให้บ่อยครั้ง ภาษาที่เขาไม่เคยรู้จักจึงซึมซาบเข้ามาในหัวในเวลาอันสั้น เพียงไม่ถึงเดือนดี จ้าวจื่อถงก็เริ่มฟังภาษาของโชซอนออก

จะเรียกว่าเขาอัจฉริยะก็เอาเถิด ตั้งแต่เล็กยันโต เขาไม่เคยได้อยู่ในต้าหมิงเกินสามเดือนสักครั้ง ระหกระเหินร่อนเร่ไปยังชายแดนทิศนั้นทิศนี้ตามบิดาและบรรดาพี่ชายบ่อยครั้ง พบพานกับคนหลายชนเผ่า หลายเชื้อชาติ เขาจึงพอจะฟังพูดภาษาอื่นๆ ได้ การที่เริ่มฟังภาษาโชซอนรู้เรื่องในเวลาไม่นานนั้นนับว่าเป็นอีกหนึ่งพรสวรรค์นอกเหนือจากทักษะการสู้รบ

และเพราะฟังออก จ้าวจื่อถงจึงรำคาญใจยิ่งกว่าเดิม เสียงของเด็กหญิงสามคนที่มาโรงหมอกับท่านย่าดังเข้าหูเขาไม่หยุดหย่อนตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ไม่ใช่เพียงครู่เดียวด้วย...ครู่ใหญ่ บัดนี้สีหน้าของเขาย่นยู่ บอกบุญไม่รับอีกเช่นเคย ขณะที่เด็กทั้งสามพากันสยายเส้นผมของเขาให้แผ่เต็มหลัง จากนั้นก็ช่วยกันสาง ถักเป็นเปีย ประดับประดาด้วยดอกไม้เล็กๆ อย่างเคย

นี่เขาเป็นตุ๊กตาให้เจ้าเด็กพวกนี้ไปแล้วจริงๆ

แม่ทัพหนุ่มไม่คุ้นชินแต่ก็จำต้องทำใจให้ชิน โวยวายไปก็ป่วยการเปล่า นอกจากลีจีซองจะไม่ช่วยแล้ว ยังมีหน้ามาหัวเราะเยาะ เช่นนั้นเขาก็นั่งเฉยๆ ให้เด็กพวกนั้นเล่นสนุกจนสาแก่ใจ ท่านย่าของพวกนางได้รับการรักษาเสร็จสิ้นเมื่อไร ประเดี๋ยวพวกนางก็กลับไปเอง พูดง่ายๆ ว่าเขาปลงแล้วล่ะ

“นี่ท่านพี่ ข้าว่าตรงนี้ไม่ค่อยมีดอกไม้ประดับเลย”

หนึ่งในสามเอ่ยขึ้นมาพลางชี้นิ้วเล็กๆ ไปยังเปียผมของจ้าวจื่อถงที่ถูกถักอย่างสวยงาม เด็กหญิงอีกสองคนพากันชะเง้อมอง พลันก็เห็นพ้องต้องกัน

“นั่นสิ โล่งอย่างนี้ ไม่ค่อยสวยเท่าไร”
“แต่ดอกไม้หมดแล้วนะ ที่ร่วงหล่นในโรงหมอก็ไม่มีแล้วด้วย ที่มีก็มีแต่กลีบช้ำๆ เอามาประดับไม่ได้หรอก”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะปีนขึ้นไปเก็บ”
“ได้ที่ไหนกัน ท่านย่าก็นั่งอยู่นี่ จำไม่ได้หรือว่าท่านย่าสั่งไว้ว่าอย่างไร... เป็นสตรี อย่ากระโดกกระเดก ปีนไปเก็บไม่ได้”

เสียงเด็กทั้งสามดังเจื้อยแจ้ว เถียงกันไป ให้เหตุผลกันมา จ้าวจื่อถงฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง แต่ก็พอจับใจความได้จากน้ำเสียงว่าคงต้องเป็นเรื่องเคร่งเครียดน่าดู และคงจะเกี่ยวกับดอกไม้ที่ประดับอยู่บนเรือนผมของเขานี่ล่ะ เพราะเขาพอจะจับคำศัพท์บางคำได้

คำนี้แปลว่าดอกไม้... สงสัยจะหาเรื่องเพาะปลูกบนหัวข้าเพิ่มอีกกระมัง

ชายหนุ่มลอบระบายลมหายใจ ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ที่ไม่พูดไม่ใช่ว่ายอม แต่คิดๆ ดูแล้วถ้าต้องส่งเสียงแอ๊ะแอ๋แสร้งเป็นคนบ้าใบ้ เขาสู้อยู่เงียบๆ จะยังมีเกียรติกว่า

“เอาอย่างนี้ ข้าจะออกไปเก็บที่หน้าโรงหมอแล้วกัน เห็นมีดอกพ็อตโกต[1]ร่วงอยู่เต็มไปหมด ประเดี๋ยวข้ามา”
“ห้ามไปคนเดียวนะท่านพี่”
“ใช่ๆ พวกข้าก็จะไปด้วย”

คนผู้น้องทั้งสองร้องท้วง เมื่อเห็นผู้พี่พยักหน้า ต่างก็พากันเดินเตาะแตะออกไปยังหน้าโรงหมอ จ้าวจื่อถงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

ในที่สุดเขาก็เป็นอิสระสักที...แม้ว่าจะแค่ประเดี๋ยวเดียวก็เถิด

หากแต่นั่นก็ทำให้เขาคลายความหงุดหงิดลงได้บ้าง แต่เมื่อเหลือบสายตาไปเห็นลีจีซองที่ยังคงนั่งตรวจอาการของท่านย่าของเด็กสามคนนั้นอยู่ไม่ไกล มิหนำซ้ำยังจะระบายยิ้มมาให้เขา จ้าวจื่อถงก็อดไม่ได้ที่จะทำปากคว่ำด้วยหัวเสียสุดกำลัง

ยังจะมีหน้ามายิ้มเย้ยข้าอีก!

เขาจะไม่สนใจแล้ว! ไม่สนใจผู้ใดเลย! ยิ่งสนใจ ยิ่งหัวเสีย จ้าวจื่อถงเบือนหน้าหนี ปล่อยให้เสียงของท่านหมอดังแว่วเข้ามาในหู

“ประเดี๋ยวขอเชิญท่านป้าเข้าไปตรวจร่างกายที่ด้านใน วันนี้ท่านป้ามีไข้เล็กน้อย ข้าอยากตรวจให้แน่ใจว่าอาการของท่านป้าใช่อย่างที่ข้าคิดหรือไม่”
“ได้เจ้าค่ะท่านหมอ ไปทางไหนหรือ”

เมื่อหญิงชรารับคำ ลีจีซองก็หันไปบอกกับยองแจที่ยืนรอรับใช้อยู่ใกล้ๆ

“พานางเข้าไปข้างในที ข้าจะไปเตรียมของเล็กหน่อย จะตามเข้าไป”

ยองแจพาหญิงชราเข้าไปแล้ว เหลือแต่ลีจีซองที่ยังง่วนอยู่กับการตระเตรียมอุปกรณ์บางอย่าง จ้าวจื่อถงไม่ได้สนใจ อีกฝ่ายก็หาได้สนใจเช่นกัน กระทั่งลีจีซองเดินเข้าไปข้างใน เขาถึงได้หันไปมองและเบะปากออกมา

เฮอะ... วิเศษวิโสมากกระมัง เป็นหมอเทวดาเนี่ย!

อคติอย่างไรก็อย่างนั้น ต่อให้มีพระคุณ แต่ก็อคติด้วยท่านหมอผู้นี้วาจาสามหาว อีกทั้งยังปากไม่ค่อยดี พูดจาถ้อยคำไม่เข้าหูบ่อยครั้ง จะให้เขาญาติดีด้วยก็ทำใจลำบากเหลือเกิน แต่ก็ช่างเถิด เขาหายเมื่อไร เขาจะรีบไปจากที่นี่ทันที

จ้าวจื่อถงภาวนาขอให้ตนเดินได้ในเร็ววันเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ก่อนจะปิดเปลือกตาลง ดื่มดำกับความเงียบสงบที่มาเยือนชั่วขณะ

ทว่า...แม่ทัพหนุ่มดื่มดำกับความเงียบได้พักเดียว หูของเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของเด็กหญิงทั้งสามดังขึ้นไม่ไกลนัก

“กรี๊ดดด!”

สัญชาตญาณบอกกับเขาทันทีว่ามีเรื่องไม่ดีบังเกิดขึ้นในไม่กี่อึดใจแน่ และก็เป็นเช่นนั้นเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้จ้าของเด็กๆ พวกนั้น

บัดซบ! จะเรียกให้ท่านหมอกับยองแจออกมาตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วด้วย เขาคงจะต้องไปดูเองแล้ว!

แม่ทัพหนุ่มคว้าไม้ค้ำยัน พยุงร่างของตนออกไปยังหน้าโรงหมอด้วยความรวดเร็วประหนึ่งว่าเหาะได้ ก่อนจะพบว่าเด็กทั้งสามประจันหน้าอยู่กับสุนัขตัวหนึ่ง เขาไม่แน่ใจนักว่าสุนัขตัวนั้นป่วยหรืออะไร เห็นแต่ว่ามันน้ำลายฟูมปาก หูตั้ง หางตก ตั้งท่าพร้อมจะจู่โจมเด็กน้อยเต็มที่

ด้วยกลัวว่าจะไม่ทันการ แม่ทัพหนุ่มจึงรีบพุ่งเข้าไปขวาง จังหวะเดียวกับที่เจ้าสุนัขกระโจนเข้ามาพอดี
จ้าวจื่อถงล้มกลิ้ง ปากร้องตะโกนออกมาด้วยภาษาของตนอย่างลืมตัว

“กลับเข้าไปในโรงหมอ!”

เด็กน้อยทั้งสามฟังไม่รู้เรื่องหรอก แต่น้ำเสียงดุดันและความน่ากลัวของเจ้าสุนัขตนนั้นก็ทำให้ทั้งสามพากันวิ่งเต็มฝีเท้ากลับเข้าไปในโรงหมอแล้ว ปล่อยให้จ้าวจื่อถงถูกสุนัขตัวนั้นฟัดอย่างเอาเป็นเอาตาย

ชายหนุ่มขบกรามแน่นเมื่อถูกเจ้าสุนัขงับเอาที่ต้นขา ความปวดแปลบและสัมผัสเหนียวเหนอะจากน้ำลายและโลหิตทำให้เขาต้องรวบรวมแรง คว้าเอาไม้ค้ำยันฟาดไปที่ข้างลำตัวของสุนัขเต็มที่

“เอ๋ง!”

มันร้องลั่น ก่อนจะคลายคมฟันออกจากผิวเนื้อ พลันวิ่งหนีเตลิดไปอีกทาง ฝากบาดแผลคมเขี้ยวให้กับชายหนุ่มที่นอนล้มกลิ้งอยู่บนพื้น

จ้าวจื่อถงเหลือบมองคราบเลือดที่ซึมผ่านอาภรณ์มาให้เห็นพลางขบกรามแน่นเพื่อข่มความเจ็บปวด เขาพยายามที่จะลุกขึ้น แต่ความเจ็บปวดนั้นทำให้ขยับได้ไม่ดีนัก กอปรกับข้อเท้าที่กระดูกยังไม่สมานกัน เขาเลยต้องคลานหลบไปยังข้างทาง

ลีจีซองที่ได้ยินเสียงโหวกเหวกเมื่อครู่วิ่งหน้าตั้งออกมายังหน้าโรงหมอ ด้านหลังมียองแจวิ่งตามมาด้วยสีหน้าตื่นๆ ไม่แพ้กัน ขณะที่เด็กหญิงทั้งสามพากันร้องไห้จ้า กอดท่านย่าของพวกตนด้วยความหวาดกลัว ทั้งกลัวเจ้าสุนัขตัวเมื่อครู่ ทั้งกลัวคราบเลือดที่ไหลซึมออกมาจากต้นขาของจ้าวจื่อถง ส่วนเรื่องที่เขาพูดภาษาไม่คุ้นหูอะไรนั่น บัดนี้เด็กน้อยทั้งสามลืมสิ้นไปหมดแล้ว

“เป็นอย่างไรบ้าง!”

ลีจีซองถามด้วยน้ำเสียงตกใจ เผลอพูดภาษาต้าหมิงออกมาอย่างลืมตัวด้วย รู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนที่ยองแจสะกิดพลางกระซิบกระซาบ

“ท่านหมอขอรับ...”

คนถูกทักตระหนักได้ในตอนนี้ว่ายังมีคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วย เขาจึงรีบทิ้งตัวลงคุกเข่า พยุงจ้าวจื่อถงไว้ในอ้อมแขนพลางร้องถามเสียงแผ่วเบา

“เป็นอย่างไรบ้าง”
“ขาข้าโชกเลือดขนาดนี้ ข้าคงสบายดีกระมัง”

จ้าวจื่อถงยอกย้อน สีหน้าบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวดและความหงุดหงิดพอๆ กัน ลีจีซองไม่ได้สนใจเท่าไรนัก ตาจ้องมองแต่คราบเลือดบนอาภรณ์ของอีกฝ่ายเท่านั้น

“ต้องรีบไปทำแผล ทิ้งไว้นาน แผลจะลุกลาม”
“จะทำสิ่งใดก็รีบทำ ก่อนที่ข้าจะเป็นศพอยู่บนแผ่นดินของเจ้า”

ลีจีซองขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้พูดอะไร นอกจากจะพยักหน้าเรียกยองแจให้ช่วยพยุงอีกฝ่ายขึ้น หากแต่จ้าวจื่อถงหาใช่บุรุษรูปร่างสันทัดแต่อย่างใด ถึงเขาจะสมส่วน แต่เขาก็สูงใหญ่ อีกทั้งมีกล้ามเนื้อแน่นไปทั้งตัว ยองแจเป็นเพียงเด็กหนุ่มรุ่น การพยุงจ้าวจื่อถงให้ลุกขึ้นยืนนั้นเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับเขามากทีเดียว

ลีจีซองเห็นแล้วก็โบกมือไล่ให้ถอยห่าง ก่อนจะบอกกับแม่ทัพหนุ่มอีกครั้ง

“เห็นทีคงต้องเป็นข้าที่อุ้มเจ้ากลับเข้าโรงหมอ”
“ข้าบอกแล้วว่าจะทำสิ่งใดก็รีบทำ ไม่ต้องพูดมากจะได้ไหมท่านหมอ”

ที่ลีจีซองพูดก็เพื่อเกริ่นว่าเขาจะสัมผัสเนื้อตัวอีกฝ่ายนะ ไม่อยากทำอะไรโดยพลการ อย่างน้อยจ้าวจื่อถงก็ดำรงตำแหน่งแม่ทัพ จะทำสิ่งใด ขออนุญาตไว้ก่อนก็เป็นดี แต่ในเมื่อจ้าวจื่อถงพูดมาเองทั้งที่เขายังไม่ได้ว่าอะไรด้วยซ้ำ

ถ้าอย่างนั้น... เขาก็จะไม่เกรงใจแล้วกัน

ลีจีซองพยักหน้า ก่อนจะรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีช้อนร่างของจ้าวจื่อถงไว้ในอ้อมแขน บุรุษรูปร่างใหญ่ถึงกับเบิกตาโต อ้าปากหวอ

ผู้ใดจะไปคิดล่ะว่าท่านหมอจะใช้วิธีการนี้ในการพาเขากลับเข้าไปในโรงหมอ!?

ที่น่าตื่นตะลึงมากกว่านั้นก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าท่านหมอที่ภายนอกดูบอบบางกลับอุ้มเขาขึ้นได้อย่างง่ายดาย

เจ้านี่หาใช่หมอเทวดาแล้ว เป็นหมอปีศาจชัดๆ!

มิหนำซ้ำเมื่อเดินผ่านท่านย่าของเด็กทั้งสาม ลีจีซองยังจะหยุดเดิน ร้องบอกให้ทุกชีวิตสบายใจอีก

“เขาไม่เป็นไร ประเมินจากสายตา แผลไม่ลึกมาก ไม่นานก็หาย ไม่ต้องห่วง”
“ขอบน้ำใจท่านหมอ ขอบน้ำใจเจ้าด้วย เจ้าบ้าใบ้”
“ขอบคุณๆ เจ้าใบ้ ขอบคุณ!”

เด็กๆ ต่างพากันร้องขอบคุณระคนร้องไห้กันเสียงขรม แต่ในเวลานี้ อะไรๆ ก็ไม่เข้าหูจ้าวจื่อถงแล้ว เขาเบือนหน้าหนี ในใจสบถหยาบคายมั่วซั่วไปหมด

จะอุ้มข้าให้ผู้อื่นมองอีกนานไหม รีบพาเข้าไปข้างในได้แล้ว เจ้าหมอบัดซบ!

ประหนึ่งว่าลีจีซองจะรู้ความในใจ ครั้นสิ้นเสียงก็ตัดบทเอาดื้อๆ

“วันนี้ท่านป้าพาเด็กๆ กลับไปก่อนเถิด วันพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ เห็นทีวันนี้ข้าคงต้องปิดโรงหมดเร็วกว่าปกติเสียหน่อย”

หญิงชราไม่ทัดทานสิ่งใด รีบพาเด็กๆ กลับบ้าน ก่อนที่ลีจีซองจะร้องสั่งยองแจที่ยืนมองด้วยสีหน้าเหลอหลาอยู่

“ปิดโรงหมอ แล้วจัดการเก็บกวาดทุกอย่างให้เรียบร้อย ข้าจะพาเขาไปทำแผล ถ้าไม่มีธุระอะไรหรือข้าไม่ได้เรียก ไม่ต้องเข้ามา เจ้าไปพักได้”

ยองแจก็ไม่ทัดทาน พยักหน้าหงึกหงัก ทำตามคำสั่งแต่โดยดี ปล่อยให้ท่านหมอพาบุรุษผู้นั้นกลับเข้าห้องนอน



 
จ้าวจื่อถงถูกวางลงบนเตียงอย่างเบามือ เขาหงุดหงิดมากที่เดียวที่อีกฝ่ายกระทำการใดๆ กับเขาอย่างอ่อนโยน จนอดไม่ได้ที่จะค่อนขอดออกมา

“ทำอย่างกับว่าข้าเป็นสตรีตัวเล็กๆ ไม่ต้องถนอมข้ามากถึงเพียงนั้นก็ได้”
“หากข้ากระทำรุนแรง ปากแผลเจ้าเปิดมากกว่าเดิม เจ้าก็เจ็บมากกว่าเดิม”

ลีจีซองตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก มือสาละวนกับการเตรียมโอสถและอุปกรณ์สำหรับทำแผล ขณะที่จ้าวจื่อถงยังหัวเสียไม่เลิก

“ข้าเจ็บแล้วเกี่ยวอะไรกับท่าน”
“ข้าเป็นหมอ” เขาว่า ก่อนหันมามองหน้าคนปากเก่ง “ข้าจะทำให้คนไข้ของข้าเจ็บตัวมากกว่าเดิมเพื่อการใด”

จ้าวจื่อถงไม่เถียงแล้ว ได้แต่ระบายลมหายใจเต็มแรง ขณะที่อีกฝ่ายเดินมานั่งที่ปลายเท้า พลางออกปากสั่ง

“ถอดเสื้อผ้าของเจ้าออก ข้าจะทำแผลให้”

คนฟังไม่ได้สนใจเท่าไรนัก ในเมื่อสั่งให้ถอด เขาก็ถอด

ถอด...จนเปลือยเปล่าไปทั้งร่าง จ้าวจื่อถงไม่ได้เคอะเขินเลยแม้แต่น้อย เพราะเมื่อครั้งที่เขาต้องออกทัพจับศึก ใช้ชีวิตร่วมกับพี่น้องสหาย เขาก็เปลื้องผ้าให้ใครต่อใครเห็นอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ได้รับบาดเจ็บ กล่าวได้เลยว่าไม่มีท่านหมอในกองทัพคนใดไม่เคยเห็นร่างกายเปล่าเปลือยของเขา นับว่าเป็นเรื่องธรรมดาเสียด้วยซ้ำ

หากแต่ไม่ธรรมดาเมื่อมาอยู่ต่อหน้าของท่านหมอแห่งโชซอนผู้นี้...

ลีจีซองยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นร่างกายเปล่าเปลือยที่มีคราบเลือดเปรอะเปื้อนเต็มสองตา

“ไม่คิดว่าเจ้าจะพูดง่ายเช่นนี้ ปกติเห็นมีแต่ดื้อรั้น กลัวตายเป็นเหมือนกันหรือ”
“หากท่านไม่พูดว่าแผลจะลุกลามหากไม่รีบรักษา ข้าก็คงไม่ทำตามคำสั่ง” เขามองอย่างขุ่นเคือง จากนั้นก็กระชากเสียงน้อยๆ “แล้วก็อย่ามัวพูดอะไรให้มากความอยู่เลย รีบๆ ทำแผลเสีย หากข้าตายเพราะแผลสุนัขกัด ข้าเป็นผีก็จะมาหลอกท่าน”

ลีจีซองหัวเราะในลำคอ ไม่พูดอะไรแล้ว รีบทำให้ก่อนที่อีกฝ่ายจะตายเป็นผีมาหลอกเขาแล้วกัน

ท่านหมอนำผ้าสะอาดมาชุบน้ำ บิดจนหมาดแล้วค่อยๆ เช็ดบาดแผลคมเขี้ยวที่ต้นขาของอีกฝ่าย สายตาก็สังเกตไปด้วยว่าบริเวณที่ถูกสุนัขกัดคือโคนขาด้านใน ดูท่าทางจ้าวจื่อถงจะหนีเจ้าสุนัขตัวนั้นไม่ทันเพราะยังเดินไม่ได้ จึงทำให้ถูกกัดในที่อย่างนี้

ที่อย่างนี้...คือที่ใกล้ของสงวน

ลีจีซองทำความสะอาดแผลไปก็อดขบขันไม่ได้

ดีนะที่ไม่กัดโดนเจ้าพวง...อืม พวงอะไรก็เอาเถิด ไม่โดนนั่นล่ะดีแล้ว ไม่อย่างนั้นจะเดือดร้อนหมออย่างเขาอีก

เช็ดทำความสะอาดบาดแผลเสร็จ ลีจีซองก็หันไปคว้าโอสถสำหรับปิดปากแผลมาไว้ในมือ ก่อนจะลูบโอสถนั้นไปตามผิวหนังที่ขรุขระไปด้วยร่องรอยแผลเป็น

ผิวของจ้าวจื่อถงไม่มีความเรียบรื่นเลยสักนิด แม้แต่โคนขาด้านในก็เต็มไปด้วยบาดแผลจากการสู้รบ เห็นก็พอจะรู้เลยว่าเขาเป็นแม่ทัพที่ผ่านสมรภูมิมามากมายเพียงใด

กับอายุเพียงเท่านี้ ไม่น่าเลย... ไม่น่าเอาความเยาว์วัยมาผูกติดกับเส้นด้ายทางการเมือง

แต่นั่นก็เป็นความภาคภูมิใจและเกียรติยศของคนที่เกิดในตระกูลแม่ทัพ เรื่องนี้ลีจีซองรู้ เพียงแต่... เขาคิดว่าคนอายุน้อยอย่างจ้าวจื่อถงไม่ควรเอาชีวิตไปเสี่ยงสิ้งไว้ในสมรภูมิก็เท่านั้น

ขณะที่ลีจีซองคิดครุ่นเรื่องความเป็นความตายและภาระหน้าที่ของอีกฝ่าย จ้าวจื่อถงก็ขมวดคิ้วมุ่นเพราะรู้สึกประหลาดกับความอบอุ่นที่แผ่ซ่านจากฝ่ามือนั้น

ยิ่งถูกลูบไล้มากเท่าไร จ้าวจื่อถงก็ยิ่งตึงเครียดมากกว่าเดิม มิหนำซ้ำต้องขบกรามแน่นขึ้นมาด้วยเพราะฝ่ามือของท่านหมอเฉียดเข้าใกล้...

เข้าใกล้...

เข้าใกล้อะไรก็ช่าง เขารู้แต่ว่ามันไม่น่าพิสมัยสักเท่าไร เพราะมันทำให้เขา...ฟุ้งซ่าน!

นึกโกรธเจ้าสุนัขตัวนั้นขึ้นมาแล้ว เขาไม่น่าหาเรื่องออกไปช่วยเด็กทั้งสามคนนั้นเลย ไม่ได้เจียมสังขารตนเองด้วยว่ายังเดินเหินไม่ได้ บัดซบนัก! ผู้ใดจะไปคาดคิดกันล่ะว่าเขาจะถูกเจ้าหมาบ้ากัดเข้าที่ตรงนี้เสียได้ รอยฟันคมๆ ที่ทิ้งไว้อยู่บนผิวเนื้อนั้นทำให้เขาหัวเสียอยู่ไม่น้อย แต่ที่หัวเสียยิ่งกว่าก็คือหมอหนุ่มตรงหน้าที่ไม่ทำอะไรให้เสร็จสิ้นเสียที มัวแต่ลากลูบอยู่นั่น ทุกขั้นตอนเป็นไปอย่างเชื่องช้าจนน่ารำคาญใจ พลันเขาก็อดไม่ได้ที่จะทำลายความเงียบขึ้นมา

“ท่านจะเร่งมือสักหน่อยได้หรือไม่”
คนถูกทักเงยหน้าขึ้นมอง เลิกคิ้วสูงขณะถาม “ทำไมหรือ”
“ข้าค่อนข้างจะรำคาญ”

จ้าวจื่อถงว่าไปตามตรง แสร้งทำเป็นหัวเสียอีกด้วยเมื่อรู้สึกได้ถึงความอุ่นร้อนที่แผ่ซ่านเข้ามายัง...ระหว่างขา

ใช่แล้ว ระหว่างขา มือของบุรุษอีกคนที่ลูบลากต้นขาเขาด้านในไม่หยุดหย่อนนั้นมันทำให้เขาร้อนรุ่มขึ้นมาหน่อยๆ แล้ว!

ไม่อยากจะยอมรับสักเท่าไรว่าเขาสัมผัสได้ถึงอารมณ์กำหนัดเพราะบุรุษด้วยกัน แต่ในเมื่อสิ่งนั้นเป็นความจริง จ้าวจื่อถงก็เลือกที่จะซ่อนเร้นไว้ด้วยการสงบสติอารมณ์ ทว่าแลดูจะไม่ค่อยเป็นผลสักเท่าไรเมื่อลีจีซองหันไปคว้าผ้าสะอาดมาชุบน้ำและบิดหมาด จากนั้นก็ซับลงเบาๆ รอบรอยแผลที่ยังมีคราบเลือดแห้งกรังติดอยู่

คราบเลือดนั้นค่อยๆ เลือนออก แต่ความเย็นเยียบของน้ำที่อยู่บนผ้าไม่ได้ทำให้ความร้อนรุ่มในกายมลายหายไปได้เลย มีแต่จะทำให้ทวีมากขึ้น จนสุดท้ายจ้าวจื่อถงก็ทนไม่ไหว เผลอสะดุ้งเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายขยับมือไปใกล้ยังจุดยุทธศาสตร์

“ฮึก...”
“เจ็บหรือ”

ลีจีซองหยุดมือทันที เงยหน้าถาม ขณะที่จ้าวจื่อถงรีบเก็บอาการพลันส่ายหน้า

“ไม่”
“แล้วเมื่อครู่เจ้าร้อง...”
“ช่างหัวข้าเถอะ รีบๆ ทำหน้าที่ของท่านซะ”

หงุดหงิดใส่อีกแล้ว ลีจีซองก็ออกจะงุนงงอยู่ไม่น้อยเมื่อจู่ๆ ตนก็ถูกพาล แต่แล้วก็ต้องเข้าใจในอีกไม่กี่ห้วงลมหายใจให้หลังเมื่อสายตาเหลือบไปเห็น ‘บางสิ่ง’ ที่ดูจะไม่ปกติเข้าเต็มสองตา

“อ้อ”

แสร้งร้องเสียงสูงออกมาด้วย จากที่ไม่เคอะเขินที่เปลื้องผ้าให้อีกฝ่ายเห็น บัดนี้จ้าวจื่อถงเริ่มหน้าร้อนผะผ่าวแล้ว

เจ้าหมอบัดซบ! จ้องอะไรของเจ้า!

แม่ทัพหนุ่มถึงกับเกร็งตัวแข็ง ใบหน้าไม่กระดิกเลยแม้แต่นิดเดียว กลัวเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะล้อเลียน ขณะที่ลีจีซองร้องออกมาแล้วก็แสร้งทำเป็นนิ่งเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น มือทำแผลต่อไปโดยไม่ปริปากออกมาสักคำ

ชั่วขณะหนึ่ง จ้าวจื่อถงคิดไปแล้วว่าอีกฝ่ายคงจะไม่พูดอะไร แต่เขาคิดผิดถนัดเมื่อฉับพลัน ลีจีซองก็เอ่ยขึ้นมา

“ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าการทำแผลของข้าจะดูยั่วเย้าอารมณ์คนไข้ได้ถึงเพียงนี้”

ว่าพลางชำเลืองมองหน้าแม่ทัพหนุ่ม ขณะที่คนถูกมองหน้าดำทะมึนไปหลายส่วน

“ถึงขนาดที่มังกรน้อยของเจ้าผงาดขึ้นมาได้ ช่างเป็นเกียรติแก่ข้ายิ่งนัก”

ยัง...ยังไม่หยุด!

ถ้ายังไม่หยุดพูด เขาจะให้เจ้ามังกรน้อยของเขาจัดการเสียเลย!

ดีที่ลีจีซองพูดเท่านั้นก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อ คว้าเอาอาภรณ์ชุดใหม่มาวางตรงหน้า ก่อนบอกเสียงเรียบ

“เสร็จแล้ว เจ้าก็ใส่เสื้อผ้าซะ เจ้ามังกรน้อยของเจ้าจะได้ไม่บินหนีไปเที่ยวเล่นที่ไหน”

ไม่วายทิ้งท้ายล้อเลียนจนได้ พูดจบก็ลุกจากไป ปล่อยให้จ้าวจื่อถงนั่งหน้าดำอยู่อย่างนั้น ครั้นเสียงปิดประตูดังขึ้น เขาก็สาบานกับตนเองในใจด้วยเสียงอันดังก้อง

หากข้าเดินได้เมื่อไร ข้าจะไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเลย เจ้าหมอบัดซบ!

