♫♬♪♩ ‘เสียง’เต้นรำในคืนเดือนมืด ✐ (กันย์xกุมภ์)
บทที่ 2หลังจากที่ดูพระอาทิตย์ขึ้นผมก็กินข้าวแล้วมาคลุกกับเปียโนตั้งแต่เช้าจรดเย็น ผมแก้ทำนองจากที่ได้ฟังพี่เชนท์เล่นนิดหน่อย ตอนนี้แต่งต่อจนเกือบจะเสร็จไปครึ่งทางแล้วขาดแค่เนื้อร้องเท่านั้นเอง
ปกติถ้าคนแต่งทำนองกับคำร้องเป็นคนเดียวกันจะแต่งทำนองไปเขียนไปก็ได้ แต่ผมถนัดแต่งทำนองออกมาก่อนมากกว่า เผื่อว่าบางทีถ้าผมไม่อยากจะเขียนเนื้อเพลง คงมีใครสักคนเอาทำนองผมไปเขียนต่อ
“ไอ้แอล!”
“เฮ้ย ไอ้นิค!?”
ผมเรียกชื่อคนตรงหน้าเสียงดังเพราะตกใจปนคาดไม่ถึงที่ได้เจอมันที่นี้ ร่างเล็กๆถลาเข้ามากอดผมแน่น
“มึงมาได้ไง”
นิคกี้เป็นเพื่อนซี้ที่สุดของผมเลยละ มันทำงานเป็นนักเขียนเพลงเหมือนกัน แต่แนวเพลงส่วนใหญ่ที่มันเขียนจะตรงข้ามกับผม เป็นแนวร็อค มันส์ๆ สนุกกระโดดเต้นอะไรทำนองนั้น
“เอ้า ร้องไห้ทำไม”
“กูก็ไม่รู้เหมือนกันวะ”
“ฮ่าๆ มึงมันบ้า แล้วสรุปมึงมาอยู่ที่นี้ได้ไง”
นิคกี้ทำหน้างงจริงจัง ผมเลยถามเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่ได้อยากรู้อะไรขนาดนั้น
“หวานใจมึงโทรมาชวนกู เห็นว่ามึงกำลังเครียดกับการแต่งเพลงอยากให้มาชวนกันคิดเผื่อมีไอเดียอะไร”
“เพลงแรกกูจะคลอดละ สบาย แต่เพลงอื่นนะสิ ยังไม่มีเค้าโครงอะไรเลย”
“เดี๋ยวกูช่วยเอง แต่ตอนนี้ไปเล่นน้ำทะเลกัน!”
“เอางั้นเหรอ”
“เออดิ มึงเห็นชุดกูไหม”
มันว่าพร้อมเผยมือให้ดูตัวมันเอง ไอ้นิคใส่กางเกงตัวเดียว โชว์หุ่นที่ไม่มีกล้ามของมันอย่างภาคภูมิใจ..อ่อ ถ้าไม่ติดว่าผมเป็นเพื่อนมันผมจะจับมันกดตรงนี้แหละ หึๆ
”มึงขาวน่าฟัดมากอะนิค จะไปล่อสายตาผู้ชายที่ไหนวะ”
“มึงบอกตัวเองเหอะไอ้ขาวน่าฟัดอะไรนั่นอะ แล้วอีกอย่างกูมาอ่อยสาวต่างหากครับ”
“แหวะ”
ผมเบะปากใส่มันแกล้งๆ ละจากเปียโนสีน้ำตาลลงไปเล่นน้ำทะเลกับไอ้นิคจนตัวเปื่อยถึงยอมขึ้นฝั่ง ไม่ขึ้นไม่ได้แล้วครับตัวเปื่อยซีดเป็นไก่ต้มแล้ว พอกลับไปก็เห็นพี่เชนท์กำลังนั่งรออยู่บนโต๊ะอาหารแต่คราวนี้ไม่มีเทียน ดีแล้วไม่งั้นไอ้นิคมันคงอ้วกใส่ผมฮ่าๆ
“โห แฟนมึงนี่บริการตลอดอะ หล่อแล้วยังใจดี”
ไอ้นิคมันว่า มองอาหารหลากหลายอย่างที่อยู่ตรงหน้าสายตาบ่งบอกว่าอยากกินอย่างไม่ปิดบัง
“เหนื่อยไหมคนเก่ง”
“เหนื่อยมากกกกกกก”
ผมเดินเข้าไปอ้อนพี่เชนท์ ซุกหน้ากับแผงอกแกรงๆนั่น เลือดกำเดาจะไหล ผู้ชายอะไรตัวก็สูง กล้ามก็มี หุ่นในฝันผมเลย!
