พาร์ท ๔................................................................
ห้องเลคเชอร์ที่เคยเงียบสงบพลันเซ็งแซ่ขึ้นทันทีที่อาจารย์บอกเลิกคาบ นักศึกษาพากันจับกลุ่มทยอยออกไปจนห้องเรียนขนาดใหญ่ดูโล่งโหรงเหรงไปถนัดตา ผมบรรจงเก็บข้าวของอย่างเอื่อยเนือย ยังคิดไม่ตกว่าจะใช้เวลาช่วงพักกลางวันไปกับอะไรดี
ถ้าเป็นเมื่อเจ็ดวันก่อน ผมคงกำลังก้าวเร็วๆเพื่อจะได้พบคนคนหนึ่ง
คนที่ผมอยากเจอเหลือเกิน
เพียงแต่ไม่กล้าพอจะเผชิญหน้าในตอนนี้
ผมไม่ได้ย่างกรายเข้าใกล้คณะสถาปัตย์มาตั้งแต่อุบัติเหตุเมื่อหลายวันก่อน รวมทั้งยกเรื่องรายงานเข้าอ้างกับเมฆที่อุตส่าห์โทรศัพท์ตามคนนอกกลุ่มอย่างผมอยู่ทุกวี่ทุกวัน ผมเอนฟุบลงบนโต๊ะอย่างอ่อนล้า ปวดตุบที่ขมับเพราะโรคพักผ่อนไม่เพียงพอ
“เรน ไปหาอะไรกินกัน”
เสียงเรียกระเริงของไทม์เพื่อนร่วมคณะและสมาชิกรายงานกลุ่มเดียวกันกับผมปลุกให้ต้องลืมตาขึ้นมายิ้มอ่อนๆ
“นายไปเหอะ ชั้นไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ เดี๋ยวนั่งย่อบทความไปพลางๆดีกว่า”
ผมยกตำราอ้างอิงหนาหนักที่นักศึกษาพากันลงความเห็นว่าเปลืองทรัพยากรต้นไม้ชะมัดขึ้นมาเปิด แต่แล้วก็โดนมือไทม์จัดการปิดฉับทันที
“ไม่หิวก็ต้องหิว นายผอมจนเหลือแต่กระดูกแบบนี้เดี๋ยวชั้นจะโดนครหาว่าเลี้ยงเพื่อนไม่ดีเอา”
ว่างั้นแล้วก็บังคับลากผมออกจากเก้าอี้ จับข้อมือจูงเหมือนเพื่อนเป็นนักเรียนอนุบาลที่เอาแต่เล่นซนจนไม่ยอมกินข้าวอย่างนั้น ไทม์มันถนัดนักล่ะเรื่องหาเหตุผลไม่เป็นสัปปะรดมาอ้าง เถียงไปมันก็ไถต่อจนต้องยกธงขาวเพราะรำคาญมันอยู่บ่อยครั้ง ผมเองขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียงให้มากความ เลยได้แต่เดินตามคุณชายท่านไปอย่างว่าง่าย
จนมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย
ที่มีผู้ชายตัวขาวจัดยืนอยู่
ผมชะงักหยุดกะทันหันไทม์ที่หวิดจะหัวทิ่มพื้นเลยหันมาแหวเอากับผมยกใหญ่
และนั่นก็เรียกให้คนตรงปลายบันไดเหลือบมองขึ้นมา
คนที่ผมทั้งอยากเจอและไม่อยากเจอที่สุด
ชั่ววินาทีที่สบกับนัยน์ตาสีดำสนิท
แข้งขาก็อ่อนแรงจนแทบจะทรงตัวไว้ไม่อยู่....
ฝ่ามือชื้นเหงื่อของผมเกร็งบีบมือไทม์แน่นเหมือนจะหาที่ยึดเหนี่ยว
..สายฟ้า..ผมหลุดครางแผ่วพร่าในลำคออย่างห้ามไม่อยู่ กำแพงใดๆที่เพียรสร้างตลอดช่วงเวลาที่ไม่ได้พบกันพังพาบยับเยินไร้ชิ้นดี.....ผมสะดุ้งอย่างไร้เหตุผลเพียงแค่สายฟ้าขยับกายเคลื่อนมายืนประจันหน้า ความกดดันรุนแรงบีบให้ผมนึกอยากจะละลายหายไปให้พ้นๆ
สายฟ้ากวาดเลื่อนมองมือของผมที่เกี่ยวกระชับมือยไทม์แน่นขึง ก่อนจะวกขึ้นมาจ้องผมนิ่งๆ
“หาคนใหม่ได้ไวดีนี่ ไอ้ลมปากพล่อยๆของนายมันเปลี่ยนง่ายจนชั้นตกใจเลยนะ”
ริมฝีปากอิ่มแดงเหยียดยิ้มหยามหยันไม่ต่างจากเนื้อคำ....ผมรั้งไหล่ไทม์ไม่ให้ถลาเข้าไปเอาเรื่องแทนเพื่อน
อยากร้องไห้ อยากตะโกนใส่เขาดังๆว่าถ้ามันง่ายดายอย่างคำเขาพูด....