[1] ดอกซากุระ



ไม่ได้อัปเรื่องนี้มาพักนึงละ มาต่อเรื่องนี้บ้างค่ะ

อย่าเพิ่งหนีหายกันไปไหนเน้อ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
บทที่ 7: องค์หญิงเยจี

แม้จะอยากไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดมากเท่าใด แต่ก็ใช่ว่าสวรรค์จะเห็นใจบุรุษที่มือเปื้อนเลือดมานับไม่ถ้วนอย่างเขาสักเท่าไรนัก จ้าวจื่อถงจำต้องติดแหง็กอยู่ที่แผ่นดินโชซอนต่ออีกนานหลายเดือนทีเดียว กระนั้นการนั่งๆ นอนๆ อยู่ในโรงหมอก็หาได้ทำให้เขาเบื่อหน่ายได้เท่ากับการที่เรื่องการแสร้งเป็นคนบ้าใบ้ของเขารั่วไหล

เพราะไปช่วยเหลือเจ้าเด็กซนสามคนนั้น ท่านย่าของเด็กทั้งสามจึงเอาไปสรรเสริญเสียทั่วหมู่บ้านว่าชายแปลกหน้าในโรงหมอเป็นผู้ช่วยเหลือหลานทั้งสามของตน อีกทั้งยังหาใช่คนบ้าใบ้อย่างที่เข้าใจกัน เพียงแค่อาทิตย์เดียวที่ความนี้กระจายออกไป ความวุ่นวายจึงบังเกิดขึ้นอีกครั้ง ไม่ใช่ว่ามีเพียงคนแวะเวียนมาดูหน้าค่าตาอันหล่อเหลาของเขาเฉยๆ อย่างที่เคยผ่านมาเสียดู หากแต่แวะมาดู แล้วก็มานั่งอ้อยอิ่งให้ท่าไม่หยุดหย่อน

ย่อมแน่ว่าหมายถึงเหล่าสตรีน้อยใหญ่ที่หมายจะมีคู่ครอง...

จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน จนในที่สุด จ้าวจื่อถงออกไปนั่งที่ลานกว้างกลางโรงหมอยามทำการไม่ได้อีกแล้ว เขารำคาญใจเกินกว่าจะอดทนสิ่งเหล่านี้ได้ ลีจีซองเองก็เห็นด้วยเช่นกันว่าแม่ทัพหนุ่มไม่ควรโผล่หน้ามาในเวลาที่เขาเปิดทำการ มิเช่นนั้นแล้วจะเอาเวลาที่ไหนกันเล่าไปดูแลคนไข้ เอาแต่ไล่พวกคนไม่เกี่ยวข้องกลับออกไปทั้งวี่ทั้งวันอย่างนี้ มันก็น่าเหนื่อยหน่ายเช่นกัน

และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ความวุ่นวายบังเกิดยังโรงหมอ เหล่าสตรีน้อยใหญ่ที่หมายมายั่วยวนให้จ้าวจื่อถงหลงเสน่ห์แวะเวียนมาอีกแล้ว ครั้นถูกลีจีซองขอร้องให้กลับไป พวกนางก็มาด้อมๆ มองๆ อยู่ทางด้านหน้าไม่หยุดหย่อน กระทั่งโรงหมอปิดทำการ พวกนางถึงได้กลับไป

จ้าวจื่อถงชำเลืองมองแผ่นหลังของบรรดาร่างแน่งน้อยที่หายลับไปจากหน้าโรงหมอด้วยสีหน้าหงุดหงิด ก่อนพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรงเมื่อประจักษ์ว่าพวกนางคือสาเหตุที่ทำให้เขาขาดอิสระอย่างที่เคยมี

มายั่วยวนข้าอย่างนั้นหรือ อย่าหวังเลยว่าข้าจะชายตาแล พวกนางปีศาจ!

กลายเป็นคนปากร้าย ขี้โมโหตั้งแต่เมื่อไร จ้าวจื่อถงก็ไม่แน่ใจนัก แม้เขาจะรู้ว่าตนเองเป็นพวกมุทะลุและบันดาลแก่โทสะได้ง่าย ทว่าตั้งแต่มาอยู่บนแผ่นดินนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะอารมณ์เดือดดาลง่ายกว่าเดิมเป็นเท่าตัว

และยิ่งเดือดดาลมากขึ้นไปอีกเมื่อลีจีซองที่เพิ่งเสร็จธุระจากทางด้านนอกโผล่เข้ามาในห้อง มือทั้งสองหอบหิ้วเอาโอสถมา เป็นสัญญาณให้รู้ว่าถึงเวลาทำแผลอีกแล้ว

“เปลื้องผ้าสิ ข้าจะทำแผลให้”

ภาษาที่หลุดออกจากปากของลีจีซองหาใช่ภาษาของต้าหมิงอีกต่อไป ด้วยหมายจะให้จ้าวจื่อถงได้เรียนรู้ภาษาของตนจึงเอาแต่พูดด้วยภาษาถิ่น จ้าวจื่อถงเองก็ไม่ได้ขัดหรอก สิ่งนั้นก็นับว่าดี รู้เขารู้เขา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง รู้ภาษาของดินแดนอื่นไว้บ้างก็นับว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เขาได้เปรียบ แต่เขาไม่ชอบใจเท่าไรนักเมื่อคิดขึ้นมาได้ว่ายังมีสิ่งหนึ่งที่เขาเสียเปรียบอยู่

นั่นก็คือการทำแผลอย่างไรล่ะ!

“ให้ยองแจมาทำ”

จ้าวจื่อถงว่าเสียงเรียบ แม้ว่าสำเนียงภาษาโชซอนที่หลุดออกจากปากจะแปร่งชวนให้ขบขันไปบ้าง แต่ลีจีซองก็ไม่คิดที่จะหัวเราะเยาะแต่อย่างใดเพราะรู้ว่าคนตรงหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไรนัก

“ยองแจไม่อยู่ ข้าใช้ให้เอาโอสถไปส่งที่บ้านใต้เท้าคิม”

ทำไมจะต้องใช่ไปเวลานี้!

จ้าวจื่อถงเหลือบมอง เรียวคิ้วกระบี่ขมวดมุ่น ในใจก็คิดว่าอีกฝ่ายคงตั้งใจจะกลั่นแกล้งล่ะสินะ ถึงได้ใช้ให้เด็กรับใช้ไปทำธุระให้ในยามที่ต้องทำแผลให้เขาพอดิบพอดี

“อย่ามัวแต่ปั้นปึ่งใส่ข้าเลย รีบเปลื้องผ้าซะ จะได้รีบทำแผลแล้วข้าจะได้ไม่มาอยู่กวนใจเจ้า”

ลีจีซองรับรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไรจากการสบตา จ้าวจื่อถงยังคงนิ่งเฉย ทำให้ลีจีซองต้องเอ่ยออกมาอีกครั้ง

“เปลื้องผ้าออก”

น้ำเสียงราบเรียบ ทว่าทรงอำนาจ ลีจีซองมีบางอย่างที่จ้าวจื่อถงไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันคืออะไร ทุกครั้งที่อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าราบเรียบ เขามักจะมีความรู้สึกหวั่นเกรงอยู่ลึกๆ ครั้งแรกๆ ที่รู้สึกก็คิดว่าคิดไปเอง แต่เมื่อได้ใกล้ชิดนานวันเข้าก็เริ่มประจักษ์...ว่าสิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดไปเองเป็นแน่ แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีกว่าคืออะไร

และเมื่อออกปากมาอย่างนี้ จ้าวจื่อถงก็จำต้องทำตาม ในใจก็ร้องท้วงว่าที่ทำตามไม่ใช่เพราะว่าหวั่นเกรงหรืออะไร แต่เป็นเพราะอยากให้อีกฝ่ายไสหัวไปให้พ้นๆ

มือเปลื้องอาภรณ์บนกายออกจนเหลือแต่ร่างเปลือยเปล่า ลีจีซองเข้ามาทำแผลให้อย่างเคย

และเช่นเคย...

...มังกรน้อยของแม่ทัพหนุ่มออกมาบินว่อนท้าอากาศอีกแล้ว

เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องน่าอาย ไม่เข้าใจนักว่าเหตุใดยามถูกมือของอีกฝ่ายจับต้องใกล้กับบริเวณนั้น ความเป็นบุรุษเพศของเขาถึงได้มีปฏิกิริยาเช่นนี้

กระนั้นจ้าวจื่อถงก็แสร้งปั้นหน้านิ่ง วางท่าเฉยเมยไม่หือไม่อือกับสิ่งที่เกิดขึ้น ขณะที่ลีจีซองเห็นอาการผงาดง้ำของอีกฝ่ายก็ได้แต่ลอบยิ้มน้อยๆ อันที่จริงอยากจะหัวเราะอยู่เหมือนกัน แต่ก็เกรงว่าประเดี๋ยวจะไปทำให้อีกฝ่ายหัวเสียขึ้นมาอีก เพราะเพียงแค่ยิ้มเบาบาง จ้าวจื่อถงก็ว่าเสียงเขียวออกมาแล้ว

“มีสิ่งใดให้น่าขันนักหรือไร”

“เปล่า”

“ไม่มีแล้วยิ้มเพื่อการใด”

ลีจีซองไม่ตอบ เขารู้ว่าไม่ว่าจะตอบอย่างไร จ้าวจื่อถงก็ไม่พอใจคำตอบเป็นแน่ ดังนั้นหลีกเลี่ยงจะเป็นการดีกว่า

แต่จ้าวจื่อถงก็คือจ้าวจื่อถง เขาดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพ ถือสิทธิ์ว่าตนอยู่เหนือผู้ใดในกองทัพ เมื่อเขาต้องการสิ่งใดหรือคำตอบใด เขาจะต้องรีดเค้นเอามาให้สมดังใจให้จงได้

ครั้งนี้ก็เช่นกัน... เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเอาแต่อมพะนำ น้ำเสียงขุ่นเคืองก็ดังขึ้น

“ข้าถามแล้วเหตุใดจึงไม่ตอบ”

“หากข้าตอบแล้ว เจ้าจะยินดีกับคำตอบของข้าหรือ”

ย่อมแน่ล่ะว่าจ้าวจื่อถงไม่ยินดี เขาเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าที่ลีจีซองยกยิ้มขึ้นมานั้นเป็นเพราะเหตุใด จึงเป็นฝ่ายเงียบไปเองบ้าง ขณะที่ลีจีซองได้ทีเป็นฝ่ายไล่ต้อน

“ว่าอย่างไร ข้าถามเจ้าว่าเจ้าจะยินดีอย่างนั้นหรือ”

“...”

“หากเจ้ายินดี ข้าจะบอกให้ก็ได้ ที่ข้ายิ้มเป็นเพราะว่ามังกรน้อยของเจ้า...”

“ข้าไม่ยินดี!”

ยอมปริปากออกมาแล้ว เสียงดังลั่นเชียว และชัดเจนเลยว่าการหาเรื่องในครั้งนี้ จ้าวจื่อถงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างราบคาบ

ลีจีซองหัวเราะในลำคอน้อยๆ พอกยาลงบนบาดแผลที่ยังคงเป็นหนองให้พลางว่า

“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็อย่าไปสนใจเลยว่าข้าจะยิ้มเรื่องอะไร พอกยานี่ไว้ค้างคืนนะ รุ่งเช้าค่อยล้างออก มันจะได้ดูดหนองจากแผลเจ้า”

จ้าวจื่อถงไม่ว่าอะไร เบือนหน้าหนีไปอีกทางแทน อดทนรอจนกว่าลีจีซองทำแผลเสร็จ เมื่อนั้นเขาจะได้หายใจอย่างโล่งอกโล่งคอเสียที

ทว่าในวันนี้ดูท่าการทำแผลจะไม่เสร็จสิ้นโดยง่าย ลีจีซองละมือจากบาดแผลบริเวณต้นขา มือคว้าเอาข้อเท้าของแม่ทัพหนุ่มมาพลิกไปพลิกมา จ้าวจื่อถงที่ไม่ทันตั้งตัวสะดุ้งเฮือก พร้อมๆ กับมือของท่านหมอนี่ชะงักงันไปเช่นกัน

“เจ็บรึ”

“ท่านทำอะไร”

ตอบไม่ตรงคำถามเสียเลย แต่ในเมื่อถามมา ลีจีซองก็เป็นฝ่ายยอมตอบแต่โดยดี

“ข้าเพียงจะตรวจดูว่ากระดูกของเจ้าเริ่มสมานกันหรือยัง”

ได้ยินเช่นนั้น จ้าวจื่อถงก็ไม่ได้ว่าอะไร ปล่อยให้อีกฝ่ายได้พลิกข้อเท้าของตนไปมาจนพอใจ ครู่หนึ่งลีจีซองถึงได้เอ่ยขึ้นมาอีก

“เจ้าไม่ได้ลองเดินดูเลยใช่ไหม”

“ไม่ได้ออกไปข้างนอก จะเอาเวลาไหนไปหัดเดิน”

ที่จ้าวจื่อถงพูดก็จริงอยู่ ลีจีซองจึงไม่ถามต่อ เปลี่ยนไปอธิบายอาการบาดเจ็บของอีกฝ่ายแทน

“ข้าพลิกข้อเท้าของเจ้าไปมาแต่เจ้าไม่เจ็บ ข้อเท้าไม่บวม จับดูตรงนี้ก็เหมือนว่าเอ็นน่าจะสมานกันแล้ว ต่อจากนี้ให้เจ้าลองหัดเดินดูก็แล้วกัน ไม่ได้ใช้การหลายเดือน ขาข้างนี้ของเจ้าลีบไปหมดแล้ว”

จ้าวจื่อถงเหลือบมองขาของตนเอง...ถูกต้องอย่างที่ลีจีซองว่า ขาที่อุดมไปด้วยกล้ามเนื้อของเขา บัดนี้ลีบเล็กลงกว่าเดิมอยู่โข เป็นเพราะไม่ได้ใช้งาน จึงไม่แปลกที่กล้ามเนื้อจะฝ่อ แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับการที่เขารับรู้ว่าตนกำลังจะกลับมาเดินได้

“เมื่อข้าเดินได้ ข้าจะรีบไปจากที่นี่”

เอ่ยความตั้งใจของตนขึ้นมาฉับพลัน ลีจีซองยกยิ้มมุมปากน้อยๆ

“ข้าก็อยากให้เจ้ารีบกลับไปต้าหมิงเพื่อสะสางปัญหาของเจ้าเช่นกัน แต่เกรงว่าขาข้างนี้ของเจ้าคงจะไม่มีแรงนัก อาจต้องใช้เวลาอีกสักหน่อยในการฟื้นตัว เห็นทีคงต้องอยู่กับข้าต่อไปอีกสักเดือนสองเดือน”

ผายลมเถิด! เรื่องอะไรที่เขาจะอยู่ ทันทีที่ขาทั้งสองข้างพาเขาเดินเหินไปไหนมาไหนได้เมื่อไร เขาไม่อยู่บนแผ่นดินนี้แล้ว!

แต่จ้าวจื่อถงก็ไม่ได้ปริปากพูดสิ่งใด ได้แต่เงียบและวาดแผนการอยู่ในใจเพียงลำพังเท่านั้น ต่อจากนั้นก็รอให้ลีจีซองได้ดูแลอาการตนกระทั่งเสร็จสิ้น เมื่ออีกฝ่ายจากไป เขาก็ระบายลมหายใจออกมาด้วยความรู้สึกราวกับว่ายกภูเขาออกจากอก หากทว่าไม่กี่เสี้ยวลมหายใจให้หลัง เขาก็ต้องตีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาเมื่อตระหนักได้ว่าหากกลับไปต้าหมิงเมื่อไร เขาคงจะต้องเจอกับปัญหาใหญ่หลวงทีเดียว

สูญเสียบิดา ปฏิบัติหน้าที่ไม่สำเร็จ กระทำผิดพลาดจนพระสนมกุ้ยเฟยถูกชิงตัวไป...

เห็นทีกลับไปต้าหมิง เขาคงกลับไปตาย องค์จักรพรรดิไม่ทรงปล่อยให้ขุนนางที่บกพร่องในหน้าที่ได้มีลมหายใจอยู่ต่อแน่...

จ้าวจื่อถงยอมรับในชะตากรรมได้ เขาเกิดมาในตระกูลแม่ทัพ ย่อมรู้ดีว่าสิ่งใดรออยู่เบื้องหน้า แต่ที่ยอมรับไม่ได้ก็คือเกียรติยศของวงศ์ตระกูลต้องมาแปดเปื้อนเพราะผิดพลาดในหน้าที่เพียงครั้งเดียว

เขา...เป็นแม่ทัพคนสุดท้ายของสกุลจ้าว

จะต้องทำอย่างไรถึงจะเรียกเกียรติยศของสกุลกลับคืนมาได้?

เป็นคำถามที่คิดไม่ตกเลยแม้แต่น้อย จ้าวจื่อถงยกมือขึ้นลูบใบหน้าของตนเองอย่างหนักใจ

หากเขาเอาเกียรติยศของตระกูลกลับมาไม่ได้ เห็นทีคงไม่มีหน้าไปพบบรรพบุรุษที่ปรโลกแล้วกระมัง...

 

ใต้เท้าคิมกินไม่ได้ นอนไม่หลับมาระยะใหญ่แล้ว เรื่องนี้เพิ่งจะถึงหูของลีจีซองเมื่อเช้าจากการบอกเล่าของข้ารับใช้ที่คฤหาสน์ของใต้เท้า ดังนั้นเขาจึงรีบเร่งจัดยาและสั่งให้ยองแจรีบนำไปให้ถึงที่ หากแต่อาการกินไม่ได้ นอนไม่หลับของใต้เท้าคิวหาได้เกี่ยวข้องกับสุขภาพเลยแม้แต่น้อย ทว่าเป็นเพราะมีสิ่งหนึ่งที่รบกวนใจเขาไม่หยุดหย่อนต่างหาก

มันรบกวนใจเขา...ตั้งแต่ได้ยินข่าวว่าชายบ้าใบ้ในโรงหมอ แท้จริงแล้วไม่ได้บ้าใบ้

แต่เรื่องนั้นก็หาได้สำคัญเท่ากับการที่เขาไม่รู้ภูมิหลังของชายคนนั้นเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังกังขาว่าเหตุใดลีจีซองถึงต้องโกหกเขาว่าบุรุษผู้นั้นเป็นทั้งบ้าทั้งใบ้ด้วย

มีสิ่งใดปิดบังอยู่หรือไร?

ความหวาดระแวงในตัวของอดีตชายบ้าใบ้คนนั้นพร่างพรายกัดกินใจมากทีเดียว ขณะเดียวกันความกังวลกับท่าทีของลีจีซองที่เมินเฉยต่อการเชื้อชวนไปพูดคุยกับเหล่าขุนนางขี้เมา ก็ทำให้เขาวิตกเช่นกัน

ท่านหมอควรมีท่าทีอะไรสักอย่างสิ ไม่ใช่เมินเฉยเช่นนี้...

และเพราะคิดอย่างนั้น เมื่อพบหน้ายองแจที่เอาโอสถมาให้ ใต้เท้าคิมก็ยืนกรานเสียงแข็งทันทีว่าจะไปขอบคุณท่านหมอถึงที่ให้จงได้ แม้ว่ายองแจจะย้ำแล้วย้ำอีกว่าไม่ต้อง เพราะลีจีซองกำชับมาเด็ดขาดว่าห้ามให้ใต้เท้าคิมมาที่โรงหมอเด็ดขาด ด้วยรู้ดีว่าหากใต้เท้าคิมมาที่โรงหมอเมื่อไร เมื่อนั้นจะต้องมีเรื่องมากวนใจเขาทุกที

แต่เด็กรับใช้โรงหมอจะไปสู้อะไรขุนนางชั้นผู้ใหญ่กันได้เล่า ในเมื่อใต้เท้าคิมดึงดันจะมา ยองแจก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากวิ่งตามต้อยๆ ขอร้องระคมห้ามปรามไม่ให้ผู้อาวุโสกว่าไปรบกวนท่านหมอในเวลาปิดทำการเช่นนี้

ทว่า...จนแล้วจนรอด ใต้เท้าคิมก็มาถึงโรงหมอจนได้

ยองแจรีบต้อนรับใต้เท้าคิมด้วยการจัดที่นั่งให้ ก่อนจะวิ่งหน้าตั้งไปยังที่พัก เคาะประตูเรียกท่านหมอที่กำลังอ่านตำราการแพทย์อยู่ในห้องหนังสือ รายงานสถานการณ์อย่างรวดเร็ว

“แย่แล้วขอรับท่านหมอ ใต้เท้าคิมอยู่ที่นี่แล้วขอรับ”

ได้ยินอย่างนั้น ลีจีซองก็วางตำราในมือลง รีบร้อนออกมาต้อนรับทันใด

ร่างโปร่งของหมอหนุ่มปรากฏสู่สายตา ใต้เท้าคิมก็แย้มยิ้ม ขณะที่อีกฝ่ายโค้งตัวลงต่ำทำความเคารพเมื่อมาหยุดตรงหน้าอีกฝ่าย

“ลำบากใต้เท้าคิมต้องมาเยือนโรงหมอต่ำต้อยของข้าแล้ว”

ใต้เท้าคิมรีบลุกขึ้นยืน โบกไม้โบกมือเป็นเชิงให้ชายหนุ่มเลิกคำนับเขา

“หามิได้ท่านหมอ ข้าต้องขออภัยด้วยที่มารบกวนในยามวิกาล เห็นท่านหมอให้เจ้าเด็กนั่นเอาโอสถไปให้ข้าเพราะเป็นห่วงที่ข้ากินไม่ได้ นอนไม่หลับ ข้าเลยมาขอบคุณท่านหมอด้วยตนเอง”

“ไม่เห็นต้องลำบาก ข้าเป็นหมอประจำตัวของใต้เท้า ย่อมไม่เพิกเฉยต่ออาการป่วยของท่านอยู่แล้ว”

เรื่องนั้นใต้เท้าคิมรู้ หมออย่างลีจีซองเคยเพิกเฉยต่อคนป่วยที่ไหนบ้างเล่า แต่ที่เขามาหาถึงที่เช่นนี้เป็นเพราะเขามีเรื่องอยากจะถามต่างหาก

“ขอบน้ำใจท่านหมอมาก แต่อันที่จริงที่ข้ามาหาถึงที่ เป็นเพราะข้ามีเรื่องไม่สบายใจอยู่เล็กน้อย ใคร่จะถามท่านหมอให้กระจ่างเสียหน่อย”

ลีจีซองจับจ้องยังใบหน้าคร้ามครันของชายวัยกลางคน เขาพอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายหมายจะถามถึงสิ่งใด และก็ใช่เสียด้วยเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยปาก

“ได้ยินชาวบ้านลือกันไปว่าชายบ้าใบ้ของโรงหมอ แท้จริงแล้วไม่ได้บ้าใบ้ เรื่องนี้จริงหรือเท็จอย่างไรหรือ”

ลีจีซองยกยิ้มน้อยๆ ไม่ตอบไปตามตรง

“ข่าวลือก็คือข่าวลือ ใต้เท้าได้ยินมาเช่นไร แล้วอยากจะเชื่ออย่างไร สุดแล้วแต่ใจของใต้เท้า”

ใต้เท้าคิมพยักหน้า ถึงจะไม่ตามตรง แต่เขาก็พอจะเดาได้

เรื่องที่ชายผู้นั้นเป็นบ้าใบ้...เป็นเรื่องเท็จจริงๆ ด้วย

“แล้วชายผู้นั้นมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไรหรือ”

“จีทง” ลีจีซองเลี่ยงที่จะไม่ตอบไม่ได้ เมื่อเห็นใต้เท้าคิมพยักหน้าอีกครั้ง พลันก็เปลี่ยนเรื่อง “ใต้เท้าคงไม่ได้มาหาข้าถึงโรงหมอเพียงเพราะสงสัยเรื่องของจีทงอย่างเดียวกระมัง”

ถูกชายหนุ่มรุ่นลูกรู้ทัน ใต้เท้าคิมก็หัวเราะ และใช่... เขาไม่ได้มีแค่เรื่องนี้ เรื่องของชายบ้าใบ้นั่นก็แค่ส่วนหนึ่ง แต่เรื่องที่ใหญ่กว่าก็คือ...

“ข้าอยากจะมาเชิญท่านหมอให้ไปที่หอคณิกาสักครา”

ไม่ได้ไปเที่ยวให้สำราญใจ แต่เป็นเพราะเรื่อง...

“ตั้งแต่เกิดเรื่องในครั้งนั้น ราชสำนักวุ่นวายมากทีเดียว ข้าเลยหมายจะให้ท่านหมอไปหารือกับเหล่าขุนนางขี้เมาสักครั้ง”

ลีจีซองก็พอจะเดาได้อยู่แล้วว่าจะต้องเป็นเรื่องนี้ แม้ว่าใต้เท้าคิมจะไม่ได้มาตอแยให้เขาไปเข้าร่วมหารือนับตั้งแต่ถูกเชื้อเชิญในครั้งนั้น แต่เขาก็รู้ว่าสักวัน ใต้เท้าคิมก็ต้องมาชวนเขาอีก ซึ่งย่อมแน่ว่าครั้งนี้เขาจะปฏิเสธ

“ข้าไม่...”

“อย่าปฏิเสธอีกเลยท่านหมอ เพราะครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องที่เราจะอยู่เฉยได้อีกแล้ว”

เรา... ในทีนี้ไม่ได้หมายถึงแค่ใต้เท้าคิมกับลีจีซองแน่ คนฟังรู้

“ข้าเป็นหมอ ไม่ใคร่ข้องเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวาย ขอใต้เท้าคิมโปรดเข้าใจ”

“แต่นี่เป็นเรื่องใหญ่นะท่านหมอ”

ยิ่งพูด ใต้เท้าคิมก็ยิ่งว่าเสียงเครียด ลีจีซองถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เขาจะต้องปฏิเสธอีกสักเท่าไรกัน อีกฝ่ายถึงจะเข้าใจว่าเขาไม่อยากเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

“แต่ข้า...”

“ท่านจะปล่อยให้เรื่องคอขาดบาดตายนี้เป็นเพียงฝุ่นผงธุลีที่ปลิวผ่านหน้าท่านไปโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไรอย่างนั้นจริงๆ หรือ”

เห็นลีจีซองจะปฏิเสธอีก ใต้เท้าคิมก็รีบสวน

“เรื่องนี้ข้าไม่อยากเกี่ยวข้องจริงๆ”

“แต่ท่านหมอก็รู้ใช่หรือไม่ว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ราชสำนักวุ่นวายกันถึงเพียงนี้ ทางต้าหมิงก็ไม่พอใจเป็นอย่างมาก หากแก้ปัญหาไม่ได้ ถึงขั้นเกิดศึกกันได้เลยนะ”

“...”

“ย่อมแน่ว่าคนที่เดือดร้อนคือชาวบ้าน ท่านจะปล่อยให้เป็นไปอย่างนั้นจริงๆ หรือ”

“...”

“และอีกอย่าง องค์หญิงเยจีน่ะ เป็นถึง...”

“ใต้เท้าคิม...”

ก่อนที่ใต้เท้าคิมจะได้พูดอะไรต่อ ลีจีซองก็โพล่งขึ้นมาเสียแล้ว ความเงียบเข้าครอบงำพร้อมกับสีหน้าของท่านหมอที่ดูเคร่งเครียดไปทันตา ก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงพ่นลมหายใจของหมอหนุ่มราวกับว่าจำนนในสิ่งที่กำลังเผชิญ

“ก็ได้ ในเมื่อใต้เท้าอยากให้ข้าไปร่วมหารือ ข้าก็จะไปสักครั้งแล้วกัน”

ใต้เท้าคิมยกยิ้มขึ้นมาอย่างดีใจ ในที่สุดเขาก็หว่านล้อมหมอหนุ่มผู้นี้ให้คล้อยตามได้เสียที

“เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะให้เด็กรับใช้มาส่งข่าวว่านัดหมายกันที่ใด เมื่อไร หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้พบท่านหมอ คืนนี้คงไม่รบกวนแล้ว ข้าขอลา”

เมื่อความตั้งใจของตนประสบความสำเร็จ ใต้เท้าคิมก็ไม่อยู่รั้งรออีกต่อไป รีบลากลับ ปล่อยให้ท่านหมอได้มองตามหลังพร้อมกับความหนักอึ้งในใจที่ตนมิอาจหลีกเลี่ยง

องค์หญิงเยจี...

ไม่ว่าอย่างไรเขาก็มิอาจหนีพ้นเลยใช่ไหม

 

ขณะเดียวกันภายในห้องนอนของแม่ทัพแห่งต้าหมิง จ้าวจื่อถงได้ยินเสียงพูดคุยกันอยู่นานสองนานแล้ว ครั้นแอบลอบดูทางหน้าต่างก็พบว่าแขกที่มาเยือนโรงหมอยามวิกาลคือขุนนางแห่งราชสำนักโชซอน ทั้งสองพูดคุยกันเรื่องอะไร เขาได้ยินไม่ถนัดนัก อีกทั้งความชำนาญในภาษาโชซอนก็ใช่ว่าจะมากมายสักเท่าใด แต่ก็พอจะจับใจความได้อยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง... ชื่อของใครบางคนที่ช่างคุ้นหูเสียเหลือเกิน

องค์หญิงเยจี...

หรือว่าจะเป็นพระนามเดิมของพระสนมกุ้ยเฟย...เยว่ฉี?

จ้าวจื่อถงขมวดคิ้วมุ่น พลันก็ฉุกใจคิดขึ้นมาได้

บางทีนี่อาจจะเป็นความเมตตาจากสวรรค์ องค์หญิงเยจีนี่ล่ะที่จะเรียกเกียรติยศของวงศ์ตระกูลเขากลับมาล่ะ!

____________________________

แวะมาอัปเรื่องนี้บ้าง ไม่ได้อัปมานานละ ฮา

ต่อจากนี้คงได้อัปทุกวันละค่ะเพราะเขียนจะจบเรื่องละ ฝากติดตามด้วยเน้อ ไม่ดองแล้ววว

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
บทที่ 8: ขุนนางขี้เมา

เพราะคิดว่าองค์หญิงเยจีหรือพระสนมกุ้ยเฟยเยว่ฉีที่ถูกช่วงชิงตัวไปจะเป็นกุญแจสำคัญที่เรียกเกียรติยศของสกุลจ้าวกลับคืนมา ดังนั้นความตั้งใจที่ว่าจะกลับไปยังแผ่นดินต้าหมิงทันทีที่เดินได้ของจ้าวจื่อถงนั้นจึงเป็นอันต้องล้มเลิกไป

เรื่องจะกลับไปต้าหมิงน่ะ เมื่อไรก็กลับได้ แต่เรื่องที่พระสนมกุ้ยเฟยถูกช่วงชิงตัวไปจนเป็นเหตุให้บิดาเขาต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่ชายแดน เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่เขาต้องรู้ให้ได้ว่าใครกันแน่ที่เป็นตัวการ!