“ทำไมพี่เชนท์หล่อจัง”
ผมถามกลับหน้าซื่อ..ซะเมื่อไหร่ ฮ่าๆ หน้าหื่นต่างหาก
“โอ้ยมึง ให้มันน้อยๆหน่อย”
เสียงไอ้นิคลอยเข้าหูซ้ายแล้วทะลุหูขวา ไม่อาจเรียกความสนใจไปจากผมได้ สายตาผมจ้องใบหน้าได้รูปของพี่เชนท์เขม็ง คิ้วเข้มเรียงสวยจรดรับกับจมูกโด่งๆ แต่ที่ผมชอบที่สุดก็คงเป็น.. ดวงตา..ดวงตาสีดำที่อบอุ่นและน่าดึงดูดของพี่เชนท์
“มองแบบนี้เดี๋ยวพี่ก็จับจูบซะหรอก”
พี่เชนท์ขำ นัยต์ตาสีดำฉายแววหลอกล้อ
“ก็จูบสิ แอลไม่ได้ห้าม”
“เด็กแก่แดด”
“แอลเลยสิบแปดมาหลายปีแล้ว”
“ก็ยังเด็กสำหรับพี่อยู่ดี”
“พี่แก่กว่าแอลแค่สามปีเอง”
พูดไปงั้นแหละครับ บุคลิกและนิสัยพี่เชนท์นะโตกว่าผมเยอะ
“ปากดี”
“ดีแล้วน่าจูบปะละ”
พี่เชนท์เคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้จนจมูกเราเตะกัน ผมหลับตาปี๋ด้วยความตื่นเต้น ไอ้ที่อวดดีเมื่อกี้หายวับ ก่อนจะรู้สึกถึงความอุ่น
ร้อนที่บริเวณ..หน้าผาก
“หน้าผากพอ เพื่อนเรายังอยู่นะ”
“ช่างไอ้นิคมันสิ”
“ขอบคุณครับพี่เชนท์ที่ไม่ลืมผมเหมือนไอ้เพื่อนแถวๆนี้!”
แม้ในวันนั้น ยั่งยืนเพียงฝัน.. เป็นแค่เพียงเมื่อวานผ่านไป
ทริปคราวนี้ไม่ได้มีอะไรหวือหวามากนัก
ไอ้นิคมาอยู่กับผมได้สองวันก็ต้องกลับเพราะมีธุระด่วน ผมแต่งทำนองเพลงเสร็จแล้ว แต่ยังขาดเนื้อ แล้วสิ่งที่ทำให้งานผมล่าช้าอยู่นี่ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ต้นเหตุก็คนตัวโตๆที่นั่งมองผมเล่นเปียโนอยู่ข้างๆนี่ไง
“เสร็จแล้วไปดูพระอาทิตย์ตกดินกันนะ เพราะพรุ่งนี้ต้องกลับกรุงเทพแล้ว”
ครับ..สองอาทิตย์ผ่านไปไวเหมือนโกหก แต่ที่ไม่โกหกก็คือพี่เชนท์ เขาชวนผมไปเที่ยวนั่นนี่จนเวลาที่วางแผนว่าจะแต่งเพลงเปลี่ยนเป็นเที่ยวแทน
“ต้องดูด้วยเหรอ แค่พระอาทิตย์ตกดิน ก็ดูมันขึ้นแล้วนี่”
ผมแกล้งพูดทั้งที่ใจจริงอยากลากพี่เชนท์ไปซะเดี๋ยวนี้
“ยังไม่หายงอนอีกเหรอเด็กน้อย”
“แอลยี่สิบห้าแล้วครับพี่เชนท์ ยี่-สิบ-ห้า” ผมย้ำชัดๆทีละคำ
“พี่ขอโทษ..”
