(ต่อ)
เช้านี้หยงเทียนเดินเล่นอยู่ในตลาด
เขาไม่ได้ตั้งใจมาหาใครนะ แค่
บังเอิญ เดินผ่านมาแล้วเจอร้านน้ำเต้าหู้เข้าพอดี
อ้าว… แต่ทำไมถึงเห็นเพื่อนสนิทตัวเล็กกำลังก้มๆ เงยๆ เก็บของอยู่คนเดียว
จะปิดร้านแล้ว? ร่างสูงตัดสินใจก้าวเท้าฉับๆ เดินตรงเข้าไปหาอย่างไม่รีรอ
“ฟานตง”
เจ้าของชื่อเงยหน้า แววตาแสดงออกว่าประหลาดใจ “หยงเทียน?”
“ข้าบังเอิญผ่านมาเฉยๆ นะ”
“ข้ายังไม่ได้ถาม”
“...เอ่อ…”
“เอาเถอะ” ฟานตงตอบรับอย่างไม่ใส่ใจ ก้มเก็บของเพื่อปิดร้านต่อ หากแต่เพื่อนตัวสูงยังคงยืนนิ่งไม่ยอมขยับไปไหน ฟานตงจึงหันกลับไปเท้าสะเอวถาม “แล้วเจ้าจะยืนปังหน้าร้านข้าอีกนานหรือไม่?”
“เจ้ามีอะไรให้ข้าช่วยหรือเปล่า”
“ไม่มี ข้าทำใกล้เสร็จแล้ว”
ใช้เวลาไม่นาน ฟานตงก็เก็บของเสร็จอย่างรวดเร็วตามที่ตนว่า โดยมีเพื่อนตัวใหญ่คอยยืนจับจ้องทุกการกระทำ
“วันนี้เจ้าว่างไหม?”
ในที่สุดหยงเทียนก็เอ่ยปากออกมา “ข้าได้ยินมาว่าหมู่บ้านข้างๆ เปิดร้านซาลาเปาอร่อยที่สุดในเมือง”
“ข้าไม่ว่าง”
ฟานตงตอบทันควัน เขารู้ว่าสถานการณ์ร้านน้ำเต้าหู้ของครอบครัวชักไม่ค่อยดี อะไรประหยัดได้ก็ต้องประหยัด แม้ทุกวันนี้สามารถอยู่ได้เพราะเงินออมที่หลี่ซื่อหลางเก็บไว้ ต่อให้ไม่ขายน้ำเต้าหู้สักเดือนสองเดือน สามพี่น้องก็ยังอยู่สบายไปหลายปี
แต่หากไม่หาเพิ่มวันนี้ สักวันเงินก็จะหมด
เพื่อไม่ให้วันนั้นมาถึง เขาจึงอยากหาเงินช่วยเหลือครอบครัว!
“ไม่ว่างหรือ?” หยงเทียนทำสีหน้างงงวย
“ใช่น่ะสิ! ข้าจะไปหางานทำ หลีก! เจ้าตัวใหญ่เกะกะทางคนจะเดินเสียจริง” ฟานตงพุ่งตัวออกจากร้านเดินไปตามถนนเส้นยาว โดยมีหยงเทียนคอยเดินประกบข้างไม่ห่าง
“เจ้าคิดจะทำงานอะไร?”
“มีอะไรข้าก็ทำหมดแหละ” ฟานตงสอดส่องสายตาดูว่าแถบนี้จะมีงานให้เขาทำหรือไม่
“อย่างเจ้าไม่เหมาะกับงานกรรมกร”
“ไม่รู้เว้ย! มีอะไรก็ทำๆ ไปเถิด”
ว่าแล้วเพื่อนตัวเล็กก็เดินเลี้ยวเข้าไปในร้านอาหารแห่งหนึ่ง บังเอิญว่าเขารู้จักเจ้าของร้านเป็นการส่วนตัวน่ะสิ “เฮีย!”
“อ้าว! อาตง เมื่อวานก็เพิ่งคุยกันไม่ใช่หรือ วันนี้มาหาข้าถึงที่เชียว คิดถึงข้ามากงั้นรึ?” ปรากฏร่างของชายวัยกลางคนร่างกายสมบูรณ์ไปด้วยกล้ามเนื้อ หากไม่สูงใหญ่เท่าหยงเทียนที่กำลังยืนซ้อนข้างหลังคนตัวเล็กกว่า
หารู้ไม่… หยงเทียนกำลังส่งสายตาเขม่นเสียจนเฮียยังสงสัยว่าตนไปทำอะไรให้อีกฝ่ายโกรธแค้น?