จ้าวจื่อถงเก็บงำความสงสัยต่างๆ ไว้ในใจ ไม่แพร่งพรายออกไปให้ใครรับรู้ แม้แต่จะถามก็ไม่เอ่ยปากถามเพราะเกรงว่าจะถูกระแคะระคาย เขารู้ว่าลีจีซองไม่ใช่คนเขลา หากเขาเอ่ยปากถามออกไปว่าเหตุใดใต้เท้าคิมถึงได้มาหาถึงโรงหมอในยามวิกาล มีหวังลีจีซองได้รู้ไปถึงข้างในกะโหลกของเขาแน่ว่าคิดจะทำการใดอยู่

แน่ล่ะว่าเขาจะล้างแค้นพวกที่ทำให้บิดาและสกุลของเขาต้องแปดเปื้อน และทำให้เขาต้องตกอยู่ในชะตากรรมเช่นนี้อยู่แล้ว ใครต่อใครเคยว่ากันไว้ว่าแม่ทัพจ้าวจื่อถงเป็นพวกสุนัขบ้า หากตั้งใจจะทำสิ่งใดแล้ว ย่อมกัดไม่ปล่อย เขาก็จะทำให้พวกกบฏทุรยศนี้ประจักษ์เองว่าที่ถูกขนานนามเช่นนั้น... ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น!

แม่ทัพหนุ่มต้องใช้ความพยายามในการอดทนมากทีเดียวที่จะไม่ถามสิ่งใดออกไป ขณะเดียวกันก็ลอบสังเกตท่าทางและพฤติกรรมของลีจีซองมากขึ้น สิ่งใดที่รู้สึกว่าเป็นพิรุธ เขาก็จะพยายามสืบเสาะให้ลึกลงไป แต่ถึงตอนนี้จะไม่ได้ข้อมูลอะไรมากนัก กระนั้นก็พอจะรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าท่านหมอที่เขาเห็นดูแลรักษาคนป่วยงกๆ อยู่ทุกวันตรงหน้านี้...ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน

ถึงไม่มีใครมาบอก แต่จ้าวจื่อถงก็รู้ว่าเป็นเช่นนั้น มีท่านหมอธรรมดาที่ไหนกันบ้างที่ขุนนางใหญ่โตจะมาตอแยคะยั้นคะยอให้ไปเข้าร่วมหารืออะไรนั่นหรือ...

ไม่ใช่หมอธรรมดาๆ อยู่แล้ว...

แต่ไม่ใช่อย่างไร จ้าวจื่อถงกำลังสืบอยู่ และดูเหมือนวันนี้คงจะได้เรื่องได้ราวสักที เพราะหลังจากที่โรงหมอปิดทำการลง ลีจีซองก็ไม่มาทำแผลให้เขาเช่นเคย แต่สั่งให้ยองแจมาทำแทน ส่วนตัวเองก็ผลุบหายออกไปจากโรงหมอ จ้าวจื่อถงพอจะเดาได้ว่าคงจะไปพบกับใต้เท้าคิมตามที่รับปาก เพราะเมื่อเช้าเห็นเด็กรับใช้จากคฤหาสน์ของใต้เท้าคิมนำกระดาษเขียนข้อความบางอย่างมามอบให้อยู่

นับว่าเป็นสัปดาห์ทีเดียวกว่าที่พวกเขาจะนัดหมายไปพบกันได้...

แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่ยองแจมายืนย่อคอ หดศีรษะอยู่ที่หน้าประตูห้องตั้งแต่เมื่อครู่ เมื่อเห็นสายตาคมกริบของแม่ทัพหนุ่มมองมา ยองแจก็สะดุ้งเฮือกทันควัน

“จะมัวมองอยู่อีกนานไหม รีบมาทำแผลให้ข้าเสียที”

ยองแจจึงรีบก้าวไวๆ ไปที่เตียงอย่างรวดเร็ว จัดการตระเตรียมข้าวของตามที่ท่านหมอได้สั่งกำชับไว้ทันใด

วันนี้จ้าวจื่อถงไม่ได้เปลื้องผ้า เขาเพียงแค่ปลดสายคาดเอวและคลี่อาภรณ์ออกจากตัวเล็กน้อยเพื่อให้อีกฝ่ายทำแผลได้สะดวก

อันที่จริง...ก็ไม่ได้สะดวกนักหรอก เพราะบาดแผลสุนัขกัดนั้นอยู่ทางด้านใน แต่ยองแจก็ไม่กล้าพูดสิ่งใดออกไป ได้แต่ปิดปากเงียบทำหน้าที่ของตนเท่านั้น ขณะเดียวกัน จ้าวจื่อถงเองก็ไม่ได้อยากให้เด็กนี่มาทำแผลให้สักเท่าไร

เขาเผยโฉมหน้ามังกรน้อยให้ลีจีซองเห็นไปเต็มสองตาแล้ว เรื่องอะไรที่เขาจะต้องให้เด็กรับใช้นี่เห็นอีกด้วยเล่า!

การทำแผลเลยเป็นไปอย่างไม่ค่อยราบรื่นเท่าไรนัก ยองแจเองก็เกร็งเสียจนตัวแข็งไปหมด และเกร็งมากขึ้นไปอีกเมื่อจู่ๆ จ้าวจื่อถงก็ชวนคุยขึ้นมา

“วันนี้มีอะไรพิเศษอย่างนั้นหรือ ท่านหมอถึงไม่อยู่โรงหมอ”

คนถูกถามมองหน้าอีกฝ่ายเลิ่กลั่ก ตะกุกตะกักขึ้นมาฉับพลัน

“คะ...คือ...”

“ข้าถามว่ามีอะไรพิเศษ เจ้าก็แค่ตอบมา จะอึกอักทำไม”

ก็ต้องอึกอักสิ ร้อยวันพันปีไม่เคยชวนคุย ตั้งแต่ฟังพูดภาษาโชซอนได้ก็ไม่เคยปริปากพูดกับเขาด้วยซ้ำ ก่อนหน้านี้มีแต่ก่นด่า ตะคอก ตวาด ครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำที่พูดคุยกันดีๆ

...คิดว่าดีกระมังเพราะหลังจากนั้น จ้าวจื่อถงก็ดุขึ้นมาอีกแล้ว

“ยังไม่รีบบอกข้าอีก!”

ยองแจสะดุ้งเฮือก รีบพูดออกไปด้วยความรวดเร็ว

“ทะ...ท่านหมอไปพบปะสหายขอรับ”

“สหายหรือ”

ยองแจพยักหน้าเร็วๆ

“ใต้เท้าคิมนับว่าเป็นสหายของท่านหมอหรือ”

ถ้านับด้วยอายุที่ค่อนข้างห่างกันอยู่โข อีกทั้งลีจีซองก็ไม่ใช่พวกขุนนางแต่อย่างใด ดูแล้วก็ไม่น่าจะเป็นสหายกันสักเท่าไรหรอก แต่ที่ยองแจบอกไปอย่างนั้นเป็นเพราะคำสั่งของลีจีซองต่างหาก เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่ม ความรู้ก็ไม่มี ไหวพริบปัญญาก็ตื้นเขิน จะไปรู้เท่าทันเชาว์ของคนตรงหน้าได้อย่างไร

“ปะ...เป็นสหายขอรับ”

ตอบไปอีกครั้งก็เท่ากับย้ำว่าสิ่งที่บอกไม่ใช่เรื่องจริง แต่จ้าวจื่อถงก็หาได้โวยวายสิ่งใด

โกหกก็โกหกไปสิ เรื่องนั้นไม่ได้สำคัญเท่ากับเรื่องอื่นที่เขาอยากรู้

“แล้วทั้งสองไปพบปะกันยังที่ใด เจ้ารู้หรือไม่”

ยองแจส่ายหน้ารัว จ้าวจื่อถงหรี่ตา ก่อนจะสบโอกาสคว้าคอเสื้อของอีกฝ่ายมาขยุ้มไว้ในอุ้งมือ

“จะบอกข้าดีๆ หรือจะต้องให้ข้ารีดเค้นคอเจ้าเอาคำตอบ”

ยองแจไม่รู้หรอกว่าจ้าวจื่อถงจะอยากรู้ไปทำไม แต่ดูจากท่าทางของอีกฝ่ายแล้ว หากเขาไม่บอก เห็นทีได้คอแหลกคามือของแม่ทัพหนุ่มแน่ ถึงแม้ว่าลีจีซองจะกำชับว่าห้ามบอก เขาก็ลืมสิ้นเพราะรักตัวกลัวตายมากกว่า

“ปะ...ไปที่หอคณิกาขอรับ!”

สิ้นเสียง จ้าวจื่อถงก็ปล่อยมือออกทันที ยองแจถอยกรูดออกห่าง ขณะที่แม่ทัพหนุ่มยิ้มกริ่ม

“พูดง่ายๆ อย่างนี้แต่แรกก็สิ้นเรื่อง”

ยองแจหน้าซีดเผือด เขาเพิ่งตระหนักในตอนนี้ว่าได้บอกในสิ่งที่ไม่ควรบอกออกไปแล้ว จ้าวจื่อถงมองก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายหวั่นใจกับสิ่งใด

คงจะเกรงว่าลีจีซองจะดุ บ่าวย่อมคิดอย่างบ่าว ดังนั้นเขาจึงแสร้งพูดให้อีกฝ่ายสบายใจ

“ข้าก็แค่อยากรู้เท่านั้นว่าไปไหนกัน ก็ไม่แปลก ใต้เท้าคิมก็ดูเจ้าสำราญ ท่านหมอของเจ้าถึงจะดูเฉยชา แต่อย่างไรเสียก็เป็นบุรุษ ไปหาความสำราญกับเหล่าหญิงสาวที่นั่นก็เป็นเรื่องปกติ หมดธุระกับข้าแล้ว เจ้าก็ไปเถิด ข้าจะได้พักผ่อน”

โบกมือไล่ตบท้ายเสียเลย ยองแจเห็นว่าไม่น่าจะมีเรื่องใดให้หนักใจ จึงไม่อยู่ให้เห็นหน้าอีก รีบเก็บข้าวของแล้วหุนหันออกจากห้องนอนของท่านแม่ทัพไปทันที ปล่อยให้จ้าวจื่อถงขบคิดอะไรบางอย่างตามลำพัง

หอคณิกาอย่างนั้นหรือ...

ต้องมีอะไรที่ใครก็รู้ไม่ได้แน่ ถึงได้ใช้สถานที่เช่นนั้นเป็นตบตาคนอย่างนี้

 

แม้คนนอกอาจจะไม่ระแคะระคายสงสัย แต่คนที่เติบโตมาในตระกูลขุนนางอย่างเขาย่อมรู้เท่าทันความคิดของขุนนางด้วยกัน เพราะสิ่งที่จ้าวจื่อถงคาดคะเนนั้นคือเรื่องที่ถูกต้อง เหล่าขุนนางขี้เมาที่ไปสังสรรค์ชวนหัวกันที่หอคณิกาล้วนแล้วเป็นการตบตาทั้งสิ้น เพราะแท้จริงแล้วเป้าหมายของพวกเขาหาใช่การหาความสำราญตามประสาบุรุษ หรือดื่มสุราจนเมามายให้เป็นที่ครหาว่าเป็นขุนนางต่ำช้า ไม่เอาการเอางาน หากแต่เป็นการพูดคุยกันในเรื่องที่มิอาจแพร่งพรายออกไปได้ แต่วันนี้ค่อนข้างจะแปลกไปจากทุกวันเสียหน่อย เพราะสิ่งที่พวกขุนนางแสร้งกระทำกันจนเป็นวิสัย ครานี้คือเรื่องจริง เหตุเพราะในวงสุรามีชายหนุ่มในอาภรณ์สีขาวมานั่งร่วมสนทนาอยู่ด้วย

สุราชั้นดีจอกแล้วจอกเล่าถูกรินให้แก่ลีจีซองที่นั่งสำรวมอยู่ยังหัวโต๊ะ ขณะที่เหล่าขุนนางพวกนั้นพากันร้องรำชวนคุยครื้นเครง บ้างก็หยอกล้อนางคณิกาให้เป็นที่ชวนหัว ด้วยการมาร่วมวงสุราของลีจีซองนั้นนับว่าเป็นเรื่องที่ดี อีกทั้งยังเป็นฤกษ์ดีสำหรับแผนการของพวกเขาอีกด้วย

ครั้นดื่มต้อนรับและพูดคุยกันจนได้ที่ เวลาล่วงผ่านเข้าสู่ช่วงดึก ใต้เท้าคิมซึ่งเป็นหัวหอกก็ออกปากไล่นางคณิกาที่ปรนนิบัติพัดวีอยู่ออกไป ประตูบานเลื่อนถูกเลื่อนปิด เสียงหัวเราะพูดคุยครื้นเครงเมื่อครู่ก็ค่อยๆ ทุเลา เหลือเพียงความเงียบงันที่เข้ามาแทนที่ หากกระนั้นก็ยังมีรอยยิ้มประดับพรายอยู่บนใบหน้าของเหล่าขุนนางพวกนั้น

การมาของลีจีซองเป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ...

“ไม่คิดไม่ฝันว่าท่านหมอจะยอมลดตัวลงมาร่วมวงสุรากับพวกข้า สวรรค์ช่างมีตา ฟ้าช่างมีใจจริงๆ”

ขุนนางผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น ใบหน้าแดงก่ำจากฤทธิ์สุราฉาบไปด้วยรอยยิ้ม ขณะที่คนอื่นๆ ร้องเห็นด้วยกันอย่างพร้อมเพรียง

“นั่นสิ ข้าก็หลงคิดไปแล้วว่าใต้เท้าคิมไร้ซึ่งน้ำยา เห็นทีจะต้องมองใต้เท้าใหม่แล้ว”

ใครอีกคนว่าขึ้นหยอกล้อ คำพูดคำจาบ่งบอกชัดเจนว่าสนิทสนทกันเป็นอย่างดี หากแต่นั่นก็หาได้ทำให้ลีจีซองรื่นเริงเลยแม้แต่น้อย เขาค่อนข้างอึดอัดใจเสียมากกว่า ได้แต่พยักหน้ารับ ปากพึมพำอยู่เพียงประโยคเดียวเท่านั้น

“หามิได้ ใต้เท้าพูดเกินไปแล้ว”

คำพูดถ่อมตัวทำให้ขุนนางผู้หนึ่งร้องเสียงดังออกมา

“พูดเกินไปอะไรกัน ข้าพูดถูกต้องแล้ว ใครๆ ในโต๊ะนี้ก็รู้กันถ้วนหน้า ว่าท่านหมอน่ะ เป็น...”

“อย่ามัวพูดเรื่องไร้สาระกันอยู่เลย เข้าเรื่องกันเถิด ท่านหมอไม่ว่างจะมาฟังพวกขุนนางขี้เมาเช่นพวกเจ้าทั้งคืนหรอกนะ”

เพราะรู้ว่าขุนนางคนนั้นจะพูดอะไรจึงรีบขัด เรื่องนี้มิควรพูดออกมา เพราะหากพูดแล้วใครมาได้ยินเข้า มีหวังพวกเขาได้เดือดร้อนกันแน่

ขุนนางทั้งหลายก็เหมือนจะตระหนักได้ในตอนนี้ว่าสรวลเสเฮฮามากจนเกินงาม พลันก็ต่างพากันสำรวมกิริยา เปิดทางให้ใต้เท้าคิมได้พูดคุยธุระสำคัญ

“ที่ข้าและสหายเชิญท่านหมอมาร่วมวงสุราในวันนี้ ก็เพื่อจะพูดเรื่อง...”

“องค์หญิงเยจี ข้ารู้แล้ว...”

ลีจีซองเอ่ยขัด ไม่มีผู้ใดกล้าแทรกขึ้นมา ขณะที่ริมฝีปากของหมอหนุ่มหยักขึ้นเล็กน้อย

“ว่ามาเถิดใต้เท้า รีบคุยธุระให้เสร็จ ข้าจะได้กลับ”

รับรู้ได้ทันควันว่าลีจีซองไม่ค่อยอยากจะอยู่ที่นี่นานสักเท่าไรนัก

แน่ล่ะ หอคณิกาไม่ใช่สถานที่ที่เขานิยมชมชอบ ไม่ใช่ว่าเหล่าสตรีในหอคณิกานี้จะไม่งดงาม พวกนางล้วนงดงามมาก แต่เขาก็มิใคร่จะกกกอดพวกนางสักเท่าไร ด้วยทุกครั้งที่เขามาเยือนที่นี่ ล้วนแล้วเป็นเพราะต้องมารักษาอาการเจ็บไข้ของพวกนางทั้งนั้น

ส่วนอาการเจ็บไข้น่ะหรือ...

...พวกโรคติดต่อทางเพศอย่างไรล่ะ

ใต้เท้าคิมสังเกตเห็นอาการของลีจีซองก็ไม่ยืดเยื้ออีกต่อไป รู้ดีแก่ใจว่าหมอหนุ่มไม่ใคร่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ดังนั้นเขามีเวลาไม่มากนักที่จะหว่านล้อมให้อีกฝ่ายยอมคล้อยตาม

“เรื่ององค์หญิงเยจีที่ถูกส่งตัวไปเป็นเครื่องบรรณาการของจักรพรรดิต้าหมิง ข้ารู้ว่านางถูกใครช่วงชิงไป”

ลีจีซองไม่แสดงท่าทีตกใจออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย เขาไม่รู้หรอกว่าใครช่วงชิงนางไป แต่ก็พอจะเดาได้ว่าใต้เท้าคิมและขุนนางคนอื่นๆ หมายจะพูดเรื่องนี้ แต่ทว่า...

“แล้วอย่างไรหรือ”

ใช่...แล้วอย่างไรล่ะ เขาเป็นเพียงแค่หมอ มาบอกเขาเรื่องนี้แล้วได้ประโยชน์ใด

พอเอ่ยไปอย่างนั้น ขุนนางต่างก็มองหน้ากัน พลันขุนนางผู้หนึ่งก็ว่าขึ้น

“ท่านหมอไม่คิดจะถามหน่อยหรือว่าผู้ใดช่วงชิงพระนางไป”

ลีจีซองไม่ตอบ แต่นั่นคือคำตอบแล้วว่า ‘ไม่’ มิหนำซ้ำเขายังบ่ายเบี่ยงด้วยการยกจอกสุราขึ้นจิบ เป็นที่ให้น่าหนักใจของเหล่าขุนนางตรงหน้ายิ่งนัก

ดูเหมือนว่าการดึงลีจีซองเข้ามาเป็นพรรคพวกค่อนข้างจะยากน่าดูชม เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาพยายามหว่านล้อมให้ลีจีซองยอมร่วมมือ นับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่หมอหนุ่มก็หาได้สนใจเลยแม้แต่น้อย จนใต้เท้าคิมซึ่งเป็นผู้เชิญหมอหนุ่มมาต้องระบายลมหายใจออกมาเต็มแรง ก่อนจะยอมเปิดปากพูดด้วยถูกสายตาของสมัครพรรคพวกจ้องมองอย่างกดดัน

“ข้ารู้ว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้ท่านหมออึดอัดใจ แต่ท่านหมอ... ขอร้องล่ะ พวกข้าดำเนินการใดๆ ไม่ได้หากไม่ได้รับความร่วมมือจากท่าน”

“แต่ข้าเป็นเพียงแค่หมอ จะไปช่วยพวกท่านดำเนินการตามแผนใดๆ ได้”

ลีจีซองยังคงแสร้งทำเป็นไม่รับรู้ ก่อนจะต้องเงียบไปเมื่อถูกตอกหน้ากลับมา

“ถึงท่านจะบอกว่าตนเป็นแค่หมอ แต่สายเลือดของท่านมิอาจโกหกได้นะ”

สิ้นเสียง ใต้เท้าคิมก็พยักหน้าให้สหายคนหนึ่งนำของบางอย่างออกมาวางไว้บนโต๊ะ ลีจีซองเหลือบมองของในห่อผ้านั้นก็พอจะเดาได้ว่าคืออะไรแม้ไม่ต้องคลี่ห่อผ้าออกดู

รูปร่างสี่เหลี่ยม แกะสลักจากหินอ่อน...

ลีจีซองไม่แม้แต่จะสัมผัสมัน มิหนำซ้ำยังเหลือบตามองไปทางอื่นราวกับว่าไม่สนใจ ทำให้ใต้เท้าคิมต้องพูดขึ้นมาอีก

“สิ่งนี้เป็นของท่าน”

“มันไม่ใช่ของข้า”

“มัน ‘สมควร’ ที่จะเป็นของท่าน”

คำว่า ‘สมควร’ ตอกย้ำให้ลีจีซองตระหนักถึงชาติกำเนิดของตนเอง

ชาติกำเนิด...ที่เขาไม่เคยต้องการเลยแม้แต่น้อย

แต่เขาไม่เข้าใจนักว่าเหตุใดผู้อื่นถึงได้พยายามยัดเยียดให้เขายอมรับชะตากรรมอันแสนวิปโยคนี้

หมอหนุ่มจึงเลี่ยงที่จะสงวนถ้อยคำแทน รู้ว่าต่อให้ปฏิเสธไปก็จะถูกยัดเยียดสิ่งที่เขาไม่ต้องการมาอีก อะไรไม่ว่า บัดนี้เขาประจักษ์แล้วว่าเขาตกหลุมพรางของจิ้งจอกเฒ่าอย่างใต้เท้าคิม

ไหนว่าจะให้เขามาหารือเรื่ององค์หญิงเยจีอย่างเดียวอย่างไรล่ะ ไฉนถึงได้มาพูดเรื่องอื่นเช่นนี้?

“พวกข้าต้องการให้ท่านช่วยเหลือ แผนการของพวกข้าจะดำเนินไปไม่ได้ หากไม่มี...”

“ใต้เท้าคิม” ก่อนที่ใต้เท้าคิมจะพูดจบ น้ำเสียงแหบห้าวของหมอหนุ่มก็ดังขึ้นเสียก่อน “ข้ามาที่นี่ก็เพราะท่านบอกว่าต้องการพูดคุยเรื่ององค์หญิงเยจี ดังนั้นข้าก็จะมาคุยเรื่องของพระนางเท่านั้น”

สายตาคมกริบของหมอหนุ่มจับจ้องไปยังใบหน้าคร้าม แล้วจะมีผู้ใดกล้าแย้งสิ่งใดอีกเล่า ได้แต่มองหน้ากันแล้วจำยอมอย่างไร้ทางเลือก

“ตกลงว่าพระนางถูกใครช่วงชิงตัวไป”

ลีจีซองถามขึ้นอีกครั้ง ใต้เท้าคิมที่จึงต้องยอมตอบไปตามตรง

“ผู้ใดที่หมายจะทำลายหนามยอกอก ก็เป็นฝีมือของคนผู้นั้นแหละท่านหมอ”

หนามยอกอก...

ลีจีซองนึกถึงใบหน้าของใครบางคนขึ้นมาฉับพลัน เขาไม่ค่อยแปลกใจนักที่ใครคนนั้นคิดชั่วอย่างนี้ แต่ก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าจะอุกอาจถึงขั้นลงมือกระทำในสิ่งที่เป็นภัยต่อแผ่นดิน

คนผู้นั้นขาดเขลาหรือไร...

หรือว่า...จงใจให้เป็นเช่นนั้นเพราะหมายจะให้องค์จักรพรรดิเดือดร้อน?

อดคิดอย่างนี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย พลันในใจก็เป็นห่วงขึ้นมา

“แล้วตอนนี้องค์หญิงเยจีประทับอยู่ที่ใด”

“พวกข้าเองก็ยังไม่รู้แน่ชัด กำลังให้คนสืบเสาะกันอยู่ ได้ความว่าอย่างไร จะมาบอกท่านหมอให้ทราบอีกครั้ง”

“ข้าหวังว่าพระนางจะปลอดภัย”

เหล่าขุนนางเองก็หวังให้เป็นอย่างนั้นเช่นกัน เพราะบัดนี้องค์หญิงเยจีไม่ใช่องค์หญิงของโชซอนอีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นถึงพระสนมกุ้ยเฟยแห่งต้าหมิง หากพระนางเป็นอะไรไป แผ่นดินโชซอนคงได้ลุกเป็นไฟแน่ เพราะแค่เกิดเรื่องนี้ขึ้น ราชสำนักก็วุ่นวายใหญ่โตแล้ว

“แล้วองค์จักรพรรดิล่ะ ทรงว่าอย่างไรบ้าง”

พลันลีจีซองก็อดนึกเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้ และก็ไม่แปลกหากเขาจะถามเช่นนี้ ใครต่อใครในราชสำนักฝ่ายในต่างรู้โดยทั่วกันว่าลีจีซองเป็นที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิเพียงใด ความสนิทสนมย่อมมี ความไว้พระทัยก็ย่อมมากเช่นกัน ก่อนที่ใต้เท้าคิมจะเป็นฝ่ายไขความกระจ่างให้

“ตั้งแต่เกิดเรื่องก็ทรงประชวร ไม่ได้ออกว่าราชการมาหลายวันแล้ว”

เท่านั้นลีจีซองก็ย่นคิ้วพลัน “ประชวรหรือ”

ใต้เท้าคิมพยักหน้า “ใช่ แต่ท่านหมอไม่ต้องเป็นห่วง หมอหลวงได้ดูแลรักษาพระอาการแล้ว ตอนนี้พระอาการดีขึ้นมาก”

ลีจีซองหายใจโล่งอกทันควัน เขาชักจะเคร่งเครียดขึ้นมาแล้วสิ

“นอกจากประชวร มีเรื่องใดที่น่ากังวลใจอีกหรือไม่”

ใต้เท้าคิมเหลือบไปมองหน้าเหล่าสหาย เขาก็อยากบอกนั่นล่ะว่าไม่มี แต่ว่า...

“ว่ากันตามตรงนะท่านหมอ”

“...”

“มี”

“เรื่องใดหรือ”

“การถูกกล่าวหาจากต้าหมิงว่าเป็นกบฏ ทำให้ราชบัลลังก์สั่นคลอนถึงเพียงนี้ ท่านคิดว่ามีเรื่องใดน่ากังวลกันล่ะ”

ลีจีซองไม่พูด เขานิ่งไปครู่ใหญ่ทีเดียว จนใต้เท้าคิมว่าออกมาอีก

“เพราะเหตุนี้ พวกข้าถึงนิ่งเฉยไม่ได้”

“...”

“มีเพียงท่านผู้เดียวที่สามารถช่วยเหลือได้ ท่านเท่านั้น ในราชสำนักไม่มีผู้ใดที่องค์จักรพรรดิไว้พระทัยได้อีกแล้ว”

เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่จริงๆ เสียด้วย นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้เหล่าขุนนางขี้เมาพวกนี้ร้อนอกร้อนใจ รีบคะยั้นคะยอให้เขาเข้าร่วมแผนการ แต่ถึงอย่างนั้น ลีจีซองก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวอยู่ดี นั่นก็เพราะ...

“แต่ข้าได้สาบานเอาไว้ด้วยชีวิตแล้วว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยว ข้าจะตระบัดสัตย์ไม่ได้”

...คำสาบาน เลือดเนื้อที่เขาสละไปในการสาบานครั้งนั้นศักดิ์สิทธิ์เกินกว่าที่จะทำให้เขากลับคำพูดได้

สำคัญกว่านั้นก็คือ... เขาไม่ต้องการให้เกิดการสูญเสียอีก

ไม่ต้องการอีกแล้ว...

เป็นอย่างนี้แล้วเหล่าขุนนางขี้เมาจะทำอะไรกันได้เล่า ได้แต่พากันถอนหายใจด้วยอับจนหนทาง

“เช่นนั้นก็สุดแล้วแต่ใจท่านแล้วกันท่านหมอ พวกข้าจนปัญญาที่จะหว่านล้อมท่านแล้วเช่นกัน”

“ข้าต้องขออภัยหากทำให้พวกท่านผิดหวัง”

ลีจีซองค้อมศีรษะลงต่ำ ก่อนจะตัดบทด้วยไม่อยากรับรู้สิ่งใดไปมากกว่านี้แล้ว

“หมดธุระแล้ว ข้าต้องขอตัวก่อน ดึกมากเพียงนี้ ข้าต้องพักผ่อน พรุ่งนี้มีธุระมากมายที่ต้องสะสาง”

สิ้นเสียงก็ผุดลุกจากไป ทิ้งให้เหล่าขุนนางขี้เมาต่างพากันถอนหายใจอย่างพร้อมเพรียง

“แม้แต่ชีวิตขององค์หญิงเยจีก็มิอาจทำให้ท่านหมอเปลี่ยนใจได้”

“เห็นทีว่าคงต้องปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระดานหมากของ ‘เจ้านั่น’ แล้วล่ะ เช่นนั้นก็อย่าไปสนใจเลย เป็นขุนนางขี้เมา ใช้ชีวิตเสเพลไปวันๆ แล้วกัน เอ้า ดื่มๆ”

สุราถูกเทลงจอกอีกครั้ง เหล่าขุนนางดื่มกินเฮฮา กลบเกลื่อนความตึงเครียดที่ยังคงลอยอบอวลอยู่รอบกาย ขณะที่ใต้เท้าคิมได้แต่ถือจอกสุราขึ้นมาไว้ในมือ ในหัวคิดถึงแต่ใบหน้าของหมอหนุ่มไม่หยุด

ท่านหมอ... มีแต่ท่านผู้เดียวเท่านั้นที่จะยุติเรื่องนี้

จะต้องทำอย่างไรให้ท่านเปลี่ยนใจได้กัน...

 

ลีจีซองจะไม่มีวันเปลี่ยนใจ!

แม้ว่าสิ่งที่เขาได้ฟังมาจะรบกวนจิตใจเขาอยู่หลายวันก็ตาม ท่าทางเฉยเมยที่ดูราวกับว่าไม่เป็นห่วงชะตากรรมขององค์หญิงเยจีอย่างนั้นหรือ... แท้จริงแล้ว เขาเป็นห่วงจนแทบสิ้นสติเลยต่างหาก แต่จะทำสิ่งใดได้ล่ะ ในเมื่อเขาได้เอ่ยคำสาบานออกมาแล้ว

สายตาของหมอหนุ่มเหลือบมองไปยังรอยแผลเป็นบนปลายนิ้วชี้ข้างซ้าย

รอยแผลเป็นนั่น... เป็นหลักฐานว่าเขาจะไม่ยุ่งเกี่ยวสิ่งใดของราชสำนัก

และเป็นหลักฐาน... ว่าเขาไม่ได้เป็นคนจากที่นั่น

แต่ดูเหมือนอดีตในวันวานจะตอกย้ำให้เขารำลึกถึงอยู่เรื่อยๆ เขายังคงจดจำได้ดีว่าในวันที่มารดาของเขาหมดลมหายใจ ความเจ็บปวดรวดร้าวปานจะขาดใจตายมันเป็นเช่นไร

และเขาก็กลัว...

กลัวว่าจะเกิดความรู้สึกนี้อีก...