พี่เชนท์ว่าเสียงอ่อน แล้วใจผมก็อ่อนไปด้วย.. ก็ใครจะไปทนเห็นหน้าเศร้าๆของพี่เชนท์ไหว! แล้วจริงๆมันก็ไม่ใช่ความผิดที่เชน
ท์คนเดียวหรอกที่ทำแผนผมพัง ถ้าผมไม่ใจอ่อนยอมไปเที่ยวด้วยผมก็คงแต่งเพลงเสร็จไปนานแล้ว
“แอลจะไปไหน”
พี่เชนท์ถามเมื่อเห็นว่าจู่ๆผมก็ลุกขึ้นพรวด
“เร็วสิพี่เชนท์พระอาทิตย์มันไม่รอใครนะ มันอยากจะตกก็ตก”
“แอลไม่โกรธพี่แล้วใช่ไหม”
เคยโกรธซะที่ไหนเล่า...
ผมตอบในใจ มองหน้าหล่อๆที่หายเป็นหมาหงอยของพี่เชนท์แล้วหลุดขำออกมา..ฮาสุดๆอะ พี่เชนท์ยิ้มออกเมื่อรู้ว่าโดนผม
แกล้งให้แล้ว เราเดินเล่นกันไปตามหาด คนน้อยแทบจะนับได้เพราะหาดนี้ไม่ได้เป็นหาดท่องเที่ยวสักเท่าไหร่
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
ผมถามงงๆเมื่อจู่ๆพี่เชนท์ก็หยุดเดิน แล้วปล่อยให้ผมหลงเดินนำไปคนเดียว
“พี่มีอะไรจะบอก”
“ครับ?” ผมมองพี่เชนท์งงๆ
“ก็มาบอกใกล้ๆสิ ยืนห่างกันเป็นกิโล”
พูดเวอร์ไปงั้น ฮ่าๆ ที่จริงเรายืนห่างกันหกเจ็ดก้าวเอง เท้าใหญ่ค่อยๆเหยียบทับรอยเท้าที่ผมเคยเดินตามมาทีละก้าว..
ทีละก้าว..
ทีละก้าว..
จนกระทั่งช่องว่างที่เคยห่างเปลี่ยนเป็นแนบชิด
“แอลรู้ใช่ไหมว่าทำไมพี่ถึงเดินตามรอยเท้าแอล”
“...”
ผมพยักหน้า..
จำได้ว่าเคยดูหนังเรื่องหนึ่ง แล้วเพ้อถึงฉากๆหนึ่งให้พี่เชนท์ฟังว่ามันซึ้งมากแค่ไหน ฉากนั้น..แบบเดียวกับที่พี่เชนท์กำลังทำ
“ถ้าเราเดินตามรอยเท้าใคร แปลว่าเราอยากจะแบ่งปันส่วนหนึ่งของชีวิตกับคนๆนั้น..”
“พี่เชนท์..”
ผมเรียกชื่อคนตรงหน้าเสียงสั่นๆ เมื่อจู่ๆพี่เชนท์ก็คุกเข่าลงตรงหน้าผมพร้อมกับกล่องกำมะหยี่สีแดงสดที่บรรจุแหวนแวววาว
“แอลแต่งงานกับพี่นะ”
ผมไม่มีแม้แต่เสียงจะตอบ..
