หลังจากพบหน้าและทักทายกันแล้ว สี่หนุ่มก็เริ่มต้นจัดการมื้อเย็นกัน แซนดี้ ขิงและดิวเป็นเพื่อนสนิทของภูพิงค์ที่ตอนนี้สนิทกับเตชิตไปด้วย พวกเขามักจะไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ ทุกครั้งที่เตชิตมาทำงานในเชียงใหม่ ปกติแล้วก็จะมีซันอีกคน แต่ซันเป็นนายกสโมสรนักศึกษา ถึงจะยังอยู่ในช่วงปิดเทอม ทว่าเย็นวันนี้อีกฝ่ายนัดกับสมาชิกสโมฯ หลายๆ คนประชุมไว้จึงอดมากับทุกคนด้วย ส่วนรวินท์กับภูพิงค์มักจะไปหาที่สวีตกันตามลำพังสองคน ยกเว้นเวลามีประชุมสโมฯ เหมือนกันนี่ละ ไอ้วินเพื่อนเขาน่ะ ปัจจุบันกลายเป็นส่วนหนึ่งของคณะวิศวะไปเรียบร้อยแล้ว
ขิงกินๆ ไปก็เอ่ยทัก “วันนี้พี่เต้หน้าตาไม่เบยเลยอะ ถูกหวยแดกเหรอวะพี่”
“หวยยังไม่ออกจะโดนแดกได้ไงวะ”
แซนดี้หรี่ตามอง “แน้ เกรี้ยวกราด แปลว่ามีซัมทิงแหง”
“ไม่มีๆ ฝนมันตกน่ะ เลยรู้สึกอึมครึมไปกับบรรยากาศ” ทันตแพทย์หนุ่มแก้ตัวพลางหันไปมองสายฝนที่ยังคงเทกระหน่ำลงมาโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ก่อนจะก้มลงมองนาฬิกาในโทรศัพท์มือถือ เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว เด็กคีรีนั่นจะยังรอเขาอยู่จริงๆ หรือเปล่าวะ
ฝนตกหนักมากเลยนะ เหมือนครั้งนั้น...
เสียงโทรศัพท์ของดิวดังขึ้น เด็กหนุ่มหยิบขึ้นมารับสาย พูดคุยสักพักแล้วจึงวางไป “ไอ้ซันจะตามมาดูหนังด้วย มันว่าเรื่องนี้มันอยากดูมาก เดี๋ยวต้องจองตั๋วเพิ่มก่อน ไม่รู้จะยังมีที่ว่างรึเปล่าเลยเนี่ย”
“ไม่ต้องก็ได้” เตชิตเอื้อมมือไปคว้าแขนเด็กหนุ่มไว้ แล้วก็ชะงัก ตกใจกับปฏิกิริยาของตัวเองอยู่เหมือนกัน
“ทำไมเหรอพี่เต้”
“เอ้อ... เอาตั๋วผมไปละกัน”
“อ้าว แล้วพี่เต้ไม่ดูเหรอ”
“ผม... เดี๋ยวกินเสร็จแล้วคงต้องขอตัวก่อน”
“พี่เต้จะไปไหน” สามหนุ่มที่โต๊ะหันขวับมาทางทันตแพทย์หนุ่มอย่างพร้อมเพรียง “เนี่ย! มีอะไรแน่ๆ อะ!”
“ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายอะ กลับไปพักสักหน่อยดีกว่า”
“อือ ก็ว่าอยู่ ที่คลินิกมียาใช่มั้ยพี่”
“มีๆ ไม่ต้องห่วง” เตชิตยิ้มบาง รู้สึกผิดนิดหน่อยที่ต้องโกหกทุกคน แต่เขาจะบอกความจริงได้อย่างไรกันล่ะ เขานั่งอยู่กับน้องๆ ไปอีกสักพักหนึ่ง จนกระทั่งซันมา จากนั้นจึงบอกลาทุกคน
ทันตแพทย์หนุ่มเดินกลับไปที่รถตัวเองอย่างเซ็งๆ เสียงเม็ดฝนตกกระทบหลังคายังคงดังก้องไปทั่ว ทำให้ความทรงจำเมื่อครั้งที่ไปออกหน่วยบนเขาย้อนกลับคืนมา คืนนั้นฝนตกหนักจนน้ำป่าไหลหลาก พื้นดินกลายเป็นโคลน ถนนหนทางถูกตัดขาด เป็นผลให้พวกทันตแพทย์ที่ไปออกหน่วยติดค้างอยู่บนเขา และตัวเขาก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
ตอนนั้นก็ได้พวกชาวเขาที่เขารักษาฟันให้ลุยน้ำลุยโคลนเอาอาหารมาให้ ไม่อย่างนั้นคงอดตาย หากนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้คุณลุงชาวเขาคนหนึ่งต้องบาดเจ็บจนต้องล้มหมอนนอนเสื่อ จริงอยู่ว่ามีแพทย์อาสาไปดูอาการให้เบื้องต้นแล้ว แต่บนดอยห่างไกลแบบนั้น จะไปหาหมอแต่ละครั้งก็ลำบาก คงจะต้องทนทรมานอยู่นานกว่าจะหาย
เขายังจำคำพูดของคุณลุงที่บอกไว้กับเขาได้ชัดเจน
“หมอบ่าเป๋นหยังก่อดีแล้ว ผมเฒ่าละ จะไดก่ออยู่แหมบ่าเมิน แต่หมอยังต้องอยู่ยะประโยชน์หื้อคนอื่นแหมนัก หมอบ่าต้องห่วงผม” (หมอไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ผมแก่แล้ว ยังไงก็คงอยู่อีกไม่นาน แต่หมอยังอยู่ทำประโยชน์ให้กับคนอื่นได้อีกเยอะ หมอไม่ต้องห่วงผม)มือของทันตแพทย์หนุ่มจับที่เปิดประตูรถค้างไว้ เขาเม้มปากแน่น ถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะเปิดประตูรถออก ก้าวขึ้นไปนั่งแล้วขับออกไปทันที
ลมพัดมาแรงขึ้นอีก แม้ที่ปัดน้ำฝนในรถจะทำงานเต็มที่ แต่ก็ยังปัดน้ำออกไม่ทัน เป็นผลให้เตชิตไม่สามารถขับรถได้เร็วนัก เขาหันไปมองต้นไม้ข้างทางที่ถูกลมพัดให้เอนไปทางทิศเดียวกัน ลมแรงขนาดนี้ ถ้าหากเด็กหนุ่มยังรอเขาอยู่จริงๆ ก็คงเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำแน่ๆ
ใจเขาภาวนาขอให้อีกฝ่ายกลับไปก่อน
เมื่อรถเคลื่อนเข้าไปใกล้บริเวณที่เขาพบเด็กหนุ่มก่อนหน้า แวบแรกไม่เห็นใครยืนอยู่ก็โล่งใจ ทว่าเมื่อมองดูอีกทีเขาก็ใจหายวาบ
ทันตแพทย์หนุ่มหยุดรถแล้วเปิดประตูออกทันที จากนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปหาคนที่ยืนกอดร่มหลบฝนอยู่ที่ตรงมุมหน้าร้าน แต่เพราะฝนกระหน่ำตกลงมาอย่างหนัก เสื้อผ้าของเด็กหนุ่มจึงเปียกโชก
พอคีรีเห็นเตชิต เขาก็ยิ้มกว้างรับ “อ้ายเตชิตมาแล้ว” (คุณเตชิตมาแล้ว)
“คุณจะบ้าเรอะ! มายืนตากฝนแบบนี้ทำไม!”
“ก่อผมบอกว่าจะท่าอ้ายอยู่ตี้นี่ ถ้าผมไปนั่งตี้อื่นอ้ายจะหันผมได้จะได” (ก็ผมบอกว่าจะรอคุณอยู่ที่นี่ ถ้าไปนั่งที่อื่นคุณจะเห็นผมได้ยังไง)
“คุณมันเพี้ยนจริงๆ! ไปเร็ว! ขึ้นรถก่อน!” เตชิตฉุดแขนอีกฝ่าย พาวิ่งตรงไปยังรถที่จอดอยู่ ทว่าพอไปถึง เขาเปิดประตูรถให้ อีกฝ่ายกลับหันหน้ามามองเขาอย่างลังเล
“ตั๋วผมเปี๋ยะ” (ตัวผมเปียก)
“เออ ผมรู้ ก็เห็นอยู่ ช่างเถอะน่ะ ขึ้นไปก่อนเร็ว!” พอปิดประตูให้เด็กหนุ่มแล้วก็วิ่งกลับขึ้นไปนั่งตรงที่นั่งตน เขาหอบแฮกๆ พร้อมกับหันไปมองคนที่นั่งข้างกันด้วยสายตาขุ่นๆ “คุณนี่มันบ้าฉิบหาย ถ้าผมไม่มาจะเป็นยังไงวะ!”