“ข้ากำลังหางานทำน่ะ ที่ร้านท่านมีอะไรให้ข้าทำมั้ย”
“แล้วร้านน้ำเต้าหู้ของเจ้า?”
เฮียที่ว่าถามกลับด้วยใบหน้าประหลาดใจ “อย่าบอกนะว่าโดนอาหลางไล่ออกจากบ้านแล้ว ฮ่าๆ!” ชายวัยกลางคนพูดติดตลก เขารู้ดีกว่าหลี่ซื่อหลางรักน้องยิ่งกว่าอะไรดี
“พูดอะไร?! ข้าก็แค่อยากหางานเสริมเท่านั้น” ฟานตงหน้าแดง ไม่รู้จะอับอายไปทำไมเหมือนกัน
“อาตง ข้าก็อยากช่วยนะ แต่ร้านข้าเองคงไม่มีปัญญาจ่ายค่าจ้างให้เจ้าน่ะสิ”
“งั้นหรือ”
สีหน้าของฟานตงสลดลงเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าส่งยิ้มสดใสให้อีกฝ่าย “ขอบคุณท่านมากนะเฮีย! ข้าก่อนไปล่ะ”
ฟานตงเดินออกจากร้าน ก่อนจะเดินเข้าไปถามอีกร้านที่อยู่ตรงกันข้ามแทน สนทนาต่อรองกับเจ้าของร้านอยู่สามสี่ประโยคก็ได้ความว่าไม่มีต่ำแหน่งงานว่างเลยสักที่ ฟานตงเดินคอตกกลับมา หากก็พยายามเข้าออกร้านนู่นนี่นั่นจนกระทั่งพระอาทิตย์คล้อยลงต่ำลับขอบฟ้า
“พอก่อนดีไหม ฟานตง”
“วันนี้ข้าล้มเหลว…” เพื่อนตัวเล็กก้มหน้าก่อนจะชกมือขึ้นฟ้า “แต่พรุ่งนี้ข้าจะหาใหม่!”
คนมองได้แต่ยิ้มบาง หยงเทียนตบบ่าฟานตงเบาๆ “เอางี้มั้ย ญาติของข้ากำลังต้องการคนจัดสวนใหม่ เจ้าปลูกต้นไม้เป็นหรือเปล่า?”
“หะ?!”
“แต่ญาติข้าไม่เคยรับใครๆ ง่ายหรอกนะ”
“ข้าจะลอง!” ฟานตงทำตาโต หันมาเขย่าร่างหยงเทียนที่ดูจะไม่สะเทือนตามแรงเขาแม้แต่นิด “แล้วไม่บอกข้าแต่แรก เจ้าซื่อบื้อ! เจ้าเห็นข้าเดินแบกหน้าไปของานคนอื่นทำมันน่าสนุกนักหรือ?!”
“ใจเย็น ใจเย็น”
หยงเทียนรวบข้อมือเล็กไว้ด้วยฝ่ามือเดียว ฟานตงถึงกับหางคิ้วกระตุก
“ปล่อยข้านะโว้ย!” ออกแรงดิ้น หากจะดูไม่เป็นผล “เจ้าขี้โกง! ตัวก็ใหญ่กว่าแบบนี้ ยังไงข้าก็เสียเปรียบ แน่จริงทำตัวให้มันเล็กๆ สิเห้ย!”
“ทำยังไง?”
“ไม่ใช่ปัญหาของข้า!”
หยงเทียนยิ้มเอ็นดู เมื่อก่อนฟานตงเป็นเด็กขี้โมโห โตมาก็ไม่ต่าง เพียงแต่หยงเทียนในวัยเยาว์ไม่รู้จะตอบโต้คนตัวเล็กยังไง หากตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว
ร่างสูงไม่ยอมปล่อยมือจากข้อมือเล็ก ค่อยๆ คุกเข่าลงกับพื้นเพื่อให้ดูตัวเตี้ยกว่าฟานตงที่ยืนเต็มความสูง แม้ว่าเพื่อนตัวเล็กจะสูงเลยหยงเทียนที่ขนาดนั่งแล้วขึ้นมาเพียงน้อยนิดก็ตาม
“แบบนี้เป็นอย่างไร?”