ได้แต่พยักหน้า สมองประมวลผลภาพและเสียงเมื่อครู่ซ้ำไปซ้ำมา รู้ตัวอีกทีมือผมก็ถูกมืออุ่นๆของพี่เชนจับไว้พร้อมกับความเย็น
ของแหวนที่สวมอยู่บนนิ้วนางข้างซ้าย
“แอลรักพี่เชนท์นะครับ”
น้ำตาผมไหลด้วยความตื้นตัน เพิ่งเข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงเวลามีคนมาคุกเข่าขอแต่งงาน ก็วันนี้ ผมไม่เคยคิดว่าพี่เชนท์จะทำแบบนี้เพราะเราทั้งคู่ต่างก็เป็น ‘ผู้ชาย’
“พี่ก็รักแอลเหมือนกันครับ รักมาก.. มากจนเกินไป พี่ขอโทษ”
“รักมากเลยขอโทษเนี่ยนะ ฮ่าๆ”
ผมปาดน้ำตาออกจากแก้ม มองหน้าพี่เชนท์ขำๆ
“จูบกันไหม”
“เรื่องแบบนี้ใครเขาให้ถาม”
มันต้องทำเลยต่างหากเล่า! ตั้งใจจะแกล้งผมใช่ไหมเนี่ย
“หลับตาสิ”
ผมรู้สึกร้อนวูบที่แก้ม ไม่รู้จะวางสายตาไว้ที่ไหนจึงหลับตาเหมือนที่อีกคนบอก ทำยังกับว่ามันคือจูบแรกของผมพี่เชนท์งั้นแหละ
ริมฝีปากหยักเลื่อนเข้ามาใกล้ ก่อนที่จะประทับลงบนริมฝีปากของผมอย่างแผ่วเบา..
มันไม่ใช่จูบที่จาบจ้วง มีเพียงแค่ริมฝีปากที่แนบชิดกันและกัน แต่มันกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกอุ่น และดีที่สุดเท่าที่ผมเคยจูบกับพี่เชนท์มา
เธอคงพอรู้ไม่ว่านานเพียงใด..ไม่นานเกินไปให้ใจฉันจำ
“แอล ฮึก!”
เสียง.. เสียงนั่นอีกแล้ว
“ฮื่ออออ”
เรื่องชื่อผมทำไม?.. ร้องไห้ทำไม?
“แอลเป็นอะไรหรือเปล่า หน้าซีดๆ”
“เปล่าครับ”
ผมตอบกลับ พยายามไม่แสดงอะไรที่ดูมีพิรุธออกไป พี่เชนท์คงงงที่เห็นผมยืนมองบรรไดซะนาน
“แอลแค่เครียดๆนะ เหลืออีกหนึ่งอาทิตย์ก็ต้องส่งเพลงให้คุณเสือแล้ว แต่แอลยังแต่งไม่ได้สักเพลงเดียวเลย”
ตั้งแต่กลับมาจากทะเลผมก็เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งอาทิตย์เพื่อเขียนเพลงส่ง
“คุณเสือเขาไม่ได้โทรตามไม่ใช่เหรอ เขาอาจจะเปลี่ยนใจยืดเวลาออกไปแล้วก็ได้นะ”
“นั่นแหละครับที่แปลก.. ผมโทรหาคุณเสือไม่ติดเลยแล้วคุณเสือก็ไม่โทรตามผมด้วย”
มันแปลกเกินไป.. ปกติแล้วคุณเสือจะโทรมาถามงานบ้างแต่นี้ไม่มีเลยสักครั้ง
“ที่สำคัญแอลยังแต่งเพลงไม่เสร็จแม้แต่เพลงเดียว”
ผมไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน..
มันทำให้ผมรู้สึกแย่ไม่น้อย ทั้งที่ทำนองก็เสร็จแล้วแต่พอจะเขียนเนื้อเพลงมันกลับจบลงด้วยการลบซ้ำไปซ้ำมา ผมแค่รู้สึกว่ามัน
ไม่ใช่ แล้วผมก็จะไม่ยอมแต่งเพลงออกไปแบบขายผ้าเอาหน้ารอดให้มันเสร็จๆไปด้วย
“แอลเล่นเพลงที่เขียนทำนองเสร็จแล้วให้พี่ฟังหน่อยสิ”
“ครับ?”