“ผมก่อจะท่าไปเรื่อยๆ” (ผมก็จะรอไปเรื่อยๆ)
“ร่มก็มีทำไมไม่กาง”
“ลมมันแฮง ผมกั๋วจ้องอ้ายเตชิตจะหลุ่”(ลมมันแรง ผมกลัวร่มคุณเตชิตจะพัง)
เตชิตส่ายหน้าไปมา พลางถอนหายใจหนักๆ เขาหันไปเปิดกระเป๋าเป้ที่โยนไว้บนเบาะหลัง หยิบผ้าเช็ดตัวออกมาส่งให้เด็กหนุ่ม “เอ้า เช็ดตัวซะ”
“ขอบคุณคับ” คีรีรับผ้าเช็ดตัวผืนนั้นมาแล้วเอาห่อตัวเองไว้
“หนาวรึเปล่า”
“น้อยเดียวคับ”(นิดหน่อยครับ)
ทันตแพทย์หนุ่มเอื้อมมือไปปรับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศ เขานั่งนิ่ง มองตรงไปเบื้องหน้าสักพักแล้วพูดขึ้น “มีเรื่องอะไรจะคุยกับผมก็ว่ามา”
“....”
“ไหนว่ามีเรื่องจะคุยไง”
“ผมกึ๊ดเติงอ้าย” (ผมคิดถึงคุณ)
เตชิตชำเลืองมองอีกฝ่ายอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ยังไม่ได้พูดอะไร
“อ้ายอาจจะบ่าเจื่อ แต่ผมบ่าเกยเข้าหาไผ๋ถึงห้อง อ้ายเป๋นคนแรก” (คุณอาจจะไม่เชื่อ แต่ผมไม่เคยเข้าหาใครถึงห้อง คุณเป็นคนแรก)
ทันตแพทย์หนุ่มหัวเราะเสียงขึ้นจมูก เขาควรจะปลื้มดีไหมวะเนี่ย
“ต๋อนแรกผมกะว่าจะจวนอ้ายไปกิ๋นไวน์แต๊ๆ แค่อยากจะอยู่ใกล้ๆ อ้ายสักครั้ง” (ตอนแรกผมกะว่าจะไปชวนคุณดื่มไวน์จริงๆ แค่อยากจะใกล้ชิดคุณสักครั้ง)
เตชิตยังคงไม่หันหน้าไปหาอีกฝ่าย เขาเท้าแขนลงกับพวงมาลัยรถแล้วกุมขมับ
“แต่พอได้จูบ...”
“พอๆ อย่าพูดถึงเรื่องคืนนั้นอีกเลยเหอะ”
“อ้ายเตชิตรังเกียจผมก่อ” (คุณเตชิตรังเกียจผมเหรอ)
“.....”
“ผม... บ่าอู้ถึงคืนนั้นแหมก่อได้ แต่ผมขอป่ะอ้ายผ่อง นานๆ เตื่อก่อได้ ได้ก่อ” (ผม...ไม่พูดถึงคืนนั้นอีกก็ได้ แต่ผมขอเจอคุณบ้าง นานๆ ทีก็ได้ ได้มั้ย)
ทันตแพทย์หนุ่มถอนหายใจหนักๆ “ผมถามหน่อยนะ คุณอายุเท่าไหร่”
คนอ่อนวัยกว่านิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบเสียงค่อย “ซิบแปดคับ”
เตชิตหันขวับ นัยน์ตาเบิกกว้าง “ฮะ! สิบแปดเรอะ!” ทว่าคราวนี้เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายหันหน้าหนีเขาเสียอย่างนั้น
คีรีก้มหน้าลง สองมือประสานกัน ริมฝีปากเม้มแน่น
ความเงียบคืบคลานเข้าปกคลุมระหว่างทั้งสองคน เตชิตได้แต่นิ่งอึ้ง ช็อกแล้วช็อกอีก เม็ดเหงื่อผุดขึ้นตามกรอบหน้าประปราย เขานอนกับเด็กอายุสิบแปด! ถึงคีรีจะดูไม่เด็กถึงขนาดนั้นและตัวโตมากก็ตามที แต่อายุจริงก็สิบแปดนะเว้ย!
วินาทีนั้นคิดได้แต่ว่าเขาควรจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อรับผิดชอบ เผื่อเขาจะได้รู้สึกผิดน้อยลงไปบ้าง
“แล้ว... แล้วตอนนี้คุณทำงานอย่างเดียวเหรอ ไม่เรียนหนังสือเหรอ”
“......”