ดังนั้นการอยู่ให้ห่างจากราชสำนักคือสิ่งที่ดีที่สุด

ทว่า...เขากลับอยู่ไม่สุขเอาเสียเลย กระสับกระส่ายทั้งวันจนสมาธิแตกกระเจิงไปหมด เมื่อครู่ที่กำลังคัดแยกโอสถแห้งกับยองแจ เขาก็เผลอคว่ำกระบุงจนโอสถหล่นกระจัดกระจายเต็มพื้นไปหมด

ท่าทางลุกลี้ลุกลน ใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนั่นทำเอายองแจสงสัย กระนั้นก็ไม่กล้าเอ่ยปากถาม เว้นเสียแต่จ้าวจื่อถงที่นั่งมองอยู่นานสองนาน พอเห็นว่าหมอหนุ่มที่มักจะมีท่าทางสงบนิ่งตลอดมีท่าทีงุ่มง่ามขึ้นมา ก็อดที่จะพูดออกมาไม่ได้

“มัวเหม่อคิดถึงนางคณิกานางไหนอยู่กันล่ะ ถึงได้ใจลอยเพียงนี้”

น้ำเสียงทุ้มเรียกให้สายตาคมกริบหันไปมอง พอเห็นว่าเป็นเสียงของจ้าวจื่อถง ลีจีซองก็แสร้งไม่สนใจ ทิ้งตัวลงช่วยยองแจเก็บโอสถใส่กระบุง

“หืม? พูดแล้วไม่พูดด้วย ทำไม กลัวว่าหากนางคณิกานางนั้นมาเยี่ยมเยียนถึงโรงหมอแล้วพบข้าเข้า นางจะมีใจให้ข้าหรือไร”

คำพูดอวดโอ้หลงตัวเองช่างไม่เข้าหูลีจีซองเอาเสียเลย ก็รู้อยู่หรอกว่าจ้าวจื่อถงเป็นชายหนุ่มรูปงาม แต่มันไม่ใช่อย่างที่เขาพูดเสียหน่อย

“ข้าไม่ได้คิดถึงนางคณิกานางไหน”

“แล้วสตรีนางไหนล่ะที่ทำให้ท่านใจลอย”

“ไม่มีสตรีนางไหนทั้งนั้นล่ะ”

จ้าวจื่อถงพยักหน้า ก่อนจะร้องอ๋อขึ้นมา

“หรือว่า...จะเป็นบุรุษ?”

คราวนี้ถูกสายตาของลีจีซองตวัดขวับไปมองดุๆ ทันใด ขณะที่จ้าวจื่อถงรู้สึกสาแก่ใจอยู่ไม่น้อยที่เขาได้เป็นฝ่ายยียวนหมอหนุ่มบ้าง... หลังจากถูกอีกฝ่ายยียวนกวนโมโหมานับครั้งไม่ถ้วน

“ข้าเพิ่งจะรู้ว่าท่านนิยมชมชอบบุรุษ”

ได้ทีก็ต้อนใหญ่ เห็นลีจีซองไม่พูด จ้าวจื่อถงก็ยิ่งได้ใจ

“หรือว่าที่ท่านเลี้ยงดูเจ้าเด็กกะหร่องนี่ไว้ก็เพราะหมายจะให้ปรนนิบัติท่านในห้องนอนด้วย?”

ว่าพลางพยักพเยิดไปที่ยองแจ ทำเอาเด็กหนุ่มหน้าแดงหน้าง้ำในคราวเดียวกัน ครานี้ลีจีซองไม่อยู่เฉยแล้ว ได้ยินอีกฝ่ายพูดอย่างนั้น มุมปากก็หยักโค้งขึ้น

“ข้าต่างหากที่ต้องถามเจ้าว่าเจ้านิยมชมชอบบุรุษหรือ”

“เหตุใดต้องถามข้า”

“เพราะข้าจำได้ดีว่าตอนที่ข้าทำแผลสุนัขกัดให้เจ้า มังกรน้อยของเจ้ามันผงาดเล่นลมมากเพียงใดน่ะสิ”

ถูกตอกหน้ามาอย่างนี้ จ้าวจื่อถงก็พูดต่อไม่ออก ใบหน้าคร้ามครันแปรเปลี่ยนเป็นถมึงทึงทันที ประจักษ์ได้ในเวลานั้นอีกด้วยว่าชัยชนะที่เขาได้ลิ้มรสไปเมื่อครู่เป็นเพียงชัยชนะจอมปลอม เพราะสุดท้ายแล้ว เขาก็พ่ายแพ้ให้กับหมอหนุ่มอยู่ดี

ลีจีซองกลั้วหัวเราะในลำคอน้อยๆ สนุกดีไม่หยอกที่ได้พูดคุยกับจ้าวจื่อถง นับว่าอีกฝ่ายทำให้เขาบรรเทาความตึงเครียดไปได้มากทีเดียว ก่อนที่จะตัดบทเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั่งว่างอยู่ ว่างเสียจนกลายร่างเป็นอันธพาลมาวาดฝีปากหาเรื่องเขา

“หากเจ้าไม่อยากให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ก็มาช่วยข้าเก็บของเร็วเข้า ไม่อย่างนั้นข้าจะเล่าให้ยองแจฟังว่ามังกรน้อยของเจ้ารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร”

“ท่าน!”

“จะช่วยหรือไม่”

ถามมาอย่างนี้ แล้วมีหรือที่จ้าวจื่อถงจะไม่ช่วย ฮึดฮัดเพียงครู่ก็เดินโขยกเขยกไปทิ้งตัวลงนั่ง ช่วยเก็บโอสถแห้งอย่างไร้ทางเลือก

ลีจีซองเหลือบมองแม่ทัพหนุ่มที่เก็บไป ก่นด่าพึมพำไปด้วยความขบขัน ก่อนที่จะชะงักเมื่อจู่ๆ ก็ได้ยินอีกฝ่ายค่อนขอด

“ท่านนั่นล่ะที่ชอบบุรุษ ทำเป็นไปเที่ยวหาความสำราญที่หอคณิกา แท้จริงก็แค่จะกลบเกลื่อนว่าตนมีจิตวิปลาส”

ดูท่าทางจ้าวจื่อถงจะยังไม่ยอมแพ้

ดี! ในเมื่อไม่ยอมแพ้ เขาก็จะยอมตามน้ำไปแล้วกัน

“เจ้าฉลาดนัก รู้ทันข้าด้วย”

ลีจีซองเออออออกมา ทำเอาจ้าวจื่อถงหันมองขวับ ขณะที่ลีจีซองว่าอย่างไม่รู้ร้อน

“ข้าแสร้งทำเป็นไปเที่ยวหาความสำราญที่นั่นเพื่อกลบเกลื่อนความวิปลาสของตัวเองจริงอย่างที่เจ้าว่า เพราะข้าน่ะ...”

พูดแล้วก็ขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ จ้าวจื่อถงตัวแข็งค้างไปเล็กน้อย และก็ต้องเบิกตาโตเมื่อได้ยินเสียงทุ้มห้าวกระซิบอยู่ตรงหน้า

“...ชื่นชอบบุรุษเช่นเจ้า”

ทั้งจ้าวจื่อถง ทั้งยองแจที่ได้ยินประโยคนั้นต่างพากันอ้าปากหวอไปตามๆ กัน ลีจีซองกลั้วหัวเราะด้วยความสะใจ ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืนแล้วว่าเร็วๆ

“ที่เหลือฝากพวกเจ้าด้วย เห็นทีข้าต้องไปที่หอคณิกาเพื่อกลบเกลื่อนความวิปลาสของตัวเองอีกแล้ว รบกวนด้วยแล้วกัน”

สิ้นเสียงก็ผละจากไป ทิ้งให้แม่ทัพหนุ่มกับเด็กรับใช้มองหน้ากันเลิ่กลั่กกับสิ่งที่ได้ยิน

ชอบบุรุษเช่นเจ้า...

พูดจาผายลมอันใด ท่านมันจิตวิปลาสไปแล้วจริงๆ ด้วย เจ้าหมอบัดซบ!

 ___________________

มาต่อแล้วค่า มามืดนิดนึงแต่มาละ พรุ่งนี้มาต่อตอนใหม่ให้นะคะ


ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
บทที่ 9: ท่านหมอจำแลง

ท้ายที่สุดแล้ว ลีจีซองก็อดทนต่อความวิตกในใจไม่ไหว ทั้งที่ตั้งใจว่าจะไม่ไปเกี่ยวข้องสิ่งใดกับเหล่าขุนนางขี้เมาพวกนั้น แต่รู้ตัวอีกที เขาก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าหอคณิกาเป็นที่เรียบร้อย

หมอหนุ่มแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่แปรเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท สูดลมหายใจ ยืนรับพระพายที่พัดต้องผิวกายอยู่ครู่ พลันก็ผินหน้าไปมองยังทางเข้าหอคณิกา

บุรุษอื่นก้าวเข้าไป หอคณิกานั้นจะกลายเป็นสถานที่เริงรมย์ หากแต่ถ้าเขาก้าวเข้าไป มันจะกลายเป็นลานประหาร

เป็นลานประหาร...

ไม่ผิดหรอก ลีจีซองรู้ดีว่าถ้าหากเขาเข้าไปข้องเกี่ยวกับสิ่งใดที่ให้คำสาบานไว้ว่าจะไม่ยุ่ง ชีวิตของเขาไม่มีวันได้สงบสุขอย่างที่เป็นอยู่นี้แน่นอน

แต่... องค์หญิงเยจีและองค์จักรพรรดิมีความสำคัญกับเขา

แม้รู้ว่าต้องแลกด้วยชีวิต แต่เขาก็ยินดีถ้าหากชีวิตของเขาช่วยปกป้องคนทั้งสองนี้ได้

ขาก้าวไปตามทาง ก่อนที่จะข้ามผ่านธรณีประตูเข้าไป บรรดาหญิงคณิการู้จักท่านหมอผู้นี้ดีก็ต่างพากันมาต้อนรับขับสู้ด้วยไมตรี ปากก็ร้องหยอกล้อไปด้วยว่า ‘เห็นท่านหมอสุขุมเช่นนี้ ไม่นึกว่าก็อยากจะหรรษาตามประสาชายหนุ่มด้วย’

ลีจีซองได้แต่ปั้นหน้านิ่งเรียบ พยักหน้าเออออไปตามเรื่อง พลันร้องถามถึงคนที่หมายจะมาเจอ

“พวกขุนนางขี้เมาล่ะ”

ครั้นเอ่ยถาม เหล่านางคณิกาก็พากันเชื้อเชิญไปยังห้องรับรอง

เสียงเคาะประตูดังขึ้นเล็กน้อย พลันเสียงเฮฮาด้านในของบรรดาบุรุษก็ค่อยๆ เงียบลง และเงียบสนิทเมื่อนางคณิกาเปิดประตูออก พร้อมกับการปรากฏกายของใครบางคน

“ท่านหมอ...”

ใต้เท้าคิมที่ยังคงนั่งประจำอยู่หัวโต๊ะครางออกมาราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น เขาคิดว่าลีจีซองจะไม่มาเยือนที่นี่อีกครั้งแล้วหลังจากที่อีกฝ่ายยืนกรานว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวและขอตัวลากลับไปวันนั้น

ทว่า...ทุกสิ่งแปรเปลี่ยนได้ ไม่เว้นแม้แต่จิตใจของมนุษย์เอง

เหล่าขุนนางรีบขยับที่ให้เมื่อลีจีซองก้าวเข้ามา ขุนนางคนหนึ่งรีบไล่นางคณิกาออกไป ทันทีที่ประตูปิดสนิท หมอหนุ่มก็ทรุดตัวลงนั่งท่ามกลางความเงียบและตะลึงงันของเหล่าขุนนาง ลีจีซองรู้อยู่แล้วล่ะว่าทุกชีวิตจะต้องมีปฏิกิริยาเช่นนี้ และเขาก็ยินดีที่จะทำให้พวกขุนนางเหล่านี้ตะลึงงันยิ่งกว่าเดิมด้วยการเอ่ยประโยคที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดออกมา

“ขอข้าร่วมสนุกด้วยคน หวังว่าพวกท่านจะไม่ขัด”

ร่วมสนุกในที่นี้หมายถึงสิ่งใด... เหล่าขุนนางขี้เมาก็ไม่แน่ใจนัก จนใต้เท้าคิมเอ่ยถามขึ้นมาอีก

“หรือว่าท่านหมอจะหมายถึง...”

ไม่กล้าพูดต่อด้วยหวั่นใจว่าจะไม่ใช่เรื่องจริง ลีจีซองยกไหสุรารินลงในจอก พลันคว้าจอกขึ้นอยู่ในระดับริมฝีปาก พยักหน้าเล็กน้อย

เท่านั้นทุกชีวิตก็ประจักษ์... ท่านหมอของพวกเขาตกลงปลงใจเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเขาแล้ว!

เสียงหัวเราะร่วนดังลั่นขึ้นด้วยความยินดี ต่างคนต่างร้องว่า ‘เป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนัก’ เป็นการใหญ่ ขณะที่ลีจีซองเองก็หยักยิ้มที่มุมปาก

เขาตระบัดสัตย์แล้วจนได้...

โลหิตที่หลั่งรินลงไปเพื่อทำการสาบาน บัดนี้ล้วนแล้วไม่มีค่า

เขาคงจะถูกเรียกว่าคนทรยศก็ในคราวนี้ล่ะ...

 

การหายตัวไปของลีจีซองในทุกค่ำคืนนั้นทำเอาจ้าวจื่อถงที่พยายามสืบเสาะเรื่องของพระสนมกุ้ยเฟยเยว่ฉีนั้นหัวเสียอยู่ไม่น้อย

ไม่อยู่โรงหมอทุกราตรีอย่างนี้ เขาจะไปสืบเสาะข่าวคราวอะไรได้อย่างไร!

ใบหน้าคร้ามคมถมึงทึงทันใดเมื่อได้ยินยองแจบอกว่าท่านหมอไปสังสรรค์ที่หอคณิกาอีกแล้ว

“สงสัยท่านหมอของเจ้าคงจะเอานางคณิกามาตบแต่งเป็นฮูหยินกระมัง ถึงได้ไปที่นั่นทุกวี่ทุกวัน”

จ้าวจื่อถงแสร้งค่อนขอดด้วยความหมั่นไส้ ยองแจที่มาช่วยบีบขวดขาข้างที่ลีบของแม่ทัพหนุ่มตามคำสั่งของลีจีซองทำหน้ามุ่ย เอ็ดคนอาวุโสกว่าออกมาทันใด

“พูดสิ่งใดไร้มารยาท ท่านหมอเป็นคนสูงส่งถึงเพียงนั้น มีบุญคุณกับหญิงคณิกามาก็มาก พวกนางไม่กล้าอาจเอื้อมหรอก”

ประโยคนั้นทำเอาจ้าวจื่อถงเบ้หน้า “เพราะมีบุญคุณมากนี่ล่ะ พวกนางถึงได้อยากพลีกายให้ เจ้าไม่รู้รึว่าหน้าที่ของหญิงคณิกาคืออะไร”

ยองแจไม่ตอบ จ้องมองอีกฝ่ายที่แสยะยิ้มขึ้นมานิ่งๆ ขณะที่คนตรงหน้าแกล้งว่าเสียงต่ำ

“พวกนางมีหน้าที่ยั่วยวนบุรุษให้ตกเป็นทาสของพวกนางด้วยกามารมณ์อย่างไรเล่า”

เรื่องนั้นทำไมยองแจจะไม่รู้ ถึงเขาจะเป็นเพียงเด็กหนุ่มวัยแตกพาน ไม่ประสากับเรื่องพวกนี้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้

ก็มารดาเขาน่ะ...เป็นหญิงคณิกาที่ติดโรคร้ายตายนี่นา เคราะห์ดีที่ลีจีซองซึ่งช่วยดูแลรักษานางในขณะนั้นนำเขามาชุบเลี้ยง ไม่อย่างนั้นเขาก็นึกไม่ออกเลยว่าชะตากรรมของตนจะเป็นอย่างไรต่อไป

“ท่านหมอของเจ้า เห็นท่าทางนิ่งๆ เหมือนม้าเซื่องๆ แท้จริงแล้วก็มีกิเลสตัณหาไม่ต่างจากบุรุษอื่นหรอก ไปเที่ยวหญิงคณิกาก็ไม่แปลก พวกนางคงจะปรนนิบัติเป็นอย่างดีกระมัง ถึงได้ติดใจ ไปเที่ยวหาทุกวัน”

“...”

“นี่ล่ะนะหญิงคณิกา ช่างใช้มารยาหญิงล่อลวงบุรุษได้ชะงัดจริงๆ”

“พวกนางก็ไม่ได้ใช้มารยาหญิงล่อลวงผู้ใดหรอก พวกนางก็แค่ทำเพื่อปากท้อง บางทีพวกนางอาจมีลูกน้อยรออยู่ที่บ้าน ที่ทำไป ล้วนแล้วฝืนใจทั้งนั้น”

“หืม?”

“ไม่มีสตรีนางใดอยากหลับนอนกับชายมากหน้าหลายตาหรอกขอรับ”

“...”

“แล้วก็...ท่านหมอไม่ไปทำเรื่องอย่างนั้นด้วย”

“เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าเป็นเช่นนั้น”

“เพราะท่านแม่ของข้าคือหญิงคณิกา”

ยองแจพูดมาเช่นนี้ จ้าวจื่อถงก็ปิดปากสนิททันควัน

โธ่เอ๋ย! เขาปากพล่อยเกินไปแล้ว!

“ครั้งหนึ่งท่านแม่ของข้าป่วยหนัก คนในหอคณิกาต่างรังเกียจและทอดทิ้ง แต่ท่านหมอก็เป็นคนเดียวที่ยื่นมือมาช่วยเหลือ เมื่อนางตาย เขาก็เก็บข้ามาเลี้ยงดู น้ำใจของท่านหมอใหญ่หลวงนัก ข้าถึงได้บอกว่าท่านหมอไปที่หอคณิกาทุกวัน คงไม่ได้ไปทำเรื่องอย่างที่ท่านว่าหรอก”

จ้าวจื่อถงยอมแล้ว เขายกมือขึ้นข้างหนึ่งเป็นเชิงบอกให้ยองแจหยุดพูดเพราะรู้สึกผิดที่ไปดูแคลนนางคณิกาโดยหารู้ไม่ว่ามารดาของคนตรงหน้าก็คือหญิงพวกนั้น

ความเงียบเข้าครอบงำฉับพลัน แต่ก็ใช่ว่าเงียบเพราะยองแจกรุ่นโกรธที่มารดากับท่านหมอถูกดูแคลน เด็กหนุ่มรู้ว่าที่จ้าวจื่อถงพูดออกมาอย่างนั้นก็เพื่อจะค่อนขอดการกระทำของลีจีซองเท่านั้น เพราะจ้าวจื่อถงก็เป็นเช่นนี้ทุกวัน ส่วนเรื่องมารดาเขา อีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจหรอก เขาจึงไม่ถือสา

“ท่านหมอบอกกับข้าว่านอกจากจะช่วยท่านบีบนวดขาเพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อแล้ว ท่านต้องหัดเดินเองด้วย ท่านได้หัดเดินบ้างหรือไม่”

“เจ้าไม่มีตาหรือไร ข้าแทบจะวิ่งด้วยขาตัวเองแล้วกระมัง”

จ้าวจื่อถงยอกย้อน ยองแจหัวเราะน้อยๆ ก็จริงอย่างที่อีกฝ่ายว่า พอตกเย็น ชาวบ้านกลับออกจากโรงหมอเมื่อใด จ้าวจื่อถงก็มักจะออกไปหัดเดินอยู่หลายชั่วยาม บางครั้งก็คว้าเอาไม้มาวาดในอากาศเหมือนฝึกวิทยายุทธ์ด้วย แข็งแรงปานนี้ อีกหน่อยคงวิ่งปร๋อ

“ดีแล้วขอรับ เพราะท่านหมอเป็นห่วงท่านมาก สั่งกำชับให้ดูแลท่านเป็นอย่างดี”

เรื่องนี้จ้าวจื่อถงก็พอจะรู้ ก่อนหน้านี้เขาย้ำนักย้ำหนานี่นาว่าเมื่อหายดีเมื่อไร เขาจะรีบไปจากที่นี่ทันที แต่ท่านหมอคงไม่รู้กระมังว่าตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว

ยองแจไม่ได้ว่าอะไรต่อ บีบนวดไปตามหน้าที่ ปล่อยให้จ้าวจื่อถงทอดสายตามองเพียงครู่ก็ฉุกใจนึกขึ้นมาได้

“ข้ามีเรื่องสงสัย ขอถามอะไรสักอย่าง”

คนถูกทักเหลือบมองหน้า จ้าวจื่อถงก็ถามทันทีโดยไม่รอให้อีกฝ่ายเปิดปาก

“เจ้าอายุเท่าไร”

ยองแจดูประหลาดใจเล็กน้อยที่จู่ๆ ถูกถาม แต่ก็ตอบไปตามความจริง

“สิบแปดขวบปีขอรับ”

“แล้วมาอยู่กับท่านหมอนานเท่าไรแล้ว”

เด็กหนุ่มนิ่งคิดไปเล็กน้อย “ตั้งแต่มารดาข้าสิ้นเมื่อห้าปีก่อน”

จ้าวจื่อถงพยักหน้า เรื่องนี้เขาไม่ได้อยากรู้หรอก มันเป็นเพียงแค่เกริ่นนำ เพราะสิ่งที่เขาอยากรู้น่ะ คือเรื่องของลีจีซองต่างหาก

“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านหมอเป็นบุตรชายสกุลใด เหตุใดถึงได้มาเป็นหมอในโรงหมอซอมซ่อนี่”

นี่ล่ะที่เขาอยากรู้ จะได้สืบเสาะต่อไปด้วยว่าลีจีซองหาใช่คนธรรมดาอย่างที่เขาคาดการณ์ไว้จริงหรือไม่

“อืม... เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่ทราบขอรับ ท่านหมอไม่เคยพูดถึงเลย”

“ไม่เคยเล่าให้เจ้าฟังเลยรึว่าเป็นคนมาจากที่ใด”

ยองแจพยักหน้า

“แล้วเจ้าไม่เคยได้ยินผู้ใดพูดถึงเลยหรือ”

เด็กหนุ่มพยักหน้าอีกครั้ง เท่านั้นจ้าวจื่อถงก็ได้คำตอบ

คนที่มีภูมิหลังไม่ธรรมดาย่อมไม่เปิดเผยให้ผู้ใดรู้ ดังนั้นท่านหมอต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่เขาคิดไว้แน่... เรื่องนี้เขามั่นใจ

หมดเรื่องจะถามแล้ว จ้าวจื่อถงจึงไม่พูดอะไรออกมาอีก ปล่อยให้ยองแจได้บีบนวดต่อไปเรื่อยๆ ขณะที่หัวก็คิดครุ่นไม่หยุด

งานนี้ยากน่าดูชม เห็นทีเขาคงจะต้องออกโรงเองกระมัง...

 

ลีจีซองยังคงแวะเวียนไปที่หอคณิกาไม่เว้นวัน จนบัดนี้เป็นที่ลือกันให้ทั่วว่าท่านหมอที่วันๆ เอาแต่ดูแลรักษาชาวบ้าน ไม่สนใจสตรีนางใด คงจะเหงากายเหงาใจ หมายอยากมีฮูหยินกระมัง ถึงได้ไปเที่ยวหอคณิกาได้ทุกค่ำคืนอย่างนี้ ขณะเดียวกันก็มีการบริภาษไปยังเหล่าขุนนางขี้เมาที่เป็นสหายเที่ยวว่าเป็นคนที่ทำให้ท่านหมอสำมะเลเทเมา

แต่นั่นล่ะคือสิ่งที่คนพวกนั้นอยากให้ผู้อื่นเข้าใจ เว้นเสียแต่จ้าวจื่อถงที่รู้ทัน เขาเองก็อดรนทนไม่ไหวเช่นกันที่เห็นอีกฝ่ายออกไปที่นั่นทุกค่ำคืน

มีอะไรใหญ่หลวงนักหรือ ถึงได้ต้องไปหารือกันทุกวี่ทุกวัน...

วันนี้เขาจึงไม่อยู่เฉยอีกต่อไป ครั้นเห็นลีจีซองออกไปยังหอคณิกา เขาก็แสร้งทำเป็นเข้านอนเร็วกว่าเดิม มิหนำซ้ำยังบอกให้ยองแจที่มานวดขาให้ทุกวันไม่ต้องมาปรนนิบัติในคืนนี้ ให้แยกย้ายไปพักผ่อนได้เลย

จ้าวจื่อถงรอจนมั่นใจว่ายองแจหลับไปแล้วอย่างใจเย็น เมื่อแน่ใจก็ค่อยๆ ลอบพาตนเองไปลักเอาอาภรณ์ของท่านหมอมาสวมใส่ให้กลมกลืนไปกับชาวโชซอน จากนั้นก็ออกมาจากโรงหมอ รุดหน้าเข้าเมืองไปยังหอคณิกาทันที

แน่ล่ะว่าคนต่างถิ่นอย่างเขาไม่รู้หรอกว่าหอคณิกาอยู่ที่ใด แต่สังเกตเอาจากแสงไฟอาคารและบรรดากลุ่มชายฉกรรจ์ที่มุ่งหน้าตรงไปที่นั่น

เหล่าบุรุษมาเตร็ดเตร่กันกลางดึก มุ่งหน้าไปยังอาคารประดับด้วยแสงไฟเช่นนี้ สถานที่แห่งนั้นจะเป็นอะไรได้อีกเล่านอกจากหอคณิกา

ทว่าจ้าวจื่อถงไม่สุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปแม้จะรู้ว่าที่แห่งนี้คือหอคณิกา ที่ไม่บุ่มบ่ามตามนิสัยมุทะลุเป็นเพราะว่าเขาเองก็ไม่แน่ใจนักว่าที่แห่งนี้ใช่หอคณิกาเดียวกับที่ท่านหมอมาหรือไม่ เพราะในละแวกนั้นยังมีหอคณิกาตั้งเรียงรายกันอีกหลายเจ้าทีเดียว อีกอย่าง...หากเขาบุ่มบ่ามเข้าไปแล้วถูกจับได้ว่าสะกดรอยตามมา มีหวังการสืบหาตัวการที่วางแผนช่วงชิงองค์หญิงเยจีคงได้ยากยิ่งกว่าเดิม

แม่ทัพหนุ่มหลบมุมมืด สอดส่องสายตามองไปรอบกายอย่างใจเย็น รอจนกระทั่งลีจีซองกลับออกมา เมื่อนั้นเขาจะได้แน่ใจว่าที่อีกฝ่ายไปนั้นคือหอคณิกาเจ้าไหน

กระทั่งถึงชั่วยามที่ลีจีซองมักจะกลับออกมา ร่างโปร่งในอาภรณ์สีขาวก็ปรากฏให้เห็น จ้าวจื่อถงมองปราดเดียวก็จำได้ทันทีว่าเจ้าของร่างนั้นเป็นใครแม้ว่าจะอยู่ในความมืดก็ตาม เขายิ้มกระหยิ่มใจเมื่อประจักษ์แล้วว่าหอคณิกาใดเป็นที่นัดหมายของอีกฝ่าย พลันก็หมายจะชิงกลับไปยังโรงหมอก่อนเพื่อไม่ได้เกิดพิรุธ

หากแต่ยังไม่ทันจะได้รีบเร่งกลับตามใจหมาย สายตาก็ลอบสังเกตเห็นความผิดปกติจากทางด้านหลังของท่านหมอ

ชายชุดดำคนหนึ่งลอบติดตามลีจีซองไป...

สัญชาตญาณบอกกับแม่ทัพหนุ่มทันทีว่ามีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว คนชุดดำที่ลอบติดตามลีจีซองไป ย่อมแน่ว่าคงไม่ได้มาดี

สงสัยการประชุมตบตาของลีจีซองกับบรรดาใต้เท้าพวกนั้นคงจะมีผู้อื่นล่วงรู้แล้ว...

จากที่หมายจะกลับไปก่อนก็เปลี่ยนใจ รีบลอบตามไปอย่างรวดเร็วเพราะเกรงว่าลีจีซองจะได้รับอันตราย

และก็เป็นอย่างที่คิด...

เมื่อลีจีซองเดินเข้าสู่ซอกซอยมืดมิดและเปลี่ยว ชายชุดดำที่ติดตามมาก็สบโอกาสลงมือทันที เสียงโลหะที่ถูกดึงออกจากฝักดังขึ้น จังหวะเดียวกับที่ลีจีซองรู้สึกไม่ชอบมาพากล หันไปมองอย่างพอดิบพอดี ในเสี้ยวลมหายใจที่เห็นความวาววับจากคมกระบี่ ลีจีซองก็หายใจขาดช่วง คิดว่าตนคงต้องมาทิ้งชีวิตไว้ที่นี่เป็นแน่แท้

ทว่า...ฉับพลันก็มีเงาดำของใครบางคนพุ่งเข้ามาขวางหน้า พร้อมกับสะบัดฝ่ามือกระแทกแผ่นอกของชายชุดดำจนอีกฝ่ายส่งเสียงดัง 'อั้ก!'

ลีจีซองปราดมองไปที่เจ้าของร่างนั้นอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวก็จำได้ทันทีว่าคนผู้นั้นเป็นใคร

จ้าวจื่อถง!?

ต่อให้สวมเสื้อผ้าของชาวโชซอนเพื่ออำพรางตน แต่ลักษณะท่าทางอย่างนั้นมีแค่จ้าวจื่อถงผู้เดียวเท่านั้นล่ะ

แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่จ้าวจื่อถงประมือกับชายชุดดำตรงหน้าอย่างบ้าคลั่ง อีกฝ่ายมีอาวุธ ขณะที่จ้าวจื่อถงมีเพียงสองมือเปล่า ลีจีซองไม่คาดคิดว่าการตัดสินใจของตนจะทำให้คนนอกอย่างแม่ทัพแห่งต้าหมิงต้องมาเดือดร้อนด้วย พลันปากก็หมายจะร้องบอกให้จ้าวจื่อถงหนีไป

ทว่าแม่ทัพก็คือแม่ทัพ จ้าวจื่อถงไม่เกรงกลัวผู้ใด แม้แต่หัวของกบฏที่แข็งแกร่ง เขาก็เคยเด็ดไปถวายองค์จักรพรรดิมาแล้ว กับแค่ชายชุดดำที่ใช้วิธีสกปรกลอบทำร้ายผู้อื่นนั้นไม่คณามือเขาหรอก

และก็จริงอย่างนั้น ต่อให้มีอาวุธในมือก็มิอาจต่อกรกับจ้าวจื่อถงได้ จ้าวจื่อถงได้ชื่อว่าเป็นปีศาจแห่งสมรภูมิ วิทยายุทธ์ย่อมล้ำหน้ากว่าผู้อื่นอยู่โข ชายชุดดำสาดกระบวนเพลงกระบี่มา เขาก็ตอกกลับด้วยการรุกและรับด้วยสองมือเปล่าอย่างคล่องแคล่ว

จ้าวจื่อถงไม่เสียเปรียบ... แต่จะเสียเปรียบก็เพราะคนข้างหลังที่ไม่ยอมหนีไปไหนสักทีนี่ล่ะ

ชายชุดดำเห็นว่าต่อกรกับจ้าวจื่อถงคงไม่อาจสู้ได้จึงเบนความสนใจไปที่ลีจีซองแทน

ถูกสั่งมาให้สังหาร ดังนั้นก็จะสังหารให้สิ้น จะได้จบงาน!