ผมรับคำงงๆ แต่ก็ยอมเดินไปที่สวนเพื่อเล่นเปียโนให้พี่เชนท์ฟังแต่โดยดี ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ค่อยๆบรรเลงเพลงไปตามจังหวะที่ขีดเขียน
“เพราะดีนะ”
“แน่อยู่แล้ว แอลซะอย่าง” ผมอมยิ้มรับคำชม
“ฟังดูเศร้าๆ”
“อินอะดิ” ผมเอียงคอถามเมื่อเห็นแววตาเหม่อลอยของพี่เชนท์
“พี่ขอช่วยเราเขียนเนื้อเพลงได้ไหม”
“เอาสิ แอลจะได้สบายฮ่าๆ”
“แต่มีข้อแม้นะ”
“ว่า?”
“ถ้าพี่เขียนแล้วแอลห้ามลบ ต้องแต่งต่อให้เสร็จ”
“หื้อ.. กลยุทธช่วยให้แอลเขียนเพลงเสร็จเร็วๆเหรอ”
ผมมองหน้าคนเจ้าแผนการ พี่เชนท์ยิ้มๆดึงกระดาษไปจดปลายปากกา ไม่สนใจดินสอที่วางอยู่ข้างๆแม้แต่น้อย ไม่นานพี่เชนท์ก็ส่งกระดาษกลับคืนมาให้
“ตั้งชื่อเพลงให้พร้อม?”
“อื้อ”
“ชื่อนี้ก็ได้ ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว แอลซะอย่าง”
ผมโดนพี่เชนท์ยีผมแรงๆ ไม่รู้หมั่นไส้หรือเห็นผมเป็นหมาหรือยังไง ชอบจัง เล่นหัวผมเนี่ย
“แอล”
“ครับ?”
“ถ้าวันหนึ่ง แอลต้องเจอกับปัญหาต่างๆมากมาย จนรู้สึกเหนื่อย รู้สึกท้อแอลจะทำยังไง”
ผมมองสีหน้าจริงจังของพี่เชนท์แล้วอดตอบกลับไปแบบขำๆไม่ได้ ก็พี่เชนท์ไม่เหมาะจะทำสีหน้าแบบนี้เลยนี่น่า
“ไม่เห็นยาก แอลมีแม่ที่อยู่เคียงข้างแอลเสมอ มีเพื่อนดีๆอย่างไอ้นิค แล้วก็ยังมีพี่เชนท์..คนที่แอลจะใช้เวลาที่เหลือในชิวิตเดิน
ไปด้วยกัน”
“แล้วถ้า..”
“ถ้า?”
“ถ้าขาดใครคนใดคนหนึ่งไปละ”
ผมหุบยิ้มหน่อยๆ เมื่อพี่เชนท์ทำหน้าจริงจังขณะถามคำถาม
“แอลก็คงเสียใจมากๆ”
“แอลจำไว้นะ.. ถึงแอลจะสูญเสียคนใดคนหนึ่งไป แต่แอลก็ยังมีคนที่รักและห่วงใยแอล”
ผมยิ้มให้พี่เชนท์บางๆ มือใหญ่เอื้อมมาลูบไล้ข้างแก้มของผมอย่างแผ่วเบา
“และคนที่สูญเสียก็ไม่ได้หายไปไหน แต่เขาจะอยู่ในใจแอลตลอดไป”
“ครับ”
ผมพยักหน้า ปล่อยให้พี่เชนท์ดึงตัวไปกอดแน่น ผมซุกหน้าลงกับอกอุ่นๆแล้วจู่ๆน้ำตาก็ไหลอย่างไม่มีสาเหตุ..
ทำไมนะ?
ทำไมผมถึงได้รู้สึกเศร้าใจเหลือเกิน?