“อยากเรียนมั้ย”
คีรีอ้ำอึ้ง แต่สักพักก็เงยหน้าขึ้นประสานสายตาด้วย “อ้ายถามผมยะหยัง” (คุณถามผมทำไม)
“ถ้าอยากเรียน ผมจะช่วยค่าเทอมกับจัดการค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้”
คนอ่อนวัยกว่าชักสีหน้า “ผมฮับผิดชอบตั๋วเก่าได้ ผมบ่าอยากได้สตางค์ของอ้าย ตี้ผมเข้าหาอ้ายก่อเพราะผมอยากใกล้ชิดอ้ายเตาอั้น” (ผมรับผิดชอบตัวเองได้ ผมไม่ต้องการเงินของคุณ ที่ผมเข้าหาคุณก็เพราะผมอยากใกล้ชิดกับคุณเท่านั้น)
“ผมหวังดีนะ อยากช่วยเหลือ”
“ผมบ่าต้องก๋านความหวังดีแบบอี้” (ผมไม่ต้องการความหวังดีแบบนี้)
“ไปเรียนในเมืองจะได้พูดภาษากลางได้ ผมจะได้ไม่ต้องนั่งแปลแล้วแปลอีกว่าคุณบ่นอะไรใส่ผม”
“ผมพูดภาษากลางก็ได้”
เตชิตเลิกคิ้วขึ้น ถึงจะฟังแล้วรู้ว่าไม่ใช่สำเนียงแบบคนภาคกลาง แต่เด็กหนุ่มก็พูดได้ชัดเจน “อ้าว! ก็พูดได้นี่หว่า!”
คีรีพยักหน้าหงึกๆ
“แล้วทำไมไม่พูดแต่แรกวะ!”
“ก็...ผมกลัวพูดเหน่อ พูดไม่ชัด เดี๋ยวคุณหัวเราะใส่”
เตชิตเอียงหูฟังอีกครั้ง เขาว่าสำเนียงเด็กหนุ่มไม่ค่อยเหน่อนะ แต่ก็ไม่เหมือนสำเนียงชาวเหนือทั่วไปเวลาพูดภาษากลาง มันไม่เพี้ยน หากฟังแล้วแปลกหูชอบกล อาจจะเพราะความซับซ้อนของภาษา ไหนจะภาษาชาวเขา กำเมือง แล้วยังภาษากลางอีก ก็เลยตีกันวุ่น กลายเป็นสำเนียงแปลกๆ และเขาคงไม่คุ้นหูด้วย ก็ไม่เคยได้ยินอีกฝ่ายพูดภาษากลางมาก่อนนี่หว่า
แต่น้ำเสียงกับการพูดเนิบช้าของคีรี เขาว่าฟังแล้วรู้สึกดีจะตายไป ยิ่งเมื่อมองใบหน้าของเด็กหนุ่มกับรอยยิ้มเวลาพูดด้วยแล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นชาวเหนือแบบหนือแท้ๆ น่าเอ็นดูดีชะมัด
“ผมไม่หัวเราะหรอก” ทันตแพทย์หนุ่มยิ้มบาง “แต่ฟังแล้วแปลกไปเลยแฮะ”
“ใครๆ ก็บอกแบบนี้” คนอ่อนวัยกว่าทำหน้าเซ็ง
เตชิตเอื้อมมือไปตบไหล่คนที่นั่งอยู่ข้างกันเบาๆ “ไม่เป็นไรน่ะ ผมคงยังไม่ชินหูด้วย แต่ผมว่าเสียงคุณเวลาพูดภาษากลางเพราะดี คุณควรพูดเยอะๆ จะได้มั่นใจขึ้นนะ”
คนอ่อนวัยกว่ากุมมือทันตแพทย์หนุ่มไว้ทันควัน “ถ้าคุณเตชิตชอบ ผมจะพูดอีกเยอะๆ จะพยายามพูดให้ชัด เพราะงั้น... ผมจะขอเจอคุณเตชิตบ้าง ขอคุยกับคุณบ้างได้มั้ย”
“มือคุณอุ่นๆ นะ ตากฝนนานจะไม่สบายรึเปล่าเนี่ย” เตชิตดึงมือกลับ แล้วหันไปสตาร์ตเครื่องรถ “พักที่ไหน ผมจะไปส่ง”
พอเห็นว่าทันตแพทย์หนุ่มเลี่ยงที่จะตอบคำถามตน เด็กหนุ่มก็จ๋อยสนิท เขาหลุบตาลงต่ำแล้วพูดเสียงอ่อย “ห้องผมอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ ผมไปเองก็ได้ ไม่ต้องรบกวนคุณหรอก”
