ตอนที่ 14
เช้าวันนี้ผมมาทำงานด้วยคำถามที่ติดค้างในใจมากมาย ผมเล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นให้พี่ๆ ที่แผนกฟัง ทุกคนให้กำลังใจผม ถึงแม้ใบหน้าผมจะดูยิ้มแย้มเหมือนคนทำใจได้ แต่ลึกๆ ข้างในมันยับเยินสุดๆ สิ่งที่โจ้พูดกับผมเมื่อคืนไม่ใช่ผมไม่คิดนะ ผมคิดตลอด ผมเข้าไปคุยกับแนนทันทีที่มันมาถึงที่ทำงาน
“แนน พี่เลิกกับต้อมแล้วนะ”
“อ้าว! ทำไมล่ะพี่”
“ต้อมเค้ามีแฟนใหม่แล้ว”
“ใครอะพี่”
“เค้าบอกว่าเป็นเพื่อนที่ทำงานเค้า แนน...ถามจริงๆ นะ ไม่ใช่แนนใช่มั้ย”
“จะบ้าเหรอพี่ ตั้งแต่ที่พี่หึงครั้งก่อน แนนก็ไม่กล้ายุ่งกับต้อมแล้วล่ะ”
“แนนพูดจริงๆ เหรอ”
“จะให้ไปสาบานที่วัดพระแก้วมั้ยล่ะพี่” แนนเริ่มขึ้นเสียงนิดหน่อย
“อืม ก็ดีแล้วล่ะที่ไม่ใช่”
“ทำไมพี่ถึงคิดว่าเป็นแนนล่ะ นังโจ้ใช่มั้ย”
“……………..” ผมเลือกที่จะเดินออกไปนอกห้องโดยไม่ตอบอะไร แต่ก็ยังรู้สึกคาใจยังไงไม่รู้ ผมกดโทรศัพท์มือถือหาต้อมทันทีเพราะไม่อยากให้อะไรมันค้างคาใจอีกต่อไป
“ต้อม เนลนะ”
“ว่าไง”
“ต้อม เนลถามจริงๆ นะ ตอบมาตรงๆ นะ เนลทำใจได้แล้วไม่ต้องห่วงหรอก ผู้หญิงคนที่ต้อมคบอยู่แนนใช่มั้ย”
“ทำไมเนลถึงคิดอย่างนั้นล่ะ”
“ตอบมาเหอะต้อม”
“ใช่!”
ผมเหมือนถูกตบหน้าฉาดใหญ่เป็นครั้งที่สอง คำตอบของต้อมทำเอาผมแทบทรุดลงไปกับพื้น อะไรกันนี่ คนที่ผมดีด้วยทั้งสองคนกลับร่วมมือกันทรยศหักหลังผมได้ ผมไม่มีคำพูดใดๆ ที่จะพูดต่อกับต้อมอีกแล้ว ผมเดินกลับมาที่ห้องทำงานอีกครั้ง แต่ไม่เห็นแนนแล้ว
“พี่ แนนไปไหนแล้วล่ะ”
“เดินออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกอะ”
“พี่ แนนกับต้อมมันคบกันจริงๆ เนลเพิ่งโทรไปหาต้อมมา”
“เวรกรรม”
“ต้อมคงโทรมาหามันบอกว่าเนลรู้ความจริงแล้ว แล้วจะทำยังไงต่อล่ะเนล อย่าวู่วามนะ”
พี่ๆ ที่ทำงานทั้งพี่ดา พี่อ๋อย และโจ้ต่างก็ช่วยกันปลอบใจผม เพราะคงกลัวผมขาดสติแล้วไปทำร้ายนังแนนเข้า ถามว่าผมโกรธมากมั้ย มากสิ มากซะจนผมทำอะไรไม่ถูก สักพักชะนีใจหมาก็เดินเข้ามาในห้อง มันไม่กล้าแม้แต่จะสบตาสู้หน้าเพื่อนร่วมงาน โดยเฉพาะผมคนที่มันกล้าทำร้ายได้ลงคอ มันนิ่ง เงียบ ไม่พูดกับใคร เก็บกระเป๋า ปิดเครื่องคอมฯ แล้วเดินออกไปจากห้องทันที
“พี่เนล ไม่เป็นไรหรอก ช่างมันเหอะ เรื่องมันเป็นแบบนี้แล้ว” โจ้พูดปลอบและให้กำลังใจผม
“อืม ช่างมัน!”