“แอลรักพี่เชนท์นะ”
♫♬♪♩ ‘เสียง’เต้นรำในคืนเดือนมืด ✐
“แอล..”
ผมไม่อยากได้ยินเสียงนั่น..
“ได้ยินไหม”
ผมไม่ต้องการ ออกไปให้พ้นสักที!
“แอล..”
“พะ พี่เชนท์”
ผมสะดุ้งเมื่อพี่เชนท์วางมือลงบนหัวผมแล้วลูบเบาๆ
“สีหน้าดูไม่ดีเลยนะ”
“อื้อ แอลไม่เป็นไรหรอก”
พูดแบบนั้นทั้งที่รู้สึกโหวงๆในใจแปลกๆ
“เต้นรำกันสักเพลงไหมเด็กน้อยของพี่”
“ครับ”
ผมกับพี่เชนท์อยู่ในสวนหย่อมที่บ้าน ใส่ชุดไปรเวทสีขาวสบายๆ ไม่ได้มีพิธีรีตองอะไรมากมายนัก พี่เชนท์หยิบซีดีขึ้นมาแผ่น
หนึ่งแล้วจัดการใส่มันลงไปในเครื่องเล่น
“เรื่องจริง..”
พี่เชนท์พูด ก่อนที่ดนตรีจะดังคลอขึ้นมา ผมรู้สึกชาหนึบที่หัวใจ มองพี่เชนท์ที่เอื้อมมือมาจับตรงเอวผม ส่วนอีกข้างก็ผายมือออก
เพื่อรอให้ผมวางมือลงไป
“เรื่องจริง”
ผมพูดแล้ววางมือทั้งสองข้างในตำแหน่งที่ถูกที่ควร เสียงดนตรีที่เปิดเป็นเสียงเปียโนเพลงที่ผมกำลังแต่ง ผมไม่รู้ว่าพี่เชนท์ไปอัดมันมาตอนไหน..แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่ผมต้องสนใจ ผมมองลึกเข้าไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นของพี่เชนท์
ไม่ว่าเมื่อไร.. เขาก็ยังมองมาที่ผมด้วยความรักและความห่วงใย
ผมกระพริบตาเมื่อภาพตรงหน้าถูกม่านน้ำตาบดบังไว้
เรายังคงเต้นรำกันโดยไม่มีการพูดจา มันเป็นแค่การเต้นรำธรรมดาๆหากแต่มีความพิเศษสำหรับผม พี่เชนท์หยุดฝีเท้า..
ดึงร่างผมไปไว้กอดแน่นเป็นครั้งที่เท่าไรของวันแล้วก็ไม่รู้..?
แต่ผมกอดเขาตอบเหมือนทุกครั้ง..
ซุกตัวในอ้อมกอดที่คุ้นเคยราวกับจะกลืนกินเป็นหนึ่งเดียวกัน ทั้งใจหัวใจผมมันเริ่มรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาทีละนิด..ทีละนิด กับการกระทำทั้งหมดของพี่เชนท์
“แอล”
เสียงนุ่มทุ้มเรียกชื่อผม มือหนาเลื่อนมาจับที่แก้มทั้งสองข้าง ปลายจมูกเราชดกันเพราะพี่เชนท์เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ก่อนที่จะจูบเบาๆที่ริมฝีปากผม
หากแต่คราวนี้ไม่มีการหลับตา..
เรามองตากันเนินนาน สัมผัสเปียกชื้นของหยาดน้ำตาไหลอาบแก้มผม ก่อนจะหยดลงมาขัดไออุ่นที่ริมฝีปาก จนได้รสเค็มของมัน
“ไม่ว่าแอลจะรักใคร พี่ก็จะอยู่ข้างๆแอลเสมอ”
ไม่..
แอลรักพี่เชนท์คนเดียว..
ผมอยากตะโกนใส่หน้าแล้วทุบอกพี่เชนท์แรงๆสักทีว่าพูดประโยคนี้กับผมได้ยังไง ทว่าผมกลับทำได้เพียงส่ายหน้าไปมา ในตอนนี้.. แค่จะเปร่งเสียงพูดมันก็ดูเป็นเรื่องยากเย็นไปแล้วสำหรับผม
“ดูแลตัวเองดีๆนะแอล”
ทั้งที่ใกล้กันขนาดนี้..
แต่ผมกลับรู้สึกว่าภาพตรงหน้ามันเลืองลางห่างออกไปทุกที..
ผมพยายามกระพริบตาเพื่อไล่น้ำตา..
แต่ผมกลับยังเห็นใบหน้าพี่เชนท์เป็นเหมือนภาพถ่ายที่เลือนรางใบหนึ่ง..
“พี่รักแอล”
ผมควรจะยิ้มสิ..
“รักจนกลายความเป็นเห็นแก่ตัว”
ผมไม่ได้อยากร้องไห้..
“พี่รักแอลนะ เด็กดีของพี่”
ผมกลัว..
“แอล..”
ผมพูดได้แค่นั้น เสียงสั่นเพราะกำลังร้องไห้..
“แอลก็รักพี่เชนท์”
ผมเห็นพี่เชนท์ยิ้มบางๆ..
ความอบอุ่นที่เคยสัมผัสได้ค่อยๆแทนที่ด้วยความเหน็บหนาว.. ผมรู้สึกเคว้งคว้าง ได้แต่หลับตาปล่อยให้น้ำตาไหลโดยไม่คิดที่จะเช็ด
เพราะผมกลัว..
กลัวว่าถ้าลืมตาขึ้นมาแล้ว..
ผมจะไม่มีวันได้เห็นพี่เชนท์อีกตลอดไป..
จะเก็บมันเอาไว้ในใจ เมื่อครั้งมีเธอ.. และฉันรู้สึกครั้งนี้ยังไง
“แอล ฮึก! แอลฟื้นแล้ว”
กลิ่นยา..
“นิคกดกริ่งเรียกหมอทีลูก!”
เจ็บเหมือนมีอะไรทิ่มอยู่ที่แขน..
“ฮื่อ แอลเป็นยังไงบ้างลูก”
มือเหี่ยวย่นลูบไล้ใบหน้า เช็ดน้ำตาที่เปรอะแก้มของผมไปมา
“ฮือ หมดเคราะห์หมดโศกสักทีนะแอล”
ผมพยายามยกเปลือกตาอันหนักอึ้งมองหาเสียงที่เรียกหาผมอยู่บ่อยๆ..
“แอลเจ็บไหม ปวดหัวตรงไหนหรือเปล่า”
เสียงแม่เอ่ยถามผมด้วยความห่วงใย เจ็บ.. เจ็บจัง ผมรู้สึกชาหนึบที่หน้าอก.. ผมรู้สึกทรมารจนหายใจไม่ออก ทำไมผมถึงรู้ได้สึก
เจ็บปวดมากมายขนาดนี้นะ?
โดยเฉพาะที่’‘หัวใจ’ มันเจ็บ.. จนต้องระบายออกมาเป็นน้ำตา
มันปวด.. จนรู้สึกไม่อยากมีมันอีกแล้ว
เพราะหัวใจของผมมันได้ตายไปพร้อมกับคนๆนั้น..
พี่เชนท์..
พี่อยู่ที่ไหน..
ได้โปรดเถอะ..
ได้โปรดกลับมาหาแอล..ให้เป็นความคิดถึง แม้นานเท่าไหร่เธอจะอยู่ในใจ.. เป็นเรื่องจริงในความทรงจำ
MAFIA : พระเอกอยู่ไหนเน้อออออออออ ฮ่าๆๆๆๆ
เอาปมแรกมาเฉลยรู้แล้วละสิว่าเสียงที่ว่าเป็นของใคร แต่ปมอื่นๆผูกไว้เฉลยตอนหน้า
ใครที่สงสัยว่าทำไมตัวละครต้องทำแบบนี้ๆค่อยๆเฉลยกันไปน้า