ปลายกระบี่พุ่งไปทางลีจีซองทันใด จ้าวจื่อถงเห็นก็ร้องเสียงดังลั่น

“ท่านหมอ!”

มิหนำซ้ำยังจะพุ่งเอาตัวไปขวาง ทำให้คมกระบี่เฉือนเอาแผ่นหลังจนอาภรณ์ขาดสะบั้น โลหิตไหลอาบเป็นสาย กระนั้นก็ใช่ว่าจะเสียเปรียบชายชุดดำเสียเพียงทีเดียว เขาสบโอกาสก็กระแทกฝ่ามืออัดไปกลางหน้าอกของชายชุดดำเสียเต็มแรง

“แค่ก!”

ชายชุดดำเองก็กระอักเลือดออกมาพร้อมกับความปวดร้าวที่หน้าอก พลันก็ตระหนักได้ทันทีว่าหากยังคงอยู่ตรงนี้ต่อไป มีหวังตนจะได้เป็นฝ่ายถูกสังหารแทน จึงรีบหนีไปด้วยเวลาเพียงพริบตาเดียว

จ้าวจื่อถงทำท่าจะตามไป แต่ก็ถูกลีจีซองคว้าแขนไว้

“ไม่ต้องตาม”

“แต่...”

“ปล่อยไป อาการบาดเจ็บของเจ้าสำคัญกว่า”

ลีจีซองว่าเร็วๆ จากนั้นก็เข้าไปพยุงจ้าวจื่อถงที่หายใจหอบหนักอยู่ ถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

“ไหวหรือไม่”

“เห็นข้าอ่อนแอถึงเพียงนั้นเลยหรือไร”

ในเวลาอย่างนี้ก็ยังจะปากกล้า ลีจีซองรู้อยู่หรอกว่าจ้าวจื่อถงแข็งแรง แต่สภาพของเขาในเวลานี้ อีกทั้งอาการบาดเจ็บเดิมที่ยังไม่หายดีเต็มร้อยก็ใช่ว่าจะทำให้ทรงตัวได้ไหว เพราะพอเขาเข้าไปพยุง จ้าวจื่อถงก็ทิ้งน้ำหนักลงมาทันที ทำให้ลีจีซองต้องพูดขึ้น

“กลับไปทำแผลที่โรงหมอก่อน เรื่องอื่นไว้ค่อยว่ากัน”

 

การกลับมาพร้อมกับเสียงเอะอะมะเทิ่ง ทำเอายองแจลุกลี้ลุกลนตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ และทวีความตกใจมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นว่าท่านหมอแบกจ้าวจื่อถงที่ได้รับบาดเจ็บกลับมา ใจก็อยากจะถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ก็ไม่กล้าถามเพราะลีจีซองมีสีหน้าเคร่งเครียด อีกทั้งยังออกปากสั่งให้เขาไปเตรียมอุปกรณ์ทำแผลมา ยองแจจะทำอะไรได้นอกจากทำตามคำสั่ง และปล่อยให้ท่านหมอกับแม่ทัพหนุ่มอยู่ในห้องกันสองคน โดยที่เขาไม่ได้รับอนุญาตให้ย่างกรายเข้าไป

เกิดสิ่งใดขึ้น...เขาอยากรู้นัก

แต่ลีจีซองไม่ต้องการให้ผู้ใดรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาเหตุที่ว่าทำไมเขาถึงถูกปองร้าย ทว่าตอนนี้อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับบาดแผลที่แผ่นหลังของจ้าวจื่อถง

แผลนั้นช่างฉกรรจ์นัก...

ลีจีซองค่อยๆ เปลื้องอาภรณ์ของคนตรงหน้าออก ค่อยๆ ใช้ผ้าชุบน้ำสะอาดบิดหมาดทำความสะอาดบาดแผลทีละน้อย ก่อนจะห้ามเลือดด้วยโอสถที่มีสรรพคุณในการทำให้เลือดแข็งตัว

การทำแผลนั้นใช้เวลานานมากทีเดียว จ้าวจื่อถงเองก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าบาดแผลนี้สร้างความเจ็บปวดให้เขามาก กระนั้นก็กัดฟันไว้แน่น รอจนกระทั่งอีกฝ่ายทำแผลให้เสร็จ ความเงียบที่ครอบงำทั้งคู่อยู่นานถึงได้ถูกทำลาย

“เหตุใดท่านถึงถูกปองร้าย”

ลีจีซองที่กำลังพันผ้าพันแผลให้อยู่ถึงกับชะงัก เขาพอจะเดาได้ว่าจะต้องถูกถามอย่างนี้ แต่ก็ไม่คิดว่าเมื่อถูกถามจริงๆ เขาจะคิดคำตอบไม่ได้

“ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องใส่ใจ”

ตอบกำปั้นทุบดินเสียแล้วกัน และนั่นก็ทำให้จ้าวจื่อถงนิ่วหน้าทันควัน

“ไม่ใช่เรื่องที่ข้าต้องใส่ใจอย่างนั้นหรือ ข้าบาดเจ็บก็เพราะช่วยชีวิตท่าน พูดได้อย่างไรว่าไม่ใช่เรื่องที่ข้าจำต้องใส่ใจ”

น้ำเสียงไม่พอใจดังเข้าโสต ลีจีซองระบายลมหายใจออกมา

“มันเป็นเรื่องที่เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจจริงๆ”

ใช่...เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่แม่ทัพแห่งต้าหมิงจะต้องมารับรู้

ทว่าจ้าวจื่อถงดื้อดึง ได้ยินอีกฝ่ายย้ำมาอย่างนั้นก็ส่งเสียงขึ้นจมูก

“ข้าช่วยชีวิตท่านก็เท่ากับว่ามีบุญคุณ ท่านติดหนี้บุญคุณข้าแล้ว จะมาบ่ายเบี่ยงสิ่งใด”

อ้อ คิดจะใช้เรื่องบุญคุณมาเป็นข้อต่อรองบีบบังคับให้เขาต้องตอบคำถามล่ะสินะ

แต่จ้าวจื่อถงคงจะลืมไปกระมังว่า...

“เจ้าเองก็ติดหนี้บุญคุณข้าเช่นกัน หนี้ก้อนใหญ่เสียด้วย หากไม่เป็นเพราะข้า เจ้าคงได้กลายเป็นโครงกระดูกที่หุบเหวนั่นแล้ว”

จ้าวจื่อถงถึงกับชะงัก ฉุกคิดขึ้นมาได้ทันควันว่าที่ตนเองยังมีลมหายใจอยู่ทุกวันนี้เพราะอะไร

“เจ้าติดหนี้บุญคุณข้า การที่เจ้าช่วยชีวิตข้าในครั้งนี้ก็เท่ากับว่าหายกัน ไม่มีอะไรติดค้างกันแล้ว”

ลีจีซองสรุปรวบรัด จ้าวจื่อถงก็พูดอะไรต่อไม่ออก ได้แต่หันไปมองอีกฝ่ายที่ยกยิ้มมุมปาก

“ผู้ใดจะคิดว่าท่านหมออย่างท่านจะเจ้าเล่ห์นัก”

ลีจีซองยิ้ม มือยังคงพันผ้าพันแผลให้ แต่แล้วก็ยิ้มไม่ออกเมื่อจ้าวจื่อถงเริ่มพูดในสิ่งที่เขาไม่อยากได้ยินขึ้นมา

“เจ้าเล่ห์เพทุบาย อีกทั้งยังตบตาเก่ง ไปหอคณิกาเพื่อสังสรรค์กับเหล่าขุนนางขี้เมาอย่างนั้นหรือ ฮึ! มีเพียงแต่คนโง่เท่านั้นล่ะที่ดูไม่ออกว่าท่านกำลังคิดจะทำการใด”

ลีจีซองชะงักไปอีกครา ใบหน้าที่แย้มยิ้มเมื่อครู่ บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดแล้ว

“อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังเล่นละครตบตาผู้อื่น...ท่านหมอ”

“เจ้า...”

ลีจีซองครางออกมาอย่างไม่เชื่อหู พลันก็นึกบริภาษตนเองด้วยที่ไม่ทันคิดว่าข้างกายเขาจะมีคนที่ไหวพริบเชาว์ปัญญาดีอยู่ด้วย

แผนการของเขาจะถูกเปิดโปงเพราะแม่ทัพต่างแดนผู้นี้นี่ล่ะ ยิ่งอีกฝ่ายเอ่ยออกมาว่า...

“ถ้าไม่อยากให้ข้าแพร่งพรายเรื่องนี้...”

“...”

“...ก็จงบอกมาว่าท่านเป็นผู้ใดกันแน่”

“ข้าเป็นหมอ”

“ท่านหมอจำแลงล่ะสิ”

ตอนที่จ้าวจื่อถงยังอาการไม่ดี เขาน่าจะเย็บปากอีกฝ่ายให้ปิดสนิทไปด้วยเลย จะได้ไม่มาพูดพร่ำให้เขาหวั่นใจว่าความจะแตกอย่างนี้!

แต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ลีจีซองตีหน้าเคร่งเครียด ว่าออกมาด้วยน้ำเสียงที่ตึงเครียดไม่แพ้กัน

“ถือว่าเห็นแก่ข้า อย่าแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป”

จ้าวจื่อถงเลิกคิ้วสูง รู้ตัวว่าเป็นฝ่ายได้เปรียบก็ยียวนทันที

“ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องมีค่าปิดปากกันสักหน่อยแล้วล่ะท่านหมอ แต่ข้าปิดปากของข้าค่อนข้างจะราคาสูงเอาการอยู่นะ”

“เจ้าต้องการอะไร”

จ้าวจื่อถงก็หมายจะล่วงรู้ให้ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครกันแน่ และมีความสัมพันธ์อย่างไรกับองค์หญิงเยจี แน่ล่ะว่าเขาหมายจะรู้ด้วยว่าใครเป็นผู้ช่วงชิงองค์หญิงเยจีไป

หากทว่ายังไม่ทันจะได้ปริปากบอก มือของท่านหมอก็แตะลงมาที่หัวไหล่แกร่งของเขา จ้าวจื่อถงสะดุ้งเล็กน้อย ผินหน้าไปมองก็พบว่าใบหน้าของอีกฝ่ายอยู่ใกล้เพียงฝ่ามือ

“ว่าอย่างไร...เจ้าต้องการอะไร”

น้ำเสียงที่เอ่ยถามก็นุ่มนวลอีกด้วย จ้าวจื่อถงถึงกับหน้าตึงเพราะรู้ว่าท่านหมอคิดจะทำการใด แต่ครั้นจะเอ่ยปาก เขาก็ต้องสะท้านจนตัวแข็งเกร็งเมื่อจู่ๆ ริมฝีปากนุ่มก็แตะลงมาที่ใบหู

“ค่าปิดปากของเจ้า...ควรเป็นสิ่งใดดีนะ”

ย่อมแน่ล่ะว่าไม่ใช่สิ่งนี้!

แต่ดูเหมือนร่างกายของเขาจะไม่ไปทางเดียวกับความคิดเลยแม้แต่น้อย เพียงถูกจุมพิตที่ใบหู มังกรน้อยของเขาก็ถูกปลุกจากนิทรารมย์เสียแล้ว เขาไม่ใคร่ให้ลีจีซองรู้หรอก แต่อีกฝ่ายก็สอดมือเข้ามาที่ใต้อาภรณ์ส่วนนั้นตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

ความแข็งขืนชูชันและร้อนรุ่มทำให้บิดาของมังกรน้อยหน้าม้านไปหมด ปากได้แต่แค่นเสียงออกมาไม่พอใจ

“ท่าน...!”

แต่ลีจีซองไม่สนใจอะไรแม้แต่น้อย ยิ้มกริ่มพลางหยอกเย้ากับสิ่งที่ตนประคองไว้ในมือ

“ทำใจให้สบาย ผ่อนคลายเสีย ข้าจะจ่ายค่าปิดปากของเจ้าให้เอง”

นอกจากจะเป็นท่านหมอจำแลงแล้ว ยังเป็นเจ้าหมอหน้าด้านอีกด้วย

มาพลิกสถานการณ์ด้วยการจับมังกรน้อยของข้าเป็นตัวประกันได้อย่างไรกัน!

_____________________

เมื่อวานยุ่งจนลืมอัปเลยค่ะ รอบนี้เลยไม่อัปตัวอย่างก่อน อัปเต็มไปเลย

ฝากกำลังใจด้วยน้า

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :laugh:


หมอเก่ง

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
บทที่ 10: ค่าปิดปาก

“ปล่อยมือออก”

น้ำเสียงเข้มต่ำเล็ดลอดออกจากริมฝีปากของจ้าวจื่อถง ขยับของเขาเต้นตุ้บๆ ทันทีที่ถูกฝ่ามือของลีจีซองรูดรั้งไปยังท่อนเนื้อแข็งขืน หากแต่การออกคำสั่งนั้นไม่ได้ผลเลยแม้แต่น้อย ลีจีซองหยักยิ้มขึ้นมา ถามด้วยสีหน้าไม่รู้สึกรู้สาอะไร จนจ้าวจื่อถงต้องเป็นฝ่ายยื่นมือไปตะครุบพลันถามอีกครั้ง

“คิดจะทำอะไรของท่าน”
“ข้าก็จะจ่ายค่าปิดปากให้เจ้าอย่างไรล่ะ”

ยังคงตอบอย่างไม่รู้สึกรู้สา หากรู้ว่ารอดตายมาได้แล้วจะมากวนโมโหเขาอย่างนี้ เขาน่าจะปล่อยให้ถูกชายชุดดำสังหารเป็นศพเย็นชืดข้างถนนให้รู้แล้วรู้รอด!

“ข้าไม่ได้ต้องการค่าปิดปากเช่นนี้”

จ้าวจื่อถงยืนกราน เขาไม่ต้องการให้มาทำอะไรให้ทั้งสิ้น เพียงแค่บอกมาก็พอว่าใครเป็นผู้ชิงตัวองค์หญิงเยจีไป เรื่องภูมิหลังของลีจีซองอะไรนั่น เขาไม่อยากรู้แล้ว!

แต่ลีจีซองก็ดื้อด้านพอกันกับจ้าวจื่อถงนั่นล่ะ ครั้นเห็นอีกฝ่ายขัดขืน ลีจีซองก็ยิ่งดึงดัน

“แต่ร่างกายของเจ้ากำลังบอกข้าว่าอยากได้ค่าปิดปากนี้”

จ้าวจื่อถงหน้าม้าน อยากจะทุบเจ้ามังกรน้อยไม่รักดีนัก เหตุใดถึงต้องมามีปฏิกิริยาเพราะการสัมผัสเพียงเล็กน้อยของเจ้าหมอเจ้าเล่ห์ผู้นี้ด้วย!

แต่ก็หาใช่เรื่องแปลก จ้าวจื่อถงยังหนุ่มแน่น อีกทั้งยังไม่เคยร่วมเรียงเคียงหมอนกับผู้ใด ชีวิตเกิดมาเพื่อเป็นแม่ทัพ วันทุกวันถือดาบออกศึก เขาจะเอาเวลาไหนไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเช่นนี้กันเล่า

ทว่าก็ไม่ปริปากออกมาให้เป็นที่น่าอับอายหรอก ทำเพียงแค่แค่นเสียงต่ำเท่านั้น

“ปล่อยมือบัดซบของท่านออกจากตัวข้าประเดี๋ยวนี้”

ลีจีซองเลิกคิ้วสูงเล็กน้อย ไม่ปล่อยไม่ว่า ยังจะขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ กระซิบเสียงแผ่วที่ข้างใบหู

“อยากให้ข้าปล่อยจริงๆ หรือ”

และ...ยังกระตุ้นเร้าด้วยการลากปลายนิ้วไปยังส่วนปลายยอดที่มีของเหลวเฉอะแฉะไหลปริ่มเป็นการหยอกเย้าอีกด้วย

จ้าวจื่อถงขบกรามแน่น “อย่า...”

ถึงปากจะสั่ง แต่ร่างกายก็ไม่ยอมขัดขืนอย่างเต็มที่ เขารู้ดีแก่ใจว่าหากปฏิเสธหรือผลักไส ลีจีซองก็มิอาจสู้แรงของเขาได้ ร่างกายที่สูงใหญ่ไล่เลี่ยกัน หากแต่ร่างกายที่ผ่านการฝึกปรือจนกำยำอย่างจ้าวจื่อถง ไม่ว่าอย่างไรก็เอาชนะได้โดยง่ายหากต้องออกแรง

ทว่า...ก็ไม่เข้าใจนักว่าเหตุใดถึงไม่ทำเช่นนั้น ได้แต่ปล่อยให้ลีจีซองหยอกเย้าไปเลิกรา

ลีจีซองเองก็รู้ว่าเขาไม่สามารถต่อกรกับจ้าวจื่อถงที่เจนวรยุทธ์ได้ แต่การที่อีกฝ่ายไม่ยอมขัดขืนจริงจังก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะยั่วเย้าด้วยน้ำเสียงกระซิบแหบพร่า

“ถ้าเจ้าไม่อยาก...”
“...”
“...ก็ผลักข้าออกสิ ท่านแม่ทัพ”

ปกติแล้วจ้าวจื่อถงไม่ชอบให้ผู้ใดมาท้าทาย แต่ในครั้งนี้...ดูเหมือนทุกอย่างจะยากเย็นไปหมด

“หากเจ้าไม่ผลักข้าออก ข้าจะถือว่าเจ้ายอมรับค่าปิดปากนี้จากข้าก็แล้วกัน”

สิ้นเสียง ลีจีซองก็กระทำตามใจโดยไม่ใคร่สนว่าจ้าวจื่อถงจะปฏิเสธอย่างไรอีกต่อไป
ริมฝีปากจรดจูบที่ปลายหู ก่อนจะขบเม้มเบาๆ จนเจ้าของใบหูสะท้านไปทั้งกาย

“ชอบหรือไม่?”

ยังจะมีหน้ามากระซิบถามยั่วเย้า ใบหน้าของจ้าวจื่อถงยับย่นถึงเพียงนี้แล้ว ยังไม่รู้อีกหรือว่าชอบหรือไม่ แน่ล่ะว่า...

“แล้วหากข้าสัมผัสเจ้าตรงนี้ล่ะ เจ้าชอบหรือไม่?”

ยังไม่ทันจะได้ตอบในใจ มือของลีจีซองที่รุกรานอยู่ยังช่วงกลางลำตัวก็เลื่อนลงต่ำไปสัมผัสก้อนเนื้อนุ่มนิ่มแผ่วเบา จ้าวจื่อถงถึงกับสะดุ้งสุดตัวให้อีกฝ่ายได้หัวเราะออกมา

“ไม่ต้องเกร็ง ผ่อนคลาย ข้าจะปรนนิบัติเจ้าเอง”

จากนั้นก็เคล้นคลึงแผ่วเบา จ้าวจื่อถงที่หมายจะบอกว่าไม่ได้ชอบให้ถูกสัมผัสเช่นนี้ ทว่าความคิดเหล่านั้นก็มลายหายไปสิ้น
ดูเหมือนว่า...เขาจะชอบ

คงจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะหลังจากนั้น ลีจีซองก็พรมจูบไปทั่วใบหูและลำคอ มิหนำซ้ำมือก็ยังลูบคลึงไม่หยุด จนจ้าวจื่อถงส่งเสียงประหลาดออกมา

“อา...”

ท่าทางน่าจะชอบจริงๆ เสียด้วย...

รู้ตัวว่าส่งเสียงใดก็รีบปิดปากฉับ ตีหน้าเคร่งขรึมอีกครั้ง ตวัดดวงตาเรียวไปมองหน้าของลีจีซองอย่างขุ่นเคือง หากแต่ใบหน้าของหมอหนุ่มกลับฉาบพรายไปด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าชอบ”

ยังจะมีหน้ามาตอกย้ำให้เขาได้อับอายยิ่งกว่าเดิม จ้าวจื่อถงอยากจะบริภาษนัก แต่ก็ไร้ซึ่งถ้อยคำใดจะเอ่ยออกมา ร้ายกว่านั้นเขายังรู้สึกอีกด้วยว่าลีจีซองในยามนี้...ช่างหล่อเหลารูปงามยิ่งนัก

อันที่จริง ลีจีซองก็เป็นบุรุษรูปงามอยู่แล้ว ดวงหน้าคมคาย ผิวพรรณนวลผ่อง ท่าทางเจ้าสำอางไม่ต่างจากคุณชายสกุลใหญ่นั้นทำให้เขาดูสง่างาม และดูงดงามมากขึ้นอีกเป็นเท่าตัวเมื่อได้พิศดวงหน้าใกล้ๆ อย่างเช่นตอนนี้

ลีจีซองช่างเป็นบุรุษที่รูปงามมากจริงๆ...

จ้าวจื่อถงหลงเคลิบเคลิ้มไปแล้ว ลืมสิ้นว่าก่อนหน้านี้ตนหมายจะผลักไสอย่างใด

น่าแปลกเหลือเกิน ทั้งที่เขาก็เติบโตและใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางบุรุษนับพันนับหมื่นมาตลอด แต่เหตุใดถึงได้มองว่าลีจีซองงดงามจนน่าหลงใหลกัน

และเขาคงจะได้หลงใหลหมอหนุ่มไปมากกว่านี้เมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็ขยับกายมาอยู่ตรงหน้าเขา ก่อนกระถดตัวลงต่ำจนกลางลำตัวของจ้าวจื่อถงอยู่ในระดับสายตา

จ้าวจื่อถงเห็นก็รู้ทันทีว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น ทว่าก็ไม่ออกปากห้าม ปล่อยให้ลีจีซองได้ปลดเปลื้องอาภรณ์ของตนออกและทักทายกับมังกรน้อยราวกับว่ารู้จักสนิทสนมกันดี

“ตรงนี้ของเจ้าคงทนไม่ไหวแล้วกระมัง”

ว่าพลางใช้ปลายนิ้วแตะเบาๆ ที่ปลายยอดให้สั่นไหว จ้าวจื่อถงไม่พูดสิ่งใด เบือนหน้าหนีแทน ขณะที่ลีจีซองหัวเราะในลำคอ พลันกอบกุมแท่งเนื้ออุ่นร้อนเอาไว้

“ถ้าเช่นนั้นข้าจะช่วยปลดปล่อยให้แล้วกัน”

ไม่ปฏิเสธแล้ว... ไม่มีการขัดขืนอีกต่อไป จ้าวจื่อถงปล่อยให้ลีจีซองได้ทำตามใจ ขณะที่หมอหนุ่มค่อยๆ โน้มใบหน้าลงไปจรดจูบที่ส่วนปลาย ก่อนไล่ปลายลิ้นชิมรสไปทั่วทุกอณูผิว

จ้าวจื่อถงรู้สึกว่าร่างกายของตนเองร้อนผะผ่าวยิ่งกว่าเดิม โดยเฉพาะบริเวณแก่นกายกลางลำตัว ริมฝีปากนุ่มที่สัมผัสลงมาทำให้เขาปั่นป่วนมวนช่องท้องไปหมด ในหัวก็เวียนหมุนราวกับเกิดพายุคลั่ง ก่อนที่จะรู้สึกราวกับถูกมือใหญ่จากฟากฟ้าฉุดกระชากเมื่อโพรงปากอุ่นร้อนครอบครองลงมา

จ้าวจื่อถงถึงกับขืนตัวไปเล็กน้อย แต่เมื่อถูกลีจีซองยึดให้อยู่นิ่งๆ ก็ทำตามอย่างเชื่อฟัง พลันปล่อยให้ตนเองเคลิบเคลิ้มไปกับรสสัมผัสที่ถูกมอบให้

ปลายลิ้น ริมฝีปาก ความเฉอะแฉะอุ่นร้อนจากโพรงปาก... ล้วนแล้วทำให้เขาเชื่อฟังราวกับเป็นม้าเชื่อง

ไม่นานแม่ทัพหนุ่มก็รู้สึกราวกับว่าตนเองถูกกระชากสู่สรวงสวรรค์ ความอภิรมย์ที่ถูกสะกดกลั้นอยู่ภายในพุ่งออกมาเป็นสาย ร่างกายของเขากระตุกเกร็งอยู่หลายครั้งกว่าจะสงบลงได้ สายตาจับจ้องไปยังหมอหนุ่มที่ยังคงดูดกลืนแกนกายของเขาไม่หยุด ก่อนจะต้องเบิกตาโพลงเมื่อเห็นว่าทุกหยาดหยดถูกกลืนกินสิ้น

“ท่าน...”

ลีจีซองเหลือบสายตาขึ้นมอง ครั้นถอนริมฝีปากออกมาก็ถาม

“มีสิ่งใดหรือ”
“ท่านกลืน...”

ไม่กล้าพูดต่อแล้ว ใบหน้าคร้ามของจ้าวจื่อถงแดงเรื่อทีเดียว แต่ถึงไม่ถาม ลีจีซองก็เดาได้ว่าอีกฝ่ายหมายจะพูดอะไร

“ข้ากลืนลงไปแล้ว”

ตอกย้ำให้อับอายมากกว่าเดิมเสียเลย จ้าวจื่อถงถึงกับเบือนหน้าหนี อับจนซึ่งคำพูดด้วยไม่รู้ว่าจะว่าอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ดี ขณะที่ลีจีซองว่าเย้า

“ข้าจ่ายค่าปิดปากให้เจ้าแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่แพร่งพรายเรื่องที่ไม่สมควรพูดออกไป”

จ้าวจื่อถงเบนสายตากลับมามองก็พบว่าอีกฝ่ายหยักยิ้มอยู่เบื้องหน้า

“ข้าเป็นเพียงหมอต่ำต้อย ไม่ใช่ผู้อื่นใดทั้งนั้น เจ้าเข้าใจใช่ไหม”

แม่ทัพหนุ่มไม่พูดสิ่งใด ได้แต่ปั้นหน้าถมึงทึง

“คิดว่าทำเช่นนี้แล้วจะทำให้ข้าสงบปากสงบคำได้หรือ”
“ข้ารู้ว่าเจ้าฉลาด” ลีจีซองว่า “เจ้าคงไม่อยากให้ใครรู้เช่นกันว่าเจ้าเป็นใคร”

เหมือนกับว่าลีจีซองยังมีไม้ตายอื่นอยู่ จ้าวจื่อถงถึงกับสงบปากสงบคำ ไม่พูดพร่ำสิ่งใด เว้นเสียแต่ค่อนขอดออกมาเท่านั้น

“เจ้าคนเจ้าเล่ห์”

ลีจีซองหยักยิ้มพลางหัวเราะในลำคอน้อยๆ ก่อนจะยื่นใบหน้ามาประกบจูบริมฝีปากของจ้าวจื่อถงแผ่วเบา ครั้นผละออกไปก็กระซิบ

“ข้าจ่ายค่าปิดปากให้เจ้าก้อนโตเลยทีเดียว ท่านแม่ทัพ”

สิ้นเสียงก็ผุดลุกขึ้น ออกปากสั่งส่งท้าย

“คืนนี้พักผ่อนเถิด บาดแผลนี้คงทำให้เจ้าเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย ไว้พรุ่งนี้ข้าจะมาดูอาการใหม่”

จากนั้นก็ผลุบหายออกไปจากห้อง ทิ้งให้จ้าวจื่อถงนั่งอยู่ที่เดิม

แม่ทัพหนุ่มชำเลืองมองสภาพของตนเองในยามนี้ซึ่งอาภรณ์หลุดลุ่ยและแท่งเนื้อแข็งขืนเมื่อครู่อ่อนนุ่มลงไปแล้วก็ได้แต่หัวเสีย
เหตุใดแม่ทัพเช่นข้าจะต้องมาเสียทีให้กับท่านหมอต่ำต้อยที่เจ้าว่ากันด้วย!?

เสน่ห์เย้ายวน มารยามากมายหลายเล่มเกวียนยิ่งกว่าหญิงคณิกาก็คงจะเป็นท่านหมอลีจีซองนี่กระมัง



 
หลังจากที่ถูกลอบทำร้าย ลีจีซองก็ละเว้นการไปที่หอคณิกาทันที ด้วยทุกฝ่ายต่างเกรงว่าเขาจะถูกลอบทำร้ายซ้ำ เพราะดูจากรูปการแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งคงจะรู้ตัวแล้วว่าพวกขุนนางขี้เมาคิดจะกระทำสิ่งใด

แต่นั่นก็หาใช่เรื่องสลักสำคัญที่จ้าวจื่อถงจะสนใจ เพราะสิ่งที่เขาสนใจก็คือลีจีซองแต่ผู้เดียว ทว่าก็หาใช่ในเรื่องที่ดีนัก ค่อนข้างไปในเชิงไม่ชอบใจเสียมากกว่า นั่นก็เพราะการหลงใหลเคลิบเคลิ้มไปกับการจ่ายค่าปิดปากของลีจีซองนั้นทำให้จ้าวจื่อถงทำแผนการของตนเองเสีย เขาไขว้เขวมากทีเดียว จากที่หมายจะล้วงเอาข้อมูลเรื่ององค์หญิงเยจีจากลีจีซองมาให้จงได้ กลับกลายเป็นว่าวันทั้งวันเอาแต่นั่งลอบมองท่านหมอด้วยความหลงใหล

บัดซบนัก! อย่าคิดว่าค่าปิดปากของเจ้าจะซื้อข้าได้นะ!

ประเดี๋ยวหงุดหงิดงุ่นง่าน ประเดี๋ยวเหม่อลอยเคลิบเคลิ้ม สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มิหนำซ้ำอารมณ์ยังแปรปรวน ทำเอายองแจไม่กล้าเข้าใกล้แล้ว เว้นเสียก็แต่ลีจีซองที่พอจะรู้ว่าเพราะสาเหตุอะไร จ้าวจื่อถงถึงได้หงุดหงิดเช่นนี้ แล้วก็กระจ่างชัดในท้ายที่สุดเมื่อจ้าวจื่อถงทนไม่ไหว ตรงรี่เข้ามาหาเขาหลังจากที่โรงหมอปิดทำการ

“อย่าคิดว่าข้าจะยอมเชื่อฟังท่านง่ายๆ ท่านหมอ”

จู่ๆ ก็พรวดพราดเดินมาบอก ลีจีซองที่กำลังเก็บข้าวของอยู่เหลือบมองหน้า ถามด้วยสีหน้าไม่รู้ร้อน

“เรื่องอะไรหรือ”

จ้าวจื่อถงส่งเสียงสูงขึ้นจมูก ก่อนสวนกลับ

“อย่ามาทำไขสือไม่รู้เรื่อง ก็เรื่องที่ท่าน...!”
“ชู่ว์” ยังไม่ทันจะได้พูด ลีจีซองก็ส่งเสียงแทรกมาแล้ว “เบาเสียงหน่อย อยากให้ยองแจรู้หรือไรว่าข้ากับเจ้าทำสิ่งใดกัน”
จ้าวจื่อถงตระหนักในตอนนี้นี่เองว่ารอบข้างยังมีเด็กหนุ่มอยู่อีกคน พลันก็รีบผ่อนเสียงลงทันใด
“เรื่องที่ท่านจ่ายค่าปิดปากให้ข้าด้วยวิธีนั้นอย่างไร”

เบาเสียจนแทบกลายเป็นกระซิบเลยทีเดียว ท่าทางนั้นทำเอาลีจีซองหัวเราะออกมา

“แล้วไม่ดีหรือ”
“ไม่ดี!”