ผมคงไม่เจ็บจนเหมือนจะตายแบบนี้แต่ ในเมื่อตัดสินใจจะเป็นตัวเลือกทั้งที่รู้ผลลัพธ์ดีอยู่แล้ว ผมก็ไม่มีสิทธิ์อ่อนแอให้ใครสงสาร
สิ่งที่ผมทำก็แค่สูดหายใจลึก....เรี่ยวแรงที่ยังหลงเหลือ
ผมจะใช้มันไปกับบทที่ยากที่สุดในชีวิตตอนจบของนายสายฝน กับนายสายฟ้า
“ก็ง่ายกว่าที่คิดไว้เยอะเลยครับ”
ผมยิ้ม...สวนทางกับความรู้สึกที่ดำดิ่งลงเรื่อยๆ
“ขอโทษที่สร้างความรำคาญมานาน”
น้ำเสียงเฉยเมยทั้งที่ข้างในมันสั่นจนแทบยืนไม่ไหว
ลิ้นขมเฝื่อนกับรสชาติของคำโกหกที่กลั่นออกจากลำคอ
“แต่สบายใจได้...ผมจะไม่ไปรบกวนคุณอัคนีอีกแล้ว”
ท่าทีสงบนิ่ง....หวังแค่สายฟ้าจะไม่รู้
ว่าแท้จริงแล้วหัวใจผมมันแหลกละเอียดไม่เหลือชิ้นดี
ผมเลือกจะโค้งสุดตัว....แทนคำสุดท้ายที่หนักหนาสาหัสเกินกว่าจะพูด
กัดฟันฝืนก้าวเท้าพาตัวเองออกห่าง
ทั้งจากตัวสายฟ้า....และชีวิตของสายฟ้า..............................................................
“เร ... เรน ... นายเรน!!”
ผมสะดุ้งกุมหูที่ปวดตึ้บเพราะเสียงแว้ดแปดหลอดของเพื่อนตาโต ขมวดคิ้วใส่หวังให้มันสำนึกผิด ไอ้คุณชายไทม์ก็ดันฟาดมือตบหน้าผากผมเต็มแรงซะงั้น
“จะเหม่อชิงเกียรตินิยมรึไงไอ้แห้ง มัวแต่นั่งกิ๊กหน้าปกหนังสืออยู่อย่างงั้นรายงานมันจะเสร็จทันส่งมั้ยวะ”
มันเหน็บได้สมเหตุสมผลจนผมเถียงไม่ออก ผมถอนหายใจยาวก่อนจะหยิบคู่มือทัศนศิลป์ขึ้นมากางเปิด
แต่ยังไม่ทันจะรวบรวมสมาธิได้ สติผมก็กระเจิงไปกับเสียงเรียกคุ้นหูเสียแล้ว
ผมเกร็งวูบเมื่อหินวางมือลงแตะหัวไหล่พร้อมประโยคคำถามที่ฟังแล้วค่อนไปทางสั่งซะมากกว่า
“ขอเวลาสักเดี๋ยวได้หรือเปล่า”.
.
ไม่แน่ชัดนักว่าคำขอร้องหรืออิทธิพลมืดของหินกันแน่ที่ทำให้ไทม์ยอมอัปเปหิตัวเองไปไกลๆ และความจริงที่ต้องเผชิญก็คือ หินกำลังนั่งหน้านิ่งสนิทอยู่ฝั่งตรงกันข้าม....มันน่าโมโหที่ผมยังคอยจะเผลอมองหาใครบางคนเสียเรื่อย หินเองก็เหมือนจะรู้ทัน ถึงได้ยกมุมปากกระเซ้าแบบนี้
“ถ้าจะถามถึงคนอื่นล่ะก็ เมฆติดเรียนวิชาบังคับภาค ส่วนไอ้สายฟ้า....ชั้นไม่เจอมันมาสามวันแล้ว”
“ไม่เจองั้นหรือ”
“อืม....มันเก็บตัวอยู่บ้านไม่ยอมพบเจอผู้คน ไปหาก็โดนตวาดไล่จนไม่มีใครกล้าแหย่คอไปรบกวนมันแล้ว”
“แม้แต่เมฆ...กับนายก็ด้วยเหรอ”
“ใช่...แม้แต่เมฆกับชั้น...ถึงตั้งใจจะมาขอร้องให้นายช่วยไปดูไอ้สายฟ้ามันยังไงล่ะ”
ผมเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ
ถ้าขนาดเมฆยังถูกปฏิเสธ ถึงจะร้อนรนแทบบ้าแต่คนอย่างผมจะไปทำอะไรได้
“รู้ไหมว่าทำไมชั้นถึงเลือกมาหานาย เรน”
หินไม่ต้องการคำตอบใดๆจากผม และเสียงทุ้มนั้นก็บอกเล่าเหตุผลโดยที่ผมไม่ต้องเสียเวลาถาม
“วันที่หมอนั่นไปหานายที่คณะ มันกลับมาพูดด้วยสภาพน่าทุเรศว่า
สายเกินไป หลังจากนั้นก็ทำตัวเป็นคนโรคประสาทขังตัวเองอยู่ในห้อง เดือดร้อนจนชั้นต้องถ่อมาหานายที่นี่...เพราะชั้นเชื่อว่านายจะได้รับสิทธิ์ที่ชั้นกับเมฆหรือใครๆก็ไม่มีทางได้”
หินยิ้มจางๆให้ผมที่ลำคอตีบตันจนพูดไม่ออก สมองเต็มไปด้วยคำมากมายอยากจะถาม
“บางครั้งคนเรามันก็โง่ดักดาน มารู้คำตอบเอาตอนที่หมดเวลาไปแล้ว....อยู่ที่นายล่ะนะ....ว่าจะยอมเปิดโอกาสให้มันได้ฉลาดสักทีหรือเปล่า”,,,โปรดติดตามตอนจบในตอนหน้า