“อย่าเลย ฝนตกหนักแบบนี้ บอกทางมาเร็ว”
เตชิตขับรถไปช้าๆ ตามเส้นทางที่คนอ่อนวัยกว่าบอก ไม่นานก็ไปจอดอยู่ที่หน้าสวนสาธารณะติดกับคอนโดมิเนียมหรูแห่งหนึ่ง “นี่มันคอนโดฯ ไม่ใช่เหรอ คุณอยู่ที่นี่เรอะ”
“เปล่าครับ เดินทะลุสวนนั่นไปข้างหลังเป็นตึกแถวมีห้องให้เช่า แคบหน่อย แต่ไปไหนมาไหนสะดวกดี”
“อืม งั้นเดี๋ยวผมไปส่งที่ตึกแถว”
“ไม่ต้องหรอกครับ กลางคืนรถจอดเยอะ เข้าออกลำบาก ไม่มีที่กลับรถด้วย อีกอย่างมันใกล้แค่นี้เอง”
เตชิตขมวดคิ้ว “แต่ฝนตกหนักมากนะ”
“ยังไงผมก็เปียกอยู่แล้ว มีร่มที่คุณให้ไว้ด้วย”
“งั้นก็ตามใจ มีร่มแล้วก็กางร่มด้วยล่ะ”
“ผมขอผ้าเช็ดตัวผืนนี้ไปด้วยได้มั้ย”
“เออๆ เอาไปเถอะ” เตชิตตอบไปแบบไม่คิดอะไร
เด็กหนุ่มยิ้มบาง นัยน์ตาจับจ้องอยู่ที่ทันตแพทย์หนุ่ม เขาเอื้อมมือไปแตะแขนอีกฝ่าย “คุณเตชิตครับ”
“ลงไปได้แล้ว รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็หายากินก่อนนอนด้วย มียารึเปล่า”
รอยยิ้มที่มีอยู่เพียงเล็กน้อยจางหายไปจากใบหน้าของคีรีช้าๆ ทว่าเขาก็พยักหน้า “มีครับ ขอบคุณที่มาส่ง” เขาหันไปเปิดประตูรถออกอย่างอ้อยอิ่ง
เตชิตชำเลืองมอง พลางถอนหายใจกับตัวเอง แต่แล้วก็เอื้อมมือไปคว้าแขนคนอ่อนวัยกว่าไว้ “ผมมาทำคลินิกที่เชียงใหม่ทุกวันเสาร์อาทิตย์ ถ้าอยากเจอก็โทรมาแล้วกัน”
คีรีหันขวับ พร้อมกับยิ้มกว้าง
ดวงตาที่เป็นประกายฉายแววดีใจออกมาอย่างชัดเจนทำให้ทันตแพทย์หนุ่มชะงักไปเล็กน้อย “คลินิกอยู่แถวมหาลัยนั่นล่ะ”
“ขอบคุณครับ”
“ลงไปซะที”
“ตอนแรกจะลงแล้ว ก็คุณเตชิตเป็นคนรั้งผมไว้นี่นา”
เตชิตผลักไหล่เด็กหนุ่มไปเบาๆ “ไปไป๊!”
“แล้วพบกันนะครับ”
“เออๆ” ทันตแพทย์หนุ่มเบือนหน้าหนีอย่างอ่อนใจ
*TBC*เด็กดอยนี่ยังไง อยู่เจียงฮายแล้วทำไมมาโผล่แถวดอยสุเทพได้เนี่ย 555555 อาจจะเปงเด็กมัลติดอยนะคะ (Multi-Doi มีภาษาอังกิดกำกับให้ด้วย 55555)
แต่ขอบอกไว้ก่อง อย่าเพิ่งเชื่ออะไรเด็กดอยคนนี้มาก เพราะชายดูมีความลับมากละเกิ๊งงง
ส่วนหมอเต้ผู้น่าสงสาร ทำตัวเป็นป๋าให้เด็กดอยไปซะแล้ว 55555 สำนึกผิดแล้วก็สำนึกผิดอีก เคราะห์ซ้ำกรรมซ้อน ต้องสู้นะหมอเต้
ขอบคุณคนอ่านทุกๆ คนมากค่า อยากจะบอกว่าหลายๆ คนเข้าใจถูกแร้วแหละ แต่เข้าใจอะไรถูกไม่บอกน้าาา อิอิปล. "ภูสอยเดือน" จะวางขายในงานสัปดาห์หนังสือที่จะถึงนี้นะคะ ตื่นเต้นๆ ใครไปงานอย่าลืมแวะไปรับพี่วินกับน้องพิงค์กลับบ้านด้วยน้าาา