เสียงดังขึ้นมาอีกแล้ว จ้าวจื่อถงปั้นหน้าน่ากลัวเลยทีเดียว ขณะที่ลีจีซองยังคงมีสีหน้าระรื่นดังเดิม

“ไม่ดีอย่างไร เจ้าก็ดูชอบออก”
“ไม่ดีตรงที่ข้ากับท่านเป็นบุรุษน่ะสิ!”

เผลอลืมตัวเสียงดังอีกแล้ว ลีจีซองส่งเสียงจุ๊ปากให้เบาลงอีกครั้ง ครั้นเห็นสีหน้าของจ้าวจื่อถงดำทะมึนไปหลายส่วน เขาก็ยิ่งนึกสนุก ก่อนจะถามด้วยความสงสัย

“มันแปลกหรือ”
“แปลก”
“อย่างนั้นหรือ แต่ข้าได้ยินมาว่าพวกทหารชั้นผู้ใหญ่ ยามไปออกทัพจับศึก ห่างฮูหยิน ห่างสตรีไปนานๆ ก็มักจะเรียกเอาทหารชั้นผู้น้อยมาให้ปรนนิบัติปรนเปรอมิใช่หรือ”

เรื่องนั้นก็ใช่ จ้าวจื่อถงเคยเห็นพวกแม่ทัพนายอื่นเรียกทหารชั้นผู้น้อยไปปรนนิบัติยามค่ำคืนเหมือนกัน แต่ไม่ใช่กับแม่ทัพสกุลจ้าว

“ข้าไม่เคยเรียกผู้ใดให้ไปปรนนิบัติ”
“หืม?”
“เพราะการทำเช่นนั้นจะทำให้กองทัพเสียวินัย”

ลีจีซองพยักหน้ารับน้อยๆ ได้ยินอย่างนี้ก็พอจะเดาได้เลยว่านอกจากจะดื้อรั้นแล้ว จ้าวจื่อถงยังเป็นคนที่มีเคร่งครัดในกฎระเบียบมากอีกด้วย

“แต่เจ้าจะใส่ใจไปทำไม ในเมื่อสิ่งที่ข้าทำให้เจ้ามันก็ทำให้รู้สึกดี”
“ท่าน...”
“หรือเจ้าจะเถียงว่าไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น?”

จ้าวจื่อถงอับจนคำพูด นอกจากจะดื้อรั้นและเคร่งครัดในกฎระเบียบแล้ว ยังเป็นคนที่โกหกไม่เก่งอีกด้วย
ช่างซื่อตรงกับความรู้สึกอะไรเช่นนี้...

ท่าทางนั้นทำให้ลีจีซองอยากจะหยอกล้อ ยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้พลันกระซิบ

“รู้ตัวไหมว่าเจ้าน่ะ...”
“...”
“...น่ารัก”

จ้าวจื่อถงแทบจะคว้าเอาของใกล้มือมาตีแสกใบหน้าหล่อเหลาของท่านหมอในบัดดล แต่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้นอกจากยืนหน้าง้ำให้ลีจีซองได้กลั่นแกล้งไม่เลิก

“หากเจ้าชอบ ข้าจะยอมจ่ายค่าปิดปากให้เจ้าเพิ่มอีกสักหน่อยก็แล้วกัน”
“...”
“ไว้หลังทำแผลให้เจ้าเสร็จ ข้าจะจ่ายให้อย่างงาม”

ผู้ใดอยากจะได้ค่าปิดปากจากเจ้ากัน เจ้าหมอมากตัณหา!

พูดก็ไม่ได้ เถียงก็ไม่ทัน พ่ายแพ้อยู่ร่ำไป ได้แต่มองตามแผ่นหลังของลีจีซองที่เดินห่างออกไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
อย่าหวังจะมาจ่ายค่าปิดปากให้เขาเลย เพราะเขาจะไม่ยอมให้กระทำตามใจอีกแล้ว!



 
แต่เอาเข้าจริง จ้าวจื่อถงก็ทำไม่ได้ นอกจากจะไม่ปฏิเสธค่าปิดปากที่ลีจีซองจ่ายให้หลังทำแผลแล้ว เขายังเป็นผู้เรียกร้องตักตวงจากอีกฝ่ายเสียด้วย จากครั้งแรกที่ลีจีซองเป็นฝ่ายกระทำ ครั้งนี้ล้วนแล้วเป็นจ้าวจื่อถงที่ลงมือกับท่านหมออย่างอุกอาจเสียอย่างนั้น

แม่ทัพหนุ่มเอนร่างของท่านหมอให้ล้มลงนอน พลันขึ้นไปทาบทับ จูบพรมไปทั่วใบหน้าและลำคอ มือสากหนาก็ลูบตะโบมไปทั่วผิวเนื้ออุ่นร้อนนวลเนียนอย่างกระหาย แม้ว่าจะไม่ได้กระทำกันจนถึงที่สุด แต่จ้าวจื่อถงก็อิ่มเอมกับการได้ทำอย่างนี้เสียเหลือเกิน
ครั้งแรกผ่านไป ครั้งที่สองก็ตามมา จากนั้นก็ครั้งที่สาม...สี่...ห้า...

วันเดียวคงจะไม่พอที่จะสนองความใคร่ของแม่ทัพหนุ่มผู้นี้ ทุกครั้งที่ลีจีซองมาทำแผลให้จนเสร็จสิ้น ก็ดูเหมือนว่าจากนั้นจะตกเป็นเบี้ยล่างให้แม่ทัพหนุ่มได้ล่วงเกินอยู่เรื่อย

คนที่มากตัณหา...ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นเขาเสียแล้ว

คืนนี้ก็เช่นกันที่ลีจีซองต้องมานอนทอดกายให้แม่ทัพหนุ่มได้หยอกล้อ เสียงหัวเราะดังแผ่วมาจากคนใต้ร่างเมื่อเห็นว่าสีหน้าของจ้าวจื่อถงยามสัมผัสร่างกายตนนั้นดูเคร่งเครียดเสียเหลือเกิน

“เพียงแค่จะกอดข้าแค่นี้ เจ้าถึงกับต้องปั้นหน้าดุดันเช่นนั้นเลยหรือ”

จ้าวจื่อถงที่กำลังกระชากอาภรณ์ของคนใต้ร่างออกชะงัก ว่าด้วยน้ำเสียงขุ่นข้อง

“เพราะข้าไม่คิดว่าตนจะเป็นฝ่ายทำเช่นนี้กับท่านน่ะสิ”
“แล้วไม่ดีหรือ”
“ไม่ดี”
“เพราะ?”
“เพราะท่านทำให้ข้าบ้าคลั่ง”
“หืม?”

จ้าวจื่อถงไม่อธิบายต่อหรอกว่าทำให้เขาบ้างคลั่งอย่างไร เพียงการกระทำของเขาก็คงจะเป็นคำตอบได้ชัดเจนแล้ว
ท่านหมอต่ำต้อยผู้นี้เสน่ห์เย้ายวนนักจนเขาอดใจที่จะล่วงเกินไม่ไหวแล้ว...

ไม่พูดไม่จา โน้มหน้าพรมจูบไปทั่วซอกคอหอมกรุ่มของหมอหนุ่ม ลีจีซองไม่เคยส่งเสียงประหลาดออกมาให้ได้ยินเลยสักครั้ง มีแต่เสียงหัวเราะเมื่อเห็นท่าทางงกๆ เงิ่นๆ ของแม่ทัพหนุ่ม

“เจ้าไม่เคยมีสัมพันธ์ทางกายกับผู้ใดหรือ”

จู่ๆ ก็ถามออกมาอีกด้วย ทำเอาจ้าวจื่อถงถึงกับชะงัก

“ไยถึงถามเช่นนี้”
“ก็เจ้าเงอะงะ” ลีจีซองว่า พลางดันตัวขึ้นนั่ง “แล้วก็ดูไม่ชำนาญ”

จ้าวจื่อถงนิ่งไม่ตอบ แต่นั่นล่ะคือคำตอบ

เขาไม่เคยมีสัมพันธ์ทางกายกับผู้ใด...

ไม่เคย...ไม่เคยเลย การได้มีปฏิสัมพันธ์กับลีจีซองนั้นนับว่าเป็นครั้งแรกในชีวิต ขณะที่ลีจีซองยิ้มกริ่มออกมา

“เจ้าช่างน่าเอ็นดู”

มิวายยื่นมือมาช้อนปลายคางอีกฝ่ายหยอกเย้าอีก จ้าวจื่อถงหน้าแดงเรื่อขึ้นมาน้อยๆ พลันหันหนี

“แต่ก็ใช่ว่าข้าจะทำให้เจ้าพอใจไม่ได้”

ถึงจะไร้ประสบการณ์ แต่เรื่องของศักดิ์ศรี ผู้ใดก็จะมาหมิ่นไม่ได้ล่ะสินะ

 “ข้าพอใจที่เห็นเจ้าคลั่งไคล้หลงใหลข้า” ลีจีซองหัวเราะในลำคอ ก่อนจะทำหน้าเจ้าเล่ห์เมื่ออีกฝ่ายชำเลืองมอง “แต่ก็ใช่ว่าข้าจะพอใจที่ได้อยู่ข้างล่างตัวของเจ้า”

สิ้นเสียงก็ไม่ปล่อยให้จ้าวจื่อถงได้แทรกสิ่งใด พลิกตัวขึ้นมาเป็นฝ่ายคร่อมร่างของแม่ทัพหนุ่มเอาไว้ กว่าที่อีกฝ่ายจะได้ตั้งตัวก็ตกอยู่เบื้องล่างแทนแล้ว

“ข้าพอใจที่จะได้ปรนนิบัติเจ้ามากกว่า เพราะข้าเชี่ยวชาญกว่า”

ปรนนิบัติอย่างไร ชัดเจนอยู่แล้ว แต่ที่บอกว่าเชี่ยวชาญกว่านั้นช่างไม่เข้าหูเสียเลย

กระนั้นจ้าวจื่อถงก็ไม่ได้โต้ตอบจะเอาชนะแต่อย่างใด เขายอมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ก็ได้ถ้าหากว่าอีกฝ่ายจะมอบความอภิรมย์ให้ตน

“ในเมื่อท่านมั่นใจในกระบวนเพลงรักของตนเองนัก ข้าก็อยากจะรู้ว่าท่านจะทำได้ดีกว่าข้าสักเท่าใด”

ลีจีซองหยักยิ้ม ประทับจูบลงมาบนริมฝีปากหนา ดูดกลืนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะผละมากระซิบเย้า

“เช่นนั้นค่าจะจ่ายค่าปิดปากให้เจ้าจนเจ้าลุกไม่ขึ้นเลยแล้วกัน”



 
ค่ำคืนนี้ช่างยาวนาน จ้าวจื่อถงได้รับการปรนนิบัติจนผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว เขาสบประมาทไว้ว่าท่านหมอไม่น่าจะมีเรี่ยวแรงมากพอที่จะทำให้เขาพอใจ แต่เมื่อไปท้าทายเช่นนั้น ก็กลายเป็นว่าเขานี่ล่ะที่สลบเหมือดไปคามือ

ขนาดไม่ได้กระทำกันถึงที่สุด มีเพียงแต่กระทำภายนอกแท้ๆ ยังทำให้เขาหมดแรงได้ถึงเพียงนี้ ท่านหมอช่างเป็นบุคคลที่อันตรายเสียจริง!

มารู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนรุ่งเช้าของวันใหม่ หากแต่ไม่ได้รู้สึกตัวเพราะตื่นขึ้นมาเอง แต่เป็นเพราะหูได้ยินเสียงเคาะประตูจากทางด้านนอก

ลีจีซองผุดลุกจากเตียงไปสวมเสื้อผ้า จากนั้นก็เปิดประตูออก ยองแจเป็นผู้มาเคาะเรียก พลันเด็กหนุ่มก็หน้าแดงแปร๊ดขึ้นมาเมื่อพบว่าเมื่อคืนนี้ท่านหมอนอนร่วมเตียงกับท่านแม่ทัพ แต่นั่นก็ไม่น่าเขินอายได้เท่ากับแม่ทัพผู้นั้นยังคงอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าอยู่เลย

“มีอะไรหรือยองแจ”

เห็นเด็กหนุ่มไม่พูดสักที เอาแต่จับจ้องไปยังจ้าวจื่อถงที่ลุกขึ้นมานั่งงัวเงีย ลีจีซองก็เป็นฝ่ายถาม ครั้นเด็กหนุ่มได้สติก็รีบร้องบอกธุระทันที

“เมื่อครู่มีคนจากราชสำนักมาขอรับ”

สีหน้าใจดีของลีจีซองแปรเปลี่ยนเป็นดุดันเล็กน้อย

“แล้วทำไมถึงไม่เรียกข้า”
“ก็...ใต้เท้าผู้นั้นบอกว่าไม่ต้องเรียก แค่ให้มอบสิ่งนี้ให้ท่านเท่านั้น”

ยองแจว่าไปตามจริง ก่อนรีบกุลีกุจอยื่นม้วนกระดาษเล็กๆ ให้

ลีจีซองไม่ได้ว่าสิ่งใด รับม้วนกระดาษมาคลี่ดู พลันสีหน้าก็เคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม ทำเอาคนมองอย่างจ้าวจื่อถงอดไม่ได้ที่จะถาม

“มีอะไรสำคัญหรือไร ถึงได้ทำหน้าตาเหมือนถูกคำสั่งให้ตายเสียอย่างนั้น”

ลีจีซองผินหน้ามามอง ตอบเสียงห้วน “ไม่มีธุระสำคัญอะไร”

“แล้วท่านทำหน้าเช่นนั้นทำไม”

ลีจีซองคิดว่าไม่จำเป็นต้องบอกหรอกเพราะไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนอื่น แต่ในเมื่อเห็นทำหน้าสงสัยใคร่รู้กัน เขาก็จะบอกก็ได้

“องค์จักรพรรดิเรียกข้าเข้าเฝ้าเป็นการด่วน”
__________________
หายไปหลายวัน กลับมาแล้วจ้า เกเรอีกละ 555
พรุ่งนี้เจอกันตอนใหม่นะคะ
 
 
 
 
 

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :haun4:



แอร้ยยย

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
บทที่ 11: คนโปรดขององค์จักรพรรดิ[1]

“เหตุใดองค์จักรพรรดิถึงเรียกเจ้าเข้าเฝ้า?”

คล้อยหลังยองแจ จ้าวจื่อถงที่ยังคงนั่งอยู่บนเตียงก็ออกปากถามทันใด ลีจีซองไม่ตอบ ตรงไปสวมอาภรณ์ด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ทำเอาคนที่ยังคงเปลือยเปล่าอยู่ทำหน้าบึ้ง พลันถามออกมาอีก

“หูหนวกหรืออย่างไร ข้าถามท่าน ไม่ได้ยินหรือ”

ได้ยินสิ ได้ยินเต็มสองหูเลย แต่ลีจีซองไม่เห็นว่านั่นเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายควรรู้จึงไม่ได้ตอบสิ่งใดกลับไป และท่าทางเมินเฉยนั่นก็ชักจะทำให้คนมองมีน้ำโหขึ้นมาแล้ว

“หากท่านไม่ตอบ ก็ไม่ต้องคิดที่จะไปไหนทั้งนั้น!”

เอาแต่ใจมันเสียเลย แม่ทัพวัยฉกรรจ์ ซ้ำยังอารมณ์ร้อนมุทะลุเอาแต่ใจถึงเพียงนี้ก็หาใช่เรื่องแปลก แต่ท่าทางน่ากลัวและสีหน้าบึ้งตึงนั้นกลับไม่ได้ทำให้ลีจีซองหวาดเกรงได้เลยแม้แต่น้อย ครั้นหันไปเห็นสีหน้าบูดบึ้งก็กลั้วหัวเราะขึ้นมาในลำคอ เป็นเหตุให้ถูกดุกลับอีก

“หัวเราะสิ่งใด มีอะไรให้น่าขำนัก”

“หัวเราะเจ้า”

ลีจีซองว่าเสียงเรียบ ทำให้จ้าวจื่อถงลุกพรวดขึ้นจากเตียง ร่างกายเปลือยเปล่ากำยำชวนให้ชายตามองเสียเหลือเกิน ลีจีซองเผลอเบนความสนใจไปจับจ้องอยู่ครู่หนึ่งทีเดียว แต่แล้วก็เบนสายตาไปจ้องมองยังใบหน้าคร้ามคมเมื่ออีกฝ่ายเข้ามาใกล้

“ข้ามีอะไรให้น่าหัวเราะนักหรือไร”

ไม่มี... ไม่มีเลย เป็นแม่ทัพองอาจ รูปร่างกำยำสง่างาม สิ่งเหล่านี้ไม่น่าขำ แต่ที่น่าขำก็คือ...

“หึๆ”

ลีจีซองหลุดหัวเราะออกมาอีก ยิ่งทำให้เรียวคิ้วกระบี่ของจ้าวจื่อถงขมวดมุ่น

“ท่าน...”

ชักรำคาญแล้ว เหตุใดถึงได้เห็นเขาเป็นตัวตลกอย่างนี้กัน

“ข้าไม่หัวเราะเจ้าแล้ว”

ลีจีซองรีบร้องบอกก่อนที่อีกฝ่ายปั้นหน้าดำทะมึนไปมากกว่านี้ แต่ดูท่าจ้าวจื่อถงจะไม่พอใจเท่าไรนัก อยากได้คำตอบจากคำถามเมื่อครู่ไม่พอ ยามนี้อยากได้คำตอบจากคำถามนี้ด้วย

“แล้วข้ามีสิ่งใดให้น่าขำ”

จะไม่ตอบก็ไม่ได้ อีกฝ่ายยืนจังก้าหาเรื่องเขาเต็มที่อย่างนี้ เห็นทีคงต้องตอบแล้วล่ะ

“ตัวเจ้า ร่างกายเจ้า ไม่มีสิ่งใดให้น่าขำ”

“...”

“แต่ที่ข้าหัวเราะ นั่นเป็นเพราะนิสัยของเจ้าต่างหาก”

ยิ่งได้ยิน เรียวคิ้วยิ่งขมวดมุ่น จ้าวจื่อถงไม่เข้าใจนักว่าอีกฝ่ายหมายถึงนิสัยเขาอย่างไหนที่ทำให้น่าหัวเราะ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อจู่ๆ ลีจีซองก็ยื่นนิ้วมือมาคลี่หัวคิ้วที่ยับย่นของเขาออกจากกัน

“เพราะเจ้าเอาแต่ใจไม่ต่างจากเด็กเล็กๆ ข้าถึงได้หัวเราะเจ้า”

น้ำเสียงนั้นช่างฟังดูอ่อนโยน มิหนำซ้ำรอยยิ้มที่ระบายอยู่บนใบหน้างามก็ทำให้จ้าวจื่อถงชะงักงันไปชั่วครู่

คนตรงหน้าช่างงดงามดุจเทพเซียน ไม่แปลกหากเขาจะเผลอตัวเผลอใจหลงใหลในบุรุษด้วยกันเช่นนี้

แต่… นั่นไม่ใช่เรื่องที่จะมาคิดในตอนนี้ เขาต้องรู้ให้ได้ต่างหากว่าเหตุใดจู่ๆ องค์จักรพรรดิแห่งโชซอนถึงได้มีรับสั่งให้เรียกตัวท่านหมอต่ำต้อยผู้นี้เข้าวัง

“ตกลงเจ้าจะบอกข้าได้หรือยังว่าเหตุใดองค์จักรพรรดิของท่านถึงได้เรียกตัวท่านเข้าวัง”

ลีจีซองระบายลมหายใจเล็กน้อย ตอแยถึงเพียงนี้ ไม่ตอบก็เห็นจะไม่ได้ ดูท่าถ้าอีกฝ่ายไม่ได้คำตอบ เขาคงไม่ได้เข้าวังเพราะถูกขัดขวางไว้เป็นแน่

“ข้าเป็นหมอ ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องโอสถหรืออาการประชวร”

จ้าวจื่อถงหรี่ตาลงทันควัน จับพิรุธได้ทันทีว่าอีกฝ่ายโกหกคำโต

“ท่านคิดว่าข้าจะเชื่ออย่างนั้นหรือ”

ก็รู้อยู่หรอกว่าไม่เชื่อ แต่ลีจีซองก็ไม่ยอมแพ้ หรี่ตามองอย่างเจ้าเล่ห์ หยอกเย้าด้วยน้ำเสียงระรื่นเล็กน้อย

“เจ้าพูดราวกับว่าไม่อยากให้ข้าเข้าวัง”

“เอ๊ะ?”

“ถามซักไซ้ราวกับว่าเป็นฮูหยินของข้า ไปไหน พบใคร ทำอะไร ที่ไหน... ต่างอะไรจากฮูหยินคาดคั้นสามี”

ได้ยิน จ้าวจื่อถงก็หน้าแดงทันที

น่าตายนัก! เขาทำอย่างนั้นเสียที่ไหน ไม่ต้องมาไล่ต้อนเขากลับเลย!

“ข้าเปล่า”

แม่ทัพหนุ่มปฏิเสธทันควัน แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเสียท่าให้กับท่านหมอเสียแล้ว

“แล้วถามซักไซ้ไม่เลิกรา คาดคั้นเพื่อการใดหืม?”

น้ำเสียงทะเล้นเสียเหลือเกิน จ้าวจื่อถงหน้าดำทะมึนไปหลายส่วนแล้ว

“ข้าก็แค่อยากรู้”

“อยากรู้... หรือว่าจะหึงหวงข้า กลัวว่าข้าจะชายตามองผู้อื่นกัน?”

ไม่พูดเปล่า ยังขยับเข้ามาใกล้เสียจนใบหน้าแทบชิดกัน ก่อนที่จ้าวจื่อถงจะขนลุกเกรียวไปทั้งตัวเมื่อฉับพลัน ริมฝีปากนุ่มของหมอหนุ่มก็ประทับลงมายังซีกแก้มของเขา

“ข้ามีเพียงเจ้า... มีสัมพันธ์ก็เพียงแต่เจ้า ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ข้าไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนในวังหลวงแน่”

เขาไม่ได้เกรงว่าลีจีซองจะทำอย่างนั้นเลยสักนิด! อย่ามาพลิกตัวเป็นต่อกับเขาอย่างนี้นะ!

“ข้าไม่ได้เกรงเช่นนั้น! ท่านจะไปทำอะไร ที่ไหน กับผู้ใด มันก็เรื่องของท่าน! ไม่เกี่ยวกับข้า!”

จ้าวจื่อถงร้องลั่นทั้งใบหน้าแดงๆ ลีจีซองหัวเราะร่วนกับท่าทางน่าเอ็นดูนั่น ก่อนจะตัดบท

“ถ้าเช่นนั้นข้าจะถือว่าเจ้าไม่อยากรู้ ข้าไปก่อนแล้วกัน”

นี่ล่ะคือโอกาสในการเลี่ยงการตอบคำถาม แต่จ้าวจื่อถงดื้อดึงเกินกว่าจะยอมศิโรราบโดยง่าย ครั้นเห็นอีกฝ่ายจะผละออกจากห้องไป สองขาก็รีบก้าวเข้ามาคว้าท่อนแขนเอาไว้ พลันพูดขึ้นมาอีก

“ข้าจะปล่อยท่านไปก็ต่อเมื่อท่านยอมตอบคำถามข้า”

“คำถามใด”

“ท่านคือผู้ใด”

คำถามนี้อีกแล้ว ท่านหมอไม่ตอบหรอก เพียงยิ้มให้ก็ทำท่าจะดึงแขนออกจากการเกาะกุม แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อจู่ๆ จ้าวจื่อถงก็ว่ายาว

“ท่านรู้จักสนิทสนทกับพวกขุนนางในวัง ไปเที่ยวหอคณิกาทั้งที่ไม่เคยไปมาก่อน มิหนำซ้ำยังถูกคนลอบปองร้าย ท่านคิดว่าข้าจะเชื่อว่าที่องค์จักรพรรดิเรียกท่านเข้าวังเป็นเพราะเรื่องโอสถหรือไม่ก็อาการประชวรหรือไร”

“...”

“ข้าเองก็เป็นแม่ทัพ ท่านพ่อของข้าคือแม่ทัพใหญ่ อุบายตื้นๆ กับการหลอกล่อให้ข้าเขินอายแค่นี้ คิดว่าข้าจะหลงกลง่ายๆ อย่างนั้นหรือ”

“...”

“หมอต่ำต้อยเช่นท่าน หากไม่ได้สลักสำคัญใดๆ แล้ว องค์จักรพรรดิจะเรียกตัวท่านเข้าวังทำไมกัน”

ลีจีซองสบตาอีกฝ่าย เขาก็ลืมไปว่าคนตรงหน้าหาใช่ชาวบ้านหรือเด็กเล็กๆ ที่หลอกได้ง่ายๆ แต่เป็นถึงแม่ทัพแห่งแผ่นดินใหญ่ อุบายเล่ห์กลลวงอะไร ล้วนแล้วผ่านมาทั้งหมดทั้งสิ้น พลันหมอหนุ่มก็อับจนคำพูด ถอนหายใจออกมาอย่างจนมุม

“ก็ได้ ข้ายอมเจ้าแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นก็บอกมาว่าเรียกท่านไปทำไม”

จ้าวจื่อถงยืดตัวขึ้น มือกอดอก วางท่าราวกับผู้มีชัย ทำให้ลีจีซองระบายยิ้มออกมาเล็กน้อย

“ข้าเองก็ไม่รู้”

แต่ทว่าคำตอบของหมอหนุ่มก็ทำให้จ้าวจื่อถงต้องมุ่ยหน้าไปอีกครา

“ไม่รู้? ไม่รู้ได้อย่างไร ในเมื่อท่านถูกเรียก ท่านก็ต้อง...”

“ถูกเรียกตัวกะทันหัน ราชโองการใดๆ ก็ไม่มี เพียงส่งคนมาแจ้งข่าว บอกให้ยองแจมาบอกข่าวกับข้า เจ้าคิดว่าข้าจะรู้สิ่งใดอย่างนั้นหรือ”

พูดยังไม่ทันจบ ลีจีซองก็แทรกสวนขึ้นมาเสียก่อน จ้าวจื่อถงชะงักงันไป

จริงอย่างที่คนตรงหน้าพูด การเรียกตัวไปครั้งนี้แลดูค่อนข้างจะฉุกละหุกอยู่ไม่น้อย มิหนำซ้ำยังดูค่อนข้างจะเป็นความลับ

ความลับ...

ถ้าอย่างนั้น...

“เช่นนั้นท่านก็คงจะสำคัญต่อองค์จักรพรรดิมากเลยกระมัง ฝ่าบาทของท่านถึงได้เรียกตัวอย่างลับๆ เช่นนี้”

ลีจีซองไม่ตอบ ยกยิ้มให้ก่อนจะคว้าเสื้อนอกมาสวมทับ พลันตรงไปคว้าหวีมาสางเส้นผมสลวยเพื่อรวบขึ้นเป็นมวย จากนั้นก็คว้าหมวก หากแต่เมื่อแต่งตัวเสร็จก็ไม่ได้ออกจากห้องไปไหนเมื่อเห็นว่าจ้าวจื่อถงยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ทอดสายตากดดันคาดคั้นเอาคำตอบจากเขา

“ข้าก็ไม่แน่ใจนักว่าสำคัญหรือไม่”

ในที่สุดลีจีซองก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ ปริปากออกมาจนได้ สายตาที่ทอดมองกลับมายังอีกคนนั้นอ่านยากเสียจนเดาไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ แต่ชั่วแวบหนึ่ง จ้าวจื่อถงรู้สึกว่ามันช่าง...ดูเศร้าสร้อย คำพูดและความสงสัยที่มีอยู่ในใจพลันมลายหายไป ไม่กล้าพูดสิ่งใดออกมา ปล่อยให้อีกฝ่ายได้เอ่ยปาก

“ข้าไปก่อน หากต้องการสิ่งใดก็ให้บอกกับยองแจ วันนี้โรงหมอคงจะปิดทำการ ข้าจะกลับมาช่วงเย็น”

สิ้นเสียงก็ผลุบหายออกจากห้องไป จ้าวจื่อถงมองตามแผ่นหลังนั้นก็ได้แต่ครุ่นคิด

สำคัญถึงขนาดที่องค์จักรพรรดิเรียกตัวเข้าวัง...

ท่านหมอ... ท่านเป็นใครกันแน่

 


ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
บทที่ 11: คนโปรดขององค์จักรพรรดิ[2]

จะเป็นใครหาได้สำคัญ รู้เพียงแต่ว่าการปรากฏตัวของท่านหมอยังพระตำหนักส่วนพระองค์สร้างความยินดีให้แก่องค์จักรพรรดิเป็นอย่างมาก ผู้รอการมาถึงแย้มพระโอษฐ์กว้างเมื่อเห็นใบหน้าของหมอหนุ่มที่ก้มทำความเคารพอยู่เงยขึ้น จากนั้นก็รีบตรัสถามด้วยความเป็นห่วง

“ไม่เจอกันเสียพักใหญ่ เป็นอย่างไรบ้างเล่า จีซอง”

พระสุรเสียงที่เจือความเมตตานั้นดังขึ้น ลีจีซองก็รีบตอบกลับอย่างนอบน้อย

“เป็นพระเมตตา กระหม่อมสบายดีพ่ะย่ะค่ะ”

ได้ยินเช่นนั้น จักรพรรดิแห่งโชซอนซึ่งสวมฉลองพระองค์งดงามก็เอนพระวรกายพิงบัลลังก์ด้วยท่าทางผ่อนคลาย สีพระพักตร์ที่ฉาบไปด้วยความกังวลก่อนหน้านี้ค่อยๆ มลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง ก่อนจะตรัสขึ้นมาอีก

“สบายดีก็ดีแล้ว ข้าได้ยินว่าเมื่อหลายวันก่อน เจ้าถูกลอบทำร้าย ข้าเลยเป็นห่วง ถึงได้เรียกเจ้ามาพบเพื่อให้แน่ใจว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ดีใจที่ยังเห็นเจ้ามีลมหายใจ ส่วนเจ้าคนกำเริบเสิบสานที่คิดร้ายต่อเจ้า ข้าจะสั่งให้ไปสืบต้นตอมาแล้วกันว่าเป็นผู้ใด จะได้นำตัวมาลงโทษ”

เรื่องนี้ถึงพระกรรณขององค์จักรพรรดิแล้วสินะ...