“มันจริงอย่างที่คิดไว้จริงๆ หนูเคยแอบได้ยินนังแนนคุยโทรศัพท์กับต้อมอยู่บ่อยๆ และมันก็ยังออนเอ็มคุยกันด้วย หนูก็บอกว่าอย่าไปยุ่งกับแฟนคนอื่น มันก็ปฏิเสธบอกไม่มีอะไร หนูก็พยายามเชื่อนะ แต่มันบ่อยจนหนูไม่เชื่อมันอีกแล้ว หนูไม่กล้าบอกพี่กลัวพี่ไม่เชื่อ”
“ใช่ แล้วพี่ก็ไม่เชื่อโจ้จริงๆ น่ะแหละ ขอโทษด้วยละกัน พี่ไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้ คนที่พี่ไว้ใจทั้งสองคน ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้นะ”
“ตอนที่นังแนนมันเข้าโรงพยาบาลเรื่องที่มันชักน่ะ ต้อมมันก็ไปเยี่ยมด้วยนะ แต่มันบอกหนูว่าไม่ให้บอกพี่”
ผมอยากจะร้องไห้จริงๆ แล้วอยู่ๆ เรื่องราวก็เริ่มปะติดปะต่อเข้ามาในสมองผมอย่างรวดเร็ว เรื่องที่ต้อมไปต่างจังหวัดมันช่างประจวบเหมาะกับวันที่นังแนนไปต่างจังหวัดด้วยเหมือนกัน ต้อมทำได้ยังไงเนี่ย ตลอดเวลาที่อยู่กับผม เค้าก็แอบไปมีอะไรกับนังแนน ทั้งสองคนทำผมได้เจ็บแสบจริงๆ
เย็นวันนี้ผมตัดสินใจเดินทางกลับบ้านที่ลำปางโดยที่ไม่บอกกับต้อมหรือกับใคร ผมอยากกลับไปหาพ่อกับแม่ เพราะเวลาที่ผมไม่สบายใจหรือมีทุกข์เรื่องใดก็จะได้พ่อกับแม่นี่แหละที่คอยอยู่เคียงข้างและปลอบใจเสมอ...ผมคิดถึงพ่อกับแม่มาก
ผมมาถึงที่บ้านเช้าวันรุ่งขึ้น เล่นเอาพ่อกับแม่เซอร์ไพรส์ไปตามๆ กัน ก็แน่ล่ะเล่นมากะทันหันอย่างนี้ใครบ้างล่ะจะไม่แปลกใจ ผมทักทายท่านแทบกลั้นน้ำตาไม่ไหว ไม่อยากให้ท่านรู้เรื่องอะไรตอนนี้ เลยขอตัวเข้าห้องก่อน ทันทีที่ปิดประตูห้องน้ำตามันก็ไหลทะลักเหมือนกับเขื่อนกักเก็บน้ำพังทลายก็ไม่ปาน เสียงสะอื้นของผมมันดังพอที่จะทำให้พ่อกับแม่วิ่งมาเคาะประตูเรียก ผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท่านฟังทั้งน้ำตา ผมเหมือนคนสติเลื่อนลอย พูดจาวกไปวนมา ท่านทั้งสองก็ได้แต่ปลอบและกอดผมไว้ ผมไม่ได้ตั้งใจอยากจะเอาเรื่องไม่สบายใจมาระบายให้พ่อกับแม่ฟังหรอกนะครับ แต่ผมไม่รู้จะทำยังไงแล้ว สิ่งเดียวที่คิดได้ก็คือกลับบ้านมาหาพ่อกับแม่เท่านั้น แต่ทว่าการกลับมาบ้านครั้งนี้มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเท่าไหร่นัก หนำซ้ำยิ่งทำให้ผมเสียใจหนักเข้าไปอีกเมื่อได้รู้ว่าพ่อไม่สบายเป็นมะเร็งตับ พ่อต้องกุมท้องตัวเองไว้ตลอดเวลาจะลุกจะนั่งจะเดินเพราะความเจ็บปวด ผมไม่น่าเอาเรื่องไม่สบายใจมาให้ท่านรับรู้เลยจริงๆ ตอนนี้เท่ากับว่าผมมีเรื่องที่ต้องเสียใจถึงสองเรื่องซ้อนเลยทีเดียว!