ใบหน้าที่ชิดใกล้ บวกกับสภาพที่เหมือนคนกำลังขอแต่งงานทำให้ฟานตงหน้าแดงวูบ “จ…เจ้าลุกขึ้นเลยนะ!”
“ไม่ชอบหรือ?”
“ชอบห่าเหวอะไร! ลุกขึ้น!”
หยงเทียนหัวเราะหึๆ ในลำคอก่อนจะยอมลุกตามคำสั่ง ปล่อยมือคนตัวเล็กให้เป็นอิสระก่อนจะปัดเศษดินออกจากเสื้อผ้าตนเอง
“ข้าถือว่าตกลงนะ”
“ตกลง? เรื่องคนสวนน่ะหรือ?” ฟานตงทึกทักเอาเองเช่นนั้น เจ้าตัวรีบพยักหน้า “ตกลงสิ!”
หยงเทียนส่งยิ้มให้อีกครั้ง หากคราวนี้เป็นรอยยิ้มที่เคลือบบางอย่างไว้ซึ่งไม่ใช่อะไรที่ฟานตงเห็นแล้วเข้าใจ หยงเทียนคิดในใจคนเดียว ที่ว่าตกลงน่ะ เขาหมายถึง ‘คำขอแต่งงาน’ จากท่าคุกเข่าเมื่อกี้ต่างหาก
ฟานตงตกหลุมพลางเข้าเสียแล้ว-------------------------------------------------------------
ดอกท้อที่ ๗มีข่าวลือพบเบาะแสสำคัญว่าคุณชายเล็กตระกูลจางยังมีชีวิตอยู่
ชายชราเร่ร่อนคนหนึ่งออกมาป่าวประกาศว่าเมื่อเจ็ดปีก่อน ตนได้พบเห็นเด็กชายรูปร่างสันฐานเหมือนอย่างที่ในใบประกาศตามหาคนหายระบุไว้ไม่มีผิดเพี้ยน
เด็กชายที่มีลักษณะผมสีดำ ตาโต ผิวขาว ร่างเล็กแกร็นเท่าต้นถั่วงอก มีบาดแผลตามตัวหลายแห่ง วิ่งไปตามท้องถนนเส้นยาวราวกับกำลังหนีอะไรบางอย่างน่าหวาดกลัว
โดยวันเวลาสถานที่ที่ชายชราเร่ร่อนกล่าวมานั้น ใกล้เคียงกับตอนที่คุณชายหายตัวจากบ้านพอดิบพอดี
ชายชราเร่ร่อนเล่าต่อว่า เด็กชายไปเจอกับผู้ชายคนหนึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากร้านเหล้าในเมือง พูดคุยอะไรกันอยู่นาน สักพักก็มีเด็กชายอีกคนวิ่งเข้ามาสมทบ ถกเถียงบางอย่างกันอยู่สักระยะ ก่อนจะจูงมือเดินออกไปกันสามคน
คาดการณ์ว่าผู้ชายดังกล่าวคงเป็นคนที่ลักพาตัวคุณชายเล็กตระกูลจางไปเป็นแน่!
เมื่อนายเลี่ยงหวงรู้ข่าว ก็รีบจ้างคนไปสืบทันที
สองวันให้หลัง ได้ความว่าชายผู้นั้นทำงานค้าขายเปิดบ้านเป็นร้านขายน้ำเต้าหู้ในตลาด นามว่าหลี่ซื่อหลาง ชายหนุ่มกำพร้าพ่อแม่ ถูกรับเลี้ยงดูโดยเจ้าของร้านน้ำเต้าหู้คนเก่า มีน้องชายบุญธรรมสองคน
คนแรกชื่อฟานตง อายุสิบเก้าปี
คนที่สองชื่อหย่งคัง อายุสิบห้าปี
ตามประวัติ ในบรรดาสามพี่น้องไม่มีใครแต่งงาน อยู่อย่างสงบสุขและเรียบง่าย ไม่เคยก่ออาชญากรรมหรือทำเรื่องผิดกฏหมายบ้านเมือง
คนที่นายเลี่ยงหวงสงสัยมากที่สุดเห็นจะเป็น ‘หย่งคัง’
แม้จะเปลี่ยนชื่อ แต่จิตวิญญาณข้างในก็คือจางเฟยหลง ลูกชายคนเล็ก ของเขา!