ลีจีซองไม่แปลกใจหรอกว่าเหตุใด องค์จักรพรรดิถึงได้ทรงทราบ และก็ไม่สงสัยเช่นกันว่าผู้ใดเป็นคนกราบทูล

หากไม่ใช่ใต้เท้าคิมที่ยืนอยู่ข้างๆ และถูกเรียกเข้าเฝ้าเช่นกันผู้นี้ แล้วจะเป็นผู้ใดกันเล่า ต้องเป็นเพราะเขาอยู่แล้ว

“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเป็นห่วงกระหม่อม แต่เรื่องนั้นคงจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นเพียงหมอต่ำต้อย ไม่ได้มีศัตรูกับผู้ใด คงจะผิดตัวมากกว่า อย่าได้ทรงกังวลพระทัยเลย”

ที่ว่าไปเช่นนั้นเพราะลีจีซองหมายถึงอย่างนั้นจริงๆ เขาไม่อยากให้ชายวัยกลางคนตรงหน้าต้องเป็นกังวลเท่าไรนัก ที่สำคัญ...เขาไม่ต้องการให้รับรู้ด้วยว่าเขากำลังคิดทำสิ่งใดร่วมกับใต้เท้าคิมและขุนนางขี้เมาคนอื่นๆ หากเรื่องนี้ล่วงรู้ถึงพระกรรณแล้ว มีหวังคงจะต้องเดือดร้อนกันทั้งบางแน่

หากแต่องค์จักรพรรดิดูจะไม่ทรงเห็นเป็นเช่นนั้น แย้งขึ้นมาฉับพลัน

“แต่หากปล่อยให้คนร้ายลอยนวลไป เจ้าอาจจะต้องเดือดร้อนขึ้นมาอีก หากคราวหน้ามันเอาชีวิตเจ้าได้ จะทำเช่นไร”

“พระอาญามิพ้นเกล้า เช่นที่กระหม่อมคาดการณ์ คงจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้ฝ่าบาททรงประชวร กระหม่อมว่าฝ่าบาททรงใส่พระทัยกับอาการประชวรก่อนดีกว่า เรื่องอื่นๆ อย่าได้ทรงสนพระทัยเลยพ่ะย่ะค่ะ”

ถึงกับต้องรีบแย้งอีกครั้ง อันที่จริงการที่องค์จักรพรรดิทรงให้ความเมตตา นับว่าเป็นพระคุณเหลือพ้นที่อาจจะหาไม่ได้ในชาตินี้แล้ว แต่ลีจีซองไม่อยากให้พระองค์ยื่นพระหัตน์เข้ามาช่วยเหลือ เพราะหากเป็นเช่นนั้น... ทุกอย่างจะต้องยุ่งยาก

และองค์จักรพรรดิก็ทรงรู้ดีว่าหมอหนุ่มตรงหน้าเป็นคนเช่นไร หากปฏิเสธแล้วก็จะยืนกรานคำเดิมหนักแน่น ต่อให้ตอแยไปมากเพียงใด อีกฝ่ายก็ไม่ยอมตกลงปลงใจแน่นอน ต่อให้ตัวตายก็จะยืนยันคำเดิม เรียกได้ว่าเห็นเงียบๆ เช่นนี้ แต่แท้จริงแล้วหัวดื้อยิ่งนัก

“เจ้าแน่ใจอย่างนั้นหรือ”

กระนั้นก็ไม่วายถามย้ำ ลีจีซองรีบกราบทูลทันควัน

“กระหม่อมแน่ใจพ่ะย่ะค่ะ”

แล้วจะมีสิ่งใดที่องค์จักรพรรดิจะตรัสได้อีกกันเล่า พระองค์พยักพระพักตร์ จากนั้นก็โบกพระหัตน์ไล่ให้ข้าราชบริพารออกไปนอกตำหนัก เว้นก็แต่ใต้เท้าคิมที่ยังคงอยู่ที่เดิม ครั้นเหลือเพียงพวกเขาสามคน องค์จักรพรรดิก็ตรัสขึ้น

“จีซอง... เข้ามาใกล้ๆ”

ลีจีซองทำตามพระประสงค์ ขยับเข้าไปใกล้ ครั้นสบพระเนตรกับอีกฝ่าย มุมพระโอษฐ์ของจักรพรรดิก็แย้มขึ้น

“หน้าตาของเจ้าช่างงดงามเหมือนนางนัก”

‘นาง’ ในที่นี้ ทั้งลีจีซองและใต้เท้าคิมต่างรู้ดีว่าหมายถึงผู้ใด หากแต่ก็ไม่มีใครพูดสิ่งใดออกมา มีเพียงองค์จักรพรรดิที่ยื่นพระหันต์มาเชยปลายคางของหมอหนุ่มขึ้นแล้วตรัสทำลายความเงียบอีกครั้ง

“เจ้าทำให้ข้าคิดถึงนางเหลือเกิน”

“...”

“เจ้าล่ะ คิดถึงนางบ้างไหม”

ลีจีซองไม่ปฏิเสธและไม่ตอบรับ เขามิอาจพูดได้ว่าคิดถึงหรือไม่คิดถึง ทั้งที่หัวใจมีคำตอบอยู่ชัดเจน

องค์จักรพรรดิทรงคิดถึงนาง เขาเองก็... คิดถึงนางเช่นกัน

แต่ริมฝีปากกลับหยุดนิ่ง เขาได้สาบานเอาไว้แล้ว ถึงลับหลังเขาจะตระบัดสัตย์ แต่เพื่อความปลอดภัยของทุกชีวิต เขาจึงไม่พูดสิ่งใดออกมาเป็นการรื้อฟื้นความหลังอีก

องค์จักรพรรดิก็ทรงรู้ดี ลดพระหัตน์ที่เชยคางมนของหมอหนุ่มลง พลันถอนพระปัสสาสะออกมา

“เจ้าก็ช่างเป็นเจ้า ใจแข็งอย่างไรก็อย่างนั้น ต่อให้ข้าบังคับขู่เข็ญหรืออ้อนวอนสิ่งใด เจ้าก็ไม่ยอมอ่อนให้ข้าเลย ต่างจากเยจีนัก เสียดายที่นางวาสนาน้อย ป่านนี้จะเป็นเช่นไรบ้างก็หาได้รู้ไม่ นางคงไม่...”

จู่ๆ ก็ตรัสถึงพระธิดาพระองค์เล็กขึ้นมา พลันก็มีสีหน้าทุกข์ตรม ไม่กล้าตรัสจนจบประโยคด้วยทรงรู้ว่าเกิดสิ่งใดกับนาง

หาตัวไม่เจอจนป่านนี้ คงจะเหลือแต่เพียงร่างไร้วิญญาณแล้วกระมัง...

เรื่องนี้อันที่จริงลีจีซองก็ไม่รู้ แต่ใต้เท้าคิมรู้ ใช่ว่าใต้เท้าคิมจะไม่บอก แต่เป็นลีจีซองเองที่ไม่ให้บอกเพราะเขาไม่อยากรับรู้เรื่องนี้ ทว่าพอเห็นคนตรงหน้าดูทุกข์ใจเช่นนี้ เขาคงต้องรู้ให้ได้แล้วกระมังว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับองค์หญิงเยจี แล้วพระนางไปอยู่ที่ใด

“อาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ฝ่าบาททรงคิด ขอฝ่าบาทอย่าทรงกังวลพระทัยเลยพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้ทางกระหม่อมและเสนาบดีทุกคนได้สืบเสาะแล้ว ได้ความอย่างไรจะรีบมากราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”

ใต้เท้าคิมทูลบอก องค์จักรพรรดิก็หาได้ว่าสิ่งใด นอกจากจะแย้มพระโอษฐ์บางๆ

“เช่นนั้นก็ดี ข้าจะได้เบาใจ หากรู้ว่านางยังไม่ตาย ข้าจะได้หายป่วยสักที”

พลันก็มองหน้าลีจีซองอีกครั้ง

“และจะคงหายเป็นปลิดทิ้งหากมีคนที่ข้าไว้ใจให้เป็นรัชทายาท น่าเสียดายนักที่ทุกอย่างไม่เป็นดั่งใจคิด”

ลีจีซองไม่ปริปากออกมาแม้แต่คำเดียว มีเพียงใต้เท้าคิมเท่านั้นที่เหลือบมองไปยังหมอหนุ่ม บรรยากาศกดดันเข้ามาครอบคลุมอยู่ชั่วขณะ กระทั่งแทบหายใจไม่ออก ลีจีซองถึงได้ทำลายบรรยากาศนี้

“อีกไม่นานสวรรค์ต้องมีตา ฝ่าบาทจะต้องทรงเห็นองค์ชายที่เหมาะสมกับตำแหน่งรัชทายาทนี้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

สิ้นเสียงก็หมดสิ้นคำพูดไปอีกครา องค์จักพรรดิได้แต่ตรัสพึมพำอยู่เพียงลำพัง

“ข้าก็หวังให้เป็นเช่นนั้น...จีซอง”

 

หลังจากบรรยากาศชวนให้กดดันนั้นผ่านพ้นไป องค์จักรพรรดิก็ทรงชวนคุย ไต่ถามสารทุกข์สุขดิบไปตามประสา ลีจีซองก็ทำหน้าที่หมอของตน ตรวจดูพระอาการและนำไปบอกหมอหลวงว่าควรเพิ่มหรือลดสิ่งใดเพื่อรักษาพระอาการประชวรขององค์จักรพรรดิ พูดคุยกันจนเป็นที่พอพระทัย ลีจีซองถึงได้กลับออกมาพร้อมกับใต้เท้าคิม สีหน้าของคนสองวัยต่างนิ่งเรียบไม่แพ้กัน เพียงแต่คนอาวุโสกว่าจะดูเคร่งเครียดไปสักหน่อย ขณะที่คนหนุ่มกลับนิ่งงันเสียจนไม่รู้ว่าคิดสิ่งใดอยู่

“ท่านหมอ...”

แล้วก็เป็นใต้เท้าคิมที่อดไม่ได้ โพล่งเรียกขึ้นมาจนได้ ครั้นลีจีซองหันไปมอง อีกฝ่ายก็ว่าต่อ

“ท่านว่าที่ฝ่าบาทตรัสเช่นนั้น ฝ่าบาททรงหมายถึงสิ่งใด”

หมายถึงสิ่งใด ต่างคนต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ ที่ใต้เท้าคิมถามก็คงหมายจะให้เขาพูดล่ะสินะ

“จะหมายถึงสิ่งใดก็ไม่ได้เกี่ยวกับข้า”

“ไม่เกี่ยวกับท่านหรือ แล้วที่ท่านไปสังสรรค์กับพวกข้าทุกวี่วันล่ะ หมายความเช่นไร”

“หมายความว่าข้าจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง”

“นี่อย่างไร แล้วท่านจะปฏิเสธ...”

“แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าจะทำอย่างที่ท่านคิด”

ใต้เท้าคิมหมายจะพูด แต่เมื่อเห็นแววตาดุดันของอีกฝ่ายแล้วก็ปิดปากสนิท ลืมไปเสียสิ้นเลยว่าชายหนุ่มไม่ได้มีความทะเยอทะยานในเรื่องนั้น ที่เขาทำอยู่ทั้งหมดก็เพื่อปกป้องคนที่ตนรัก

แน่นอนว่าหมายถึงองค์จักรพรรดิและองค์หญิงเยจี...

ทั้งสองคือชีวิตของลีจีซองแล้ว...

“กลับเถิดใต้เท้า พูดคุยเรื่องนี้ในวัง ข้าว่าไม่ใช่เรื่องดีนัก”

นอกจากจะอับจนปัญญาที่จะหว่านล้อมคนตรงหน้าแล้ว ใต้เท้าคิมก็เห็นด้วย เพราะใช่ว่าในวังหลวงแห่งนี้จะมีคนรักชอบเขาและลีจีซองไปเสียหมด ขุนนางใดที่ได้เข้าเฝ้าใกล้ชิดองค์จักรพรรดิย่อมถูกหมายหัวด้วยความริษยา หากแต่การที่ขุนนางชิงดีชิงเด่นกันนั้นเป็นเรื่องปกติ ที่ไม่ปกติก็คือทุกชีวิตต่างรู้ดีว่าท่านหมอผู้นี้เป็นที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิเพียงใด

ไม่ใช่ขุนนางใดๆ แท้ๆ แล้วเหตุใดถึงได้เป็นที่โปรดปรานกัน?

เรื่องนั้นมีเพียงกี่ชีวิตกันเล่าที่ล่วงรู้ นั่นเป็นความลับ และจะเป็นความลับตลอดไปตราบใดที่คนที่ลีจีซองรักยังได้ใช้ชีวิตอย่างราบรื่น ทว่าดูเหมือนตัวเขาเองนี่ล่ะที่จะใช้ชีวิตไม่ราบรื่นแล้ว เมื่อทันทีที่จะออกจากวังหลวง พลันเขาก็ปรากฏสู่สายตาของใครบางคนที่เดินตรงมาทางนี้พอดี

“ข้าก็คิดว่าเสด็จพ่อเรียกผู้ใดเข้าเฝ้าแต่รุ่งสาง ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง ท่านหมอลีจีซอง”

คนถูกทักหันไปมองก็รีบแสดงความเคารพ

“ถวายบังคมองค์ชายใหญ่...”

คนตรงหน้าเชิดใบหน้าขึ้น ท่าทางเย่อหยิ่งจองหองนั้นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวขององค์ชายกียุล ใครต่างก็รู้ดีว่านอกจากจะเป็นคนพาลแล้ว สิ่งอื่นใดก็หาได้เรื่องได้ความไม่ แต่เพราะเป็นพระโอรสที่ประสูติจากพระมเหสี เขาจึงคาดหวังว่าตนจะได้ครองบัลลังก์สืบต่อจากพระราชบิดา หากทว่าด้วยเรื่องนี้แหละที่ทำให้องค์จักรพรรดิมิอาจแต่งตั้งเขาขึ้นมาเป็นองค์รัชทายาทได้เสียที

องค์จักรพรรดิก็ทรงอ่อนแอถึงเพียงนี้ ทั้งพระวรกาย ทั้งการปกครอง หากเอาคนพาลขึ้นมาเป็นองค์รัชทายาท มีหสังโชซอนคงได้พินาศย่อยยับ...

แต่องค์ชายกียุลจะสนใจสิ่งใด ถือตัวว่าเป็นองค์ชายใหญ่ พระมารดาเป็นพระมเหสีที่กุมอำนาจส่วนหนึ่งในวังหลวง ชักใยบงการเรื่องต่างๆ อยู่หลังม่าน ใช้องค์จักรพรรดิเป็นหุ่นเชิดให้พระนางได้ในสิ่งที่ประสงค์ ต่อให้องค์จักรพรรดิไม่แต่งตั้งเขาขึ้นเป็นองค์รัชทายาทอย่างนั้นหรือ... หึ! เขาไม่สนใจหรอก ไม่แต่งตั้งวันนี้ก็ต้องแต่งตั้งวันหน้า ตำแหน่งนี้นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีผู้ใดที่เหมาะสม!

เว้นเสียก็แต่คนผู้หนึ่งที่เป็นหนามยอกอกเขากับพระมารดามาโดยตลอด คนผู้นั้นยืนอยู่ตรงหน้า องค์ชายกียุลเบ้ปากเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางนอบน้อมนั่น แต่นั่นหาได้สำคัญ ที่สำคัญกว่าก็คือเรื่องที่เขาอยากรู้ต่างหาก

“เสด็จพ่อเรียกเจ้ามาเพื่อการใด”

“พระอาญามิพ้นเกล้า กระหม่อมมิอาจบอกได้พ่ะย่ะค่ะ”

เพราะถูกเรียกมาพบเป็นการส่วนตัว เรื่องใดก็มิอาจรั่วไหลไปถึงหูคนนอกได้ทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่เชื้อพระวงศ์ หากแต่องค์ชายกียุลได้ยินก็ปั้นหน้าถมึงทึง เขาเป็นถึงองค์ชายใหญ่ เป็นพระโอรสในพระมเหสี เหตุใดถึงจะรู้ไม่ได้!

เพราะตั้งใจจะหาเรื่องอยู่แล้ว ได้ยินคำตอบเช่นนั้นก็ก้าวอาดๆ เข้าไปกระชากคอเสื้อของหมอหนุ่ม พลันโวยวายพาโลเสียงดัง

“บังอาจ! คิดว่าตนเป็นใครกันเจ้าหมอต่ำต้อย! กล้าดีอย่างไรมาปฏิเสธองค์ชายเช่นข้า!”

ท่าทางนั้นทำเอาเหล่าข้าราชบริพารแตกตื่น ใต้เท้าคิมเป็นผู้แรกที่รีบปรี่เข้ามาห้ามปราม

“องค์ชายใหญ่พ่ะย่ะค่ะ ทรงพระทัยเย็นก่อนเถิด เรื่องท่านหมอมิอาจบอกได้ องค์ชายก็ทรงรู้”

ใช้เหตุผลแล้วอย่างไร องค์ชายกียุลตวัดดวงตาไปมอง พลันแผดเสียงดัง

“ข้าไม่ได้ถามความเห็นของเจ้า อย่ายื่นมือเข้ามาสอดหากยังมีหัวไว้บนบ่าอยู่!”

ใต้เท้าคิมถึงกับต้องล่าถอย เขาไม่ได้กลัวว่าหัวของตนจะหลุดจากบ่าเท่าไรนักหรอกเพราะรู้ดีว่าองค์ชายกียุลเป็นคนพาล ที่ขู่เช่นนั้นก็ใช่ว่าจะทำจริง ด้วยเขาเป็นขุนนางใหญ่ ถ้าหากกระทำสิ่งใดสุ่มสี่สุ่มห้า มีหวังวังหลวงได้วุ่นวายกันยิ่งกว่าเดิมแน่ เพียงแต่เป็นห่วงลีจีซองมากกว่า ฝ่ายนั้นเป็นเพียงหมอต่ำต้อย ต่อให้เป็นที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิ แต่ก็หาได้มีอำนาจใดๆ ในมือ ตายไปสักคนก็ไม่ได้เดือดร้อนวังหลวง

กระนั้นการที่ใต้เท้าคิมไม่เข้าไปวุ่นวายอีกก็หาได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ลีจีซองยังคงถูกระราน องค์ชายกียุลแสยะยิ้มเมื่อเห็นว่าคนในอุ้งมือตีสีหน้าเรียบไม่หือไม่อือ ไม่ร้องขอความเมตตา ก่อนจะค่อนขอดออกมาด้วยชิงชังนัก

“ประจบประแจงหมายเป็นใหญ่ คิดหรือว่าที่เสด็จพ่อเรียกเจ้ามาเข้าเฝ้าจะทำให้เจ้าทัดเทียมข้าได้ เจ้าคงฝันไกลไปหน่อยกระมัง”

“กระหม่อมหาได้ฝันหรือคาดหวังสิ่งใด ที่มาปรากฏตัวที่นี่ก็เพราะถูกเรียกให้เข้าเฝ้า ขอองค์ชายใหญ่อย่าทรงกังวลพ่ะย่ะค่ะ”

ลีจีซองว่าไปตามจริง แต่ก็หาได้ทำให้องค์ชายกียุลเลิกเอาเรื่องได้เลย มิหนำซ้ำยังค่อยแคะไม่เลิกรา

“ทำเป็นพูดดีไป อย่างเจ้าก็คงจะใช้หน้าตางดงามนี้หลอกล่อเสด็จพ่อเช่นแม่ของเจ้า ข้าล่ะรังเกียจยิ่งนัก หากไม่ใช่เพราะมิอาจมีความสัมพันธ์กันได้ เจ้าคงพลีกายให้เสด็จพ่อไม่ต่างจากแม่เจ้าที่ทอดกายให้ทหารทั้งกองทัพย่ำยีจนสิ้นลมหายใจกระมัง!”

ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยินการถากถางเช่นนี้ แต่ลีจีซองก็แทบทนไม่ได้ทุกทีที่ได้ยิน ถึงเขาจะตีสีหน้าเรียบเฉย หากก็ใช่ว่าจะอดรนทนได้ไหว

มารดาของเขาถูกทหารทั้งกองทัพย่ำยี...

สิ่งนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ใช่เพราะว่ามารดาของเขากระทำผิด มันเป็นเพราะคนชั่วทำให้นางต้องมีชะตากรรมอันน่าอดสูก่อนหมดลมหายใจอย่างอนาถาต่างหาก!

“ขอองค์ชายใหญ่ทรงระวังคำพูดหน่อยพ่ะย่ะค่ะ ถึงนางจะกลายเป็นนางบำเรอให้กับทหารชั่วทั้งกองทัพ แต่ทรงตระหนักไว้หน่อยก็ดีว่านอกจากกระหม่อมแล้ว ก็ยังมีนางอีกคนที่เป็นคนโปรดขององค์จักรพรรดิ หากเรื่องนี้ถึงหูฝ่าบาท กระหม่อมว่าคงจะไม่เป็นการดีกับองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ”

ทำอะไรไม่ได้เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงองค์ชายจึงได้แต่ขู่ องค์ชายกียุลได้ยินก็สะบัดฝ่ามือฟาดลงไปยังซีกหน้าด้วยเดือดดาล ก่อนจะเหวี่ยงร่างของหมอหนุ่มทิ้งลงพื้น

“เย่อหยิ่งจองหอง! หากเจ้าคิดว่าแม่ของเจ้ากับเจ้าเป็นที่โปรดปรานนัก ก็ระวังตัวเอาไว้ให้ดีท่านหมอ คนชิงชังนางก็มาก นางถึงได้มีชะตาเช่นนั้น คนชิงชังเจ้าก็มาก หากไม่อยากมีชะตากรรมเช่นนาง ก็อย่าได้ลองดีกับข้า!”

เขาไม่ได้กระทำสิ่งใดเลยแท้ๆ แต่กลับต้องมาพบกับเรื่องเลวร้ายอย่างนี้ โชคดีที่สวรรค์เห็นใจ เมื่อคิดว่าจะถูกองค์ชายกียุลรังแกไม่เลิกรา เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นขัดเสียก่อน

“มีเรื่องใด กียุล...”

เสียงนั้นเป็นของพระมเหสีที่เสด็จมาเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิที่ตำหนักส่วนพระองค์เช่นนั้น ลีจีซองรีบลุกขึ้นถวายความเคารพ

“ถวายบังคมพระมเหสี...”

พระนางเองก็หาได้ใส่ใจเท่าไรนัก และไม่ใคร่คิดจะถามต่อด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะเห็นรอยแดงบนซีกหน้าของหมอหนุ่มที่ระเรื่อขึ้นเป็นแถบแล้วก็พอจะเดาได้ว่าเกิดจากผู้ใด พลันเหลือบมองพระโอรสพระองค์โตที่ยืนสงบนิ่งอยู่ไม่ไกล ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องด้วยไม่อยากให้เรื่องยืดเยื้อจนถึงพระกรรณขององค์จักรพรรดิ

“ท่านหมอคงจะเข้าเฝ้าฝ่าบาทเสร็จสิ้นแล้วสินะ”

“พ่ะย่ะค่ะ”

“เช่นนั้นก็กลับไปพักผ่อนเถิด ลูกข้าไม่รบกวนแล้ว”

ตัดบทเอาดื้อๆ อย่างนั้น ไม่พูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ด้วย ลีจีซองเองก็ไม่เอาเรื่องเอาความใดๆ เพราะรู้ดีว่าต่อให้อยากเอาเรื่องก็ทำอะไรไม่ได้

เขาเป็นแค่หมอ... จะทำอะไรองค์ชายกียุลที่มีพระนางให้ท้ายได้กัน

พลันก็กราบทูลลาอย่างสงบนิ่งและไม่พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างที่พระมเหสีทรงต้องการ

“เช่นนั้นกระหม่อมขอทูลลา”

“ท่านหมอ...”

ยังไม่ทันจะได้ผละจากไปไหน เสียงนั้นก็เรียกขึ้นอีกครั้ง ลีจีซองหันไปทางเดิม ขณะที่พระนางค่อยๆ ย่างเท้าเข้ามาใกล้

“ข้าอยากให้เรื่องนี้เงียบหายไป ฝ่าบาทจะไม่ทรงรู้เรื่องนี้ เจ้าเข้าใจใช่ไหม”

น้ำเสียงหวานแผ่วเบาราวกระซิบดังขึ้น เสียงนั้นเยียบเย็นและแฝงไปด้วยอำนาจในคราวเดียว ลีจีซองไม่คิดจะเอาความอยู่แล้ว อย่างที่คิดในตอนแรก...หากไม่อยากให้เขาพูดถึงเรื่องนี้ เขาก็จะไม่พูด เพราะตลอดมาเรื่องที่เขาเคยสาบานไว้ เขาก็ไม่เคยพูดถึงอยู่แล้วนี่

“ตามพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”

พระมเหสีแย้มพระโอษฐ์อย่างพึงพระทัย จากนั้นก็ผละจากมาโดยไร้ซึ่งคำพูดใดๆ อีก องค์ชายกียุลรีบเสด็จตามพระมารดาไปที่ตำหนักส่วนพระองค์ของพระราชบิดา ทิ้งให้หมอหนุ่มยืนก้มหน้าอยู่อย่างนั้น

เขาเป็นห่วงองค์จักรพรรดิก็จริง แต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่อยากเข้าวังก็มีเพียงไม่กี่อย่าง ก็สองคนเมื่อกี้นี้อย่างไรล่ะ เพราะทุกครั้งที่พบพานทั้งคู่ทีไร เขาอดไม่ได้ที่จะย้อนคิดถึงเรื่องในอดีตทุกที

เรื่องในอดีตอันแสนเจ็บปวด...

มารดาเป็นนางบำเรอของทหารทั้งกองทัพจนถึงห้วงลมหายใจสุดท้ายอย่างนั้นหรือ?

หึ...เป็นคนโปรดขององค์จักรพรรดิแล้วมีประโยชน์อย่างไรกันล่ะ เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ

_______________________

เรื่องนี้จริงๆ กำหนดการออกคือเดือน ก.ย. ค่ะ แต่ต้องเลื่อนออกเพราะหนูแดงเขียนไม่ทัน แงงง

กราบขออภัยกันถ้วนหน้าเลยค่ะ งานโอเวอร์โหลด ไม่ไหวกิงๆ ;w;

อ่านออนไลน์รอกันไปก่อนนะทุกคน

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
หูยยยย

ซวยเพราะความริษยาและอำนาจ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
บทที่ 12: ใครแตะต้องท่าน ข้าจะตัดมือมันผู้นั้นทิ้ง!

จะด้วยสัญชาตญาณหรือสิ่งใดนั้น จ้าวจื่อถงก็ไม่แน่ใจนัก เขารู้เพียงแต่ว่าการที่ลีจีซองถูกองค์จักรพรรดิเรียกเข้าเฝ้าเป็นการด่วนหาใช่เรื่องดีแน่ ต่อให้ไม่ได้เป็นเรื่องดีซึ่งๆ หน้า แต่ก็มั่นใจว่าต้องไม่ส่งผลดีกับตัวของลีจีซอง และก็ไม่รู้เช่นกันว่าเหตุใดเขาถึงได้กังวลใจนัก

ท่านหมอผู้นั้นเป็นคนของโชซอน หาใช่คนต้าหมิง มิหนำซ้ำการที่คนโชซอนช่วงชิงพระสนมกุ้ยเฟยเยว่ฉีคืนไป นั่นก็เท่ากับว่าเป็นกบฏ แล้วเหตุใดกันเล่าเขาถึงได้เป็นห่วงในตัวท่านหมอแคว้นศัตรูเช่นนี้!

จ้าวจื่อถงชักจะหงุดหงิดงุ่นง่านแล้ว เขารู้ว่าตนไม่เป็นปกติสักเท่าไรนักตั้งแต่ที่ได้แนบชิดกับอีกฝ่าย ถึงการแนบชิดนั้น...จะไม่ได้ถึงขั้นลึกซึ้งสักเท่าไรก็เถอะ แต่กระนั้นก็นับได้ว่าลึกซึ้ง

จะไม่ให้ลึกซึ้งได้อย่างไรกัน บุรุษองอาจเช่นเขาเคยเปลื้องผ้าอาภรณ์ให้ผู้อื่นเห็นเสียที่ไหน ที่สำคัญ... เขาเคยให้ผู้ใดมาแตะต้องผิวกาย รวมถึงของสงวนเสียที่ไหนกันเล่า!

ความหวงแหนในตัวท่านหมอย่อมมี ประหนึ่งว่าอีกฝ่ายเป็นฮูหยินของตน... ไม่สิ สามี เพราะดูจากบทบาทบทเตียงแล้ว มีแต่ลีจีซองเท่านั้นที่เป็นฝ่ายกระทำเขา แม้ว่าการกระทำนั้นจะเป็นการปรนเปรอให้เขาสุขสมก็ตาม

แต่...สามีหรือ...

สามีบ้าบออะไรกัน! ไม่ใช่สักหน่อย คนอย่างเขาไม่มีทางจะเป็นฮูหยินของผู้ใดหรอก!

จ้าวจื่อถงหงุดหงิดงุ่นง่านอีกแล้ว ยองแจที่นั่งชำเลืองมองแม่ทัพหนุ่มที่เดินไปวนมาทั่วโรงหมอราวกับหนูติดจั่นไม่กล้าแม้แต่จะย่างกรายเข้าไปใกล้ เขารู้ว่าอารมณ์ของคนผู้นี้ไม่คงที่ ยิ่งแสดงอาการหัวเสียออกมาเช่นนี้ ต่อให้พูดภาษาเดียวกันรู้เรื่อง เขาก็ไม่เสี่ยงเอาตัวเองเข้าไปให้ถูกตวาดหรอก อยู่ไกลๆ ดูท่าจะดีที่สุดแม้ว่าจะอดสงสัยไม่ได้ว่าอีกฝ่ายหัวเสียเพราะเรื่องใด

แต่แล้วยองแจก็เข้าใจได้ในอีกไม่นานนักเมื่อท่านหมอกลับมาถึงยังโรงหมอ จ้าวจื่อถงที่หัวเสียอยู่เมื่อครู่เก็บอาการหงุดหงิดงุ่นง่านไปทันใด ตอนนี้เหลือเพียงท่าทางสงบนิ่ง เท่านั้นยองแจก็รับรู้ได้ทันควัน

อ๋อ ที่แท้ก็หัวเสียเพราะท่านหมอไม่อยู่นี่เอง ก็นึกว่าเรื่องอะไร

ถึงยองแจจะไม่ประสากับเรื่องรักใคร่ของหนุ่มสาวเท่าไร แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของท่านหมอกับจ้าวจื่อถงเป็นอย่างไร เห็นทั้งคู่ตื่นขึ้นมาบนเตียงเดียวกันพร้อมกับเรือนร่างเปลือยเปล่าอย่างนั้น เท่านี้ก็ชัดเจนแล้วว่าเป็นมากกว่าหมอและคนไข้ แต่เพราะเป็นบุรุษด้วยกันทั้งคู่นี่สิที่ทำให้ยองแจรู้สึกประดักประเดิดแปลกๆ

บุรุษกับบุรุษด้วยกันจะเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างไร เขาใคร่อยากรู้นัก แต่ก็ไม่กล้าถาม ได้แต่ตรงเข้าไปต้อนรับท่านหมอและนำหมวกไปเก็บให้ในห้อง ปล่อยให้ลีจีซองได้เผชิญหน้ากับจ้าวจื่อถงเพียงลำพัง

“ต้อนรับข้าด้วยสีหน้าขุ่นหมองเช่นนี้ ช่างไม่รื่นตาเอาเสียเลย”

ลีจีซองเป็นฝ่ายทักเมื่อเห็นว่าจ้าวจื่อถงเอาแต่มองจ้องหน้าเขาด้วยสีหน้าน่ากลัว หากแต่พอได้สบตากับจ้าวจื่อถงตรงๆ อีกฝ่ายก็ทำหน้าน่ากลัวมากขึ้นไปอีก

“ท่าน...”