คนสืบข่าวระบุเสริมว่า หย่งคัง มีใบหน้าละม้ายคล้ายนายเลี่ยงหวงอยู่มาก โดยเฉพาะแววตาที่เหมือนถอดแบบกันมา มีรูปร่างที่สูงใหญ่น่าเกรงขามสมชายจนใครต่างก็นึกอิจฉา อีกทั้งเนื้อตัวยังมีรอยแผลเป็นจำนวนมาก หาใช่ดูน่ารังเกียจ แต่กลับเพิ่มกลิ่นอายความดิบเถื่อนของลูกผู้ชายโดยแท้
ราวกับเติบโตมาเป็นคนละคน หากไม่บอกว่าเป็นคนๆ เดียวกับเด็กชายตัวแห้งเมื่อสิบปีก่อนแล้วล่ะก็
จ้างให้ก็ไม่เชื่อเด็ดขาด!-------------------------------------------------------------
เช้ามืดวันนี้เกิดเรื่องน่าปวดหัวให้หลี่ซื่อหลางหลายอย่าง
ประการแรก ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะเปิดร้าน ยังไม่ทันได้ตั้งหม้อตั้งกระทะเสร็จดี จิ้งอิ้ เพื่อนสนิทของเขาก็ทะเล่อทะล่าเข้ามาทางประตูหลังเรือนแล้วผลักปิดลงกลอนเสียเสร็จสรรพ
“ข้าว่าวันนี้เจ้าอย่าเปิดร้านดีกว่า”
หลี่ซื่อหลางทำสีหน้าฉงน “อะไรของเจ้า?”
“เชื่อข้าเถอะ”
จิ้งอี้ที่ดูร้อนรนผิดสังเกต ยิ่งทำให้ความสงสัยของหลี่ซื่อหลางเพิ่มสูงขึ้น
“ทำไม? มีอะไรอยู่ข้างนอกหรือ?”
เจ้าตัวเลี่ยงออกไปเปิดประตูหน้าโดยไม่ฟังคำทัดทานจากเพื่อนสนิท พบว่ามีกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยกำลังยืนอออยู่บริเวณหน้าร้าน แต่งตัวไม่เหมือนคนในละแวกนี้
คราแรกเขานึกว่าเป็นลูกค้า แต่ความรู้สึกบอกว่าไม่ใช่
“เจ้าคือหลี่ซื่อหลางหรือเปล่า?”
ชายคนหนึ่งเอ่ยถาม แต่งตัวเหมือนหัวหน้าคนรับใช้พวกตระกูลคนใหญ่คนโต
หลี่ซื่อหลางตอบกลับไปอย่างลังเล “หากจะซื้อน้ำเต้าหู้ต้องรอก่อน ข้ายังไม่เปิดร้าน”
“เจ้าย่อมรู้ดีว่าพวกข้าไม่ได้มาเพราะเรื่องนั้น”
เรื่องนั้น? เรื่องไหน?สีหน้าหลี่ซื่อหลางแสดงออกอย่างไม่ปิดบังว่าตนไม่เข้าใจสิ่งที่คนตรงหน้าพูดอยู่จริงๆ “เหตุนั้นพวกท่านมาเพื่อธุระอันใด? หากข้าช่วยได้ ข้าจะช่วย”
“งั้นรึ!” ชายร่างสูงคนหนึ่งก้าวออกมา ไฟจากข้างทางส่องกระทบคนตัวสูงเกิดเป็นเงาดำทาบทับหลี่ซื่อหลางที่เตี้ยกว่าเห็นๆ เหมือนโดนข่มอยู่เป็นนัยๆ ยิ่งพอยืนประจันหน้ากันเช่นนี้ เทียบกันแล้วเรียกได้ว่ากระดูกคนล่ะเบอร์ทีเดียว
“เจ้าช่วยข้าได้แน่”
…เหตุใดหลี่ซื่อหลางถึงรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกคุกคาม?
“จงไปนำตัวคุณชายเล็กออกมา แล้วจะไม่มีใครเจ็บตัว”
ชายตัวสูงขู่เสียงเรียบ หากแม้หลี่ซื่อหลางรู้เรื่องราวอะไรสักนิด เขาคงไม่ต้องยืนงงกับสิ่งที่ฟังไม่เข้าใจเช่นนี้
“ท่านพูดเรื่องอะไร?”
“ข้าสั่งให้ไปนำคุณชายเล็กตระกูลจางออกมา!”
“ไม่มีคุณชายอะไรที่นี่ ท่านเข้าใจผิดแล้ว…”
ชายตัวสูงกระชากคอเสื้อหลี่ซื่อหลางอย่างแรง “ข้าจะบอกเป็นครั้งสุดท้าย นำ-คุณ-ชาย-เล็ก-ออก-มา!”
“พี่ใหญ่!”
“พี่ซื่อหลาง!”
หย่งคังและฟานตงรีบพุ่งตัวออกมาทันทีที่รู้ว่าพี่ชายกำลังตกอยู่ในอันตราย ยิ่งเห็นพี่ชายกำลังโดนจับตัว ท่าทางราวกับจะถูกทำร้ายยิ่งสร้างความคับแค้นใจให้กับคนพบเห็น
“ปล่อยพี่ชายข้านะ!”
ด้วยความเป็นคนเลือดร้อน ฟานตงจึงถลาเข้าไปโดยไม่ทันได้ไตร่ตรอง เคราะห์ร้ายโดนเสยหมัดใส่เสียจนกระเด็น ลำบากจิ้งอี้ต้องเข้าไปช่วยพยุงแล้วลากเข้าบ้านเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการทะเลาะวิวาท
“ปล่อยข้า! พี่จิ้งอี้!! ข้าจะไปซัดมัน! ปล่อยข้าาาา!!” เสียงโวยวายดังหายเข้าไปในบ้าน
โถ… ฟานตงหลี่ซื่อหลางนึกสงสารน้องชายจับใจ
“ปล่อยมือจากเขา” หย่งคังเอ่ยเสียงเรียบ ย่างสามขุมเข้ามายืนจ้องตาดุเดือดกับชายแปลกหน้า น้องเล็กของเขาตัวสูงเท่าคนที่กำลังขยำคอเสื้อพี่ชาย ถ้าหากต้องปะทะกัน คงเป็นการต่อสู้ที่สูสีน่าดู
“หย่งคัง ข้าไม่เป็นไร เจ้า…”
“ท่านไม่ต้องพูดแล้ว ซื่อหลาง ปล่อยข้าจัดการเอง”
…เหอ?วันนี้น้องเล็กของเขาแปลกไปหรือเปล่า? หลี่ซื่อหลางไม่ได้คิดไปเองใช่หรือไม่ที่หย่งคังในตอนนี้ดูน่ากลัวจนเขาเองยังไม่กล้าขัดขืน
ว่าแต่ว่า เขาอายุมากกว่าไม่ใช่? เหตุใดจู่ๆ ถึงเรียกชื่อพี่ใหญ่คนนี้เฉยๆ?
อีกด้านหนึ่ง ชายฉกรรจ์แปลกหน้ามีสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะสะบัดมือออกจากหลี่ซื่อหลาง ด้วยความที่ว่าสะบัดแรงไปหน่อย ร่างโปร่งจึงเซถอยหลังหากไม่ได้แผ่นอกแข็งแรงของหย่งคังรองรับไว้ เขาอาจลงไปกองกับพื้นแล้วเป็นได้
จังหวะนั้น มือใหญ่รีบจับตัวเข้าไปหลบด้านหลังทันที
“พวกท่านมีธุระอันใด?” หย่งคังออกตัวแทน ไม่ยอมปล่อยมือข้างหนึ่งที่จับมือเขาไว้แน่น
…ความรู้สึกนี่มันอะไรกัน…
ชั่วยามหนึ่ง หลี่ซื่อหลางตกอยู่ในภวังค์ ทัศนียภาพเบื้องหน้าถูกบดบังเพราะแผ่นหลังกว้าง น้องเล็กของเขาเติบใหญ่ถึงเพียงนี้แล้วหรือ? ทั้งยังกล้าหาญ คิดจะปกป้องเขาที่ตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก
หลี่ซื่อหลางลอบมองเสี้ยวใบหน้าคนตัวสูง หย่งคงในยามนี้ช่างดูแตกต่างกับตอนแรกที่เจอนัก เด็กชายที่ชายหนุ่มรับเลี้ยงเมื่อ สิบปีก่อนยังต้องหลบหลังเขาเมื่อเจอภัย มาบัดนี้กลับกลายเป็นเขาเองที่ต้องอยู่ข้างหลังเพื่อให้น้องเล็กปกป้อง
สถานะเรากลับกันตอนไหนหนอ?“พวกข้ามาตามตัวคุณชายเล็กกลับตระกูล”
“ไม่มีคุณชายเล็กที่นี่ กลับไปเสียเถิด” หย่งคังสวนกลับทันที ทั้งๆ ที่พูดประโยคเดียวกัน แต่ชายแปลกหน้ากลับไปกล้าทำอะไรน้องเล็กของเขา
“เป็นคำสั่งท่านเลี่ยงหวง บิดาของท่าน”
“ข้าจำไม่ได้ว่ามีพ่อ” เอ่ยเสียงแข็งติดจะห้วน จนคนฟังรับรู้ทันทีว่าคนพูดมีความคับแค้นอยู่ในใจ “ไปหาคุณชายที่่อื่น ที่นี่ไม่มีคนที่พวกท่านตามหาหรอก” หย่งคังหันหลังกลับ โอบตัวหลี่ซื่อหลางแน่นเสียจนร่างโปร่งแทบแทรกหายไปในอ้อมแขนแกร่ง
“หย่งคัง…” หลี่ซื่อหลางเงยหน้าขึ้น
แววตาหย่งคงที่มองลงมามีแววอ่อนลง “ไม่เป็นไรแล้ว”
“เขาจะโดนฆ่าโทษฐานลักพาตัวท่าน!”
หย่งคังชะงักเล็กน้อย แรงบีบที่ไหล่หลี่ซื่อหลางเพิ่มขึ้นหลังจากได้ยินประโยคดังกล่าว หากสองเท้ายังเร่งเดินเข้าบ้านโดยเร็ว
“ข้าเตือนท่านแล้วนะ คุณชายเล็ก”
ประโยคสุดท้ายดังไล่หลังก่อนที่หย่งคังจะกระแทกประตูปิดอย่างแรง จิ้งอี้ที่นั่งรออยู่ด้านในรีบวิ่งเข้ามาตรวจสอบความปลอดภัยของเพื่อนสนิท
“เจ้าไม่เป็นอะไรนะ”
“อืม” หลี่ซื่อหลางพยักหน้า ยังรู้สึกปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ถูก “ฟานตงล่ะ”
“ข้าขังเขาไว้ในห้อง ไม่ว่ากันนะ”
“ก็ดีกว่าให้คนพวกนั้นกระทืบเขา” หลี่ซื่อหลางถอนหายใจเฮือก หย่งคังพยุงร่างโปร่งไปนั่งบนเก้าอี้ ท่าทางราวกับเห็นเขาเป็นทารกหัดเดิน
“หย่งคัง ข้าเดินเองได้”
น้องเล็กเม้มริมฝีปาก จนใจต้องปล่อยมือออกจากร่างโปร่ง
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? มีใครอธิบายให้ข้าฟังได้บ้าง?”
หลี่ซื่อหลางมองหน้าจิ้งอี้ที หย่งคังที ไม่มีใครสบตากับเขาตรงๆ เลยสักคน มีเรื่องที่ปิดเขาไว้อยู่งั้นหรือ? คิดแล้วก็แอบน้อยใจขึ้นมาไม่ทราบสาเหตุ
“จะไม่มีใครพูดอะไรเลยหรือ?”
…
เงียบ
“ทำไมคนพวกนั้นถึงเรียกเจ้าว่า คุณชายเล็ก” ครานี้หลี่ซื่อหลางถามหย่งคังอย่างเจาะจง
“ข้าไม่รู้”
“จริงหรือ?” คนเป็นพี่ใหญ่ขมวดคิ้ว “เจ้าไม่ได้ปิดบังอะไรข้าใช่หรือไม่?”
หย่งคังไม่ตอบ สีหน้าเศร้าๆ กระตุกหัวใจพี่ชายให้เจ็บปวดไม่แพ้กัน
หรือเขาจะขี้สงสัยเกินไป? หลี่ซื่อหลางได้สติ เขาเป็นพี่ใหญ่ ไม่ควรระแวงน้องตัวเอง ชายหนุ่มมีความเชื่อมั่นว่าน้องชายทุกคนของเขาเป็นคนดี
บางทีเขาคงคิดมากตามประสาคนแก่กระมัง
“ช่างเถอะ” หลี่ซื่อหลางเดินเข้าไปตบบ่าหย่งคัง “ข้าขอโทษที่ถามเจ้าแบบนั้น ไม่โกรธข้านะ?”
น้องเล็กเงยหน้ามองพี่ใหญ่ที่ส่งยิ้มละไมให้ แววตาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตัวน้องชายล้นปรี่ ยิ่งเห็น หยงคังก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น
“เอาล่ะ! ถือโอกาสพักผ่อนสักวันแล้วกัน” หลี่ซื่อหลางรีบเปลี่ยนเรื่อง ทำทีท่าราวกับก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หันไปหาเพื่อนสนิทที่นั่งเงียบเป็นเป่าสากมาสักระยะหนึ่งแล้ว
“จิ้งอี้ เจ้าควรไปดูว่าฟานตงทุบประตูพังหรือยัง ข้าจะไปเก็บของหลังครัว”
“อ…เอ่อ ได้สิ”
“ขอบใจเจ้ามาก”
หลี่ซื่อหลางกล่าวขอบคุณในหลายๆ ความหมาย โดยที่หย่งคังได้แต่แอบมองพี่ชายคนโตเดินหายเข้าไปในครัว
หย่งคังไม่อยากทำลายความรู้สึกของหลี่ซื่อหลาง
…
‘เขาจะโดนฆ่าโทษฐานลักพาตัวท่าน’…
หากจะมีใครสักคนต้องตาย คนๆ นั้นควรเป็นเขา-------------------------------------------------------------
สองคืนต่อมา หลี่ซื่อหลางก็ฝันอีกแล้ว
ทว่าสัมผัสของท่านเทพช่างอ่อนโยนกว่าทุกครั้ง ริมฝีปากร้อนไล่จุมพิศทั่วใบหน้าจนถึงลำคอ ขบเม้มที่แอ่งชีพจร ไล่เลียถึงหน้าอกของเขา ฝ่ามือฟ้อนเฟ้นเอวบางจนบริเวณนั้นร้อนวูบ หลี่ซื่อหลางแอ่นตัวรับอย่างห้ามไม่อยู่
‘ข้ารักท่าน…’
คำพูดหวานดังแผ่วข้างหู และยังคงดังก้องอยู่ในหัวคนกำลังหลับฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่า รู้สึกดีราวกับลอยอยู่บนก้อนเมฆ
‘ข้ารักท่าน รักที่สุด…’
ริมฝีปากถูกครอบครองอีกครั้ง เนินนานชั่วกัลป์ แขนแกร่งโอบล้อมร่างโปร่งจมหายไปในอ้อมอก สูดดมกลิ่นหอมเฉพาะตัวให้จดจำลึกลงไปใต้ก้นบึ้งหัวใจ เพื่อที่จะไม่ลืมว่าครั้งหนึ่งได้รักและมอบหัวใจทั้งดวงให้คนๆ นี้ได้มากมายเพียงใด
จะเป็นคนแรกและคนเดียวเสมอ
‘รอข้านะ ซื่อหลาง’
จูบลาสุดท้ายแตะลงที่หน้าผาก
‘อย่าลืมว่าข้ารักท่านเสมอ’-------------------------------------------------------------
“พี่ซื่อหลาง!”
ฟานตงพรวดพราดเข้ามาในห้องนอนของพี่ชายคนโต เห็นร่างโปร่งยังนอนหลับเป็นตายไม่ยอมตื่น “พี่ซื่อหลาง! ตื่นเร็วเข้า!” ทั้งตะโกน ทั้งเขย่า คนนอนหลับสบายยังอุตส่าห์หลับตาพริ้มสบายใจต่อได้?
“พี่ซื่อหลางงงง!!!”
เหมือนโสตประสาทการรับรู้ของหลี่ซื่อหลางจะทำงาน เจ้าตัวงัวเงียลืมตาตื่นขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
“ฟานตง?”
“ก็ข้าน่ะสิ!” ฟานตงดึงร่างสะลึมสะลือให้ลุกขึ้นนั่ง “เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ท่านยังจะมีอารมณ์มานอนอีก!”
“เรื่องใหญ่อะไร?” ว่าพลางอ้าปากหาวหวอด เมื่อคืนฝันดีเสียจนหลับเพลินทีเดียว
“หย่งคังไปแล้ว!”
“ไปซื้อของในตลาด?”
“ไม่ใช่!” ฟานตงทึ้งหัวตัวเอง “หย่งคังหนีออกจากบ้านไปแล้วต่างหาก!”
ตาที่จะหลับแหล่มิหลับแหล่ถึงกับเบิกโพลง “เจ้าว่าไงนะ?!”
“เมื่อคืนตอนยามสาม ข้าเห็นเขาเก็บของออกไปกับพวกที่มารังควาญเราเมื่อสองวันก่อน พอข้าจะไปช่วย ไอตัวใหญ่ในกลุ่มมันก็ชกข้าจนสลบ ดูสิ!” เจ้าตัวอวดรอยฟกช้ำที่โหนกแก้ม ดูท่าจะเจ็บมากทีเดียว
“พอตื่นมาอีกที ชาวบ้านก็เอาแต่ยืนมุงดูข้านอนแบคาถนนหน้าบ้าน นึกว่าตายแล้ว แต่ข้า…”
“ฟานตง! ข้าขอสั้นๆ” หลี่ซื่อหลางเขย่าไหล่น้องชาย
“พี่ซื่อหยาง…” ฟานตงเอื้อมมาบีบมือเขา “หย่งคังไม่ใช่น้องเล็กของเราแล้ว”
“เจ้าพูดอะไร?”
“เขาคือ คุณชายเล็กจางเฟยหลง ของตระกูลจาง”
…
หลี่ซื่อหลางเงียบไปหลายชั่วยาม เขานั่งนิ่งๆ เพื่อเรียกสติ ก่อนจะหันไปถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ “เจ้าพูดใหม่สิ?”
“หย่งคังไปเป็นคุณชายเล็กแล้ว พี่ซื่อหลาง”
“…ไม่จริง”
“ข้าจะโกหกทำไม”
“ข้าไม่เชื่อ”
ฟานตงหมายจะดึงให้หลี่ซื่อหลางลุกจากเตียง “ไม่เชื่อ ท่านก็ไปถามพี่จิ้งอี้ตอนนี้เลยย่อมได้” หากขาของพี่ใหญ่กลับหมดแรง เสียดื้อๆ จนล้มลงไปกองกับพื้น
“พี่ซื่อหลาง!” ฟานตงรีบเข้าไปช่วยประคอง ดูท่าร่างโปร่งจะจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้ว
“หย่งคังเป็นน้องเล็กของเราไม่ใช่หรือ…ฟานตง?...”
เห็นสภาพคนเป็นพี่ ฟานตงยิ่งไม่อยากพูดหักหาญน้ำใจ แต่ความจริงไม่อาจปฏิเสธได้ เขาทำได้เพียงลูบหลังปลอบประโยน
“ตอนนี้ไม่ใช่แล้วล่ะ…”-------------------------------------------------------------
To be continued...
Talk : ตอนนี้อัพรูปตัวละคร หย่งคัง กับ ซื่อหลางไว้หน้าแรก
อย่าลืมกดเข้าไปดูนะค่าาาา ส่วนตัวละครอื่นๆ จะตามมาทีหลังน้า
@alternative ยอมรับว่าแต่งเนื้อหารวบรัดมากค่ะ ฮาาาา ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ แต่งจบเมื่อไหร่จะรีไรท์ให้สมเหตุสมผลมากขึ้นค่าา >_<
@cavalli ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะค่าาาา
@ycrazy ชอบตัวละครนี้เหมือนกันเลยค่าาาา แล้วนางจะชอบปากแข็งด้วยนะประเด็น ฮาาา
@boboman รอให้ซื่อหลางรู้ใจตัวเองเร็วๆ แล้วจะได้... (ละไว้ในฐานที่เข้าใจ กรั๊กกก)
@oumpatta ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ตัวละครเยอะเป็นหนอนจริงๆแหละค่ะ ฮา ไว้แต่งจบเมื่อไหร่จะรีไรท์ให้สมเหตุสมผลขึ้นนะคะ >_<
@JustWait พี่แกมีฝันร้ายกับตระกูลนี้ค่ะ ไม่อยากกลับไปเหยียบ แต่ถ้าได้กลับไป...รออ่านตอนต่อไปดีกว่าเน้ออออ
@หมีอ้วนพี หย่งคังเขาขาดความรักมานาน55555555
@cheyp สักพักใหญ่แล้วล่ะคะ พี่ซื่อหลางถึงได้นอนฝัน(ดี?)มาหลายเดือน
@ขนมโก๋ ที่หนึ่งไปเลยค่ะ55555555