จ้าวจื่อถงเอ่ยออกมาแค่นั้น ไม่พูดอะไรต่อ แต่ลีจีซองก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรราวกับว่าอ่านใจได้

ก็จะเรื่องอะไรล่ะ รอยแดงช้ำบนซีกหน้าเขาที่ถูกองค์ชายกียุลตบอย่างไร

ลีจีซองยกยิ้มเล็กน้อย ขณะที่จ้าวจื่อถงออกปากถามออกมาอีกครั้ง

“หน้าของท่านไปโดนผู้ใดทำร้ายมา”

เด็กเล็กๆ มองดูก็รู้ว่าร่องรอยบนซีกหน้านั้นเป็นการถูกทำร้าย ลีจีซองก็หาได้ปฏิเสธ หากแต่บ่ายเบี่ยงที่จะไม่ตอบ

“ไม่มีอะไร ไม่ต้องใส่ใจ”

ไม่ให้ใส่ใจได้อย่างไร เขาอุตส่าห์เฝ้ารอการกลับมาของลีจีซองมากถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังเป็นห่วงจนกระวนกระวายอยู่ไม่สุข แล้วก็ยังจะหึงหวง...

ไม่สิ อย่างหลังไม่ใช่ เอาเป็นว่าเขาเป็นห่วงจนไม่เป็นตัวของตัวเองแล้วกัน อุตส่าห์เป็นห่วงถึงปานนั้น กล้าดีอย่างไรมาบอกให้เขาไม่ต้องใส่ใจ

แต่ลีจีซองก็หมายไม่ให้ใส่ใจจริงๆ เพราะทันทีที่สิ้นเสียง เขาก็ทำท่าหมายจะผละเข้าห้องของตน ทำเอาจ้าวจื่อถงต้องรีบขัด

“ข้าไม่ยักรู้ว่าการไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิจะเป็นการที่เจ้าเอาหัวไปวางพาดไปบนคมดาบด้วยตนเองอย่างนี้”

คำพูดนั้นทำเอาลีจีซองชะงัก พอหันกลับมามองก็เห็นว่าจ้าวจื่อถงยกยิ้มอยู่น้อยๆ

“ไปทำสิ่งใดให้องค์จักรพรรดิของเจ้าไม่พอพระทัยมาล่ะ ถึงได้โดนตบหน้าสั่งสอน”

เดาได้ถูกต้องทีเดียวว่ารอยนั้นคือรอยตบ หากแต่เดาผิดไปหน่อยที่คิดว่ารอยนี้เกิดจากฝีมือขององค์จักรพรรดิ เพราะแท้จริงแล้วมันเกิดจากฝีมือขององค์ชายใหญ่ต่างหาก

“ข้าชื่นชมเจ้าที่ไหวพริบดี อีกทั้งยังฉลาดเฉลียว แต่เจ้าเข้าใจผิดไปสักหน่อย ข้าไม่ได้ถูกฝ่าบาทตบมา”

“...”

“แต่ที่เจ้าบอกว่าข้าเอาคอไปวางพาดบนคมดาบ คงจะจริงของเจ้า”

เป็นลีจีซองที่กลั้วหัวเราะ แต่จ้าวจื่อถงไม่สนุกด้วยแล้ว ครั้งแรกที่พูด เขาหมายจะให้อีกฝ่ายได้บอกว่าใครทำ และถ้าหากรอยนั้นเกิดจากฝีมือขององค์จักรพรรดิจริง เขาก็คงจะไม่หัวเสียแต่อย่างใดเพราะเข้าใจว่าหากผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์หมายจะให้เป็นอย่างไร ทุกชีวิตใต้เบื้องบาทก็ต้องเป็นเช่นนั้น หากชี้นิ้วให้ตายก็ต้องตาย ชี้นิ้วให้เป็นก็ต้องเป็น เขายอมจำนนทั้งสิ้น แต่ทว่าพอได้ยินว่าหาใช่ฝีมือขององค์จักรพรรดิแล้ว จ้าวจื่อถงก็หัวเสียรุนแรงทันที

“แล้วผู้ใดเป็นคนทำท่าน”

น้ำเสียงนั้นกดต่ำและฟังดูน่าหวั่นเกรง ลีจีซองไม่เคยได้ยินน้ำเสียงนี้ แต่ก็พอจะรู้ได้ว่าน่าจะเป็นน้ำเสียงที่จ้าวจื่อถงใช้ยามจริงจัง

“ข้าบอกแล้วอย่างไรล่ะว่าไม่ต้องใส่ใจ”

และลีจีซองก็ไม่บอกไปตามตรงอีก หากแต่ครั้งนี้จ้าวจื่อถงไม่ยอม ถลาเข้ามาใกล้ ขู่เข็ญให้ท่านหมอบอกให้จงได้

“ไม่ใส่ใจไม่ได้ อย่างไรเสีย ท่านต้องบอกข้าว่ารอยบนหน้าท่านเกิดจากฝีมือของผู้ใด”

ทั้งน้ำเสียงจริงจัง สีหน้าก็จริงจัง ลีจีซองมองแล้วก็เอ็นดูในความเดือดร้อนแทนเขานี้ ทำให้นึกอยากแกล้งเล่นอยู่ไม่น้อย จึงได้เชิดหน้าขึ้น ถามเย้าอย่างเริงรื่น

“หากข้าบอกไปแล้ว เจ้าจะทำอย่างไรกับคนที่ตบหน้าข้าอย่างนั้นหรือ”

“ข้าก็จะ...”

จะตัดมือมันทิ้ง! จะหั่นร่างมันออกมาเป็นชิ้นๆ! ปล่อยให้มันตายอย่างทรมาน จากนั้นก็เอาศพมันไปโยนทิ้งลงเหว!

อยากจะพูดเช่นนั้น แต่ก็เกรงว่าลีจีซองจะได้ใจ เพราะในยามนี้มองเขาอย่างยั่วเย้าเสียเหลือเกิน หากพูดไป มีหวังได้ถูกกลั่นแกล้งหรือไม่ก็ล้อเลียนไม่เลิกราเป็นแน่

ทว่า...เขาก็อยากทำเช่นนั้นจริงๆ นะ

“ว่าอย่างไร หากข้าบอกไป เจ้าจะทำอะไรคนผู้นั้นหืม?”

ถามย้ำออกมาอีกทีเมื่อเห็นว่าจ้าวจื่อถงไม่พูด จ้าวจื่อถงก็ยังไม่พูดอยู่ดี ได้แต่อ้ำอึ้ง

“ข้า...”

“หากเจ้าไม่พูด เช่นนั้นข้าไปพักผ่อนก่อนนะ”

จู่ๆ ก็ตัดบทแล้วผละออกห่าง จ้าวจื่อถงเห็นแล้วก็เกรงว่าอีกฝ่ายจะไม่บอก จึงรีบโพล่งออกไปด้วยเสียงอันดัง

“ก็ถ้าใครแตะต้องท่าน ข้าจะตัดมือมันผู้นั้นทิ้ง!”

เรียกได้ว่าเมตตราปรานีที่สุดแล้วที่ทำเพียงแค่ตัดมือ ลีจีซองหันมามองอีกฝ่ายที่ยืนทำหน้าถมึงทึง หายใจหอบโยนน้อยๆ พร้อมกับสีหน้าที่ค่อยๆ แดงเรื่อขึ้นมาเพราะความโกรธจัด...หรือเขินอาย เขาก็ไม่แน่ใจนัก แต่คิดว่าน่าจะค่อนไปทางเขินอายมากกว่า ท่าทางนั้นทำให้หมอหนุ่มก้าวเข้าไปหา ยื่นมือไปเชยคางอีกฝ่ายแล้วยื่นหน้าไปกระซิบข้างหู

“เจ้า...ช่างน่ารัก”

ใบหน้าของจ้าวจื่อถงร้อนผะผ่าวยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

หรือว่าข้าจะตัดปากท่านทิ้งด้วยดี!?

แต่ถ้าตัดปากของลีจีซองไปแล้ว อีกฝ่ายจะใช้สิ่งไหนมาระเรื่อยจุมพิตบนผิวกายของเขากันล่ะ ตัดแต่มือของเจ้าคนชั่วช้าที่บังอาจมาทำดวงหน้างดงามนี้มีร่องรอยฟกช้ำก็พอแล้วกัน

“จะบอกข้าได้หรือยังว่าผู้ใดทำร้ายท่าน”

แต่ก่อนอื่นต้องกลับมาที่เรื่องเดิมเสียก่อน จ้าวจื่อถงกลบเกลื่อนความเขินอาย ถามออกไปอีกรอบ ลีจีซองเผยอริมฝีปาก ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็ถูกขัดคอด้วยคำขู่ของคนตรงหน้าเสียอย่างนั้น

“หากท่านเล่นลิ้นกับข้าอีก จากที่จะตัดมือคนชั่วผู้นั้น ข้าจะตัดลิ้นของท่านแทน”

ลีจีซองเลยกลืนคำพูดลงคอไปหมด ก่อนจะเรียกคำพูดใหม่ออกมาแทน ขืนเล่นลิ้นไม่เลิก มีหวังคงได้โดนแม่ทัพหนุ่มตัดลิ้นจริงๆ แน่

“คนที่ทำร้ายข้า...”

“...”

“คือองค์ชายใหญ่กียุล”

“...”

“เจ้ากล้าตัดมือเขาทิ้งหรือเปล่าล่ะ”

จ้าวจื่อถงนิ่งงันไปทันควัน

ผู้ใดจะไปกล้าตัดมือองค์ชายใหญ่ทิ้งกันเล่า!

หนึ่งมือขององค์ชายแลกกับหัวของคนทั้งตระกูลเป็นแน่แท้ แต่เขาก็ตระหนักขึ้นมาได้อีกครั้งว่าเขาไม่มีผู้ใดในตระกูลหลงเหลืออีกแล้ว มิหนำซ้ำ เขายังไม่ใช่คนของโชซอนอีก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจะต้องไปเกรงกลัวสิ่งใด

“ข้าจะตัดมือเจ้าองค์ชายโง่นั่นทิ้ง”

ไม่พูดเปล่า ดูท่าจะทำจริงๆ ด้วยถ้าหากว่าดาบอยู่ในมือตอนนี้ หากแต่ก็ทำสิ่งใดตามที่ต้องการไม่ได้อยู่ดีเมื่อลีจีซองเอ่ย

“ก็ดี เจ้าตัดมือองค์ชายใหญ่ ข้าถูกตัดหัว แลกกับความบ้าบิ่นของเจ้า ก็เหมาะสมกันดี”

พูดพลางยิ้มราวกับกำลังเล่าเรื่องตลก จ้าวจื่อถงไม่ตลกด้วยเพราะเขาถูกเตือนสติกลายๆ ว่าหากเขาทำอะไรบุ่มบ่าม คนที่จะเดือดร้อนย่อมแน่ว่าไม่ใช่ครอบครัวของเขา แต่เป็นลีจีซองที่ดูแลเขาบนแผ่นดินโชซอนแห่งนี้นี่ล่ะ

“เอาสิ หากเจ้าอยากเห็นร่างไร้หัวของข้าก็ไปคว้าดาบแล้วรีบไปที่วังหลวง ตัดมือองค์ชายใหญ่มาให้ได้นะ ข้าจะรอดู”

ยังมีหน้ามาพูดทิ้งท้ายอีก ผู้ใดจะกล้าไปทำกันเล่า!

เห็นจ้าวจื่อถงฮึดฮัดเพราะทำสิ่งใดไม่ได้ ลีจีซองก็ยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู จากนั้นก็ยื่นมือไปแตะที่ใบหน้าคร้ามของอีกฝ่ายแผ่วเบา

“ถูกตบแต่ครั้งเดียว แผลฟกช้ำแค่นี้ไม่กี่วันก็หาย เจ้าไม่ต้องห่วง วันนี้ข้าเหนื่อยมากแล้ว ขอตัวไปพักก่อนแล้วกัน”

พูดจบก็หายเข้าไปยังห้องของตน ทิ้งให้จ้าวจื่อถงมองตามหลัง ก่อนที่เขาจะถอนหายใจออกมาเต็มแรงด้วยไม่เข้าใจตนเองนัก

เหตุใดถึงต้องเป็นห่วงท่านหมอผู้นั้นถึงเพียงนี้ด้วยกัน!

 

ไยถึงต้องเป็นห่วง...

เรื่องนี้จ้าวจื่อถงก็ไม่รู้ ถึงแม้ว่าลีจีซองจะบอกแล้วว่าผู้ใดทำร้าย และเขาก็รู้ดีแก่ใจว่าทำอะไรคนที่ทำร้ายไม่ได้เพราะเป็นถึงองค์ชายใหญ่แห่งแผ่นดินโชซอน แต่เขาก็หาได้สบายใจเลยแม้แต่น้อย ความรู้สึกลึกๆ บอกกับเขาว่ามิอาจปล่อยเรื่องนี้ไปได้ด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นคงจะเป็นเรื่องใหญ่น่าดูชม

ก็ถ้าหากไม่เป็นเรื่องใหญ่แล้ว เหตุใดองค์ชายใหญ่ถึงได้ลดตัวลงมาทำร้ายท่านหมอกันเล่า

อย่างที่คิดนั่นล่ะว่าลีจีซองคงไม่ใช่ท่านหมอธรรมดา แต่ชาติกำเนิดของเขานั้น ต่อให้เค้นคอถามอย่างไรก็ไม่มีทางรู้หรอกถ้าลีจีซองไม่เป็นคนบอกเอง ทว่าสิ่งที่ทำให้จ้าวจื่อถงแน่ใจก็คือท่านหมอจะต้องเป็นคนที่มีอำนาจบางอย่างในการสั่นคลอนวังหลวง

สิ่งนั้นคงเป็น...

เป็นอะไรก็ช่าง จ้าวจื่อถงไม่สนใจที่จะคิดหาคำตอบด้วยตนเองแล้ว! ตอนนี้เขารู้เพียงอย่างเดียวว่าหงุดหงิดเสียจนนอนไม่หลับ พลิกซ้ายก็ตาสว่าง พลิกขวาก็กระสับกระส่าย ก่อนจะลุกพรวดขึ้นมานั่งอยู่บนเตียงกลางดึกด้วยอารมณ์ขุ่นมัว

องค์ชายใหญ่ตบหน้าอย่างนั้นหรือ...

แล้วอย่างไรล่ะ! ต่อให้คนชั่วผู้นั้นเป็นใคร เขาก็จะตัดมือมันทิ้ง!

หุนหันพลันแล่นอีกแล้ว ลุกพรวดขึ้นจากเตียงไปคว้าเอาดาบที่ยองแจเพิ่งเอามาให้เมื่อไม่นานตามคำสั่งของลีจีซองมาไว้ในมือด้วย

คืนนี้ล่ะ เขาจะบุกไปวังหลวง ทะลวงเข้าตำหนักองค์ชายใหญ่ แล้วสับให้เป็นหมื่นๆ ชิ้น!

ดูท่าจะลืมไปแล้วว่าตอนแรกตั้งใจเพียงแค่จะตัดมือ แต่จ้าวจื่อถงในยามนี้ก็ไม่มีสติพอให้ครุ่นคิดสิ่งใด พุ่งออกจากห้อง พรวดพราดไปที่ห้องของท่านหมอ เคาะประตูเรียกตึงตังจนคนข้างในต้องรีบลุกมาเปิดประตูให้

“มีอะไรหรือ ดึกดื่นเช่นนี้ถึงได้มาเคาะเรียกข้า”

“บอกข้าทีว่าวังหลวงไปทางไหน”

จู่ๆ ก็โพล่งถาม ทำเอาลีจีซองร้อง ‘หืม?’ ออกมา

“ข้าจะไปตัดมือเจ้าชั่วผู้นั้นทิ้ง”

เอาเข้าจนได้ อันที่จริงเห็นจ้าวจื่อถงถือดาบออกมาจากห้องก็พอจะรู้ ลีจีซองคว้าแขนของแม่ทัพตรงหน้าทันที ก่อนจะดึงเข้ามาในห้องตน

“อะไรของท่าน”

จ้าวจื่อถงร้องถามเมื่อเห็นว่าท่านหมอรีบลงดาลประตู ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันมามองด้วยสีหน้าที่ไม่แน่ใจนักว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

“เจ้ายังไม่เลิกคิดเรื่องนี้อีกหรือ”

แน่ล่ะว่ายัง จ้าวจื่อถงเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย

“ล้างแค้นสิบปีก็ยังไม่สาย”

แต่ต้องไม่ใช่ไปเอาเรื่องกับองค์ชายใหญ่ที่อาจจะถูกแต่งตั้งเป็นรัชยาทาทแห่งโชซอนผู้นั้น!

“เจ้านี่นะ...”

ลีจีซองถึงกับลูบใบหน้าพร้อมหัวเราะออกมา จะว่าเอ็นดูอีกฝ่ายก็พูดไม่ถนัดนัก การกระทำนี้ก็น่ารักดีนั่นล่ะ แต่ก็ทำให้เขาลำบากใจเหลือเกิน

“หากเจ้าคิดแค้นแทนข้า ข้าก็ขอบน้ำใจ แต่เรื่องนี้เห็นทีจะปล่อยให้เจ้าทำตามใจไม่ได้ รู้ใช่ไหมว่าเพราะอะไร”

รู้สิ... จ้าวจื่อถงเป็นแม่ทัพ ไยจะไม่รู้ เพียงแต่ว่า...

“ข้าไม่สบอารมณ์สักเท่าไรนักที่เห็นใบหน้าของเจ้ามีร่องรอย”

พูดไปตามตรง แต่ไม่ตรงเท่าที่ควรเพราะจริงๆ เขาอยากบอกว่า ‘ใบหน้างามๆ’ มากกว่า แต่คำพูดนั้นก็ทำให้ท่านหมอตรงเข้ามาแย่งดาบในมืออีกฝ่ายไปวางไว้ที่โต๊ะ ก่อนจะกลับมาดึงให้แม่ทัพหนุ่มเดินตามมาที่เตียง

“นั่งลงสิ”

จ้าวจื่อถงทำตามแต่โดยดี ก่อนที่ลีจีซองจะหันหน้ามามองจ้องพลางอมยิ้ม

“มีสิ่งใดอยากพูดก็พูด ไม่ต้องมามองหน้าข้า”

จ้าวจื่อถงเกิดขัดเขินขึ้นมาน้อยๆ แล้ว ดวงตาเรียวของท่านหมอที่จับจ้องเขาพราวไปด้วยเล่ห์กลที่เขาเดาไม่ออกว่ามันคือเล่ห์กลใด ก่อนที่จะต้องหน้าม้านไปทันตาเมื่ออีกฝ่ายเปิดปาก

“เจ้าตกหลุมรักข้าหรือ”

“พะ...พูดจาผายลมอะไรของท่าน!”

จ้าวจื่อถงเบิกตาโพลงขณะพูด น้ำเสียงก็ตะกุกตะกัก ไม่คิดว่าจู่ๆ จะถูกถามเช่นนี้ ขณะที่ลีจีซองหัวเราะในท่าทางนั้น ก่อนจะอธิบาย

“ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นเดือดเป็นร้อนแทนข้า แม้แต่องค์ชายใหญ่ เจ้าก็ไม่กลัวเกรง ข้าเลยคิดว่าบางทีเจ้าอาจจะตกหลุมรักข้ากระมัง ถึงได้ยอมเอาชีวิตเข้าแลกอย่างนั้น”

ตกหลุมรักหรือ... มันเรื่องบ้าอะไร เขาไม่ได้ตกหลุมรักคนตรงหน้าสักหน่อย!

“เจ้าคนหลงตัวเอง ใครตกหลุมรักท่าน ข้าก็แค่เพียงไม่ชอบเห็นใครถูกรังแก”

“อย่างนั้นหรือ” ลีจีซองว่า “โดยเฉพาะหากคนที่ถูกรังแกคือข้าด้วยใช่ไหม”

ใช่! ไม่อย่างนั้นจะหัวเสียขนาดนี้ทำไม!

แต่จ้าวจื่อถงไม่พูดหรอก พูดไปมีหวังอีกฝ่ายได้หลงตัวเองมากกว่านี้แน่

“ไม่ใช่เพียงท่าน แม้แต่คนอื่นก็เช่นกัน ข้าเป็นแม่ทัพ ท่านพ่อของข้าสอนมาว่าแม่ทัพย่อมต้องดูแลทุกข์สุขของราษฎร เป็นมือเป็นเท้าให้ฝ่าบาท ข้าถึงไม่ชอบเห็นผู้ใดถูกรังแก”

“เช่นนี้นี่เอง”

ลีจีซองแสร้งทำเป็นอือออไปอย่างนั้น เขารู้ทันว่าอีกฝ่ายแค่บ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบ แต่ท่าทางปากแข็ง ดื้อด้าน และหัวรั้นนี่ล่ะที่ทำให้จ้าวจื่อถงดูเป็นเด็กน้อยร้ายกาจมากกว่าเป็นแม่ทัพผู้องอาจล่ะ

“น่าเสียดายนะที่เจ้าไม่ได้มีใจปฏิพัทธ์ต่อข้า”

จู่ๆ ก็พูดขึ้นมา ทำเอาจ้าวจื่อถงมองตาเขียว

“เสียดายทำไม”

“ก็ข้าอุตส่าห์หวัง”

“...”

“...ว่าเจ้ากับข้าจะได้กอดก่ายกันในคืนนี้”

จ้าวจื่อถงเม้มปากแน่นอย่างลืมตัว

กอดก่ายกันในคืนนี้หรือ... ต่อให้เขาไม่ได้มีใจปฏิพัทธ์หรืออะไร ก็กอดก่ายได้ตามที่ใจปรารถนา ไม่เห็นจะต้องมาเสียดายเลย เขาเต็มใจทำอยู่แล้ว

หากแต่ถ้าพูดไปตามตรงก็คงจะเสียหน้าอยู่ไม่น้อย จ้าวจื่อถงจึงแสร้งมองจ้องใบหน้างามของหมอหนุ่มที่มีร่องรอยฟกช้ำจางๆ ให้เห็น ก่อนที่จะถือวิสาสะยื่นมือไปประคองซีกแก้ม พลันว่าเสียงแผ่ว

“ต่อให้ท่านไม่เอ่ยปาก ข้าก็คิดจะกอดก่ายท่านอยู่แล้ว ท่านหมอ...”

ไม่เพียงแค่พูดเท่านั้น ยังเป็นฝ่ายผลักให้ร่างโปร่งของคนตรงหน้าเอนลงไปนอนราบเสียด้วย จ้าวจื่อถงขยับตัวมาขึ้นคร่อม โน้มใบหน้าลงไปพรมจูบที่ซีกแก้มช้ำแผ่วเบาทะถนอม ขณะที่มือข้างหนึ่งก็ดึงทึ้งสาบเสื้อ ลากลูบฝ่ามือเข้าไปสัมผัสยังแผงอกข้างใน

ลีจีซองหัวเราะในลำคอน้อยๆ กับความดุดันและกระด้างของแม่ทัพผู้นี้ ก่อนที่จะใช้ปลายนิ้วเกี่ยวปอยผมของอีกฝ่ายที่หลุดร่วงมาตรงหน้าเล่น

“เจ้าน่ารักน่าเอ็นดูอย่างที่ข้าคิดจริงๆ เสียด้วย”

จ้าวจื่อถงที่กำลังง่วนอยู่กับการซุกไซ้ซอกคอของท่านหมออยู่ชะงัก เงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่ายเล็กน้อย

“เหตุใดท่านถึงได้ชอบบอกว่าข้าน่ารักน่าเอ็นดูนัก”

“หากเจ้าไม่น่ารักแล้ว ผู้ใดจะน่ารัก หากข้าไม่เอ็นดูเจ้าแล้ว ผู้ใดจะเอ็นดู”

ลีจีซองว่า ก่อนจะใช้ปลายนิ้วที่เกี่ยวปอยผมของอีกฝ่ายอยู่เลื่อนไปคลี่รอยยับย่นที่หัวคิ้วของคนตรงหน้าให้เหยียดออกจากกัน

“เจ้าน่ะ ถึงจะกระด้างกระเดื่องเพียงใด แต่เจ้าก็น่ารักสำหรับข้า”

คำชมของท่านหมอทำให้ใบหน้าคร้ามของแม่ทัพหนุ่มค่อยๆ มีสีเรื่อแดงขึ้นทีละน้อย พลันดวงตาเรียวก็หลุบหนีไปอีกทางด้วยมิอาจต้านสายตายั่วเย้าของคนใต้ร่างได้ไหว

“ข้าไม่ต้องการแลดูน่ารักน่าเอ็นดูสำหรับผู้ใด”

“แม้แต่ข้าหรือ”

“ใช่...แม้แต่ท่าน”

ปากแข็ง... เจ้าเด็กน้อยปากแข็ง

ลีจีซองยิ้มยั่ว เขารู้ว่าจ้าวจื่อถงเองก็ชอบที่ได้ยินเขาพูดอย่างนี้ เพราะไม่อย่างนั้นเหตุใดกันใบหน้าของคนฟังถึงได้ค่อยแดงขึ้นทีละน้อย

แดงขึ้น...แดงขึ้น... ลามไปถึงลำคอและใบหู

น่ารักน่าเอ็นดูจะตายไป ใครจะปฏิเสธได้ลงคอ...

ลีจีซองก็แปลกใจนักที่ตนรู้สึกเช่นนี้กับบุรุษฉกรรจ์ที่หาได้มีส่วนไหนดูบอบบางเลยแม้แต่น้อย ชายคณิกาที่ว่างดงามยิ่งกว่าบุรุษ ในสายตาเขากลับสู้จ้าวจื่อถงไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ยิ่งในยามเขินอายขณะที่อีกฝ่ายพยายามกักเก็บ เขายิ่งรู้สึกว่าจ้าวจื่อถงยั่วยวนให้เขากลั่นแกล้งเหลือเกิน

และเพราะคิดเช่นนั้นก็อาศัยจังหวะที่จ้าวจื่อถงเผลอ ผงกศีรษะขึ้นมาช่วงชิงจุมพิตไปจากอีกฝ่าย ครั้นจ้าวจื่อถงรู้สึกตัวก็หมายจะผละหนี แต่ไม่ทันเสียแล้วเมื่อท้ายทอยถูกรั้งเอาไว้

จุมพิตนี้ช่างเร่าร้อน... ปลายลิ้นสอดแทรกเข้าไปเกี่ยวกระหวัด รัดรึงให้จ้าวจื่อถงต้องตอบสนองด้วยการตอบรับอย่างมิอาจเลี่ยง กว่าที่จะผละออกจากกันได้ ก็ทำเอาแม่ทัพหนุ่มหายใจหอบขึ้นมาน้อยๆ แล้ว

ลีจีซองสบโอกาสดันตัวให้อีกฝ่ายนอนราบไปแทนตน จากนั้นก็ขึ้นคร่อมและลากลูบฝ่ามือไปยังแผงอกที่เต็มไปด้วยร่องรอยแผลเป็น พูดง่ายๆ ก็คือก่อนหน้านี้จ้าวจื่อถงทำกับเขาอย่างไร เขาก็ทำกับจ้าวจื่อถงคืนอย่างนั้น

“ต่อให้เจ้าไม่อยากให้ข้ามองว่าน่ารักน่าเอ็นดู แต่ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็เป็นเช่นนั้นในสายตาข้า”

“ท่านมันสติวิปลาส”

จ้าวจื่อถงว่า และนั่นก็คงจะจริงเมื่อลีจีซองยกยิ้มขึ้นมา

“เจ้าไม่ชอบที่ข้าเอ็นดู?”

คนถูกถามไม่ตอบ หลุบตามองไปทางอื่น แต่นั่นคือคำตอบแล้ว...

“เจ้าชอบ...”

ใช่ เขาชอบ... ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร รู้แต่ว่าชอบมากที่ลีจีซองเองก็ให้ความสำคัญกับเขาเช่นกัน

“ถ้าอย่างนั้นค่ำคืนนี้ข้าคงต้องเอ็นดูเจ้าให้มากแล้วล่ะ”

เรื่องนั้นก็ไม่มีปัญหา ติดอยู่อย่างเดียวคือ...

“เช่นนั้นก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนสักหน่อย”

จ้าวจื่อถงโพล่งขึ้น ทำเอาลีจีซองชะงัก

“อะไรหรือ”

จ้าวจื่อถงไม่พูดออกมาในทันที แต่ยื่นมือไปประคองใบหน้าของอีกฝ่ายเอาไว้ พอลีจีซองเลิกคิ้วสูง เขาถึงได้ปริปาก

“ร่างกายของท่าน...”

“...”

“ไม่ว่าผู้ใดก็อย่าให้แตะต้องอีก”

“ทำไม”

“เพราะมันเป็นของข้า”

อวดอ้างตนว่าเป็นเจ้าของเสียเลย นอนกอดก่ายกับเขาทุกค่ำคืนเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็เรียกว่าเป็นของเขา เขาไม่ได้คิดไปเองหรือแอบอ้างอย่างแน่นอน

ลีจีซองเองก็ไม่อยากจะเถียงสักเท่าไรนักว่าที่ทำกันอยู่เกือบทุกคืน มันหาใช่การเป็นของกันและกัน ต้องทำมากกว่านี้ต่างหากถึงจะเรียกว่าเป็นของกันและกันโดยสมบูรณ์

แต่ช่างเถิด ในยามนี้แค่นี้ก็ดีเหลือแหล่แล้ว

“ได้สิ... นอกจากเจ้าแล้ว ข้าจะไม่ให้ผู้ใดแตะ พอใจไหม”

จ้าวจื่อถงไม่ได้ตอบรับสิ่งใด แต่เขาพอใจเป็นอย่างมาก

ร่างกายของท่านหมอ ผู้ใดจะแตะต้องอีกไม่ได้เป็นอันขาด เพราะหากมีผู้ใดแตะต้องแล้ว...

...เขาจะตัดมือเจ้าคนชั่วผู้นั้นทิ้งโดยไม่มีลังเลอีกต่อไปอย่างแน่นอน!

________________________

หายไปหลายวัน วันนี้มาอัปแต่เช้าหน่อยค่ะ

ฝากกำลังใจไว้ให้กันด้วยเน้อ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด