-
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม
5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน
ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
................................เพิ่มเติมจากผู้เขียน.................................
1. นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นโดยอิงประวัติศาสตร์สมัยปลายรัชกาลที่ ๕ ผู้แต่งได้หยิบยกแค่บรรยากาศและเหตุการณ์สำคัญๆมาเท่านั้น ไม่มีเรื่องราวใดเกี่ยวข้องกับสถาบันเบื้องสูง
2. ผู้แต่งใช้ตัวละครหลัก 2 ตัว โดยหนึ่งในนั้นใช้สรรพนามแทนตนเองว่า “ผม” และใช้ตัวผู้แต่งเป็นผู้เล่าเรื่อง แต่มิได้หมายความว่าตัวผู้แต่งเป็นตัวละครตัวนั้น
3. ผู้เขียนไม่ได้คิดจุดจบของเรื่องไว้ ปล่อยไปตามยถากรรม จบอย่างไรแล้วแต่เหตุการณ์พาไป
4. อย่างไรเสีย ก็ต้องขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยสำหรับครั้งแรกของการลงนิยายในบอร์ดนี้
..................................................เซ็งเป็ด............................................................................................
ขอใส่สารบัญเพื่อความสะดวกในการอ่านนะครับ
blueboyhub
cr.QXanth139
สารบัญ (เราไม่มั่นใจเรื่องตอนเลยแปะแบบหน้าที่มีเฉพาะเนื้อหานิยาย เวลาคลิกไปอ่านให้เลื่อนจนกว่าจะสุดหน้านั้นนะคะ)
>1< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1110587#msg1110587)
>2< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1182822#msg1182822)
>3< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1189539#msg1189539)
>4< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1194227#msg1194227)
>5< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1197418#msg1197418)
>6< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1213011#msg1213011)
>7< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1217949#msg1217949)
>8< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1223639#msg1223639)
>9< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1231633#msg1231633)
>10< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1242653#msg1242653)
>11< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1264432#msg1264432)
>12< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1275653#msg1275653)
>13< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1276802#msg1276802)
>14< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1284293#msg1284293)
>15< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1284338#msg1284338)
>16< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1287629#msg1287629)
>17< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1297142#msg1297142)
>18< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1297281#msg1297281)
>19< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1299611#msg1299611)
>20< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1299657#msg1299657)
>21< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1319323#msg1319323)
>20< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1339827#msg1339827)
>21< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1339883#msg1339883)
>22< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1359666#msg1359666)
>23< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1362170#msg1362170)
>24< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1367226#msg1367226)
>25< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1371296#msg1371296)
>26< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1383280#msg1383280)
>27< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1390485#msg1390485)
>28< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1390497#msg1390497)
>29< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1401804#msg1401804)
>30< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1415616#msg1415616)
>31< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1419887#msg1419887)
>32< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1419941#msg1419941)
>33< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1423805#msg1423805)
>34< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1429089#msg1429089)
>35< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1436470#msg1436470)
>36< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1446362#msg1446362)
>37< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1465123#msg1465123)
>38< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1477666#msg1477666)
>39< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1481158#msg1481158)
>40< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1519658#msg1519658)
>41< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1520780#msg1520780)
>42< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1522053#msg1522053)
>43< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1588909#msg1588909)
>44< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1593317#msg1593317)
>45< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1594524#msg1594524)
>46< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1596966#msg1596966)
>47< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1601556#msg1601556)
>48< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1607039#msg1607039)
>49< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1740625#msg1740625)
>50< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1742482#msg1742482)
>51< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1745835#msg1745835)
>52< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1754347#msg1754347)
>53< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1757606#msg1757606)
>54< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1763988#msg1763988)
>55< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1765577#msg1765577)
>56< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1768257#msg1768257)
>57< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1782711#msg1782711)
>จบ< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1782902#msg1782902)
>บทเสริมภาคพี่หมอ< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1793629#msg1793629)
>บทเสริมภาคพี่หมอ-2< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1853598#msg1853598)
>บทเสริมภาคพี่หมอ-3< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1853603#msg1853603)
-
“อดีตมิควรหาญกล้าท้าทายอนาคต เจ้าเรียนรู้มันได้ แต่จักแตะต้องมันหาได้ไม่
หากปัจจุบันของข้า คืออดีตของเจ้า จงรู้ไว้ว่า อนาคตของข้า จักเฝ้ารอเพียงเจ้า”
(http://image.ohozaa.com/i3/spain_copy.jpg)
“เฮ้ย เฮ้ย กระเป๋า เอากระเป๋ากูคืนมา Help Help!!” ผมแหกปากสนามบิน Perth แทบแตก
แต่นั่นก็ยังไม่พอที่จะเรียกความสนใจของพวกออสซี่ขี้นกให้หันมาสนใจและช่วยผมหยุดไอ้โจรเจ๊กจากแผ่นดินใหญ่ได้
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ ถ้ามึงไม่หยุด ขอให้รถชนตาย” ผมตะโกนไล่ด่ามันเป็นภาษาไทย
ทั้งๆที่รู้ว่ามันฟังไม่ออก เราทั้งคู่วิ่งฝ่าฝูงชนที่กำลังเดินขวักไขว่ แต่พวกนั้นกลับไม่มีใครสนใจผมเลย มันคงคิดว่าไอ้กระเหรี่ยงสองตัวนี้มาวิ่งเปี้ยวอะไรกันที่เมืองมัน
“หยุด แฮกๆ เดี๋ยวนี้นะ แฮ็กๆ” ในที่สุดผมก็ยอมแพ้หยุดวิ่งก่อนจะก้มลงหายใจถี่เพราะความเหนื่อย
“ไอ้โจรใจหมา เงินแค่ 30 ดอลล่ามึงยังเอาของกูไปอีก แล้วกูจะนั่งแท๊กซี่กลับบ้านยังไง” ความท้อแท้ประดังเข้ามาใส่ผม
จนเข่าแทบทรุด นี่ถ้าที่นี่เป็นเมืองไทย ผมคงไม่เสียเวลาวิ่ง ให้เมื่อยส้นตีนกับอีแค่เงิน 900 บาทหรอก
“ไอ้กร๊วก มึงแน่จริงมึงกลับมาเอาชีวิตกูไปด้วยสิวะ ทั้งตัวกูมีแค่นั้น มึงยังใจหมามาเอาของกูไปอีก อ๊ากซ์”
ความอดทนอด
กลั้นผมหมดลง เสียงตะโกนนั่นทำให้ฝรั่งครอบครัวหนึ่งหันมามองผมด้วยสายตาประหลาด
ผมเดินคอตกกลับมายังกระเป๋าใบเดิมกับตอนขามาเมื่อสองปีก่อน ขามาจากเมืองไทยมาเท่าไหร่
ขากลับก็กลับ
ไปเท่านั้น ไม่สิ น้อยกว่าเดิมเสียอีก เพราะตอนมา ผมยังมีเงินติดกระเป๋าและในบัญชี รวมๆกันอยู่เกือบล้านบาท แต่ขากลับตอนนี้ผมหมดตูด โชคยังดีที่ passport ยังติดอยู่กับกระเป๋าใบใหญ่ ไม่งั้นชีวิตผมคงเฮงซวยกว่าที่เป็นอยู่นี้แน่แท้
“Ticket Please?” พนักงานสายการบินยิ้มหวานให้ผม ราวกับผมเป็นชายในฝันที่เธอตามหามาตลอดชีวิต ผมยื่นสิ่งที่เธอต้องการให้
“Oh you are Thai !” แหงสิ หน้างอเป็นด้ามขวานขนาดนี้กูคงมาจากเสปนหรอกนะ
“Do you know Tony Ja” เอาเข้าไป เจ้าหล่อนถามหาจา พนม
“yes he is my close friends!” ผมเล่นด้วยกับเธอ
“Oh really……. Oh… god no… you oh” เธอยกมือขึ้นป้องปาก สลับกับทาบหน้าอกที่นูนเว่อร์ของเธอ แววตาแสดง
อาการตกใจสุดขีด ราวกับไม่เชื่อหูตัวเอง
ผมอยากจะเอาถ้วยรางวัลให้เธอเนื่องในวาระการแสดงActing over ดีเด่นประจำปีจริงๆ
“ I have his e-mail. Do you need it?” สายตาของผมส่อแววเจ้าเล่ห์ หล่อ
“oh sure give it to me, give it to me” เธอทำเสียงกระซิบกระซาบ กวักมือขอ ราวกับเราจะส่งยาบ้ากัน
“100 dollars” แล้วบรรยากาศที่เป็นมิตรเมื่อครู่ก็เลือนหายไปในพริบตา พนักงานสาวนางนั้นเงียบไปพร้อมกับรอยยิ้มที่จืดจาง
เธอยื่นตั๋วส่วนที่เหลือคืนให้ผมอย่างเสียไม่ได้
“ sorry I am broke” แปลเป็นไทยว่า โทษทีว่ะ กูถังแตก ผมทำหน้าเจื่อนๆ
ช่วงชีวิตที่เกิดมาบนโลกมนุษย์ เกือบๆ27ปี ช่วงนี้ถือเป็นช่วงที่ตกต่ำที่สุดในชีวิต
ผมรบเร้าที่บ้านให้ขายที่มรดกชิ้นสุดท้ายเพื่อจะเป็นทุนส่งผมเรียน le Gordon blu ที่ออสเตรเลีย
เพราะความฝันของผมนั้นคือการได้เป็นเชฟใหญ่ในโรงแรมดัง ก่อนมาผมคาดหวังเสียสวยหรูว่า
ผมจะเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย และมันก็เป็นไปอย่างที่คาดหวัง ทางเดินโรยด้วยกลีบกุหลาบ
เพราะว่าผมมีเงินให้พวกหัวทองเหล่านั้นซื้อดอกกุหลาบมาโรยให้ผมไง แต่เมื่อเงินผมร่อยหรอ ดอกกุหลาบที่เคยมีแต่กลีบก็เปลี่ยนไป ทางเดินเริ่มมีหนามชิ้นเล็กๆประปราย ผมต้องคอยเขย่งเท้าหลบหลีก
และแล้วเงินเก็บก้อนสุดท้ายก็หมดลงไปพร้อมกับขวด bourbon ขวดสุดท้ายที่งานปาร์ตี้
นับจากวันนั้น ทางเดินที่โรยด้วยกลีบกุหลาบเมื่อครั้งก่อน ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยหนามกุหลาบที่ไม่อาจเขย่งเท้าหลบหลีก ผมต้องจำใจเดินย่ำมันจนเลือดไหลซิบๆ
“ไอว่า ยู ดรอปเรียนไว้ก่อนเถอะ แล้วไปหางานทำซะ ที่บ้านยูเค้าคงไม่สนับสนุนแล้วหล่ะ” เพื่อนรักชาวฟิลิปปินส์แนะนำผม ซึ่งแน่นอนว่าผมต้องเห็นด้วยอย่างไม่มีทางเลือก
หลังจากที่ดรอปเรียนไว้โดยไม่บอกที่บ้าน ผมเลือกทำงานที่ร้านอาหารไทยแห่งหนึ่งโดยเริ่มจากการเป็น “เด็กล้างผัก”
“ห่าเอ้ย กูล้างคะน้าเหี่ยวกันจนมือกูเปื่อยเป็นต้มซุปเปอร์ตีนไก่แล้ว อุตส่าห์ถ่อมาเรียนโรงเรียนดัง กลับต้องมานั่งล้างผัก” ผมโอดครวญ
ชีวิตของเด็กล้างผักไม่ต่างอะไรกับเด็กล้างกระจกรถตามสี่แยก ล้างไม่สะอาดเขาก็ด่า ล้างมากไปเขาก็ว่าเปลืองน้ำ
ผมทำงานที่ร้าน เพื่อนไทย ร้านอาหารดังย่านใจกลางเมืองอยู่ไม่นาน ก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเด็กเสริฟ
หนทางกำลังไปได้ดี ผมกำลังจะได้เลื่อนให้เป็นผู้ช่วยกุ๊ก แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
“มุก เราจะทำยังไงดี ตอนนี้เรามีเงินเหลือติดตัวแค่ 1000เหรียญเอง” ผมแชตกับแฟนที่ตอนนี้เธอเป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาลรัฐชื่อดังย่านใจกลางเมือง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ล่มสลาย ร้านอาหารที่ผมทำอยู่ปิดตัวลง และผมหางานไม่ได้
“กลับมาเถอะ ปอ” เธอพูดสั้นๆ แต่ก็ตรงใจผมที่สุดแล้วตอนนั้น
.......................................................................................
“รับเครื่องดื่มอะไรดีคะ” เสียงแอร์สาวถาม
“เอ่อ ต้องจ่ายมั๊ยครับ คือผมไม่มี...............เงิน”
-
มาอ่านด้วยคนครับ
-
+1ให้กับนิยายเรื่องใหม่ครับ :pig4:
-
มาเป็นกำลังใจให้คร้าบบบ
-
ว๊าวววววววววววว
และแล้ว พี่นนท์ ก้มีเรื่องมาลงในเล้า อีกแล้ว เย้ๆๆๆๆๆๆๆ
+1 กับนิยายเรื่องใหม่ของพี่นนท์
-
ฮาตั้งแต่ตอนแรกเลย
บวกคะคุณนนท์
-
:mc4: + เรื่องใหม่
-
“lady and gentleman. Welcome to Suvarnaphumi airport of Thailand. The local time is now 1 am in the morning and the temperature outside is 27 c’”
เสียงประกาศกล่าวต้อนรับ เป็นสัญญาณเตือนว่า “พวกเรารอดตายแล้ว”
เพราะตลอดระยะทางที่ผ่านมา ร่างของผมกระเด้งกระดอนไปมาในกระป๋องห้องโดยสารแคบๆเพราะอากาศแปรปรวน เครื่องสั่นอย่างแรงจนยายคนข้างๆร้องเสียงหลงก่อนจะภาวนาให้พระเจ้าเมตตาอย่าเอาชีวิตหล่อนไป
เมื่อผมเห็นหล่อนภาวนาเช่นนั้น ผมจึงฉวยโอกาศเนียนๆ
“พระเยซู ถึงแม้ว่าลูกช้างจะนับถือพุทธ แต่ว่า ท่านจะเอาชีวิตลูกช้างไปแทนยายนี่ไม่ได้นะ แกแก่แล้วเอาแกไปเถอะ ลูกช้างยังมีหนี้ต้องชดใช้ให้หมดภายในชาตินี้อีกโข”..................เปรี้ยง.................
ฟ้าผ่าด้านนอกแต่ด้านในสว่างโร่ เหมือนพระเจ้าจะรับรู้ ในที่สุดผมก็เหยียบผืนแผ่นดินไทยได้อย่างปลอดภัยในเวลา ตี 1.30
“มุก เรามาถึงแล้ว มารับเราได้มั๊ย” ผมยังไม่กล้าโทรบอกที่บ้าน
“เอ่อ ปอ มันดึกแล้วน่ะ พอดีเราขึ้นวอร์ด” น้ำเสียงเธอดูไม่เหมือนเดิม
เมื่อไม่มีใครให้รอ ผมก็จัดแจงหาที่หลับที่นอน นอนเอาในสนามบินนั่นแหละ ทีฝรั่งมันยังมานอนได้เลย ที่เราคนไทยแท้ๆ เสียภาษีด้วย ทำไมจะนอนไม่ได้
“ตรงนี้นอนไม่ได้นะครับ” เสียงยามกร่าง
“ทำไม”
“ที่หมานอน” ไอ่เหี้ย นี่ชีวิตกูจนตรอกขนาดแย่งหมานอนแล้วหรือ ถ้าชิงหมาเกิดด้วยนี่ครบเลย
“ที่ตรงนี้เอาไว้ให้หมาตำรวจนอนนะ ถ้าจะนอนไปนอนอีกฝาก”
เมื่อปัญญาเกิด ผมจึงหอบกระเป๋ากับเสื้อโค๊ชที่ซื้อมาในราคาเหยียด 5 พัน เพียงเพราะว่ามันลด 50 เปอร์เซ็นต์ มาถึงตอนนี้ เสื้อตัวนี้แทบทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากปูนอน
“เอามันตรงนี้แหละวะ”ว่าแล้วผมหยิบไอพอดขึ้นมาเปิดเพลง Jason Mraz ฟังกล่อมจนเคลิ้มหลับไป
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมตื่นขึ้นมาและพบว่าตัวเองไม่ได้นอนอย่างเดียวดาย มีชายแปลกหน้านุ่งขาวห่มขาว หนวดเคราคลึ้ม มานอนอยู่ใกล้ๆ เท้าของเขาจ่อพิกัดตรงเป๊ะกับรูจมุกทั้งสองข้าง
“ไอ้ห่า มิน่ากูถึงฝันถึงข้าวต้มปลาอินทรีเค็มทั้งคืน”
ผมลุกขึ้นเก็บของ ก่อนจะเดินไปเดินมา ชั่งใจว่าจะกลับบ้านยังไงดี เพราะหากที่บ้านรู้ว่าผมกลับมาโดยที่คว้าน้ำเหลว ผมคงไม่มีหวังได้กลับออสเตรเลียอีกเป็นแน่
“พี่ไปจรัญ ....” ในที่สุดผมก็ตัดสินใจจับแท๊กซี่บากหน้ากลับไปขอเงินค่ารถแม่ คิดดูว่ามันน่าอายขนาดไหน อายุเยอะแล้วยังขอเงินแม่
แต่ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ผมก็ต้องไปแย่งหมานอนอีกแน่
“มาจากประเทศนอกบ่” คนขับชวนคุย
“ท่าจะมีเงินหลาย” ผมนึกยิ้มในใจ เงินค่ารถพี่ผมยังไม่มีจะจ่ายเล้ย
………………………………………………………………………………………………….
“กลับมาทำไมไม่โทรบอกกันบ้าง” เสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้นครั้งแรกตั้งแต่มาเหยียบเมืองไทย อยากจะให้เป็นเบอร์มุก แต่มันกลับเป็นเบอร์คนอื่น
“ครับพี่หมอ พึ่งมาถึงเมื่อคืน” ผมพูดเสียงเนือยๆ
“ให้พี่ไปรับมั๊ย”
“ไม่ต้องหรอก ผมจะถึงบ้านอยู่แล้ว”
“อย่างนี้ทุกทีแหละเราน่ะ พี่หวังดีทำไมไม่เห็นใจกันบ้าง” พี่หมอตัดพ้อ
“ผมไม่ได้เรียกร้อง พี่ไม่จำเป็นต้องทำ” ปลายสายเงียบไป คงเพราะอึ้งกับคำพูดหักหาญน้ำใจของผม แต่ก็น่ะ พี่หมอนะจะ
ชินกับมันได้แล้ว
“งั้นตอนเย็นพี่มารับไปทานข้าว” พี่หมอยังตื้อไม่เลิก
“ไม่อ่ะครับ ผมอยากพักผ่อน แค่นี้ก่อนนะพี่หมอ”
“เดี๋ยว ปอ แต่พี่มีเรื่องอยากจะ...............ตู๊ดๆๆๆ” ยังไม่ทันที่พี่หมอจะพูดจบผมรีบชิงตัดสายทิ้ง
สักพักก็มีสายเรียกเข้าอีกสาย ผมหยิบขึ้นมามองอย่างเอือมระอาเพราะคิดว่าพี่หมอ
“มุก” ผมยิ้ม
“มุก เราจะถึงบ้านแล้วนะ มาหาหน่อยสิ”
“ปอ เอาไว้เย็นนี้นะ ค่อยไปทานอาหารเย็นกัน ปอ มีเรื่องจะคุยด้วย ตอนนี้ปอพักผ่อนเถอะนะ เย็นนี้เจอกัน”
“จ๊ะ”
...
................................................
“แม่ พ่อ ผมขอโทษ” ผมรีบขอโทษพ่อกับแม่ที่ตอนนี้ทั้งคู่ทรุดลงนั่งบนโซฟาอย่างหมดแรง
“โห พ่อ ถึงขนาดเข่าอ่อนเลยเหรอ ผมก็แค่ใช้เงินอีกล้านนิดๆเองผมก็จะจบแล้ว ตอนนี้ก็แค่หยุดไว้ก่อน เดี๋ยวพอได้เงินผม
สัญญาจะรีบกลับไปเรียนให้จบนะพ่อนะ"”น้ำเสียงออดอ้อนที่เคยใช้ได้ผลครั้งแล้วครั้งเล่า คราวนี้กลับดูท่าไม่เป็นอย่างที่
เคย
พ่อนั่งกุมขมับโดยมีแม่นั่งแตะบ่าอยู่ใกล้ๆ
“เราไม่เหลืออะไรแล้ว ยังไม่รู้ตัวอีก” แม่พูด
“ไม่เหลืออะไร ยังไง” ผมไม่เข้าใจ
“เราถูกฟ้องล้มละลาย” เสียงแม่สะอื้นไห้ขึ้นมา ผมหน้าชาเหมือนโดนตบหน้าฉากใหญ่
“บ้านหลังนี้ไม่นานก็อาจโดนยึด ทรัพย์สมบัติที่มีตอนนี้ไม่เหลือให้แกผลาญแล้ว ร้านอาหารที่เป็นมรดกตกทอดมาก็โดน
ญาติแกโกงไปแล้ว ตอนนี้เรากำลังจะอดตายแล้วแกยังจะเอาอะไรอีก ฮือๆ”
คราวนี้เป็นฝ่ายผมเองที่ทรุดตัวลงเพราะเข่าอ่อน นี่มันอะไรกัน ที่แม่พูดมันคือเรื่องจริงเหรอ คนอย่างผมจะจมดินอย่างงั้น
เหรอ
“แกต้องลาออกมาก่อนนะ เข้าใจมั๊ย ชั้นไม่มีปัญญาหาเงินไปให้แกถลุงเล่นเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว” พ่อเงยหน้าขึ้นมา
“ร้านอาหารร้านนั้นเป็นของตกทอดชิ้นสุดท้ายที่พ่อมี แกต้องเอามันคืนมาให้ได้เข้าใจมั๊ย” พ่อกำชับ
“ทำไมต้องเป็นผม”
“ก็เพราะแกเป็นลูกชั้นไง ถ้าแกเอาร้านนั้นคืนมาไม่ได้หละก็.....ชั้นนี่แหละจะเป็นคนตัดหางแกเอง”
“ปอ ออกมาที่ร้านได้มั๊ย มุกรออยู่ที่ร้าน” มุกโทรหาผมเย็นวันเดียวกันนั่นเอง ผมแปลกใจว่าทำไมเธอถึงไม่มาหาผมที่บ้าน
เพราะปกติแล้วเธอมักจะคุ้นเคยกับแม่ผมเนื่องจากเป็นคอซีรี่ย์เกาหลีเหมือนกัน มันต้องมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับมุกแน่ๆ
“ได้ เดี๋ยวเจอกัน” ผมจัดแจงแต่งตัวก่อนจะขับรถไปหาเธอตามนัดหมาย
แต่เมื่อไปถึงที่ร้านผมกลับเจอมุกนั่งอยู่กับผู้ชายอีกคน
“พี่หมอ”
ผมเดินตรงไปยังทั้งคู่ด้วยความไม่เข้าใจ มุกมากับพี่หมอได้อย่างไร ทั้งคู่แค่รู้จักกันผิวเผิน พี่หมอเป็นรุ่นพี่ผม ซึ่งมุกเคย
เจอแค่ 2-3 ครั้ง
“มุก” ผมทัก เธอลุกขึ้นยิ้มเจื่อนก่อนจะเชิญผมนั่ง ผมมองหน้าพี่หมอ เขาหลบตา
“มุกมากับพี่หมอได้ยังไง” เข้าเรื่อง
“เรื่องนี้แหละที่มุกอยากจะบอกปอ...........” เธอเว้นจังหวะหายใจ
“ปอ มุกกับพี่หมอ...........เราคบกัน” ปัง! เหมือนฟ้าผ่าลงมากลางกระหม่อม ผมอ้าปากค้าง หัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ
คำถามเกิดขึ้นมากมายในสมอง
“เมื่อไหร่-ยังไง-เพราะอะไร-ใครเป็นคนเริ่ม-ทำไม-เป็นไปได้ยังไง” ผมไม่รู้จะถามคำถามอะไรก่อน
“อย่าล้อเล่นกับผมแบบนี้น่ามุก” แต่ตอนนั้นยังคิดอยู่ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง
“มุกขอโทษนะปอ มุกมีเหตุผลที่อธิบายให้ปอฟังตอนนี้ไม่ได้” เธอบีบมือผมแน่นน้ำตาเอ่อคลอ ตอนนี้ผมเริ่มเชื่อแล้วว่าที่
มุกพูดมันเรื่องจริง มันเริ่มตัวสั่นด้วยความโกรธ มุกรับรู้มันได้ จึงพยายามกุมมือผมแน่นขึ้น
“มุกไม่ตั้งใจจะทำกับปอแบบนี้เลยนะ” ผมนั่งฟังนิ่งพยายามอย่างหนักที่จะควบคุมอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน พี่หมอเองก็เอาแต่
ก้มหน้าก้มตา
“มุกไม่มีทางเลือก”
“บอกเหตุผลผมมาสิมุกว่าเพราะอะไร” ผมถามพยายามสะกดอารมณ์
“มุกบอกไม่ได้ แต่ปอเชื่อมุกเถอะว่ามุกไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลย” ผมนิ่งเงียบ เราสามคนบนโต๊ะ เงียบไม่มีใครพูดอะไร
ทั้งๆที่ผมแค่อยากรู้เหตุผลว่า..........ทำไม
“ช่างเถอะมุก” ในที่สุดก็เป็นผมเองที่ทนอยู่ในบรรยากาสแบบนี้ไม่ไหว
“ผมก็กะจะทิ้งมุกอยู่แล้วหล่ะ..............ไม่วันใดก็วันหนึ่ง” รู้สึกเหมือนสาแก่ใจที่ทำให้เธอหน้าเสีย
“ยังไงซะ ก็ขอให้มุกมีความสุขกับคนที่เลือกแล้วกันนะ แต่ขอเตือนอะไรไว้อย่าง ระวังประตูหลังไว้ด้วยหล่ะ ฮึๆ”
ผมลุกขึ้นอย่างรวดเร็วกระแทกเก้าอี้ดังปังจนคนทั้งร้านมอง ก่อนจะเดินออกมาด้วยการปั่นป่วนในท้อง
“ปอ ปอ”
ถึงแม้ผมจะเสียใจแค่ไหน..............แต่ไม่มีวันที่ผมจะให้ใครรู้ว่าผมเสียใจ............มันเสียฟอร์ม
“ปอ ปอ เดี๋ยวก่อน” เสียงตะโกนไล่ตามหลังมา ผมหันไปมองก่อนจะหยุด
“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ ฟังพี่ก่อน “
“พอเหอะ พี่หมอ ผมไม่ได้ซีเรียสอะไรขนาดนั้น แค่ผู้หญิงเห็นแก่ตัวคนหนึ่งที่ทิ้งผู้ชายเพียงเพราะเขาหมดตูด ไม่มีค่าที่ผม
จะเก็บมาคิดหรอก” ยังเก็บฟอร์มไว้
“พี่มีเหตุผลนะ ปอบอกพี่คำเดียวว่าให้เลิกกับมุก พี่จะทำตามที่ปอบอก”
“ 555 ขำว่ะ พี่อย่ามาห่วงผมเลย ห่วงตัวเองเถอะ ว่าจะรับสภาพกับการมี “เมีย” ได้รึเปล่า” ผมหัวเราะเยาะ
“ทำไมพูดแบบนี้หล่ะ” พี่หมอถามแววตาขมขื่น
“ความจริงพี่ หัดรับสภาพให้ได้ พี่เป็นอะไร พี่รู้ตัวเองดี อย่าให้ผมต้องประจาน”
“เป็นอะไรพี่เป็นอะไร” พี่หมอเริ่มเดือด นานๆจะเห็นพี่หมอเดือด
“...........................” ผมไม่พูด แต่เลือกที่จะเดินหนี
“บอกพี่มาสิปอ พี่เป็นอะไร” พี่หมอวิ่งตามมากระชากแขนผม
“บอกมาสิ บอกมา” เสียงพี่หมอดังขึ้น และเขาก็เขย่าร่างผมแรงขึ้นจนผมทนไม่ไหว
“พี่ชอบผู้ชายไง พี่เป็นเกย์ไง” ผมตะโกน เสียงรอบข้างเงียบลง พี่หมอก็แน่นิ่ง
“พอใจรึยัง ผมไปได้รึยัง” พี่หมอปล่อยแขนผม แต่เขาจ้องตาผมตาไม่กระพริบ
ผมกำลังจะเดินจากพี่หมอมา
“พี่จะเป็นยังไงก็ช่าง แต่ปอน่ะ หนีตัวตนของตัวเองไม่พ้นหรอก จำไว้” พี่หมอพูดเสียงราบเรียบไร้ความรู้สึก
“ฮึ.............เชิญ” ผมพูด
-
:mc4:
เย้ๆ เรื่องใหม่ๆ
ว่าแต่ไอ้นี่อะ...3. ผู้เขียนไม่ได้คิดจุดจบของเรื่องไว้ ปล่อยไปตามยถากรรม จบอย่างไรแล้วแต่เหตุการณ์พาไป
น่ากลัวนะ
:z10:
-
:L2: เรื่องใหม่ๆๆๆๆ :L2:
ดูจากคำโปรย อารมณ์ประมาณทวิภพมั๊ยคะ ชอบแนวนี้อ่านะ แฮ่ :o8:
-
แค่ตอนสองก็เข้มขันแล้วครับ
-
เสียงเพลงในร้านดังตึบๆ จนแก้วหูสั่นระริก ผมอาศัยมุมเล็กๆของผับแห่งนี้ซุกตัวลงนั่งก่อนจะสั่ง on the rock มาซดแก้วแล้วแก้วเล่า มันเหมือนวันนี้จะเป็นสิ้นโลกแล้วสำหรับผม ทุกอย่างประดังเข้ามาจนผมตั้งตัวไม่ติด ปกติผมไม่ใช่คนจะมานั่งซดเหล้าแก้กลุ้มอยู่แบบนี้ แต่ครั้งนี้มันหนักหนาเกินไปสำหรับมนุษย์คนหนึ่งจะทนไหว
“เฮงซวย” ผมเงยหน้าด่าฟ้า ก่อนจะเคาะแก้วแล้วซดเฮือกจนหมดแก้ว
“ปังๆๆ!!” ผมเคาะประตูบ้านอาสาวคนที่โกงเงินที่บ้านไป บ้านเราเป็นครอบครัวใหญ่อยู่กันหลายครอบครัว ก่อนหน้านั้น เรามีแค่บ้านหลังใหญ่แค่หลังเดียวที่เป็นของย่าทวดที่เป็นคนโปรดของเจ้านายฝ่ายใน เจ้านายฝ่ายในจึงยกที่นาให้ผืนหนึ่งเป็นของกำนัล แต่หลังจากนั้น ครอบครัวเราค่อยๆแยกออกไปปลูกเรือนเป็นของตัวเอง จนตอนนี้ บ้านใหญ่ได้ถูกรื้อทิ้งให้เหลือแค่โรงครัวที่ถูกปิดตาย
“ออกมา มุดหัวไปไหนกันหมด” น้ำเสียงผมเมามาย
“หน้าด้านโกงกันได้ เรื่องแค่นี้ก็อย่าอายสิวะ กล้าๆหน่อย” ผมโยกประตูไปมา ตัวเองก็โงนเงนจนยืนไม่อยู่ “ออกมา”
“มีอะไร” อาสาวผมเปิดประตูออกมาโดยมีสามียืนอยู่ใกล้ๆ
“ขอดูหน้าพวกขี้โกงหน่อยสิ อ๋อ หน้ามันเป็นแบบนี้นี่เอง” ผมชี้หน้า
“นี่ !! มันจะมากไปแล้วนะ ชั้นเป็นอาแกนะ”
“เป็นอาแล้วไง โกงได้แม้กระทั่งพี่ตัวเอง ยังจะมีหน้ามาเรียกตัวเองว่าอา”
“ชั้นไปโกงอะไรพวกแก หา” อาตวาดน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว
“ต้องให้บอกความชั่วที่ทำไว้อีกเหรอ” ผมเดินเข้าไปหาอย่างหมดสภาพ สติตอนนั้นเลือนลางด้วยฤทธิ์เหล้า
“เอาสมบัติของชั้นคืนมา” และผมก็ปรี่เข้าไปหมายจะคว้าตัวอาสาว
“หยุดนะ” เสียงสามีอาร้องห้าม
“เอาคืนมา” ผมร้องลั่น อาร้องกรี๊ดเสียงดัง ส่วนผู้เป็นสามีนั้นตรงเข้ามาจับตัวผมแยกออกมา
“ปล่อยเดี๋ยวนี้นะเว้ย” เขากระชากผมออกมาก่อนจะเหวี่ยงจนล้มกลิ้งลงกับพื้น แต่ไม่วายที่ผมจะลุกขึ้นมา พยายามจะวิ่งไปหาเขาอีก
“อ๊าย คุณจับมันไว้ มันบ้าไปแล้ว อย่าให้มันเข้ามาใกล้ชั้น” อาร้องลั่น ก่อนจะสามีผู้ภักดีแต่สมองทึบจะวิ่งเข้ามาขวางผมไว้ แต่ผมก็ดิ้นจนสุดกำลัง
“ไอ่พงษ์ มาช่วยจับไอ้หมาบ้านี่หน่อยเร็ว”
“ปล่อยกูๆ เอาของของกูคืนมา ไอ้พวกขี้โกง” ผมยังดิ้นไม่หยุด
“จับมันไว้ อย่าให้มันเข้ามา เอามันไปขังไว้ที่โรงครัว” ผมได้ยินเสียงอาของผมสั่ง แต่ผมยังไม่หยุดดิ้น รวบรวมกำลังทั้งหมดดิ้นให้หลุดอีกครั้ง ระหว่างที่กำลังชุลมุนอยู่นั้น ผมก็รู้สึกว่ามีของแข็งบางอย่างฟาดเข้าที่ท้ายทอยจนผมหมดสติไป.....................................................................
“โอย.....” ผมบิดตัวไปมาด้วยความเจ็บปวด รู้สึกเหมือนใครเอาหินมาทับหัวอยู่ มันหนักไปหมด ฤทธิ์เหล้าสร่างไปแล้ว จะเหลือก็เพียงแต่ฤทธิ์ของความเจ็บปวดจากที่โดนตี ให้ผมออกไปจากที่นี่ก่อนเถอะ ผมจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด
“ที่ไหน” ผมลืมตาขึ้นมองไปรอบๆ แสงแดดยามเย็นลอดเข้ามาผ่านช่องรอยรั่วของผนังไม้ และหน้าต่าง ละอองฝุ่นในบ้านทำให้เห็นลำแสงเป็นสาย หยากไย่ทักทออยู่เต็มไปทั่วทุกมุมห้อง ถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหนกันแน่ แต่ความรู้สึกลึกกลับอบอุ่นอย่างประหลาด
“ฮือ” เสียงครางในลำคอเบาๆพร้อมทั้งขยับตัวลุกขึ้นยืน ผมหันมองไปรอบๆ
ในห้องนี้มีแต่ของโบราณ ไม้ผนังสีดำที่เต็มไปด้วยเขม่าควันไฟ เครื่องใช้หน้าตาประหลาด กระต่ายขูดมะพร้าว กระบวย กาน้ำ เตาไฟ และก็...............ประตู
ผมเดินไล่มาเรื่อยๆจนมาถึงประตูบานหนึ่งที่ปิดเอาไว้ ประตูไม้บานนี้เป็นประตูไม้แบบสองแผ่นผ่าครึ่งเปิดได้ด้วยการผลัก ผมยกไม้สลักที่ล๊อกออก ก่อนจะผลักประตูเข้าไป เสียงประตูเปิดออกดังเอี๊ยดอย่างฝืดๆ
“นี่มันโรงครัวนิ” ผมจำได้ทันทีเพราะเห็นบ้านของตัวเองจากหน้าต่างที่เผยอออกมา
สิ่งแรกที่ผมเห็นในห้องทึบที่มีเพียงแสงลอดเข้ามาก็คือนาฬิกาลูกตุ้มโบราณที่ใช้การไม่ได้แล้ว
“มีแต่รูปโบราณ” รูปถ่ายเก่าสีขมุกขมัวแขวนเรียงรายรอบผนัง ผมเดินไล่ดูช้าๆ มีรูปถ่ายของกลุ่มผู้คนที่แต่งกายด้วยชุดโบราณกำลังล้อมวงกันทำอะไรสักอย่างกับกะทะใบใหญ่
มีรูปเด็กผู้หญิงน่ารักคนหนึ่งกำลังยืนจ้องหน้าผมตาขมึงมึงราวกับกำลังตกใจกล้องถ่ายรูป ผมเห็นเธอคนนี้แล้วรู้สึกคุ้นหน้าอย่างประหลาด เหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน
และอีกรูปที่ทำผมยืนแน่นิ่งเหมือนถูกสะกดจิตรคือรูปภาพ ชายคนหนึ่งใส่ชุดราชปะแตนเต็มยศ ยืนถ่ายรูปในท่าทีสง่างาม ทันทีที่เห็นรูปนี้หัวใจผมก็พองโต และเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ผมพยายามมองใบหน้าของเจ้าของภาพถ่ายแต่ภาพใบหน้าของชายลึกลับผู้นี้กลับเลือนลางเพราะกาลเวลาได้ทำให้รุปภาพนี้จืดจางไปจากสภาพจริง
“ใครวะ” ผมอุทาน
“ตึง” เสียงหล่นของบางอย่างทำผมสะดุ้ง
“สมุดนี่เอง” ผมก้มลงหยิบมันขึ้นมาและเปิดอ่าน
“ภาษาอังกฤษซะด้วย” แล้วผมก็หยิบมันมานั่งอ่านริมหน้าต่าง บรรยากาศยามเย็นทำให้แสงส่องลอดผ่านช่องเข้ามาคล้ายกลับมีใครกำลังส่องสปอร์ตไลน์
ผมปล่อยตัวเองนั่งอ่านเจ้าสิ่งที่อยู่ในสมุดนั้นจนลืมดูเวลา สมุดเล่มนี้คล้ายมีอำนาจบางอย่างดึงดูดมิให้ผู้อ่านวางมันทั้งๆที่เนื้อหาด้านในก็ไม่มีอะไรไปมากกว่าข้อประมวลกฏหมายระหว่างประเทศที่อ่านยังไงมันก็ดูเหมือนประเทศสยามกำลังถูกเอาเปรียบอยู่ดี
การเดินทางของสมุดเล่มนี้กำลังใกล้จุดจบของมันแล้ว ผมเปิดหน้าสมุดท้ายของมัน ทันใดนั้นเอง เศษกระดาษเก่าสีหม่นแผ่นบางๆแผ่นหนึ่งก็หล่นลงบนพื้น ผมหยิบมันขึ้นมาอ่าน
(http://image.ohozaa.com/i3/spain_copy.jpg)
“ตึ๊ง ตึ๊ง ตึ๊ง ตึ๊ง” จู่ๆเสียงระฆังตีบอกเวลาของนาฬิกาลูกตุ้มโบราณก็ดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว จนโรงครัวสั่น ผมเงยหน้าขึ้นมองด้วยความแปลกใจ ทั้งๆที่นาฬิกาโบราณเรือนนั้นมันใช้การไม่ได้แล้ว แต่ทำไมมันถึง.....................
“ตึ๊ง ตึ๊ง ตึ๊ง”
“นี่มันช่วงเวลาที่ว่านี่นา” ผมอุทานหลังจากที่มองดูนาฬิกาข้อมือตัวเอง ช่วงเวลาที่ว่านั่นก็คือ ช่วงของวันที่ 8 เดือน 9 ปี2010 เวลา 17.30 ที่นักดาราศาสตร์คำนวณถึงการเรียงตัวของดาวเคราะห์ที่จะส่งผลกระทบต่อโลกและดวงอาทิตย์
ผมก้มมองกระดาษแผ่นนั้นอีกครั้งก่อนะจะหมดสติไป............
-
มาเป็นกำลังใจให้ค่ะ :กอด1: :L2:
-
เข้ามารอตอนต่อไป
-
o13
-
เปิดเรื่องมาน่าสนใจแฮะ.. รอตอนต่อไปค๊าบบบ :z2:
-
สนุกค่ะ และเดินเรื่องได้หน้าติดตามมากๆ
-
เดาแนวไม่ถูกกันเลยทีเดียว ตอนนี้เหมือนแนว สืบสวนสอบสวน บวกกับแนวย้อนอดีตอะไรสักอย่าง
เอาให้ งง กันได้ อีก น่าติดตามว่าจะเป็นยังไงต่อไป ออกมาแนวไหน
อิอิ
-
สนุกมากๆเลย :pig4:
-
สนุกดี ชอบ เรื่อง นี้ คร๊าฟ
-
รอเวลา ย้อนคืน
-
+1 ค่ะ !!!!
กรี๊ดเรื่องนี้ยังงัยกันเนี่ย?
ย้อนยุคหรือ หรือว่าอะไรกัน น่าติดตามมากๆ : ))
-
จะลงเยอะไปไหนเนี่ย เก็บไว้วันที่ไม่มีเวลาแต่งบ้างอะไรบ้าง
เดินจากไปเพราะไม่ได้เปิดซิง
:o12:
แล้วใครคือพระเอก!!!!
ถ้าเป็นพี่หมอนี่ขำแถก เลยนะ
:laugh:
-
น่าสนุกจังเลยค่ะ
จะรอติดตามตอนต่อไปนะคะ สู้ ๆ o13
-
เริ่มเรื่องน่าสนุกมากกกกกกก o13
เป็นพวกเเพ้ความรักที่ก้าวข้ามผ่านกาลเวลาค่ะ
เค้าว่ากันว่า ไม่มีสิ่งใดในโลกที่เป็นนิรันดร์ แต่ป้าเชื่อว่า "ความรัก" จะเป็นสิ่งเดียว ที่นอกเหนือจากกฎเกณฑ์นั้นค่ะ :impress2:
-
รออ่านตอนต่อไปอย่างเงียบๆ...
ขอแนวหวานๆ ประมาณทวิภพได้ปล่าค๊าบบพี่นนท์ ^^
-
มันส์ๆๆๆๆๆ
ขออีกกกกกกกกกกกกก
-
สนุกดีอ่ะ ชอบบบบบบบบบบบบคร้าบ
-
พีเรียดมาอีกแล้ว บวกให้ทันทีค่ะ รออ่านต่อ
-
น่าติดตามๆ +1 ให้จ้า
-
เรื่องน่าสนใจดีค่ะ
แนวทวิภพรึเปล่าเนี่ย
-
ชอบแนวนี้เหมือนกัน :กอด1:
-
น่าสนุกอ่ะ ทวิภพแบบวาย อิอิ รอติดตามน้าๆๆๆๆๆ
-
ชอบแนวนี้อิอิ :L2:
-
อ่า
น่าติดตามมากครับ
แล้วจะรอตอนต่อไปนะครับ
-
o13
เรื่องนี้สนุกมากน่าติดตามที่สุด
เป็นกำลังใจให้คนแต่งมาต่อเรื่อยๆ
น่ะค่ะ
:L1:
-
ชอบมากเลยครับ o13
-
แวะมาดูอีกรอบ :o12:
ยังไม่มา
-
สนุกดีค่ะ ขอสมัครเป็นแฟนประจำด้วยนะ สงสัยแนวทวิภพใช่ปะ
-
เริ่มอยากอ่านตอนอดีตแล้วววววว งอแงมากๆ
ติดตามนะคะ
-
+1 & เจิมค่ะ
เรื่องนี้น่าสนุกจังค่ะ
จะออกแนวทวิภพป่ะค่ะ
แอบกลัว ข้อ3 มากๆไม่รู้จุดจบ น่ากลัวจริง
-
ให้กำลังใจคนเขียน :L2:
-
ชอบๆแบบนี้อ่ะ
รอ คะ
-
เนื้อเรื่องน่าติดตามมากๆ ค่ะ รออ่านตอนต่อไปนะคะ
-
รอ อีก คร๊าฟ ..........
-
:L1:
-
สนุกมาก น่าติดตาม แนวที่ชอบ
+1
-
ได้เวลาเริ่มต้นข้ามภพแล้วมั้ง
-
น่าติดตามมาก
ย้อนเวลามาหารักอีกแล้ว
ชอบแนวนี้จัง
น้องปอ
จุ๊บๆ :o8:
-
ว้าวเรื่องย้อนอดีตด้วย
น่าลุ้นแหะ
-
มาดูอีกวัน
และรอคอยต่อไปค่ะ :o12:
-
เพิ่งจะเคยอ่าน เเนวนี้ครับเเบบว่านายเอก เเบบบิ๊กเเอส(ไม่เอาถ่าน)
-
แวะ มา ดัน น่ะ คร๊าฟ
-
เข้ามารายงานตัวตามระเบียบพักเคอะ อิอิ
จุบุจุบุ
-
นิยายแนวใหม่ น่าติดตามค่ะ o13
-
:call: :call: :call:
จงมาต่อได้แล้ว
-
น่าติดตามมากๆค่ะ หญิงธิติกานต์มาเลย
-
พี่เป็ดมาเองเลยแหะ ..
:กอด1:
มีย้อนเวลาด้วย น่าสนใจเป็นที่สุด
-
น่าสนุกมากๆเลยคะ เดี๋ญวสงสัยตอนหน้านี่ได้ย้อนเวลาแล้วใช่มั้ยคะ?
-
:z10: ดันต่อไป
-
ชอบๆๆๆๆ
แนวทวิภพ อิอิ
ย้อนเวลาด้วยละ
น่าสนใจอย่างแรง
-
เมื่อไหร่จะกลับมาต่อครับ
..........
-
น่าติดตาม
น่าติดตาม
หึ หึ หึ
-
อ๊ากกกกกกกกก
สนุกโคตร!!!
อยากอ่านต่อแล้วอ้ะ!!
สลบไปแล้วเปนไงต่อ โอววว อยากอ่าน!
-
มาลงชื่อร่วมผ่านกาลเวลา ด้วยคน
-
:call: :call: :t3:
-
แวะมาดูค่า
:z2:
....อยากอ่านต่อจังเลยยยยยย :z3:
-
อ่านแล้ว สนุกดี
ปอน่าสงสารดี โดนโกง แฟนทิ้ง บ้านล้มละลาย ชีวิตมันฟรักกก
คุณหลวงในกรดาษคงเป็นพระเอกชิมิ :impress2: :z3:
-
เย้ๆๆ ดีใจคร้าบ ในที่สุดก็ได้มาอ่านเรื่องใหม่ สบายดีมั๊ยครับ คนเขียน o13
-
รออยู่น๊าาค๊าาา :กอด1:
-
รออยูนะคะ มาต่อตอนต่อไปเถิด please
-
เรื่องราวน่าสนใจมากค่ะ ... รีบๆมาอัพต่อนะค่ะ
-
มารอตอนต่อไปค่า
มาเร็วๆนะคะ :pig4:
-
ย้อนมาได้ไงหว่า ถ้าต้องโดนทุบหัวแล้วถึงมาได้ ท่าจะไม่ดีมั้ง :m29:
-
:z10: :z10: :z10:
-
:z3:
หายไปไหนน้อ
ทุกคนรออยุ่เน้อ
เป็นกำลังใจให้ค่ะ
:z13: :กอด1:
-
:pig4:
มารอด้วยคนจ่ะ
-
มาช่วยกันทวง กลับมาเถอะนะ :monkeysad:
-
น่าติดตามจังเลยค่ะ
+1 กำลังใจ มาต่อเร็วๆนะคะ :L2:
-
ดองจนเค็มเต็มที่แล้วพี่น้อง :serius2:
-
รอคอยยยยยยย
มานานแส๊นนนน...น นานนน...น
ทรมาณณณ...ณ วิญญาณ หนักหนา..... :o12:
-
:call: :call: :call:
-
มา รอ ร้อ รอ คะ
-
:z2: รออ่านตอนต่อไปคร๊าบบบบบบ
-
มารอด้วยคนค่ะ :call:
แต่อยากพูดนิดนึงเกี่ยวกับชื่อเรื่อง
กาลเวลา หรือ 'le temps' เป็นคำนามเพศชายค่ะ (ใช้ la ไม่ได้)
แล้วเมื่อมาชนกับ de ต้องเปลี่ยน de le เป็น du ด้วยค่ะ เช่น 'Le message du temps'
แต่ถ้าไม่อะไรเรื่องไวยากรณ์ ฟังดู de la ดูเก๋น่ารักดีก็ไม่ต้องเครียดนะคะ สังเกตเห็นเลยบอกเฉยๆ ค่ะ
:L2: :L2: :L2:
-
แง่มๆ
รอคอย เธอมาแสนนาน
ทรมานวิญญาณหนักหนา
ระทม อยู่ในอุรา
แก้ว กานดา ฉันปองเธอผู้เดียว
-
แวะมาอ่านขอรับ
+ 1 ให้โลด :a1:
-
ขอโทษ ที่เข้ามาอ่านช้าหน่อย
อย่างที่รู้กันว่าพึ่งย้ายงาน ยุ่งมากๆ
แล้ว อีเมล์ใหม่ ก็ช่วยแจ้งให้เราทราบด้วย
เรื่องนี้ก็แต่งสนุกดีนะ รีบๆ มาต่อล่ะ
-
ชอบบบอ่ะ ลุ้นดี ความจริงเว้นช่วงอ่านนิยายในเล้ามาสองสามเดือนแล้วนะ (แต่ก็แอบอ่านบางเรื่อง อิอิ) แต่แบบเรื่องนี้ต้องติดตามอ่ะ ชอบการดำเนินเรื่อง มุกที่ใช้ มันลงตัวดีค่ะ มาต่อเร็วๆนะคะ จะมาดันทู้ให้ทุกวันเลยย
-
เข้ามารายงานตัวตามระเบียบตุ๊ด คะ อิอิ :mc4:
-
:z10: :z10: :z10:
พี่เป็ดหายไปใหนอ่า
-
ดันรอ :z2:
-
เมื่อตื่นจากผวา ผมนึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่คือความฝัน
อะไรกัน อยู่มาจนอายุจะ 28 แล้ว ยังไม่เคยรู้เลยว่าประเทศไทยมีแผ่นดินไหวกับเขาด้วย
หรือสิ่งที่เกิดขึ้นมันคือความฝัน
“บ้าสิ ฝันบ้าอะไรจะเหมือนจริงขนาดนั้น แต่.........” ผมปัดกางเกง ลุกขึ้นมองรอบๆ
“เอ๋???” ก่อนจะอุทานเบาๆแบบหนัง X ญี่ปุ่น
“ทำไมบ้านเขย่ายังกับรถบั๊ม แต่เข้าของไม่ยักกะหล่น”
มึนไปหมดแล้ว นี่มันอะไรกัน สงสัยเมื่อคืนฤทธิ์ bourbon คงออกแรงหนักไปหน่อย
ผมเดินออกมาจากห้องด้วยอาการเซเดินไม่ตรงทาง หางตาเหลือบไปเห็นนาฬิกาลูกตุ้มที่ก่อนหน้านี้ดับอนาถ แต่ตอนนี้มันกลับเริงร่าถลาแกว่งไปแกว่งมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดบอกเวลา
“กูบ้าไปแล้ว กูต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ”
ผมเขย่าหัวไปมาสองสามที มึ๊นมึนกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“แหม่ นี่ถ้าเป็นละครนะ จะนึกว่าย้อนอดีตมายุค..............................” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ สายตาคู่เก่าก็เหลือบไปเห็นสิ่งของรอบๆตัว ไม่ว่าจะเป็น รูปถ่ายเก่าๆ ตอนนี้หายไป เครื่องครัวที่หยากไย่เกาะ ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นของใหม่เอี่ยม
เมื่อเปิดประตูออกไป กลิ่นข้าวที่เพิ่งหุงเสร็จใหม่ๆ ลอยมาเตะจมูกอย่างแรง ก่อนที่ผมจะเห็น ทางเดินไปบ้านตัวเองเป็น ป่าไผ่ และกอกล้วย และ ดงใบเตย และ และ และ
“เฮ้ยยยยยยยยยย บ้านใครวะเนี๊ยะ” ผมเกาหัวแรกๆ พยายามหยุดนิ่ง นึก นึก
“ Think Think สิ Think ................มันก็บ้านกูนี่หว่า เอ๊ะ แต่ ยังไง เอ๊ะ” นี่ผมมึน ผมเมา หรือผมบ้า
“แม่ พ่อ พี่เอี่ยม ใครเอาบ้านไปจำนำที่ไหนรึป่าว” ยังจะตลก ผมตะโกนลั่นบ้าน ก่อนจะตัดสินใจเดินลงจากเรือนครัว
“พี่เอี่ยม ที่บ้านไม่มีเตาแก๊ซแล้วเหรอ ถึงได้มาหุงข้าวกับกะทะใหญ่เท่าสระบัวอย่างงี้เนี๊ยะ” นี่ใจคอจะไม่ผิดสังเกตุอะไรเลยเหรอ บ้านหายไปทั้งหลัง
“พี่เอี่ยมได้ยินมั๊ยเนี๊ยะ ควันมันฟุ้งไปหมดแล้ว” ผมดุพี่เอี่ยม แม่บ้าน
อากาศยามเย็นในวันนั้น ประหลาดยังไงชอบกล วันเป็นวันที่แสงแดดสีทองอ่อนสาดแสงผ่านควันไฟที่ลอยอ้อยอิ่งทั่วบริเวณ อีกทั้งอากาศที่เย็นสบายนั้น ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในความฝัน
กลุ่มควันที่ลอยอยู่นั้นทำให้ผมมองภาพข้างหน้าไม่ชัดเจน ผมได้แต่เอามือปัดป่ายไปมาให้ควันมันจางไป จนในที่สุด ภาพข้างหน้าก็ค่อยๆชัดเจนขึ้น ผมหวังว่าจะได้เจอบ้าน แต่.................
“เอ๋????” อีกครั้งที่ผมร้องออกมาแบบหนังโป๊ญี่ปุ่น
เพราะภาพข้างหน้าที่เห็นมันผิดปกติไป
“แม่นึกครึ้มอกครึ้มใจอะไรขึ้นมา จับคนใช้นุ่งโจงกระเบน” แน๊ ยังไม่รู้สึกอีก เมาอย่างเดียวไม่พอนะนี่ ต้อง.............ด้วย
“ลุงๆ” ผมร้องเรียกตาแก่ๆคนหนึ่งที่ยืนถือไม้กวาดกวาดใบไม้มาสุมกองไฟ ต้นเหตุของควันอยู่
“เห็นบ้านผมมั๊ย” ผมถามราวกับว่าบ้านมันมีขาเดินจะได้หนีไปไหนต่อไหนได้ ตาแก่นั่นหันมามอง ทันทีที่เห็นหน้าผม เขาทำหน้าตกใจราวกับเห็นผี ตาแกถลึงเหลือก อ้าปากค้างสั่นระริกจนเห็นฟันสีดำเมี่ยม แกตัวสั่นเทิ้ม
“นี่ลุง อย่าโอเว่อร์แอคติ้ง คนไม่ใช่ผี มาทำท่าตกใจอะไรขนาดนี้ เห็นบ้านผมรึป่าว” ผมถามอีกครั้งก่อนจะเดินไปหมายจะแตะไหล่แก แต่ไม่ทันที่มือผมจะโดนแก ตาแก่นั่นตกใจทิ้งไม้กวาด ก่อนจะวิ่งล้มลุกคลุกคลานตะโกนผีหลอกๆ จนผ้าถุงหลุดลุ่ย
“อ้าว เฮ้ยๆ ลุงๆ ผ้าถุงหลุด” ผมกวักมือเรียก แต่ตาแก่นั่นไม่แม้แต่จะหันมามอง
“ท่าจะบ้า บ้านนี้จะมีใครเต็มสักคนมั๊ยเนี๊ยะ”
-
ผมยังคงเดินโซซัดโซเซ ควานหา “บ้าน” ของตัวเอง ทั้งๆที่ยังคงคิดว่า คงจะดื่มหนักไปหน่อย เลยจำที่จำทางไม่ค่อยได้ อีกอย่างหลายปีมาแล้วที่ผมไม่ได้กลับมาบ้าน เพราะมัวแต่ตะแลดแต๊ดแต๋อยู่ที่ออสเตรเลีย หลายสิ่งหลายอย่างมันคงเปลี่ยนแปลงไป
“แต่มันน่าจะเจริญกว่านี้ไม่ใช่เหรอ” และผมก็ต้องสับสนในตัวเองเพราะสิ่งที่เห็นรอบตัวมันล้าหลังกว่าตอนที่ผมจากบ้านไปเรียนต่อเสียอีก
“ป้า เห็นทางไปบ้านผมมั๊ย” เป็นอีกครั้งที่ผมเอ่ยปากถามป้าคนหนึ่งที่ยืนอุ้มลูก ถ้าผมมองไม่ผิด ป้าแกนุ่งผ้าโจงกระเบนสีออกหม่นๆ คาดผ้าแถบบิดบังหน้าออก ส่วนเด็กที่แกอุ้มก็หัวจุก
“ไปกันใหญ่และ ท่าทางจะเป็นความคิดของแม่”
“ป้าเห็นมั๊ย “ผมย้ำไปอีกทีเมื่อเห็นแกไม่สนใจ มัวแต่วุ่นวายอยู่กับการจับเด็กนั่นอาบน้ำ
“อะไร” แกตอบอย่างหงุดหงิด ก่อนจะหันมาที่ผม และก็เหมือนเดิม
“ว๊าย ผีจะแหกอกอีสร้อย” แกเอามือตบหน้าอกป๊าบๆ ขาสั่นพั่บๆ “พุทโธ ธรรมโม สังโฆ อย่ามาหลอกลูกช้างเลยเจ้าค่า ลูกช้างมีลูกมีผัวต้องเลี้ยงดู ลูกช้างยังไม่อยากตาย” แกร้องเสียงหลง ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งยองๆพนมมือไหว้ผมประหลกๆ
“นี่ป้า เป็นอะไรกันหมดเนี๊ยะ ผมไม่ใช่ผีนะ” ผมนึกว่าสภาพตอนสร่างเมาคงดูไม่ได้เอามากๆ คนใช้ที่บ้านถึงได้อาการหนักขนาดนี้
“ลุกขึ้นเถอะป้า หน้าตาดีขนาดนี้เห็นเป็นผีได้ไง เดี๋ยวปัดสิงซะเลย” ผมแซวแกเล่นก่อนจะเอื้อมมือไปประคอง แต่ไม่คิดว่าการแซวของผมจะทำให้ป้าแกอาการหนักกว่าเดิมเสียอีก ยังไม่ทันทีที่ผมจะจับแก แกก็ลุกพรึบ รวบผ้าถุงขึ้นมาเหนืออก แล้วใส่เกียร์หมาวิ่งไม่คิดชีวิต ทิ้งไอ้หัวจุก เด็กที่แกจับอาบน้ำยืนหันซ้ายหันขวาโบกมือเรียกแม่ร้องไห้จ้า
“เฮ้ย ป้าๆ ลูก ลืมลูก................หรือว่ากูจะเป็นผีไปแล้วจริงๆ” ผมปลง
“หนูเงียบๆ” เสียงเด็กแหปากร้องทำให้ผมเกือบสร่างเมา
“แฮๆๆๆๆๆๆๆๆ” ไอ้จุกยังคงร้อง
“จะร้องทำไม ไม่ใช่ผี คน นี่ไงคน”
“แฮๆๆๆๆๆๆๆๆ แฮๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” มันร้องดังขึ้น
“โอ้ยยยยยยย มึงจะแหกปากทำไมวะ เดี๋ยวปั๊ด จับกินตับเสียเลยนี่” ผมถลึงตาใส่ แลบลิ้นแผล็บๆ
“แฮ ฮะ ฮะ อุบ” ได้ผลแหะ ไอ้จุกสะอื้น ตัวกระเพื่อม มันกลั้นหายใจ ผมถอนหายใจโล่งอก
“แหวกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก” ทันใดนั้นไอ้จุกกลับแหกปากร้องดังกว่าเก่าจนผมต้องปิดหู
“โอ้ยยยย”
-
^
^
^
ได้จิ้มพี่เป็ดแล้ว
อิอิ
มาต่อแล้วววววววววววววววววววววววววววววว
ยังไม่รู้ตัวเองอีกเนอะว่าตัวเองอะแปลกกว่าคนแถวนั้น เหอๆๆๆๆๆ
-
แปลกกว่าใครเขาแล้วยังไม่รู้อี๊กกกกกกกกกกก :laugh:
ปล.ในที่สุดก็มา o7
-
และในขณะที่ผมกำลังสาละวันเตี้ยลงกับการปลอบเด็กบ้านั่นไม่ให้ร้องไห้อยู่นั่นเอง ก็มีเสียงๆหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลัง
“เจ้าน่ะ”ผมหันไปมอง ทันทีที่ได้สบตากับเจ้าเสียงนั้น ผมถึงกับแน่นิ่งไป แววตาของหญิงกลางคนผู้นั้นสะกดผมไม่ให้ละสายตาไปจากเธอ แววตาที่คุ้นเคย ดูอบอุ่น และเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
“เจ้าเป็นใคร เข้ามาในบ้านเราได้เยี่ยงไร” เธอพูดในภาษาที่แปลกออก
“..............................”
“นี่ คุณหญิงถาม ไม่ได้ยินรึ” เสียงยายแก่อีกคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ใกล้ๆถามผมด้วยอาการกล้าๆกลัวๆ
“เอ่อ” ทันทีที่ได้สติ ผมกลับทำอะไรไม่ถูก ละล่ำละลักจะตอบ แต่รู้สึกกริ่งเกรงอยู่ในทียังไงไม่รู้ ปกติผมไม่เคยกลัวใคร แม้แต่พ่อแม่ตัวเอง แต่ผู้หญิงคนที่ใส่ชุดโบราณผ้าลูกไม้สีขาว สวมถุงเท้าสีขาวเลยเข่า ผมที่รวบตึง แววตาที่ดูทรงพลังแต่ก็อ่อนโยนในทีนั้น ทำให้ผม..........เกรง
“ท่าทางจะเป็นบ่าวเรือนนู้นกระมังเจ้าคะ คุณหญิง” ยายแก่ที่นั่งคุกเข่าเงยหน้าขึ้นกระซิบกระซาบ
“เจ้ามาทำอันใดในเรือนของเรา เรือนนี้นอกจากบ่าวผู้ชายสามคนนั่นแล้ว เรามิอนุญาตให้ชายแปลกหน้าผู้ใดเข้ามาอีก”
น้ำเสียงหล่อนดูเยือกเย็น
ผมสับสนในสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้านั้น นี่มันอะไรกัน ถ้าจำไม่ผิด ที่นี่คือบ้านของผมไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมพวกคนประหลาดเหล่านั้นถึงคิดว่าผมเป็นคนแปลกหน้า ผมมีสิทธิ์ทุกอย่างในบ้านหลังนี้ นะ หรือว่า.......”นี่จะเป็นแผนการไล่ผมออกไปจากบ้านของอา”
“ผม เอ่อ” ผมตอบไม่ถูกว่าผมมาทำอะไรในบ้านของตัวเอง ก็นี่มันบ้านของผมนี่หว่า
“ผมอยู่บ้านหลังนี้” สุดท้ายผมก็บอกพวกเขาไปตรงๆ “บ้านนี่เป็นบ้านของผม และหากพวกคุณถูกจ้างมาเพื่อไล่ผมกับครอบครัวออกไป เชิญคุณไปบอกอาผมด้วยว่า ไม่มีประโยชน์” ผมตอบเสียงแข็ง โดยไม่ยอมสบตาหญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“เจ้าพูดเรื่องอันใด เรือนหลังนี้เป็นของเจ้าเสียตั้งแต่เมื่อไหร่” สีหน้าของหล่อนยังคงวางเฉย
“เราว่า สติเจ้าคงเลอะเลือนเสียแล้วกระมัง ไปร่” หล่อนหันไปเรียกชายแก่ที่วิ่งผ้าถุงหลุดเมื่อครู่
“ขอรับ” ชายผู้นั้นตอบ พวกเขาช่างแสดงละครได้แนบเนียนเสียจริง
“พาชายผู้นี้ไปส่งบ้านหลวงจรัส ข้าว่าหลวงจรัส คงรู้ดีว่าจักทำเยี่ยงไรกับบ่าวของท่าน” หญิงคนนั้นตอบก่อนจะเดินหันหลังกลับ
บ่าวเหรอ.........
“ไม่ ผมไม่ไป นี่มันบ้านผม ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น” ไม่ไหวแล้วเว้ย นี่มันอะไรกัน ผมตะโกนโวยวายขึ้นมาจนคนที่มุงล้อมผมอยู่ขณะนั้น แตกกระจายคนละทิศละทาง
“ถ้าเจ้า................” หญิงคนนั้นหันมาแววตาคาดคั้นผม “คิดว่าที่นี่คือบ้านของเจ้า จงพิสูจน์ให้เราเห็น”
ตอนนั้นบอกตรงๆว่าผมเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้วว่าที่ที่ผมยืนอยู่คือบ้านผมรึเปล่า เพราะทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมด ไม่มีเค้าโครงบ้านที่ผมเคยอยู่เลย ต่อให้ผมจากบ้านไปนานแค่ไหน มันก็ไม่น่าจะเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้
เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ผมเดินงุดๆไปตามทางที่คิดว่าน่าจะมีบ้านผมตั้งอยู่ โดยยึดโรงครัวเก่าเป็นหลัก
“เมื่อวันก่อนยังอยู่ที่บ้าน เมื่อคืนยังจอดรถอยู่................ตรงนี่” ผมพูดกับตัวเอง แต่ตรงที่พูดกลับเป็นลานโล่งๆ
“งั้นบ้านก็น่าจะอยู่....................ตรงนี้” แต่กลับเป็นป่าไผ่
“ไม่สิ เป็นไปไม่ได้ ตรงนี้น่าจะเป็นบ้านเรา ส่วนบ้านอาน่าจะอยู่...................” ผมเดินไปตามความรู้สึกและพบว่าที่ที่คิดว่าเป็นบ้านอา กลับเป็น โรงเก็บรถประหลาดคล้ายเกวียน
“เฮ้ย อะไรกันวะเนี๊ยะ ก็โรงครัวยังอยู่นี่อยู่เลย” ผมวิ่งไป วิ่งมาคล้ายหนูติดจั่น
“พอเสียทีเถิด ที่นี่คือที่ของเรา เรือนกระโน้น” หล่อนชี้ไปที่เรือนไม้หลังใหญ่ที่ผมคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก “คือเรือนของเรา”
ทุกคนรอบตัวผมมีท่าทีหวาดหวั่น ยกเว้นหญิงที่ถูกเรียกว่าคุณหญิงคนนั้น
“กลับไปหานายของเจ้าเถิด เรือนหลวงจรัสก็เลี้ยงดูเจ้าดีมิใช่รึ เหตุใดถึงอยากจะไถ่หนีจากการเป็นบ่าวเรือนนู้นเสียหล่ะ” น้ำเสียงของหล่อนอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด ถึงคำพูดนั้นจะหมายถึงการไล่ผมไปจากบ้าน แต่มันก็ดูอบอุ่นอย่างน่าประหลาด
“คงจะจริงเสียกระมังเจ้าคะ ที่เค้าว่าพวกบ่าวเรือนนู้นมักถูกเฆี่ยนอยู่บ่อยๆ อิชั้นเคยได้ยินมาว่า ธรรมเนียมพวกฝาหรั่งนั่น หากไม่พอใจอันใดก็เป็นอันต้องเฆี่ยน ต้องโบย” ยายแก่ยืดตัวพูดลอยหน้าลอยตาน่าหมั่นไส้
“เมี้ยน อย่าพูดจาให้มากความ การใดมิใช่เรื่องของเราจงอย่าเอาเข้ามาในเรือน” เมื่อถูกดุไปอย่างนั้น ยายเมี้ยนก็หงอลงฟุบกับพื้น
“เรือนของเราไม่ต้องการบ่าวอีกแล้ว กลับเรือนของเจ้าเถิด ข้าจะให้ไปร่ไปส่ง และจะกำชับหลวงจรัสมิให้ถือสาเอาความลุแกโทษเจ้า” น้ำเสียงของหล่อนช่างอ่อนโยนเสียจนผมคล้อยตามคิดไปจริงๆว่า หรือเราหลงบ้านจริงๆ เมื่อคืนอาจเมาหนัก เผลอขับรถออกมาแถวๆอยุธยาก็เป็นได้
“สงสัยจะจริง”
เอาวะ เอาไงก็เอากัน นี่ก็จะค่ำแล้ว รถจอดไว้ไหนก็ยังไม่รู้ หาที่นอนก่อนแล้วกัน ผมเดินโซซัดโซเซตามลุงแก่ที่ท่าทางจะยังกลัวผมอยู่ไปยังบ้านที่ว่า
“จงอดทนไว้เถิด อีกไม่กี่เพลาหลวงท่านก็จะเลิกทาส พวกเจ้าก็จะได้เป็นไทเสียที” หญิงคนนั้นพูดตามหลังผมมา
“เลิกทาส?”
-
:z13:
หึหึ.....กว่าจะมานิยายจะสลายกลายเป็นปุ๋ยแล้วพี่หลวงเห้อ :laugh:
-
อ่าวววววพี่เป็ดยังลงไม่จบนี่นา ไอต้องลบโพสของไออีกรอบป๊ะคะ?
แต่ก็ดีที่มาต่ออีกๆๆๆๆ พี่หายไปนานนนนน อยากอ่านเยอะๆๆๆๆๆๆๆเลย ^^
-
ข้างบน อย่าแซวๆ แหม่ กว่าจะเขียนได้แต่ละหน้า
ต้องพิมพ์ไม่ให้แป้นกระดิก เดี๋ยวเสียงดัง หัวหน้าชะโงกหน้าออกมาดูอีก
เจ๊แกยิ่งหูไวตาไวอยู่ :m16:
-
:m20: พิมพ์อีท่าไหนยังไงไม่ให้แป้นกระดิก :pigha2:
ปล.ลงอีกสิๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆคะ :m13:
-
^^^^
ฮา ด้วยคน :jul3:
ปาดดดดดดดดดดดดด :m14:
เลิกทาสเลยรึเจ้าค่ะ นี่มันเหตุอันใดกัน รบกวนท่านผู้ประพันธ์ช่วยขยายความด้วยเจ้าค่ะ
-
“พ่อสน พ่อสน” เสียงลุงไปร่ ตะโกนเรียกคนในบ้านซึ่งผมก็ยังแน่ใจว่าไม่ใช่บ้านผม บ้านหลังนู้นตะหากล่ะที่น่าจะใช่ แต่ก็นะ ผมยังไม่รู้เลยว่าที่นี่ที่ไหน ขับรถเมามา หรือโดนลากมาทิ้งก็ยังไม่แน่ใจ ถามลุงไปร่ ขานั้นก็เอาแต่เดินงุดๆตัวสั่น ผวาทุกทีที่ผมกระแอม ราวกับผมเป็นเสือสมิงจะคอยขย้ำคอหอยเหี่ยวๆของแกอย่างนั้นแหละ
“ว่าไงลุง” ชายหนุ่มวัยกลางคนร่างกายสันทัดนุ่งผ้าเตี่ยวไม่ใส่เสื้อเดินออกมา บรรยากาศน่าจะสักทุ่มกว่าๆ แต่ทำไมมันเหมือนเที่ยงคืน แถมที่นี่ยังไม่มีเสียงรถให้ได้ยินเลยสักเอะ
“ข้าเอาบ่าวเรือนเอ็งมาคืน มันไปป้วนเปี้ยนอยู่แถวเรือนคุณหญิง ไปขี้ตู่เอาว่าเรือนท่านเป็นเรือนมัน” ลุงไปร่ใส่ใหญ่ ผมทำหน้าขมวด
“ไหน” คนชื่อสนเดินลงมาจากเรือนไม้หลังใหญ่ เขาคว้าตะเกียงเจ้าพายุติดมือมาด้วย
“แต่งกายประหลาดดีแท้” เขาถือตะเกียงยื่นเข้ามาใส่ผม ก่อนจะมองจากหัวจรดเท้า “ท่าทางคงไม่ใช่คนละแวกนี้เสียกระมัง ตาไปร่”
“ละแวกนี้ ?” ผมย้อนถาม “ละแวกนี้นี่มันละแวกไหน บอกหน่อยดิ๊ ที่นี่ที่ไหน” ผมถาม ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างประหลาดใจ
“พระนคร บางเจ้ามิรู้รึ และเรือนหลังนี้คือเรือนเจ้าพระยาจรัสกิจพิจารณ์” ดูท่านายสนคนนี้จะภาคภูมิใจกับยศของเจ้าของบ้านหลังนี้เสียขนาดหนัก
“โอ้ย ชั้นไม่รู้หรอกว่าบ้านนี้บ้านใคร ว่าแต่ จากนี้ไปแถวๆถนนข้าวสารไกลป่าว” ผมถามเพราะว่าบ้านอยู่แถวนั้น หากผมไปถึงนั่นได้ ก็ไม่อยากที่จะหาทางกลับบ้าน
“ข้าวสาร?” ทั้งคู่ทำหน้าสงสัย
“นี่อย่าบอกนะว่าไม่รู้จัก ถนนข้าวสารน่ะ โห บ้านนอกจริงๆ ไม่ Intrend เอาซะเล้ย ชื่อเขาออกจะดังระดับโลก งั้นแถวเอ่ออนุสาวรีย์ประชาธิปไตยหล่ะ รู้จักป่าว”
“????????????????”
“ข้าว่าเจ้านี่มันสติวิปลาส น่าจะจับส่งโปลิสจะดีกว่าเสียกระมัง” คนชื่อสนพูด
“โปลิสเหรอ โปลิส ตำรวจ” ผมทวน “เอ้ย ไม่ได้นะเว้ย จะจับชั้นส่งตำรวจไม่ได้” ผมร้องเสียงหลงเมื่อได้ยินเรื่องตำรวจ เพราะคิดว่าป่านนี้อาคงไปแจ้งความเรื่องทำผมขู่ และทำร้ายเขาไว้ อีกอย่างกระเป๋าสตางค์ เอกสาร บัตรประชาชน แม้แต่มือถือติดตัวผมก็ไม่มีสักกะอย่าง จะเอาที่ไหนไปยืนยัน
“รู้มั๊ยชั้นลูกใคร” แหม๊ นานพูดที
“พวกข้าไม่รู้หรอก ว่าเอ็งลูกเต้าเหล่าใคร แต่ข้าว่าโปลิสน่าจะบอกเอ็งได้ เฮ้ย ไอ้แดง ไอ้อิน ออกมาจับตัวไอ้บ่าวไร้เจ้าตนนี้ไปส่งโปลิสที” เสียงสนตะโกนโหวกเหวก
“เฮ้ย อย่านะเว้ย อย่าเข้ามานะเว้ย อย่าหาว่าชั้นไม่เตือน” ผมยกมือกำหมัด ยกแข้งยกขาเป็นท่ามวยวัดที่ดูไม่ได้เรื่องได้ราว
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เอ็งไปเรียนวิชามวยมาจากเขมรรามัญหรือกระไร ท่าทางถึงได้เหมือนคนเป็นสันนิบาตเยี่ยงนี้” ไอ้สนหัวเราะเยาะ
“ก็ลองเข้ามาสิวะ เห็นอย่างงี้ชั้นล้มพวกฝรั่งมาแล้วนะเว้ย” ผมร้องขู่ ยกหมัดเหยงๆ แต่ สองคนนั้นไม่กลัวเลย ปรี่เข้ามาคว้าแขวนผมหมับ
“เฮ้ยๆ จะทำอะไร ปล่อยนะเว้ย ปล่อย พวกแกทำแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย คอยดูชั้นจะฟ้องทนาย ปล่อย บอกให้ปล่อยไง” ผมสะบัดแขน ดิ้นไปดิ้นมา แต่สองคนนั้นตัวใหญ่และแข็งแรงเกินไป อ้อ อีกอย่างเต่าเหม๊นเหม็น
“นี่พวกแกไม่ใช้โรลออนกันมั่งเลยรึไง แหวะ” ผมทำท่าอ๊วก “ปล่อยสิวะ จะพาชั้นไปไหน ปล่อย”
“เอี๊ยดดดดดดดด” เสียงเปิดประตูดังมาจากด้านบน ทำให้เหตุการณ์ชุลมุนนั้นสงบลง ชายสองคนที่จับตัวผมไว้ปล่อยมือ และคุกเข่าลงบนพื้นหญ้ารวมทั้งลุงไปร่ด้วย ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง
ภาพที่เบื้องหน้าคือ ชายหนุ่มวัยรุ่นราวคราวเดียวกับผม บวกลบไม่น่าจะเกินสองปีที่ดูคุ้นตา (อีกและ คุ้นเค้าไปหมด) จะต่างคนตรงที่ชายผู้นั้นดูภูมิฐาน และน่ายำเกรงกว่าผมมาก ผมมองใบหน้าเขาไม่ถนัดนักหรอก รู้แต่ว่าความรู้สึกภายในลึกๆที่คล้ายมันถูกฝังมาเนินนานเป็นตัวบอกผมว่า ชายผู้นั้น ลักษณะท่าทาง หน้าตาเป็นอย่างไร แต่ก็ไม่ชัดเจนมากพอที่จะทำให้ผม “ระลึกได้”
เขายืนอยู่ในชุดเสื้อคอจีนบางสีขาว กางเกงแพรสีน้ำเงิน
“hey !! man?” ผมตะโกนถามชายที่อยู่เบื้องบน เพราะภาพที่เห็นลางเลือนนั้น คล้ายๆกับว่าชายคนนั้นเป็น...ฝรั่ง
“ I think you should do anything better than look/ กูคิดว่ามึงน่าจะทำอะไรได้ดีกว่ามองดูกูกำลังถูกปู้ยี้ปู้ยำนะเว้ย” แปลให้เสร็จสรรพ เขายังคงยืนกอดอกมองลงมาข้างล่างอย่างเงียบๆ
เมื่อเห็นมันไม่ทำอะไรสักอย่างผมจึง
“can you speak English?” เงียบ
“Ou, vous parlez français ?” หรือมึงพูดฝรั่งเศส?
“Oder sprechen Sie Deutsch ?” หรือเยอรมัน?
“Eller talar du svenska ?” สวีดิช?
“ Or can you speak?” หรือว่าเป็นใบ้ ยังไง ทำไมเงียบ
“ฮ่วย ไอ้ฝรั่งขี้นก เป็นใบ้ก็เสือกไม่บอก อ้อ ลืมไป คนเป็นใบ้ต้องหูหนวกด้วยนี่หว่า โทษๆ” ผมโบ้ยมือไปมา
“พวกเอ็งปล่อยคนบ้าคนนั้นเถิด” อ้าวพูดไทยได้นี่หว่า เสียงของเขานุ่ม ทุ้มกังวาลราวกับเสียงเพลงสุนทราภรณ์ลอยอยู่รำไร
“เฮ้ย ใครบ้า ไม่ได้บ้านะเว้ย แค่...........เมานิ๊ดหน่อย” ผมเสียงอ่อยตรงคำท้าย ก่อนจะทำหน้าสำนึกผิด
“สามหาว เจ้าบ้าใบ้ รู้หรือไม่ว่ากำลังยืนอยู่ต่อหน้าใคร วอนหลังลายเสียแล้ว คุกเข่าลง” ชายสองคนที่คุกเข่าก่อนหน้านี้พยายามจะดึงผมลงนั่ง แต่ผมไม่ยอม ใครจะไปคุกเข่าให้ไอ้ขี้เก๊กข้างบนนั้นกันเล่า อายุก็ใกล้เคียงกัน อีกอย่างนี่มันสมัยไหนแล้ว เขายกเลิกระบบศักดินากันนานแล้วเว้ย
“ทำไมต้องคุกเข่าด้วยวะ หมอนั่นเป็นเทวดารึไง” ผมเงยหน้าส่งสายตาท้าทาย
“มันจะมากไปแล้วนะ” ชายที่ชื่อสนเงื้อมือทำท่าจะฟาดลงมาที่หน้าผม ผมเบ้หน้า
“หยุดนะ สน” แต่เสียงไอ้ขี้เก๊กข้างบนร้องห้ามไว้ทัน
“อูย เกือบไปแล้วมั๊ยหล่ะ” ผมถอนหายใจโล่งอก ปากดีไปงั้นแหละ “ทำไมคนไทยสมัยนี้ชอบใช้กำลังกันจังเลยวะ” บ่นกับตัวเองเบา
“อย่าไปถือสา คนบ้าเลย เจ้าจงไปจัดเรือนบ่าวหลังเล็กท้ายเรือนให้เป็นที่หลับที่นอนของเจ้าบ้านี่เถิด” เขาพูดราวกับเป็นเจ้าชีวิตคนเหล่านี้
“อะไรวะ คำก็บ้า สองคำก็บ้าง บอกว่าไม่ได้บ้า แค่เมา นิดโหน่ยเอง” ผมพึมพำเบาๆ ก่อนจะเดินตามหลังคนชื่อสนไปไหนก็ไม่รู้ เขาพาไปไหนก็ไปกะเขาหมด ไม่ได้คิดอะไร ตอนนั้นคิดแต่เพียงว่า
“ขอให้คืนนี้กูได้นอนก่อนเถ๊อะ เดี๋ยวตอนเช้า ค่อยออกไปหารถกลับบ้าน ชิส์ ใครจะไปอยากอยู่กันวะ บ้านนอกชิบหาย”
ไอ้ขี้เก๊กยืนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะหันหลังกลับ เดินผ่านประตูไม้หายหลับไป ผมหันมองเขาจนลับตา............
-
จะไปฟ้องแอบพิมพ์นิยายในที่ทำงาน :m20: แอบไปหาซื้อแป้นที่มันซอฟๆ หรือแป้นยางดิ เวลาพิมพ์จะได้ไม่มีเสียง
-
^
^
เออเนอะ ถ้าแป้นเป็นยางก็ไม่มีเสียงแล๊ะ
แล้วเมื่อไหร่จะรู้นะว่าตัวเองน่ะแปลกกว่าใคร :laugh:
-
ไม่ได้ครับพี่ ต้องใช้แป้นบริษัท ที่ดังแต๊กๆๆ อ่ะ
แบบว่า งานที่นี่จะใช้พิมพ์เป็นจังหวะ ที่รู้กันว่างานไงพี่
พอเพิ่มระดับความเร็ว หรือจังหวะการพิมพ์ผิดไปนิดนึง จะรู้และ
ว่าเล่นเอ็ม หรือว่างานส่วนตัว
เจ๊แกก็จะกระแอมเบาๆ หรือไม่ก็ชะโงกหน้ามาดู เป็นระยะๆ
ตอนนี้กำลังฝึกพิมพ์นิยาย เป็นจังหวะรหัสมอส อยู่ อิๆ
-
กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก+ รหัสมอสเลยเหรอคะ จะSOSหาใครอ่ะ :jul3:
ปล.น่าจะให้เจ๊แกไปทำงานเป็นคนรับคลื่นเสียงหรืออะไรสักอย่างนะเคอะ ตั้งใจฟังซะขนาด...... :m29:
-
ถกผ้าถุงวิ่งตะโกนรอบบ้าน................พระเอกโผล่แล้วโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด เมื่อไหร่จะได้อ่านตอนที่ว่า "ท่านเจ้าคุณขอรับ กระผมเจ็บ"
กร๊ากกกกกก... :z1: :z1:
-
^^^^^^
^^^^^
^^^^
^^^
^^
^
อยากจะจิ้มทะลุรีบน "ท่านเจ้าคุณขอรับ กระผมเจ็บ" อ๊ากกกกกก คิดได้ :m30: ...แต่ก็แอบรอด้วยคน
-
ชอบค่ะเรื่องย้อนยุค เรื่องราวชวนติตามค่ะ
เอ่อ...อ่านรีของคุณ กว่าจะไร้เดียงส แล้วอดยิ้มไม่ได้ค่ะ
-
สนุกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!
กรี๊สสสส สมกับที่รอคอยจริงๆค่ะ สนุกมากๆ อยากอ่านต่อไวๆ รออยู่นะคะ!!!! :-[
-
เพิ่งเข้ามาอ่าน คงไม่ช้าเกินไปหรอกนะ ที่จะบอกว่า ยินดีกับเรื่องใหม่ :mc4:
ย้อนยุค เหมือนทวิภพ น่าติดตามครับ เป็นกำลังใจให้นะครับ +1 เพิ่มกำลังใจอีกนิด :กอด1:
-
เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
มาแล้วๆ
o13
-
ถกผ้าถุงวิ่งตะโกนรอบบ้าน................พระเอกโผล่แล้วโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด เมื่อไหร่จะได้อ่านตอนที่ว่า "ท่านเจ้าคุณขอรับ กระผมเจ็บ"
กร๊ากกกกกก... :z1: :z1:
แหม่ ช่างคิดได้ งั้นรอฟังด้วยคน
-
เข้ามาดันให้แล้วนะ
น่าสงสาร คนเขียนต้องบังคับคนให้มาอ่าน
5555555
-
ในที่สุด
:mc4:
ถกผ้าถุงวิ่งตะโกนรอบบ้าน................พระเอกโผล่แล้วโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
เพิ่งรู้นะว่าปกติอยู่บ้านพี่ใส่ผ้้าถุง
มิน่าล่ะ วันนั้นดูทำอะไรไม่ค่อยถนัดเลย
คราวหลังไม่ต้องเกรงใจนะ แต่งตัวตามสบาย
:laugh:
-
ในที่สุด
:mc4:
ถกผ้าถุงวิ่งตะโกนรอบบ้าน................พระเอกโผล่แล้วโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
เพิ่งรู้นะว่าปกติอยู่บ้านพี่ใส่ผ้้าถุง
มิน่าล่ะ วันนั้นดูทำอะไรไม่ค่อยถนัดเลย
คราวหลังไม่ต้องเกรงใจนะ แต่งตัวตามสบาย
:laugh:
>>>>>อุ๊ยตาย มัวแต่ดีใจที่พระเอกโผล่ เลยลืมตัวเลย กรีดดดดดดดดดดดดด :sad4:
-
ต๊ายยยย กว่าจะอัพก็เกือบเป็นปุ๋ยซะแล้วล่ะค่ะ o18
แต่ดีใจนะเนี่ยที่มาอัพ แวบมาดูทุกวันเลยว่าลงหรือยัง
-
ดันไว้ คนเขียนฝากมา
-
ตัวเอกฮาดี :pigha2:
รอ รอ รอ :really2:
-
สงสัยต้องรออีกเป็นเดือนกว่าจะมาต่ออีก o18
-
มาดันรอ :z2: :z2:
ตีลังการอ :z3: :z3:
-
ผมถูกนำทางไปยังบ้านพัก ที่ขณะนั้นถูกผมเรียกอย่างสวยหรูว่า home stay เพราะเป็นแค่บ้านไม้หลังเล็กที่ยกพื้นสูงไม่มาก แค่พอยกขาข้าม หน้าบ้านมีโอ่ง หรืออะไรสักอย่างที่เล็กกว่าโอ่ง ไหเหรอ เอ หรือเรียกว่า หม้อดี มีตะบวยคว่ำอยู่ หลังคา home stay มุงด้วยกระเบื้องแผ่นสีแดงๆหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ เพราะมืดแล้ว
“ค่ำนี้ นายข้าเมตตาให้เจ้าพำนักอยู่ที่นี่ได้ แต่รุ่งเช้า ข้าหวังใจว่าคงจะมิพบเจอหน้าเจ้าที่เรือนนี้อีก” นายสนพูด
“แหม เฮีย ไม่ต้องกล่าวต้อนรับกันขนาดนี้ก็ได้ เกรงใจ ชิส์ ไว้กลับบ้านเมื่อไหร่จะโอนตังส์มาให้แล้วกันนะ” ผมยิ้มเดียงสา
“เออ ว่าแต่ ห้องน้ำอยู่ไหนละ มี shower ป่าว มันหนาว อ้อๆ เดี๋ยวๆผ้าเช็ดตัวขอสีขาวนะ แล้วก็ อาหารเย็นด้วย ยังไม่ได้กินอะไรเลย แมร่งโคตรหิว” ออร์เดอร์ผมมาเป็นขบวน
“พูดกระไรของเจ้า มากความ ขึ้นเรือนเจ้าเสีย ข้าเหนื่อยกับเจ้าเต็มทีแล้ว” เมื่อพูดเสร็จ นายสนก็หันหลังเดินหายไปพร้อมกับความมืด
“เฮ้ย เดี๋ยวสิ เดี๋ยว” ผมพยายามเรียกแต่ไม่ทัน “อะไรของเค้าวะ คนไทยสมัยนี้ทำไมมันแล้งน้ำใจกันนัก เอาวะ คืนเดียว เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็กลับบ้านแล้ว” ผมว่าก่อนจะก้าวเท้าขึ้นเหยียบไม้กระดานบนเรือน
“เอี๊ยด”
“เฮ้ยๆ” อารามว่าตกใจนึกว่าผี “โธ่เว้ย อย่างกับรายการ the shock”
ผมพูดเป็นเพื่อนตัวเอง เพราะที่นี่มืดจริงๆ สงสัยว่าจะเป็นบ้านทุ่งหลังเขาที่ไฟฟ้าเข้าไม่ถึง
“เอี๊ยดดดดดดดดดดด” ประตูไม้ถูกผลักเข้าไปข้างในเสียงดังเอี๊ยด ภายนอกมืดมิดสะกิดใจเพียงใด ด้านใดก็มืดมิด จิตไม่งงขนาดนั้น
“เฮ้ย อะไรวะ นี่มันโฮมเสตย์ หรือว่า ศาลาวัดร้างวะเนี๊ยะ ทำไมมันมืดขนาดนี้” ว่าแล้วก็ควานมือไปตามผนังบ้าน เพื่อหาสวิตซ์ไฟฟ้า คลำไปเรื่อยๆ ไม่เจอสักที แต่แล้วมือก็ควานไปเจอบางอย่างเข้า
“ไม้ขีดไฟ โอ้หม่ายก้อดดดดดดดดดดดด” ประเทศไทยปี 2553 ยังมีหมู่บ้านที่ไฟฟ้าเข้าไม่ถึงอีกเหรอนี่ รัฐบาลอภิสิทธิ์จะรู้มั๊ยเนี๊ยะ เห็นทีต้องส่ง SMS ไปบอกเฮียสรยุทธเสียแล้ว” หลังจากที่พล่ามอะไรไม่เข้าท่า ผมก็จุดไม่ขีดไฟ แสงไม้ขีดไฟแค่ก้านเดียว แต่ส่องสว่างทั่วห้องทำให้ผมเห็นภาพภายในห้องได้ชัดเจน ตะเกียงถูกวางไว้ข้างที่นอน ผมปรี่เข้าไปจุดมันด้วยสัญชาตญาณทันทีทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจุดยังไง
“หมอน นี่มันหมอนหรืออะไรอ่ะ” ผมเอาเท้าไปเขี่ย “เฮ้ย นี่มันลูกมะพร้าวนี่หว่า ไอ่เชี่ย อะไรของมันวะเนี๊ยะ” เริ่มหงุดเมื่อไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง
“ผ้าห่ม” ผมใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งคีบสิ่งที่เขาเรียกว่าผ้าห่ม แต่ผมเรียกว่าผ้าขี้ริ้วขึ้นมาก่อนจะทำหน้าเหม็นสาปและโยนมันออกนอกไปไกลๆ
“โอ้ยยยยยยยยยยยยยยย อะไรกันนักกันหนาวะ Fuck you!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
“”””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””
“เจ้าบ้า เจ้าบ้า!!!”
“เจ้าบ้า!”
“ฮืออออออออ”
“นี่ เจ้าบ้า”
“อาราย”
“ตื่นได้แล้วเจ้าบ้า”
“พ่อมึงสิบ้า เรียกอยู่ได้” ผมงัวเงียๆก่อนจะมุดตัวเข้าไปอยู่ในผ้าขี้ริ้วที่บัดนี้กลายเป็นผ้าห่มแสนอุ่น
“เจ้าบ้า...........ลุกขึ้นมากินข้าว” เสียงหญิงคนหนึ่งเร้าหรือให้ผมลุกจากการนอนที่เรียกได้ว่าทรมานมิใช่เล่น
“เจ้าบ้า” หญิงคนนั้นยังไม่ยอมหยุด
“โธ่เว้ย ไม่กิน จะนอนเว้ยยยยยย” ผมหันไปปัดสิ่งที่อยู่ในมือหญิงคนนั้น ก่อนจะได้ยินเสียงเพล้งดังลั่น แล้วเธอก็กรีดร้อง
“ว้าย ตาเถร ช่วยด้วยเจ้าข้า ไอ้บ้ามันจะปล้ำชั้นนนนนนนนนนนนนนน ช่วยด้วย” อ้าว อีบ้า ใครจะไปปล้ำมันวะ ผมคิดในใจ แต่ยังคงนอนต่อ
....................
...................
.....................
..................
....................
.....................
..............
..................
..............
“ฮือออออออ”
“ฮืฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ”
“อารายยยยย จานอน”
“บอกว่าจานอ.......” หลังจากที่กำจัดนังผีเรือนตนนั้นไปให้พ้นเส้นทางการนอนของผม ผมก็ต้องมาผจญกับผีอีกตนที่เอาแต่เขี่ยขาผมเล่น ผมร้องครางในลำคอเบาๆ จนในที่สุดก็ทนไม่ไหว หันมาหวังจะตะคอกให้เยี่ยวเล็ด แต่กลับพบว่าคนที่ยืนอยู่ปลายตีนกลับเป็น......
”อ่าว นึกว่าใคร ที่แท้ก็ท่านรถไฟฟ้ามหานครนี่เอง” ที่จริงผมตั้งใจเรียกเขาว่า เจ้าพระยามหานคร แต่ด้วยความง่วงจึงพูดผิดพูดถูก
“เราเอาข้าวปลาอาหารมาให้เจ้า เห็นอยู่ว่า เมื่อเย็นวาน เจ้ายังมิได้กินอันใดเลย” เสียงของเจ้านี่ยังคงทุ่มกังวาน นี่แกล้งดัดเสียงหรือว่าเป็นไซนัสกันแน่นี่
“แหม่ ทำไมไม่ยกมาให้ซะพรุ่งนี้เลยล่ะ” ผมหันหลังนอนต่อโดยไม่สนใจ สำรับอาหารที่หญิงคนเดิมยกมาวาง แล้วเดินหายไป “ที่นี่เขารับแขกกันพิลึกดีนะ “ ผมประชด
“ข้าต้องขอโทษแทนบ่าวไพร่ของข้าด้วย พวกเขาด้อยปัญญา เจ้าจงอย่าถือสา”
“บ่าวไพร่” ผมลุกขึ้นมานั่งโดยที่ท่าเจ้าพระยาอาบอบนวดนั่นยืนค้ำหัว “นายเรียกคนพวกนั้นว่าบ่าวไพร่เหรอ หึ” ผมหัวเราะ
“ใช่ บ่าวไพร่” ชายคนนั้นตอบ
“นี่ นายรู้ป่าวว่า นี่มันยุคไหน พศ.ไหนแล้ว เขาไม่มีกันแล้วบ่าวไพร่นะ” ผมพูด น้ำเสียงธรรมดา แต่ชายผู้นั้นกลับแสดงสีหน้าประหลาดใจ
“ข้าสังหรณ์ใจอยู่ว่า เจ้าต้องมิใช่สามัญชนคนธรรมดา ถึงการแต่งกายของเจ้าจะคล้ายคนสติไม่สมประดี แต่เจ้าพูดภาษาปะกิตได้ชัดเจนยิ่งนัก แสดงว่า เจ้าต้องมิใช่คนธรรมดา บอกข้าเถิดว่าเจ้าเป็นลูกหลานขุนน้ำขุนนาง เจ้าพระยาคคนใด”
“จะบ้าเหรอ ชั้นเนี๊ยะนะแต่งตัวเหมือนคนบ้า ถ้าแบบนี้บ้า คนบ้านนี้คงเป็นเอเลี่ยนกันหมดแล้ว” ผมทำหน้างงมากกกกกกกก
“เออ ไหนๆก็ถามเรื่องของชั้นแล้ว ช่วยบอกชั้นหน่อยสิว่าที่นี่ที่ไหน” ผมลุกขึ้นนั่ง เงยหน้ามองใบหน้าของชายที่ยืนอยู่ บัดนี้ผมเห็นชัดเจนแล้วว่าชายยผู้นี้ไม่ใช่คนไทยแท้ เขาน่าจะมีเชื้อสายพวกเปอร์เซียมาไม่มากก็น้อย เพราะหน้าตาออกแขกๆ
“ข้าบอกแน่ แต่เจ้าตอบคำถามข้ามาก่อน” แน่ะ มีต่อรอนะมึง
“เออๆ ชั้นชื่ออัชท์ ไม่ได้เป็นลูกพระยงพระยาที่ไหนหรอก พ่อชั้นทำ export พวก Garment ส่วนแม่เปิดร้านอาหารไทยที่ใกล้จะเจ๊งแล้ว”
“ร้านอาหารไทย” ไอ้นั่นทำท่างง “ร้านอาหารไทยเป็นเยี่ยงไร”
“อ่าว เวร พ่อมหาจำเริญ เสือกไม่รู้จักร้านอาหารไทย .........ร้านอาหารไทยก็ร้านที่ขายอาหารไทยไงเล่า.......มันโง่จริงหรือแกล้งโง่วะเนี๊ยะ” ผมหันหน้าไปทางอื่น ก่อนจะแอบด่าเบาๆ
“บ้านเมืองเจ้าเขาขายอาหารไทยกันด้วยหรือ ประหลาดดีแท้”
5555 ผมอยากจะหัวเราะออกมาเป็นภาษาปาปัวนิวกีนี นี่สาบานนะนี่ว่าคนไทย เกิดที่ประเทศไทย ถ้าไม่บอกผมคงคิดว่าหมอนี่เกิดยุค ร๕ แน่ๆ
“แล้วเหตุใดเจ้าจึงพูดภาษาฝาหรั่งได้”
“ก็เคยไปเรียนเมืองนอกมา ออสเตรเลียน่ะ หวังว่าคงเคยได้ยินนะ หึๆ” ผมหัวเราะเยาะ
“ออสสะเตเรียเหรอ อืม ข้าคลับคล้ายคลับคราอยู่ เหมือนเคยได้ยินหลวงจรัสเอ่ยขึ้นมาบ่อยๆ”
“เออ ออสสะเตเรียนั่นแหละ ชั้นเรียนด้านอาหารมาจากเลอกะดองเบลอ” ผมกระหยิ่มในใจ แหม สถาบันอันทรงเกียรติ ขนาดนี้ ไม่ใช่ใครจะเรียนได้ง่าย
“เรอกะดอเบลอ ชื่ออุบาทว์ดีพิลึก” หมอนั่นยืนอมยิ้มหน้าแดง คิดอะไรของมัน
“เลอะกะดองเบลอเว้ย ชื่อเขาอ่ะไม่อุบาทว์หรอก คนคิดน่ะสิ อุบาทว์” ผมว่า “ชื่อโรงเรียนเขาเพราะๆ เรียกซะเสียเลย ....ว่าแต่บอกชั้นได้รึยังว่าที่นี่ที่ไหน และชั้นจะขึ้นรถไปกรุงเทพฯได้ยังไง“ ผมถาม แต่ชายผู้ที่ยังคงยืนค้ำหัวผมทำหน้างุนงง เขาคงไม่รู้จะตอบคำถามไหนก่อนดี
“ที่นี่คือพระนคร และเรือนที่เจ้าอาศัยอยู่นี่คือเรีอนของหลวงจรัสกิจพิจารณ์หรือที่เราเรียกท่านว่า หมอเจอราร์ท หมอหลวงประจำราชสำนัก” นี่ผมกำลังออกรายการสาระแนอยู่รึเปล่า ทำไมเหมือนตัวเองกำลังเล่นหนังจีนกำลังภายใน
“กรุงเทพฯที่เจ้าว่า มันอยู่ที่ใดรึ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน” มันย้อนถาม
“เฮ้ย อย่าบอกนะว่าไม่รู้จักกรุงเทพฯ” ผมเริ่มหงุดหงิดกับความง่าวของคนบ้านนี้เสียแล้วสิ “กรุงเทพฯก็เป็นเมืองหลวงของประเทศไทยไงเว้ย” น้ำเสียงประชดประชัน “ฟาย”
“เมืองหลวงของสยามประเทศรึ” แน๊ ยังจะมาย้อนถามอีก
“ก็เออนะสิ นี่ถามหน่อยเถอะ ที่นี่มีอินเตอร์เนท มีทีวี มีวิทยุ อะไรกันบ้างมั๊ย ทำไมพวกนายถึงได้........”ผมเผลอจะหลุดปากคำว่าโง่เง่าออกไป ดีที่สงบปากตัวเองไว้ทัน “ล้าหลังขนาดนี้”
“นี่เจ้าพูดถึงเรื่องอันใด พระนครนี่แหละคือเมืองหลวงของสยามประเทศ เมืองที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า” หมอนั่นยกมือเหนือหัว “ทรงก่อตั้งราชธานีนี้ขึ้นมา”
“โว้ย” ผมหงุดหงิด “ กูจะไปกรุงเทพฯน่ะ กรุงเทพ ฯ เข้าใจมั๊ย ช่างเถอะ งั้นถามหน่อยวันนี้วันที่เท่าไหร่แล้ว” ผมถามเพราะจำวันไม่ได้ด้วยซ้ำว่าวันอะไร ก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อเตรียมตัวจะหารถกลับบ้าน
“ วันเสาร์ แรมสามค่ำ เดือนเก้า ร.ศ 111” โอ้โห โอ้โห้ นี่นี่กวนกันใช่มั๊ยกวนกันใช่มั๊ย เลือดพุ่ง เลือดพุ่ง
“เอ้ย อะไรของมึง” ขึ้นมึงขึ้นกูแล้วเว้ย เคืองถามดีๆเสือกกวนส้น “ กูถามดีๆทำไมต้องมายียวนกันด้วยหึ ตั้งใจจะมีเรื่องใช่มั๊ย” ผมกระชากแขนเสื้อเตรียมพร้อมเต็มที่
“เรามิได้ตั้งใจจะว่าแสร้งแกล้งทำให้เจ้ามิชอบใจ แต่ความที่เจ้าฟังเมื่อสักครู่มิผิดดอก วันนี้คือวันที่เสาร์แรมสามค่ำ เดือนเก้า ร.ศ 111 เราจำวันนี้ได้ดีเพราะเป็นวันที่ หมอเจอราร์ทต้องไปอยู่เวรในวังหน้าถึงสองเดือน เพื่อดูแลภริยาของขุนวรจักร์วงษา เจ้ากระทรวงพระคลังมหาสมบัติ” หมอนั่นพูดซะยาวจนผมฟังแทบไม่ทัน ได้แต่อ้าปากค้าง
“นี่นายคิดว่านายอยู่สมัยไหนเนี๊ยะ หา” ผมถาม
“เราอยู่ในยุคสมัยพระพุทธเจ้าหลวง แล้วเจ้าหล่ะ คิดว่าเยี่ยงไร” หมอนั่นยิ้มมุมปากเหมือนเขากำลังรู้ หรือคิดอะไรอยู่
“พระพุทธเจ้าหลวง” ผมทวนคำพูด “ ร.๕ น่ะเหรอ”
เขาไม่ตอบเพียงแต่เลือกที่จะยิ้มมุมปาก.............เท่านั้น
“นาย..........” ผมเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในสมอง ตอนนี้เหมือนตัวเองโดนหลอก โดนต้ม ระคนกับอารมณ์สับสน ว่าใครจริงใครบ้า
“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้หรอก มันจะเป็นไปได้ยังไง ชั้นเดินทางกลับมาจากออสเตรเลียวันที่ 21 กันยา ปี 2553 ชั้นจำวันนั้นได้ดี............” ผมแน่นิ่งไป
“นายกำลังเล่นอะไรอยู่ คิดจะทำอะไรของนาย” ผมตรงเข้าไปหมายจะเข้าไปกระชากแขนเขา แต่ด้วยอำนาจแววตาที่ดูน่าเกรงขามนั้นทำให้ผมทำได้แค่คิด
เขาไม่มีทีท่าว่าจะตอบข้อสงสัยของผมแม้แต่น้อย ในสายตาของชายผู้นั้น ผมคงเป็นคนบ้าคนหนึ่งที่เพ้อถึงยุคอนาคตที่เฟื่องฟุ้ง
“มองรอบตัวของเจ้าสิ คำตอบอยู่รอบตัวเจ้า เรามิใช่คนโป้ปดโดยสันดานเปนแน่” เขายืนยัน
ผมหมดคำพูดที่จะพูดกับไอ้ขี้เก๊ก เจ๊กงี๋นี่แล้ว เพราะไม่ว่าจะอย่างไร ผมก็รู้สึก..........แพ้อยู่ในทีตลอดเวลา
เมื่อยากที่จะคาดคั้นหาความจริงจากหมอนั่น ผมจึงเลือกที่จะหาคำตอบด้วยตัวของตัวเอง ยังไงซะ ผมก็ยังเชื่อว่า ผมโดนพวกอาที่โลภอยากได้ร้านอาหารไทย และสมบัติทุกอย่างของแม่เป็นพวกที่หลอกพาผมมาทิ้งในที่ที่ห่างไกล และพยายามส่งพวกจิตแกว่ง มาคอยกล่อมผมให้เชื่อว่าตัวเองติดอยู่ในภพที่ต่าง.........ออกไป
“ได้” ผมรับคำท้า ก่อนจะมองข้ามหัวของชายผู้นั้นไปนอกบ้าน และแน่นอนผมก็พบกับภาพเดิมๆ ผู้คนที่แต่งกายประหลาดๆ ผู้ชายร่างแคระเกร็นไม่สวมเสื้อ เดินกวาดใบไม้แห้งหน้าลานบ้าน หญิงสาวหน้าตาโบราณไว้ผมทรงประหลาดกำลังสาละวนกับการหาบน้ำจากแม่น้ำที่ไหลเอื่อยอยู่หลังบ้านมาใส่โอ่ง นานๆครั้งพวกเขาจะหันมามองบ้านที่ผมอยู่ด้วยสายตาหวาดกลัว รอบๆบ้านที่ดูคุ้นตา แต่กลับแปลกตาในขณะเดียวกัน แม่น้ำหลังบ้านนั่นผมแน่ใจว่ามันคงเป็นแม่น้ำสายเดียวกับแม่น้ำที่บ้านผม เพียงแต่ฝั่งตรงข้ามไม่ใช่โรงแรมระดับห้าดาวแต่กลับเป็นเรือนไทยไม้หลังใหญ่ที่มีต้นไม้ใหญ่บังเกือบมิด ในแม่น้ำไม่มีเรือข้ามฝาก ไม่มีเรือหางยาวพานักท่องเที่ยวชมความงามของกรุงเทพฯ ไม่มีเรือล่องแม่น้ำ มีเพียงเรือแจวชาวประมงลำเล็กๆที่จอดแน่นิ่งอยู่กลางแม่น้ำ เรือพระที่มีเด็กวัดพายแวะตามท่าน้ำต่างๆเพื่อรับบิณฑบาต
ผมเดินออกไปหน้าบ้านอย่างร้อนรน ทอดสายตามองออกไปนอกรั้วบ้าน เป็นถนนดินดานสีขาวที่มีหญ้าขึ้นจะเหลือไว้เพียงแค่เส้นสองเส้นที่เป็นเหมือนรอยล้อรถวิ่งไปมาในรอยเดิม ข้ามถนนนั้นไปเป็นตลาดเล็กๆที่มีแม่ค้าแม่ขายเอาของมาแบขายกับพื้นส่งเสียงเจี้ยวจ้าว
“คงจะเป็นตลาดแบบอนุรักษ์” ผมเดา แต่ก็น่าแปลกที่พวกเขาเหล่านั้น กลับแต่งกายเหมือนคนในบ้านกันหมด
“เจ้าจะไปไหน” ชายคนนั้นถาม
“ชั้นจะกลับบ้าน” ผมตอบสั้นๆ ตามความคิดในสมอง ตอนนี้ผมคิดอย่างเดียวว่าจะต้องหาทางกลับบ้านให้ได้ ผมเดินลงจากบ้าน ใส่รองเท้า Onisuka tiger ที่ซื้อมาจากการไปแวะที่สิงคโปร์ก่อนกลับไทยเมื่อสามวันที่แล้ว
“เจ้ารู้รึว่า เจ้าจะไปไหน” เขาเดินตามออกมา
“เรื่องของชั้นในเมื่อคนที่นี่มันเพี้ยนกันไปหมด อยู่ไปมีหวังก็คงได้เพี้ยนตามไปแน่ๆ” ผมเดินบ่นงึมงำๆ ลงจากบ้านไป โดยที่ชายคนนั้น ไม่สนใจที่จะตามมาอีกเลย
“คุณพินิจไม่คิดจะรั้ง เจ้าบ้านั่นไว้หรือขอรับ” นายสนเอ่ยถาม
“เขาไปไหนมิได้ไกลจากเรือนข้าดอก เชื่อข้าเถิด”
“”””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””
ผมเดินดุ่ยๆออกมาโดยมีพวกคนรับใช้ในบ้านหลังนั้นแตกฮือทุกครั้งที่ผมเดินผ่าน แต่ก็ช่างหัวพวกเขาปะไร ใครจะไปสนใจวะ เดี๋ยวกูก็ไม่อยู่ไอ้บ้านเฮงซวยโรคจิตหลังนี้แล้ว หารถเข้ากรุงเทพฯได้เมื่อไหร่นะ เจอกูแน่ อีอาขี้ฉ้อ
ผมกัดฟันกรอด
“เฮ้ยยาย แถวนี้มีแท๊กซี่บ้างป่าว” ผมถามยายคนนึงที่นั่งขายอะไรสักอย่างคล้ายข้าวแกง แต่อยู่ในใบบัว ยายเงยหน้ามามองก่อนจะอ้าปากหวอ
“เป็นอะไรกันอีกหล่ะ หึ ลมชราตีกระบังลมรึไงยาย” ผมพูด ไม่สนใจยายแก่นั่นที่กำลังหายใจพงาบๆ
“พี่ๆ ผมจะหารถไปกรุงเทพฯอ่ะ แถวนี้มีป่าว” ถามชายอีกคนที่กำลังแบกทลายมะพร้าวอยู่ เขาหันมามองผมก่อนจะทิ้งทะลายมะพร้าวแผ่นแน๊บ คนในตลาดเริ่มหันมามองผม ซุบซิบๆ
“หรือเขาจะถ่ายหนังถ่ายละครกันรึเปล่าวะ กูมาอยู่ผิดที่ผิดคิวเขารึปาว” ผมพยายามมองหากล้อง หรือทีมงาน ช่างไฟ ช่างแต่งหน้าแต่.................................ม่ายยยยยยยมิ
ผู้คนในตลาดเริ่มซุบซิบกันและแตกฮือทุกที่ที่ผมเดินผ่าน บางคนหาบของหนี บางคนลากลูกลากหลานออกมาให้ไกลจากผม
“อะไรวะ กูไม่ใช่ตัวเหี้ยนะเว้ย ถึงต้องมารังเกียจกันขนาดนี้ เล่นแรงนะเนี๊ยะ เล่นแรง” ผมชักรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง ยกจักกะแร้ขึ้นมาดม เพื่อเทสกลิ่นตัวเอง ไม่ได้อาบน้ำมาหลายวัน เพราะกลิ่นนี่รึป่าว ถึงทำให้พวกเขาผงะ
“ไม่ใช่มั้ง กลิ่นเต่ากูยังหอมกว่ากลิ่นตัวพวกนั้นอีก” ตัดข้อนี้ทิ้งไป
“ท่าทางจะมิใช่คนแถวนี้ จะเปนพวกเจ๊กพวกจีนก็มิน่าจะใช่ ดูท่าจะเปนฝาหรั่งมังค่า หรือพวกฮอลันดา เปอร์เซีย เสียกระมัง” เสียหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งแต่งตัวสะอาดสะอ้านพูด ผมหันไปมอง เห็นเธอเดินกางร่มมากับหญิงแก่อีกคนที่หิ้วตะกร้าเดินตามและมองผมอย่างประหลาด
“คุณๆ “ ผมเรียกเธอคนนั้น แหม แต่งตัวซะนึกว่านางตานีเชียว “ผมถามอะไรหน่อยสิ” ผมเดินปรี่เข้าไปหาเธอ แต่สงสัยท่าทางที่ร้อนรนของผมคงทำให้เธอตกใจจนร้องออกมาลั่นตลาด
“ว๊าย ช่วยด้วยเจ้าค่า ช่วยด้วย” เธอถอยร่นไปโดยที่มีหญิงแก่ยืนขวางไว้
“อะไรกันคู๊ณ จะตกใจอะไรกันนักกันหนา ผมแค่จะถามทางกลับบ้าน ผมจะไปกรุงเทพฯน่ะ ขึ้นรถตรงไหน” ผมเดินเข้าไปหาเธออีกก้าว
“อย่าเข้ามานะ ช่วยเจ้าข้าช่วยด้วย ชายผู้นี้จะล่วงเกินคุณพิกุล ช่วยด้วยเจ้าค่า” ยายแก่ตะโกน น้ำหมากกระเด็นกระดอน
“อะไรยาย ใครจะไปปล้ำลูกสาวยาย หน้ายังกะปลาหมอสี ชั้นแค่จะถาม.............”
“ผั๊วะ!!!”
“โอ้ย” ผมหันไปมอง มีใครบางคนปาอะไรบางอย่างใส่หัวผม “ใครวะ แม่ง”
“โอ้ย” อีกที “เฮ้ย มันอะไรกันวะ หาเรื่องกันใช่มั๊ย ออกมาต่อยกันซึ่งๆหน้าดีกว่า” ผมตะโกนท้า
“โอ้ย โอ้ย โอ้ย” และสิ้นเสียงท้านั้น ข้าวของต่างๆก็พากันพุ่งใส่หัว ใส่ตัวใส่ร่างผมเป็นพัลวัน ผมเอามือปัดป่ายไปมา อารมณ์โกรธได้ระเบิดแล้ว
“หาเรื่องกันใช่มั๊ย” ผมกำผักที่อยู่ในกระจาดขึ้นมา ปาเข้าใส่กลุ่มคนที่ผมคิดว่าเขวี้ยงของใส่ผม
“มาสิวะ เข้ามาสิ “ผมเลือดขึ้นหน้า หยิบทุกอย่างที่คว้าได้ปาออกไป พังทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า เสียงกรีดร้องโวยวายของคนแถวนั้นดังอึงหมี่ แต่ตอนนั้นผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ผมแค่อยากกลับบ้าน แต่ทำไมต้องมาเจออะไรอย่างนี้ด้วย
“ผั๊วะ” แล้วผมก็รู้สึกมีของแข็งอะไรบางอย่างกระแทกเข้าที่หัว อีกแล้วแผลเก่ากูยังไม่ทันหายเลย ผมคิดในใจ จากนั้น เสียงต่างๆก็ตามมาไม่ว่าจะเป็น
ปั๊ก ตึ๊ก ตุ๊บ เพี๊ยะ แผละ ตุบตับ โอ้ยสารพัด
จนผม.....................สลบไป
-
^
^
^ :z13:
โอ้วแม่เจ้าได้เสยตูดเซ็งเป็ด
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด
================================
จะค้างไปไหน :z3: :z3:
กำลังมันส์เลย
-
กำลังมันส์ ..
อยากจะร่วมด้วยช่วยเขกอีกรายอ่ะ อิอิ
-
รู้สึกสมน้ำหน้าอย่างบอกไม่ถูก :m20:
นี่เป็นไม่กี่เรื่องเลยจริงๆที่ผมอ่านแล้วรู้สึกสะใจที่ตัวนายโดนรุมยำแบบนี้
-
กำลังมันส์เลยยย
สนุกมากเลยค้า
-
ชอบนะ แนวย้อนยุค บวกให้ๆ
-
เป็นพวกหัวแข็ง ซะด้วย เอาใจตัวเองสุดๆๆๆ หลักฐานซะเต็มตาขนาดนั้น ยังไม่เข้าใจอีกเนอะ
แล้วสลบไปแล้ว หวังตื่นมา ไม่ใช่มาบอกนะว่าเป็นฝัน อิอิ
-
เอ่อ แนวแปลกดี แต่นายเอกบ้าไปปร่ะ ถ้าเป็นเราคงรู้แล้วว่าย้อนอดีต ถ้าไม่เชื่อก็ค่อยๆถามไม่ใช่โวยวายเหมือนคนบ้าแบบนี้ เห้อ รอต่อปาย
-
สมควรโดนซะบ้าง ปากดีชิ๊บเป๋ง คุณหลวงก็ทนพูดดีด้วยได้เหอะ
หวังว่าโดนรุมสกรัมคราวนี้จะทำให้ได้คิดอะไรบ้างนะ
เรื่องนี้นายเอกปากคอเราะร้ายสุด ๆ
-
ติดตามค่า :m4: :m4:
ขอตอนต่อไปด่วน :z3: :z3:
-
สนุกค่ะ
น่าสนใจดี
จะติดตามต่อไป
รู้สึกว่าอัท จะรั่วๆๆๆนะค่ะ
แต่น่ารักดี
-
กรรมของเวรจริงๆเล้ยยย
รอตอนต่อไปนะคะ :impress2:
-
นายอัทช์เล่นอะไรเนี่ย เมาแล้วพาล อิอิ คุณหลวงอย่าลงหวายแรงนักนะ เดี๋ยวหลังลาย ^^
-
ตบปากนายเอก สามที่
ปฎิบัติ
อิอิ
-
เหอะๆๆๆ มันส์
-
มาต่อเสียทีนะเจ้าคะ
-
ชอบพล็อท แต่นายเอกโวยวายมากเกินจริงไปมั๊ย writer
-
:m20: สลบไปรอบที่เท่าไหร่แล้วนั่น~~
แต่ผู้หญิงสมัยนู่นดวยวายกันจังวะ คนเขายังไม่ได้ทำไรสักหน่อย เอะอะก็บอกอัทช์จะปล้ำ มันน่าหงุดหงิดจริงๆ :laugh:
แต่ชอบใจคุณหลวงจัง ท่าทางจะฉลาดน่าดู ไม่ว่าอะไร แล้วก็ไม่หงุดหงิดด้วยที่โดนอัทช์เหวี่ยงใส่ o13
ว่าแต่..ใครรุกใครรับล่ะคะเนี่ยยยยยย :m26:
มาต่อเร็วไวๆๆๆน๊าาาาา :m13:
-
^^
^^
จิ้มหนูไอ ก่อนเลย สบายดีบ่จ๊ะ
สงสารนายอัทช์จัง หลงเข้าอดีตยังไม่พอ โดนสหบาทาด้วยนี่สิ
ใครก็ได้ไปตามคุณหลวงมาด่วน :z2:
+1 เป็นกำลังใจให้นะครับ จากนั้นก็รอ ร้อ รอ ...
-
บางทีการที่คนเราไม่ยอมรับความเป็นจริง(ในทุกๆเรื่อง)มันก็น่ารำคาญนะ เจ้อ่านแล้วรู้สึกว่ามันทำตัวน่ารำคาญมากว่าตลกเสียอีก
สลบไปอ่ะดีแล้ว แล้วคิดเสียด้วยว่าคนที่ประหลาดมันเป็นพวกเขาหรอเป็นที่ตัวเรากันแน่ ถ้ายังมองไม่เห็นอีกเจ้ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร
-
555 ขี้โวยวายจริงๆ แต่สนุกอะ ชอบสุดๆแนวย้อนเวลาแบบนี้ อยากอ่านต่อแล้วฮาฟฟฟ :impress2:
-
ทำไมคุณอัทช์ถึงไม่เชื่อซะทีว่าตัวเองหลุดเข้ามาในอดีตแล้ว
-
สายน้ำจากน้ำตกที่งดงามที่ไหนสักแห่งกำลังกระเซ็นใส่หน้าผม และกำลังไหลผ่านใบหน้าผมช้าๆ ผมกำลังวิ่งเล่นอย่างมีความสุข กระโดดข้ามโขดหินก้อนนู้นที ก้อนนี้ที
“แหม่ ชีวิตมีระดับมันเป็นอย่างนี้นี่เอง.................”
“อูย กระเซ็นมาอีกแล้ว อูย อีกแล้ว ท่าทางตรงนี้จะน้ำเชี่ยว อูยๆ อูย”
“โครม!!! ซ่าส์”
“เฮ้ย ไรวะ ไรวะ ...........อื้อหือ เต็มหน้ากูเลย” ผมลูบหน้าที่ตอนนี้เปียกไปด้วยน้ำ
“ใคร.............เยี่ยว..............ใส่.............หน้า............กู” ผมตะโกนโหวกเหวก
“ตื่นแล้วขอรับ” เสียงดังมาจากด้านซ้ายมือ ผมหันไปมอง เห็นชายคนหนึ่งยืนถือถังเหล็กน้ำหยดติ๋งๆ ไม่ต้องจบป.โท ก็รู้ว่าไอ้บ้านี่สาดน้ำ
“สาดกูทำไม มึงคิดว่าหน้าสงกรานต์รึไง” ผมตะคอก
“ตื่นเสียที เล่นเอาเหนื่อยกันทั้งโรงพัก” เสียงชายอีกคนทางด้านซ้ายพูด ผมหันไปมอง
“โรงพักเหรอ” เมื่อได้สติ ผมก็สำรวจตัวเองและพบว่าตัวเองอยู่ในสภาพเหมือนขอทานข้างถนน เสื้อผ้าขาดรุ่ย รองเท้าคู่ละเกือบสี่พันของผมหายไปไหนข้างนึงก็ไม่รู้ ตามแขน มีร่องรอยขีดข่วนเต็มไปหมดและทีสำคัญ
ผมถูกมัด
“เฮ้ย มามัดกูทำไม” ผมดิ้นไปมาในสภาพมือไขว้หลังนั่งบนเก้าอี้ไม้ เสียงขาเก้าอี้กระทบพื้นที่เป็นไม้กระดานเป็นร่องๆมองเห็นพื้นด้านล่าง
“เจ้าเป็นใคร มาจากบางใด เหตุใดถึงมาระรานชาวบ้านถึงย่านสามแยกต้นประดู่” ชายคนที่อยู่ขวามือถาม หนวดเคราที่ถูกตัดแต่งอย่างเป็นระเบียบ ทำให้ผมนึกถึงผู้ร้ายในหนังไทยยุค อาแอ๊ด สมบัติ
“แล้วพวกแกหล่ะ เป็นใคร มีสิทธิอะไรถึงมามัดชั้นว้แบบนี้” ผมย้อนถาม
“พวกข้าคือกองโปลิศคอนสเตเบิ้ลแห่งพระนคร”
“หา” ผมทำหน้าเล๋อหลา “จะเป็นโปลิส หรือเทศกิจก็ช่าง แต่ยังไงพวกแกก็ไม่มีสิทธิจับชั้นมัดไว้อย่างงี้นะเว้ย”
“พวกข้าได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า เจ้าเป็นคนบ้าสติไม่ดี คุ้มคลั่งอาละวาดไล่ตีชาวบ้านร้านตลาด” ชายคนนั้นแจ้งข้อหา
ผมมองดูสภาพตัวเอง กูเนี๊ยะนะคลั่งไปไล่ตีชาวบ้าน ดูสารรูปมันยังไม่รู้อีกเหรอว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้ถูกกระทำ สะบักสะบอมขนาดนี้
“บอกข้ามาบัดเดี๋ยวนี้ ว่าเจ้ามาจากบางใด หาไม่เช่นนั้นแล้วเราจะจำคุกเจ้าให้นอนอยู่เสียแต่ในตารางนี่หล่ะ” เขาขู่
ผมหันหลังไปมอง ก่อนจะกลืนน้ำลายเอื๊อก ภายในห้องขังเต็มไปด้วยคนบ้า แก้ผ้ามั่ง เต้นรำมั่ง นั่งตาขวางมั่ง มีหวังผมเข้าไปไม่ตูดบานก็ต้องบ้าตามพวกนั้นไปแน่ๆ
“จะมาจากบางไหนอะไรกันวะ ก็บอกไปแล้วว่าชั้นมาจากกรุงเทพฯ กรุงเทพฯ เป็นตำรวจน่าจะรู้จักนะ กรุงเทพฯน่ะ” ผมตอบ
“กรุงเทพฯเหรอ” อ่ะอีกละ มึงทำหน้าหมางงอีกคนนึงละ หน้างงๆแบบนี้ เป็นของดีประจำจังหวัดนี้รึไง ถึงขยันทำกันจั้ง
“เออ ก็กรุงเทพฯน่ะสิ กรุงเทพฯ เขตสัมพันธวงค์น่ะ รู้จักมั๊ย”
ทั้งคู่อึ้งไปครู่ใหญ่ ก่อนที่คนทางขวาท่าทางตำแหน่งจะใหญ่กว่าพูดขึ้นว่า
“ท่าทางจะบ้าจริงดังคำชาวบ้าน เราเห็นควรจะจองจำไว้ก่อน จนกว่าจะมีญาติมาตามหา”
“อ้าว เฮ้ยๆ อะไรวะ” ผมตะโกนออกมา “ให้บอกความจริงก็บอกไปแล้ว จะเอาอะไรอีก นี่มันอะไรกัน พวกแกทำอย่างนี้กับชั้นไม่ได้นะเว้ย ปล่อย ปล่อยชั้นเดี่ยวนี้” ผมดิ้นรนทุรนทุราย ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่ไม่กี่ข้ามคืน ชีวิตเด็กนักเรียนนอกไฮโซอย่างผมจะต่ำเตี้ยเรี่ยพื้นขนาดนี้ พวกเขาช่วยกันจับผมลุกขึ้นมา ในขณะที่มือยังไพร่หลัง และกุญแจมือที่รัดแน่นยังคามืออยู่ ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยโดนจับใส่กุญแจมือเลยสักครั้ง.........................ยกเว้นตอนนั้น
“Hey Jenish, what are you doing” ผมแกล้งร้องพอเป็นพิธี
“Don’t move honey. You are my slave” เจนิส ทำหน้าหื่นใส่ผมก่อนที่เธอจะล๊อกผมด้วยกุญแจมือติดแน่นกับหัวเตียง
“ช่วยด้วยๆ” แต่ตอนนี้ มันไม่ใช่แบบนั้น ตอนนี้ผมกำลังถูกยัดเยียดข้อหาบ้าบออะไรก็ไม่รู้ พวกนั้นทั้งผลักทั้งดันผมให้เข้าไปอยู่ในห้องกรงสี่เหลี่ยมที่ข้างในเหม็นคลุ้ง ผมน้ำตารื้นด้วยความกลัวสุดขีด เหมือนตัวเองกำลังถูกถีบลงนรกทั้งๆที่ทำดีมาทั้งชีวิต
“ปล่อยกูออกไปนะ ไอ้พวกตำรวจเฮงซวย ปล่อย” ในที่สุดผมก็มายืนอยู่ในเขตที่เรียกว่า ผู้ต้องหา ทั้งๆที่ผมควรไปยืนอยู่อีกฝากที่เรียกว่า ผู้บริสุทธิ์
“คอยดูนะ ถ้ากูออกไปได้เมื่อไหร่ กูจะเล่นให้พวกมึงต้องไปอยู่ชายแดน คอยดู” ผมตะโกนไล่หลังสองตำรวจนั่นที่ตอนนี้ลงไปหาชาวบ้านที่กำลังมองผมแล้วซุบซิบ
“มองอะไรกัน พวกมึงเห็นเห็นกูเป็นคิงคองพาต้ารึไง ไอ้พวกเฮงซวย” เสียงตวาดดังออกมาจากห้องขัง
...
คืนนั้น ภายนอกโรงพัก มีเพียงชายสองคนที่ส่ชุดที่พวกเขาเรียกว่าโปลิศนั่งจับเจ่าคุยกันภายใต้แสงของตะเกียง เสียงจั๊กจั่น แมลงกลางคืนร้องกันระงมรอบโรงพัก
“หรือนี่จะใช่ยุคพระพุทธเจ้าหลวงจริงๆตามที่หมอนั่นบอก” ในบางห้วงความคิดผมก็เผลอคิดไป แต่แล้วก็
“เฮ้ย จะเป็นไปได้ยัง ไม่มีทาง แม้แต่ไอน์สไตน์ยังบอกเลยว่ายากที่คนจะเดินทางย้อนอดีต ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้วยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย ไม่มีทาง” ในที่สุดผมก็สรุปมันออกมาอย่างนั้น
ภายในห้องที่มืดอับและ ยุงชุม ผมบีบตัวเองจนเล็กลีบอยู่ในมุมอับข้องห้องขัง เฝ้าคิดถึงชะตาชีวิตตัวเองวันพรุ่งนี้ ว่ามันจะเป็นยังไง
“ไม่แน่นะ เมื่อตื่นขึ้น เราอาจพบว่า เรื่องทั้งหมด มันแค่..........ความฝัน” แล้วผมก็ฝืนข่มตาตัวเองท่ามกลางเสียงบ่นพึมพำของคนบ้าในนั้น จนหลับไป..........................
“”””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””
“เจ้าบ้า เจ้าบ้า” เสียงทุ้มกังวาลดังขั้นใกล้หู ทำไมเสียงมันถึงชัดเจนราวกับเสียงนั้นมากระซิบอยู่ข้างหู
“เจ้าบ้า ตื่นเถิด” แล้วผมก็รู้สึกถึงสัมผัสจากมือที่อบอุ่นคู่หนึ่งมาแตะที่บ่าอย่างแผ่วเบา นี่มันฝันประสาอะไรกัน ทำไมถึงเหมือนจริงเช่นนี้
“เจ้าบ้า” เสียงนั้นชัดเจนและดังขึ้น
“เจ้าบ้า” มือที่สัมผัสอย่างแผ่วเบา ตอนนี้กลับเขย่าร่างผมอยู่
และมันได้ปลุกผมจากฝันร้าย
“หะ” ผมสะดุ้งลืมตาตื่น และคำแรกที่ผมร้องออกมาคือ
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย ช่วยเอาชั้นออกไปจากที่นี่ที ชั้นกลัว” ผมตัวสั่นงันงก รู้สึกปสดหัวอย่างแรง
“ไม่ต้องกลัวแล้วเจ้าบ้า ข้ามาพาเจ้าออกไปจากที่นี่แล้ว” ผมเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง
“นาย!!!” แวบแรกที่ได้เห็นหน้าเขา ผมแทบอดใจไม่ไหวที่จะคว้าคอเขามากอด อย่างน้อยตอนนี้ผมก็มีเพียงเขาเท่านั้นที่พอจะรู้จัก ในเมืองลับแลแห่งนี้ ผมไม่รู้จักใครอีกแล้ว
ร่างของผมถูกพยุงออกจากคุกนรกแห่งนั้นในสภาพสะบักสะบอม ผมไม่ได้กินข้าว กินน้ำ ถูกทำร้ายมา ตอนนี้ร่างกายผมจึงเหมือนจะเป็นไข้ แม้แต่เดินผมยังเดินไม่ไหว ต้องให้คนของหมอนั่นหิ้วปีก ขึ้นอะไรสักอย่างที่เป็นรถคล้ายเกวียน แล้วมีคนลาก ตลอดทางผมเพ้อถึงแต่ว่าอยากกลับบ้าน ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว
ร่างที่อ่อนแรงไร้พิษสงถูกบรรจงวางไว้บนเตียงนุ่มที่มีผ้าแพรสีน้ำเงินอย่างดีคลุม เมื่อไร้พิษสง ผมก็ไม่ต่างจากพวกเขา แววตาท่าทางของคนรับใช้ของหมอนั่นก็ดูหวาดกลัวผมน้อยลง พวกเขาช่วยกันเปลี่ยนชุด เช็ดตัว ให้ผมอย่างดี โดยที่มีชายคนนั้นยืนมองด้วยแววตาที่อ่อนโยน
“เจ้าพักผ่อนที่เรือนเราเถิด ที่นี่ปลอดภัยสำหรับเจ้า เรารับรอง” หมอนั่นยืนมองผมผ่านม่านมุ้งสีขาวที่คลุมร่างผมอยู่
“บ่าวของเราจะยกสำรับมาให้เจ้า หลังจากที่เจ้าตื่น” แววตาของเขาดูอ่อนโยน และคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก
ความรู้สึกในใจลึกๆของผมตอนนั้น อยากจะเอ่ยคำขอบคุณเขาจากใจจริงๆที่อย่างน้อย ทำให้ผมได้รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้โดดเดี่ยวในเมืองลับแลแห่งนี้ ทำให้ผมรู้สึกปลอดภัยในขณะนี้ และที่สำคัญที่สุดคือ ทำให้ผมรู้แล้วว่า “ผมไม่ใช่คนของที่นี่”
“หวังว่าตื่นขึ้นมา............ทุกอย่างจะหายไป..............รวมทั้งนายด้วย” และนี่คือคำพูดตอบแทนความมีน้ำใจของหมอนั่น ก่อนที่ผมจะหลับไปด้วยความอ่อนแรง
-
ยังคงปากดีจนนาทีสุดท้าย ช่างเป็นคนที่ยอมรับความจริงได้ยากเย็นซะจริง
แล้วเมื่อไหร่น๊อที่อัทช์จะยอมรับซะอีกว่าตัวเองน่ะ หลุดมาอยู่ในยุคไหนกับเขาแล้ว
เฮ้อ ถอนหายใจพร้อมส่ายหัว เดินออกจากเล้า
-
ดีจาย ไ้ด้อ่านต่อแล้ว
ผมก็มีเรื่องใหม่แล้วเน้อ ตามมาวิจารณ์หน่อยก็ดีครับ o13
-
เป็นคนที่ปากดีเอาเรื่องแฮะ ไม่เคยดูละครรึงาย~
-
o13 ดีแร่ะที่ยอมรับความจริงได้บ้าง
จะได้ม่ะต้องโวยวายเป็นคนบ้า 5555
-
น่าสงสารจริง นายเอกเรา o18
-
ตกลงใครนายเอกกันแน่นะ สงสัยต้องติดตามกันต่อไป
และยังสงสัยว่ามันจะมีฉากที่เค้าว่าๆ "ท่านเจ้าคุณขอรับ กระผมเจ็บ" จริงๆมั๊ยนะ
หรือมันจะพูดว่า "คิโมจี๊" กันล่ะ อิอิ :z1:
-
:pig4: ค่า
อารมณ์ประมาณ ย้อนเวลามาหารัก อิอิ
-
ทำไมเชื่อยากเชื่อเย็นขนาดนี้
หลักฐานก็เห็นๆกันอยู่
-
ก้ต้องยอมรับนะว่าความคิดของนายอัชท์มันเป็นคนของโลกปัจจุบัน มันก็เลยมีนิสัยเห็นแก่ตัว คิดว่าตัวเองถูกต้อง ไม่ยอมรับความจริง
เริ่มตั้งแต่เรียนไม่จบแล้วไม่ว่าด้วยเหตุได ก็แค่คนที่เหมือนจะไร้ค่ะเท่านั้นเอง ไม่ได้สำคัญอะไร ปล่อยให้มันบ้าไปตามเรื่องตามราวแล้วกัน
ก็แค่ขอให้พอจะมีใครมากำหราบมันได้บ้างเท่านั้นเอง........
-
อ่านแล้วสนุกดี..ขอรับ ^_^
-
ดูท่าหลวงพินิจจะดูแลนายอัชท์อย่างดีนะเนี่ย?
คิดไรป่าว คิคิ
นายอัชท์โวยวายอยู่ได้ เลยถูกเค้ารุมกระทืบซะ เฮ้อ..
-
ใจนึงก็สงสารนะ ที่อยู่ดีๆก็หลงมาผิดยุคผิดสมัยนี่
อีกใจก็หมั่นไส้ อวดเก่ง ปากดีตลอดเลยอ่ะ :serius2:
เฮ้อ :เฮ้อ:
-
เอาหน้าอกคัพ D มาดันไว้ก่อนนะคะ จองที่คะ ไม่มีสติพอที่จะอ่านเนื่องจากยังไม่ได้นอน
แต่อยากอ่านมากกกกกกกกก.....แปะไว้ๆๆ
-
:เฮ้อ: ปากดีจริงๆแหะ แล้วนั่นจะพูดขอบคุณสักคำก็ไม่มี - -"
-
อย่างน้อยก็มีที่ที่หนึ่งที่ปลอดภัย สำหรับนายเอกของเรา หึ หึ หึ ...
+1 เป็นกำลังใจให้ครับ :กอด1:
-
ใช่ๆ อย่างน้อยที่นี่ก็ปลอดภัย :เฮ้อ:
-
:mc4: :mc4:
มาต้อนรับพี่เป็ด แม้จะช้าไปหน่อยก็ตามที
นายเอกเป็นคนไม่ยอมรับความจริงๆด้วย ไม่ดูรอบข้างเลยเน๊อะ
:laugh: :laugh:
-
เป็นเราก็ต้องงง และไม่อยากคิดว่าเราหลงยุคอ่ะนะ
จริงๆนายอัชท์นี่น่าสงสารออก พอเปิดเรื่องมานี่ นายอัชท์ของเรา
เจอแต่เรื่องชวนให้ผิดหวัง เสียใจ ท้อแท้ใจล่ะ ดังนั้นที่เค้าดูแรงๆไปนี่ จึงน่าให้อภัย
อยากอ่านตอนต่อไปแล้วล่ะ
-
นึกถึงทวิภพ ฮ่า ๆ ๆ
ปอค่อนข้างเหมือนพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่ออ่ะ...เหมือนพี่หมอจะชอบปอด้วย แล้วทำไมถึงไปคบกับมุกล่ะ?
-
เรื่องนี้ต้องตั้งสติอ่านอะ ขอเวลาหน่อยนะ :z1:
-
ในขณะที่ผมหลับ ผมฝันถึงบ้าน บ้านหลังเดิมที่ผมเคยวิ่งเล่นตอนเด็ก บ้านหลังเดิมที่ผมเคยซ่อนแม่เมื่อทำของแตก บ้านหลังเดิมที่ผมจากมา
ภาพบ้านหลังนั้นค่อยๆชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แต่เมื่อมันจะแจ่มชัด บ้านหลังนั้นกลับถูกภาพเรือนไม้หลังใหญ่โบราณปรากฏขึ้นมาแทนที่ ผมฝันว่าตัวเองยืนหันไปรอบๆด้วยความสับสน บ้านหลังนี้ดูคุ้นเคยแต่ผมกลับไม่รู้จัก ผมมองไปเรื่อยๆ ภายในบ้านนั้นไม่มีคน มองผ่าน บ้านไป เป็นลานโล่งๆ แล้วก็ท่าน้ำ มีศาลาริมน้ำและมี....................
“หมอนั่น”
...
“ตื่นแล้วรึ เจ้าบ้า” ผมค่อยๆลืมตาขึ้น แสงแดดยามบ่ายแยงตา “คุณสั่งให้ชั้นยกอาหารมาให้เจ้า เห็นว่ายังมิได้กินข้าวปลาเลยตั้งแต่เย็นวาน” นายสนวางถาด และแก้วน้ำไว้ข้างหัวเตียง
“ทานเสีย ก่อนที่จะเย็น” แล้วเขาก็เดินออกจากห้องไป
ผมลุกขึ้นรู้สึกหนักอึ้งที่หัว สะบัดหัว 2-3 ทีก่อนจะมองที่ถาดอาหาร
“ข้าวต้มปลาทู” ข้าวเม็ดสวยเรียงกันเป็นเม็ดๆไม่มีหัก นอนนิ่งอยู่ในถ้วยลายครามสีฟ้าเข้า น้ำข้าวต้มใส พร้อมเนื้อปลาทูที่แกะก้างมาเรียบร้อย
“เอื๊อก” ผมกลืนน้ำลายลงคอด้วยความหิว กี่วันแล้วที่ข้าวไม่ได้ตกถึงท้อง แต่เมื่อมองไปที่ชามก็ผงะเล็กน้อย เพราะรู้ดีว่า
ปลาทูนั้น ถ้าทำไม่ดี กลิ่นคาวคลุ้งแน่
“เอาวะ หิวจะตายห่าอยู่แล้ว” แต่ในที่สุดผมก็ทนความหิวโหยไม่ไหว ยกชามขึ้นมา หยิบช้อนกระเบื้องลายเข้ากับชามก่อนจะคนข้าวต้มและกลั้นหายใจตักข้าวต้มใส่ปาก
“อืม อืม” ผมค่อยๆบรรจงเคี้ยวตาประสาเคยเรียนด้านอาหารมาก่อน สัมผัสแรกที่ได้จากข้าวต้มชามนี้คือ กลิ่นสัมผัส ผิดคาด ไม่มีกลิ่นคาวปลาเลยแม้แต่น้อย ตรงข้ามผมกลับได้กลิ่นพริกไทยบุบ กลิ่นกระเทียมเจียวกับมันหมูอ่อนๆ และที่สำคัญกลิ่นหอมจางๆเตะจมุกจากอะไรสักอย่างที่ผมไม่สามารถเดาได้
สัมผัสที่ 2 คือ รสสัมผัส รสชาดแรกที่แล่นผ่านลำคอคือรสชาติเผ็ดร้อนของพริกไทย ที่ทันทีที่เข้าปาก ผมก็รู้สึกโล่งจมูกขึ้นมาทันที ต่อจากนั้นก็เป็นรสความหวานของน้ำต้มปลา ความหวานหอมของเนื้อปลาทู
“โอย อร่อยเหี้ยๆ” ผมเผลออุทานออกมาโดยไม่รุ้ตัว ก่อนจะสวาปามกินข้าวต้มจนหมด
ตอนนี้ท้องผมอุ่นจนร้อน เมื่อกินอิ่ม เรี่ยวแรงก็เริ่มกลับคืน ผมเริ่มเดินสำรวจภายในห้อง หน้าต่างเปิดรับลมทุกบาน ภายนอกเป็นต้นมะม่วงต้นใหญ่ที่ให้ร่มเงามาถึงในห้อง ลูกมะม่วงลูกเขื่องๆห้อยย้อยจนเกือบจะเอื้อมมือไปเด็ดได้ ในห้องมีตู้ใส่เสื้อผ้าที่ทำมาจากไม้ โต๊ะทำงานไม้ที่มีหนังสือวางเรียงราย กระจก และของใช้เพียงไม่กี่ชิ้นวางไว้แต่แปลกที่ห้องนี้ไม่มีรูปถ่ายเลย
“ตื่นแล้วรึ” หมอนั่นเดินเข้ามาในขณะที่ผมกำลังจะเดินไปที่ประตูพอดี
ผมพยักหน้า
“ไข้ทุเลาลงรึยัง”
ผมพยักหน้า
“อาหารที่ให้สนยกมา ถูกปากเจ้าหรือไม่”
ผมพยักหน้า
“นอกจากบ้าแล้ว เจ้ายังเป็นใบ้อีกรึ”
ผมพยักหน้า จ๊ายยยยยยยยย จะบ้ารึ!!!
“ไม่ได้ใบ้เว้ย แค่...ขี้เกียจพูด” ผมรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน
“ที่นี่คือสมัยรัชกาลที่ ๕ จริงๆเหรอ” น้ำเสียงผมอ่อนลงไปมาก หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์ต่างๆมามากมาย
“พวกนายไม่ได้แหกตาชั้นใช่มั๊ย” ผมถามย้ำอีกครั้งก่อนจะนั่งลงบนเตียง
“เราไม่รู้หรอกว่าเจ้ามาจากไหน แต่เท่าที่เรารู้ แผ่นดินที่เราอยู่คือแผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวง” เขาเดินไปหยุดที่หน้าต่าง เหม่อมองออกไปภายนอกที่แสงอาทิตย์เริ่มอ่อนแรง
“นายเชื่อเรื่องย้อนอดีตมั๊ย” คำถามนี้ถูกปล่อยออกมาจากปากโดยไม่รู้ตัวและไม่ได้คาดหวังคำตอบใดๆ ผมเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง....บานเดียวกับเขา
“แล้วเจ้าเชื่อเรื่องคนเราเกิดมาเพราะเหตุผลบางอย่างหรือไม่” ผมทำหน้าสงสัย
“ทุกสิ่งที่อย่างที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ย่อมมีเหตุผลของมัน เจ้ามีเหตุผลที่จักต้องมาที่นี่ เราก็มีเหตุผลที่จักต้องรอที่นี่”
แล้วทุกสิ่งภายในห้องก็เงียบงัน คำพูดของเขาคำนั้นเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ความสงสัยที่ถูกหว่านลงในใจผม
“นั่นน่ะสิ ผมมาที่นี่มันต้องมีเหตุผล แต่ว่า เหตุผลอะไรหล่ะ”
ผมเดินออกมาจากห้องนอน ในสภาพงุนงง การนอนไปเต็มอิ่มทั้งที่เป็นกลางวันแล้วตื่นมาตอนเย็น ทำให้เหมือนบรรยากาศทั่วไปมันอึมครึม ดูไม่เหมือนเดิม ซึ่งจริงๆแล้วมันก็ไม่เหมือนเดิมอยู่แล้ว
“เจ้าจักไม่เล่าความใด เกี่ยวกับเมืองที่เจ้าจากมาให้เราฟังบ้างรึ” หมอนั่นถามในขณะที่เดินนำหน้า
“ชั้นยังไม่อยากพูดถึงมันตอนนี้ นายไม่เข้าใจหรอกว่าการที่ต้องหลุดโลกมาอยู่ที่นี้มันทำให้ชั้นรู้สึกยังไง” ผมก้มหน้าก้มตาพูด “บินข้ามทวีปยังปรับตัวง่ายกว่านี้” ผมบ่นกับตัวเองเบาๆ “อ้อ และหากนายเป็นคนยุคนี้จริงๆ ชั้นก็คงอธิบายคำว่า Iphone ให้นายฟังไม่ได้หรอก ” ผมตอบ
“บ้านเมืองเจ้าอยู่ห่างไกลจากที่นี่มากกระมัง” เขาถาม
“นี่นายยังไม่เข้าใจอีกเหรอ ถ้าหากว่าชั้นมาจากอนาคตจริงๆนายจะว่ายังไง” เขาเงียบ “บ้านหลังนู้น” ผมชี้ไปที่บ้านไม้หลังใหญ่ที่หญิงกลางคนคนนั้นเคยไล่ผมออกมา “คือบ้านของฉัน ถ้าหากฉันมาจากอนาคตจริงๆ”
“เราไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน”
“ก็แหง หล่ะ ขนาดบ้านเมืองชั้นเจริญขนาดนั้น ถ้ามีใครไปพูดว่าสามารถเดินทางย้อนอดีตมาได้เขาก็หาว่าบ้ากันทั้งนั้นแหละ” ผมตอบในขณะที่สายตากวาดมองไปทั่วบ้าน
“เหมือนที่เจ้าเป็นตอนนี้...กระนั้นรึ” หมอนั่นพูด ก่อนจะอมยิ้ม กลั้นหัวเราะน้อยๆ
“นี่เดี๋ยวโดน อย่าคิดว่าเป็นเจ้าเป็นนายแล้วชั้นจะกลัวนะเว้ย อายุใกล้ๆกันอย่าลามปาม เข้าใจมั๊ย” ผมบ่น
เขาพยักหน้า
“แล้วเจ้าจะทำเยี่ยงไรต่อไป” เข้าสู่โหมดซีเรียส
“ไม่รู้สิ หากที่นี่เป็นสมัย ร.๕ จริง ชั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะโดยสารสายบินไหนกลับกรุงเทพฯ” ผมพูดติดตลก แต่ในใจสิ้นหวัง
ไม่ได้จะทำใจยอมรับได้ แต่มันตีบตันจริงๆ ไม่รู้จะทำอย่างไร ผมยังหาสาเหตุไม่ได้ด้วยซ้ำว่าอะไรนำพาผมมาถึงที่นี่
“เจ้าอย่าร้อนใจไปเลย พักอยู่เสียที่นี่ก่อนเถิด แล้วเราค่อยหาหนทางกลับบ้านเจ้ากัน” เขายิ้ม รอยยิ้มนั้นทำให้ผมใจชื้น และมีความหวังขึ้นมา
“แหม่ พูดยังกับบ้านตัวเอง” ผมแซว
“ถึงเรือนหลังนี้มิใช่เรือนเรา แต่หมอเจอร์ราทท่านจิตใจดีมีเมตตา ท่านต้องยินดีเป็นแน่แท้ ที่มีผู้แตกฉานภาษาอังกฤษมาช่วยเราอีกแรง”
“ช่วยนาย???”
ผมเดินเล่นอยู่บนเรือนต่อในขณะที่ชายคนนั้นขอตัวเข้าไปในห้องที่เปิดออกมามีแต่หนังสือเต็มไปหมด
บ้านหลังนี้เป็นพื้นไม้ ทุกครั้งที่ผมเดิมจะมีเสียงตึก ตึก ตึก พอเสียงดังที คนรับใช้ก็มองขึ้นมาที แล้วส่ายหัว ไม่เข้าใจทำไมต้องส่ายหัวด้วย แต่ก็น่าแปลกที่คนที่นี่กลับเดินได้อย่างเงียบกริบ ไม่มีเสียงแม้แต่น้อย
“ขอโทษนะ” ผมเรียกคนรับใช้ผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินถือพานดอกพุดซ้อนสีขาวกลิ่นหอมเย็นผ่านหน้าไป
“ครัวไปทางไหน” ผมถาม เธอทำหน้าแปลกใจ แต่ก็ยอมบอกทางแต่โดยดี
ผมเดินลงบันไดบ้านลงมาจนถึงพื้น มองหารองเท้าใส่ แต่ไม่มี
“เอาวะ ตีนเปล่าก็ตีนเปล่า” ทันทีที่เท้าเหยียบพื้นดิน ผมรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว
“ใครทำข้าวต้มปลาทูเมื่อกี้น่ะ” ผมถามเหล่าบรรดาคนใช้ที่สาละวนอยู่กับการขูดมะพร้าว หั่นผัก ซาวข้าว อยู่ในกระท่อมหลังไม่เล็กไม่ใหญ่ที่อาจเรียกว่าโรงครัว ทุกคนหันมามองผม
“แค่จะบอกว่าอร่อยมาก” ผมยิ้มให้เพราะรู้พวกเขาคงกลัวผม ตอนนี้พอจะเข้าใจพวกเขาแล้วหล่ะว่าทำไมถึงทำท่าอย่างกะผมเป็นผี
“ข้าเอง ทำไมรึ” เสียงหญิงแก่พูดขึ้นมาจากมุมหนึ่งของครัว ผมหันไปมอง เห็นแกกำลังเด็ดสายบัว ในปากเคี้ยวบางอย่างสีแดงราวกับเลือด
ยายเป็นปอบ!!!
“ชั้นเอ่อ เป็นเชฟน่ะ” ผมพูด แต่ทุกคนเงียบกริบ
“เชฟน่ะ ไม่เข้าใจเหรอ” หญิงวัยสะรุ่นสองคนหันหน้ามองตากันปริบๆ
“เอ่อ เชฟ เอ่อ..............อ้อ พ่อครัวน่ะ ชั้นเป็นพ่อครัว” ทันทีที่พูดจบบรรดาสาวๆต่างหัวเราะกันคิกคัก
“น่าขัน บางใดหัวเมืองใดกันรึ ถึงให้ผู้ชายหุงหาอาหาร” แล้วทั้งหมดก็หัวเราะ ผมไม่เข้าใจว่ากะอีแค่ผมทำอาหารทำไมมันน่าขันขนาดนั้นเลยเหรอ
“เอาเหอะ ป้า ชั้นแค่อยากจะรู้ว่าป้าทำยังไงปลาทูถึงไม่เหม็นคาว” ผมเข้าเรื่อง
“แล้วเอ็งจะรู้ไปทำไมกันเล่า ผู้ชายควรจักต้องไปใส่ใจเรื่องการบ้านการเมืองมิใช่รึ เรื่องพรรค์นี้รู้ไปจักช่วยอะไรกันได้เล่า” ยายแก่หวงวิชานี่ ถามดีๆ ยังจะมาเล่นตัว
“บอกเขาไปเถิด ยายช้อย” เสียงหมอนั่นดังขึ้นมาจากด้านหลัง……….อีกครั้งใจคอมึงจะเดินตามกูทั้งวันเลยรึไง
“หลวงพินิจ” ยายแก่ร้องอุทาน คนใช้ที่ยืนต่างพากันคุกเข่า
“หลวงพินิจเหรอ” ผมนึกในใจ เพราะเหมือนเคยได้ยิน หรือเห็นชื่อนี้จากที่ไหนมาก่อน
“บอกเขาไปเถอะ เขาเป็นแขกของฉันเอง” หลวงนั่นยิ้มอย่างอ่อนโยน
“เจ้าค่ะ อิชั้นเอาอัฐไปแลกปลาทูสดจากเจ๊กที่พายเรือมาเทียบที่ท่าเรือหน้าเรือนเมื่อเช้า ปลาทูสดนะเจ้าคะ เอามาคว้านพุงควักไส้ให้เกลี้ยง ล้างน้ำ แล้วก็แช่น้ำซาวข้าวไว้เจ้าค่ะ” ยายช้อยตอบเหมือนสิ่งที่แกทำนั้นเป็นเรื่องพื้นๆ เด็กๆ
“แค่นี้เองเหรอ” ผมทำหน้าสนใจ ก่อนจะนั่งลงกับพื้น
“เวลาต้มข้าวจักต้องรอให้น้ำเดือดปุด แล้วค่อยใส่ปลาทูลงไปเจ้าค่ะ อย่าคนเด็ดขาดนะเจ้าคะ มันจะคาว กินไม่ได้”
“แล้วกลิ่นหอม อุ่นๆ หอมไหม้ๆ หอมเหมือนมันเผาหรืออะไรสักอย่างคืออะไรเหรอ”
ยายช้อยทำหน้าสงสัย ก่อนจะร้องอ้อ
“ถ่านกระมังเจ้าคะ ถ่านไม้ประดู่ เจ้าชรมันไปเอามาจากป่ากระนู้น”
ผมยิ้มอย่างพอใจกับความรู้ใหม่ครั้งนี้
………
………
……….
………
“เจ้าสนใจเรื่องกับข้าวกับปลารึ” หลวงพินิจถาม ขณะที่พาผมเดินชมรอบๆบ้านที่ประดับประดาด้วยดอกไม้หอมนานาพันธุ์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“มันอยู่ในสันดานน่ะ ตอนชั้นอยู่เมืองไทย อ่อ หมายถึงกรุงเทพฯหน่ะ ชั้นชอบตระเวนหาของกินอร่อยๆ ที่ไหนที่เขาว่าอร่อย ชั้นไปชิมมาหมด แล้วก็พยายามถามเคล็ดลับมา เผื่อเอามาใช้กับร้านได้บ้าง มาที่นี่เลยติดใจ” ผมเล่ายาว
“ช่างพิลึกดีแท้ บ้านเมืองของเจ้า ใยผู้ชายจึงทำอาหาร ผู้หญิงมิต้องไปรบทัพจับศึกรึ” เป็นอีกครั้งที่เขายิ้มทีเล่นทีจริง ท่าทางหมอนี่จะขี้เล่นไม่เบา เพียงแต่ตำแหน่ง หน้าที่วัฒนธรรมละมั้งถึงทำให้มันแก่แดดแก่ลม
“จะบ้ารึไง สมัยชั้น ชายหญิงเท่าเทียมกัน อ้อแล้วจะพูดให้นายเข้าใจ บ้านเมืองของเจ้าตอนนี้ ก็อันเดียวกับบ้านเมืองของเราในอนาคตแหละ ไม่ต้องมาหัวเราะเยาะ”
เราเดินผ่านดงดอกพุดซ้อนสีขาวที่บานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมเย็นไปทั่วบริเวณ หลังพุ่มพุดซ้อนเป็นแนวรั้วบริเวณบ้านที่ผมถูกไล่ออกมาครั้งแรก
“ชั้นถามอะไรหน่อยสิ” ผมว่า “นายพอจะรู้อะไรเกี่ยวกับบ้านหลังนั้นบ้าง”
-
^
^
จิ้มก่อน
.
.
อิอิ~ สมกับเป็นเชฟจริงๆ ท่าทางจะชอบทำอาหารมากๆๆจริงๆแห๊ะ :impress2:
พี่จ๊ะ ต่ออีกหน่อยสิคะ นะ นะ นะ น๊าาาาาาาา :กอด1:
-
นายเอกเริ่มทำใจยอมรับสภาพแล้ว คุณหลวงคงจะให้อัชท์ช่วยงานแน่เลย
ภาษาปะกิตดีนี่นา ว่าแต่คุณหมอเจอร์ราดอะไรนั่นเมื่อไหร่จะมา
ต่อไปก็ได้เวลาแปลงโฉมนายเอกแล้วนะ
-
สมกับเป็นเชฟ ขนาดกลิ่นถ่านยังสามารถ o18 อยู่แบบสงบๆแบบนี้ไปได้เรื่อยๆก็ดีนะ
-
เริ่มสงบแล้วอัช ทีนี้ก็อย่าไปมีเรื่องอีกล่ะเน้อ
แต่แอบสงสัยกับคำพูดหลวงพินิจแห๊ะ?
-
กว่าจะยอมพูดจาภาษาคนได้ ถึงแม้จะดูไร้มารยาทก็ตามที สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล จริงๆ
-
อยากกินข้าวต้มปลาทูจัง
นายเอกเริ่มมีสติเเล้ว
รอตอนต่อไป นะครับบ :impress2:
เป็นกำลังใจให้คุณเซ็งเป็ด นะครับ :กอด1:
-
ปรับตัวได้แล้ว
อยากอ่านตอ่ กำลังสนุก
-
สมัยนี้เมืองนี้ผู้หญิงบางคนยังทำกับข้าวมิเป็นเลย หึหึ
-
บวกให้เบาๆ ขอมาตามอ่านด้วยคนนะ
เรื่องไหนพีเรียด เรื่องนั้นเป็นต้องติด อิอิ
-
อยากรู้ต่อแล้วแหละว่า เจ้าบ้าคนนี้ จะทำให้คนในยุคนั้นทึ่งในความสามารถด้านใด
-
แค่ข้าวต้มกับปลาทูทอดผมก็ว่าอร่อยแล้วนะ^^
แต่นี่ ข้าวต้มปลาทูสด ไม่เคยลอง
วันไหนว่างต้องลองทำกินดูซะแล้ว
เริ่มมีบรรยากาศชมนก ชมไม้และชมจันทร์แล้ว :o8:
กำลังอินเลย +1 ครับ
-
คงไม่ได้กลับไปอนาคตแล้วมั้งเนี่ย
-
อยากรู้ต่อแล้วแหละว่า เจ้าบ้าคนนี้ จะทำให้คนในยุคนั้นทึ่งในความสามารถด้านใด
รอดูด้วย
ปล. ข้าวต้มปลาทูสด อยากกินมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
-
เขียนซะหิวเลย
กรี๊ดดดดดดดดดหลวงพินิจ เค้าชอบหลวงพินิจ
กรุณามาต่อบ่อยๆๆด้วยนะเจ้าคะ มันสนุกมากและเริ่มติดแล้ว
ถ้าขี้เกียจมาต่อ ช่วยแต่งยังไงก็ได้ให้มันไม่สนุก จะได้ไม่งุ่นง่านตอนไม่ได้อ่านนะเจ้าคะ
ซี๊ดดดดดดดดด............เอาชายเสื้อขึ้นซับน้ำหมาก :o8:
-
กว่าจะหายบ้า เอ๊ะ หรือยังไม่หาย ทำเอาวุ่นวายกันหมด
เข้ามาติดตามต่อจ้า
-
มาต่อสั้นจัง
อยากอ่านอีกอ่ะ
-
ไงล่ะ นักเรียน le Gordon blu เจอกับภูมิปัญญาก้นครัวไทยเรา มีอึ้ง
-
ก็ให้พ่อเชฟของเราแสดงฝีมือในการทำอาหารเลยสิ
เขาจะได้ยอมรับ
อิอิ
รอตอนต่อไปนะ
เป็นกำลังใจจ้า
สู้ๆ นะจ้ะ
-
แหะๆ เพิ่งโซ้ยข้าวต้มปลาเสร็จไปแน่ะ แต่ไม่รู้ว่าปลาอะไร :try2:
หนูอัชแม่ศรีเรือนเอาเรื่องนะเนี่ย!!
-
สมัยนี้ งานบ้านงานเรือน ผู้ชายทำทานผู้หญิงแล้วเจ้าค่ะ
-
อยากรู้ต่อแล้วแหละว่า เจ้าบ้าคนนี้ จะทำให้คนในยุคนั้นทึ่งในความสามารถด้านใด
รอดูด้วย
ปล. ข้าวต้มปลาทูสด อยากกินมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
นั่นสิๆๆ ไอก็รอดูอยู่เหมือนกันนนนนนนนนน
ปล.น่ากินเนอะ
-
หุหุ ลุ้นอะ
-
อ่านแล้วอย่างกับได้กลิ่นลอยตามมาด้วย
น้ำลายไหลหยดสองแหมะ..
อืม.. อยากกิน~
-
ผมยืนมองบ้านหลังนั้นที่ตั้งตระหง่านอยู่ในหมู่แมกไม้ต้นที่มีดอกสีขาวบานสะพรั่ง นี่เหรอบ้านที่ยายผมเล่าให้ฟังบ่อยๆว่าแม่ของยายเคยวิ่งเล่นและเจอเรื่องประหลาดที่นั่น บ้านผมตอนนี้ดูอบอุ่นและเป็น”บ้าน” มากกว่าตอนที่ผมอยู่เสียอีก
“เรือนหลังนั้นน่ะหรือ” หลวงพินิจมอง “เราเองก็มิใคร่จะรู้เรื่องราวมากนักดอก เพราะเรือนหลังนั้นเป็นเรือนต้องห้ามสำหรับชายสามัญ”
“เรือนต้องห้ามเหรอ” ผมย้อนถามสีหน้าแปลกใจ
“ใช่ เรือนหลังนั้นเป็นเรือนของนางต้นเครื่อง มีหน้าที่ดูแลสำรับกับข้าวในวัง” หมอนั่นเดินเข้ามาใกล้
“ถ้าเราจำมิผิด เรือนหลังนั้น มีคุณชั้นเป็นเจ้าของ”
“คุณชั้น” ผมเปรยกับตัวเอง ชื่อนี้เหมือนชื่อของ.................
“ใช่ คุณชั้นเป็นข้าหลวงเรือนนอก ตอนยังสาวคุณชั้นเป็นสาวชาววัง มีหน้าที่ทำอาหารถวาย “ที่บน” แต่ต่อมาสมรสแล้วย้ายตามสามีมาอยู่เรือนหลังนี้ แต่ยังคงส่งสำรับกับข้าวให้เจ้านายมิเคยขาด” ผมตั้งใจฟังหลวงพินิจเล่ารายละเอียดอย่างตั้งใจ
“คุณชั้นมีรสมือในการทำอาหารเป็นที่ร่ำลือไปทั้งบาง โดยเฉพาะกล้วยเชื่อม เธอมีฝีมือในการฝานกล้วยหักมุก ลงกระทะแล้วเชื่อม คราหนึ่งเมื่อ หมอเจอราทป่วย เรือนคุณชั้นได้ส่งกล้วยเชื่อมเป็นของเยี่ยม หมอเจอราทได้ลิ้มรสก็เอ่ยปากชมมิได้ขาด เราเองก็พลอยได้อานิสงศ์ไปด้วย และเห็นพ้องกับหมอเจอราทว่า กล้วยเชื่อมคุณชั้น หาที่ไหนเทียบชั้นมิได้จริงๆ”
“แหม นี่ขนาดไม่ค่อยรู้เรื่องนะ เป็นเรื่องเป็นราวเชียว” ผมพูดแซว
ผมยืนฟังหลวงพินิจเล่าเรื่องบ้านหลังนั้นให้ฟังอย่างตั้งใจ ความรู้สึกภูมิใจเกิดขึ้นลึกๆในใจ มันบอกไม่ถูกว่าทำไมต้องภูมิใจด้วย
“แล้วทำไมบ้านนั้นถึงไม่ต้อนรับผู้ชายหล่ะ”
“คงเปนเพราะกันมิให้รบกวนพวกแม่ครัวทำอาหาร หรือไม่อย่างนั้นก็อาจกันมิให้สูตรอาหารเล็ดลอดออกสู่ภายนอกกระมัง”
“ทำยังไงชั้นถึงจะเข้าบ้านหลังนั้นได้อีกล่ะ ที่นั่นน่าจะตอบคำถามชั้นได้ว่า ชั้นมาโผล่ที่นี่ได้ยังไง”
“ดูทีจะมิใช่การง่ายนัก หากหลวงทราบเรื่องเจ้าจะลำบาก เอาเปนว่า เราจักหาวิธีตรองดู” เขายิ้ม ผมยิ้มตอบ รู้สึกดีนิดๆที่มีเพื่อนคอยช่วยแก้ปัญหา
.........
.........
........
“นายไม่มีชื่อที่เรียกง่ายๆกว่านี้แล้วเหรอ พ่อหลวงพินิจ ศิษย์หลวงพ่อปากแดง” ผมแซวเมื่ออารมณ์เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น
“ปีย์”...................”เรียกเราปีย์เถิด”
“อืม ชื่อแปลกดี แล้วทำไมนายถึงดูไม่เหมือนคนไทยหล่ะ เหมือนพวกลูกครึ่ง” ผมถาม เพราะชายคนนี้รูปร่างหน้าตาผิวพรรณผิดแผกไปจากคนอื่น พวกคนใช้ หรือคนไทยคนอื่นจะตัวเล็ก แคระเกร็น ผอมแห้งไว้ผมทรงแซกกหลางมหาดไทย ฟันก็ดำปี๋ แต่หมอนี่ดูผิดไป เค้าโครงเขาดูเหมือนพวกฝรั่ง ผมออกสีน้ำตาลเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน และที่ผมสะดุดตาครั้งแรกที่เจอก็คือ นัยย์ตา เขามีนัยย์ตาสีน้ำอ่อนที่สวยจริงๆ
“บิดาเราเป็นชาวเปอร์เซีย ล่องเรือมากับชาวบริเตนเพื่อทำการค้าขายเครื่องหนังที่นี่ ส่วนมารดาเป็นนางรับใช้เรือนหมอบรัดเลย์”
“หมอบรัดเลย์เหรอ” ผมพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินชื่อคนสมัยนี้แล้วผมรู้จัก
“เจ้ารู้จักหมอบรัดเลย์กระนั้นรึ” หมอนั่นทำท่าประหลาดใจ
“รู้สิ ถ้าหมอบรัดเลย์ที่นายว่าหมายถึง หมอเอมริกัน ถึงชั้นจะไม่เอาไหนในวิชาประวัติศาตร์ไทย แต่ชั้นก็จำชื่อหมอบรัดเลย์ได้ หมอคนนี้เป็นมิชชันนารีหมอชาวนิวยอร์กที่ถูกส่งมาเมืองไทย และก็............”ผมทำท่าย้อนอดีต ก็มันนานแล้วนี่นาเรียนมาตั้งแต่ ม.ปลาย
“และก็รู้สึกว่าจะเป็นหมอคนแรกที่ผ่าตัดในประเทศไทย แล้วก็เป็นหมอคนแรกที่ปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษได้สำเร็จ แล้วก็จัดตั้งโรงพิมพ์ มีหนังสือพิมพ์ด้วยนะชื่อ..............”
“บางกอกรีคอเดอร์!!!” เราพูดขึ้นมาพร้อมกัน ผมมองหน้าปีย์ มันก็มองหน้าผม เราต่างประหลาดใจที่พูดเรื่องราวเดียวกันในยุคสมัยที่แตกต่างกัน
“นายรู้จักด้วย” ผมแสดงอาการตื่นเต้นอย่างออกนอกหน้า ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์ท่องแทบตายตอนสอบ
“แล้วตอนนี้หมอบรัดเลย์ท่านอยู่ที่ไหน ชั้นอยากจะเจอ คงแปลกดีพิลึกนะ” ผมนึกตื่นเต้น
“หมอบรัดเลย์ท่านสิ้นชีวิตไปเมื่อ 19 ปีที่แล้ว” หมอนั่นบอก ผมนิ่งไปพักใหญ่ นึกสับสนกับปีที่ตัวเองอยู่ตอนนี้
“เจ้ารู้เรื่องราวอันใดของสยามอีกกระนั้นรึ จงเล่าความให้เราฟังเถิด” เขาทำท่ากระตือรือร้นอยากรู้ ผมนิ่งนึก แวบแรกที่คิดถึงในสมัยพระพุทธเจ้าหลวงก็คือการเลิกทาศและ......................การเสียดินแดน
“โอ้ย ไม่รู้หรอก ใครจะไปจำได้ เยอะแยะมากมาย ชั้นก็ใช่จะเก่งประวัตศาสตร์ไทยซะเมื่อไหร่หล่ะ” ผมแกล้งเฉไฉ เพราะคิดในใจว่า มันจะสมควรแล้วเหรอ ที่เอาเรื่องในอนาคตมาบอก ถ้าผมบอกอะไรออกไป ปัจจุบันตอนนี้มันจะเปลี่ยนไปมั๊ย แล้วจะส่งผลอะไรกับอนาคตของผม เผลอๆบางทีอาจทำให้ผมติดแหง็กอยู่ที่นี่ไปตลอดชาติก็ได้
“เร่งกลับเรือนเถิด ล่วงเวลาอาหารเย็นมากโข เดี๋ยวบ่าวไพร่จะเสียการเสียงานอื่น” หมอนั่นพูด
แสงแดดยามเย็นค่อยๆลับหายไป ผมแหงนมองขึ้นฟ้าเห็นพระจันทร์ดวงกลมโตอยู่เบื้องบน
“ดวงจันทร์ดวงนี้.............จะใช่ดวงจันทร์ดวงที่บ้านรึปล่าวนะ”
(http://upic.me/i/bu/bradley.jpg)...
ระหว่างทางเดินกลับเรือนผมได้ซักถามอะไรอีกมากมายจากหมอนั่น เขาเล่าเรื่องราวของตนเองให้ผมฟัง ผมถามหมอนั่นว่าไปเรียนภาษาอังกฤษมาจากไหน
“เราเรียนมาจากหมอเจอราทตั้งแต่ยังเด็ก ท่านเป็นชาวบริเตนในพระนคร เพียงคนเดียวเท่านั้นเสียกระมัง ที่รักสยามเหมือนบ้านเกิดเมืองนอน”
หมอนั่นตอบ ผมนึกสงสัยว่าทำไมหมอเจอราทจึงเป็นคนอังกฤษคนเดียวที่รักสยาม
“ชาวบริเตนคนอื่นเข้ามาสยามเพื่อกอบโกยและเผยแพร่คริตศาสนาเพียงเท่านั้น หาได้มีความหวังดีกับสยามเยี่ยงหมอเจอราทไม่ ในชีวิตเรา นับถือหมออยู่สองคนเพียงเท่านั้น คือหมอบรัดเลย์ และหมอเจอราท”
ผมยิ้มในใจเมื่อเห็นแววตาที่มุ่งมันของชายผู้นี้ ท่าทางของเขาจะมีอายุไม่ต่างจากผมสักเท่าไหร่หรอก แต่ทำไมน้อ หมอนั่นถึงได้ดูเป็นผู้ใหญ่ และดูมั่นคงทางอารมณ์มากกว่าผมหลายขุม น่าอายแม่งจริงๆ
“งั้นนายก็เป็นหมอน่ะสิ” ผมถาม
“ถ้าเจ้าจะให้เกียรติเรียกเราเช่นนั้น เราก็ยินดี”
“เออ งั้นชั้นเรียกนายว่า หมอปีย์แล้วกันนะ” ผมยิ้ม
“แต่เราขอเรียกเจ้าว่าเจ้าบ้า.............เหมือนเดิม” หมอนั่นยิ้มตอบ ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินขึ้นเรือนไป
“เฮ้ย ไม่ได้นะเว้ย ไม่ได้ ชั้นมีชื่อนะ จะมาเรียกแบบนั้นไม่ได้นะเว้ย หยุดมาคุยกันก่อนสิวะ” ผมตะโกน
ผมถูกย้ายห้องนอนที่เดิมเป็นห้องของหมอนั่น มาเป็นห้องเล็กๆ ที่อยู่อีกฝากหนึ่งของเรือน ภายในห้องมีเพียงเตียงไม้ ที่มีเสาสี่เสาพร้อมมุ้งสายบัวที่ถูกพับขึ้น บนเตียงมีหมอนสีฟ้าปลอกทำมาจากผ้าฝ้ายทอ ผ้าห่มถูกพับไว้อย่างปราณีตที่ปลายเตียง ส่วนผ้าปูนั้นทำมาจากผ้าแพร หัวเตียงมีโต๊ะวางหนังสือตัวเล็กพร้อมตะเกียง
“เจ๊ โทษนะ ในนี้มีห้องน้ำในตัวป่าว” ผมถามแม่บ้านคนหนึ่งที่อาสายกเสื้อผ้าของหมอปีย์มาให้ หล่อนคนนี้ดูท่าทางแก่นเซี้ยวไม่เบา ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ออกแนว อ้น ศรีพรรณ
“ห้องน้ำคืออันใด” หล่อนตอบสีหน้านิ่งเฉย ปากเคี้ยวหมากจับๆ
“ห้องน้ำก็...........” โอ้ยผมละเซ็งกับคนที่นี่ เฮ้ย ไม่สิ เซ็งกับตัวเองจริงๆ ที่ดั๊นมาอยู่ผิดที่ผิดทาง จะพูดจะสื่อสารอะไรแต่ละอย่างก็ลำบากลำบน
“ห้องน้ำก็ห้องที่เข้าเอาไว้ขี้ ไว้เยี่ยว ไว้อาบน้ำไง” ผมอธิบายอย่างตรงไปตรงมาที่สุด
“อ้อ ท่าจะเป็น “เวจ” เสียกระมัง” หล่อนพูดเบาๆ ขณะที่กำลังจัดเสื้อผ้าใส่ตู้ให้ผม “ลงเรือนนี้ไป อยู่ติดริมน้ำกระนู้นนนนนนน” เจ๊ทำเสียงลากยาว ปากจู๋ ก่อนจะชี้ออกมาทางด้านหลังผม
“แล้วถ้าชั้นจะอาบน้ำหล่ะ”
“วุ้ย เรื่องมากจริงๆ เจ้าบ้านี่” อ้าวๆ เดี๋ยวปัดดึงผ้าแถบออกเลย
“ก็อาบมันตรงเวจนั่นแหละ แกชอบตรงไหนก็อาบเอาตามใจเถิด ประเดี๋ยวจะถึงเวลาอาหารค่ำ คุณหลวงท่านจะไม่รอเอา”
“เออ รู้แล้วน่า” ผมว่าพลางถอดเสื้อออก พร้อมกับกางเกง เหลือแต่ กางเกงในตัวเดียวที่ใส่มาตั้งแต่ตอนมาที่นี่
“หยิบผ้าให้หน่อยสิ” ผมเดินไปยืนข้างหลังเจ๊ฟันดำ แกหยิบผ้าขาวม้า ผืนใหม่ ก่อนหันมาจะยื่นให้ผม
ทันทีที่เธอหันมา เสียงกรีดร้องก็ดังลั่นขึ้น
“ว้ายยยยยยย เปรต เปรต” เธอร้องพลางทิ้งผ้าขนหนูเอามือปิดตา ขาสั่นกระทบพื้นบ้านพั่บๆ “ผีเปรตเจ้าข้าเอ้ย ช่วยลูกช้างด้วย ผีเปรต”
ผมตกใจหน้าซีด รีบหยิบผ้าขาวม้ามาปิดก่อนจะกระโดดลงนั่งกอดเจ๊ฟันดำแน่น
“ไหนๆ เปรตอยู่ไหน” ผมหันซ้ายหันขวา ตกใจด้วยความกลัวผีขึ้นสมองโดยกำเนิด เจ๊ฟันดำเห็นผมกอดแน่น แกก็ลืมตาขึ้นดูกลับกรี๊ดหนักกว่าเดิม
“แหว๊กกกกกกกกกกก คุณพระคุณเจ้าช่วยอีอ่ำ ด้วยเจ้าค่า ผีเปรตจะเข้าสิงอีอ่ำแล้วเจ้าค่า..........”แกตะโกนเสียงสั่น แต่ ยิ่งเจ๊แกตะโกนมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งตกใจกลัวกอดแกแน่นมากแค่นั้น เจ๊แกกรีดๆ ดิ้นไปดิ้นมา ผมก็ไม่ยอมให้แกหนี ตาก็มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความกลัว เจ๊แกกรีดร้องอยู่ไม่นาน แกก็ชักกระตุกๆ ตาเหลือก ลิ้นแลบออกมาก่อนจะหมดสติไป.......................
เจ๊อ่ำฟันดำถูกหามออกไปปฐมพยาบาลในสภาพน้ำลายฟูมปากชักแหง๊กๆ นายสนเดินมาถามว่าเกิดเรื่องอะไร ผมก็เล่าให้ฟัง
“เจ้านี่มันบ้าเสียจริง อีอ่ำมันมิได้ตกใจตื่นเพราะเห็นผีเปรตดอก มันตกใจที่เห็นเจ้าแก้ผ้าโทงๆตะหาก” สนอธิบาย
“อ้าว งั้นหรอกเหรอ โธ่ นึกว่าเห็นผี กลัวแทบตาย .........คนที่นี่นี่ Acting ยอดเยี่ยมจริงๆ น่าจะไปเป็นดารานะ จ้างห้าร้อยเล่นไปแสนแปด”
ผมบ่นพึมพำตามประสา นุ่งผ้าขาวม้า พาดผ้าอีกผืนไว้บนบ่า มือถือตะเกียงเจ้าพายุ เดินตรงไปยัง “เวจ” ที่เจ๊ฟันดำบอก
“ไหนวะ ส้วมน่ะ ปวดขี้ชิบหายแล้ว” ผมเดินหา เวจ ที่เจ๊นั่นบอกไม่เจอ ตอนนี้ข้าศึกก็บุกมาประชิดด่าน เอาท่อนไม้กระทุ้งประตูอยู่เนืองๆ
“อูยๆ” ผมส่งเสียงเราเบาๆ พริ้วๆ ก่อนจะเดินตรงไปที่แม่น้ำ
“หรือจะเป็นนั่นวะ” ผมเพ่งมองสิ่งก่อสร้างเพียงแห่งเดียวบริเวณนั้น มันเป็นไม้กระดานขนาดสี่เหลี่ยมที่เอามาปลูกเป็นหลังโดยที่หลังคามุงด้วยทางมะพร้าว รอบๆเต็มไปด้วยกอใบเตยใบเท่าแขน
“เนี๊ยะอ่ะนะ เวจ!!!” ผมอุทานอย่างผิดหวังอย่างแรง
“โอ้ย นี่มันส้วมหรือเล้าเป็ดวะเนี๊ยะ” ผมพูดก่อนจะเอื้อมมือไปผลักประตู
“ผ่างงงงงงงงงงงงงง”
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด” ผมกรีดร้องอยู่ในใจเนื่องจากไม่สามารถส่งเสียงออกมาทางปากได้ เพราะกลัวขี้แตก
ภาพที่เห็นเบื้องหน้าเป็นลานดินที่กั้นด้วยไม้กระดานเป็นสี่เหลี่ยมขนาดพอดีสองคนอยู่ข้างใน เมื่อก้มลงมองก็จะพบกับความจริงที่ว่า
“นี่หรือคือชีวิต”
เพราะภาพเบื้องหน้าเป็นหลุมขนาดใหญ่ที่ขุดไว้โดยมีโอ่งฝังลงไป ปากโอ่งนั้นถูกปิดไว้ด้วยไม้กระดานแยกออกจากกันเหลือพื้นที่ตรงกลางปากโอ่ง คงไม่ต้องใช้สูตรเคมีใดๆก็พอเดาออกว่ามันเอาไว้ทำอะไร ซ้ายมือก็จะเห็นเข่งหรือภาชนะอะไรสักอย่างที่ทำด้วยไม้ไผ่ ภายในนั้นบรรจุเต็มไปด้วย ใบตองแห้งและ...........กาบมะพร้าว
ผมยืนตัวสั่นเทา สยดสยองกับภาพเบื้องหน้า มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาอุดปาก ก่อนที่ผมจะกัดเล็บปากสั่น
“โอ้ ไม่นะ ไม่จริง ชั้นมาทำอะไรที่นี่” ผมคิด สั่นหัวไปมารับความจริงตรงหน้าไม่ได้
“ไม่มีทาง ไม่มีทางที่กูจะขี้ตรงนี้ ไม่มีทางที่กูจะขึ้นไปเหยียบบนปากโอ่งนั่น ถ้าไม้กระดานหักขึ้นมา มีหวังกูไม่กลายเป็น เชฟชุบทองรึไง แล้วยังจะให้เอากาบมะพร้าวมาเช็ดตูดอีก บรื๋ออออ” เมื่อนึกถึงภาพนั้น ผมถึงกับเบือนหน้าหนี รับไม่ได้กับความโหดร้ายทารุณที่จะเกิดกับก้นของผม
“ไม่มีทางให้ตายก็ไม่ขี้” ผมตัดสินใจเลือกทางเดินด้วยแต่เองโดยการหันหลังกลับ
“ปุด ปูดด ปูดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด” แต่มันไม่ทันการณ์แล้วตอนนี้ ข้าศึกกำลังพังด่านออกมาแล้ว นายกองกำลังนำทัพออกมาแล้วววว
“ไม่”
“ปูด”
“ไม่”
“ปูดดดดดดดดด”
“ไม่”
“ปูดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”
“ไม่........................ไม่ไหวแล้วโว้ยยยยยย” ท้ายที่สุด ผมก็หนีชะตากรรมครั้งนี้ไปไม่พ้น
...
“มิไปเยี่ยมอาการอีอ่ำมันหน่อยรึ ได้ยินมาว่าอาการปางตาย” หมอนั่นแซวขณะที่นั่งรอผมกินข้าวอยู่กลางเรือน ที่บริเวณนั้นถูกทำเป็นศาลาหลังเล็กๆ
ผมเดินมาอย่างช้าๆระมัดระวัง
“นั่นเจ้าไปโดนอะไรมารึ ทำไมถึงได้เดินขาถ่างเยี่ยงนั้น” หมอนั่นอมยิ้ม กลั้นหัวเราะ ผมรู้ว่ามันต้องรู้แน่ๆว่าเกิดอะไรขึ้น
“เจ้านี่มันบ้าสมกับชื่อเจ้าเสียจริง” แล้วเขาก็หัวเราะออกมาเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นหมอนั่นหัวเราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ผมค่อยๆเดินมาก่อนจะระมัดระวังในการหย่อนตูดลงนั่ง
“ยังมีหน้าจะมาหัวเราะอีก นี่บ้านเมืองนายตอนนี้เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน รึไง ยังไม่มีส้วมอีกเหรอ ฉันนึกว่าสมัยนี้เขามีส้วมใช้กันแล้ว ” ผมบ่น
“มี” หมอปีย์ตอบ
“หา มี” ผมทำหน้าตื่น
“ใช่ อยู่หลังเรือน เวจที่เจ้าใช้นั้นเป็นของบ่าวไพร่มัน อีอ่ำมันมิรู้ความ ฟังได้แค่นั้นก็กระเดียดคิดเสียว่าเจ้าถามถึงเวจที่พวกมันใช้ขี้ใช้เยี่ยว”
ผมหันไปมองเจ๊อ่ำ ที่นั่งดมยาอยู่ข้างๆ สายตาเขียวปัด แกสบตาผมก่อนจะทำท่าชักกะเด่วๆอีกรอบ
“ทานอาหารเถิดพ่อ นี่ก็เลยเวลามาโขแล้ว”
ผมมองสำรับอาหารที่วางไว้บนถาด ภายในนั้นนั้นมีอาหารที่ผมไม่รู้จักอยู่หลายชนิด แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะตอนนี้ผมหิวใส้จะขาด ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น คว้าช้อนหมับ โซ้ยแหลก................
...
-
ค่ำคืนของที่นี่มืดมิดไปทั่วทุกทาง มีบางครั้งที่ผมเห็นแสงไฟริบหรี่จากที่ไหนสักแห่งไกลลิบ เสียงจักจั่นเรไร ส่งเสียงร่ำไปทั่วบริเวณ ที่นี่คือบ้านของผมจริงๆเหรอ
ทำไมความรู้สึกว่าบ้านถึงได้ห่างไกลจนเกินบรรยายอย่างนี้ ในครั้งที่ผมอยู่ออสเตรเลีย ผมยังพอคาดเดาได้ว่าบ้านอยู่ที่ไหน แต่นี่ ทั้งๆที่มันก็อยู่ที่เดิม แต่ผมกลับรู้สึกว่าที่นี่ไม่ใช่........บ้าน
“คิดถึงบ้านหรือพ่อ ทำไมมายืนตากน้ำค้างอยู่เยี่ยงนี้ ” หลวงพินิจเดินมาสมทบ ก่อนที่เขาจะทอดแขนวางลงบนระเบียงที่ยื่นออกมารับลมจากตัวเรือน
“ไม่รู้สิ” ผมตอบ ในห้วงความคิดกำลังรวบรวมคำพูดที่เหมาะสม
“นายเคยคิดว่า ตัวเองไม่เคยอยู่ในที่ที่เหมาะสมเลยสักครั้ง รึปล่าว.....เคยคิดว่า ตัวเองเกิดมาทำไม....รึปล่าว”
“ทำไมเจ้าถึงคิดเยี่ยงนั้น ไหนเจ้าเคยบอกเรามิใช่รึว่าที่นี่คือบ้านของเจ้า”
ผมหันหน้ามองมองหมอปีย์ด้วยสายตาว่างเปล่า ไร้ความหมาย
“ชั้น..........”ผมเว้นจังหวะ “มาจากปี พ.ศ. 2553 ซึ่งเป็นปีในอนาคตของที่นี่ อย่างที่ชั้นเคยบอกว่าชั้น.........ย้อนอดีตมา”
หมอนั่นยืนนิ่งยังคงไม่พูดอะไร ท่าทีแบบนั้นนั่นเองทำให้ผมคาดเดาไม่ออกว่าจริงๆแล้วเขาเชื่อในสิ่งที่ผมพูดรึเปล่า
“ที่นั่น...”ผมชี้ไปที่เรือนคุณชั้น “คือบ้านของชั้น บ้านที่ชั้นรู้สึกมาตลอดว่ามันไม่ใช่ที่ที่ชั้นควรจะอยู่ ชั้นถูกส่งไปเรียนที่ออสเตรเลีย” ผมหันไปมองหน้าหมอปีย์ เขาทำท่างง
“ซึ่งห่างไกลจากที่นี่ หากในสมัยนายคงใช้เวลาเดินทางนานนับเดือน แต่นั่นก็ยิ่งกลับทำให้ชั้นคิดว่าพ่อแม่ไม่รักชั้น ไม่มีใครรักชั้น ทุกคนผลักไสไล่ส่งชั้นไปไกลๆ”
ผมกลืนน้ำลายลงคอ แต่หากพูดอีกที ผมกล้ำกลืนความรู้สึกขมขื่นที่อยู่ในใจมาตลอดลงไปต่างหาก
“แล้วตอนนี้ ดูชั้นสิ ว่าชั้นอยู่ที่ไหน.........................แม้แต่โลกปัจจัของชั้นยังไม่อยากให้ชั้นอยู่เลย” ผมแสร้งหัวเราะกลบเกลื่อน
“ชั้นจบด้านอาหารตะวันตกมา หมายถึง.....เกือบจะน่ะนะ ตั้งใจว่าจะเปิดร้านอาหารฝรั่งแทนที่ร้านอาหารไทยที่ใกล้จะเจ๊งเต็มทน แต่แม่ไม่เห็นด้วย เราทะเลาะกันบ่อยครั้งในเรื่องนี้” หมอปีย์นั่งลง แววตาของเขากระทบกับแสงตะเกียงเป็นประกายงดงามจนผม............ไม่กล้ามอง
“พ่ออัทช์” นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเรียกชื่อผม “หากเจ้าว่าเจ้ามาจากอนาคต ไหนเจ้าลองเล่าให้เราฟังเถิด ว่าบ้านเมืองสยามครานั้นเป็นเยี่ยงไรบ้าง” เขาแสดงท่าทางสนใจ
“บ้านเมืองตอนนั้น” ผมทำท่าครุ่นคิด “ เจริญก้าวหน้ามาก เรามีตึกใหญ่โตสูงระฟ้า ทุกอย่างเปลี่ยนไป เราเดินทางได้เร็วโดยรถยนต์ เราบินได้ด้วยเครื่องบิน เราไปอังกฤษได้ภายในเวลาเพียงชั่วคืน เราติดต่อกันได้แค่ใจนึก ที่นั่น เรามีโรงหนัง มีไฟฟ้า มีที่ที่เราเต้นรำมากมาย ลูกหลานของนาย ไม่ใช่สิ ของเราแต่งตัวแบบฝรั่ง คิดแบบฝรั่ง กิน อยู่แบบฝรั่ง”
“เราตกเปนเมืองขึ้นของพวกบริเตนรึพ่อ” หมอปีย์ทำท่าตกใจ
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก เรายังคงเป็นเรา ยังคงเป็นสยาม ถึงแม้จะเล็กลง แต่ถึงแม้เราจะไม่ตกเป็นอาณานิคมของตะวันตกในทางการเมือง แต่สำหรับชั้น” ผมเว้นช่วง
“พวกนั้นชนะ” ผมยิ้มเจื่อนๆก่อนจะนั่งลงใกล้ไหมอปีย์
“เยี่ยงไรรึ”
“เราถูกกลืนกินวัฒนธรรม เรากินแบบเค้า ยอมเข้าแถวยาวนับชั่วโมงๆเพื่อยืนรอซื้อขนมวงๆที่เรียกว่า โดนัท ยอมควักเงินเป็นพันเป็นหมื่นเพื่อกินอาหารจากตะวันตก ในสมัยเราขนมไทยและอาหารไทยถือเป็นของเกลื่อนกลาดดาษดื่น ไม่มีใครสนใจจะต่อแถวซื้อ หรือกิน” ผมยิ้มอีกครั้ง คำพูดคำนี้เหมือนเป็นการตบหน้าตัวเองอย่างแรง เพราะจริงๆ ผมก็ร่ำเรียนอาหารฝรั่ง และคิดจะปิดตำนานร้านอาหารไทยรุ่นทวดเพื่อเปิดร้านอาหารฝรั่ง........ไม่ใช่เหรอ
“เราอยู่แบบเค้า ในสมัยเราที่ดินแพงกว่าทอง พวกเราจะอยู่บนฟ้า”
“เจ้าจะบ้ารึ มนุษย์ธรรมดาจะอยู่บนฟ้าได้อย่างไร” หมอนั่นส่งเสียงประหลาดใจ
“ฟังก่อนสิ ที่ชั้นบอกว่าเราอยู่บนฟ้านั่นก็เพราะ เราอยู่ที่สูง หรือที่สมัยชั้นเรียก “คอนโด” ไงหล่ะ”
“นอกจากลูกหลานเราจะรับวัฒนธรรมของตะวันตกแล้ว เรายังตกเป็นเมืองขึ้นทางวัฒนธรรมของเพื่อนบ้านที่สมัยหนึ่ง หรือในสมัยนายนี่แหละ เคยล้าหลัง ยากเข็ญและแร้นแค้นกว่าสยามหลายเท่านัก นั่นก็คือเกาหลี”
“เราอยากเป็นเค้า และก็ปฏิเสธที่จะเป็นเรา” ผมย้ำคำ
“ไหนเจ้าบอกว่า สยามมิตกเปนเมืองขึ้นใครยังไงเล่า แล้วพวกเรานับถือชาติใด บริเตน-ไอยิแลนด์ ฝรั่งเศส ฮอลันดา หรือ เกา....หลี”
“เรานับถือทุกประเทศ ยกเว้นตัวเราเอง”
“แล้วในสมัยนั้น เรายังต้องรบพุ่งกับผู้รุกรานอีกหรือไม่” หมอปีย์ทำราวกับว่า เรื่องที่ผมเล่าเป็นนิทานก่อนนอนที่ตื่นเต้นจนทำให้นอนไม่หลับ
“สมัยชั้นเหรอ...................ไม่มีแล้วหล่ะ สมัยชั้นเขาไม่รบกันด้วยกำลัง แต่เขารบกันด้วย..............อำนาจและเงินตรา”
หมอนั่นทำหน้างงอีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
“แต่ถึงแม้เราจะไม่รบกับชาติอื่น แต่มีสิ่งหนึ่งที่ถ้านายรู้แล้ว อาจทำให้นายต้องเสียน้ำตา.............เหมือนที่คนในสมัยชั้นพูดกันว่า .......ถ้าบรรพบุรุษเรารู้ พวกเขาจะเสียใจแค่ไหน”
“มีเรื่องอันใดร้ายแรงรึ” น้ำเสียงของเขาตื่นเต้น
“เรา................ฆ่ากันเอง” ผมขนลุกทันทีที่พูดคำนี้ ทุกอย่างเงียบสงัด หมอปีย์ นิ่ง อ้าปากค้างกับสิ่งที่ผมพูด ดูเหมือนเขาไม่อยากจะเชื่อมันสักเท่าไหร่
“ไม่มีพม่ามาเผาบ้านเมืองเราอีกแล้ว แต่เรา...........เผาบ้านเราเอง” น้ำตาเริ่มคลอ ผมรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของหมอปีย์
“เกิดเหตุการณ์อันใดทำให้สยามลุกเป็นไฟเยี่ยงนั้นรึพ่อ” หมอปีย์ทำท่าร้อนรน
“ชั้นก็ไมเรื่องราวที่จริงแท้นักหรอก เพราะตอนนั้นชั้นอยู่ออสเตรเลีย แต่เท่าที่พอจะรู้ ก็น่าจะเกี่ยวกับการเมือง ความไม่เห็นด้วยระหว่างคนสองฝ่าย” ผมเล่าถึงเหตุการณ์ที่รับรู้มาเพียงน้อยนิด
“มีใครบังอาจมิเห็นด้วยกับพระเจ้าแผ่นดินรึ พ่ออัทช์” หมอปีย์ยกมือไหว้
“ไม่ใช่พระเจ้าแผ่นดินหรอก แต่เป็นเรื่องนักการเมือง”
“นักการเมืองหรือ”
“ใช่นักการเมือง สมัยชั้น เรามีนายกแทน พระกลาโหม เราเปลี่ยนแปลงการปกครอง”
“เปลี่ยนเป็นอันใดรึ”
“เปลี่ยนเป็น..............ประชาธิปไตย”
หน้าของหมอนั่นมีแต่เครื่องหมายคำถาม ผมไม่ได้คาดหวังให้เขาเข้าใจทุกสิ่งที่ผมพูดหรอก เพียงแค่อยากจะเล่าให้ฟังถึงความเป็นไปของบ้านเมืองเท่านั้น
“แล้วเรายังมีพระเจ้าแผ่นดินอยู่อีกหรือไม่” เสียงหมอปีย์กระซิบ
“แน่นอน เรามี และนี่คือสิ่งเดียวที่ทำให้เรายังเรียกประเทศที่เราอยู่ว่า........ประเทศไทย”
“ประเทศไทยรึ”
“ใช่..............ประเทศไทย”
** inspiration from Thaviphob.
-
ขอสมัครเป็นแฟนพันธุ์แท้ ด้วยคน
ชอบเรื่องย้อนยุคมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
-
โอย เศร้าแทนอัชเนอะ
ไปเรียนมาเมืองนอก แล้วเพิ่งมานึกได้ว่า ความเป็นไทยสำคัญขนาดไหน
แล้วเรื่องที่เล่าให้หลวงฯฟัง คงสะเทือนใจน่าดู
ปล. นั่งขี้ขาถ่าง o22
-
อ่านตอนนี้แล้วทั้ง :เฮ้อ: :m15: :monkeysad:
รักประเทศไทยมากมายอยากให้ใครหลายคนได้มาอ่านตอนนี้บ้างจัง
แม้จะรักไทย
แต่เรื่องวัฒนธรรมสู้ไม่ไหวจริงๆ
-
:serius2: :serius2: :serius2:
-
โฮกกกกกกกกกกกก ชอบเรื่องย้อนยุคจริงๆนะคะเนี่ย :-[
อ่านตอนที่เล่าเรื่องอนาคตแล้วขนลุกซู่--- จริงๆเถอะค่ะ ถ้ามีโอกาสได้ย้อนอดีตไปแบบนั้นบ้างจะขอรอยมาลัยกราบบรรพบุรุษของเรางามๆ แล้วไม่ขอเล่าเรื่องใดๆให้พวกท่านฟังเด็ดขาด :sad4:
-
อ่านแล้วก็อดพูดไม่ได้เป็นห่วง การเมืองเป็นเรื่องละเดียดอ่อนมาก ถ้าหากจะสอดแทรกเข้ามาในเรื่อง
ระวังนิดส์นึงแล้วกันค่ะ เจ้กลัวความคิดคนค่ะ แต่เนื้อเรื่องตอนล่าสุดสนุกน่าสนใจ ให้แง่คิดมากมาย
เจ้ชอบมากตรงประโยคที่กล่าวเรื่่องการกลืนวัฒนธรรมของตะวันตก มันตรงใจกับสิ่งที่เจ้คิดมากๆ
จิ้มจุ่มให้เลยค่ะ ชอบจริงๆ
-
ฮาตอน "เชฟชุบทอง" มาก ๆ คิดได้งัย
-
อ่านแล้วก็อดพูดไม่ได้เป็นห่วง การเมืองเป็นเรื่องละเดียดอ่อนมาก ถ้าหากจะสอดแทรกเข้ามาในเรื่อง
ระวังนิดส์นึงแล้วกันค่ะ เจ้กลัวความคิดคนค่ะ แต่เนื้อเรื่องตอนล่าสุดสนุกน่าสนใจ ให้แง่คิดมากมาย
เจ้ชอบมากตรงประโยคที่กล่าวเรื่่องการกลืนวัฒนธรรมของตะวันตก มันตรงใจกับสิ่งที่เจ้คิดมากๆ
จิ้มจุ่มให้เลยค่ะ ชอบจริงๆ
ขอบคุณครับ เจ๊ที่เป็นห่วง
ผมก็กลัวๆเหมือนกันว่าหลายๆคนจะเข้าใจผิด แต่ก็พยายามไม่ใส่ความเห็นส่วนตัวลงไปครับ
เพียงแค่จินตนาการว่า ถ้าคนๆหนึ่งที่ไม่ค่อยรู้เรื่องนี้ เล่าเรื่องนี้ให้คนในอดีตฟัง มันจะออกมาแนวไหน
และเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าจะเป็นประวัติศาสตร์สอนลูกหลานของเราอีกต่อไปในอนาคต เลยจับใส่เข้าไปน่ะครับ
แค่นั้นเองครับผม ไม่ได้มีเจตนาอื่นแอบแฝงนะครับผม
ขอออกตัวก่อน เพราะจริงๆ ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องนี้กะเขาเท่าไหร่เหมือนกัน 555
-
อ่านตอนนี้แล้วน้ำตาซึมนิดๆ รับรู้ว่ามันคือความจริง ซิกๆ อย่าเอาความจริงมาเขียนได้ไหมมันเศร้า TT^TT
-
อ่านตอนแรกก็ฮากระจายครับ..เป็นไงล่ะอัทซ์เจอกากมะพร้าวเข้าไป :jul3:
แต่ตอนช่วงท้ายทำเอาน้ำตาซึมขึ้นมาทันทีเลย...มันกินใจ :sad11:
-
ช่วงแรกอารมณ์นี้ >>> :m20: :laugh: :jul3:
ช่วงหลังอารมณ์เปลี๊ยนไป๋เป็นแบบนี้ >>> :m15: :sad4: :o12:
ตอนนี้สะท้อนสังคมได้ดีจริงๆ o13
-
“พอเถอะ ชั้นเครียด ทำไมชั้นต้องมายืนพูดอะไรที่นายไม่เชื่อด้วยเนี๊ยะ” ในที่สุดผมก็เปลี่ยนเรื่อง
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศมันเริ่มอึดอัดมากขึ้น ดูเหมือนหมอปีย์จะมีท่าทางประหลาดเมื่อรับรู้ในสิ่งที่ผมเล่า
“ถือซะว่าเรื่องที่ชั้นเล่า มันเป็นเรื่องไร้สาระแล้วกันนะ” ผมยิ้ม เงยหน้าไปสบตากับเขา เป็นจังหวะเดียวกับที่เขาหันมา
เมื่อสายตาผมจ้องมองเข้าไปในดวงตาของหมอนั่น ความรู้สึกประหลาดก็เกิดขึ้น ผมคุ้นเคยกับนัยย์ตาคู่นั้นอย่างประหลาด มันดูลึกลับ น่าค้นหา อ่อนโยน น่าเกรงขาม มันบอกไม่ถูก
“เหมือนชั้นเคยเห็นฉากนี้มาก่อน” ผมพูด เพราะรู้สึกว่า ณ วินาทีนี้มันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว
.
.
.
.
.
“เจ้าก็รู้สึกเหมือนกันรึ” หมอนั่นพูดออกมา ดูเหมือนเขาก็รู้สึกอะไรบางอย่างที่พิเศษขึ้นมาอีกเช่นกัน
“ถามอะไรหน่อยสิ” ผมหันหน้าเข้าหาหมอนั่น เสื้อทรงจีนผ้าลินินสีขาวที่บางพริ้วไหวไปมาตามสายลดที่พัดยามค่ำคืน
“ทำไม................นายถึง...............ยอมให้ชั้นมาอยู่บ้านหลังนี้”
“ถ้าเราบอกเจ้า เจ้าจะหาว่าเราบ้าหรือไม่”
ผมส่ายหน้า
“เรา.....................ฝันถึงชายแต่งกายประหลาดคล้ายเจ้า............ทุกค่ำคืน” ผมทำท่าเล๋อหลา
“บ้า”
“ในบางคืนเราจะฝันถึงชายผู้นั้นยาวนาน แต่บางคืนก็เพียงแค่แวบเห็น เรารู้สึกเหมือนเขามองหาเราอยู่ทุกเพลา ทั้งๆที่ในบางครา เรายืนหันหน้าเข้าหากัน แต่ชายผู้นั้นกลับมิเห็นเรา ”
“แล้วเอ่อ นายเห็นหน้าเขารึป่าว” ผมถาม
“ภาพมันเลือนลาง ใบหน้าของชายผู้นั้นเป็นเหมือนภาพเก่าแก่ ที่ใบหน้าเลือนหาย” น้ำเสียงของหมอนั่นทุ่มกังวาล บวกกับอากาศที่หนาวเย็นขึ้น ทำให้ผมเสียวสันหลังวาบๆ
“แล้วตอนนี้ นาย นาย เอ่อ ยังฝันถึงเขาอีกป่าววะ” ผมนึกกลัวผีขึ้นมาอีกแล้ว หันซ้ายหันขวาด้วยความระแวง ก่อนจะขยับไปชิดหมอนั่น
“เจ้าหนาวรึ เจ้าบ้า” เขาถาม
“เอ่อ อืม หนาวอ่ะ เนี๊ยะ สั่น สั่น” ผมแกล้งสั่นให้พอเป็นพิธี
“ข้าไม่นิมิตรถึงชายในเครื่องแต่งกายประหลาดผู้นั้นอีกเลย....................เมื่อพบเจ้า” เขายิ้มอย่างมีนัยยะ
รอยยิ้มนั้นดูน่าจักกะจี้
“อะไรๆ อย่ามองกันแบบนั้นสิเว้ย ขนลุก”
“ท่าทางเจ้าจะหนาวมาก เราให้บ่าวไพร่เอาผ้าห่มมาให้เจ้าดีหรือไม่”
“โอ้ยยยย ไม่เป็นไรหรอก” ผมส่ายหัว
“หรือไม่ หากเจ้าจะอนุญาตให้ข้ากอด ข้าก็ไม่รังเกียจดอก” หมอนั่นยิ้มประหลาดอีกแล้ว ดูท่าทางวันนี้มันจะเมายาสูบมาแน่ๆ
“จะบ้ารึ.....................” ผมถอยกรูดออกมา
“เราล้อเจ้าเล่นดอก” แล้วมันก็หัวเราะ “เอาเถิด เจ้าไปพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้เราจักพาเจ้าไปเยี่ยมชมบ้าน ชมเมือง เผื่อว่าเจ้าจะมีสติกลับคืน จำทางกลับบ้านกลับเรือนของเจ้าได้” หมอปีย์ลุกขึ้นยืน สายลมที่พัดเอื่อย ทำให้เสื้อขาวบาง กับกางเกงแพรสีน้ำเงินลู่ไหวแนบเนื้อ ผมมองดูหุ่นของมันอย่างลืมตัว ในใจอดชื่นชมไม่ได้
“แหม่ สมัยนี้ไม่มีฟิตเนส แต่ทำไมคนสมัยนี้เขาหุ่นดีกันจัง” ผมคิดก่อนจะก้มมองพุงตัวเองที่เห็นเป็นลูกระนาบน้อยๆพอให้รู้ว่า อนาคตเสี่ยใหญ่
“มองอันใดรึพ่อ” เขายิ้ม
“เปล่าๆ นี่ แสดงว่า นายไม่เชื่อเรื่องที่ชั้น..............ย้อนอดีตมาใช่มั๊ย” เขายิ้ม แต่ไม่ตอบอะไร
“อะไรวะ ปล่อยให้เล่าอยู่ตั้งนาน ว่าแล้วว่านายไม่เชื่อหรอก โด่......” ผมพ้อ
“มิใช่เราไม่เชื่อ แต่ความจากปากของเจ้ามันเกินจริงมากนัก สยามเราจะเป็นเยี่ยงที่เจ้าเพ้อได้อย่างไร ข้าเห็นว่ามันเป็นเรื่องในความคิดเจ้าเสียมากกว่า............ข้าจักขอเตือนเจ้าไว้สักอย่าง อย่าได้พูดเรื่องนี้กับผู้ใดเปนอันขาด เจ้าจักโดนข้อหากบฎขายชาติมิรู้ตัว หากหลวงท่านทรงทราบความ แม้แต่ข้าก็ช่วยอันใดเจ้ามิได้” เขาขู่
ผมนิ่งนั่งฟัง รู้สึกเหนื่อยใจยังไงบอกไม่ถูก เหมือนตัวเองเป็นคนบ้าในบ้าน ในเมืองนี้ไปแล้วจริงๆ
“หรือกูจะบ้ามันให้รู้แล้วรู้รอดวะ” ผมว่า
.
.
.
.
.
.
.
“เจ้ามิกลับห้องของเจ้ารึ” หมอปีย์ถามก่อนจะก้าวเท้าเดิน
“ยัง ขอนั่งรับ อากาศบริสุทธ์แป๊บนึง” ผมบอก แต่ในใจคิดว่า ใครจะไปนอนลงวะ นี่เพิ่งจะไม่น่าจะเกิน สองทุ่ม ตอนอยู่บ้าน เวลานอนของผมคือเวลาพระออกบิณฑบาต
อีกอย่างคืนนี้ต้องนอนไม่หลับแน่ เพราะคงต้องหิวตอนเที่ยงคืนตามปกติ แล้วจะหาอะไรกินได้ละเนี๊ยะ
“นาย นาย” ผมตะโกนเรียก “แถวนี้มีเซเว่นป่าว” ความลืมตัวถามคำถามโง่ๆออกไป
“เสเวร คืออันใด” เขาหันมาตอบ
“อ่อ ลืมไป นี่มันยุคนายนี่เน๊อะ เซเว่นที่ไหนจะมาเปิด ถ้ากลับไปกรุงเทพฯได้นะ ชั้นจะขอแฟรนด์ไชน์เซเว่นมาเปิดที่นี่ คงจะรวย” ผมพูดเพ้อเจ้ออยู่คนเดียว
.
.
.”ถ้าเจ้ายังไม่นอนละก็ เราขอเตือนให้เจ้าเข้ามาอยู่เสียในเรือนจักดีกว่า” หมอปีย์ทำเสียงยาน
“ทำไม” ผมตะโกนถามอย่างหงุดหงิด
“อีม้วนมันเคยเห็นเปรตวัดสุทัศน์ร้องโหยหวนให้ชาวบ้านช่วย อยู่ฝั่งกระโน้น” ผมมองตามที่มือของหมอปีย์ชี้
“บ้าน่า ไม่มีหรอก แหะๆ สมัยนี้” ผมหัวเราะกลบเกลือนความกลัว ลมพัดวูบเข้ามา ขนตรงท้ายทอยลุกซู่ แต่ยังยิ้มใจดีสู้เสือ
“สมัยนี้ที่เจ้าพูดถึง คือยุคสมัยของเรา และสมัยเราคือสมัยที่ผู้คนล้มตายเปนเบือคราห่าลง คราที่แล้ว หากเจ้ามิเชื่อก็ตามใจ ได้ความเยี่ยงไร พรุ่งนี้ นำความมาเล่าให้เราฟังด้วยก็แล้วกัน” หมอนั่นพูดทิ้งท้าย ก่อนจะหันหลังเดินเข้าบ้าน
ผมนั่งกระดิกขาหันไปหันมา จะเอาไงดี ใจหนึ่งก็กลัวมากกกกกกกกกกกกกกกกก ใจนึงก็กลัวเสียฟอร์ม
“บรู๋วววววววววววววววววววววววววววววววววว” จู่ๆเสียงหมาเวรที่ไหนก็ไม่รู้หอนขึ้นมารับกันจังหวะเหมือนเป็นใจ
ผมลุกขึ้นยืนอย่างอัตโนมัติ ตัวแข็ง ตาแข็งทื่อ ก่อนจะนิ่งไปสองวินาที
“เดี๋ยว” ผมตะโกนเรียกหมอปีย์ “นายว่า...............จะพาเราไปเที่ยวที่ไหนนะ” แกล้งเปลี่ยนเรื่อง กลัวเสียฟอร์ม 555 แล้วรีบจ้ำอ้าวเดินย่ำพื้นเรือนเสียงตึงๆตามหลังหมอปีย์ไปติดๆ
“ดีเหมือนกันนะ ออกไปข้างนอกบ้าง อยู่ในนี้มันไม่มีอะไรทำ แบบว่าเหงาบ้างอะไรบ้าง ปกติ ชั้นก็วุ่นวายไม่ค่อยอยู่เฉยๆ มีงานมีการทำเยอะแยะ พอมาอยู่แบบนี้มันเบื่อ ได้ออกไปไหนมาไหน บ้างก็คงจะดีนะ เออ ชั้นเห็นมีตลาดอยู่ตรงนู้นแน่ะ บลาๆๆๆๆๆ” ผมแกล้งพูดบ่นพึมพำๆไปเรื่อย ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินทันหมอปีย์พอดี
เขามองหน้าผมในขณะที่ผมกำลังบ่นเรื่องอยากออกไปเที่ยวตลาด ก่อนที่จะยิ้มมุมปากออกมาเหมือนรู้ทัน
-
^
^
^
:z13:จิ้มค่ะ
มาต่อรวดเร็วมากกกกกก o13
หลวงพินิจแอบฝันถึงตาอัจจี้ด้วยอ่ะ :o8:
ว๊ายยยยยยๆ บุพเพอาละวาดแล้วมั๊งนี่ :-[
-
ด้านบนอ่านแล้วสะเทือนใจมาก
บ้านเมืองเรา...
ส่วนตอนล่าง คุณอัทช์กลัวเปรตสินะ 555
-
ชอบตอนนี้มาก
รอตอนต่อไป
+1
-
+1
อ่านตอนแรกก็เศร้าๆอ่า
แต่ตอนกลัวผีน่ารักดี อิอิ
-
กรีดร้องโหยหวน เราจะติ๊ต่างว่าตอนนี้ เค้าสวีวี่วีกันนะ
สนุกมาก แต่ตอนนี้เศร้าอยู่
พี่นนหมาสีดำลูกตัวนั้นของตูนหายไปอะ ยังหาไม่เจอเลย :monkeysad:
นั่งทำไว้แก้ฟุ้งซ่าน รูปแรกจะแปะให้นานแล้ว แต่ยังไม่แปะ แปะตอนนี้เลยแล้วกัน เลขมันสวยดี
เผื่อจะเอาไปแทงหวย เอาสองตัวบนล่างโต๊ดด้วยนะ
(http://image.ohozaa.com/i/5b3/96v69.jpg)(http://image.ohozaa.com/i/6ee/2fh89.jpg)
-
:monkeysad: :monkeysad:
อ่านแล้วน้ำตาซึม
แอบเศร้านิดๆ
รักอัทช์กลัวผีได้น่ารักมาเลยยยย :m20:
-
เป็นเรืองที่น่าเศร้าแท้.............
-
ทั้งฮา :laugh: ทั้งเศร้า :m15: เมืองไทยสมัยนี้... ถ้าบรรพบุรุษมาเห็นจะเสียใจแค่ไหน รับวัฒนธรรมตะวันตกมาหมด :เฮ้อ: เศร้าว่ะ
อิอิ ท่านชายปีย์นี่ตั้งใจฟังหนูอัทช์ซะเหมือนเชื่อเลยนะ หุหุ ฝันถึงเขาทุกวันก็เลยปล่อยเขาไปไม่ได้ล่ะสิ อัทช์รับรักเขาเถอะ(?) :eiei1:
-
กลับยุคปัจจุบันอาจจะได้เป็นบ้าจริงไปเลยนะเนี่ย
-
มาติดตามด้วยคนค่ะ
เรื่องย้อนยุคอ่่านแล้วสนุกดีค่ะ :กอด1:
-
อ่านแล้วรัก สยามประเทศ
ขอบคุณมากค่ะสำหรับเรื่องราวดีๆ ข้อคิดดีๆ บางทีหลายคนก็ได้แต่คิด คิดแล้วก็เงียบ
ก็เราทำอะไรไม่ได้นิเนอะ ขอบคุณมากๆค่ะ
-
อ่านจบแล้วเจ้าค่ะ งานหนักมากๆ นานๆ จะได้เข้าเล้าที
-
สนุกมากค่ะ
ชอบๆ มาต่อไวไวนะ
-
วันนี้ไอดูธิราชเจ้าจอมสยาม(ตอนจบ)แล้ว... :เฮ้อ: ร.๕ ท่านปูพื้นฐานมาอย่างดี เพื่อราษฎรของท่าน แต่คนไทยเดี๋ยวนี้กลับไม่รักกันเลย
ปล. รอพี่มาต่ออยู่นะคะ :กอด1:
-
ในที่สุดก็อ่านทัน แล้ว พี่เป็ดมาต่อไวๆๆนะ นอนรอเลยอ่ะ
-
ยังมีใครอยากกินข้าวต้มปลาทูอีกมั๊ยครับ ไว้เดี๋ยวผมเอาสูตรมาลงให้ลองทำกัน เอาป่ะครับ อิอิ
+ผู้เขียนแรงๆเลย หนุกมาก อิอิ o13
-
ยังมีใครอยากกินข้าวต้มปลาทูอีกมั๊ยครับ ไว้เดี๋ยวผมเอาสูตรมาลงให้ลองทำกัน เอาป่ะครับ อิอิ
มาทำให้กินเลยได้ไหมคะ :z1:
-
ยังรอมาให้อัพอยู่นะค่ะเรื่องงนี้
สนุกมาเลยยย
-
“ต๊าย คุณพระ!!!” เสียงคนใช้คนเดิมร้องตกใจ
“เจ้าบ้า!!!” หล่อนโก้งโค้งดูใต้เตียง
“ลงไปทำกระไรใต้เตียง ที่หลับที่นอนข้างบนไม่มีแล้วรึ”
ผมลืมตาขึ้น อารามตกใจรีบลุกขึ้น
“โป๊ก” เสียงดังลั่น หัวผมโขกกับเตียงเข้าอย่างจัง “โอ้ยย......” ผมเอามือลูบหัว ก่อนจะค่อยๆคลานออกมาจากใต้เตียง
“ชั้น เอ่อ ชั้น ตกเตียงน่ะ” แก้ตัวแก้เก้อ เพราะจริงๆแล้วเมื่อคืนกลัวผีต่างหาก ก็เตียงมันตั้งเด่อยู่กลางห้อง หันซ้ายหันขวาก็โล่งไปหมด ปกติเตียงที่ห้องผมจะชิดผนัง ผมก็จะหันหน้าเข้าหาผนัง แล้วเอาหมอนข้าง หมอนอิง สารพัดหมอนมาสุมๆให้มันรกๆเข้าไว้ เหตุผลก็คือ กลัวผีมานอนด้วย แต่เตียงที่นี่มันโล่ง ผมนอนไม่หลับ กลัวผีมายืนปลายเตียงมั่งหล่ะ มายืนริมเตียงมั่งหล่ะ นอนหงายก็กลัวผีขี่มั่งหล่ะ เลยตัดสินใจเลื้อยแม่งลงไปนอนใต้เตียงเลย
“ กระนั้นเองรึ ตกเตียง แต่หมอน ผ้าห่ม หมอนอิงพร้อมเลย” เจ๊อ่ำทำท่ารู้ทัน แกยิ้มฟันดำ
“เออน่า อย่ามาเซ้าซี้ มีอะไร” ผมแกล้งเหวี่ยง 555
“คุณหลวงให้มาตาม สำรับเช้าพร้อมแล้ว”
“อะไรวะ คนที่นี่เขาไม่ทำอะไรกันเหรอ เห็นกิน เดินเล่น แล้วก็นอน” หมอน ผ้าห่ม ถูกลากออกมาจากใต้เตียง ก่อนที่อ่ำจะพับเก็บเข้าที่อย่างปราณีตเหมือนเดิม
“อาหารเช้าที่นี่เขามี ขนมปัง ฮอตดอก มั๊ย อ้อ กาแฟหล่ะ ชั้นติดกาแฟน่ะนะ”
“อย่ามัวแต่บ่นเป็นคนบ้าใบ้อยู่เลย เจ้าบ้า คุณหลวงท่านรอนานแล้ว คนกระไร นอนกินบ้านกินเมือง” เจ๊ฟันดำบ่น นี่คนใช้หรือแม่กูวะเนี๊ยะ แม่กูยังไม่บ่นกูขนาดนี้เลย
“เดี๋ยวปั๊ด ถึงผ้าแถบเลย” ผมทำท่าจะดึงผ้าที่คาดอกเจ๊แก เจ๊แกถอยกรุด มองตาผม ก่อนจะพูดว่า
“เข้ามาสิวะ อีอ่ำคนนี้ ขอสู้จนตัวตาย” แกว่าพลางยกแข้งยกขา ทำท่าสู้
“โอ้ยย อีสวย อีหุ่นดี อั้ม พชราภา” ผมว่า ก่อนจะแบะปากเดินดุ่มๆออกมานอกห้อง
เช้าวันนี้อากาศเย็นกว่าเมื่อวาน อาจใกล้หน้าหนาวเข้าแล้ว ตรงศาลากลางบ้านหมอปีย์นั่งรอกินข้าวอยู่
สำรับอาหารถูกจัดวางอย่างปราณีต อาหารแยกประเภทใส่ในถ้วย ข้างๆมีขันน้ำโรยดอกมะลิวางอยู่
“ทานข้าวด้วยกันสิ เจ้าบ้า” เอะ ใจคอคนบ้านนี้จะเรียกผมแบบนี้ตลอดเลยรึไง เดี๋ยวพ่อบ้าให้ดูซะเลย
“ชั้นไม่กินข้าวเช้า มีกาแฟสักแก้วมั๊ย” หมอนั่นทำหน้างง นึกถามขึ้นในใจว่าคนไทยดื่มกาแฟกันในยุดไหน
“อย่าบอกนะว่านายไม่รู้จักกาแฟ”
หมอปีย์พยักหน้าทำตาใส
“กาแฟก็เครื่องดื่มสีดำๆน่ะ หอมๆ กินแก้ง่วง ให้สดชื่นไง เอ่อ “ ไม่รู้จะอธิบายยังไง
“อ้อ ท่าจะเป็น “ข้าวแฟ” เสียกระมัง” คราวนี้เป็นผมบ้างที่ทำหน้ามึน “อ่ำ อ่ำ ไปต้มข้าวแฟมาให้เจ้าบ้าสักแก้วสิ” หมอปีย์สั่ง
เจ๊อ่ำหันมามองหน้าผม ก่อนจะค้อนขวับด้วยความไม่พอใจ กระทืบเท้าตึงๆหายเข้าครัว
“ท่าทางเจ๊อ้ำ ฟันดำแกจะไม่ชอบชั้นเอามากๆนะ” ผมว่า
“อย่าไปถือสาหาความมันเลย มันเปนข้าเก่าแก่ของเรือนนี้ เลยทำตัวเปนใหญ่” หมอปีย์อธิบาย พลางตักแกงเทโพใส่ชาม
นายสนยกของหวานมาสมทบ
“ประเดี๋ยววันนี้เราจะพาเจ้าชมเมือง แต่งตัวให้พร้อมเถิด เผื่อว่าความจำจะกลับคืน” หมอนั่นว่า
“เอ้ย ตกลงนี่กูทั้งบ้าทั้งเอ๋อเลยเหรอเนี๊ยะ ดีแท้ พ่อเจ้าประคุณ”
หลังจากนั่งดูหมอนั่นกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยอยู่พักใหญ่ อ่ำก็ยกถ้วยกระเบื้อที่มีควันลอยกรุ่นมาวางข้างหน้า
“ข้าวแฟ เจ้าค่ะ” แล้วแกก็วางถ้วยกระแทกพื้น แหม่ วอนจริงๆ
“นี่ใช่หรือไม่ สิ่งที่เจ้าต้องการ”
ผมชะโงกหน้าดู ก่อนจะยกมันขึ้นมา หน้าตามันก็คล้ายๆกาแฟ เอ๊ะ หรือน้ำล้างกะทะ ลองเอาจมูกดม อืมก็พอได้ แต่พอซดเข้าไปเท่านั้นแหละ
“ ถุยยย แบร่ “ กาแฟนั้นพุ่งพรวดออกมาจากปาก ลงไปกองน้ำนองเต็มตะลิ่งอยู่ในถาดอาหารพ่อเจ้าพระคุณ
หมอนั่นเงยหน้ามา มองตาผมปริบๆ
“เรายังไม่อิ่มเลย” มันทำหน้าสิ้นหวัง ผมได้แต่ยิ้มแห้งก่อนจะรับขอโทษไป
.........................................................................
ผมแต่งตัวเดินออกมาจากห้องในชุดไทยโบราณเสื้อคอจีนสีขาว ใส่กางเกงพองๆ สีน้ำเงิน ถุงเท้ายาวสีขาวเดินออกมารู้สึกโก้ดีพิลึก
“แหม่ เรานี่ก็เหมือนขุนน้ำขุนนางเขาเหมือนกันนะนี่” ผมอดลำพองไม่ได้
“เรานึกว่าเจ้าจักเปนล้มเปนแล้งไปเสียแล้ว” หมอนั่นประชดประชัน
“แหม ทำยังกับชั้นจะแต่งแบบนี้บ่อยๆ มันก็ต้องมีตื่นเต้นกันบ้าง ว่าแต่จะไปกันรึยังหล่ะ” ผมถาม
“เราต่างหากที่ควรจะพูดคำนี้กับเจ้า เจ้าบ้า” แน๊ มีย้อน
ผมเดินตามหมอปีย์ลงเรือนไป อย่างอึกทึกครึกโครม ให้ตายสิวะทำไมถึงได้เดินเบาๆแบบมันไม่ได้เลย ผมพยายามแล้วนะ แต่มันก็ไม่ได้อยู่ดี
“จะไปไหนกันขอรับ” นายสนเดินออกมาจากใต้ถุนเรือน
“อ้อ นายสน เราว่าจักพาเจ้าบ้าไปชมบ้านชมเมืองภายนอกเสียหน่อย เผื่อว่าความจำบางอย่างจักกลับมาบ้าง”
“ไม่ได้นะขอรับ” จู่ๆสนก็โพล่งออกมา “คุณพินิจจะพาเจ้าบ้าออกไปในสภาพนี้ไม่ได้นะขอรับ”
“ทำไม” ผมกับหมอปีย์พูดขึ้นมาพร้อมกัน
“บัดนี้บ้านเมืองมิได้เป็นเหมือนแต่ก่อนแล้วนะขอรับคุณหลวง “ นายสนกระซิบกระซาบท่าทางลุกลี้ลุกลน
“การที่จักพาคนแปลกหน้าออกไปเดินเพ่นพ่านในสภาพแบบนี้เหนทีจักเปนที่สงสัยเอาได้ ประเดี๋ยวนี้พวกฝรั่งมังค่า เจ๊กจีน ไอยิแลน มิรู้พวกใดเปนพวกใด ใครเป็นมิตรใครเปนศัตรู ยากที่จะรู้ได้ อีกอย่างเราก็ยังมิรู้หัวนอนปลายตีนของเจ้าบ้านี้ว่าเปนพวกใด หากหลวงทรงเหนเข้า แล้วเอามันไปสอบสวน เราจักลำบากนะขอรับ” นายสนพูดยืดยาว หมอนั่นพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“แล้วเจ้าเหนเปนกระการใด” หมอปีย์ถาม
...........
....................................
.......
“กระผมมีวิธีขอรับ” เขากระหยิ่มยิ้มราวกับมีแผนร้ายอยู่ในใจ
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
“อะไรกันเนี๊ยะ” เสียงผมโวยวายลั่นบ้าน “เอาอะไรมาให้ใส่วะ ผ้าขี้ริ้วรึไง”
“ใส่ๆไปเถิด เจ้าบ้า หากเจ้ามิอยากโดนหลวงเฆี่ยนด้วยหวายหางกระเบนแช่เยี่ยวจนหลังลาย” สนขู่
“จะให้ชั้นใส่ไปได้ยังไง วะ” ผมเอานิ้วชี้กับนิ้วโป้งคีบขึ้นมาอย่างขยะแขยง “นี่มันผ้าขี้ริ้วชัดๆ”
“เจ้าจักใส่หรือไม่ใส่มันก็เปนเรื่องของเจ้า แต่หากเจ้าไม่ใส่ผ้าผืนนี้ ก็อย่าหวังว่าจะได้ออกไปภายนอกเรือนนี้ได้” ให้ตายเหอะ ไอ้สนนี่มันดุยิ่งกว่าเจ้าของบ้านอีก เป็นใครถึงได้วางท่าได้ขนาดนี้วะ
“ไม่ใส่เว้ย ยังไงชั้นก็ไม่ใส่” ผมเขวี้ยงผ้าขี้ริ้วสภาพซอมซ่อนั้นทิ้งลงตรงธรณีประตูใกล้เท้าสน มันมองผมด้วยสายตาชิงชัง ก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องไป
“เปนอะไรไปอีกเล่า เจ้าบ้า” ผ้าขี้ริ้วกองอยู่ที่พื้นใกล้กับเท้าของหมอปีย์ซึ่งเดินเข้ามาหาผมในห้อง หน้าผมเป็นตูดแล้วตอนนั้น มันหงุดหงิด
“เราเหนด้วยกับสนนะ เรื่องที่เจ้าควรปลอมตัวออกไปภายนอก”
“นายจะบ้าเหรอ จะให้ใส่ผ้าเน่าๆผืนนี้ออกไปเนี๊ยะนะ จะให้ชั้นคลุมหัว ปิดหน้า หรือจะเอาพันขาไปดีหล่ะ ถ้าจะปลอมตัวทำไมไม่ให้ชั้นปลอมเป็นเจ้าจากหัวเมืองเหนืออะไรก็ว่าไป” แหม ถ้าได้อย่างนั้นละเท่ห์เลย “หรืออย่างเลวๆก็ให้ปลอมเป็น นินจา เป็นอาหรับ หรือเป็นโดเรมอนยังดีเสียกว่าใส่ผ้าขาวม้าผืนนี้” ผมบ่นจนน้ำลายกระเด็น
“ที่นี่ยุคสมัยเรา เจ้ามิรู้หรอกว่าบ้านเมืองยามนี้เป็นเยี่ยงไร”
รู้ ทำไมผมจะไม่รู้หล่ะ ก็บ้านเมืองยามนี้ก็กำลังจะเสียดินแดนนะสิถามได้ ผมเคยอ่านในประวัติศาสตร์นะ ก็ก็ได้แค่คิด ไม่ได้พูดอะไรออกไป
“การได้ออกไปภายนอกอย่างน้อยก็ดีสำหรับตัวเจ้า เผือว่าจะได้นึกอะไรออกขึ้นมาบ้าง” หมอปีย์กล่อม และไม่รู้เป็นอะไรคนอื่นเป็นร้อยเป็นพันพูด ผมไม่เชื่อ แต่พอหมอนี่พูดขึ้นมาคำเดียวกลับเชื่อเขาอย่างง่ายดายซะงั้น
“แล้วจะให้ชั้นทำยังไงกับไอ้ผ้าผืนนี้ เอามันพันคอ หรือโพกหัว”
“เอามานุ่งเป็นโจงกระเบน” หมอนั่นหยิบผ้าขึ้นมาส่งให้ผม
“โอย นุ่งไม่เป็นหรอก บ้าเหรอ ใครจะนุ่งเป็น สมัยชั้นเขาไม่นุ่งแบบนี้กันแล้ว” ผมรับผ้ามาขึงดู ความกว้างยาวน่าจะได้สักผ้าขาวม้าผืนนึง
“งั้นถอดเสื้อผ้าของเจ้าออก เราะนุ่งให้” หมอนั่นเดินเข้ามาหา
ผมอ้าปากค้างยืนแข็งทื่อเป็นท่อนไม้
“อย่าบอกนะว่าเจ้าถอดเสื้อผ้าไม่เป็น อีก งั้นมานี่ เราถอดให้” เขาคว้าชายเสื้อผมหวังจะเอาจริง แต่ผมได้สติ ขยับตัวหนี
“เฮ้ย ไม่ต้องเว้ย ถอดเป็น” ว่าแล้วผมก็ถอดเสื้อคอจีนสีขาวออก ไม่คิดเลยว่า การถอดเสื้อต่อหน้าผู้ชายจะน่าอายถึงเพียงนี้ ลมพัดเย็นกรุ่ยๆผ่านหน้าต่างเข้ามา รู้สึกเสียวหัวนมจนผมต้องเอามือปิด
“หึ หึ” หมอนั่นยังไม่สาแก่ใจชี้นิ้วกระดกขึ้นกระดกลงมาที่กางเกงผม เป็นเชิงสัญลักษณ์ว่า “ถอด”
“อย่าบอกนะ.......” ผมทำหน้าหวาดหวั่น
“อือ” หมอนั่นพยักหน้า
“ต้องถอดด้วยเหรอ” ผมส่งสายตาเว้าวอน หมอนั่นยืนยันที่จะให้ผมถอด ผมจึงฝืนใจถอดอย่างเสียไม่ได้ ปกติแก้ผ้าต่อหน้าเพื่อนฝูงมาก็นักต่อนัก แต่ทำไมพออยู่ต่อหน้าหอนี่กลับรู้สึกกระดากขึ้นมาบอกไม่ถูก
“อือ จะทำอะไรก็ทำ” ผมกางแขนกางขา รอให้หมอปีย์เอาผ้ามาพันให้ เขาหยิบผ้าผืนนั้นขึ้นมาจับมุมอย่างปราณีต ก่อนจะเดินเข้ามาเกือบจะชิดผม มือข้างหนึ่งจับมุมผ้าข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างอ้อมมาด้านหลังผม ใบหน้าเราชิดกับจนผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่แผ่วเบา ใจของผมเต้นตึกๆ เสียงมันดังทะลุอกออกมาจนผมกลัวหมอนั่นได้ยิน เพราะใบหน้าของเขาเกือบจะแนบชิดกับอกผม
“แปรงฟันมั่งป่าว” ผมถามแก้เขิน “นึกว่ารถบรรทุกขี้ยางคว่ำในปาก” ยังแซวไม่เลิก ก็คนมันอายนี่หว่า
หมอปีย์ไม่มีท่าทางตื่นเต้น หรือลนลานใดๆ เขายังคงตั้งสมาธิอยู่กับการผูก มัด รวบผ้าอยู่ด้านหน้าผม
“เฮ้ย จะทำไรอ่ะ” จู่ๆผมก็ตะโกนขึ้นมา เมื่อเห็นหมอนั่นกำลังจะเอามือสอดเข้าไปในหว่างขาผม
“ก็จะเอาชายพกไปแหนบไว้ด้านหลังอย่างไรเล่า” เขาพูดน้ำเสียงนิ่งกังวาลราวกับน้ำค้างบนยอดหญ้า ขนาดนั้น
“ไม่เป็นไร นายไปรอเสียบด้านหลังเลยป่ะ เดี๋ยวชั้นล้วงไปให้” ผมว่า พลางคว้าหางกระเบนจากมือหมอนั่นแล้วลอดใต้หว่างขา หมอปีย์รอรับอยู่ด้านหลังตั้งท่าเสียบ หมับเข้ามือพอดี
“แหม่ ช่างทำงานเข้าขากันดีจริงๆ” ผมหัวเราะ
และแล้วผมก็ถูกจับแต่งตัวจนเสร็จ จากชายผู้สูงศักดิ์เมื่อกี้ บัดนี้ต้องกลายเป็นบ่าวที่นุ่งแค่โจงกระเบนไปชั่วพริบตา
“เสร็จกันแล้วหรือขอรับ” สนเดินเข้ามา เขามองมาที่ผมอย่างพินิจพิเคราะห์ “กระผมว่าเจ้าบ้านี่มันยังดูมีราศีเกินไปนะขอรับ หลวงท่านคงไม่เชื่อว่าบ่าวไพร่ที่ไหนจักมีผิวพรรณเป็นยองไยเยียงนี้”
อย่าบอกอีกนะว่าการที่กูผิวขาวนี่ผิดอีก
“ผิดขอรับ” อ่าว เวร “ผิดธรรมดาสามัญเป็นแน่” สนมองหาบางอย่างรอบบ้าน แล้วเขาก็ยิ้มย่องเมื่อเจอกับบางอย่าง
“แต่กระผมมีวิธีขอรับ” อีกแล้ว ไอ่สน มึงนี่มันฉลาดไปซะทุกเรื่อง แต่ละเรื่องนี่ทำกูเดือดร้อนตลอด
ว่าแล้วมันก็วิ่งไปหยิบก้อนสีดำๆตรงโรงครัวมา
“ถ่าน” ผมพูด “จะเอามาเผาบ้านรึไง”
“นี่แหละขอรับ วิธีที่จะทำให้เจ้าบ้าเป็นบ่าวเรือนนี้เต็มตัว “ มันหันไปยิ้มกับหมอปีย์ซึ่งหมอนนั่นก็ยิ้มเหมือนจะเห็นด้วย
“ไม่นะเว้ย ไม่นะ” ไร้ประโยชน์ ทั้งคู่ต่างช่วยกันเอาถ่านแต้มหน้าแต้มตัวผมอย่างสนุกสนาน
“ตรงนี้หน่อยนึง ตรงนี้ด้วย”
“นี่ๆอีกนิด”
“พวกมึงเห็นกูเป็นตุ๊กตาบลายด์รึไง สนุกกันจัง” ผมทำหน้าเบื่อโลก ยืนนิ่งปล่อยให้พวกมันละเลงถ่านสีดำจนทั่วตัว
“ทีนี้ก็ไปได้แล้วขอรับ” สนโยนถ่านทิ้ง
“นี่ ถามหน่อย มึงไม่ชอบหน้ากูเป็นการส่วนตัวรึป่าว ไอ้สน” ผมถามจริงจังทิ้งท้าย ก่อนจะเดินตามหมอปีย์ไปยังรถลากที่จอดรอหน้าบ้าน
...
“ยิ้มอะไร” ผมตวาดในขณะที่ลากสังขารตัวเองเดินตามรถลากต้อยๆ ชาติที่แล้วกูเป็นควายให้มึงเทียมไถนารึไง ชาตินี้ถึงต้องมาเป็นบ่าวรับใช้อย่างนี้
“บังแดดดีๆหน่อยสิเจ้าบ้า” หมอนั่นสั่ง
“แดดมันส่องโดนแขนเรา ข้างนี้ เจ้าช่วยบังแดดดีๆหน่อยสิ”
“ได้ขอรับนายท่าน” ผมกัดฟันกรอดๆด้วยความโกรธ
..
..
..รถลากลากผ่านทุ่งนามุ่งหน้าสู่กำแพงวังใหญ่โตโอ่อ่าที่ปรากฏอยู่ภายหน้า คนลากรถเป็นพวกเจ๊ก พวกจีนอพยพ ไว้ผมเปียยาว ผมมองคนพวกนี้แล้วนึกสะท้อนใจเล็กๆ ในขณะที่ตอนนี้พวกจีนอพยพเหล่านี้เป็นแค่คนลากรถ กรรมกร หาบของขาย รับจ้างทำงานสารพัด แต่ในสมัยผม เจ้าสัวใหญ่ๆโตๆ ไหงเป็นคนจีนซะทั้งนั้น ในขณะที่คนไทยแท้ๆ........
“แดดส่อง” หมอปีย์ เตือนสติ อะไรกันนักกันหนากะอีแค่แดดส่อง ตัวเองนั่งเฉยๆก็สบายจะตายอยู่แล้ว ยังจะมาโวยวายอีก
ดูกูนี่ เสื้อก็ไม่ใส่ รองเท้าก็ไม่ใส่ ต้องเดินตะแคงตีนเดินเพราะเจ็บตีนก้อนหินลูกรังมันทิ่ม ไหนจะแดดเผาอีก แสบไปหมดแล้ว นี่ถ้าไม่กลัวโดนจับขังคุกอีก กูไม่ยอมมึงแบบนี้หรอก
“เออ” ผมตอบก่อนจะขยับร่มไปใกล้ มองดูหน้ามันด้วยความหมั่นไส้ เมื่อเห็นมันเผลอ ผมอาศัยลูกเผลอนั้นแกล้งทำขอบร่มกระแทกหัวมันดังปั๊ก
“โอ้ย” หมอนั่นเกาหัว หันมามองหน้าผม
“ขอโทษขอรับนายท่าน พอดีมือข้าน้อยมันอ่อนแรง เนื่องด้วยยังไม่ได้กินข้าวมาตั้งแต่เช้า ไหนจะต้องเดินถอดเสื้อตากแดดร้อนๆ พาลจะเป็นลมแดดเอาน่ะขอรับ” ผมส่งสายตาเว้าวอน หมอนั่นมองเหมือนจะอ้าปากด่า แต่คงไม่รู้จะด่าอะไรเลยทำได้แค่เม้มปากแน่น ส่วนผม.....
“สมน้ำหน้า วางท่าดีนัก ฮึๆ”
รถพาเราเดินลัดเลาะผ่านกำแพงสีขาวสูงเด่นตระการตาไปเรื่อยๆ สองข้างทางมีผู้คนแต่งกายโบราณ ไว้ผมโบราณเดินผ่านไปผ่านมาเต็มไปหมด บางคนหิ้วตะกร้าใส่ผลไม้ บางคนหาบหม้อดินที่ข้างในมีปลากลิมไข่เต่า ทุกคนยิ้มแย้มให้กัน ทุกครั้งที่เดินสวนกัน ผิดกับสมัยผมมาก
“แถวนี้เขาเรียกบริเวณตลาดวัดเกาะ ย่านสำเพ็ง” เสียงหมอปีย์พูดดังลอยมาตามลม
“แถวนี้เป็นตลาดค้าขายพลอย”
ผมสะดุดหูกับคำว่าตลาดสำเพ็ง ถ้านี่ใช่ตลาดสำเพ็งตลาดค้าส่งแห่งใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯแล้วละก็ ภาพตอนนั้น กับตอนนี้มันช่าง...................ต่างกันลิบลับ
ตลาดวัดเกาะตอนนี้เป็นตลาดเล็กๆ ที่พื้นถนนยังเป็นดินสีดำ สองข้างทางเต็มไปด้วยบ้านเรือนที่ปลูกเป็นเรือนไม้สองชั้นแบบจีน ด้านหน้าจะมีตู้ไม้วางพลอยหลากสีเต็มไปหมด คนขายสมัยนั้นก็เป็นเจ็กเป็นจีน ป้ายร้านค้าก็เป็นภาษาจีนสีแดง อาจเป็นเพราะคนไทยสมัยก่อนไม่นิยมค้าขายด้วยละมั้ง คนจีนอพยพจึงจับจองพื้นที่ค้าขายกันอย่างคึกคัก
“คุ้นๆบ้างมั๊ย” หมอปีย์ถาม
“อืม จะว่าคุ้นก็ไม่เชิงนะ นายเข้าใจมั๊ยว่า ........” ผมอธิบายไม่ถูก “ location นะมันใช่ แต่ Prop นะมันไม่ใช่” ผมอธิบายโดยไม่ได้หวังว่ามันจะเข้าใจ
เมื่อรถลากพาเราผ่านตรอกเล็กๆที่เรียกว่าวัดเกาะ ถนนก็เริ่มขายายใหญ่ขึ้น ผมเริ่มมองเห็นการพัฒนาของกรุงเทพฯอย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่างที่เคยเรียนมาว่า ร๕ ท่านค่อยๆวางรากฐานสาธารณูปโภคต่างๆไว้อย่างมั่นคง ถนน นำมาซึ่งความเจริญแทนแม่น้ำลำคลอง รถไฟราง สิ่งเหล่านี้เริ่มปรากฏให้เห็นลางๆ
“เฮ้ย เดี๋ยวๆ” ผมหยุดเดิน ไม่ใช่พราะเจ็บตีน แต่ทัศนียภาพข้างหน้ามันคุ้นตามาก
“เป็นอะไรไป นึกอะไรออกรึเจ้าบ้า”
“ชั้นว่า ชั้นคุ้นๆสี่แยกข้างหน้านั่นนะ เหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน”
“อย่างนั้นรึ นั่น่ะ เขาเรียกถนนเจริญกรุงบริเวณสี่กั๊กพระยาศรี” หมอนั่นตอบ ผมมองภาพข้างหน้าตาค้าง ใช่จริงๆด้วย นั่นต้องใช่แยกเจริญกรุงที่ผมมักขับรถผ่านประจำแน่ๆ ผมจำกำแพงสุดถนนขวามือนั่นได้ ตอนนี้ผมขนลุกไปทั้งตัว ไม่น่าเชื่อว่า จะได้ว่ายืนในที่ที่เป็นอดีต แล้วสามารถนึกภาพอนาคตอีกร้อยกว่าปีออก
“ Cool man” ผมเผลออุทานออกมาอย่างตื่นเต้น
“เจ้าว่ากระไรรึ เจ้าบ้า” หมอนั่นถามแต่ผมเลือกที่จะไม่ตอบ ขอเดินดูรอบๆบริเวณนั้นให้ฉ่ำใจก่อนเถอะ
บริเวณแยกสี่พระยาที่ผมยืนอยู่ตอนนี้ต่างกับยุคของผมโดยสิ้นเชิง ถนนที่ยังเป็นดินลูกรังถูกปูและบดจนเรียบ บริเวณแยกมีต้นไม้ปลูกไว้สี่มุม ซึ่งบริเวณโคนต้นไม้นั่นเองเป็นที่จอดเกวียนพักไว้ หากเป็นสมัยนี้ก็คงจะจอดรถไว้โดยไม่ลืมเปิดไฟกระพริบ
กลางถนนมีแต่เกวียนลากวิ่งไปมา ผู้คนไม่ใส่เสื้อเดินอยู่ริมถนน หมา วัว เดินกันให้ขวัก เป็นภาพที่แปลกตาสำหรับผม แต่คงจะธรรมดาสำหรับหมอปีย์
“เจ้าจะยืนยิ้มอยู่อีกนานหรือไม่เจ้าบ้า เราร้อน” หมอนั่นบ่น
“โถ พ่อคุณ น่าสงสารว่ะ นั่งเกวียนสบายๆ เดินก็ไม่ต้องเดิน แถวยังมีคนกางร่มให้อีก คงเหนื่อยน่าดูเลยนะ อ้าวไปก็ไป” ผมว่า ในใจนึกเสียดายที่ไม่ได้เอากล้องติดมือมาด้วย ไว้คราวหน้ามาจะไม่ลืม...........................ไว้คราวหน้าเหรอ จู่ๆผมก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า คราวหน้าของผมมันจะมีหรือเปล่า หรือผมจะต้องติดอยู่ที่นี่ไปจนแก่ตายเสียก็ไม่รู้
แดดคล้อยบ่ายไปมาก ผมเดินอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย แต่คนที่เหนื่อยน่าจะเป็นเจ๊กลากรถนั่นตะหาก ลากไม่บ่นสักกะคำ อดทนไว้นะแป่ะนะ ชาติหน้า รวยแน่ๆ ผมแซวในใจ
“จะกลับกันรึยัง” หมอปีย์ถาม
“ยัง ทำไม เหนื่อยรึไง” ผมประชด
หมอปีย์ถูกผมรบเร้าให้พาไปเยี่ยมชมตลาดเก่าแก่สมัย ร๕ ซึ่งมันเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับเขา แต่สำหรับผมแล้วนั้น การไปเที่ยวตลาดครั้งนี้เป็นครั้งที่ผมตื่นเต้นที่สุด
รถลากพาเราวิ่งข้ามสะพานผ่านพิภพลีลา ที่เป็นสะพานที่สร้างเชื่อมถนนราชดำเนินในและราชดำเนินกลาง ราวลูกกรงเหล็กนั้นสวยงามมากเมื่อเทียบกับสิ่งก่อสร้างอื่นในๆสมัยนั้น
และแล้ว ผมก็ลากเท้าเดินมาถึงตลาดแห่งหนึ่ง ตอนนี้เท้าผมระบมไปหมดแล้ว อีกทั้งเนื้อตัวก็ไหม้เกรียมเพราะแดดเผา ยังไม่พอผมเริ่มมีกลิ่นเต่าเหมือนพวกคนที่นั่นไปแล้วนี่สิเรื่องใหญ่
“เฮ้อ ช่างเหอะ กลิ่นมันกลืนๆกันแหละ” ผมปลอบใจตัวเอง
ตลาดแห่งนี้ตั้งอยู่ในตรอกเล็กๆติดกับคลอง ผมมองเข้าไปข้างในคนพลุกพล่านๆเดินจัจ่ายของ
“ตลาดท่าเตียน เจ้ารีบเข้าไปดูเถิด เราจักรอเจ้าอยู่ตรงนี้” หมอนั่นว่า
ผมไม่รอช้า รีบสาวเท้าเดินแทรกฝูงชนเข้าไปในตลาด ภายในนั้นมีแม่ค้าเอาของมาขายมากมาย ผมเดาเอาว่าของเหล่านั้นคงมาจากสวน หรือบ้านของพวกเขาเอง เพราะดูๆแล้วมันไม่สวยงามน่ากินเอาเสียเลย
อย่างมะเขื่อก็ลูกเล็กเกร็น ผักบุ้งก็เหี่ยว สมัยนั้นคงยังไม่มีพวกบล๊อกเคอรี่ หน่อไม้ฝรั่งละมั้ง
“ป้า นี่ไรอ่ะ” ผมหยิบเจ้าผักชนิดหนึ่งขึ้นมา เพราะคุ้นๆว่าเจ้าผักที่มีดอกสีเหลืองเล็กๆคล้ายดอกทานตะวันนี่ขึ้นอยู่ข้างส้วมที่บ้านเยอะแยะ
“ผักคราด” ป้าแกตอบน้ำหมากกระเด็นกระดอน
“เขากินกันด้วยเหรอ รู้มั๊ย บ้านชั้นมีเต็มเลย งอกอยู่ข้างส้วม เอาไปทำอะไรกินอ่ะป้า” อย่าใฝ่รู้อยู่บ้าง
“ก็เขาเอาไปแนมน้ำพริก เอาไปแกงคั่วหอยขม หอยแครงอร่อยนัก แก้ปวดฟัน แก้ร้อนในดีนักแหละ จะเอาเท่าไหร่หล่ะพ่อหนุ่ม” แกถามเตรียมเอาใบตองห่อ
“ไม่เอาหรอกป้า ถามเฉยๆ ไม่มีตังส์ 555 “ หัวเราะสร้างอารมณ์ขันหวังให้ป้าแกอารมณ์ดี แต่ดูท่าไม่ได้ผล แหะๆ
ภายในตลาดมีของขายมากมายที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน แต่สิ่งที่ผมตามหากลับไม่มี ผมหวังว่า จะเจอเส้นมักกะโรนี กับซอสมะเขือเทศ หรือไม่งั้นอย่างน้อยได้มะเขือเทศก็ยังดี เพราะตอนนี้ผมอยากกินสปาเก็ตตี้เอามากๆ แต่ผมคงหวังสูงเกินไป..........สำหรับที่นี่
การเดินทางสำรวจตลาดรอบนี้ของผมคว้าน้ำเหลว ผมเดินหมดแรงออกมาจากตลาด
“เปนเยี่ยงไรบ้างรึ “ มันถามแต่ผมไม่ตอบ ตอนนี้ แค่หายใจยังเหนื่อยเล้ย
“นี่นาย” ผมเรียกหมอนั่นเสียงอ่อนแรง
“ชั้นให้ร้อยนึง ให้ชั้นนั่งรถลากกลับบ้านด้วยคนได้มั๊ยอ่ะ เดินกันจนขาชาไปหมดแล้ว”
หมอนั่นทำหน้าไม่ได้ยิน ใจคอโหดร้าย จิตใจทำด้วยอะไร
“นะ นะ ตำรวจคงไม่จับหรอก” ผมยังไม่ลดละ
“เดินไปเถอะ อย่าบ่นให้มากความ เจ้าจะได้รู้อย่างไรเล่าว่า ชาวสยามยุคเราเขาต้องเหน็ดเหนื่อยเพียงใด เพื่อให้ชาวกรุงเทพฯยุคเจ้าได้นั่งรถลากลอยฟ้า”
อูย เจ็บ
แต่ว่า
“อะไรวะ ทำไมต้องมาเชื่อเอาตอนนี้ด้วย” ผมบ่น
-
^
^
^
ขอจิ้มไว้ก่อนค่ะ :z13:
ตกลง นายเอกเราเปลี่ยนชื่อเป็น "บ้า" แล้วสินะ :laugh:
อยู่ไปนานๆเข้า ระวังจะลืมชื่อตัวเองนะจ๊ะ เจ้าบ้า :m20:
-
อิอิ ถือว่าได้เป็นบ่าวที่หล่อที่สุดในยุคนั้นละกันนะ
-
น่าสงสารนายเอกเราจริงจริ๊ง :m20:
-
นั่น!! ประโยคสุดท้ายเล่นเอาจุกแอ้กทั้งอัชทั้งคนอ่าน
พ่อหนุ่มลูกครึ่งกลายเป็นบ่าวไพร่ไปซะและ
-
เจิมไว้ก่อน ค่อยอ่าน
-
ชอบมุกตกเตียงจัง
แต่มีผ้าห่มและหมอนพร้อม :laugh:
-
เจ้แอบกระอักกับประโยคสุดท้าย แทงกันแบบเฉียดหัวใจเลยที่เดียว o22
-
ยุคสมัยพระพุทธเจ้าหลวง ก็มีการประชด กระทบกระเทียบกันด้วย กระนั้นหรือ :m20:
โดยไปหนึ่งดอกเต็ม ๆ เลย เจ้าบ้า :jul3:
+1 เป็นกำลังใจให้นะครับ
-
แสบจริง ๆ กับประโยคสุดท้าย
-
จะหาสปาเก็ตตี้ในยุคนี้เนี่ยนะ
คิดไปได้นะนายเอกเรา
-
ของที่หาแต่ละอย่่าง ถ้ายุคนั้น ต้องไปซื้อที่สิงคโปร์
นุ่งโจง เดินเท้าเปล่า ... น่าสงสาร :laugh:
+1
-
หึหึหึ~ น่าหมั่นไส้จริงๆเจ้าบ้าของเรา จะสงสารแต่สงสารไม่ลงอ่ะ คุณเธอช่างปากดีจริงๆ o16
กลัวผีเลยมุดลงไปนอนใต้เตียงเลยนี่นะ :laugh:
-
:laugh: :laugh: :laugh:
:m20: :m20: :m20:
น่าสงสารจิงๆๆ
-
ประโยคสุดท้ายนี่ได้ใจมากจ๊ะ หมอปีย์คงจะพอเชื่อว่าอัทช์ย้อนเวลามา
น่าลุ้นว่าคืนนี้จะมีใครฝันแบบเดิมอีกหรือเปล่า
-
อูว เด็ดโดนใจ
น่าสงสาร ต้องเดินทางเปล่า แต่ก็ทนเอาหน่อยล่ะกัน 555
หันมาเป็นพ่อครัวอาหารไทยแทนซะ จะดีกว่ามั้ง
-
น่าสงสารตัวเอกของเราจิงๆ
-
ถูกทรมานทรกรรมเสียนี่กระไร
-
น่าสงสารเจ้าบ้าเนอะ
อะไรก็ไม่มีสักอย่างเลย
อิอิ
รอตอนต่อไปนะ
เป็นกำลังใจจ้า
สู้ๆ นะจ้ะ
-
นึกถึงเรื่องทวิภพเลย...อ่านแล้วนึกถึงฉากที่มณีจันทร์โดนพระเอกสอบสวน
แต่เรื่องนั้นนางเอกไปโผล่ที่บ้านหมอบลัดเลย์แฮะ
-
ติดตามอยู่นะครับ :L2:
-
พระเอกใจร้ายเหมือนคนแต่งเลยยยยย
ดูสิให้ไอ้บ้ามันเดินจนหินลูกรังทิ่มฝ่าตีนได้
สงสารอะ ให้ไอ้บ้ามันย้อนเวลาไปกินสปาเก็ตตี้
แกล้มตำปูปลาร้าแล้วค่อยกลับมากินสำรับชาววังได้มั้ยอะ
:laugh: :laugh: :laugh:
-
มาต่อน้อยจัง แบบนี้ต้องมาต่อบ่อยๆ นะ
เค้าคิดถึง
-
บรรยายเห็นภาพเลยะครับ
-
(http://image.ohozaa.com/i/b70/200710171050047.jpg)
“กลิ่นอะไรน่ะ” ทันทีที่เดินเข้ามาในบ้าน ผมก็ได้กลิ่นหอมของอะไรบางอย่างลอยมาเตะจมูก
“อ้อ สงสัยช้อยมันจะทำสำรับเย็นน่ะ เจ้าขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าเสียก่อนเถิด เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” หมอปีย์แสดงท่าทีห่วงใย
“ไม่สายไปหน่อยเหรอ พ่อ มาเป็นห่วงอะไรเอาตอนนี้น่ะ หึ “ ผมว่า “นายไปก่อนเถอะ ชั้นว่า............จะขอแว๊บไปดูป้าช้อยแกทำกับข้าวซะหน่อยน่ะ”
ผมเดินเข้าบ้านในสภาพบ่าวโสโครก มอมแมม แต่แปลกที่ไม่ยักจะมีใครแตกตื่นเหมือนตอนที่ผมมาสภาพดีๆ สงสัยคนที่นี่จะชินกับคนบ้า ก็นายมันบ้าไปคนนึงแล้วนี่
หลังเรือนหลังใหญ่เป็นโรงครัวที่บ่าวไพร่หญิงชายช่วยกันทำอาหารคนละไม้ละมือ บ้านหลังนี้มีเจ้าของบ้านอยู่แค่คนเดียวเอง เท่าที่ผมเห็นตอนนี้นะ ทำไมถึงต้องเตรียมอาหารกันเสียมากมายขนาดนี้
ชายร่างเล็กผิวดำเมี่ยมคนหนึ่งกำลังง่วนอยู่กับการเปิดฝากะทะใบบัวที่ควันฟุ้งออกมาพร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆของข้าวไหม้ เขาเอาไม้พายขนาดใหญ่กวนข้าวไปมา ก่อนจะเอาฝาปิดไว้ดังเดิม
หญิงสาวอีกคนนั่งยองๆบนหินก้อนใหญ่ข้างเรือน หล่อนกำลังล้วงเข้าไปในกระชอน ก่อนจะดึงเอาปลาช่อนตัวเขื่องออกมา มันดิ้นเด่วๆสะบัดตัวไปมา แต่เธอผู้นั้นก็จับหัวมันแน่นอย่างทะมัดทะแมงกดหัวปลาช่อนไม้กับขอนไม้ มืออีกข้างหยิบไม้ขนาดเหมาะมือ ก่อนจะง้างสุดแรงและ
“ปั๊ก” ทีเดียวที่ไม้นั้นทุบลงบนหัวปลาช่อน มันดิ้นพราดๆอยู่พักใหญ่ ก่อนจะนิ่งไป
“เอื๊อก” ผมกลืนน้ำลายลงคอ นึกถึงผัวผู้หญิงคนนี้ ถ้ามาเห็นภาพเธอตอนนี้ มีหวังติดตาไปแสนนาน
“ป้าช้อย ทำไรอ่ะ กลิ่นหอมไปถึงหน้าบ้าน” ผมตะโกนโหวกเหวกเรียกป้าช้อย แกเงยหน้าขึ้นมามอง น้ำหมากแดงเต็มปาก
“มาแหกตาดูเอาเองสิวะ “ อ่าวป้า พูดด้วยดีๆ ผมเดินตึงๆขึ้นเรือนไปหาแก เห็นจานอาหารต้นเหตุที่ส่งกลิ่นหอมวางอยู่ใกล้ๆแก
“เนี๊ยะเหรอ” ว่าแล้วผมก็เอามือฉีกตาออกกว้าง ก่อนจะชะโงกหน้าเกือบจมลงไปในจาน
“ทำอะไรของเอ็ง เจ้านี่ ทะลึงตึงตังนักเชียว” แกดุ
“อ้าวก็ป้าบอกให้ชั้นแหกตาดูเอาเองไม่ใช่รึ” ผมว่า “ว่าแต่นี่เขาเรียกว่าอะไรอ่ะ หน้าตาดีเหมือนคนทำเลย” ผมแกล้งยอไปอย่างนั้นแหละ แต่ป้าช้อยแกคิดจริงๆจัง เขิน บิดตัวไปมา
“บ้า!!!” แกเขินอมยิ้ม มือสะบัดไปมา “นี่เขาเรียกปลาทูเค็มทอดทรงเครื่อง ของโปรดคุณข้างบนเค้า”
“เหรอ ทำยังไงอ่ะป้า” ผมเซ้าซี้อยากได้สูตร ก็มันหอมน่ากินจริงๆนี่นา
“บ๊ะ เจ้านี่ ก็เอาปลาทูเค็มไปทอดกับมันหมู เจียวหอมแดงกระเทียม ใบมะกรูด หั่นพริก หอมแดง บีบมะนาว แค่นี้หล่ะ”
“ง่ายเน๊าะ” ผมว่า
“ก็เออนะสิ ข้ามันมิใช่นางวังในเหมือนคุณหญิงเรือนนู้นเขา จะได้ทำสำรับวิจิตรพิศดาร” แน่ะ ไปแขวะเขาอีกนะป้า ปากคอเราะร้าย
“แล้วนี้จะทำอะไรอีกรึเปล่า ให้ชั้นช่วยเป็นลูกมือได้มั๊ยจ๊ะ สุดสวย” ผมไม่ลืมหยอดแกเอามื้อช้อนคาง แค่นี้แกก็อ่อนแรงยอมให้ผมช่วยทุกอย่าง
“ข้าจะแกงบอน”
“หา แกงบอน บอนที่มันคันๆน่ะนะ” ผมพูดยังไม่ทันจบดี แกก็ตีแปะเข้าที่แขนผม
“แกงบอนเขาห้ามพูดถึงเรื่องคัน เดี๋ยวมันจะกินไม่ได้” แกว่า ระหว่างนั้นก็จัดแจงเครื่องแกงบอนใส่ครก
พริก ตะไคร้ หอม กระเทียม ข่า กระชาย เกลือใส่รวมในครก
“ป้า” ผมเรียก “ให้ชั้นช่วยตำนะป้านะ” ผมพูด ป้าแกยิ้ม เพราะสงสัยว่างานตำจะไม่ค่อยถูกใจแกสักเท่าไหร่ พอมีคนอาสาช่วยแกเลยดีใจใหญ่
“เอาสิ”
ทันทีที่ผมเริ่มลงมือตำ เรือนทั้งเรือนก็สั่นโครงเครง “ป้า บ้านมันจะพังลงมั๊ยเนี๊ยะ”
“โอ้ย ไม่พังหรอก ข้าตำจนเรือนไหวมาตั้งแต่ยังสาวๆแล้ว ไม่เห็นมันจะพังสักที”
“แหม ป้านี่ ตอนสาวๆคงงามน่าดูสินะ ที่ถ้าป้าเกิดสมัยชั้น.............เอ่อ ชั้นหมายถึงอยู่แถวบ้านชั้นนะ ป้าได้เป็นดาราไปแล้ว” ต้องขยันอ้อร้อกับแกหน่อย หวังจะขโมยวิชาเขาทั้งที ป้าช้อยก็เอาแต่ม้วนตุ้ยๆ คนงานคนอื่นๆก็ต่างพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ คนไทยสมัยนี้ดีนะ หัวเราะก็ยังต้องอาย
ผมตำไปได้สักพัก พริกยังไม่แตกดี ป้าช้อยแกก็หยิบข้าวสารมากำมือนึงโยนตูมลงครก
“อ้าว เฮ้ยป้าทำไรน่ะ” ผมถาม
“ใส่ข้าวสาร จะได้ตำง่ายๆ น้ำแกงจะได้ข้นๆ” อ้อ เคร็ดลับสาวชาวบ้าน อิๆ
ในขณะที่ผมช่วยแกตำพริกแกงอยู่นั่นเอง ชายคนนึงก็แบกก้านอะไรยาวๆเขียวๆมาวางชานเรือน
“ถามรึยังวะ ไอ้จ้อน” ป้าช้อยถาม
“ถามแล้ว”
“ถามอะไรกันน่ะป้า” ผมสอดรู้ขึ้นมา
“ก็ถามกอบอนนะสิวะ ว่ากอนี้หวานรึเปล่าจ๊ะ ถ้าหวานจะขอตัดไปแกง” แกตอบ
“ต้องถามด้วยเหรอ มันรู้เรื่องเหรอ”
“วะ เอ็งนี้ถามมากความ ก็เขาทำมาตั้งแต่ปู่ย่า แกงบอนน่ะ ไม่ใช่ใครจะแกงกินได้ง่ายๆนะเว้ย ข้าจะบอกให้” แกทำท่าภูมิใจ “ถ้าแกงไม่ดีมีหวังได้คันคะเยอกันทั้งเรือน”
แล้วแกก็ลงมือเอามีดมาปอกก้านบอนออก
“มาชั้นช่วย” สาระแนอีกตามเคย อยู่ที่นี่มันไม่มีอะไรให้ทำ อุตส่าห์ไปร่ำไปเรียนมาถึงเมืองนอก
“เอ็งนี่ ท่าทางทะมัดทะแมง ไปร่ำเรียนมาจากไหนรึ” ป้าช้อยถาม
“ชั้นเหรอ......” ผมนึก แหมไอ้ครั้นจะบอกว่าไปเรียนมาจากออสเตรเลีย พวกป้าๆที่นี่เขาก็ไม่เชื่อ
“ชั้นก็ เรียนเอาจาก......”ผมมองไปนอกรั้วบ้าน “แถวตลาดนั่นแหละป้า”
บอนก้านอิ่มๆถูกปอกออกจนขาวจั๊วะเหมือนน่องขาวๆของสาวหมวยๆ ป้าช้อยใช้มีดหั่นเฉียงบอนใส่หม้อที่ตั้งน้ำไว้จนเดือด แกบอกว่าต้องให้น้ำเดือดปุดๆ ไม่งั้นยางไม่ออกจะทำให้คัน บอนถูกใส่ลงไปในหม้อจนล้นออกมา ตามด้วยเกลือหนึ่งหยิบมือ แล้วแกก็ปิดฝา
“ป้าทำกับข้าวทำไมตั้งเยอะ คนอยู่กันแค่นี้” ผมถามในระหว่างที่แกะเนื้อปลาช่อนใส่ครกเพื่อตำรวมเข้ากับพริกแกง
“แค่นี้ที่ไหนของเอ็ง บ่าวไพร่เรือนนี้ก็ตั้งมาก ไหนจะพวกป่วยไข้ไร้ที่พักอีก” ป้าช้อยเช็ดหมากที่กำลังจะย้อยลงครก ผมละกลัวใจแกจริงจริ๊ง ไอ้ที่น้ำแกงสีแดงแป๊ดนี่คงไม่ใช่มาจากน้ำลายแกหรอกนะ
“พวกป่วยไข้เหรอป้า”
“ก็เออ นะสิวะ หลวงจรัสท่านรับพวกป่วยเป็นเรื้อน เป็นห่า มาไว้ที่เรือนท้ายสวนนู้น ไหนจะพวกเร่ร่อนแบบเอ็งอีก ข้านะ ต้องทนนั่งกันหลังขดหลังแข็งทำสำรับกับข้าวเลี้ยงคนทั้งเรือน” ป้าช้อยบ่น ผมมองไปทางหลังโรงครัวเลียบไปตามริมแม่น้ำ ที่นั่นมีต้นไม้ขึ้นหนาทึบ แต่ไม่ยักกะเห็นเรือนที่ป้าช้อยว่าเลย
“เจ้าบ้า” แกเรียกทำเอาผมสะดุ้ง “ น้ำเดือดล้นหม้อออกมาแล้ว ท่าจะได้เพลาแล้ว ไปยกหม้อมาเทน้ำทิ้งเสียที ข้าจะสุมไฟเพิ่ม” ได้ทีสั่งใหญ่เลยนะป้า
“มันร้อนน่ะป้า ไม่เห็นเหรอ”
“ข้าไม่ได้ให้เอ็งเอาปากคาบเสียหน่อย เจ้าบ้าเอ้ย ก็เอาผ้ารองมือเข้าสิวะ โง่เสียจริง”
อ่าวเหรอ ก็คนมันไม่เคยนี่นา ดุกันจริงๆเลยเว้ย คนบ้านนี้
“
‘
‘
“ทำอะไรของเจ้าน่ะ เจ้าบ้า” เอาอีกและ วันๆใจคอมึงไม่คิดจะทำอะไรอื่นนอกจากเดินตามกูมั่งเลยเหรอ
“คุณพินิจ” พวกคนใช้พากันคุกเข่า ไม่เป็นอันทำงานกันไปหมด “มาทำอะไรเรือนคนใช้กันเจ้าคะ มันสกปรก”
“ไม่มีอันใดดอก ข้าเพียงแต่..............มาดูความเป็นอยู่ของพวกเจ้าเท่านั้น” บ่าวไพร่ทำหน้างง
“จะทำอะไร” เขาถาม
“นี่เหรอ กำลังสอยมะม่วงอยู่มั้ง ก็เห็นอยู่ว่ากำลังเทน้ำ หลีกไป เกะกะ เดี๋ยวแม่งน้ำก็ลวกเอาพอดี” หมอปีย์ถอยออกมาท่าทางเก้ๆกังๆ ผมเดินออกมาเทน้ำร้อนไกลออกมาจากครัว หมอนั่นก็เดินตามดูอย่างสนใจ
ตอนนี้บอนที่เต็มหม้อ กลับเหี่ยวเหลือกะจิ๊ดเดียว
“เจ้านี่ท่าทางดูเข้าทีดีนะ” เขายิ้ม
“ก็ชั้นบอกแล้วว่าชั้นเป็นเชฟเรื่องแค่นี้จิ๊บๆ”
“
“.
.
.
“เราถามอะไรเจ้าหน่อยสิ”
“ว่าไง” ผมสะเด็ดน้ำ
“เจ้ากลัวแมงป่องรึป่าว” หมอปีย์ทำตาโต
“ทำไม”
“เราว่า..............เจ้าอยู่นิ่งๆดีกว่านะ” เขาทำหน้าตื่นยิ่งกว่าเดิม ตามองต่ำลงไปที่ขาผม
“ทำไม” ผมยืนแข็ง
“แมงป่องกำลังไต่ขึ้นมาที่ขาเจ้า อยู่เฉยๆ” เขาจ้องเขม็งมาที่ขา
ผมเหลือบมองดูขาตัวเอง และทันใดนั้นผมก็พบกับ ........พบกับ...........พับกับ...........ใบผักบุ้งเหี่ยว
มึงคิดว่ากูโง่เหรอ ไอ้หลวงหัวK แหม่ มาหลอกกู
“เฮ้ยๆ จริงด้วยๆ ทำไงดีวะ แมงป่องๆ ช่วยหน่อยสิวะ” เล่นกับเขาหน่อย
“อยู่นิ่งๆสิ ประเดี๋ยวมันก็ต่อยเอาดอก” แน๊ รับบทเนียนจริงๆ พ่อคุณ
“มันไต่จะถึงหว่างขาเจ้าแล้ว รอบัดเดี๋ยวเราจะหาไม้มาเขี่ยให้” หมอนั่นกำลังขยับตัว
“เฮ้ยๆ อย่าขยับ” ตาผมมั่ง “ มีอีกตัวนึงอยู่ที่ขานายน่ะ สงสัยคู่มัน” ผมทำเสียงตกใจ
“อย่ามาล้อเล่นน่า เราไม่กลัวดอก” เขายิ้มแหยๆ
“ไม่ได้ล้อเล่นเว้ย ตัวบะเอ้งเลย เกาะอยู่ที่ขานายน่ะ นั่นๆมันขยับแล้ว บอกให้อยู่นิ่งๆ” หมอปีย์ยืนตัวแข็งเป็นหลักกิโล
ผมปัดใบผังบุ้งเหี่ยวที่ติดขากางเกงออก
“เจ้าจะทำอะไรน่ะ” หมอปีย์ถามเมื่อเห็นผมหยิบไม้ขนาดเหมาะมือ
“ก็จะฝาดมันให้ตายคาขานายไง ไม่อย่างนั้นมีหวัง........บวมแน่” ว่าแล้วผมก็ง้างมือสุดแรง หน้าหมอปีย์ตกใจกลัวสุดขีด
“อย่า อย่า” แล้วผมก็ฟาดลงไปตรงจุดแกนกลางโลก แต่ยังไม่ทันถูก ผมก็ยั้งมือไว้ มองหน้าหมอนั่นหลับตาปี๋ ตัวสั่นงั๊กๆ
“555” สะใจจริงเว้ย ผมทิ้งไม้ เดินหิ้วหม้อบอนไปให้ป้าช้อยที่ครัว โดยไม่สนใจว่าคนข้างหลังจะสาปแช่งผมยังไง
...
สำรับอาหารถูกยกขึ้นมาวางไว้บนศาลาเรือนใหญ่ ผมอาบน้ำจากฝักบัวที่สมัยนั้นการอาบน้ำกับฝักบัวที่ทำมาจากโอ่งเจาะรูเอาสายยางใส่ และนำโอ่งไปไว้ที่สูงนั้นถือเป็นเรื่องที่ modern ที่สุดแล้ว ทุกเช้าบ่าวไพร่จะช่วยกันตักน้ำมาเติมให้เต็มโอ่งเพื่อให้นายมันอาบ
“หิวจะตายแล้ว” ผมนั่งพับเพียบลูบมือไปมามองอาหารที่อยู่ในสำรับแล้วน้ำลายไหล ถึงแม้จะไม่ได้กินสปาเกตตี้ แต่ตอนนี้หิวขนาดนี้ เอากระบอกไม้ไผ่มาให้แทะ ผมยังว่าอร่อยเล้ย
“ล้างมือเสียก่อน” ผมทำตามที่หมอปีย์สั่ง สมแล้วที่เป็นหมอ
“ทำไมนายไม่ให้ชั้นไปกินกับคนข้างล่างหล่ะ ชั้นเป็นแค่คนเร่ร่อนทำไมถึงได้กินได้นอน ต่างจาก..........พวกเรือนท้ายสวน” ผมถามขณะตักปลาเค็มทรงเครื่องชิ้นโตใส่จานข้าว
“ประเดี๋ยวก็เค็มตายหรอก เจ้าบ้า “ เขามองปลาเค็มที่นอนรอเข้าปากอยู่ในถ้วย ควันจากข้าวสวยร้อนๆลอยกรุ่นๆ บวกกับกลิ่นหอมของปลาเค็มทำให้ผมกลืนน้ำลายเอื๊อกๆ “เรื่องที่เจ้าได้มากิน มานอนบนเรือนนี้เป็นเรื่องของเรา เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ หากเจ้าไปเห็นชาวบ้านที่เรือนท้ายสวน เจ้าจักไม่ถามเราเยี่ยงนี้” หมอปีย์พูดน้ำเสียงเคร่งเครียด อารมณ์ขึ้นลงราวกับผู้หญิงมีรอบเดือน
“ทำไมเหรอ” ปลาเค็มถูกคลุกกับข้าวสวย
เขาไม่ตอบแต่หน้าตาดูเคร่งเครียด
“เป็นบ้าอะไรอีกเนี๊ยะ” และแล้วก็ถึงเวลาที่ผมจะได้ลิ้มรสข้าวคลุกปลาเค็มอันหอมหวนเสียที ผมเคี้ยวมันอย่างละมุนละม่อม รู้สึกอิ่มเอมกับของง่ายๆที่ป้าช้อยทำ รสเค็มแต่หอมเข้ากันดีกับข้าวแฉะ กลิ่นหอมแดงกระเทียมเจียว ใบมะกรูดก็หอมเข้ากันดี ไหนจะพริกที่ให้รสเผ็ด มะนาวที่ให้รสเปรี้ยวแหลม ทั้งหมดรวมกันแล้ว ตอนนี้สปาเกตตี้ก็สู้ไม่ได้
“เจ้านี่พูดพร่ามมากเกินไปแล้ว” มันด่าผม
“อ๊าว มาด่ากูทำไม กูทำอะไรมึง” ผมเคือง
“ปากของเจ้าเปนเยี่ยงนี้ ระวังกินแกงบอนไม่ได้” เขาตักแกงบอนใส่จาน น้ำแกงแดงแป๊ดทำให้ผมนึกถึงน้ำหมากป้าช้อย
“ทำไม ทำไมจะกินไม่ได้ ชั้นไม่ได้ปากหมาปากมอมซะหน่อย” ผมเถียง
“ก็เจ้าน่ะปากบอน ปากหาเรื่อง”
“อ่าว แล้วมาด่ากูหาป๊ะมึงเหรอ กูอยู่ของกูเฉยๆ........ปากกูไม่ได้บอนซะหน่อย กูกินให้ดู” ผมขอท้าพิสูจน์กับความเชื่อของคนโบราณที่ว่าคนปากบอนกินแกงบอนแล้วจะคัน
จานข้าวที่ทำมาจากกระเบื้องตอนนี้เจิ่งนองไปด้วยน้ำแกงบอน ผมตักปลาเค็มใส่เพิ่มในจาน ก่อนจะตักข้าวปากเคี้ยวหม่ำๆโชว์แม่งเลย
“อืม อาหย่อย” ผมเคี้ยวจับๆ ก่อนจะตักแกงบอนเพิ่ม มันมองดูผมด้วยความเอือมระอา
“เจ้าอายุเท่าไหร่”
“ทำมาย”
“ทำตัวเหมือนเด็ก” เฮ้ย มึงเป็นอะไรของมึง เหวี่ยงยังกับผู้หญิงอีก
“แล้วนายหล่ะ อายุเท่าไหร่”ผมถาม
“ทำไม”
“ทำตัวเหมือนคนแก่”
.
.
.
.
.
.
.
บรรยากาศเงียบลงถนัดใจ ผมพูดอะไรไม่เข้าหูมันรึป่าว ถ้ามันไม่พอใจขึ้นมา แล้วไล่ผมออกจากบ้าน ทีนี้แหละ ความซวยบังเกิด แต่ผมก็นึกไม่ออกว่าพูดเรื่องอะไรออกไป ตั้งแต่มานั่งตรงนี้ เรื่องเดียวที่ผมพูดก็แค่เรื่อง “เรือนท้ายสวน”
จานข้าวถูกเติมถึงสองครั้ง อาจเป็นเพราะความหิวตั้งแต่เช้า ที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย ในตอนแรกอยากกินสปาเก็ตตี้ใจแทบขาด แต่ตอนนี้ยอมรับว่า ข้าวคลุกปลาเค็มทำให้ผมลืมสปาเกตตี้ไปเลย
หมอปีย์ก้มหน้าก้มตากินไปเรื่อยๆ ไม่เงยหน้ามามองผมเลย อาจไม่พอใจที่ไปเล่นหัวกับมันมากไปหน่อย ก็แหงสิ เป็นถึงคุณหลงคุณหลวง แต่ถูกคนบ้าอย่างผมปีนเกลียวทุกวัน คงหงุดหงิดบ้างแหละ
แต่คนอย่างผมก็ไม่ง้อใครอยู่แล้ว ไม่คุยก็ไม่คุย กูไม่เห็นจะง้อเลย
แกงบอนของป้าช้อยนั้นเริ่มออกฤทธิ์ความเผ็ดเพราะผมเริ่มรู้สึกแสบปาก แต่ด้วยความอร่อย จึงอดทนกินต่อไป
“ซี๊ด” เผ็ดๆ ตอนนี้เริ่มรู้สึกร้อนๆที่ปาก สงสัยเพราะพริกนั่นแน่ๆ
“ฮ่าๆ ฮุ่ๆ” ผมเป่าเลาออกจากปาก
.
.จากที่รู้สึกเผ็ด เริ่มรู้สึกมากกว่านั้นแต่บอกไม่ถูก ขันน้ำฝนที่ลอยดอกมะลิถูกผมหยิบขึ้นมาซดคลายเผ็ด
“ฮ่า” ผมเป่าลมออกมาเบาๆ วางจาน เท้าแขน เอนตัวไปข้างหลังด้วยความอิ่ม
“เผ็ดเน๊อะ” ผมหันไปขอความเห็นจากมัน เหงื่อเป็นเม็ดผุดขึ้นมาตรงหน้าผาก และรอบปาก แต่หมอนั่นยังคงงอนไม่เลิก ช่างหัวมันดิ ไม่คุยก็ตามใจ
“อูยๆๆๆๆ” ครางเป็นระยะๆ และตอนนี้นอกจากเผ็ดแล้ว ยังรู้สึกบวมๆที่ปาก และที่สำคัญเริ่ม.........................คัน
“หึ” ผมเอานิ้วลูบริมฝีปาก จากลูบ เริ่มถู จากถู เริ่มขูด จากขูดเริ่ม........เกา
“โอย” ผมเกาถี่ขึ้นๆ และแรงขึ้นๆ เริ่มรู้สึกปากเจ่อบวม
“เฮ้ย นาย” ผมต้องตัดสินใจง้อ “นาย เฮ้ย”
“กระไร” เขาเงยหน้าขึ้นมาจากจานข้าวท่าทางคงหงุดหงิดผมเต็มที
“คันจัง” ผมบอก มือยังคงเกาแกรกๆ
เขาเงียบ ตาเบิกโพรง อ้าปากหวอ
“คันเน๊อะ ไม่รู้เป็นไร” ยังไม่รู้ตัว
“เจ้าบ้า” หมอปีย์เรียกชื่อผมเบาๆ และจ้องผมอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่ผมจะเห็นรอยยิ้มจางๆปรากฏบนใบหน้าของเขา
“ยิ้มอะไร”
“เราว่าเจ้า...................แพ้บอนดั่งที่เราแช่งเสียแล้วหล่ะ” แล้วในที่สุด ผมก็ทำให้หมอปีย์หัวเราะออกมาจนได้ แต่ว่า ดูเหมือนมันจะไม่คุ้มค่าเลยทีเอาตัวเองไปแลกให้ปากบวมเป่งขนาดนี้
..........................................................................................
“เราบอกเจ้าแล้วว่ากินแกงบอนอย่าปากบอน” หมอปีย์พูดขณะที่กำลังตำใบพลูให้ละเอียด
“อ้ออำไอ ไอ่ออกอันอีๆ อ่ะ ไออะไออู๊” ก็ทำไมไม่บอกกันดีๆหละ ใครจะไปรู้
“คนโบราณเขาห้ามพูดคำว่าคันเพลากินแกงบอน”
“อิอ้าอ่ะ อึ๋งอาอำเอนเอี่ยง” มิน่าหล่ะถึงมาทำเป็นเหวี่ยง ผมพูดได้ไม่เป็นคำแล้วตอนนี้ เพราะปากบวมลิ้นบวมจนคับปาก
“อยู่เฉยๆสิ อย่าไปเกา เดี๋ยวก็ไปกันใหญ่ดอก” โดนดุ
“อำอาไออะ” ทำอะไรวะ
“ใบพลู แก้อาการคันได้ดีชะงัดนัก จากลมพิษ หรือแผลแมลงกัดต่อย ก็ใช้ได้” เขาพูด มือยังคงตำใบพลูและบดไปมา “อ้อ โดยเฉพาะ น้ำกัดตีนปะไว้เพลาเดียวตีนก็หายเปื่อย” เขายิ้ม แววตาเยิ้ม
“ไอ้อ่า” ไอ้ห่า ผมแอบด่า เห็นปากกูเป็นง่ามตีน
“อยู่นิ่งๆสิ เจ้านี่ นอกจากปากบอนแล้วยังมือบอนอีก” นี่ตกลงมึงเป็นอะไร พ่อกูเหรอ
“นอนลงเถิด เราจะโปะให้” เขาพยายามดันร่างผมที่นั่งชะเง้อมองเขากำลังแคะใบพลูที่บดละเอียดขึ้นมาจากครก
“ไอ่เอนไอ อั้นอำเอง” ไม่เป็นไรชั้นทำเอง
“บอกให้นอนก็นอนลงไปเถิด เป็นเยี่ยงนี้แล้วยังจะรั้รอีก” เขาผลักผมนอนลงในที่สุด
“ทำปากจู๋” หมอปีย์ทำปากจู่เป็นตัวอย่างให้ดู
“อำไอ่ไอ้” ทำไม่ได้เว้ย นี่มันยังจู๋ไม่พออีกเหรอ ปากกูตอนนี้เหมือนตูดไก่เบ่งขี้แล้ว
“อยู่นิ่งๆสักประเดี๋ยว อย่าหลุกหลิก”
เอาก็คนมันอายนี่หว่า
“ใบพลูจะช่วยทุเลาอาการบวมและอักเษบได้” เขาพูดไปพลางโน้มตัวลงมาใกล้ ก่อนจะเอามือที่มีใบพลูบดละเอียดค่อยๆบรรจงวางอย่างแผ่วเบา ผมรู้สึกได้ถึงความห่วงใยที่เขามีให้ อาจเป็นเพราะเขาเป็นหมอก็ได้ ถึงแม้จะประหลาดอยู่บ้าง แต่ผมก็รู้สึกดีที่มีคนมาทำอย่างนี้ให้บ่อยๆ
สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่มือที่กำลังบรรจงวางใบพลูตำอย่างระมัดระวังปากก็พร่ำพูดถึงความรั้น ความดื้อของผม ผมรู้สึกเหมือนพ่อกำลังบ่นผมอยู่
“นายนี่เป็นอะไรกันแน่วะ” คำถามนี้เกิดขึ้นในใจ
..................................................................
วันนี้เป็นวันที่สี่แล้วที่ผมหลงมาอยู่ในยุคอดีต ไม่รู้ที่มาที่ไปว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ผมเชื่อว่ามันต้องมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ผมได้มาที่นี่ ในครั้งแรกผมรู้สึกตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลง จากนั้นอารมณ์คิดถึงบ้านและรับสภาพไม่ได้ก็เกิดขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน มาตอนนี้ผมเริ่มปรับตัวได้ และเริ่มคิดในมุมบวกมากขึ้น อย่างน้อยหากผมอยู่บ้านตอนนี้ก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น ต้องทนเห็นหน้าผู้หญิงทรยศ กับชายชู้วิปริต ไหนจะเรื่องวุ่นวายของครอบครัว กิจการร้านอาหารที่บ้านอีก
การได้มาอยู่ที่นี่ก็เหมือนการได้..........”พักร้อน” แต่จะพักสั้นพักยาวนั้น ยังไม่รู้
เช้านี้ผมตื่นเองโดยไม่ต้องรอให้อ่ำมาปลุก และรู้ตัวทันทีว่ากำลังนอนอยู่ใต้เตียง อย่าเสือกทะเล่อทะล่าลุกขึ้นหากไม่อยากเจ็บตัว แสงแดดยามเช้าของที่นี่ช่างอ่อนโยนและน่าคลอเคลียกว่าแสงแดดยามเช้าบ้านผมเป็นไหนๆ ผมเปิดหน้าต่างออกรับแดด และอากาศยามเช้าอย่างเต็มที่
ที่นี่เวลาไม่มีความหมาย ผู้คนไม่ต้องเร่งรีบเบียดเสียดกันออกมาจากบ้านแต่เช้าตรู่เพื่อมาค้างเติ่งอยู่บนทางที่ถูกเรียกว่าทางด่วน แต่ก็ไม่เห็นจะเร็วกว่ารถที่วิ่งไม่เสียเงินข้างล่างตรงไหน
เรารีบตื่นเช้า เพื่อจะมานอนหลับต่อบนรถ
ไม่ต้องรีบขึ้นรถไฟฟ้าไปทำงาน ไม่ต้องรีบนั่งมอเตอร์ไซต์รับจ้างเพื่อไปให้ทันตอกบัตร ไม่ต้องรีบกดลิฟท์รัวๆ ไม่ต้องรีบเดิน ไม่ต้องรีบกินรีบเคี้ยว ไม่ต้องรีบขี้ ไม่ต้องรีบเยี่ยว
สมัยผมนั้นมีสิ่งอำนวยความสะดวกเกิดขึ้นมากมายเพื่อช่วยให้เราดำเนินชีวิตในช่วงเวลาได้รวดเร็วและสะดวกยิ่งขึ้น แต่น่าแปลก ยิ่งเรามีเครื่องทุ่นแรงมากเท่าไหร่ เวลากลับวิ่งเร็วมากกว่าเครื่องพวกนั้น และที่น่าตกใจคือ เวลาเหล่านั้นกลับสั้นลง
เรามีเตาไฟฟ้า กาต้มน้ำ เพื่อรวดเร็วไม่ต้องก่อไฟ เรามีเครื่องอบขนมปังแทนการทำอาหารเช้า เรามีรถยนต์ รถไฟฟ้า เพื่อทำให้เราสะดวกรวดเร็วในการเดินทาง เรามีลิฟท์มีบันไดเลื่อนเพื่อจะได้ไม่ต้องเดินให้เมื่อยและเสียเวลา ...................แต่เรากลับยังรู้สึกว่า .................เราต้องรีบ รีบ และรีบมากขึ้นไปอีก
ในขณะที่คนที่นี่ ไม่มีของอย่างว่าสักอย่าง แต่เขากลับไม่เดือดร้อน นายทองสุขกำลังกวาดลานบ้านอย่างสบายใจ น้ากอบกำลังสอยมะม่วงที่กำลังออกลูกดกเต็มต้น โดยมีเจ้าจุกลูกชายวัยซุกซนกำลังช่วยแม่ปีนเก็บ บางคนในนี้กำลังหาบน้ำ บางคนก็ฆ่าเวลาว่างตอนเช้า ด้วยการสานตะกร้าไว้คอยใส่ของ สองคนข้างหน้าบ้านนั้นเพิ่งกลับมาจากตลาด ในมือหิ้วตะกร้าของพะรุงพะรัง พวกเขาแวะทักทายคนแปลกหน้าคนแล้วคนเล่าอย่างไม่มีอาการเร่งรีบ
“เฮ้อ” ผมถอนหายใจคิดอิจฉาคนในยุคนี้เสียจริง
“ปากเจ้าเปนเยี่ยงไรบ้าง” เสียงหมอปีย์เดินเข้ามาในห้อง ฝีเท้าของเขายังคงแผ่วเบา และผมก็ยังคงพยายามเดินให้ได้แบบเขา
“ดีขึ้นแล้วหล่ะ ขอบใจนายมากนะที่ช่วย” ผมตอบ
“เป็นเยี่ยงไรรึ คิดถึงบ้านหรือไร” เขาถามก่อนจะมายืนข้างๆ
“ไม่หรอก ไม่รู้สิ “
“หากความจำเจ้ากลับมา เราจักเปนคนพาเจ้ากลับเอง มิต้องกังวลไปดอก หมอจรัสกลับมาเมื่อใด เจ้าจะได้รักษากับท่าน ท่านเก่ง เรารับรองว่าเจ้าจักต้องหาย” เขาปลอบโยน แต่คำปลอบนั้นกลับทำให้ผมเจ็บปวดที่สุด ก็เพราะมันหมายความว่าเขาไม่เชื่อว่าสิ่งที่ผมพูดเป็นเรื่องจริง และการที่พูดความจริงไปแล้วไม่มีใครเชื่อ เป็นสิ่งที่น่าเจ็บปวดที่สุด
“เฮ้อ” ผมถอนหายใจ ในความไม่เคยเข้าใจอะไรเลยของเขา “แต่ยังไงชั้นก็ขอบใจนะ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง”
“ไม่ต้องขอบใจเราดอก เรามิได้ให้เจ้ามากินอยู่เปล่า” เขายิ้ม
“หมายความว่าไง”
“เราหมายถึง เรามีเรื่องจักต้องรบกวนเจ้าเป็นอันมากเชียวหล่ะ อย่างไรเสียเจ้าอาบน้ำอาบท่าก่อนเถิด เราจักพาเจ้าไปที่ที่หนึ่ง”
-
“เจ้าจะทำอะไรน่ะ” “ก็จะฝาดมันให้ตายคาขานายไง ไม่อย่างนั้นมีหวัง........บวมแน่”
บวมแน่ๆ ฮ่าๆๆ ถ้าฝาดลงไปจริงอ่ะนะ
อ่านแล้วอยากลองกินแกงบอนมั่ง ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยกินเลยอ่ะ เห็นรูปแล้วน่าจะอร่อย
-
จะให้เจ้าบ้าทำอะไรอ่า อยากรู้ต่อ
-
เห็นรูปแกงแล้วหิวข้าวเลยอ่ะ หง่ำ ๆ ๆ
สงสัยนายเอกจะได้เป็นล่ามหรือเปล่าหว่า
-
เริ่มปรับตัวได้ สนุกใหญ่
-
สนุกดีค่ะ ชอบมาก นายเอกปากไม่ดี ดี :jul3: แล้วจะรอติดตามนะคะ o13
-
แกงบอน..กินแล้วห้ามปากบอนจริงๆเหรอ? ดูรูปก็น่ากินดีอ่ะ อ่านวิธีทำแล้วยิ่งหิวเลย ฮ่าๆๆ
ว่าแล้วผมก็เอามือฉีกตาออกกว้าง ก่อนจะชะโงกหน้าเกือบจมลงไปในจาน
“ทำอะไรของเอ็ง เจ้านี่ ทะลึงตึงตังนักเชียว” แกดุ
“อ้าวก็ป้าบอกให้ชั้นแหกตาดูเอาเองไม่ใช่รึ”
:laugh: ช่างเป็นเชฟที่กวนจริงๆ
ในที่สุดก็จะมีอะไรทำสักที คุณชายจะพาไปไหนนะ~ :o9:
-
นายบ้าเราปากบอนนี่เอง :m20:
-
แพ้บอนซะได้นะ
-
ข้อคิดดีๆมากมายแทรกสอดไว้ในเรื่องอย่างลงตัวมากเลยครับ
ยิ่งอ่านแล้วยิ่งได้อะไรหลายๆอย่าง
เรื่องนี้มีอะไรมากกว่าความสนุก
แต่ได้ทั้งภาษา การบรรยายและชีวิตความเป็นอยู่ของคนสมัยก่อนเหมือนกับเราเข้าไปอยู่ในที่แห่งนั้นจริงๆ
-
จะโดนใช้แรงงานแล้วาสินะ คิกๆ
-
อ่านเรื่องนี้จบ ได้ความรู้เรื่องอาหารไทยอีกเยอะเลยครับ
-
ไปไหน?
รออ่านต่อนะคะ ชอบเรื่องย้อนยุคอย่างนี้ที่สุดเลย :-[
-
อ๊าาาาาาาา แกงบอน :o8:
ของชอบเลยค่ะ เวลากลับบ้านทีไรชอบไปซื้อกินที่ตลาดตลอด
อยู่กทม.หากินไม่ค่อยจะมี
เห็นแล้วหิวค่ะ o7
-
อ่านแล้วหิวมากค่ะ จบแล้วก็ขอตัวไปกินข้าวก่อน
+1 ไปด้วยเลย
-
บรรยายซะอยากกินปลาทูเค็มกับข้าวสวยร้อนๆ เลย o13
-
รอเมนูอาหารไทยดั้งเดิมจานต่อไป อ่านแล้วหิวข้าวจังเลย
-
อยากจะบอกว่า
ป้าเราทำแกงบอนได้อร่อยสุด ๆ
แต่น๊าน นาน แกถึงจะทำให้กินสักที
:กอด1: :กอด1:
-
ขอบคุณคับ
-
:z2: รักคนแต่ง หนุกอะ เนื้อเรื่องเยี่ยม o13
กรุณาจัดมาให้สาสมเลยนะคะ :man1:
-
หิวข้าว~~~~
ปลาทูเค็มกับแกงบอน เอาสปาเก็ตตี้มาแลกก็ไม่ยอม :a14:
-
รอลุ้นต่อไปจะลงเอยอยางไร :L2: :pig4:
-
รออออ มาอัพอีก
เอาซะอยากกินเลยย
-
ชอบอ่าอ่านแล้วชอบเลยง่ะ
เรื่องนี้
มาต่ออีกไวๆ นร้าส์
+1 ให้เลยจร้า
-
คุณหมอจะพาไปไหนนะ
รอตอนต่อไปนะ
เป็นกำลังใจจ้า
สู้ๆ นะจ้ะ
-
รอต่อไป
-
เพิ่งได้อ่านเรื้องนี้ไม่นาน
ชอบมากๆอ่านแล้วได้อะไรๆเยอะแยะไปหมด
บางตอนอ่านแล้วถึงขั้นน้ำตาซึมกับความจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
จะติดตามต่อไปครับ
-
จะให้ทำไรอ่ะ :t3:
แต่จะหาใครเชื่อเจ้าบ้าได้มั้ยน้า น่าสงสาร :เฮ้อ:
-
มันเคืองก็เพราะอ่านตอนเที่ยงคืนกว่าๆแล้วหิวนี่แหละนะ :m16:
-
ทางเดินคดเคี้ยวไปมา ลัดเลาะไปตามสวนรกทึบ สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นบอน ดอกปักษาสวรรค์สีแดงสด โรยเรี่ยลงมาจากยอดจนเกือบถึงพื้น อีกทั้งต้นหมาก ต้นพลูก็ขึ้นเกะกะไม่เป็นระเบียบ อีกฝากหนึ่งริมแม่น้ำ มีแปลงปลูกสมุนไพรมากมายที่ผมไม่รู้จัก
“จะพากูไปไหนเนี๊ยะ ถ้าคิดจะข่มขืนกระทำชำเราก็บอกดีๆ ไม่ต้องไปไกลหรอก” ผมพูดแซวเล่นขำๆ มือคว้าใบกระถินรูดเล่นก่อนจะค่อยๆโปรยมันขึ้นฟ้า เสียงนกกาเหว่า นกกะปูดร้องกันระงม ผมเคยได้ยินเสียงนกพวกนี้ครั้งหนึ่งก็แค่ในสวนสัตว์
“โอยยยย อีกไกลมั๊ย ขอรับ นายท่าน กูปวดขา” ตอนนี้ขาผมเป็นรอยหนามข่วนเต็มไปหมด
“อีกไม่ไกลนักดอก” สีหน้าของเขาดูเคร่งเครียด เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง
“ถ้าเจ้าเห็นสิ่งที่เรากำลังจักพาเจ้าไปแล้ว ไม่ชอบใจ พาลรังเกียจเราไปด้วย เราก็มิว่าเจ้าดอก” เขาตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อไปด้วยความชำนาญ
ทางข้างหน้าถูกยกเป็นร่อง โดยปลูกมะม่วง มะพร้าวไว้
“จวนจะถึงแล้วหล่ะ” เขาพูด เมื่อเราเดินมาถึงคูน้ำที่ขุดผ่ากลางสวน น้ำในคูเต็มไปด้วยแหนสีเขียว
“นายอย่าบอกนะ ว่าให้ชั้นข้ามสะพานไม้ไผ่นี่ไป” ผมหยุดกึกเมื่อเดินมาถึงสะพานไม้ที่ทำมาจากไม้ไผ่ทั้งลำวางพาด ไม่มีที่จับ ไม่มีเชือก มีแค่ไม้ไผ่ท่อนเดียว
“หรือเจ้าจักว่ายน้ำข้ามไปก็ได้” ดูมันตอบ จะบ้าเร๊อะ น้ำเขียวขนาดนี้ ขืนลงไปว่าย ขึ้นมาชั้นไม่กลายเป็นก๊อบลินไปเลยรึ
“จะข้ามไปยังไงหล่ะ มันไม่มีที่จับน่ะ” ผมว่า ก่อนชะโงกหน้าลงไปดูความลึก
“จับมือเราสิ....................” หมอนั่นยื่นมือมา ผมเงยหน้าขึ้นมองทำตาปริบๆ
“.......................................”
“......................................”
“.....................................”
“....................................”
“แห่ๆๆ น้ำลึกเน๊อะ” ผมหัวเราะแก้เก้อ ก่อนจะตัดสินใจเดินนำหน้า
สะพานไม้ไผ่ เด้งดึ๋งตามจังหวะ ที่ผมเดิน เมื่อเดินมาจนเกือบสุดทางหมอปีย์จึงได้เดินตามลงมา
ผมเห็นว่ามันเป็นโอกาสอันดีที่จะแกล้งมันซักหน่อย จึงจัดการ............ขย่มสะพาน
“เฮ้ย!! เจ้าจักทำอะไรของเจ้าน่ะ” เขาว่า พลางกางเขนกางขาหาสมดุลให้ตัวเอง
“แผ่นดินไหว แผ่นดินไหว” แล้วผมก็ค่อยๆขย่มสะพานช้าๆ
“นี่มิใช่เวลามาเล่นนะ เจ้าบ้า หยุด เราบอกให้หยุด” หมอปีย์หยุดยืนบนสะพานอยู่กลางคูน้ำ “ถ้าเจ้าไม่หยุด เราจักเอาสะพานนี้ออก ให้เจ้าติดอยู่กลางเกาะนี่แหละ”
ผมมองรอบๆบริเวณ จริงอย่างหมอนั่นว่า ที่แห่งนี้ถูกล้อมรอบด้วยคูน้ำคล้ายกับจะขังอะไรบางอย่างโดยใช้น้ำเป็นกำแพง ผมหยุด ขย่มก่อนจะหันหลังเดินสำรวจทางเดิน
.
.
.
.
“เจ้านี่มัน.................”หมอปีย์ทำท่าจะด่า
“นายได้กลิ่นอะไรมั๊ย” แต่ผมพูดขัดขึ้นมา “กลิ่นหืน กลิ่นสาป..........อะไรสักอย่าง” ผมมองหาที่มาของกลิ่นนี้
“ถ้าเจ้าหมายถึงกลิ่นนี้หล่ะก็ ตามเรามาเถิด” แล้วเขาก็นำทางอีกครั้ง
ตอนนี้สองข้างทางเปลี่ยนไป กลายเป็นแผงที่ตากเครื่องยาสมุนไพรต่างๆเต็มไปหมด
“นู่นไง เรือนที่เจ้าเอ่ยถึง”
ภาพข้างหน้าของผมปรากฎบ้านไม้อีกหลังที่หลบอยู่ในมุมมืดของต้นโพธิ์ใหญ่ บรรยากาศวังเวงยังไงชอบกล ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ แม้กระทั่งลม
“นายสน” ผมเปรยเบาๆ เมื่อเห็นสนกำลังง่วนอยู่กับการหั่นอะไรบางอย่างที่ถ้าผมเดาไม่ผิด น่าจะเป็นมะระขี้นก
“นายสนดูแลเรือนหลังนี้ เขาเป็นคนดีและเสียสละยิ่ง” ผมยิ่งสงสัยกับสิ่งที่หมอปีย์พูด
“เออ รู้แล้ว”
เราทั้งคู่เดินผ่านสายตานายสนที่ฉายแววสงสัยว่าผมมาทำอะไรที่นี่ กลิ่นสาปสางนั้นชัดเจนมากกว่าเมื่อครู่จนผมเริ่มคลื่นไส้
“เรือนหลังนี้เป็นความลับ ห้ามมิให้เจ้าแพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เป็นอันขาด มิเช่นนั้นมิใช่เพียงเจ้าเท่านั้นที่ลำบาก” เขาหยุดกลืนน้ำลาย ก่อนจะค่อยๆผลักประตูไม้ที่ทำมาจากไม้ไผ่ออกเสียงดังเอี๊ยดดูท่าทางเหมือนลำบากใจ
“แต่ผู้คนเล่านี้ จะพลอยลำบากไปกับเจ้าด้วย”
ทันทีที่สิ้นเสียงประตูและเสียงของหมอปีย์ ผมถึงกับหยุดนิ่งราวกับถูกเวทมนต์ดำสะกด กลิ่นสาปที่ได้กลิ่นเมื่อสักครู่ ทะลักออกมาราวกับน้ำป่า ผมปิดตากลั้นจมูกชั่วขณะ ก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นและเห็นภาพเบื้องหน้าที่ทำให้ผมขนหัวลุก ตัวสั่นเทิ้ม น้ำลายหนืด และหายใจเริ่มไม่คล่องคอ
“เปนอันใดไปเล่า เจ้าบ้า” ผมได้ยินเสียงหมอปีย์ชัดเจน แต่มันกลับไม่มีผลเท่าภาพเบื้องหน้า
สิ่งที่ผมเห็นคือภาพผู้คนที่นอนรวมกันอยู่บนแคร่ ที่ถูกวางเรียงเป็นตับอย่างเป็นระเบียบ เว้นแค่เพียงช่องทางเดิน ถ้าสมัยผมก็คงเป็นเตียงพยาบาลสำหรับห้องธรรมดาน่าจะอธิบายภาพตรงหน้าได้ แต่สิ่งที่น่าตกใจกว่านั้นคือคนที่อยู่บนแคร่เหล่านี้ พวกเขาอยู่ในสภาพเรียกได้ว่าแทบไม่เหลือเค้าความเป็นคน
บางคนอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า นอนคุดคู้ ผิวหนังเป็นสะเก็ดตะปุ่มตะป่ำ นิ้วมือนิ้วเท้าหงิกหงอ
บางคนนอนหลับแต่ตากลับปิดไม่สนิท บริเวณศีรษะนั้นมีผื่นนูนหนา และมีเลือดซึมออกมา และมีสะเก็ดคล้ายรังแค ลามมาถึงหน้าผาก
หญิงสาวตรงมุมอับด้านในร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด เธอพยายามจะงอแขนงอขา แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะสะเก็ดแผลร้ายเหล่านั้นรั้งมันไว้
เสียงร้องโหยหวนเล็ดลอดออกมาจากลำคอพวกเขาอย่างยากลำบาก หากให้ผมนับคร่าวๆ คนในบ้านหลังนี้น่าจะมีไม่ต่ำกว่า 20 คน
ผมยืนแน่นิ่ง................
รอบๆตัวมีแต่ภาพของคนเหล่านี้นอนบิดตัวไปมา ผมทำอะไรไม่ถูก ไม่คิดมาก่อนว่าจะเจออะไรแบบนี้
“นี่ นี่” แล้วจู่ๆผมก็รู้สึกถึงมือเล็กๆสัมผัสกับนิ้วมือของผม มือนั้น เหมือนฉุดผมให้ออกมาจากภาพเบื้องหน้าเหล่านั้น
ผมสะบัดหัวก่อนจะก้มหน้าลงมองเจ้าของมือนั้น และกลับพบว่า สิ่งที่ผมกำลังมองอยู่นั้น มันสะเทือนใจผมเสียยิ่งกว่าภาพเบื้องหน้าเหล่านั้นอีก
“เอ้ย” ผมอ้าปากค้างอีกครั้ง ตกใจกับภาพที่เห็น
มัน คือภาพเด็กที่ถูกจับโกนหัว หรือไม่อย่างนั้นก็เพราะสะเก็ดแผลเหล่านั้นต่างหากที่ทำให้ผมของเด็กนั่นร่วงจนหมด เลือดสีแดงซึมออกมาตามรอยแยกของแผล แมลงหวี่ แมลงวันบินตอมเต็มไปหมด
อีกทั้งเนื้อตัวของเด็กนั่นก็เต็มไปด้วยรอยแผลแบบเดียวกัน สะเก็ดสีขาวลามไปทั่วใบหน้าและปาก เคราะห์ยังดีที่ช่วงล่างของเด็กนั่นยังเป็นไม่มาก ผมมองเรื่อยมาจนถึงมือของเด็กคนนั้นที่ยังคงเกาะกุมมือผม มือที่เรียวเล็กไร้เรี่ยวแรง ก็เต็มไปด้วยแผล เลือด และแมลง
และ นิ้วมือ!!! ที่กุด หงิกงอ เล็บที่ทื่อเต็มไปด้วยเชื้อราข้างนั้นที่กำลังเกาะกุมมือผมอยู่
“เฮ้ย!!” ผมตกใจเมื่อเห็นมือที่เต็มไปด้วยแผลนั้นกำลังจับมือผมอยู่ อารามตกใจ ผมสะบัดมือออกอย่างแรง และถอยหนีออกมาจากเด็กคนนั้น
เด็กคนนั้นมองหน้าผม แววตาของเขาเศร้าจับจิต สีหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนไปจากแววตาตื่นเต้นที่เห็นคนแปลกหน้าเมื่อครู่ กลับกลายเป็นแววตาที่รื้อไปด้วยน้ำตา แล้วเด็กคนนั้นก็ร้องไห้จ้า
ผมทนรับกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้อีกต่อไป ทนไม่ได้กับการที่ต้องยืนมองคนเหล่านี้ สภาพที่เขาเป็น เสียงที่เขาร้องโหยหวน กลิ่นเหม็นสาป ในที่สุดผมจึงตัดสินใจ....................วิ่งหนีออกมา
“เจ้าบ้า!!!” เสียงตะโกนตามหลังออกมาคละปนไปกับเสียงร้องไห้ด้วยความตกใจของเด็กน้อยคนนั้น
ในระหว่างที่ผมวิ่งหนีออกมา ในหัวคิดเพียงแค่ ไปให้พ้นจากตรงนี้ อากาศที่ปลอดโปร่ง ผมต้องการอากาศที่ปลอดโปร่ง และ........ไม่มีภาพของคนเหล่านั้น
ในที่สุดผมก็มาหยุดพักหอบอยู่ตรงใต้ต้นไม้ใบดกต้นหนึ่ง เสียงหอบอย่างหนักของผมทำให้ตัวกระเพื่อมเป็นระยะๆ ผมทรุดตัวลงนั่งบนขอนไม้ โดยหันหน้าออกไปนอกบ้านหลังนั้น ไม่อยากเห็นบ้านหลังนั้น อีกและพยายามนึกว่าสิ่งที่เห็นมันคืออะไร
พวกเขาเป็นอะไร
แววตาของเด็กคนนั้นยังลอยวนเวียนอยู่ในห้วงสำนึก
.
.
.
“เปนอะไรไปรึ เจ้าบ้า” เสียงของหมอปีย์ดังขึ้นด้านหลัง เขาวางมือลงบนบ่าผมอย่างแผ่วเบา
และทันทีนั้นเอง!!!!
ผมปัดมือของเขาออกไปอย่างแรง และลุกพรวดขึ้น จนเขาแสดงสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้ารังเกียจ คนพวกนั้นรึ รังเกียจเด็กคนนั้นรึ” หมอปีย์ถาม
“...........................................” ผมไม่รู้จะสรรหาคำใดมาอธิบาย
“ไม่มีผู้ใดอยากเป็นโรคเรื้อนแบบพวกเขาดอก เพราะเมื่อเปนขึ้นมา ญาติพี่น้องก็รังเกียจ เหมือนที่เจ้าเปนอยู่เยี่ยงนี้แหละ”
“ชั้น เอ่อ ชั้นไม่ได้รังเกียจ” ผมแก้ตัวตะกุกตะกัก จริงๆผมไม่ได้รังเกียจพวกเขาหรอก เพียงแต่ตกใจกับสิ่งที่เห็นมากกว่า
“แต่เจ้าวิ่งหนี...............เจ้ารังเกียจพวกเขา............รวมถึงรังเกียจเราด้วย” แววตาของหมอปีย์แสดงอาการผิดหวัง แต่ก็ยังฝืนยิ้ม
“ชั้นบอกว่าไม่ได้รังเกียจไง ไม่ได้ยินเหรอ” ผมตะคอกใส่เขา มันเหมือนกับเขาพูดถูกเกี่ยวกับความรู้สึกลึกๆของผม แต่ผมกลับพยายามไม่ยอมรับว่าผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เพราะมันเป็นสิ่งที่ไร้มนุษยธรรมเกินไป
เขาไม่พูดอะไร แต่มองหน้าผมด้วยแววตาผิดหวัง
“เจ้ากลับเรือนไปก่อนเถิด เราจักอยู่ที่เรือนนี้สักพักใหญ่” น้ำเสียงของเขาแสดงอาการผิดหวังเจือเสียใจ ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปยังเรือนหลังนั้น
ผมยืนนิ่งครู่หนึ่ง มองดูร่างของหมอปีย์ค่อยๆหายลับไปในพุ่มไม้ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนขอนไม้อีกครั้ง ภาพของพวกเขาเหล่านั้น เสียง กลิ่น แววตาของเด็กคนนั้นยังคงติดตา
“โรคเรื้อนเหรอ” ผมทวนคำที่หมอปีย์พูด
เมื่อคิดถึงเรื่องโรคนี้ขึ้นมาผมก็นึกขึ้นได้ว่า โรคเรื้อนได้หมดไปจากประเทศไทยนานแล้วในสมัยผม แต่สำหรับในสมัยนี้คงเป็นเรื่องใหญ่สำหรับพวกเขา
ผมนึกสะท้อนใจขึ้นมาเล็กๆ เมื่อคิดว่าเราโชคดีแค่ไหนที่เกิดในยุคสมัยที่การแพทย์พัฒนาแล้ว เราไม่ต้องกลัวโรคเหล่านี้ เพราะเรามีหมอ มีโรงพยาบาล มียาอย่างดี ในขณะที่คนในสมัยนี้กลับต้องล้มตายเป็นใบไม้ร่วงด้วยแค่โรคท้องร่วง ไข้ทรพิษ ไข้ป่า หรือโดนรังเกียจเพราะโรคเรื้อน โรคคุดทะราด ทั้งที่จริงๆแล้วรักษาให้หายได้ด้วยยาในยุคสมัยผม
จะว่าไปแล้ว ที่เราโชคดีได้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะคนสมัยนี้ตะหากที่ต้องเหมือนกับเสียสละชีวิตเพื่อเป็นหนูทดลอง ทำให้เราศึกษาค้นคว้า พัฒนา ยา และวิธีรักษา พวกเขามีบุญคุณกับเรา
แล้วสิ่งที่ผมทำกับพวกเขามันคืออะไร สีหน้า การสะบัดมือ การวิ่งหนี การกระทำเหล่านี้คือการแสดงความรังเกียจพวกเขาอย่างชัดเจน
“กูนี่มันเลวจริงๆ”
เมื่อคิดได้อย่างนั้นผมจึงลุกขึ้นยืน หันหลังกลับ ก่อนจะมุ่งหน้าเดินกลับไปยังเรือนหลังนั้น
.
.
.
.
.
.
“ชั้นขอโทษ” ผมพูด เมื่อเดินมาถึงที่ที่หมอปีย์นั่งหั่นต้นอะไรสักอย่าง เขาหันหลังกลับมามอง ก่อนจะยิ้มอย่างเข้าใจ
“ชั้นขอโทษนะ พอดี ตกใจไปหน่อย” ผมนั่งลงใกล้ๆเขา พยายามพูดให้ดูเหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกี้เป็นเรื่องเล็ก
“เราเข้าใจ เปนผู้ใดก็ย่อมตกใจเปนธรรมดา”
“พวกเขามาจากไหนกัน” ผมถาม
“หลายแห่ง บางคนถูกปล่อยทิ้งไว้ที่วัด ทิ้งไว้ในป่าช้า ไม่ก็ตามที่รกร้าง ส่วนเจ้าแดง เด็กที่จับมือเจ้าเมื่อครู่ พ่อแม่มันเพิ่งตายไปเมื่อปีกลายนี่เอง” ผมถอนหายใจยาวเมื่อเขาพูดถึงเด็กคนนั้น ในใจจุกแน่นไปด้วยความรู้สึกผิด
“หมอเจอราร์ทท่านสงสาร รับมารักษา โดยเอาที่ท้ายเรือนห่างจากชุมชน ทำเปนโรงรักษา ท่านให้บ่าวขุดคูรอบตัวเรือน เพื่อกันมิให้โรคติดไปภายนอกและห้ามบ่าวไพร่ แพร่งพรายเรื่องนี้แก่ผู้ใด ” หมอปีย์อธิบายให้ฟัง ผมรู้สึกศรัทธาในตัวหมอเจอราร์ทขึ้นมาจับใจ
เขาหยิบรากของต้นอะไรสักอย่างขึ้นมาหั่น
“ทำไมหล่” ผมถาม
แต่หมอปีย์ไม่ตอบอะไร กลับตั้งหน้าตั้งตาหั่นรากไม้นั้นอย่างตั้งใจ
“ให้ชั้นช่วยมั๊ย” ผมยิ้ม เขามองหน้าผม แววตาต่างจากเมื่อครู่ ก่อนจะยื่นรากไม้มาให้
ผมรับมันมาโดยตั้งใจให้มือสัมผัสกับมือเขา
ผมกำมือของเขาไว้แน่น บีบเบาๆ
“มิรังเกียจเราแล้วรึ” เขาถาม ยิ้มมุมปาก
“อือ” ผมยิ้มพยักหน้าตอบ ก่อนจะรับรากไม้มา
“นี่รากอะไรเหรอ” ผมถาม
“รากดาวดึงศ์ เอามาบดรักษาโรคเรื้อน” ผมพยักหน้า แต่ไม่รู้หรอกว่าหน้าตาไอ้รากที่ว่ามันเป็นยังไง
(http://image.ohozaa.com/i/e1f/original_dawwadung.jpg)
“นายไม่กลัวเหรอ” ผมถาม
“กลัวอันใด”
“กลัวติดโรคไง” เขายิ้ม ส่ายหน้าไปมา
“เราเปนหมอรักษาโรค จักมาเกรงกลัวโรค คงผิดวิสัย คนทุกข์ทรมานเพราะโรคร้าย เรามีหน้าที่ช่วย มิใช่มีหน้าที่กลัว”
โอ้วววววววววววววววววววววววววววว!!!!
พระเจ้า นายยอดมาก นายหล่อขึ้นมาทันที ผมส่งสายตาเป็นประกายวิ้งๆปลื้มในความคิดของมัน
“แล้วโรคอย่างชั้นนี่ นายรักษาได้ป่าว” ผมถาม
“โรคอันใด”
“โรคอกหัก” ผมตอบกวนประสาท
“??????????????????????”
...
“เจ้าแน่ใจแล้วนะ”
“อืม”
“เรามิบังคับขืนใจเจ้านะ”
“เออ”
“หากเจ้ามิเต็มใจ เราค่อยทำกันวันหลังก็ได้”
“เอาวันนี้แหละ”
“อย่าร้องเสียงดังหล่ะ”
“เอ๊ะ จะเอาหรือไม่เอา ห๊ะ ถ้าจะเอาก็เปิดออก ถ้าไม่เอากูจะได้กลับบ้าน”
“เอาก็เอา”
เสียงเปิดประตูบ้านไม้หลังนั้นดังขึ้นอีกครั้ง ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอด เพราะยังไงซะ ผมก็คิดว่า ภายในบ้านหลังนี้ อากาศมันไม่ถ่ายเท ผมรู้สึกอึดอัดยังไงบอกไม่ถูก
ผมถือผงจากรากดาวดึงส์ที่นายสนบดไว้ใส่อยู่ในชาม ส่วนหมอปีย์นั้นเปิดประตูออก แล้วเดินนำหน้าเข้าไป ตอนนี้ผมรู้แล้วว่ากลิ่นหม็นนี้มาจากไหน ที่แท้ก็มาจากรากของเจ้าดาวดึงส์นี่เอง
“สวมเสียก่อน”” หมอปีย์ยื่นถุงมือที่ทำมาจากผ้าอย่างดีให้ผมคู่หนึ่ง พร้อมทั้งผ้าปิดปาก
“ดูเราก่อน แล้วเจ้าค่อยทำตาม” ผมยืนนิ่งอยู่หน้าเตียงผู้ป่วยชายคนหนึ่งที่นอนหายใจฝืดฝาด เนื้อตัวของเขาไม่ต่างจากคนอื่นๆ
หมอปีย์เริ่มวิธีการรักษาโรคตามสมัยของเขา เขานั่งยองๆลงใกล้เตียงผู้ป่วย ก่อนจะยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ถึงแม้ผมจะไม่เห็นรอยยิ้มของเขา แต่แววตาคู่งามคู่นั้นก็แจ่มชัดเสียจนรอยยิ้มหมดความหมาย
“ทำไมกูไม่เรียนหมอวะ” ผมนึกเมื่อเห็นคนป่วยเหล่านั้น แล้วหันมามองตัวเองที่ทำได้แค่ ยืนถือชามยา
“เข้ามานี่สิ เจ้าบ้า” หมอปีย์เรียก ผมเดินตัวแข็งทื่อเข้าไป ก่อนจะนั่งลงใกล้ๆเขา
“นี่ชื่อตามั่น เปนชาวบางประดู่” ผมยิ้มแหงๆให้แก แกโบกไม้โบกมือไปมา ปากก็พร่ำขอบอกขอบใจ สงสัยแกคงพยายามจะยกมือไว้ แต่ทำไม่ได้
“เจ้าจะลองทายาให้ตาไหม” เขาถาม น้ำเสียงไม่บังคับ ผมพยักหน้า อย่างลังเล หมอปีย์เหมือนจะอ่านแววตาผมออก
“ลองทาที่มือตาก่อน “ เขาคว้าข้อมือของตามั่นยื่นมาข้างหน้าผม แววตาแสดงอาการลุ้นว่าผมจะทำได้หรือไม่อย่างเปิดเผย
ผมเอานิ้วมือหยิบยาผงขึ้นมาหยิบมือนึง ตามคำบอกของหมอปีย์ ก่อนจะค่อยๆโรยลงบนหลังมือของตามั่น
“พอแค่นี้ก่อนเถิด เดี๋ยวเราจักทาให้ตามั่นเสียเอง” เขายิ้มอย่างพอที่เห็นผมทำได้แค่นี้ แต่ผมไม่ทำแค่นี้หรอก ผมไม่รอให้หมอปีย์ทายาเอง จัดการคว้ามือตามั่นมา ก่อนจะละเลงทายาจนทั่วแขนอย่างไม่มีทีท่ารังเกียจอีกต่อไป
หมอปีย์มองผมด้วยสายตาชื่นชม เขาคงไม่คิดว่าคนบ้าๆอย่างผมจะทำอะไรอย่างนี้ได้
แต่ผมไม่ได้ทำเพื่อเอาใจหมอนั่น หรือไม่ได้ทำเพราะกลัวเสียฟอร์ม สิ่งที่ทำกับตามั่นคือสิ่งที่ผมทำจากใจ
ข้อดีอย่างหนึ่งของการได้หลงยุคมาอยู่ที่นี่ ก็คือทำให้ผมสนใจคนรอบข้าง ลดความเห็นแก่ตัวมากขึ้น ซึ่งหากเป็นเมื่อก่อน เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับคนอย่างผมแน่นอน
“เจ้าทำดีมาก เจ้าบ้า” เขายิ้มให้ผม โดยที่ผมเองก็ยิ้มตอบ ความศรัทธาที่ผมมีต่อตัวหมอปีย์ตอนนี้ ทำให้ผมอยากทำอะไรดีๆให้ได้สักครึ่งหนึ่งของเขา
“เจ้าไปพักเถิด ที่เหลือเราทำเอง”
ผมเดินถือชามยาผงออกมาจากกลุ่มคนป่วย โดยออกมาทางด้านหลังที่ติดลำคลอง ภายนอกนี้ลมพัดเอื่อยๆผ่านกอไผ่ที่ขึ้นหนาทึบ ใบไผ่ร่วงกองเต็มพื้นจนไม่เห็นพื้นดิน ผมเดินย่ำใบไผ่สีเหลืองทองเสียงดังกรอบแกรบ
ตรงกอไผ่ริมน้ำ มีร่างหนึ่งนั่งตะคุ่มอยู่อย่างเดียวดาย ผมเพ่งมองจากที่ที่ยืนอยู่ แต่มองไม่ออก จึงตัดสินใจเดินเข้าไปหา
“อ้าว แดง” ผมเรียกชื่อเด็กชายร่างเล็กแกร็นที่นั่งเอาไม้ไผ่ขีดพื้นไปมา เจ้าแดงเงยหน้าขึ้นมามองผม แววตาว่างเปล่า
“มานั่งทำอะไรตรงนี้คนเดียว”
“..................................”
“ขอชั้นนั่งด้วยคนได้มั๊ยเมื่อยส้นตีนอ่ะ” ปากหมาจริงๆกับเด็กก็ไม่เว้น
แล้วผมก็นั่งลงใกล้ๆเจ้าแดง มันไม่พูดอะไร ก้มหน้าก้มตาขีดๆเขียนๆอะไรของมันไปเรื่อยเปื่อย
“วาดอะไรอยู่ ขอดูหน่อยดิ” ผมยังไม่ลดละ
“วาดช้าง” ในที่สุดมันก็ยอมพูด ถึงแม้จะฟังไม่ชัดดีนัก เพราะอายุเจ้าแดงคงไม่น่าจะเกิน 6ขวบ แต่ผมก็พอเดาออก
“ช้างมันไม่ได้วาดอย่างนี้ นี่มันฮิปโป (เด็กสมัยนั้นมันจะรู้จักฮิปโปป่าววะ) มาเดี๋ยววาดให้ดู” แล้วผมก็ใช้ฝีมือในการวาดรูปที่มีอยู่เท่าหอยมด วาดรูปลงบนพื้นดินที่เขี่ยใบไผ่ออกหมดแล้ว
“นี่ไงช้าง เคยเห็นช้างด้วยเหรอ” ผมถาม
“เคยเห็น ที่วัด” มันตอบ
“...........................” ผมไม่รู้จะพูดอะไร แต่รู้สึกสงสารเด็กนี่อย่างจับใจ หากนับอายุตอนนี้ ผมคงแก่กว่ามันหลายปีทีเดียว แต่หากนับปี พ.ศ.เกิด เจ้าแดงคงเป็นตาทวดผมแล้วหล่ะมั้ง..............ถ้ามันรอด
ผมอยากจะพามันกลับโลกปัจจุบันไปกับผมเสียจริงๆ อย่างน้อยในยุคของผมโรคเหล่านี้คงง่ายที่จะรักษา
“แดงอยู่นี่กับใคร”
“อยู่กับตา ตามั่น ตามั่น” เจ้าแดงย้ำคำโยกตัวไปมา
“เหงามั๊ย” ผมถามเพราะเท่าที่เห็นที่นี่ไม่มีเด็กอายุเท่ามันเลย และมันคงออกไปไหนไม่ได้ด้วย เพราะมีคูน้ำล้อมรอบ
มันไม่ตอบ ที่ไม่ตอบเพราะไม่เหงา หรือเพราะไม่รู้ความหมายของคำว่าเหงากันแน่
“มาใกล้ๆนี่ เดี๋ยวทายาให้”
“ไม่ทา ไม่ทา ทายาแสบ” เจ้าแดงส่ายหัว
“แสบนิดเดียว จะได้หายไง โอเค๊”
“ไม่เอา ไม่ทา แสบ”
“เดี๋ยวหายแล้วเราจะพาไปดูช้างอีก เอามั๊ยหล่ะ”
เจ้าแดงนิ่ง เงยหน้ามามองผม ผมเห็นแววตาเป็นประกายแบบเมื่อครู่อีกครั้ง และแววตาคู่นี้แหละ ที่ทำให้ผมรู้สึกว่า เรื่องอกหักของผม มันเป็นเรื่องโคตรจะแมร่งไร้สาระ
“โอเค๊” ผมทำมือโอเค
“พาไปที่วัดนะ” เจ้าแดงทำท่าตื่นเต้น ผมยิ้มให้มันอย่างจริงใจ ในชีวิตที่ผ่านมาของมัน มันอยู่กับวันโหดร้ายเหล่านี้ได้อย่างไร ผมนึกสงสัย
“อืม ไปที่วัด ไปขี่ช้างเลย โอเคมั๊ย” ผมหัวเราะร่า
“อืม” มันพยักหน้า
“เฮ้ย อาราย อย่าตอบอืมสิ ไหนลองพูดโอเคสิ ..........ทำท่าแบบนี้ด้วย” ผมทำท่าให้ดู
“โอเค๊” เจ้าแดงเลียนแบบ
แล้วเจ้าแดงก็ขยับตัวมาใกล้ผม กลิ่นสาปของเด็กนั่นคงมาจากการที่ไม่มีใครดูแลเอาใจใส่ มันไม่ใช่ความผิดของเด็กที่ไม่ได้อาบน้ำล้างตัว และกลิ่นเหล่านั้นก็ไม่ได้น่ารังเกียจสำหรับผมอีกต่อไป
หากเป็นเมื่อก่อน ถ้ามีใครเดินผ่านผมแล้วมีกลิ่นตัว ผมจะทำทุกวิถีทางให้เขารู้ว่า เขาเหม็น แต่ตอนนี้ มันไม่สำคัญเท่ารอยยิ้มของเด็กคนนั้นอีกแล้ว
“เจ็บมากมั๊ย” ผมค่อยๆโรยยาลงบนตัวของเจ้าแดงอย่างเบามือ
“เจ็บ เจ็บตอนหัวค่ำ เจ็บร้องไห้ดังเลย” มันพูดเหมือนความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับมันทุกวันเป็นเรื่องธรรมดา
“เดี๋ยว.............” ผมอึ้งไปครู่หนึ่ง เมื่อไม่รู้จะแทนสรรพนามเรียกตัวเองว่าอย่างไร
“เดี๋ยว เอ่อ..........พี่ จะมาทายาให้ทุกวันเอามั๊ย” ผมยิ้ม
มันพยักหน้า
“โอเค๊”
เวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ผมไม่รู้ แต่ตลอดเวลาที่มองเด็กคนนั้นเล่น เด็กคนนั้นพูด ผมรู้สึกเหมือนกับว่า “ผม” เป็นสิ่งเดียวที่ดึงเจ้าแดงขึ้นมาจากความทุกข์ ความเจ็บปวด และความเดียวดาย
“ถ้าหายแล้วพี่จะพาไปเที่ยวที่บ้านพี่นะ รู้ป่าว บ้านพี่มีสวนสนุกด้วยน้า dream world อ่ะรู้จักป่าว มีชิงช้า หมุนติ้วๆแบบนี้ๆ” ผมทำท่าทางให้เจ้าแดงซึ่งยืนหัวเราะอยู่ดู
“แล้วก็มีเรือไวกิ้ง ที่เวลานั่งแล้วจะแกว่งแบบนี้ๆ”
“อ้อ มีรถไฟเหาะด้วยนะ เหาะขึ้นไปอยู่บนฟ้าสูงนู่นเลย”
.........
..........
...........
“เจ้าบ้า” เสียงหมอปีย์เรียกผม เขามายืนอยู่ที่นี่เมื่อไหร่แล้วผมก็ไม่รู้ แต่คงจะนานพอได้เห็นผมทำท่าพิลึกพิลั่น เพราะรอยยิ้มนั้นมันดูแปลกๆ
“กลับเรือนกันเถิด บ่ายคล้อยแล้ว”
“แต่ ชั้น....................” ผมมองไปที่เจ้าแดงเหมือนอยากจะบอกหมอปีย์ว่า ยังอยากจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าแดงอยู่เลย
“เฮ้อ กลับก็กลับ” ผมตัดสินใจ
“............งั้นพี่กลับก่อนนะ พรุ่งนี้จะมาทายาให้ใหม่ โอเค๊”
“โอเค๊” เจ้าแดงพูด และทำท่าตาม
ผมถอดถุงมือ และผ้าปิดปากส่งให้นายสน เดินตามหลังหมอปีย์ไปตามทางสะพานไม้ไผ่แห่งเดิม ก่อนจะข้ามสะพานผมหันหลังมองภาพบ้านหลังนั้นอีกครั้ง เจ้าแดงยืนแอบอยู่ที่โคนต้นมะม่วงส่งสายตามาที่ผม
“ขอบใจเจ้ามากนะ พ่ออัช” หมอปีย์พูด “ดูท่าเจ้าจะรักษาเจ้าแดงได้ดีกว่าเราเสียแล้วหล่ะ” แล้วเขาก็ยิ้มให้ผม ก่อนจะก้มตัวลงลากสะพานไม้ไผ่มาเก็บไว้ที่ฝั่งเรา เมื่อไม่มีสะพานนั้น บ้านหลังนั้นก็กลายเป็นบ้านที่โดดเดี่ยวกลางเกาะที่สิ้นหวัง
.....
...
.....
....
ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาจากปากผมระหว่างทางกลับบ้านเลย ในหัวสมองของผมคิดแต่เรื่องของคนเหล่านั้น จนเมื่อใกล้จะถึงบ้าน ผมจึงได้พูดขึ้นมา
“ชั้นว่า................เราน่าจะทำหน้าต่างให้บ้านหลังนั้นน่ะ”
...
-
น่าสงสารเด็กแดง
-
น่าสงสารจัง คงจะเดี่ยวดายน่าดู เล่นก็ใครก็เล่นไม่ได้ กลัวเค้ารังเกียจ เฮ้อ เศร้าค้าๆ
-
“ทำไมกูไม่เรียนหมอวะ” ผมนึกเมื่อเห็นคนป่วยเหล่านั้น แล้วหันมามองตัวเองที่ทำได้แค่ ยืนถือชามยา
อากาศไม่ถ่ายเท..... ก็เป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคได้นะ
:m15: เศร้าอ่ะ
-
+1 ชอบ ฉากนี้ จ้า ไรเตอร์ คนสมัยนี้เห็นแก่ตัว...
-
เฮ้อออ สงสารพวกเค้านะ
ไม่มีที่ไป มีเเต่คนรังเกียจ
-
ขอบคุณ "เซ็งเป็ด" สำหรับคติสอนใจในตอนนี้ค่ะ อ่านแล้วรู้สึกเลยว่า เรายังเห็นแก่ตัวแค่ไหน
คงยากที่ใครเผชิญหน้าสถานการณ์อย่างอัช แล้วจะไม่สะเทือนใจ ไม่เผ่นหนี
แต่อัชก็มีธาตุดีๆในตัวมากนะคะ ถึงมีใจเมตตากับผู้อื่นได้ขนาดนี้
ถ้าเราเป็นหมอปีย์ ก็คงหลงรักอัชเหมือนกันแหละเนาะ หุหุ :o8:
-
อ่านแล้วทำให้รู้สึกเหงาและว้าเหว่ไปกับแดงได้เลยครับ น่าสงสารเป็นที่สุด :sad4:
-
โชคดีที่ยังมีคนเข้าใจ
+1
-
สงสารคนเป็นโรคเรื้อนมีแต่คนรังเกียจ :เฮ้อ:
-
คิดเหมือนเจ้เลยค่ะทำไมไม่ทำหน้าต่างอ่ะอากาศจะได้ถ่ายเทได้ดี งงค่ะ
-
จริงๆอัชพื้นฐานก็เป็นคนมีน้ำใจดีนะเนี่ย
น่าสงสารหนูแดง
-
นึกถึงหนังเก่ามากๆเรื่อง somewhere in time รักข้ามเวลา เพลงเพราะมาก อิอิ
-
ให้ความรู็ทางประวัติศาสตร์ดีมากเลยอ่ะ
เรื่องตลกคือ ไม่ใช่แค่สมัยก่อนที่ตายเพราะการแพทย์ยังไม่เจริญ
สมัยนี้บางส่วนของโลกเรายังมีที่ๆยากจนข้นแค้นมากขนาดกินดิน และไม่ยาพาราราคาถูกๆไว้รักษาไข้ด้วยซ้ำ
-
เป็นเรืองที่น่าเศร้าจัง สงสารพวกเค้าอ่ะ :m15:
เเดงคงเหงามากเลย :sad11:
ขอให้พวกเค้าหายเทอญ :call:
ขอบคุณคุณเซ็งเป็ด มากนะครับ ที่ทำให้ได้รู้เรื่องต่างๆในอดีต :กอด1:
+1
-
:man1: รักคนแต่งมากมาย สอนอะไรหลายอย่าง เนื้อหาก็น่าติดตาม :man1: o13
-
แวะมาอ่านขอรับ :man1:
-
อ่านเรื่องนี้ก็สะท้อนใจ ลองกลับมาคิดดูก็จริงดังว่า เรามีเครื่องอำนวยความสะดวกทุกอย่าง แต่เวลาส่วนตัวของเรา เวลาสำหรับครอบครัว กลับไม่เพิ่มขึ้นเลย
มาต่อบ่อยๆนะจ๊ะ เพื่อเป็นแรงใจให้คนกำลังหมดไฟ
-
เห็นด้วยกับการทำหน้าต่างนะ ให้อยู่อับๆ แบบนั้นไม่ดีต่อสุภาพเลยสักนิด
-
สงสารคนเจ็บนะ ได้อารมณ์ของคนเจ็บเลยว่าพวกเขาจะรู้สึกอย่างไร
-
อ่านแล้วสงสารจับใจเลยค่ะ
-
ความเป็นอยู่ของคนยุคสมัย ร้อยปีก่อน จะว่าไปมันก็มีทั้งสุขและทุกข์ปะปนกันไป
ได้อย่าง ก็ต้องเสียอย่าง ไม่ว่ายุคสมัยใดคงไม่ต่างกันเท่าไหร่ อยู่ที่เราจะทำใจยอมรับกับมันหรือไม่
แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นไปของคนสมัยรุ่นปู่ ย่า ตา ยาย ของพวกเรา
+1 เป็นการขอบคุณ ที่ทำให้สำนึกรักบ้านเรา ขึ้นอีกมากโข
-
ตอนสุดท้าย ก็ไม่เรียกเจ้าบ้าแว้วววววววววววว
ดีใจกับพ่ออัชด้วย ในที่สุดหมอปีย์แกก็เรียกชื่อสักที
-
เป็นตอนที่อ่านแล้วสะท้อนให้เห็นถึงอะไรหลายๆอย่างจริงๆ
ทั้งความเป็นอยู่และภาระที่ยุคสมัยนั้นต้องแบกรับเพื่อให้เราได้สุขสบายกันในตอนนี้
ในที่สุดพี่หมอแกก็เรียกชื่ออัช ว่า อัช สักที ไม่ใช่เจ้าบ้าอย่างแต่ก่อนละ :-[
-
น่าสงสารจัง\T^T
-
พ่ออัชใจบุญ
-
รอมาต่ออย่างแรงงงงง
-
กอดผู้แต่งอย่างแรง :กอด1:
เรื่องกำลังชวนติดตามเลย รีบๆมาต่อนะคร้าบ
ว่างๆก็แวะไปอ่านเรื่องผมอีกนะครับ อิอิ o13
-
สนุกที่สุดในสามโลก :กอด1:
-
:serius2: อยากอ่านต่อแล้วน้า
-
เขียนเรื่องออกมาได้น่าสนใจดีครับ ถ้ามีเวลาก็มาลงต่อนะครับ จะคอยติดตาม ขอบคุณมากครับ
-
:monkeysad:
กลับมาเถอะนะ
-
น่าสงสารแดงกับคนที่เป็นโรคนี้ทรมาน...อ่านแล้วเห็นภาพเลย
ในที่สุดหมอก็เรียกชื่อแล้ว ตอนนี้นายอัชนิสัยน่ารักขึ้น
:pig4:
-
บทที่ ๑๑ จำปาจะแตระเป็นสร้อยสน
ลมพักเย็นสบาย ที่นี่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ ไม่มีพัดลม อาศัยแค่ลมโกรกล้วนๆ จะแรงจะเบาควบคุมไม่ได้ ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของพระพิรุณ สมัยก่อนมนุษย์ เป็น อยู่ คือ ตามธรรมชาติ ผิดกับสมัยนี้ที่มนุษย์(พยายาม)จะฝืนธรรมชาติ
ผมยืนไพร่แขนไปข้างหลังรับลมอยู่ริมคลอง อาจเป็นจากที่ไกลลอยมาเป็นระยะๆ สายตาเหม่อมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย
การที่เกิดมาพร้อมกับความรู้สึกที่ว่าไม่มีที่ไหนเหมาะกับตัวเองเลย ไม่มีที่ที่ให้เรายืนอย่างเต็มภาคภูมิ ไม่มีที่ที่ใครจะมายืนจับมืออยู่ข้างๆ มันเหงาในใจอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อกลับมาถึงบ้าน สิ่งแรกที่หมอปีย์สั่งให้ผมไปทำอย่างเร่งด่วนคือ อาบน้ำ เขายื่นก้อนสบู่สีเหลืองๆให้ผมก้อนหนึ่ง พร้อมทั้งบอกสรรพคุณโดยไม่ต้องเอ่ยถาม
“เอาขมิ้นชันขัดถูให้ทั่วตัว แช่ทิ้งไว้สักประเดี๋ยว โรคกลาก โรคเกลื้อน โรคเรื้อน เชื้อราจะตายสิ้น” มันพูดเหมือนโฆษณาตามวิทยุทรานซิตเตอร์สมัยโบราณ
ผมทำตามที่มันบอกทุกอย่าง ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นกราก เป็นเกลื้อน แต่ผมก็ไม่อยากเป็นโรคเรื้อนเหมือนพวกที่เรือนหลังสวนเหล่านั้น
บริเวณที่ผมยืนอยู่นั้นอยู่ติดกับบ้านคุณชั้น หรือว่าถ้าพูดอีกทีมันก็บ้านผมนั่นแหละ ผมมองไปทางนั้นบ่อยๆ และมีบางชั่วขณะที่หางตาผมเหลือบไปเห็นภาพบ้านหลังที่ผมเคยอยู่ โรงจอดรถ บ้านอา บ้านแม่ มีคนเดินไปมาอยู่ในบ้านแม่ มันคล้ายๆกับภาพซ้อน แต่พอผมหันไปมองเต็มๆตา ภาพเหล่านั้นกลับจางหายไป
“เฮ้อ” ผมถอนหายใจ ทำไมไม่รู้ รู้แต่ว่าพอทำแล้วมันรู้สึกโล่งอกโล่งใจยังไงบอกไม่ถูก
“กลิ่นดอกอะไร หอมจัง” ผมมองซ้าย มองขวาไปรอบๆ เพื่อหาที่มาของกลิ่นดอกไม้หอมเย็นนี้ และก็ได้พบกับมัน
“ดอกจำปา” ต้นจำปาต้นใหญ่สูงตระหง่านอยู่ติดริมรั้วบ้านคุณชั้น ข้างๆกันนั้นมีศาลาริมน้ำที่มีท่าเทียบเรือเทียบอยู่ ผมเดินไปที่ต้นจำปา ก่อนจะเก็บดอกที่ร่วงขึ้นมาดม พลางนึกในใจ
“มึงจะมาอารมณ์สุนทรีอะไรขนาดนี้ เมื่อก่อนหมาโดนรถชนยังไม่สนใจจะลงไปดู” ผมคิดในใจ แต่ก็มันไม่มีอะไรทำนี่หว่า อินเตอร์เนทจะเช็คเมลก็ไม่มี ป่านนี้เพื่อนๆจากออสเตรเลียจะส่งข่าวอะไรเกี่ยวกับมหาลัยมาบ้างก็ไม่รู้ ไหนจะการบ้านการเมือง ดาราใครเลิกกับใคร ใครท้องกับใคร ไม่รู้ ไม่มีทีวี ไม่มีวิทยุ ไม่ได้อัพเดทข่าวสาร ร้านอาหารแม่จะโดนฮุบไปรึยัง
ป่านนี้ไอโฟนจะไป 4 5 หรือ 6 ไปแล้วก็ไม่รู้
อีกอย่าง ถ้าเกิดได้กลับไปอีกครั้งแล้วดันไปโผล่ ปี 3000 กูไม่กลายเป็นคนหลงยุค ไปอีกเหรอว่ะเนี๊ยะ
“เฮ้อ” แล้วผมก็ถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะหยิบดอกจำปาขึ้นมาดม
“วันนี้น้องสำราญใจ ชมพรรณมิ่งไม้ในสวน
รสสุคนธ์ตลบอบอวล หอมหวนชวนชื่นชูใจ
พิกุลจะกรองอุบะห้อย ลำดวนจะร้อยเป็นสร้อยใส่
จะทำบุหงารำไป วางไว้ข้างที่ไสยา
จำปาจะแตระเป็นสร้อยสน จะประสุคนธ์ให้หนักหนา
แม้นใครจงใจเจตนา จึงจะให้บุหงานี้เอย”
ผมอ้าปากค้างนิ่งไปสามวินาที ที่หมอปีย์ท่องกลอนจบ สีหน้าแบบว่าอารมณ์ขนลุก 555 ต้องเข้าใจว่าเราเกิดในยุคสมัยที่เด็กไทยท่องกลอนอะไรพวกนี้ไม่ใคร่จะเป็นกันแล้ว รวมทั้งผม ถึงมันจะไพเราะก็จริง แต่มันยากที่จะจำสำหรับเราๆ
“ไพเราะหรือไม่” แหม๊ ยังมีหน้าจะมาถาม ผมกลั้นหัวเราะจนเลือดกำเดาจะทะลักออกมาแล้ว ไม่ได้ขำกลอนหรอก กลอนน่ะเพราะ แต่คนท่องนี่สิ คิดอะไรของมัน
“อืม” ผมพยักหน้า
“บทพระราชนิพนท์เรื่องอิเหนา ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย” เขายิ้ม “เราเห็นเจ้ากำลังชื่นชมดอกจำปาอยู่ เลยนึกบทกลอนนี้ขึ้นมาได้”
“โห เก่งวะ จำได้ยังไง” ผมอดทึ่งไม่ได้
“ทำไมจะจำไม่ได้เล่า เราอ่านหนังสืออก อ่านหนังสืออกก็ต้องจำได้สิ” แอบด่ากูอีกแล้ว ประจำ
“แล้วถ้าชั้นกำลังดมดอกนี่ออยู่หล่ะ” ผมทำหน้าท้าทาย มือชี้ไปที่ดอกไม้สีม่วงที่ขึ้นเป็นเถาอยู่ริมรั้ว ให้ตายยังไงมันก็คงจำกลอนไม่ได้หมดหรอก
“เราก็จะท่องว่า”............หมอปีย์นิ่งไปครู่หนึ่ง
“ช้องนางนกนาเก้อ เออไฉน
สาวสุรางค์นางใน แน่งน้อย
เกศาประบ่ามัย นี้หมด
ใครบ่มีสอดซ้อง เช่นใช้ในละครฯ”
เหวอ ผมทำหน้าเหวอไปเลย ไม่คิดว่ามันจะเก่งจำได้หมดขนาดนี้ ทึ่งนะนี่ แหม่ น่าจะจับใส่ถุงลดโลกร้อนติดมือไปยุคสมัยผมเสียจริง เอาไปฝากอาจารย์แม่ ท่านคงจะปลื้มหมอนี่น่าดู
“ชั้นไม่คิดว่าต้นจำปามันจะต้นใหญ่ขนาดนี้” ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง หมอปีย์เดินไปนั่งตรงศาลาริมน้ำ
“ที่นี่ดินดำน้ำชุ่ม ปลูกอะไรก็งามหมด มีอย่างเดียวเท่านั้น ที่ปลูกเท่าไหร่มันก็มิงอกงามตามใจประสงค์เสียที” หมอนั่นทำหน้าถอดใจ
“อะไรเหรอ” ผมเดินตามมานั่งบนศาลาฝั่งตรงข้าม
“ต้นรัก......................”
“แอ่ะ” ผมอึ้งไปสามวินาที ไม่คิดว่า มุขควายจะแพร่หลายมาถึงสยามยุคนี้
“เออ นายมีแฟนยังอ่ะ” ผมถามแต่หมอนั่นทำหน้างงๆ “ชั้นหมายถึงคนรักน่ะ”
“หากเจ้าหมายถึงคู่หมั้น คู่หมาย ไม่มีดอก” เขาส่ายหัว
“ทำไมอ่ะ โตเป็นควายแล้วทำไมยังไม่มีแฟน”
“เจ้าเคยเห็นแฟนควายเหรอ” มันย้อน
“ไอ้บ้า ชั้นเปรียบเทียบเว้ย”
“แล้วเจ้าหล่ะ มีผู้ใดหมายปองหรือยัง”
“โอ้ยยย ถ้าหมายปองนะ เยอะแยะ เป้ย อั้มพัชราภางี้ น้องเต้ยงี้ น้องปอยงี้ แต่ถ้านายหมายถึงแฟนแล้วล่ะก็ ..............”ผมส่ายหน้า แต่ในใจยังนึกถึงใบหน้าผู้หญิงคนนั้นคนที่ให้ความหวังให้ผมรอ แต่แล้วเธอก็จากไป หวนนึกถึงวันเก่าๆก็เลยได้ถาม พอๆ เป็นเพลงละ
“บ้านเมืองของเจ้า มีภรรยาได้หลายคนรึ” เขาทำหน้าสงสัย
“ก็ไม่เชิงหรอก สมัยชั้นก็เหมือนสมัยนายนี่แหละ ไม่สิ สมัยนาย พวกเจ้าขุนมูลนายเขามีเมียหลวง เมียน้อย เมียทาส เยอะแยะนิ ใช่ป่าว ชั้นเคยดูละครนางทาส อีเย็นๆ” ผมจ้อไปเรื่อย ไม่ได้หวังให้หมอนั่นเข้าใจหรอก 555 “แต่สมัยชั้น เขามีเมียคนเดียว” ผมยิ้มแกว่งขาไปมา “แต่กิ๊กเยอะ”
“อะไรคือกิ๊ก”
“กิ๊ก ก็.........................มากกว่าเพื่อน แต่ไม่ใช่แฟนน่ะ”
“????????????????????”
“กลับเรือนเถิด พวกบ่าวตั้งสำรับไว้เสร็จแล้ว” หมอปีย์ลุกขึ้น
แต่ผมยังไม่ลุก สายตามองทอดออกไปทางบ้านคุณชั้น
“เด็กผู้หญิงคนนั้นใครน่ะ” ผมถามเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเด็กผู้หญิงน่าตาน่ารักน่าชัง แต่งตัวด้วยชุดคล้ายตุ๊กตาไทยสีชมพู กำลังนั่งเล่นอยู่ที่ริมศาลาของบ้านนู่น ความรู้สึกถูกชะตาอย่างประหลาดเกิดขึ้นในใจ
“อ้อ นั่นน่ะรึ หลานคุณหญิงชั้น ชื่อหนูวาด”
“หนูวาด??”
“ใช่ หนูวาดเป็นกำพร้าพ่อแม่มาตั้งแต่เด็ก”
“หนูวาด???” ผมทวนคำพูดของหมอปีย์ครั้งที่สอง และครั้งที่สาม ราวกับชื่อๆนั้นคือชื่อที่ผมเคยเรียกคนๆหนึ่งมาก่อน
“ยายทวด” แล้วผมก็นึกออกขึ้นมาทันที ชื่อหนูวาดเหมือนชื่อของยายทวดของผม ตอนผมเกิดยายทวดอายุ 80 กว่าปี และยายทวดเสียตอนผมอายุ 10ขวบ ผมมักเรียกยายทวดว่า “หนูวาด” เสมอ ในขณะที่คนอื่นกลับไม่เรียกชื่อนี้
ผมแปลกใจมาโดยตลอดว่าทำไมยายทวดถึงสอนให้ผมเรียกท่านว่า หนูวาด
“เป็นอะไรไปรึ พ่ออัช” หมอปีย์ถาม
“เอ่อ เปล่าๆ” ผมว่า ในขณะที่สายตากำลังมองไปที่เด็กผู้หญิงคนนั้นที่กำลังเดินตามคนรับใช้หายเข้าไปในบ้าน
“ไปกันเถอะ เราหิวแล้ว” เขา ว่า ผมเดินตามหมอปีย์ขึ้นบ้าน พร้อมดอกจำปาในมือ และชื่อหนูวาดในหัว...............
...
อาหารถูกยกมาจัดวางรอไว้แล้ว เหมือนวันที่ผ่านๆมา ระหว่างที่เรานั่งกินข้าวก็จะมีคนรับใช้นั่งกันหน้าสลอน ในตอนแรกๆนั้นโคตรเขินเลยที่ต้องนั่งซดน้ำแกงดังซื้ดๆ ต่อหน้าคนนับสิบ ทำราวกับว่าการกินข้าวของเราเป็นเหมือนแสดงละครลิง หนังตะลุงอย่างนั้นแหละ แต่หลังๆเริ่มชินละ
เจ๊อ่ำของผมตักข้าวใส่จานซึ่งเป็นหน้าที่ประจำ เม็ดข้าวเรียงตัวเป็นเม็ดสวย กลิ่นหอมกลุ่นด้วยใบเตยอ่อนๆ ไม่อยากจะนึกว่าใบเตยเหล่านั้นมาจากไหน เพราะเคยเห็นแต่คงไม่เป็นไรหรอก มันสุกแล้ว
และผมเหลือบไปมองอาหารเย็นมื้อนี้
“มีต้มโคร้งปลากรอบด้วย” ผมว่า
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ต้มโพล้งปลาสลิดใบมะขามอ่อนตะหาก” เจ๊อ่ำเถียง
“ต้มโคล้ง นี่มันต้มโคล้งชัดๆ” ผมก็ไม่ยอม
“ไม่ใช่นะเจ้าค่ะ นี่เขาเรียกต้มโพล้ง เป็นต้มที่ปรุงให้มีน้ำมากสำหรับซด ใส่เนื้อปลาแต่น้อยเจ้าค่ะ” เจ๊อ่ำกรแทกเสียงตรงค่ะ เหวี่ยงๆ ผมก็พยักหน้ารับอืมๆ เพราะว่าไม่แน่ใจว่าที่ตัวเองได้ยินมาน่ะผิดหรือปล่าว แต่เมื่อหมอปีย์ยืนยันว่า สิ่งที่อยู่ในถ้วยนั่นเรียกต้มโพล้ง ผมจึงจำใจเชื่อ
“เจ้ามิเคยกินรึ นี่เขาเรียกต้มโพล้งปลาสลิดใบมะขามอ่อน .......นังช้อยมันได้ใบมะขามนี้มาจากที่ใดกันรึ อ่อนน่ากินเชียว” หมอปีย์ก้มลงมองต้มโคร้ง เอ้ย ต้มโพล้งใกล้ๆก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาถามนังอ่ำ
“แกให้ไอ้จุกไอ้จ้อยไปปีนเอาจากปลายนานู่นเจ้าค่ะ เห็นว่ากำลังแทงยอดงาม แล้วยามนี้หวัดไข้กำลังระบาดหนัก แกเลยว่าจะต้มโพล้งรับทานแก้หวัดน่ะเจ้าค่ะ” เจ๊อ่ำยิ้มหวาน
“แก้หวัดเหรอ ต้มโพล้งเนี๊ยะนะ” ผมถามหมอปีย์ ในใจแอบคิดว่าจะแก้หวัดได้ยังไง หรือว่า ป้าช้อยแอบใส่ ไทลินอล 500ลงไปด้วย
“ใช่ ต้มโพล้งเป็นอาหารที่แก้หวัด เจ้าเคยได้ยิน อาหารเป็นยา หรือไม่ นั่นแหละ ต้มโพล้งเป็นอาหารที่ใช้เป็นยาได้ด้วย นี่เจ้าไม่รู้เรื่องพวกนี้เลยรึ..............เปนชาวสยามแท้ๆ”
ผมชะงักกำลังจะตักข้าวใส่ปาก ทำไมวะ ผิดด้วยหรือที่ไม่รู้น่ะ
“ในต้มโพล้งจะมีใบมะขามอ่อน ที่ช่วยขับเสมหะ ทำให้ชุ่มคอเวลาซดน้ำ อีกทั้งรสเปรี้ยวของใบมะขามจะทำให้ไม่ส่าลิ้น โล่งคอ นอกจากนั้นในต้มโพล้งยังมีสิ่งนี้อีกด้วย” หมอปีย์ใช้ช้อนคนในถ้วย แล้วตักบางอย่างขึ้นมา “หัวหอมแดงเผา ที่มีสรรพคุณแก้หวัด คัดจมูก กลิ่นของมันทำให้จมูกโล่ง ที่เรือนหลังนี้ เวลาบ่าวไพร่ไม่สบาย จะใช้ใบมะขามต้มกับหัวหอม จนควันกรุ่นๆออกมา แล้วเอาหน้าไปอังในหม้อ เอาผ้าขาวม้าคลุมอีกที สูดเอาไอของน้ำต้มใบมะขามกับหัวหอม โล่งจมูก แก้คัดจมูก ดีนักแล” แล้วเขาก็ตัก เอาหอมที่อยู่ในช้อนใส่ชาม ตามด้วยน้ำต้มโพล้ง
ผมได้ฟังก็อดทึ่งในภูมิปัญญาของบรรพบุรุษเราไม่ได้
“อืม” ผมพยักหน้าก่อนจะตักน้ำแกงใส่ช้อนและซดเสียงดังลั่นบ้าน
“ซู๊ดดดดดดดดดดดด”
“เบาๆสิพ่อ เดี๋ยวพระสงฆ์องคเจ้าก็ตื่นกันหมดพอดี” หมอนั่นแซว
“ก็มันอร่อยนี่นา” ผมยิ้ม
“ลองชิมนี่หน่อยสิ รับรองว่าเจ้าจะติดใจ” ว่าแล้วเขาก็ตักผักชนิดหนึ่ง คล้ายแตงกวาแต่ผิวขรุขระให้ผม ก่อนจะตามด้วยน้ำน้ำพริกกะปิที่ใส่ลูกมะอึกสีเหลืองน่าทาน
“อะไร”
“กินดูเถิด”
ผมทำหน้าประหลาดใจ แต่ก็ตัดสินใจตักผักนั้นเข้าปาก และทันทีที่มันเข้าปากไปแตะกับลิ้นผม รสขมปล่าก็แล่นขึ้นสมองทันที
“โอ้ยๆ อะไร ขมๆ” ผมร้องออกมาทำท่าจะบ้วนทิ้ง แต่หมอปีย์ทำหน้าสั่งห้าม
“มะระขี้นก กลืนลงไป อย่าบ้วนทิ้ง ของกินมิใช่ของเล่น” เขาดุ “มะระขี้นก เปนยา สรรพคุณล้นเหลือ กินไปเถิด เจ้าไม่ตายดอก”
แต่ผมนั้นไม่ไหวแล้ว มันขมจนลิ้นชา ผมอมมันไว้อยู่ข้างในกระพุ้งแก้ม พยายามจะกลืนแต่กลืนไม่ลง
“เราสั่งมิให้เจ้าคาย”
ผมกล้ำกลืนฝืนกิน แต่มันกลืนไม่ลงจริงๆ ในที่สุดต้องเอี้ยวตัวไปข้างหลัง พ่นเจ้ามะระขี้นกที่แสนขมนี้ออกมา บ่าวที่นั่งอยู่แถวนั้น ต่างหลบกันจ้าละหวั่น
“ถุย แบร่ๆๆ “ น้ำในขันถูกซดจนเกือบหมด
“ขมอ่ะ กินไม่ลงเลย” ผมว่าโดยที่ไม่มองหน้าหมอนั่นว่าเป็นยังไง ตักน้ำต้มโพล้งมาซดเพื่อให้หายขม
“เอาอะไรมาให้กูกิน” ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง และเห็นหน้าของหมอนั่นบึ้งตึง จ้องเขม็งมาที่ผม คล้ายกับผมไปฆ่าใครตายอย่างนั้นแหละ
“เป็นอะไรไปอีกหล่ะ ดูทำหน้าเข้า” มันไม่พูดอะไร ผมเอื้อมมือไปตักน้ำพริก มันมองตามสีหน้านิ่งเฉยเหมือนกำลังสะกดอารมณ์
“ทำไม โกรธเหรอ กะอีแค่บ้วนไอ้ขมๆนั่นทิ้ง ก็มันกินไม่ได้นี่หว่า ขมจะตายห่า ถุยๆ” กำลังจะตักข้าวใส่ปาก เหลือบตาไปมองหน้ามันอีกที ยังทำหน้าเป็นตูดอยู่อีก
“เออ ไม่กินก็ได้วะ โด่” ผมวางจานลงกระแทกโต๊ะ นิ่งไปครู่นึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นจะเข้าห้อง
“นั่งลง” เสียงหมอนั่นต่ำ ผมหยุดกึกไปชั่วครู่ แต่ก็ไม่สนใจอะไร หันหลังลุกขึ้นยืน
“เราบอกให้นั่งลง!!!” แล้วหมอนั่นก็ตวาดผมลั่นบ้าน ผมสะดุ้งตกใจ ไม่เคยเห็นมันเป็นอย่างนี้มาก่อน
ตอนแรกที่ได้ยินเสียงตวาดนั่นยอมรับว่าผมตกใจ มันเป็นเสียงที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยินจากชายผู้อ่อนโยนแบบเขามาก่อน เสียงนั้นกังวาล ทรงพลังราวกับเสียงสิงโตคำราม ผมนิ่ง มองหน้าหมอนั่น บ่าวไพร่ต่างคุดคู้ก้มหน้านิ่ง
“ทำไมชั้นต้องนั่ง” แต่ถึงจะกลัวยังไง แต่ผมก็ยังไม่วายกวนประสาทมัน
หมอปีย์เงยหน้าขึ้นมามองผม สายตาที่เคยอ่อนโยนน่าหลงใหล ตอนนี้กลับกลายเป็นสายตาที่ดุดัน ทรงอำนาจ จนทำให้ไม่ต้องมีคำพูดใดๆจากปากของหมอนั่น ก็ทำให้ผมสยบและยอมนั่งลงได้..............ด้วยสายตาคู่นั้น
ผมนั่งลงอย่างเสียไม่ได้ ถึงแม้จะทำตามที่เขาสั่ง แต่ในใจลึกๆยังต่อต้าน
“กินข้าวเสียให้หมดจาน จากนั้น เจ้าจะไปไหนก็เรื่องของเจ้า” เขาพูด น้ำเสียงนิ่งเย็น สีหน้าเรียบเฉย ไม่มองหน้าผมแม้แต่น้อย
“ชั้นอิ่มแล้ว”
“กินให้หมด นี่เป็นคำสั่ง”
“ทำไมชั้นต้องเชื่อนายด้วย”
“เพราะเจ้ามาอาศัยในเรือนของเรา หากเจ้ามิพอใจ จะไปเสียจากที่นี่คืนนี้ เราก็ไม่ขัด”
“นี่นายไล่ชั้นเหรอ”
“การที่เจ้าได้อาศัย หลับ นอน บนเรือนหลังนี้ และมิต้องทำงานบ้านงานเรือนเหมือนบ่าวไพร่ มิใช่เจ้าจะมีสิทธิเหนือพวกมัน จะทำการเยี่ยงใดตามอำเภอใจก็ได้ เราให้เกียรติเจ้าถือว่าเจ้าเป็นประหนึ่งแขกต่างบ้านต่างเมือง แต่หากเจ้าคิดว่าเจ้ามิได้รับความสะดวกสบายจะไปจากที่นี่ก็..............เชิญ” เขาพูดไม่มองหน้าผมแม้แต่น้อย ผมในขณะนี้ตัวชา หน้าชาไปหมด ไม่คิดว่าเขาจะพูดถึงขนาดนี้ กะอีแค่กินข้าวไม่หมดจาน
“นี่นายโกรธชั้นกะอีแค่ ชั้นกินข้าวไม่หมดแค่นั้นเองเหรอ” ผมต่อว่า
“ใช่ การที่เจ้ากินข้าวไม่หมด ก็เหมือนกับเจ้าดูถูกบ่าวไพร่ ดูถูกชาวนา ดูถูกพระแม่โพสพ นี่เจ้าไม่รู้หรือแกล้งบ้ากันแน่ ถึงไม่รู้ว่ากว่าที่ชาวนาจะได้ข้าวมาสักเมล็ดมันยากเย็นเพียงใด”
“เออๆ พอๆ ชั้นจะกินให้หมด ................ไม่ใช่เพราะกลัวนายหรอกนะ แต่เป็นเพราะ...เบื่อที่จะฟัง” ผมพูด แต่ในใจนั้นรู้สึกผิดอยู่ในใจเล็กๆ
ผมโกรธจนตัวสั่น คิดในใจกล้าดียังไงถึงมาด่ากันต่อหน้าคนใช้พวกนี้ นี่ถ้าไม่ติดว่าไม่มีที่ไป ผมไม่ยอมมันง่ายๆแบบนี้หรอก
ผมหยิบจานข้าวขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ ตักข้าวคำโตก่อนจะยัดมันเข้าปาก และกลืนลงคออย่างรวดเร็ว ข้าวคำแล้วคำเล่าถูกยัดเข้าไปจนหมดจาน การทำแบบนี้ก็เพื่อประชดประชัน ให้มันรู้ว่า ถึงจะบังคับให้ผมกินได้ แต่มันก็ไม่สามารถบังคับให้ผมเคี้ยวข้าวได้
“ชิส์ แค่นี้กูก็ชนะมึงแล้ว” ผมคิดในใจ
“ไปได้รึยังหล่ะ boss” ผมถามเมื่อกวาดข้าวเมล็ดสุดท้ายเข้าปาก หมอนั่นไม่พูดอะไร มันยังคงก้มหน้านิ่ง เมื่อมันไม่พูดผมก็ถือว่ามันอนุญาต จึงลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในห้อง ปล่อยให้คนใช้เผชิญชะตากรรมอำมหิตอยู่ข้างนอกนั่นแหละ
...
-
ที่นี่ยามค่ำคืน เงียบสงบยิ่งกว่าวัดป่า เสียอีก ทั้งๆที่เจ้าของบ้านหลังนี้บอกว่าที่นี่เป็นเมืองหลวง แต่กลับเงียบยิ่งกว่าเมืองลับแล ผมไม่ชอบกลางคืนของที่นี่เอาเสียเลย เพราะรู้สึกว่ามันเนิ่นนาน อ้อยอิ่ง และเดียวดาย
ผมเดาเวลาเอาเองว่าตอนนี้น่าจะสักประมาณทุ่มกว่าๆแล้ว พวกคนใช้ต่างพาลูกพาหลานเข้านอนกันแล้ว คิดดูสิ ตอนผมอยู่กรุงเทพฯ ทุ่มสองทุ่มนี่ยังติดแหง็กอยู่บนถนนเลย
เก้าอี้ไม้ถูกลากมาวางชิดขอบหน้าต่างที่เปิดรับลมไว้ ผมนั่งลงบนมันและเกยคางบนมือที่ทอดบนขอบหน้าต่าง เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่มีอะไรให้มอง แม้แต่แสงไฟดวงเล็กๆก็..................ไม่มี
“ป่านนี้ที่บ้านคงจะไปแจ้งตำรวจแล้วมั้ง ลูกชายหายไปทั้งคน” ผมคิด
“เอ.....หรือไม่ พวกที่นั่นก็คงยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหายไป”
“หรือบางที ยังลืมไปด้วยซ้ำว่า กูกลับมาจากออสเตรเลียแล้ว”
ความคิดมากมายแล่นเข้าหัว
“ทำไม ไอ้บ้านั่นต้องโกรธกูมากขนาดนั้นด้วยวะ” ผมย้อนคิดถึงเรื่องเมื่อครู่
“ไม่อยากอยู่มันแล้วเว้ย บ้านหลังนี้.................เฮ้อ ทำไงถึงจะได้ไปอยู่บ้านหลังนั้นนะ” ผมมองไปที่หลังคาบ้านคุณชั้น ทุกทีที่เห็นมันผมก็รู้สึกอบอุ่นในใจ อย่างน้อย บ้านหลังนั้นก็ยังมีเค้าโครงบ้านหลังปัจจุบันที่ผมอยู่
“หมอ ๆ ช่วยด้วยหมอๆ” และท่ามกลางความเงียบงันจู่ๆก็มีเสียงชายคนหนึ่งตะโกดังลั่นอยู่หน้าบ้าน ผมสะดุ้งเล็กน้อย
“หมอช่วย นังอาบมันด้วยหมอ”
....................................................................................
ผมแง้มประตูมองออกไปนอกห้องว่ามีอะไรเกิดขึ้น และตรงหน้าผมนั่นเองมีภาพชายผู้หนึ่งอุ้มเด็กหญิงอายุราวๆสัก 12-15 ปีขึ้นมาบนบ้านในสภาพเหงื่อท่วมตัว สีหน้าซีดเผือด
หมอปีย์รีบวิ่งออกมาจากห้องโดยมีพวกบ่าวไพร่ต่างพากันออกมามุงดู เหตุการณ์ดูชุลมุนวุ่นวาย ชายคนนั้นอุ้มเด็กหญิงวางลงกลางเรือน หมอปีย์ทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ พวกเขาพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง เด็กหญิงคนนั้นตัวเกร็งกระตุกเป็นระยะๆ
ผมเปิดประตูห้องเดินออกมาดู
“ไปเอาช้อนพันผ้ามายัดปากมันเสียก่อนที่มันจะกัดลิ้นตัวตาย” หมอนั่นสั่งบ่าวคนหนึ่ง
ผมเดินเข้ามาใกล้ๆ จ้องภาพเด็กนั่นตาไม่กระพริบ เกิดมาไม่เคยเห็นภาพแบบนี้มาก่อน
“กูบอกมึงแล้วใช่หรือไม่ อ้ายฟัก ว่าให้พานังอาบมันมาหาหลวงพินิจ มึงก็ไม่เชื่อข้า กลับพามันไปหาอีหมอผีหมอปอบ เปนเยี่ยงไรเล่า” เสียงของหญิงสูงวัยคนหนึ่งที่วิ่งตามทีหลังด่าทอพร้อมกับตบตีไปที่ตัวของชายคนนั้น
“ช่วยมันทีเถิด คุณหลวง ช่วยลูกข้าทีเถิด” แววตาของชายผู้นั้นร้อนรนจนแทบจะรักษาลูกเสียเอง
“เปนมากี่เพลากันเล่า” หมอปีย์ถาม
“ก็ตั้งแต่ สองค่ำที่แล้วเห็นจะได้ ตั้งแต่มันกลับมาจากไปหาของป่ากับแม่มันนั่นแหละ” เขารีบตอบ
“คราแรก กระผมคิดว่ามันถูกผีป่าผีเขาเข้า เลยพาไปหาหมอผีที่ท้ายตลาด แต่ก็ไม่หาย มาเมื่อหัวค่ำ มันไอเปนเลือด และชักอย่างที่เห็นนี่แหละ คุณหลวง กระผมถึงรีบพามันที่นี่”
ครู่หนึ่งบ่าวคนที่วิ่งไปเอาช้อนก็วิ่งกระหืดกระหอบมาถึง เขารับช้อนมาแล้วยัดใส่ปากเด็กนั่นทันที เด็กคนนั้นดิ้นไปมา
“ไปตามเจ้าสนมาหาเรา บอกให้เอายามาด้วย” เขาสั่งบ่าวอีกคน ก่อนที่จะหันไปหาอีกคนโดยมองข้ามผมไป
“เอ็งไปต้มน้ำร้อนใส่รากไม้รวก รากหญ้านาง หัวแห้วหมู รากมหาระงับ อย่างละกำมือ แล้วเอามาให้เราบัดเดี๋ยวนี้”
“อุ้มเด็กเข้ามาหลบน้ำค้างในนี้เถิด” ว่าแล้วเขาก็จัดแจงที่ทาง ผมเดินตามมาดูอย่างห่างๆ
เด็กคนนั้นตัวสั่น และชักกระตุกตาเหลือก ถี่ขึ้น เธอเพ้อไม่เป็นภาษา บางครั้งบอกร้อน บางครั้งบอกหนาว ผมเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้
“เจ้า............” หมอปีย์หันมาทางผม เพราะไม่มีใครอยู่ตรงนั้นอีกแล้ว “เร่งไปเอาผ้าห่มมาให้เราเถิด” เขาพูด ผมรีบวิ่งไปเอาผ้าห่มในห้องอย่างทุลักทุเล ทันทีที่คล้อยหลังไป เสียงเด็กคนนั้นก็ไอขึ้นมาอย่างหนัก
“เลือด เลือด เจ้าค่ะ เลือด ช่วยอีอาบมันด้วยเถิดเจ้าค่า” เสียงผู้เป็นแม่คร่ำครวญ
ผมรีบเร่งฝีเท้าเข้าห้องเพื่อไปหยิบผ้าห่มออกมา แต่ไม่ทันเสียแล้ว
“อีอาบ!! อีอาบ เอ็งอย่าตายนะอีอาบ ฮือๆ” เสียงผู้เป็นแม่กรี๊ดร้องขึ้น ตามด้วยเสียงเรียกชื่อลูกสาวของพ่อ ผมยืนตัวชาอยู่ในห้อง ไม่กล้าที่จะออกไปเห็นภาพข้างนอก
“ตัดอกตัดใจเสียเถิดนังสมเอ้ย นังอาบมันไปดีแล้ว” เสียงบ่าวในบ้านปลอบผู้เป็นแม่ที่ร้องไห้เสียสติไปแล้ว
ผมหอบผ้าห่มเดินตรงมายังกลุ่มคนหล่านั้น มือสั่น ขาสั่นไปหมด
“เอา ผ้าห่ม” ผมยื่นไปให้หมอปีย์ แต่ไม่ยอมมองไปที่ศพเด็กผู้หญิงคนนั้น เขารับผ้าห่มจากมือผม
“ปิดตาให้นังอาบมันเสียเถิด อ้ายฟัก” เสียงนั้นเองทำให้ผมเผลอหันไปมองภาพของเด็กหญิงคนนั้น และถึงกับอึ้ง
เธอนอนอ้าปากค้าง ตาเหลือก และเลือดไหลออกมาทั้งทางปาก หู จมูก ผมเข่าอ่อน ทรุดลงไปนั่งกับพื้นใกล้ๆหมอปีย์
เสียงร้องไห้ของพ่อแม่ปานจะขาดใจ ผมนึกในใจนี่คนสมัยนี้เขาตายกันง่ายดายอย่างนี้เลยเหรอ
“เราเสียใจด้วยนะ ที่ช่วยอะไรลูกพวกเจ้าไม่ได้ เอามันกลับบ้านเถิด พรุ่งนี้ เราจักให้บ่าวไพร่ช่วยจัดการเรื่องศพ” หมอปีย์พูด ดูเหมือนเขาจะรับมือได้ดีกับเรื่องราวความเป็นความตายพวกนี้
แหงหล่ะก็มันเป็นหมอ ไม่ใช่เชฟอย่างผมนี่
...
บ้านกลับมาเงียบสงบอีกครั้งแต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ตรงที่มันเงียบอย่างเดียวไม่พอ ยังวังเวงอีกด้วย ก็เพิ่งมีคนตายในบ้านหยกๆ จะให้ผมไม่รู้สึกอะไรได้ยังไง
ผมมุดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม ขดตัวอยู่อย่างนั้น เอาหมอนใบแล้วใบเล่ามันถมตัวเองไว้ไม่ให้มีช่องว่าง พอแน่นเข้าก็เสือกหายใจไม่ออก ต้องเอาจมูกโผล่ออกมาจากผ้าห่มเพื่อหายใจ พอจมูกโผล่ออกมาก็เสือกกลัวผีบีบจมูกอีก เฮ้อ บ้าบอสิ้นดี
เสียงจักจั่นเรไรเมื่อครู่ที่ไม่มีอะไรให้คิดมาก แต่ตอนนี้พอได้ยินกลับรู้สึกว่ามันเหมือนเสียงร้องไห้กระซิกๆ เสียงจิ้งจกร้องทัก เป็นระยะตอนนี้กลับจินตนาการว่ามันต้องทักอะไรสักอย่าง เสียงไม้กระดานบนเรือนลั่นเอี๊ยดอ๊าดซึ่งก็เป็นปกติของบ้านไม้เก่า ก็คิดเอาว่าเป็นเสียงของใครบางคนกำลังเดินย่องเบาๆ
“บรู๋ววววววววววววววววววว” และเสียงไอ้หมาเวรตัวเดิมนี่อีกแหละที่ทำให้ความอดทนผมหมดลงในที่สุด แสงไฟจากตะเกียงสี่ห้าดวงที่ผมประโคมจุดให้สว่างที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่มันดันสว่างไม่ได้สักครึ่งหนึ่งของแสงนีออน แต่ก็ยังดี ดีกว่าไม่เห็นอะไรเลย
ผมจัดแจงหยิบหมอนผ้าห่มแนบจักแร้เอาไว้ มืออีกข้างถือตะเกียง
ใช่ครับ
ผมตัดสินใจหอบผ้าหอบผ่อนไปนอนห้องผู้ชาย
จะใครเสียอีกละ ก็ไอ้หมอปีย์นั่นแหละ
ทั้งๆที่โกรธมันอยู่นะ แต่ตอนนี้ ไปนอนกับคนที่โกรธ ยังดีกว่านอนกับผีละวะ ศักดิ์ศรีบางทีมันก็ช่วยให้ผีกลัวไม่ได้
ผมเปิดประตูบานไม้ออกไปเสียงเอี๊ยดดังขึ้นบาดหุเสียเหลือเกิน
สองเท้าค่อยๆย่องออกมาจากห้องและเดินไปตามทางเดิน ตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมเดินให้เบาเหมือนกับคนบ้านนี้เขาได้แล้วนะนี่
“นี่ นี่ หลับรึยัง” ผมกระซิบหน้าแนบประตูห้องหมอปีย์
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก หลับรึยังวะ หมอ” ผมกระซิบเบาๆอีกที ไม่อยากตะโกนให้บ่าวไพร่มันได้ยิน เดี๋ยวจะเอาไปนินทาเอาได้ว่าแอบย่องเข้าห้องผู้ชาย ดึกๆดื่นๆ
“ไอ้หมอปีย์ มึงหลับรึยัง” โกรธแล้ว ไม่ยอมออกมาซะที ข้างนอกมืดจะตายห่า เกิดผีมันมาอยู่ข้างหลังจะทำไง แค่คิดก็ขนลุกแล้ว (คนเขียนก็ขนลุก 555)
เสียงก๊อกแก๊กๆดังอยู่ข้างในแสดงว่าผู้ที่อยู่ในนั้นยังไม่หลับ
“ถ้ามึงไม่เปิดกูจะพังเข้าไปแล้วนะ” ผมทนไม่ไหวแล้ว เยี่ยวจะราดแล้ว
“เอี๊ยดดดดดดดดดด” แล้วประตูบานนั้นก็เปิดออกมา
“มีเรื่องอันใดรึ” เขาโผล่หน้าออกมา
“เอ่อ..............เอ่อ.............” ผมบิดไปบิดมา ลืมนึกหาเหตุผลที่จะมานอนกับมันไปเสียสนิท
“หากเจ้าไม่มีการณ์ใด เราขอตัวก่อน” ว่าแล้วหมอนั่นก็ดึงประตูกลับหวังจะปิด แต่ผมคว้ามันไว้ทัน
“ชั้นปวดท้อง!!!” ผมพูดโพล่งออกไป “ใช่ๆ ชั้นปวดท้องน่ะ ปวดมาก โอ้ยๆ” ทำท่ากุมท้องบิดตัวไปมา
“ชั้นขอนอนด้วยคนนะ เผื่อว่า เผื่อว่าเป็นอะไรนายจะได้ช่วยชั้นทันไง นะ นะ ก็นายเป็นหมอนี่ จริงมั๊ย แห่ๆ” ผมทำตาใส
หมอปีย์นิ่งไปครุ่หนึ่ง มองผมอย่างพินิจพิเคาระห์
“คงเพราะเจ้ากลืนข้าวไม่เคี้ยวกระมัง ถึงได้ปวดท้องเยี่ยงนี้ เจ้านี่มันดื้อด้านเสียจริง ถ้าเป็นน้องเป็นนุ่ง เราจะเฆี่ยนเสียด้วยหวาย” มันบ่น
แต่ตอนนั้นมึงจะทำอะไรก็เรื่องของมึงแล้วหล่ะ กูไม่สนใจแล้ว ตอนนี้กูขอเข้าไปในห้องมึงก่อน เสียวสันหลังชิบหาย แมร่ง บรื๋อ
ผมเบียดแทรกตัวเข้ามาในห้อง ทันทีที่เข้ามาในห้องนี้ ความอุ่นใจก็เกิดขึ้น ห้องของหมอปีย์ นั้นดูมีอะไรมากกว่าห้องผม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในห้องนั้นเต็มไปด้วยหนังสือมากมาย ตะเกียงถูกจุดไว้สี่มุมของห้อง และอีกดวงนึงที่หัวโต๊ะ หนังสือเล่มหนึ่งถูกกางออกมา มีปากกาจุ่มหมึกวางอยู่ใกล้ๆกับกระดาษเปล่า
“จะให้ชั้นนอนตรงไหน” ผมถามหันไปหันมา
“จะนอนตรงไหนก็เรื่องของเจ้า” มันตอบไม่ไยดี
“นี่ นายยังโกรธชั้นเรื่องเมื่อเย็นอีกเหรอ ขอโทษก็ได้อ่ะ ขอโทษ” ผมยกมือไหว้
“เราหาได้โมโหเจ้าไม่ เพียงแต่ ไม่อยากให้เจ้าทำตัวเปนพวกฝรั่งเศส ที่ดูถูกรากเง้าของชาวสยาม เจ้าเองเปนชาวสยามแท้ๆ แต่กลับมิรู้เรื่องพวกนี้เลย เราไม่อยากให้พวกบ่าวไพร่เอาไปติฉินนินทาเอาได้ และไม่อยากให้เรื่องนี้ล่วงรู้ไปภายนอก มันจะไม่ใช่การณ์ดี”
“พูดอะไร งง” ผมว่า “ยังไงชั้นก็ขอโทษก็แล้วกัน คราวหลังสัญญาจะกินทุกอย่างที่นายกิน โอเค๊” ผมยิ้ม
“ว่าแต่ ทำไมนายถึงจงเกลียดลงชังฝรั่งเศสนักหล่ะ ดูนายก็ไม่เหมือนไทยแท้ซะหน่อย ออกจะฝรั่งจ๋าขนาดนี้” ผมถาม
“ถึงเราจักมีใบหน้าเป็นพวกฝรั่ง แต่จิตวิญญาณเราเปนสยาม เรามิยอมให้ชนชาติจากโพ้นทะเลเหล่านั้น มาเอาจิตวิญญาณของเราไปดอก” มันพูดเม้มปากแน่น ผมไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้น มันถึงได้เกลียดฝรั่งเศสเอามากๆ แต่เท่าที่เรียนมาตอนม.ปลายนั้น ไทยเสียดินแดนให้กับฝรั่งเศสเกือบค่อนประเทศ ด้วยเหตุผลที่ฟังดูแล้วเหมือนเราโดนกลั่นแกล้ง
“เอาหล่ะๆ ว่าแต่จะให้ชั้นนอนตรงไหน” ผมเปลี่ยนเรื่องเพราะเห็นมันเครียดจัด
“นอนบนเตียงเรานั่นแหละ” มันบอก
“อ้าว แล้วนายหล่ะนอนไหน”ผมถาม
“ไม่ต้องเป็นห่วงเราดอก เรือนนี้เป็นเรือนของเรา เราจักนอนที่ไหนก็ได้” โธ่ ไอ้หมอ กูไม่ได้ห่วงมึง กูก็แค่ถามพอเป็นพิธีไปอย่างนั้นแหละ อีกอย่างที่กูมานอนห้องนี้ก็เพราะอยากมีเพื่อนนอนด้วย ถ้สมึงไปนอนซะที่อื่น แล้วกูจะมานอนห้องนี้ทำไม
“ไม่เป็นไรหรอก เรานอนข้างๆเตียงนายก็ได้ เราแมนๆ นอนที่ไหนก็ได้อยู่แล้ว” แมนมาก กลัวผีจนนอนห้องตัวเองไม่ได้ แมนมาก
ผมจัดแจงปูผ้าที่หอบมาจากห้องพร้อมหมอนเรียบร้อย ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะทำงานของหมอปีย์
“ทำอะไรอ่ะ” ผมถาม เมื่อเห็นมันกำลังคร่ำเคร่งกับตำราภาษาอังกฤษ
“ไม่มีอะไรดอก เจ้าไม่ปวดท้องแล้วรึ” อ่าว ลืม นึกขึ้นได้ว่าต้องปวดท้อง
“อ๋อ เอ่อ โอ้ยๆ ปวดท้อง แต่ปวดนิดหน่อยทนได้” ผมยิ้มเห็นฟันครบทุกซี่
“นายไม่ตกใจเรื่องเด็กผู้หญิงคนเมื่อกี้เหรอ” ผมถามนั่งลงใกล้มัน
“ไม่ดอก เราเห็นมานักแล้ว คนเป็นหมอ ต้องหนักแน่นกับเรื่องเจ็บเรื่องตาย หน้าที่ของเราคือรักษาคนให้หาย”
“ใจดำ” ผมบ่นพึมพำ
“เจ้าจะว่าเราอย่างนั้นก็ไม่ผิดดอก ตั้งแต่เราเห็นพ่อกับแม่เราตายไปต่อหน้าต่อตา เราก็ไม่เสียน้ำตาให้กับการสูญเสียใดๆอีกเลย”
ผมนิ่ง.........................................................................
แววตาของมันกลับมาอ่อนโยนอีกครั้ง เมื่อต้องแสงตะเกียง จมูกที่เป็นสันรับกับริมฝีปากที่อวบอิ่ม ส่วนประกอบบนใบหน้านั้นช่างลงตัวที่สุด นี่ถ้ามาอยู่ในยุคผมนี่ เป็นดาราได้เลยนะนี่
“มองอันใด”
“หา” ผมสะดุ้ง “ปล่าวๆ แหะๆ กำลังทำอะไร”
“เรากำลังแปลหนังสือทางการแพทย์ตะวันตกน่ะ หมอเจอราร์ทท่านสั่งไว้ก่อนที่จะไปประจำการที่บ้านขุนวรจักรวงศา”
“ไหนดูสิ” ผมถือวิสาสะ ดึงหนังสือเล่มนั้นมา
“โรคติดเชื้อ Infectious disease เป็นโรคซึ่งเป็นผลจากการมีเชื้อจุลชีพก่อโรค อาทิไวรัส แบคทีเรีย รา โพรโทซัว ปรสิต หรือแม้กระทั่งโปรตีนที่ผิดปกติเช่นพรีออน เชื้อดังกล่าวอาจก่อให้เกิดโรคในสัตว์หรือพืชได้ โรคติดเชื้อจัดเป็นโรคติดต่อ Contagious diseases, Communicable diseases เนื่องจากสามารถติดต่อไปยังบุคคลอื่นหรือระหว่างสิ่งมีชีวิตในสปีชีส์เดียวกัน การติดต่อของโรคติดเชื้ออาจเกิดได้มากกว่า 1 ทาง รวมถึงการสัมผัสผู้ป่วยโดยตรง จุลชีพก่อโรคอาจถ่ายทอดไปโดยสารน้ำในร่างกาย อาหาร น้ำดื่ม วัตถุที่มีเชื้อปนเปื้อน ลมหายใจ หรือผ่านพาหะ”
ผมอ่านโดยที่แปลมาจากหนังสือภาษาอังกฤษเล่มนั้นอย่างคล่องแคล่ว หมอนั่นทำหน้าอึ้ง อ้าปากค้าง
“อึ้งล่ะซี้ เก่งใช่มั๊ยหล่ะ” ผมยิ้ม ยักคิ้วหลิ่วตา
“เจ้าไปรู้เรื่องพวกนี้มาจากที่ใด” เขาถาม
“ก็บอกแล้วว่าสมัยชั้นน่ะ เราเรียนกันแบบ Biligual สองภาษา ภาษาไทยกะภาษาอังกฤษ”
“สมัยเจ้า เราเป็นเมืองขึ้นของบริเตนแล้วรึ” เขาทำหน้าตกใจ อะไรจะ sensitive ขนาดนั้น
“ปล่าว เราไม่ได้เป็นเมืองขึ้นใครทั้งนั้นแหละ เราเป็นเอกราชมาตลอด แต่ยุคของชั้น การสื่อสารไร้พรมแดน เราติดต่อค้าขาย แลกเปลี่ยนไม่เพียงแต่สิ่งของ แต่รวมทั้ง ความรู้และวัฒนธรรมด้วยนะ”
“เหมือนที่เราค้าขายไม้สักที่หัวเมืองเหนือกับพวกบริเตนกระนั้นรึ”
“ประมาณนั้นแหละ แต่ว่า มันง่ายกว่านั้น ชั้นก็ไม่รุ้จะอธิบายยังไงนะ แต่............” ผมเงียบไปครู่หนึ่ง
“นายเชื่อชั้นแล้วใช่ป่าวว่าชั้นมาจากโลกอนาคต”
หมอปีย์ไม่พูดอะไร แต่สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม และอาการลังเล
“สมัยชั้นน่ะ เราไม่ต้อง...................”
“พอเถิด” ผมยังไม่ทันพูดจบ หมอนั่นก็ขัดขึ้นมา “เจ้าไปนอนเสียเถิด ดึกแล้ว” เขาไล่
“แต่ชั้นยัง.................”
“เราอยากทำงานเงียบๆ” เขามีน้ำเสียงเข้มขึ้นมาอีกแล้ว
“ตามใจแล้วกัน มีอะไรให้ชั้นช่วยก็บอกนะ” ผมว่า ก่อนจะเดินไปที่ที่นอน ล้มตอนลงนอนบนพื้นไม้กระดานแข็งโป๊ก
เมื่อไม่ต้องคอยมากังวลเรื่องผีเรื่องสาง ผมก็หลับได้ไม่ยาก
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
เวลาผ่านไปแค่ไหนไม่รู้ที่ผมผล็อยหลับไป แต่มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มีผ้าอุ่นๆมาคลุมร่าง ผมลืมตาขึ้นมอง หน้าของหมอปีย์ลอยอยู่ตรงหน้า เขายิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“ห่มผ้าเสีย อากาศหนาวเดี๋ยวเจ้าจักไม่สบาย” ผมยิ้มตอบพลางพยักหน้า นึกขอบคุณเขาใจ และผล็อยหลับไปอีกครั้ง
เสียงดนตรีหนักหน่วงดังอยู่รอบตัว แสงไฟหลากสีส่องแสงวิบวับวิบวับ ผู้คนมากมายห้อมล้อมอยู่รอบตัวผม พวกเขากำลังเต้นรำปล่อยอารมณ์กันสุดเหวี่ยง ผมจำพวกนี้ไม่ได้หรอก ว่าเป็นใคร เพราะผมเมา นี่บอกกันตรงๆไม่ได้แอ๊บเลยว่าผมเมา
ก็นับจากวันที่ถูกผู้หญิงคนนั้นบอกเลิกโดยไปคั่วกับผู้ชายที่เคยมาจีบผมนั่นแหละ งงมั๊ย งงสิ เพราะโลกร้อนละมั้ง อะไรหลายๆอย่างที่นี่เลยเปลี่ยนไป
วันนั้นผมเมามายกลับบ้านมา และมาโวยวายอยู่หน้าบ้านอาที่ขี้งก โลภ รวมหัวกับผัวหนุ่มอยากจะฮุบสมบัติของหนูวาด ยายทวดของผม ผมโวยวายเสียงดังจนถูกพวกเขาจับมามัดขังไว้ที่เรือนครัวหลังเก่าหลังบ้านนี่แหละ และที่นั่นเองที่ผมเผลอหลับไปและฝันประหลาดๆ ฝันถึงคนโบราณ บ้านเมืองสมัยโบราณ บ้าบอคอแตก แต่เมื่อผมตื่นขึ้นมาในตอนรุ่งเช้าก็พบว่าตัวเองนอนคดขู้อยู่ในเรือนเก่าหลังนี้
หลังจากวันนั้นผมก็ใช้ชีวิตเหลวแหลกไปตามประสาพวกเสเพลธรรมดาทั่วไป กิน ขี้ ปี้ นอน ไปตามประสา ไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่กลับไปเรียนให้จบ ไม่สนใจร้านอาหารไทยของแม่ที่บ้าน ไม่เอาอะไรทั้งนั้นละเว้ย
คืนนี้ก็เช่นเดียวกันที่ผมออกมาสังสรรค์กับเพื่อนกลุ่มใหม่ที่เพิ่งรู้จักกันจากการดื่มเหล้าในงานปาร์ตี้ Cowgirls เมื่อสองคืนก่อน ไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่หรอก แค่คุยกันรู้เรื่อง พวกมันเป็นลูกคนมีกะตังส์เหมือนกัน เราจึงคุยกันถูกคอ
“เฮ้ย มึงไปต่อที่คอนโดกูมั๊ยวะ หิ้วน้องเจนไปด้วย” ผมพยักหน้ารับคำก่อนจะเดินกอดคอคลอเคลียกับศึกษาสาว มหาลัยชื่อดังที่เธอบอกว่า เธอไม่เคยเที่ยวที่แบบนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรก
“ถุย กูคงเชื่อมึงหรอกนะ หึ เห็นท่ามึงซดเบียร์กูก็เดาออกแล้ว ว่าอย่างมึงนะ เขาไม่เรียกไม่เคยหรอกเว้ย เขาเรียกช่ำชอง” ผมบ่นในใจ แต่มันจะเสียหายอะไรกันเล่าในเมื่อเด็กมันบอกอย่างนั้น ผมก็ต้องเชื่อ จริงมั๊ย เด็กมันเสนอมา เราก็ต้องจัดไปอย่าให้เสีย
เสียงรถ Porsche รุ่น Cayenne ที่กระหึ่มด้วยลูกสูบเต็มพลังแน่นเปรี๊ยะนั้น ทำให้คนในลานจอดรถต้องเหลียวมอง ผมยิ้มมุมปาก ก่อนจะกระชากตัวอย่างแรงโชว์ความเก๋าของรถรุ่นนี้ให้เป็นบุญตาของพวกไม่มีจะขับเหล่านั้นได้อึ้ง ทึ่ง เสียวกันสักครั้งในชีวิต
ราตรีของกรุงเทพฯยามตีสองนี้ ช่างแตกต่างจาก ราตรีของสยามยามสองทุ่มเสียจริง ที่นี่ถึงแม้จะตีสอง แต่ก็ยังมีแสงไฟสว่างจ้า รถราแล่นกันให้ขวัก ให้รู้ว่าเรายังมีเพื่อนนอนดึกอยู่บนถนนอีกมากมาย รถพาผมแล่นมาจอดยังคอนโดหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา เหล่าพวกไฮโซเหล่านั้นต่างพากินหิวสาววัยแรกรุ่นกันคนละคนสองคนขึ้นลิฟท์ไปยังชั้น Balcony ของคอนโด ท่าทางจะรวยจริง เพราะหากไม่เช่นนั้นแล้ว คงไม่มีปัญญาอยู่คอนโดหรูๆแบบนี้ และห้องสุดพิเศษแบบนี้หรอก
“เฮ้ย คืนนี้มีของดีเว้ย ไม่อั้น ไม่อั้น”
“เฮ้ย มึงหามาได้ไงวะสัตว์ ได้ข่าวช่วงนี้ตำรวจแม่งเข้ม ของขาด”
“อ้าว ไอ้เหี้ย มึงไม่รู้เหรอว่าพ่อกูเป็นใคร นี่” ชายคนนั้นชี้ไปที่รูปพ่อของมัน “พ่อกูเป็นพ่อของตำรวจอีกทีเว้ย”
เสียงหัวเราะดังลั่นห้อง ต่างคนต่างจัดแจงหาที่เหมาะๆ แล้วลงมือปาร์ตี้กันอย่างสนุกสนาน
ผมนั้นถึงแม้จะเสเพลไปบ้าง แต่ก็ไม่เคยคิดจะแตะต้องไอ้ของพรรค์นั้น ปล่อยให้พวกมันจัดการกินขนมกันอย่างเมาส์มัน ส่วนผมขอแยกมาอยู่กับน้องเจน แม่สาวไร้เดียงสาที่ใส่ชุดชั้นในสีชมพูแซมด้วยลูกไม้สีดำดีกว่า
“อยากไปสนุกกับพวกนั้นมั๊ยคะ” ผมพูดเสียงออดอ้อน
“ไม่อาวอ่ะ เจนไม่เคย เจนขออยู่กับพี่ปอดีกว่า” ว่าแล้วเธอก็เอาหน้าซุกแผ่นอกของผมก่อนจะทำตัวสั่นระริก ผมกอดเธอแน่น
กลิ่นน้ำหอมนั้นหอมเย้ายวนเหลือเกิน ถึงแม้มันจะเป็นกลิ่นที่ผมไม่ปลื้มอยู่บ้าง แต่เมื่อรวมกับกลิ่นบุหรี่ กลิ่นเหล้า และเหงื่อเข้าไป มันก็ทำให้ผมใจเต้นรัวได้ไม่น้อย
“กลัวเหรอคะ หึ มามะ เดี๋ยวพี่ปอจะทำให้หายกลัว” ว่าแล้วผมก็ช้อนคางของน้องเจนขึ้นมา เธอมองตอบด้วยแววตาไร้เดียงสาที่ทำได้ไม่ยาก แค่ big eye สีน้ำตากลมโตคู่เดียว ก็ทำให้น้องเจนผู้เจนโลกของผมคนนี้ กลายเป็นนู๋เจนผู้เดียงสาในบัดดล
ผมระดมจูบเธอทั่วไปหน้า และริมฝีปาก มือทั้งสองข้างกอดเธอแน่น ริมฝีปากที่อวบอิ่มนั้นละเลงแลกหมัดกับริมฝีปากผมอย่างเมามันส์
“คืนนี้เป็นของพี่นะคะ” ผมขอ เธอพยักหน้าทำเสียงงุ๊งงิ๊ง
“ไม่เอานะคะ พี่ปอ อย่าค่ะ ตื่นเถอะ คะ ตื่นเถอะ” เธอพยายามผลักผมออกมา แต่ผมรู้นิสัยผู้หญิงดี
“อย่านะพี่ ไม่เอาน่า ตื่นได้แล้ว” แล้วเธอก็บอกให้ผมตื่นเป็นรอบที่สอง
“จะตื่นอะไร พี่ยังไม่ได้หลับเสียหน่อย” ผมไม่ยอม
พวกข้างนอกเริ่มเงียบเสียงลง ผมเดาเอาว่าพวกมันก็คงปฏิบัติภารกิจคล้ายๆกับผมอยู่เหมือนกัน
ผมพยายามเล้าโลมเธอให้เธอมีอารมณ์ ขาทั้งสองข้างเกี่ยวก่ายไปมา มือนั้นก็ควานเข้าไปในเสื้อนักศึกษาสีขาวแล้วค่อยๆคลึงเค้นปถุมถันที่สู้มือไม่น้อย เธอร้องครวญครางในลำคอเบาๆ
ผมระดมจูบไล่ลงมาจากหน้าผาก จมูก เรื่อยลงมาจนถึงแก้มทั้งสองข้าง
แก้มทั้งสองข้าง
แก้มทั้งสองข้าง
แก้มทั้งสองข้าง เอ๊ะ ทำไมผมถึงรู้สึกแปลกๆกับแก้มของเธอ มันไม่เหมือนแก้มนิ่มๆของผู้หญิงทั่วไป ผิดจากนั้นยังรู้สึกสากๆเสียด้วยซ้ำราวกับเจนเพิ่งโกนหนวดมา
นอกจากนั้นหน้าอกที่เคยอวบอิ่มนุ่มนิ่มของเธอตอนนี้กลับแข็งโป๊กราวกับเจนไปเล่นกล้ามมา ผมค้างมือไว้ครู่หนึ่ง
ค่อยๆลืมตามองหน้าเจน
ค่อยๆลืมตา
เสียงสว่างเรื่อๆแยงตาทำให้ผมต้องหรี่ตาปรับสายตา
เจน
เจน
ผมกระพริบตาถี่ๆ
เจน
และในที่สุดผมก็ลืมตาขึ้นมองหน้าเจนอย่างเต็มที่
“แหว๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
“ไอ้หมอปีย์”
“เจ้ยยยยยย”
ผมตะโกนลั่นห้อง ภาพหมอปีย์นอนตัวแข็งทื่อเป็นเสาไฟฟ้ามือทั้งสองข้างกำแน่นอยู่ที่หน้าอก ตัวสั่นงกๆ โดยมีผมกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยง ขาทั้งสองข้างพันขามันแน่น มือก็กำลังตะปบอยู่ที่หน้าอก ส่วนหน้าผมนั่น จ๊าก ไม่อยากจะบรรยาย
“ไอ้หมอบ้า มึงมาทำอะไรตรงนี้” ผมดีดตัวออกจากหมอนั่นอย่างรวดเร็วจนเกือบตกเตียง คว้าผ้าห่มมาคลุมเรือนร่างของตัวเอง จะทำไปทำไม
“เรา เอ่อ.........” เขาพูดตะกุกตะกัก
“มานอนบนเตียงได้ยังไง” ผมเค้นถาม
“เอ่อ นี่มันเตียงเรา แล้วเจ้าก็เปนผู้ที่ปีนขึ้นมานอนบนนี้เอง” เขาพูดน้ำเสียงอายๆ
ผมมองไปรอบๆ พยายามรวบรวมความคิด เออ ใช่นี่หว่า เมื่อคืนกูมาอาศัยนอนห้องมัน และนั่นก็เป็นที่นอนของกู
“ไม่รุ้หล่ะ แล้วทำไมไม่ปลุก”
“เราปลุกเจ้าแล้ว แต่เจ้าไม่ตื่น”
“แล้วนายทำอะไรชั้นมั่ง”
“เรามิได้ทำอันใดเจ้าแม้แต่น้อย เจ้าต่างหากที่.............” เขามองไปที่หน้าอกตัวเอง
“ไอ้บ้า ไอ้ ไอ้ ทะลึ่ง” ผมไม่รู้จะพูดอะไร ตอนนั้นรู้สึกเลือดมันฉีดขึ้นหน้าจะหน้าแทบระเบิด ยืนหันไปหันมา
“ออกไปสิ มานั่งอยู่ทำไม” ผมเอ่ยปากไล่
“แต่นี่มันห้องของเรา” หมอนั่นพูดเสียงอ่อย
“อ้าว เอ่อ ก็ได้ ชั้นไปเองก็ได้” ผมเดินไปคว้าผ้ากับหมอนที่เอามาเมื่อคืน ก่อนจะหันหลังไม่ทันระวังหัวไปชนเข้ากับเสาเตียงที่ไว้ผูกมุ้งเสียงดังปัง ล้มแผละลงบนเตียง............อีกครั้ง หมอนั่นรับผมไว้ทัน ผมมองหน้ามัน
“น้องเจน ทำพี่แสบจริงๆ” ผมกัดฟันกรอด ก่อนจะลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและกระทืบเท้าเดินออกไปอย่างหัวเสียบวกกับเสียหน้าอย่างมากด้วย
“นายห้ามเอาเรื่องคืนนี้ไปเล่าห้ใครฟังนะเว้ย ไม่งั้น..............ตาย” ผมหยุดหันหลังพูดกับมัน
“อ้อ แล้ว..........................หากเกิดอะไรขึ้นมา ชั้น เอ่อ........” ผมนิ่ง “ชั้นรับผิดชอบเอง”
........
........
........
.......
“รับผิดชอบเอง รับผิดชอบเอง เหี้ยเอ้ย พูดไปได้ยังไง มึงจะบ้าเหรอไอ้ปอ” ผมเขกหัวตัวเอง โกรธที่พูดออกไปไม่คิดแบบนั้น
“พ่ออัช” หมอนั่นเรียกก่อนที่ผมจะเปิดประตูห้องออกไป
“เจ้าเร่งอาบน้ำอาบท่าเข้าเถิด เราจะพาเจ้าไป.............ตลาด”
-
หมอปีย์ หวิดไปแล้วไหมละ
-
:o8: น้องเจนคงงงว่าเกี่ยวไรกะเจน :m20:
-
ภาพหมอปีย์นอนตัวแข็งทื่อเป็นเสาไฟฟ้ามือทั้งสองข้างกำแน่นอยู่ที่หน้าอก ตัวสั่นงกๆ
อร๊ายยยยยยย หมอปีย์อายน่ารักน่ากดมาก :-[อัช! แกปล่อยไปได้ไงฟระ ไม่เลยตามเลยไปเล่า
ปั๊ดโธ่! ไม่ได้เรื่องจริงๆเจ้าอัช :z3: :z6: โทษฐานขัดใจแม่ยก
น้องเจนทำพิษซะแล้ว
อยากอ่าน part หมอปีร์ บ้าง
ว่าคิดอะไรอยู่
เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง หมอปีย์คนดีค้าบ ออกมาเล่ามั่งไรมั่งเห้อ :z1:
-
หมอปีย์หวิดเสียเอกราช :a5:
-
:m20: :m20: :m20:
น้องเจนทำพิษซะแล้ว
อยากอ่าน part หมอปีร์ บ้าง
ว่าคิดอะไรอยู่
:กอด1: :กอด1:
-
:pigha2:หมอปีย์เกือบแย่
-
น่าจะฝันต่อยาวอีกสักหน่อย :m25:
-
จากกลัวผี... น้องเจนพางานเข้าซะแล้ว :laugh:
สงสารหมอปีย์
+1
-
ฮ่าๆ หมอปีย์คงเกร็งน่าดู
:pig4:
-
อ่านตอนแรกๆทั้งอึมครึมทั้งเครียด o22
แต่ตอนหลัง :m20: :laugh: :pigha2:
หมอปีย์ช่างน่ารักน่าดูเอ็น เอ้ย!! เอ็นดู
อัชน่าจะฝันต่ออีกสักหน่อยน่า :z1:
-
:m20: :m20: :m20:
อยากอ่าน part หมอปีร์ บ้าง
ว่าคิดอะไรอยู่
:กอด1: :กอด1:
เห็นด้วยอย่างแรง
-
:m20: :m20: :m20:
อยากอ่าน part หมอปีร์ บ้าง
ว่าคิดอะไรอยู่
:กอด1: :กอด1:
เห็นด้วยอย่างแรง
ยกมือสุดแขนสนับสนุนด้วยคน แหม..ฝันต่ออีกนิดนึงก็ได้เลือดแล้ว :m25:
-
น้องเจนทำพิษ 5555
-
:haun4:
จิ้นไปซะไกลเลยอ่ะ
แล้วตกลงหมอรับเหรอ :m20:
อ่านมาตั้งนานเพิ่งรู้ :z3:
-
มีสิทธิ์เป็นปได้สูงนะค่ะว่าคุณยายทวดจะรู้ว่านายปอองเราคือเหลนตัวเอง ถึงได้สอนให้เรียกตัวว่าหนูวาดน่ะ แต่คงไม่ได้บอกอะไรแค่สอนให้เรียกแบบนี้เฉยๆ เหมือนที่ครั้งหนึ่งในอดีตเคยมีคนเรียกล่ะมั้ง คิกๆ แต่หมอปีย์เกือบเสียหนุ่มไปแล้วสินะ คิกๆ
-
:-[ รักคนแต่งมากมาย มาต่อไวไวนะ รอ รอ รอ
-
เริ่มตอนมาแบบเศร้า จบนี่ทำฮาแทบกรามค้างเลยค่ะ :jul3:
หมอปีย์เกือบเสียหนุ่มซะละ :m20:
เอ๊ะ แต่แบบนี้เขาถือว่าเสียผีแล้วรึป่าวพ่ออัช รับผิดชอบตามปากว่าด้วยนะ :laugh:
-
น้องเจน ทำเรือง :m20: :m20: :m20:
:กอด1: :กอด1: :กอด1:
-
อาการของไข้ป่า ถ้าเป็นสมัยนี้ ถือว่าจิ๊บ ๆ แต่สมัยพระพุทธเจ้าหลวง คงเป็นโรคร้ายแรงมาก
บทจะจบตอนก็ :jul3: ฝันหนอฝัน นายฮัช :m25:
+1 ขอบคุณสำหรับตอนนี้ครับ พี่หนึ่ง
-
พึ่งตามมาอ่านคับ
ชอบฉากเจ้าแดงมากเลยคับ
น้ำตาคลอเลย
-
ผู้เขียนสื่อสันดารตัวละครแบบถึงพริกถึงขิงกับลักษณะที่เจ้เรียกว่าเดนมนุษย์ยุคปัจจุบันได้ดีมาก
เห็นแก่ตัว มั่วโลกี เสพอบายมุข เสพติดวัฒนธรรมตะวันตก ผ่านนายอัชได้แบบน่ารังเกียจสุดๆ :angry2:
เนี่ยแหละค่ะคนในสังคมปัจุบันที่เราต้องเผชิญ อยากกลับไปอยู่อย่างพอเพียงแบบนี้จัง
อยากบอกว่าเป็นเรื่องแรกเลยที่อ่านแล้วรังเกียจนายเอก(หวังว่าใช่) :beat: อินจัดมากๆ
-
เล่นเอา หมอปีย์ อึ้งเลย 55555555555555 ฟัดเค้าซะขนาดนั้น
-
น้องเจนทำพ่ออัช ซวยแล้ว 55+ มาต่อไวๆๆนะคะ
-
คุณหมอเกือบไปนะ
อิอิ
เกือบโดนพ่ออัชบุกรุกซะแล้วสิ
อิอิ
รอตอนต่อไปนะ
เป็นกำลังใจจ้า
สู้ๆ นะจ้ะ
-
555 น้องเจนงานเข้าโดยไม่ตั้งใจ
-
น้องเจนทำพิษซะแล้ว :m20: :m20:
-
อ๊ากกกกกกกก :m20: :m20:
เกือบแล้วๆ ฮ่าๆ
รอตอนต่อไปจร้า
-
เกือบไปแล้วๆ :man1:
-
คิดถึงอัชกับหมอปีย์ :กอด1:
-
กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก :laugh:
เกือบไปแล้วน๊าาา :jul3:
-
ไม่น่าจะรีบเช้าเลย :man1:
เสียดายจัง...เนอะหมอปีย์ :impress2:
+1 ครับ
-
มานั่งรอพ่ออัชกับหมอปรีย์
-
สนุกมาก
แอบหลงรักหมอปรีย์เข้าเต็มเปา
-
อัพเถอะค่ะ :sad4:
จาขาดใจตายแล้ว :sad4:
-
ตามมาดัน นิยายเรื่องโปรด :m1:
ร่วงไปหน้า 2 แร้ว :c4:
-
รออ่านอยู่นะครับผม ชอบเรื่องนี้มากเลย :L2:
-
ตามกระแสเข้ามาอ่านค่ะ ><
ชอบหมอปีย์ง่ะ
นายอัชของเราอินโนเซนต์ได้โล่มากก!
รอติดตามตอนต่อไปอยู่นะคะ =]
-
น้อง เจน น้อง เจน
เป็น หมอ ปรีย์ หมอ ปรีย์
-
ชอบๆๆๆ
มาต่อเร็วๆนะคับ
-
บทที่ ๑๒ เราจักมิปล่อยให้เจ้าคลาดสายตา
ผมหอบผ้าห่มกับหมอนเดินออกมาจากห้องหมอปีย์ท่ามกลางสายตาของคนงานที่จับจ้องผมราวกับว่าผมย่องไปข่มขืนเจ้านายพวกเขานั่นแหละ
ซึ่งเอ่อ จริงๆแล้วก็...........ไม่เชิงข่มขืนหรอก ก็แค่เผลอใจ ............ไม่สิ ฝันไป หรือเอ่อ ลืมตัว หรือ อะไรก็ตามแต่ ช่างหัวมันเถอะ เอาเป็นว่าเรื่องเมื่อคืนผมไม่ได้ตั้งใจซะหน่อย
บรรดาคนงานต่างขะมักขะเม้นเช็ดเรือน พวกเขาเหล่านั้นทำงานเหล่านั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าวันละหลายๆรอบ ใครมีหน้าที่ทำอะไรก็จะทำอยู่ทั้งวัน คนที่ขัดพื้นก็จะขัดเสียจนมันวับ
“วันนี้ดูท่าทางฟ้าฝนจะตกเป็นห่าลงเป็นแน่” หมอปีย์เดินอมยิ้มออกมาจากห้องและทักทายเมื่อเห็นผมยืนรออยู่ก่อนในชุดบ่าวผู้ชายที่ร่างกายมอมแมม
“ครั้งเดียวเกินพอ ชั้นไม่ใช่ควายที่ไม่รู้เรื่องอะไรของที่นี่เลย” ผมว่า
“ดีแล้วที่เจ้าหัวไว เราจะได้ไม่เหนื่อย” เขาว่า
หลายวันที่ผ่านมากับการอยู่ ณ สยาม เวลานี้ของผม เป็นช่วงเวลาที่ผมสนใจตัวเองน้อยลง ผมไม่ใคร่จะใส่ใจว่าผิวหน้า ผิวกายจะไหม้เกรียมแค่ไหนกับช่วงกลางวันที่แดดร้อนแรง ผมไม่สนใจที่จะใส่เสื้อผ้าเรียบหรูราคาแพง เพราะคนที่นี่เขาใส่เหมือนกันหมด ไม่ใคร่จะใส่ใจประทินผิว น้ำหอมหรือครีมบำรุงเพราะคนที่นี่ไม่ทำสิ่งพวกนั้น
เหตุการณ์เหล่านั้นทำให้ผมคิดได้ว่า ............คนเราเปลี่ยนได้ตามสภาพแวดล้อม
“มีเศษดินเปื้อนที่แก้มเจ้าน่ะ” หมอปีย์มองมาที่แก้มผม เขาตั้งใจจะปัดมันออก
“อาอ่ะ อย่าแม้แต่จะคิดแตะต้องแก้มเนียนๆของชั้น ดินนี่ชั้นเอามาทาเอง” ผมโบกมือไปมา “คราวที่แล้วปล่อยให้พวกนายมาละเลงตัวชั้นเล่น จนหนังชั้นลอกออกมาเป็นแผ่นๆ ยังแสบไม่หาย”
“จักไปไหนกันหรือขอรับ” เสียงนายสนเดินทักมาจากด้านหลัง
“อ้อ สน เราจักพาเจ้าบ้าไปตลาด” หมอปีย์ตอบ
“ยามนี้นะหรือขอรับ”
“ใช่ ยามนี้นี่แหละ ทำไมรึ”
“กระผมเพิ่งได้ข่าวจากพวกเจ้าทองใบว่าแถวตลาดมีพวกซ่องโจรอั่งยี่อาละวาดน่ะขอรับ ไปยามนี้เกรงว่าจักไม่ปลอดภัย”
“จักต้องเกรงกลัวอันใดกันเล่า นี่บ้านเมืองเราแท้ๆ อีกอย่างกลางวันเช่นนี้โปลิสก็มี คงไม่มีเรื่องอันใดร้ายแรงหรอกกระมัง”
“ขอรับ”
“เราฝากพวกเรือนหลังสวนด้วยนะ บ่ายคล้อยจักกลับมา”
แล้วผมกับหมอปีย์ก็ออกเดินทางตั้งหน้าตั้งตาเดินไปตลาด น่าแปลกที่วันนี้เขาไม่เอารถเกวียนไป อาจเป็นเพราะตลาดอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ด้วยมั้ง
ตลาดยามเช้าของที่นี่แตกต่างจากที่บ้านผมเป็นไหนๆ คนสมัยนี้ขายของโดนการเอาของวางบนพื้นโดยใช้ใบตองรองมั่งหล่ะ วางบนแคร่มั่งหละ ผู้คนมากมายเดินจับจ่ายใช่สอย เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจ ต่างคนต่างทักทายกันไปมา จนบางครั้งผมยังอดสงสัยไม่ได้ว่า คนพวกนี้เขารู้จักกันทั้งตำบลเลยหรือไงนี่
“ปลากริมไข่เต่ามั๊ยจ๊ะ พ่อหนุ่ม”
“ขนมรวงผึ้งก็มีนะจ๊ะ”
“ขนมครกจ้า ขนมครก”
“ปลาส้มจากไหเลยนะจ๊ะ”
“แหนมอร่อยๆจ้า แหนมจากหัวเมืองเหนือเลยนะจ๊ะ”
เสียงตะโกนเชื้อเชิญให้ซื้อของดังเป็นระยะๆ
“นาย นาย” ผมกระซิบเรียกหมอปีย์ “ชั้นอยากกินหนมครกอ่ะ” ผมทำท่าลูบท้องหิว
“เอาสิ เราก็หิวเหมือนกัน”
“ยายเอาหนมครกหน่อย” ผมบอก คนขายหันมายิ้มหวานกับผม เธอใช้จวักที่ทำมาจากไม้กวนแป้งสีขาวนวลที่อยู่ในหม้อดินเสียงแดงแครกๆ ก่อนจะใช้กาบมะพร้าวชุบไข่กับน้ำมันทาไปที่หลุมขนม ผมยืนดูอย่างตั้งใจในขณะที่หมอปีย์เดินไปดูรากของไม้บางอย่าง
"ยายทำไมเอาไข่ทาด้วยหล่ะ” ผมถาม
“อ้าว ก็ไม่ให้มันติดหลุมสิพ่อหนุ่ม แล้วไข่นี่นะ ก็ทำให้หอมแล้วก็สีน่ากินด้วยไงเล่า” ยายว่า
ผมยืนมองแกอย่างตั้งใจ ยายบรรจงตักแป้งใส่หลุมหลุมละครึ่งจนหมดก่อนจะปิดฝาด้วยฝาดินเผาครู่ใหญ่
“ไม่ใส่ให้เต็มหล่ะยาย” ผมถาม
“ประเดี๋ยวจะใส่หัวกระทิ จะได้มันๆเค็มๆ” ว่าแล้วแกก็เปิดฝาหลุมขนมครกออก ควันลอยกรุ่น แล้วยายก็ตักหัวกะทิกลอกใส่ที่ละหลุมจนเต็ม
“โห เมื่อไหร่จะได้กินหล่ะเนี๊ยะ” ผมบ่น เพราะยิ่งดูก็ยิ่งหิว
“อยากกินของอร่อยมันก็ต้องรอหน่อยสิวะ ขนมครกข้านี่เป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งบางเลยนะจะบอกให้” แกยิ้ม
“โหแล้วขายแบบนี้เมื่อไหร่จะรวยลละยาย”
“จะรวยไปทำไมกัน ข้ามาข้ามิได้หวังรวย อยู่บ้านเมืองนี้จะรวยไปทำไม ของกินของใช้มีไม่ขาด ไม่อดไม่อยาก”
“จ้า แม่คนมีอุมการณ์ในชีวิต” ผมแซว ยายใช้ช้อนเขียวแกขนมใส่กระทงที่ทำมาจากใบตองเย็บอย่างปราณีตที่ละอันจนเต็มก่อนจะยื่นให้ผม
“อัฐหล่ะพ่อหนุ่ม”
ผมทำหน้างงๆ
“กระไรกัน มาซื้อของไม่มีอัฐ นายเอ็งมิได้ให้อัฐมาดอกรึ”
“อ๋อ เงินเหรอ ชั้นไม่มีอ่ะ” ผมยิ้ม แต่ยายสิ ไม่ยิ้มกับผม
“อ่ะ นี่จ่ะ ยาย อัฐ” ก่อนที่ผมจะโดนแพ่งกบาลด้วยจวัก หมอปีย์ก็เดินมายื่นเงินให้ยายนั่นไป ผมรับขนมมา
“อูย ร้อนๆ”
“ถือดีๆสิ ประเดี๋ยวก็หล่นไม่เป็นอันได้กินกันพอดี” หมอปีย์ดุ
“ก็มันร้อนนี่หว่า ถือเองสิ” ผมยื่นขนมให้ เขาส่ายหัวด้วยความเอือมระอา ก่อนจะรับมันมาไว้ในมือ
“อูย ร้อนๆ” แล้วก็บ่นเหมือนผม
“เป็นไงหล่ะ เอามานี่ เดี๋ยวแม่งหล่นอดแดกกันพอดี” ผมดึงขนมกลับมา
ขนมครกชิ้นแรกถูกหยิบขึ้นมา สัมผัสแรกที่รู้สึกได้คือความนุ่มของแป้งที่พอหยิบแล้วไม่เละคามือ กลับเด้งดึ๋งอย่างน่าประหลาด ไอร้อนที่พวยพุ่งออกมาจากตรงกลางนั้น ทำให้ผมต้องเป่าอยู่ครู่ใหญ่ จนแน่ใจแล้วว่ามันไม่ร้อน จึงหยิบเข้าปาก
“อืม” ผมค่อยๆบรรจงเคี้ยวอย่างระมัดระวัง
“อืม” รสชาตินุ่มละมุนลิ้นของแป้งบวกกับความหอมกลิ่นไหม้จากไข่ และความันเค็มปะแล่มๆจากกะทิทำให้ขนมครกของยายคนเมื่อกี้อร่อยจนแทบจะกินทั้งใบตอง
(http://image.ohozaa.com/i/5fd/zfkok.jpg)
“อร่อยมากเลยว่ะ ชิมดิ” ผมยื่นให้หมอปีย์
เขาหยิบขนมครกไปชิ้นหนึ่งก่อนจะโยนใส่ปากโดยไม่เป่าก่อน
“อูยๆ ร้อนๆ “ ไอร้อนจากขนมพวยพุ่งออกมาจากปากเขา เขาอ้าปากพ่นควันออกมา มือทั้งสองพัดไปมาอย่าทุรนทุราย
“ทำไมไม่เป่าให้เรา” เขาพูดน้ำหูน้ำตาไหล
“อ้าว ทำไมชั้นต้องเป่าให้นายด้วย” ผมว่าก่อนจะหยิบอีกชิ้นขึ้นมา
“อ้าว ปกติบ่าวไพร่มักจะทำให้เราเยี่ยงนี้” เขาโอดครวญ
“แต่กูไม่ใช่บ่าวมึง แค่กูแต่งตัวนี่ก็เกินพอและ อย่าให้กูต้องฝืนอะไรไปมากกว่านี้เลย” ผมว่า ก่อนจะเดินหายไปกับฝูงชน
...
ผมทิ้งหมอนั่นไว้ข้างหลัง โดยที่ตัวเองยังคงถือขนมครกอยู่ในมือเดินสำรวจของภายในตลาด ของที่ชาวบ้านที่นี่เอามาขายจะเป็นพวกผัก ผลไม้ ปลา ไก่เสียมากกว่า ไม่ค่อยเห็นหมู หรือเนื้อสักเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะสมัยก่อนการที่จะล้มหมูล้มวัวสักครั้งต้องเป็นงานใหญ่จริงๆ ชาวบ้านถึงจะล้มกันก็เป็นได้
ปลาที่ชาวบ้านเอามาขายก็จะเป็นปลาแม่น้ำ ปลาช่อน ปลาดุกนาตัวเขื่อง อีกทั้งพวกหอยขม กุ้งแม่น้ำตัวโตที่ผมเห็นแล้วนึกอยากจะทำพาสต้าผัดขี้เมากุ้งขึ้นมาทันที
“ลุง กุ้งนี่เอามาจากไหนอ่ะ” ผมถามคนขาย
“ก็เอามาจากแม่น้ำนะสิวะ ถามแปลกดีแท้” ลุงตอบเหมือนกับว่าการเจอกุ้งแม่น้ำตัวเท่าแขนในแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นเรื่องธรรมด้า ธรรมดาอย่างนั้นแหละ
“มันมีกุ้งแบบนี้ในแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยเหรอลุง” ผมทำหน้าตาตื่น
“เออสิวะ พ่อหนุ่มนี่ท่าทางจะมิใช่คนบางนี้กระมัง ในแม่น้ำท่าประนู้นน่ะ มีปลาตัวโตนะ ปลาเนื้ออ่อน ปลาเทโพเอย กุ้งแม่น้ำ ก็เต็มไปหมด ว่าแต่เอ็งมาจากเมืองไหนกันรึ น่าตาผิวพรรณดูมิใช่ชาวสยาม”
อ่าว
“อ๋อ เอ่อ ชั้นจากเอ่อ จาก พารากอน น่ะลุง” ผมตอบไปมั่วๆ
“พระนครเหรอ ว่าแต่พระนครฝั่งกระไหนกันเล่า”
“เอาเหอะลุง เอาเป็นว่า แถวบ้านชั้นก็มีแม่น้ำเหมือนกับลุงนี่แหละ สายเดียวกันเลย แต่บ้านชั้นไม่มีกุ้งตัวโตๆ ปลาตัวเบิ้ม แบบนี้หรอก บ้านชั้นน่ะ มีแต่ปลาสวาย เต่า ปลาซอกเกอร์ เท่านั้นแหละ อ้อ ลืมไป มีผักตบชวาด้วย” ผมยิ้ม
ดูท่าทางลุงจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมพูด แต่ผมก็ไม่ได้หวังให้แกเข้าใจหรอก ไว้อีกสัก 50- 60 ปี ถ้าแกอยู่ถึง แกคงได้เห็นอะไรๆเปลี่ยนแปลงไปอีกเยอะ
ผมละจากลุงขายกุ้ง ก็มาพบกับหญิงแก่คนหนึ่งกำลังนั่งสานอะไรบางอย่าง
“ยาย ทำไรอ่ะ” ผมนั่งยองลงใกล้ๆ
“กำลังสานปลาตะเพียน” แกตอบพลางเคี้ยวหากจับๆ
“ขายเหรอ”
“ไม่ได้ขาย สานให้หลาน ข้าขายผักบุ้ง” ผมมองไปที่ผักบุ้งที่ถูกมัดรวมไว้เป็นมัดๆกับเชือกกล้วยโดยมีใบตองห่ออย่างดี
ผมนั่งมองยายานปลาตะเพียนอย่างสนใจ
“เอาใบอะไรมาทำอ่ะยาย”
“ใบลาน ใบตาลก็ได้ แต่ใบลานมันจะดีกว่า เหนียวกว่า สีจะสวยกว่า”
“เหรอ”
“เอ็งอยากได้กระนั้นรึ” แกยิ้ม ผมพยักหน้าเพราะในใจนึกถึงไอ้แดงมัน อยากจะเอาไปฝากมัน
“เอ็งเอาของข้าไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวข้าสานเอาใหม่” แกยื่นพวงปลาตะเพียนให้ผม
“จะดีเหรอยาย อุตส่าห์นั่งทำตั้งนาน ชั้นไม่มีเงิน เอ้ย ไม่มีอัฐหรอกนา”
“เอาไปเถอะ ข้าสานชั่วพริบตาเดียวก็ได้แล้ว เอ็งเอาไปเถิด จะเอาไปฝากผู้ใดกันเล่า”
“อ้อ ชั้นจะเอาไปฝากเด็กที่เป็นโรค.................” ผมเกือบจะหลุดปากพูดถึงโรคที่ไอ้แดงเป็นออกไป ดีที่นึกถึงคำของหมอปีย์ไว้ได้
“ชั้นหมายถึงเอาไปฝากลูกเจ้านายน่ะ” ผมยิ้ม
ปลาตะเพียนสานแกว่งไกวไปมา ผมมองดูงานฝีมือของยายคนนั้นแล้วอดทึ่งในความสามารถของแกไม่ได้ ลายปลาตะเพียนที่เรียบสนิท และเสมอกันไม่มีที่ติ อีกทั้งยังปราณีตและอ่อนช้อย เมื่อต้องลมปลาตะเพียนแกว่งไปมาราวกับมีชีวิตจริงๆอย่างนั้นแหละ
“เจ้าแดงมันคงชอบ” ผมยิ้ม และก็ต้องหยุดนิ่งไปชั่วครู่ เมื่ออดแปลกใจไม่ได้ที่จู่ๆ คนอย่างผมก็นึกถึงคนอื่นเป็นเหมือนกัน ผมซึ่งไม่เคยห่วงใครนอกจากตัวเอง ไม่เคยอยากจะเข้าใจความรู้สึกของใคร หรือ ไม่แต่ไม่เคยสนใจว่าคนนั้นจะเป็นอย่างไร แต่มาวันนี้ ดูผมสิ
“แห่” ผมยิ้มยิงฟันอีกครั้ง คราวนี้ไม่ได้ยิ้มให้ใครแต่ยิ้มให้ตัวเอง
“โอ่ว โอ้ว อย่างนั้นแหละ โอ่ว ตีมันเลยลูก เอ้อ ดีดเข้าไป เอ้ย เอ้ย” เสียงโห่ร้องดังมาแต่ไกล ผมชะเง้อคอมองไปเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่กำลังล้อมวงโห่ร้องอะไรสักอย่าง
“แหม่ ไทยมุง จะพลาดได้ยังไง” ผมว่าก่อนจะจ้ำอ้าวเดินดุ่ยๆเข้าไปยังกลุ่มคนเหล่านั้น
และผมก็พบว่าผมกำลังยืนมองไก่ชนสองตัวกำลังตีกันอย่างดุเดือด เสียงโห่นั้นยิ่งทำให้ไก่คู่นั้นฮึกเหิมมั้ง ก็เห็นมันตีเอาตีเอา ไม่ยั้ง
“โอ้ว โอ้ว” ไก่ตัวที่ทีขนสีเขียวเข้มแซมกับสีแดง กำลังกางปีกก่อนจะดีดเดือยที่ข้อเท้าเข้าไปที่ไก่อีกตัวที่มีขนสีทอง เดือยนั้นปักฉึกเข้าไปที่ไก่อีกตัวจนเลือดกระฉูด ก่อนที่ไก่ตัวนั้นจะยอมแพ้วิ่งไปมารอบวง
“อัฐๆ ส่งมาให้ข้าเว้ย แหม่ วันนี้ดวงขึ้นจริงๆเว้ย” เสียงเจ้าของไก่พูดไปหัวเราะไปด้วยความคะนอง
“เอามา คู่ต่อไป ไก่บ้านประดู่จักเจอกับไก่บ้านลำพู พนันขันต่อข้างไหนวางอัฐเลย” เงินถูกโยนไปมาระหว่างสองฝาก ในที่สุดเงินก็กองอยู่ต่อหน้าแต่ละฝ่าย
“ผมยืนอยู่ฝ่ายบ้านประดู่โดยไม่รู้ตัว นั่นเท่ากับว่าผมต้องเชียร์ฝ่ายไก่บ้านประดู่
“อืม อืม” ผมร้องในลำคอเบาๆด้วยความอายทันทีที่ไก่สองตัวพุ่งเข้าตีกัน ในใจนึกว่านี่ถ้ากูอยู่กรุงเทพฯมีหวังโดนตำรวจซิวไปแล้วแน่ๆ ก็การชนไก่มันผิดกฎหมายนี่นา ทรมานสัตว์ แต่ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้แล้วเข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิวตาตาม
“เออ เออ” ผมร้อง
ไก่ทั้งคู่ต่างพองขนคอชัน ปีกทั้งสองข้างขยับเตรียมพร้อม พวกมันมองตากันราวกับว่าพยายามจะเดาใจว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน
“เออ เอาเลยสิวะ ไอ้พยัคย์ลูกพ่อ เอามันเลย” เสียงชายข้างๆผมตะโกนเร้าอารม จนผมทนไม่ไหว ค่อยตะเบ็งเสียงแข่ง ทำไปทำมาก็สนุกดีเหมือนกันนะนี่
“เอ้อ แมร่ง เอาเลย” ผมค่อยตะโกน
“เอิ้ววววววววว Yeah good job kids yeah…………..Dam it” ในที่สุดความมันส์ก็ไม่เข้าใครออกใคร ผมเผลอตะโกนเป็นภาษาอังกฤษออกไป
“Fight yeah kill him” เสียงของผมดังลั่นอย่างสะใจ โดยที่ลืมสนใจไปว่า ตอนนี้ทุกคนเงียบกริบมองผมเป็นตาเดียวกัน
“Yeah เอ่อ...........” มารู้ตัวอีกที ผมก็ถูกมองด้วยแววตาประหลาด “อ๋อ เอ่อ เอ้า เอาเลย ตีมันเลย ลูก เอา ตี ตี” ผมยิ้ม ทุกคนยิ้มตอบก่อนจะเริ่มเชียร์กันใหม่
“เจ้ามาทำอะไรอยู่ที่นี่” หมอปีย์เดินมาจากด้านหลัง
“มาเลือกตั้ง อบต มั้ง ก็เห็นอยู่” ผมตอบ
“กลับกันเถิด ที่นี่ไม่เหมาะกับเรา”
“อ่าว ก็เรื่องของมึงสิ อยากกลับก็กลับก่อน กลับถูกมั๊ยบ้านน่ะ” ผมถามไม่หันไปมองเพราะมัวแต่ลุ้นไก่อยู่
“เดี๋ยวโปลิศก็มาจับดอก”
“โอ้ย กวนจริงๆ เหมือนเด็กเลยว่ะนาย เออ ๆกลับก็ได้ แต่ขอดูคู่นี้ก่อนนะ” ผมยิ้ม
ไก่ทั้งคู่เริ่มพุ่งเข้าใส่ตามแรงยุจากกองเชียร์มากขึ้น มันคงเจ็บ แต่ด้วยสัญชาตญาณนักสู้ของมัน มันถึงไม่ยอมแพ้อย่างนี้ ผมลุ้นจนตัวโก่ง ไม่เคยเห็นการชนไก่มาก่อน
“เอา เข้ามาสิ” ผมดึงตัวหมอปีย์ที่ยืนบิดไปบิดมาเข้ามาในวง
“นู่น เชียร์ตัวนู้นนะ ฝ่ายเราๆ “ ผมพูดทำเป็นรู้ดี
“เราทำไม่เป็นดอก” มันตอบ
“โอย ไม่เห็นจะยาก ทำงี้ ทำตามนะ เอ่ออออออออออออ” ผมตะโกนเชียร์
“เออ”
“โอ้ย มึงจะเรอหรือไงวะ กลัวใครเขาได้ยินรึไง เอาใหม่ เอ้อออออออออออออออออ”
“เอออ”
“ดังๆ”
“เออออ”
“ดังอีก”
“เออออออออ”
“ดังกว่านี้อีก เป็นตุ๊ดรึไงมึง”
“เออออออออออออออออออออ”
“อย่างนั้นแหละเอาเลย”
“เอออออออออออออออออออออ เอออออออออออออออออออออ เออออออออออออออออออเอออออออออออออออออ”
ติดลมบนเลย
และตอนนี้กลายเป็นผมที่ต้องมองหมอนั่นอ้าปากค้าง มันตะโกนเสียงดังลั่นกว่าชาวบ้าน เหมือนมันกำลังจะปลดปล่อยความเครียด ความกดดันที่มีตลอดชีวิตออกด้วยการชนไก่ครั้งเดียว
“อ้าววววววววววว ตีอย่างนั้นแหละ เอาเลยยยยยยยยยยยยยยยยย” เสียงหมอปีย์ตะโกนเชียร์อย่างเมาส์มัน มือทั้งสองตบหน้าตักหลายต่อหลายครั้ง ผมยิ้มด้วยความพอใจ อย่างเห็นมันได้ปลดปล่อยออกมาซะบ้าง
ไก่ทั้งคู่ตะลุมบอนเข้าหากันจนฝุ่นตลบ เสียงกองเชียร์ยุกันดังสนั่น ในที่สุดไก่ฝายตรงกันข้ามก็เพลี่ยงพล้ำให้เจ้าพยัคย์ มันวิ่งหัวซุกหัวซุนอยู่รอบวง
“เย้ๆ ชนะแล้ว เย้” ผมกับหมอปีย์ตะโกนด้วยความดีใจ ราวกับเป็นไก่ของตัวเอง เผลอกอดกันกลม
“เอ่อ ชั้น เอ่อ ขอโทษ” ผมผละออกจากหมอนั่นเมื่อรู้ตัว
“ขี้โกงนี่หว่า บ้านประดู่เล่นขี้โกง เอาสบู่ดำให้ไก่กินมาก่อนนี่หว่า นี่ไงหลักฐาน” จู่ๆก็มีเสียงชาวบ้านคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับชูเปลือกของบางสิ่งในมือ
“อ้าว ทำเยี่ยงนี้ได้อย่างไรเล่า อย่างนี้มันโกงกันชัดๆ เอาเฮ้ย พวกเรา จะปล่อยให้บ้านนู้นมาโกงได้กระไร ลุยสิวะ”จากเมื่อครู่ที่คนเชียร์ไก่ตีกัน ตอนนี้มวยพลิก กลับกลายเป็นไก่ดูคนตีกัน ฝ่ายตรงข้าม เอาผ้าข้าวม้าโพกหัว ก่อนจะหยิบไม้หยิบฝืนคนละอันหมายจะเอามาตีฝั่งผม ผมยืนมองฝ่ายนั้นวิ่งปรี่เข้ามาตาปริบ ตอนนั้นยังคิดอยู่ว่า
“เค้าไม่เกี่ยวนะตะเอง เค้าแค่.............ผ่านมาเจ๋ยๆ”
“เจ้าบ้า!!!! เจ้าจะยืนยิ้มให้เขาเอาไม้ฟาดหน้าเอารึกระไร วิ่งสิวิ่ง” แล้วก็เป็นหมอปีย์ที่เป็นฝ่ายฉุดมือลากผมวิ่งหนีไม้หน้าสามที่วิดเฉียดหัวไปนิดเดียว
“พวกมึงจะหนีไปไหน หยุดนะเว้ย” เสียงตะโกนไล่หลัง
“หยุดก็กลัวมึงสิวะ แน่จริงก็ตามกูให้ทันสิเว้ย แบร่.......”แน้ ยังไปทำท่าท้าทายเขาอีก ผมวิ่งหนีกับหมอนั่นสุดชีวิต มือของเขากุมมือผมไม่ยอมปล่อยไม่ว่าจะไปทางไหน เขาก็ลากผมไปด้วย
ผมวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต มือหนึ่งถูกหมอนั่นลาก อีกมือถือปลาตะเพียนสานอยู่ในมือ ผ้าที่มัดเป็นโจงกระเบนหลุดลุ่ย
“ไอ้แดงเอ้ย ก่อนกูตาย กูขอเอาปลาตะเพียนไปให้มึงก่อนนะเว้ย” ผมคิด
หมอปีย์พาผมวิ่งลัดตลาด กระโดดข้ามกองผัก กองปลา ชาวบ้านต่างแหกกระเจิงพร้อมเสียงด่า เมื่อผ่านตลาดผมก็มารู้สึกตัวอีกทีอยู่ในป่าชายทุ่งเสียแล้ว
“พอแล้วหล่ะ มันตามไม่ทันแล้ว ปล่อยมือกูเหอะ” ผมสะบัดมือออก “ทำยังกะกูจะหายไปงั้นแหละ”
“เราแค่.............ไม่อยากให้เจ้าคลาดสายตา”
“.....................................”
“โด่ กะอีแค่พวกนักเลงบ้านทุ่ง กูนี่ต่อยกับฝรั่งตัวเท่ากระทิงมาแล้วเว้ย ไม่อยากจะโม้” ผมกำหมัด
“เรารู้ว่าเจ้าเก่ง แต่อย่างไรเสีย เราก็ไม่อยากให้เจ้าต้อง..................”
“โอ้ย พอๆ พูดอะไรแปลกๆ กลับบ้านกันเถอะ กูวิ่งกันปวดส้นตีนหมดแล้ว นึกว่าเล่นหนังบ้านผีปอบ”
ผมก้มลงปัดฝุ่นที่ขาก่อนจะรวบผ้าที่หลุดลุ่ยมัดเป็นโจงกระเบน
“อยู่นี่เองรึ พวกมึง” จู่ๆก็มีเสียงใครคนหนึ่งอยู่ข้างหลัง
“เฮ้ย” ผมสะดุ้ง หันไปมอง “โธ่เอ้ย เล่นซะตกใจ มีอะไร” นึกว่าพวกเดียวกัน
“กูก็จะมาเอาเลือดหัวพวกมึงออกไง ไอ้พวกขี้โกง” ว่าแล้วเขาก็เงื้อไม้ขึ้นมา ก่อนจะพุ่งเข้ามาหาผมอย่างเร็ว
“หยุด STOP!!” ผมยกมือห้าม “มึงมากันกี่คน” ผมถาม
“คนเดียว”
“คนเดียว 555” ผมหัวเราะ “มึงคิดว่ามาคนเดียวจะสู้กับนักกีฬาคาราเตโด้สายดำอย่างกูได้เหรอ” ไม่รู้จักหรอก ไอ้กีฬานี่อ่ะ พูดให้มันยาวไว้ก่อน เหมือนเคยได้ยินมาจากกีฬาเอเชี่ยนเกมส์
ผมยกไม้ยกมือขึ้นกาดป้องกันตัว
“ฮะ ฮะ ฟึดๆ” ทำท่าชกลม “เข้ามาสิวะ แน่จริงก็เข้ามา” ผมกระโดดเหยงไม่เป็นท่า แต่ก็สามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามงงได้เหมือนกัน
“ฮี้ฮ่า..............” ผมเตะสูง “อึ้งสิอึ้งสิ เข้ามาๆ” ผมกวักมือเรียก ฝ่ายตรงข้ามทำหน้างง เกาหัวแกรกๆ ก่อนจะวิ่งหายเข้าไปในพุ่มไม้
“เป็นไงล่า เห๊อะ จิ๊บๆ” ผมยิ้มมุมปากภูมิใจในความเก่งของตัวเอง
“เจ้าไปร่ำเรียนวิชาพิศดารนี้มาจากสำนักไหนรึ” หมอปีย์เดินมาถาม ผมหันหลังไปตอบ
“อาราย พิศดารอะไร นี่เขาเรียก วิชาคาราเตโด้ ชั้นเรียนมาจากญี่ปุ่นเชียวนะเว้ย นี่เคยล้มฝรั่งสามคนทีเดียวมาแล้ว” ภูมิใจมาก โม้เองนี่
“..................................” หมอนั่นอึ้งอ้าปากค้าง
“เป็นไง คิดไม่ถึงละสิ ว่าคนบ้าปัญญาอ่อนอย่างชั้นก็มีอะไรดีๆกะเขาเหมือนกัน หึๆ”
“.................................”
“ต่อให้มันมากันอีกสิบคน นายก็ไม่ต้องกลัว มีชั้นอยู่ชั้นจัดการเอง ไอ่น้อง” ผมตบบ่าเขาสองสามแปะ
“เจ้าแน่ใจรึว่าเจ้าจะจัดการได้” เขายังทำท่าอึ้งไม่หาย
“แน่ใจสิวะ โธ่ พวกนักเลงกระจอกพวกนั้นนะ แค่ชั้นยกมือ ขี้คร้านจะวิ่งหนีหางจุกตูดกันหมด” ยังโม้ไม่เลิก
“งั้น เราว่าถึงเวลาที่เจ้าควรจะเร่งยกมือของเจ้าเถิด” เขายังคงทำท่าตกใจ
“ทำไมเหรอ”
“อึ อึ” หมอปีย์เบ้ปาก
“อะไรของมึง”
“ฮือ ฮือ”
“เป็นบ้าอะไรอีก” ผมรำคาญ
“ข้างหลังเจ้าน่ะ”
“อะระ...............”ยังไม่ทันที่ผมจะพูดคำว่าอะไรจบ ผมก็หันไปเห็นพวกนั้น ยืนถือไม้ขนาดเต็มมือยืนอยู่ข้างหลังผม นับประมาณคร่าวๆจากสายตาไม่ต่ำกว่าห้าคน
“แหม แหม แหม พี่” ผมยิ้มขาสั่นพั่บๆ “มากันพร้อมหน้าพร้อมตากันเลยนะพี่ จะไปดักตีหนูกันที่ไหนเหรอ” ผมแกล้งแซว แต่ในใจสั่นจนหัวใจแทบจะทะลักออกมาจากอก กูจะเอาชีวิตมาทิ้งเสียที่นี่แล้วมั๊ยเนี๊ยะ
หนึ่งในนั้น ยกไม้ขึ้นสูง
“โห ดูกล้ามสิพี่ แหม มันน่ากัดแขนเล่นเบาๆเสียจริงๆ เปรี๊ยะๆ เลยนะเนี๊ยะ ไปเล่นฟิตเนสแถวไหนเหรอ”
“อย่าพร่ามให้มากความ ไหนลองแสดงวิชาการต่อสู้ที่เจ้าบอก ให้เราเห็นกับตาบัดเดี๋ยวนี้ ข้าอยากจะรู้เสียนักว่าไอ้วิชาคาราอีโต้ของเอ็งมันจะมาสู้วิชาหมาวัดของพวกข้าได้มั๊ย” เขาคำราม
“เอาสิ เอาเลย” เสียงหมอปีย์เชียร์อยู่ข้างหลัง
“หุบปากเลยมึง ไอ้หมอปอดแหก” ผมหันไปตวาดหมอนั่นเบาๆ
“แหม พี่ ถ่อมตัวกันไปแล้ว วิชาหมาวัดที่ไหนกันเล่า โธ่ พวกพี่ออกจะ อุย นู่นใครน่ะ” ผมชะเง้อคอมองข้ามหัวพวกนั้นไป
พวกนั้นหันไปมองตาม
“หลอกง่ายจริงๆวุ๊ย.............ไอ้หมอง้าว วิ่ง.......”ผมขยิบตาส่งสัญญาณ ก่อนจะใส่เกียร์หมาจ้ำอ้าววิ่งเข้าป่าอย่างไม่คิดชีวิต
เราสองคนวิ่งสู้ฟัดไม่สนใจกิ่งไม้ เถาวัลย์หรือหนามอะไรทั้งสิ้นแล้วตอนนั้น เสียงฝีเท้าพวกนั้นวิ่งตามมาอยู่ไม่ห่าง
“ไอ้พวกเวร กูไปฆ่าพ่อฆ่าแม่มึงรึไงวะ ถึงได้จองเวรกูจัง” ผมตะโกนพลางวิ่งพลาง
“เจ้าบ้า จะตะโกนยั่วให้พวกมันโกรธทำไม วิ่งสิ วิ่ง”
ผมก้มหน้าก้มตาวิ่ง วิ่ง วิ่ง จนในที่สุดก็มาถึงสระบัวหลวงแห่งหนึ่ง
“หิวน้ำอ่ะ แวะกินน้ำก่อนได้ป่ะ” ผมก้มลงหอบ
“แวะกินสำรับเที่ยงเสียเลยดีมั๊ย เจ้าจะบ้ารึ พวกนั้นยังตามเรามาอยู่ ไม่ได้ยินเสียงหรือกระไร”
“ไม่เอาแล้วอ่ะ ไม่ไปแล้ว ชั้นเหนื่อย นายไปเหอะ ชั้นรอให้มันรุมกระทืบอยู่ที่นี่แหละ คงไม่ตายหรอก เย็นๆค่อยมารับชั้นกลับบ้านก็ได้” ผมว่า
“เจ้าพูดเพ้ออันใด พวกนั้นไม่ปล่อยให้เรามารับเจ้าดอก มันคงเอาเจ้าไปเผาหมกป่าที่ใดที่หนึ่งเป็นแน่” เขาทำเสียงตกใจ
“อะไรกันเรื่องแค่นี้ พวกนั้นเป็นชาวบ้านธรรมดาไม่กล้าหรอก”
“พวกนั้นหาใช่ชาวบ้านธรรมดาไม่ มันเป็นพวกโจรอั้งยี่”
“หา” ผมร้อง “โอ้ย ทำไมซวยยังงี้วะเนี๊ยะกู แล้วจะทำยังไงกันดีละทีนี้”
“มันใกล้เข้ามาแล้ว เห็นทีจะหนีไม่ทันเสียกระมัง” เขาหันซ้ายหันขวา
“แล้วทำไงอ่ะ ตายแน่ๆตายแน่ๆ”
“เรามีวิธี” แล้วจู่ๆ หมอปีย์ก็ยิ้มขึ้นมา
.
.
.
.
.
.
“โอ้ย คิดได้เน๊าะ” ผมบ่นในขณะที่ร่างของตัวเองลงไปอยู่ในสระบัวหลวง ท่อนล่างของผมจมลงไปอยู่โคลนตม ท่อนบนอยู่ในน้ำ เหลือแต่หน้าที่โผล่มา
“อยู่นิ่งๆ ประเดี๋ยวพวกนั้นเห็นผิดสังเกตุ มันจะจับเอาได้”
“ก็มันคันนี่นา หนามทั้งนั้น”
“หรือเจ้ามีวิธีอื่น ไม่อย่างนั้น เจ้าจะลองใช้วิชาป้องกันตัวที่เจ้าร่ำเรียนมาและเคยล้มฝรั่งมาแล้วก้ได้นะ”
“แหม เข้าใจประชดปะชันนะเราน่ะ นายไปคิดวิธีนี้มาจากไหนเนี๊ยะ” ผมกระเซ้า
“พระเวชสันดร” มันตอบสั้นๆ
“กูว่าแล้วไม่มีผิด ดูฉากมันคุ้นๆ”
ทุกคำพูดที่พูดกันในสระนั้นต้องกระซิบกระซาบ สระบัวหลวงขนาดใหญ่นั้นเต็มไปด้วยบัวที่แข่งกันงอกจนแน่นสระ ทุกครั้งที่ขยับตัวหนามจากมันจะขูดข่วนร่างกายของผม จนแสบยิบๆไปหมด
“มันมากันแล้ว ก้มหัวลง” ว่าแล้วหมอปีย์ก็จับผมกดหัวลงน้ำโดยที่ผมยังไม่ทันได้หายใจเข้า หัวผมทั้งหัวจมอยู่ในน้ำ ผมเริ่มทุรนทุราย หายใจไม่ออก พยายามจะดันหัวขึ้นแต่หมอนั่นก็กดไว้ จนในที่สุดผมทนไม่ไหว หยิกเข้าไปที่ขาหมอนั่นอย่างแรง
“โอยยยยย เจ้าเปนบ้าอะไรของเจ้า” เขากระซิบ
“ไอ้หมอบ้า กูหายใจไม่ออก มึงกดหัวกูแบบนี้ เรียกพวกนั้นมากระทืบกูซะดีกว่า” ผมด่า
“เราขอโทษ ตกใจไปหน่อย เอาเถิดเอาใบบัวมาปิดเข้า” เขาคว้าใบบัวหลวงที่ใหญ่และหน้ามาปิดหัวเราทั้งคู่ไว้ พวกนั้นเดินไปเดินมาอยู่รอบสระ มีคนหนึ่งพยยามจะชี้มาที่สระบัว แต่ก็ไม่มีใครสนใจ ในที่สุดพวกนั้นก็วิ่งหายเข้าไปในป่าลึก
“เจ้ายังจะเก็บปลาตะเพียนสานนี้ไว้อีกรึ” ผมมองหน้าคนถามก่อนจะก้มลงมองปลาตะเพียนที่เลอะโคลน
“อืม” ผมพยักหน้า
“จะเอาไปทำอันใด”
“เอาไปฝากเจ้าแดงมัน มันจะได้มีของเล่น “
หมอปีย์ไม่พูดอะไร แต่ก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรแล้ว แค่รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้า ผมก็พอเดาออกว่าเขารู้สึกยังไง
“กลับบ้านกันเถิด” เขายิ้ม พลางหายใจหอบถี่ๆด้วยความเหนื่อยปนตื่นเต้น
“อืม” ผมพยักหน้าอีกครั้งพร้อมกับหายใจหนักหน่วงไม่ต่างกัน
-
มาต่อแล้วววววววววววว กรี๊ดกร๊าด (http://i269.photobucket.com/albums/jj72/myem0/01/mushroom-emo-1-032.gif)
.
.
ฮ่าๆๆๆ :laugh: โดนลูกหลงกันซะงั้น แล้วคุณหมอพูดอะไรก็ไม่รุเล่นเอาเขิลลลล อิอิ :-[
เฮ้อ~สิ่งแวดล้อมช่างมีผลต่อคนเราจริงๆเนอะ แล้วเมื่อไหร่คนเลวๆจะหมดโลกนะ :เฮ้อ:
-
จุดเด่นของนายเอกเรื่องนี้ คือ ปากกกกกก ครับ
ปากพาจนจริง ๆ ขอรับท่าน เฮ้อออ สงสารพระเอกเว้ยยยยย
-
จุดเด่นของนายเอกเรื่องนี้ คือ ปากกกกกก ครับ
ปากพาจนจริง ๆ ขอรับท่าน เฮ้อออ สงสารพระเอกเว้ยยยยย
เห็นด้วยค้าบบบบบ เพิ่มอีกอย่างคือ เจ้าอัชนี่มันซ่าจริงจริ๊งงงงงง
หมอปีย์ค้าบ วันหลังไม่ต้องพามันไปแระตล่งตลาด ให้มันอยู่แต่ในเรือนเห้อ
จะได้งานเข้าน้อยๆหน่อย ไม่งั้นคราวหน้าได้วิ่งกันกระเบนหลุดแน่ๆ
-
เห็นด้วยกับข้างบน
ปากอัชนีั พาหาเรื่องสุด :m20: :m20: :m20:
-
วิ่งกันจนโจงกระเบนหลุดลุ่ย แล้วตอนนี้มันยังอยู่กับตัวรึป่าว ฮ่าๆๆ
:pig4:
-
พ่อหมอปีย์น่ารัก :-[ ส่วนพ่ออัชน่าตื้บ :laugh:
-
ปากล่อทีนมากกกกกกกก
-
ปากพาจนจริงๆ
-
เพิ่งเข้ามาอ่านครับ น่ารักมากกก
-
ชมไปไม่นาน ดีแตกแล้ว
ปากหาเรื่องจนได้
writer ค้างงงงงงง
+1
-
จุดเด่นของนายเอกเรื่องนี้ คือ ปากกกกกก ครับ
ปากพาจนจริง ๆ ขอรับท่าน เฮ้อออ สงสารพระเอกเว้ยยยยย
ขอกดไลค์รีนี้สักสิบล้านครั้ง o13
โดนใจมาก ฮ่าๆ :laugh:
-
จุดเด่นของนายเอกเรื่องนี้ คือ ปากกกกกก ครับ
ปากพาจนจริง ๆ ขอรับท่าน เฮ้อออ สงสารพระเอกเว้ยยยยย
ขอกดไลค์รีนี้สักสิบล้านครั้ง o13
โดนใจมาก ฮ่าๆ :laugh:
ขอ like ด้วยคน
ปากหนอปาก น่าโดนมาก :z6:
-
จุดเด่นของนายเอกเรื่องนี้ คือ ปากกกกกก ครับ
ปากพาจนจริง ๆ ขอรับท่าน เฮ้อออ สงสารพระเอกเว้ยยยยย
ขอกดไลค์รีนี้สักสิบล้านครั้ง o13
โดนใจมาก ฮ่าๆ :laugh:
ขอ like ด้วยคน
ปากหนอปาก น่าโดนมาก :z6:
เหนด้วยอย่างแรง o13
-
เนี่ยถ้าไม่ไปฝึกวิชาโกยมาจากออสเตรเลีย ปานฉะนี้ คงนอนนับตีนแน่ ๆ :jul3:
สงสารแต่หมอปีย์ ไม่เคยทำอะไรแบบนี้ พอทำครั้งแรกก็เจอดีเลย :monkeysad:
มารอบทต่อไป ว่าเจ้าบ้า จะมีลูกเล่นอะไรให้หมอปีย์ปวดหัวอีก
+1 เป็นกำลังใจให้นะครับ เซ็งเป็ด :กอด1:
-
เริ่มน่ารักแล้ว มีการคิดถึงเด็กด้วย
-
เจ้าบ้าของเราน่าจะได้เจอสถานที่ของตัวเองแล้วล่ะนะ... :กอด1:
-
เขียนได้น่าอ่านมากๆ
-
ขยันสร้างเรื่องให้หมอปีย์จริงๆเลยนะอัช :laugh:
-
:m20: :m20:
เป็นไทยมุงอยู่ดี ๆ
จะโดนเค้าซ้อมเอาซะงั้น
ปากนายอัช ไม่ธรรมดาจริง ๆ
:jul3: :jul3:
-
“กลับบ้านกันเถิด”
+1 ให้ประโยคนี้
หมอปีย์น่ารักจริงๆ
-
พ่ออัช ข้าอยากอ่านากหวานๆแล้ว จะเมตตาหน่อยได้ไหม
-
อิอิ รอมาอัพ จิงๆ นะ
-
สนุกค่า :impress2:
พ่ออัทของเราเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิด
-
ในที่สุดเจ้าแดงก็ได้ของเล่นสักที เหอะๆๆ เกือบแหละ เกือบจะไม่ได้เล่น
-
สงสารเจ้าเเดงจัง ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก
รีบมาต่อนะคะ หนุกมาก
-
เค้าชอบๆ ง่ะ มาต่ไวๆ นะ
-
แอบหวานหน่อยๆ นะเนี่ย
-
หมอปีย์น่ารักกกกกกกกกกกกกก
-
ปากหาเรื่องจริงๆ :man1:
-
งานยุ่งมาก พึ่งได้แวะมาอ่าน ลงไปในน้ำ ไม่โดนปลิงตอดเหรอ
-
นายเอกเป็นซะแบบนี้อ่อนอกอ่อนใจแทนพระเอกจริงๆ ><
-
ดิฉันอินนิยายคุณเซ็งเป็ดมากเลย อ่านไปคิดไป
ว่า ถ้าเราได้ไปเจาะเวลาหาอดีตแบบนายอัชคงดีเนอะ
ยิ่งถ้าได้ไปเจอแบบหมอปีย์ ล่ะก็ แฮ่ม...
เราหลายๆคน ณ ปัจจุบันกำลังโหยหาชีวิตแบบในอดีต
-
:m20: :m20: :m20:
เกือบโดนเลยมัยละ :laugh:
หมอปีย์เนี้ยน่ารักเนอะ
อยากใ้ห้แดงหายอะสงสาร :call:
-
ใยปากท่านช่างหาเรื่องได้ฉะนี้แล
-
จุดเด่นของนายเอกเรื่องนี้ คือ ปากกกกกก ครับ
ปากพาจนจริง ๆ ขอรับท่าน เฮ้อออ สงสารพระเอกเว้ยยยยย
ขอกดไลค์รีนี้สักสิบล้านครั้ง o13
โดนใจมาก ฮ่าๆ :laugh:
ขอ like ด้วยคน
ปากหนอปาก น่าโดนมาก :z6:
เหนด้วยอย่างแรง o13
กด Like อีกเสียง อ่านมาหลายตอน แล้วเป็นอย่างที่หลาย ๆ คนกล่าวนั้นหละ
-
เคล็ดวิชาประจำกาย โกยเถอะโยม เหรอคะนั่น
โฮะๆๆ
เกือบโดนยำตี...แล้วมั้ยล่ะนั่น
-
แวะมารอ หายไปไหนนะ รอ รอ นอ
-
อัชออกจากบ้านก็ได้เรื่องเลยแฮะปากดี ขี้เหงา? เอาแต่ใจจริงๆ แอบเหนื่อยแทนหมอ
แต่มีนึกถึงหนูแดงอันนี้ชื่นชม อ่านกี่ตอนก็สนุก+มีสาระแฝงอยู่ตลอดชอบ
-
มาปูเสื่อรอชมตอนต่อไปค่ะ คุณเซ็งเป็ดหายไปไหนค้า คิดถึงพ่ออัชแล้ว ><
-
จุดอ่อนของเรื่องนี้คือ ตัวเอกไม่ค่อยเอาความรู้ปัจจุบันไปใช้เท่าไหร่
อย่างเช่น ร้องเพลง ตีกลอง กีต้าร์ ไม่ก็ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์(เพิ่มบ้าง สักนิดก็จะดีกว่านี้)
เลยดูเหมือนตัวเอกไม่ค่อยสมบูรณ์ยังไงไม่รู้ เหมือนมันแห้งๆไป -3-
อย่างเช่น ตอนหมอปีย์ท่องกลอน ก็น่าจะร้องเพลงสวนเลย ไรงี้ จะดูสมจริงกับคนสมัยนี้กว่า
ไม่ก็ทำอาหารอย่างอื่นที่ตัวเองประยุกต์จากวิชาที่ตัวเองเรียนมาโดยใช้วัตถุดิบในครัว
หรือถ้าดีกว่านั้นถ้าดูในละคร ก็จะเห็นแบบตัวเอกมีอุปกรณ์จากอนาคตติดตัวมาบ้าง
อย่างเช่นตอนเจอคนใช้ไม้ขีดก็หยิบไฟแช็คที่ติดกางเกงมาใช้ เพื่อยืนยันว่าตัวเองมาจากอนาคตจริงๆ
จะดูสมจริงและน่าอ่านกว่า (แนะนำเฉยๆน้าา ไม่ได้ว่า)
แต่โดยรวมก็โอเคละ สนุกและแหวกแนวดีจ้า มาอัพบ่อยๆนะ ^_^
-
ฮาได้ใจมากอ่ะ แล้วตกลงลงใครเป็นรุกใครเป็นรับล่ะเนี่ย
ชอบอ่ะ มาต่อโดยไว เดี๋ยวค้าง :z13:
-
Christmas แล้ว มาทวงของขวัญ เป็นนิยายยตอนใหม่ :L2:
-
“เราอยากเป็นเค้า และก็ปฏิเสธที่จะเป็นเรา” ผมย้ำคำ
“ไหนเจ้าบอกว่า สยามมิตกเปนเมืองขึ้นใครยังไงเล่า แล้วพวกเรานับถือชาติใด บริเตน-ไอยิแลนด์ ฝรั่งเศส ฮอลันดา หรือ เกา....หลี”
“เรานับถือทุกประเทศ ยกเว้นตัวเราเอง”
ทวิภพๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เหมือนคำพูดแม่มณีเลยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
-
(http://i.kapook.com/glitter/2010/th/12/T081210_10C.gif)
-
ปลื้มๆๆอะๆๆๆ คนเขียน เขียนแหวกแนวมากเลยๆๆๆ สนุกๆๆๆๆ อับบ่อยๆๆนะ อยากอ่านตอนต่อไปเร็วๆๆจัง
-
ดันไว้
-
ใกล้สิ้นปีแล้ว มาต่ออีกสักตอนนะ
-
สนกจังเลย แต่สงสารนายเอกจังเลยตอนแรกๆอ่ะ(ใช่นายเอกเป่าหว่า??น่าจะใช่แหละ อิอิ) :pig4:
-
ฮึ๊ ย ย ย !!! มันน่าจะให้โดนพวกอั้งยี่รุุมตื้บสักคนละตุ๊บสองตุ๊บนะ
หมั้นไส้ อินายเอก(รึเปล่า) เปรี้ยวตรีนนนตร๊อดๆ สงสารไม่ลงเจงๆเฮ่อ
พอกำลังจะรู้สึกเอ็นดูก็เอาอิกแระ เซ็งงงงงงง ขัดใจตร๊อดดดๆ
แหะๆ ขอโทษทีอินไปหน่อย ^^"
-
:jul3:
เรื่องนี้ฮาโคตร
ขำมันทุกตอน
กด + ให้เขาเลย
-
ตามอ่าน 12 ตอนรวดดดดดดด
เขินนนนนนนนนนนน
พ่ออัชน่ารักมากกกกกกกกกกก
-
สวัสดีปีใหม่ ขออวยชัยให้ มาต่อนิยายเร็วๆ
-
... :mc4: Happy New year 2011... :L2:
..............
:serius2: :t3: มารอตอนต่อไป
-
Happy New year 2011 นะค่ะ :mc4:
-
รอเหมือนเดิมคับ
สวัสดีปีใหม่คับ
-
Happy new yeaw K.Ped
-
ชอบจังเลยย ย้อนอดีต ย้อนเวลาตามหารัก
-
สนุกมายมาย o13
มาต่อไวๆนะ :call:
-
ผมเดินลงมาจากเรือนด้วยสภาพอ่อนแรง เหนื่อยลากตีน หมอปีย์หายเข้าไปในห้องหลังจากอาบน้ำเสร็จ ส่วนผมนั้น เดินถือปลาตะเพียนสานเดินตรงไปยังเรือนหลังสวน
“ลุงเห็นไอ้แดงมั๊ย”ผมถามลุงคนหนึ่งที่นั่งทอดสายตาหมดอาลัยตายอยาก
“มันจะอยู่ที่ไหนได้เล่า เจ้าลองหาให้ดีเถิด” เขาตอบอย่างไม่ไยดี เมื่อเป็นเช่นนั้นผมก็ไม่หวังพึ่งเขาอีกแล้ว ตั้งหน้าตั้งตาเดินตามหาไอ้แดง เพราะคิดว่า คุกเล็กแค่นี้ ไอ้แดงมันจะไปอยู่ไหนได้
ผมเดินผ่านเรือนหลังนั้น ซึ่งตอนนี้มันเปลี่ยนไป หลังจากวันที่ผมมาครั้งแรกและร้องขอให้หมอปีย์ทำหน้าต่างให้ มาวันนี้ เรือนหลังนี้ มีหน้าต่างรายล้อมรอบบ้าน ทุกบานถูกเปิดออกให้อากาศถ่ายเท คนข้างในลุกขึ้นนั่งเหม่อมมองออกนอกหน้าต่าง ทันทีที่ผมเดินผ่าน สายตาพวกเขาก็จ้องมองทุกย่างก้าวที่ผมเดิน จนผมทำตัวไม่ถูกได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินหาไอ้แดงโดยที่หัวใจห่อเหี่ยว
“แดง” ในที่สุดผมก็เจอมันนั่งอยู่ที่เดิมที่ท่าน้ำใต้กอไผ่
“มาทำอะไรอยู่ตรงนี้” ผมถามก่อนจะนั่งลงใกล้ๆ
“มารอแม่” แดงตอบ และคำตอบนั่นเองที่ทำให้ผมอึ้ง เงียบไปเนิ่นนาน
“.......................”
“.......................”
“......................”
“ชั้นเอานี่มาฝาก” ผมยื่นปลาตะเพียนสานให้ แดงเงยหน้ามองก่อนจะรับมันไป
“ของเล่น” มันยิ้ม ก่อนจะมองปลาตะเพียนสานนั้นด้วยแววตามีความสุข
“อืม ของเล่น เอาไว้เล่นนะ นี่ วันหลังชั้นจะเอามาให้อีกเยอะๆเลยดีป่าว” ผมพยายามฝืนยิ้ม
แดงพยักหน้า ก่อนที่จะลุกขึ้นยืน และเอาปลาตะเพียนสานไปปักไว้ที่ศาลา ก่อนที่ตัวมันเองจะล้มตัวลงนอน มองปลาตะเพียนที่แหวกว่ายอยู่ในอากาศ
“ชอบมั๊ย” ผมถาม เพราะไม่แน่ใจว่าเด็กสมัยนั้นจะเล่นของเล่นอะไร เพราะสมัยผม ขืนเอาปลาตะเพียนสานไปให้เด็กเล่น ก็คงเล่นได้ไม่นาน มันคงถูกเฟี้ยงทิ้งไปก่อนที่ใบลานจะเปลี่ยนสีแน่ๆ
“อื่ม ชอบจัง” แดงยิ้ม แววตาเป็นประกาย
ผมนั่งมองเด็กนั่นอยู่นานอย่างไม่รู้สึกเบื่อ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม อาจเป็นเพราะลึกๆแล้ว แดงกับผมอาจมีอะไรที่คล้ายๆกันก็ได้ นั่นก็คือการ “ไม่มีใคร”
“เหงามั๊ย” ผมถาม
แดงไม่ตอบ มือยังคงไขว่คว้าปลาตะเพียน
“ชั้นนี่โง่จริงๆนะ ไม่น่าถามคำถามอะไรแบบนั้นเลย” ผมยิ้มกับตัวเอง “ใครบ้างหล่ะจะไม่เหงา การมีชีวิตอยู่ในโลกที่มีคนมากมาย แต่สุดท้ายเหมือนเราอยู่คนเดียว มันก็ต้องเหงาอยู่แล้วนี่เน๊อะ”
“เอ็งน่ะ เก่งกว่าชั้นอีกนะ รู้มั๊ย ถ้าชั้นเป็นเอ็ง ป่านนี้ ชั้นกระโดดน้ำคลองตายไปแล้ว ฮ่าๆๆ” ผมหัวเราะลั่น เพื่อให้เสียงหัวเราะนั่นกลบความรู้สึกที่กล้ำกลืนไว้ในใจ
“แต่ก็นะ ชั้นมันก็แค่............” ผมเงยหน้ามองเจ้าแดงมัน และกลับพบว่ามัน หลับปุ๋ยไปแล้ว
“หึ เด็กหนอเด็ก” ว่าแล้วผมก็ทอดตัวลงนอนยาวบ้าง มือก่ายหน้าผาก เฝ้าแต่คิดถึงสิ่งที่ลางเลือน
..............
..............แล้วผมก็หลับตามเจ้าแดงไป
สายลมพัดแผ่วๆอย่างเกียจคร้านยามบ่าย เสียงใบไผ่เริงระบำไปตามสายลม อีกทั้งกลิ่นน้ำในลำคลองที่ใสราวกระจกนั้น ทำให้ผมหวนจินตนาการถึงภาพบางอย่าง
ภาพชายหนุ่มในชุดไทยโบราณยืนอยู่หน้าฉากสีขาว เขายืนแข็งเป็นหุ่นขี้ผึ้งมาดามทุสโซ่ มือทั้งสองข้างพาดแนบยาวไปตามลำตัว คอที่ตั้งตรงดูไม่เป็นธรรมชาติ ใบหน้าที่ขึงขังราวกับเป็นผู้คุมนักโทษ
“เฮ้ย ทำให้มันเป็นธรรมชาติหน่อยสิวะ” เสียงหนึ่งกำกับอยู่ด้านหน้า ผมมองไม่เห็นคนคนนั้น รู้แต่ว่าตอนนี้หน้าตาของชายคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมตอนนี้ ดูไม่ได้เอาเสียเลย
“ยิ้มหน่อยๆ”
เขาค่อยๆแสยะยิ้มออกมา
“มึงจะบ้าเหรอ ยิ้มน่ะยิ้ม ไม่ใช่แยกเขี้ยว มึงไม่เคยยิ้มรึไง” เสียงนั้นเซ้าซี้จนผมรำคาญ
“เอางี้คิดซะว่ามึงกำลังมองหน้าคนที่มึงรักอยู่แล้วยิ้มออกมาสิ” เสียงนั้นแนะนำ ชายผู้นั้นทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะหันหน้ามาที่ผม แล้วเขาก็ค่อยๆ.............ยิ้ม
“แชะ!!!!” เสียงกดชัตเตอร์ดังขึ้นพร้อมๆกับแสงไฟที่สว่างวาบขึ้นมาจนภาพข้างหน้าเป็นสีขาวโพรนไปหมด
................
............
.................
..............
“ฮือ ๆ” มือเล็กๆอุ่นๆคู่หนึ่งกำลังเขย่าแขนผมเบาๆให้ตื่นจากความฝัน ผมค่อยลืมตาขึ้น รู้สึกแสบตา
“อืม ว่าไง มีอะไรรึ” ผมงัวเงียลุกขึ้นนั่ง หน้าของแดงแจ่มชัดในยามนี้ เขาดึงมือผมมาทางริมน้ำก่อนจะชี้โบ้ชี้เบ้ไปที่ท่าน้ำบ้านคุณชั้น
“นู่นๆ” ผมมองตามที่เด็กนั่นชี้ และก็ต้องหรี่ตาเมื่อเห็นภาพน้ำในลำคลองกำลังแตกกระจาย ผมเพ่งมองไปยังบริเวณนั้น และแน่ใจแล้วว่า ที่น้ำกำลังแตกกระจายอยู่นั่นคือกำลังมีคนจมน้ำ
ตอนนั้นผมไม่คิดอะไรทั้งสิ้น วิ่งออกจากศาลาอย่างไม่คิดชีวิต วิ่งตรงไปยังบริเวณที่คนกำลังจมน้ำ จนในที่สุด ผมก็วิ่งมาถึงชายรั้วที่กั้นระหว่างบ้านหมอปีย์กับบ้านคุณชื่น
“หนูวาด” ผมพูดกับตัวเองเบาๆเมื่อเห็นภาพของเด็กหญิงคนที่กำลังตะเกียกตะกายอยู่ชัดเจนขึ้นๆ ก่อนจะกระโจนลงน้ำอย่างไม่คิดชีวิต น้ำในคลองนั้นเย็นเฉียบจนแทบจะบาดเนื้อ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมต้องช่วยหนูวาดก่อนเรื่องอื่น หากหนูวาดเป็นอะไรไป ก็คงไม่มีผมในวันนี้แน่ๆ
ผมเร่งว่ายน้ำเข้าไปหาหนูวาดที่ตอนนี้กำลังทุรนทุรายดิ้นรนอย่างสุดกำลัง ผมเองก็แผ่วลงไปมาก
“อดทนก่อนนะ หนูวาด ผมกำลังจะไปช่วย” ผมพูดในใจ แต่เหมือนเธอจะไม่ได้ยินเสียงเรียกร้องของผม เธออ่อนแรงลง จนในที่สุดก็หมดแรงที่จะตะกายน้ำ ปล่อยให้ตัวเองดำดิ่งลงสู่ก้นแม่น้ำ
“หนูวาด!!!!” ผมตะโกนสุดเสียงก่อนจะสูดอากาศหายใจเข้าเต็มปอด และมุดตัวแหวกสายน้ำตามหาร่างของเธอ
เวลาผ่านไปเนิ่นนานในสายน้ำที่แน่นิ่ง ความอดทนผมกำลังจะหมดลง ผมหาร่างหนูวาดไม่เจอแต่ตอนนี้อากาศกำลังจะหมด
“ผมจะตามยายทวดไปครับ หนูวาด” ผมนึกในใจก่อนจะปล่อยร่างที่ใกล้จะหมดลมดำดิ่งตามหนูวาดไป
แต่เมื่อเราใกล้ตาย สัญชาตญาณการเอาตัวรอดของคนเราก็ทำงาน จู่ๆผมก็รวบรวมพละกำลังทั้งหมดตะกายน้ำขึ้นมาสูดอากาศอย่างโหยหา
“หนูวาด!!!” เมื่อหายใจเข้าเต็มปอดแล้ว ผมจึงเริ่มดำหาร่างหนูวาดอีกครั้ง และในที่สุดผมก็พบร่างของเธอกำลังล่องลอยอยู่เกือบถึงก้นแม่น้ำ ผมพุ่งตัวไปอย่างเร็ว กำลังผมเองก็ใกล้จะหมดเต็มทนแล้ว ใบหน้าของหนูวาดชัดเจนยิ่งขึ้น มือของผมไขว่คว้าไปทั่วจนสุดท้าย ผมก็คว้าข้อมือของหนูวาดที่เย็นเฉียบไว้ได้ ก่อนจะดึงร่างเธอตามขึ้นมา
ภาพเบื้องบนของผมนั้นมืดสนิท ผมพยายามตะเกียกตะกายพาร่างของหนูวาดขึ้นมา กำลังขาอ่อนลงจนแทบขาดใจ ผมหวังอยากเห็นแสงสว่างเบื้องบน ในที่สุดก็ได้เห็น
แสงสว่างที่กระเพื่อมไปมา มันชัดเจนมากขึ้น มากขึ้น จนมองเห็นก้อนเมฆ และที่สำคัญมองเห็นผู้คนที่กำลังลอยอยู่เหนือผิวน้ำ
ผมยิ้มกับตัวเอง พลางรวบรวมกำลังทั้งหมดเฮือกสุดท้ายกระชากร่างของหนูวาดอย่างแรง โยนตัวเธอขึ้นไปเหนือผิวน้ำจนสำเร็จ
ผมเห็นร่างของหนูวาดลอยขึ้นไปอย่างช้าๆ และเห็นคนที่อยู่เหนือน้ำนั้นรับร่างของเธอไว้
“สำเร็จแล้ว” ผมยิ้ม มือทั้งสองข้างทิ้งตัวลงอย่างหมดแรง ฟองอากาศฟองสุดท้ายถูกปล่อยออกมาจากปาก มันล่องลอยขึ้นไปเหนือผิวน้ำ ผมมองมันจนสุดสายตา ก่อนที่จะค่อยๆ หลับตาและทิ้งตัวลงสู่ก้นแม่น้ำอย่าง...................สงบ
(http://image.ohozaa.com/i0/14145563.jpg)
-
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“หนูวาดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!” เสียงตะโกนดังสุดเสียงราวกับจะขาดใจดังผ่านลำคอของผมออกมา ผมกระชากตัวเองอย่างแรงจนได้ยินเสียงลมผ่านหู เสียงหายใจฟืดฟัดหนักหน่วงราวกับต้องการอากาศหายใจมาทั้งชีวิต ผมหายใจเร่งเร็วอย่างตะกระตะกราม
“หนูวาด หนูวาด” ผมลืมตาขึ้นปากพร่ำถึงชื่อของยายทวด
“หนูวาด” ภาพข้างหน้าผมชัดเจนมากขึ้น ผมมองไปรอบๆตัว ห้องนี้นี่มัน ห้องในเรือนครัวหลังเก่าที่บ้านนี่นา เครื่องใช้เก่าเก็บ กระต่ายขูดมะพร้าว ชาม จาน กระทะใบบัว กระทะทองเหลือง เครื่องครัว
ผมขมวดคิ้วอย่างงุนงง นี่เรามานอนอยู่ในเรือนคุณชั้นได้ยังไง ผมสงสัย ก่อนจะยันร่างลุกขึ้นอย่างอ่อนแรง เนื้อตัวเปียกปอนไปด้วยน้ำ ผมเผ้าปิดหน้าปิดตา
แต่น่าแปลกทำไมเรือนคุณชั้น หรือแถวๆนี้ ทำไมไม่มีเสียงนกร้องเหมือนเดิม แต่กลับมีเสียงรถราวิ่งอยู่ข้างนอกแทน
“นาฬิกา” ผมมองดูนาฬิกาลูกตุ้มเรือนเดิมที่เคยเดินบอกเวลาตามปกติ คราวนี้มันกลับหยุดเดินขึ้นมาเฉยๆ
“รูปถ่ายเก่าๆ” ที่ก่อนหน้านี้ไม่มี แต่บัดนี้กลับแขวนอยู่รอบตัวบ้าน ผมเดินมองดูอย่างไม่เข้าใจ รูปแล้วรูปเล่า แล้วก็ต้องมาหยุดอยู่ที่รูปชายหนุ่มในชุดไทยโบราณที่ใบหน้าลางเลือนคนเดิม
“นี่เกิดอะไรขึ้นอีก หรือว่า กูตายไปแล้ว..............จริงๆ” ผมนึกเมื่อคิดว่าคนที่ตายไปแล้วจะต้องกลับบ้าน เพราะก่อนหน้านี้ผมจมน้ำ และจู่ๆก็ฟื้นขึ้นมาที่บ้านหลังนี้ บ้านที่เหมือน.........บ้านเก่า
“แม่” จู่ๆผมก็นึกถึงแม่ขึ้นมา รีบวิ่งออกไปจากเรือนหลังนี้ทันที และถูกต้องที่สุด ผมกลับมาบ้านหลังเดิมอีกครั้ง
สายตาคู่นี้นี่เองที่มองไปรอบๆตัว
บ้านของเรา
บ้านของอา
โรงรถ
ไม่มีเรือนหลังใหญ่
ไม่มีกอไผ่
ไม่มี.....................
“บ้านหมอปีย์”
นี่ผมสมควรจะดีใจหรือเสียใจกันแน่ ผมตอบตัวเองไม่ได้ ทำไมชีวิตคนๆหนึ่งถึงต้องมาเจอกับสถานะการณ์ที่แสดงออกถึงอารมณ์ได้ไม่ชัดเจนได้บ่อยขนาดนี้
“แม่” ผมเดินเข้ามาในบ้านและเห็นแม่กำลังนั่งวุ่นอยู่กับสมุดบัญชีเล่มเดิม เธอเงยหน้าขึ้นมามองหางตา ไม่มีแววตาห่วงใย หรือสงสัยแม้แต่น้อยเลยว่า ตลอดเวลาอาทิตย์ที่ผ่านมาลูกชายคนนี้หายไปไหน มา
“ไปทำอะไรมาตัวเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำมาเชียว” นี่คือคำแรกที่แม่ทักทาย ผมละงงจริงๆ
“นี่แม่จะไม่ถามผมเลยเหรอว่าผมหายไปไหนมา” ผมถาม และก็อดแปลกใจไม่ได้ที่ต้องถามคำถามนี้กับแม่ เพราะเมื่อก่อนผมไม่เคยจะไยดีอะไรกับแม่อยู่แล้ว
“แกก็หายหัวของแกเป็นเดือนๆอยู่แล้ว ไม่เห็นจะแปลก”
เออมันก็จริงของแม่ ปกติผมเองก็ทำตัวให้เป็นห่วงจนเขาไม่ห่วงกันหมดแล้ว
ผมเดินหงอยๆขึ้นห้อง ปิดประตูล๊อกห้อง ล้มตัวลงนอนอย่างเหนื่อยอ่อนโดยไม่คิดจะเปลี่ยนเสื้อผ้า
แอร์ที่เปิดทิ้งไว้จนเย็นฉ่ำ ภายในห้องมีชุดโฮมเธียเตอร์ชุดใหญ่ มีคอมพิวเตอร์ มีเครื่องมิ๊กเสียงอยู่อีกห้อง เสื้อผ้าอยู่ในตู้ที่เก็บไว้อีกห้องหนึ่ง ในนั้นมีเสื้อแบรนด์มากมาย เครื่องสำอางค์วางเกลื่อนอยู่บนโต๊ะ น้ำหอมเกือบสิบๆขวด รีโมตที่ควบคุมทุกอย่างภายในอันเดียว
อำนาจของผมอยู่ในมือหากมีเจ้าตัวนี้
เตียงนอนที่ทำมาจากไยสังเคราะห์ชั้นดี ผ้าห่มขนเป็ด หมอน หมอนข้าง
ทุกสิ่งทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วหรือ นี่ผมกลับมาสู่โลกปัจจุบันจริงๆเหรอ
ผมจะไม่ได้นอนเสื่อ ไม่ได้นุ่งโจงกระเบน
ไม่ได้นั่งพื้นกินข้าวโดยใช้มือหยิบ ไม่ได้เข้าส้วมประหลาดๆ ไม่ได้ไปตลาด ไม่ได้ไปเรือนท้ายสวน ไม่ได้เจอหน้าไอ้แดง
และที่สำคัญ
ผมจะไม่ได้เจอหน้าหมอปีย์อีกแล้วเหรอ..................................
.
.
.
.
.
.
.
.
.
วันรุ่งขึ้นผมตื่นมาด้วยสภาพมีไข้รุมๆ เจ็บคอเหมือนมีเศษแก้วแตกสุมอยู่ในลำคอ ทุกครั้งที่กลืนน้ำลาย มันเหมือนคอจะขาดออกเป็นเสี่ยงๆ ผมลุกขึ้นหยิบน้ำในเหยือกที่วางประจำของมันเทใส่แก้วอย่างช้าๆ ก่อนจะจิบมันทีละนิดอย่างยากลำบาก
“แฟนแกเขาโทรมาหาแน่ะ วันละเป็นสิบรอบ” แม่ซึ่งนั่งอ่านหนังสือพิมพ์รอทานข้าวอยู่บอก ผมนั่งลงข้างๆ หยิบหนังสือพิมพ์ส่วนที่เธออ่านเสร็จแล้วมาดูวันที่
“แกไม่ได้ไปอยู่กับแฟนแกเหรอ”
“ปล่าว เราเลิกกันแล้ว” ผมตอบน้ำเสียงเย็นชา เหมือนการเลิกกับใครสักคนที่เคยรักเป็นแค่การ ขากเสลด
“ดีเน๊อะ เด็กสมัยนี้ ไปไวมาไว ชั้นก็เห็นรักกันปานจะกลืนกิน ทำไมถึงได้.................”
“แม่” ผมเบรคแม่ก่อนที่เธอจะบ่นไปอีกเป็นชั่วโมง
“แม่ช่วยเล่าเรื่องยายทวดให้ผมฟังหน่อยได้มั๊ย” ผมถามสีหน้าใคร่รู้ เธอวางหนังสือพิมพ์ลง ก่อนจะมองหน้าผมอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“ทำไมถึงได้อยากรู้เรื่องนี้ขึ้นมาหล่ะ” แม่ถาม
“เถอะน่า เล่าให้ฟังหน่อยนะแม่” ผมเซ้าซี้
แม่วางหนังสือพิมพ์ลง หยิบแก้วกาแฟขึ้นมาจิบ
“วันนี้ชั้นรีบ เอาไว้ค่อยคุยกันนะ” แล้วเธอก่อนลากเก้าอี้ออกก่อนจะเดินออกจากห้องกินข้าวไป
“เฮ้อ” ผมทอดตัวลงพิงพนักพิง มองอาหารที่อยู่บนโต๊ะ
“ขนมปัง ไข่ดาว แฮม กาแฟหนึ่งแก้ว หึ” ผมเผลอยิ้มมุมปาก แม่ครัวของที่นี่ช่างรู้ใจผมเสียจริง ผมหยิบกาแฟขึ้นมาซด ก่อนจะหยิบซ้อมกับมีดมาหั่นขนมปัง
แต่ทันทีที่ขนมปังเข้าปาก ผมกลับรู้สึกอยากบ้วนมันทิ้งเสียเต็มประดา
“นี่ขนมปัง หรือ ไม้กระดานอัดวะเนี๊ยะ แข็งสิ้นดี” ผมบ่น ทิ้งซ้อม กับมีดเสียงดังเพล้ง ก่อนจะเดินเข้าไปในครัว
“ป้า ชั้นอยากกินข้าวต้ม” ผมบอกแม่ครัว เธอหันมามองด้วยแววตาหวาดหวั่น
“ขะ ข้าวต้มหรือคะ คุณปอ”
“ใช่ ข้าวต้ม ไม่สบายอย่างนี้ มันต้องกินข้าวต้มสิ ถึงจะถูก”
“แล้วคุณปอ จะรับเป็นข้าวต้มอะไรดีคะ”
“ชั้นเอ่อ..............อยากกิน............ข้าวต้มปลาทู”
...
ตลอดเวลาที่ผมนอนซมอยู่ในห้อง ผมกลับคิดถึงแต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่บ้านหมอปีย์ ทำไมผมถึงกลับรู้สึกไม่ดีใจเอาเสียเลยที่ได้กลับบ้าน ความรู้สึกภายในมันโหยหา บางอย่างระริกๆ มันเหมือนกับผมยังไม่ได้ทำอะไรตั้งมากมายหลายอย่างที่นั่น
หรือจะพูดง่ายๆก็คือ ผมยังอยากกลับไปที่นั่นอีก
เมื่อตื่นจากการนอนกลางวัน ร่างกายค่อยๆมีกำลังมากขึ้น สิ่งแรกในใจตอนนี้คือผมต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมก็คือ สิ่งที่เจอมามันเป็นเรื่องจริง หรือแค่ฝัน
ผมหยิบกุญแจรถ ก่อนจะเดินผ่านบ้านอาไปที่โรงรถ
“หายไปไหนมาหลายวันจ๊ะ หลานรัก รู้มั๊ย อาเป็นห๊วงเป็นห่วง” เสียงกระแนะกระแหนของสองสามีภรรยา ดังตามหลังผม ผมได้ยินทุกคำพูด แต่น่าแปลกที่ไม่ได้หยุด และอาละวาดอย่างที่เคยเป็น
“คุณปอจะไปไหนคะ” เสียงแม่บ้านคนเดิมทัก
“ชั้นจะไปหอสมุดแห่งชาติ แม่กลับมาเมื่อไหร่โทรหาชั้นด้วยนะ” ผมบอก สีหน้าของแม่บ้านอึ้งราวกับเห็นผี ที่ผ่านมาเธอเคยเห็นผมไปแค่แหล่งบันเทิง กับปาร์ตี้ มาวันนี้ผมไปหอสมุดแห่งชาติ นั่นคงทำให้เธอช๊อคไปไม่น้อย
รถคันเดิมขับผ่านถนนเส้นคุ้นเคย ผมจำได้ว่าถนนเส้นนี้ผมเคยเห็นเมื่อตอนอยู่ที่บ้านหมอปีย์ แยกตรงนี้ กำแพงแบบนี้ นี่มันเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้เลยเหรอ
--------------------------------------------------------หอสมุดแห่งชาติ---------------------------------------------------
ผมจอดรถไว้ด้านหน้าหอสมุด ก่อนจะเดินเข้าไปผ่านป้ายที่เขียนเตือนไว้ว่าให้แต่งกายสุภาพ ผ่านเครื่องแสกน และตรวจกระเป๋า ก่อนจะเดินเข้ามาภายใน โต๊ะประชาสัมพันธ์ตั้งอยู่ตรงกลางหน้าบันไดไม้โบราณ ภายในเป็นสถาปัตยกรรมสมัยโบราณที่ยังคงไว้ซึ่งมนต์ขลัง
“โทษนะครับ ผมจะหาหนังสือสมัย ร.๕ ได้ที่ไหนครับ”
“อ๋อ” ประชาสัมพันธุ์สาวสวยเงยหน้ายิ้มให้ผม “เชิญชั้นสามค่ะ ลิฟท์ อยู่ด้านนี้นะคะ”
ผมยิ้มเป็นการขอบคุณเธอ ก่อนจะเดินผ่านลิฟท์ไปไม่ไยดี ผมเลือกที่จะใช้บันไดเดินขึ้นไปแทนการใช้เครื่องสนองความเกียจคร้านอันนั้น
เมื่อมาถึงชั้นสามบรรยากาศเหมือนอยู่ในโรงเรียนประถมต่างจังหวัด ห้องที่ถูกจัดแบ่งตามประเภทหนังสือนั้น เหมือนกับห้องเรียนเด็กประถมสมัยก่อนไม่มีผิด พื้นไม้กระดาน บานประตูไม้
ห้องถูกเปิดออก ภายในมีหนังสือวางเรียงรายเต็มไปหมด แต่กลับมีคนนั่งอ่านอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น
ผมเดินไล่หาหนังสือที่เกี่ยวกับยุคสมัย ร.๕หยิบทุกเล่มที่เกี่ยวกับสมัยนั้นมาวางกองไว้ที่โต๊ะจนท่วมหัว
“ภาพโบราณสมัยร.๕
เกร็ดสนุกในอดีต
เล่าเรื่องเมืองสยามในแผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวง
และเรื่องต่างๆอีกมากมาย
ผมเปิดมันอ่านอย่างตั้งใจ มีอยู่ตอนหนึ่งที่ผมอ่านเจอเกี่ยวกับการใช้ห้องน้ำในสมัยนั้น นั่นมันทำให้ผมถึงกับอมยิ้มออกมาอย่างลืมตัว อีกทั้งวิถีชีวิต การกิน การอยู่ มันช่างเป็นอย่างที่ผมเห็นเสียจริง
ผมก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือพวกนั้นอยู่นานโดยไม่สนใจใครรอบข้าง อากาศในนี้เย็นจัด เพราะแอร์ทำหน้าที่ดีเกินไป ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้อ่านคนอื่นถึงได้สวมเสื้อกันหนาวกันหลายต่อหลายชั้น
ผมเปิดหนังสือเล่มหนึ่งอย่างเบามือ เพราะกระดาษของหนังสือเล่มนั้นดูท่าทางจะเก่าและบอบบางเอาการ สีของกระดาษซีดเป็นสีเหลืองเข้ม ตัวหนังสือเป็นตัวที่ใช้พิมพ์ดีดพิมพ์ ทำให้อ่านยากเอาการ
ช่วงเวลาที่ผมอ่านหนังสืออยู่นั้น ผมรู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งที่เหมือนจะจับจ้องผมผ่านช่องว่างของชั้นหนังสือ แต่เมื่อผมหันไปมองกลับพบเพียงความว่างเปล่า
“สนใจหนังสือพวกนี้หรือ” แต่จู่ๆแววาคู่นี้ก็มาอยู่ตรงหน้าผม
“ครับ” ผมตอบเจ้าของแววตาที่อิดโรยคู่นั้นไป หญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ผม เธอมีผมสีดอกเลาที่รวบมวยอย่างเรียบร้อย ใบหน้าที่เปื้อนด้วยรอยยิ้มอย่างอ่อนโยนตลอดเวลา แววตาที่กลมโต ท่าทีที่สง่างามราวกับเธอเป็นราชนิกูลย์ก็ไม่ปาน
“ชั้นของนั่งด้วยคนได้มั๊ย” เธอร้องขอ ผมยิ้มตอบเป็นการตกลง
“ทำไมวัยรุ่นอย่างเธอ ถึงได้มานั่งอ่านประวัติศาสตร์คร่ำครึอย่างนี้คนเดียว” เธอถาม
“เอ่อ อ้อ พอดี ผมต้องทำวิจัยน่ะครับ” ผมยิ้ม ไม่กล้าจะตอบความจริงออกไปว่าผมเจออะไรมาบ้าง กลัวใครจะหาว่าเป็นบ้า
เธอไม่พูดอะไรต่อ เอาแต่ยิ้มเบาๆ มือดึงหนังสือภาพเล่มหนึ่งออกมา ก่อนจะจะเปิดไปที่หน้าหน้าหนึ่งอย่างคล่องแคล่ว เธอลูบกระดาษแผ่นนั้นอย่างแผ่วเบา
“ป้ารู้จักที่นี่เหรอครับ” ผมถามเมื่อเห็นว่าเธอสนใจภาพเรือนไม้หลังใหญ่ในหนังสือเล่มนั้นเป็นพิเศษ เธอยิ้มอีกครั้ง
“แล้วเธอหล่ะ ชอบมันรึปล่าว”
“...........................................” ผมงงกับคำถามและน้ำเสียงที่เยือกเย็นของเธอ
“เรือนหลังนี้สวยงามนัก มันทำมาจากไม้ทั้งหลัง ไม่มีตะปูแม้แต่แห่งเดียว บันไดตรงนี้” เธอชี้ไปที่บันไดไม้
“ก็เรียบลื่นเงาวาว เพราะบ่าวไพร่ชอบมาขัดถูเวลาแอบฟังเจ้านายคุยกัน” เมื่อพูดถึงตรงนี้แววตาของเธอก็เป็นประกายขึ้นมา
“เจ้าของเรือนแห่งนี้ก็งามไม่ต่างจากเรือน” เธอส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะเงียบไปพักใหญ่
“ที่ตรงนี้” แล้วหญิงคนนั้นก็ลากมือเลยหนังสืออกมาบนโต๊ะ ก่อนที่เธอจะหลับตา “เป็นสวนดอกชบาสีแดงสด อีกทั้งแซมไปด้วยดอกพุดซ้อน ดอกแก้ว จำปี และจำปา โอ้ ชั้นยังจำกลิ่นของพวกมันในยามเช้าได้ดี”
เธอบรรยายออกมาเป็นฉากๆทั้งๆที่ไม่มีภาพนั้นในหนังสือ ทำเอาผมขนลุก แล้วเธอก็เงียบไปไม่พูดอะไรอีก
“เอ่อ ป้าพูดเหมือนป้าเคยไปบ้านหลังนี้มาอย่างนั้นแหละครับ” ผมเลียบถาม
“ไม่ต้องกลัวใครจะหาว่าเธอบ้าหรอก เพราะถ้าเธอบ้า ชั้น........ก็บ้าเหมือนเธอนั่นแหละ” เธอยิ้มอย่างมีความหมาย
รอยยิ้มนั้นทำเอาผมขนคอตั้งชัน และหัวใจพองโต
“ป้าอย่าบอกนะครับ ว่าป้าย้อนอดีตไปที่แห่งนี้....................เหมือนกัน” ผมละล่ำละลักถาม
เธอเลือกที่จะไม่ตอบ แต่กลับมอบรอยยิ้มอ่อนโยนนั้นให้ผมแทน
“ป้าไปมาใช่มั๊ย ผมไม่ได้บ้าใช่มั๊ย” ผมเขย่าแขนเธออย่างลืมตัว เสียงดังของผมทำให้คนภายในห้องนั้นหันมามองจนผมต้องหรี่เสียงตัวเองลง
“บอกผมมาเถอะ ผมไม่ได้เพี้ยนไป.............ใช่มั๊ย” น้ำเสียงที่เร่งเร้า ร้อนรน บวกกับดวงตาที่เอ่อไปด้ยน้ำตาแห่งความคับแค้นใจนั่นเองที่ทำให้เธอยอมปริปากพูดบางอย่างออกมา
“เธอเชื่อเรื่องทฤษฎีการย้อนเวลามั๊ย” หญิงคนนั้นถาม น้ำเสียงเยียบเย็น
“มีคนจำพวกหนึ่งเชื่อว่า อดีต ปัจจุบัน และอนาคต เป็นสิ่งที่ไม่ได้เรียงกันตามลำดับ เหมือนกับเธอแต่งหนังสือจากบทสรุป ย้อนมากลางเรื่อง และจบด้วยจุดเริ่มต้น” เธอพยายามอธิบายให้ผมฟัง
“เวลา เป็นช่วงสมบูรณ์ในตัวมันเอง พวกเขาเชื่อว่า ในขณะที่เรากำลังคุยกันอยู่ ยังมีเราในอีกห้วงเวลาหนึ่ง กำลังทำอะไรบางอย่างอยู่เช่นกัน”
“แล้ว ผมย้อนกลับไปช่วงนั้นได้อย่างไร” ผมถาม
“จากที่ชั้นได้ศึกษา และพบว่า เวลาที่ดำเนินไปของมันในแต่ละห้วงนั้น จะมีอยู่เสี้ยวนาทีเดียวที่เวลาของสองช่วงเวลาจะมาบรรจบกันโดยผ่านตัวนำบางอย่างที่ช่วงเวลาทั้งสองนั้นมีร่วมกัน”
“ยังไงน่ะครับผมไม่เข้าใจ” ผมถาม
“ยกตัวอย่างง่ายๆ ในกรณีชั้น ชั้นสามารถ เอ่อ............ย้อนผ่านเวลาได้โดยผ่าน..........กระจก!!” เธอตอบแววตาก้มลงต่ำเหมือนพยายามปิดบังตัวตนของเธอไว้บางส่วน
“กระจกบานนั้นตั้งอยู่ในที่ของมันเมื่อร้อยปีก่อนไม่ขยับเขยื้อน เมื่อเวลาของสองช่วงมาบรรจบกัน กระจกบานนั้นจึงเป็นเหมือนประตูมิติให้ชั้นผ่านทะลุเข้าไป” เธอว่า
“เอ่อ ขอโทษนะครับ ป้าบอกว่าป้าผ่านกระจกไปสมัย ร๕อย่างนั้นเหรอ” ผมถาม เธอพยักหน้า
“ผมว่า ผมคุ้นๆเหมือนเคยอ่านเรื่องแบบนี้มาก่อน” ผมแสดงสีหน้าสงสัย
“นิยายมักนำมาจากชีวิตจริง ใช่มั๊ย” เธอยิ้ม ผมไม่พูดอะไร
“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า ผมสามารถกลับไปที่นั่นได้อีก หากเวลาและตัวเชื่อมมันพอเหมาะ ใช่มั๊ยครับ”
“คงอย่างนั้นมั้ง แต่ .............ชั้นขอเตือนอะไรเธอไว้อย่างนะพ่อหนุ่ม” สีหน้าของป้าดูเคร่งขรึม
“จงอย่าผูกพันกับใคร หรืออะไรที่นั่น เพราะนอกจากเธอจะมอบความหายนะให้ประวัติศาสตร์แล้ว มันยังจะฆ่าเธอ...........ทั้งเป็นด้วย” หญิงคนนั้นก้มหน้าอีกครั้งตัวสั่นเทา
“เอาหล่ะ” จู่ๆเธอก็ลุกขึ้น “ชั้นขอให้เธอโชคดีนะพ่อหนุ่ม ที่นั่นสวยงาม และบริสุทธิ์ จงอย่างทำให้ที่นั่น แปดเปื้อน” แล้วเธอก็หันหลัง เดินจากไป
“ป้า ผมยังไม่รู้จักชื่อป้าเลย” ผมถามแต่ไม่ทันเสียแล้ว เธอหายเข้าไปหลังชั้นหนังสืออย่างไร้ร่องรอย
“จงอย่าผูกพันกับใครที่นั่น” คำๆนี้วนเวียนอยู่ในหัวผมตลอดเวลาที่ขับรถกลับบ้าน ไม่เข้าใจทำไมป้าคนนั้นถึงได้เตือนแบบนี้ สงสัยเธอคงจะรู้จักผมน้อยไป คนอย่างผมมีรึจะผูกพันกับใครง่ายๆ ไม่มีเสียหล่ะ
“เฮ้อ ป่านนี้หมอนั่นจะเป็นยังไงมั่งนะ จะรู้รึยังว่ากูหายไป” จู่ๆผมก็ถอนหายใจอย่างลืมตัว
(http://image.ohozaa.com/i/6ac/m66912761.jpg)
-
ตัวละครใหม่?
อยากอ่านต่อ
+1
-
และแล้วก็เจอพวกเดียวกัน ที่มาคอยชีแนะ
ไม่ผูกพันธ์กับใครง่าย ๆ แต่ดันไปนึกถึงหมอปีย์
แล้วฝากกระโน้น จะคิดถึงคนทางนี้บ้างหรือเปล่า ว่าหายไปไหน
หรือคิดว่าไอ้บ้า จมน้ำตายไปแล้ว
+1 ให้เป็นกำลังใจครับ 129 คะแนน เท่ากับ 129 ที่โพสในเล้าเลยครับ
-
นั่นล่ะที่เขาเตือน คนที่ปอกำลังคิดถึงอยู่นั่นแหละ
ว่าแต่ใครหว่าที่เป็นแฟนปอในปัจจุบัน
-
o13
-
กลับมาได้ไงหว่า
แล้วไอ้หมอปีย์มันขาดใจตายยัง
กร๊ากกกกกกกกก
-
แอบมาโพสต์ โดยไม่มีการบอกกล่าว ขอให้ฉี่ไม่ออก
-
อ้าาาาาาาาาา! อยากอ่านต่อ ><
เพลินมากๆ มาต่อเร็วๆนะคะ :D
-
555 เจอแม่มณีเข้าแล้ว
จะไปอีกรอบนี่ต้องไปโดดน้ำหรือเปล่า อย่าลืมพกของใช้หยูกยาใส่ถุงกันน้ำไปด้วยนะพ่อ
-
อยากอ่านต่อแว้วววว....
คุณป้าเค้าก็อุตส่าห์มาเตือนว่าอย่าผูกพันกับใครในอดีต ไอ้คุณนายเอก(รึเปล่า?)ของเราก็ทำเป็นเก่งแต่ก็ยังแอบคิดถึงเค้า
..แบบนี้ไม่เรียกผูกพันแล้วเรียกอะไรจ๊ะ
-
๑๓๐ + ๑ = ๑๓๑
ขอบคุณนะคะ คุณ เซ็งเป็ด
-
เจอมณีจันทร์รึเปล่านี่..
-
บากบอกไม่ผูกพันธ์
แต่ดันคิดถึงหมอปีย์ซะนี่
o13
-
มาต่อไวๆๆ นะคะ สงสารหมอปีย์ป่านี้คงรอคอยแล้วอ่ะคะ
-
จงอย่าผูกพันกับใครในอดีต
อืม...สงสัยจะยากแล้วหล่ะเนอะ
ติดกับหมอปีย์ขนาดนี้ สงสัยเรื่องนี้จะจบโศกมั้ยน้า
รักกันข้ามมิติเวลาแบบนี้
-
ปอเอ้ย จำคำเค้าไว้ อย่าผูกพันกับใคร เข้าใจ๊!! อิอิ
-
ยังไม่พ้นกลิ่นอายปีใหม่ และคงยังไม่สายที่จะขออวยพรปีใหม่ ให้คุณเซ็งเป็ด
ขอให้คุณมีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง มีความสุขมากๆตลอดไป
คิดประสงค์งสิ่งใดขอให้ได้ดังประสงค์นะคะ
ดีใจค่ะ ได้อ่านต่อเรื่องของนายปอ
-
ชอบจังเลยนิยายแนวนี้ มาต่อๆๆไวๆๆนะไรเตอร์
-
คุนป้ามาจากไหนเนี่ยยย อ่านแล้วขนลุกน่ะเนี่ย
-
อ้าววววววววววว พ่ออัชกลับมาปัจจุบันซะดื้อๆอย่างนั้น
ป่านนี้หมอปีย์รอแย่แล้ว คงนึกว่าไอ้บ้าจมน้ำตายไปแล้วมั๊ง
น่าสงสารหมอปีย์ สงสารอัชด้วย...ถ้าย้อนกลับไปได้อีกที
ไม่ต้องกลับมาแล้วเน้อ...
:L2:สุขสันต์วันปีใหม่ค้าบเซ็งเป็ด :pig4:
ขอให้มีสุขภาพกายสุขภาพใจแข็งแรง พบเจอแต่กัลยาณมิตรที่ดีค้าบ
-
คุณป้าลึกลับ ???
***
สุขสันต์วันปีใหม่ค่ะ !!! >____<
-
อิอิ ป้่าคนนี้คงมิใช่มณีจันทร์หรอกนะครับ
สวัสดีปีใหม่ครับ ไรเตอร์
ขอให้แฮบปี้ๆนะคร้าบ :bye2:
-
ของนายเอกเรา นี่คงเป็นนาฬิกาเก่าหลังนั้นป่าวหว่า o13
-
ทวิภพ :a5:
สุ้ๆๆคร่าพี่เป็ด
นานแค่ไหนก็จะรอ
-
แม่มณีหรือ
สวัสดีปีใหม่ค่ะ คุณเป็ด
-
เจอแม่มณีหรอ?
ถ้าย้อนเวลากลับไปอย่าลืมเอาหยูกยาไปรักษาไอ้หนูแดงมันล่ะ
-
เล้นลับดี
-
กลับมาอยู่แบบศิวิไลแล้ว ก็คิดถึงท้องทุ่งเรือนไทยชิมิอัจจี้ >..<
-
:L2:
-
จงอย่าผูกพันกับใครที่นั่น
แต่คาดว่าจะไม่ทันแล้วมั้งคับคุณป้า
-
น่าติดตามมากเลย แล้วจะได้กลับไปอีกมั้ยเนี่ย
-
เอ...พี่หมอตอนแรก ๆ กับหมอปีย์ มีอะไรผูกพันกันรึเป่ล่า -_-+
-
ครอบครัวนายเอกเหมือนไม่อบอุ่นเลย สงสารจัง
กลับไปซบหมอปีย์ดีกว่า :กอด1:
-
อ่านตามจนทันแล้ว อิอิ ชอบมากๆเลย เขียนได้ดีมากๆเลย ราบรื่นไม่ติดขัด สวยงามมากๆ
อ่านไปรุ้สึกหิวไปด้วยเลย อา~ หมอปรีย์จะเป็นยังไงบ้างนะ ละคนที่ปอฝันถึงล่ะ? คือปรีย์ ในปัจจุบันหรอ??
ง่าา อยากรุ้ต่อจังเลย มาต่อเร็วๆนะ สู้ๆนะครับ
เป็นกำลังใจให้ ละก็สวัสดีปีใหม่ครับ
-
เจ้าบ้าหายกลับมาอย่างนี้ หมอปีย์จะไม่ตามหาแย่หรือคะเนี่ย= ="
พระจะแสน เศร้าสร้อย ละห้อยไห้
หฤทัย ทุกข์ทน หม่นหมอง
จะดั้นด้น ค้นคว้า เที่ยวหาน้อง
ทุกข์ประเทศ เถื่อนท้อง พนาลี (นางครวญ)
-
หมอปรีย์คงเงียบหูไปหลายวัน :laugh:
-
เคยอ่านเจอกลอนอยู่บทหนึ่งทำให้คิดถึงหลวงพินิจกับเชฟอัชท์
.....โอ้ว่าป่านฉะนี้พระพี่เจ้า
จะโศกเศร้ารัญจวนครวญหา
ตั้งแต่ไปแก้สงสัยมา
ไม่เห็นขนิษฐาในถ้ำทอง
.....โอ้ว่าทำไฉนได้
ว่าน้องอยู่ประมอตันกรุงศรี
แม้นใครทูลแถลงแจ้งคดี
เห็นทีจะตามมาด้วยอาลัย
-
เหอๆ จู่ๆก็กลับมาแบบนี้หมอปีย์คงใจหายแย่
คิดถึงเค้าแล้วล่ะซิ้~
สั้นมากมาย รอ อร รอ ตอนต่อไปค่ะ
:mc4:
-
โอ๋วววววววว
ยังจะย้อนนนกลับไปอีกหรอ
-
รู้สึกขนลุก ฮา... ^^
-
มาต่อเร็วๆนะคับ
รอ
รอ
รอ
-
เข้ามาดันไว้
-
บทที่ ๑๔ สายน้ำที่ไหลย้อนกลับ
เสียงมือถือดังขึ้นผมก้มลงควานหาที่เบาะคนขับ รู้สึกมันไม่ชินไม้ชินมือเอาเสียเลย มีสิ่งหนึ่งที่ผมไม่เข้าใจก็คือ ทันทีที่ผมย้อนอดีตกลับไป สิ่งที่ติดตัวผมไปมีเพียงแค่เสื้อผ้าเท่านั้น นอกจากนั้นมันไม่สามารถติดตัวผมไปได้เลย และเมื่อตอนผมกลับมา ผมก็พบว่าสิ่งของเหล่านั้นกลับติดตัวผมอยู่ตลอดเวลา
“ครับป้า เหรอครับ อือ จะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้แหละ” แล้วผมก็กดสาย ทิ้งมือถือไว้ที่เดิมของมัน
“แม่อยู่ไหน”
“อยู่ในห้องรับแขกค่ะ คุณปอ” ผมทิ้งหนังสือที่ถ่ายเอกสารมาจากหอสมุดไว้ที่โซฟา ก่อนจะเดินตรงดิ่งไปหาแม่ซึ่งกำลังนั่งเปิดสมุดเล่มเดิม
“แม่ ตกลงพอจะมีเวลาเล่าเรื่องยายทวดให้ผมฟังรึยังหล่ะ” ผมทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามเธอ แม่เงยหน้ามองผ่านแว่นที่หนาเตอะ
ก่อนจะทิ้งสมุดบัญชีลง
“ทำไมจู่ๆถึงอยากรู้เรื่องของยายทวดแกขึ้นมา ปกติเห็นไม่แกอยากจะเข้าใกล้ยายทวดของแก”
“เอาน่าแม่ ก็ผมอยากรู้นี่นา เล่าให้ฟังเถอะ”
“ชั้นเล่าให้แกฟังก็ได้ แต่แกต้องสัญญานะว่าแกจะไปร้านอาหารกับชั้นพรุ่งนี้”
ผมเงียบไป
“ปอ ชั้นมีแกเป็นลูกคนเดียวนะ ร้านอาหารไทยเป็นสิ่งเดียวที่ยายทวดแกฝากชั้นไว้ให้แกดูแลต่อถ้าแกไม่ดูแล ชั้นคงต้อง...........” แม่เงียบไปแววตาผิดหวัง
“ก็ได้แม่ ผมจะไป เล่ามาได้รึยังหล่ะ”
บรรยากาศในบ้านตอนนี้มีเพียงเสียงแอร์ที่ทำงานไปตามปกติ บวกกับเสียงรถภายนอกที่วิ่งผ่านเป็นระยะๆ ไม่มีเสียงนกร้อง ไม่มีเสียงผู้คนคุยกับเสียงเจ๊าะแจ๊ะ ทั้งๆที่บ้านหลังนี้ใหญ่โตกว่าบ้านหมอปีย์เป็นไหน แต่ทำไม ที่นี่ถึงได้ดูไม่เหมือนบ้านเอาเสียเลย
“ยายทวดของแกรักร้านนี่มาก” แม่เริ่มเล่า “ท่านเล่าว่าท่านได้แรงบันดาลใจจากใครคนหนึ่งสมัยที่ท่านยังเด็กๆ”
“แล้วแม่พอจะรู้มั๊ยว่า พ่อแม่ ยายทวดเป็นใคร” ผมถาม
“ยายทวดแกเล่าว่า พ่อกับแม่แกเสียไปตอนโรคห่าระบาด ชั้นก็....จำไม่ค่อยได้มากนักหรอก” เธอหยิบน้ำส้มขึ้นมาหยิบ
“ยายทวดแกรักการทำอาหารไทยมาก ชั้นจำได้ว่าตอนชั้นเด็กๆ แกจับชั้นไปนั่งเจียรใบตองอยู่เป็นวัน อ้อ.........” จู่ๆแม่ก็แสดงแววตาตื่นเต้นออกมา
“แกเคยบอกชั้นว่า ถ้าชั้นมีลูกชายให้ตั้งชื่อว่า.............อัชย์..............”
ผมอ้าปากค้าง
“กำชับนักกำชับหนาว่าให้แกชื่อนี้ให้ได้ ยายของแกเองเคยทะเลาะกับยายทวดแกเสียยกใหญ่เรื่องจะตั้งชื่อแก” แม่ยิ้ม
“อัชย์เหรอแม่ แล้วอัชย์แปลว่าอะไรหล่ะ”
“แปลว่า ผู้อยู่เหนือกาลเวลา ชั้นก็ไม่รู้หรอกนะว่ายายทวดแกไปเอาชื่อนี้มาจากไหน แล้วทำไมตอนที่แกเป็นเด็กถึงไม่ยอมไปถามแกเองหล่ะ”
“โธ่ แม่ ใครจะไปรู้หล่ะว่าวันหนึ่งผมจะเจอ.....................เอ่อ”
“เจออะไร”
“ไม่มีอะไรหรอก ก็ตอนนั้นยายทวดน่ากลัวนี่นา ผิวเหี่ยวๆ ปากแดงๆ เพราะกินหมากด้วย แต่ตอนนี้ ผมชักคิดถึงท่านขึ้นมาเสียแล้วสิ” ผมก้มหน้านิ่ง
“แปลกจริง ลูกคนนี้ ร้อยวันพันปีไม่เคยจะพูดถึงยายทวด”
“แล้วหนูวาด เอ้ย เอ่อ ยายทวดเคยเล่าอะไรให้แม่ฟังเกี่ยวกับ คนที่เป็นแรงบันดาลใจให้แกตอนเด็กๆอีกมั่งมั๊ยอ่ะ” ผมถามมืออยู่ไม่สุข
“ไม่รู้ ชั้นจำไม่ค่อยได้แล้ว มันนานแล้ว ว่าแต่ ตกลงพรุ่งนี้จะไปร้านอาหารกับชั้นมั๊ย”
แม่ถามผมพยักหน้าเป็นการตอบรับ
...........
วันรุ่งขึ้นผมตื่นขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวลงมารอแม่ที่หน้าบ้าน แต่พบว่าเธอยังไม่ตื่น ผมจึงถือโอกาสเดินชมสวนรอบบ้าน ตั้งแต่เด็กจนโตไม่เคยเดินรอบบ้านแบบนี้เลย ผมเดินผ่านครัว แม่ครัวในนั้นมองผมอ้าปากค้าง เหมือนไม่เชื่อตาตัวเองว่าคนที่เดินดุ่มๆมองต้นกล้วยอยู่นั้นจะเป็นผม
“เห็นเด็กบอกว่าแกตื่นมาเดินรอบบ้านแต่เช้าตรู่” พ่อถาม “เป็นอะไรรึป่าว”
“อ่าวพ่อ คนตื่นเช้านี่ต้องเป็นอะไรด้วยเหรอ”
“ปล๊าว” พ่อทำเสียงสูง “ก็ร้อยวันพันปีถ้าตะวันไม่เลยหัวชั้นไม่เห็นแกจะลงมาจากห้องนอน”
“หมู่นี้ทำตัวผิดปกติค่ะคุณ เมื่อวานก็มาถามถึงยายทวด วันก่อนแม่บ้านก็บอกว่าออกไปหอสมุดแห่งชาติ” แม่เสริม
“ลูกจะรักดีนี่มันผิดมากเลยเหรอพ่อ แม่” ผมถาม
“ปล๊าว” ทั้งคู่พูดขึ้นมาพร้อมกัน
ผมขับรถ CIVIC สีขาวที่เพิ่งล้างเอี่ยมอ่องออกไปร้านโดยมีแม่นั่งอยู่ข้างๆ
“ชั้นชักจะไม่ไหวกับร้านยายทวดแกแล้วนะ นับวันยิ่งทำให้ทุนหายกำไรหด พาลฉุดกำไรจากร้านอิตาเลี่ยนแถวสุขุมวิทตกลงไปด้วย” แม่บ่น
“แล้วแม่จะทำไง”
“ก็ถ้ามันยังเป็นยังงี้อีก เห็นทีชั้นคงต้องปิดไปเปิดเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นแทน พอดีมีคนสนใจจะมาร่วมหุ้น” แม่พูด ผมรู้สึกใจหายขึ้นมาทัน
ร้านอาหารแห่งนี้เป็นที่วิ่งเล่นของผมตั้งแต่ยังเป็นเด็ก จำได้ผมเคยยกทอดมันกุ้งหัวปลีฝีมือยายทวดไปเสริฟแขกด้วยตัวเองอยู่บ่อยๆสมัยนั้นร้านนี้คนแน่นขนัด มีแต่พวกนักเรียนนอก ฝรั่ง หรือคนมีอันจะกินทั้งนั้นที่มาที่นี่ จนกระทั่งหนูวาดป่วยลง ยายก็ทำไม่ไหวจึงให้แม่มาทำแทน ผมไม่โทษแม่หรอก แม่อาจไม่เหมาะที่จะเรียกศรัทธาของร้านนี้คืนมาก็ได้
“เอาของไปเก็บในครัวให้ชั้นหน่อย” ผมรับถุงใส่ของจากมือแม่ก่อนจะเดินเข้าครัว นี่เป็นครั้งแรกในรอบเกือบสิปปีที่ผมกลับมาเหยียบร้านนี้อีกครั้ง
ร้านเปลี่ยนไปมาก แม่ตกแต่งมันเสียใหม่เป็นสไตล์ฝรั่ง มาบาร์เหล้า โต๊ะก็เป็นแบบผู้ดีอังกฤษเขากินกัน ของตกแต่งล้วนแล้วแต่หรูหรา ห้องปิดทึบแล้วเปิดแอร์แทน ต้นไม้ข้างนอกก็แห้งเหี่ยว
เดินเข้ามาในครัวก็เป็นแบบปิด อับและร้อนจนขนาดผมเดินเข้าไปแว๊บเดียวก็เกือบจะหายใจไม่ออก
ผมเดินสำรวจร้านอยู่พักใหญ่ ใกล้เที่ยงแล้ว แต่ไม่มีลูกค้าเข้ามาเลย ทั้งๆที่ร้านอยู่ติดกับสำนักงานธนาคารใหญ่ๆเกือบสิบแห่ง แต่แปลกที่ไม่มีลูกค้าเข้าร้านเลย
“แม่ ขอกลับก่อนนะ” ผมขอตัวกลับบ้านมาก่อน เพราะรู้สึกวิงเวียนในท้องยังไงบอกไม่ถูก กลิ่นควันรถ ฝุ่น เสียงแตรรถทำให้ผมยิ่งอยากจะบ้า
“เฮ้อ” ผมถอนหายใจเป็นครั้งที่สิบขณะที่รถติดอยู่ตรงแยกไฟแดง
“ป่านนี้ที่นู่นจะเป็นยังไงมั่งนะ” ผมคิดเมื่อนึกขึ้นได้ว่าผมหายไปเกือบจะสามวันแล้ว หมอบ้านั่นจะคิดถึงกันบ้างมั๊ยหว่า
“บ้า มันจะไปคิดถึงกูทำไม เอ้อ” ผมเกาหัวตัวเองเมื่อเผลอปล่อยใจคิดอะไรไร้สาระออกไป
ประตูบ้านเปิดออกอัตโนมัติ ผมขับรถไปจอดในที่ของมันก่อนจะเดินผ่านเรือนครัวที่เงียบเชียบ ผมเดินเลยมันไปแล้ว แต่หางตามันแวบไปมองแล้วรู้สึกเหมือนเห็นภาพผู้คนเหล่านั้นกำลังจ้าละวั่นกันทำสำรับกับข้าว แต่เมื่อผมมองอีกที เขาเหล่านั้นกลับหายไป
ผมเลยหันหลังกลับเดินไปยังเรือนเก่าหลังนั้น ใจนึงอยากจะลืมเรื่องราวในอดีตเหล่านั้นให้หมดสิ้น แต่อีกใจกลับโหยหาอย่างไรบอกไม่ถูก
ประตูเรือนถูกเปิดออก ภายในห้องยังคงเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เรือนหลังนี้เมื่อตอนผมยังเป็นเด็ก หนูวาดเคยใช้มันในการเตรียมพวกปลาช่อนแดดเดียวย่าง ปลาดุกย่าง ตำน้ำพริก เรียกได้ว่าเวลาจะเตรียมของไปที่ร้าน หนูวาดจะมาทำที่เรือนนี้
ผมเดินไปรอบๆเรือน โดยที่มือลูบผนังไปเรื่อยๆเหมือนอาวรณ์ แล้วมือนั้นก็มาหยุดอยู่ที่รูปชายแปลกหน้าที่ใบหน้าเลือนลางนั้นอีกครั้ง
“ต้องให้เวลากับตัวเชื่อมสัมพันธ์กัน เธอก็จะสามารถย้อนกลับไปได้อีก” เสียงของหญิงที่ผมเจอที่ห้องสมุดดังขึ้นมาในมโนจิต เหมือนเป็นการท้าทายในสิ่งที่เธอพูด ว่ามันจะสามารถเป็นจริงอย่างนั้นได้หรือไม่
“ลองดู” ผมว่าเมื่อในที่สุดก็หาเหตุผลให้ตัวเองได้แล้วว่าทำไมผมถึงอยากจะกลับไปอีกครั้ง
“วันนั้น.................” ผมหลับตาตั้งสติ
“กูเมา...............”
“แล้วโดนจับมาที่นี่ ห้องนี้................แล้วไงต่อๆ”
“อ้อ ตื่นมาก็นอนหลับอยู่ตรงนี้” ผมลงไปนอนกับพื้น
“แล้วก็ๆ...................หนังสือเล่มนี้หล่น” ผมหยิบหนังสือเล่มเดิมที่ถูกวางอยู่ที่เดิมออกมา แล้วทิ้งกับพื้น
“แล้วก็เปิดหนังสือ ออกมา.................”เสร็จแล้วผมจึงหลับตาอยู่ครู่ใหญ่ ในใจนึกภาพแรกที่ผมเห็นที่บ้านคุณชื่น
“บ้านคุณชื่นๆ” ผมท่องไปมา ก่อนจะตัดสินใจค่อยๆลืมตาขึ้น ในใจเต้นรัวหวังที่จะได้เห็นเรือนใหญ่ตั้งตระหง่านแทนโรงจอดรถ
“เอาวะ” แล้วผมก็ลุกขึ้นยืนค่อยๆลืมตา หันหน้าออกนอกฟน้าต่าง แล้วลืมตา
“.................................”
“.................................”
“................................”
“.................................”
“...............................”
“................................”
“คุณปอมาทำอะไรที่นี่คะ” เสียงแม่บ้านคนเดิมถาม ผมมองหล่อน ก่อนจะมองไปรอบๆ
“อ้อ เอ่อ ป่าว ชั้น ชั้นมาดูทีวีน่ะ” ผมตอบก่อนจะพูดกับตัวเองเบาๆ “ไร้สาระว่ะ”
“???????????????”
ผมนั่งๆนอนๆอยู่ในบ้านไม่มีอะไรทำ ไม่มีอะไรทำสำหรับที่นี่ กับการไม่มีอะไรทำสำหรับที่นู่น ทำไมมันต่างกันแบบนี้ ที่นี่หากเราพูดว่าไม่มีอะไรทำ เราจะรู้สึกไม่มีคุณค่า แต่ถ้าเป็นไม่มีอะไรทำนู่น เรากลับรู้สึกว่ามันคือการพักผ่อน
ผมเบื่อกับการเดินไปเดินมาในบ้าน เปิดปิดทีวี ไปมาแล้ว จึงตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องนอนหนูวาดที่อยู่ชั้นสองของบ้าน
ห้องถูกคล้องกุญแจไว้แต่ไม่ได้ล๊อค ครั้งสุดท้ายที่ผมมาห้องนี่ก็เมื่อตอนที่ผมเป็นฝีที่ก้น แล้วพามาให้หนูวาดจี้ให้ ตอนนั้นผมร้องไห้กลัวหนูวาดมาก
ภายในห้องของหนูวาดถูกผ้าขาวคลุมไว้เกือบหมด ทุกอย่างในนี้ขาวโพรนไปหมด เฟอนิเจอร์ เก้าอี้ โต๊ะ แจกัน หรือแม้แต่ชุดตะกร้าหมากของหนูวาดยังถูกผ้าขาวคลุมไปด้วยเลย
ผมเดินตรงไปยังตู้เก็บของเก่าของหนูวาด ภายในนั้นบรรจุชุดตุ๊กตาแก้วสีสรรสดใส อีกทั้งพวกเครื่องลายครามต่างๆ ผมมองข้ามมันไป ก่อนที่จะนั่งลงกับพื้น เปิดลิ้นชักหาบางอย่างในนั้น
“ไหนบอกไม่มีรูปไง” ผมว่า เมื่อเปิดเจออัลบั้มรูปเก่าๆ ผมเปิดมันออกอย่างเบามือรูปแรกที่เจอก็คือรูปหนูวาดสมัยยังเป็นเด็ก เธอแต่งตัวด้วยชุดผ้าลุกไม้สีชมพูคุ้นตา เธอคนในรูปนั้นเป็นคนเดียวกับที่ผมเห็นแน่ๆ ใบหน้าแบบนี้ แววตา และรอยยิ้มแบบนี้
“หนูวาด” ผมยิ้มและเปิดรูปต่อไปเรื่อยๆ รูปแล้วรูปเล่า
ภาพต่างๆบอกเล่าความเป็นมาของหนูวาดได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เธอถ่ายกับคุณชั้น ตอนที่เธอเป็นนักเรียนโรงเรียนในวัง ตอนที่เธอโตขึ้นพอที่จะขี่จักรยาน ภาพบอกเล่าเหตุการณ์ได้มากมาย
ตอนหนูวาดเป็นแต่งงานเธอสวมชุดเจ้าสาวสีขาว ตอนเธอไปเที่ยวเธอแต่งตัวด้วยกางเกงขาบาน เสื้อสีฉูดฉาด คาดผมด้วยผ้ามันเงาเป็นสาวยิปปี้ ผมเธอหยิกฟู
ตอนเธอมีลูกสาว
ตอนเธอมีหลานสาว
และตอนเธอมีผม
ผมหยุดนิ่งอยู่ที่ภาพที่เธออุ้มผม เธออุ้มผมไว้ในมือ และจ้องมองผมด้วยสายตาที่ประหลาดใจจนอธิบายไม่ถูก เหมือนกับความชื่นใจ ดีใจ รอคอย ปนสมหวัง มันระคนไปหมด
อัลบั้มภาพเหล่านั้นเดินทางบอกเล่าเรื่องราวมาจนถึงภาพสุดท้าย ภาพที่ทำให้ผมต้อคิ้วขมวดกันอีกครั้ง
“ภาพนี้นี่มันภาพที่เรือนครัวนี่นา” ผมว่า เพราะภาพนั้นเป็นภาพเดียวกัน ภาพชายแปลกหน้าที่ใส่ชุดราชปะแตสีขาวโบราณยืนตัวแข็งทื่อ แต่เมื่อมองใบหน้าของเขา กลับเลือนลางหายไปกาลเวลา
“ใครวะ” ผมดึงรูปออกมาก่อนจะล้มตัวลงนอน แต่สายตายังคงจับจ้องไปที่รูปที่เหมือนจะคุ้นเคย
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“ออกไป ออกไปจากบ้านชั้นเดี่ยวนี้” ผมสะดุ้งตื่นเมื่อเสียงกรีดร้องของแม่ดังขึ้น
“แกมันอีน้องทรพี หลงมันจะหักหลังชั้น แกมันเลว” ตามด้วยเสียงด่าเป็นชุด
“ก็พี่นะโง่เอง ร้านอาหารก็ทำไม่รอด ชั้นผิดตรงไหนที่จะเอามันมาทำเอง อีกอย่างบ้านหลังนี้ก็เป็นสิทธิของชั้น อย่าลืมนะว่าโฉนดมันอยู่ที่ชั้น” เสียงอาของผมเถียง ผมลุกขึ้นเดินออกมา
“ออกไป๊ ออกไปนะ” แม่ยังตะโกนไม่หยุด
“ชั้นไม่ไปไหนทั้งนั้นแหละ จนกว่าพี่จะยกร้านนั้นให้ชั้น นี่ชั้นใจดีแค่ไหนแล้วที่ยกบ้านให้อยู่ไปก่อน ถ้าชั้นไล่พี่ออกไปจากบ้านหลังนี้พี่ก็ทำอะไรชั้นไม่ได้”
“แก ...แก”
“ปัง!!!” ผมฟาดมือกับประตูห้องหนูวาดเสียงดังลั่น ทุกคนเงยหน้าขึ้นมามองแน่นิ่ง
ผมเดินลงมาอย่างเยือกเย็น แต่ในใจนั้นสั่น และเร่าร้อนเต็มไปด้วยความโกรธ ตาของผมถลนออกมา
“ออกไปซะ” ผมพูดเสียงจริงจัง
“ออกไป ก่อนที่กูจะฆ่าน้องแม่ตัวเอง”
อาของผมอ้าปากค้าง หล่อนไม่เคยเจอผมในสภาพนี้มาก่อน ปกติผมจะโวยวายลั่นบ้าน แต่วันนี้หล่อนคงแปลกใจที่ผมไม่เป็นเช่นนั้น
หล่อนอ้าปากกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ด้วยท่าทีที่จริงจังของผมนั้น กลับทำให้ต้องหุบปากและเดินออกจากบ้านหลังนั้นโดยดี
“อีน้องเลว อีน้องชั่ว “ แม่เริ่มอาละว่ดอีกครั้งหลังจากที่อาเดินออกไป พร้อมกันนั้นเองพ่อผมก็กลับมาจากทำงาน
“มันมาทำไมคุณ” พ่อหมายถึงอาผม
“ยังจะมาถาม มันก็มาทวงบ้านกับร้านนะสิ เพราะคุณคนเดียว คุณมันโง่ คุณมันไม่ได้เรื่อง” แม่พาลพุ่งเข้าไปตบตีพ่ออย่างกับคนเสียสติ
“โอ้ย นี่คุณเป็นบ้าอะไร หยุดนะ บอกให้หยุด” พ่อตวาดลั่น “ก็ไม่เพราะคุณหรอกเหรอที่ยอมไปเอาเงินก้อนนั่นมา คุณนั่นแหละโง่ โง่จนโดนน้องตัวเองหลอก”
“อร้ายยยยยยยย นี่คุณกล้าด่าชั้นเหรอ”
“ก็เอออสิวะ................”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“ผมเดินออกมาเงียบๆ ในใจปวดร้าวกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ทำไมพี่น้องต้องมาทะเลาะกันเพราะเรื่องสมบัติ ทำไมสามีภรรยาต้องสาปแช่งกันด้วยเรื่องเงิน ลูกๆต้องฆ่ากันตายเพราะเรื่องบ้าๆนี่
ผมเบื่อกับสิ่งที่เห็นเต็มทน
แต่บ้านหลังนี้ไม่มีที่ไหนให้ผมไป
ไม่มีที่ไหน นอกจาก.......................
.
.
.
.
.
.
ประตูเรือนหลังนั้นถูกเปิดออกอีกครั้ง บัดนี้ มันกลายเป็นที่ลี้ภัยสำหรับผม ผมเบื่อกับครอบครัวที่แสร้งว่านี้เต็มทนแล้ว หากหนูวาดรู้ว่าลูกหลานเป็นแบบนี้ เธอจะช้ำใจแค่ไหน
“กูไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว” ผมพูดก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งพิงผนังที่เดิม ขวามือของผมเป็นนาฬิกาลูกตุ้มโบราณ
“พาผมไปจากที่นี่เถอะ”
“ผมไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว
“ได้โปรดเถอะ”
แสงแดดยามเย็นส่องลอดผ่านช่อไม้ของเรือนเข้ามา กระทบกับฝุ่นในเรือนเห็นเป็นลำแสง ผมยังคงนั่งรำพันถึงความคับแค้นใจ ตัวผมสั่นเทา ผมอยากกรีดร้องออกมาดังๆ แต่ทำไม่ได้ มือทั้งคู่ปัดป่ายไปมาจนไปโดนลูกตุ้มที่เคยหยุดนิ่ง มันแกว่งไกวอีกครั้ง
“พาผมไปจากที่นี่”
“ได้โปรดเถอะ ผมไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว”
“พาผมไปเสียทีเถอะ”
“พาผมปะ................”
เสียงพื้นเรือนดังเอี๊ยดอ๊าด ก่อนจะค่อยขยับไปมาช้าๆ มันแกว่งไปมาตามลูกตุ้ม ผมรู้สึกถึงความผิดปกตินี้ได้ แต่ด้วยความคับแค้นใจ ผมยังคงพร่ามพูดคำเดิมๆออกมาไม่ยอมหยุด
“ครืน” เสียงตัวเรือนลั่นอย่างแรง ตามมาด้วยพื้นที่โยกแรงขึ้นแรงขึ้น จนทำให้ผมตกใจ หยุดพูด ของในเรือนเริ่มแกว่งไปมาก่อนจะหล่นลงมา รูปภาพ จานชาม ข้าวของ หล่นลงเกลื่อนกลาดเหมือนตอนแรกที่มันเคยเป็น ผมมองไปรอบๆด้วยอาการหวาดผวา
“ปัง!!!” หนังสือเล่มเดิมหล่นลงมา
เผยให้เห็นเศษกระดาษสีซีดๆแผ่นเดิม
“ตูม!!!” และแล้วเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวก็ดังขึ้น ผมรู้สึกเหมือนตัวเองตกลงมาจากตึกสิบชั้น มันเสียวในท้องจนต้องหลับตา ความรู้สึกต่อมาคือร่างของผมกระแทกเข้าอย่างแรงกับอะไรบางอย่าง
อะไรบางอย่างที่เย็น เปียก และทำให้ผมหายใจไม่ออก
“นี่มัน.................น้ำนี่หว่า!!!”
-
จิ้มมมมมม
^
^
^
อ่ะๆ กลับมาเเล้วๆ > [ ] <!
ดีใจๆ เย้ๆ ทั้งมาต่อเเล้ว ทั้งที่อัชย์กลับไปในอดีต
ถ้าทุกข์ใจนัก ก็พักเสียนะ^^ กลับมาพักที่อกหมอปีย์นี่มา
-
เย้ :mc4: :mc4: :mc4:
มาต่อแล้ว
กลับไปหาหมอปีย์เร็วๆเหอะ
คิดถึงหมอปีย์
-
กลับได้แล้วใช่ไหม
-
กรี๊ดดดดดดดดดดดดด :sad4:
อยากอ่านต่อค่าาาาาาาาา :serius2: :serius2: :serius2:
-
หวังว่าเรื่องนี้จะไม่เศร้านะครับ
o13 o22
-
ลุ่นค่ะว่าจะย้อนกลับไปในอดีตหรือเปล่า
-
น้องของแม่เรียกว่าน้านะจ๊ะ ไม่ใช่อา อาเป็นน้องของพ่อ
-
ตัดฉับที่ฉากนี้ แอบใจร้ายนะนี่ :sad4:
คุณหมอคะ พ่ออัชย์กำลังกลับไปหานะคะ
-
:laugh:
กลับมาแล้ว กลับมาแล้ว
อยากอ่านต่อ กำลังเข้มข้น
-
o13
เมามันอย่างต่อเนื่อง
แต่เรื่องนี้พูดถึงอาหารทีไร หิวทุกทีเลย T^T
-
:กอด1:ขอบคุณค่ะ
สนุกมากๆ
-
หุหุ
กลับไปหาไอ้แดงแล้ว อิอิิ
-
เฝ้าติดตามเป็นละครหลังข่าว
ช่วงศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เลย
ว่าแต่สมัยนู้นนน เค้ามีวิธีผายปอดแบบไหน
เวลาคนจมน้ำ...หมอปีย์ช่วยไขข้อข้องใจหน่อยขอรับ :z2:
-
๑๓๙ + ๑ = ๑๔๐
ขอบคุณนะคะ คุณ เซ็งเป็ด
-
หลีกหนีความละโมบ โลภมาก ของผู้คน
กลับสู่กาลเวลาแห่งอดีต กลับไปหา หมอปีย์ :z2:
+1 เป็นกำลังใจให้เสมอ ๆ นะครับ เซ็งเป็ด :z1:
-
จะกลับไปหาคถณหมอแล้ววววววววววววววว
-
ได้กลับแล้วสักทีๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
-
กลับมาเเล้วชัวร์ 55.
รีบมาต่อะนะคะ เรื่องนี้สนุกมากก
-
อัชย์ย้อนอดีตกลับมาคราวนี้
จะเป็นอย่างไร ความสัมพันธ์กับหมอปีย์ จะเป็นฉันใด อยากรู้จัง
-
ตามพี่แก้วมาติดๆ
เย้... กลับมาแล้ว
กลับมารอบนี้คุณปอก็มาเทรนสูตรและตำราอาหารไทยทั้งหมดเลยนะครับ เอาให้เก่งๆเลย
จะได้กลับไปกอบกู้ร้านเรา เอาเมนูอาหารไทยโบราณเก่าๆที่หากินไม่ได้แ้ล้วในปัจจุบันอ่ะ
รับรองขายดีแน่ๆครับ อย่าง แกงรัญจวน แกงนอกหม้อ ผัดสามเหม็น อะไรประมาณนี้อ่ะ
น่าจะขายดีนา o13
-
เย้ ปอกลับไปได้แล้ว คนทางนู้นเค้าจะว่ายังไงน้อถ้าปอกลับไป
-
กลับไปอดีตแล้วใช่ไหมขอรับ :man1:
-
จะกลับไปอดีตอีกแล้วใช่มั้ยยยยยยยยย
-
กลับไปป่วนอีกแล้ววววววววว เงียบหูไม่ทันไร จะกลับไปป่้วนอีกแล้ว :z2:
-
ไปแล้วววววว~!!!! o13
รอตอนต่อไปค่ะ 555+ หมอปรีย์--- :-[
-
เหมือนจะเศร้าเอามาก
-
อัพเพิ่ม บทที่๑๔ สายน้ำที่ไหลย้อนกลับ
ทันทีที่ร่างของผมสัมผัสได้ถึงน้ำ ผมรู้สึกเย็นวาบที่ใบหน้า ลามมาถึงหลัง น่าแปลกที่ผมรู้สึกเหมือนวูบตกลงมาจากที่สูง แทนที่จะรู้สึกกระแทกกับพื้นน้ำ แต่เปล่าเลย ผมรู้สึกเหมือนน้ำถาโถมมาทับร่างผมจากเบื้องบน
พูดง่ายๆอีกทีก็เหมือนผมดีดตัวขึ้นมาจากบาดาลจนร่างลอยเคว้งเกือบถึงผิวน้ำ
“ช่วยด้วย!!!!!!!” ผมกรีดร้องในใจในขณะที่ดิ้นรนทุรนทุรายตะเกียตะกายขึ้นมาจากน้ำ แต่ตอนนั้นมันเกิดขึ้นเร็วมาก ผมตั้งตัวไม่ทัน มือทั้งสองข้างคว้าปัดป่ายไปมาหวังจะได้เจอมือของใครสักคนมาคว้ามือผมแล้วดึงขึ้น
แต่ไม่มีเลย ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะจมน้ำตาย ในหัวไม่มีเวลาให้คิดอะไรมากนักถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รู้เพียงอย่างเดียวว่า ทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองรอด
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยที” ผมคิดในใจ กำลังแรงเริ่มถดถอย
แต่แล้วเหมือนชะตายังไม่ขาด ผมก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังตูม ซ่า!!!! แล้วมือของผมก็คว้าเข้ากับเชือกบางอย่าง ผมจับมันแน่น ก่อนจะกระตุก เมื่อผมกระตุก เชือกนั้นก็กระตุกเช่นกัน ผมจึงกระตุกแรงขึ้นๆ เชือกนั้นก็ดึงร่างผมขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ก่อนจะถึงผิวน้ำเบื้องบน ผมได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า
“เฮ้ย ๆปลาชะโดเว้ย ปลาชะโด ถ้าจะตัวโตโขทีเดียว อ้าวเฮ้ย ไอ้มั่ง ไอ้เหล่ มาช่วยกูดึงเร็วเข้า” สิ้นเสียงนั้น ร่างของผมก็ถูกกระชากขึ้นเหนือน้ำอย่างรวดเร็ว
“เฮือก อ่า “ ผมอ้าปากหายใจเอาออกซิเจนเข้าไปอย่างกระเสือกกระสนทันทีที่หัวโผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำ รู้สึกเลยว่าการตายแล้วเกิดใหม่เป็นอย่างไร มือคว้าแคมเรือไว้มั่น ได้ยินเสียงคนบนเรือทั้งสามคนร้องตะโกน
“เวร แล้วสิมึง ศพคนตายๆ” แล้วทั้งสามก็กระโดดหนีลงน้ำด้วยความตกใจ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ร่างของผมถูกชาวบ้านช่วยกันลากขึ้นมาทิ้งไว้บนศาลา คำแรกที่ผมบอกพวกเขาก็คือ
“หมอปีย์”
แค่สองคำเท่านั้น ผมก็ได้มานอนแผ่หราตัวเปียกโชก หายใจหอบแฮ๊กๆราวกับคนเป็นหอบแดดอยู่บนศาลาหน้าเรือนหมอนั่น
“ไอ้ห่าเอ้ย ทำไมทีคนอื่นเดินทะลุกระจกสวยๆ พริ้ว ทีกูนี่กว่าจะผ่านทะลุมิติมาได้ ดูที่ที่มาสิ ล่อเอาเกือบตาย” ผมบ่นในใจ
ก็มันจริงมั๊ยหล่ะ แทนที่จะโผล่ดีๆแบบแม่มณี นี่อะไรมาโผล่กลางแม่น้ำ นี่ถ้าว่ายน้ำไม่เป็นมีหวังสามวันอืด ใครจะรับผิดชอบ
“เจ้าบ้า เจ้าบ้ากลับมาแล้ว เจ้าบ้า” เสียงทาศในเรือนหมอปีย์ต่างวิ่งเข้ามารุมล้อมที่ร่างผม
“ชั้นหายไปกี่วัน” ผมถาม
“สามวันพอดี พวกข้าคิดว่าเอ็งจมน้ำตายเสียแล้ว หลวงพินิจท่านเกณฑ์ไพร่พลทั้งเรือน ลงงมหาเอ็ง แต่ไม่มีวี่แวว” เสียงนางทาศคนหนึ่งบอก
“แต่จู่ๆเอ็งกลับโผล่ขึ้นมาที่เดิมที่เอ็งจมน้ำหายไป เอ็งต้องหาใช่คนปกติเยี่ยงพวกข้าไม่ บอกข้าทีเถิดว่าเอ็งเป็น เทวดา พรายน้ำ พญานาค หรือพวกผีเปรต”
“จะบ้าเร๊อะ เป็นอะไรบ้าบอ ชั้นเป็นคนเหมือนพวกนายนี่แหละ บ้ารึป่าวหาว่ากูเป็นผีเปรต” ผมลุกขึ้นนั่ง มองไปรอบๆตัวอีกครั้ง ไม่ผิดแน่ ผมกลับมาที่นี่อีกครั้งไม่ผิดแน่ บ้านหมอปีย์ ต้นพิกุล ต้นจำปา เรือนครัว เรือนคุณชั้น ทั้งหมดนี่มัน..............
ผมเผลอยิ้มมุมปากออกมาอย่างลืมตัว
“ทางนี้ขอรับ ทางนี้ เจ้าบ้ามันกลับมาแล้วขอรับ จู่ๆ พวกไอ้มั่งไอเหล่ บางกระนู้นก็หิ้วมันมาส่งที่ท่าน้ำ มันบอกว่าเหวี่ยงแหไปเจอเจ้าบ้าตรงที่ที่มันจมน้ำ น่าอัศจจรย์ใจยิ่งนักขอรับ ท่าทางเจ้าบ้านี่จะมิใช่มนุษย์ธรรมดาเสียแล้วขอรับ” เสียงบ่าวผู้ชายรายงาน
“ไอ้พวกนี้นี่เห็นกูเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ไปได้” ผมบ่นก่อนจะหันไปมอง และเห็นภาพหมอปีย์กำลังเดินตรงเข้ามาหาผมด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่ดวงตานั้นอิดโรย
เขาเดินมายืนที่หน้าศาลาริมน้ำ มือไขว่ห้าง มองผมด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถามมากมาย
“เกิดอะไรขึ้น”
“หายไปไหนมา”
“เป็นอย่างไรบ้าง”
“กลับมาได้อย่างไร”
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้”
คำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่ผมเดาเอาว่า เขาคิดจะถาม ผมตั้งท่ารอเตรียมตอบคำถามที่ควรจะยิงออกมาจากปากหมอปีย์เป็นชุด
เขาอ้าปาก
“กลับขึ้นห้องของเจ้าไปเสีย”
จบ!!!
แค่นี้
ต้องการพูดแค่นี้เองเหรอ
นี่กูหายไปสามวันเต็มๆในแม่น้ำสายนี้ มึงพูดได้แค่นี้เองเหรอ
เขาไม่พูดอะไรหลังจากนั้น หน้าผมเขายังทำเหมือนไม่อยากจะมอง ผมนั่งรอให้เขาพูดอะไรมากกว่านี้ แต่ไม่มีวี่แวว คนอะไรช่างใจดำได้ขนาดนี้ นี่ถ้าผมตายไปเขาก็คงไม่รู้ว่าผมตาย
ผมพยายามจะมองลึกเข้าไปภายในดวงตาคู่โรยคู่นั้น แต่เขาหลบตาก่อนจะเดินหันหลัง
“นี่” ผมเรียก พลางลุกขึ้นเดินตามหมอนั่นไปติดๆ บ่าวไพร่แตกกระเจิง
“ไม่คิดจะถามชั้นเลยเหรอว่าหายไปไหนมา ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน หรือไปสัมมะนาดูงาน ไปเข้าค่ายลูกเสือหรืออะทำนองนี้ ไม่สนใจเลยเหรอ”
“.........................” เงียบ
“แล้วนี่ชั้นกลับมาได้นี่ไม่คิดจะดีใจ เอาพวงมาลัยมาต้อนรับกันหน่อยเหรอ”
“..............................”
“โธ่ใจดำว่ะ”
“.................................”
ผมเงียบไปครู่หนึ่ง เดินตามหลังหมอนั่นไปเงียบๆ
“นี่ชั้นจมน้ำหายไปทั้งคน ใจคอนายจะไม่ตกอกตกใจอะไรเลยเหรอ”
“...........................”
“แต่ก็นะ ชั้นมันเป็นใคร เป็นแค่คนอาศัยจรจัดที่แวะเวียนมาขอซุกหัวนอน” ผมเดินตามเขาที่ก้มหน้าก้มตางุดๆเดินขึ้นบ้าน
ภายในบ้านนั้นเงียบผิดปกติ ผมเดินตามหมอนั่นมาจนถึงหน้าห้อง
“เฮ้ย” ผมตวาด “ช่วยพูดอะไรหน่อยได้มั๊ย ไอ้ห่า อย่างเงียบเป็นเป่าสากแบบนี้” อารมณ์ขึ้น
“มึงเงียบแบบนี้ กูจะได้รู้ว่ามึงยังยินดีที่จะให้กูกลับมาพักบ้านหลังนี้อยู่อีกมั๊ย”
หมอนั่นหยุดกึก
“ว่าไง จะให้กูพักบ้านหลังนี้อีกมั๊ย”
“...........................................”
“ถ้าไม่ให้ กูจะได้ไปซะตอน...................”
จู่ๆหมอนั่นก็หันหลังขวับ มาประจันหน้ากับผมระยะประชิด แววตาของเขาแดงก่ำ มีน้ำเอ่อในตา
เขาจ้องมองผม ตัวสั่น มือทั้งสองข้างกำ เขากัดฟันแน่นจนเห็นรอยปูดชัดเจนที่แก้มทั้งสองข้าง
แววตาคู่นั้นทำให้ผมหายใจไม่ออก
ผมจ้องมองเขากลับ กำลังจะอ้าปากพูด
“ว่าไง ตกลงจะ..............”ยังไม่ทันจะพูดจบ หมอนั่นก็คว้าตัวผมเข้าหาร่างเขาอย่างแรง ก่อนจะกอดผมแน่น
ตัวผมแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนี้ หมอนั่นตัวสั่นแรงขึ้น มือทั้งสองข้างบีบหลังผมไว้แน่น ลมหายใจร้อนผ่าวที่ไหลผ่านจมุกของเขา กระทบกับซอกคอของผม เสียงหัวใจของเขาเต้นตึกๆรุนแรงราวกับจะระเบิดออกมา
“อย่าทำเยี่ยงนี้อีก อย่าทำอีก เข้าใจหรือไม่”
-
ขอบคุณนะคะ คุณ เซ็งเป็ด
-
:o12: ตอนซึ้งบีบคั้น หายไปตั้งสามวันหมอปีย์เค้าก็ต้องเศร้าสินายอัชย์ ขอบคุณที่อัพเพิ่มค่ะ :L2:
-
กลับมาแล้ว ว ว ว ว :กอด1:
เมืองกรุงมันลำบากมาอยู่สบายๆอย่างโบราณกันเถอะ
-
ซึ้งสุดๆเลยครับ
ว่าแต่แม่มณีรับเชิญมาตอนเดียวหรือครับ
-
:sad4: ชอบหมอปีย์จัง
-
หมอปีย์ พ่อหนุ่มอ่อนไหว อร๊ายยยยยๆๆๆๆ :-[ :-[ :-[
-
ปากหาเรื่องอีกแล้ว
-
อัชย์กลับมาหาหมอปีย์แล้ว :m1:
-
กลับมาแล้ว...ขอบคุณครับผม... :L2:
-
ค้างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง :sad4:
+1 นะค่ะ อิอิ
-
ความคิดถึง ความห่วงหาอาทร มันอัดอั้นอยู่เต็มอกของหมอปีย์
ตลอดสามวันคงเศร้าใจมากพอดู :กอด1:กอดแน่นๆให้หายคิดถึง
+1 เป็นกำลังใจครับ
-
ผมจะไม่ทำอีกแล้วคับ
-
คาดว่าการที่อัชย์ย้อนเวลากลับมาได้นี่คงไม่ใช่เหตุบังเอิญนะ มีความเป็นไปได้ว่าอัชย์อาจจะมีชีวิตอยู่ในทั้ง 2 โลก ทั้งปัจจุบันและอดีต หนูวาดคงจำอัชย์ได้แน่นอน ถึงได้บังคับให้ตั้งชื่อเหลนชายของตัวเองว่าอัชย์ ต้องบอกว่าหนูวาดมั่นมาก และกำลังสงสัยว่ารูปผู้ชายที่เลือนๆ รางๆ คงไม่ใช่รูปตัวเองที่ถ่ายเมื่อครั้งตอนที่อยู่ในอดีตหรอก หึหึ
แล้วอัชย์จะรู้ไหมนี่ว่าอะไรคือจุดเชื่อมต่อของเวลา ก็เวลาไง หึหึ
-
หมอปีย์ชักยังไงๆแล้วนะ
มีกอดกันด้วย
-
อุ๊ย ย หมอปีย์ทำไรอ่า :-[
-
อ๊างงง หมอปีย์ :-[
ฟังเพลงเราจะข้ามเวลามาพบกันประกอบด้วยนะ ซึ้งมากๆ :monkeysad:
-
อย่างเยี่ยงนี้ได้ไงคะ คุณเป็ด ค้างแบบนี้ก็แย่สิคะ ต่ออีกนะคะ กำลังสนุกนะคะ
-
ค้างค่ะ :z3:
-
โฮ่ๆๆ รอตอนต่อไปค่ะ
หมอปรีย์เริ่มรุกในที่สุด (เอ๊ะ ...หรือรับ? 555+) :impress2:
รอค่อนะคะ~~!!!
-
:เหอะ1:มาต่อเร็วๆนะครับ
-
รอนะคับ
-
อย่าค้างเลย กลับไปนอนบ้านเหอะ
-
โถ! หมอปีย์ คงหลากหลายความรู้สึกที่ประดังมาท่วมท้นใจเลยทีเดียว
นายอัชย์ เป็นไงล่ะทีนี้ พูดจาหาน้ำตาลไม่ได้เลยซักนิด เจอหมอปีย์โหมดนี้ จะว่ายังไง ฮึ
-
สงสารหมอปีย์ :o12:
-
ดันๆ :z2:
-
อ้อมกอดของไอ้หมอบ้านั่นเล่นเอาผมนอนไม่หลับ ทำไมต้องมากอดกันด้วยหว่า
หรือมันจะเพี้ยนไปแล้ว
หรือว่าจะเหงาหู
เอหรือว่า...........มันจะ..................
"เพี๊ยะ" ผมตบหน้าตัวเองอย่างแรงเรียกสติ "บ้าเหรอ คิดอะไรบ้าๆ"
"เอ เพื่อนกันกอดกันก็ไม่เห็นจะแปลกนี่นะ"
"แต่ทำไมต้องทำซึ้ง ดราม่าด้วยอ่ะ ไม่เข้าใจ"
"แหม จะไปเข้าใจเขาได้ไง เขาไม่ใช่คนยุคเราซะหน่อย"
"เออเน๊อะ แล้วไอ้ที่บอกว่า อย่าทำอย่างนั้นอีก อ่ะ หมายความว่าไง"
"ก็คงหมายความว่า..........อย่าไปจมน้ำอย่างนั้นอีกมั้ง"
"จะบ้าเหรอ ใครมันจะไปจมน้ำบ่อยๆ ไม่ได้ตั้งใจซะหน่อย"
"หรือไม่ก็คงจะหมายถึง อย่าไปเล่นแถวท่าน้ำอีกมั้ง"
"กูไม่ใช่เด็ก"
"ไม่รู้เว้ย ไปถามมันเอาเองสิ"
"ไม่เอาอ่ะ ไปถามให้หน่อยสิ"
"มึงจะบ้าเหรอ มึงไปถามกับกูไปถามก็เหมือนกันนั่นแหละ ก็กูกับมึงก็คนเดียวกัน ห่า"
ผมนอนพูดเพ้อเจ้ออยู่คนเดียวเหมือนคนบ้า คิดไม่ตกในสิ่งที่หมอนั่นพูดและทำ
เมื่อปัญหาและคำตอบไม่ตกตะกอน ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะมานอนพูดกับตัวเอง.................
กับข้าวเย็นวันนั้นเต็มไปด้วยอาหารหน้าตาแปลกประหลาด ที่ถูกจัดมาอย่างดี
ทั้งล่าเตียงที่เป็นอาหารที่มีความงดงามปราณีตอย่างยิ่ง
หมูและกุ้งถูกปรุงรสมาอย่างกลมกล่อม ห่อด้วยไข่เป็ดที่ทำเป็นตาข่ายสวยงาม กินกับน้ำจิ้มรสเด็ด นับว่าเป็นอาหารว่างหรือออร์เดิร์ฟที่รสชาติเยี่ยมจริงๆ
อีกจานเป็นพระรามลงสรง ที่คนที่ชอบกินแกงต้องลืมจานนี้ไม่ลง ผมถามหมอปีย์ว่ามันคืออะไรเพราะหน้าตาแปลกๆ หมอนั่นก็อธิบายให้ฟังเสียยืดยาวว่า
"พระรามลงสรงเป็นอาหารที่ทำมาจากเนื้อวัว นำมาลวก จากนั้นราดด้วยแกงที่เคี่ยวจนข้นกับกะทิ ทานคู่กับผักบุ้งจีนลวก และข้าวสวยร้อนๆอร่อยอย่าบอกใครเชียว"
จานต่อมาที่อยู่ในถ้วยเครื่องลายครามงดงามนั้น ผมเปิดฝาออกมาก็ได้กลิ่นหอมของอาหารชนิดนั้นจนต้องกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ นั่นก็คือแกงจืดลูกรอกที่หากินได้ยากแล้วในสมัยผม
ไส้หมูที่ถูกกรอกด้วยไข่ไก่จนเต็มก่อนจะเอามาต้ม แล้วตัดเป็นท่อนๆ ไม่มีความเหนียวและกลิ่นสาบเลย อีกทั้งหมูสับที่ทรงเครื่องมาแล้วหอมกลิ่นกระเทียมและพริกไทยดำ
"เฮ้ย วันนี้เป็นไร จัดมาซะเต็ม" ผมถามก่อนจะกลืนน้ำลาย
"เรามิได้จัดสำรับวันนี้เองดอก" หมอปีย์ตอบ "เรือนคุณชั้นเธอทำมาให้ พอรู้ว่าเจ้ากลับมา เธอก็ให้บ่าวไพร่หอบสำรับอาหารมาเสียเต็มกระบวน"
"หอบมาให้ชั้นนี่นะ" ผมแสดงสีหน้าไม่เข้าใจ
"ก็ใช่นะสิ เธอคงอยากจะแสดงความขอบใจ ที่เจ้าช่วยหนูวาดไว้ในวันนั้น"
"อ๋อ" ผมร้องอ๋อ ก่อนจะเร่งให้บ่าวรีบตักข้าว เพราะผมอดทนต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว
"ถ้ามิใช่เพราะเจ้า เราก็คงไม่มีหวังจะได้รับทานอาหารรสชาติเลิศเหล่านี้เป็นแน่" หมอปีย์กระเซ้า
"แหม ไม่ต้องชมกันขนาดนั้นหรอก ชั้นก็แค่ ไปเสี่ยงตายมาเท่านั้น นายมีหน้าที่กินอย่างเดียวก็กินไปเถอะนะ"
กับข้าวมื้อนั้นเป็นกับข้าวที่อร่อยที่สุดตั้งแต่ผมมาอยู่ที่นี่ รสชาติของแกงจืดนั้นทำให้ผมคิดถึงฝีมือของหนูวาดยายทวดผม จำได้ว่าตอนเด็กๆ หนูวาด
มักจะต้มแกงจืดแบบนี้ก่อนจะเทใส่ชามข้าวจนแฉะและป้อนให้ผมกินเป็นประจำ
"ลองชิมนี่หน่อยเถิด รสละมุนลิ้นดีเชียว" หมอปีย์ตักพระรามลงสรงใส่จานให้ผม
"ไม่ต้อง ชั้นตักเอง อายเขา" ผมดุ เพราะบ่าวไพร่นั่งมองกันอยู่เต็ม
"เจ้าจะอายไปใย แค่ตักอาหารให้"
"ไม่ได้ มันไม่ดีเว้ย ชั้นเป็นผู้ชายนะ"
"เจ้านี่ ประหลาดดีแท้"
ผมตักเนื้อวัวลวกที่ราดด้วยน้ำแกงข้นๆมันๆใส่ปาก ทันทีที่แตะปลายลิ้น ผมแทบจะลงไปดิ้นกับพื้น รสชาติมันอย่างละมุนกลมกลล่อม และซับซ้อนจริงๆ
เนื้อวัวที่นุ่ม ไม่มีกลิ่นสาปแม้แต่น้อย อีกทั้งเครื่องแกงที่หอม ข้น รสชาติกำลังดี ยิ่งทานกับผักบุ้งจีนลวกนั้น ยิ่งอร่อยอย่าบอกใคร
"นาย!!!!!!!" ผมร้อง "แม่งอร่อยว่ะ"
(http://image.ohozaa.com/i/705/7food.jpg)
เราสองคนเอร็ดอร่อยกับอาหารมื้อนั้นเป็นพิเศษ ผมนั้นสั่งเบิ้ลข้าวอีกสองจาน ส่วนหมอปีย์นั้น ไม่ต้องพูดถึง เรียกได้ว่าต้องเรียกให้บ่าวไปเอาข้าวจากเรือนทาศมาเพิ่มอย่างเร่งด่วนเพราะไม่พอ
บ่าวไพร่พากันแปลกใจที่เราสองคนต่างเจริญอาหารเป็นพิเศษ
"พรุ่งนี้คุณชั้นจะมาเยี่ยมเจ้า" หมอปีย์บอกเมื่อทุกอย่างในจานถูกกวาดเรียบ
"เหรอ"
.
.
.
.
.
.
.
.
.
-
"เราถามเจ้าจริงๆเถิด เจ้าหายไปไหนมา"
หมอปีย์ถาม
กลิ่นหอมของดอกราตรีโชยมาตามสายลมยามค่ำคืน แสงไฟจากตะเกียงเจ้าพายุที่ถูกจุดไว้รอบบ้าน ให้แสงละมุนตาและสบายตามากกว่าแสงไฟนีออกเป็นไหนๆ
ผมขยับลุกขึ้นยืน โน้มตัวลงพาดแขนกับระเบียง มองออกไปสุดสายตาในความมืด
ในหัวของผมคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ความรู้สึกที่เหมือนกำลังดำดิ่งสู่ความตาย ทุรนทุราย และสิ้นหวังนั้น ทำให้ผม แทบไม่อยากจะข้ามภพข้ามเวลาอีกเลย
"ถ้าชั้นบอกนายแล้วนายจะเชื่อเหรอ ก็นายเคยหาว่าชั้นบ้ามาแล้วไม่ใช่เหรอ" ผมพูด
"บอกเรามาเถิด เราจักเชื่อทุกคำที่เจ้าพูด ขอเพียงให้คำพูดเหล่านั้นออกมาจากใจจริงของเจ้า"
"ชั้นกลับบ้านมา" ผมตอบสั้นๆ
"บ้านรึ เจ้ากลับบ้านมารึ" แววตาสนเท่ห์นั้นส่งผ่านมายังผม เมื่อวาวตานั้นสะท้อนกับแสงตะเกียงมันส่องประกายระยิบระยับ
"ใช่กลับบ้านมา บ้านที่ชั้นเคยเล่าให้นายฟัง บ้านที่มีรถไฟลอยฟ้า ผู้คนเดินทางราวกับเหาะ บ้านที่มีบ้านเรือนสูงเถือบถึงก้อนเมฆก้อนนู้น" ผมชี้
"แล้วบ้านที่เจ้าว่า มันอยู่ไหนรึ"
"อยู่ที่นี่นี่แหละ........................." หมอปีย์ทำหน้างง
"เห็นมั๊ยหล่ะ ว่านายไม่เชื่อชั้นหรอก โธ่" ผมก้มลงมองโอ่งน้ำข้างล่างที่สะท้อนเงาตัวเอง
"เอาเถิด ไม่ว่าสิ่งที่เจ้าพูดจักเป็นจริงหรือไม่ ไม่สำคัญดอก ที่สำคัญสำหรับเราตอนนี้คือ อย่าทำเยี่ยงนั้นอีก"
เอาแล้วเว้ย เข้าเรื่องแล้วเว้ย ผมหาโอกาสว่าจะถามอยู่แล้วเชียวไอ้เรื่องอย่าทำแบบนั้นอีกน่ะ มันคืออะไร
"หมายความว่ายังไง อย่าทำแบบนั้นอีก" ผมถาม
"........................................."
"ว่าไง"
เขาละล่ำละลักอยู่พักใหญ่ ไม่มีทีท่าว่าจะตอบ
"หึ ว่าไง อย่าทำแบบนั้นอีกอ่ะ คืออะไร"
"........................................"
"ถ้าไม่ตอบไปนอนแล้วนะเว้ย ง่วง ว่ายน้ำมาทั้งวัน"
"อย่าทิ้งเราไปเยี่ยงนั้นอีก..................."
จู่ๆลมก็พัดแรงขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล สายลมนั้นทำให้ผมตัวสั่นและขนลุก แต่เมื่อมันพัดผ่านไป ผมก็กลับพบว่า........มันก็แค่สายลม
"ทำไม จะทิ้งไม่ได้ ไม่ได้เป็นอะไรกันเสียหน่อย ชั้นมาชั้นก็ไม่ได้บอก จะไปก็ไม่เห็นจำเป็นต้องบอกนี่นา"
"อย่าทำร้ายจิตใจกันเยี่ยงนี้เลย พ่ออัชย์ เจ้าไม่รู้ดอกว่าเราทรมานแค่ไหนกับสิ่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้"
หมอปีย์พูด คำพูดนั้นทำให้ผมยิ่งไม่เข้าใจไปใหญ่ ว่ามันหมายถึงอะไรกันแน่
"เจ้ารู้หรือไม่ว่าการมีชีวิตอยู่เหมือนกับจักต้องรอใครสักคนอยู่ตลอดเวลา โดยที่ไม่รู้ว่าเขาผู้นั้นเป็นใคร มันทรมานแค่ไหน............."
ผมไม่ตอบอะไร
"เราเคยเกลียดตัวเองเปนยิ่งนักที่จักต้องฝันถึงชายแปลกหน้าที่มีใบหน้าเลือนลางทุกคำคืน เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่เขาจักปรากฏตัว เราไม่รู้ว่าทำกรรมอันใดกับชายผู้นั้น กรรมนั้นจะเป็นกรรมดีหหรือเลว หรือเราต้องชดใช้อันใดหรือไม่เราไม่รู้เลย............."
"จนกระทั่งเจ้าปรากฏตัว เราถึงได้รู้ว่า ชายแปลกหน้าในฝันนั้นคือเจ้า และวันที่เจ้าหายไปนั้นเอง ก็ทำให้เรารู้ว่า กรรมอันใดแน่ที่เราจักต้องชดใช้เจ้า"
"พูดอะไรของนายอ่ะ......." ผมงง หรือแกล้งงงก็ไม่รู้ รู้เพียงแต่ว่าคำพูดที่พรั่งพรูมาจากปากของหมอปีย์นั้นทำให้ผมร้อนไปทั้งตัว
"รอให้เราแน่ใจตัวเองเสียก่อนเถิด พ่ออัชย์ แล้วเราจะบอกเจ้า ว่า กรรมอันใดที่จักต้องชดใช้เจ้า................"
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
-
> [ ] <!! อ๊ากกกกก กรรมอันใดกัน กรรมรักรึเจ้าค่ะ?
อิฉันล่ะค้างคาใจเสียจริง
บวกคะเเนนให้หนึ่ง เเล้วขอเผ่นไปก่อนล่ะเจ้าค่ะ!
-
เช้าวันรุ่งขึ้นผมค่อยๆลืมตาขึ้นมา กลัวภาพที่เห็นจะไม่ใช่สิ่งที่หวัง แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาและพบว่าในห้องมีเพียงแค่โต๊ะไม้เก่าๆ ตู้เสื้อผ้า และตะเกียงผมก็ค่อยเผลอยิ้มออกมา
เมื่อคืนไอ้บ้านั่นเล่นเอาผมนอนไม่หลับทั้งคืน มาหลับเอาเกือบสว่าง ก็มัวแต่คิดเรื่องที่มันพูดนั่นแหละ
ตกลงจะยังไง จะเอายังไง จะอะไรก็ไม่บอก มัวแต่สำบัดสำนวนอยู่นั่น
วัยรุ่นอย่างผมจะสอน จะด่า ว่ากันตรงๆ จะอย่าสำนวน มันไม่เข้าใจ
ผมจัดแจงอาบน้ำแต่งตัว ใส่เสื้อผ้าที่อ่ำจัดแจงมาให้ กางเกงผ้าแพรสีน้ำเงินพริ้วๆนั่นใส่สบายก็จริง แต่เมื่อไม่มีกางเกงใน ก็ทำให้ผมหายใจหายคอไม่ค่อยจะคล่องกลัวมันโทงเทงๆ เคยแอบมองของหมอปีย์บ่อยๆ ก็เห็นมันโทงเทงบ้างแต่เจ้าตัวไม่เคยสนใจ ผมก็เลยพาลคิดว่า ที่นี่เรื่องนี้คงไม่สำคัญเท่าไหร่เมื่อเทียบกับการมีฟันดำหรอกมั้ง
หมอปีย์หายไปไหนตั้งแต่เช้าก็ไม่รู้ ผมเดินตามหาทั่วบ้าน เพียงเพราะแค่อยากถามว่า คุณชั้นจะมาเมื่อไหร่แค่นั้นเอง เพราะหากมาสายๆผมจะได้ถือโอกาสไปเยี่ยมไอ้แดงมันก่อน
"เจ้าบ้า" เสียงนังอ่ำเรียกตะคอกจนผมสะดุ้ง
"อาราย จะตะคอกทำไมอยู่กันแค่นี้"
"คุณชั้นเรือนกระนู้นมาหาแน่ะ"
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ศาลาริมน้ำนั้นมีภาพหญิงกลางคนแต่งตัวภูมิฐาน นั่งอยู่ ใกล้ๆกันนั้นก็มีเด็กหญิงนั่งแกว่งขาไปมา ผมตื่นเต้นในใจจนบอกไม่ถูก ทุกเก้ามันหนักๆยังไงไม่รู้ ตื่นเต้นที่จะได้พูดกับคุณชั้น ตื่นเต้นที่จะได้คุยกับยายทวด หนูวาด
"สวัสดีครับ" ผมยกมือไหว้ ทั้งคุณชั้น และหนูวาด เล่นเอาเธอตกใจที่ผมยกมือไหว้เด็ก
"เธอจักไหว้เด็กทำไม" คุณชั้นทำเสียงตกใจ ผมยิ้ม
"นั่งก่อนสิ ชั้นมีเรื่องจะคุยด้วยสักประเดี๋ยว"
ผมนั่งลงตรงข้าม มองหนูวาดเต็มตาใกล้ๆ นี่ใช่ยายทวดของเราจริงๆเหรอ ผมอดอมยิ้มในความน่ารักของยายทวดไม่ได้ แก้มที่อิ่มเอิบสีชมพูน่าหยิก จมูกเชิดรั้ร ดงตากลมโตที่แสดงอาการอยากรู้อยากเห็นตลอดเวลา ผมจ้องหน้าเธอด้วยความเอ็นดูอยากจะเข้าไปกอด แต่เธอหลบตาผมตลอดเวลา คงเพราะอายที่ผมจ้องอย่างหนัก
"เรื่องวันนั้น ชั้นขอบใจในความมีน้ำใจของเธอมากนะ ถ้าไม่ได้เธอในวันนั้น หนูวาดหลานสาวชั้นก็คง............"
"ไม่เป็นไรหรอกครับ หนูวาดก็เหมือนญาติผม เอ่อ ผมหมายถึงเธออายุรุ่นราวคราวเดียวกับหลานผมน่ะครับ ผมยินดีช่วย" ผมยิ้ม
"ชั้นขอโทษที่มองเธอผิดไปนะพ่อหนุ่ม .....เออ สำรับอาหารเมื่อวานเป็นเยี่ยงไรบ้างเล่า ถูกปากคนแปลกถิ่นอย่างเธอหรือไม่"
"อร่อยมากครับ ผมจำได้ว่าตอนเด็กๆเคยทานอาหารรสมือแบบนี้แหละครับ" ผมยิ้มอีกครั้งก่อนจะมองไปที่หนูวาด เธอเหลือบตามามองผมหน่อยนึง ก่อนจะหลบสายตาอีกครั้ง
"กระนั้นรึ........"คุณชั้นพูด ก่อนจะลุกขึ้นยืนแสงดอาการว่าถึงเวลาต้องกลับเรือน "เอาเป็นชั้นขอบใจอีกครั้งนะ หากมีเรื่องอันใดที่ชั้นพอจักช่วยได้ ก็ขอให้บอก หากไม่เหนือบ่ากว่าแรง ชั้นก็ยินดี" เธอพูด โดยไม่ยิ้ม
"ชั้นไปก่อนนะ หนูวาด ลาพี่เขาเสียสิ" เธอสั่งให้ยายทวดไหว้ ผม หนูวาดยกมือทำท่าจะไหว้ ผมรีบปรี่ไปจับมือไว้
"ไม่เป็นไหรหรอกครับ ยาย...........เอ่อ หนูวาด ไม่ต้องไหว้ผมหรอก" ผมมองตาเธอ เธอสบตาผมแววตาไม่เข้าใจ แต่ก็ยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน
"เมื่อตอนยายแก่ ผมไม่เคยได้ดูแล ตรงข้ามกลับทำท่ารังเกียจ ตอนนี้ขอโอกาสให้ผมได้แก้ตัว ดูแลยายทวดอีกสักครั้งนะครับ" ผมกระซิบเบาๆที่ข้างหูเธอ
ก่อนจะยืนมองสองคนนั้นคอยๆเดินห่างไป
"หากมีเรื่องให้ช่วย จะยินดีเหรอ" จู่ๆ ผมก็นึกถึงคำพูดของคุณชั้นขึ้นมา มนทำให้ผมนึกถึงอะไรบางอย่าง และโดยที่ไม่ทันยั้งคิด ผมตะโกนเรียกชื่อคุณชั้นขึ้นมา
"คุณชั้นครับ"
เธอหันมาทำสีหน้างงงวย
"คุณชั้นบอกว่าหากผมมีเรื่องให้ช่วยคุณชั้นยินดีจะช่วยใช่ไหมครับ"
เธอพยักหน้า
"ถ้าอย่างนั้น........................." ผมสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะแสยะยิ้มเห็นฟันเกือบครบ 32 ซี่
"คุณชั้นช่วยสอนผมทำอาหารไทยได้ไหมครับ"
..............
....................
-
ยังไม่รู้ตัวนะนายเอกเรา
ตอนนี้อ่านแล้วหิว :serius2:
จะได้เรียนทำอาหารแล้ว
+1
-
อ่านแล้ว บอกได้คำเดียวค่ะว่า
หิวววววววววววววววววววววววววววววววว!!!!!!!!!!! ค่าาาาาา :sad4: :sad4: :sad4:
-
:mc4: :mc4: :mc4:
ปลื้มใจได้อ่านต่อแล้ว
อย่าหายไปนานเยี่ยงนี้อีกนะไรเตอร์
เค๊าคิดถึง :sad4:
เข้าใจความรู้สึกหมอปีย์ตอนไรเตอร์หายไปนี่แหละ
เพราะงั้นโป้ง!!!ไรเตอร์
แล้วรอตอนต่อไป
-
หุหุ ยาวมากกกกกกกกก
อ่านสะใจดีค่ะ
อ่านไปหิวไป
หวังว่าคุณชั้นจะสอนทำอาหารให้นะคะ
แล้วอัชย์จะได้นำวิชาความรู้ไปแก้สถานการณ์ร้านอาหารในปัจจุบัน
-
กราบขอบพระคุณคับ
------555--------
-
อารมณ์คนสมัยก่อนนี่ ช่างละมุนละม่อมจริง ๆ เลย
-
:L1:
-
อ่านตอนนี้แล้วหิวเลยอิอิ
นายเอกเราจะเรียนทำอาหารแล้ว
แล้วกรรมอะไรน้อที่หมอต้องชดใช้ให้นายเอกเรา
-
กลับมาคราวนี้ อยู่ให้นานๆนะ สงสารหมอปีย์
หมั่นจำเคล็ดลับสูตรเด็ดอาหารจากคุณชั้น ให้ได้สิ้นทุกกระบวนความนะ
เพลาที่อัชย์ออกเรือนไป จักได้ไว้ใช้ปรนนิบัติหมอปีย์ :o8:
-
จะทำอาหารให้หมอปีย์เหรอคะ
แหมๆๆๆ
-
โอ้ย สนุกไม่ไหวแล้วค่ะ>___<!!!
ชอบคุณหลวงมาก จริงจังกับชีวิตดี พอคู่กับเจ้าบ้า(เรียกตามมั่ง)แล้ว มันดูเหมาะสมกันอย่างบอกไม่ถูก 555
-
o13
พ่ออัชย์ เจ้าแกล้งไม่เข้าใจอย่างนั้นรึ
-
อ่านไป พยาธิทำงานไปเลย
อยากกินบ้างอ่ะ
-
เรื่องสนุกมาก ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ได้บรรยากาศแบบโบราณ ผสม วัยรุ่นสมัยนี้
-
:laugh:
อ่านเสร็จแล้วหิวเลย มีรูปอาหารมายั่วน้ำลายอีกต่างหาก
อาหารแต่ละอย่าง สารภาพตรงๆ ว่าไม่เคยกินของจริงซักที เคยได้ยินแต่ชื่อ
แอบอิจฉาพ่ออัชย์ มีหมอหนุ่มหน้าตาดี มาฝันถึงเสียด้วย
เลยกลายเป็น "นายในฝัน" ไปเลย55555
-
• หมูและกุ้งถูกปรุงรสมาอย่างกลมกล่อม ห่อด้วยไข่เป็ดที่ทำเป็นตาข่ายสวยงาม กินกับน้ำจิ้มรสเด็ด
วั้ย เป็นอาจาดฤๅมิใช่คะ
(http://image.ohozaa.com/i/de7/pickledcucumberdip001.jpg)
• เคยแอบมองของหมอปีย์บ่อยๆ ก็เห็นมันโทงเทงบ้าง
ต๊าย แอบเป็น voyeurist อิอิ
๑๕๒ + ๑ = ๑๕๓
ขอบคุณนะคะ คุณ เซ็งเป็ด
-
เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น มันเกิดขึ้นวนมาวนไปเรื่อยๆหรือคะ
สุดท้ายแล้วคงไม่ได้กลับไปสานต่อร้านอาหาร แล้วทิ้งคุณหมอไว้เพียงลำพังนะ :a5:
-
ไอชอบตอนตั้งแต่ตอนย้อนกลับมามากเลยค๊าาาาา :m3:
คุณหมอปีย์แอบบอกความในใจแล้วซิ คึคึ แต่พ่อครัวอัชย์ปากดีของเราก็ยังมึนไม่รู้เรื่อง โฮะๆๆๆ :eiei1:
ไออ่านตอนกินทีล่ะรู้สึกเหมือนจะได้กลิ่นอาหารลอยออกมาจากหน้าจอคอมทู๊กกกกกที แบบว่าน้ำลายจะไหล หิวจังเนาะ ฮ่าๆๆๆ :laugh:
ในที่สุดอัชย์ของเราก็จะได้เห็นการเป็นพ่อครัวจริงๆจังๆแล้วมั้ง ^^
เออ..แล้วงานแปลภาษาที่หมอปีย์เคยบอกว่าอัชย์จะให้ช่วยอ่ะ? :m28:
-
อาหราแต่ละอย่าง น่าทานทั้งนั้นเลยย
-
หมอปีย์น่ารักสุดๆ
-
กรี๊ดดดดดดดดดดด เชฟอัชย์!!!!! เริ่ดมากค่าาา เรียนทำอาหารไทยในที่สุดเอาไว้ทำให้หมอปียร์ทานนะคะ
คุณหมอก็ได้ใจสุดๆ :impress2:
-
คุณหมอเจ้าค่ะคุณหมอคิดออกเร็วๆ นะค่ะ ว่ากรรมนั้นคืออะไร :laugh: :laugh:
-
สงสัยนายเอกเราไม่ชอบอะไรแบบนุ่มนวล ต้องเถื่อน ๆ ถ่อย ๆ หน่อย
ประเภท "เชี้ย อัช กรูว่ากรูชอบเมิงว่ะ" แบบนี้หรือเปล่า
-
หมอปีย์ คงต้องถามใจตัวเองให้แน่ก่อนช่ายมั้ยค่ะ ว่าจะเป็น....ดีรึป่าว :really2:
คุณชั้นทำไมดุจัง
เห็นอาหารแล้วอยากกินจัง แต่ละอย่างหากินยากนะเนี่ย
:กอด1: :L2: คุณเซ็งเป็ด
-
บางทีน้องอัชย์ก้ซื่อเกินไป
หมอปีย์พูดขนาดนี้ยังไม่เข้าใจอีกแหน่ะ
-
ดีใจด้วยนะคับ
ที่จะได้เรียนทำอาหารไทยแล้วอ่ะ
แต่กับคนที่เขารักเราอ่ะ
จะทำเยี่ยงไรดี
กรรมหน่อกรรม
-
ล่าเตียงคิดเตียงน้อง นอนเตียงทองทำเมืองบน
ลดหลั่นชั้นชอบกล ยลอยากนิทรคิดแนบนอน
อ่านตอนนี้แล้ว แถมมีภาพอาหารประกอบด้วย เกิดอาการอยากกินขึ้นมาทันที
พระรามลงสรง เคยกินตอนเด็กๆ ปัจจุบันนี้ไม่รู้จะหากินได้ที่ไหน
อืม...คราวนี้อัชย์คงได้ร่ำเรียนและฝึกปรือการทำอาหารไทยตำรับและรสดั้งเดิม
เพื่อกลับไปกอบกู้ร้านอาหารของคุณทวด-คุณยายกลับคืนมาได้กระมัง
แล้ว...แล้ว หมอปีย์ล่ะคะ จะมีโอกาสร่วมเวรร่วมกรรมกับนายอัชย์รึเปล่า
-
หิวข้าวจ๊ะ รอนายอัชย์ทำอาหารไทยได้เรื่องก่อนสินะ อิอิ
-
ล่าเตียงคิดเตียงน้อง นอนเตียงทองทำเมืองบน
ลดหลั่นชั้นชอบกล ยลอยากนิทรคิดแนบนอน
อ่านตอนนี้แล้ว แถมมีภาพอาหารประกอบด้วย เกิดอาการอยากกินขึ้นมาทันที
พระรามลงสรง เคยกินตอนเด็กๆ ปัจจุบันนี้ไม่รู้จะหากินได้ที่ไหน
อืม...คราวนี้อัชย์คงได้ร่ำเรียนและฝึกปรือการทำอาหารไทยตำรับและรสดั้งเดิม
เพื่อกลับไปกอบกู้ร้านอาหารของคุณทวด-คุณยายกลับคืนมาได้กระมัง
แล้ว...แล้ว หมอปีย์ล่ะคะ จะมีโอกาสร่วมเวรร่วมกรรมกับนายอัชย์รึเปล่า
อิอิ ท่าทางพี่แก้วจะอยากกินจริงๆ เดี๋ยวนี้ผมว่าน่าจะมาสักร้านในเยาวราชนะครับ ที่ยังมีขาย
แต่เมื่อสักสองสามปีก่อนผมเห็นมันมีขายอยู่ในฟู้ดเซ็นเตอร์ชั้นสามของ ดิโอลด์สยามพลาซ่านะครับ ใกล้ๆกับวังบูรพา-พาหุรัดน่ะครับพี่ แต่ไม่รู้เค้าเลิกขายไปยังนะ แต่เห็นว่าเจ้านี้เค้าเป็นร้านที่อยู่ในเยาวราชน่ะ
ส่วนล่าเตียงนี่นึกไม่ออกอะครับว่าเค้ากินกับน้ำจิ้มยังไง ไม่รู้ใช่อาจาดรึเปล่า แต่ที่แน่ๆอยากกินมากๆ อิอิ
รู้สึกจะมีขายที่ชั้นล่าง ดิโอลด์สยามพลาซ่า เหมือนกันเลย ไว้ไปกินดีกว่า o13
ตอนหน้านี่สนุกชัวร์ ปูเสื่อรอแล้วนะครับ ไรท์เตอร์
ให้นายอัช เรียนทำอาหารยากๆพวกแกง-ยำโบราณมาหลายๆอย่างเลยก็ดีครับ
-
น่ากินทั้งนั้นเลยอ่ะเนอะ
สมัยนี้หากินไม่ได้เลยมั้งเนี้ย
รอตอนต่อไปนะ
เ็ป็นกำลังใจจ้า
สู้ๆ นะจ้ะ
-
มาแต่ละตอนมีแต่ของน่ากินทั้งนั้นเลย
-
ความในใจที่ปิดบังเอาไว้ เริ่มแย้มออกมาแล้ว
ส่วนเรื่องอาหาร เด็กรุ่นใหม่ ๆ คงงงกับชื่ออีกทั้งคงไม่เคยรู้เลยมากกว่าว่ามีด้วยหรือ
อาหารจำพวกนี้ ( คงไม่รู้มั่วว่าเราเกิดนานแล้ว 555... )
เราไปเห่อวัฒนธรรมเรื่องอาหารของ ฝรั่ง ญี่ปุ่น เกาหลี จนลืมอาหารไทยไปเสียแล้ว :z3:
+1 ให้เป็นกำลังใจ อย่างน้อยก็ทำให้เด็กรุ่นใหม่ ๆ รู้ด้วยว่า อาหารไทยนี่แหละ
อร่อยและพิถี พิถัน ในการทำยิ่งกว่าอาหารใด ๆ ในโลก :m1:
-
"อย่าทิ้งเราไปเยี่ยงนั้นอีก..................." อีชั้นตายไปแล้วกับประโยคนี้ค่ะ :z1:
:o8: :o8: :o8: :o8: :o8:
-
:z3: :z13:
-
อ่าาาาาาา
ขอตามอ่านก่อน ไม่ได้อ่านมา 2 ตอน เห็นชื่อตอนล่าสุดแล้วเตรียมตัวหิว
-
เห็นอาหารแล้วหิวขึ้นมาทันที...
-
ในที่สุดอัชก็กลับมาหาหมอซักที หมอบอกขนาดนั้นไม่เข้าใจหรือไม่ยอมเข้าใจกันแน่หือนายอัช
แอบสงสัยนิดๆผู้ชายรอบๆตัวที่ชอบอัชเป็นหมอทั้งนั้น
แล้วหมอในยุคปัจจุบันที่มาชอบอัชนี่จะมีอะไรเกี่ยวข้องกันหรือเปล่าเหอๆ
ปล.เห็นอาหารแต่ละอย่างแล้วหิวจริงๆน่ากินมาก
-
:call: :call: :call:
ขออย่าให้เรื่องนี้จบ เศร้าเลยเทอญ.........
-
“นี่ นาย ชั้นได้เข้าไปเรียนทำอาหารในบ้านคุณชั้นด้วยนะเว้ย” ผมคุยทันทีที่ได้เจอหน้าหมอปีย์
“กระนั้นรึ” เขาก้มหน้าก้มตาไม่ยอมสบตา
“ก็ช่ายนะเซ่ โชคดีเป็นบ้าเลย ได้เข้าไปที่บ้านหลังนั้นอีกครั้ง บางทีชั้นอาจหาวิธีกลับบ้านได้โดยไม่ต้องทรมาน....แบบนั้นอีก”
“ดูเหมือนเจ้าจะมิอยากจะอยู่เสียที่นี่”
“เออดิ ที่นี่ไม่ใช่บ้านชั้นเสียหน่อย ยังไงชั้นก็ต้องกลับบ้านวันยังค่ำ” ผมว่า ก่อนจะล้างเท้าเดินตามหมอปีย์ขึ้นบ้าน
“เจ้าช่วยตามเรามาในห้องได้หรือไม่ เรามีเรื่องอยากให้เจ้าช่วย”
ห้องสี่เหลี่ยมที่เก็บหนังสือไว้จนแน่นห้อง ทุกซอกทุกมุมมีแต่หนังสือ มีเพียงมุมเล็กๆมุมหนึ่งเท่านั้นที่วางโต๊ะกับเก้าอี้ไว้ บนโต๊ะ มีตะเกียงเจ้าพายุวางอยู่ ข้างๆกันนั้นก็เป็นปากกาขนนก และที่ฝนหมึกวางอยู่ไม่ไกลกัน ผมนั่งบนเก้าอี้ไม้ตรงข้ามเขา การเข้ามาในห้องหนังสือครั้งนี้ ก็คงไม่มีอะไรมาก นอกจากหมอปีย์จะให้ผมช่วยแปลหนังสือทางการแพทย์สมัยใหม่ ที่เป็นภาษาอังกฤษ
“อ่านหน้านี้ แล้วจงบอกเรา ว่าเจ้าเข้าใจว่ายังไง” เขาเปิดหนังสือวางลงตรงหน้าผม หมอปีย์เมื่อใส่แว่นนั้น เขายิ่งกลับดูขึงขัง และเคร่งเครียดกว่าครั้งที่ตอนวิ่งหนีโจรอั้งยี่เป็นไหนๆ
“ ถามจริงๆ เหอะ นายอายุเท่าไหร่กันแน่” ผมถามเมื่อเริ่มไม่แน่ใจว่ามันอายุไล่เลี่ยกับผมจริงหรือเปล่า
“ภาระและความรับผิดชอบทำให้เราเป็นเยี่ยงนี้ ภาระและความรับผิดชอบ ทำให้เจ้าเป็นเยี่ยงนั้น”
ผม.............งงไปพักใหญ่ ว่ามันหมายความว่ายังไง
.
.
.
.
“ห่า มึงด่ากูเหรอ” ผมคิดได้
“ไม่มีใครว่าเจ้าได้นอกจากเจ้าเอง”
เห้อ .............
ผมใช้เวลาขลุกอยู่ในห้องหนังสือเกือบทั้งวัน เฝ้าแต่อ่านบทความของหมอชาวอเมริกัน ที่เขียนเรื่องราวของการเป็นโรคฝีดาษ อาการ และการรักษา รวมทั้งตัวยาที่เป็นภาษาทางการแพทย์
“นี่ ชั้นไม่ได้เรียนหมอมานะเว้ย ชั้นเรียนทำอาหาร”
“เอาเถิด แต่เจ้าก็ช่วยเราได้มากโข อย่างน้อยๆ ก็ช่วยไม่ให้เราเอาหัวมุดเข้าไปในกองตำรานี้ด้วยความเบื่อหน่าย” เขาว่า
“นายเบื่อกับเขาเป็นเหมือนกันเหรอ”
“เราก็คนเหมือนเจ้านะ รู้ไหมว่า ชีวิตเราเปลี่ยนไปตั้งแต่เจ้าเข้ามา” เขามองตาผมลอดผ่านเลนส์แว่นทรงกลมโบราณ แต่ แม่งสำหรับผม โคตรแนวเลยว่ะมึง เหมือนเด็กเนิร์ด
“เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นใช่มั๊ยหล่ะ” ผมหัวเราะ
“เปล่า เลวลง” เขาพูดหน้าตาย ผมหยุดหัวเราะกึก ไม่แน่ใจว่ามันพูดจริงหรือพูดเล่น
“เราล้อเจ้าเล่นน่ะ ดูทำหน้าเข้า” แล้วเขาก็หัวเราะเบาๆไว้เชิง แต่รอยยิ้มจางๆนั้นเองที่ทำให้ผมจ้องมองจนเกือบลืมตัว
“นายไม่เหมาะจะเป็นตลกนะ ไอ้หมอ เพราะว่าไม่มีพรสรรค์เอาเสียเลีย” ผมแบะปาก “เป็นพระเอกมาดขรึม สุขุม นุ่มลึกไปน่ะดีแล้ว ตลกนะ ชั้นรับเล่นเอง” ผมแซว
“เราก็แค่........” หมอปีย์ทำหน้าสลด “อยากให้เจ้าได้หัวเราะบ้างก็เท่านั้นเอง”
โถๆๆ พ่อหมอใจบุญ คำพูดแต่ละคำนี่ชวนให้น่าสงสารเอาเสียจริงๆ ผมยิ้มให้มันไปทีนึงในความพยายามและบอกว่าผมไม่เบื่อหรอก เพราะอ่านๆไปก็เพลินดีเหมือนกัน แต่จริงๆในใจตอนนั้นอยากจะตะโดกนออกมาว่า
“เหี้ย กูเบื่ออออออออออออออออ” นี่ถ้าผมกลับไปสอบเข้าแพทย์ศาสตร์จุฬาฯนี่ ติดแน่ๆ
.
.
.
“หมอ หมอเคยเป็นสังคังมั๊ย” ผมถาม 555 เนื่องจากกำลังอ่านมาถึงบทเชื้อราในที่อับ
“ถามอะไรเยี่ยงนั้น” หน้าแดงๆ
“ก็ชั้นกำลังอ่านมาถึงโรค Tinea Cruris” จริงๆไม่รู้หรอก แต่อ่านโดยรวมเลยเดาได้
“เจ้าหล่ะ” เขาถามกลับ
“อย่ามาเนียนสิวะ ชั้นถามนายก่อน”
“ไม่เคยดอก เราจะเป็นโรคอย่างนั้นได้เยี่ยงไร” เขาตอบเขินๆ นี่กูถามตรงไปรึเปล่า
“เหรอ แน่ใจ๊ ชั้นเคยได้ยินมาว่าบุรุษเพศทุกผู้ทุกตนจะต้องเป็นสังคังก่อนที่จะเข้าสู่วัยหนุ่ม เมื่อย่างเข้าสู่ความเป็นชาย”
“ใครบอกเจ้าเยี่ยงนั้นรึ เราอยู่จะ 30 ปีแล้วมิเคยได้ยิน” เขาทำหน้าสงสัย วางปากกาขนนกลง
“เอ่อ .......” ผมชักไม่แน่ใจ “ ปรมาจารย์ท่านนึงเคยบอกชั้นมา” แล้วใบหน้าของไอ้ยักษ์เพื่อนสมัย ม.ต้นของผมก็ลอยกึ่มๆมา
“ไอ้ห่ายักษ์ หลอกกู” ผมคิด
เช้าวันรุ่งขึ้นผมจัดแจงอาบน้ำแต่งตัวอย่างดี วิ่งไปยื้มน้ำมันเซทผมจากหมอปีย์ซึ่งเขาก็ไม่มี แต่ก็ยังพยาย๊ามพยายามไปรื้อหาให้ในห้องหมอเจอราร์ทจนได้มา ผมเซทผมเรียบร้อยสุดชีวิต ไม่มีชี้เด่ให้เห็นแม้แต่เส้นเดียว
ดูเรียบร้อยจนผมตกใจ อย่างอื่นพอรับได้ แต่กลิ่นของน้ำมันนี่นะสิ เล่นเอาจะเป็นลม
“จะไปไหนรึเจ้าบ้า แต่งตัวเสียงามเชียว” นังอ่ำแซว บ่าวคนอื่นๆก็พากันหัวเราะคิกคัก
“อย่ามาทักสิ เสียเซลป์หมด” ผมเริ่มไม่มั่นใจในตัวเอง
“แหม ก็ปกติข้าเห็นเอ็งแต่งตัวทำเผ้าทำผมเข้าเหมือนคนสติไม่ดี”
ผมทำท่าจะก้าวเท้าลงจากเรือนพอดี แต่เมื่อได้ยินนังอ่ำแซวแบบนั้นต้องหยุด ชักจะไม่มั่นใจขึ้นวิ่ง วิ่งแจ้นไปหาหมอปีย์ที่กำลังวุ่นอยู่กับการยัดเสื้อเข้าไปในชายกางเกง
“ไอ้หมอ ไอ้หมอ” ผมวิ่งหน้าตาตื่นเข้าไปในห้องมันโดยที่ไม่ได้เคาะ
“เฮ้ยๆ เจ้าบ้า เข้ามาทำไม” ผมหันมาทำหน้าเลิ่กกัก รีบหาผ้าแพรมาปิด
“มึงจะอายทำเหี้ยอะไร ใส่ซะมิดชิด มาดูกูหน่อย กูเป็นไงมั่ง” ผมถาม
มันเงยหน้ามามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะเงียบไป
“เอ่อ” ผมกวักมือถาม
หมอนั่นจ้องตาไม่กระพริบ
“เฮ้ย!!!!”
“อ้อ เอ่อ ก็ ก็ ดีๆ”
“โอเคนะ งั้นกูไปหละ” ผมหันหลังทำท่าจะวิ่ง เพราะสายแล้ว
“เดี๋ยวก่อน เจ้าบ้า” ผมหยุด “แล้วเราหล่ะ เป็นเยี่ยงไรบ้าง” หมอนั่นถาม พลางลุกขึ้นยืน
ผมมองหัวจรดเท้าอย่างรวดเร็ว
“จะไปไหน”
“ไปบ้านเจ้าพระยา ที่หมอเจอราร์ทประจำอยู่ ท่านมีเรื่องจะให้เราทำ”
“อ้อ”
“เป็นเยี่ยงไร” ผมเซ้าซี้ถาม
“หล่อ หล่อมาก พอใจยัง” หมอปีย์ยิ้มแก้มแทบปริ เหมือนคนบ้า
“แล้วเจ้าหล่ะ จะไปไหน”
“อิๆ” ผมยิ้ม ไม่ตอบ แต่หัวใจนั้นพองโตแทบจะทะลุอก
ประตูไม้หน้าเรือนคุณชั้นปิดไว้อย่างแน่นหนา ราวกับว่าข้างในนั้นมีสมบัติล้ำค่าอย่างนั้นแหละ ปกติบ้านเรือนผู้คนแถวนี้มักจะไม่ค่อยทำประตูบ้านกัน อย่างมากก็แค่ไม้ไผ่มาคาดตามยาว กันให้ดูเป็นบริเวณ ประตูก็ทำง่ายๆจากไม้ที่ขึ้นมากมายแถวนั้น ภายในบ้านเรือนต่างปลูกต้นไม้แข่งกัน บ้านเหนือคลองมีดอกเรไรไต่ตามรั้ว ถัดมาก็เป็นดอกเฟื่องฟ้าช่อหนาสีแดงสด บ้านหลังกระนู้น ปลูกต้นโกสน
ผมตะโกนเรียกคนข้างในให้มาเปิด แต่เหมือนกับตด เรียกไปก็ไม่มีใครได้ยิน
“มีใครอยู่มั๊ย ผมมาหาคุณชั้น” ผมกระโดดเหยงๆผมไม่กระดิกอยู่หน้าบ้าน
“มีใครอยู่มั๊ย ไม่มีชั้นจะปีนเข้าไปแล้วนะเว้ย” ผมตะโกนบอกเป็นครั้ง 20
แต่ข้างในยังเงียบอยู่ดี สุดท้ายผมจึงตัดสินใจ “ปีน”
มือข้างจับไม้ที่พาดขวางเหนือหัว อีกข้างยันร่างขึ้น เท้าก็เกี่ยวเข้ากับเงี่ยงที่โผล่ออกมา ทุลักทุเลน่าดู
“ห่าเฮ้ย หวังว่าสมัยนี้เขาคงไม่มีสายตรวจนะเว้ย ไม่งั้นโดนหาว่าขโมยแน่ๆ” ผมบ่นกับตัวเอง ในขณะที่พาร่างมาอยู่บนขอบด้านบนประตู บานประตูสั่นหง๊อกแหง๊กๆ โงนเงนไปมาน่าเสียวไส้
“หยุดนะ เจ้าทำอะไรของเจ้า” เสียงลุงคนเดิมที่ลากผมไปทิ้งไว้บ้านหมอปีย์เมื่อวันก่อนรีบวิ่งเข้ามาห้าม
“ชั้น มา หา คุณ ชั้น” ผมละล่ำละลักตอบ มือเริ่มสั่นเพราะมันสูง
“แล้วทำไมถึงไม่เข้ามาดีๆกันเล่า”
“อ้าว ก็ไม่มีใครมาเปิดให้นี่หว่า ฮึบ” แล้วผมก็กระโดดลงมาดังตุ๊บ
“อ่า คุณชั้นอยู่ป่าว” ผมปัดมือ
“มีธุระอะไรกับท่าน” ลุงถามหน้าตาไม่เป็นมิตรเอาเสียเลยพับผ่า
“เออ ลุงไม่ต้องรู้หรอก ไปกวาดใบไม้ใบหญ้าของลุงเหอะไป อ้อ มีเรื่องจะเตือนลุงหน่อยนะ” ผมหันไปมองเด็กเล็กๆวิ่งไปมาอยู่หน้าเรือนคนใช้ “ให้ลูกเรียนสูงๆนะลุง เชื่อผม” ผมยิ้ม ก่อนจะเดินตรงดิ่งไปที่เรือนใหญ่อย่างชำนาญราวกับบ้านของตัวเอง
ลุงแกยืนงงอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรให้ผมเข้าไป แกวิ่งตามมาร้องห้ามเสียงดัง
“เข้าไปไม่ได้นะเว้ย หยุดก่อนๆ” แต่ไม่ทันแล้ว ผมมายืนอยู่หน้าบันไดแล้ว และกำลังจะก้ามขึ้นบันไดบ้าน
“บอกว่าเข้าไม่ได้ไง” ลุงฉุดมือผมไว้ ผมสะบัดเบาๆก็หลุด
“เอ้ย อะไรกันนักหนา ก็บอกแล้วว่าชั้นนัดคุณชั้นไว้” ผมกำลังจะก้าวเท้าเหยียบบันไดขั้นแรก
“หยุดอยู่ตรงนั้น!!!” แต่แล้วขาผมก็ค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ
คุณชั้นยืนจ้องลงมาจากบนเรือน แววตาของเธอแสดงอาการไม่พอใจอย่างรุนแรง
“ใครอนุญาตให้เธอขึ้นมาบนเรือนนี้” เธอพูดน้ำเสียงเนิบๆ แต่ทำไมมันถึงได้ทรงพลังถึงขนาดห้ามควายโง่อย่างผมได้
“ก็ ก็ เรามีนัดกันไม่ใช่เหรอครับ” ผมถามส่งแววตาปิ๊งๆให้แกเห็นใจ พลางค่อยๆดึงขากลับมาที่เดิม
“ก็คุณชั้นบอกว่าจะสอนผมทำอาหารไม่ใช่เหรอ ผมก็มาทำอาหารนี่ไง”
“ที่นี่......เราทานอาหารเช้ากันหลังพระบิณฑบาต”
คุณชั้นเธอหมายถึงว่า ผมจะมาทำซากอะไรเอาตอนนี้ สายขนาดนี้แล้ว ที่บ้านหลังนี้เขาทานข้าวเช้ากันเช้าตรู่
“อ่าว ก็ผมไม่รู้นี่ อะ ไม่เป็นไร ผมไปรอบนบ้านก็ได้ รอสอนตอนเที่ยงเลยทีเดียว” อีกครั้งที่ผมยกขาจะเหยียบกระได
“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ” อีกแล้วววววว อะไรอีกหล่ะทีนี้ “ถ้าเธอจะรอให้ชั้นสอนตอนเที่ยง ก็ได้ ชั้นจะให้เธอรอที่นี่” เธอยิ้มเหยียดๆเหมือนแม่นางร้ายเลย “แต่ไม่ใช่บนเรือนหลังนี้”
“อ้าว แล้วจะให้ผมไปรอที่ไหนหล่ะ” ผมตะโกนถาม มองเธอจนเมื่อยคอ
“ไปรอที่เรือนครัวกระนู้น” เธอชี้ไปที่เรือนทำครัว “แล้วนั่งรอบนเตาก้อนห้ามขยับ จนกว่าชั้นจะลงไปทำสำรับเที่ยง หากแม้นว่าชั้นเห็นเธอขยับแม้แต่น้อย อย่างหวังว่าชั้นจะสอนเธออีก”
ผมมองไปที่เรือนครัว มองหาเตาก้อนที่ว่า แล้วภาพที่เห็นก็คือ ภาพ ก้อนหินสามก้อนวางเป็นสามเส้าบนพื้นดิน เพื่อเอาไว้รองกะทะ หรือหม้อใบใหญ่ๆแทนเตาอั้งโล่ ไว้หุงข้าว ไว้แกงทีละเยอะๆ เขม่าดินสีดำติดเต็มไปหมด ตรงกลางเตาก้อนนั้นเต็มไปดูดซากไม้ฟื้นที่ไหม้ดำ รวมทั้งขี้เถ้าถ้วย กูแต่งตัวมาหล่อขนาดนี้ จะให้ไปนั่งตำแตงอะไรอยู่ตรงนั้น
“หา!!! จะให้ผมไปนั่งบนก้อนนั่นน่ะนะ”
“ใช่ ทำได้หรือไม่ หากไม่ได้ ก็ไม่เห็นความจำเปนต้องเรียน” คุณชั้นว่าก่อนที่จะหันหลังหายเข้าเรือนไป
ผมหันซ้ายหันขวา จะเอายังไงดี จะกลับก็กลัวเสียฟอร์มครั้นจะให้ไปนั่งแช่อยู่บนก้อนหินนั้นก็แมร่งลำบาก โคตรร้อน
“ชั้นว่าเธอกลับไปเสียเถอะ เสียเวลาเปล่า” เสียงคุณชั้นตะโกนแว่วมาแต่ไกล
ผมได้ยินดังนั้นก็เกิดแรงฮึดขึ้นมาทันที ด่ากันได้ ตีกันได้ แต่อย่ามาดูถูกคนอย่างผม เรื่องแค่นี้ทำไมผมจะทำไม่ได้
“ชิส์ ก็แค่นั่งรอ” ว่าแล้วผมก็เดินดุ่มไปที่เตาก้อน เลิกก้อนที่นั่งถนัดที่สุด หย่อนตูดลง แล้วถอนหายใจ
“เห้อ.......................” ตอนนั้นไม่รุ้ว่ากี่โมง รู้เพียงแต่ว่าตะวันยังเพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้ามาไม่นาน อีกตั้งนานกว่ามันจะตรงหัว แต่ไม่ว่ายังไง ผมก็จะรอ.............
“แล้วเราจะได้เห็นดีกัน” ผมว่า
-
โหอีกนานเลย
อิอิ
สู้ๆๆน๊า
-
คุณชั้นนี่สุดๆเลย อย่างกับในหนังกำลังภายในที่กว่าจะยอมรับศิษย์ได้ ต้องพิสูจน์ความอดทนก่อน
-
ชอบๆเรื่องนี่
-
กว่าจะได้เรียน มาให้กำลังใจ :L2:
+1
-
โห คุณชั้นเฮี้ยบมากเลยยยยยยยย
-
ว๊าวๆๆๆ...สนุกน่าตื่นเต้นมากเรยยค๊าบๆๆๆ....รีบๆๆมาต่อเน้อออ :oo1:
-
ลำบากน่าดูกว่าจะได้เรียนกับคุณชั้น
-
คุณชั้น!!! ฮ่าๆๆ มาดเจ๊แกสุดยอดอ่ะ
-
ปากคอและพฤติกรรมนายเอกได้รับการพัฒนาไปบ้างแล้ว
เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ คุณหมอ พอจะรับได้แล้วใช่มั๊ย
เหลือแต่เข้าใจอะไรยากอยู่เหมือนเดิมนี่แหละเจ้าค่ะ
คุณหมอต้องพยายามเอาหน่อยนะเจ้าคะ บ่าวเอาใจช่วย
-
โดนแกล้งแว้วววว หุหุ
-
โครตเฮี้ยบเลยคุณชั้น
-
เหอๆๆๆ นึกว่าจะได้เรียนง่ายๆ
สู้ๆเนาะ
-
ได้เรียนเร็วๆเถอะคับ
-
จะรอดไหมเนี้ย เรียนทำอาหารเนี้ย หึหึ มาต่อไวๆๆนะคะ
-
อิอิ บทเรียนต่อไปต้องฝึกสะบัดกระทะ โดยใส่หินร้อนๆอะไรยังงี้รึเปล่าครับ
แบบอากิยามะ จาง จอมโหดกระทะเหล็กอ่ะ
แต่ก็นั่นแหละ เค้าคงอยากดูความตั้งใจของนายอัชน่ะนะ เพราะวิชาสำคัญๆอย่างนี้สอนกันง่ายๆ คนเรียนก็จะไม่เห็นคุณค่า
ว่าแล้วก็อยากไปเรียนกับคุณชั้นบ้างนะครับ o13
-
ทันล่ะ
-
สนุกมากเลยคับบบ
สุดยอดดด
สงสารหมอปีย์อ่ะ
จะได้ตามมาปัจจุบันป่าวอ่า
แต่...
อ่านไปอ่านมาคิดถึงรุ่นน้องคนหนึ่ง
...นศพ...
หมอชื่อนี้มีจริงครับบ
-
ปอได้เรียนทำอาหารแล้ว อิอิ
-
ค้าง งง รีบมาต่อนะคะ
ทำไมคุณชั้นใจร้ายจังเลยนะ
-
รออ่านนะค่ะ
-
ก่อนเจอกับบทเรียนบทแรก ต้องมีPre-testก่อนค่ะน้องน็อต
ว่าด้วยเรื่องความตั้งใจจริง และความอดทน
เห็นปะคะว่าคุณชั้นน่ะใช้วิธีการสอนทันสมัยเชียวแหละ
-
:L1:
-
จะไหวไหมเล่าพ่ออัชน์ :laugh:
-
เค้าเรียกว่า อาจารย์ดูศิษย์ 555+
-
เย้ เย้ อ่านทันแล้วจิ้ม จิ้ม จิ้ม+ไปเลย o13 o13 o13
-
ก่อนเจอกับบทเรียนบทแรก ต้องมีPre-testก่อนค่ะน้องน็อต
ว่าด้วยเรื่องความตั้งใจจริง และความอดทน
เห็นปะคะว่าคุณชั้นน่ะใช้วิธีการสอนทันสมัยเชียวแหละ
ถูกต้องละคร้าบ พี่แก้ว สมันนั้นก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น คนโบราณเค้าถือว่าวิชาเป็นของสูงส่งหาค่ามิได้ จะร่ำเรียนกันแต่ละทีก็ต้องดูศิษย์กันหน่อย
ว่าคนไหนตั้งใจมากพอ ถึงจะถ่ายทอดให้ ไอ้แค่บททดสอบแค่นั้นอ่ะ ผมว่ามันยังเด็กๆเลย คุณชั้่นยังปรานีนะเนี่ย อิอิ
-
:L2: :L2:
พ่ออัชย์ไม่รู้สึกอะไรกับหมอปีย์สักหน่อยหรือคะ
-
บททดสอบจากคุณชั้น555
-
นั่งรอมากี่วันแล้วเนี่ย
-
อ่า... เข้ามารอเชฟอัชย์ กลายเป็นพ่อครัวอัชย์ 555+ :impress2:
-
ดันไว้ก่อน
-
ท่าทางคุณชั้นคงไม่อยากสอนอ่ะ เลยหาเรื่องแกล้ง เหอๆๆ ทนไว้นะอัชย์ เพื่อนสูตรการทำอาหารโบราณ จะได้ประดับสมองเอากลับไปปรับปรุงร้านอาหารของหนูวาด ( ใช่ไหม?? )
-
:L2: :L2:ดีใจได้อ่านแล้ว :mc4: :mc4: :mc4:
-
ฝึกความอดทนสินะ ^^
-
อดทนๆ เข้าไว้น้า พ่ออัชน์ ความพยายามอยู่ที่ไหนความพยายามก็อยู่ที่นั่นจ้า :กอด1:
-
:call:
-
คุณชั้นโหดดดดดด
เหอๆ ตอนนั้นยังดูใจดีอยู่เลยอ่า
สู้ๆนะอัชย์ ยังไงหมอปีย์ก็เป็นกำลังใจให้ อิอิ
-
แสงแดดยามเช้าส่งลอดผ่านพุ่มไม้หนาที่หน้าบ้าน ผู้คนเรือนนี้ดูจะสงบเสงี่ยมเจียมตัวกว่าเรือนหมอปีย์ อาจเพราะ เจ้าของเรือนหลังนี้ค่อนข้างจะเข้มงวดในกฎต่างๆภายในบ้านก็เป็นได้
พวกบ่าวไพร่เดินผ่านผม ทุกคนต้องหันมามองและสนใจว่าผมมานั่งทำบ้าอะไรอยู่บนก้อนหินเปื้อนเขม่าอย่างนี้ ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม
ทำไมคนอย่างผมถึงต้องอดทนทำอะไรที่ลดศักดิ์ศรีตัวเองอย่างนี้
เวลาผ่านไปช้าๆ รู้ได้ยังไงนะเหรอ ก็ดวงตะวันจากก่อนหน้านี้อยู่ลิบออกไปและส่องแสงอ่อนๆอุบอุ่นมายังผม ตอนนี้มันเริ่มเข้ามาใกล้หัวผม และแผดอำนาจความร้อนแรงอย่างบ้าคลั่ง เหมือนกับจะยิ่งซ้ำเติมความทุกข์ทรมานที่ผมได้รับอยู่ตอนนี้ให้หนักเข้าไปอีก
"ร้อนเว้ย" หลายครั้งที่ผมคิดถึงคำนี้อยู่ในใจ และหลายครั้งที่ตัดสินใจจะลุกเดินกลับไม่อยากรงอยากเรียนมันแล้ว แต่เหมือนคำพูดของคุณชั้นวนเวียนอยู่ในสมอง
และผมก็ไม่ใช่คนจำพวกที่จะยอมให้ใครมาดูแคลนเอาได้ง่ายๆ
"อยากรู้นัก จะให้กูนั่งรอจนถึงเมื่อไหร่" ผมบ่น หันไปคว้ากิ่งไม้แห้งๆมาขีดเขียนลงบนพื้นดินแก้เบื่อ
ตอนนี้รู้สึกชาที่ขา แต่ก็ต้องทนเพราะไม่อยากให้ใครมาว่าเอาได้ว่าเป็นพวกหยิบหย่ง หยิบจับอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน
ผมหันไปมองทางเรือนของคุณชั้นถี่ขึ้น และบ่อยครั้งที่มักจะเห็นหนูวาดแอบมองอยู่ที่หน้าต่าง เธอคงอยากจะเข้ามาหาผม แต่โดนคุณชั้นห้ามไว้เลยไม่กล้า
"ร้อนเว้ย"
ดวงอาทิตย์แผดแสงลามเลียไปตามแผ่นหลัง ผมก้มหน้างอตัวชันเข่า ความร้อนที่ต้องเผชิญตอนนี้ กำลังจะทำลายความอดทนที่ผมมีอย่างช้าๆ
"นังผาด ไปเอาของที่เตรียมมาได้แล้ว" เสียงคุณชั้นดังขึ้นมาก่อนระฆังความอดทนผมจะหมดลง
เธอลงจากเรือนเดินตรงมาที่ผม ผมหันไปมองเธอยังไม่กล้าลุก รอให้เธอสั่งให้ผมลุกเอง เพราะกลัวว่าเดี๋ยวทำอะไรไม่ถูกใจคุณเธอเข้า มีหวัง อาจโดนสั่งให้หยุดหายใจเลยก็ได้
"เอ่อ" ผมทำท่าจะเอ่ยปากถาม แต่ทันทีที่เธอเดินผ่านผมไป เธอกลับผ่านไปเฉยๆ ไม่เหลียวมามองแม้แต่น้อย จะว่าเธอไม่เห็นก็ไม่น่าเป็นไปได้ ผมก็ตัวเท่าหมี ไม่ใช่จอมปลวกที่ไหน
"อะไรของเจ๊อีกวะ" บ่นๆ
แล้วคุณชั้นก็วุ่นวายอยู่กับการเตรียมนู่นเตรียมนี่
"นังผาด ส้มซ่าอยู่ไหน"
"เอาน้ำส้มมะขามเปียกไปละลายน้ำที"
"หันพริก กับผักชีไว้รอท่า ชักช้า เดี๋ยวจะไม่ทันฉันเที่ยง"
และอื่นๆอีกมากมายจนผมเวียนหัว
"แล้วจะให้กูมานั่งทำสากอะไรตรงนี้" ผมลุกขึ้นยืนอย่างหมดความอดทน เดินตรงไปหาคุณชั้นที่กำลังนั่งหั่นหมูอย่างชำนาญ
"ประทานโทษเถอะครับ คุณหญิง เมื่อไหร่จะสอนผมทำอาหารเสียทีหละขอรับ กระผมนั่งรอจนริดซี่จะแตกทะลักแล้วนะขอรับ" ผมถามด้วยอารมณ์หงุดหงิด ระคนประชดประชัน
"ไปติดไฟเสียที เสียเวลามานานแล้ว" แต่เธอไม่สนใจ กลับหันไปสั่งให้บ่าวผู้ชายเพียงไม่กี่คนในบ้านไปจุดไฟที่เตาที่ผมนั่งอยู่
"คุณชั้นครับ" ผมไม่ลดละ ยังคงใช้ลูกตื้อเดินตามเธอต่อไป "สอนผมเสียทีเถอะครับ"
แต่ก็เหมือนเดิม เธอยังคงไม่สนใจ ผมเฝ้าอ้อนวอนเธอหลายต่อหลายครั้ง จนสุดท้ายความไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอทำของผมก็ทำให้ผมต้องพูดบางอย่างออกไป
"คุณชั้นครับ ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณทำอะไรอยู่ แต่ถ้าหากว่าจะให้ผมมาที่นี่เพื่อที่จะได้แกล้ง หรือทำให้ตัวเองไร้ค่า ผมว่าอย่าเลยครับ เพราะที่ผ่านมาผมก็ไร้ค่ามามากพอแล้ว ผมมาที่นี่วันนี้ก็เพราะอยากมาเรียนรู้อาหารไทย เพื่อจะนำไปสืบสานต่อไปให้คนรุ่นหลาน รุ่นเหลนคุณได้เรียนรู้วิถีอาหารไทย ผมตั้งใจจะเรียนจริงๆนะครับ"
เธอหยุดหั่นหมู นิ่งไปพักหนึ่ง แต่ไม่มองหน้าผม สักพักเธอจึงเรียกบ่าวอีกคน
"นังป่วน ไปเอาข้าวสารที่จะหุงตอนเย็นนี้ ใส่กระด้งมานี่" บ่าวผู้หญิงคนนั้นรีบเดินก้มงุดๆไปตักข้าวสารที่อยู่ในโอ่งดินเผา 9-10 กะลา ใส่กระดังมาวางไว้ใกล้ๆผม
"เลือกข้าวเปลือกออกจากข้าวสารเหล่านี้ เย็นนี้เราจะใช้หุง" เธอว่า ผมทำสีหน้างงๆ นี่นะหรือการสอนของเธอ นี่มันอะไรกันให้มานั่งเลือกข้าวเปลือกออกจากข้าวสารนี่นะ แต่ตอนนี้ก็ตัดสินใจทำ เพราะดีกว่าไม่มีอะไรทำเอาเสียเลย
ผมนั่งก้มหน้าก้มตาเลือกข้าวเปลือกออกใส่กะลาอีกใบที่บ่าวเตรียมมาไว้ให้ มือตะกุยหาข้าวเปลือกไปเรื่อยๆ
"ให้เราช่วยมั๊ย" เสียงเล็กแหลมดังขึ้นใกล้ๆ ผมเงยหน้าขึ้น
"หนูวาด" อารามดีใจเผลออุทานออกมาเสียงดัง
"ให้เราช่วยนะ เราชอบหาข้าวเปลือก" ว่าแล้วเธอก็นั่งลงใกล้ๆผม นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นยายทวดผมเต็มตา เธอยังมีเค้าโครงเหมือนหนูวาดยายทวดผมมาก ไม่ว่าจะดวงตา จมูก ปาก หรือแม้แต่เส้นผม
"ยายทวด" ผมจ้องมองเธอก่อนจะอุทานออกมาเบาๆ
"หนูวาด ทำอะไร" เสียงดุเล็กๆดังขึ้น คุณชั้นนั่นเอง หนูวาดสะดุ้งลนลาน
"หนูวาดกำลังช่วยเลือกข้าวเปลือกเจ้าค่ะ" เธอรีบตอบ
"ไม่ต้อง มิใช่กิจของเด็ก ขึ้นเรือนไป" คุณชั้นดุ หนูวาดหน้าเสีย เธอก้มหน้ารีบเดินหายขึ้นเรือนไป
"จะดุไปไหนของเจ๊วะ" ผมบ่นในใจ
ไฟที่เตากำลังลุกโชนด้วยถ่านจากไม้มะขาม กะทะไปใหญ่ที่ก้นสีดำ แต่เนื้อกะทะด้านในกลับเรียบ มัน วาว บ่งบอกถึงการใช้งานที่โชกโชน
คุณชั้นหยิบเส้นหมี่ที่แช่น้ำไว้มาสะเด็ดน้ำ ก่อนจะเอาลงหม้อ และพรมด้วยน้ำส้มสายชูกับน้ำเปล่าที่ผสมกันก่อนหน้านี้
"พรมให้ทั่วๆ ทั่วแล้วกลับอีกด้าน พรมให้ทั่ว เส้นจะได้พองนุ่ม" เธอบอก
ผมนั่งมองทุกขั้นตอนที่เธอทำ แต่อีกสายตาก็ต้องคอยนั่งเลือกข้าวเปลือกออก ถึงมันจะน่าเบื่อแค่ไหน แต่ก็ยังดีกว่าโดนไล่ตะเพิดกลับบ้าน
หลังจากนั้นคุณชั้นก็เอาหอมกับกระเทียมที่สับรวมกันละเอียดลงไปเจียวในกระทะ เสียงดังซู่ว์ พอเหลืองหอม จึงใส่หมูและกุ้งนางลงไปผัดตาม ผมกลืนน้ำลายดังเอื๊อก กลิ่นหอมของมันทำให้ท้องเริ่มร้อง ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าเธอกำลังทำอะไร แต่ผมก็ว่ามันน่าอร่อยจังเยยยยยย :impress2:
เมื่อกุ้งกับหมูเริ่มสุก เธอจึงตักเต้าเจี้ยว เติมน้ำตาลทราย น้ำส้มมะขามเปียก น้ำปลา ก่อนจะผัดไปอีกพักใหญ่ และชิมน้ำนั้นจากปลายจวัก สีหน้าเธอตอนชิมเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง สักครู่ เธอจึงพยักหน้าและเติมน้ำส้มซ่าลงไป คนอีกครู่ จากนั้นจึงตักหมูกับกุ้งใส่ถ้วยทิ้งไว้แต่น้ำในกระทะ และเธอก็เคี่ยวมันจนข้น
ผมพยายามนึกว่าเธอจะทำอะไร สิ่งที่เธอทำอยู่มันต่างจากที่แม่ครัวที่ร้านผมทำ แม่ครัวผมเธอจะใส่เครื่องปรุงอะไรแต่ละอย่างต้องชั่งตวงวัดอยู่หลายรอบ แต่คุณชั้นเธอใส่ทุกอย่งลงไปอย่างมั่นใจและชำนาญ สิ่งนี้แหละที่ผมจะต้องเรียนรู้มาจากเธอให้ได้
"ผาด เอาเปลือกส้มซ่าไปหั่น อย่าให้ติดผิวขาวๆนะ มันจะขม" เธอสั่ง
ข้าวเปลือกที่อยู่ในกระด้งนั่นก็ไม่ยอมหมดสักที ผมละคันไม้คันมืออยากจะไปโชว์การควงตะหลิวให้คุณชั้นดูเป็นขวัญตาเต็มที จะได้รู้มั่งว่าผมก็ไม่ใช่คนบ้าไร้วิทยายุทธมาจากไหน
เมื่อน้ำในกะทะถูกเคี่ยวจนข้นดี เธอจึงหยิบถ้วยหมูกับกุ้งใส่กะทะลงไปอีกที นัยว่าไม่ต้องการให้หมูกับกุ้งแข็งกระด้างก็เป็นได้ เคี่ยวไปสักพัก เธอก็ตักทั้งหมดขึ้นพักไว้
จากนั้นก็ตั้งกระทะใหม่ ใส่น้ำมัน เร่งไฟโดยการใส่ถ่านเพิ่ม เมื่อน้ำมันเดือดเธอหยิบพริกป่นโรยลงไปในน้ำมัน ก่อนจะหยิบเส้นหมี่ลงไปทอด ทันทีที่มันโดนน้ำมัน เส้นหมี่ก็พองขึ้นจนเต็มกะทะ พริกที่เธอเอาลงไปโปรยตอนแรกก็เครือบเส้นหมี่สีสวยงาม และเวลากินน่าจะมีรสเผ็ดปลายลิ้น ผมเดาเอา
คุณชั้นทอดเส้นหมี่จนเหลืองกรอบ ฟูน่ากิน จากนั้นเธอก็ตั้งกระทะใหม่อีกรอบ เอาไม้คีบคีบถ่านออกให้ไฟอ่อนลง คนสมัยนี้นี่ลำบากกันจริงๆเน๊อะ โชคดีที่สมัยผมไม่ต้องมานั่งทำอะไรอย่างนี้ ไม่งั้นมีหวัง วันๆนึงไม่ต้องทำอะไรแน่ๆ
เธอนำน้ำปรุงที่เคี่ยวไว้แล้วลงกะทะ ก่อนจะนำเอาเส้นหมี่ลงไปคลุก กลิ่นของมันหอมจนผมแทบจะละลาย น้ำลายถูกกลืนลงคอครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงผมจะไม่ชอบใจคนทำเท่าไหร่นัก แต่เมื่อได้กลิ่นอาหารที่เธอทำ ความไม่พอใจที่มีอยู่ในใจหายไปหมดสิ้น
เมื่อเส้นหมี่คลุกเคล้าจนได้ที่แล้ว เธอยกมันออกมาใส่หมอพักไว้ ก่อนจะนำเต้าหูไปทอด ตามด้วยไข่ที่ใช้มือจุ่มก่อนจะโรยลงในกระทะออกมาเป็นตาข่าย สวยงามปราณีต เมื่อของตกแต่งถูกเตรียมเสร็จ คุณชั้นจัดแจงโรยหน้าด้วยเต้าหู้ทอด ไข่ ใบกุยช่ายหั่นเป็นท่อนๆ กระเทียมดองหั่นแว่น ผักชี และพริกชี้ฟ้าแดงหั่นฝอย
เป็นอันเสร็จพิธี
"ยกขึ้นเรือน เดี๋ยวเราจักแต่งตัว เจ้าตักใส่ปิ่นโตเตรียมรอท่าไว้ เราจักเอาไปวัด"
และแล้วผมก็รู้แล้วว่าเธอทำอะไร
"หมี่กรอบนั่นเอง" ผมว่า พลางมองตามหม้อที่บ่าวยกขึ้นเรือนหายไป
"อยากกินว่ะ" ผมบ่น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้น หน้าที่ของคนบ้าไม่สมประกอบอย่างผมก็คือเลือกข้าวเปลือก เพราะฉะนั้น เมื่อยังไม่เสร็จก็ต้องทำต่อไป
ข้าวเปลือกที่ผมเลือกไว้เกือบเต็มกะลาแล้ว ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเยอะมากขนาดนี้ นี่ถ้าไปเอาไปหุง มีหวังคงไม่ต้องกินข้าวกันพอดี มัวแต่นั่งคายข้าวเปลือก
"คนที่นี่เป็นไก่กันหรือไงวะ ถึงมีข้าวเปลือกปนในข้าวกันขนาดนี้" ผมบ่น เมื่อยังไม่มีวี่แววว่าจะหาหมด ทุกทีที่คุ้ยลงไปในข้าวสาร ผมมักจะเจอข้าวเปลือกอย่างน้อย สองเมล็ดเสมอ
รถเกวียนพาคุณชั้นที่แต่งตัวสวยงามออกนอกบ้าน เธอคงจะไปวัดตามที่เธอว่า แต่ก็นะ จะใจดำอะไรกันขนาดนั้น ทำเสร็จน่าจะมีกะจิตกะใจเอามาให้เรากินมั่ง อุตส่าห์นั่งตากแดดรอจนเกือบแห้งค่อนวัน ไหนจะต้องหลังขดหลังแข็งนั่งเลือกข้าวเปลือกจนตาลาย
"จะจงเกลียดจงชังอะไรกันนักหนาเนี๊ยะ" ผมพูด
"นี่"..............................เสียงเด็กผู้หญิงคนเดิมดังขึ้นอีกครั้ง
"หนูวาด" ผมดีใจ เธอมายืนใกล้ๆผมก่อนจะฉีกยิ้มด้วยความเป็นมิตร ในมือถือชามอะไรมาด้วย
"กินมั๊ย หนูวาดเอามาเผื่อ" แล้วเธอก็หันซ้ายหันขวาอย่างระแวดระวัง ก่อนจะยื่นชามหมี่กรอบให้ผม ผมมองเธอด้วยความตื่นตัน ก่อนจะรับมันไว้
"ขอบคุณนะ หนูวาด"
"อื้ม" เธอพยักหน้า แล้วก็หันหลังวิ่งหายเข้าบ้านไป
ผมมองหมี่กรอบที่อยู่ในจานด้วยความตื้นตัน
"หนูวาดก็ยังเป็นหนูวาดอยู่วันยังค่ำ" ก่อนจะใช้มือหยิบมันเข้าปาก
และทันทีที่หมี่กรอบเข้าปากผมรับรู้ได้ถึงรสเปรี้ยวก่อนอันดับแรก และเมื่อกลืนลงคือจะได้กลื่นหอมของส้มซ่าตามด้วยรสหวาน และรสเค็มบวกเผ็ดนิดๆติดปลายลิ้น
ถึงแม้จะผมจะเคยกินหมี่กรอบมาบ้างแล้ว แต่สำหรับหมี่กรอบนี่ ผมสาบานได้เลยว่าไม่เคยกินที่ไหนอร่อยเท่า
"ต้องเอาสูตรมาให้หมดให้ได้" ผมพูดกับตัวเองตั้งใจแน่วแน่ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเลือกข้าวสารต่อไป
(http://image.ohozaa.com/i/c63/cbc1d5e8a1c3cdbasmall.jpg)
-
เอ้ยยยยยยยยยยยยยยยย ชองโปรดเลยค่ะ อ่านไปก็หิวไป 5555 อยากเรียนของเขานิ ต้องอดทนเด้อเจ้าบ้า
+1 :กอด1:
-
"หันพริก กับผักชีไว้รอท่า ชักช้า เดี๋ยวจะไม่ทันฉันเที่ยง"
คุณเซ็งเป็ดเผลอไปรึเจ้าคะ
พระต้องฉันเพลค่ะ คือเวลา 11.00 น.ค่ะ
วันนี้คุณชั้นสอนไปแล้ว ว่าด้วยเรื่องหมี่กรอบ ใช่ไหมคะ
-
ว้าววว
อยากกินมั่งอ่าา
หากินได้ที่ไหนนี่..
-
ดึกแล้วนะ แต่ป้าอยากกินหมี่กรอบหน้าตาน่ากินแบบนั้น คงจะอย่อยน่าดูชม อิอิ
-
อ่านไป นึกภาพตามไป น้ำลายย้อยเลยตรู
-
อ่านตอนนี้แล้วหิวครับ
o13
-
ของโปรดเหมือนกัน หิวข้าว :serius2:
คิดถึงหมี่กรอบคุณยาย
หมอปีย์เขิน นายเอกเราก้อความรู้สึกช้าจริง
+1
-
"โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยย เมื่อยยยยยยยยยยยยยยยยยยย" ผมร้องครวญคราง
"เฮ้ย หมอ ขอน้ำลอยดอกมะลิแก้วสิ หิวน้ำ" มาอยู่ไม่เท่าไหร่สั่งเจ้าของบ้านได้แล้ว กูนี่เก่งจริงๆ
"เปนอันใดไปเล่า เจ้าบ้า ไหนเจ้าบอกเราว่าจักไปเรียนทำอาหาร ใยกลับมาบอบช้ำราวกับไปรบรากับพม่ารามัญมาเยี่ยงนี้" หมอปีย์ปิดหนังสือ ถอดแว่นและตะโกนให้บ่าวเอาน้ำมาให้
"โอย จะไม่ให้ชั้นบอบช้ำชั้นได้ยังไงวะ คิดดู" ผมได้ทีฟ้องหมอปีย์ซะเลย จัดแจงลุกขึ้นนั่ง ทำท่าเม๊าซ์อย่างออกรส "ให้ชั้นนะไปนั่งรอบนก้อนหินนะ ตั้งนานแน่ะ กว่าจะสอน พอจะสอนไอ้เราก็นึกว่าจะให้ทำอะไร ที่แท้ก็ให้นั่งเลือกข้าวเปลือกทั้งวัน เล่นเอาชั้นปวดหลังปวดคอไปหมดแล้ว" ผมบ่น
"กระนั้นเองรึ" เขาไม่มีท่าทีจะเห็นใจผมแม้แต่น้อย
"เออ ก็กระนั้นเองนะสิ ชั้นนะอุตส่าห์ตั้งใจไปเรียนเต็มที่ ตอนเรียนที่ออสเตรเลียนะยังไม่ตั้งใจขนาดนี้ รู้ดีไม่ไปซะก็ดี โธ่" บ่าวหยิบขันน้ำที่ลอยดอกมะลิมาให้ผม
กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกมะลิทำให้ผมยกขันขึ้นดื่มน้ำเย็นๆจากโอ่งดินจนหมดภายในรวดเดียว
"จะให้นั่งเลือกทำไมข้าวเปลือก ให้คนใช้เลือกก็ได้" ผมว่า
หมอนั่นมองผมเงียบๆ ก่อนจะนิ่งไปพักใหญ่
"เจ้าบ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่า ข้าว เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตชาวสยามเรามาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ข้าวมิใช่เป็นเพียงพืชเศรษฐกิจที่ทำรายได้ให้กับชาวนาเป็นสำคัญแต่ยังป็นบ่อเกิดแห่งชีวิตและคติความเชื่อต่างๆในสยามอีกด้วย ข้าวอยู่ในฐานะพืชศักดิ์สิทธิ์ มีชีวิต และวิญญาณ เช่นเดียวกับมนุษย์ คนสยามแต่โบราณเชื่อว่าข้าวเป็นสิ่งมีคุณค่าต่อการดำรงชีวิตเป็นอย่างยิ่ง และเชื่อว่ามีเทพธิดาที่เรียกว่า "แม่โพสพ"เป็นผู้คอยปกป้องรักษาข้าว เราจึงต้องแสดงความเคารพ ระลึกถึงบุญคุณของแม่โพสพ คุณชั้นเธอคงอยากให้เจาคำนึงถึงคุณค่าของข้าวเป็นอย่างแรกเสียกระมังจึงสั่งให้ทำเยี่ยงนั้น
เจ้ารู้หรือไม่ว่า ในสมัยพระเจ้ามังรายได้ถึงกับขนาดตรากฎหมายในลักษณะของการละเมิดข้าวไว้ว่า
“ผู้ใดขี้ใส่ข้าวแรกท่านตั้งแต่ตอนหว่านกล้าไปจนถึงตอนย้ายปลูก จะเก็บเกี่ยว ให้มันหาเหล้า ๒ ไห ไก่ ๒ คู่ เทียน ๒ เล่ม ข้าวตอกดอกไม้บูชาข้าวและเสื้อนา”
หมอปีย์ร่ายมาซะยาว
"เหรอ นายว่าอย่างนั้นเหรอ" ผมก็ชักจะเห็นด้วยกับหมอนั่น "ก็อาจจริงนะ เอาเถอะ ยังไงชั้นก็ไม่ยอมแพ้ให้ง่ายๆหรอก เอ ว่าแต่ นายกำลังอ่านอะไรอยู่เหรอ เห็นอ่านมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว" ผมถาม
หมอปีย์ทำหน้าสงสัย ก่อนจะร้องอ๋อ
"เล่มนี้น่ะหรือ"
"อื้อ"
"เรามีคำถามจักถามเจ้าหน่อย เจ้าเกี่ยวกับเรื่องเอ่อ.........เรื่อง.."เขาทำท่าตะกุกตะกัก
"เรื่องอะไร ถามมาเหอะ" ผมรำคาญ
"เรื่องเอ่อ เรื่องบุรุษที่มีใจให้แก่บุรุษน่ะ เจ้าพอจะรู้เรื่องพรรค์นี้บ้างหรือไม่" เขาพูด ก้มหน้าหลบตา
"บุรุษที่มีใจให้แก่บุรุษ?" ผมทวนคำถาม ไม่เข้าใจ "อ้อ ชายรักชายน่ะนะ" ในที่สุดก็ตีความหมายออก
"เข้าใจสิ ทำไมจะไม่เข้าใจ บ้านเมืองชั้นมีให้เห็นกันเกลือน เดินกอดกัน จูงมือกันให้ว่อน ทำไมเหรอ"
"กระนั้นเลยรึ" เขาทำหน้าสงสัย
"ไม่มีอันใดดอก เราแค่อ่านประวัติของเจ้าพระยาวิทเยนทร์มาน่ะ"
"ทำไมเหรอ มีอะไร" ผมทำท่าสนใจขึ้นมา
"อ้อ พอดีเรากำลังอ่านเรื่องราวของท่านเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางการทูต แต่มาติดใจเอาตอนที่นึง ในหนังสือเล่าว่า พระยาวิชเยนทร์ เปนชนชาติกรีกที่มาค้าขายในเมืองสยาม และได้เติบโตมั่งคั่ง เหตุเพราะเป็นคนโปรดของพระนารายณ์ ตามหนังสือกล่าวว่า พระยาวิชเยนทร์ คนนี้มีแรงโน้มน้าวทางเพศมาก กล่าวว่า ในสมัยกรีกนั้นชายรักชายถือเป็นเรืองธรรมดามาตั้งแต่สมัยโซเครติส และเพลโตลงมา เมื่อชายใดย่างเข้าวัยกลางคน ก็มักนิยมเปลี่ยนความสนใจไปที่ผู้ชายเยาว์วัย
ดังนั้น สมัยพระยาวิชเยนทร์ยังเด็กนั้น บิดาได้มอบให้แกกัปตันอังกฤษ ในหนังสือนี้เล่าว่า พระยาวิชเยนทร์เมื่อสมัยหนุ่มนั้น มีสง่าราศีมาก ลักษณะสวยงามผิดตา มีอัชญาสัยและเฉลียวฉลาดเปนที่ต้องตาต้องใจบุรุษอื่นเมื่อได้พบเห็น และอยากครอบครองเสมอ ดังจะเห็นได้จาก ราชทูตไทยที่กลับจากเปอร์เซียก็ชักชวนพระยาวิชเยนทร์ไปอยู่เสียด้วยกรุงศรีอยุธยา นายบาร์นาบี พ่อค้าชาวอังกฤษก็แย่งชิงพระยาวิชเยนทร์มาอีก ไม่นานพระยาวิชเยนทร์ก็ได้พบกับเจ้าพระยาโกษาเหล็ก ก็เป็นที่พึงใจแก่ท่าน จึงถึงกับเปิดทางให้พระยาวิชเยนทร์ได้เข้าเฝ้า พระนารายณ์ และพระนารายณ์เองก็ทรงโปรดปรานชายหนุ่มคนนี้มาก ถึงขนาดรับสั่งให้เข้าเฝ้าเพื่อปรึกษาเรื่องต่างๆทุกวัน บาทหลวงเดอ เบช เล่าว่า บางครั้งอยู่ด้วยกันสองต่อสองตั้งแต่เช้าถึงค่ำ เปรียบเสมือนสหายสนิทก็มิปาน"
ผมนั่งฟังหมอปีย์เล่าอย่างตั้งใจ
"ในหนังสือฝรั่งเศสเล่มนี้กล่าวว่า ความโปรดปรานที่พระนารายณ์มีต่อพระยาวิชเยนทร์นี้ มีมากจนเกือบผิดปกติ บาทหลวงผู้นี้เล่าว่า ครั้งหนึ่งทั้งสองออกล่าสัตว์ด้วยกัน และได้เผชิญหน้ากับควายป่าฝูงหนึ่ง พระยาวิชเยนทร์หลบมิทัน ถูกฝูงควายล้อม เมื่อพระนารายณ์เห็นดังนั้น จึงทรงวิ่งฝ่าเข้าไปประทับเคียงข้าง โดยมิได้หวั่นเกรงอันตราย ควายตัวหนึ่งวิ่งเข้าขวิดพระยาวิชเยนทร์ แต่ท่านหลบทัน เขาควายไปเกี่ยวจนเสื้อคลุมท่านขาด วันรุ่งขึ้นสมเด็จพระนารายณ์ทรงรับสั่งให้ข้าราชการ นำผ้าแพรสวยงามมาถวาย พร้อมกับมีพระลายลักษณ์อักษรมาว่า "เสื้อผ้านั้นขาดชำรุดเสีย ก็พอจะหาใหม่มาทดแทนได้ แต่ตัวท่านนั้นหากเป็นอะไรไป จะถือเป็นการสูญเสียที่มิอาจหาสิ่งใดมาทดแทนได้ เพราะฉะนั้น ขออย่าทำตัวให้ตกอยู่ในอันตรายเช่นนั้นอีก"
ผมฟังเรื่องราวที่หมอปีย์เล่ามาอย่างตั้งอกตั้งใจ เพราะนี่เรียกว่าเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเรื่องนี้
"นายหมายความว่า.................." ผมถาม
"เรามิได้ตั้งใจจะแนะว่าพระยาวิชเยนทร์นี้มีความสัมพันธ์อื่นใดนอกเหนือจากมิตรสหายของพระนารายณ์ เราเพียงแค่ต้องการจะถามเจ้าว่า หากบุรุษผู้หนึ่งจะเอ็นดู รักใคร่ ห่วงใย และกรุณาบุรุษเพศเดียวกัน เจ้าจักรู้สึกเยี่ยงใด"หมอปีย์ถาม
"ไม่รู้สิ ชั้นว่าเรื่องของสมเด็จพระนาราย์อาจไม่มีอะไรตามที่หนังสือของชาวฝรั่งเศสผู้นี้เขียนก็ได้ อย่าลืมนะว่า ประวัติศาสตร์มีความจริงมากน้อยแค่ไหน เราพิสูจน์ไม่ได้ เรื่องของพระนารายณ์ให้ชาวฝรั่งเศสผู้นี้เขียนก็เป็นแบบนี้ แต่หากให้คนไทยเขียนก็อาจเป็นอีกแบบหนึ่งก็ได้ เพราะฉะนั้นนายอย่าปักใจเชื่อเลย" ผมพูดเป็นเรื่องเป็นาราวมากที่สุดตั้งแต่มาอยู่ที่นี่
แหม รู้สึกตัวเองเป็นผู้มีความรู้เหมือนกันนะนี่
"แล้วอีกเรื่องหนึ่งที่เราอ่านมา คือเรื่องของกรมหลวงรักษณ์รณเรศในสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ถูกตัดสินประหารชีวิตเหตุเพราะชำระความราษฎรมิได้เปนยุติธรรม รับสินบน เอาเปรียบประชาชน มักใหญ่ใฝ่สูง สั่งสมกำลังโจร และที่สำคัญที่เราอ่านแล้วอดสนเท่ห์ไม่ได้นั่นก็คือ ตั้งแต่ท่านเล่นละครเข้าแล้วก็ไม่ได้เข้าบรรทมข้างในด้วยหม่อมห้ามเลย บรรทมอยู่แต่กับชายนักแสดงละคร ได้สอบถามนักแสดงละครทราบว่า ท่านได้เป็นสวาทไม่ถึงกับชำเรา แต่เอามือเจ้าละคร และมือท่านกำคุยหฐานด้วยมือทั้งสองฝ่าย ให้สำเร็จภาวะธาตุเคลื่อนพร้อมกันเปนแต่เท่านั้น" หมอปีย์อ่านในหนังสือให้ฟัง
"โอ้ยยยยยยยยย ไอ่บ้า ภาษาอะไรฟังไม่เข้าใจ" ผมบ่น เมื่อมันแปลยากแปลเย็น
"ก็แปลได้ความว่า ท่านได้ใช้มือร่วมสังวาทกับพวกละครนั่นหละ" หมอปีย์พูด หน้าแดงก่ำ
"เจ้ยยย เหรอ" ผมตกใจ
"เจ้าคิดว่าเรื่องพวกนี้เปนเยี่ยงไร"
"แล้วทำไมวันนี้นายถึงสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษวะ" ผมถาม
"ตอบเรามาเถอะ"
"ก็นว่าเรื่องของพระนารายณ์อาจเชื่อถือไม่ค่อยได้ เพราะนานแล้ว หรือถ้ามันเป็นแบบนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าท่านะจะมีจิตใจรักใคร่ อาจแค่รู้สึกถูกชะตาและก็พระยาวิชเยนทร์ก็รอบรู้ อย่างที่เรารู้ๆพระนารายณ์ท่านสนใจด้านติดต่อต่างชาติ การที่ท่านสนิทกับพระยาวิชเยนทร์ ก็เพื่อประโยชน์ด้านนี้ก็เป็นได้"
เป็นอีกครั้งที่ผมโชว์ภูมิ ลุกขึ้นและปรบมือให้กับความเก่งครั้งนี้ครับ !!!!
"ส่วนเรื่องหลังนี่ไม่รู้ว่ะไม่ออกความคิดเห็น ว่าแต่นายยังไม่ตอบชั้นเลยว่าทำไมนายถึงสนใจค้นคว้าเรื่องพวกนี้" ผมเซ้าซี้
"เอ่อ .......เราก็แค่เอ่อ........."อีกล่ะ อ้ำอึ้งอีกแล้ว "ช่างมันเถิด เจ้าบ้า เราเองยังไม่เข้าใจตัวเองเลย คงไม่หวังให้เจ้ามาเข้าใจเราดอก"
พูดจบหมอนั่นก็ลุกขึ้น หอบหนังสือแล้วเดินหายเข้าห้องไป
"อ้าว ไอ่นี้ ????"
* อ้างอิงจากหนังสือ เล่าเรื่องเมืองสยาม และเกร็ดสนุกในอดีต
-
อูย อ่านไปแล้วก็หิวไป
อยากทานหมี่กรอบสูตรคุณหญิงจัง
ปกติทานแล้วไม่หวานไปก็เค็มเกิน หาอร่ิอยๆยากจัง
มาดิทเพิ่ม
ประวัติศาสตร์ไทยยังมีอะไรที่หน้าค้นหาอีกเยอะ แต่ในตำราเรียนไม่ค่อยเอามาใส่ไว้นี่สิ
เดี๋ยวจะไปหาหนังสือมาอ่านบ้างค่ะ
-
หิวกลางดึกค่า ^^//
-
กรีดดดดดดดดดดดดดดด
เอาอีกกกๆกๆกๆกๆกๆกๆกๆกๆกๆกๆๆกๆกกๆๆกๆกกกกกกกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ค้างนะะะะะะ
-
หาข้อมูลได้แน่นและแปลกดีมากค่ะ นับถือๆๆ
-
หมอปีย์บอกเป็นนัยๆ แล้ว เจ้าบ้ายังไม่รู้เรื่องอีก :z3:
-
:z1: :z1: :z1:
หิวอะ
-
สมัยนี้น่าจะมีแบบหมอปีย์บ้าง ห้าๆๆ
-
กรี๊ดดด มะ มะ หมอปีย์ !! :oo1:
-
ว้าย ชะรอยคุณหมอศึกษา theories แล้ว
คิดจะเพิ่ม laboratory experiments ด้วยกระมังคะ
เผื่อจะเอาไว้ทำ papers & journals อิอิ
๑๖๖ + ๑ = ๑๖๗
ขอบคุณนะคะ คุณ เซ็งเป็ด
-
:z3: หิวค่า อยากกินหมี่กรอบอ่ะ
o18 ส่วนหมอปีย์ก็นะ ศึกษาเรื่องชายรักชายจากตำราไว้เป็นกรณีศึกษาใช่ไหม
-
พระนารายณ์ให้เอาผ้ามาพระราชทานนะจ๊ะ ไม่ใช่เอามาถวาย เพราะพระยาไม่ใช่เจ้าหรือพระสงฆ์
เจ้าอัชย์นี่ เขาสอนทำอาหารให้แล้วยังไม่รู้ตัว มันก็ต้องดูเอาเองสิ
-
ฮ่าๆๆๆ แอบมาขำหมอปีย์ โคดจะอ้อมโลก อิอิ น่ารักอ่ะ
-
หมอปีย์น่ารักจัง อิอิ
-
555+ คุณหมอปีย์หวั่นไหวแล้วล่ะสิ อิอิ :laugh:
-
หมอปรีย์ ศึกษาแบบนี้
คิดแล้วอ่ะจิ ฮ่าๆ :laugh:
-
อ่านไปท้องร้องไป ข้าวเช้ายังไม่กินเลยยยยยยยยยย
ฮ่าๆ
ประวัติศาสตร์ไทยมันมีอะไรในแง่นี้ด้วยยยยย
ไม่เคยรู้มาก่อนจริงๆนะเนี่ยย
หมอปีย์ก้บอกไปตรงๆซ๊่ ว่าคิดกับน้องอัชย์อ่ะ
-
เป็นคนไม่กินหมีกรอบทรงเครื่อง แต่พออ่านแล้วเกิดความรู้สึก อยากลองกินสักครั้งจัง น่าอร่อย :-[
หมอปีย์เกิดผิดยุคแล้วหละมั้งนั้น ศึกษาทำวิทยานิพนธ์เหรอเจ้าคะ :z2:
-
อ่า เจ้าบ้าน่ารักอ่า หุๆๆๆ ชอบๆๆๆ
-
ไม่ค่อยเลยหมอปีร์ เจ้าบ้าก็บ้าจริงๆมาถามขนาดนี้แล้วยังเอ๋อ แต่ก็น่ารักดี 555+
ปล. ข้อมูลเค้าแน่นจริงๆ o13
-
อ่านแล้วๆๆหิวหมี่กรอบเลยๆๆๆๆๆ
-
โห...ไรเตอร์คร้าบ ทำไมค้นคว้่าได้ลึกซะขนาดน้าน อิอิ
ลึกมากครับ ข้อมูล สงสัยคงหากันนานเลยนะเนี่ย
ว่าแต่คาวหน้าคุณชั้นจะทำอะไรน๊อ คุณอัชอย่าลืมจดๆไว้บ้างล่ะ o13
-
-ขอชื่นชมอีกคน เยี่ยมค่ะคุณเซ็งเป็ด ข้อมูลประกอบเยี่ยมมาก
-นายอัชย์ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอว่า ตัวเองโดนสอนไปแล้ว 1 เรื่อง
-ด้วยสภาพสังคมสมัยนั้น สงสารหมอปีย์จัง จะพูดจะบอกจะจีบแบบตรงๆก็ไม่กล้า
-
เฮ้ออออ เจ้าบ้านี่ ไม่เข้าใจหมอปีย์เอาเสียเลย!!!!!!
ว่าแต่อ่านเรื่องหมี่กรอบแล้ว อยากกินๆๆๆๆๆๆๆๆ
ขอบคุณมากครับ ที่มีเกร็ดประวัติศาสตร์มาให้รับรู้
-
หมอปีย์มาเล่าสงสัยแอบคิดอะไร-.,-
-
อยากกินบ้างอ่ะ
บรรยายซะน่ากินเลยน้า
อิอิ
รอตอนต่อไปนะ
เป็นกำลังใจจ้า
สู้ๆ นะจ้ะ
-
หมอปีย์ชักจะยังไงๆแล้วน้า :m12:
ปอลอ....ตั้งแต่อ่านมายังไม่แน่ใจจริงๆว่าใครจะกดใคร
คืออัชย์ก็ดูท่าจะเชี่ยวกว่าอยู่แล้ว ส่วนหมอปีย์ถึงจะยัง(?)แต่ก็ไม่น่าประมาท :laugh:
ปอลออีกที..+1 ให้ความพยายามของคุณเป็ด o13
-
แหม พ่ออัชย์นี้ก็เข้าใจอะไรอยากจริงๆ หมอปรีย์เขาเผยไต๋ออกมาขนาดนี้แล้วก็น่าจะรู้นะว่าเขาชอบพ่ออัชย์น่ะ อิอิ
-
:call:
-
หมอปีย์น่ารักอ่า
รีบมาต่อนะคะ
-
ที่คุณชั้นทําแบบนี้ก็คงมีเหตุผลของท่าน คือ
คงจะดูความตั้งใจของพ่ออัชย์ ที่อยากจะมาเรียนรู้
ให้เลือกข้าวเปลือกออกจากข้าวสาร คงอยากให้มีสมาธิ
ใส่ใจในทุกสิ่ง มีความละเอียดแม้ว่าสิ่งที่เห็นจะเป็นสิ่งเล็กน้อย
จนคนอื่นมองข้ามไปก็ตาม...
หวังว่าพ่ออัชย์จะสามารถเอาชนะใจคุณชั้นจนยอมสอน :a2:
ส่วนหมอปีย์ตอนเขิน :o8:จะน่ารักขนาดไหน
กําลังสับสนกับจิตใจตนเองจนต้องศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมจากในอดีต
เอาใจช่วยหมอปีย์ให้ค้นพบคําตอบเร็วๆนะครับ
แต่ถ้าอยากเรียนรู้อย่างรวดเร็วลองปรึกษาผู้ที่มาจากอนาคตดูสิครับ
คําตอบของหัวใจน่าจะอยู่ไม่ไกล :กอด1:
-
หมอปีย์เริ่มหาข้อมูลแล้ว
รอว่าเมื่อไหร่จะคืบหน้า
-
หมอปีย์ :z1: :z1: :z1:
-
เรื่องนี้ ข้อมูลแน่นจริงๆ
ขอบคุณค่ะ o13
-
หมอปีย์ เขินได้น่ารักจริงๆ
-
เอะ หมอปีย์คิดยังไงละเนี้ย หึหึ ไม่รู้ตัวเลยนะเจ้าบ้า
-
วุ๊ย.......อยากทะลุกระจกไปเบิร์ดกระโหลก "เจ้าบ้า" สักที :m16:
-
ประวัติศาสตร์สนุกฉะนี่แล
-
สอนแบบโบราณจริงทำให้ดู แล้วก็จำไปหัดทำเอง
-
คลั่งหมอปีย์ค่ะ
คนอะไรน่าร้ากกกกกซะไม่มี
นิดนึงเขินๆ โดนที่สุดเรยยยย
อัช อย่าปล่อยให้หลุดมือน้าาาาา
-
ตะเกียงเจ้าพายุถูกจุดขึ้นจากไม้ขีดไฟที่พ่อบ้านที่นี่ทำขึ้นเอง การอยู่ที่นี่ทำให้ผมกลายเป็นคนรู้คุณค่าของอะไรอะไรหลายอย่างมากขึ้น
ยกตัวอย่างจากการจุดไฟ ที่นี่ไม้ขีดไฟเป็นสิ่งที่หายาก เพราะต้องไปหาซื้อจากพวกเจ๊กพวกจีนถึงในตลาดไกลออกไป พ่อบ้านที่นี่จึงต้องหาซื้อดินประสิวมาทำเอง
การจุดไฟแต่ละครั้งต้องระวังเป็นอย่างมากไม่ให้ไฟดับ เพราะถ้าดับไม้ถึงต้องจุดไม้ขีดอีกอัน เปลือง ในขณะที่ตอนอยู่บ้านแม่ผม ผมเปิดปิดสวิซไฟเป็นว่าเล่น
เดี๋ยวเปลี่ยนช่อง เดี๋ยวเปิดเพลง เดี๋ยวโน๊ตบุ๊ค ทุกอย่างง่ายไปหมด
หรือที่นี่หากแปรงฟันอาบน้ำ จะใช้กะลามะพร้าวรองน้ำอาบ ใช้ทีละขัน ผมเคยนับการอาบน้ำครั้งนึงใช้น้ำแค่ สิบห้าขันก็สะอาเอี่ยมแล้ว ในขณะที่ตอนอยู่บ้าน แปลงฟันทีผมเปิดน้ำทิ้งเป็นว่าเล่น
แสงไฟสว่างวาบขึ้นมาทันที ถึงจะไม่เจิดจ้าเท่าไฟนีออน แต่ก็สว่างพอให้เห็นเงาของตัวเองที่กำลังนอนก่ายหน้าผากคิดถึงสิ่งที่หมอปีย์พูดเมื่อสักครู่
"มันเป็นอะไรของมัน" ผมคิด
"ปังๆๆๆ" เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผมสะดุ้ง
"ใคร"
"นอนรึยัง" เสียงชายหนุ่มดังขึ้น
"ถ้านอนแล้วกูจะพูดได้มั๊ย บ้ารึป่าว"
"เปิดประตูหน่อยเถิด พ่อ เรามีเรื่องจะคุยกับเจ้าสักประเดี๋ยว"
ผมลุกขึ้นขมวดปมกางเกงให้แน่นขึ้น จัดที่จัดทางน้องให้เรียบร้อย
"แอ๊ดดดดดดดดดดด" เสียงประตูเปิดออก
"อ่าว หมอ มีอะไร" หมอปีย์ยืนถือตะเกียงยกขึ้นส่องหน้าตัวเอง หน้ามันเนี๊ยนเนียน คนอะไร
"ให้เราเข้าไปหน่อยเถิด"
ผมปล่อยให้หมอปีย์เดินเข้ามา เขานั่งลงบนเก้าอี้ไม้
"เจ้าจะนอนแล้วรึ"เขาถาม
"ยังหรอก นอนคิดอะไรเพลินๆ" ผมนั่งลงบนเตียงตรงข้ามมัน
"คิดเรื่องที่เราพูดเมื่อสักครู่หรือ"
"เปล่า ไหนล่ะ มีอะไร"
"เอ่อ เราแค่จะเข้ามาบอกเจ้าว่า เอ่อ............" มันอ้ำๆอึ้งๆอีกแล้ว เป็นนิสัยประจำมันไปละ
"นี่ จะเอ่อ อ่า อีกนานป่าววะ มีอะไรพูดตรงๆ เบื่อเว้ย" ผมรำคาญ
"เอ่อ เรื่องที่เราพูดกับเจ้าน่ะ ลืมไปเสียเถิดนะ อย่าคิดมาก"
"เรื่องอะไร" ผมทำไขสือ
"เรื่องนั้นแหละ"
"เรื่องนั้นน่ะเรื่องอะไร" ผมพยายามคาดคั้นให้มันพูด
"ก็เรื่องที่เราพยายามจะบอกเจ้านั่นแหละ" มันหลุดออกมา "อย่าคลางแคลงในตัวเราเลยนะพ่อ เราแค่ไม่เข้าใจตัวเองแค่นั้น"
"หึๆ อย่าพยายามเข้าใจจิตใจตัวเองเลย มันยากเกินไป สำหรับเรา ใจเป็นนาย เรามีหน้าที่ง่ายๆคือ แค่ทำตามใจสั่ง........แค่นั้น ง่ายป่ะ"
"แล้วหากสิ่งที่ใจสั่งมันผิดเล่า เจ้าจักทำตามมันอยู่หรือไม่"
"อะไรล่ะที่เรียกว่าผิด"
"ผิดที่เราว่าก็คือ ผิดจารีต ประเพณี ผิด เอ่อ......ธรรมชาติ"
"ก็ถ้าใจเจ้าว่าผิด มันก็ผิด แค่นั้น อย่าเยอะ"
"เฮ้อ..................." หมอปีย์ถอนหายใจ ดูเหมือนไม่บ่อยนักที่จะเห็นมันถอนหายใจ "เจ้าเคยบอกเราว่า บ้านเมืองเจ้ามี เอ่อ เรื่องชายมีจิตพิศวาสชายด้วยกันมากกระนั้นรึ"
"อ๋อ ใช่ๆ สมัยชั้นทุกอย่างอิสระเสรี เราเรียกความอิสระเสรีนั้นว่า "สิทธิ" คนยุคชั้น เอ่ะอ่ะ อะไรก็จะอ้างว่า มันสิทธิของชั้น พวกเขารับรู้แค่สิทธิของชั้น แต่ไม่เคยใส่ใจกับสิทธิของสาธารณะ เอาง่ายๆนะ เวลาดูหนังจะมีคนนั่งเล่นบีบี ไฟสาดหน้าคนอื่น พอถูกด่า เธอก็จะอ้างว่า นี่มันสิทธิของชั้น แต่เธอลืมไปว่า คนอื่นก็มีสิทธิที่จะดูหนังอย่างสงบเหมือนกัน นายพอเข้าใจมั๊ย"
มันส่ายหน้า
"ช่างเหอะ เอาเป็นว่า เรื่องความรักของชายกับชายก็เหมือนกัน มันเป็นเรื่องของคนสองคน คนสมัยชั้นเขาไม่ยุ่ง ไม่สนใจหรอก"
"ช่างน่าอิจฉาบ้านเมืองเจ้าเสียจริง" มันเปรยเบาๆ
"จะอิจฉาทำไม นายอยากมีแฟนเป็นผู้ชายเหรอ" ผมแกล้งแซวไปเล่นๆ
"เอ่อ เปล่าเปล่า หาใช่อย่างนั้นไม่ เจ้าจงอย่าเข้าใจเราผิด ไม่ใช่ๆ" มันแก้ตัวพัลวัน
"อารายกัน แค่ล้อเล่นทำไมต้องหน้าแดงขนาดนั้นด้วย โอ้ ดูดิๆ"
ผมลุกขึ้นไปใช้นิ้วจิ้มแก้มมัน
"อย่าสิ เจ้าบ้า" มันอายจริงๆ
"เฮ้ย หน้าแดงจริงนะเนี๊ยะ คิดอะไรกับกูป่าววะ"
"เจ้านี่มันลามปามเสียจริง เราไปนอนแล้ว" หมอนั่นทำท่าลุกขึ้นจะเดิน
"เฮ้ย เดี่ยวสิ" ผมตะโกน มันตกใจสะดุ้ง "เอ่อ อย่าเพิ่งไปได้ป่าว คือ เรานอนไม่หลับน่ะ"
"...................................."
-
สู้ๆหมอปีย์ จับกดไปเลย 5555 o13 o13
-
สั้นจนข้าจักลงแดง
-
ต่อหน่อยน้า
นะ นะ นะ
:impress: :impress:
-
สงสารหมอปีย์ :เฮ้อ:
+1
-
สั้นจนข้าจักลงแดง
เจอเมนท์นี้เข้าไป ฮากร๊ากเลยตรู
-
หมอนั่นนั่งลงข้างผมอีกครั้ง เรือนหลังนี้พอตกกลางคืนก็จะมีแค่ผมกับมัน บ่าวไพร่ต่างแยกย้ายไปนอนที่เรือนหลังบ้าน นายสนก็ขลุกตัวอยู่แต่เรือนท้ายสวน
ที่นี่จึงเป็นเหมือนบ้านร้างในเวลากลางคืน
"เจ้าไม่รีบนอนเสีย รุ่งเช้าจักตื่นไม่ทันเรือนนู้นทำสำรับอีก" หมอปีย์ว่า
"เออ ชั้นลืมไปเลย ชั้นคงไม่ตื่นแน่ๆ เพราะไม่มีนาฬิกาปลุก เอางี้ นายช่วยอะไรชั้นหน่อยได้มั๊ย"
"อะไรรึ"
"ช่วยปลุกชั้นหน่อยนะ" มันยิ้มมุมปากอย่างอ่อนโยนก่อนจะพยักหน้ารับคำ
เราทั้งคู่เงียบกันไป เพราะต่างคนต่างไม่รู้จะพูดเรื่องอะไรกัน ถึงแม้ว่าอายุเราจะไล่เลี่ยกัน แต่ช่องว่างของเวลากลับทำให้รู้สึกว่ามันห่างกันแสนไกล
"นายเบื่อที่นี่มั๊ย" ผมถาม
"ไม่นิ ทำไมรึ"
"ไม่รู้สิ ชั้นก็แค่คิดว่า บางที นาย อาจ จะ เอ่อ เบื่อก็ได้"
"เจ้าเบื่อรึ"
ผมส่ายหัว แต่แววตาล่องลอย
"บางทีนะ นาย ชั้นก็อยากจะอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่กลับไปบ้านอีก" ผมเปรยๆ
"ได้สิ เจ้าอยู่ที่นี่กับเราได้ตลอด" แววตาหมอนั่นเป็นประกาย
"แต่ชั้นก็รู้มันเป็นไปไม่ได้ สักวันเวลาของชั้นที่นี่ก็ต้องหมดลง เฮ้อ"
"เจ้าหมายความเยี่ยงไร"
"ช่างเถอะ"
แล้วเราทั้งคู่ก็เงียบไปอีก
"เออ นายยังเล่าเรื่องของหลวงอะไรนะที่ถูกจับได้ว่าไปมีอะไรกับนายละครยังไม่จบเลย" ผมนึกขึ้นได้
"อ๋อ เรื่องกรมหลวงรักษ์รณเรศน่ะรึ" มันทำท่าครุ่นคิด "หลังจากที่ได้รับการไต่สวนจากหลวงแลเห็นว่าผิดจริง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงตัดสินสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ ที่วัดปทุมคงคา"
"โห ถึงขนาดต้องประหารกันเลยเหรอ" ผมตกใจ
"หาใช่แค่เรื่องเสพสังวาสวิตถารไม่ แต่ยังมีเรื่องก่อกบฏ ฉ้อราษบังหลวงทำให้ชาวประชาเดือดร้อนทุกย่อมหญ้า โทษจึงต้องประหาร"
"สมัยนายเรื่องแบบนี้คงเป็นเรื่องที่ผิดมากๆเลยนะ แล้วมันมีมั่งรึป่าวอ่ะ แบบชายรักชายน่ะ"
"เราไม่รู้ดอก แต่สยาม ณ เวลานี้ เราเป็นเมืองพุทธ อยู่ในจารีตประเพณี วัฒนธรรมดีงาม เรื่องแบบนี้คงหามีดอก"
"เหรอ หรือมีแต่นายไม่รู้" ผมแซว
"คงกระนั้นเสียกระมัง" แววตาหมอเศร้าสร้อยลงไป "แล้วเจ้ารู้สึกเยี่ยงไรกับคนพวกนี้กันเล่า น่ารังเกียจหรือไม่"
"โอ้ย ไม่หรอก ชั้นมีเพื่อนฝูงแบบนี้เยอะไป เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติสำหรับชั้น ว่าแต่ ถามจริงๆเหอะ ที่นายไม่มีแฟนเนี๊ยะ เพราะนายเป็นเอ่อ แบบว่า ชายรักชายป่าววะ"
ผมตั้งใจจะพูดแซวเล่นขำๆ แต่หมอนั่นเงียบไปนาน นานมาก
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
"เราง่วงแล้ว ขอตัวไปนอนก่อน" แล้วมันก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปเงียบๆ
-
อยากต่อยาวๆเหมือนกันแหละครับ เพราะว่าเรื่องมันแล่นอยู่ในหัวเต็มไปหมด
แต่ว่าสังขารไม่อำนวย แบบว่า ง่วงนอนมากกกกกกกกกกก
ขอโทษน๊า เอาเป็นว่า เดี๋ยวจะเขียนยาวๆแล้วมาลงตูมเดียวจบเลยดีป่าว 555 :z1:
-
จารีต ขนบธรรมเนียม ประเพณี มันบีบซะจนหมอหน้าเขียวไปหมดแล้ว
อัชไม่รู้จักสังเกตบ้างเรอะ สมละที่เป็นเจ้าบ้า
-
สงสารหมอปีร์ สังคมสมัยก่อนมันไม่เหมือนสมัยนี้ เหาะข้ามเวลามารักกันที่ปัจจุบันเหอะ
ไม่ก็ไปเมืองนอกรักกัน
-
อยากต่อยาวๆเหมือนกันแหละครับ เพราะว่าเรื่องมันแล่นอยู่ในหัวเต็มไปหมด
แต่ว่าสังขารไม่อำนวย แบบว่า ง่วงนอนมากกกกกกกกกกก
ขอโทษน๊า เอาเป็นว่า เดี๋ยวจะเขียนยาวๆแล้วมาลงตูมเดียวจบเลยดีป่าว 555 :z1:
ดีคะพี่เป็ด อยากอ่านที่เดียวจบ ฮ่าๆๆ แล้วมีเรื่องมาใหม่ต่อนะคะ อิอิ
หมอปีย์พูดไปเลย อย่าได้สนใจเจ้าบ้า หรือจับกดอย่าได้รอช้า อิอิ
-
โถ จะทำตามใจต้องการก็ไม่ได้ :monkeysad:
-
ดีหมอปีย์พูดไปเลย อย่าได้สนใจเจ้าบ้า หรือจับกดอย่าได้รอช้า อิอิ
ใจคอจะให้อัชย์โดนกดอย่างเดียวเลย 5555
ไม่คิดว่า หมอปีย์จะโดนบ้างเหรอครับ
-
สงสารหมอปีย์ :เฮ้อ:
โดดน้ำกลับบ้านกับตาอัชย์เลยค่ะ :laugh:
-
ฮ่าๆๆนั่นสิ
จับกดไปเ้ลย o13
-
โธ่ หมอปีย์น่าสงสารรรรรรรรรร
ว่าแต่นี่น้องอัชย์โง่จริงหรือแกล้งโง่หน่ะ ถึงไม่เข้าใจว่าหมอปีย์ต้องการสื่ออะไร
-
เห็นใจหมอปีย์จริงๆตอนนี้ :เฮ้อ:
เรื่องแบบนี้ในสังคมส่วนรวมยังคงต้องแอบและปกปิดต่อไป
แต่เรื่องของหัวใจแล้วคงมีอิสระพอที่จะรักใครก็ได้...มิใช่หรือ
+1ครับสำหรับ :L1:
-
นายอัชย์นี่หนา รู้อะไรกับเขามั่งมั้ยเนี่ย
:serius2:
-
เราง่วงแล้วขอตัวไปนอนก่อน :z3: ตัดบทตื้อๆ ซะงั้นอ่ะหมอปีย์
-
สั้นจนข้าจักลงแดง
เห็นด้วยอย่างแรงค่ะ o18
-
น่าสงสารหมอจัง
สมัยก่อนคงอึดอัดมาก
-
จับกดเหอะ :haun4: จะได้เข้าใจ
พูดอ้อมไปอ้อมมา อัช คงไม่เข้าใจง่ายๆหรอก
-
:เฮ้อ:
หมอปีย์เริ่มรู้ตัวแล้วนะ พ่ออัชอย่าชักช้าเดี๋ยวจะเสียการ
-
:monkeysad: :monkeysad: :monkeysad:สงสารหมอปรีย์อะ
ใครก็ได้ช่วยที :serius2:
:กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
-
วุ้ย รู้เสียยิ่งกว่ารู้ ทำแอ๊บไปงั้นเองแหละ เอาเชิง อิอิ
References:
๑. "อ่าว หมอ มีอะไร" หมอปีย์ยืนถือตะเกียงยกขึ้นส่องหน้าตัวเอง หน้ามันเนี๊ยนเนียน คนอะไร
๒. "เรื่องอะไร" ผมทำไขสือ
๓. "เรื่องนั้นน่ะเรื่องอะไร" ผมพยายามคาดคั้นให้มันพูด
๔. "ได้สิ เจ้าอยู่ที่นี่กับเราได้ตลอด" แววตาหมอนั่นเป็นประกาย
คุณหมอปรียา(Pierre)นี่ก็ช่างหน่ายอี้ฟ(naive)เสียจริงนะคะ
๑๗๑ + ๑ = ๑๗๒
ขอบคุณนะคะ คุณ เซ็งเป็ด
-
สงสารอ่า อัชย์ก็....นะ
-
บอกไปเลยว่าเราชอบเจ้านะ
5555+
-
หมอปีย์ จะสนจารีตอันใด จับมันกดซะเลยก็สิ้นเรื่อง เนอะ เนอะ :laugh3:
+1 ขอบคุณนะคะ(คุณ :seng2ped:)
-
หมอปีย์คงกระอักกระอ่วนน่าดู
แบบรู้ว่ารู่้สึกอะไรยังไงอยู่
แต่ ณ เวลานั้น มันเป็นอะไรที่แปลกใหม่มากๆ
โธ่พ่อคุณ น่าจะให้หมอปีย์ เดินทางมาเวลาปัจจุบันบ้างเน๊อะ
-
"ถามจริงๆเหอะ ที่นายไม่มีแฟนเนี๊ยะ เพราะนายเป็นเอ่อ แบบว่า ชายรักชายป่าววะ"
ผมตั้งใจจะพูดแซวเล่นขำๆ แต่หมอนั่นเงียบไปนาน นานมาก
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
"เราง่วงแล้ว ขอตัวไปนอนก่อน" แล้วมันก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปเงียบๆ"
อ่านประโยคนี้จบแล้ว สงสารหมอปีย์จับใจ มันคงอึดอัดใจจนแทบบ้าเนอะ กว่าจะคิดคำนี้มาได้อกคงแทบระเบิด
-
:call:
-
หึหึ หมอปีย์~~~~ อ๊าย~~~
-
โอ้วววว พี่เป็ด ใยท่านถึงทิ้งเรื่องไว้ให้ข้าระทมหม่นหมองเยื่ยงนี้
โปรดรีบมาจัดการ "เปิดใจ" ของบุรุษ สองผู้นี้ แต่โดยไว
-
ใช่แน่เลยหมอ.... :laugh:
หวั่นไหวกับเชฟอัชย์แล้วล่ะสิ :impress2:
-
แม่ไม่เข้าใจดาว แม่ไม่เซนสิถีบ กับเรื่องแบบนี้หรอก
-
อ่านแล้วใจก็นึกไปถึงคนยุคนั้นสมัยนั้น จักต้องรวบรวมความกล้ามากเพียงใด เพียงแค่จะเอ่ยออกไปว่า "เรารักเจ้า"
เพราะหาใช่เรื่องง่า่ยไม่ ผิดกับหนุ่มๆ ยุคนี้สมัยนี้เสียจริง
บวก ๑ ขอรับ
-
:เฮ้อ:
สงสารหมอปีย์ สมัยนั้นคงกดดันน่าดูเรื่องแบบนี้ :กอด1:
-
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด :m3:
หมอปีย์รู้ใจตัวเองแล้วสินะ แต่ก็กลัวเขารังเกียจเลยต้องปะเลาะถามก่อนสินะ :m12:
เจ้าเชฟอัชย์นี่ก็ช่างไม่รู้อะไรเล้ยยยยยยย จะมึนไปไหน แต่ปากก็ยังร้ายไม่เปลี่ยนจริงๆนะ o16
ปล.ในหนังสือภาษาไทยมีแบบนี้ด้วยเหรอ? ไม่เคยอ่านเจออ่ะ :confuse:
ปล2.อ่านตอนคุณชั้นทำอาหารแล้วน้ำลายจะไหล หิววววววววววววววววว~ :z1:
-
สงสารหมอปีย์จังงง
น้ำท่วมปาก
พูดอะไรก็ไม่ได้
-
ง่า หมอปีย์เศร้าๆ(บวกสับสน)แบบนี้น่าสงสารจัง
นี่แหละ ช่วงเวลาแห่งการรุก อิอิ
-
มารักกันที่ปัจจุบันก้ได้นะ
สงสารหมอปีย์จัง
-
ขอให้รักกันแบบทั้ง อดีด ปัจจุบัน อนาคต เลยได้มั้ย คะ
-
ให้หมอปี มาในยุคปัจจุบันบ้างงงดิ
-
อัพหน่อยจ้า
อยากอ่านแล้ว
ขอบคุณมาก ๆ
:call:
-
โอ้วววว พี่เป็ด ใยท่านถึงทิ้งเรื่องไว้ให้ข้าระทมหม่นหมองเยื่ยงนี้
โปรดรีบมาจัดการ "เปิดใจ" ของบุรุษ สองผู้นี้ แต่โดยไว
เห็นด้วยกับรีพลายของท่านผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง ขอรับ
-
อืม สงสารหมอปีย์ว่ะ รู้สึกว่าเหมือนจะโดนแกล้งอย่างไรก็ไม่รู้
-
อึดอัดแทนหมอปีย์ ทั้งเพศ ฐานะ และยุคสมัย มันช่างรุมเร้าซะเหลือเกิน :o12:
-
สงสารหมอปรีย์อ่ะ :monkeysad:
-
เข้ามารอค่ะ :L2:
-
โถหนูอัชไปถามหมอปีย์แบบนั้นทำไม มันจี้ใจดำนะ
-
รอตอนต่อไปโลด :man1:
-
เป็นกำลังใจให้หมอปีย์นะ
-
โอ้วววว พี่เป็ด ใยท่านถึงทิ้งเรื่องไว้ให้ข้าระทมหม่นหมองเยื่ยงนี้
โปรดรีบมาจัดการ "เปิดใจ" ของบุรุษ สองผู้นี้ แต่โดยไว
^
^
ใจตรงกันยิ่งนักเจ้าค่ะ
หลายเพลาแล้วที่อิฉันเฝ้ารอเจ้าคุณพี่ แต่ก็มิได้ประสพแม้แต่เงา โอ้ ช่างร้าวรานใจยิ่งนัก
-
ได้อ่านเรื่องนี้ แล้วแปลกไปอีกแนวนึง ปกติจะอ่านนิยายที่เป็นปัจจุบันทั่วไป
ขอบอกว่าเรื่องนี้น่าอ่านเอามาก ๆๆ เลยครับ ส่วนตัวแล้วผมชอบ
เนื้อเรื่องน่าติดตาม ตัวละครมความผูกพันกัน
แต่สงสารหมอปรีย์ คงอึดอัดน่าดู กับความรู้สึกที่เป็นแบบนี้
เพราะในสมัยนั้การที่จะบอกชอบใครสักคน ที่ไม่ใช่ชายหญิง มันคงยากน่าดู
ยังไงเอาใจช่วย ตัวเอกของเรานะครับ
รีบมาต่อนะครับ รออ่านอยู่ ชอบบบบบบบบบบบบบบ
-
อัพหน่อยครับ
สงสารคุณหมอนะ
:impress:
-
น่าสงสารหมอจัง
เก็บกดน่าดู อิอิ :-[
-
เข้ามาอ่านรอบที่ 3 ก็ยังไฉไลเหมือนเดิม
เฮ้อออ.....มีฟามสุข
-
ชอบจังอ่ะ :L2:
มาต่อเร็วๆนะครับ
-
รับจ้างดันกระทู้
-
มารอหมอปีย์ ครับ
-
ชอบเรื่องนี้
เมื่อไหร่จะมาอัพน้า
-
มารอทุกคืนวันก็ไม่เห็นหมอปียมาชักทีอ่ะคับ
คิดถึงมากๆนะ
-
ต้องทำเงื่อนไขแห่งกาลเวลาให้ครบละมัง
-
:monkeysad: :monkeysad: :monkeysad:คิดถึงหมอปีย์จะแย่แล้ว :sad4: :sad4: :call: :call: :call:
-
เช้าวันนั้นผมตื่นได้ด้วยแรงถีบของนังอ่ำ มันเล่นแรง ผมกำลังฝันเคลิ้มๆอยู่ จู่ๆก็ได้ยินเสียงดังตุ๊บ และเมื่อลืมตาก็เห็นสภาพตัวเองนอนอ่าซ่าอยู่บนพื้น เมื่อหันไปเค้นถามความเอาจากนังอ่ำ มันก็บอกว่าปลุกผมสารพัดวิธีจะปลุกแล้ว แต่ไม่ตื่นเสียที
“แล้วเจ้านายป้า ไม่มาปลุกชั้นเหรอ” ผมถามเพราะจำได้ว่าเมื่อคืนก่อนนอนผมสั่งให้มันมาปลุก
“มันจะมากไปแล้วนะเจ้าบ้า คุณหลวงท่านเป็นใคร เอ็งเป็นใคร ให้มันรู้จักที่ต่ำที่สูงเสียบ้าง” มันด่าผม
ผมอยากจะบีบคอมันใจจะขาด แต่ก็ต้องขอบใจมันที่ทำให้ตื่นไปเรียนทำอาหารกับคุณชั้นจอมเนี๊ยบได้ทัน
ผมเดินออกมาจากเรือนหมอปีย์ในขณะที่ฟ้ายังไม่สาง มองเห็นแค่ดาวประจำเมืองส่องแสงอยู่ไกลๆ บรรยากาศวังเวงจนผมขนลุกนี่ขนาดใกล้รุ่งแล้วนะ ยังน่ากลัวขนาดนี้
ผมเลยสั่งให้นังอ่ำมันเดินมาส่งเป็นเพื่อน ตอนแรกมันก็ไม่เต็มใจหรอก แต่ขู่มันไปว่าถ้าไม่เดินมาส่ง กูจะถีบมึงคืน มันเลยยอม
แต่ไม่รู้ว่าคิดถูกคิดผิดที่ให้มันมาส่ง ไปไปมามา เดินกับมันยิ่งวังเวงกว่าเป็นร้อยเท่า
ประตูเรือนคุณชั้นเปิดออก ผมชะโงกหน้าเข้าไปดูในบ้าน ยังไม่เห็นมีคนลงมาที่โรงครัว พาลนึกดีใจ ครั้งนี้คงไม่โดนคุณชั้นดุเอาอีกเป็นแน่
โรงครัวของบ้านนี้ตั้งอยู่ใต้ร่มต้นมะขามใหญ่ ผมเพิ่งรู้เองว่าบ้านเรามีต้นมะขามใหญ่ขนาดนี้ด้วย ปัจจุบันที่ตรงนี้เป็นบ้านผมเสียแล้ว
ผมนั่งรออยู่ไม่นาน เสียงคนเดินลงบันไดเรือนใหญ่มาอย่างแผ่วเบา คุณชั้นนั่นเอง
“Goo morning ครับคุณชั้น” ผมยกมือไหว้หน้าทะเล้น แต่เธอไม่หันมามอง ไม่รับไว้ เหมือนเดิม ไม่เป็นไร ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก
“วันนี้จะให้ผมช่วยอะไรดีครับ” อ่อนน้อมยิ้มแย้มตามคำแนะนำของหมอปีย์สุดชีวิต แต่คุณชั้นก็ยังไม่ตอบ
“นังผาด วันนี้หุงข้าวเผื่อเพลาเที่ยงเสียเลย เราจะทำข้าวแช่” คุณชั้นหันไปสั่งคนใช้ หล่อนรับคำก่อนจะเดินไปตักข้าวสารใส่กระด้ง มากกว่าเมื่อวานเท่านึง
“เอ้า เอาไปเลือกข้าวเปลือก” บ่าวที่ชื่อผาดยื่นกระด้งมาให้ผม เล่นเอาผมเหวอไปเลย
“อีกแล้วเหรอ ให้เลือกข้าวเปลือกอีกแล้วเหรอ ไรว้า” ผมบ่นแต่ต้องจำใจก้มหน้าก้มตาเลือกข้าวสารต่อไป
พวกบ่าวในเรือนเริ่มทำงานกัน ต่างคนต่างรู้หน้าที่ใครทำอะไร ต่างคนต่างแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเอง ผมนั้นก็มีหน้าที่ที่แสนจะโคตรหน้าเบื่อ แต่ก็ถือซะว่าอย่างน้อยได้มีส่วนร่วมในการทำอาหารของเรือนหลังนี้บ้างก็ยังดี
ความน่าตื่นเต้นอีกอย่างของการเรียนที่เรือนคุณชั้นคือ
คุณจะไม่รู้ว่าวันนี้จะทำอะไรจนกว่าอาหารจานนั้นจะเสร็จสมบูรณ์แบบออกมาแล้วเท่านั้น
อย่างวันนี้ก็เช่นกัน ผมเห็นคนงานผู้ชายหิ้วปีกเป็ดตัวกำลังพอเหมาะ ก่อนจะเอาน้ำมันอะไรสักอย่างหอมๆ ทาจนทั่วตัวเป็ดจนเงาเลื่อม ก่อนจะเอาไปย่างกับเตาถ่าน ที่ไฟกำลังดี กลิ่นหอมไหม้อ่อนๆลอยมาเตะจมูก
ผมเดาเอาว่ามื้อนี้ต้องทำอะไรที่เกี่ยวกับเป็ดแน่ๆ
(ก็แหงสิวะ เห็นเป็ดเป็นตัวขนาดนี้ มึงคิดว่าเขาจะแกงหมูใบชะมวงรึไง)
เป็ดถูกย่างจนหนังเกรียมจากนั้น พ่อครัวคนนั้นก็เอามาเลาะกระดูกออก แล้วสับเป็นชิ้นๆ ในขณะที่คนอื่นต่างช่วยกันคนละไม้คนละมือ ตำน้ำพริก หั่นผัก แม้แต่เด็กๆยังช่วยกันเด็ดใบโหระพาเลย
แล้วตูนี่หล่ะฟะ ทำอะไร นั่งเลือกข้าวเปลือก เฮ้อ
“ไอ้บุญไปได้เป็ดมาจากไหนละนั่น ตัวใหญ่อวบเชียว” เสียงบ่าวผู้หญิงอีกคนที่ขะมักขะเม้นกับการตำน้ำพริกถาม
“ข้าไปขอปันจากบ้านเจ๊กฮวดมา เหนว่ามีหลายตัว คราแรกมันไม่ยอม แต่พอบอกว่าคุณชั้นจะเอาไปทำสำรับ มันรีบบั่นคอให้มิต้องขอเลย” แล้วเสียงหัวเราะเล็กๆก็ดังขึ้น แต่พอคุณชั้นหันมาตาเขียวปั๊ด ทั้งหมดก็เงียบลงอย่างพร้อมเพรียง
เครื่องแกงถูกตำจนละเอียดระหว่างที่ตำนั้นเสียงจังหวะตำของแม่ครัวนางนี่ช่างเป็นจังหวะเท่ากันและมีน้ำหนัก บ่งบอกถึงความเป็นมืออาชีพมาก เครื่องแกงสีแดงสด ถูกช้อนเขียวตักขึ้นก่อนจะใส่ลงไปในหม้อที่มีกะทิเดือดปุดๆ
“กะทิแตกมันกำลังดี รีบเอาพริกแกงลง คนให้พริกแกงละลาย มิเช่นนั้นน้ำแกงจะเป็นก้อน ทานแล้วไม่ละมุนลิ้น” เสียงคุณชั้นกำกับอยู่ห่างๆ
จากนั้นคุณชั้นก็แย่งจวักมาจากแม่ครัว เมื่อเธอเห็นว่าบ่าวคนนั้นทำไม่ถูกใจเธอ เธอคนน้ำแกงในหม้อเป็นจังหวะ ก่อนจะหยิบเป็ดที่หั่นไว้แล้วนั่นเทลงหม้อ ตามด้วยหางกะทิที่เหลือ
แค่นี้กลิ่นหอมของพริกแกงที่ผสมผสานอย่างลงตัวกับเป็ดย่างก็ทำให้ผมแทบลอยแล้วครับ ได้กินกับข้าวสวยร้อนๆนะ หือ อร่อยอย่าบอกใคร
เมื่อเธอเห็นว่าเนื้อเป็ดย่างเข้ากันดีกับน้ำแกงแล้ว เธอจึงจัดแจงใส่สัประรดหั่นชิ้นพอคำลงไป ตามด้วยลิ้นจี่ และมะเขือเทศตาม ใส่กะทิเพิ่มอีกนิด จากนั้นปรุงรสด้วยน้ำปลาหมักจากเมืองระยอง และน้ำตาลปี๊บ รอจนกะทิเดือดอีกครั้ง จึงใส่ใบมะกรูดลงไป
“ใส่เครื่องปรุงแค่นี้เองเหรอครับคุณชั้น” ผมถาม
แต่แกไม่ตอบ เพียงแต่พูดลอยๆเหมือนสอนพวกบ่าวไพร่ขึ้นมาว่า
“เสน่ห์อย่างหนึ่งของของอาหารไทยคือรสชาติที่กลมกล่อม จัดจ้าน และได้คุณประโยชน์จากสมุนไพร รสชาติอาหารไทยนั้น ล้วนแล้วแต่มีเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเองนะ นังผาด สมัยชั้นอยู่ในวัง รสทั้งหลายจะเรียกว่า เบญจรส คือรสทั้ง๕ อันได้แก่ เค็ม เปรี้ยว หวาน มัน แล เผ็ด โดยแต่ละรสได้จากพืชผักสมุนไพร และเนื้อสัตว์ตามแต่จะมี”
“เป็นการดึงเอารสชาติแท้ๆของอาหารออกมาว่างั้น” ผมพูดคนเดียวในขณะที่ก้มลงแหกตาเลือกข้าวเปลือก
“ไหนเจ้าลองชิมสิ รสชาดเปนเยี่ยงไร” นังผาด ค่อยๆใช้จวักตักน้ำแกงมานิดนึง ก่อนจะแตะลงบนนิ้วแล้วเอาเข้าปาก
“จับๆ” เสียงแกกำลังพยายามค้นหารสชาติ “กำลังดีเจ้าค่ะ คุณชั้น ฝีมือคุณชั้น มิต้องปรุงอันใดเพิ่มเลยนะเจ้าคะ” แหม เข้าใจประจบนะป้า
“อืม งั้นก็ดีแล้ว เร่งตกใส่ถ้วยแล้วยกขึ้นเรือนเข้าเถิด อีกประเดี๋ยว เจ้าทางเหนือก็จักมาถึงแล้ว อ้อ แล้วปลาช่อนที่เราสั่งให้ห่อใบตองปิ้งเล่าได้ที่หรือยัง”
“ได้แล้วขอรับ” เสียงรับจากบ่าวผู้ชาย
“ดีๆ ของเผ็ดๆเยี่ยงนี้เข้ากันดีกับปลาแห้ง ปลาเค็มนักแล”
แล้วคุณชั้นก็เดินขึ้นเรือนไป ปล่อยให้ผมนั่งแกร่วอยู่เหมือนเดิม
“ป้าๆ” ผมเรียก “ป้า ชั้นยังไม่ได้กินข้าวเลย ขอชั้นกินข้าวด้วยคนสิ” ผมร้องขอ น่าสงสารเน๊อะ แต่ใจจริงน่ะ อยากจะชิมแกงของคุณชั้นมากกว่า
“รอประเดี๋ยว ให้ข้าเอาแกงไปให้คุณก่อน “ ป้าผาดทำเสียงดุ
ผมจะทำยังไงได้ นอกจากนั่งเลือกข้าวเปลือกต่อไป ไม่หือไม่อือ
.
.
.
.
เวลาผ่านไปจนเลยข้าวเช้าที่บ้านหมอปีย์ ผมยังนั่งเลือกเข้าเปลือกด้วยอารมณ์เบื่อเต็มทน ท้องก็เริ่มร้องเสียงโครกคราก ตาก็เริ่มลาย
“นี่ เจ้าน่ะ อ้าว” เสียงป้าคนเดิมเดินถือถ้วยอะไรไม่รู้อยู่ในมือ ก่อนที่เธอจะยื่นให้ผม
“คุณชั้นเธอบอกว่า กับหมดแล้วเหลือแต่ข้าวสวย เธอว่าให้เอ็งหากินในครัวเอาเอง”
อ้าว แล้วไงอ่ะ จะให้ผมกินกับอะไร ข้าวสวยถ้วยเดียวเนี๊ยะนะ
ถ้วยข้าวสวยวางอยู่เบื้องหน้า ไอร้อนลอยกรุ่น กลิ่นหอมใบเตยอ่อนๆ เม็ดขาวอวบสีขาวขึ้นหม้อ ก็ทำให้ผมกลืนน้ำลายได้เหมือนกัน
ผมลุกขึ้นเดินเข้าใปในเรือนครัว พยายามหาอะไรที่พอจะกินกับข้าวนี่ได้มั่ง อย่างน้อยได้แมกกี้ สักขวดกับไข่ต้มก็ยังดี
แต่.......คุณพระ!!!
ไม่มีอะไรเหลือให้ผมเลย มันถูกยกไปไว้เรือนใหญ่หมด มีเพียงหม้อแกงเผ็ดเป็ดย่างเมื่อกี้เท่านั้น ที่วางไว้มุมครัว ผมรีบปรี่เข้าไปด้วยความหิว เอาวะ จะได้กินแกงคุณชั้นก็คราวนี้แหละ เปิดฝามา
“ผ่าง”
“เฮ้ย อะไรวะเนี๊ยะ” ผมต้องร้องเฮ้ยออกมาเมื่อพบว่าในหม้อนั้นไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลยนอกจากน้ำแกงก้นหม้อ
“เอาวะ ดีกว่าไม่มีอะไรให้แดก” ว่าแล้วผมก็เทข้าวสวยที่อยู่ในมือลงไปคลุกกับน้ำแกงก้นหม้อ จนข้าวสีขาวนวลตอนนี้ชุ่มไปด้วยน้ำแกงสีเหลืองเข้ม น่ากิน
“เฮือก” ผมกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะเทข้าวคลุกน้ำแกงลงใส่ถ้วย มองหาผักแนม ได้ถั่วฝักยาวสีม่วงๆมาสองอัน
“เฮ้อ ชีวิตหนอ ชีวิต” ผมว่า พลางเดินออกมานั่งที่โคนต้นมะขาม
“ช้อนเชิ้นก็ไม่มีให้กู” มองซ้ายมองขวา เมื่อไม่มีอะไร “มือนี่แหละวะ” ว่าแล้วผมก็เอามือขยำๆข้าวในถ้วยก่อนจะค่อยๆหยิบมันขึ้นมาอย่างยากลำบาก ข้าวร่วนซุยติดปลายนิ้วมาแค่ไม่กี่เม็ด
“แม่ง ลำบากชิบหาย” ว่าแล้วก็พยายามใหม่ คราวนี้ดีขึ้นกว่าเดิม ข้าวติดมือมามากขึ้น กลิ่นน้ำแกงหอมเตะจมูก ผมค่อยป้อนข้าวใส่ปากตัวเองมือไม้สั้นด้วยความหิว
“อืม ๆ” ค่อยๆบรรจงเคี้ยวข้าวอย่างละเมียดละไม
“แกงเผ็ดเป็ดย่างนี้ดูแค่สีสันแล้วนึกว่าจะต้องเผ็ดเอาการ แต่พอได้กินเข้าไปจริงๆกลับไม่เป็นอย่างนั้น รสชาติมันกลมกล่อม มันส์ข้นด้วยกะทิกลมกล่อม เผ็ดปลายลิ้น เค็มปะแล่มๆ และที่สำคัญรสเปรี้ยวนี้เข้ากันได้ดีกับแกง ช่วยให้แกงไม่เลี่ยนเลย อร่อยจริงๆ” ผมบรรยายซะอย่างกะเป็นผู้บรรยายรายการทีวีแชมเปี้ยน
แค่น้ำแกงก้นหม้อยังทำให้ผมเพ้อได้ถึงขนาดนี้ ถ้าผมมีวาสนาได้กินทั้งน้ำทั้งเนื้อคงได้ขึ้นสวรรค์เป็นแน่
“นี่เจ้าน่ะ คุณชั้นบอกให้กลับเรือนเจ้าไปก่อน คุณชั้นมีแขก” บ่าวของเรือนคุณชั้นเดินมาบอกผม ผมเงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นว่าที่หน้าบ้านมีเกวียนของใครสักคนมาจอด จากนั้นก็เห็นหญิงวัยกลางคนแต่งตัวเหมือนมาจากเมืองเหนือ พร้อมกันนั้นก็มีหญิงสาววัยน่าจะเด็กกว่าผมไม่กี่ปี ยืนอยู่ข้างๆ
“ไปสิ มองอันใดอยู่เล่า ประเดี๋ยวคุณชั้นเธอก็เอ็ดเอาดอก” ผมสะดุ้ง ทำท่าเลิกลั่ก
“วางชามไว้ตรงนั่นแหละ เดี๋ยวขาจักเอาไปล้างเอง กลับเรือนของเจ้าไปเสีย”
บ่าวคนนั้นเร่งรีบผลักไสผมให้ออกไปจากเรือนของเธอ ผมลุกขึ้นปัดตูดสองสามที ก่อนจะเดินอ้อมไปทางหน้าบ้าน มองเห็นหญิงสาวคนนั้นใกล้ๆ
“เฮ้ย ทำไมหน้าเหมือน..........................”
..............................................................
ผมเดินครุ่นคิดบางอย่างกลับมา ตั้งแต่เห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นทำไมผมถึงรู้สึกคุ้นตาเธอมาก ทั้งๆที่เหมือนว่าจะใช่ แต่คิดอีกทีมันจะเป็นไปได้ยังไงก็ในเมื่อ..........
“อ้าว....หมอ ไปไหนมาหล่ะนั่น” ผมเดินก้มหน้า พอเงยหน้าขึ้นมาก็เจอหมอปีย์เดินสวนมา
“.................................” มันไม่ตอบ เดินเลี่ยงไปอีกทาง
“เฮ้ย ถามน่ะ ไม่ได้ยินรึไง” ก็ยังไม่ตอบ
“เป็นอะไรของมันวะ” แล้วมันก็เดินหายขึ้นเรือนไป
บ่ายวันนั้นอากาศร้อนมากลมสงบนิ่งไม่มีวี่แววว่าจะพัดพาความเย็นให้ได้คลายร้อนกันมั่งเลย ผมมองหาพัดลม หรืออะไรสักอย่างที่พอจะทำให้เกิดความเย็นขึ้นมาบ้างแต่ไม่มีเลย สายตาเหลือบไปเห็นบ่าวผู้ชายนุ่งโจงกระเบน ตัวลายพล้อยเต็มไปด้วยแป้งทั้งตัวจึงเกิดปัญญา
“อ้อ”
ว่าแล้วก็จัดแจงอาบน้ำอีกรอบ ก่อนจะเอาแป้งพิมเสนที่นังอ่ำมันละลายน้ำทิ้งไว้ให้มาทาตัวทาหน้าจนตัวลายเป็นตุ๊กแก ก่อนจะนุ่งผ้าถุงไปนอนผึ่งลมที่มีอยู่น้อยนิดที่ศาลา ระหว่างที่กำลังเดินไปที่ศาลา ก็เห็นห้องหนังสือเปิดอยู่ ชะโงกหน้าไปดูก็เจอหมอนั่นนั่งอ่านตำราอยู่อีกเช่นเคย
“ ทำไรอ่ะ” ผมชะโงกหน้าเข้าไปถาม
มันก้มหน้าไม่ตอบ สงสัยกำลังยุ่ง ไม่เป็นไร แกล้งมันซะหน่อย
“นี่ๆ หูตึงรึไง ทำไมไม่พูด หรือเป็นใบ้” ผมสะกิดหลังมันเบาๆ แต่มันก็ไม่มีท่าทีจะสนใจผมเลย
ชักแป่งๆ
“เฮ้ย ไอ้หมอเนิร์ด เป็นไรป่าว ทำไมไม่ยอมพูดกับชั้น หรือว่า ชั้นทำอะไรผิดอีก”
“...........................”
“เฮ้ยพูดสิวะ บ้ารึป่าว เก็บกดไรก็บอก”
“..............................”
“นี่ ถ้าไม่พูด นะชั้นจะตะโกนให้ลั่นบ้านว่าโดนนายปล้ำ เอาป่าวหล่ะ” ไม้ตายๆ
“นี่ เลิกยุ่งกับ........................”จู่ๆมันก็เงยหน้าขึ้นมาหมายจะด่าผม แต่ทันทีที่มันเห็นสภาพผมเข้าสีหน้าก็เปลี่ยนไปจากที่บึ้งตึงเมื่อสักครู่ ตอนนี้มันกลับกำลังพยายามกลั้นหัวเราะอย่างหนัก
“เจ้าบ้า ทำอะไรของเจ้า ดูสารรูปสิ ดูได้ที่ไหน” ว่าแล้วแทนที่มันจะด่าผม มันกลับหัวเราะแทน
“ทำไม ก็ชั้นร้อนนี่นา บ้านนี้อยู่กันได้ยังไงไม่ร้อนกันมั่งเหรอ” ผมว่าพลางเอามือพัดลมใส่หน้าตัวเอง
“ไม่นี่ เราก็เห็นว่าเปนปกติดี อาจจะอ้าวไปบ้าง แต่ที่นี่ก็เปนเยี่ยงนี้อยู่แล้ว”
“เหรอ แต่ชั้นว่า ถ้าที่นี่ มีแอร์นะ จะน่าอยู่กว่านี้เยอะ” ผมว่าก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ริมหน้าต่าง
“แอร์เหรอ” เขาทำหน้างง
“เออ ก็แอร์นะสิ อ๋อ ลืมไป สมัยนี้ไม่มีแอร์” ผมยิ้ม “แอร์บ้านชั้นก็คือ เครื่องสี่เหลี่ยมอันใหญ่ๆ เอาไว้แขวนไว้ตรงผนังห้อง มันจะทำให้ห้องเย็นขึ้นเวลาร้อนๆ” ผมอธิบาย
“จักเปนไปได้เยี่ยงใด ที่หีบสี่เหลี่ยมจะทำให้เย็นขึ้น”
“จะบ้าเหรอ ไม่ใช่หีบ”
“ก็เจ้าบอกว่าเครื่องสี่เหลี่ยม”
“เฮ้อ............” ผมถอนหายใจ
“บ้านเมืองเจ้าร้อนมากเลยรึ ถึงต้องมีหีบเช่นนั้นไว้เป่าลมเย็น” มันถาม
“เออสิ ร้อนกว่านี้หลายเท่าเชียวแหละ ร้อนแบบว่าตับแตกอ่ะ เคยได้ยินป่าว”
มันส่ายหน้า
“นี่นะ บ้านเมืองชั้นนะ เคยมีคนตายเพราะทนร้อนไม่ไหวด้วยนะ”
“พุทโธ่ จริงกระนั้นรึ” มันทำท่าตกใจ
“ก็เออ สิ สมัยชั้นนะ หน้าร้อนฝนตก หน้าฝนเสือกร้อน หน้าหนาวก็หนาวแป๊บๆ ฝนตกทีน้ำก็ท่วมใหญ่ แล้งที่คนก็เดือดร้อน” ผมบ่นให้มันฟัง
“นี่บ้านเมืองเจ้าวิปโยคขนาดนั้นเชียวรึ”
“อือ” ผมเอนตัวลงพิงพนักพิง รู้สึกร้อนวาบที่หว่างขา จึงแยกขาทั้งสองข้างออก ก่อนจะกระพือผ้าถุงผับๆให้ลมระบาย
“เฮ้ย เจ้าทำอันใดของเจ้ากัน เจ้าบ้า” หมอนั่นหน้าแดง หันหน้าหนี
“ร้อนอะดิ แฉะหมดแล้วเนี๊ยะ” ผมมองหน้ามัน “จะอายทำไม หน้าแดงหมดแล้ว”
“ว่าแต่ นี่นายโกรธชั้นเรื่องอะไรทำไมถึงไม่พูดกับชั้น เมื่อเช้าบอกจะมาปลุกก็ไม่มาปลุก”
“ไม่มีอันใดดอก” เขาบ่ายเบี่ยง มองไปทางอื่น
“ไม่มีอะไรได้ยังไง แหม อย่ามาโกหก โกรธที่ชั้นว่านายเป็นเกย์เหรอ” เขาไม่พูด
“หรือว่าโกรธที่.................”
“เราบอกว่าไม่มีอันใดก็ไม่มีอันใดสิ เราจักเป็นเยี่ยงไรก็มิใช่ธุระกงการอันใดของเจ้า ออกไปเสียจากห้องนี้ เราต้องอ่านตำรา” จู่ๆหมอนั่นก็เข้าสู่โหมดดราม่ายังฉับพลันจนผมตั้งตัวไม่ติด
“เฮ้ย อะไรวะ หัวเราะอยู่ดีๆ นึกจะเหวี่ยงขึ้นมาก็เหวี่ยงซะงั้น เมนส์ไม่มารึไง” ผมทำหน้าไม่เข้าใจ ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป
“ท่าทางจะวัยทอง”
-
งอนอะไรคุณหมอ :serius2:
+1
-
หมอปีย์เป็นอะไร
หรือว่าเขินเลยแกล้งไม่สนใจ :m28:
-
รึว่างอนที่ไม่ได้ปลุกอ่ะหมอ :impress2:
-
หมอปีย์งอนแล้วน่ารักนะ :o8:
-
กร๊ากกก
คุณหมองอลซะแล้ว
อิอิ
ง้อดีๆละ
นายบ้า
-
ต๊าย ท่าทางหมอปีย์กำลังพยายามทำใจ
เพราะคิดว่าเจ้าบ้าจะต้องจากไปสักวัน
:monkeysad:
๑๘๕ + ๑ = ๑๘๖
ขอบคุณนะคะ คุณ เซ็งเป็ด
-
คุณหมองอนแล้วน่ารัก :-[
-
ตาหมอปีย์ เป็นไรอ่ะ เขินเหรอจ๊ะ :o8: เลยไม่กล้าสู้หน้าเจ้าบ้า
-
น้อยใจอะไรเจ้าบ้าหรือคะ หมอปีย์
-
คุณหมอเขาอยู่ในวัยกำลังสับสน :m20:
-
เง้อ หมองอนไรเจ้าอัชล่ะ เดี๋ยวให้อัชจับปล้ำซะเรย ชริ! o18
-
ชีวิตของเจ้าบ้า ยังต้องสู้ต่อไป
-
อ้าววว คุณหมอเมนส์ไม่มาซะแระ เหอๆๆๆ ว่าแต่คุณหมอนี่ขี้งอลเนอะ มากอดทีๆๆๆ หุๆๆ
-
คุณหมอกำลังงอน หรือว่ากำลังหักห้ามใจตัวเองกันแน่
-
กลัวห้ามใจไม่อยู่เหรอหมอ เลยดราม่ากลบเกลือนอะ 555+
-
งอนอารัยนั้นละหมอ บอกเค้าไปเหอะ ว่าชอบเค้าอ่ะ
-
:serius2:หมอปีย์เป็นไรอ่ะ งอนอะไรพ่ออัช ช่วยเคลียร์ด่วน
-
หมอปีย์เป็นอะไรเนี่ย
เดี๋ยวพ่ออัชไม่อยู่ก้พาลจะวิ่งวุ่นตามหาอีก
-
อัชก็เข้าไปยั่วหมออีก จู่ๆก็ไปกระพือ..ต่อหน้าหมอ อะไรต่อมิอะไรก็แลบหมดสิ
-
คุณหมอกำลังสับสนอยุ่ พ่ออัชก็ใจเย็นๆ ดิจ๊ะ
-
สงสัยหญิงสาวที่อัยช์คุ้นหน้าคงเป็นต้นตระกูลคนหนึ่งของตัวเองมั้ง 55+
-
o13 o13 ปุ้นอ่านเรื่องนี้ที่ไร หิวทุกที หิวววว วววว :กอด1:
หมอปีย์ เป็นวันนั้นของเดือน เลยอารมณ์ขึ้นๆลง 5555 :laugh: :laugh:
-
อีกซักตอนเถอะคุณเป็ด
-
คุณหมอน่ารักที่สุด
รีบมาต่อนะ
-
กลับมาแล้ว..เย้...ต่ออีกนะครับ ยังไม่หายคิดถึงเลย
-
หมอปรีย์กำลัง สับสน นี่หน่า ขอเวลาหน่อยนะ พ่ออัชย์
ยังม่ายหายคิดถึงเลยมาต่ิอไวไวนะครับ
-
ขออีกกกกกกกกค่ะ..คุณเป็ด.....ขออีกนะ มาต่ออีกนะ :pig4: :กอด1:
-
:-[
หมองอน 5555 น่ารักดีแฮ๊ะ
-
เมื่อไหร่คุณชั้นจะสอนจริงๆจังๆสักที เซ็งว่ะ ชอบทรมานเจ้าอัชย์ :m16:
ที่คุณหมอเมินนี่สงสัยทำใจอยู่แหงๆ แทนที่จะทำแบบนั้นก็จีบเขาสิ! o3
แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน~ :m28:
-
สงสัยหมอกำลังทำใจอยู่แน่เลย
หักห้ามใจแน่ๆเลยหมอโถน่าสงสาร
-
อยู่ใกล้ใจมันสั่น เห็นหน้าแล้วหวั่นไหว ละสิ หมอปรีย์
+1 ให้เป็นกำลังใจครับ
ปล. อ่านเรื่องนี้ทีไร หิวและอยากตามไปทุกที :z1:
-
ผมว่ามันช้าเกินไปนะคับ
สองวันมาลงให้ทีละตอนก็ดีนะคับ
กำลังสนุกเลยคับ
อิอิ.....
-
คุนหมอเป็นอะไรไปหรออ อารมแปรปรวน
-
ตามมาอ่านอ่านไปก็น่ะหิวไป
อัชย์ปากดีจริงๆแถมพาหาเรื่องด้วย
ชอบหมอปรีย์หมอน่ารักอ่ะ
แต่สงสารยังไงไม่รู้ที่มาชอบอัชย์
พี่ท่านแกดูเชี่ยวชาญแต่หมอเรานี่สิ
:กอด1: :L2: :pig4:
-
คือสงสัยอะสงสัย หมอปีย์ยังจิ้นอยู่ใช่มิครับ :z1:
-
หมอปีย์ สับสนนัก ก็ปล้ำซะเลย หลังจากนั้น ค่อยว่ากัน จะได้รู้ว่าใช่หรือไม่ใช่ 555
-
อยากบอกว่าชอบมาก! ออกแนวทวิภพแบบวายๆ
ยังจำคำที่พี่ซักคนนึงเม้นได้เลยค่ะว่า 'เจ้าคุณขอรับ กระผมเจ็บ' เห็นครั้งแรก กร๊ากกกกกกกกกกกก! คิดได้อ่ะค่ะ กดไลค์ๆ
แล้วที่อัชท์เล่าให้หมอปีย์ฟังเกี่ยวกับกรุงเทพ เป็นใบเตยก็ไม่เชื่อนะ ว่าสยามประเทศจะเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนั้น..):
โดยเฉพาะเรื่องเกาหลี รู้จึกเหมือนมีอะไรมาแทงที่หลัง ทะลุถึงหัวใจ T^T เพราะเป็นอีกคนที่ชอบพวกเกาหลี จนบางทีก็หลงลืมความเป็นไทย
แล้วก็เรื่องต่อแถวซื้อโดนัทอีก แอบสารภาพว่าเคยไปต่อคิวมาแล้วเหมือนกัน ):
อ่านเรื่องนี้แล้วได้รู้อะรเกี่ยวกับความเป็นไทยมากมายเลย รู้สึกเริ่มเห็นคุณค่า << เพิ่งเริ่มเรอะ!!
อยากบอกว่า กดไลค์ค่ะๆ ><'
-
หมอปีย์ออกจะคุณชาย นายเอกเรารึไม่มีกิริยาเอาเสียเลย เฮ้อ
-
:z2: :z2:
-
หาตั้งนานหาไปถึงหน้า ห้าเลย ไม่นึกว่ายังอยู่หน้าแรก 555 รอแป๊บนะครับ
เรื่องนี้ยากส์อ่ะ ต้องหาข้อมูลหน่อย
แต่รับรองครับ จะไม่ทำให้ผิดหวัง ไปหล่ะ เฟี้ยวววววววววววววววววววววววววววววว :bye2:
-
จิ้มมมมมมมมมม! :z13:
รีบมาต่อนะคะ สู้ๆ ^0^
-
:call: ขอให้หาข้อมูลได้เยอะๆมาลงทีเดียว 3 ตอนรวด
-
หิวเปดดดดดด
อยากกินเปดดดดดดดดดด
-
รอ~~~~~
-
หุหุเจอโดยบังเอิญ แต่พออ่านแล้วชอบมากกกกกกก
อิอิ ติดตามจ้า^^
-
เรื่องนี้ก็เงียบเหงาT^T
-
วันนี้ก็จะรอเหมือนเดิมคับ
-
หลายวันมานี้ผมไม่มีเวลาแวะไปเรือนหลังสวนเลย เพราะมัวแต่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับเรื่องคุณชั้นและไอ้หมอปีย์ขี้งอน ตอนเย็นมีโอกาส จึงเดินเรื่อยเปื่อยไปหลังสวน เพื่อไปเยี่ยมไอ้แดงมันโดยไม่ลืมเดินไปขอขนมต้มใส่ห่อใบตองไปฝากมันด้วย
สะพานไม้ไผ่ตรงเรือนหลังสวนถูกดึงออกไปไว้อีกฝั่ง ผมข้ามไปไม่ได้หากไม่มีสะพานนั้น
“เฮ้ย มีใครอยู่แถวนี้มั๊ย ช่วยเอาสะพานมาพาดให้หน่อยสิ” ผมร้องเรียก เห็นหลังนายสนไวๆ
“เฮ้ยๆ สนๆ” ผมตะโกน หมอนั่นหันมามองก่อนจะหยุดนิ่ง “ช่วยเอาไม้ไผ่มาพาดให้หน่อยสิ”
สนหยุดนิ่งเหมือนคิดอะไรอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเดินมาลากไม้มาพาดให้ผมที่ยืนรออีกฝั่งอย่างเสียไม่ได้
“เป็นไรไปหมดวะ คนบ้านนี้”
ไม้ไผ่ที่วางไว้เป็นสะพานนี้ ถึงมันจะดูเปราะบาง แต่จริงๆแล้วแข็งแรงมาก มีความยืดยุ่นสูง เพราะฉะนั้นผมจึงไม่กลัวที่จะหล่นน้ำเลยแม้แต่น้อย
“ทำอะไรของนายอ่ะ” ผมเดินเข้าไปใกล้นายสนที่กำลังง่วนอยู่กับการคนอะไรบางอย่างในกระทะ ควันโขมง ข้างๆกันนั้นมีเจ้าแดงนั่งเท้าคางมองอย่างสนใจ
“เฮ้ย แดง” ผมร้องเรียก มันทำหน้าดีใจ ก่อนจะวิ่งเข้ามาหา หากเป็นผมคนก่อน ผมคงวิ่งหนีเด็กคนนี้ไปแล้วด้วยสภาพที่ดูไม่ได้แบบนี้ แต่ผมคนนี้กลับมองอะไรเปลี่ยนไป ผมโอบไล่มันอย่างแผ่วเบา เข้าใจความรู้สึกที่ว่า “ไม่มีใครได้อย่างถ่องแท้”
“นี่พี่เอาขนมต้มมาฝากด้วยน๊า อร๊อยอร่อย ข้างในนะ มีน้ำตาลแว่นหวานๆด้วย แล้วก็มีมะพร้าวทึนทึกโรย นี่ น่ากินมั๊ยหล่ะ” ผมยื่นให้เจ้าแดง มันพยักหน้างึกๆก่อนจะรับเอาไปแล้วแอบไปนั่งกินบนแคร่เงียบๆ
“เจ้าเอามาให้มันทำไม” นายสนดุ
“อ่าว ทำไมหล่ะ ก็ชั้นเห็นว่ามันน่ากินก็เลยเอามาให้กิน ทำไมต้องดุกันด้วย”
“หากแม้นวันนึงเจ้าไม่อยู่ เจ้าแดงมันมิต้องรอกินขนมต้มเก้อกระนั้นรึ”
ผมไม่เข้าใจว่านายสนพูดอะไร แล้วทำไมต้องจริงจังขนาดนั้นด้วยกะอีแค่เอาขนมมาให้เด็กแค่นั้น
“หมายความว่าไง”
“เจ้าหาได้รู้เรื่องอันใดของที่นี่เสียจริง” สนกล่าวอย่างหงุดหงิด ทิ้งไม้พายกระทบขอบกระทะดังเพล้ง ก่อนจะลุกไปตักน้ำล้างหน้า
“เรื่องอะไรที่เราไม่รู้ ก็บอกมาสิวะ ทำไมต้องมาหงุดหงิดใส่กันด้วย” ผมขึ้นมามั่ง
.
.
.
.
.
.
นายสนเงียบไปครู่ใหญ่
“การรอคอยจะฆ่าเจ้าแดงมัน” นายสนพูดแค่นี้ แต่แค่คำพูดแค่นี้ก็ทำให้ผมเข้าใจอะไรได้มากขึ้นแล้ว
“ทุกวันนี้ ไอ้แดงมันก็ชะเง้อคอยแต่เจ้า เจ้ารู้หรือไม่” เขาเดินกลับมาที่กะทะใบเดิม คนข้าวที่สุกกำลังดี กลิ่นไหม้โชยมาเบาๆ
“ชั้นขอโทษ” ผมสำนึกผิด “แต่ชั้นก็ไม่ได้ทำอะไรผิดนี่นา เอาเป็นว่า ชั้นสัญญาว่าชั้นจะมาเยี่ยมเจ้าแดงมันทุกวัน เน๊อะ แดงเน๊อะ” ผมหันไปพยักหน้ากับไอ้แดง มันยิ้มร่าเคี้ยวขนมต้มอย่างมีความสุข
สีหน้าของนายสนเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น ดูเหมือนมันจะยอมเข้าใจในตัวผมมากขึ้น
“นี่นายต้องหุงข้าวมากมายขนาดนี้ทุกวันเลยเหรอ” ผมถาม ตอนแรกมันไม่ตอบ แต่ผมถามซ้ำเป็นครั้งที่สองอย่างใจเย็นมันถึงยอมตอบ
“ชาวบ้านที่ป่วยที่นี่มีมากนัก ข้าวแค่นี้หาพอไม่” มันตอบห้วนๆ
“แล้วให้พวกเขากินกับอะไรหล่ะ”
“สำรับจะถูกยกมาจากเรือนใหญ่ ส่วนข้าวต้องหุงเอาที่นี่เพราะมันหนัก ไม่มีใครยกไหว”
“อ๋อ ผมพยักหน้าเข้าใจ
“ให้ชั้นช่วยคนมั๊ย” ผมยื่นมือไปรับไม้พาย สนเงยหน้ามามองผมอย่างประหลาดใจ ก่อนจะยื่นไม้พายให้ผม
ไม้พายที่ทำจากไม้ไผ่นั้นหนักอึ้งเมื่อลงไปคนอยู่ในข้าวที่กำลังสุกได้ที่ ยิ่งไอร้อนจากข้าวลอยมาปะทะใบหน้าด้วยนั้นยิ่งทำให้ผมยิ่งเงื่อไหลมากขึ้น
“โอย” ผมครางเบาๆเพราะหนัก
“อึ๊บ” พยายามจะงัดข้าวสวยขึ้นมา นายสนกับเจ้าแดงนั่งลุ้นกับจนออกนอกหน้า
“อึ๊บบบบบบบบบบ” ฮึด” แล้วผมก็รวบรวมพลังทั้งหมดแงะข้าวร้อนด้านล่างหวังให้มันกลับขึ้นมาข้างบน แต่คงจะลงแรงเยอะไปหน่อย ข้าวสวยที่ค่อนแฉะนั้นจึงกระเด็นออกจากกระทะ
“แหมะ” ข้าวลอยมาติดแหมะอยู่ที่หน้านายสน หมอนั่นสะดุ้งนิ่งไปครู่หนึ่ง ควันจากข้าวร้อนๆลอยกรุ่นๆ ผมยืนกำไม้พายแน่นด้วยความตกใจ
นายสนนิ่งได้ครู่เดียว แววแต่แน่นิ่งเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ สักพัก ก็ทนไม่ไหว ตะโกนออกมาลั่นบ้าน
“โอ้ย ร้อน ร้อนๆ” ก่อนจะวิ่งพร่านตักน้ำในโอ่งมาล้างหน้าโดยไว ผมกับเจ้าแดงหัวเราะกันท้องแข็ง เห็นมาดเหี้ยมๆแบบนี้ ก็ขำกับเขาเหมือนกันนะนายสน
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เราทั้งคู่ล้มตัวลงบนแคร่หัวเราะกุมท้อง
เหตุการณ์ตอนนั้นเหมือนเป็นการทำลายกำแพงที่กั้นระหว่างผมกับนายสน หรือภาษาอังกฤษวันละคำเรียกว่า break the ice นั่นเอง
นายสนคว้าไม้พายมาจากมือผม ก่อนจะเอาไปคนสักครู่แล้วตักข้าวที่สุกขึ้นใส่ในหม้อ
ข้าวสวยเม็ดงามที่อวบอิ่ม เป็นข้าวที่ไม่ขัดสี เป็นข้าวสีแดงๆ
“คนจนๆอย่างพวกเราไม่มีปัญญากินข้าวงามแบบเรือนใหญ่เขาดอก ไอ้แดงเอ้ย”
นายสนบ่นน้อยใจ
“เฮ้ย แต่ข้าวแบบนี้บ้านชั้น คนรวยเท่านั้นถึงจะกินได้นะนายสน รู้ป่าวว่ามันมีประโยชน์มาก ช่วยแก้เหน็บชา มีวิตามิน ไม่ให้เลือดออกตามไรฟัน มีประโยชน์ต่อระบบประสาทด้วยนะ” ผมเล่าให้สนฟัง แต่ดูเหมือนมันจะไม่ค่อยจะสนใจเท่าไหร่
“ไอ้แดง ไปเอาช้อนเขียวมาทีสิวะ ข้าจะขูดข้าวตังให้กิน” นายสนร้องบอกเจ้าแดง ผมชะโงกหน้าไปดูก้นกะทะเห็นข้าวไหม้เกรียมติดกะทะส่งกลิ่นหอม สักพักเจ้าแดงวิ่งหน้าตั้งดีใจออกนอกหน้าถือช้อนวิ่งเข้ามา
“กินได้ด้วยเหรอ อี๋ ดำขนาดนี้ เดี๋ยวก็เป็นมะเร็งตาย” ผมว่า เพราะเคยเรียนมาว่า อาหารที่ไหม้เกรียมเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง
แต่สองคนนั่นไม่สนใจผมเลย ตั้งหน้าตั้งตาขูดข้าวตังก้นกะทะที่พอถูกขูดก็ม้วนเป็นแผ่นกลม ส่งกลิ่นหอมน่ากิน
“หยิบเกลือมาให้ข้า” ไอ้แดงยื่นถ้วยเกลือสินเธาว์ให้นายสนอย่างกระตือรือร้น หมอนั่นหยิบเกลือขึ้นมาเม็ดนึง โรยไปที่หน้าข้าวตังก่อนจะใช้มือขยำๆปั้นๆจนเป็นก้อน กลิ่นหอมของมันทำเอาผมหวั่นไหว
“เป่าก่อนนะเว้ย ถ้าไม่อยากปากพอง” เจ้าแดงรับข้าวปั้นมาใส่มือ ก่อนจะเป่า พู่ๆ แล้วโยนข้าวปากเคี้ยวหมุบหมับ
ผมมองเจ้าแดงกินอย่างเอร็ดอร่อย
“อร่อยมั๊ยว่ะ”
“อืมๆ” มันพยักหน้าเคี้ยวตุ้ยๆ หันไปที่นายสน หมอนั่นก็โยนเข้าปากตัวเองหมับ
ผมกลืนน้ำลายเอือกเพราะกลิ่นมันรัญจวนใจเหลือเกิน
“ไม่ได้ ไม่ได้เดี๋ยวเป็นมะเร็ง” ท่องไว้ๆ
“เอาอีกมั๊ยไอ้แดง” นายสนถาม
“อื้อ อื้อ” แดงรีบพยักหน้า
ทั้งคู่กินข้าวตังโรยเกลือกันอย่างเอร็ดอร่อย
“อร่อยมั๊ยอ่ะ” ในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว หันไปถามนายสน หมอนั่นมองหน้าผมครู่หนึ่งก่อนจะยื่นข้าวปั้นมาให้ผมก้อนหนึ่ง
“ลองกินเอง”
ผมทำท่าลังเล แต่ก็รับมาแต่โดยดี
“มันจะอร่อยขนาดนั้นเลยเหรอวะ” คิดในใจ เอาก็เอาวะ ครั้งเดียวเป็นมะเร็งตายให้มันรู้ไปว่าแล้วก็โยนใส่ปาก เคี้ยวกรอบๆ
“อืมมมมมมมมมมมมม” โห รสชาติไม่น่าเชื่อว่าจะอร่อยได้ขนาดนี้ มันมีความหอมของถ่าน ความไหม้ของข้าว ความมัน ความกรุบกรอบ กลิ่นและรสสัมผัสที่พิเศษจนอธิบายลำบาก อีกทั้งความเค็มปะแหล่มๆพอดีของเกลือนั้น ยิ่งเพิ่มรสชาติของข้าวตั้งหน้าเกลือให้อร่อยยิ่งขึ้น
“นายสน” ผมร้อง แววตาเป็นประกาย “จัดมาอีก ชุดใหญ่”
...........................................
ช่วงที่ผมติดแหง็กอยู่ที่นี่เวลาผ่านไปรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ ไม่น่าเชื่อว่าที่ที่ไม่มีอะไรเลยแม้แต่พัดลม หรือสิ่งบันเทิงเริงใจอย่างอื่นอย่างที่นี่จะทำให้ผมลืมนับวัน นับเดือน ได้
ถึงแม้ที่นี่จะเป็นที่ที่ดูเผินแล้วน่าเบื่อ แต่จริงๆ พอเราได้มาอยู่กับธรรมชาติ ผมกลับพบว่า ธรรมชาตินั้นน่าหลงใหลกว่าตึกรามบ้านช่อง ห้างใหญ่ๆ โรงหนัง หรือแม้แต่ห้องคาราโอเกะเป็นไหนๆ
กิจวัตรประจำวันของผมยังคงเหมือนเดิม เช้าไปเรียนทำอาหาร ไม่สิ นั่งดูเขาทำอาหารที่เรือนคุณชั้น เธอให้ผมนั่งเลือกข้าวสารอยู่เป็นอาทิตย์ จนผมสามารถหลับตาแล้วใช้มือลูบไปบนกระด้งข้าวสารก็สามารถรู้ได้แล้วว่าอันไหนข้าวสารอันไหนข้าวเปลือก จนวันหนึ่งขณะที่ผมกำลังเดินไปตักข้าวสารใส่กระด้งเองอย่างรู้หน้าที่ คุณชั้นกลับให้คนมาบอกผม ให้มาช่วยตำพริกแกงแทน
“ในที่สุดก็ได้เลื่อนชั้นซะที” ผมยิ้มในใจ
เมื่อเสร็จจากการทำอาหารที่เรือนคุณชั้น ผมก็จะถือวิสาสะนั่งเล่นที่เรือนนั้นครู่ใหญ่ เพื่อให้หายคิดถึงบ้าน บางครั้งหนูวาดก็จะมาเล่นขายของอยู่ใกล้ให้ผมอุ่นใจว่าอย่างน้อยก็ยังมีคนที่ผมพอจะรู้จักบ้างอยู่ที่นี่
ผมจะนั่งดูหนูวาดเล่น บางครั้งก็คุยกับเธอจนเกือบเที่ยง จึงกลับเรือนหมอปีย์เพื่อไปกินข้าวเที่ยง แต่พักหลังๆมานี่หมอนั่นชอบทำตัวแปลกๆ ห่างเหินยังไงบอกไม่ถูก ในทางตรงกันข้ามผมกลับดันไปสนิทกับสนมากกว่า เพราะฉะนั้นในบางวัน ผมจึงไม่ขึ้นเรือน แต่กลับไปกินข้าวเที่ยงกับสนและเจ้าแดงที่เรือนหลังสวนแทน
“นี่เจ้าบ้า” สนพูดขึ้นในขณะที่ใช้มือหยิบเนื้อปลาช่อนที่เผาจนหอมสุกใส่ชามข้าวตัวเองตามด้วยน้ำพริก
“ว่า” ผมเงยหน้ามามอง ในปากเคี้ยวผักบุ้งลวกที่ขึ้นตามคลอง ก่อนจะหยิบเนื้อปลาใส่จานให้เจ้าแดงมัน
“อีกไม่กี่เพลา พระนครเราจะมีงานใหญ่ เจ้าจักไปด้วยหรือไม่”
“งานอะไรเหรอ” ผมถามด้วยความอยากรู้
“งานภูเขาทอง วัดสะเกศ หลวงท่านจัดตั้ง ๗ วัน ๗ คืน” สนเล่า
“เฮ้ย เหรอ เคยได้ยิน แต่ไม่เคยเห็นเลย เขามีอะไรกันเหรอ” ผมถามเพราะเหมือนเคยได้ยินมาก่อน แต่ไม่รู้ที่มาที่ไป
“งานภูเขาทองจัดขึ้นตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ เป็นการละเล่นทางน้ำจัดที่คลองมหานาค ต่อมาพระพุทธเจ้าหลวงท่านทรงสร้างภูเขาทอง และนำเอาพระบรมสารีริกธาตุจากอินเดียมาประดิษฐาน งานภูเขาทองนี้จึงเสมือนเป็นประเพณีนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ”
“อ๋อ” ผมพยักหน้าเข้าใจ เมื่อก่อนขับรถจะไปเที่ยวข้าวสารบ่อยๆก็ไม่รู้หรอกว่าเขามีอะไร “ว่าแต่นี่มันเดือนอะไรแล้วอ่ะ”
“เดือน ๑๒” สนตอบ
“วันเพ็ญเดือน ๑๒ น้ำก็นองเต็มตลิ่ง อ้าว ...” ผมจำได้ว่าช่วงเดือนนี้มันมีลอยกระทงด้วยนี่ แต่ไม่แน่ใจว่าสมัยนั้นเขามีลอยกระทงกันรึเปล่า “ แล้วมันไม่ตรงกับลอยกระทงเหรอ”
“ใช่ ลอยกระทงจะจัดวันสุดท้ายของงาน” อ่าว มีด้วยเว้ย
“เจ้าจะไปรึไม่” มันหันมาถาม
“ยังไม่รู้เลย” ความหมายของผมคือ ยังไม่รุ้ว่าจะอยู่ถึงวันนั้นรึเปล่า ไม่รู้ว่าจะถูกดึงกลับปัจจุบันวันไหน
“ทำไมรึ ข้าว่าหลวงพินิจคงจักต้องไปเปนแน่ เจ้าไปลองขอท่านดูสิ” เนื้อปลาช่อนถูกหยิบไปอย่างรวดเร็ว อาหารมื้อนี้ไม่มีอะเป็นพิเศษ แต่วันกลับอร่อยเพราะได้ปลาสดๆ ผักสดๆ บรรยากาศดีๆ
“ไม่อ่ะ” ผมแบะปาก นึกถึงหน้าหมอนั่นแล้ว ไม่รู้ทำไมช่วงนี้มันถึงได้ทำตัวน่ารำคาญมากเป็นพิเศษ ปกติก็น่ารำคาญอยู่แล้ว บางครั้งมันจะเดินเลี่ยงผมเมื่อผมเดินผ่าน ช่วงกินข้าว มันก็จะเลี่ยงให้บ่าวยกไปให้ในห้องทำงานแทน หรือแม้แต่ผมเดินเข้าไปคุยกับมันในห้อง มันก็แกล้งหลับซะอย่างงั้น จนหลังๆผมเองก็เริ่มเบื่อ ก็เลยเฉยชากับมันแทน
“ทำไมรึ หรือเจ้ากลัว ไม่เป็นไร ประเดี๋ยวข้าจักลองคุยกับท่านให้”
ผมไม่พูดอะไร
“ไปด้วย ไปด้วย” เสียงเจื้อยแจ้วของเจ้าแดงร้องดังขึ้น มันทำท่าตื่นเต้น
“เจ้าจักไปได้เยี่ยงใด ประเดี๋ยวหลวงท่านก็จับเอาไปให้โปลิสดอก ไม่กลัวรึ” นายสนขู่ สีหน้าที่เคยร่าเริงของเจ้าแดงก็จ๋อยลงทันที
“ทำไมแดงถึงไปไม่ได้เหรอ นายสน” ผมถาม
“สภาพมันเยี่ยงนี้จักไปไหนได้อย่างไรกันเล่า ชาวบ้านข้างนอกนั่น เขาไม่ได้เข้าใจโรคนี้อย่างเจ้านี่” สนอธิบาย ผมหันไปมองหน้าเจ้าแดงที่ตอนนี้นั่งก้มหน้านิ่งด้วยความผิดหวัง
“เอาน่า เดี๋ยวพี่ซื้อช้างมาให้เอาป่าว” ผมยิ้ม มันเงยหน้าขึ้นมองแววตาเบิกกว้าง
“เอาช้าง เอาช้าง” รอยยิ้มเล็กๆปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“เน๊อะ เดี๋ยวเอามาให้ 3 ตัวเลยดีมั๊ย”
“ดี ดี ดี” ว่าแล้วมันก็ลุกขึ้นกระโดดโลดเต้นไปมาด้วยความดีใจ ผมหันไปมองหน้ากับสน เราทั้งคู่ถอนหายใจ ต่างเข้าใจความรู้สึกสงสารแดง
...
-
จิ้มๆๆๆๆๆ
...............................
แหะๆๆ หมอปีย์นี่ยังไงทำเป็นหลบหน้าหลบตา ชิช๊ะๆๆๆ อยากโดนดีรึ หุๆๆๆ
-
น่าแปลก สมัยนี้การแพทย์ก็ก้าวหน้า แต่ก็ยังมีโรคเรื้อนอยู่อีก แถมคนยังรังเกียจอยู่เหมือนเดิมด้วย
-
น่าสงสารแดงจัง แต่เจ้าบ้า เอ๊ย!อัชก็ใจดีเนอะ ถึงจะบ้าๆบอๆ 55+ ชอบตรงนี้แหละ^^
-
อ่านแล้วเห็นใจคนเป็นโรคเรื้อนเลยครับ ถูกกระทำเหมือนไม่ใช่คนยังไงไม่รู้
-
สภาพบ้านเมืองตอนนี้เมื่อเทียบกับยุคสมัยผมช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว ความเจริญรุ่งเรืองที่เกิดขึ้นในยุคผมนั้น ทำให้เราหลงลืมไปว่าบรรพบุรุษเราลำบากเพียงใด ในการที่จะทำให้เรามีวันนี้ ผู้คนในสยามตอนนี้ ส่วนใหญ่ที่เป็นคนไทยจะเป็นทาส เป็นบ่าว บางคนปู่ย่าตาทวด เป็นทาส ตัวเองเกิดมาก็มีสถานะเป็นทาสไปโดยปริยาย ลองนึกง่ายๆว่า จู่ๆเราเกิดมาโดยที่มีพ่อแม่ เป็นคนขายน้ำตาลปีบ เราก็จะถูกตีตราไว้แล้วว่า เราจะต้องเป็นคนขายน้ำตาลปีบ คิดดูว่ามันจะรู้สึกอย่างไร น่าสงสารคนสมัยก่อนนะ ผมไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะชินกันหรือไม่ แต่ถ้าหากเป็นผม ผมคงอึดอัดน่าดู
คนสยามสมัยก่อน เรื่องความฝัน และอนาคตคงเป็นสิ่งที่ลางเลือนสำหรับพวกเขาละมั้ง
“น้า น้าไม่อยากไปทำอย่างอื่นเหรอ” ผมถามขณะที่นั่งมองชายคนหนึ่งกำลังง่วนอยู่กับการขุดดินเตรียมปลูกต้นพุด
“จะให้ข้าทำอันใด” เขาตอบ
“ก็ ค้าขาย เป็นเจ้าของกิจการ อะไรอย่างงี้”
“เจ้าจะไปลำบากแบบพวกเจ๊ก พวกมอญไปทำไม ในเมื่ออยู่เยี่ยงนี้ก็มีที่ซุกหัวนอน มีข้าวกิน ไม่อดตาย”
“แต่น้าไม่อยากรวยเหรอ นี่ ยุคชั้นนะ คนจีนนะ มีเงินเป็นพันล้านเลย” ผมทำตาโต
เขาไม่ตอบ แต่เลือกที่จะเดินหนีไป คงรำคาญผมที่ผมเซ้าซี้
“หือ มิน่าหล่ะ” ผมเปรยในใจ
“เจ้าบ้า ผ้าอยู่ไหน ข้าจักเอาไปล้าง” นังอ่ำตะโกนลงมาจากบนเรือน ผมเงยหน้าขึ้นไป พลางลุกขึ้นเดินขึ้นเรือน
เสื้อผ้าที่ถูกวางกองไว้ในหีบไม้จักสาน ถูกผมรื้ออกมา ไม่มีแบบหรือลวดลายให้เลือกมากนักหรอก สำหรับแฟชั่นที่นี่ ผมใส่อย่างมากก็แค่ผ้าที่เอาไปย้อมกับรากไม้ให้เป็นสีน้ำตาลแก่ กับเสื้อคอจีนที่ซื้อมาจากพวกเจ๊กขายของย่านเยาวราชสมัยนี้ แค่นั้น ส่วนทรงผมนั้น หลวงท่านเพิ่งประกาศให้ชาวบ้านผู้ชายทั่วไปสามารถไว้ผมยาวคล้ายฝรั่งได้แล้ว ส่วนผู้หญิงให้ทำผมทรงกระทุ่ม และให้สวมใส่เสื้อผ้าอย่างฝรั่งในเวลาที่เป็นทางการหรือมีงานราชพิธีที่สำคัญๆ
แต่สำหรับคนทั่วไปแล้วนั้น สิ่งพวกนี้ยังไม่ได้รับความนิยมสักเท่าไหร่ ผมก็ยังเห็นคนทั่วไป ทั้งบ่าว ทั้งนาย ยังนุ่งผ้า ประแป้งตัวลายกันอยู่เลย
“นี่” ผมเรียกนังอ่ำ “ ไม่อยากเป็นไ ทมั่งเหรอ”
นั่งอ่ำไม่พูดอะไร แต่มองผมเหมือนผมเป็นสัตว์ประหลาดจากต่างดาวยังไงยังงั้น คำว่า “ไท” ในตอนนั้นคงเป็นคำที่คล้ายๆคำว่า “บอลไทยจะไปบอลโลก” ประมาณนั้นล่ะมั้ง
“ถ้าชั้นจะบอกว่า อีกไม่กี่ปี หลวงจะเลิกทาส จะเชื่อมั๊ย”
“เจ้าพูดอันใดของเจ้า เจ้าบ้า อย่าให้ความนี้ไปถึงหูผู้อื่นทีเดียวเชียว คอเจ้าจะหลุดจากบ่า” อ่ำตกใจถลึงตาโต จ้องเขม็งมาที่ผม มันทำเหมือนสิ่งที่ผมพูดนั้นเป็นสิ่งต้องห้ามยังงั้นแหละ
“เร่งไปกินข้าวเสีย สำรับจัดไว้ ประเดี๋ยวคุณหลวงมาแล้ว ท่านจะคอย”
ผมเดินออกมาจากห้องตรงมายังศาลากลางบ้าน ที่ที่สำรับถูกจัดไว้ หมอนั่นนั่งอยู่ก่อนแล้ว แต่ทำทีไม่สนใจผมที่กำลังนั่งลงข้างๆ
“มีต้มสายบัวด้วย” ผมลูบมือ “กินได้รึยังหล่ะ” หันไปถามหมอปีย์ เขาไม่ตอบ แต่หยิบช้อนขึ้นตักยำดอกขจรใส่จาน
“เชี่ยะ” เปรยเบาๆเบื่อกับอาการเย็นชาของมัน
อาหารมื้อนั้นดำเนินไปด้วยความเงียบเหงา ได้ยินแต่เสียงช้อนกระทบจานกระเบื้องเป็นระยะๆ ถึงแม้ว่าต้มสายบัวกับยำดอกขจรจะอร่อยแค่ไหน แต่ลิ้นก็ไม่สามารถลิ้มรสอาหารได้เต็มที่เมื่อเห็นหน้าที่บึ้งตึงของหมอนั่น
“คุณหลวงขอรับ จะรับของหวานเลยหรือไม่ขอรับ” นายสนซึ่งว่างจากงานที่เรือนหลังสวนขึ้นมาช่วยงานบนเรือนใหญ่ถาม
“วันนี้มีอะไรทานรึ” หมอปีย์หยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปาก
“เห็นครัวเขาทำแกงบวชฟักทองน่ารับทานทีเดียวขอรับ” สนยิ้ม ก่อนจะหันมาที่ผม ผมส่ายหัว เพราะกินอะไรไม่ลง
“เอามาสิ” หมอปีย์พูด
“ขอรับ เอ่อ” สนทำท่ายึกยัก
“มีการอันใดอีกรึ”
“เอ่อ คุณหลวงขอรับ เรื่องงานภูเขาทองที่จะจัดที่วัดภูเขาทองน่ะขอรับ” สนก้มหน้า ไม่กล้าสบตา
“ทำไมรึ”
“เอ่อ คุณหลวงจะไปหรือไม่ขอรับ”
“จริงสิ งานจะจัดขึ้นแล้วนิ แต่เราคงไม่ไปดอก ทำไม เจ้าอยากไปรึ”
“ขอรับ กระผมอยากไปชมงิ้วเจ๊กน่ะขอรับ เห็นเขาว่าโล้สำเภามาจากเมืองจีนทีเดียวเชียวนะขอรับ” นายสนทำท่าตื่นเต้น เขาเป็นผู้ชายที่มีใบหน้าเป็นไทยแท้ คมเข้ม ร่างกายกำยำล่ำสัน ไม่สูงมากแต่แข็งแรง ใบหน้าที่บึ้งตึงนั้น พอยิ้มเข้าก็หวานไม่หยอก
“อยากไปก็ไปเถิด” หมอปีย์ยกขันน้ำขึ้นจะดื่ม
“เอ่อ แต่ คุณหลวงขอรับ...............” สนยังไม่ยอมลุกไปเอาขนมเสียที
“มีอันใดอีกเล่า”
“กระผมจะขออนุญาตพา เอ่อ พาเจ้าบ้าน่ะขอรับไปงานด้วยจะได้หรือไม่ขอรับ”
“............................” หมอนั่นนิ่งไปพักใหญ่ มือถือขันน้ำค้างไว้
“.............................”
“ได้มั๊ยขอรับ”
“ก็แล้วทำไมเจ้าไม่ไปถามเจ้าตัวเองเล่า มาถามเราจะได้ความอันใด เห็นหมู่นี้ดูสนิทสนมกัน เจ้าไม่ขอเขาเองหล่ะ” ในที่สุดหมอนั่นก็ดื่มน้ำจากขัน ผมรู้สึกนิดๆ ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่าว่าหมอนั่น ประชด
“กระผมเห็นว่าเจ้าบ้ามันเป็นแขกของคุณหลวงน่ะขอรับ ถ้าคุณหลวงอนุญาติงั้นกระผมพาเจ้าบ้าไปด้วยนะขอรับ” สนทำท่าดีใจที่มีเพื่อนไปเที่ยวด้วย เขาลุกขึ้นรีบเดินไปเรือนครัวเพื่อยกของหวานมาให้หมอปีย์
ผมเองก็ดีใจ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมมันต้องไปขอกะหมอปีย์ มันไม่ใช่ผู้ปกครองผมเสียหน่อย อีกอย่างไม่ชอบด้วยที่หมอนั่นพูดแบบนี้
เมื่อสนเดินออกไป บรรยากาศก็กลับมาอึมครึมอีกครั้ง
“ทีหลังมิต้องใช้สนมาขอเราดอก อยากไปไหนก็ไป” หมอปีย์พูดขึ้นมาลอย แต่ดันเข้าหูผม นึกในใจอ้าว กูทำไรผิด
“ไม่ได้ใช้ให้ใครมาขอ มันมาขอของมันเอง” ผมตอบไม่มองหน้า แต่น้ำเสียงแข็งกร้าว
“...................................”เงียบ
.
.
.
.
“ถ้าเจ้าไม่สะดวกใจจะนอนเรือนใหญ่ เราอนุญาติให้เจ้าไปนอนเรือนหลังสวนกับนายสนได้”
อ๊าว ไอ้นี่ อะไรของมันวะ
“อะไรของนาย เป็นบ้าอะไรว่ะ” ขึ้นวะขึ้นเว้ยแล้ว เดือดๆ
“เราแค่เห็นเจ้าสนิทสนมกับสนมากเป็นพิเศษ อยู่กับสนแล้วเจ้าหัวเราะร่า ก็แค่อยากให้เจ้าอยู่อย่างสบายใจ”
“ชั้นจะสบายใจหรือทุกข์ใจมันก็เรื่องของชั้น ไปเกี่ยวอะไรกับนาย”
“ไม่เกี่ยวดอก เราไม่ได้เกี่ยวอันใดกับเจ้าดอก” มันพูดน้ำเสียงประชดประชัน
ผมกำลังจะอ้าปากเถียงก็พอดีกับที่นายสนยกของหวานมาให้หมอนั่นพอดี
“ฟักทองบวชขอรับ กำลังร้อนๆ” เขาวางลงตรงหน้าหมอปีย์ ก่อนจะหันมาที่ผม “เจ้าบ้า หากเจ้าไม่มีชุด เรามีให้เจ้ายืมนะ” เขายิ้มอย่างมีความสุข หารู้ไม่ว่ากูจะตายอยู่แล้ว
จบประโยคนั่น หมอปีย์ก็ลุกพรวดขึ้นยืนก่อนจะก้าวเท้าเดินตึงๆ
“อ้าว คุณหลวงไม่รับทานแล้วหรือขอรับ” ไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาเล้ย สนเอ้ย
“เก็บไว้ให้นายคนใหม่ของเจ้าทานเถอะ” เขากระแทกเสียงก่อนจะเดินหายเข้าห้องไป
“เป็นอะไรของเขาวะ” สนเกาหัวแรกๆ “คุณหลวงเป็นอะไรหรือเจ้าบ้า” มันหันมาถามผม
“ไม่รู้เว้ย สงสัยแม่มผีเข้า ไอ้บ้า” ผมด่าไอ้หมอปีย์งี่เง่าก่อนจะลุกเดินตาหมหมอนั่นหายเข้าห้องไป
ทิ้งให้สนนั่งงงอยู่ตรงนั้น............คนเดียว
นับตั้งแต่วันนั้นผมกับหมอปีย์ก็เย็นชามากขึ้น วันทั้งวันหากมันไม่ขลุกอยู่แต่ในห้องหนังสือ ก็จะหายหัวไปไหนไม่รู้ของมันทั้งวัน
อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ผมจะสนใจมันหรอก หากมันไม่ใช่เจ้าของบ้านน่ะ แต่อยู่แบบนี้แล้วโคตรอึดอัดเลย ผมจึงหลบภัยอยู่ที่เรือนหลังสวนบ้าง ไม่ก็ไปขลุกอยู่ที่เรือนคุณชั้นบ้าง อย่างวันนี้เป็นต้น
“นี่ หนูวาด อยู่ที่นี่ไม่เบื่อเหรอ คุณชั้นดุขนาดนี้” ผมถามขณะที่นั่งเล่นอยู่ที่ศาลาริมน้ำ หลังจากเรียน ไม่สิ นั่งดูคุณชั้นนั่งแกะเมล็ดน้อยหน่า
“ฮึ” หนูวาดส่ายหน้า เล่นตุ๊กตาดินเผาต่อไป “คุณชั้นใจดีกับหนูวาดนี่นา ไม่เห็นดุเลย”
“อี๋ นี่อ่ะนะ ใจดี หน้าเป็นนางยักษ์ทั้งวันเลย” ผมทำท่าแขยง
“อิ อิ อิ” หนูวาดหัวเราะอย่างถูกใจ “คุณชั้นจะดุเฉพาะคนที่เธอไม่ชอบ หนูวาดเห็นเธอดุบ่าวที่เป็นผู้ชายบ่อยๆ”
“เหรอ เฉพาะผู้ชายเหรอ”
“ใช่ ใช่”
“เป็นทอมรึป่าววะ” ผมบ่นเบาๆ
“อะไรคือทอม”
“อ๋อ ไม่มีอะไร ว่าแต่ พ่อแม่หนูวาดไปไหนเสียหล่ะ” ผมถามทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าพ่อแม่ยายทวดเสียไปตั้งแต่เกิด
“ไม่รู้ คุณชั้นเก็บหนูวาดมาเลี้ยงตั้งแต่เด็กๆแล้ว คุณชั้นบอกว่าพ่อกับแม่ไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร คุณชั้นเป็นให้ได้” ผมได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกซาบซึ้งแทนยายทวดของผม จริงๆแล้ว คุณชั้นก็ไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่นี่เน๊อะ
“แล้วเรือนตัวอยู่ที่ไหน” หนูวาดถาม
“อยู่นี่แหละ ที่ที่หนูวาดอยู่นี่แหละเรือนผม”
“หือ ไม่จริงดอก อย่ามาปดกับหนูวาดเลย หนูวาดไม่เคยเห็นตัวมาก่อน”
ผมยิ้มในความฉลาดของยายผม
“อ้อ หนูวาด หนูวาดรู้รึเปล่าว่าผู้หญิงที่มาเมื่อวันก่อนน่ะเป็นใคร” ผมถามเมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันก่อนเจอผู้หญิงมาจากเมืองเหนือสองคน
“อ๋อ ป้าคำเอื้อย กับลูกแกน่ะ พี่คำแก้ว” หนูวาดตอบก่อนจะขึ้นมานั่งกับผมบนศาลาริมน้ำ “แม่พี่คำแก้วพาพี่คำแก้วมาอยู่กับคุณชื่น”
“อ๋อ” ผมมองไปที่เรือนใหญ่ หลายวันที่ผมมาฝึกทำอาหาร แต่ไม่ค่อยได้เห็นผู้หญิงคนนั้นมากนัก
“อ้อ หนูวาดได้ยินมาว่าพี่คำแก้วเป็นคู่หมั่นคู่หมายหลวงพินิจเรือนนู้น”
“หา” ผมเผลออุทานเสียงดังจนหนูวาดสะดุ้ง
“เป็นอะไร หนูวาดตกใจหมด” เธอทำท่าลูบหน้าอก
“ป่าวครับ ป่าว” ผมยิ้มแหยๆ แต่ในใจตอนนั้นรู้สึกจุกยังไงไม่รู้
“คู่หมั้นไอ้หมอบ้านั่นเหรอ” ผมนึก “หึ ใครได้แม่มโชคร้ายทั้งชาติ” แล้วผมก็ลุกขึ้นเดินไปโรงเรือน เพราะถึงเวลาที่คุณชั้นจะลงมาทำอาหารเย็นแล้วนั่นเอง
“ไปหนูวาด ไปช่วยผมทำกับข้าวกันดีกว่า” ผมเรียก เธอลุกขึ้นก่อนจะวิ่งตามผมมาติดๆ
พอผมมาถึงเรือนครัวยังไม่ทันจะเข้าไปก็ได้ยินเสียงคุณชื่นบ่นบ่าวไพร่ดังออกมาไม่ขาดสาย
ผมจับใจความตอนหนึ่งได้ว่า”
เรือนครัวนั้นมักเปนเหตุที่จะให้เกิดกลิ่นที่เปนมลทิน แลเปรอะเปื้อน ทั้งกลิ่นความ แลถ่านเท่าในเตาไฟ อีกทั้งพวกของแห้งกะปิน้ำปลาก็จักต้องหมั่นตากแดดบ่อยๆ เวลาจะประกอบอาหารก็เช่นกันควรจะมีผ้าไว้ผืนหนึ่ง ชุบน้ำเช็ดปากหม้อรอบนอกแลใน แลให้เอาฝาละมีครอบไว้กันสิ่งที่เปนมลทินจะร่วงหล่นลงไป แลดูก็น่ารับทาน”
ผมยืนฟังคุณชั้นบ่น เอ้ย สอนบ่าวก็เข้าใจความหมายของแกนะว่า เวลาทำอาหารสิ่งแรกที่คนทำอาหารต้องคำนึงถึงคือความสะอาด ไม่ใช่เพราะทำให้อาหารนั้นน่ากินเพียงอย่างเดียว แต่เพื่อความสะอาดและปลอดภัยสำหรับผู้บริโภคด้วย
ดูคุณชั้นเธอจะใส่ใจไปเสียทุกรายละเอียด
“คุณชั้นเจ้าคะ น้ำดอกไม้สดเจ้าค่ะ” บ่าวผู้หญิงคนหนึ่งยื่นขันน้ำให้คุณชั้น เธอรับมันมา แล้วมองมาที่ผมแวบนึง ก่อนจะละสายตาไป ผมนั้น เดินเข้าไปนั่งที่เดิมที่ผมเคยนั่ง
คุณชั้นหันไปซาวข้าวขาวสองถึงสามน้ำ ขณะนั้นผมชะโงกหน้าไปมองน้ำในขันนั้นก็พบว่าในขั้นนั้นเต็มไปด้วยดอกมะลิสีขาว กลีบดอกุหลาบสีแดง ลอยอยู่เส่องกลิ่นหอมกรุ่น
“ป้าๆ คุณชั้นทำอะไรน่ะ” ผมหันไปถามป้าอีกคนที่กำลังง่วนอยู่กับการเด็ดผัก
“อ๋อ คุณเค้าทำข้าวนึ่งน้ำดอกไม้สดน่ะ” ผมทำหน้าประหลาดใจ ไม่เคยได้ยินมาก่อน
“มันคืออะไรหรือป้า”
“ก็ข้าวขาวนี่แหละ เอาไปหุงในพิมพ์เคลือบ หรือพิมพ์เหล็กวิลาศ รับทานกับแกงหรือมัจฉะมังษะก็ได้”
อะไรวะ ภาษาอะไรวะเนี๊ยะ งง ตอนแรกว่าจะถามต่อว่า มัจฉะมังษะคืออะไร แต่เห็นป้าแกยุ่งเลยไม่กล้าถาม
“สำรับข้าวนี้หุงได้หลายวิธี จะนึ่ง จะตุ๋น จะกลั่น หรือเอาไปผัดได้หมด สุดแล้วแต่จะรับทานกับเครื่องอันใด” คุณชั้นพูดขณะที่กำลังยกหม้อข้าวลงจากเตา เธอดูคล่องแคล่ว และถนัดทะแมงมากกว่าตอนอยู่บนเรือนเสียอีก
“นังเมี้ยน เอาหมูลงมาจากขื่อให้ที” คุณชั้นสั่ง ผมเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นเนื้อหมูแดงแขวนลอยต่องแต่งๆ สมัยก่อนไม่มีตู้เย็นที่จะเอาไว้เก็บพวกเนื้อพวกไก่ คนสมัยก่อนเวลาจะกินหมูกินเนื้อทีต้องเป็นเรื่องใหญ่ หรือโอกาสพิเศษ เท่านั้น เพราะเก็บรักษายาก บางครั้งนำเอาไปผัดเค็ม ส่วนไก่ก็เอาไปรวน บางทีหมูสด หรือเนื้อสดก็เอามาทาเกลือ แล้วแขวนผึ่งแดด ผึ่งลมไม่ให้เน่า แต่เก็บไว้ได้ไม่นาน คนสมัยก่อนจึงนิยมกินปลา กินอาหารทะเล หรือไก่กันเสียมากกว่า
ป้าเมี้ยนหยิบหมูที่ร้อยด้วยเชือกกล้วยลงมาส่งให้คุณชั้น เธอรับมาแล้วหั่นมันแช่น้ำอย่างรวดเร็ว
จากนั้นคุณชั้นได้เอาเกลือ พริกไทย เยื่อเคยแกง หอม รากผักชีปลากรอบแกะเอาแต่เนื้อ ใส่ลงไปในครก แล้วสั่งให้บ่าวยกเอามาให้ผม “ตำ”
“อีกและ เฮ้อ” ผมบ่น มองดูกล้ามแขนตัวเองที่ปูดเป็นลูก ผมลงมือตำ ตำ และตำอย่างไม่ลืมหูลืมตา
คุณชั้นเอาหมูที่หั่นเป็นสี่เหลี่ยมใส่ในหม้อ ตั้งไฟ เคี่ยวพอแตกมัน จากนั้นก็ใส่ น้ำเชื้อหรือน้ำซุปสมัยเรานี่แหละ ละลายเครื่องแกงที่ผมตำไว้แล้วเทใส่ตามลงไปในหม้อ แล้วแกก็ก้มลงไปแหย่ไฟให้ไฟแรงขึ้น
น้ำในหม้อเริ่มเดือด มันของหมูลอยขึ้นมาจนมันเลื่อมสวยงามน่ากิน สักพักใหญ่เมื่อหมูเปื่อย คุณชั้นจึงหยิบเอาสัปะรดที่หั่นเป็นชิ้นลงไป ตามด้วยน้ำส้มมะขามเปียกให้ความเปรี้ยว น้ำปลา น้ำตาลหม้อ เทลงไปแล้วก็เคี่ยว
ผมนั่งดูอย่างตั้งใจพยายามจดจำรายละเอียดทุกอย่างที่คุณชั้นทำ ด้วยความหวังเล็กๆที่ว่า วันหนึ่งผมจะต้องเก่งและหากมีโอกาสได้กลับบ้านไปในยุคปัจจุบัน ผมจะได้เอาความรู้เหล่านี้ไปกอบกู้ชื่อเสียงของร้านกลับคืนมา
คุณชั้นเปิดฝาหม้ออกมา กลิ่นหอมของรากผักชี กับพริกไทยลอยมาเตะจมูก สีสันของมันน่ากิน ผมไม่รู้ว่าไอ้ต้มนี่คืออะไร รู้แต่ว่ากลิ่นหอมของมันนั้นทำให้ผมแทบจะอดใจไว้ไม่ไหว
“ต้มสัปะรดกับหมู ของกินง่ายๆ สมัยที่ชั้นอยู่ในเรือน.........” เธอยิ้มเล็กๆอย่างมีความสุข แต่เมื่อพูดถึงเรือน…. เธอก็หยุดชะงัก แล้วร่องรอยของความสุขเมื่อครู่ก็หายไป
“นังแม้น นังเมี้ยน ทำสำรับที่เหลือ เราจักขึ้นเรือน” จู่ๆ คุณชั้นที่อารมณ์แจ่มใสเมื่อครู่ก็กลับกลายเป็นอีกคนนึงที่ดูโกรธเกรี้ยวน่าเกรงขาม
“เจ้าค่ะ” บ่าวทั้งคู่ขานรับพร้อมกัน
……………………………………………………………………………………………………….
“สน นายว่างานภูเขาทองที่จัดขึ้นน่ะ มันมีอะไรนะ” ผมถามสนเย็นวันนั้นหลังจากที่กลับมาจากเรือนคุณชั้น
“อ๋อ มีงิ้วจากเมืองจีนน่ะ” เขานั่งฝนหมึกอยู่ในศาลาบนเรือนให้หมอปีย์
“มาจากเมืองจีนเลยเหรอ เขาเดินทางกันยังไงอ่ะ”
“โล้สำเภามา หลายเพลาอยู่เหมือนกัน หลวงจรัสเคยเล่าให้ข้าฟังว่าตอนท่านกลับบ้านเมืองท่านที่มะริกันนู่น ใช้เวลาเป็นเดือนๆทีเดียว”
“โห นี่นี่” ผมขยับไปใกล้ “นายรู้ป่าวว่าสมัยชั้นนะ ไปเมืองจีนใช้เวลาแค่ 3-4 ชั่วโมงเอง”
“เป็นไปได้กระไร เจ้าอย่ามาปด” สนทำท่าไม่เชื่อ
“จริงจริง นี่นะ เราน่ะจะนั่งบน เอ่อ บนนกเหล็กอ่ะ แบบว่า “ ไม่รู้จะอธิบายยังไงดีวุ้ย “คือมันเป็นเหล็กนะ มีปีกด้วย แบบนี้อ่ะ” ผมเอาพู่กันที่แช่หมึกไว้มาวาดลงบนกระดาษที่รองหมึกเป็นรูปเครื่องบิน สนทำท่าสนใจ
“แบบนี้อ่ะ”
“มันจะเป็นไปได้เยี่ยงไร เหล็กจะลอยได้ เป็นไปไม่ได้ดอก”
“เป็นไปได้สิ ชั้นก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน”
“เจ้านี่ท่าจะบ้าสมชื่อ ถ้าเจ้าบอกว่า หายตัวได้ ข้ายังเชื่อมากกว่าเสียอีก”
“เฮ้ยจริงนะเว้ย ชั้นไม่ได้บ้า แล้วเดี๋ยวนะในอีกไม่กี่ปีต่อจากนี้ บ้านเมืองสยามจะมีรถไฟเป็นครั้งแรกด้วย เออ ที่พวกนายเรียกม้าเหล็กนั่นแหละ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้านี่ท่าจะบ้าจริงๆ” สนระเบิดหัวเราะออกมา ผมงี้โคตรหงุดหงิดเลย ไม่รู้จะอธิบายยังไง พูดอะไรออกไปก็ไม่มีใครเชื่อ
.
.
.
.
.
“ไม่มีงานอื่นทำแล้วรึ อ้ายสน” หมอปีย์เดินหน้าบึ้งออกมาจากในห้อง ผมนึกว่าวันนี้มันไม่อยู่เสียอีก ไม่เห็นหน้าตั้งแต่เช้า
“ทำหมดแล้วขอรับ” สนก้มหน้าตอบ
“แล้วงานที่เรือนหลังสวนเล่า” หมอนั่นวางมาด ยืนเอามือไพร่หลัง
“เอ่อ.........................”
“ถ้าเจ้ามีความสุขกับการอยู่เรือนใหญ่มาก เราจะเปลี่ยนให้มาอยู่เสียที่นี่เลย เอาหรือไม่” มันดุ
“ไม่ขอรับ” สนรีบก้มหน้ามุดหายลงไปจากเรือนอย่างรวดเร็ว
ผมทำหน้าเบ้ ก่อนจะเมินหน้าออกนอกเรือน หมอนั่นนั่งลงใกล้ๆผม หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนอะไรหยิกๆ
“วันนี้เจ้ากินข้าวคนเดียวนะ เราจักไปธุระ เรือนคุณชั้น” หมอนั่นพูด
“จะไปหาคู่หมั้นเหรอ” จู่ๆผมก็พูดโพร่งออกมาโดยไม่ทันคิด
หมอปีย์หันมามองด้วยความประหลาดใจว่าผมรู้เรื่องได้อย่างไร
“ไม่ใช่ธุระกงการอันใดของเจ้า”
“โด่ ชั้นก็ไม่อยากจะยุ่งกับเรื่องของนายมากเท่าไหร่นักหรอก มีแฟนแล้วก็ดี๊” ผมทำเสียงสูง “เผื่อฮอโมนส์มันจะคงที่กับเขามั่ง”
“ดูเหมือนเจ้าจะมีความสุขที่เห็นเรามีคู่หมั้น”
“อ่าว ก็แหงสิ ทำไมต้องมีความทุกข์ด้วยหล่ะ เรื่องน่ายินดี” แต่ดูเหมือนหมอนั่นไม่ได้ยินดีเอาเสียเลย
“เป็นอะไรไม่ดีใจเหรอ จะได้แต่งงาน” ผมล้อ เผื่อว่าอะไรๆมันจะดีขึ้น
แต่เปล่าเลย มันกลับยิ่งทำให้แย่ลง หมอนั่นโกรธจัด ลุกขึ้นยืนก่อนจะกระแทกเท้าโครมๆเดินกลับเข้าห้องไป
“ปากหมาอีกแล้วสิกู เฮ้อ”
-
อัชเอ๊ย แกน่ะไปแหย่ต่อมงอนเข้าให้แล้วอ่ะดิ :เฮ้อ:
เมื่อไหร่จะฉลาดฟระเจ้าอัช ไม่สมกะเป็นคนจากยุคข้าวหานาปลูกยาก หมากไม่มีจะขายเลยว่ะ
รู้ตัวซะทีเห้อ ว่าหมอปีย์อ่ะ เค้าก็อยากให้แกหึงมั่งไรมั่ง จริ! จับปล้ำไปเล๊ย หมดเรื่องหมดราว จะได้เลิกงอนซะที :haun4:
-
แดงน่าสงสารอ่ะ
-
คุณหลวงหึงเจ้าสน โอ้คุณพระ หึงก็รีบ ๆ ทำอะไรซักอย่างสิ อัชยิ่งซื่อบื้อ ๆ อยู่ด้วย
-
:m15:สงสารเจ้าแดง
o18สงสัยว่าหมอปีย์จะหึงข้าซะแล้ว มีประชดด้วย
พูดถึงต้มสับปะรด แล้วก็คิดถึงต้มสับปะรดที่ยายทำให้กินจังเลย ไม่ได้กินตั้งนานแล้ว :กอด1:
-
สนุกมากค่ะ
อ่านแล้วหิวทันที
o13 o13 o13
-
เหอๆ
อยากให้หึงสินะ หมอปีย์ หุหุ
แต่นายอัชก็ใช่ว่าจะรู้เรื่องรู้ราวกับเขาหรอก 55+
-
สงสัยหมอปีย์จะเข้าวัยทองก่อนเวลาอันควร :m28:
หรือประจำเดือนไม่มาตามปรกติ:m21:
แต่ที่แน่ๆ ทั้งหวงทั้งหึงเข้าไปเต็มๆแล้วนะนั่น
ที่แรกทำหมากเมินเฉยชาเพราะคิดจะตัดใจจากอัชล่ะสิ
แต่ในที่สุดก็ทำไม่ได้ พอเห็นเขาไปสนิทสนมกับคนอื่นก็ลมออกหู :m14:
:m4: :m12: :m4:
ท่าทางและนิสัยของหมอปีย์ตอนนี้เหมือนนางเอกกำลังงอนพระเอกเลยแฮะ :laugh:
-
คุณพระ!!!
คุณหลวงพินิจเจ้าคะถ้าศรรักปักทรวงในขนาดนี้ก็อย่าดึงมันออกเลยเจ้าค่ะ
ตอกๆ มันลงไปให้ลึกเต๊อะ แล้วหาอีกซักอันมาปักอกเจ้าบ้าตีตราจองเสีย
จะได้ไม่ต้องมาหึงบ่าวไพร่ให้เป็นที่อึงมี่
ถ้ายังกระฟัดกระเฟียดโดนเจ้าบ้านอยด์ใส่อย่าหาว่ามิเตือน ฮา
-
อุ กรี๊ดดด มัง คะ มาตอนนี้ ยาว ได้ใจ
ชอบมากค่ะ แอบซ่อนปม ตัวละครไว้เยอะนะคะ
-
หมอปีย์คะ งอนก็บอกเขาไปเถอะค่ะว่างอน :เฮ้อ:
เพราะกว่าพ่ออัชญ์จะรู้ตัวก็คงอีกนานเลยล่ะค่ะ :laugh: :laugh: :laugh:
-
หึ หึ หมอปีย์หึงอัชกะนายสน โถ..นายสนชั้นล่ะสงสารนายจังโดนเจ้านายหึงโดยมิรู้ตัว
อ๊ะ..แล้วอัชอ่ะ พอรู้ว่าหมอปีย์มีคู่หมั้นก็ดูเหมือนจะเคืองๆ เหวี่ยงๆใส่หมอเหมือนกันนะ
-
ไม่คุยกันให้รู้เรื่อง..อึดอัดแทน
สงสารเจ้าแดง
+1
-
แอบลุ้นเมื่อไหร่คู่นี้มันจะลงเอยกันสักทีนะขอรับ :เฮ้อ:
-
คุณหมอก็งอน
พ่ออัชก็ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเค้าเล๊ยยยยย
:laugh: :laugh: :laugh:
-
ยิ่งอ่านยิ่งน่าติดตามขอรับ
ว่าแต่เมื่อไรจะรู้ใจกันเสียที เฮ้อออ :เฮ้อ:
-
ว่าแต่ว่า
คุณเซ็งเป็ดระลึกชาติได้แน่ๆเลยอ่ะ
ช่างเข้าใจถ่อแท้ซะเหลือเกินว่าอารมณ์คนที่ไม่อาจเปิดเผยได้นี่
มันเป็นยังไง
เฮ้อออ
-
เจ้าตัวเขาจะดีใจได้ไง ในเมื่อไม่ได้รักชอบนิ โฮะๆๆๆ
-
หมอปีย์หึงนายอัชชัวร์ 55+
-
รู้สึกว่าตอนนี้นายอัชย์ทำอะไรก็ผิดไปหมด โดนหมอปีย์ประชดตลอด :angry2:
ส่วนหมอปีย์ก็เดาอารมณ์ไม่ถูก
:เฮ้อ:
-
หมอปีย์ออกแนวสับสน แถมขี้หึงนะเนี่ย หึหึหึ งอนเป็นสาว ๆ เลย
-
สงสัยว่าหมอปีย์เรา จะแอบรักเจ้าบ้าเสียแล้วอ่ะ หึหึ
-
หมอปีย์หึงก้บอกไปซี่ว่าหึง
มัวแต่อมพะนำอยู่ได้
เดี๋ยวเจ้าบ้าของเราหายกลับมาปัจจุบัน ระวังเถอะนอนไม่หลับแน่ๆ
-
• บางครั้งหนูยิ้มก็จะมาเล่นขายของอยู่ใกล้ให้ผมอุ่นใจว่าอย่างน้อยก็ยังมีคนที่ผมพอจะรู้จักบ้างอยู่ที่นี่
• ผมจะนั่งดูหนูยิ้มเล่น บางครั้งก็คุยกับเธอจนเกือบเที่ยง จึงกลับเรือนหมอปีย์เพื่อไปกินข้าวเที่ยง
ต๊าย หนูยิ้มเป็นใคร เกี่ยวข้องอะไรกับหนูวาดไหมคะ
ขอบคุณนะคะ คุณ เซ็งเป็ด
-
• บางครั้งหนูยิ้มก็จะมาเล่นขายของอยู่ใกล้ให้ผมอุ่นใจว่าอย่างน้อยก็ยังมีคนที่ผมพอจะรู้จักบ้างอยู่ที่นี่
• ผมจะนั่งดูหนูยิ้มเล่น บางครั้งก็คุยกับเธอจนเกือบเที่ยง จึงกลับเรือนหมอปีย์เพื่อไปกินข้าวเที่ยง
ต๊าย หนูยิ้มเป็นใคร เกี่ยวข้องอะไรกับหนูวาดไหมคะ
ขอบคุณนะคะ คุณ เซ็งเป็ด
555 ลืมๆ เขียนตอนง่วง ขอบคุณนะครับที่ช่วยกันดู ผู้เขียนมึนมากช่วงนี้ งานเยอะ แต่นิยายก็ยังอยากเขียน
-
เย้ ตามมาจิ้มทันละ รักษาสุขภาพด้วยนะครับคนเขียน งานเยอะๆยังงี้่อ่ะ
เดี๋ยวทำข้าวนึ่งน้ำดอกไม้สด กับมัจฉะมังสาไปให้กินนะครับ ซึ่งตกลงไอ้ที่ว่าเนี่ย มันหมายถึงกับข้าวประเภทปลากับเนื้อสัตว์ป่ะ อิอิ ผมเดาเอา คนเขียนช่างขยันหาข้อมูลดีมากเลยครับ
+ให้ความขยันเนอะ o13
-
เย้ ตามมาจิ้มทันละ รักษาสุขภาพด้วยนะครับคนเขียน งานเยอะๆยังงี้่อ่ะ
เดี๋ยวทำข้าวนึ่งน้ำดอกไม้สด กับมัจฉะมังสาไปให้กินนะครับ ซึ่งตกลงไอ้ที่ว่าเนี่ย มันหมายถึงกับข้าวประเภทปลากับเนื้อสัตว์ป่ะ อิอิ ผมเดาเอา คนเขียนช่างขยันหาข้อมูลดีมากเลยครับ
+ให้ความขยันเนอะ o13
อืม.. ใช่แหละน้องน็อต ตอนอ่านพี่ก็สงสัยเหมือนกัน ว่าจะถามคุณเซ็งเป็ดเหมือนกัน งั้นรบกวนขอถามคุณเซ็งเป็ดเลยละกันจ้า
มันคือข้าวหุงอันเดียวกันรึเปล่ากับ
"...ข้าวหุงปรุงอย่าเทศ รสพิเศษใส่ลูกเอ็น
ใครหุงปรุงไม่เป็น เช่นเชิงมิตรประดิษฐ์ทำ.."
ที่ปรากฎในกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานของรัชกาลที่ 2 น่ะค่ะ
-
หมอหึง
อ่านเรื่องนี้ทีไร หิวข้าว อิอิ
-
หมอปรีย์ขี้หึงจัง
-
หมอปีย์หึง... งอล...ด้วย 55+
รออ่านนะค่ะ
:L1: :L1:
-
บ่าวเข้ามาใหม่น่ะขอรับ
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วรู้สึกดีกับ
การกินมากเลยทีเดียวน่ะขอรับ
แล้วเมื่อไหร่คุณหลวงจะตกล่องปล่องชิ้นกับ
เจ้าบ้าซะทีน่ะขอรับ
กระผมรออยู่น่ะขอรับ
-
เย่ๆๆในที่สุดก็อ่านทันแล้ว
คู่นี้แอบน่ารักนะเนี่ย หุหุ
อ่านไปๆแล้วแอบได้ทริกในการทำอาหารด้วย ไว้จะแอบเอาไปใช้บ้าง ^ ^
-
หมอหึง
อ่านเรื่องนี้ทีไร หิวข้าว อิอิ
ใช่ๆ อ่านทีไรหิวทุกที^^
-
เจ้าบ้าเห็นไหมหมอปีย์เขางอน เอ้ย โกรธแล้ว ตามไปง้อหน่อยสิ
-
หมอหึงๆ
-
อ่านทีไร ยิ้มได้ทุกทีเลย :z1:
+ 1 ให้ครับ o13
-
อ่านเรื่องนี้ทีไรท้องร้องทุกที :laugh:
คริๆ หมอปรีย์หึงๆๆๆๆๆ :z1:
-
เจ้าคุณพี่เจ้าขา
น้องมาขอความรู้ประดับกระหม่อมเจ้าค่ะ
อันเยื่อเคยแกงนั้น
คือสิ่งใดกันหรือเจ้าคะ
หรือจักเปนกะปิ
แจ้งดังคำน้องว่าใช่หรือไม่เจ้าคะ
-
หมอปรีย์หึงเป็นผู้หญิงเชียว
สนุกจังเลยอ่ะค่ะ อ่านแล้วก็หิว
รอตอนต่อไปค่ะ
-
คุณหมอขึ้หึง :laugh: :laugh: :laugh:
เเล้วเรืองคู่มั่น จะเป็นยังไงต่อไป รอ รอ รอ ลุ้น
-
คุณหมอมีอะไรก้พูดๆออกมาเหอะ ทำเเบบนี้คนอ่านลุ้นจะเเย่เเล้วเนี่ย๕๕
รีบมาต่อนะคะ
-
หมอปีเป็นอะไร ไม่ดีใจหรอมีคู่หมั้นอ่ะ
-
มาต่อแล้วยาวได้ใจมากกกก like!!
เหมือนจะสงสารหมอปีย์ ชอบก็บอกว่าชอบไปเลยเหอะนะจ๊ะ เดี๋ยวจะอึดอัดเองเปล่าๆ
แต่คนสมัยก่อนเค้าไม่ค่อยจะเปิดรับเรื่องแบบนี้ เอ็นดูแต๊ สู้ๆนะหมดปีย์ :กอด1:
ชักช้าเดี๋ยวสนค๊าบไปเจี๊ยะก่อนละจะมาเสียใจไม่ได้นะ
-
หนุ่มซึนสมัยโบราณ :laugh:
-
รอตอนต่อไป อิอิ^^
-
อีกคนไม่ยอมพูด อีกคนก็ความรู้สึกช้าขนาดหนัก!
พอดีฝรั่งเศสยึดเมืองน่ะค่ะ ถึงจะได้รักกัน :a6:
อยากอ่านฉากหวานๆของหนุ่มๆเร็วๆ
//แอบเป็นห่วงด้วย จากบ้านมานานๆแบบนี้จะไม่เป็นไรหรอคะ? พ่อเชฟอัชย์
-
หมอปีย์บ้าาาาาาา
ชอบเค้าก็บอกเค้าเส่ :angry2:
ไม่พอใจไรก็บอก
มาทำงี้
เค้าก็ไม่รู้หรอก (เพราะเค้ามันบื้อ) :เฮ้อ:
-
หนุ่มซึนสมัยโบราณ :laugh:
^
555 ใช่เลย
-
:mc4: :mc4: :mc4: เย้ๆๆได้อ่านแล้วๆๆๆ
-
^
^
อิอิ ตามน้องพิตผู้น่ารักมาติดๆ
เย้ ตามมาจิ้มทันละ รักษาสุขภาพด้วยนะครับคนเขียน งานเยอะๆยังงี้่อ่ะ
เดี๋ยวทำข้าวนึ่งน้ำดอกไม้สด กับมัจฉะมังสาไปให้กินนะครับ ซึ่งตกลงไอ้ที่ว่าเนี่ย มันหมายถึงกับข้าวประเภทปลากับเนื้อสัตว์ป่ะ อิอิ ผมเดาเอา คนเขียนช่างขยันหาข้อมูลดีมากเลยครับ
+ให้ความขยันเนอะ o13
อืม.. ใช่แหละน้องน็อต ตอนอ่านพี่ก็สงสัยเหมือนกัน ว่าจะถามคุณเซ็งเป็ดเหมือนกัน งั้นรบกวนขอถามคุณเซ็งเป็ดเลยละกันจ้า
มันคือข้าวหุงอันเดียวกันรึเปล่ากับ
"...ข้าวหุงปรุงอย่าเทศ รสพิเศษใส่ลูกเอ็น
ใครหุงปรุงไม่เป็น เช่นเชิงมิตรประดิษฐ์ทำ.."
ที่ปรากฎในกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานของรัชกาลที่ 2 น่ะค่ะ
อันนั้นผมว่าไม่น่าใช่นะครับพี่แก้ว อาจารย์ที่เคยสอนผมเค้าบอกว่า "ข้าวหุงปรุงอย่างเทศ" ในที่นี้จะมีลักษณะคล้ายๆข้าวหมกไก่อิสลามครับ แต่ว่าจะใส่เครื่องเทศหลายชนิดมากกว่าข้าวหมกไก่ ออกไปในสไตล์อาหารอินเดียนะครับ
จะว่าไปก็อยากลองกินเหมือนกันนะ แต่ไม่ค่อยมีใครสืบทอดสูตรโบราณแบบนี้แล้ว เพราะมันทำยาก แค่เครื่องเทศที่ใส่ก็เป็นสิบๆอย่างแล้วล่ะ เลยไม่นิยมทำกัน เสียดายเนอะ
-
เข้ามารออย่างใจจดใจจ่อ
-
หมอปีย์คงงอน ที่ไม่ใส่ใจเรื่องที่หมอมีคู่หมายล่ะม้างงงง
ก็หมอปีย์เล่นหลงรักไปแล้วนี่เนอะ
แต่ว่ามัวแต่งอนงี้ แล้วเมื่อไหร่จะมีฉากหวานๆกะเค้ามั่งล่ะคะ
รอค่ะ
-
มีความสุขกับการอ่านเรื่องนี้ จริง ๆ ครับ
-
ว้าย กิต.ขอเดาเล่นๆค่ะ
(http://image.ohozaa.com/i/b12/majchar.jpg)
ขอบคุณนะคะ คุณ เซ็งเป็ด
-
อยากจะบอกว่าชอบเรื่องนี้มากๆ เลย
เข้ามาในเล้าทีไรคอยชะเง้อตลอดว่ามารึยัง
มาต่ออีกเร็วๆ นะ เค้ารออยู่
-
อยากจะบอกว่าชอบเรื่องนี้มากๆ เลย
เข้ามาในเล้าทีไรคอยชะเง้อตลอดว่ามารึยัง
มาต่ออีกเร็วๆ นะ เค้ารออยู่
-
อยากจะบอกว่าชอบเรื่องนี้มากๆ เลย
เข้ามาในเล้าทีไรคอยชะเง้อตลอดว่ามารึยัง
มาต่ออีกเร็วๆ นะ เค้ารออยู่
-
รอจ้า^^
-
อยากจะกด LIKE ให้งามๆ เรื่องนี้ม่วนคักอีหลี 55555
ชอบๆๆๆ เพราะจิ้นสุดๆ
-
คุณหลวงมาต่อเร็วๆนะขอรับ น่ารักทั้งคู่เลย
-
รอๆๆ เซ้งเป็ดครับๆ คิดถึงหมอปีย์
-
รอๆๆๆ
-
ตามอ่านทันซะที :z2:
ตอนแรกที่อ่านรู้สึกขนลุกเอามากๆ ที่นายเอกของเราไปพบเจอเรื่องราวต่างๆ โดยเฉพาะตอนครั้งแรกที่เจอยายทวดนั้น ขนลุกจริงๆ เลยครับ
นิยายเรื่องนี้ยังสอนเรื่องราวให้แง่คิดเกี่ยวกับประเทศไทยสมัยปัจจุบันให้เราได้คำนึงกันอีกด้วย จากนี้ผมคิดว่าก็คงมีอีกหลายๆ คนที่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเอง ที่เกิดจากจิตสำนึกในการอ่านเรื่องนี้อีกละครับ.
PS. ชอบหมอปรีย์มากกกกกกกกก ! ♥
นายอัชย์ก็ความรู้สึกช้าซะ ! :z3:
+1 ให้คุณเซ็งเป็ดคร้าบบบ ' o13
-
ตะลุยรวดเดียวจบ! สนุก+หาข้อมูลเก่งมากๆเลยค่ะ ชื่นชมคุณเซ็งเป็ดจริง :call:
อ่านเรื่องนี้ก่อนนอนไม่ดีต่อสุขภาพจริงๆ หิวค่ะ :z3: ฮึก
หมอหึง~~~~~~ ลากหมอนลากผ้าห่มไปนอนด้วยสักคืนเดี๋ยวก็ดีเองล่ะมั้ง อัชย์ หึหึ
สนน่ารักค่ะ :-[ รอตอนต่อไปนะคะ
-
:z2: :z2:
รีบมาต่อนะ ค้างไม่ไหวเเล้ว ววว
-
รรรรรรรรรรรรร
-
รอจ้า^^
-
:เฮ้อ:
บ้านหลังสวนกับเจ้าแดงกระทบกระเทือนจิตใจจัง :sad11:
-
รอคร๊าบบบบ
-
:call:
มารอเจ้าบ้า
-
ยังติดตามและรอคอยเรื่้องนี้อยู่ตลอดครับ :L2:
-
รอน้า~
-
ฮื่อๆ ๆคิดถึงหมอปีย์ กับ อัฏย์ ใจจะขาดรอนๆๆ อยู่แล้วว
-
ตาอัฐย์นี้ไม่ได้รู้อะไรกับเขาเล๊ยยยย ฮึ่ม
-
อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันฉลองงานภูเขาทอง คนที่นี่ตื่นเต้นมากเป็นพิเศษ คนเรือนคุณชั้นนั้นเห่อตัดสไบกันยกใหญ่ บางคนเลือกผ้าสีเขียวยังกะนางตานี อีกคนก็ไปได้ผ้าสีแดงเลือดนกจากพวกแขกแถวพาหุรัดมาก็เอามาอวดกันครึกครื้น คุณชั้นนั้นถึงขนาดลงทุนตัดชุดใหม่ให้หนูวาดเลย และดูเหมือนหนูวาดจะเห่อเป็นพิเศษ ทันทีที่เห็นผม เธอรีบวิ่งแจ้นหอบชุดมาอวดผม
“ตัวว่าชุดหนูวาดสวยมั๊ย” ผมยิ้มบอกว่าสวยที่สุดเลย
เธอยิ้มจนแก้มแทบปริ เอาชุดมาทาบอกก่อนจะหมุนไปหมุนมาจนผมเวียนหัว
ส่วนคำแก้วนั้นผมเห็นเธอครั้งเดี่ยวเองตอนที่เธอเดินลงมาเก็บดอกมะลิ หน้าตาของคำแก้วละม้ายคล้ายคนที่ผมรู้จักและฝังใจ ไม่รู้ว่าเธอเป็นญาติฝ่ายไหนของคนที่ผมรู้จักรึเปล่า
“เอ พลอยก็มีญาติอยู่เชียงใหม่ด้วยนี่นา” ผมนึกขึ้นได้
ส่วนทางบ้านของหมอปีย์นั้นไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น หมอนั่นเอาแต่ขลุกตัวอยู่ในห้องหนังสือ มีเพียงผม เจ้าแดง และสนเท่านั้นที่ตื่นเต้นที่จะได้ไปเที่ยว
“เจ้าบ้า เจ้านะจะได้เห็นชาวบ้านร้องเพลงฉ่อย โต้ตอบกัน สนุกนักเชียว” แววตาของสนดูเหมือนจะเป็นประกาย
“เพลงฉ่อยคืออะไรอ่ะ” ผมถามด้วยความไม่รู้
“นี่เจ้าไปอยู่เสียที่ไหนมา ถึงมิรู้ว่าเพลงฉ่อยคืออะไร เพลงฉ่อยก็คือเพลงที่ตาเป๋ นำมาร้องเกี้ยวภรรยาเมื่อหลายปีมานี้ จากนั้นพวกครูเพลงไม่ว่าจะเป็น ครูฉิม ครูเปลี่ยน ครูศรี ครูบุญมีก็นำมาร้องต่อกัน ข้าเคยเห็นครูเปลี่ยนมาร้องที่พระนครครั้นเมื่องานสมโภชน์เมื่อปีกลาย ยังจำเพลงที่แกร้องได้เลย เจ้าจักฟังมั๊ยเจ้าบ้า เจ้าแดง”
ผมกับเจ้าแดงพยักหน้าพร้อมกัน
“คอยตบมือให้จังหวะข้านะเจ้าแดง” ว่าแล้ว สนก็กระแอมในลำคอเชิงขี้โม้ สองสามทีก่อนจะเริ่มร้องเพลง
ผมกับไอ้แดงนั่งตบมือ และคอยดูนายสนรำ ไม่น่าเชื่อว่าเห็นมาดมันนิ่งๆจะกลายเป็นคนทะแล้นได้ขนาดนี้ ผมกับไอ้แดงหัวเราะกันร่วนกับลีลาการร้องเกี้ยวสาว บางครั้งมันร้องเป็นผู้ชาย บางครั้งก็สลับมารับเป็นผู้หญิง ผมทั้งขำทั้งประหลาดใจ
แต่มีอยู่คนนึงละมั้งที่ไม่ขำกับเราด้วย จะใครเสียอีกหล่ะ ถ้าไม่ใช่ ไอ้หมอขี้เก๊กนั่น
ยิ่งใกล้วันงานสมโภชน์มากเท่าไหร่ ชาวบ้านแถวนี้ก็ยิ่งคึกคักกันมากขึ้น ต่างคนต่างพากันเตรียมของไปขาย ผมเห็นชาวบ้านเดินกันขวักไขว่กันมากกว่าเดิม กลางคืนก็จะได้ยินเสียงตำน้ำพริก ขูดมะพร้าว ตำครก เสียงเหล่านี้คงเป็นเสียงที่บ่งบอกว่า วันนั้นคือวันที่พวกเขารอคอย
และแล้ววั้นนั้นก็มาถึง ผมตื่นแต่เช้า เพราะนายสนย่องมาปลุก มันบอกว่า มันจะไปช่วยแม่มันขายของที่งานในตอนเช้า จะไปด้วยกันหรือเปล่า ผมตอบตกลงโดยไม่มีลังเล รีบลุกไปอาบน้ำแต่งตัว ขณะที่เดินออกมาจากบ้านนั้น ข้างนอกยังมืดอยู่ ห้องของหมอปีย์ปิดเงียบ สงสัยยังหลับอยู่แน่ๆ
“แม่นายขายอะไร” ผมถาม
“ขายขนมเบื้อง ขนมเบื้องของแม่ข้าอร่อยหาที่ใดเปรียบ เจ้าจักได้ชิมไม่ช้านี่แหละ”
เราทั้งคู่เดินลัดเลาะไปตามถนนเส้นเล็กๆที่สองข้างทางปกคลุมด้วยไม้ใหญ่ ต้นกระทิน ต้นประดู่ และไม้หายากอีกหลายชนิด ความร่มรื่นเย็นสบาย ผู้คนใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่เร่งรีบ พวกเขาเดินกันช้าๆ พูดกันเบาๆ มีเวลาหยุดพักทักทาย ยิ้มให้แก่กัน ความจำของพวกเขานั้นก็ดีเลิศ เขาจำกันได้หมดว่าใครชื่ออะไร พ่อแม่เป็นใครทำอะไรที่ไหน น่าทึ่งมากสำหรับเด็กเรียนนอกอย่างผม
“นี่สน เขาจำกันได้ยังไงว่าใครชื่ออะไร” ผมถาม
“อ้าว เจ้านี่ประหลาดดีแท้ คนรู้จักกันทำไมถึงจักไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนาม” สนตอบเขาเร่งฝีเท้าขึ้น
“แต่ที่นี่ใหญ่โตขนาดนี้อ่ะ จำได้ยังไง” ผมยังคงสงสัยต่อ แต่ได้เร่งฝีเท้าเดินตามสน
“ก็จักไม่รู้จักกันได้เยี่ยงไร เพลามีงานบุญงานวัด ชาวบ้านที่นี่ก็บอกบุญ หรือไม่ก็ไปช่วยงานกัน บ้านใครใครแต่ง ใครตาย ก็บอกกันปากต่อปาก เมื่อมาถึง ก็ทักทาย ช่วยงานกัน เป็นเยี่ยงนี้มาแต่ไหนแต่ไร ชาวบ้านเขาถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน รู้จักกันมันก็ไม่เห็นจักแปลก”
“อ้อ เหรอ” ผมพยักหน้า
“หมู่บ้านเจ้าไม่เป็นเยี่ยงนี้กันดอกรึ”
ผมส่ายหัวไปมา
“ไม่อ่ะ บ้านชั้นนะ บ้านติดกัน แค่กำแพงกั้นยังไม่รู้จักกันเลย”
“แปลกดีแท้ คนบ้านเจ้านี่”
ผมอยากจะบอกมันเหลือเกินว่า คนบ้านผมที่มันว่ามันก็ลูกหลานนายทั้งนั้นนั่นแหละ แต่ไม่ได้บอกไปเพราะกลัวโดนหาว่าบ้าอีก
“นู่นไง จวนจักถึงแล้ว”
ผมชะเง้อมองตามที่สนชี้ เห็นภูเขาทองอยู่ไกลๆ ตอนที่ผมเห็นภูเขาทองตอนที่ขับรถผ่านไปข้าวสารเพื่อไปปาร์ตี้กับเพื่อนชาวออสซี่นั้น ผมไม่ทันได้สังเกตุ เห็นแต่เป็นภูเขาที่มีเจดีย์สีขาวอยู่บนยอดแค่นั้นเอง แต่ทันทีที่ผมเห็นภูเขาทองอีกครั้งที่นี่ มุมมองผมก็เปลี่ยนไป มันสวยงามในแบบที่มันเป็น ความยิ่งใหญ่ที่ผมรู้สึกได้ รอบๆตัวผมมีแต่ท้องนา และลานโล่งๆ มีเพียงภูเขาทองเท่านั้นที่ตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่บนเนินหินสูง
ในสมัยผมความยิ่งใหญ่ของภูเขาทองอาจโดนลดทอนความยิ่งใหญ่ลงไปเพราะตึกรามบ้านช่องที่สูงเสียดฟ้า แต่สำหรับที่นี่ มันคือที่ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวสยามในครั้งนั้น ชาวบบ้านต่างหลั่งไหลเข้ามาที่นี่เพื่อจะมาสักการะพระบรมสารีริกธาตุ
พวกเขาต่างพากันหาที่เหมาะๆ จอดเกวียนไว้ บ้างหาโต๊ะหาแคร่มาวางจับจองเป็นเจ้าเข้าเจ้าของไว้ ผมเองก็ตื่นเต้นกับงานครั้งนี้ไม่แพ้พวกเขาเหมือนกัน เร่งฝีเท้าเดินตามจนทันนายสน ที่ล่วงหนามาหลายก้าว
“รีบเดินเข้าเจ้าบ้า ประเดี๋ยวจักคราด หากันไม่เจอ” มันบอก ผมนึกหัวเราะในใจ จะบ้ารึ สนเอ้ย ใครจะไปหลง ชั้นไปอยู่ออสเตรเลียคนเดียวตั้งหลายปี ยังไม่กลัวหลงเลย
“นู่นไง แม่ของข้า เร่งตามเข้าเถิด คงวุ่นน่าดูเสียกระมัง”
ภาพของหญิงแก่วัยชราท่าทางใจดี กำลังง่วนอยู่กับการจัดข้าวของ เธอจับจองได้ที่ริมตีนเขา ทางเข้างานพอดิบพอดี ผมมองไปรอบๆ ชาวบ้านที่เป็นเหล่าพ่อค้าแม่ค้าต่างพากันจัดของของตัวเอง บ้างก็กำลังขนมะพร้าวทลายลงจากเกวียน บ้างก็จัดถาดจัดเตาให้เรียบร้อยบนแคร่ บางคนนั้นยุ่งถึงขนาดผ้าถุงหลุดลุ่ยเป็นที่น่าขัน
อีกมุมนึงด้านใน ก็มีการจัดตั้งโรงมหรสพกันหลายโรง มีการเอาผ้าสีมาผูกตามเสาที่ตั้ง มีการเอาไม้กระดานมาปูเป็นพื้น เมื่อมองขึ้นไปบนภูเขาทองก็จะได้เห็นผู้คนมากมายต่างช่วยกันประดับด้วยประทีปแก้ว ระย้าแก้ว โคมพวง โคมราย และดอกไม้สวยงามจริงๆ
“นี่เจ้าบ้า จะอ้าปากค้างอยู่อีกนานไหม” เสียงนายสนตะโกนมาแต่ไกล เขากำลังช่วยแม่ของเขายกเตาถ่านเตาใหญ่ลงมาวางกับพื้น
“เออ ไปแล้วๆ” ผมปรี่เข้าไปหามัน ยกมือไหว้แม่ของสน ก่อนจะช่วยยกหม้อที่ใส่แป้งไว้เต็ม
เมื่อร้านของแม่สนเสร็จเรียบร้อย เราทั้งคู่ต่างทรุดตัวนั่งลงอย่างเหนื่อยอ่อน ผมเงยหน้ามองฟ้า เวลาใกล้เที่ยงเต็มทน เดี๋ยวนี้ผมชินกับการอยู่โดยไม่มีนาฬิกาเสียแล้ว แค่มองตะวันผมก็สามารถเดาได้ว่ากี่โมง อาจไม่เป๊ะ แต่ก็ไม่เคยพลาด
“ใกล้เที่ยงแล้ว เจ้าเร่งกลับเรือนเถิด เดี๋ยวคุณหลวงจะถามหา” นายสนหันมาพูด
“อ่าว ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวชั้นอยู่ช่วยต่อก็ได้”
“อย่าเลย ไม่มีอะไรแล้ว เจ้ากลับเรือนถูกใช่ไหม”
ผมพยักหน้า ก่อนจะลุกไปดื่มน้ำที่แม่นายสนเตรียมใส่ในแอ่งน้ำมาไว้กินอึกใหญ่ และเดินกลับบ้านไปอย่างว่าง่าย
“หายไปไหนมา” เสียงหมอนั่นทักขึ้นขณะที่ผมกำลังใช้กระบวยตักน้ำจากโอ่งข้างบันไดล้างเท้า เขาพูดโดยที่ไม่มองหน้าผม เอาแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านตำรา
ผมเลือกที่จะไม่ตอบ เดินขึ้นบันไดมาบนเรือน
“เราถามว่าไปไหนมา ไม่ได้ยินรึ” เขาตะคอก
“ได้ยิน แต่ไม่อยากตอบ มีอะไรรึป่าว” ผมกวนกลับไป
“หากเจ้ายังคิดว่าเราเปนเจ้าของเรือนนี้ จักทำอะไรก็ขอให้บอกเราเสียก่อน หากเจ้าเปนอะไรขึ้นมา เราจักได้ไม่เสียเวลาตามหา”
“ชั้นไปกับสนมา ”
หมอนั่นไม่พูดอะไร ผมหยุดรอพักหนึ่ง รอว่ามันจะพูดอะไรรึเปล่า แต่เปล่า มันไม่พูดยังคงก้มหน้าอ่านหนังสือต่อไป
“เดี๋ยวเย็นนี้ชั้นจะออกไปงานกับสน หวังว่านายคงไม่ว่าอะไรนะ”
หมอปีย์ไม่ตอบได้แต่ก้มหน้านิ่ง
“ไม่พูด งั้นชั้นถือว่านายอนุญาต” ผมว่า กำลังจะก้าวขาเดินเข้าห้อง
“แล้วถ้าเราบอกว่าไม่ได้หล่ะ” หมอปีย์โพร่งขึ้นมาเล่นเอาผมงงไปเลย
“ชั้นก็จะขอถามเหตุผล หากนายให้เหตุผลดีๆชั้นไม่ได้ ชั้นก็จะไป”
“เหตุผลนะรึ” หมอนั่นอึ้งไปครู่หนึ่ง ผมยืนรอคำตอบ “เหตุผลก็คือ เจ้าเป็นคนของเรา”
ผมฟังเหตุผลนั้นก็จะขมวดคิ้วด้วยความสงสัย คิดวนไปวนมาหลายรอบว่ามันหมายถึงอะไร
“บ้ารึป่าว” เมื่อคิดอะไรไม่ออกว่าที่มันพูดหมายความว่าอะไรผมก็เลิกคิด และด่ามันกลับไป ผมไม่ใช่คนคิดเยอะ เท่าคนสมัยก่อน ปวดหัวและป่วยการณ์ที่จะคิด สำหรับผมรู้สึกอย่างไรก็พูดตรงๆ ผมเดาความรู้สึกใครไม่เก่ง
กลางวันวันนั้นผมนอนพักเอาแรงตามคำแนะนำของสน เขาบอกผมว่า ให้กลับไปนอนเอาแรงเสียก่อน เพราะคืนนี้มีมหรสพมากมายที่จะจัดกันถึงรุ่งสาง ถ้าไม่นอนกลางวันเอาแรงมีหวัง ได้คับไปก่อนแน่ๆ
ผมจัดแจงอาบน้ำ ประแป้ง เพิ่งสังเกตุตัวเองว่าผมคล้ำลงไปมากจากปกติ ผิวก็กร้านขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อาจเป็นเพราะขาดการบำรุง แต่ที่ชัดเจนไปจากเมื่อก่อนคือ ผมหุ่นเฟิร์มขึ้นมาก ไม่เข้าใจเหมือนกันทั้งๆที่ไม่ได้ออกกำลังกาย เข้าฟิตเนสเลย แต่กล้ามขึ้นเป็นลุกๆ หน้าท้องถึงจะไม่มี 6 pcak แต่ก็เรียบแน่น
“โห แมนโคตร” ผมลูบหน้าท้องตัวเอง ก่อนจะหันข้างเบ่งกล้าม
อาจเป็นเพราะอยู่ที่นี่ผมเดินทั้งวัน ทำงานทั้งวัน ร่างกายมันก็เลยได้ทำงานตามที่มันสมควรจะเป็น
“ดูดีกว่านะก่อนอีกนะนี่” ผมยิ้ม เพราะรู้สึกว่าถึงแม้จะคล้ำ และกร้านลงไปบ้าง แต่ก็ดูแมนขึ้นในความรู้สึก
“ป้ามีไรกินมั่ง” ผมลงไปโรงครัวถามหาของกิน เพราะตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย หล่อนชี้ให้ผมขึ้นมาดูเอง เพราะกำลังยุ่งอยู่กับการขูดมะพร้าว คนสมัยก่อนนี่ก็ดี วันๆก็วุ่นวายอยู่กับการกิน อย่างว่านะ บ้านเราไม่เคยประสบปัญหาอดอยากสงครามเหมือนชาติอื่นๆ เลยมีเวลาสั่งสมภูมิความรู้ด้านนี้มากมาย ผิดกับเกาหลีที่แร้นแค้นจนแทบจะไม่มีวัฒนธรรมเป็นของตัวเองในตอนนั้น แต่เขาก็กลับมายิ่งใหญ่และสร้างวัฒนธรรมใหม่จนแทรกซึมไปทั่วโลก น่านับถือๆ
“ป้านี่อะไรอ่ะ” ผมเปิดฝาหม้อออกมาเจอแกงเหลืองๆใส่ปลาอยู่ในนั้น
“แกงส้มมะรุม กินกับปลาช่อนแดดเดียวในฝาละมีนู่น” หล่อนตอบ ผมเปิดฝาละมีดูก็พบปลาช่อนแห้งวางคู่กับน้ำพริกผักสด น้ำลายสอขึ้นมาทันที
เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมหุ่นดีส่วนหนึ่งก็อาจมาจากการกินด้วยละมั้ง อยู่ที่นี้ผมกินแต่อาหารดีทั้งน๊านนนนนนนนน
ผมฟาดอาหารมื้อนั้นจนเกลี้ยงในเวลาอันรวดเร็วด้วยความหิวโหย นั่งรอสักพักกะว่าให้ง่วง มันก็ดันไม่ง่วงซะกะที ล้มตัวลงนอนก็พลิกไปพลิกมา เลยตัดสินใจ ช่างแม่งไม่ง่วงก้ไม่ต้องนอน
เวลาเกือบบ่าย สามกว่าๆ อากาศอบอ้าว แต่ยังพอมีลมแผ่วๆพัดมาให้คลายร้อนได้บ้าง ผมเดินเท้าเปล่าลงมาจากเรือน มุ่งหน้าไปยังเรือนหลังสวนเพื่อไปหา แดง ไม่รู้ว่าป่านนี้จะมีใครเอาช้าวเอาปลาให้มันกินรึยัง แดงมันไม่ค่อยโวยวายอะไรหรอก ใครให้กินก็กินไม่ให้กินก็ไม่กิน บางวันหากสนไม่อยู่ กว่าที่มันจะได้กินข้าวก็ปาไปบ่ายแก่ๆไปแล้ว
ผมเดินผ่านป่ากล้วยโดยไม่ลืมถือขนมเล็กๆน้อยๆติดมือไปด้วย การที่มันเป็นเด็กที่ไม่งอแง ไม่เคยเรียกร้องอะไร เลยทำให้ผมยิ่งสงสารและพยายามจะหาสิ่งดีๆที่เด็กปกติพึงมีมาให้มัน
“ลุงเห็นไอ้แดงมันมั่งมั๊ย” ผมร้องถามหาแดง ลุงชี้ไปที่กอไผ่หลังเรือนอีกเหมือนเคย ผมเดินอ้อมไปทางหลังเรือนผ่านกอต้นเข็มที่ออกดอกสีแดงสดต้นใหญ่ ใต้ต้นเข็มนั้นเต็มไปด้วยต้นว่านต่างๆที่สนปลูกเอาไว้เพื่อเอามาทำยา
สนเล่าให้ผมฟังว่าความรู้เหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วนั้นมากจากหมอจรัสทั้งนั้น เขาแทบจะคิดไม่ถึงเลยว่ากล้วยน้ำว้ามีสรรพคุณทางยาในด้านรักษาอาการท้องเสีย ช่วยยับยั้งความเผ็ดร้อนของอาหาร
ใบตำลึงช่วยแก้อาการแมลงสัตว์กัดต่อย แก้คัน แก้เจ็บตา ตาแดง
หรือขมิ้นชันเป็นยาลดกรด แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด ขับลม อาหารไม่ย่อย แก้โรคกระเพาะ แก้ปวดท้อง แก้อาการเกร็งกล้ามเนื้อ ทำให้การบีบตัวของลำไส้ลดลง
หมอจรัสเคยบอกเขาว่า
“เมืองสยามนี้ดีแท้ กินอาหารนอกจากจักอิ่มท้องแล้ว ยังเป็นยาอีกด้วย”
เขาหมายความว่าอาหารที่คนไทยสมัยก่อนกินนั้นล้วนแล้วแต่มีสรรพคุณและคุณประโยชน์นานัประการ พืชผัดสมุนไพรก็ล้วนแต่หลากหลาย
“แต่ทำไมคนไทยถึงไม่ค่อยรู้เน๊าะ” ผมเปรย
“แดง” ผมเรียก “กินหนมป่าว”
แดงเงยหน้าขึ้นมา แววตาเป็นประกาย มันทิ้งช้อนที่ใช้ขุดดินลงก่อนจะวิ่งมาหาผม เด็กวัยขนาดนี้ควรที่จะได้มีโอกาสพบปะเด็กคนอื่น มีเพื่อนคนอื่นๆบ้าง แต่นี่มันอยู่ตัวคนเดียว น่าสงสารอ่ะ
“อะไร” มันถาม
“ไม่รู้เหมือนกันน่ะ ชั้นเอามาจากเรือนใหญ่นู้น กินป่าว” ขนมที่ทำมาจากมะพร้าวขูดเป็นเส้นๆแล้วม้วนเป็นลูกกลมๆก่อนจะเอาไปเครือบน้ำตาลอยู่ในใบตองที่ผมห่อมาให้แดง มันรับขนมไปมองอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอาเข้าปากไปเคี้ยวๆ
“อร่อยมั๊ย” ผมยิ้ม
“แข็ง” มันบอกแต่ก็ยิ้มแฉ่งอย่างอารมณ์ดี
ผมไม่มาที่นี่หลายวัน หลังสุดที่มามีชายชราคนนึงตายไปเนื่องจากมีอาการแทรกซ้อน ผมมาไม่ทันเขาตายหรอก แต่สนบอก
คนที่นี่เก่าไปใหม่มาอยู่เรื่อยๆ ที่นี่เป็นเหมือนที่สุดท้ายที่พวกเขาจะได้ปล่อยลมหายใจสุดท้ายให้ล่องลอยไปพร้อมกับวิญญาณ ไม่มีที่ไหนต้อนรับพวกเขา ไม่มีแม้ที่จะล้มลงสิ้นใจ
มีเพียง............เรือนหลังสวนแห่งนี้เท่านั้น
ผมมองสภาพของแดงมันแล้วก็อดสะท้อนใจไม่ได้ มันคงเจ็บปวดกับอาการของโรค อีกทั้งไหนจะต้องทนเจ็บปวดกับความเหงาเดียวดาย สิ่งหนึ่งที่รอคอยเด็กผู้ชายคนนี้ ไม่ใช่อนาคตอันสดใส ความร่ำรวย หรือความสุข แต่กลับเป็น.......ความตาย
น่าหดหู่ใจชะมัด
“แดง” เสียงใครคนหนึ่งเรียกชื่อแดงมาทางด้านหลังผม ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง
“ชั้นเอาขนมมาให้ แต่.............” หมอปีย์นั่นเอง เขามองมาที่ผม “คงไม่ทันแล้วหล่ะ” เขายิ้ม
“เราก็นึกว่าใครเอาขนมที่เก็บไว้ให้แดงไปไหนเสีย ที่แท้ก็เป็น.................”
ผมไม่พูดอะไร แต่ลุกขึ้นไปนั่งบนแคร่ หมอนั่นเดินเอาขนมไปยื่นให้แดง
“อร่อยมั๊ย เจ้าแดง” หมอนั่นถาม
“ขอบใจเจ้านะ ที่เป็นห่วงเจ้าแดงมัน” หมอนั่นนั่งลงใกล้ๆผม “อย่างน้อย เจ้าก็ยังผูกพันกับใครในบ้านหลังนี้อยู่บ้าง”
เอาอีกแล้วพูดอะไรของมัน
“แดง” หมอปีย์หันไปเรียกชื่อเจ้าแดง
“เจ้าว่าข้าใจดำหรือไม่” แต่เจ้าแดงมันไม่ตอบ
“เจ้าคงคิดว่าเราใจร้ายใจดำ จอมเผด็จการ เจ้ายศเจ้าอย่าง เข้าใจยาก..............อย่างนั้นสินะ”
..................
“เจ้าคงคิดว่าเราน่ารำคาญอยู่ด้วยแล้วไม่มีความสุข................สินะ”
.....................
“เราไม่โทษเจ้าดอกที่เจ้าจักคิดเยี่ยงนี้ มันเป็นความผิดของเราเอง”
ผมเหลือกตาไปมองมัน นึกในใจเป็นอะไรมากป่าวพูดอยู่ได้คนเดียว มองไปทางเจ้าแดง มันก็เอาแต่แทะขนมไม่เห็นจะสนใจหมอนั่นพร่ามเลย
“เจ้าแดงเอ๋ย เจ้าไม่รู้หรอกว่าเราลำบากใจแค่ไหน เราไม่รู้จักพูดคำใด นอกจากคำว่า เราขอโทษ”
ผมเหลือบตาไปมองมันอีกรอบ พร้อมแบะปาก เป็นอะไรของมัน
“แดง ไปละนะ เดี๋ยวชั้นซื้อหนมมาฝาก” ผมลุกขึ้นยืน บอกลาแดงเพราะนึกขึ้นได้ว่าต้องรีบไปงานคืนนี้
หมอนั่นหันมามองผม คงนึกในใจว่า กูอุตส่าห์พูดซะเยอะแยะ ไม่เข้าหูมึงเลยหรือนี่
แต่ผมไม่สนใจหรอก เรื่องของมัน ผมบอกแล้วว่าผมไม่ชอบคนอ้อมค้อม จะพูดอะไรกับผมก็พูดมาตรงๆ อย่ามาทำเป็นพูดฝากคนนู้นคนนี้ มันไม่ใช่ละครไทย
ผมหันหลังเดินออกมาโดยไม่สนใจหมอนั่น
แดดยามบ่ายแก่ๆเริ่มโรยความร้อนแรงลงไปเหลือแต่เพียงไอร้อนวูบๆเท่านั้น ผมสะบัดเสื้อเบาๆให้ลมพัดผ่าน เหงื่อเม็ดเล็กๆปุดขึ้นบนใบหน้า เงาของต้นมะขามเทศพาดผ่านทางเดินสองข้างทางคอยให้ความร่มรื่น ผมยังเดินอยู่ที่นี่........ที่บ้านของตัวเองแห่งนี้
-
^
^
^
จิ้มเบาๆ :z13:
อัชเอ๊ย ใจร้ายว่ะ น่าจะใจอ่อนกะหมอปีย์มั่งไรมั่ง หมอปีย์เขาก็ออกจะน่ารักนา
-
สงสารแดง :monkeysad:
เริ่มไม่ชอบนิสัยนายเอก
+1
-
ใจร้าย....
แต่สงสาร แดง...
-
หมอปีย์นี่ วัยทองหรอคะ
แปรปรวนจริงเชียว
เดี๋ยวเขาหนีกลับบ้านอีกจะรู้สึกอ่ะ
-
อัชใจร้าย
ให้หมอมอมยาแล้วจับกดเลย
อิอิ o13
-
:serius2:อัชใจร้าย หมอปีย์อุตส่าห์มาขอโทษแล้วนะ
:m15:สงสารแดง
-
หมอปีย์ ก็ก๊กความรู้สึกเข้าไปนะจ๊ะ เค้าใจว่าสมัยก่อนคนมักจะเนียมอาย
ชอบก รีบๆ บอกเค้าไป ไม่งั้น อาจจะอดนะจ๊ะ :z2: เชียร์หมออยุ่นะ จุ๊บๆ
-
เห็นแล้วหงุดหงิด
ยึกๆยักๆกันอยู่นั้นแหละ
อัชก็ไม่พยายามเข้าใจ
หมอก็ชอบอ้อมโลก
แล้วเมื่อไหร่จะลงเอยกันซักที
-
นี่มันคนละยุคกันนะอัช....จะให้เร็วทุกอย่างได้ยังไง อัช ใจร้ายยย
-
พี่นน อย่าให้นานนะ อ่านแล้วค้างเลย หมอปีย์มาง้อซะที รอนานมากกกกกก
-
บอกเค้าไปตรงๆเลยสิหมอปีย์ o13
อ้อมอยู่ เด๊ยวก็ถูกสนคาบไปกินซะหรอ :angry2:
จะไม่ให้เค้าไปเที่ยวหึงเค้าใช่ม่ะล่ะหมอปีย์ :serius2:
เอาใจช่วยคนปากแข็งอย่างหมอปีย์แล้วกัน สู้ๆนะหมอปีย์ :mc4: :mc4: :mc4:
-
อัชน่ีนะ ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย
-
“เหตุผลก็คือ เจ้าเป็นคนของเรา” :o8: ชอบประโยคนี้มากมาย
แต่สงสารหมออ่ะ สงสาร :o12: :o12: :o12: :o12:
-
"เจ้าเป็นคนของเรา"......อร๊างงงงงงงงงงงงง
หมอสุดยอด แต่อ้อมไปนะหมอ หมอยังไม่รู้อีกเหรอว่าไอ้อัชมันตรงแต่โง่ :เฮ้อ: //โดนตะหลิวโบก
รอตอนต่อไปค่า สนเอ้ยยไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับเขาก็ทำนายหงุดหงิดซะแล้ว
-
เดี๋ยวปั๊ดให้หมอปีย์มอมสาโทซะเลยนี่ ชิชะ :m31:
-
หมอปีย์อ้อมได้ใจจริงๆ
-
"หมอนั่นหันมามองผม คงนึกในใจว่า กูอุตส่าห์พูดซะเยอะแยะ ไม่เข้าหูมึงเลยหรือนี่" :laugh:
-
• ผมบอกแล้วว่าผมไม่ชอบคนอ้อมค้อม
จะพูดอะไรกับผมก็พูดมาตรงๆ
อย่ามาทำเป็นพูดฝากคนนู้นคนนี้
มันไม่ใช่ละครไทย
วุ้ย ก็รู้นี่นะ ว่าหมอเขาหมายจะพูดกับใคร....
จะให้คิดอะไร...
ยักท่านักนะยะหล่อน หึหึ
๒๑๓ + ๑ = ๒๑๔
ขอบคุณนะคะ คุณ เซ็งเป็ด
-
สงสารแดง มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :m15:
:เฮ้อ: เหนือยใจ เเล้วเมือไรจะเข้าใจกัน :เฮ้อ:
:กอด1: :กอด1: :กอด1:
-
แหมหมอ ทีหลังก็พูดตรง ๆ ไปเลย
มาซะขนาดนี้แล้วจะกลัวอะไร
-
:กอด1: ดีใจในที่สุดก็มาแล้วตอนใหม่ หุหุ
...
อัชอ่ะ ทำไม่สนใจหมอสักที
แล้วเมื่อไหร่ตูถึงจะได้มีโอกาสอ่านบทสวีทๆ บ้างว้า
ก๊าสสส :m31:
-
หมอปีย์ก็อ้อมโลกซะ
ส่วนอัชช์ก็นะ ทิฐิได้โล่
รีบๆดีกันซะทีเหอะ
อยากอ่านหวานๆมั่งอ่า
-
หมอเมื่อไหร่จะเลิกซึนซะทีนะ
นายอัชณ์น่ะเขาทึ่มจะตาย ไม่บอกก็ไม่รู้หรอก อิอิ
-
ผมยังเดินอยู่ที่นี่........ที่บ้านของตัวเองแห่งนี้
ชอบคำนี้จัง
:P
-
หมอปีย์อุตส่าห์มาขอโทษแล้วนะ อัชย์ก็ยังใจแข็งเหมือนเดิม เหอๆๆ
-
คนหมอปรีย์คิดอะไรก็พูดไปตรงๆเถิดค่ะ
พูดซะอ้อมโลกไปไหน แต่ชอบที่หมอปรีย์พูดว่า
"เจ้าเป็นคนของเรา" พูดชวนจิ้นยิ่งนัก
รออ่านตอนต่อไปค่ะ กำลังสนุกเลย
-
หมอปีย์นี่น้า จะพูดอะไรก้พูดตรงๆเลยน่า อย่าอ้อมๆ
-
โอ๊ยยยยยยยยยยยย!! หมอ!!
แบบนี้ไม่ว่าใครก็ไม่เข้าใจหมอหรอกค่ะ!! :serius2:
จะทำอะไรก็ทำให้มันชัดเจน บอกตรงๆพูดตรงๆ เป็นไรมากป้ะเนี่ย~!!! :sad4:
-
เราไม่ชอบคนพูดอ้อมค้อมเหมือนกันแหละอัชย์
หมอปีย์ เดี๋ยวได้เศร้าไปกว่านี้แน่ๆ ถ้าขึนเอาแต่นิ่งๆแบบนี้น่ะ
-
หมอปีย์ทำให้พ่ออัฐย์กระอักเลือดหน่อยสิ
ตาอัฐย์ซื่อจริง จร๊ง ซื่อจนโง่เลยแหละ คนเขาทำถึงขนาดนี้แล้วยังไม่รู้สึกตัวอีก
-
หมอปีย์ทำให้พ่ออัฐย์กระอักเลือดหน่อยสิ
ตาอัฐย์ซื่อจริง จร๊ง ซื่อจนโง่เลยแหละ คนเขาทำถึงขนาดนี้แล้วยังไม่รู้สึกตัวอีก
-
หมอคะ ก็รู้กันอยู่ว่าเจ้าบ้าคิดอะไรลึกซึ้งไม่ค่อยเป็น ยิ่งพูดกับคนหนึ่งแล้วหวังว่าอีกคนจะเข้าใจแบบนั้นลืมไปได้เลย
คนที่ไม่นิยมมีรอยหยักในสมองอย่างเจ้าบ้าแปลความไม่ค่อยได้หรอก :เฮ้อ:
อยากขอโทษก้บอกกับเจ้าตัวตรงๆ
อยากจับกดก็ทำไปเลย o13
-
เจ้าอัชย์เอ๊ยยยย !
ทำไมไม่ลองเปิดใจรับรู้ความรู้สึกหมอปีย์บ้างล่ะห๊าาา !
น่าสงสารหมอปีย์โดยแท้ :เฮ้อ:
-
คุณหมอ
ตามไปภูเขาทองเลยนะคับ
-
(http://image.ohozaa.com/i0/010220091620351.jpg)
เย็นวันนั้นหลังจากที่ผมกลับมาจากเรือนหลังสวน กลับมาอาบน้ำและก็ฆ่าเชื้อด้วยขมิ้นชันอีกครั้งทั่วตัว อย่างหนึ่งที่ต้องระวังเวลาไปเรือนหลังสวนก็คือความสะอาด เพราะว่าที่เรือนหลังนู้นมีคนป่วยมาก มีเชื้อโรคกระจายอยู่ทั่วบริเวณ ความสะอาดจึงเป็นสิ่งที่ผมจะละเลยเสียไม่ได้
เมื่ออาบน้ำชำระร่างกายเรียบร้อยแล้วก็มานั่งรอสนอยู่ศาลากลางเรือน ลมเย็นๆของยามเย็นวันนั้น อีกทั้งบรรยากาศที่เริ่มเย็นลง ทำให้ผมเริ่มง่วง และในที่สุดผมก็เผลอหลับไปในตอนเกือบจะหกโมงเย็น
ตื่นมาอีกทีก็อีตอนที่ได้ยินเสียงบ่นงึมงำๆของนังอ่ำบ่าวเรือนนี้
“นอนตอนเย็นแบบนี้ มิกลัวตะวันจะทับตาหรือกระไร เจ้าบ้านี่” เสียงบ่นงุ๋งงิ๋งๆของอ่ำทำผมลืมตาขึ้น ผมมองไปรอบๆรู้สึกปวดหัวหนึบๆ
นังอ่ำคนนี้แหละที่มักจะบ่นเวลาผมทำอะไรไม่ถูกใจ ไม่ว่าจะเวลาที่ผมกินข้าวแล้วเอาช้อนเคาะจานเพื่อให้ข้าวมันหลุดออกจากช้อนเพราะไม่มีซ้อม อ่ำก็จะบ่น
“เคาะชามข้าวเยี่ยงนี้ ประเดี๋ยวก็จักได้เมียแก่ดอก”
หรือเวลาที่ผมนอนกลางวัน แล้วนอนหงาย มันก็จะบ่น
“นอนหงายแบบนี้เดียวฟ้าก็ผ่าหรอก” อันนี้ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเชื่อกันแบบนั้น แต่พอถามหมอปีย์เขาก็เล่าให้ฟังว่า เป็นกลอุบายขอคนโบราณที่ไม่อยากให้เรานอนหงาย เวลานอนหงายแล้ว ปากจะอ้าหวอ น้ำลายไหล หน้าตาดูไม่ได้ เหมือนคนตาย การนอนหงายนี้นี่เองที่เป็นเหตุผลที่ทำให้พระพุทธเจ้าถึงกับปลงจนต้องออกบวชมาแล้ว
“ขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมบ่น
ความมืดเริ่มปกคลุมไปทั่วบริเวณ สร้างความงุนงงให้ผมไม่น้อย เพราะก่อนจะเผลอหลับไปยังสว่างอยู่เลย แต่พอตื่นขึ้นมากลับมืด ทำให้ผมไม่แน่ใจว่าวันนี้วันไหน กลางวันหรือกลางคืน นี่ละมั้งที่เป็นเหตุผลที่คนโบราณห้ามไม่ให้นอนตอนใกล้ค่ำ
ผมขยับตัวจะลุกก็พบว่าร่างของตัวเองถูกคลุมด้วยผ้าแพร มีใครบางคนเอาผ้ามาห่มให้ผม
“อ่ำ เอาผ้ามาห่มให้ชั้นเหรอ” ผมถามอ่ำที่กำลังปัดกวาดบ้าน หล่อนส่ายหัว ผมนิ่งคิดอีกครั้งก่อนจะเอะใจว่าใครคนนั้นคือ........
“ขอบใจนะ” ผมพูด
ผมไม่เข้าใจหมอปีย์เลยจริงๆว่ามันคิดอะไรของมันอยู่ บางทีมันก็ดูเป็นคนที่ผมสามารถจะพึ่งพาได้ในยามที่ผมไม่มีใคร
แต่บางทีก็กลับกลายเป็นใครก็ไม่รู้ที่ดูเฉยชา บ้าอำนาจ และจ้องแต่จะจับผิด
ทุกครั้งที่ผมจ้องเข้าไปในดวงตาคู่นั้นของมัน ผมจะพบว่าแววตาคู่นั้นเต้นระริกเหมือนพยายามจะอดกลั้นความรู้สึกบางอย่าง ดวงตาที่หรี่ลงเหมือนพยายามปกปิดความหมายอะไรบางอย่าง
พยายามหลายต่อหลายครั้งที่จะทะลวงเข้าไปให้ถึงจิตใจของหมอนั่น แต่ยากเหลือเกินที่จะเดินผ่านม่านหมอกแห่งอคติของเขาไปโดยไม่หลงทาง
“ขอโทษทีนะเจ้าบ้า พอดีข้ามีงานเร่งต้องทำที่เรือนหลังสวน” นายสนวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นมาหาผมที่นั่งรออยู่บนเรือน
“ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่จะไปกันรึยังหล่ะ” ผมถามเก็บอาการตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ ตื่นเต้นที่จะได้ไปเห็นบรรยากาศงานแบบย้อนยุค เอ้ย ไม่สิ ไม่ได้ย้อนยุคเสียหน่อย นี่มันยุคปัจจุบันของที่นี่ตะหาก ผมอยากรู้ว่าเขาจะแสดงกันยังไงในเมื่อไม่มีไฟฟ้า จะพูดประกาศกันยังไงเมื่อไม่มีไมโครโฟน จะเอาลำโพงมาจากไหน คงจะเป็นงานตีมแบบเงียบๆมืดๆ ทึมๆ หรือปล่าว ผมนึกภาพไม่ออกจริงๆ
“ไปสิ แล้วเจ้าบอกคุณหลวงท่านหรือยังเล่า” สนถาม กลอกตาไปมา
“บอกแล้ว”
“ท่านว่ากระไร”
“จะว่ากระไดได้” ผมล้อ “ชั้นแค่บอกเพราะว่าเกรงใจที่มาอาศัยอยู่บ้านเขาก็เท่านั้น ส่วนจะให้ไปไหนหรือไม่ให้ไปไหน มันสิทธิ์ของชั้น”
ความมืดเข้าปกคลุมทั่วบริเวณ แต่ผมสามารถมองเห็นสองข้างทางๆได้ด้วยสปอร์ตไลท์ขนาดยักษ์ หลายคนคงสงสัยว่าสปอร์ตไลท์จะมีในที่แบบนี้ได้อย่างไร
ไม่ผิดหรอกครับ สปอร์ตไลท์ที่ผมว่านั้นมีจริงๆ และมันก็คือ นู่นไงครับ
“ดวงจันทร์ดวงเบ้อเริ่ม”
ตั้งแต่ผมเกิดมา ผมไม่เคยเห็นดวงจันทร์ที่ไหนสวยและดวงโตเท่าที่นี่เลย ดวงจันทร์ดวงนั้นจะใช่ดวงจันทร์ดวงเดียวกับที่บ้านผมมั๊ยน๊า
ผมคิด
ความใหญ่ของมันทำให้ผมนึกไปว่า มันอยู่ใกล้แค่เอื้อมแค่นี้เอง ลายเส้นที่เห็นบนนั้นมันช่างชัดเจนอะไรขนาดนี้ อีกทั้งแสงที่ส่องลงมาก็นุ่มนวลจนเหมือนกับเดินอยู่ในความฝัน
แสงจันทร์ที่สาดไปทั่วบริเวณพื้นหญ้านั้นทำให้ผมแทบจะอดใจกระโจนลงไปนอนเกลือกกลิ้งบนหญ้านั้นไม่ไหว
“เฮ้ย ทำเจ้าอะไรของเจ้าน่ะ เจ้าบ้า” สนทำท่าเหมือนเห็นผี
“ชั้นก็นอนกลิ้งบนหญ้านุ่มๆนี่น่ะสิ” ผมยิ้มร่า กลิ่นหอมอ่อนๆของใหญ่ และน้ำค้างนั้นทำให้ผมเคลิบเคลิ้มไม่น้อย
“เจ้าจะบ้าไปแล้วรึ” มันหันไปมองซ้าย มองขวา คงกลัวคนมาเห็น “ขี้หมา ขี้ควายเลอะตัวเสียหมดแล้วกระมัง ลุกประเดี๋ยวนี้” มันกระชากผมลุกขึ้นจากพื้นหญ้า
“เจ้านี่มันเพี้ยนผิดมนุษย์มนาเสียจริง” มันส่ายหัวไปมาก่อนจะเร่งฝีเท้าทิ้งห่างผมไป
“มึงไม่เคยเดินแต่บนพื้นคอนกรีต มึงคงไม่รู้หรอก หึ” ผมเปรย
ระหว่างที่เดินไปงานนั้น ผมเห็นชาวบ้าน หอบลูกจูงหลาน เดินมุ่งหน้าไปทางเดียวกับผม ในมือของพวกเขาถือตะเกียงเจ้าพายุบ้าง ถือเสื่อ ถือผ้าห่มบ้าง เดินกันเป็นขบวน คุยกันงุ๊งงิ๊งๆ
“นาย นาย” ผมเรียกนายสน “เราไม่ต้องเอาผ้าห่มเอาเสื่อมาด้วยเหรอ”
“มิต้องดอก แม่ข้ามี” นายสนยิ้มแฉ่ง ผมพยักหน้างึกๆ
ยิ่งเดินเข้าไปใกล้งานเท่าไหร่ ผมก็ได้ยินเสียงตึกๆของกลองดังขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งเสียงอื้ออึงของผู้คนก็ดังลอยมาแต่ไกล อาจเป็นเพราะที่นี่เงียบมาก ไม่มีเสียงรถยนต์ เสียงเครื่องบินใดๆ จึงทำให้ได้ยินเสียงเหล่านี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
“นู่นไง ภูเขาทอง” สนหยุดชี้ไปที่ภูเขาทอง ที่บัดนี้ เขาลูกนั้นได้สะกดคนกรุงนักเรียนนอกอย่างผมให้อ้าปากค้างตะลึงพรึงเพริดในความสวยงาม ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่ามันจะสวยงามได้ขนาดนี้ พระเจดีย์สีขาวนวล โอบล้อมด้วยดอกไม้หลากสีที่ชาวบ้านต่างพากันร้อยเรียงและแขวนตกแต่งไว้รอบองค์เจดีย์ ฉาบด้วยแสงไฟจากโคมไฟ และตะเกียงแก้วสีสรรต่างๆระยิบระยับราวกับอัญมณีอันเลอค่า เสียงมโหรีปี่พาทย์บรรเลงแว่วมา ยิ่งเพิ่มมนต์ขลังให้งานวันนี้จนผมขุนลุก และเผลอเอามือควานหามือถือในกระเป๋ากางเกงหวังจะถ่ายรูปไปให้ที่บ้านดูโดยลืมตัวไปว่ายุคสมัยนั้นมันมีมือถือซะที่ไหนเล่า
“จะอึ้งอีกนานไหม เจ้าบ้า” นายสนถาม ผมหันมามองมันพร้อมรอยยิ้ม
“สวยจัง” ผมบอก
“มันยิ้มรับก่อนจะบอกให้ผมรีบเดินเข้าไปในงาน
ทันทีที่ผมเข้าไปในงานบรรยากาศที่ยุคสมัยผมไม่มีอีกแล้วนั้นก็ทำให้ผมถึงกับตัวชา ผู้คนแต่งกายง่ายๆแต่สวยสะดุดตา สาวแรกรุ่นเดินผ่านกระมิดกระเมี้ยนเมื่อผมจ้องมองจีบสะไปที่เธอเหล่านั้นบรรจงจับอย่างปราณีต ความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของเธอพวกนั้นทำให้ผมอดนึกถึงลูกหลานเธอในยุคผมที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่แม่งสก๊อยซ์จริง ติ่งได้ใจ
ผู้หญิงบางคนที่มีอายุมากขึ้นหน่อยก็อุ้มลูกคนเล็กไว้ข้าง อีกข้างจูงลูกคนโต ลูกคนเล็กซนหน่อยดึงผ้าแถบแม่ผ้าหลุดลุ่ย แม่ก็ไม่อาย ดึงผ้าออกมาพาดบ่าโชว์นมยานโทงเทงมันซะเลย
“วาย นั่นนมหรือถุงกาแฟนั่น” ผมพูดกับสน สนหันมาทำหน้าดุ
“เจ้าบ้า อย่าไปพูดเยี่ยงนั้นเชียวนา เดี๋ยวป้าแกเอานมฟาดปากเอาหรอก” ผมยกมือขึ้นปิดปากทันที นายสนหัวเราะก๊ากออกมา
พวกชาวบ้านผู้ชายนั้นส่วนใหญ่นุ่งกางเกงสามส่วน บ้างก็นุ่งผ้าถุงกันมา บางคนเอาผ้าคาดพุง บางคนก็เอาคาดบ่า ที่เอวของพวกเขาพวกมีดหรืออะไรสักอย่าง อ้อ มันคือกริชนั่นเองไว้ที่เอว
“สน นั่นอะไรน่ะ” ผมชี้ไปที่กริช
“อ้อ กริชน่ะ ชาวบ้านเขาพกไว้ป้องกันตัว จากพวกโจรอั่งยี่”
“อ๋อ ผมพยักหน้า
ในงานนี้นอกจากจะมีชาวบ้านธรรมดาแล้ว ยังมีพวกเจ้าขุนมูลนายที่แต่งกายอย่างปราณีตด้วยชุดไทยงามวิจิตรมาเดินอยู่ด้วย พวกเขาถูกรายล้อมด้วยบ่าวไพร่ที่คอยถือตะกร้าสานไว้ในมือ สาวๆเหล่านั้นเดินเลือกซื้อของและต่างก็ตื่นเต้นกับสิ่งรอบตัวราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน
“พวกนางในน่ะ เจ้าบ้า นานๆพวกนางจะได้ออกมานอกวังเสียที เจ้าสนใจสักคนหรือไม่ล่ะ เราจะไปเกี้ยวมาให้” นายสนหัวเราะ
ผมก็หัวเราะ..............แหะๆ
นึกในใจ “โทษว่ะสน ยังไม่ใช่สเปคว่ะ”
ผมกับสนเดินผ่านร้านขายของมากมายที่วางแบกับพื้นบ้าง อยู่บนแคร่บ้าง ร้านนู้นขายกะลอจี๊ (ขนมโบราณทำมาจากแป้งข้าวเหนียวนำไปนึ่งและโรยด้วยงาขาวงาดำ และน้ำตาล) กลีบลำดวน และขนมต้ม
ส่วนร้านหัวมุมตกแต่งด้วยดอกเฟื่องฟ้าและดาวเรืองนั้นขายข้าวต้มน้ำวุ้นที่คล้ายๆกับข้าวต้มสามเหลี่ยมใส่น้ำเชื่อมดอกมะลิ และยังขายจาวตาลเชื่อมอีกด้วย
อีกฝั่งนึงนั้นเป็นพวกมอญที่เอาทอผ้ามาขาย อีกทั้งยังขายขนมกง กระยาสารท
พวกจีนนั้นมีชาวบ้านล้อมกันมากมาย ผมชะโงกหน้าไปดูก็เห็นคนจีนเอาป๋องแป๋ง ลิงตีกลอง ลูกข่าง ของเล่นที่เอาใจเด็กๆ นอกจากนั้นก็ยังมีขนมฝรั่งกุฎีจีนที่ผมเคยกินตอนเด็กๆก็ยังเอามาขาย
ผมเห็นของเล่นแล้วนึกถึงเจ้าแดงมันทันที
“นายสน นายสน นายมีเงิน เอ้ย อัฐให้ชั้นยืมมั่งป่าว” ผมถาม “ชั้นอยากจะซื้อของเล่นให้แดงมันน่ะ เดี๋ยวกลับเรือนแล้วชั้นเอ่อ.............” คิดถึงหน้าหมอปีย์แล้วหน้ามุ่ยทันที “แล้วเอ่อชั้นจะขอหมอปีย์ให้”
“ไม่มีดอก ข้าไม่พกอัฐมาเลย อ้อ แต่หากเจ้าต้องการอัฐ ประเดี๋ยวข้าจะบอกแม่ข้าให้ แต่เจ้าจักต้องช่วยแม่ข้าขายขนมเบื้องเสียก่อน"
“ได้เลยๆ” ผมยิ้มก่อนจะเดินตรงไปยังร้านขายขนมเบื้องโบราณของแม่สน
ร้านของแม่สนนั้นมีชาวบ้านมุงอยู่หลายคน แกขายของอยู่คนเดียวเลยไม่มีเวลาเงยหน้ามาทักทายผมเลย ผมรีบวางของในมือก่อนจะปรี่เข้าไปช่วยแม่
“ให้ผมช่วยอะไรมั๊ยครับ” ผมถาม
“อ้าวพ่อหนุ่ม ดีเลย เจ้ามาก็ดีแล้ว มาช่วยข้าคนแป้งหน่อยเถิด ประเดี๋ยวแป้งมันจะตกตะกอนเป็นก่อนเสียก่อน”
ผมหันไปมองอ่างดินที่ใส่แป้งก่อนจะเอากระบวยค่อยๆคน
“แม่ แป้งนี่ทำมาจากอะไรอ่ะ ทำไมสีมันแปลกๆ” ผมถาม
“อ้อ แป้งนี้รึ ทำมาจากถั่วเราะทองเอาไปบด ต้องเป็นแป้งที่ทำมาจากถั่วเราะทองเท่านั้นนะถึงจักกรอบแลอร่อย ทำไมรึ เจ้าสนใจกระนั้นรึพ่อหนุ่ม”
“ใช่ครับ สนใจ” ผมตอบ
“แปลกดีแท้นะ คุณหนุ่มอย่างเอ็งไยถึงมาสนใจทำอาหารเยี่ยงสตรี”
แหม ผมอยากจะบอกว่า อาหารที่ป้าบอกว่าเหมาะกับผู้หญิงเท่านั้นนี้แหละ ในยุคผมนั้นทำรายได้เข้าสู่ประเทศปีหละเหยียบเจ็ดแสนล้านบาทเชียวนะป้า เป็นใครใครก็สนใจทั้งนั้นแหละ จะให้ไปหยิบจอบหยิบเสียมรบราฆ่าฟันน่ะ หมดยุคไปแล้ว
“หากเอ็งสนใจ ข้าจักสอนให้ ขนมเบื้องนี่นะสำคัญที่แป้ง แป้งต้องละเอียดนุ่มไม่เป็นเม็ดๆ ส่วนไส้นั้นมีสองไส้” แล้วแกก็เอี้ยวตัวไปหยิบถ้วยดินเผาใบหนึ่ง
“ไส้เค็มนี่” แกยื่นถ้วยมาให้ผมดู “ทำมาจากกุ้งนางผัดมันกุ้ง มะพร้าว พริกไทย ผักชี แล้วนี่ก็ไส้หวาน” แล้วแกก็ยื่นอีกถ้วยให้ผม “ทำมาจากฝอยทอง มะพร้าว ฟักเชื่อม ลูกพลับหั่นเป็นแว่นๆ และทาด้วยสังขยาที่ข้าทำเอง”
แกยิ้มภูมิใจในฝีมือ
“สิ่งที่สำคัญอีกอย่างของการทำขนมเบื้องนี่นะ เอ็งจำไว้ ว่าไฟต้องไม่แรงไม่อ่อนเกินไป ใช้ถ่านไม้นี่แหละ หอมดี”
ว่าแล้วแม่สนก็ทำการโชว์ฝีมือด้วยการตักแป้งเทลงบนกระทะแบนๆที่ทำมาจากเหล็ก แล้วใช้กระบวยวนจนเป็นวงกลมบางๆ รอสักพักก็โรยไส้ จากนั้นก็ใช้เครื่องมือที่คล้ายๆเกรียงค่อยๆแซะแผ่นแป้งสีเหลืองทองที่ส่งกลิ่นหอมโชยออกมา แล้วใส่ใบตองยื่นให้ผม
“อ้าว เอาไปชิมสิพ่อหนุ่ม”
“จะดีเหรอแม่เกรงใจ” ปากบอกว่าเกรงใจ แต่มือนั้นหยิบเข้าปากหมับไปแล้ว
“โอ้ยร้อนๆ” ผมเป่าไอร้อนออกจากปาก นายสนกับแม่และชาวบ้านที่รอคิวซื้อขนมขันกันใหญ่ คงไม่เคยเห็นคนประหลาดแบบผมเป็นแน่
“อร่อยจังเลย” ผมคิดในใจ คิดไปถึงขนาดที่ว่า ทำไมสมัยผมถึงไม่มีขนมเบื้องอร่อยๆแบบนี้ขายนะ ทั้งๆที่สมัยนี้สมัยโบราณแท้ๆ ไม่มีเครื่องปรุงพิศดาร วัตถุดิบหลากหลาย มีแต่ของพื้นๆ หาได้ทั่วไป แต่ทำไมมันกลับอร่อยต่างกันอย่างนี้
“หือ อย่างนี้ถ้าเราแอบขอสูตรแป้งกับไส้ แล้วทำแช่แข็งขายส่งนอกแบบเอาเข้าเวฟกิ๊งเดียวก็จะได้กินขนมเบื้องสูตรโบราณ โห คงรวยน่าดู” ผมยิ้มออกมาอย่างออกนอกหน้า
“อ้าว เจ้าบ้า เร่งคนแป้งเข้า ดูสิ แป้งนอนก้นหมดแล้ว” นายสนเรียกเตือนสติ
ผมช่วยแม่ของสนขายของบางครั้งหากคนน้อยๆ ผมจะขอลองทำเองบ้างซึ่งผลออกมาก็ไม่น่าประทับใจสักเท่าไหร่ นายสนเองนั้นใช้เวลาทั้งหมดไปกับการปอกและขูดมะพร้าวด้วยมือ เนื่องจากขนมเบื้องของแม่มันขายดีมาก มันจึงไม่มีเวลาเงยหน้ามาดูสาวๆที่มายืนมุงซื้อขนมเบื้องเลย
“แม่เสร็จแล้ว ชั้นขออัฐไปซื้อของได้มั๊ย” ผมทวงหน้าด้านๆ
แม่ของสนยื่นอัฐมาให้ผมสี่เหรียญ ผมไม่รู้หรอกว่ามีค่าเท่าไหร่ ซื้ออะไรได้มั่ง เพราะอยู่ที่นี่มา ไม่เคยได้ใช้เงินเลยสักกะบาท
มุ่งหน้าไปยังร้านขายของเล่นเจ๊กที่อยู่ตีนภูเขาทอง
“แปะ นี่เท่าไหร่” ผมถามราคาของป๋องแป๋ง แปะบอกราคาซึ่งผมไม่รู้ว่าเท่าไหร่ ผมจึงแบมือที่มีเหรียญอยู่ให้แก แกหยิบไปสองเหรียญเท่ากับผมยังมีเงินเหลืออีกตั้งสองเหรียญแน่ะ
ว่าแล้วผมก็มุ่งหน้าเดินเข้างาน ก่อนที่จะเข้าไปในส่วนของมหรสพนั้นเห็นร้านขายกล้วยปิ้งก็นึกหิวขึ้นมา ผมถามป้าว่ามีเงินเท่านี้ซื้อได้หรือเปล่า แกพยักหน้า ก็เป็นอันว่าได้กล้วยปิ้งน้ำผึ้งป่ามากินหวานชื่นใจ
เมื่อเดินเข้ามาในส่วนของงานมหรสพ สิ่งแรกที่ผมเห็นนั่นก็คือเด็กเล็กๆที่วิ่งกันขวักไขว่ในมือถือดอกไม้เพลิงบ้าง ประทัดบ้างวิ่งกันไปมา ผมนึกในใจว่าไอ้ของพวกนี้มันคงเข้ามากับพวกจีนแน่ๆเลย เพราะจีนเป็นชาติที่คิดค้นประทัด ดอกไม้ไฟ
ถัดเข้ามาไม่ไกลก็ถึงโรงละครมอญรำ ซึ่งถือเป็นการแสดงของพวกมอญ ศิลปะการรำของมอญส่วนมากจะ
นิยมกระเถิบเท้า โดยจะไม่ย่างก้าวไปมา เพราะมอญถือว่า
การรำที่ไม่ยกหรือไม่ก้าวเท้าดูแล้วเรียบร้อยและเคารพต่อ
สถานที่และงานนั้นด้วย การแต่งกายก็จะเรียบร้อย สสวยงาม
หญิง นุ่งผ้าถุงยาวถึงข้อเท้า สรวมเสื้อแขนกระบอก พาดผ้า
สะไบที่ไหล่ซ้าย เกล้าผมมวยประดับด้วยดอกไม้
ถัดออกมาจากโรงละครมอญรำก็เป็น ญวนรำโคม ดูเหมือนในส่วนนี้จะเป็นงานแสดงของพวกมอญเสียงส่วนใหญ่ เสียงปี่พาทย์ ปี่ชวาดังเอี้ยยอ้ายๆ ถึงจะบาดหูแต่ก็เพราะดี
ผมยืนดูการละเล่นที่โรงนี้เสียนาน เพราะติดใจการต่อตัวเป็นรุปเรือสำเภาที่งดงามนั้น ในมือของผมก็แกว่งป๋องแป๋งไปมาให้เข้าจังหวะเพลินๆ
“มาอยู่เสียทีนี่เองเจ้าบ้า ข้าตามหาเสียแทบแย่” นายสนเดินมาข้างหลัง
“ทำไม” ผมหันไปถาม
“ก็ถึงเพลากลับเรือนแล้วนะสิ ดึกแล้ว ประเดี๋ยวคุณหลวงท่านจักเอ็ดเอา”
“เรื่องของมันสิ ชั้นไม่กลัวมันหรอก” ผมหันกลับไปมองหน้าโรงแสดงต่อ
“เจ้าไม่กลัวแต่ข้ากลัว อย่าทำให้ข้าเดือดร้อนเลย วันพรุ่งก็ยังมีอีกหลายวัน เจ้าจักมาอีกเมื่อใดก็ได้ กลับเรือนกลับข้าเถิด นะ เจ้าบ้า”
ผมทนเสียงรบเร้าของสนไม่ไหว ในที่สุดก็ตัดสินใจหันกลับบ้านทั้งๆที่ใจยังไม่อยากกลับ
“พรุ่งนี้มาใหม่ก็ได้วะ”
-
^
^
^
^ จิ้มก่อนอ่านอ่านเสร็จจะมาจิ้มอีกที่ 555 o18 o18 o18
-
นิสัยเอาแต่ใจไม่ยอมปรับ
-
ไม่มีของฝากคุณหมอบ้างหรอ :L2:
-
สงสารหมอปีย์สับสนในจิตใจจะบอกหรือจะปรึกษาใครก็ไม่ไ้ด้
ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองและคงต้องใช้ความกล้ามากอย่างมากเลยทีเดียว
+1 เป็นกำลังใจ
-
อ่านเรื่องนี้ที่ไรหิวทุกทีสิน๊าาาา :z3:
หิววววววววว หิวหมอปีย์ อุ๊!!!! ไม่ใช่หิวขนม :o8: :o8: :o8:
-
พออ่านส่วนผสมของขนมแล้ว..ไม่แปลกใจ ทำไมถึงอร่อย
เครื่องเยอะมากกกกกกกกกแถมยังต้องปรุงพิถีพิถันมากๆ
อ่านเรื่องนี้แล้วอยากกลับไทยไปกินอาหารไทยจริงๆ
อาหารไทยอร่อยที่สุดในโลกแล้วจริงๆค่ะ
แต่ตอนนี้พระเอกไม่ออกเลยง่ะ เสียใจๆ
-
ขนมเบื้องน่ากินจังน้า :impress2:
-
อยาไปจังเลยยยย :serius2:
เเล้วของฝากหมออะ
-
อ่านแล้วหิวค่ะ+[]+
สงสารหมอปีย์ นิสัยคนมันไม่ได้แก้กันง่ายๆจริงๆ หมอก็อ้อมซะ พูดไปตรงๆเลยหมอ ไม่งั้นเจ้าบ้านี่ไม่เข้าใจหรอก
อ่านตอนนี้แล้วอยากกินกล้วยค่ะ=w= ที่บ้านมีอยู่สองลูก พรุ่งนี้เช้านั่งกินดีกว่า
เป็นนิยายที่ให้ความรู้มากๆเลย รอตอนต่อไปนะคะ(รวมถึง รอหมอปีย์ด้วยค่ะ :กอด1:)
-
อ่านแล้ว คิดถึงคุณหมอปีย์จัง เมื่อไหร่จะมีเวลาได้ ใช้เวลากับเจ้าบ้าสักทีน้าาา รีบๆ รู้ใจตนได้แล้วๆๆๆ :fire:
-
ฉายา "เจ้าบ้า" นี่ไม่ได้มาง่าย ๆ นะเออ อัชก็สมควรได้รับจริง ๆ พับผ่า
ตอนนี้สงสารหมอปีย์อย่างแรง เมื่อไหร่จะได้รับความเอ็นดูจากอัชเหมือนเจ้าแดงบ้างฟระ
-
อยากกินหนมเบื้อง จัง
และอยากให้หมอปีย์และอัชเข้าใจกันสักที....
:L2:
-
สงสารหมอ ปรีย์ .......
:m15:ทำไม อัช ไม่ถามไปตรงๆ เลยล่ะ ทั้งที่เข้าใจแล้วว่า มีเรื่องอะไร
-
กลับเหอะ ป่านนี้หมอ คิดถึงแย่แล้ว :L2:
-
อัชชักจะติดใจงานภูเขาทองแล้วสิ ยังไงก็รีบกลับบ้านนะเดี๋ยวหมอปีย์จะหึงเอ้ยเป็นห่วง
อ่านแล้วหิวทุกทีเลย ขอไปหาขนมกินก่อนนะคะ ไม่ไหวแล้วน้ำย่อยเต็มท้องเลย :laugh:
-
อัช เป็นคนหยาบ ไม่ละเอียดอ่อน ไม่สามารถจับความรู้สึกของคนอื่นได้
ตีความอะไรก็ได้แค่ตรงๆ ถ้าซับซ้อนขึ้นมานิดนึงก็จะมองไม่ออก สมเป็นคนเมือง เป็น generation y จริงๆ
แต่ถึงจะรู้ความในใจของหมอปีย์ จะคาดหวังคำพูดตรงๆนี่ มันก็ไม่ใช่ เพราะบริบทต่างกันราวฟ้ากับเหว
ชายที่เกิดในรัชสมัยของ ร 5
ยุคที่ผู้ชายต้องมีเมียผู้หญิง ยุคที่ไม่มีอินเตอร์เนท ทีวี สื่อสิ่งพิมพ์ช่วยขยายโลกทัศน์ให้กว้างไกล
จะหวังให้เค้าพูดตรงๆ คงยากมาก อันดับแรกแค่ให้ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองรู้สึก หมอปีย์ยังสับสนเลยว่านั่นมันจริงหรือไม่จริง
ขนาดนิยาย boy's love ที่ บริบทเป็นยุคปัจจุบัน ยังมีฉากสะท้อนความคิดของคนบางกลุ่มเลยว่าการยอมรับว่าตัวเองเป็นชายรักชาย เป็นเรื่องผิดปกติ นับประสาอะไรกับเนื้อเรื่องที่ตัวละครมีภูมิหลังเป็นคนยุคก่อน หนักไปใหญ่
ส่วนตัวแล้วคิดว่า conflict นี้ดูสมจริงดีค่ะ ชอบให้เรื่องค่อยๆดำเนินไปนี่แหละ ไม่รีบค่ะ ชอบอ่านเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับบ้านเมืองและวัฒนธรรมในสมัยโบราณ :L2:
ปล. อยากกินขนมเบื้องมากค่ะ เคยกินแต่ขนมเบื้องญวนตอนเด็กๆ ไม่รู้มันเหมือนกันมั้ย
-
เหตุใดหมอปีย์ถึงได้ทำตัวน่ารักน่าชังถึงเพียงนี้
เสียแต่อย่าง
ทำไมเจ้าบ้าถึงได้เมินนัก
หรือว่ารู้แต่แกล้งเอาหูไปนานเอาตาไปไร่เสีย
เช่นนี้คงอีกนานกระมัง
กว่าจะได้หวานกันให้ชาวบ้านแถวนี้ได้กระชุ่มมกระชวยหัวใจบ้าง
.
.
.
.
.
.
แต่เอาเถิด จะว่าเจ้าบ้าถ่ายเดียวก็เห็นจะกระไรอยู่
เราเป็นคนชมดูก็เห็นตลอดเรื่อง เจ้าบ้ามันมิได้เห็นอย่างกับเราๆท่านๆนี่
หมอปีย์เองก็ใช่ว่าจะแสดงออกชัดเจนว่ากำลังเกี้ยวเจ้าบ้ามัน
อย่างนั้นคงแปลกพิลึก อยู่ดีๆผู้ชายจะหันมาเกี้ยวพาราสีกันเองในยุคสมัยนั้น
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆหมอปีย์ใยมิใช่หมอปีย์แล้ว
เรื่องราวไม่เคยประสบ ก็ประจวบเหมือนกับหมอเพิ่งเคยเจอะเจออาการเจ็บป่วยประหลาดเป็นครั้งแรก
ที่แม้จะเทียบเคียงอาการกับโรคที่เคยๆวินิจฉัยกันมาแต่กาลก่อนก็ไม่เข้าได้
เยี่ยงนี้จะทำอย่างไร
นับกระไรได้กับเรื่องหัวใจที่บังเกิดความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดนี้กับผู้ชายด้วยแล้ว
(คนชมดูจินตนาการไปไกลแล้วนะ หมอปีย์)
เช่นนี้ก็คงได้แต่เก็บงำไว้กับตัวคนเดียว
ไม่รู้ว่าเมื่อใดมันถึงจะคลานยลง หรือมีทางออกใดอื่นที่เหมาะสมแล้ว
.
.
.
เอาใจช่วยหมอปีย์และเจ้าบ้าด้วย
ว่าแต่ว่า...เจ้าบ้า..
วันพรุ่ง...ข้าจักขอไปเที่ยวชมงานสมโภชภูเขาทองกับเจ้าด้วยคน
....เจ้าจะว่าอย่างไร...
.
.
.
.
.
.
หวังว่าหมอขี้เก๊กอะไรนั่นของเจ้า
คงไม่ตามมาฉีกอกข้าถึงยุคสมัยนี้หรอกนะ
-
:เฮ้อ: อยู่กับพ่ออัชได้นี่ ต้องอาศัยความอดทน
คิดอะไรก็พูดออกไปอย่างนั้นเท่าันั้นแหละค่ะ ไม่งั้นก็ต้องเล่นพ่อแง่แม่งอนกันอยู่นั่น
เก็บมาคิดเล็กคิดน้อยคนเดียวมันไม่มีอะไรดีขึ้นมานะคะคุณหมอ
เค้าอยากอ่านฉากหวีดแย้ววววว o18 o18
-
เจ้าบ้า ชวนหมอปีย์มาเดินงานภูเขาทองบ้างสิ
-
อ่านเรื่องนี้ทีไรหิวทุกที
อยากกินอาหารไทย
แต่ค้นทั้งบ้าน ได้แต่ครัวซองกับเทสโตห่อนึง
หิววววววววววววววววววววววววววว :sad4: :sad4:
-
ปูเสื่อ มาใหม่ค่ะ
-
• “ไส้เค็มนี่” แกยื่นถ้วยมาให้ผมดู “ทำมาจากกุ้งนางผัดมันกุ้ง มะพร้าว พริกไทย ผักชี แล้วนี่ก็ไส้หวาน”
ต๊าย ใช้กุ้งนางด้วย....
ถ้าคุณหมอถอดใจ อัชรีบกลับมาทำขายนะคะ กิต.จะไปซื้อฝากที่บ้าน
ทุกวันนี้ เห็นแต่ใช้เศษกุ้งมาทำใส้....บางร้านก็กุ้งแห้ง
หรือไม่ก็มีแต่มะพร้าวใส่สี กับพริกไท(ย) อิอิ
ป.ล. ร้านที่อยู่เยื้องกับวัดมหรรณพาราม ถนนตะนาว พอจะใกล้เคียงบ้างนะคะ
๒๑๘ + ๑ = ๒๑๙
ขอบคุณนะคะ คุณ เซ็งเป็ด
-
สงสารหมอจริงๆ เหอๆ จับปล้ำเลยเหอะ หุๆ ^^
-
:เฮ้อ: นิสัยเอาแต่ใจแบบนี้ หมอสั่งสอนหน่อยสิ
-
ไอ้ที่แสดงออกมาอยู่นี่ รู้หรอกว่าไม่กลัว แต่กำลังงอน หมอปียร์ โดยไม่รู้ตัวอยู่แน่ ๆ เลย เจ้าอัช :z1:
+1 ให้เป็นกำลังใจครับ
-
แหม อ่านแล้วอยากชะแวปไปเที่ยวงานในสมัยนั้นมั่งจัง
-
อย่างอนหมอปีย์นักเลยหนู
เขารักหรอกแต่ไม่กล้าให้อภัยเถอะ
-
ซื้อมาให้แดงเล่น แต่เจ้าตัวกลับเล่นเองก่อนเลยนะ โฮะๆๆๆ
-
หนมเบื้องน่ากินจัง
อัชช์..ลดทิฐิลดความเอาแต่ใจตัวเองลงบ้างก็ได้นะ :เฮ้อ:
-
รออ่านนะค่ะ
-
อ่านแล้วรู้สึกภูมิใจแฮะ
เพราะเรื่องนี้ทำให้คนอ่านกลายเป็น ชาตินิยม แล้ว
555
-
อ่านละก็อยากกิน เมนูทุกอย่างในเรื่องเลย :sad4:
หมอปียร์ อีกนานไหมจ๊ะ รอลูกบวชเหรอถึงจะรู้ตัวอะห๊ะ :z2:
-
เห็นแล้วอยากกินเลย ไม่ได้กินมานานแล้วอ่าๆๆ
-
หมอปีย์น่าสงสาร :sad4:
อยากกินขนมเบื้องแบบนี้บ้าง :z2:
-
อ๊ากกก พี่นน อย่าหายครับ อย่าทิ้ง หมอปีย์ให้ทนหึงอยู่ ๆรีบๆๆ จัดหนักมาเลยๆๆๆ เจ้าบ้า จะได้หายซ่าสักทีๆ
-
จัดหนักด้วยคน
-
ถ้าอยู่สมัยโน้นคงจะอ้วนน่าดู
:z1:
มาต่อไวๆ น๊า
-
ตอนนี้หมอปีย์ไม่มีบท 55+
หมอปีย์เมื่อไหร่จะเลิกปากหนักตัวเองซะที 55+
-
รู้สึกสงสารหมอปีย์มากกกกกกกกกกก เลยย !
เจ้าอัชย์เอ๊ยย ถ้าแกยังไม่เห็นใจหมออีก ชั้นจะเรียกแกว่าเจ้าบ้าแล้วนะ ! :m16:
-
เจ้าบ้านี่ก็เอาแต่ใจจั๊งงงง สงสารหมอปีย์ :เฮ้อ:
-
เข้ามาดันไว้
-
ตามอ่านทันจนได้ ดีใจมากเลยค่ะ
เจ้าบ้านี่ ไม่ยอมอ่อนข้อใหเคณหมอปีย์เลย สงสารหมอจัง
รอนะคะ^^
-
หุหุ
รอจ้า^^
-
แอร๊ยยยยยยย มาต่อไวๆนะคะ
นี่เป็นครั้งแรกของเราเลยนะที่มาโพสในบอร์ดนิยายแห่งนี้
เพิ่งเริ่มอ่านเมื่อวานค่ะ ชอบตั้งกะฉากเปิดเรื่องเลย ^___^ แล้วเราก็นั่งอ่านจนตามทันภายในวันเดียว ฮ่าๆๆๆๆๆ
เราชอบตรงที่สอดแทรกวัฒนธรรมไทย รวมถึงบรรยายบรรยากาศในสมัยร.๕แบบเห็นภาพได้นะค่ะ
ขอบคุณ คุณเซ็งเป็ดมากนะคะ ที่ทำให้เรารักเมืองไทยมากขึ้น ^^
-
ขอบคุณค่ะ คุณเซ็งเป็ด
วันนี้อ่านตอนแรกตอนประมาณเกือบเที่ยง และมาสิ้นสุดเอาตอนล่าสุดประมาณเกือบสองทุ่ม อ่านกันจนตาแฉะเลยค่ะ
ชอบมาก เป็นเรื่องที่ใส่ใจรายละเอียดดีเหลือเกิน โดยเฉพาะทางด้านการทำอาหาร หวังว่าน้องอัชคงจะเอาความรู้ที่ได้ไปปรับใช้กับร้านอาหารไทยของพ่อกับแม่นะคะ
ความรู้สึกของหมอปีย์เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลมากค่ะ ถ้าพิจารณาถึงจารีต ขนบกับประเพณีของสมัยนั้น อยากให้หนูอัชเข้าใจพี่หมอปีย์ด้วยนะคะ แกคงอึดอัดมาก แหม...ใจจริงก็คงอยากจะทำตัวน่ารัก ร่าเริงเหมือนตอนสนอยู่กับอัชหรอก แต่ว่า...เขาเป็นถึงคุณหลวงนี่คะ น้องอัชก็เข้าใจพี่หมอหน่อยนะคะ
แต่...เรื่องนี้ยังไงก็คงต้องมี "มาม่า" แน่ๆ ไหนจะเรื่องคู่หมั้นของหมอปีย์และเรื่องที่บางทียังไงเสียน้องอัชก็ต้องกลับมาในปัจจุบัน
กรี๊ด ก็ขอรออ่านไปเรื่อยๆแล้วกันนะคะ
ขอบคุณค่ะ คุณเซ็งเป็ด บวกหนึ่งให้นะคะ
-
(http://image.ohozaa.com/ib/5gjun.jpg)
งานสมโภชน์วัดภูเขาทองจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืน ผู้คนจากหัวเมืองต่างๆทั่วสารทิศไม่ว่าจะจากหัวเมืองเหนือทางล้านนา ล้านช้างถึงกับนั่งช้างนั่งเกวียนกันมาเป็นเวลาแรมเดือน เพื่อมางานนี้
หัวเมืองปักษ์ใต้เองจากนครศรีธรรมราช สงขลาก็มา ผมเดินอยู่ในงานก็มักจะได้ยินผู้คนหลายภาษาหลายสำเนียง ฝรั่งหัวทองก็มาก ที่แต่งตัวใส่สูทผูกหูกระต่ายมือถือซิกกาแรตตามสมัยนิยม
ฝรั่งจากโปรตุเกตุนั้นดูจะเป็นมิตรกว่าชาวฝรั่งจากฝรั่งเศสที่ดูวางท่า แต่ในเรื่องเจ้ายศเจ้าอย่าง ต้องยกให้ฝรั่งจากอังกฤษ ในขณะที่ฝรั่งจากอเมริกันนั้นกลับเข้ากันได้ดีกับชาวสยาม ผมมักเห็นฝรั่งรับจ้างพวกนี้นั่งก๊งเหล้ากับคนไทยอยู่เนืองๆ
ทุกครั้งที่ผมกลับมาจากงาน ผมก็จะพบกับสายตาคู่หนึ่งที่มองลอดผ่านระเบียงบ้านลงมา ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าสายตาจับผิดคู่นั้นเป็นของใคร
“ว่าไงหมอ” ผมจะร้องทักทุกครั้งที่กลับบ้านมาและพบว่ามันนั่งอ่านหนังสืออยู่ศาลาริมระเบียง แต่ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ หมอนั่นมองผมแว๊บเดียว ก่อนจะปิดหนังสือ และเดินถือตะเกียงหายเข้าห้องตัวเองไป
เป็นอย่างนี้ทุกวัน
ตลอดระยะเวลางานสมโภชน์นั้น ทุกวันคือการผจญภัย ทุกค่ำคืนผมจะได้เห็น ได้เรียนรู้วิถีชีวิตบรรพบุรุษเราเพิ่มมากขึ้นและผูกพันธ์กับมันมากขึ้นเรื่อยๆ
ที่นี่ผมรู้สึกว่าเราใช้หัวใจในการดำเนินชีวิต เรารู้จักกันอย่างลึกซึ้ง เรากินและรู้ที่มาที่ไปอย่างลึกซึ้ง เราเข้าวัดเราก็รู้อย่างลึกซึ้งว่าเราเข้าไปเพื่อสิ่งใด ผมว่าความลึกซึ้งนี่มันจะลดน้อยถอยลงตามกาลเวลาแหละมั้ง
จากอดีตจนถึงปัจจุบันในยุคของผม ที่ผู้คนเริ่มฉาบฉวยกันมากขึ้น ในยุคผม เรารู้จักกันแบบฉาบฉวย เราเลือกที่จะคบกับคนที่มีประโยชน์กับเรา เรากินอะไรก็กินส่งๆ เรารับวัฒนธรรมจากที่ใดก็รับมาแบบทื่อๆ การใช้ชีวิตด้วยหัวใจเริ่มน้อยลงในขณะที่ใช้สมองคิดมากขึ้น
งานสมโภชน์ดำเนินต่อมาจนก้าวเข้าสู่วันสุดท้าย ซึ่งตรงกับวันลอยกระทงก่อนหน้านั้นผมมักจะออกไปงานพร้อมกันกับสน และกลับมาก่อนมันเสมอ เพราะมันต้องช่วยแม่เก็บร้าน มีเพียงวันหลังๆเท่านั้นที่ผมไปเอง และทุกครั้งที่ผมกลับมาผมก็จะไม่ลืมหิ้วของเล็กๆน้อยๆที่ซื้อมาจากเงินที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงมาฝากเจ้าแดงมัน มันจะทำหน้าดีใจทุกครั้งที่เห็นผม
ดวงตาที่สลึมสะลือจะเบิกกว้างเมื่อเห็นผม ผมจำแววตาเดียงสาคู่นั้นได้ขึ้นใจ มันเป็นเหมือนสิ่งเดียวที่ทำให้ผมรู้ว่าแดงยังคงมีความหวัง
คืนวันนี้ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของงานผมอาบน้ำแต่งตัวปราณีตเป็นพิเศษ เพราะเป็นคืนสุดท้ายและเป็นคืนที่ใหญ่ที่สุด
มีประเพณีลอยกระทงและห่มพระเจดีย์ด้วย เสื้อผ้าที่สนหามาให้นั้นดูดีทีเดียว ผมจับชายเสื้อยัดใส่กางเกง ก่อนจะเอามือลูบเสื้อให้เรียบ
จากนั้นจึงใช้แป้งร่ำที่อ่ำมันบดเอาไว้ให้ในผอบมาตบที่คอและที่หน้า หยิบหวีไม้ขึ้นมาสางผม การหวีผมตั้งชี้โด่ชี้เด่สำหรับที่นี่เป็นอะไรที่เสร่อมากกกกกกกกกกกกกก
เขาว่างั้นนะ
ผมจึงเลิกที่จะหวีแบบที่ชาวบ้านที่นี่เขาหวีกันนั่นคือ แสกกลาง
เมื่อผมจัดแจงแต่งองค์ทรงเครื่องเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาออกไปรอสนที่ชายกระไดหน้าบ้าน คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงส่องแสงสาดจ้าไปทั่วบริเวณราวกับกลางวัน หมู่ดาวน้อยใหญ่ต่างหลบลี้หนีหายไม่กล้าสู้แสงนวลผ่องของพระจันทร์ในคืนนี้
ชาวบ้านที่นี่เขาเชื่อว่าวันพระจันทร์เต็มดวงในวันลอยกระทงนั้นเป็นวันดี เขาจะมีพิธีกรรมอย่างหนึ่งที่เรียกว่า “พิธีอาบแสงจันทร์” นังอ่ำเล่าให้ผมฟังว่าพวกเขาเชื่อกันว่าในวันที่พระจันทร์เต็มดวงวันนี้ พระจันทร์จะมีอำนาจและมีพลังในด้านคุณเสน่ห์และรักษาโรคภัย ชาวบ้านจะตักน้ำใส่อ่างแล้วตั้งไว้ในลานโล่งๆเพื่อให้รับแสงจันทร์ก่อนจะตักมาอาบน้ำรดหัว บางคนพิเรนทร์กว่านั้นโดยเลือกที่จะนุ่งน้อยหุ่มน้อย หรือแก้ผ้าเลยก็มี นอนแผ่หรากับพื้นหญ้ารับแสงจันทร์ราวกับกำลังอาบแดดยังไงยังงั้น
พวกเขาเชื่อกันว่าสตรีผู้ใดที่อาบน้ำจากแสงจันทร์ หรืออาบแสงจันทร์โดยตรงจะมีเสน่ห์ใครเห็นใครรัก สำหรับผู้ชายก็จะทำให้มีวิชาอาคมแก่กล้าขึ้น ใครที่เจ็บป่วยอาการเหล่านั้นก็จะทุเลาหายไป
สำหรับผมนั้นไม่ค่อยเชื่อเรื่องอะไรพวกนี้เท่าไหร่หรอก
แต่ก็นะแหม
ไหนๆก็ออกมายืนตากน้ำค้างรอเจ้าสนมันทั้งที จะลองดูสักหน่อยก็ไม่เสียหายอะไรนี่นา
“ทำอันใดของเจ้า เจ้าบ้า” เสียงนายสนทักทำเอาผมสะดุ้ง
“อ่อ ป่าว เอ่อเราแค่ เอ่อ แหงนหน้ามองพระจันทร์ไง มันสวยดี” ปล่าวหรอกจริงๆตอนนั้นตั้งใจจะอาบแสงจันทร์กับเขาด้วย เผื่อจะได้มีเสน่ห์กับเขามั่งอะไรมั่ง
สนยิ้ม
“ไปกันรึยีงหล่ะ ยุงกัดจะแย่แล้ว” ผมถามแก้เขิน
“ไปสิ คืนนี้นะเจ้าบ้า คุ้งน้ำจะสว่างไสวไปด้วยแสงไฟจากเทียนในกระทง เจ้าจักคิดเลยว่าที่นี่สวรรค์หรือโลกมนุษย์กันแน่”
สนทำท่าเวิ่นเว้อ
“ขนาดนั้นเชียว” ผมแซว
เราทั้งคู่เตรียมตัวหยิบของติดมือมา ผมถือตะเกียง ส่วนสนนั้นถือไม้ตะพดไว้ในมือ มันบอกว่าเอาไว้ตีงู
ส่วนกระทงนั้นแม่ของสนได้เตรียมเอาไว้ให้เราแล้ว
ผมเดินตามหลังสนที่นุ่งแค่ผ้าจูงกระเบนและเสื้อจีนสีขาว เรากำลังจะเดินผ่านหน้าเรือน ทันใดนั้นเองเสียงเรียกชื่อสนก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“อ้ายสน” เราทั้งคู่หยุดหันหลังไปมอง
“หมอปีย์” ผมคิดในใจเอาละซิ จู่ๆจะมาห้ามอะไรผมอีก
“ขอรับคุณหลวง” สนรีบวิ่งงุดๆไปหาหมอปีย์ที่วันนี้มันแต่งตัวไม่เหมือนกับจะไปนอนเลย
ทั้งคู่พูดคุยกับอยู่ครู่ใหญ่ ผมยืนรอยุงกัดยุบยิบไปหมด แล้วสนก็วิ่งหายไปทางบ้านคุณชื่น ก่อนที่หมอนั่นจะเดินตรงมาหาผม
“ชั้นขอไปด้วยนะเจ้าบ้า หวังว่าเจ้าจะมิขัดข้อง” มันยิ้มมีพิรุธ รอยยิ้มแบบนี้คงจะละลายใจสาวน้อยสาวใหญ่ แต่ใช้ไม่ได้กับผมหรอก
“ก็ไปดิ งานวัดไม่ใช่งานชั้นซะหน่อย” ผมตอบ
“เราคงมิไปขัดจังหวะความสุขของเจ้าดอกนะ”
“ถ้าชั้นจะบอกว่าใช่หล่ะ” ผมตอบตามความคิดตอนนั้นจริงๆ เพราะถ้าหมอนั่นไปด้วยงานนี้มีแต่กร่อยกับกร่อย
“เราก็จักไป”
อ้าว ไอ้นี่ แล้วจะมาถามกูหาตะบวยทำไม
“แล้วมาถามกูทำไม บ้ารึป่าว” คำพูดออกมาพร้อมๆกับความคิด
ผมกับมันยืนแน่นิ่งกันอยู่ตรงนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่ารออะไร รู้แต่ว่าผมรอสน ที่ตอนนี้หายไปไหนไม่รู้
“เจ้าคงเกลียดเรามากสินะ” จู่ๆหมอปีย์ก็ถามคำถามนี้ขึ้นมาอีก
แต่ผมไม่ตอบก้มหน้านิ่ง
“เราก็เกลียดตัวเองเหมือนกัน.................................................................”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ผมกับหมอนั่นยืนนิ่งไม่มีใครพูดอะไรหลังจากคำพูดคำนั้นของหมอปีย์ ผมไม่เข้าใจหรอกว่ามันหมายถึงอะไร
“เราก็เกลียดตัวเองเหมือนกัน”
หมายความว่ายังไง ทำไมมันต้องเกลียดตัวเองด้วย เกลียดตัวเองที่เจ้าอารมณ์ เกลียดตัวเองที่อารมณ์สวิงค์ เกลียดตัวเองที่เป็นคนอมทุกข์.............เหรอ
“งั้นก็สมควรแหละ” ผมคิดเอาเองในใจ
แสงจันทร์สาดส่องมาที่มัน ผมเงยหน้าไปมองใบหน้าและแววตาที่ฉายแววเศร้าอยู่ในทีก่อนจะหลบตามัน หมู่นี้ดูมันเศร้าลงไม่เหมือนเมื่อก่อน ผมยังจำหมอปีย์วันที่วิ่งหนีพวกโจรอั่งยี่มาด้วยกันได้ วันนั้นมันดูเป็นผู้ชายที่เข้าถึงได้ง่าย น่าคบและดูเป็นมิตรมากกว่านี้ ผมต้องการหมอปีย์คนนั้นมากกว่าหมอปีย์คนที่ดูซับซ้อนทางอารมณ์ และคล้ายพายุที่คาดเดาไม่ได้แบบนี้
“เมื่อไหร่ สนจะมาวะ” ผมคิดในใจเพราะเริ่มอึดอัดกับบรรยากาศแบบนี้เต็มทน
เสียงกลองดังตึกๆแว่วมาแต่ไกล เสียงปี่ชวาคลอเบาๆมาตามลม ผมว่างานตอนนี้คงเริ่มคึกคักขึ้นมากแล้ว ไม่น่าเชื่อว่างานที่ผมคิดว่าจะน่าเบื่อเพราะไม่มีแสงสีแสงตระการตาแบบสมัยผม ไม่มีรถไต่ถัง ไม่มีสาวน้อยตกน้ำ ไม่มีเมียงู ไม่มีโคโยตี้ จะกลับน่าหลงใหลและมีมนต์เสน่ห์มากถึงเพียงนี้
“หนาวรึ” หมอนั่นถามทำลายบรรยากาศเงียบเชียบที่กำลังจะฆ่าเราตอนนี้
“ปล่าว”
“แล้วทำไมถึงสั่น”
“สั่นที่ไหน ยุงกัดตะหาก”
“ทำไมไม่เห็นกัดเรา”
“มันคงเลือกกัดคนดีๆละมั้ง”
“นี่เจ้าหมายว่าเราบ้ากระนั้นรึ”
“ม่ายรุ แล้วแต่จะคิด”
“เจ้านี่ ปากดีไม่เปลี่ยนทีเดียว”
“ชั้นน่ะเป็นยังไงก็เป็นยังงั้นไม่เคยเปลี่ยน ไม่เหมือนคนบางคนหรอก”
“คนบางคนที่เจ้าว่า เขาอาจมีเหตุผลที่ต้องเปลี่ยนไปก็ได้”
“ไม่มีเหตุผลอะไรที่ทำให้คนทิ้งตัวตนของตัวเองได้หรอก”
“มีสิ”
“อะไร”
“เราบอกว่ามีก็แล้วกัน”
“ก็อะไรหล่ะวะ!!!”
“ความรักไง..............................................”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
เหมือนหูฝาด เหมือนฟาดเหล้าขาวไปกลมใหญ่ๆ นี่ผมไม่ได้หูเพี้ยนไปใช่มั๊ย หมอนั่นกำลังจะบอกว่าที่มันเปลี่ยนไปเพราะมันมีความรักอย่างนั้นเหรอ
หมอโรคจิตนั่นน่ะนะจะมีความรัก
มันจะไปมีกับใคร
ใครที่ไหน
ใครคือคนโชคร้ายคนนั้น
ใคร
“คุณหลวงขอรับ แม่คำแก้วมาแล้วขอรับ”
เสียงสนดังขึ้นมา จากทางรั้วบ้านคุณชั้น ผมหันไปมอง และพบกับหญิงสาวที่แต่งตัวสวยงามด้วยเครื่องแต่งตัวแบบชาวเหนือ ผ้าซิ่นทอสีทองอร่าม กับเสื้อลูกไม้สีขาว พร้อมกับปิ่นปักผมสีเงินที่วูบวาบเมื่อต้องเสียงจันทร์
“หรือจะเป็น............เธอคนนั้นที่ทำให้หมอนั่น....................เปลี่ยนไป!!!!!”
-
จิ้ม ~ :กอด1:
หมอปีย์ บทจะบอกก้บอกไม่เคลียร์นะจ๊ะ :z3:
รอเจ้าบ้าไปแต่งกับไอ่สนแล้วไปรดน้ำสังห์กันเลยไหมค่อยบอก !
-
พี่นน อย่าหายอย่างงี้ เอาให้เคลียร์ แล้วจะ นำพามารักกันได้ยังไง อีกนานเลยนะ ว่าเจ้าบ้าจะรักคุณหมอ นี่คุณหมอยังไม่เคลียร์ในตัวเองเลยอ่าาาาา แง่ๆๆ เมื่อไหร่นะ รอ ร๊อ รอ
-
บทพ่อแง่แม่งอนกำลังจะมาแล้ว
-
บอกแล้วว่าเรื่องแม่คำแก้วต้องมีเข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วอย่างนี้น้องอัชก็เข้าใจว่าพี่หมอปีย์มีความรักให้แม่นางคำแก้วสิ เฮ้อ...อ่านไปก็เหมือนว่ารักระหว่างหมอปีย์กับน้องอัชจะไม่มีทางเป็นไปได้เลยนะเนี่ย ตามระบบระเบียบสังคมของหมอปีย์แล้ว ยังไงหมอปีย์ก็คงต้องแต่งงานกับแม่คำแก้วในที่สุด
อุตส่าห์วาดหวังว่า วันงานภูเขาทองวันสุดท้ายพี่หมอปีย์กับน้องอัชจะได้หวานกันสักหน่อย แต่ก็ต้องมีคนมาคอยขัดจนได้สิน่า
เชียร์ให้ได้กับไอ้สนดีไหมเนี่ย กรี๊ด ขัดใจค่า
เศร้าด้วย ชอบไปแล้วง่ะ ชอบไปแล้วแบบมากๆด้วยง่ะ ชอบจริงๆง่ะ ชอบหมอปีย์กับน้องอัชไปแล้วง่ะ
ขอบคุณ คุณเซ็งเป็ดนะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
-
เออ ซะงั้น เฮ้อ ฮ่วย งานนี้จะไม่แปลกใจเลยถ้าอัชจะเข้าใจผิด
ไปกันใหญ่แล้วเฟ้ยยยย
-
โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย :serius2: คุยกันคนละภาษาแล้วค่ะ!!!!
อะไรๆก็ไม่ได้ดั่งใจ :sad4:...แล้วเมื่อไหร่สองคนนี้จะคืยหน้าซักที
พ่ออัชย์ก็ทำไมไม่รู้จักคิดอะไรให้มันมากขึ้นอีกหน่อย ลึกซึ้งขึ้นอีกนิด หมอปีย์ก็หัดพูดอะไรตามใจตัวเองซะมั่งเซ่(โว้ย)คะ
...แอบเสียว หวังว่าเรื่องนี้จะไม่จบแซดนะคะ อารมณ์แบบห่างกันไปเลย จากกันด้วยดีนี่ก็ถือว่าแซดเหมือนกันนะคะ (เจอจบเเซดมาเยอะเกินไปแล้ววว)
-
ไปๆมาๆ ลองมาคิดดูอีกทีนะคะ
เริ่มคิดว่า หมอปีย์อาจไม่ใช่พระเอกแล้วล่ะ อาจจะเป็นตัวแปรตัวหนึ่งของอัฐเฉยๆ (เพราะด้วยอะไรหลายๆอย่าง มันไม่เอื้อต่อความรักของสองคนนี้เลยยยยยยสักนิด)
ส่วนตัวจริง ก็นั่นล่ะ น่าจะอยู่ที่โลกปัจจุบันแหละ
-
อ้าวหมอปีย์นึกว่าจะมาง้อเจ้าบ้า
ดันไปชวนสาวมาซะนี่ :เฮ้อ:
-
คุณหมอก็บอกไปตรงๆเลยสิ แบบนี้เดี๋ยวเจ้าบ้าเข้าใจผิดนะ :angry2:
-
ความรักทำให้คนเปลี่ยนไป
เฮ้อ!!! :เฮ้อ:
หมออยากคิดมากสิค่ะ รักใครก็บอกไปเถอะ แล้วจะไปชวนผู้หญิงไปทำไมอ่ะ
นึกว่าจะได้อ่านตอนไปเที่ยวงานวัดแบบหวานๆซะอีก
-
เมื่อไรจะหวานกันซะที่นะคู่นี้ :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หมอ จะเอา ผู้หญิงนางนั้นไปด้วยทำไม :angry2: :angry2:
เอาไปยั่ว เจ้าบ้าหรอ :serius2: :serius2:
เหอะๆ รักกันซะที่เถอะนะ :call: :call: :L1: :L1: :L1: :L1:
-
ไม่ใช่"เธอ"แต่เป็น"เขา" ใช่ไหมพี่เป็ดที่ทำให้หมอเปลี่ยน
-
บอกแล้วว่าเรื่องแม่คำแก้วต้องมีเข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วอย่างนี้น้องอัชก็เข้าใจว่าพี่หมอปีย์มีความรักให้แม่นางคำแก้วสิ เฮ้อ...อ่านไปก็เหมือนว่ารักระหว่างหมอปีย์กับน้องอัชจะไม่มีทางเป็นไปได้เลยนะเนี่ย ตามระบบระเบียบสังคมของหมอปีย์แล้ว ยังไงหมอปีย์ก็คงต้องแต่งงานกับแม่คำแก้วในที่สุด
อุตส่าห์วาดหวังว่า วันงานภูเขาทองวันสุดท้ายพี่หมอปีย์กับน้องอัชจะได้หวานกันสักหน่อย แต่ก็ต้องมีคนมาคอยขัดจนได้สิน่า
เชียร์ให้ได้กับไอ้สนดีไหมเนี่ย กรี๊ด ขัดใจค่า
เศร้าด้วย ชอบไปแล้วง่ะ ชอบไปแล้วแบบมากๆด้วยง่ะ ชอบจริงๆง่ะ ชอบหมอปีย์กับน้องอัชไปแล้วง่ะ
ขอบคุณ คุณเซ็งเป็ดนะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
^
ตรงใจ
ขอบคุณนะแป้งจี่
-
บ้ากันไปหมด
-
อ๊ากกกกกกกกกซ์~~ ขัดใจว่ะ!!!!
-
ว้าย คุณหลวงคะ
เอาอกเอาใจคุณผู้หญิงให้ดีนะคะ
คืนนี้ อาจมี jealousy อิอิ
ป.ล. อิจฉานะคะ อิจฉา หาได้หึงไม่ เหอเหอ
๒๒๕ + ๑ = ๒๒๖
ขอบคุณนะคะ คุณ เซ็งเป็ด
-
คิดไปคนละทาง เพราะความรักนี่แหละ ทำให้หมอปีย์อึดอัด ยิ่งจารีตประเพณีสมัยนั้นแล้ว มันยากกกกกก มาก
มารอดูซิว่า หมอปีย์จะหาทางออกกับเรื่องนี้ยังไง ส่วนเจ้าอัชย์น่าจะมองอะไรออกมั่งน่ะ
เพราะยุคสมัยที่มา เรื่องแบบนี้มันแทบจะเป็นเรื่องธรรมดาแล้ว :z3:
+1 ให้เป็นกำลังใจครับ
-
โอยยย..
เจ้าบ้า..
อีตาหมอตามมาด้วยแบบนี้
ข้าก็ไปกับเจ้าไม่ได้แล้วสิเนี่ย
แล้วยังมีคุณคำแก้วอะไรนั่นอีก
...
วุ้ย
หมดสนุกกันพอดี
-
แล้วอะไรจะเกิดขึ้น
อิอิ
-
:z3: :z3: :z3:
เครียดๆ T^T
อุตสาห์แอบหวังว่า
สองคนนี้จะสวีตกัน
เอาอีบัวคำแก้วออกไป
:fire: :fire: :fire:
-
หมอปีย์เอ้ยยยยยยย
เลือกอะไรก็เลือกเอาสักอย่างสิค้า! จะหึงจะหวงเจ้าบ้าก็ไปหมกมุ่นกับเจ้าบ้าซะ ถ้าจะเลือกคู่หมั้นก็อย่ามาหึงเขาสิ :เฮ้อ:
-
พามาด้วยทำไมน้า
มันอาจจะมีฉากที่แข่งกันสวีทก็ได้มั้ง - -
มันจะยิ่งโกรธกันมั้ยนิ
-
หืม~~~ คู่หมายของหมอปีย์รึเปล่าเนี่ย คิกๆ
-
เข้าใจกันไปคนละทางซะงั้น เพราะคำแก้วคนเดียวเลย :z3:
-
:เฮ้อ:
-
น้องอัชย์นี่น้อง แคร์หมอปีย์หน่อยน่า
-
ไม่น้า~~~ :serius2:
ที่หมอปีย์เปลี่ยนไปก็ต้องเป็นเพราะอัชเซ่!!!
ไม่ใช่แม่คนนั้น ไม่เอา :beat:
-
พาคนอื่นไปด้วยทำไมหมอปีย์ :serius2:
-
:z3:คะคะคะค้างงง
หมอปีย์ขาาา รักใครก็บอกไปเลย เจ้าบ้าก็เคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าชอบคนพูดตรงๆน่ะ
:serius2:
มาอัพไวๆนะคะพี่เซ็งเป็ด ><"
-
ไฮ๊ย่ะ!!! เอาละโว้ยยยย
ความรักทำให้หมอเปลี่ยนไป..
อ๊ายยยยย :impress2: :-[ :กอด1:
-
ตอนแรกนึกว่าเป็นเรื่องที่เกิดที่ สยามแสควร์ แต่พอเข้ามาอ่าน ผิดคาดดดด
แต่พออ่านแล้ว ชอบมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
อ่านตี 3 เลิกอ่าน ตอน 9 โมงเช้า
พอหลับยังเก็บไปฝันอีกกกก โอ้ววว ชอบมากจริงๆๆๆ
อยากให้มาต่ออีกครับบบบ
-
รอน้า~
-
เฮ้อออออออออ แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่มันจะเข้าใจกันละเนี๊ย :เฮ้อ: :เฮ้อ:
-
เหอๆๆ นายเอกของเราคงงง
ความรักทำให้คนเปลี่ยนไป. . .แต่เปลี่ยนไปในทางเลวร้ายลง เหอๆๆ
-
เหอๆๆ นายเอกของเราคงงง
ความรักทำให้คนเปลี่ยนไป. . .แต่เปลี่ยนไปในทางเลวร้ายลง เหอๆๆ
เหอๆตามเลย เหอๆ นึกคำอื่นไม่ออกจริงๆ โดนอ่ะ 55+
-
นายเอกเราก็ชักจะโง่ขึ้นมาเเล้วนะเนี่ย? ๕๕
อัชใจร้ายจังเลย สงสารหมอปีย์ รีบมาต่อนะคะ
-
พ่ออัชฐ์ นี่ซื่อเสียจริง ยังมิรู้อีกว่าหมอปีย์รู้สึกเยี่ยงไร
-
หมอน่ะหมอ เดี๋ยวเชียร์นายสนซะเลยนี่
ชักช้าเหลือเกิน
-
:m16:
ละจะชวนมาทำม๊ายยยยยนะหมอปีย์ นึกว่าจะไปสวีทกันสองคน :เฮ้อ:
-
อย่า ปล๊อย ให้ ผม นั้น รอ เก้ออออออ เพราะ ผม คิดถึง เจ้าบ้า และ หมอปีย์
-
เจ้าบ้าใจร้ายที่สวดดด555555555555
-
เสียงจักจั่นเรไรร้องกันลั่นทุ่ง พื้นหญ้าที่ผมเหยียบนั้นชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำค้าง แสงจันทร์สาดแสงนำทางให้เห็นยอดต้นตาลไกลๆอย่างชัดเจน เงาของสองคนนั้นพาดมาทางด้านหน้า
ผมเดินตามหลังสองคนนั้น ที่เดินกันอย่างเงียบๆ ภาพของหมอปีย์และคำแก้วนั้น ช่างเป็นภาพที่แสนจะธรรมดา ก็แค่ผู้ชายกับผู้หญิงเดินห่างกันเกือบโยชน์ แต่ทำไมในใจผมมันหวิวๆยังไงไม่รู้ มันเหมือนเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดกับผมมาก่อน หรือไม่อย่างนั้นถ้าผมตอบตัวเองแบบไม่โกหก ผมรู้สึกว่าหมอปีย์เปลี่ยนไปเพราะผู้หญิงคนนั้นแน่ๆ และผมไม่ชอบให้ใครมาแย่งเพื่อนของผมไปแบบนั้น
“อึ อึ อึ” จู่ๆผมก็กระทืบเงาของหมอปีย์ที่พาดผ่านพื้นหญ้า นายนหันมามอง
“เป็นอะไรไปอีกรึเจ้าบ้า”
“ป่าวพยาธิมันไชเท้านะ เนี๊ยะคันยิบๆ” ผมแกล้งยกเท้าขึ้นมา
“ไหนกันเล่า ให้ข้าดูสิ” สนทำท่าจะจับขาผม หมอปีย์หันมามองด้วยหางตา
“อ้ายสน มึงเป็นขี้ข้าใครกันแน่” แสงหมอปีย์คำรามในลำคอ สนก้มหน้า ผละออกมาจากผม
“โอ้ย คันเว้ย คัน คัน คัน” ผมกระทืบเงาของหมอบ้านั่นอย่างเมามันส์ จนคำแก้วหันมามอง
เราทั้งสี่คนเดินเข้าใกล้งานมากขึ้น ชาวบ้านหลายคนเดินนำหน้าพวกเรา พวกเขาหัวเราะกันคิกคักๆ ผิดกับพวกเราที่ปล่อยให้บรรยากาศรอบตัวเงียบจนวังเวง
คำแก้วนั้นดูเป็นผู้หญิงที่เรียบร้อยและมักจะเขินอายทุกครั้งที่หมอปีย์เรียกชื่อเธอ ผมไม่ได้ใส่ใจคนคู่นั้นหรอกนะ เพียงแต่มันอดไม่ได้ที่จะมอง
ก็แหม
ก็เค้าเดินอยู่ข้างหน้านี่นา จะไม่ให้มองได้ยังไง
“เจ้าบ้า” สนเรียกผม ผมได้ยิน แต่ทำไมหนอสติถึงไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เจ้าบ้า” มันเรียกอีกครั้ง
“หา ว่าไง” ผมสะดุ้งละสายตาจากคนคู่นั้นมาหาสน
“เจ้าจะไปขายของกับแม่ข้าหรือไปกับคุณหลวง”
มันถาม แน่นอนไม่ต้องคิดอะไรมาก
“ไปกับนายนั่นแหละ ชั้นจะไปเป็นก้างขวางคอคู่นั้นเขาทำไม”
เมื่อไปถึงงานเราทั้งคู่เดินลอดผ่านซุ้มที่ทำด้วยทางมะพร้าวนำมาดัดโค้ง ประดับด้วยกระดาษสีสันต่างๆและดอกเฟื่องฟ้าช่องาม ทางเข้างานทั้งสองข้างเต็มไปด้วยร้านขายของกิน ของเล่น เครื่องประดับ และผ้าทองามๆจากหัวเมืองต่างๆ
คืนนั้นลมหนาวเริ่มพัดเข้ามาเป็นวูบๆ แต่ก็ให้บรรยากาศสบายไปอีกแบบ
หมอปีย์นั้นมักจะชี้ชวนให้คำแก้วดูโน่นดูนี่อยู่เสมอ ส่วนผมก็เดินดูของไปเรื่อยเปื่อยตามประสาคนตัวคนเดียว หัวเดียวกระเทียมลีบ หมาหัวเน่า ประมาณนั้นแหละนะ
“คุณหลวงขอรับ กระผมกับเจ้าบ้าขอตัวไปช่วยแม่ของกระผมขายขนมก่อนนะขอรับ” สนเดินไปบอกกับหมอปีย์
“จักไปแล้วรึ” เขาทำท่าครุ่นคิด
“เราเอ่อ เราอยากไปดูงิ้วจีนที่เจ้าบอกน่ะ แต่ไม่รู้อยู่หนใด พาเราไปหน่อยสิ” หมอปีย์พูด สรุปทั้งผมและสนก็ต้องเดินแม่งไปส่งให้ผัวเมียคู่นี้ไปดูงิ้วอีก
“ไปไม่ถูก พูดมาได้ไงวะ นี่มันบ้านเมืองมันแท้ๆ ทีกูหลงภพหลงยุคมายังเดินซะว่อนงานเลย โด่ ไอ่ ไอ่ตัวปัญหา” ผมบ่นพึมพำๆอยู่คนเดียวเพราะอดขัดใจไม่ได้
ก็จะอะไรกันนักกันหนาหล่ะ กะอีแค่เดินไปดูงิ้ว มันจะยากอะไรกันวะ เป็นถึงหมอ ก็ตามเสียงกลองเสียงฉาบไปนั่นไง ออกจะดัง
ผมเดินหน้าเป็นตูดตามสนไปส่งไอ้หมอเรื่องเยอะนั่น เสียเวลาไปช่วยแม่สนมันขายขนมหมด เดินไปไม่เท่าไหร่เองก็เจอชาวบ้านยืนล้อมกันหนาตา เสียงร้องงิ้วแหลมแสบหูดังมาจากด้านใน แน่นอนว่าถึงโรงงิ้วแล้ว
ชาวบ้านต่างตื่นตาตื่นใจที่ได้ชมงิ้วกัน งิ้วคงเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับชาวบ้านสมัยนั้นมั้ง พวกเขาถึงยอมเบียดเสียดกันดูขนาดนี้
“มาส่งแล้วก็กลับกันเถอะว่ะ สน” ผมเซ้าซี้ หมอปีย์คงได้ยินที่ผมพูดเขาหันมาค้อนผมตาเขียว
“งั้นกระผมไปนะขอรับ” สนตะเบ็งเสียงแข่งกับเสียงกลองและเสียงฉาบ
หมอนั่นไม่พูดอะไร สนยืนรอให้เจ้านายมันขออนุญาติก่อน จนผมหงุดหงิด
“เฮ้ย หมอ จะเอายังไง จะให้ไปรึยัง” ผมทนไม่ไหว คำแก้วหันมามองสีหน้าตกใจ
หมอปีย์ยังไม่ตอบอีก ผมตะโกนถามไปอีกครั้งแข่งกับเสียงกลองที่ดังขึ้นดังขึ้น
“จะเอายังไงหา จะให้ไปได้รึยัง”
“ตูม!!!!!” จู่ๆเสียงระเบิดก็ดังขึ้นจนพื้นดินสะเทือน เสียงงิ้วเงียบลง ชาวบ้านเงียบแต่สีหน้าของพวกเขาตื่นกลัว
“ตูม!!!!” แล้วเสียงตูมก็ดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้นั้นเสียงตูมได้นำพาเสียงหวีดร้องของผู้คนที่แตกตื่น เสียงแห่งความโกลาหลอลม่าน ระคนเสียงตูมใหญ่อีกครั้ง
ครั้งที่สามนี่เองที่ผู้คนเริ่มแตกตื่นลุกฮือขึ้นและพากันวิ่งหนี เหตุการณ์มันเกิดขึ้นรวดเร็วมาก เราทั้งสี่คนนั้นยืนอยู่วงล้อมรอบนอก แต่คลื่นผู้คนที่แตกตื่นกำลังถาโถมเข้ามาหาทางที่พวกเรายืนอยู่
ไม่รอช้าก่อนที่เราทั้งหมดจะถูกชาวบ้านที่ตกใจเหยียบตาย หมอปีย์คว้าข้อมือผมหมับ
มือของเขาเย็นเฉียบจนผมรู้สึกได้
ผมก้มลงมองก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหน้าหมอนั่นด้วยความแปลกใจ
ทำไมจู่ๆเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นมา ทำไมมันถึงได้คว้าข้อมือผม แทนที่จะคว้าแขนของผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างเขา คนที่เขารัก
ทำไมต้องเป็นผม
แต่ไม่ทันที่ความสงสัยของผมจะได้คำตอบ คลื่นแห่งความหายนะของผู้คนที่แตกตื่นนั้นกำลังพุ่งเข้ามาหาเรา ผมมารู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนที่ถูกฝูงชนเบียดจนออกห่างมาจากสน และคำแก้ว แต่มือของหมอปีย์ยังคงกำข้อมือผมแน่น
ผมชะเง้อมองสนและคำแก้ว หมอปีย์เองก็เหมือนจะได้สติ เขาเขย่งเท้ามองหาคำแก้วคู่หมั้นของเขา แต่สายไปเสียแล้ว เขาไม่สามารถฝ่าฝูงชนที่แตกตื่นกระเจิงเข้าไปช่วยเธอได้
“อ้ายสน พาคำแก้วกลับบ้านไป เราฝากคำแก้วด้วย” สีหน้าสนเองนั้นตื่นตกใจไม่แพ้กัน แต่พอได้ยินคำของหมอปีย์ เขาก็ได้สติและรู้ว่าต้องทำยังไง เขาพาคำแก้ววิ่งออกไปทางหลังโรงงิ้ว ผมหันมองทั้งคู่เป็นระยะๆในขณะที่ตัวเองก็ต้องวิ่งหนีออกมาก่อนจะถูกชาวบ้านเหยียบ
เสียงระเบิดตูมๆนั้นหายเงียบไป ผู้คนเริ่มอยู่ในความสงบมากขึ้น พวกเขาต่างหอบเหนื่อยและสีหน้าซีดเผือด ต่างคนต่างคาดเดากันไปต่างๆนานาว่าเกิดอะไรขึ้นจู่ๆถึงได้มีเสียงระเบีดขึ้นมา
บางคนบอกว่า
“ข้าเห็นลูกไฟลอยมาจากฟ้า ก่อนจะมาตกที่หลังโรงงิ้วนั่นแน่ะ”
แต่บางคนแย้งว่า
“ไม่ใช่เสียหน่อย ที่ข้าเห็นน่ะ ข้าเห็นพวกพม่ามันคาดหัวมาซุ้มอยู่ที่หลังโรงงิ้ว”
ชาวบ้านต่างโจษจันกันไปต่างๆนานา
ผมกับหมอปีย์รวมถึงชาวบ้านอีกหลายคนวิ่งออกมาไกลจนเกือบท้ายงาน ผมนั้นยืนหอบอยู่ใต้ไทรใหญ่ ตอนนั้นคิดอะไรไม่ออก ตกใจ 555 ปอดแหก เพราะนึกว่าเจอข้าศึกบุกจริงๆนะนั่น
ผมจำได้ตอนเรียนประวัติศาสตร์สมัย ม.ต้น ครูสอนเรื่องบางระจัน เราก็จินตนาการถึงการออกรบ ต้องจับดาบฟันกับพม่า แล้วผมเป็นพวกปอดแหก นึกไปว่า โห แม่งยิงกันยังดีซะกว่า เล่นฟันกันนี่เจ็บแย่
ลองนึกดูจู่ๆใครก็ไม่รู้เอาดาบคมๆมาฟันแขนเรา คมน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าไม่คมด้วย ขึ้นสนิมด้วย บรื๋อ
เจ็บนะนั่นน่ะ แต่ไม่ถึงตาย แล้วถ้าโดนแทงเข้าไปอีก ฉึก โอย เลือดออก โดนฟันที่หลังอีก
“โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยย ยิงกูเถ๊อะ” ผมตะโกนร้องลั่นเมื่อเก็บเอาเรื่องนี้ไปฝัน
พอวันนี้มันเกิดเสียงระเบิดขึ้นตูมตามใจมันก็เลยพาลคิดถึงเรื่องนั้นขึ้นมา
“ตกใจมากรึ เจ้าบ้า” หมอปีย์เขย่าแขนผม จนผมได้สติ
“หา หา อ๋อ เอ่อ ป่าวๆ” ผมละล่ำละลักตอบ รู้สึกเปียกที่ข้อมือก้มลงไปมอง
“หมอ ปล่อยแขนชั้นได้รึยัง มันเปียก”
หมอทำหน้าเล๋อล๋า ก่อนจะรีบปล่อยแขนผม
“แล้วนี่ทำไมตกใจแล้วมาคว้าแขนชั้นหล่ะ ทำไมไม่คว้าแขนแฟนนาย คำแก้วอ่ะ ป่านนี้ไปไหนถึงไหนแล้ว”
หมอปีย์ไม่ตอบอะไร
“แมนจริงๆเล้ย”
ผู้คนยังคงตื่นตกใจทำอะไรกันไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะเอายังไงกันดี จะเข้าไปข้างในงานต่อ หรือกลับบ้าน พวกเขานั่งลงรอให้เหตุการณ์มันผ่านไปสักพักใหญ่ก่อน บางคนรอไม่ไหวพาลูกหลานที่ร้องไห้โยด้วยความตกใจกลับบ้าน
สักพักใหญ่ก็มีชายที่แต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบสองสามเดินมาที่กลุ่มพวกเรา พวกเขายิ้มแหยๆ นั่นยิ่งทำให้ผมงงเข้าไปใหญ่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
สรุปก็คือ ชายสามคนนั่นเดินมาบอกว่า ไม่ต้องตกใจ
“เชี่ย กูตกใจเยี่ยวเล็ดไปแล้ว เสือกมาบอกว่าไม่ต้องตกใจ” ผมคิด
พวกเขาแจ้งว่า พอดีปีนี้เป็นปีฉลองใหญ่ หลวงท่านก็เลยโปรดให้จุดปืนใหญ่เป็นการเฉลิมฉลอง
“ฮ่วย แล้วทำไมไม่บอกกันก่อนเล่า นี่ถ้ามีใครหัวใจวายตายขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ” ผมคิดอีกแล้ว ไม่กล้าพูด กลัวโดนจับขังคุกเหมือนครั้งนั้นอีก ไม่ไหว
เมื่อบรรยากาศคลี่คลายลงชาวบ้านก็ทะยอยเดินเข้างานกันด้วยความโล่งอก
เหลือผมกับหมอปีย์ที่นั่งมองหน้า ไม่รู้จะเอายังไงกันดี
“จะเอายังไงอ่ะ” ผมถาม
หมอนั่นหันมามองหน้าผมหน้าตาตื่น
“แล้วเจ้าจะเอาอย่างไรเล่า” เขาตอบ
“อ่าว งั้นก็กลับบ้านสิ อยู่ทำไม แฟนนายก็กลับไปแล้วนี่” ผมลุกขึ้น ทำท่าจะเดิน
“แต่เรายังไม่อยากกลับนี่” หมอนั่นลุกขึ้นตาม “ถ้าเจ้ามิรังเกียจ อยู่เที่ยวเป็นเพื่อนเราก่อนได้หรือไม่”
แววตาของหมอนั่นดูเว้าวอนและบีบคั้นหัวใจผมมาก แววตาคู่นี้ของมันเป็นคนละคู่กับแววตาที่คอยจับผิดคู่นั้น
ถึงผมจะโกรธมันแค่ไหน แต่พอเห็นแววตาคู่นี้พร้อมกับคำพูดอ้อนวอนซื่อๆของมันแล้วนั้น มีหรือผมจะใจแข็ง
“อ่ะ อ่ะ ก็ได้ๆ นี่ถือว่าสงสารนะเนี๊ยะ” ผมพูด สีหน้าแสดงความรำคาญ แต่พอหันหลังกลับทำไมจึงเผลอยิ้มออกไปก็ไม่รู้
“ขอบใจเจ้ามากนะเจ้าบ้า นานแล้วที่เราไม่เคยออกมาเที่ยวงานภูเขาทอง” เขาพรรณนาให้ผมฟังขณะที่เรากำลังเดินเข้าไปในงานใหม่
ผมรู้สึกว่าเรากำลังย้อนเวลากลับมาใหม่ ย้อนไปยังจุดที่ผมไม่อยากให้คำแก้วมาด้วย จุดที่ผมอยากเดินเที่ยวแค่มันกับผม ไม่คิดเลยว่าสิ่งที่ผมแอบคิดอยู่ลึกๆในใจจะเกิดขึ้นจริง เฟี้ยววววววววววววววว
“ยิ้มอะไรของเจ้าน่ะ เจ้าบ้า” หมอปีย์พูด เขาชะโงกหน้าเข้ามาใกล้หน้าผม ผมสะดุ้งโหยง หุบยิ้มเกือบไม่ทัน
“ปล่าวๆ ยิ้มอะไร ใครยิ้ม นี่ไม่ได้ได้ยิ้มนะ”แก้ตัวๆ
“เราหิวแล้วน่ะ” หมอปีย์ลูบท้อง
“อ่าว หิวก็หาอะไรกินเอาเองสิ ของกินเยอะแยะ มาบอกชั้นทำไม”
“ก็เจ้าเที่ยวที่นี่เสียช่ำชองแล้วนี่ นะเจ้าบ้า พาเราไปหาของอร่อยๆกินหน่อยเถิด” หมอปีย์ส่งสายตาแบบนั้นมาอีกแล้ว
“อะ อะ ก็ได้ อะไรกันนักกันหนา” ผมอมยิ้ม “ เดี๋ยวจะพาไปกินขนมเบื้องเจ้าอร่อย รับรอง จะติดใจ”
หมอนั่นทำท่าตื่นเต้น
ผมพาหมอปีย์แทรกผ่านผู้คนที่เริ่มกลับมาเดินกันคึกคักเหมือนเดิม หมอนั่นเดินตามหลังผมมาติดๆ จนในที่สุดเราก็มาถึงร้านของแม่สนที่กำลังวุ่นวายกับลูกค้าที่รุมอยู่หน้าร้านเต็มไปหมด ผมเดินเข้าไปทักทาย แม่ของสนบอกว่า
“มาก็ดีแล้วเอ็งน่ะ ข้ากำลังยุ่งอยู่พอดี อ้ายสนมันก็ไม่รู้หายหัวไปไหน ไม่มาช่วยข้า” หล่อนก้มหน้าก้มตาคลึงแป้งลงบนกะทะเหล็ก
“อ้าว นั่นพาใครมาละนั่นนะ เข้ามาๆพ่อหนุ่ม มาช่วยคนแป้งให้หน่อย เร่งเข้า” แม่ของสนแกไม่รู้จักหมอปีย์หรือไงนะ ทำไมถึงกล้าสั่งหมอนั่น ผมยังไม่ทันจะอ้าปากอธิบายอะไร แกก็ดึงทั้งหมอปีย์และผมเข้ามาหลังร้าน
เรามองหน้ากัน แต่หมอปีย์ก็ไม่ได้ว่าอะไร จับกระบวยก่อนจะหันมาพูดกับผม
“เจ้าคอยดูเรานะ เจ้าบ้า เราจักคนแป้งนี้ให้เสร็จ ชั่วเพลาแค่เคี้ยวหมาก” เขายิ้มโอ้อวด ก่อนจะลงแรงทั้งหมดคนแป้งที่อยู่ในอ่าง แต่ด้วยความที่แรงเขามากเกิน แป้งที่อยู่ในอ่างจึงกระฉอกออกมาเลอะเทอะไปหมด
“อ้าวๆ เจ้านี่ พาลจักทำให้ขนมข้าเสียหมดแล้วมั๊ยล่ะ เบาๆมือหน่อยเถิด” แม่ของสนเอ็ด
“ไอ้หมอเอ้ย เป็นหมอไปน่ะดีแล้ว มานี่ชั้นทำเอง” ผมดึงกระบวยมาจากมือมัน ก่อนจะไล่ให้มันไปช่วยขูดมะพร้าวห้าว
ท่าทีเก้เก้กังกังนั้นทำเอาผมขำอยู่หลายยก
“ทำเยี่ยงไรกันเจ้าบ้า” มันหันมากระซิบผม สงสัยคงอาย
“เฮ้อ” ผมส่ายหัว “มานี่มา ทำแบบนี้” ผมนั่งลงใกล้ๆมันใช้มือขวาจับมือของหมอปีย์ กำมันจนแน่น ก่อนจะค่อยๆบังคับมือของเขาขึ้นลงตามจังหวะ จนเส้นมะพร้าวหลุดร่อนออกมา
“เห็นป่าวหล่ะ ไม่เห็นจะยาก มันก็เหมือนกับการที่นาย....................” ผมพูดไปเรื่อยๆตามประสาผม โดยที่ไม่สังเกตุเลยว่าหมอนั่นนั่งมองหน้าผมและเผลอยิ้มออกมา
“เนี๊ยะแค่นี้อ่ะ ง่ายมั๊ย” ผมลุกขึ้นยืน มันยิ้มให้ในทีว่าเข้าใจ
“มองอะไร”
“เจ้านี่เก่งนะ”
“ของมันแน่อยู่แล้ว เรื่องแค่นี้ จิ๊บๆ” ผมหัวเราะ ก่อนจะหันไปช่วยแม่ของสนที่ตอนนี้ก้มหน้าเกือบจะนาบไปกับกะทะอยู่แล้ว
ชาวบ้านที่มุงอยู่อย่างหนาแน่นเมื่อครู่ เริ่มบางตาลง ผมเริ่มมีเวลาหายใจหายคอมากขึ้น แต่ก็ไม่เหนื่อยหรอกนะ การได้ทำอาหารแล้วมีลูกค้ารอคิวซื้ออย่างใจจดใจจ่อ มันไม่เหนื่อยเลย ตรงกันข้าม เรายิ่งกลับมีกำลังใจที่จะทำอาหารให้พวกเขาได้กินอย่างสุดฝีมือที่สุด
เหงื่อที่ผุดขึ้นบนหน้าของผมเริ่มไหลปร่า ผมไม่มีเวลาแม้แต่จะยกมือขึ้นปาดเหงื่อ
“เอา รับนี่ไว้สิ เจ้าบ้า” หมอปีย์ยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนสีขาวมาให้ผม ผมเงยขึ้นไปมอง โอ้ว มันช่างเหมือนในหนังเกาหลีที่ผมเคยดูตอนเช้าวันอาทิตย์เลย
“ถุ้ย คิดอะไรของมึง ไอ้ปอ” ผมเรียกสติตัวเองคืนมาเมื่อเห็นว่าเริ่มเคลิ้มไปกับแววตาคู่นั้นของไอ้หมอบ้านั่นเสียแล้ว
“เออ ขอบใจนะ แต่...........ไม่ต้อง” ผมปฏิเสธน้ำใจของหมอปีย์ด้วยการยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่หน้า หมอนั่นหน้าเสียไปนิดนึง แต่เขาก็ฝืนยิ้มขึ้นมาอีก
“เจ้าบ้า” เขานั่งลงมาใกล้ผม
“เจ้าบ้า”
“อะไร เรียกทำไม” ผมหันมาทำท่าหงุดหงิดใส่
“เราหิว”
โอ้ยยยยย ลืมไปสนิทเลย หมอไม่ได้กินข้าวมาเลยตั้งแต่เย็นนี่นา แล้วนี่กี่โมงกี่ยามกันแล้วเนี๊ยะ
“เออๆ ชั้นขอโทษ เดี๋ยวชั้นบอกให้ป้าแกทำขนมให้นะ”
“เจ้าบ้า” หมอฉุดมือผมไว้ขณะที่ผมกำลังจะลุกขึ้น ผมหันไปมอง ส่งแววตาเป็นเครื่องหมายคำถามว่า “มีอะไรกับกูอีก”
“เราอยากกินฝีมือเจ้า” โอ้ว อารมณ์หนังเกาหลีมาพร้อมแววตาออดอ้อนแบบนั้นอีกแล้ว
“ไม่ ไม่ ชั้นจะไม่หลงกลเอ็ง ไอ้หมอบ้า ไม่ ไม่” ผมท่องในใจหลังจากสลัดมือจากหมอนั่น
“ป้า ป้า ทำขนมให้ชิ้นดิ” ผมร้องขอให้แม่นายสนช่วยด้วยแววตาล่องลอยเหมือนโดนของ ในขณะที่จิตใจผมยังถูกตรึงอยู่กับแววตาคู่นั้นของหมอปีย์
“พ่อหนุ่มเอ้ย ให้ป้าได้นั่งสักประเดี่ยวก่อนเถิด เหนื่อยสายตัวแทบขาด เอ็งอยากกินอันใด จัดหาเอาตามใจเถิด”
แม่สนล้มตัวลงนั่งอย่างหมดแรงทันทีที่ลูกค้าคนสุดท้ายเดินจากไป ข้อดีอีกอย่างที่ผมได้จากการมาเป็นลูกมือแม่ของสนในครั้งนี้คือ ไม่ว่าเราจะเหนื่อยแค่ไหน สิ่งสำคัญที่เราต้องมีให้ลูกค้าทันทีที่เขาก้าวเข้ามาที่ร้านนั่นคือรอยยิ้ม แม่ของสนยิ้มให้ชาวบ้านทุกคนที่มาซื้อขนม ไม่สิ ที่เดินผ่านร้านเลยก็ว่าได้
แม่ค้าบางคนอาจคิดว่าจะยิ้มอะไรกันนักหนา เหนื่อยจะตายห่าอยู่แล้ว แต่อย่าลืมว่าลูกค้าเข้ามาเขาไม่รู้หรอกว่าเราเหนื่อย เราเป็นอะไร เขาไม่สนใจหรอก เขาเข้ามาเพราะเขาอยากกินฝีมือเรา และพร้อมจะเอาเงินมาให้ เพราะฉะนั้น รอยยิ้มคือสิ่งแทนคำขอบคุณสิ่งแรกที่เราจะสามารถมอบให้ลูกค้าได้
แต่ตอนนี้ แม่ค้าคนเก่งของผมนั่งหายใจหอบแฮกๆอยู่ข้างเตาเสียแล้ว
ทำไงได้ ไม่มีใครทำ ทำให้หมอนั่นกินเองก็ได้
ผมยื่นมือไปหยิบแป้งมาก่อนจะใช้กระบวยตัก
“เป็นขี้ข้ามึงรึไง สั่งอยู่ได้” ผมบ่น แต่มือก็ยังทำให้
“แฟนตัวเองก็มี ไม่ใช้ เสือกไล่กลับบ้าน” แป้งถูกวนจนเป็นวงกลมอย่างชำนาญ แต่สงสัยจะวนเพลินไปหน่อย มันเลยบานซะ
“อย่างงี้มันน่าแกล้งซะให้เข็ด” แล้วแผนชั่วร้ายของผมก็เกิดขึ้นในสมอง ผมเหล่ไปมองหมอนั่นหน่อยนึงก่อนจะลงมือละเลงอะไรต่อมิอะไรลงในแผ่นขนมที่กำลังส่งเสียงกรอบแกรบๆ
“ใส่พริกไทยลงไป น้ำปลา นี่ๆโรยฝอยทอง มะพร้าวๆ กุ้ง มีอะไรก็ ใส่ใส่ลงไป” ผมเลียนเสียงอาจารย์ยิ่งศักดิ์เบาๆ โยนอะไรต่อมิอะไรลงไปอย่างเมามันส์
“อ่ะ เสร็จและ” ผมยิ้มพร้อมยื่นขนมที่ไอร้อนกรุ่นๆขึ้นมาส่งกลิ่นหอม หอมแบบแปลกๆ
“ขอบใจเจ้ามาก” หมอปีย์ยิ้ม ก่อนจะค่อยๆรับมันมาอย่างเบามือ มองขนมอย่างชื่นชม
“กินเลยสิ กำลังร้อนๆ เดี๋ยวหายร้อนจะไม่อร่อยนะเว้ย” ผมคะยั้นคะยอ
“อืม เราจักกินฝีมือเจ้าประเดี๋ยวนี้แหละ” ว่าแล้วหมอปีย์ก็อ้าปากกว้าง กำขนมเบื้องส่งเข้าปาก ก่อนจะกัดหมับเข้าให้ แล้วเคี้ยว
เคี้ยว
เคี้ยว
เคี้ยว
“เป็นยังไงมั่ง” ผมกลั้นหัวเราะสุดกำลัง
“อืม...............” หมอนั่นทำท่าครุ่นคิด
“เป็นไง” ผมตื่นเต้น
“อืมเจ้าบ้า เราขออะไรเจ้าอย่างได้มั๊ย” เขาพูดขนมเต็มปาก
“อื้ม ว่ามาสิ”
“เราขอคายขนมเจ้าทิ้งได้รึไม่”
แค่นั้นแหละครับ ผมปล่อยหัวเราะคำใหญ่ออกมาอย่างสุดกลั้น นึกขำสีหน้ากระอักกระอ่วนของมันไม่ได้ มันพยายามจะกลืน แต่ก็กลืนไม่ลง เข้าทำนองกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“อะไรนะ” ยังไม่หายสะใจ
“เราบอกว่า เราขอคายขนมเจ้าได้หรือไม่” หมอปีย์อ้อมแอ้มไม่เป็นภาษา แต่ผมเดาออกแหละว่ามันตั้งใจจะพูดอะไร เพียงแต่ยังสนุกอยู่
“นายพูดอะไรน่ะ ชั้นไม่รู้เรื่องเลย มันอู้อี้ๆ” ผมหัวเราะ
หมอปีย์มองผมอย่างไม่มีทางเลือก ในที่สุดเขาก็พยายามอย่างหนักเพื่อที่จะกลืนขนมที่ผมทำสุดฝีมือลงคอ
“เฮือก” และแล้วเขาก็กลืนมันสำเร็จ “เราจะบอกเจ้าว่า เราขอคายขนมเจ้าทิ้งได้หรือไม่” หมอปีย์ทำหน้าแหย
“อ๋อ โธ่ แล้วก็ไม่บอก” ผมหยุดหัวเราะ “อ้าวก็คายสิ มาบอกชั้นทำไม”
555 กวนเน๊อะ มันกลืนไปแล้วจะให้มันอ๊วกออกมาหรือไง หมอปีย์เหมือนรู้ตัวแล้วว่าโดนแกล้ง มันเลยมองหน้าผมเชิงรู้ทัน
“เจ้าแกล้งเราหรือ เจ้าบ้า” เขายิ้มมุมปาก
“ปล่าวนา ชั้นไม่ได้แกล้ง”
“เอาเถิด เชิญเจ้าสนุกไปเถิด มิต้องมาสงสารเราดอก ให้เราหิวตายไป เจ้าคงจะพึงใจมากกว่านี้” แล้วมันก็งอนตุ๊บป่อง หันหลังให้
“โอ้ หมอ หมอ ชั้นขอโทษ” ผมรีบปรี่เข้าไปง้อ กลัวมันโกรธแล้วไล่ออกจากบ้านจะเรื่องใหญ่
“อ่ะ นี่ ชั้นทำให้นายอันนี้ตะหาก นี่รับไปสิ”
หมอปีย์หันมามองท่าทางไม่ไว้ใจ
“กินได้จริงๆ ถ้าชั้นแกล้งนายอีก ชั้นขอรับโทษด้วยการกินมันเองทั้งหมด” ผมแสดงแววตามั่นใจให้มันเห็น
“แน่นะ”
“แน่สิ”
“ป้อนเราหน่อยสิ เราขูดมะพร้าวจนมือระบมไปหมดแล้ว” หมอปีย์แบมือให้ผมดู
“มึงจะบ้าเหรอ” ผมหน้าชาเพราะรู้สึกว่าเลือดมันสูบพุ่งขึ้นหน้า หันไปมองคนอื่น “รับไป ไม่รับชั้นจะทิ้งแล้วนะ”
หมอปีย์รับขนมจากมือผม
ไออุ่นของความรู้สึกประหลาดระคนแปลกใจไล่ปร่าจากนิ้วมือแล่นสู่หัวใจจนผมรู้สึกกลัว ความรู้สึกนี่คืออะไร มันเหมือนความรู้สึกที่ชาแปลบที่ปลายนิ้วก่อนจะกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็ว ส่งผลให้เลือดไหลย้อนกลับไปที่ใบหน้าและใบหู มันน่ากลัวมาก น่ากลัวจนผมต้องรีบปล่อยมือออกจากขนมจนขนมแทบหล่น
ผมถอยออกมานิดนึง ก่อนจะตั้งสติและนึกถึงความรู้สึกเมื่อครู่หนึ่งอย่างฉงน
“มันคืออะไร” ผมนึกถามตัวเอง
“อื้ม อร่อยมาก เจ้าบ้า” หมอปีย์เรียกชื่อผม ผมสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์เมื่อครู่ รอยยิ้มอันอ่อนโยนนั้น ทำให้ผมลืมความรู้สึกตกใจเมื่อครู่ ผมยิ้มให้เขาอย่างโล่งอก ทำไมถึงต้องโล่งอกก็ไม่รู้ รู้แต่ว่า ผมดีใจที่ได้เห็นรอยยิ้มนั้น
“อื้ม อร่อยใช่มั๊ยหล่ะ ฝีมือชั้น” ผมยิ้มแต่หัวใจยังเต้นไม่เป็นจังหวะ
-
สนุกครับ ^^
จะรออ่านตอนต่อไปนะครับ
-
:-[
ได้ใช้เวลาด้วยกันซะที น่ารักที่สุดดดดด :กอด1:
-
เมื่อไหร่จะเข้าใจกัน
-
หมอปีย์ รุกใหญ่เลยยยย จัดไป จัดไปหนักๆๆๆ รุกฆาด เลยยยย
-
สนุกอ่ะ...... อัชย์ เริ่มรู้สึกแล้วใช่มั้ย..... อิอิ แอบลุ้นอ่ะ :-[
-
เมื่อไหร่จะเป็น NC
555555
-
555 ตอนจุดปืนใหญ่ฉลองอะ
เหมือนโกโบริกับอังสุมารินวิ่งหนีระเบิดไปด้วยกันเลย :-[
"เราจักรอเจ้าที่ทางช้างเผือกนะ..เจ้าบ้า เอือก" ถ้าพูดคำนี้ด้วยล่ะใช่เลย 5555 :laugh:
-
เบื่อหมอปีย์เฟ้ย ทำเป็นซึน ทำเป็นอมพะนำอยู่ได้ :m31: :m31: :m31:
รีบๆบอกๆไปสิ ไอ เลิฟฟฟฟ ยู :o8: :o8:
-
หลังจากเย็ยชามานาน หมอปีย์ค่อยทำตัวดีขึ้นสักที เย้!
-
อ๋ายยยยยยยยยยย น่ารักอ่ะ ชอบๆๆๆ เจ้าบ้าาาา
-
เอาแล้ววว ความรักเหมือนโรคระบาด ขณะนี้ได้ติดต่อไปยังเจ้าบ้าซะแล้ว
-
นิ่งตั้งนาน คราวนี้หมอรุกบ้างแล้ว 555 :impress2:
อ่านแล้วยิ้มไม่หุบเลยเรา หุหุ
น่ารักมาก ~~~
-
กรี๊ดดดดดดดดดด ☆*:.。. o(≧▽≦)o .。.:*☆ ได้หวานกัน(สักนิด)ซะที 555+
อ่านตอนได้ยินเสียงระเบิด..ไอคิดว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 ซะอีก - -a
-
วุ้ย อ่านแล้วยิ้มเขินเลย น่ารักมากค่ะ
แต่ทั้งสองคนก็ยังกั๊กๆไว้ ไม่ปล่อยออกมาให้เต็มที่กันสักที
คอยเชียร์อยู่ว่าเมื่อไหร่หมอปีย์จะบุกเข้าห้องเจ้าบ้ากลางดึกแล้วจับกดซะ :laugh:
-
อ๊ายยย..หวานกันแล้ว :-[
-
จะรุกก็ได้นิเนอะคุณหมอ :laugh: :laugh: :laugh:
-
กว่าจะเริ่มรู้สึกตัว คนอ่านลุ้นแล้วลุ้นอีก
เขาว่ากันว่าคนบ้า ความรู้สึกช้า สงสัยจะเป็นจริง :เฮ้อ:
-
ความรักมักจะมาโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว
ปากบอกว่าไม่คิดอะไรแต่ความรู้สึกกับคิดไปไกลกว่าน้ันแล้ว
เป็นกำลังใจให้ปอกับหมอปีย์ค้นพบใจของตัวเองให้เจอโดยเร็วครับ :L1:
-
เริ่มหวานกันบ้าง ลุ้นจนตัวโก่งเลยทีเดียว
-
:impress2:มีฉากหวานแล้ว หมอปีย์รุกคืบทีละนิด อัชหวั่นไหวทีละหน่อย
-
โฮะๆๆ หวานกันซะ นึกว่าจะไม่มีวันนี้ซะแล้วนะเนี่ย
สงสัยการอาบแสงจันทร์จะได้ผลจริง อิอิ
-
น่ารักเน้อออออออออ อิอิ :-[
แหม ยิงปืนสองนัด ทำให้คนรักกันได้ ต้องขอบคุณเสียงปืนใหญ่ใช่มะ :pig4:
แม้จะรู้ตัวช้าไปนิด(ทีงี้ละบื้อนะเจ้าอัช) แต่ก็ยังไม่สายเกินไปดอก
รีบๆรักกันเสีย ก่อนหมอปีย์จะโดนจับแต่งกะสาวเน้อ จะมานั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่าทีหลังไม่รู้ด้วยนะเจ้าอัช :L3:
-
:-[ น่าร๊ากมาเลยเจ้าคร่ะ
เมือนไหร่หมอปรีย์จะยิงปืนให้เจ้าบ้างบ้างล่ะ
คริคริ
-
เย่!!! :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:
ได้หวานกันซะที นะคู่นี้ :L2: :L2: :L2: :L2:
แหมๆ เจ้าบ้าแอบหึงหมอด้วยล่ะ 555 เริ่มชอบหมอแล้วใช้ม่ะ ถ้าไม่ชอบคงไม่เขินหรอ เนอะๆ :-[ :-[ :-[
ส่วนหมอปีย์ ก็รีบทำคะแนนใหญ่เลยนะ แอบส่งตาหวานให้เจ้าบ้าใจสั่นเล่นๆด้วย เจ้าเล่ย์ใหญ่แล้วนะ :impress2: :impress2:
-
ตกหลุมรักหมอแล้วสินะ 55+
-
เจ้าบ้าหลงรักหมอปีย์เข้าแล้วซิ
หุหุหุ
:mc4:
-
ไอ่เจ้าบ้านี่เป็นคนที่รู้ใจตัวเองช้าชะมัดด ! :t3:
หมอปีีย์อย่าเพิ่งยอมแพ้นะะะะ ! สู้ ๆ o13
-
melt me....อ๊า....ฉากเรียกเลือด
-
เเอร้ๆ นานทีมีฉากหวานๆกะเค้ามั่งนะ
หมอน่ารักที่สุด
-
ต่อค่ะต่อ ขอเป็นฉากหวานๆด้วย ไหนๆในใจแต่ละคนก็ปิ๊งกันแล้ว ออกมาปิ๊งนอกใจบ้างก็จะดีไม่ใช่น้อย
-
ชอบตอนนี้อะ ดูหว๊านหวาน ชอบบบบบบบบบบบบบบบบ
-
หลงเสน่ห์คุณหมอไงหนู :-[
-
หวานจัง(ก็กินขนมเบื้องเข้าไปนี่) 555+
เปิดใจกันก็ยากเพราะยุคสมัยที่ไม่ยอมรับ
อกคงแทบไหม้เลยนะ
-
:o8: ยิ้มไม่หุบเลยวุ้ยยย (ขณะคอมเม้นต์ก็ยังคงยิ้มอยู่ แอร๊ยยย)
เฮ้อออ ในที่สุดก็หวานซักทีนะ ลุ้นแทบแย่แน่ะ
ในที่สุดเจ้าบ้าก็เริ่มรู้ใจตัวเองแล้วสินะเนี่ยยยย
แอร๊ยยยยยยยยยยย :o8: :o8:
-
ตอนนี้แอบหวานนะเนี่ย อร๊ายยยยยยยยยยยยย
-
ตอนนี้หมอน่ารักมาก
-
หมอปีย์คงรู้ตัวมาพักหนึ่งแล้วล่ะว่า ตัวเองคิดอะไร
ส่วนเจ้าบ้า คงกำลังสับสน กับความรู้สึก คงต้องรออีกสักพัก ให้อะไร ๆ มันตกผลึกเสียก่อน
มาลุ้นกันต่อไป ดีกว่าว่า ไผจะเป็นเคะ ไผจะเป็นเมะ
+1ให้เป็นกำลังใจครับ
-
กว่าหมอปีย์จะได้ทำแต้ม...ต้องให้เขาจุดปืนใหญ่ให้เลยเรอะ :เฮ้อ:
ว่าแต่คำแก้วกับนายสนก็อดเที่ยวงานลอยกระทงสินะ รอดูหมอปีย์ลอยกระทงกับอัชย์ค่า :mc4:
-
อุกรี๊ดดดด
หมอปรีย์
เมื่อไหร่จะบอกเขาไปสักที
เก๊กอยู่ได้
ไอ้เจ้าอัชก็เหมือนกัน
ซื่อบื้อซะจริงเชียว
ไม่สังเกตุเขาบ้างเลยรึไง :angry2:
-
:เฮ้อ: อึดอัดแทนหมออ่ะ
บอกเหอะเนาะ คนอ่านรออ่านบทอัศจรรย์ยุ
-
• ส่วนผมก็เดินดูของไปเรื่อยเปื่อยตามประสาคนตัวคนเดียว
หัวเดียวกระเทียมลีบ หมาหัวเน่า ประมาณนั้นแหละนะ
วุ้ย ใช่ค่ะ โอปอ
เน่ามากเลยค่ะ หนอนขึ้นเลยเทียวแหละ อิอิ
๒๓๐ + ๑ = ๒๓๑
ขอบคุณนะคะ คุณ เซ็งเป็ด
-
คู่นี้ =w= จะว่ายังไงดีอ่ะ น่ารักดี น่ามึนดี เอิ่ม เอาเป็นว่าก็น่ารัดอ่ะนะ หนุ่มอัชย์ของเราดันเป็นพวกรู้ใจตัวเองช้าล่ะมั้ง? ถ้าให้คู่นี้อยู่กันในสมัยอดีตคงไม่รุ่งอ่ะ มีแต่ริ่ง ควรให้ไปปะกันในปัจจุบันดีกว่าไหม เหอๆๆ
-
หัวใจเต้นแรง หน้าแดงทุกที คิคิ ในที่สุด 555+ ในที่สุดก็เกือบจะรู้ว่าความรักแทรกแซงในหัวใจ อิอิ
-
ตอนนี้น่ารักมากๆเลยค่ะ อ่านไปยิ้มไป
รอตอนต่อไปค่ะ^^
-
อ่านไปก็ห่วงๆว่าเรื่องนี้จะจบ แฮ็บปี้เอนดิ้ง ป่าว
ชอบมากกกกกกแต่คงรับไม่ได้ถ้าจบเศร้า หรือแบบอึดอัด! ตอนนี้ยังอ่านไม่ทัน แต่คงอีกไม่นาน
ขอบคุณๆเซ็งเป็ด
-
เข้ามารอ^^
-
ดันไว้
-
โอย ตี2แระ พึ่งอ่านทัน ต่อไปคงได้รอเหมือนคนอื่นเค้า แหง่ว @.@
ชอบฉากหวานๆแบบนี้อ่ะ.
ได้ยินมาว่าคนเขียนงานยุ่งแต่ก็ยังอยากแต่ง ผมขอชมเชยจริงๆ คุณต้องภูมใจกับมันแน่
รอต่อไป!
-
แต่งเก่งมากเลยค่ะ ทั้งสนุกและมีสาระ o13
ฉากหวานๆ อ่านแล้วยิ้มไม่หุบ
รอต่อไป
-
หวานกันจังเลยยน่ะค่ะ
-
ตอนใหม่นี่น่าร้ากกก
เข้ามารอจ้า
-
ขออนุญาติเม้นอีกสักรอบนะ แวะเข้ามาดูถี่มาก แต่ยังไม่เห็นตอนใหม่ เลย
จะบอกว่าชอบตัวละครเรื่องนี้มาก อยากให้ 2 คนได้รักกันในตอนจบอ่ะ สิ่งที่กลัวสุดตอนนี้คือกลัวใจคนเขียน
มาต่อเร็วๆนะครับ ผมคนนึงที่รออยู่
-
และแล้ว 1000 ผ่านไป ก็ยังรอ
-
ปูเสื่อนั่งรอ^^
-
คิดถึงหมอปีย์
-
พึ่งอ่านทันครับ โคตรติดงอมแงม อ่ะ
แร้วมะไหร่จามาต่ออ้า รอจน นมยานถึ่งเข่าแย้ว
มานะ มานะ มานะ คร้าบบบบ อยากอ่านต่อ
-
โอยยย
ไม่ไหวแล้วครับ
อ่านเรื่องนี้ทีไร
หิวทุกที
-
รอจ้า^^
-
ที่หายไปนาน หรือว่า จะเขียนให้จบ แล้ว ค่อย มาลงทีเดียว หลายๆ เลย เฮ้ย! งั่นก็โคตรจะเจ๋งเลยเว้ย
รอน้านนานครับ (แต่ยังรอ)
-
คิดถึงเจ้าบื้อกะหมอปีย์ ^ ^
-
อ่านจบแล้วค่ะะะ สนุกมากเลย อิอิ
ชอบหมอปีย์มากเลยอะะ เท่ห์ ปน ขี้อายเหมือนคนสมัยก่อนเลย ฮ่าๆ
อัช ก็น่ารัก ติดห้าวไปหน่อยน้าา แต่ให้อภัยค่ะ ๆ ๆ
มาต่อไวไวนะคะ
-
น่ารักอ่ะ
-
เพิ่งได้มีโอกาสเข้ามาอ่าน
เนื้อเรื่องน่าติดตามมากเลยค่ะ
สอดแทรกเกร็ดความรู้+ข้อมูลแน่นมากๆ
ปล. ดูจากเค้าเรื่องแล้ว มีโอกาสจบแบบเศร้าสูงเลยอ่ะ :z3:
-
หัวทู้เปลี่ยนแี้ร่ะ
เข้ามารอจ้า
-
รอด้วยคนค่ะ
:mc4:
-
(http://image.ohozaa.com/i/3f5/thaipuppetry.jpg)
เรานั่งพักกันที่ร้านครู่ใหญ่ นั่งนิ่งๆมองผู้คนเดินไปเดินมา ผมรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ต่างประเทศยังไงก็ไม่รู้ เหมือนไปเที่ยวประเทศที่ยังคงรักษาประเพณีวัฒนธรรมอันสวยงามแบบนี้อย่างเหนี่ยวแน่น บรรทัดฐานทางการตลาดใช้ไม่ได้ผลสำหรับที่นี่
พวกเขาใช้เงินเป็นตัวแลกเปลี่ยนสิ่งของเพื่อให้การแลกเปลี่ยนง่ายขึ้นแทนที่จะคอยมาตัดสินว่าขาหมูน่องหนึ่งจะแลกหัวผักกาดได้กี่หัว แค่นั้น พวกเขายังไม่ได้ตกเป็นทาศของเงินตรา พวกเขายังไม่ได้ขายวิญญาณให้เงินตราอย่างสมัยผม
ที่แห่งนี้ผู้คนยังคงใช้บรรทัดฐานทางสังคมในการตัดสินใจคน พวกเขายังคงยินดีไม่คิดเงินหากเห็นว่าคุณไม่มีเงิน พวกเขายินดีลด แลก แจกแถม หากเห็นว่าคุณเป็นเพื่อนบ้าน น้ำใจเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ยังคงมีอยู่
ผมยังเห็นเด็กน้อยไปยืนต่อคิวขอกินน้ำตาลเคี่ยวที่ปั้นเป็นรูปสัตว์ต่างๆโดยไม่ต้องจ่ายเงินอยู่เลย
แต่สมัยผมนั้นแบบนี้ไม่ค่อยมีให้เห็นสักเท่าไหร่แล้ว เราตัดสินคนดีคนเลวกันด้วยจำนวนของธนาบัตร ทรัพย์สิน และนามสกุล กันเสียมากกว่า
บางคนชนคนตายเกือบโหล แต่กลับรอดได้อย่างไม่น่าแปลกใจ
ในขณะที่บางคนโดนจับขังคุกข้อหาค้ายา เพียงเพราะมีคนแอบอ้างบัตรประชาชนของเธอ เธอทักท้วงว่าเธอไม่ได้ทำ ขอให้ตรวจสอบและสอบสวนให้ดี แต่ก็ไม่เป็นผล พวกเขาไม่ทำ ไม่สนใจ กลับจับเธอโยนเข้าคุก เพราะอะไร พวกเรารู้ดี
เพราะฉะนั้นบรรทัดฐานที่เราใช้ในสังคมปัจจุบันนี้จึงเปลี่ยนไป เราอยากร่ำรวย มีเงินมีทองมากมาย เราอยากมีชื่อเสียงโด่งดัง เพื่อว่าเราจะได้มีที่ยืนทางสังคม
การเป็น someone ในสังคมใหญ่ที่ไม่มีใครรู้จักนั้น ยากที่จะหาที่ยืนได้อย่างมั่นคงในสังคมปัจจุบันของผม
“เฮ้อ” ผมเผลอถอนหายใจออกมาอย่างแรง จนหมอนั่นหันมามอง
“เป็นอันใดไปรึเจ้าบ้า” เขาถาม
“ปล่าว ไม่มีอะไร” ผมหันไปฝืนยิ้ม “ที่นี่ดีเน๊อะ ของกินเยอะดี”
“ร้านรวงแบบนี้มีทั่วสยามนั่นแหละ เจ้าอยู่เมืองนี้มิมีวันอดตาย”
คำพูดของหมอนั่นทำให้ผมนึกย้อนไปถึงวันที่ตัวเองออกท่องเที่ยวไปตามประเทศต่างๆ ตื่นเต้นทุกครั้งที่จะไปต่างประเทศ แค่ได้ชื่อว่าไปต่างประเทศก็ดีใจแล้ว
- บาหลี เป็นประเทศแรกที่ผมเดิ่นทางไปเที่ยว ผมตื่นเต้นมาก เพราะเป็นเมืองในฝัน ดูจากสารคดีต่างๆมาทำให้รู้สึกว่าอยากไปเที่ยว
ผมใช้เวลาอยู่ที่เกาะแห่งนั้น สามวัน สองคืน คนเดียว ในห้องพักระดับ สามดาวที่มีเสียงเพลง soundtrack น่าขนลุก รูปปั้นที่คุณต้องก้มหน้าเวลาเดินผ่าน ผมไม่สามารถจ้องตารูปปั้นเหล่านั้นได้ มันน่ากลัวจริง ๆ
รูปปั้นเหล่านี้อยู่ทุกที่ ในลิฟท์ ในห้องน้ำ ระเบียง ตามถนน ริมสะพาน หน้าบ้าน หน้าร้านสะดวกซื้อ เวลาคุณเดินไปไหน คุณจะรู้สึกเหมือนว่ามีสายตาเหล่านั้นจับจ้องอยู่ตลอดเวลา
ยังจำได้เลยว่าตอนเข้าห้องพักครั้งแรกเปิดประตูเข้าไป เจอรูปปั้นนางยักษ์ร่ายรำในท่าบิดเบี้ยว หล่อนเอียงคอมาทางประตูมองมาที่ผม ตาเบิกโพรง ปากแสยะยิ้ม คล้ายกับกำลังจะบอกผมว่า
“ไอ้เหี้ย เข้ามาทำไมไม่ถอดรองเท้าวะ สัส” ประมาณนั้น ผมผงะ ตกใจใจเยี่ยวแทบเล็ด
“ห่าเอ้ย เอาอะไรคิดวะ เอารูปปั้นนางยักษ์มารับแขกเนี๊ยะ” ผมคิด พลางนึกถึงรูปปั้นนางอัปสรที่ยืนสวัสดีอย่างอ่อนช้อยที่สยามบ้านเราแล้ว ผมรักนางขึ้นมาทันที
ก่อนเข้าไปในห้อง ผมไหว้นางยักษ์อารมณ์เสียนั้นเสียครั้งหนึ่ง
“ sorry นะยู ไอ ขอมานอนสักคืนสองคืนนะ อย่ามาหลอกมาหลอน มาอำ มาทับไอเลยนะยูนะ ” ผมไหว้ขอย่างหวดกลัว แล้วก็เหวี่ยงเอาผ้าเช็ดตัวคลุมชะนียักษ์นางนั้นไว้ ไม่อยากคิดว่าคืนใดคืนหนึ่งหล่อนเกิดนึกอยากจะหันหน้าเอียงคอมามองผมอีกฝั่งจะเป็นยังไง
สัตว์ประจำชาติอีกอย่างที่พบได้ทั่วไปสำหรับเกาะบาหลีนี้คือ ตุ๊กแก ไม่ว่าจะไปที่ไหน จะมีตุ๊กแกรูปปั้นแปะอยู่ราวกับเป็นกระต่าย นกแก้ว นกขุนทองสัตว์เลี้ยงแสนรักประมาณนั้น แล้วรูปปั้นนั้นก็ช่างเหมือนจริงเสียกระไร ผมร้องลั่นห้องน้ำ เมื่ดเปิดประตูและหันมาปิด แล้วพบว่ามีตุ๊กแกตัวลายพร้อยขนาดเท่าแขนเกาะนิ่งตาแดงแปร๊ดอยู่ที่ประตู อารามตกใจ เข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง ห่า รูปปั้น
“ช่างเป็นเมืองที่มีจุดยืนอะไรเช่นนี้”
รูปปั้นของที่นี่ส่วนใหญ่จะทำออกมาในลักษณะน่าเกรงขาม อยู่ในท่าทางที่ดูเหมือนเคลื่อนไหวแบบตกใจอยู่ตลอดเวลา ส่วนหนึ่งคงนำเค้าโครงมาจากคนที่นี่จริงๆ เพราะรูปปั้นกับคนที่นี่หน้าต่าก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่
แต่ไม่ใช่เมืองนี้จะไม่มีอะไรดีเอาเสียเลย ส่วนดีก็มีมาก อย่างเช่นเป็นเมืองที่มีอารยธรรมและมีวัฒนธรรมที่ค่อนข้างจะเหนียวแน่น ภูเก็ตน่าจะดูเป็นตัวอย่างในส่วนนี้ การแต่งกายของคนที่นี่ บ้านเรือน ประเพณี ต่างๆยังเป็นพื้นเมืองอยู่ ทุกเช้า ทุกร้านค้า บ้านเรือน หรือแม้แต่โรงแรมจะเอาห่อใบตองที่มีอาหาร ขนม ดอกไม้ มาวางไว้หน้าบ้านเสมอเต็มไปหมด ผมถามเขาว่า
“ยูเอามาวางกันไว้ทำไม”
เขาตอบผมว่าไงรู้ป่าว
“เอามาให้ผีเร่ร่อน ผีบ้านผีเรือนกิน”
เชี่ยเอ้ย นี่บ้านเมืองนี้นี่ผีเยอะขขนาดนี้แล้วกูจะอยู่ได้ยังไง คนที่กลัวผีแนะนำให้พาเพื่อนไปด้วยหากจะไปที่นี่ 555
อ้อ และข้อดีอีกอย่างของที่นี่คือยังเป็นสวรค์ของนักโต้คลื่น และพวกกีฬาเอ็กซ์ตรีมต่างๆด้วย /พวกฝรั่งชอบมานอนอาบแดด เล่นกระดานโต้คลื่นกัน พวกเขาดูตื่นเต้นมาก
แต่คงไม่เหมาะกับผมแหละ อย่างผมโล้กระดานเก็บหอยหลอดตามขี้เลนนี่ก็บุญแล้ว
- เกาหลี เป็นประเทศที่ใครต่อใครใฝ่ฝันอยากไปเยี่ยมสักครั้ง ส่วนหนึ่งอาจได้รับอิทธิพลมาจากหนัง ละคร และสื่อซะส่วนใหญ่ ผมเองที่ได้ไปเพราะงานเสียมากกว่า ยอมรับว่าเป็นเมืองที่น่าอยู่ แต่ให้อยู่เลย ไม่เอา
อย่างที่บอกว่าเกาหลีเป็นประเทศที่ประสบภาวะสงครามมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พวกเขาดิ้นรนปากกัดตีนถีบเพื่ออยู่รอด จึงไม่มีเวลามาคิดถึงการสั่งสมวัฒนธรรม ประเทศนี้จึงคล้ายกับไม่มีวัฒนธรรมเป็นของตัวเอง ส่วนใหญ่แล้ว พวกเขาเพิ่งมาสร้างเอาทีหลัง และขี้ตู่เอาว่ามันมีมานานแล้ว
ผู้คนของที่นี่ที่ผมเจอจะแยกเป็นสองส่วน คือพวกผู้ใหญ่คนแก่ และพวกวัยรุ่นเด็ก พวกผู้ใหญ่จะเป็นรุ่นที่ผ่านอะไรมามากมาย ความอดยากแร้นแค้น การต่อสู้เอาตัวรอด พวกนี้จึงไม่มีเวลาเรียนรู้เรื่องมารยาท ความมีน้ำใจ และสิ่งที่เรียกว่า สากลเท่าไหร่ มันไม่ใช่ความผิดพวกเขาหรอก พวกเขาไม่เหมือนคนไทยที่โชคดีไม่เคยเจอสงครามร้ายแรงแบบนั้น เราจึงมีเวลามาคิดประดิษฐ์ประดอยแกะสลักอาหาร ทำอาหาร ท่าทางร่ายรำ การไหว้ การเดิน การเข้าหาผู้ใหญ่ การจักสานเย็บปักถักร้อย สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นหากบ้านเมืองสงบ
แต่พวกเขาไม่มีเวลาทำอะไรแบบนี้ แค่จะดิ้นรนให้อยู่ได้ก็ยากแล้ว ดูง่ายๆจากวิถีการกินอาหารของพวกเขา มันมีอะไรมากไปกว่าการปิ้ง ย่าง และเอาทุกอย่างรวมกันแล้วก็คลุกมั๊ย สิ่งเหล่านี้บอกอะไรเราได้หลายๆอย่างถึงความเป็นอยู่พวกเขาในอดีต
แล้วมาดูอาหารไทย กว่าจะได้กินแต่ละอย่าง ต้องขูด ล้าง ตำ คั้น แกะ ปรุงแล้วปรุงอีก จัด วาง ทุกอย่างปราณีตและดูมีที่มาที่ไปอีกแบบจากข้างบนใช่มั๊ย
นั่นหล่ะครับที่เราเรียกว่าการสั่งสมทางวัฒนธรรม
เวลาผมเจอผู้ใหญ่เหล่านี้ทำกริยาไม่ดีใส่ ผมจะเข้าใจพวกเขา ว่าเหตุใดเขาถึง
ใช้ปากกาเขวี้ยงหัวเราเพื่อให้เราหันมาหาเขา
ใช้ชักโครกโดนไม่กด หรือแม้กระทั่งขึ้นไปฉี่บนอ่างล้างหน้าบนเครื่องบิน
ส่งเสียงดังด่าทอ ตบตีกันโดยที่ไม่มีเหตุผล พูดจาไม่เข้าหูจู่ๆเจ๊แกก็ตบหน้าได้โดยที่เราไม่รู้ว่าเราทำอะไรผิด
ผมเคยโดนป้าอันยองแก่ๆเอาไม้กวาดไล่ตีออกมาจากร้าน เพียงเพราะแกพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ (แล้วกูผิดตรงไหนเหรอ อีป้า กูถามหน่อย)
หรือแอร์สาวถูกพวกผู้ชายจับขึงเป็นตัวประกัน และปล่อยให้พวกป้าแก่ๆรุมตบตี เพียงเพราะเครื่องบินเสีย บินไม่ได้
แล้วยังมีอีกมากมายที่เราเรียกว่า อาการ “ถ่อย” หากคนที่ไม่เข้าใจความเป็นมาของพวกเขา เราจะว่าเขา และโกรธเขา เพื่อนผมบางคนคลั่งเกาหลีจนเรียกว่ารู้ทุกอย่างของประเทศนี้(แต่ยังไม่รู้จักคนประเทศนี้ดีพอ) ลงทุนไปกู้เงินมาซื้อตั๋วเครื่องบินไปเกาหลีเพื่อจะไปดูร้านกาแฟค๊อฟฟี่ปริ๊นซ์ นางไปเกาหลีกับทัวร์เป็นเวลา 4 วัน 5 คืน
ผมก็ไม่รู้ว่านางเจออะไรมาบ้าง แต่พอนางกลับมา นางเลิกพูดถึงคำว่าเกาหลี และขายหนังเกาหลีทุกเรื่องที่ซื้อของแท้มาผ่านทางเวปออนไลน์หมดเกลี้ยงทันที 555
แต่หากคนที่เข้าใจวัฒนธรรมและความเป็นมาก็จะสงสารเขา และจะรู้ว่า จริงๆ พวกนี้ไม่มีอะไรเลย ออกจะใจดีเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่พวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำกันอยู่นั้น คนทั่วไปเขาไม่ทำกัน
ส่วนของวัยรุ่นเป็นวัยที่เรียกได้ว่าพลิกกลับหน้ามือเป็นหลังมือ ความเปลี่ยนแปลงและแตกต่างเกิดขึ้นชัดเจนมากระหว่างสองรุ่นนี้ หากพวกผู้ใหญ่เป็นพวกอนุรักษ์นิยม กลุ่มเด็กพวกนี้ก็จะเป็นพวกเสพวัตถุนิยมอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาใส่ใจอยู่กับความสวยความงาม เทคโนโลยี เงิน และชื่อเสียง
เราสามารถเห็นเด็กวัยรุ่นใส่หูฟังนั่งเล่น I Pad ข้างๆหญิงชราแต่งตัวคล้ายโอชิน แบกเศษฟืน และไม้ขึ้นรถไฟได้อย่างชินตา
แต่ผมกับนับถือประเทศนี้มากตรงที่เขาพัฒนาอย่างก้าวกระโดด จากประเทศที่ไม่มีใครรู้จัก ตอนนี้ กลับกลายเป็นประเทศที่ดูดเงินเข้าประเทศมากที่สุดโดยอาศัยสื่อบันเทิง (อย่างอื่นไม่มีไง แหะๆ)
ผมไปมาเลเซีย กระแสเกาหลีก็แรง
ไปอินโด ยิ่งแรงไปใหญ่
ไปลาว นี่ไม่น่าเชื่อว่าสาวลาวจะคลั่งใคล้ ซุปเปอร์จูเนียร์กันอย่างหนัก
น่านับถือใช่มั๊ยหล่ะที่เขามาได้ถึงขนาดนี้
- สิงคโปร์ เกาะเล็กๆที่ไม่เล็กตามเกาะ ประเทศที่มั่งคั่ง เป็นระเบียบเรียบร้อย ขนาดปลูกต้นไม้ริมถนน เขายังแปลนก่อนปลูกเลยครับ เราจึงเห็นต้นไม้สองข้างทางเรียงรายร่มรื่นเป็นระเบียบ ผิดกับบ้านใครก็ไม่รู้ ปลูก แล้วตัด และปลูกแล้วตัดอยู่นั่นแหละ ถนนก็เดี๋ยวทุบ เดี๋ยวสร้างวนไปวนมา
ผมไปเที่ยวสิงคโปร์ แล้วก็ยอมรับว่าชอบครับ ถึงค่าครองชีพจะแพงไปบ้าง เช่นน้ำขวดเจ็ดบาทบ้านเราที่นู่นขาย สามสิบ ข้าวมันไก่จานละสองร้อยกว่าบาทไรงี้ แต่ก็รับได้เพราะอร่อย 555 นอกเหนือจากความเป็นระเบียบอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะทำได้ เพราะเขามีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติมาอยู่ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม แต่ไม่มีปัญหาอะไรกันเลย
ที่นี่ยังเปิดกว้างสำหรับทุกชาติด้วย ค่อนข้างจะปลอดภัยสำหรับคนที่จะไปเที่ยว ขนาดคนขับแท๊กซี่ของเขาที่นู่นมารยาทยังกับพนักงานโรงแรมห้าดาว หันกลับมามองแท๊กซี่บ้านเราแล้วต้องถอนหายใจจนขนจมุกปลิว
ยังมีอีกหลายประเทศที่ผมได้มีโอกาศได้ไปเปิดประสบการณ์
- ประเทศอียิปต์ ที่ขึ้นชื่อว่าขี้โกงและไม่น่าคบที่สุด โกงขนาดไหน ขนาดที่ว่า ผมจะขึ้นขี่อูฐมัน มันคิดเงิน พอผมจะลงเสือกมาคิดเงินค่าลงกูอีก เรื่องอะไรกูจะให้ มึงไม่ให้กูลงกูก็ไม่ง้อ กระโดดลงก็ได้ว่ะ 555
คนที่นั่นจะเห็นชาวต่างชาติไม่ได้เห็นเป็นขอเงินหมด คนทำความสะอาดห้องน้ำในสนามบิน ทำความสะอาดอยู่ดีๆ พอกูเข้าไปเยี่ยว เยี่ยวเสร็จเดินมาของเงินเสียอย่างนั้น
หรือขนาดที่ผมนอนหลับบนเครื่องบิน มือกอดกระเป๋าเงินดอลล่าห์อยู่ จู่ๆตื่นมาก็เห็นคนอียิปต์โพกหัว กำลังยืนอยู่ที่เก้าอี้ผม มือนั้นกำลังดึงกระเป๋าเงินผมออกไปอย่างหน้าด้านที่สุดในสามโลก ผมลืมตาขึ้นและถามว่า
“ทำเชี่ยอะไรของมึง” มันตอบว่าอะไรรู้มั๊ย
“ไอนึกว่ากระเป๋าตังส์ไอ เห็นมันเหมือนกันน่ะ แหะๆ” เชี่ยเน๊อะ
แต่มีเลวก็ต้องมีดี คนดีๆก็มี ของดีๆก็มีเพียงแต่ผมซวยดันไปเจอคนแบบนี้ซะส่วนใหญ่
- ไนจีเรีย ประเทศขี้โม้ ชอบหาว่าประเทศไทยยังขี้ช้างขี่ควายอยู่
“นี่ๆ ยูดูสิ บ้านไอมีรถไถคูโบต้าด้วยนะ บ้านยูมีรึป่าว” ผมหัวเราะจนขี้เกือบเล็ด
แต่ชาวบ้านทั่วไปก็ถือว่าน่ารักดี เพียงแต่เป็นที่รู้ๆกันว่าเราจะไม่ไปไหนคนเดียว หรือจะไม่ออกไปไหนกลางคืนในประเทศนี้
- ศรีลังกา ประเทศที่ผู้คนน่ารัก นิสัยดี คล้ายคนไทย แต่ก็มีส่วนแขกมาเยอะเหมือนกัน ใครคิดว่าประเทศนี้ไม่มีเกย์ ผมเจอมาแล้วครับบนเครื่องบิน ทหารทั้งลำ นั่งกันเป็นคู่ๆ นั่งเขี่ยนิ้วกัน ดึงหนวดกัน จูบปากกัน น่ารักน่าชัง ลองนึกถึงทหารแบบพวกพยัคทมิฬแล้วจินตนาการตามที่ผมเล่าดู แล้วคุณจะรู้ว่ารักไม่มีพรมแดนจริงๆ
ยังมีมากมายหลายประเทศที่ผมได้ไปสัมผัส ตอนผมอยู่เมืองไทย กรุงเทพฯ เจอปัญหารถติด น้ำท่วม ของแฟง ร้อนผมก็ด่าหมด
แต่ถึงผมจะบ่นด่าประเทศตัวเองสักแค่ไหน สุดท้ายผมก็รักประเทศนี้มากที่สุดนั่นแหละ เพราะไม่มีที่ไหนดีเหมือนบ้านเราแล้ว จริงๆ
หากใครอยู่ไกลบ้านจะรู้ดี
ผมหิวเมื่อไหร่ผมไม่ต้องกลัวอดตาย ทุกที่มีของกิน จะข้างทางจะซอยเล็ก แคบ มืด เปลี่ยวแค่ไหน อย่างน้อยที่สุด ก็มีชายสี่หมี่เกี้ยวกิน จะสองทุ่ม เที่ยง คืน ตีสาม หัวรุ่ง คุณหิวเมื่อไหร่ แค่เดินออกมาจากบ้าน คุณก็มีของกินแล้ว แต่ที่อื่นมันไม่มีแบบนี้
ที่ออสเตรเลีย สองทุ่มร้านต่างๆจะปิด คุณหมดโอกาศหิวตอนกลางดึกนะจะบอกให้ นอกจากเข้าไปร้านซุปเปอร์ไปหาของที่โคตรแพงกิน หมี่ไก่มะระชามละ 20 บาทก็ไม่มี
ที่บาหลี หากเราอยากกินชามะนาวสักแก้ว แก้วละสิบห้าบาท ไม่มีนะครับต้องไปกินที่ร้านหรือในร้านสะดวกซื้อซึ่งก็แพงจนกินไม่ลง
นี่แหละครับผมถึงนั่งนึกว่า วัฒนธรรมแบบนี้ใช่ว่าจะสร้างกันได้ง่ายๆ มันเกิดมาเป็นร้อยๆปี ร้านข้างถนนไม่ใช่จะมีทุกที่ในโลก และไม่ใช่ทุกที่จะทำได้แบบประเทศไทย ถึงมันจะรก เกะกะไปบ้างบางครั้ง แต่มันคือเสน่ห์ และหากคุณไปตกระกำลำบากที่ต่างแดน คุณจะคิดถึงร้านริมถนนแบบนี้จับใจเลยละครับ
“เป็นอะไรไป เงียบไปเลยเจ้าบ้า” หมอนั่นถาม ผมสะดุ้งตื่นจากห้วงความคิด ซึ่งตอนนี้ไปไกลถึงอเมริกา
“อ๋อ ชั้นแค่ คิดถึงบ้านน่ะ” ผมตอบ
“บ้านเมืองเจ้ามีงานแบบนี้รึ”
“มีสิ ทำไมจะไม่มี”
“เล่าให้เราฟังบ้างสิ”
“เฮ้อ เล่าไปนายก็ไม่เชื่อชั้น ขี้เกียจเล่าให้เปลืองน้ำลาย”
“อ้าว.....................”
หมอปีย์ทำท่าจะพูดอะไรต่อ ก็พอดีที่สนวิ่งกระหืดกระหอบกลับมา
“อ้าว อ้ายสน เป็นเยี่ยงไรรึ” หมอปีย์ถาม
“ขอรับ กระผมไปส่งคำแก้วถึงเรือนแล้วขอรับ แล้วก็รีบกลับมานี่แหละขอรับ ว่าแต่ คุณหลวงมาทำกระไรที่นี่หรือขอรับ” มันหันไปที่แม่ของมันซึ่งตอนนี้หน้าเหวอ
“อ๋อ เรามาช่วยแม่เจ้า ขายขนมน่ะ” หมอปีย์ยิ้ม
“เอ็งว่าเจ้าหนุ่มนี่เป็นใครรึ อ้ายสน” หญิงแก่ละล่ำละลักถามมือไม้สั่น
“ก็คุณหลวงพินิจไงแม่ ที่อยู่เรือนหมอจรัสที่ชั้นไปทำงานอยู่ไงเล่า”
สิ้นเสียงสนพูด แม่ของมันก็ล้มตึงลงบนแคร่เอามือลูบอก
“พิโธ่ พิถัง อีบวบเอ้ย มีตาหามีแววไม่ อภัยให้อีชั้นเถิดนะเจ้าคะ คุณหลวง อีชั้นมันแก่หูตาฟ่าฟาง ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง.............” แกพูดร่ายยาว
ผมยืนหัวเราะแกจนท้องแข็ง ส่วนหมอปีย์นั้นได้แต่ปลอบใจแกว่าอย่าคิดมาก อย่าคิดมาก
-
“เจ้าบ้า เจ้าไปเป็นเพื่อนคุณหลวงเถิด ข้าจักอยู่ดูที่นี่เอง” สนพูด
“ไม่เอาเว้ย เรื่องอะไร ให้มันไปของมันคนเดียวสิ ชั้นจะอยู่กับนายที่นี่แหละ” ผมเหลือบตาไปมองหมอปีย์ที่กำลังนั่งลงปลอบแม่ของสนอยู่
“ไม่ได้นะเว้ย เอ็งจะปล่อยให้คุณหลวงเดินเตร็ดแตร่คนเดียวไม่ได้นะเว้ย” เสียงของสนเข้มขึ้นมาทันทีอย่างน่าตกใจ
“ทำไมหล่ะ ทำไมจะไม่ได้” ผมถาม
“ก็..................”
“พวกเจ้าสองคนน่ะคุยอันใดกันรึ” หมอปีย์แทรกขึ้นมา
“อ๋อ เปล่าขอรับคุณหลวง เจ้าบ้ามันบอกว่ามันอยากจะชวนคุณหลวงไปดูหุ่นละครที่โรงกระนู้นน่ะขอรับ แต่มันไม่กล้า”
ผมหันขวับไปมองหน้าสนตาเขียวปั๊ด
“กูพูดเมื่อไหร่วะ” ผมกัดฟันพูด ก่อนจะหันกลับมาแสยะยิ้มกับหมอปีย์
“กระนั้นรึ เอาสิ เราก็อยากดูอยู่เหมือนกัน เหนเขาว่าน่าดูอยู่ใช่น้อย” หมอปีย์ยิ้มก่อนจะลุกขึ้นปัดกางเกง
ผมหันไปด่าไอ้สนอีกรอบ ก่อนจะเดินตามหมอนั่นไป
เวลาล่วงเลยมาเกือบจะสี่ทุ่มเห็นจะได้ ผมรู้สึกหนาวยังไงบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะเริ่มเข้าสู่หน้าหนาวแล้วด้วย สายลมที่พัดมาเอื่อยๆนั้นหอบอุ้มเอาไอเย็นลูบไล้ไปตามผิวเนื้อที่ปราศจากอาภรณ์ห่อหุ่ม
“บรื๋อ” ผมตัวสั่น
“หนาวรึเจ้าบ้า” หมอปีย์ถาม
“อืม นี่มันจะหน้าหนาวแล้วเหรอ”
“ใช่ ช่วงเพลานี้แหละที่เขาเรียกปลายฝนต้นหนาว เจ้ามิได้เอาผ้าห่ม ผ้าคลุมมาด้วย เหตุนี้จึงได้หนาว” หมอปีย์หันซ้ายหันขวา
“ตามเรามานี่เถิด” เขาว่าก่อนจะเดินลอดหลังคาหญ้าแฝกของร้านขายน้ำตาลสดไปด้านหลัง
“เลือกเอาสิ” หมอนั่นพาผมมาหยุดอยู่ที่ร้านขายผ้าของป้าจากทางเหนือ
“จะรับอันหยังดีก่อเจ้า ผ้าห่มป้อจายก็มีนะเจ้า งามปะล้ำปะเหลือ” หล่อนรีบหยิบผ้าฝ้ายที่ทอเองผืนหนึ่งขึ้นมาโชว์ ผมหันไปมองหน้าหมอปีย์ เขาพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้ผมลองรับมาแล้วห่มดู
“เป็นยังไง อุ่นดีมั๊ย” มันถาม
“อื้ม จะซื้อให้ชั้นเหรอ”
“เอาสิ หากเจ้าชอบ”
ผมยิ้มถูกใจได้ของฟรี พลางหันไปบอกว่าเอาผืนนี้แหละ คนขายจะห่อกระดาษสาสีสวยให้แต่ผมไม่เอา เพราะจะใช้เลย
“ขอบใจนายมากนะ อุตส่าห์ซื้อให้ชั้น” ผมพูด
“ไม่ต้องขอบใจเราดอก เราเสียอีกที่ต้องขอบใจเจ้า”
“เรื่องอะไรเหรอ”
“ก็เรื่องที่เจ้าออกมาเปนเพื่อนเรานิ” เขายิ้ม
ผมทำหน้าประหลาดใจ
“ทำไมอ่ะ ปกตินายไม่ออกมาเที่ยวแบบนี้เหรอ”
เขาส่ายหน้า
“เราทำตามอำเภอใจแบบนี้ได้ไม่บ่อยนักดอก เรามีภาระต้องทำมากโข อีกอย่างเราเป็นถึงคุณหลวง บ่าวไพร่ที่ไหนจักมาคิดว่าเราเป็นมิตรสหาย จักชวนเรามาทำอะไรแบบนี้”
ผมนึกถึงสิ่งที่มันพูด ก็อดสงสารมันไม่ได้ คนสมัยก่อนอายุเท่าผม เขาคงรับผิดชอบอะไรกันมากมายแล้ว ไม่สำมะเลเทเมาแบบนี้
“ก็ไม่เป็นไรนี่ นี่มากับชั้นรับรอง นายได้สนุกแน่ เดี๋ยวชั้นพาเที่ยวเอง ดีป่าว” ผมยิ้ม
หมอปีย์พยักหน้า ก่อนจะจับผ้าคลุมแล้วดึงขึ้นมาพันคอให้ผม
เราทั้งคู่เดินผ่านฝูงชนที่ต่างพากันออกมาเที่ยวงาน บางครั้งที่เราเดินผ่านพวกบรรดาสาวชาวบ้าน พวกนั้นก็จะยิ้มเอียงอายและพากันซุบซิบๆ ผมก็ได้แต่หันไปยิ้มแบบอายๆให้เท่านั้น ร้านรวงที่นี่มีของแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน น่าเสียดายที่ยุคสมัยผมหาของพวกนี้ได้ยากเสียแล้ว
อย่างเช่นร้านลูกข่าง ผมไม่เห็นมันอีกแล้วในกรุงเทพฯ เด็กสมัยผมเขาไม่เล่นอะไรแบบนี้กันแล้ว ตอนผมยังเป็นเด็กยังจำได้เลย ไม่ว่าจะเป็น อีมอญซ่อนผ้า ตี่จับ กระโดดยาง โยนหลุม ซ่อนหา งูกินหาง หรือเล่นเป็นรั้ว แล้วมีวัวแล้วก็ไล่จับวัวอ่ะ ผมจำชื่อไม่ได้ ตอนอยู่โรงเรียน ทุกบ่ายครูมักจะพาเราออกมาเล่นแบบนี้เสมอ และมันก็เป็นอะไรที่ผมรอคอยให้ถึงเวลานั้น แต่เดี๋ยวนี้การละเล่นแบบนั้นคงหายไปหมดแล้วละมั้ง
แต่ตอนนี้ ปัจจุบันของอดีตนี้ เด็กเหล่านี้ยังเล่นอยู่ พวกเขาวิ่งไปวิ่งมาตะโกนโหวกเหวก บางครั้งก็โดนพวกผู้ใหญ่เอ็ดเอาบ้าง แต่สำหรับผม ผมก็ว่า น่ารักดี
“นี่นาย ชั้นขอแวะร้านนี้หน่อยได้มั๊ย” ผมดึงเสื้อหมอปีย์ เขาหยุดและหันมามอง
“เจ้าต้องการสิ่งใดที่ร้านของเล่นนั้นรึ”
“ชั้นเอ่อ ชั้นอยากได้ของเล่นไปฝากเจ้าแดงมันน่ะ แต่เอ่อ ชั้นไม่มีอัฐติดตัวเลย”
“อ๋อ เอาสิ ไม่เป็นไรดอก เราเข้าไปดูกันเถิด” แล้วมันก็เดินนำหน้าผมเข้าไป
ร้านขายของเล่นร้านเดิม แต่เหมือนอาเจ็กเจ้าของร้านจะเอาของมาขายมากขึ้น ผมเดินเข้าไปในร้าน มองหาของเล่นไปฝากเจ้าแดงมันสักชิ้น เพราะหลายวันมาแล้วที่ไม่ได้ไปหามัน
และแล้วผมก็ได้ลูกข่างสีสดอันหนึ่งไปฝากมัน ใจจริง ผมอยากได้ช้างตัวที่ทำมาจากไม้มีล้อตัวนั้นไปฝากมันมากกว่า เพราะแดงมันบ่นอยากได้ช้างมาตั้งนานแล้ว แต่พอถามราคาแล้ว ผมก็เกรงใจหมอปีย์ ก็เลยหยิบเอาลูกข่างมาแทน
“ดูท่าเจ้าจะเอ็นดู เจ้าแดงมันมากโขนะ” หมอปีย์ยิ้ม
“อืม เห็นแดงก็เหมือนเห็นชั้นตอนเด็ก” ผมตอบอย่างเลื่อนลอย “ถึงชั้นจะมีพ่อมีแม่ แต่ก็เหมือนไม่มี”
“ทำไมรึ”
“ก็พวกเขาต้องทำงานไง แล้วก็มักทิ้งชั้นไว้กับพี่เลี้ยง ที่ไม่เคยสนใจอะไรเลยนอกจากละครทีวี ชั้นไม่มีเพื่อนเหมือนแดงมันนี่แหละ สกปรกมอมแมมก็แบบนี้แหละ เฮ้อ ไม่รู้สิ ใครว่าการเป็นเด็กเป็นเรื่องง่าย ชั้นว่ามันไม่ง่ายเลย” ผมส่ายหัว
“ทำไมเจ้าถึงคิดเช่นนั้นหล่ะ” หมอปีย์ถาม
“แล้วนายว่านายเข้าใจเด็กมากแค่ไหนหล่ะ”
เขาส่ายหน้า
“ถ้านายไปเจอเด็กชายคนหนึ่งกำลังฟาดเด็กผู้ชายอีกคนหนึ่งด้วยกระบองของเล่น นายคิดว่าเด็กคนนั้นเป็นยังไง”
“ก็ อาจก้าวร้าว หรือ รุนแรง” เขาตอบ
“แล้วนายจะทำยังไงกับเด็กคนนั้น”
“เราก็จักต้องทำโทษให้รู้ว่าสิ่งที่ทำมันผิด” หมอปีย์ตอบ
“โดยที่ไม่ถามเขาก่อนเลยเหรอว่าเขาโดนเด็กอีกคนแกล้งยังไงบ้าง เขาอาจโดนเด็กคนนั้นต่อย และเอากระบองนั้นตีเขาก่อนก็ได้” ผมใส่ไม่ยั้ง
“โอย เราไม่รู้ดอก เรามิใช่หมอเด็ก”
“เห็นมั๊ยหล่ะ เฮ้อ”
“เจ้าพูดเหมือนเจ้าคือเด็กคนนั้น”
“ปล่าว ไม่มีอะไรหรอก ไปกันเถอะ” ผมตัดบท
โรงหุ่นละคอนอยู่เลยออกไปจากบริเวณที่จัดงานพอสมควร ระหว่างทางเดินที่เราจะไปโรงละคอนนั้นก็มีมหรสพและการแสดงมากมายทั้งระบำมงครุ่ม ไต่ลวด ลอดบ่วง นอนลงบนหอกบนดาบโดยแขกโพกหัว มีมวยน้ำที่เรียกเสียงหัวเราะจากชาวบ้านที่มุงดูได้มากโข
อีกทั้งยังมีการร้องเพลงปรบไก่ที่เหล่าผู้ร้องจะยืนล้อมกันเป็นวงกลมแล้วร้องตอบโต้กันอย่างสนุกสนาน
ผมตื่นตาตื่นใจไปหมดกับสิ่งเหล่านี้ นึกอยากจะชวนเพื่อนชาวออสซี่มาย้อนอดีตเสียด้วยกัน พวกมันคงทึ่งน่าดู
“นี่ไงโรงละคอนหุ่น” และแล้วในที่สุดเราทั้งคู่ก็เดินมาถึงโรงละครที่จัดขึ้นอย่างสวยงาม ตกแต่งด้วยภาพวาดอันวิจิตร ลายบนภาพวาดที่แสดงเป็นฉากหลังนั้นวาดเป็นมหาสมุทร มีเรือสำเภา มีสัตว์ทะเลหน้าตามหัศจรรย์มากมาย ดูแล้วน่าตื่นตาตื่นใจ
“เราว่าพวกเขาจักแสดงเรื่องพระอภัยมณีเป็นแน่” หมอปีย์พูด
และก็จริงอย่างที่หมอปีย์พูด สักพักใหญ่เสียงปี่พาทย์ก็ดังขึ้นก่อนที่หุ่นกระบอกที่ถูกตกแต่งด้วยผ้าแพรและอัญมณีสวยงามต้องแสงไฟระยิบระยับจะปรากฏขึ้น ผมยืนแน่นิ่งราวกับต้องมนต์สะกด หุ่นกระบอกเหล่านั้นเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต ท่วงท่าลีลา สามารถตรึงควมรู้สึกของผมไว้ที่หุ่นตัวนั้นได้โดยไม่คิดถึงคนที่เชิดอยู่เบื้องล่างเลย มันเหมือนกับมันเคลื่อนไหวด้วยตัวของมันเอง
หุ่นสุดสาครที่ทำเป็นเด็กผมจุดที่ผมนั้นมีกำไลสีทองประดับอยู่ หุ่นนั้นไม่ใส่เสื้อ มีเพียงสังวาลย์ที่แม้แต่จะเป็นเพียงสร้อยเล็กๆ แต่ความปราณีตนั้นก็ไม่ได้น้อยลงไปไม่ อีกทั้งจูงกระเบนที่สุดสาครใส่ก็ถูกเย็บขึ้นจากผ้าไหมทอมือสีทองอร่าม
ม้านิลมังกรที่สุดสาครไล่จับอยู่นั้นก็ตกแต่งด้วยอัญมณีสีดำขลับนั้นดูทรงพลัง คนเชิดม้านิลมังกรก็เหมือนจะรู้จักม้าตัวนี้ดี การเยื้องย่าง การกระโดด การโขกหัว ทุกอย่างเหมือนม้าพยศที่มีชีวิตจริงๆ
ผมยืนดูการแสดงนี้ตาไม่กระพริบ หมอปีย์เองก็เหมือนกัน เขาขยับเข้ามาใกล้ๆผมจนไหล่เราชนกัน
“
แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์ มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที้เลี้ยวลด ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน
มนุษย์นี้ที่รักอยู่สองสถาน บิดามารดารักมักเป็นผล
ที่พึ่งหนึ่งพึ่งได้แต่กายตน เกิดเป็นคนคิดเห็นจึงเจรจา
แม้นใครรักรักมั่งชังชังตอบ ให้รอบคอบคิดอ่านนะหลานหนา
รู้สิ่งไดไม่สู้รู้วิชา
รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี
ผมจำกลอนบทนี้ได้จึงร้องคลอไปด้วยเบาๆ ภาพของชีเปลือยที่ล่องลอยไปมาดูน่าขันนั้นก็ทำผมหัวเราะจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ มันขำไปด้วย และมันภูมิใจจนขนลุกอย่างบอกไม่ถูกไปด้วย ภูมิใจที่ว่า นี่บ้านเมืองเรามีอะไรดีๆเหล่านี้มากมายขนาดนี้เลยเหรอ ทำไมผมถึงไม่เคยรู้มาก่อน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็ต้องหยุดยิ้ม เพราะนึกถึงเด็กสมัยปัจจุบัน จะมีสักกี่คนที่จะมีโอกาศได้เห็นความสวยงามของวัฒนธรรมประเพณีแบบนี้ น่าเสียดาย น่าเสียดายที่ไม่มีใครเห็นคุณค่าและคิดที่จะฟื้นฟูมันขึ้นมาให้เด็กรุ่นหลังได้ดูกัน
“ร้องไห้ทำไมเจ้าบ้า” หมอปีย์ถาม
“เฮ้ย ป่าว ไม่ได้ร้องไห้ แค่น้ำตามันรื้อขึ้นมาเพราะความตื้นตัน” ผมตอบพลางยกมือปาดน้ำตา
“ตื้นตันเรื่องอันใดรึ”
“ก็เรื่องที่ เอ่อ” ผมพยายามนึกหาคำที่เหมาะสม “เอ่อ บ้านเมืองนายมีอะไรดีๆแบบนี้เยอะแยะนะสิ”
“แล้วบ้านเมืองเจ้ามิมีเช่นนี้ดอกรึ” เขาทำหน้าสงสัย
“ไม่มี” ผมส่ายหน้า “ของแบบนี้เราไม่ได้เห็นกันทุกวันแบบนี้หรอก นานๆครั้ง อย่างเช่นชั้นนี่ ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นละครหุ่นที่นี่เป็นที่แรก” ผมรู้สึกจุกในอกจนบอกไม่ถูก ทั้งที่ก็สยามเหมือนกัน แต่ทำไม เราถึงไม่มีแบบสมัยก่อนนี้
“สิ่งเหล่านี้หาได้เกิดขึ้นมาทันใดอย่างใจนึกไม่ มันต้องอาศัยเวลาสั่งสมกันมา บรรพบุรุษของข้าต้องใช้เวลาตั้งเท่าใด จึ่งจะสืบทอดสิ่งดีงามเหล่านี้ไว้ เราเองก็หวังใจไว้ว่าสิ่งเหล่านี้จักสืบทอดต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน” หมอปีย์เงยหน้ามองฟ้าแววตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความหวัง ผมเมินหน้าหนี ไม่อยากพูดอะไรต่อไปอีก
เสียงปี่พาทย์ดังคลอไปเรื่อยๆ สุดสาครได้พบกับพระอภัยมณี ทั้งคู่โผเข้าสวมกอดกันอย่างดีใจ ม้านิลมังกรกระโดดเหยงๆอยู่ใกล้ๆโดยมีฤาษียืนอยู่ข้างๆในมือถือไม้เท้า
ม่านค่อยๆปิดลงมา ปิดลงมา จนในที่สุดตัวละครหุ่นเชิดเหล่านั้นก็ถูกผ้าม่านสีแดงเลือดนกกลืนหายไป
คงคล้ายกับที่กาลเวลาค่อยๆกลืนสิ่งงดงามที่บรรพบุรุษเราสั่งสมมานั่นเอง
“ไปกันเถิด นี่ก็ใกล้เพลาจักลอยกระทงกันแล้ว” หมอปีย์สะกิดแขนผมเบาๆ ผมหันมายิ้มกับเขา แต่ในใจยังเศร้าอยู่ไม่หาย
ตัวเองรู้สึกผิดมากมายที่ตลอดเวลาที่ผ่านมามัวแต่ไปหลงใหล อยู่กับวัฒนธรรมของต่างชาติจนลืมนึกไปว่า เมื่อเราซึ่งเป็นคนรุ่นหลังไม่มีใครสืบทอดหรืออยากจะศึกษาเรียนรู้ วัฒนธรรมดีงามเหล่านี้ก็จะต้องหายไปในที่สุด
ผมลงทุนไปเรียนกีต้าร์โปร่งเสียเงินไปมากมาย โดยไม่เคยใส่ใจเลยว่าระนาดเอกนั้นเสียงของมันไพเราะและมีเสน่ห์มากแค่ไหน อีกทั้งขลุ่ยที่ผมได้ยินชาวบ้านแถวนี้เป่าที่ไร ผมเป็นต้องทิ้งทุกอย่างที่ทำ ก่อนจะนั่งลงฟังอย่างตั้งใจ เสียงของขลุ่ยนั้นไพเราะจับจิต ลูกเอื้อน ลูกคอช่างเหมือนกับเสียงของคนร้องเพลงเสียจริงๆ
ตอนนั้นผมเรียนกีตาร์ไม่ได้ผลก็ล้มเลิกไป ก็พอดีเห็นพวกบอยแบนด์จากตะวันตกเริ่มเข้ามา เห็นพวกเขาเต้นกัน ก็เลยอยากเรียนบ้าง ลงทุนไปเรียนเต้นอีก เสียเงินไปเหยียบหมื่น โดยที่ไม่เคยคิดจะสนใจร่ำเรียนโขน ซึ่งสวยงามและทรงพลังอีกทั้งยังน่าภาคภูมิใจ ผมลืมสิ่งที่เรียกได้ว่า “ของเรา” ไปเสียสนิท
ยัง ยังไม่พอ เมื่อเห็นว่าทั้งสองอย่างคงไปไม่รอด ผมก็ผันตัวเองไปเรียนทำอาหาร แต่แทนที่จะเลือกเรียนอาหารไทย ผมกลับไปเรียนอาหารตะวันตกเสียนี่ น่าเขกกะบาลจริงๆ ของดีๆทำไมผมถึงกลับไม่สนใจนะ
ไหนจะเรื่องแกะสลักไม้
ทำเครื่องเขิน เครื่องเงิน
ผ้าทอ
ขนมไทย
ดนตรีไทย
เพลงไทยเดิม
รำไทย
การละเล่นแบบไทย
ประเพณีแบบไทยๆ ไม่ว่าจะลอยกระทง สงกรานต์
เราลืมมันไปหมด
สิ่งพวกนี้ หากเราไม่เรียน แล้วใครมันจะเรียนหล่ะ เมื่อเราไม่เรียน ลูกหลานเราก็ไม่รู้ เมื่อพวกเขาไม่รู้ มันก็จะค่อยๆเลือนหายไปในที่สุด
ฝรั่งเหรอ อืม ก็ใช่ ฝรั่งบางคนหลงไหลอาหารไทยถึงขนาดควานหาตำราอาหารไทยโบราณจากร้านหนังสือเก่าแก่ มีเท่าไหร่ส่งไปให้เขาที่เมืองนอก เขาจ่ายไม่อั้น
ฝรั่งบางคนสั่งเครื่องแกะสลักส่งไปทางเครื่องบินเสียเงินเป็นล้านๆ
ฝรั่งหลายๆคนมาปักหลักที่เมืองไทย มาร้องเพลงลูกทุ่ง มาเปิดร้านอาหารไทยขายคนไทย มาทำขนมไทย มาเรียนรู้การปลูกข้าวทำนาแบบไทยๆ เพื่อ....................
“นาย ชั้นสัญญา ชั้นกลับไปชั้นจะทำตามที่นายบอก” จู่ๆผมก็โพร่งออกมา
“ทำอันใด” หมอปีย์ทำหน้าสงสัย
“ก็เอ่อ จะสืบทอดความเป็นไทยจากนายไง ถึงแม้จะเป็นแค่คนคนหนึ่ง แต่ชั้นก็จะทำ” น้ำเสียงผมแสดงความมุ่งมั่น
“เจ้านี่ประหลาดดีแท้ เราพูดถึงลูกหลานเรา เหตุใดเจ้าจึงจักมาเป็นลูกหลานเราเสียนี่” แล้วเขาก็หัวเราะเยาะผมเสียงดัง
“เอาเหอะน่า คอยดูแล้วกัน” ผมหมายมั่นไว้ในใจ
“เฮ้ย !!!”
“ระวัง”
ผมร้องลั่นด้วยความตกใจ เพราะจู่ๆพื้นที่ผมเดินก็กลับกลายเป็นขี้เลนจนทำให้ผมลื่น ผมหงายหลังทิ้งตัวลงอย่างแรง แต่ยังดีที่หมอปีย์คว้าผมไว้ทัน ผมตกใจหน้าซีดอ้าปากหวอ มารู้สึกตัวอีกทีนึงก็ตอนที่...........
“เจ้าบ้า เจ้าบ้า” หมอปีย์เรียกสติผม
“หา หา” ผมสะดุ้งและพบว่าตัวเองอยู่ในอ้อมกอดหมอนั่นได้ยังไง “เหมือนในหนังอีกแล้ว เหมือนในหนังเลย ไม่ไม่ นะเว้ย ไม่” แทนที่ผมจะรีบดีดตัวออกมาจากอ้อมแขนมัน ผมกลับหลับตานิ่ง และจินตนาการไปว่ามันกำลังค่อยๆก้มลงจะจูบผมเหมือนในละคร
“ไม่นะ ไม่” ผมหลับตาปี๋
“ไม่”
“ไม่”
“ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”
“เจ้าบ้า เจ้าบ้า” หมอนั่นเรียก “เป็นบ้าอันใดอีก ทำไมต้องหลับตาด้วย”
ผมลืมตาขึ้นเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นผมจึงรีบดีดตัวขึ้นมาอย่างสุดกำลัง
“นายนี่มันเจ้าเล่ห์จริงๆว่ะ คิดแต่จะลวนลามชั้นอยู่เรื่อย” ผมบ่นบ้าอะไรของผมไปเรื่อยแก้เขิน พลางเร่งฝีเท้าเดินหนีจากมัน แสงไฟจากตะเกียงและแสงเทียนสว่างไสวอยู่ภายหน้า กลิ่นน้ำจากลำคลองก็โชยมาแตะจมูก ที่นั่นคงจะเป็นที่ลอยกระทงเสียกระมัง
“อ้าว เราผิดอีกหรือนี่” หมอนั่นบ่นตามหลัง
-
ใช่เลยค่ะ
รักประเทศไทยที่ซู๊ดดด
-
ความรู้ท่วมหัวเลยค่ะตอนนี้ :call: ของไทยมีดีเยอะแต่เรามองข้ามไปจริงๆ
รอตอนต่อไปค่า
-
อ่านตอนนี้แล้วชอบมากๆเลย
-
ประทับใจตอนนี้มาก
น่าสงสารหมอ :laugh:
+1
-
ยิ่งอ่านเรื่องนี้ยิ่งรักประเทศไทย มากขึ้นมากขึ้น
ขอบคุณที่ย้ำเตือนเราว่าสิ่งสำคัญที่สุดนั้นไม่ได้อยู่ไกลจากเราเลย :กอด1:
-
มาแบบยาวหนำใจดีแท้ พ่อเซ็งเป็ด ฮ่ะฮ่าๆๆๆ
ขอบคุณ ขอบคุณ และ ขอบคุณ
บางเรื่อง เรารู้กันแค่ 2 คนก็พอ
-
อ่านเรื่องนี้ทีไร
มีแต่ความตื้นตันใจกลับไปทุกที :monkeysad:
บ่งบอกได้ถึงความตั้งใจของคนเขียน
ที่ต้องการถ่ายทอดเรื่องราวดีๆมากมาย
ไม่รักเมืองไทยวันนี้แล้วจะไปรักวันไหนล่ะว่ะ!
o13 o13 o13สุดใจ
:pig4:
-
อ่านตามมาหลายวัน ในที่สุดก็อ่านทัน
อย่างแรกคืออ่านแล้วรู้สึกผิดอ่ะ คนไทยมีของดีๆ อีกมาก
ซึ่งคนรุ่นก่อนคงจะคาดหวังให้เรารักษามันไว้ แต่ดูสิว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น T T
อย่างสอง เข้าเรื่องละนะ หมอปีย์ ชอบก็บอกเค้าไปเหอะ
นายอัชย์มันโง่ 5555 ไม่บอกตรงๆ ไม่รู้หรอก
ทิฏฐิก็มาก ไม่อยากจะบอกว่า จะแยกจากกันวันไหนก็ไม่รู้ บอกไม่ได้
จะมาเล่นตัวอะไรกันนักหนา???
(ล้อเล่นนะครับ ถ้าไม่เล่นตัวก็ดูจะง่ายเกินไป และไม่เหมือนจริงไปหน่อย 555)
ยังไงก็เอาใจช่วยสองคนนี้นะครับ รออ่านต่อไปคร้าบบบบบบ ^^
-
ชอบมากเลยเรื่องนี้ อ่านแล้วทำให้คิดอะไรได้หลายๆอย่างเกี่ยวกับสมัยปัจบุน ว่าเราลืมรากเง่าของเราเองไปเยอะขนาดไหน
-
สำนึกรักบ้านเกิดขึ้นมาเลย
ไม่มีที่ไหนดีเหมือนบ้านเราแล้วหละค่ะ
-
อ่านแล้วคิดถึงประเทศไทยมากทีุ่สุดเลยค่ะ
เพราะตอนนี้เราอยู่ต่างประเทศ :เฮ้อ:
ที่นี่เค้าไม่มีวัฒนธรรมเหมือนเราจริงๆค่ะ ของไทยเรามีสิ่งดีๆที่คู่ควรแก่การสืบทอดไว้เยอะมาก
กลับไปต้องไปฝึกทำอาหารไทยจริงจังแล้วคะ่ :-[
-
สำนึกรักบ้านเกิดค่ะ o13
-
โจงกระเบนจ้ะ ไม่ใช่จูงกระเบน
ป่านนี้หมอก็ยังไม่เชื่ออีกนะว่ามาจากอนาคต น่าจะพิสูจน์ให้ชัดไปสักที
-
อ่านเรื่องนี้แล้ว รู้สึกรักประเทศไทยขึ้น
แอบละอายใจเหมือนกัน เพราะบางที ตัวเราเองก็ลืมสิ่งดีๆ ของไทยไปเหมือนกัน :o12:
-
o13 นู๋ร๊ากเมืองไทย :L2:
-
ระวังเหอะ ไปลอยกระทงอ่ะ o3
แล้วอัฐจะหล่น ตู้มมมมม กลายเป็นทุ่งข้าวสาลี o16
เย้ย! ไม่ใช่ :o แล้วก็หล่นน้ำ กลับบ้าน ไม่ทันได้บอกลาคุณหลวงเค้าไง อิอิ o18
-
ขอบคุณที่ย้ำเตือนความเป็นไทยของเรานะคะ
ประทับใจมากเลยค่ะ
-
ดีใจจังที่ได้อ่านเรื่องนี้
รออ่านตอนต่อไป เข้ามาเปิดดูทุกวัน
น่าติดตาม ถึงแม้ฉากหวานๆจะมีเพียงน้อยนิด
-
อาหารไทยอร่อยที่สุดแล้วครับ
รักเมืองไทย
ศิลปะไทยก็ขึ้นชื่อว่าไม่แพ้ชาติใดในโลก..
รักษ์ไทย..นะครับ
-
"รักเมืองไทย ชูชาติไทยทนุบำรุง ให้รุ่งเรืองสมเป็นเมืองของไทย"
เด็กรุ่นใหม่สงสัยเกิดไม่ทันเพลงนี้เนาะ วัฒนธรรมมันเลยเลือนหายไปทีละนิด
แต่...อย่าว่าแต่เด็ก ผู้ใหญ่หัวหงอกหลายๆคนในบ้านเรา ก็ลืม"ราก" "เหง้า" ของตัวเอง
เอะอะอะไรก็ฝรั่งเขาว่า.... แล้วก็ไล่ดมขี้ฝรั่งหอมต่อไป :z6:
อ่านเรื่องนี้ทุกครั้ง ต้องได้อะไรกลับไปคิดเสมอ อย่างน้อยๆ สำนึกรักชาติมันถูกสะกิดให้ "รู้สึก" ขึ้นมาได้บ่อยๆ
ขอบคุณเซ็งเป็ดสำหรับนิยายดีๆ ที่ไม่ได้แค่สนุก แต่ยัง"ให้" และ "เผื่อแผ่" สิ่งดีๆแก่คนอ่านเสมอ
ขอบคุณค้าบ :pig4:
-
อ่านแล้วต้องมามองดูตัวเอง = =
น่าอนาถแท้ มันจริงเหมือนที่เขียนเลย
-
หมอจะจับจูบซะเลยตอนกอด 5555555
-
ช่างน่าอนาจแท้ ยุคนี้คนไทยเปลี่ยนไปมากโข
ลืมแม้กระทั้งรากเง่า วัฒนธรรมที่ปู่ย่าตายาย
คอยพร่ำสอน สิ่งดีๆที่ลูกหลานจะได้ชมได้เห็นกัน
แต่ไม่มีแล้ว ไม่เหลือซาก หากจะมีก็ต้องมีเงิน
เข้ามาเป็นปัจจัยเกี่ยวข้อง หรือพูดง่ายๆ ก็คือ
ความเห็นแก่ตัวความโลภ ของคนไทยในปัจจุบัน
ที่ใช้สิ่งพวกนี้มาเป็นตัวทำเงิน หากำไร คนที่มี
ฐานะเท่านั้นถึงจะได้ ชมได้เบิ่งกัน แล้วคนจนๆ ละ
คนไทยยกสิ่งเหล่านี้เป็นสมบัติประจำชาติ แต่ทำไม
ทำไม คนไทยถึงไม่เคยได้ดู ทั้งที่มันเป็นของคนไทยแท้ๆ
ชอบเรื่องนี้มากๆ เลยให้ความรู้และข้อคิดมากมาย ตอนนี้สนุกมากๆ น่ารักทั้งสองคนเลยทั้งหมอปรีย์และเจ้าบ้า ฮ่าๆ แต่ก็แอบยังรู้สึกหวั่นใจนิดๆ กลัวจะแยกจากกัน :เฮ้อ:
ป.ล. ถ้าเป็นไปได้พาหมอปรีย์ไปโลกอนาคตมั่งดีมั้ย ฮ่าๆ คงจะพิลึกนักเชียว นึกแล้วเห็นภาพเลย :m20:
-
วะ วะ วะ เมื่อไหร่ หมอจะจัดหนักๆ ให้เจ้าบ้า เขิล บ่อยๆๆ กันน้าาา
-
แหมๆๆ อ่านไปก็ได้คิดถึงของไทยๆน้า
จะว่าไป อยากกินทองหยอดจัง. . .
-
อย่างน้อย ความคิด ทัศนะของเจ้าบ้า และสิ่งที่เจ้าบ้าได้เห็นมา แล้วถ่ายทอดออกมา
ก็สะกิดต่อมความเป็นไทยให้แตกได้ก็แล้วกันล่ะค่ะ คุณเซ็งเป็ด
ดิฉันอ่านเรื่องนี้ คิดว่าได้มากกว่าการอ่านนิยายค่ะ
-
อ่านแล้วรู้สึกดีมากเลยค่ะ มันรู้สึกละเอียดอ่อน
คนเขียนใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของเรื่อง
อธิบายได้ชัดเจนจนนึกภาพตามออกเลยค่ะ
อ่านแล้วมันได้ความรู้สึกที่มากกว่าอ่านนิยาย
ชอบมากๆ เลยค่ะ
-
ชอบ..........อยากกด Like ให้คนแต่งอ่ะ
:pig4:
-
เรื่องนี้สนุกมากก ทำให้รู้สึกถึงความเป็นไทยขึ้นโขเลย
คุณหมอน่ารักจัง
-
ประทับใจจริงๆ วัฒนธรรมอันดีงามของเรา
-
รออ่านคะ
-
อ่านเรื่องนี้ทีไร รักประเทศไทยมากขึ้นทุกที :m1:
ถ้าเรื่องนี้จะได้รางวัลด้านสืบสานวัฒนธรรมดีเด่นก็จะไม่แปลกใจซักนิด
:m4:
-
คนไทยเรามองข้ามของดีในตัวเอง เป็นแบบนี้มานานแล้ว
ป้าดูจากเด็กๆรุ่นใหม่เดี๋ยวนี้ยิ่งน่าห่วง
-
:กอด1: :กอด1:
-
อ่านตอนนี้แล้วรู้อะไรใหม่ๆเยอะเลยยยยยยย
-
ไม่มีใครหรือประเทศไหนดีเท่าคนไทยและประเทศไทยอีกแล้ว
รักประเทศไทย :L1:
-
ยังจำได้เลยว่าตอนเข้าห้องพักครั้งแรกเปิดประตูเข้าไป เจอรูปปั้นนางยักษ์ร่ายรำในท่าบิดเบี้ยว หล่อนเอียงคอมาทางประตูมองมาที่ผม ตาเบิกโพรง ปากแสยะยิ้ม คล้ายกับกำลังจะบอกผมว่า
“ไอ้เหี้ย เข้ามาทำไมไม่ถอดรองเท้าวะ สัส”
อย่างฮา ... แต่จะบอกว่า คิดเหมือนกันเลยว่ะ
-
อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกจุกไปเลยเต็มๆ :sad4:
ที่ปอพูดมานั่นมันตัวเรานี่หว่าาา ไหนจะเรียนกีต้าร์ เต้นโคฟเวอร์
ขอบคุณค่ะที่ทำให้เรารู้สึกรักเมืองไทยมากขึ้น ^____^
-
ท้าวทองกีบม้า หรือ มารี กีมาร์ เดอ ปีนา
(Marie Guimar de Pihna) (พ.ศ. 2201 หรือ พ.ศ. 2202 - พ.ศ. 2265)
ภรรยาของเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน)
เธอเป็นผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นต้นตำรับทำขนมไทย ประเภททองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง
ในสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าวิเสท
ซึ่งได้ทำอาหารเลี้ยงต้อนรับคณะราชทูตฝรั่งเศสที่มาเยือนในสมัยนั้น
มีผู้ยกย่องว่าท้าวทองกีบม้าเป็น "ราชินีแห่งขนมไทย"
๒๓๖ + ๑ = ๒๓๗
ขอบคุณนะคะ คุณ เซ็งเป็ด
-
เป็นคนไทยต้องรักประเทศไทย ถูกต้องที่สุด ต้องช่วยกันสืบสานวัฒนธรรมอันดีงามของบรรพบุรุษด้วย
-
ชอบมากๆค่ะเรื่องนี้ ก่อนอ่านเรื่องนี้ ก็หัดทำอาหารไทยจนได้มาอ่านเรื่องนี้ ทำให้อยากทำกว่าเดิมค่ะ
-
สนุกมากค่ะ รู้สึกเหมือนได้ความรู้เพิ่มเลย
ชอบมากค่ะ^^
-
จริงๆ นั่นแหละ ตอนนี้ผมก็พยายามรักษาวัฒนธรรมไทยเท่าที่จะทำได้ :เฮ้อ:
หมอปีย์น่ารักมากกกกกก :กอด1:
-
ประเทศไทยมีสิ่งดีๆหลายอย่างมากกว่าประเทศอื่นๆที่เราไปไล่ตามเค้า
บางอย่างเป็นสิ่งที่ถูกละเลยจนคนไทยเองไม่เคยรู้ว่าเรามี
แต่ส่วนใหญ่ เราได้รับรู้สิ่งดีๆจนกลายเป็นเรื่องเคยชิน จนไม่ได้สังเกตว่าสิ่งดีๆมันอยู่ตรงนั้นซะมากกว่า
-
อ่านแล้วอยากร้องให้ มันให้อารมณ์คิดถึงอนาคตของชาติเราว่าจะเป็นไปอย่างไร
-
:fire: เลือดรักชาติ
-
ยาวได้ใจมาก 555+
แต่พออ่านตอนนี้แล้ว รักทุกอย่างที่เป็นไทยมากขึ้น
ในสมัยนี้เด็กจะชอบไปเรียนพวกเครื่องดนตรีตะวันตกไม่ค่อยมาสนใจเครื่องดนตรีของชาติเราแล้ว
เฮ้อ~~
-
สุดยอดอ่ะ
รักประเทศไทย
-
มาต่อบ่อยๆๆนะครับ แต่งได้สนุกจริงๆ
-
สายลมหนาวพัดลอยกิ่งต้นคูนและต้นประดู่มาไหวๆ เงาของใบไม้ต้องแสงจันทร์เคลื่นอไหวคล้ายกำลังร่ายรำไปตามเสียงปี่พาทย์บรรเลงเพลงที่ดังคลออยู่บริเวณนั้นตลอดเวลา แสงไฟจากเปลวเทียนและโคมไฟสว่างโร่ราวกับกลางวัน ผู้คนยิ้มแย้มมีความสุข
หญิงสาววัยแรกแย้มเกาะกลุ่มกันพูดคุยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ส่วนกลุ่มกระโน้นเป็นเหล่าชายหนุ่มวัยกำหนัด ที่คอยเหล่มองดรุณีเหล่านั้นไม่วางตา
ที่นี่มันเมืองฟ้าเมืองสวรรค์หรือไร ทำไมทุกอย่างช่างสวยงามเพลิดแพล้วอะไรเช่นนี้
ผู้คนแต่งตัวเรียบง่ายแต่คงไว้ซึ่งกาลเทสะ หญิงสามัญธรรมดาจะแต่งกายด้วยผ้าโจงกระเบนพื้นเมือง และห่มผ้าแถบสีสันสดใส เข็มขัดที่รัดโจงกระเบนทำมาจากเงินบ้าง ทองแดงบ้างที่ฉะลุเป็นลายกนกงดงาม ทรงผมที่ถูกจัดแต่งเป็นทรงดอกกระทุ่มเป็นอย่างดี ไม่กระดิกแม้แต่น้อยยามต้องลม
ส่วนผู้ชายนั้นส่วนใหญ่มักนิยมแต่งกายด้วย กางเกงแพรสีต่างๆที่เรียกว่ากางเกงจีน ส่วนเสื้อก็เป็นเสื้อขาวบางที่แทบจะเห็นเนื้อ
เหล่าสตรีสูงศักดิ์นั้น มักนิยมแต่งกายด้วยโจงกระเบน ใส่เสื้อระบายลูกไม้ แต่คอจะลึกกว่าเก่าและนิยมแขนยาวเสมอศอก แขนไม่พองมาก และไม่รัดปลายแขนเป็นชั้นๆ มีผ้าสไบพาดไหล่โดยรอบ ตอนหัวไหล่ติดเข็มกลัดแล้วปล่อยให้หย่อนลงมา รวบชายสไบไว้ข้างลำตัว ทิ้งชายยาว
พวกนางเหล่านั้นถึงหน้าตาจะไม่งามเท่าสตรีสมัยผม
แต่จริตของพวกเธอนั้นงามหยดย้อยกว่าหญิงสาวยุคผมมากนัก
“มองอะไรรึเจ้าบ้า ทำเหมือนว่า เจ้ามิเคยพบเห็นพิธีเยี่ยงนี้มาก่อน” หมอปีย์เดินเลียบชิดผม ผู้คนเบียดกันแน่นเพื่อมุ่งหน้าไปยังริมตลิ่ง
“ก็ไม่เคยนะสิ” ผมตอบ
“เจ้านี่มาจากแห่งใดกันแน่ เหตุใดประเพณีนิยมเช่นนี้ เจ้าถึงมิเคยเห็น”
“อ้าว ก็ชั้นบอกนายแล้วไงว่า เฮ้อ ................” ผมถอนหายใจ ตัดสินใจอยู่ว่าจะพูดดีไม่ดี “ว่าชั้นมาจากสยามเมื่อปี 2553 นายก็ไม่เชื่อ”
“ แล้วเจ้าจักให้เราเชื่อได้เยี่ยงไร เรื่องมันพิศดารเสียขนาดนั้น” เขาส่ายหน้า เดินนำผมไป ผมถอนหายใจอีกครั้ง จนใจไม่รู้จะทำให้มันเชื่อได้ยังไง
สายลมพัดมาเป็นระยะๆ เลียบไล้เสื้อบบางสีขาวของหมอปีย์ลู่ไปตามลม เผยให้เห็นเรือนร่างกำยำ สมส่วน และผ่าเผย
สายลมสายเดิมพัดมาที่ผม ผมมองดูสารรูปตัวเอง
“พุงพลุ้ยแล้วนะมึงน่ะ” ผมเตือนตัวเอง
ทุกครั้งที่ผมมองหมอนั่น ผมมักสงสัยเสมอว่า คนอย่างมันจะเป็นยังไงหากหลุดไปอยู่ในโลกของผม มันอยู่รอดในสังคมแห่งการล่าและเอาตัวรอดได้รึปล่าว
มันจะอ้าปากกว้างขนาดไหน หากมันเห็นว่าเราพูดกับโทรศัพท์ทั้งวัน แต่ไม่พูดกับคนข้างๆ
มันจะหัวเสียเหมือนผมมั๊ยหากเห็นใครก็ไม่รู้ มามองหน้าเราแล้วหัวเราะ
มันจะล้มตึงลงเลยรึปล่าว หากเห็นนกขนาดยักษ์เหาะพาคนนับร้อยขึ้นไปบนอวกาศ
และมันจะตายลงตรงนั้นมั๊ย หากมันเห็นคนไทยแบ่งแยกกันด้วยสี
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ผมเผลอหัวเราะกับความคิดตัวเองออกมาอย่างลืมตัว
“หัวเราะอันใด” มันหันมาถาม
“ปล่าวนี่” ผมยิ้ม “ เออ นี่นายไม่เป็นห่วงคู่หมั้นนายมั่งเหรอ ไม่เห็นพูดถึงเลย”
หมอปีย์ไม่พูดอะไร
“ให้สนไปรับคำแก้วมาก็ได้นี่ ชั้นว่านะ เธอคงจะดีใจแหละ แหม นี่อะไร พอตกใจปุ๊บเสือกทิ้งกันเลย เป็นชั้น ชั้นคงไม่เอามาทำ......................”
“เรามีความสุขที่ได้มากับเจ้า” หมอนั่นพูดแทรกขึ้นมา เล่นเอาผมอึ้งแดกไปเลย
“มีความสุข” ผมถามย้ำด้วยสีหน้าสงสัย “ที่มากับชั้นเนี๊ยะนะ”
“ใช่ มีความสุขที่อยู่กับเจ้า เราผิดมากเลยหรือ”
คราวนี้เป็นผมที่เงียบไปครู่ใหญ่
“นาย เอ่อ นายเป็นอะไรรึปล่าว”
หมอนั่นทิ้งตัวนั่งลงบนขอบตลิ่งที่กั้นไม่ให้น้ำจากแม่น้ำไหลเข้าเรือนแถวนั้น
“พ่ออัชย์ เราขอถามอะไรเจ้าสักเรื่อง ได้หรือไม่” น้ำเสียงของหมอปีย์ดูเคร่งเครียด ผมเดินไปยืนข้างๆเขา แต่ไม่ยอมนั่ง
“อืม ได้สิ เรื่องอะไร”
“เจ้าเชื่อในเรื่องพรมลิขิตหรือไม่” เขาถาม
“หา พรมลิขิตเหรอ” ผมเหม่อมองออกไปสุดสายตา ทอดอารมณ์ไปตามสายลมที่พัดเอื่อย
“ไม่รู้สิ เชื่อมั้ง ดูอย่างชั้นกับนายสิ ไม่ว่านายจะเชื่อชั้นหรือไม่นะว่าชั้นมาจากอนาคต แต่สำหรับชั้น พรมลิขิตก็พาชั้นมาที่นี่ มาพบกับใครหลายต่อหลายคน รวมทั้งนายด้วย อย่างนี้ชั้นจะเรียกมันว่าพรมลิขิตได้รึเปล่าหละ” ผมย้อนถาม
หมอนั่นนิ่งไป
“เรารู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าที่เรามีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ เพราะมีพันธะผูกพันสัญญาเฝ้ารอใครคนหนึ่ง ซึ่งเรามิรู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร เรารอเขามาจนชั่วชีวิต เฝ้ารอว่าใครคือคนที่เรามักเห็นลางเลือนในความฝัน แลจักหายลับไปเมื่อเราสะดุ้งตื่น เฝ้ารอว่าสักวันเงาที่ลางเลือนนั้นจักชัดเจนขึ้น จนเราจับต้องแลสัมผัสได้ เราเฝ้ารอมาตลอด”
ผมปล่อยให้หมอปีย์พูดไปเรื่อยๆ
“เรามิรู้ดอกว่า การรอคอยคนๆนั้นจะสิ้นสุดลงเมื่อใด แต่เราเชื่อว่า เมื่อถึงเพลานั้น เราจักรับรู้เอง
และแล้ววันนั้นก็มาถึง วันที่เงาของเขาคนนั้นค่อยๆชัดเจนขึ้น ชัดเจนขึ้น เรารู้ทันทีว่าการรอคอยนั่นกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว เรารู้ได้ทันที
แต่เมื่อเงาของผู้นั้นแจ่มชัดขึ้น เรากลับพบว่า.....................................................”
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมนั่งยืนฟังหมอปีย์พูดได้นานที่สุด ผมไม่รู้ว่า “เขา ของหมอนั่นคือใครหรอก แต่ที่ยังทนฟังอยู่ได้ก็เพราะ มันเหมือนกับว่า ผมจะรู้จัก “เขา” ของหมอนั่นดี
“เขาคนนั้น กลับเปนคนที่เรามิอาจจับต้องได้เลยแม้แต่ในจินตนาการ”
ไม่มีผู้ใดนอกจากเราสองคนในที่แห่งนั้น ทั้งๆที่ห่างออกไปไม่เท่าไหร่ ผู้คนต่างออกันมากมายที่ริมตลิ่ง ที่ที่แห่งนั้นกลับไม่มีใคร นอกจากเราสองคน
ฟังแล้วช่างสิ้นหวังอะไรเช่นนี้
“นายหมายถึงอะไรอ่ะ” ผมถาม
“ฮือ” เขาถอนหายใจ ราวกับกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง และเงยหน้าขึ้นมามองผม
“เจ้าคือคนที่เรารอมาชั่วชีวิต พ่ออัชย์”
เสียงมโหรีปี่พาทย์ เสียงประทัด เสียงผู้คนจอแจ เสียงสายน้ำกระทบฝั่ง ทุกสรรพเสียงดับวูบไป เหลือแต่เสียงหวีดหวิวในหูคล้ายมีมีอากาศที่รอปะทุอยู่ในนั้น
ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลยแม้แต่เสียงหายใจของตัวเองทันทีที่ได้ยินชื่อของตัวเองจากหมอนั่น
หากจะให้ผมอธิบายความรู้สึกตอนนั้น มันก็คงเหมือนผมกำลังยืนอยู่บนโขดหินที่ยื่นไปในหน้าผาที่ลึกสุดลูกหูลูกตา
ความรู้สึกมั่นคงกับไม่ปลอดภัย
ความรู้สึกอยากก้าวไปข้างหน้ากับอยากถอยหลัง
ความรู้สึกอยากนั่งลงกับอยากกระโดดออกไป
ความรู้สึกอยากสูดหายใจกับกลั้นหายใจ
และความรู้สึกเสียใจกับความรู้สึกดีใจ
นั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึกในตอนนั้น
ผมยืนหลับตาแน่นิ่ง ร่างกายโงนเงนไปมา ตอนนี้ มือทั้งสองข้างหนักอึ้งราวกับลูกตุ้มเหล็ก ส่วนขานั้นก็เหมือนกับจะจมดิ่งลงสู่พื้นดินดินข้างล่าง มันหนักเสียจนผมยืนอยู่ไม่ไหว ต้องทรุดตัวลงนั่งข้างๆหมอนั่น โดยที่ไม่แม้แต่มองหน้ามัน
ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากเราสองคน
หมอปีย์พูดทุกอย่างที่อยากจะพูดหมดแล้ว
ส่วนผมนั้นกลับไม่มีคำพูดใดๆสักคำที่อยากจะพูด
เหตุการณ์ทุกอย่างที่ผ่านมาที่หมอนั่นทำกับผม ผมเข้าใจมันหมดแล้วในตอนนี้
ท่าทีที่เย็นชาหมางเมิน
แววตาที่เหมือนคอยจับจ้องเอาผิดอยู่ตลอดเวลา
น้ำเสียงแดกดัน คำพูดที่เย้ยหยัน
ทั้งหมดวันนี้ผมรู้แล้ว
ณ สยามตอนนี้ เวลาดึกดื่น
ณ สยามตอนนี้อากาศเย็นสบาย
ณ สยามตอนนี้พระจันทร์กำลังส่องประกาย
และ ณ สยามตอนนี้ มีชายสองคน กำลังนั่งเหม่อลอย
.
.
.
‘
-
:z13: :z13: :z13: :z13: :z13: :z13:
แวะมาจิ้มก่อนอ่าน :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
-
“เฮ้ย ไอ้หมอบ้า ไปลอยกระทงกันเถอะ” ผมลุกขึ้นยืนปัดกางเกง ทอดสายตามองออกไปอย่างเลื่อนลอย พยายามลืมสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ และคิดแค่ช่วงเวลาก่อนที่หมอปีย์จะนั่งลงตรงนี้
“อืม ไปกันเถอะ” หมอนั่นก็คงเหมือนกัน เขาคงรู้สึกผิดในใจอยู่ไม่น้อย ที่จู่ๆก็พลั้งปากพูดอะไรในสิ่งที่ไม่สมควรจะพูดในยุคสมัยนั้นออกมา
“เจ้าบ้า” หมอปีย์เรียก
“หึ”
“ดึงเราขึ้นหน่อยเถิด เราลุกไม่ไหว” หมอนั่นยื่นมือมาให้ผม ผมมองมันครู่หนึ่ง ก่อนจะปัดมือมันและหันหลังเดินมุ่งหน้าไปยังฝูงชนที่กำลังรอคอยเวลาลอยกระทง
พิธีลอยกระทงของสยาม ณ เวลา เป็นพิธีที่ค่อนข้างจะเป็นทางการมากกว่าในยุคสมัยผม ผู้คนเดินถือกระทงที่ทำมาจากหยวกกล้วยคนละกระทง กระทงของบางคนก็ตกแต่งด้วยด้วยใบตองจับจีบธรรมดา ประดับประดาด้วยดอกบานไม่รู้โรย ดาวเรือง ธูปเทียน
ส่วนของผู้มีอันจะกินหน่อยก็จะจัดเต็ม สวยงามด้วยมาลัยดอกรักที่ร้อยขึ้นเป็นช่อ แซมด้วย ดอกบานไม่รู้โรยสีม่วง ที่ปลายของมาลัยนั้นผูกช่อเข้ากับชบาหนูสีแสดสด
“หมอ” ผมเรียกหมอเมื่อหันไปมองใครต่อใครมีกระทงกันหมด
“หมอ เราจะเอากระทงที่ไหนมาลอยกันล่ะ ลืมเสียสนิทเลย” ผมว่า
“นั่นนะซี เราก็มิได้เตรียมมาเสียด้วย”
ผมเกาหัวแกรกๆ จนปัญญา จะไปหากระทงมาที่ไหนก็ไม่รู้ ที่นี่ไม่เหมือนสมัยผมเสียด้วยสิ ที่มาแต่ตัว มาหาซื้อกระทงเอาข้างหน้า แต่ที่นี่ไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง
“เอาไงอ่ะหมอ หรือว่า ไม่ต้องลอยก็ได้ ดูคนอื่นเอา” ผมหันไปหันมา
“ได้เยี่ยงไรกันเล่า เราอุตส่าห์ได้มีโอกาสลอยกับเจ้าทั้งที มิรู้คราหน้า เราจักได้มีโอกาสเยี่ยงนี้อีกหรือไม่”
“ทำไมจะตายแล้วรึไง”
“เอาเถิด รอเราอยู่ตรงนี้ ประเดี๋ยวเราจักหากระทงมาให้เจ้าลอยให้ได้”
หมอปีย์เดินหายไปกับฝูงชน ทิ้งให้ผมยืนทำตัวไม่ถูกอยู่ริมตลิ่ง
งานลอยกระทงของที่นี่นั้น สนเล่าให้ผมฟัง พระพุทธเจ้าหลวงทรงฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่ถูกยกเลิกไปในสมัยรัชกาลที่ ๔ เหตุเพราะไม่เข้าใจความหมายทางสังคม พระพุทธเจ้าหลวงทรงมีพระประสงค์ให้จัดงานแบบเรียบง่าย และประหยัดที่สุด
ดังนั้นผมจึงเห็นเรือลอยพระประทีปซึ่งทำมาจากเรือลำเล็กๆจำลองจากขบวนเรือพระที่นั่งประดับประดาด้วยโคมไฟ เทียน และตะเกียงแก้ว แทนที่จะเป็นกระทงที่บรรดาเจ้านาย ขุนนาง และข้าราชการตกแต่งเป็นรูปต่างๆ และมีกลไกแสดงเรื่องราวต่าง ๆ แข่งกันลอยประกวด
นอกจากนั้นในบริเวณแม่น้ำนั้นยังมีกระทงที่ทำเป็นรูปเรือสำเภา, เทวดาโปรยทาน จุดไฟแล้วสีทองอร่ามสว่างงดงามจนบรรยายไม่ถูก
ตรงกลางสระมีประติมากรรมรูปปั้นสัมฤทธิ์ที่หล่อเป็นรูปเด็กในอริยาบทต่างๆ บ้างก็เป็นเด็กผมจุก กำลังชูมือหัวเราะร่า บ้างก็กำลังจับมือเด็กอีกคนยกขึ้นเหนือหัว รูปปั้นเด็กเหล่านั้น ล้อมวงกันอยู่ โดนมี รูปปั้นเด็กอีกคนที่กำลังขี่ควายและดูคล้ายเหมือนกำลังจะวิ่งพุ่งเข้าใส่เด็กกลุ่มนั้น
ข้างๆประติมากรรมเด็กกลุ่มนั้น ผมเห็นกระทงที่ทำเป็นฐานสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ประดับตกแต่งด้วยกระดาษสาสีขาวทำเป็นรูปโดมทรงครึ่งวงกลม บนนั้นมีรูปรุกขเทวดา กำลังโปรยของมีค่า
ผู้คนที่นี่ดูจะตื่นเต้นกับภาพบรรยากาศนี้มาก พวกเขาไม่มีกล้อง ไม่มีมือถือ ไม่มีอุปกรณ์ใดๆที่จะช่วยเก็บภาพงดงามเหล่านี้ได้นอกจากความทรงจำ
ความทรงจำที่จะคอยเล่าสู่ลูกสู่หลาน ว่าครั้งหนึ่ง ประเทศสยามของเรา เคยมีพิธีลอยกระทงที่งดงามและน่าจดจำ......เช่นนี้
“เจ้าบ้า” หมอนั่นสะกิดหลังผม อีกมือไพร่หลัง
“หือ” ผมละสายตาจากภาพชายคนหนึ่งที่พยายามจุดเทียนกับขีดไฟที่มีรูปที่กล่องเป็นพญานาคกำลังพ่นน้ำ หันไปหามัน
บัดนี้ใบหน้าของหมอปีย์และแววตาของเขาดูผ่อนคลายลง ไม่เหมือนคนอมทุกข์อีกต่อไป เขาคงรู้สึกโล่งใจที่ได้พูดสิ่งนั้นออกมา แต่เขาหารู้ไม่ว่า เขาได้หยิบยื่นความทุกข์จากเขามาใส่มือผมแทนอย่างเลี่ยงไม่ได้
“เราหากระทงมาให้เจ้าได้แล้วนะ” เขายิ้ม รอยยิ้มนั้นเองที่ผมไม่เห็นได้บ่อยนักจากคนชื่อหลวงพินิจคนนี้ ภาระหน้าที่ และหัวโขนทางสังคม สิ่งต่างๆเหล่านี้ถาโถมเข้าใส่หมอ จนทำให้เขาลืมรอยยิ้มแบบนี้ไปในที่สุด ทั้งๆที่ หมอนั่นอายุก็ไม่ต่างจากผมมากเท่าไหร่นัก
“ไหนหล่ะ กระทง” ผมถามหา
เขายิ้มกว้าง ก่อนจะยื่นมือที่ไพร่หลังออกมา
“นี่อย่างไร กระทง”
“ไหน”
“ก็นี่กระไร กระทงของเจ้า”
“ไหนวะ ชั้นเห็นมีแต่ดอกบัว” ผมทำหน้าสงสัย
“ดอกบัวหลวงนี่อย่างไรเล่า ที่จะเป็นกระทงของเราในค่ำคืนนี้ เราหาให้เจ้าได้แค่นี้” เขาทำหน้าสลด จนผมรู้สึกสงสาร
“เอาน่า เอาน่า บัวหลวงนี่ก็ใช้ได้นะนี่ สวยด้วย กลีบแน่นเชียว ไปหามาจากไหน” ผมยิ้มปลอบใจ
“เราไปเอามาจากบึงหลังเรือนกระนู้น”เขายิ้มอีกครั้ง “แต่ว่า........................”
“แต่ว่าอะไร”
“แต่ว่าเราหามาได้เพียงดอกเดียว”
“อ้าว แล้วนายไม่ลอยเหรอ”
“ลอยสิ ก็เราจักลอยกับเจ้าอยู่นี่อย่างไรเล่า” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้น ผมรู้ทันมันในที มันลากแขนผมมาที่ริมแม่น้ำ บริเวณที่ห่างไกลออกมาจากผู้คน ผู้คนส่วนใหญ่ไปออกันอยู่ตรงปรัมพิธี ที่ตรงนี้จึงมีเพียงเด็กๆที่กำลังเล่นดอกไม้ไฟกันอย่างสนุกสนาน
“เฮ้ย จะลากชั้นไปไหน” ผมร้องโวยวาย
“ตามเรามาเถิด” เขาว่าพลางกึ่งเดินกึ่งวิ่งจนในที่สุดก็มาถึงริมตลิ่งของเรือนหลังหนึ่ง ที่เจ้าของเรือนคงอยู่ที่ไหนสักแห่งบริเวณงานฝากกระนู้น
“ตรงนี้เห็นจะดี” เขาหยุดเดิน และปล่อยมือผม
ท่าน้ำที่เรามาหยุดยืนกันอยู่นั้น เป็นบริเวณลานหญ้าหน้าบ้านของเรือนไม้หลังใหญ่ ชาวบ้านแถวนี้มักนิยมหันหน้าบ้านเข้าสู่แม่น้ำ และไม่ใคร่จะทำรั้วกั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะเดินลัดเลาะไปมาระหว่างบ้านหนึ่งไปยังอีกบ้านหนึ่งได้โดยง่าย
ผมเดินตามหมอปีย์มาถึงท่าเรือของเรือนนี้ที่ทำด้วยไม้แข็งแรงสีดำขลับนำมาเรียบเรียงไว้ยื่นลงไปสู่แม่น้ำ ลมพัดโชยมาพร้อมกับกลิ่นของควันธูป เปลวเทียนวิบวับระยิบระยับจากระทงของชาวบ้านนับร้อย กำลังลอยเรียงรายมาสู่บริเวณที่เรายืนอยู่
“นั่งลงสิ” ผมสะดุ้งหันมามองหมอปีย์ เพราะกำลังเพลิดเพลินกับภาพแม่น้ำสีทองข้างหน้านั้น
“หา อ่ะ ได้ๆ” ผมนั่งคุกเข่าลงห่างจากเขาพอสมควร หมอนั่น มองผมและยิ้ม ก่อนจะขยับมาชิด
“เราขอโทษนะที่หากระทงที่ดีกว่านี้ไม่ได้”
“ไม่เป็นไรหรอก กระทงแบบไหนก็เหมือนกันแหละน่าขอให้มันลอยได้ก็พอ”
“เจ้ารู้ความหมายของพิธีลอยกระทงรึไม่” เขาว่า
“รู้สิ ชั้นก็เป็นคนไทยเหมือนกันนะเว้ย เราลอยกระทงก็เพื่อขอขมาพระแม่คงคา” ผมตอบ
หมอนั่นไม่พูดอะไรแต่หันมายิ้มกับผม ก่อนจะยื่นกระทงมาที่หน้าผม
“เจ้าจักอธิษฐานสิ่งใดหรือไม่”
ผมหันกลับมาก้มหน้านิ่ง
จะอธิษสิ่งใดเหรอ อธิษฐานอะไร สิ่งใดที่ผมอยากได้ในชีวิตเหรอ ผมยังตอบตัวเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าชีวิตผมคนนี้เกิดมาเพื่อสิ่งใด
“อื้อ” แต่ผมก็พยักหน้า รับกระทงมา มือของผมโอบอุ้มไปที่ดอกบัวหลวงที่กลีบดอกไหวไปตามแรงลม ผมรับดอกบัวนั้นมาอย่างเบามือ แต่.............
.............
แต่ มือของหมอปีย์กลับไม่ยอมดึงออก เขากุมมือผมไปด้วยพร้อมๆกับดอกบัวนั้น ผมหันไปมองเขาด้วยสายตาไม่เข้าใจ และบอกให้เขาปล่อยมือ
“เราจักปล่อยมือได้เยี่ยงใด ในเมื่อเราก็กำลังจะอธิษฐานด้วยเช่นกัน” หมอปีย์ตอบหน้าตาเฉย
เมื่อมันไม่ปล่อยมือ ผมปล่อยเองก็ได้
มือทั้งสองข้างของผมค่อยๆคลายออกมา แต่ไม่สำเร็จ หมอปีย์กลับกุมมือผมไว้แน่น เขาบอกผมเป็นเชิงว่า
“จะปล่อยมือไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”
ผมหันซ้ายหันขวาทำตัวไม่ถูก นี่หมอบ้านี่มันกล้าขนาดนี้เลยเหรอ ไม่กลัวใครมาเห็นเลยรึไง ผู้ชายสองคนนั่งจับดอกบัวอธิษฐานด้วยกัน เรื่องพวกนี้ คงไม่ใช่เรื่องธรรมดาของยุคสมัยนี้แน่ๆ
ผมหันมองไปรอบๆอีกครั้ง และพบว่า บัดนี้ รอบข้างเราไม่มีใครอีกแล้ว เด็กๆกลุ่มที่วิ่งเล่นดอกไม้ไฟกันอยู่เมื่อครู่ก็หายไปไหนแล้วไม่รู้
ที่นี่จึงเหลือแต่เรา
“เอาวะ เป็นไงเป็นกัน” ผมตัดสินใจ พยายามดึงมึงออกมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ไม่สำเร็จ
“เจ้าจักอธิษฐานรึยัง” เขาหันมายิ้ม
“เออ อธิษฐานก็อธิษฐาน” ผมพูดขอไปที
เราทั้งคู่จับดอกบัวหลวงอย่างเบามือ ก่อนจะยกมันขึ้นจรดหน้าผาก
มือของหมอปีย์นิ่มและอุ่นราวกับกำลังแช่อยู่ในน้ำซาวข้าว เขากุมมือผมเบาๆแต่มั่นคง
ถึงแม้ผมจะหงุดหงิด รำคาญ และเหนื่อยหน่ายกับหมอนี่ไปบ้าง แต่ผมก็รู้สึกปลอดภัยทุกครั้งที่อยู่ในสายตาของเขา และอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูกทุกครั้งที่อยู่ใกล้เขา ครั้งนี้ก็เช่นกัน
เราทั้งคู่หลับตานิ่งอธิษฐานในสิ่งที่แต่ละคนคิด ผมมิอาจล่วงรู้ความคิดของหมอปีย์ได้ ว่าสิ่งที่เขาอธิษฐานคืออะไร แต่สิ่งที่ผมอธิษฐานอยู่ในใจนี้มีเพียงสิ่งเดียวนอกจากการขอขมาแม่น้ำคงคาแล้วนั่นก็คือ
“ขอให้ผมมีความสุข” สิ่งเดียวที่ผมต้องการและโหยหาที่สุดตอนนี้ ไม่ใช่เงินทอง ไม่ต้องการยศศักดิ์ แค่ความสุขเท่านั้น ผมต้องการเพียงเท่านั้น
คำอธิษฐานถูกถ่ายทอดลงไปไปสู่กระทงดอกบัว ผมอธิษฐานเสร็จแล้ว แต่หมอปีย์ยังคงก้มหน้านิ่ง คำอธิษฐานของเขาคงเผื่อแผ่ไปให้ใครต่อใครมากมาย
หมอปีย์ในยามที่หลับตาพริ้มนั้น ช่างงดงามยิ่งนัก ใบหน้าที่อาบแสงจันทร์ ดวงตาที่คมกริบราวกับคันศร คิ้วที่เข้มขลับ จมูกงุ้มได้รูป ริมฝีปากบางเป็นกระจับ รอยยิ้มจางๆ ยามที่หลับตา เขาดูเยือกเย็น อบอุ่น และในขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนแรงบันดาลใจสำหรับบางสิ่งที่ผมก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร
ผมนั่งมองหมอปีย์จนเผลอยิ้มออกมาอย่างลืมตัว
เนิ่นนานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ผมมองเขาอยู่อย่างนั้น
แต่ผมมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เขาลืมตาขึ้นมา และถามผมว่า
“มองอันใดรึ พ่ออัชย์”
นั่นแหละผมถึงได้รู้สึกตัว
“เปล่า” ผมหันหน้ากลับมา
บัดนี้กระทงดอกไม้หลากสีของชาวบ้านได้ลอยอยู่ตรงหน้าผมเต็มไปหมด สีทองระยิบระยับยามเมื่อแสงเทียนต้องสายน้ำส่องประกายสะท้อนขึ้นมา แสงจันทร์สาดส่องไปทั่วบริเวณ ไม่มีภาพใดงดงามไปกว่าภาพนี้อีกแล้ว
“พ่ออัชย์” หมอปีย์เรียกชื่อจริงผม “ลอยดอกบัวนี่กันเถิด” เขายิ้มเชื้อเชิญอย่างอ่อนโยน
ผมพยักหน้าคลานเข่าไปพร้อมกับเขาที่ริมท่า
มือของเราทั้คู่เกาะกุมอยู่ที่ดอกบัวหลวงสีขาวนวลที่บานรับแสงจันทร์ เราค่อยๆโน้มตัวลง และปล่อยมันลงสู่ผิวน้ำ
ดอกบัวสีขาวที่ไร้กลิ่นธูป แสงเทียนนี้ แตะผิวน้ำ มันลอยและไหวไปมาตามแรงคลื่น หมอปีย์ใช้มือกวักน้ำให้ดอกบัวดอกนี้ลอยออกไป
ท่ามกลางกระทงนับร้อยที่ส่องประกายสีทองจากเปลวเทียว
ยังมีกระทงดอกบัว น้อยๆดอกหนึ่งที่ลอยอยู่
ดอกบัวสีขาวธรรมดาที่ลอยอยู่ท่ามกลางกระทงธูปเทียน
และยังมีผู้ชายสองคนจากสองยุค ที่ไม่รู้เลยว่าอนาคตต่อไปของพวกเขาจะเป็นเยี่ยงไร
พวกเขาหวังเพียงแค่ว่า ดอกบัวหลวงดอกนั้น จะเป็นสื่อนำทางให้เขาทั้งคู่ พบเจอสิ่งที่พวกเขารอคอยได้ ในที่สุด
................................................................................................
(http://image.ohozaa.com/i/0d8/2446597948_bc09f639a0.jpg)
-
อ๊ายยยย คุณหมอมีพัฒนาการนะค่ะเนี๊ย ทั้งคำพูด ทั้งการกระทำเลยแหะ
เขินๆๆๆ :-[ :-[ :-[
-
+1
-
หมอบอกความในใจแล้ว เมื่อไหร่ตาบ้าของเราจะเปิดใจรับซะทีน้อ
-
o7 o7 o7
-
หมอได้สภาพรักพ่ออัชย์แล้ว :-[
-
อ่านตอนนี้ สุดแสนโรแมนติก :give2:
ดอกบัวเพียงดอกเดียว ที่นำมาเป็นกระทง
สามารถแปลความหมายของคำว่า"ความรัก"ได้ดีทีเดียว
ลึกซึ้งมาก :L1:
-
ในที่สุดก็บอกความในใจออกมาเสียทีนะคะหมอปีย์ ความจริงตอนนี้มันสมควรจะหวานใช่ไหมคะ? ทำไมดิฉันจึงรู้สึกเศร้าล่ะ รู้สึกเหมือนว่าในอนาคตอัชย์กับหมอปีย์จะต้องแยกกันอะ กรี๊ด ไม่! :serius2:
กอดคุณเซ็งเป็ดแรงๆหนึ่งครั้งค่ะ พร้อมกับกดบวกให้หนึ่งอัน
-
ไอ่หมอ เจ้าทำได้ถูกต้องแล้ว เยส!!!!!!!
o13 o13
ว่าแต่นายอัชย์จะว่าอย่างไรหล่ะ??
แต่เอาจริงๆ ประเด็นน่าจะอยู่ที่ว่า
เมริงสองคนจะอยู่ด้วยกันได้อีกกี่วันหรอ
ยังไงก็เก็บเอาความรู้สึกดีๆ เอาไว้แล้วกัน
แม้จะแยกจากกันแล้วก็ให้รู้ว่า ครั้งหนึ่ง เรายังเคยมีประสบการณ์ดีๆ ในชีวิตอยู่ ^^
แต่อย่าลืมนะนายอัชย์ ความสุขมักมาพร้อมกับความทุกข์เสมอ
เพราะว่ามันคือของคู่กัน ^^
-
:-[ :o8: :impress2: :impress2: :-[ :o8: :impress2: :impress2:
อ่านแล้วเขิลเลย 555
เดี๋ยวนี้หมอโรแมนติกขึ้นนะ :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ชอบๆ
-
หมอปีย์สารภาพรักแล้ว :o8:
เหลือแต่เจ้าบ้า รับรักไปเหอะ :impress2:
-
ในที่สุด~!!!!!! ทีนี้ก็เหลือแต่ให้เจ้าบ้า รักหมอปีย์บ้าง
รูปประกอบก็สวยจ๊ะ :กอด1:
-
โรแมนติกมาก!
ฟังเพลงเราจะข้ามเวลามาพบกันประกอบด้วย จะยิ่งอิน o13
-
งดงามเสียนี้กระไร :-[
เค้ารักกันเเล้ว เค้ารักกันเเล้ว(ยัง! อย่ามามั่ว!!) :impress2: :impress2:
-
ตอนนี้อ่านแล้วมีความสุขจัง หลังจากที่อึดอัดกับการปากหนังของหมอปีย์
แต่เหมือนมีลางสังหรณ์ ว่าหมอปีย์จะได้ไปเที่ยวยุคของเจ้าบ้า555+ ที่นี้หมอจะได้เชื่อเจ้าบ้าสักที
-
มีความสุข หวาน ละมุน ละไม อบอุ่น ซาบซ่านอยู่ในหัวใจ :L2:
-
ฮื่อๆ อ่านเรื่องนี้ทีไร ถ้ามีฉากกระตุ้นอารมณ์ หมอกับอัชย์ เหมือนจะร้องไห้ทุกที ซึ้ง น้ำตาไหล
โดยเฉพาะ “เจ้าคือคนที่เรารอมาชั่วชีวิต พ่ออัชย์” ใจผมพองโตเลยละ พี่นน
-
ถึงตรงนี้ก็ใจจะขาดไปกับหมอปีย์ให้ได้เลย
ให้ตายสิ
การรอคอยมันทรมานมากนะ
แต่ก็คงไม่เท่ากับการได้เจอคนที่รอคอย
แล้วทำอะไรไม่ได้หรอกนะ
ผมว่า
เอาใจช่วยหมอปีย์นะครับ
-
เห็นแววมาม่าลอยตามหลังกระทงมารำไรเลยค่ะ
-
:z1: หมอเเอบเจ้าเล่ นะเราหวานได้อีก อยากให้หมอบอกรักเร็วๆๆ สงสารหมออะ :o12:
-
อ่านตอนนี้แล้ว เขิ๊ล เขิล หมอปีสารภาพรักไปแล้วว
-
คุณ หมอ ขอรับ....แมน แอนด์ โรแมนซ์ มากๆๆ....
-
ชอบหมอปีย์ตอนนี้มากๆเลยค่ะ
โรแมนติกสุดๆ
-
สนุกมากครับ
ขอติดตามเรื่องนี้ด้วยคน
แต่ว่ามีบางตอนที่อ่านแล้วขัดๆ เช่นตอนกินข้าว
ในสมัยนั้นรู้สึกว่าจะใช้มือกินข้าวนะครับ ส่วนช้อนใช้เวลาตักพวกซุป แกง ที่มีน้ำ
แต่ฉากแรกที่กินข้าว เหมือนเจ้าอัชบอกว่าหยิบช้อนกินข้าว เลยดูแปลกๆ อ่าครับ
-
ดีใจที่หมอปีย์กล้าปลดปล่อยความในใจออกมา
แล้วเจ้่าบ้าละ กล้าหรือเปล่า
-
ม...ม...ม...หมอปีย์!!!!! ในที่สุด!
เฮ้อ ปล่อยให้ลุ้นซะแทบแย่ ในที่สุดก็เลิกอมพะนำสักทีนะหมอ
-
อ๊าย ขอกรี๊ดสามร้อยรอบ โอ็ย พ่ออัชย์ก็เปิดใจซะทีสิ
-
เริ่มหวานแล้วววววว
-
อยากให้ความสุขอยู่กับทั้งสองไปนานๆ :กอด1:
-
เอิ่ม. . . หมอคะ
แค่สารภาพรักไปกริ๊กเดียวนี่สกิลนักรักพุ่งปรี๊ดเลยเหรอ
o7 o7 o7
-
เป็นฉากรักที่อ่อนหวาน อ่อนโยน นุ่มนวลที่สุดดดดดดดดดดดด
หมอปีย์นี่โรแมนติกคอดดดดดด อินุ้งอัชย์ ยอมไปเห้อ ป้าเชียร์ :-[
-
บอกไปแล้วอ่ะ
จะเป็นไงต่อ
มาเร็วๆนะ
รอทุกนาทีเลยคับ
..
-
ณ ตอนนี้ ชอบบทนี้ที่สุดค่ะ
:L2: :L2:
รออ่านนะคะ
-
หมอนี่น่ารักจริงๆ
หวานซึ้ง รีบมาต่อนะคะ
-
อ่านตอนนี้แล้วชอบมากๆเลย อยากรู้ว่าจะเป็นยังไงต่อไปทั้งสองคน
-
ลอยกระทงร่วมกันแล้ว แต่นายเอกมิได้รู้ความหมายแต่อย่างใด
นายเอกเราไม่ใช่เจ้าบ้าอย่างเดียวซะแล้วแต่เป็นเจ้าบื้อด้วย
-
อ่านตอนนี้แล้วเพ้อเลยอ่ะค่ะ
หมอปีย์ได้ใจจริงๆ พ่ออัชย์ทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว
หวังว่าพ่ออัชย์คงรู้ใจตัวเองเร็วๆนะว่าใจตรงกับหมอปีย์
ลอยกระทงดอกบัวกับสองเรา
หวานได้อีกจริงๆ
รอตอนต่อไปค่ะ
-
ป๊าด หมอปีย์สารภาพรักแล้วววววววววววววว
อร๊ายยยยยยยยยยยย ตอนนี้อ่านแล้วเขินจัง หมอปีย์นี่ก้เจ้าเล่ห์ใช้ได้เลยนะเนี่ย
ว่าแต่ มาอยู่ริมน้ำแบนี้กลัวอัชย์จะตกน้ำตูม กลับไปโลกอนาคตอีกจัง
-
โอยยย สงสารรรรรร หมอปีย์และพ่ออัชย์ สองคนรักกันแต่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร ในเมื่อมาจากคนละยุค ฮือออออออ
-
:mc4: ในที่สุดหมอก็บอก เย้ๆๆๆ :mc4: :mc4:
-
พ่ออัชทำเป็นกั๊กไว้นะ ชอบเขาก็บอกไปสิ คุณหมอจะได้มีกำลังใจ
-
เอาล่ะ ในที่สุดหมอก็สารภาพไปแล้ว ฮิ้ว~~~
เหลือแต่พ่ออัชย์เนี่ยแหละ ยอมรับใจตัวเองหน่อยเด้
ใช้หัวใจคิด อย่าใช้สมองคิดให้มากกับเรื่องความรักล่ะ หุหุ
-
หมอปีย์สู้ๆ ขอให้ได้กับคนบ้าไวๆ ค๊า ^^
บวกให้ๆ
-
หมอปีย์เกิดเร็วเกินไป ต้องให้เจ้าบ้าย้อนเวลากลับไปหา
-
กด+ให้กับความกล้าของคุณหมอค่า
-
ช่างเป็นเวลาสารภาพรักได้แจ่มชัดนัก หมอปียร์
ส่วนเจ้าอัชย์ ก็สมยอมเสียนี่กระไร
เอาเป็นว่า ทั้งคู่ตกลงเป็นสามีภรรยากันเรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับ คุณนนท์ หึ หึ หึ.....
+1 ให้เป็นกำลังใจครับ
-
ในที่สุด
ก็บอกออกไปแล้วววววว
เยี่ยมมมมมม
-
น่ารักกว่าเดิมเยอะแยะ ชอบบบบบบบบบบบบบ
-
หมอหวานมาก
ท่ามกลางแสงเทียน ดอกบัวขาว
ขอหมอได้ไหม อยากมาก
-
และแล้วหมอก็บอกไปจนได้
-
น่ารักอ่ะ
-
:o8: :o8: :o8:
:-[ :-[ :-[
-
ลึกซึ้งงงง!!!! o7
ช่างงดงาม และอ่อนโยนสุดๆไปเลยเจ้าค่ะ โรแมนติกมากกกกกก พ่อหมอรุกในที่สุด (กว่าจะรุกเค้าได้นะคะ)
บรรยายได้งดงามมากๆเลยค่ะ ชอบสุดๆไปเลยตอนนี้ ไม่หวานเกินไป เเต่ราวกับเป็นสายลมแผ่วๆที่อบอุ่นเข้าไปถึงข้างในเลยล่ะค่ะ :-[ (อ๊าห์----- ถ้าเด็กๆ วันรุ่น หรือคนสมัยนี้อนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีและขนบธรรมเนียมดั้งเดิมอันงดงามของไทยให้ได้แบบนี้บ้างคงจะดีไม่น้อยเลยนะคะ ...หรืออย่างน้อยก็ภูมิใจกับมันให้เท่ากับยกย่องวัฒนธรรมต่างชาติซักหน่อยก็ยังดี :sad4:)
-
พูดได้คำเดียวว่า โรแมนติกมากกก ! :L2:
เมื่อไหร่ไอ้เจ้าบ้ามันจะยอมรับความรู้สึกของหมอปีย์ซักทีนะ :เฮ้อ:
-
ในที่สุดก็บอกออกไปแล้วเยี่ยมมากหมอปีย์
หลังจากนั้นก็โรแมนติกซะ ทีนี้ก็เหลือแต่เจ้าบ้าว่าจะเอายังไง
:pig4: สำหรับนิยายดีๆครับ
-
รอต่อนะครับ
-
มารอลุ้นตอนต่อไป
-
รอ ร้อ รอ..
-
สนุกมากคร่า
อ่านแล้วได้อะไรหลายอย่างจากเรื่องนี้
ใช้ภาษาสวยด้วย นับถือจริงๆ อ่านแล้วเคลิ้ม นึกว่าอ่านวรรณคดีเลยนะเนี่ย
รีบมาต่อนะคะ o13
-
เรื่องดำเนินไปอย่างเรียบเรื่อย แฝงข้อคิดได้เป็นอย่างดี
ต้องขอขอบคุณมากสำหรับนิยายดีๆแบบนี้
-
จ้า
เที่ยวให้สนุกเน้อ
รอเสมอจ้ะ^^
-
รับทราบค้าฟฟ
จะรอต่อไป ชอบที่สุดเลยอ่าาา o13
-
ถ้าประเพณีลอยกระทงสมัยนี้เป็นแบบสมัยก่อนคงดีนะคะ
ชอบจังค่ะ^^
-
ขอให้ไปเที่ยวให้สนุกนะคะ
รอหลังสงกรานต์จ้า
-
(http://image.ohozaa.com/i/036/2586163362_971cd921dc.jpg)
ผมกับหมอปีย์นั่งรับลมอยู่ครู่ใหญ่ ช่วงเวลานั้นเหมือนกับว่ามันจะหยุดนิ่งลงเพื่อให้เราสองคนได้ฟังเสียงลมหายใจของกันและกัน รอบๆตัวเราตอนนี้สว่างสไวไปด้วยแสงจากเทียนที่ลอยแกว่งไปมาในสายน้ำ อีกทั้งกลิ่นดอกราตรีและเล็บมือนางที่ลอยมาตามลมจากที่ใดที่หนึ่งนั้นก็ทำให้ผมถึงกับเคลิบเคลิ้มไป
“ฝั่งนู่นเป็นอะไรเหรอ” ผมเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ
“ฝั่งกระนู้นะหรือ เป็นเรือนคหบดีชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่ง เราเองก็มิแน่ใจนัก เรือนของท่านอยู่ลึกเข้าไปในดงลำพูนั่น”
หมอปีย์อธิบาย มือของเขาเอื้อมไปที่กอต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ริมน้ำ
“เจ้าคอยเงี่ยหูฟังนะ” เขาทำเสียงค่อยๆ
“อะไรเหรอ” ผมถาม พยายามมองไปที่มือที่กำแน่นของเขา
“เอาเถิด รอฟังเสียงนี่ก็แล้วกัน” ว่าแล้วเขาก็ค่อยๆโปรยเมล็ดบางอย่างลงไปในแม่น้ำ
ผมเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
.
.
.
.
.
“ได้ยินอะไรรึป่าวพ่อ” หมอปีย์ถาม ผมทำหน้าฉงน ไม่ยักกะได้ยินเสียงอะไร
“เสียงอะไรของนาย”
หมอนั่นส่ายหัวไปมาก่อนจะก้มลงไปเก็บเมล็ดบางอย่างขึ้นมาอีก คราวนี้หมอนั่นให้ผมวักน้ำขึ้นมาใส่อุ้งมือไว้
“ทำมือดีๆสิ เจ้าบ้า อย่าให้น้ำไหลออก” เขาจับมือผมชิดแน่นกัน ก่อนจะค่อยๆหย่อนเม็ดบางอย่างลงไปในมือผม
เม็ดนั่นเป็นเม็ดของต้นอะไรสักอย่างที่ขึ้นอยู่ริมน้ำ เม็ดเรียวยาว สีน้ำตาล ขนาดเท่าปลายไม้ขีด
“คอยดูดีๆนะ” หมอปีย์กำชับ ผมจ้องเม็ดที่อยู่นมือนั่นอย่างตั้งใจ มันลอยแน่นิ่งอยู่ในน้ำที่ผมประคองไว้ในมือไม่ให้ไหล
“ไม่เห็นมีอะไรเลยหมอ เล่นอะไรอีกหล่ะเนี๊ยะ”
หมอปีย์ไม่ตอบออะไร ผมจ้องไปอีกพักเดี๋ยว เม็ดที่อยู่ในมือก็แตกออก เสียงดัง “เป๊าะ แป๊ะ เป๊าะ แป๊ะ”
“โห หมอ หมอ มันแตกออกมาด้วย นายเห็นป่าวเมื่อกี้” ผมทำน้ำเสียงตื่นเต้น เพราะไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ส่วนหมอนั่นยิ้มมองผมอย่างเอ็นดู
“เขาเรียกว่าเม็ดต้อยติ่ง เวลาโดนน้ำแล้วมันจะแตกออกมาเสียงดังเปาะแปะ” เขาอธิบาย
“เหรอๆ เฮ้ย เจ๋งว่ะ” ผมอดตื่นเต้นไม่ได้
“นี่ เจ้าบ้า เรามาแข่งกันมั๊ย อมเม็ดต้อยติ่งไว้ในปาก ใครเม็ดต้อยติ่งแตกก่อนแพ้” เขาท้า
“เฮ้ย ท้าชั้นเหรอ ได้เลยได้เลย” ผมว่าพลางก้มลงไปดึงเม็ดต้อยติ่งริมน้ำมาเม็ดหนึ่ง หมอนั่นก็เหมือนกัน
เราทั้งคู่นับ หนึ่ง สอง สาม ก่อนจะโยนเม็ดต้อยติ่งเข้าปาก
ทั้งผมและมันต่างแน่นิ่งกันทั้งคู่ เราจ้องตากันรอลุ้นว่าเม็ดต้อยติ่งใครจะแตกก่อนกันอย่างตื่นเต้น แต่ยิ่งผมจ้องตาหมอปีย์มากขึ้นเท่าไหร่ หัวใจผมก็สั่นราวกับมีใครมากำหัวใจผมแล้วเขย่าอย่างนั้นแหละ แววตาคู่นั้นเมื่อต้องแสงเทียนเป็นประกายชวนเคลิบเคลิ้ม ดวงตัวสีน้ำตาลอ่อน ขนตาที่งอนหนา เหมือนแขก แววตานั้นเหมือนกำลังมองทะลุทะลวงเข้าไปถึงความคิดของผม เขากำลังอ่านความคิดผมอยู่รึเปล่า
ไม่สิ
เขาไม่ได้อ่านความคิดของผม
แต่เขาพยายามกล่อมผมให้เคลิบเคลิ้มไปกับแววตาคู่นั้น
แล้วทำไมเขาต้องเผยอยิ้มด้วยวะ หรือว่าเราทำอะไรน่าขัน ต้องก้มหน้า หลบตาๆ
เฮ้ย ทำไม ทำไมเราหลบตาเขาไม่ได้ ทำไมเราถอนสายตาไปจากดวงตาคู่นั้นไปไม่ได้
หรือว่าเรา เรา .........................
ความคิดผมวกวนไปมา แก้มที่บวมเป่งจนรู้สึกได้เพราะอมเม็ดต้อยติ่งอยู่ มือข้างหนึ่งกำของเล่นของเจ้าแดงไว้แน่น ส่วนอีกข้างกำมือตัวเองแน่นไม่แพ้กัน
“เมื่อไหร่มันจะแตกซะทีวะ” ผมคิด
“เพี๊ยะ” และแล้วเม็ดต้อยติ่งในปากผมก็แตกออกดังเพี๊ยะ จนผมรู้สึกเจ็บจิ๊ดๆเบาๆ เม็ดเล็กๆของมันกระจายอยู่เต็มปากผมไปหมด ผมหันไปถุยเอาเม็ดต้อยติ่งออก หันมาอีกที่เม็ดต้อยติ่งของหมอปีย์ยังไม่แตก อึดจริงๆนะมึง
“ยอมแล้ว แพ้แล้ว คายออกมาเหอะ” ผมบ่นอุบ
เขายอมคายออกมาโดยดี ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง
“หัวเราะอะไร” ผมถาม
“ก็หัวเราะเจ้านะสิ เจ้าบ้า เจ้านี่นอกจากจะบ้าแล้วยังซื่ออีกนะ” เขายังไม่หยุดหัวเราะ “เม็ดต้อยติ่งที่เราอม ต่อให้เอาไปอีกสิบชาติ ก็หาได้แตกไม่ เพราะนี่มันเม็ดต้อยติ่งอ่อน ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
ผมงงอยู่พักหนึ่ง อะไรคือเม็ดต้อยติ่งอ่อน ก่อนจะมาร้องอ๋อ ว่าเม็ดต้อยติ่งอ่อนมันยังไม่แก่ เมื่อไม่แก่ มันก็ไม่แตกนั่นเอง
เมื่อรู้อย่างนั้นผมก็โกรธสิครับ โดนโกงนี่หว่า
“ไอ้หมอเฮงซวย ไอ้หมอขี้โกง” ผมว่า แต่ไม่ทันเสียแล้ว หมอนั่นรีบลุกขึ้นก่อนจะจ้ำอ้าวเดินหัวเราะร่าออกไปจากท่าน้ำ
ผู้คนทยอยกันเดินกลับเรือน เด็กๆทั้งหลายที่ไม่ยังไม่อยากกลับก็มักถูกพ่อแม่เอ็ดเสียงดังเซ็งแซ่
ผู้ใหญ่มักหลอกเด็กว่า ถ้าไม่รีบกลับเรือน เสือสมิงจะมาคาบไปกิน แค่นี้ฝูงเด็กทะโมนเหล่านั้นขี้คร้านจะวิ่งแจ้นนำพ่อแม่กลับบ้านด้วยความกลัว
ผู้ใหญ่บางคนที่ยังไม่ง่วงนอนก็เดินกลับมารอดูโขนที่กำลังเร่งแต่งตัวกันอยู่หลังโรง โขนนั้นมักจะลงโรงเสียดึกดื่น เด็กๆมักไม่ค่อยได้มีอากาศดูเพราะต้องรีบกลับเรือนนอน
เหล่าตัวโขนนั้นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์วูบวาบระยิบระยับไปหมด อีกทั้งท่ารำที่อ่อนช้อย แต่แข็งแกร่ง ดูนิ่มนวลแต่แข็งแรงนั้น ทำเอาผมทึ่งไปไม่น้อย หมอปีย์เองดูท่าจะไม่ค่อยชอบใจโขนเท่าไหร่ ผมเห็นเขายืนหันไปหันมา
“นายไม่ชอบโขนเหรอ” ผมถาม
“ไม่ใช่เยี่ยงนั้นดอก เพียงแต่ขยาด” เขาทำหน้าแหยง
“ขยาดเรื่องอะไร”
หมอปีย์ทำท่าอึดอัดใจที่จะเล่า แต่ท้ายที่สุดเขาก็ยอมเอ่ยปาก
“ตอนเด็กๆก่อนที่พ่อแม่เราจักพาเรามาฝากไว้ที่หมอเจอราร์ทนั้น พ่อได้นำเราไปฝากไว้กับคณะโขนพร้อมกับผ้าขาวหนึ่งผืน ดอกไม้เจ็ดสี ธูปเทียนและอัฐ” เขาเล่า ผมตั้งใจฟังจนลืมดูโขน
“แล้วไงต่อ”
“ครูโขนจับมือเราตั้งท่ารำเพื่อเป็นพิธีว่ารับเราเป็นลูกศิษย์แล้ว ท่านว่าเรานั้นตัวเล็กกว่าเพื่อน” ผมมองมันหัวจรดเท้า นี่อ่ะนะ ตัวเล็ก ตัวยังกับควาย
“ก็เลยให้เราเป็นลิง”
แค่นั้นแหละผมหัวเราะลั่นเลย “ฮ่า ฮ่า ฮ่า เออ แห๊ะ ครูนายนี่ตาถึงดีแท้ มองๆไปนายก็เหมือนลิงจริงๆนั่นแหละ” ผมขำ
“เจ้าจักฟังอีกหรือไม่ ถ้าไม่เราจักได้หยุด” มันงอน
“โอ้ โอ้ ฟังสิๆ แล้วไงต่อ”
“ตอนนั้นเราลำบากที่สุด ต้องอยู่กินกับครู คอยรับใช้ เช็ดเรือน ถูเรือน ตักน้ำ ล้างชาม ขัดกระไดสาระพัดที่ครูจะใช้ แต่นั้นมิได้ทำให้เราลำบากเท่ากับการฝึก เฮ้อ” เขาถอนหายใจไหล่ยวบ
“เจ้าบ้าเอ๋ย เรายังจำเพลาที่ฝึกนั้นดี เพลาที่ครูจับฉีกขาให้ยืนตั้งฉาก เพลาที่ท่านดัดมือด้วยน้ำซาวข้าว เพลาที่เราถูกฟาดด้วยหางกระเบนเพราะจำท่ารำเสียมิได้ มิมีวันไหนที่เรามิเสียน้ำตา” เขาเล่าให้ฟังแววตาดูแหยงๆ
“โห ขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วนายมาอยู่เรือนหมอเจอราร์ทได้ยังไงหล่ะ” ผมใคร่รู้ถาม
“เราตามครูไปแสดงโขนที่งานสมโภชน์ภูเขาทองนี่แหละ แสดงเป็นลิงปลายแถว เหตุเพราะเราตัวเล็กสุด หมอเจอราร์ทท่านมาเห็นเข้า นึกต้องชะตา จึงนำเรากับพ่อแม่ ไปชุบเลี้ยง” เขายิ้มออกมาได้ซะที
“แสดงว่ากว่าจะมารำโขนแบบนี้ได้นี่คงยากน่าดูสินะ” ผมนึกเสียดายแทนที่สมัยผมนั้น วัยรุ่นน้อยคนจะมาสนใจการแสดงแบบไทยๆอย่างนี้
“ใช่ ยากทีเดียว เราเองหามีบุญพอได้สืบทอดการแสดงอันวิจิตรเหล่านี้ไม่ หวังแต่เพียงว่าจะมีใครสืบทอดมันให้ลูกหลานเราได้ชื่นชม” เป็นอีกครั้งที่ผมสะอึก
ผมชวนหมอปีย์เดินออกมาจากโรงโขน เสียงปีพาทย์ดังเร่งจังหวะ เป็นการเร่งอารมณ์ผู้ชมให้ตื่นเต้นไปกับการสู้รบระหว่างทศกัณฑ์กับพระราม
“นาย” ผมเรียก “นายจะรู้สึกยังไง ถ้าอีกร้อยปีต่อจากนี้ ลูกหลานนายจะไม่รู้ว่าโขนคืออะไร ระนาดเอกคืออะไรและภาษาไทยเขียนให้ถูกต้องได้ยังไง” ผมถามไปตรงๆ หมอนั่นหยุดและหันมามองผม ราวกับตกใจในสิ่งที่ผมพูด แต่เขาจะตกใจได้ยังไงในเมื่อเขาไม่เชื่อว่าผมมาจากอนาคตของสยาม
เอ๋ หรือเขาเชื่อ........................
“เจ้าว่ากระไรนะ เจ้าว่าลูกหลานเราจักลืมความเป็นไทกระนั้นรึ” เขาทำเสียงเข้ม
“เอ่อ เอ่อ ก็แค่สมมุติน่ะสมมุติว่าลืม แหะๆ” ผมยิ้มแห้งๆ รู้สึกผิดที่ถามคำถามตรงขนาดนี้
“ หากเป็นเยี่ยงนั้นจริงจักให้เรารู้สึกกระไรได้ นอกจากเสียใจ เสียใจที่พวกเขาไม่เห็นคุณค่าของจารีตวัฒนธรรมอันดีงามที่บรรพบุรุษสั่งสมมา” หมอปีย์สีหน้าสลดลงอย่างชัดเจนจนผมตกใจ ไม่คิดว่าเขาจะจริงจังขนาดนั้น
“เฮ้ยๆ ไม่ต้องเสียใจหรอก ชั้นก็แค่ถามไปอย่างนั้นแหละ แหม ของสวยๆงามๆแบบนี้ ใครจะปล่อยให้สูญหายไป คงมีใครบ้างแหละที่รู้ค่าของมัน จริงป่าว “ ผมปลอบหมอนั่น “ไปกันเถอะ ชั้นอยากไปดูงานฝั่งกระโน้น”
เราสองคนเดินกลับเข้าไปในงานบริเวณลานขายของอีกครั้ง พ่อค้าแม่ขายต่างทยอยกันเก็บของบ้างแล้ว เพราะชาวบ้านเริ่มน้อยลง ผมเดินผ่านร้านขายของเล่นอีกครั้ง มีดพับกระดาษ หมวกแขก ดอกไม้ไฟ ถูกนำมาวางล่อเด็กที่หน้าร้าน นอกจากนั้นก็มีชฎาใบลาน เรือบิน หม้อข้าวหม้อแกงสำหรับเล่นขายของ ผมนั้นยังอยากได้งูไม้ระกาไปฝากเจ้าแดงมันอีกสักตัว แต่ก็เกรงใจหมอปีย์ จึงแกล้งทำเป็นไม่สนใจ รีบเดินผ่านร้านของเล่นไป
ถัดจากร้านของเล่น ก็เป็นร้านขายขนมแห้งๆ พวกลูกหยี เม็ดมะม่วงหิมพานต์จากปักษ์ใต้ ขนมผิง ขนมกลีบสละ ที่ใส่ขวดโหลวางเรียงรายล่อตาล่อใจเด็กๆ
อีกฝั่งตรงข้ามของร้านนั่นเป็นโรงละครลิงที่กำลังแสดงเรื่องจันทโครบอยู่ ผมสนใจจึงรีบลากมือหมอปีย์เข้าไปดู
“หมอๆ มาดูญาติหมอแสดงละครกัน” ผมล้อ แต่หมอนั่นไม่เล่นด้วย หันมามองผมตาเขียวปั๊ด
ผู้คนหัวเราะกันครื้นเครงระหว่างที่ลิงกำลังแสดงละคร ผมไปทันตอนที่ลิงตัวหนึ่งคาดว่าจะเป็นพระเอก กำลังเปิดผอบ สักพักก็มีลิงอีกตัวที่แต่งหน้าทาปากสีสดออกมา น่าจะเป็นนางโมราห์ เสียงคนพากษ์ พากษ์ไป คนดูก็หัวเราะไป ลิงก็แสดงไป ผมยืนดูลิงใช้ดาบที่ทำมาจากทางมะพร้าวฟันกันไปมาอยู่พักใหญ่ เห็นว่าหมอปีย์เริ่มหาว จึงถอยออกมาจากโรงละคร
“ นายง่วงแล้วเหรอ” ผมถาม
“ยังดอก เจ้าอยากดูอันใดอีกก็ตามใจเถิด” เขาตอบก่อนจะอ้าปากหาวอีกครั้ง
“ยังอะไรวะ หาวจนน้ำหูน้ำตาไหลแล้ว ยังจะบอกว่าไม่ง่วง งั้นกลับบ้านกันเถอะ” ผมชวน ทั้งๆที่ก็ยังอยากดูอะไรต่อมิอะไรต่อ
ผมเดินผ่านร้านรวงต่างๆออกมาจนเกือบจะถึงทางออก ก็ได้ยินเสียงร้องขายของดังขึ้น
“หอมสนิทติดทนนาน ทาพี่หอมน้อง ทาน้องหอมพี่ ทาผัวหอมเมีย ทาเมียห๊อมมมมมมมมมไปถึงผัว เชิญเข้ามาเลือกดมได้เลยจ้า ดมสักนิดจักติดใจนะจ๊ะ”
ร้าขายน้ำปรุงนั่นเอง ผมหันไปมองเพราะนึกขึ้นกับคำโฆษณา คนเต็มร้าน ผู้หญิงคนขายนั้นทำหน้าที่เรียกลูกค้า ส่วนผู้ชายอีกคนที่คาดว่าน่าจะเป็นสามีนั้น ทำหน้าที่ตักน้ำปรุงใส่ขวดแก้วขาย
“เจ้าอยากซื้อรึ”
ผมพยักหน้าเบาๆ ประมาณว่า ไม่ได้อยากได้มาก แต่ก็................อยากได้อ่ะ ก็มาอยู่ที่นี่นาน ไม่มีน้ำหอมใช้เลย ตัวเหม็นจะตาย
“มิต้องเสียอัฐซื้อดอก เดี๋ยวมะเรื่องเราจักพาเจ้าไปหาแม่รำพึง แม่รำพึงปรุงน้ำอบน้ำปรุงได้หอมยวนใจกว่านี้ยิ่งนัก”
เขาว่า
พวกเราเดินผ่านหน้าร้านขายขนมเบื้องของแม่สน หล่อนกำลังวุ่นอยู่กับการเช็ดกะโหลก กะลา กระจ่า กระบวย ที่ทำมาจากกะลามะพร้าว ตอนที่ผมช่วยหล่อนทำขนมนั้น หล่อนเล่าให้ฟังว่า มะพร้าวมีประโยชน์มาก ต้นใช้ทำเรือน ใบใช้มุงหลังคา ก้านใช้ทำไม้กวาดลาน มะพร้าวทั้งลูกก็เอาทำหมอนหนุน หรือไม่หากปอกเปลือก เปลือกก็ยังเอาไปทำปุ๋ย หรือทำแปรง กะลาที่เหลือก็ไม่ทิ้ง เอาไปทำขัน ทำกระบวย กระจ่าไว้ตักข้าวตักขนมอีกก็ยังได้
ผมก็เห็นว่าเป็นจริงตามนั้น เพราะเกือบทุกบ้านผมเห็นกระบวยตักน้ำก็ทำมากจากกะลา หน้ากระไดก็มีขันจากกะลาลอยน้ำอยู่ไว้ตักน้ำล้างเท้า ขันจากกะลานี้ดี ไม่จมน้ำ
“กลับเรือนกันก่อนเถอะขอรับ คุณหลวง ทางนี้ประเดี๋ยวกระผมจัดการเอง” สนไล่ให้เราทั้งคู่กลับบ้านไปก่อน ซึ่งก็ถือว่าดีเหมือนกัน เพราะว่าวันนี้ผมเหนื่อยมาทั้งวัน ตอนนนี้ก็เริ่มง่วงแล้วด้วย
ต้นลั่นทมต้นใหญ่กำลังออกดอกสะพรั่งอยู่ริมทางเดิน ดอกลั่นทมสีขาวนวลตรงกลางกลีบมีสีเหลืองอ่อนไปหาเข้มคล้ายคนเอาสีทา กลิ่นหอมเย็นชื่นใจดีนัก ระหว่างทางเดินกลับบ้านนั้น มีต้นลั่นทมอยู่เรียงรายรอบๆวัดเต็มไปหมด ดอกร่วงหล่นเกลื่อนพื้นจนผมอดเก็บเอามาดมไม่ได้
“หอมเน๊อะ ดอกลีลาวดีเนี๊ยะ” ผมว่าพลางสูดกลิ่นดอกนี้เสียงดังฟูดดดดดดดดด
“เจ้าว่าดอกนี้คือดอกอะไรนะ” หมอปีย์ถาม
“ดอกลีลาวดี ทำไมเหรอ”
“บ้านเมืองเจ้าเรียกดอกนี้ว่าลีลาวดีเหรอ อืม ไพเราะดีเหมือนกัน ดีกว่าชื่อลั่นทมเป็นไหนๆ” เขาพยักหน้าเชิงเห็นด้วย
“แต่ว่าการที่เจ้าเก็บดอกลั่นทมมาดมนั่น หาได้เป็นเรื่องที่ควรทำไม่”
“ทำไมอ่ะ”
“ดอกลั่นทมเป็นดอกไม้งานศพ ไม่เหมาะจักเอามาชื่นชมดมดอม”
“เฮ้ย บ้าเหรอ บ้านชั้นดอกนี่เค้าเอาไว้จัดสวนจัดบ้าน จัดรีสอร์ท ต้นละเป็นหมื่นเป็นพัน”ผมเถียง
“แล้วทำไมเขาถึงเอาดอกลั่นทมไปไว้สำหรับงานศพหล่ะ” ผมถาม ยังไม่หยุดดม
“ก็เพราะดอกลั่นทมมีกลิ่นหอมแรง กลบกลิ่นศพได้ดี จึงมักนิยมวางไว้ใกล้ๆศพ” หมอปีย์อธิบาย และคำอธิบายของมันนั่นเองที่ทำให้ผมขว้างดอกลั่นทมทิ้งแทบไม่ทัน เสียอารมณ์สุนทรีย์อย่างแรง
-
^
^
^
จิ้มตูดพี่เซ็งเป็ด
ดีใจมาก่อนใคร
ไปอ่านก่อน
-
“โห หมอ นั่นแสงอะไรน่ะ” ผมชี้ไปที่แสงไฟที่ส่องประกายวิบวับวิบวับ ระหว่างที่เราเดินกลับบ้านพร้อมกัน ดึกดื่นของค่ำคืนนี้มีเพียงเราสองคนบนเส้นทางมืดเปลี่ยว
“อ๋อ หิงห้อย เจ้ามิรู้จักหิงห้อยรึ” เขาทำหน้าสงสัย
“เคยแต่ได้ยินชื่อ แต่ไม่เคยเห็น” ผมตอบ
“แปลกคนจริงๆ” เขาว่า
จริงๆแล้วสำหรับผมมันไม่แปลกหรอกที่จะไม่เคยเห็นหิงห้อยมาก่อน ผมเชื่อว่าใครหลายต่อหลายคนในยุคผมเองก็ไม่เคยเห็นหิงห้อยเหมือนกันนั่นแหละ จะไปเห็นได้ยังไงกันล่ะก็แสงไฟนีออนทั่วบ้านทั่วเมืองขนาดนั้นแสงหิงห้อยหรือจะสู้ได้ อีกอย่างยุคผมต้นลำพูก็ไม่เหลือให้เห็นแล้วด้วย
“อยากได้สักตัวว่ะ” ผมเปรยเบาๆ แต่ก็ไม่สนใจอะไร แค่เห็นว่ามันสวยดีเลยอยากลองเอามาดูใกล้ๆก็เท่านั้น
เราทั้งคู่เดินกลับบ้านกันอย่างเงียบๆหมอนั่นเงียบไปเลยหลังจากเดินผ่านต้นลำพู
ผมไม่รู้เหมือนกันว่าหมอปีย์คิดอะไรของมันอยู่ จู่ๆ มันก็เงียบไปเฉยๆ สงสัยผมคงพูดอะไรผิดหูมันอีกแน่ๆ
“ช่างมันสิ ใครจะสนใจ” ผมบอกตัวเอง
“เจ้าบ้า!!!” หมอนั่นตะโกนเรียกผม “เจ้ากลับเรือนไปก่อน เรามีธุระจักต้องทำเสียหน่อย”
ผมงงเลย จู่ๆมันก็หน้าตาซีเรียสขึ้นมา นี่ผมทำอะไรผิดอีกรึปล่าววะเนี๊ยะ ไม่นะ ก็ไม่ได้พูดอะไรไม่เข้าหูมันสักหน่อย เดินมาดีๆ จะว่ามันหมั่นไส้ที่ผมเสือกเดินนำหน้ามันก็คงไม่ใช่
เอ หรือว่า
“อ๋อ นายจะไปบ้านคำแก้ว แฟนนายน่ะสิ” ต้องใช่แน่ๆ โธ่เอ้ย ไหนบอกว่า...............ที่แท้ก็พูดพล่อยๆแค่นั้นเอง
“ธุระของเรา มิเกี่ยวกับเจ้า เราบอกให้กลับเรือนไปก่อนก็กลับไปก่อน”
พอรู้ทันทำมาเป็นเสียงเข้มนะมึง ไอ้หมอเฮงซวย
“เออ รู้แล้ว ไม่ต้องมาไล่หรอก ไอ้หมอ โธ่เว้ย” ผมหันหลังเดินบ่นพึมพำๆ “ทำมาเป็นไล่ทำเสียงแข็ง อยากไปหาแฟนก็บอกมาดีๆก็ได้ ไม่มีใครเขาผูกขานายไว้เสียหน่อย โธ่” ผมบ่นไปเรื่อ่ย
“รีบไปสิ เดี๋ยวแฟนนายก็รอแย่หรอก ไป๊” ผมตะโกนด้วยความหงุดหงิด ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องหงุดหงิด
แสงจันทร์สาดส่องนำทางให้เห็นถนนดินดานสีขาว ที่ทำเป็นทางยาวเกิดจากล้อของเกวียน สองข้างทางรกครึ้มไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย ริมถนนนั้น บางช่วงเต็มไปด้วยหญ้าเจ้าชู้ หมอปีย์หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้
แต่เรือนหมอปีย์อยู่ห่างจากตรงนี้อีกไม่ไกล
“ชิส์ ไอ้หมอเจ้าเล่ห์ โด่ แกล้งทำเป็นมาพูดหวานใส่กู เกือบเคลิ้มไปแล้วมั๊ยหล่ะ ดีนะที่ไม่หลงกลมัน ร้ายนักนะมึง อย่าให้ถึงตากูมั่ง แล้วมึงจะรู้สึก” ผมยังเดินบ่นไม่หยุด รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจบอกไม่ถูกเมื่อรู้ว่า หมอนั่นจะไปหาคำแก้ว
“โธ่เว้ย!!!” ผมหวดก้านไม้ไผ่ที่ถือติดมือมาไปยังกิ่งไม้ข้างๆเสียงดังขวับ เพื่อระบายอารมณ์ บางครั้งเผลอบีบของเล่นเจ้าแดงจนเกือบเต็มแรงก็มี
เรือนหมอปีย์เงียบเชียบ มีเพียงแสงไฟจากตะเกียงเจ้าพายุที่ยังคงทำหน้าที่ส่องสว่าง อาจเป็นเพราะเวลานี้เกือบเที่ยงคืนแล้ว บ่าวไพร่เรือนนี้เลยหลับนอนกันเสียหมด เพราะรุ่งเช้าต้องตื่นมาทำงานก่อนไก่ขัน
หมอปีย์นี้นับว่าเป็นนายที่ดีคนหนึ่ง เขาไม่ค่อยจะดุบ่าวไพร่ เวลาพักผ่อนของบ่าวไพร่ก็ไม่เคยจะเรียกใช้เพราะเขาถือว่าเป็นเวลาส่วนตัว ครั้งหนึ่งผมโดนดุเรื่องที่มากินข้าวสาย หมอนั่นให้เหตุผลว่า
“จักทำอันใดตามใจเรามิได้ เรือนนี้หาได้มีแค่เจ้าอยู่เพียงคนเดียวไม่ หากเจ้ามากินสำรับสาย บ่าวไพร่มันก็ต้องสายรอเจ้าไปด้วย ไหนงานที่พวกมันจักต้องทำอีก ทำอันใดให้คิดถึงใจเขาใจเราให้มั่น”
ผมนั่งฟังอยากสงบเสงี่ยม และก็เห็นด้วยกับสิ่งที่มันพูด
วันนี้ก็เช่นกัน ผมอยากจะอาบน้ำอุ่นมากเพราะหนาว แต่พอนึกถึงคำนั้นของหมอปีย์ก็เลยไม่อยากปลุกบ่าวไพร่ให้เอิกเกริก
น้ำในโอ่งดินนั้นเย็นเฉียบ ไหนจะลมหนาวที่พัดมาวูบๆ ทำให้ผมสั่นริกๆ ตักน้ำเงื้อขึ้นมาจะอาบๆตั้งหลายครั้งแต่ก็ทำใจไม่ได้
“เอาวะ 1 2 3” แต่แล้วก็ยั้งมือไว้ทุกที
เป็นอย่างนี้อยู่หลายครั้งพอเห็นว่ามันชักจะนานไปแล้ว ก็เลยตัดใจราดตูมทั้งตัว
“โอ้ยยยย หนาวเหี้ยๆ หนาวเหี้ยๆ” ผมเต้นผางๆไม่เป็นท่า มือก็ควานหาเปลือกหมากมาจิ้มเกลือแปรงฟัน
ตอนมาที่นี่แรกๆผมร้องหาแปรงสีฟันกับยาสันเสียยกใหญ่ บ่าวไพร่เรือนนี้จนปัญญาที่จะหาให้ผมได้ ผมเลยงอนไม่แปรงซะเลย
แต่งอนไปได้ไม่เท่าไหร่ ทนกลิ่นปากเน่าๆของตัวเองไม่ไหว เลยจำใจต้องยอม
ตอนนี้เริ่มชินกับการแปรงฟันแบบนี้แล้ว ทำไปทำมาแปรงแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่เสียวฟัน แล้วเลือดก็ไม่ออกเหมือนเดิมแล้ว
บ่าวไพร่เรือนนี้กินหมากกันทั้งเรือน ฟันดำปี๋ ยิ้มทีผมหัวเราะทุกที เพราะมันตลก พวกเขากินหมากกันเป็นงานอดิเรก ว่างเป็นกิน ว่างเป็นกิน ผมเองก็เคยลองกินมาครั้งนึง แต่ไม่ไหวทั้งฝาดทั้งเผ็ด แถมยังยัน(เมา)อีกต่างหากเลยเลิกกิน
พอกินหมากเสร็จ เปลือกหมากบ่าวก็เอามาตัดเป็นแปรงสีฟันคอยเอามาเปลี่ยนให้ทุกวัน ผมก็เลยได้แปรงสีฟันใหม่ทุกวัน
ส่วนยาสีฟันนั้น หมอปีย์เล่าว่าที่นี่ทเอง หมอเจอราร์ทท่านสอนให้สนทำ นั่นก็คือเอาเกลือสตุ สารส้มสตุ พิมเสน ผงถ่านป่นละเอียด กานพลูป่น ข่อยป่น เอามาผสมรวมกัน ยาสีฟันที่นี่จึงเป็นสีดำปี๋น่ากลัว
แต่หมอปีย์บอกว่าถึงหน้าตามันจะไม่งาม แต่สรรพคุณนั้นล้นเหลือ
เกลือช่วยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน
พิมเสนทำให้กลิ่นปากหอมสดชื่น
ผงถ่านนั้นทำให้ฟันขาว แก้คราบเหลืองๆด้วย
ข่อยช่วยรักษาโรคเหงือก แก้รำมะนาด ช่วยให้ฟันไม่โยกเยกง่ายๆ
ส่วนกานพลูนั้นรสออกเผ็ดซ่าๆช่วยแก้ปวดฟัน
ตอนผมสีฟันครั้งแรกนั้น รสชาติเหมือนตอนแปรงฟันกับยาสีฟันวิเศษนิยมเลยทีเดียว
และตั้งแต่ผมมาอยู่ที่นี่ ทุ่นรายจ่ายค่าเครื่องสำอางค์ไปเยอะมากโขทีเดียวเหมือนกัน เพราะที่นี่เครื่องสำอางค์ที่จำเป็นมีแค่ “แป้ง ขมิ้น ดินสอพอง” แค่นั้นพอ ไม่ต้องมีครีมกระชับรอบดวงตา ครีมลบเลือนริ้วรอยรอบฝีปาก ไม่ต้องมีโรลออนจักกะแร้ขาว ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาล่างจุดซ่อนเร้นเป็นพิเศษให้วุ่นวาย
“ชีวิตช่างง่ายดีแท้”
เมื่อจัดการอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยผจึงเตรียมตัวนอน
ดึงมุ้งลงมา ก่อนจะค่อยๆจัดชายมุดเข้าไปใต้เสื่อจันทบูร เมื่อล้มตัวลงนอน หัวอันหนักอึ้งที่เต็มไปด้วยเรื่องของหมอนั่นก็เริ่มทำงาน
ผมเริ่มคิดถึงหมอปีย์ขึ้นมาอีกแล้ว
ป่านนี้แม่งจะทำอะไรกับคำแก้วบ้าง
คงพลอดรักกันฉ่ำใจ
หรือไม่หมอนั่นก็คงจะพูดหวานๆเหมือนที่พูดกับผมแน่ๆ
“เฮ้ย จะคิดถึงมันทำไม นอนได้แล้ว” ผมพยายามข่มตาหลับไม่คิดถึงเรื่องหมอบ้านั่น เปลี่ยนเรื่องมาคิดถึงเรื่องที่บ้านแทน
ป่านนี้ไม่รู้ที่บ้านจะเป็นอย่างไรบ้าง ลูกชายหายไปทั้งคน แต่ให้ผมเดา เขาคงไม่ห่วงหรอก ผมเคยหายไปทีละสองสามเดือนก็มี ก็ไม่เห็นจะตามหา คราวนี้ก็คงเหมือนกัน คงกำลังวุ่นวายอยู่กับไอ้สมบัติบ้าๆนั่น หรือไม่ก็มัวแต่ทะเลาะกันเอง
“ถ้าหนูวาดรู้ว่าต่อไปลูกหลานจะบาดหมางกันอย่างนี้ ท่านคงจะเสียใจมากแน่ๆ” ผมคิด
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” เสียงเคาะประตูทำให้ผมสะดุ้ง
“ใคร” ผมร้องถาม
“เราเอง เจ้าบ้า” เสียงของปีย์นั่นเอง หมอนั่นมาทำอะไรที่ห้องผมป่านนี้ หรือว่ามันจะมาปล้ำผม เจ้ย บ้าไปแล้ว เป็นไปไม่ได้
“เออ เออ” ผมลุกขึ้นจากเตียงขมวดปมกางเกงแพรให้แน่น จุดตะเกียง ก่อนจะเดินไปเปิดประตู “มีอะไร”
“ให้เราเข้าไปข้างในหน่อยเถิด” หมอปีย์ยืนนิ่งมือไพร่หลัง
“มีอะไร นี่มันดึกแล้ว” ผมว่า แต่หมอนั่นไม่ฟังเสียง เขาเดินแทรกตัวเข้ามาในห้องผมจนได้ ก่อนจะเดินไปที่เตียงผม เปิดมุ้งออก แล้วสะบัดอะไรสักอย่างในผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ใส่มุ้งผม
“เฮ้ย ทำอะไรของนายอ่ะ เฮ้ย” ผมวิ่งเข้าไปร้องห้าม
หมอปีย์หยุดสะบัด เขาปิดมุ้งลง แล้วก็เดินออกจากห้องไปอย่างเงียบๆโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“เป็นบ้าอะไรของมันวะ” ผมงง เกาหัวแกรกๆ ก่อนจะดับไฟ เปิดมุ้ง และล้มตัวลงนอน
ผมนอนหงายแน่นิ่ง ตาเบิกโพรง เอามือก่ายหน้าผาก ไม่เข้าใจกับสิ่งที่หมอบ้านั่นทำ
“มันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ เอ หรือว่า........................มันจะมาทำยาเสน่ห์ เฮ้ยยย ใช่แน่ๆ”
ทันใดนั้น จู่ๆในมุ้งผมก็มีแสงไฟเล็กๆนับสิบดวง สว่างวูบวาบขึ้นมาพร้อมๆกันในความมืด ผมอ้าปากหวอ จ้องมองดวงไฟกระพริบเล็กๆนั้นไม่วางตา
“อะไรวะ”
แสงไฟระยิบระยับล่องลอยไปมา แสงเย็นตานั้นเหมือนกับกำลังร่ายร่ำในสายลม มันช่างสวยงามจริงๆ
ราวกับนอนอยู่บนท้องฟ้าที่มีดวงดาวที่เคลื่อนไหวไปมารอบๆตัว แสงนั้นจะเป็นแสงไฟจากอะไรไปไม่ได้นอกจาก
“หิงห้อย” ผมเปรยกับตัวเองพร้อมรอยยิ้มเล็กๆบนใบหน้า
“หมอนั่นไปวิ่งไล่จับหิงห้อยมาให้เหรอนี่ บ้าจริงๆ” ผมหัวเราะแต่ในใจนั้นซาบซึ้งอย่างบอกไม่ถูก
หิงห้อยนับสิบยังคงแข่งกันเปล่งแสงอวดผม ราวกับมันกำลังพยายามเรียกให้ผมดูพวกมันร่ายรำอวดแสงสีทองอร่ามจากตัวเอง ผมเอื้อมมือขึ้นไปหมายจะแตะแสงนั้น แต่ทันทีที่เข้าใกล้มัน มันก็จะบินหนีอยู่ร่ำไป
ผมทำอยู่อย่างนั้นนับสิบครั้ง
แสงจากหิงห้อยที่ล่องลอยอยู่เต็มมุ้งผมนั้น ทำให้ผมจิตใจสงบลงไปมาก ผมนอนนับแสงหิงห้อยแทนการนับดาว แต่พวกมันไม่หยุดอยู่กับที่ จึงเป็นการยากสักหน่อยที่จะนับ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังพยายาม และการพยายามนั้นก็ทำให้ผมเริ่มง่วง และในที่สุดผมก็หลับไปพร้อมกับรอยยิ้ม........................
“ขอบใจนะหมอ”
-
^^
^^
^^
จิ้มๆ
อยากรู้จัง ว่าจบแล้ว 2 คนจะได้อยู่ด้วยกัน รักกันไปรึเปล่า ถ้าใช่คงเป็นเรื่องที่นาจดจำ แต่ถ้าเค้าไม่สมหวัง มันคงเป็นเรื่องที่ เราจักต้องทำใจให้ลืมเสียแล้ว
เพราะไม่อยากจิตตก
-
แอร๊ยยยย เขินหมอปีย์น่ารักสุด
อุตส่าห์ไปจับหิ่งห้อยมา สนุกมากๆรออ่านความคืบหน้าต่อไป
-
อิ่มความหวาน :o8: :-[
ซาบซ่านกับความโรแมนติกของหมอปีย์เหลือเกินตอนนี้ :กอด1:
จะมีบ้างมั้ยเนี่ยสมัยนี้ผู้ชายอย่างหมอปีย์เนี่ย.... :เฮ้อ:
-
ตายแล้ว จีบกันริมน้ำเสร็จ หมอปีย์ก็มาทำให้ละลายด้วยการจับหิ่งห้อยมาไว้ในมุ้ง หมอนี่มันโรแมนติกจริงๆทีเดียว หวานค่ะหวาน โอ๊ะ น่ารัก หวาน :-[
บวกหนึ่งให้คุณเซ็งเป็ดนะคะ
-
:-[ อ๊ายยยยยยยยยยยยยยยยย หมอน่ารักอ่า
มีคนทำแบบนี้ให้เรารักตายเลย
-
เจ้าเล่ห์นักนะ หมอปีย์
-
เริ่ด......
อยากโดนจีบแบบนุ่มนวลอย่างนี้บ้าง...
-
อ๊ายโรแมนติก
ชอบๆๆๆ
อ่านแล้วได้สาระด้วย o13
-
มีความรู้สึกอย่างแรงกล้าว่า
เม่ือจบเรื่องแล้ว เขาทั้งสองจักไม่ได้อยู่ด้วยกัน
แงๆๆๆๆๆๆๆ
สุขสันต์วันสงกรานต์ครับพี่น้อง ^^
-
รักหมอจัง เจ้าบ้ารักมั้ย รักเถอะนะะะะะะะะะะะะะ
-
อร๊ายยยยย หมอปีย์ น่ารักอ่ะ :-[
-
หมอหวานไปมั้ยคะ อยากมีแฟนเป็นหมอนะเนี่ย
พ่ออัชของเรามีหึง นึกว่าหมอปีย์ไปหาคู่หมั้น
ส่วนหิ่งห้อย ท่าจะให้ดีทำไมไม่นั่งดูด้วยกัน
แล้วหลับไปด้วยกันในอ้อมกอด โรแมนติกมากๆ
-
อยากเจอผู้ชายแบบหมอปีย์จัง >.<
-
หมอน่ารักมาก อ่านแล้วได้ใจไปเต็มๆเลย
กด+ให้ค่ะ
-
อ๊ายยยยยยยยยยย >_<" หวานจังเลยน๊าาาา ชอบอ่ะ! :-[
-
+1
-
ชอบจังมาอย่างยาวเลย :กอด1:
-
เมื่อไหร่น้อ..ไอ้บ้าจะรักหมอซะที ลงทุนทำขนาดนี้แล้ว :เฮ้อ:
-
คุนหมอน่ารักมากกกกกกกกก
จับหิ่งห้อยมาให้ด้วยย โรแมนติกชิบหายย
-
แอร๋ยยย หวานจัง
-
หมอปีย์น่ารัก :man1:
-
อ่านแล้วอิจฉาโว๊ย!!
ทำไมไม่มีคนทำอย่างนี้กับเราบ้างอ่ะ อิจฉาๆๆๆๆ
-
โรแมนติกมากหมอปีย์
หวานจัง
ใครได้เป็นคู่ครองนี่โชคดีมากๆเลย><
-
:-[ :o8: :impress2: :o8: :-[ :impress2:หมอแม่งงงงงง โรแมนติกว่ะ เจ้าบ้าก็เริ่มชักจะมีใจแล้ว มีแอบหึงด้วย 555
สู้ ต่อไปหมอ อีกนิดเจ้าบ้าก็จะอยู่ในกำมือแล้ว 555 :laugh: :laugh: :laugh:
-
หมอ แอบโรแมนติกนะ :-[
-
หมอปีย์น่ารักจัง โรแมนติกอ่ะ เมื่อไรจะมีคนมาทำไห้เราแบบนี้บ้างนะ :-[
-
หมอปีย์เจ้าขา ขอ :กอด1:หน่อยเหอะ คนอะไร โรแมนติกจัง
-
หมอน่ารักอ่ะ
:L2: :L2:
-
หมอ ทำไมน่ารักได้ขนาดนี้นะ หลงเลยนะเนี้ย
-
หมอปีย์โรแมนติกซ๊า หุหุ อัชก็ชักใจอ่อนละสิ :o8:
หวังด้วยคนว่าเรื่องนี้จะจบแบบสมหวัง ไม่งั้นคงเศร้าแบบฝังใจไปนาน
-
โอว มีแอบหวานด้วยนะ โฮะๆๆๆ
-
หมอโรแมนติกที่ซู้ดดดดดดดด :o8:
มามะ มาขอกอดซักทีนึงนะหมออ :กอด1:
-
อ๊ายยยยย
เขินค่าาาาา :-[ :-[
-
งูไม้ระกำ นะพ่อนนท์ มิใช่ไม้ระกา
เรือบินของเล่นก็ยังไม่มีนะจ๊ะ
ส่วนดอกลั่นทมที่ว่าไว้กลบกลิ่น มิใช่ดอกซ่อนกลิ่นดอกหรือพ่อ
เที่ยวสงกรานต์ให้สนุกเน้อ (ไปกับพ่อลิ้มหรือเปล่า)
-
สุดๆอ่ะ...หมอปีย์อ่ะ อิช้านละเขิน :-[
อยากนอนดูหิ่งห้อยบ้าง นี่อะไรเจอแต่....จิ้งจก! :sad4:
-
โดนหวาน ๆ เข้าหน่อย ชักเคลิ้ม เริ่มออกอาการ หึง ซะแล้ว
หมอปีย์ นี่ ก็ทั้งหยอดทั้งทำแต้ม เห็นทีเจ้าอัชย์ ไปไหนไม่รอด
+1 ให้คุณนนท์ เที่ยวให้สนุก แล้วอย่าลืมเพิ่มรอบทำการบ้านกับเล้งเสียล่ะ :z1:
-
หมอน่ารักที่สุด :-[
แบบนี้ไม่รักหมอไม่ได้แล้ว
-
ขอหลงรักหมออีกคน
-
โรแมนติกดีแท้หมอปีย์ ^^
-
หวานมากกกกกกกกกกกกกกกกก
-
รักหมอปีย์จัง
อิอิ
น่าร้ากที่สุดเลย
เจ้าตัวจะรู้ตัวบ้างไหมนั่น
-
อะไรจะโรแมนติกปานฉะนี้ ปลื้มหมอจริงๆเลย :m1:
ขอบคุณ คุณเซ็งเป็ดครับผม :L2:
-
หมอซื่อน่ารัก
-
เวลาเขียนถึงความเป็นไทยที่ค่อยๆหายไป เราต้องน้ำตาซึมทุกที
แอบชื่นชมกับการหาข้อมูลค่ะ ข้อมูลแน่น มีประโยชน์ และนำมาเรียงร้อยได้ดีมาก ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆที่มีสาระดีเยี่ยมเรื่องนี้ค่ะ
ตอนล่าสุดที่หมอเอาหิ่งห้อยมาให้ แอบโรแมนติกมากอ่ะ ชอบจัง^^
-
หมอน่ารักมากอ่ะ อยากอ่านอีกจัง รีบมาต่อนะคะ
-
หมอปีย์ น่ารักอ่าาาา
ทั้งคำพูด การวางท่าทาง โอ้ยยยย หล่อค้าฟฟฟ
ถามอะไรหน่อยสิคะ อยากรู้อ่ะว่าทำไมหมอปีย์เรียกปอ ว่าพ่ออัชย์ แล้วทำไมปอไม่บอกว่าตัวเองชื่อปออ่ะ
-
หาได้อย่างหมอนี่ รักตาย อ่ะค่ะ :impress2:
-
ไม่รักให้มันรู้ไป เจอเเบบนี้มีหวังละลายกันทุกคน
-
รักเรื่องนี้มากเลยครับ หมอปิย์น่ารักจริงจัง
-
[color green]สุขสันต์ปีใหม่ไทยนะค่ะ [/color]
(http://i679.photobucket.com/albums/vv154/aieaussie/950382d1.jpg)
-
โหแฮะ หมอปีย์
โรแมนติกเหมือนกันนะเนี่ย
แหมๆๆๆ
-
หมอปีย์นี่ขยันจริง ไอ้เราก็นึกว่าจะไปจับมาตัวสองตัว เล่นล่อเป็นฝูง สุดยอดมากหมอ! o13
-
หมอปีย์ก็ทำอะไรก็ไม่รู้ น่าร๊ากกกน่ารัก :impress2: :impress2: แล้วเเเบบนี้พ่ออัชย์จะไปใหนรอด
พัฒนาการของหมอเพิ่มขึ้นทีละขั้นๆ สู้ๆ ไม่ว่าจะเกิดอาไรขึ้น ก็สู้ๆๆ
-
มีแอบเขินด้วยนะหมอ อิอิ
-
:o8:
โรแมนติกดีจัง :-[
-
คุณหมอชั่งโรแมนติก ฮ่าๆๆ
เจ้าบ้า หลงด่าได้อยู่ตั้งนาน
โดนหมอทำซึ้งเข้าหน่อยเคลิ้มเลย ฮ่าๆๆ
หลับสบายเชียว
-
ในที่สุดก็ตามอ่านทัน
ถ้าพ่ออัช ไม่เอา หมอปีย์
เค้าขอนะ อิอิ น่ารักจริงๆเลย คนบ้าอะไร
-
โหยหมอปีย์ น่ารักนะเนี่ย
-
กว่าจะอ่านมาถึงตอนล่าสุด ล่อซะดึกเลย รีบมาต่อนะ เค้ารอเชียร์หมอกดเจ้าบ้าอยู่ สงสารหมอเป็นที่สุด :z10:
-
คิดถึง ๆๆๆๆ หมอปีย์
:impress2: :impress2:
-
ตอนนี้คุณหมอน่ารักมากกกกก :impress2:
เฮ้ออ จะมีผู้ชายซักคนมาทำอะไรให้เราอย่างงี้บ้างมั้ยน้าาาาาาาา
-
ตามทันแล้ว วววว ชอบเรื่องนี้มว๊าก กกก มากเลยค่ะพี่นนท์
(แต่อ่านๆไปก้อหน้าชาไปหลายอยู่เหมือนกันง่ะ...เหอะๆ เจอปอด่าไปซะเยอะเลย :monkeysad:)
ว๊าว ววว (อ้าปากค้าง ทำตาโต) อิจฉาปอมากๆๆๆๆๆๆ หมอปีย์โรแมนติกสุดๆเลยอ่ะ ...กรี๊ด ดดด คุณหลวง งงง
มันเป็นไรที่แบบ...ทุกสิ่งอย่างที่หมอปีย์ทำและแสดงออกให้กับปอมันแลละมุน นุ่มนวล มากๆเลยอ่ะ
โอ๊ย ยยย จะไปเสาะหา ขุดหา ผู้ชายเยี่ยงนี้ได้จากที่ใดบ้างคะ?
แต่...เรื่องราวตอนนี้มันแลจะ สงบ และ หวานชื่น เกินไปมั้ยน๋อ ?
เค้า(เค้าไหน?)ว่ากันไว้ว่า...พายุใหญ่มักก่อตัวขึ้นหลังคลื่นลมที่สงบเสมอ....ว๊าก กกก กลัวๆๆๆๆ :serius2:
"หากปัจจุบันของข้า คืออดีตของเจ้า จงรู้ไว้ว่า อนาคตของข้า จักเฝ้ารอเพียงเจ้า"
แอบกังวลว่า...หมอปีย์จักมิใช่พระเอกของเรื่องจัง ... แต่อาจมาในร่างอื่น ... รึป่าว? ...แหะๆๆ (ก้อมโนไปนั้น)
คือ...แอบคิดเล่นๆว่า...หมอปีย์กับพี่หมอในยุคปัจจุบัน จะมีความเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกันมั้ยน๊า าาา ???
แล้ว...คำแก้วกับมุก(อดีต)แฟนของปอ จะมีความเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกันมั้ยน๊า าาา ???
ถ้ามี...ในอดีตเค้าทั้งคู่ก้อมีเหมือนมีพันธะต่อกัน(เป็นคู่หมายกัน) แล้วในยุดปัจจุบัน ที่อยู่ๆทั้งคู่ก้อดันมาคบกัน...ทั้งๆที่พี่หมอก้อชอบปอ ตามจีบปออยู่ ไหนจะไอ้คำพูดแปลกๆนั่น ที่พี่หมอบอกว่า “พี่มีเหตุผลนะ ปอบอกพี่คำเดียวว่าให้เลิกกับมุก พี่จะทำตามที่ปอบอก” ... นั่นอีก แปลว่า...เรื่องราวในช่วง รศ.112 นี้ มันยังต้องมีอะไรอยู่อีกแน่ๆเลย....ว๊าก กกก ลุ้น....(เอ่อ...มโนเอง ลุ้นเอง...สรุป...จิตเต็มขั้นคร๊ะ...กร๊าก กกก)
แล้วก้อรู้สึกสะกิดใจกับคำนี้ของพี่หมออีกเหมือนกัน... “พี่จะเป็นยังไงก็ช่าง แต่ปอน่ะ หนีตัวตนของตัวเองไม่พ้นหรอก จำไว้” หรือว่าพี่หมอแค่พูดด้วยอารมณ์เฉยๆน๊า าาา ???
แล้วก้อ...เวลาอ่านถึงเรื่องของเจ้าแดงทีไร...รู้สึกหดหู่ใจ และสังเวชทุกทีเลย อ่านแล้วรู้สึกหน่วงๆที่ใจง่ะ น้ำตามันคอยจะรื่นขึ้นมาทุกที (ดราม่ามว๊าก กกก นางเอกมว๊าก กกก แต่มันจริงๆเหอะ)
แอร๊ย ยยย อยากรู้เรื่องต่อ มิอยากมโนไปเอง(ได้ข่าวว่ามโนไปแล้วเรียบน้อย...หึหึ) รอตอนต่อไปนะคะพี่นนท์ อย่าทิ้งเค้าไปไหนน๊า าาา
ขอบคุณค่ะ :pig4:
-
อ่านรวดเดียวจนจบ ขอบคุณมากๆๆๆๆ สำหรับเรื่องดีดีแบบนี้
อ่านแล้วนึกถึงตอนเด็กๆ ทั้งต้อยติ่ง หิ่งห้อย และบรรยากาศยามคำ่คืน หายไปจากความทรงทำเลยแหละ
นึกถึงอีกครั้งก็สุขใจ
-
คุณหมอน่าร๊ากกกกกกกกกกกกกกก
เขินแทนอัชย์จังเลย :o8: :o8:
-
“เจ้าบ้า เจ้าบ้า”
“ฮืออออออออออออ”
“เจ้าบ้า เจ้าบ้า”
“อะไร”
ผมพลิกตัวหนีเสียงกระซิบแหบๆที่เรียกชื่อผม
“เจ้าบ้า ตื่นเถิด ตื่น”
“ฮือ” ผมครางออกมาในลำคอเบาๆเชิงรำคาญ แต่ก็ลืมตาขึ้น
“อ้าว ว่าไง สน” น้ำเสียงงัวเงีย สนนั้นเปิดมุ้งโผล่เข้ามาครึ่งตัว ท่าทางตื่นเต้น
“ลุกเถิดเจ้าบ้า เราจักพาเจ้าไปดูของดี”
“ไปไหน” ผมเบิกตาโพรง ทำให้รู้ว่าภายนอกยังมืดอยู่เลย
“ไปเถอะ ลุกๆ” ว่าแล้วเขาก็ดึงมือทั้งสองข้างของผมอย่างแรง จนร่างกายท่อนบนผมตั้งฉาก แต่ก็ยังโงนเงนไปมา
“เจ้าบ้า” เขาตะคอก น้ำเสียงเริ่มหงุดหงิด
“เออ เออ รู้แล้วน่า นายลงไปรอข้างล่างเหอะ เดี๋ยวตามลงไป” แต่ตอนนี้มันทำให้ผมหงุดหงิดมากกว่า
ภายนอกเรือนยังมืดอยู่เลย ผมเดาเอาว่าเวลาน่าจะประมาณตีห้า น้ำค้างเมื่อคืนคงจะลงหนัก เพราะพื้นหญ้าเปียกชุ่ม ทันทีที่ผมย่างเท้าลงพื้นหน้าเรือน ไอเย็นก็เล่นผ่านปลายเท้าทำให้ผมสั่นเทา
“จะพาชั้นไปไหนหึ ถึงลอบเข้ามาปลุกตั้งแต่ยังไม่เช้าน่ะ” ผมเอ็ดสน
“ตามข้ามาเถิด เบาๆหล่ะ เดี๋ยวคุณหลวงตื่น จะโดนเอ็ดกันทั้งคู่” ว่าแล้วสนก็เดินย่องๆนำหน้าไปทางศาลาท่าน้ำ ที่มีเรือแจวจอดเทียบอยู่
จะไปไหนของมันวะ ทำท่าลับลับล่อล่อ
ในสมัยก่อนเส้นทางการเดินทางหลักของชาวสยามมักอาศัยแม่น้ำลำคลอง เพราะฉะนั้นบริเวณแม่น้ำลำคลองจึงมีบ้านเรือน โรงสี วัดวาอารามตั้งกันอย่างหน้าแน่น เรือนของคุณยายวาดผมก็เช่นกัน ตั้งอยู่ติดกับเรือนของแม่ปีย์ บริเวณแม่น้ำนี้เป็นน้ำลึกโค้ง น้ำในแม่น้ำจึงไหลนิ่งแต่เชี่ยว
ฝั่งตรงข้ามเรือนหนูวาดจะเป็นที่รกร้างว่างเปล่า เต็มไปด้วยต้นลำพูที่กลางคืนจะเห็นหิงห้อยส่องแสงระยิบระยับ
บ้านเรือนแทบทุกหลังที่นี่มักมีเรือแจวลำเล็กๆผูกติดไว้ที่ศาลาท่าน้ำบ้าง กระไดเรือนที่ทอดลงไปในลำคลองบ้างไว้ไปไหนมาไหนแทบทุกเรือน แต่การเดินทางสมัยก่อนอาจไม่ทันใจเหมือนสมัยนี้ หมอปีย์เล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อน หากจะไปเชียงใหม่นั้น ต้องนั่งเรือ หรือไม่ก็นั่งเกวียนไปลงที่เมืองพิษณุโลก จากนั้นถึงค่อยนั่งช้างต่อไปเมืองเชียงใหม่ ใช้เวลาเกือบเดือนกว่าจะไปถึง
หรือว่า แค่จะไปกราบพระพุทธบาทที่สระบุรียังใช้เวลาตั้ง 7-8 วัน
“บอกชั้นได้รึยังว่าจะพาชั้นไปไหน” ผมถามอีกครั้ง สนกำลังปลดเชือกที่คล้องเรือไว้ให้หลุดลอยกับกระไดศาลาท่าน้ำ
“ไปงมกุ้งกัน” สนทำท่าตื่นเต้นก่อนที่เขาจะรีบกระโดดลงเรืออย่างคล่องแคล่ว “อ้าว ลงมาสิ เจ้าบ้า เดี๋ยวก็ไปไม่ทันหรอก”
ผมค่อยๆย่างเท้าลงไปบนเรือที่โครงเครง ก่อนจะหย่อนก้นลงบนไม้รองที่พาดไว้กลางลำเรือ อากาศยามเช้าที่นี่สดชื่นจริงๆ
“ไปงมกุ้ง กุ้งอะไร”
“จักกุ้งอะไรเสียอีกเล่า ก็กุ้งก้ามกรามที่แหละ ที่ท่าน้ำฝั่งกระนู้นกุ้งชุมยิ่งนัก ข้ากับไอ้พัน ไอ้เอียดนัดกันที่ใต้ต้นลำพู่ท่ากระนู้น” มันตอบพลางค่อยสลับพายเรือขวาทีซ้ายทีเสียงดังจ๋อมแจ๋ม
“ทำไมต้องไปถึงนู้นหล่ะ แถวบ้านเราไม่มีเหรอ”
“มี แต่น้อย ท่าน้ำละแวกนี้น้ำเชี่ยวนัก ก็เมื่อคราที่เจ้าตกลงแล้วจมหายไปนั้นประไร” เขาเล่าทำให้ผมนึกขึ้นได้ตอนที่จมน้ำ มันเหมือนมีมือใครคนหนึ่งฉุดผมลงไปเลยทั้งๆที่ผมก็ว่ายน้ำแข็ง
เสียงสนจ้วงไม้พายดังจ๋อมแจ๋มๆ เรือค่อยๆแล่นไปอย่างช้าๆ นานๆทีจึงจะสวนกับเรือชาวบ้านที่ขนมะพร้าว กล้วยมาขาย หรือบางครั้งก็เจอพระพายเรือมาบิณฑบาต
ทำไมสยามเวลานี้ถึงได้ต่างจากสยามเวลาผมอย่างสิ้นเชิง ทำไมน้อเราถึงไม่อยู่กันแบบนี้ จริงๆผมว่าอยู่กันอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้องเร่งรีบไม่ต้องแข่งขัน หากเป็นสยามเวลาผมป่านนี้รถราคงแล่นกันเต็มถนนแล้วหล่ะ
ชาวสยามตอนนี้นั้นดูพวกเขาไม่รีบร้อน ไม่วุ่นวาย ผู้ชายส่วนใหญ่มักรับราชการ หรือเป็นบ่าวเป็นไพร่ รับจ้างทำไร่ทำนา หาที่อ่านเขียนหนังสือเป็นนั้นแทบจะไม่มีเลย ยิ่งผู้หญิงไม่ต้องพูดถึง นังอ่ำเคยบอกผมว่า
“เอ็งจะให้ข้าเรียนหนังสือไปทำอันใด เป็นลูกผู้หญิงใครเขาเรียนกันเล่า โตไปจะเอาไปหากินอันใดได้ สู้เรียนรู้การบ้านการเรือน ออกเรือนไปจักได้ดูแลสามี”
นี่คือสิ่งที่ผู้หญิงสมัยก่อนคิด
แต่ถึงผู้หญิงสมัยก่อนจะอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ แต่ผมก็นับถือพวกเธอมาก ผู้หญิงสมัยก่อนนั้นเก่งกว่าผู้ชายหลายคนมากนัก พวกเธอทั้งดูแลบ้านเรือน ลูกก็มีคราวละมากๆ บางทีเป็นสิบๆคนก็มี ก็เลยต้องประหยัด ต้องใช้ทุกอย่างให้เป็นประโยชน์สูงสุด ดูแลจัดการภายในบ้าน สามีออกไปทำงานอย่างเดียว แต่พวกเธอไหนต้องดูแลบ้าน ดูแลลูก บางครั้งยังทำงานพิเศษเช่นทำขนมขาย ขายขนมจีน ปลูกพืชผลไม้ขาย เพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัวก็มี
“เจ้าบ้าถึงแล้ว” สนใช้ไม้พายคัดท้ายเรือ เรือจอดสนิทแน่นิ่ง ผมมองไปข้างหน้าเห็นเรืออีกลำจอดคอยท่าอยู่
พวกนั้นทักทายสนพอเป็นพิธี
“เอ็งพาใครมาด้วยหรือ อ้ายสน” ชายหนุ่มรูปร่างกำยำจมูกเป็นสัน และผมหยักสก นุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียวถาม
“อ๋อ บ่าวเรือนคุณหลวงน่ะ”
เฮ้ย ไอ้สน ใครเป็นบ่าวว่ะ ชั้นเป็นแขกวีไอพีของหมอนั่นนะเว้ยมาบอกว่าเป็นบ่าวได้ยังไง
“กระนั้นเองรึ ชื่อกระไรหล่ะเอ็งน่ะ แต่งตัวมาเสียโก้เชียว ข้านึกว่าเป็นเจ้าเป็นนาย”
“เอ่อ ชั้นเหรอ ชั้นชื่อ อัชย์” ผมบอกชื่อจริงไป เพราะขืนบอกชื่อเล่น โอปอล์ ไปคงแปลกพิลึกในสมัยนั้น
แต่พวกนั้นดูเหมือนจะไม่ใครจะใส่ใจกับตอบผมมากนัก
“จักเอาหรือยังเล่า” ชายคนเดิมถาม
“เอาสิวะอ้ายพัน” อ๋อ ชื่อพันนั่นเอง แสดงว่าอีกคนนั้นชื่อเอียดน่ะสิ
เอียดดึงเรือผมเข้ามาเทียบชิดกับเรือพวกมันก่อนที่ สนจะก้าวขึ้นไปบนเรือพวกนั้น ปล่อยให้ผมอยู่บนเรือคนเดียว
“เจ้ารออยู่บนนี้ก็แล้วกันนะ เจ้าบ้า อ้าว เอานี่ไป” เขายื่นเบ็ดตกกุ้งที่ทำมาจากไม้ไผ่มาให้ผม “ตกกุ้งอยู่บนนี้แหละ”
“อ้าวแล้วนายจะไปไหน” ผมถาม แต่พวกนั้นไม่มีใครสนใจตอบผม
จู่ๆ อ้ายพันซึ่งนุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียวนั้นก็ปลดผ้าขาวม้าร่วงลงกับพื้นเรือ ร่างกายที่เปลือยเปล่านั้น ยืนอ้าซ่าท้าลมหนาวอย่างไม่สะทกสะท้าน
“เฮ้ย” ผมอ้าปากค้าง ตะลึงกับสิ่งที่อ้ายพันทำ มันกล้าแก้ผ้าโทงโทงกันอย่างนี้เลยเหรอ
“พวกเอ็งจักลงไปกับข้าหรือไม่” แน้ มันยังมีหน้าไปชวนพวกที่เหลือคุย น้องชายก็แกว่งไปมาโทงเทงๆ ผมทำตัวไม่ถูกเลยตอนนั้น ถามว่าเคยแก้ผ้าต่อหน้าคนอื่นมั๊ย ก็ต้องบอกว่าเคย แต่ต้องเมาแอ๋เสียก่อนจึงจะกล้า ให้อยู่ๆดีๆถอดกันแบบนี้เลยนี่ ไม่ไหว
“เออ ลงสิวะ ข้ามิอยากนั่งหนาวอยู่บนเรือ” แล้วอ้ายเอียดก็ถอดผ้าข้าวม้าสีคุ่นหม่นออกทิ้งเช่นกัน
“อยู่บนนี้นะเอ็งนะ” สนหันมากำชับผมก่อนจะปลดผ้าขาวม้ามันอีกคน
“เอางี้เลยเหรอไอ้สน” เอิ๊กๆ บ้าไปแล้วไอ้พวกนี้
“รอรับกุ้งจากข้านะเว้ย คอยดูฝีมือข้า” มันบอก
“เออๆ พวกมึงรีบลงไปเหอะป่ะ” ผมรีบไล่ นึกในใจ โห ไอ้สนนี่ซ่อนรูปนะนี่ ฮ่า ฮ่าฮ่า
ทั้งสามค่อยๆหย่อนตัวลงไปในน้ำเบาๆไม่ให้กุ้งตื่น บริเวณนั้นเต็มไปด้วยหน่อของต้นลำพูแหลวเฟี้ยว และดูเหมือนน้ำจะไม่ค่อยลึกสักเท่าไหร่ ส่วนผมนั้นนั่งแกร่วอยู่บนเรือ นึกขอบใจที่มันไม่ให้ผมลงไปกับมันด้วย ไม่งั้นต้องแก้ผ้า และถ้าผมต้องแก้ผ้ามันก็รู้หมดสิว่าผมน่ะไม่เท่าไหร่ เออ แต่จะว่าไปชายสยามสมัยก่อนก็เป็นล่ำเป็นสันกันน่ะนี่ น่าภูมิใจจริงๆ
ผมหย่อนเบ็ดลงไปท่ามกลางหน่อลำพู ขณะเดียวกับที่ทั้งสามคนดำน้ำลงไปเกือบจะพร้อมกัน
ทันทีที่พวกนั้นดำดิ่งลงไปในน้ำ บริเวณนั้นก็เงียบสงัด มีเสียงนกกาเหว่าร้อง “ดุเหว่า ดุเหว่า” มาแต่ไกล สลับกับเสียงนกนางแอ่นอพยพที่คอยส่งเสียงแหลมเล็ก บินโฉบแมลงไปมาท่ามกลางแสงอาทิตย์สีส้มยามเช้า
ผมนั่งมองปลายคันเบ็ดอย่างเลื่อนลอย
“แล้วกูจะรู้ได้ไงวะว่ากุ้งมันกินเหยื่อ” เกิดมาผมยังไม่เคยตกเบ็ดเลยสักกะครั้ง
“ทำไมนานจังวะ” ผมชักรู้สึกไม่ดีที่พวกนั้นดำหายลงไปนาน
“เฮ้ย....หรือขาดอากาศตายกันหมดแล้ววะเนี๊ยะ”
น้ำบริเวณนั้นราบเรียบราวกับแผ่นกระจก ไม่มีวี่แววของพวกนั้นเลย
“ตูมมมมมมมมมมมมมมม” แต่แล้วจู่ๆก็มีเสียงน้ำกระเซ็นมาจากด้านท้ายเรือ สนนั่นเอง เขาโผล่ขึ้นมาพร้อมกุ้งแม่น้ำตัวเท่าข้อมือสองตัว
“เจ้าบ้าเว้ย ดูนี่สิ ข้าบอกแล้วว่าฝีมือข้าหาใครเทียบได้ที่ไหน” มันยิ้มอย่างภูมิใจก่อนจะตรงดิ่งมาหาผม
“อ้าวรับไป” ผมรับกุ้งก้ามกรามทั้งสองตัวมา มันตัวใหญ่มากจนมือทั้งสองข้างผมกำแทบไม่มิด ช่างน่าตื่นเต้นอะไรเช่นนี้ นี่กุ้งแม่น้ำกิโลละเกือบพันในสมัยผมหาได้ง่ายๆขนาดนี้ในยุคนี้เลยเหรอวะ
“เฮ้ย สน กุ้ง กุ้ง” ผมร้องด้วยความตื่นเต้น
“เออ ก็กุ้งนะสิวะ หรือเอ็งเห็นเป็นปลาสลิด” เล่นมุกกะกู “ประเดี๋ยวข้าจักเอาขึ้นมาอีก ข้างใต้นี่อีกโข” ว่าแล้วเขาก็ดำดิ่งหายลงไปอีก ระหว่างที่เราพูดกันนั้น อ้ายเอียด กับอ้ายพันก็โผล่ขึ้นมาสูดอากาศแต่กลับไม่มีกุ้งติดมือมา
กุ้งสองตัวใหญ่ๆนอนนิ่งอยู่ในเรือ ผมมองมันใกล้ๆด้วยความตื่นเต้น กุ้งก้ามกราวนี้ก้ามทั้งใหญ่ทั้งยาว สีฟ้าสด เวลาเอาก้ามไปเผาไฟ จากที่เคยเป็นสีฟ้าเข้มมันจะเปลี่ยนเป็นสีส้มสวยงามทีเดียว
ผมหันไปดูเบ็ดตัวเอง ............ไม่กระดิก
หลังจากนั้นไม่นาน สนก็ขึ้นมาอีกพร้อมกุ้งก้ามกราวอีกหลายตัว สลับสับเปลี่ยนกับพวกอ้ายเอียดอ้ายพัน นับๆไปตอนนี้มีกุ้งอยู่บนเรือเกือบๆ 20 ตัว
ในขณะที่เบ็ดที่ผมตกกุ้งนั้นไม่กระดิกสักกะที
“ท่าทางจะทำบาปไม่ขึ้นว่ะกู” ผมเปรยกับตัวเอง
“เฮ้ย อ้ายเอียด อ้ายพัน ขึ้นกันเถิด ข้าหนาวปากซีดไปหมดแล้ว” สนร้องขึ้น พวกที่เหลือเห็นด้วยเพราะเห็นว่าตอนนี้ก็ได้กุ้งโขแล้ว
สนว่ายน้ำกลับเข้ามาที่เรือพลางตะเกียกตะกายปีนขึ้นเรือในสภาพเปลือยเปล่า ผมนั้นแกล้งเมินหน้าหนีไปทางอื่น ไม่ได้อายหรือเขินอะไรหรอก แต่รู้สึกว่ามันเสียมารยาทกับการไปจ้องมองช้างน้อยของพวกนั้น
“อืม น่าจะพอแล้วกระมัง” อ้ายพันบอกขณะที่ชะโงกหน้ามามองกุ้งบนเรือ มือทั้งสองข้างขมวดปมผ้าขาวม้า
“เยี่ยงนั้นก็เร่งพายเข้าเถิด ลุงปริ่มแกรอนาน เดี๋ยวแกจะอาละวาดเสียอีก”สนว่า
...
ณ กระท่อมเพิงใบจากแห่งหนึ่ง พวกเราทั้งสี่คนนั่งอยู่บนก้อนหินก้อนใหญ่ที่ถูกยกมาตั้งรับแขกเป็นเก้าอี้ โดยมีท่อนไม้มะขามขนาดใหญ่วางตรงกลางเป็นโต๊ะ
ก่อนหน้านี้พวกสนพาผมเดินลุยขี้เลน ผ่านดงลำพู ฝ่ากอต้นจากที่ขึ้นชุมในละแวกนั้นจนในที่สุดเราก็เดินมาถึงสันดอนที่มีกระท่อมไม้แห่งนี้ตั้งอยู่
สนบอกผมว่ามันจะพามากินของดี
“ลุงปริ่มนี่แกขึ้นชื่อในละแวกนี้เลยนะเว้ย” สนเล่า
“เรื่องไรวะ”ผมกระซิบตาม
“เอาน่า เดี๋ยวเอ็งก็รู้”
สักพักใหญ่ๆผมก็เห็นชายแก่ร่างแคระเกร็นแต่ดูคล่องแคล่วว่องไวเดินถือขวดอะไรใสๆออกมาจากหลังกระท่อมที่มีควันขาวลอยคลุ้งไปหมด
“ไอ้พวกเวรตะไล ข้าบอกเอ็งแล้วใช่มั๊ยว่ามิให้มาสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้อีก ประเดี๋ยวหลวงท่านจับได้ข้าจะพลอยชิบหายไปกับพวกเอ็งด้วย” แกมาถึงก็ด่ากราด ถึงจะตัวเล็กแต่ปากเก่งใช่ย่อยนะเนี๊ยะ
“โธ่ลุง พวกข้าก็แค่คิดถึง อุตส่าห์ได้กุ้งมามากโขก็นึกถึงจะเอามาฝากมาเผื่อ ถ้าลุงไม่เอา ข้าเอากลับไปกินที่เรือนก็ได้” สนยกกุ้งตัวเบ้งที่ขมวดหนวดไว้เป็นปมเหมือนแกล้งยั่วให้ลุงแกขอร้องให้อยู่ต่อซึ่งก็ได้ผล
“เออ เออ เอาวะ ไหนๆพวกเอ็งก็มีน้ำใจกับข้า จะไล่กลับเสียเหมือนหมูเหมือนหมา ก็จะหาว่าข้าใจดำ”
แกว่า ว่าแล้วก็วางขวดน้ำใสๆลงกลางวง
“เฮ้ย น้ำอะไรวะ สน” ผมถามด้วยความสงสัย เพราะเห็นพวกนั้นทำท่าเปรี้ยวปาก
“นี่แหละเว้ย เจ้าบ้า ของดี” ผมทำท่าเหื่อนกระหาย
“อะไรว่ะ”
“กระแช่”
“กระแช่ อะไรคือกระแช่”
“บ๊ะ เอ็งนี่มันถามมากความ ไว้กินเองประเดี๋ยวก็รู้” สนทำท่าขัดใจ
“ไหนละเว้ยกุ้งน่ะ เร่งเอาไปต้มยำทำแกงมาประเดี๋ยวนี้ อ่าว แล้วนี่ผู้ใดกันอีกเล่า” ตาแก่นั่นหันมาทางผม
ไม่ต้องรอให้สนแนะนำ ผมชิงแนะนำตัวเองก่อน
“อ๋อ ผมชื่ออัชย์นะลุง เป็นแขกของบ้านหมอปีย์”
“บ๊ะ แขกของไอ้หมอหน้าแขกนั่นนะหรือ ฝากบอกมันด้วยนะเว้ย หัดยิ้มเสียมั่ง ตั้งแต่ข้าเห็นมันมา ข้าไม่เคยเห็นมันยิ้มสักที”
ลุงพูดจบสนก็หลุดหัวเราะออกมาคำใหญ่
“โธ่ลุง คุณหลวงเขาเป็นใคร เขาหาใช่คนธรรมดาเยี่ยงเราไม่ จะให้เขาเดินโปรยยิ้มให้ใครต่อใครมันใช่เรื่องทีไหนกันเล่า” สนแก้ตัวแทนนายมัน
“เฮ้ย ข้าไม่สนหรอกจะเป็นหลวงเป็นขุน มันก็คนทั้งนั้นแหละวะ แก่ไปก็ตายห่ากันหมด” ท่าทางตาแก่นี้จะหัวกบฏใช่ย่อย ก็ไม่น่าแปลกเลยที่ต้องมาสร้างบ้านสร้างเรือนในป่าลึกขนาดนี้ ปากแบบนี้คงอยู่กับใครเขาไม่ได้เสียละมั้ง
“อ่าว มามองหน้าข้าหาพระแสงอะไรเล่าไอ้หน้าเจ๊ก เร่งเอากุ้งไปทำกับมาสิวะ ขืนชักช้าข้าไม่รอแล้วนะเว้ย” ลุงปริ่มตะโกนใส่ผม แถมยังมาว่าผมไอ้หน้าเจ๊กอีก เจ็บจี๊ดๆ
“มาสิ เจ้าบ้า มากับข้า” สนรีบดึงมือผมให้ลุกตาม ส่วนมันนั้นหิ้วกุ้งติดมือไปด้วย
ผมกับสนเดินมาหลังกระท่อม ตรงนั้นมีไม้ฟืนกองสุมอยู่เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีไหที่มัดปากไว้สนิทแน่นวางเรียงรายนับสิบใบ ที่ใต้ต้นลานต้นใหญ่ มีเพิงไม้ที่ทำมาจากไม้ไผ่ มุงหลังคาด้วยใบลานอย่างง่ายอยู่ ที่นั่นผมมองเห็นถังโลหะขนาดใหญ่วางเอียงอยู่บนเตาที่ก่อขึ้นด้วยหินสามก้อน ไม้ฟืนถูกสุมเข้าไว้จนไฟลุกแดงโชน ที่ปากถังนั้นมีกะลังมังสังกะสีคลอบไว้ โดยมีท่อที่ทำมาจากไม้เสียบไว้ที่ถังและมีน้ำใสๆหยดติ๋งๆลงมาจากปลายท่อไม้นั่น
“ลุงแกกำลังต้มกระแช่” สนบอก “นี่แหละของดีนะเว้ย”
“อ๋อ” ผมมองอย่างสนใจ นับว่าเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นวิธีการกลั่นเหล้าแบบพื้นบ้านอย่างนี้
“แม่ง คนไทยนี่ สุโค่ยจริงๆ” ผมเปรยกับตัวเอง
“เจ้าว่ากระไรนะ”
“อ๋อ เปล่าๆ ชั้นว่าคนสยามนี่ฉลาดจริงๆ”
“แกต้องมาหลบอยู่ในป่าเช่นนี้เพราะต้องหลบหลวง จะให้หลวงรู้มิได้ ถูกเฆี่ยนหลังลายเชียว”
สนเล่าให้ฟังถึงเหตุผล แต่ผมก็ยังคิดว่าเพราะปากแกเป็นแบบนี้มากกว่ามั้งที่ต้องหลบมาอยู่ที่นี่
สนดึงไม้ฟืนออกมาจากกองไฟท่อนหนึ่งเป็นเชื้อ ไฟที่กำลังลุกโพรงอยู่นั้นทำให้ท่อนฟืนเป็นสีส้มสด
“เจ้าบ้าเอาฟืนมาให้ข้าอีก” มันสั่ง ผมหยิบท่อนไม้ท่อนเล็กๆ วางสุมทับลงไป สักพักไฟก็ลุกพรึบขึ้น
กุ้งนับสิบตัวในมือสนถูกโยนเข้าไปในกองเพลิงที่ลุกโชน แค่อึดใจเดียวจากกุ้งสีน้ำเงินเข้ม บัดนี้กลับกลายเป็นสีส้มสดดูน่ากิน
“กุ้งเผาไฟเช่นนี้ กินกับน้ำปลามะกอกเข้ากันดีนักแล” เขาว่าพลางใช้ไม้เขี่ยพลิกกุ้งไฟมา ครู่เดียวกุ้งก็สุก สนลากกุ้งออกมาข้างนอกกองไฟ ก่อนที่ใช้มือหยิบกุ้งวางลงบนใบตอง
-
ตอนนี้กุ้งสุกถูกนำมาวางไว้กลางวง ควันฉุยออกมา พร้อมกับมันกุ้งสีส้มแปร๊ดที่ไหลซึมออกมาจากหัวกุ้ง
ไม่ต้องรอให้ใครบอก ต่างคนต่างคว้ากุ้งไปคนละตัว ปอกเปลือกอย่างชำนาญ ผมเองนั้นเลือกเอามาตัวหนึ่ง ค่อยๆปอกอย่างระมัดระวังเพราะมันร้อนมือ
ลุงปริ่มเทกระแช่ใส่แก้วที่ทำมาจากระบอกไม้ไผ่ ส่งมาให้สน สนรับมาแล้วส่งต่อมาที่ผม
“ลองเสียหน่อยสิ เจ้าบ้า”
ผมรับมาอีกทอดหนึ่ง ก่อนจะยกขึ้นเทพรวดเดียวเข้าปาก
“เฮ้ย เพลาๆสิวะ เจ้าบ้า เดี๋ยวก็ได้เมาเสียก่อนหรอก” เสียงสนร้องปราม
“เฮ้ย แค่นี้จะเมาได้ยังไง นี่เหล้าหรือน้ำหวานวะเนี๊ยะ แมร่งหว๊านหวาน” ผมว่า
“เฮ้ยไอ้หน้าเจ๊กนี่ดูถูกกระแช่ไอ้ปริ่มเสียแล้วมั๊ยหล่ะ เออ เอ็งคอยดูเถิด ข้าเอาหัวเป็นประกัน เอ็งจะต้องเอามือคลานกลับเรือน” ลุงปริ่มว่า
ตอนที่ผมกระดกน้ำกระเข้าปากไปนั้น ทันทีที่ลิ้นสัมผัส มันรู้สึกหวานๆติดที่ปลายลิ้น พอแล่นผ่านคอถึงจะรู้สึกขม แล้วก็ร้อนท้อง จนผมต้องทำหน้าเบ๊
“อ้าวนี่ มะขามเปียก” สนยื่นฝักมะขามเปียกให้ผม พอดูดมะขามเปียกตามพบว่า มันเข้ากันอย่างประหลาด
“ลุง เหล้านี่ทำมาจากอะไรอ่ะ” ผมถาม ชักติดใจในรสชาติ เคยกินแต่วิสกี้ ไวน์ มาเจอกระแช่ของไทยเข้าไป เด็ดดวงกว่าอีก
“ไม้ น้ำตาลปึก น้ำฝน” แกตอบสั้นๆ ทำให้ผมนึกถึงไหที่แกเรียงไว้หลังบ้าน คงเป็นที่หมักพวกนี้แน่ๆ
กุ้งทั้งตัวตอนนี้ล่อนจ้อนไม่มีเปลือก เนื้อกุ้งสดๆแน่นๆขาวๆอวบๆอยู่ในมือผม มันเด้งสู้มือจริงๆ ผมหย่อนหางกุ้งจิ้มลงไปที่น้ำปลาร้า ก่อนจะเคี้ยวเข้าปาก
“อืม อืม” สุดยอดจริงๆ นี่คือสิ่งที่นักชิมทั้งหลายใฝ่หา ไม่ต้องตกแต่งให้เลิศหรู ไม่ต้องมีกรรมวิธีให้วุ่นวาย แค่นี้แหละ รสชาติจากธรรมชาตินี่แหละ ล้ำลึกที่สุด
“เป็นอันใดไปเจ้าบ้า นั่งตาเยิ้มเทียว” สนแซว
“เนื้อหวานตามธรรมชาติ ไม่ต้องใช้ไวน์ขาว หรือเครื่องปรุงใดๆ อย่างนี้ถ้าบีบเลม่อนลงไปหน่อย ทานคู่กับใบผักชีฝรั่ง โอ้โห เหนือคำบรรยาย” ผมว่า
“มันเพ้ออะไรของมันวะ ไอ้สน” อ้ายเอียดหันมาถามสน พวกนี้จะไปรู้อะไรเกี่ยวกับศิลปะของอาหาร ชิส์
“เฮ้ย สน พัน ไม่กินก้ามมันเหรอ เอามานี่” ผมไม่รอให้พวกนั้นตอบ คว้าก้ามกุ้งเท่านิ้วก้อยมาขบ ก่อนจะค่อยๆ รูดเอาเนื้อหวานๆออกมาใส่ปาก
“ไม่รู้จักของดี ไอ้พวกนี้” ผมเคี้ยวตุ้ยๆและรับจอกกระแช่มาซดอีกครั้งตามด้วยมะขามเปียกดูดจ๊วบๆอย่างเมามันส์
บัดนี้ โลกเริ่มแกว่งไกว ผมเริ่มรู้สึกว่าอะไรอะไรแถวนี้มันเคลื่อนที่ได้ ต้นไม้กำลังโอนเอนไปมา หน้าของไอ้พันนั้นบูดเบี้ยว ส่วนกองกุ้งเผานั้นอย่างกับกองเท่าภูเขา
“ดูหน้าเอ็งสิ เจ้าบ้า แดงเป็นลุกตำลึงเสียแล้ว ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะยานๆดังขึ้น
“เฮ้ย แดงที่หนายกาน ชั้นนี่คอเหล็กนะเว้ย ไม่รู้รึงายยยย แค่นี้ไม่ทำให้หน้าแดงหรอกเว้ย” หัวผมเริ่มแกว่งไปมา
“เออ ปากเก่ง ไม่เมาก็ดีแล้ว เอ็งช่วยไปเอาฟืนสุมให้ข้าที ชักช้าประเดี๋ยวฟืนจะมอด” ลุงปริ่มสั่ง ผมรับคำก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว แต่ทันทีที่ลุกขึ้น ผมกลับพบว่าร่างของผมนั้นหนักอึ้งจนแทบยืนไม่อยู่ต้องเซหลายครั้ง
“หนายเอ็งบอกว่าม่ายมาววววงาย”
“ม่ายมาว ม่ายมาววว” ผมปัดมือไปมา ก่อนจะก้าวเท้าอย่างค่อยๆเดิน
“จึก” และก็รู้สึกเจ็บแปลกที่ปลายเท้า ผมหงายเท้าขึ้นมาดูพบว่าหัวกุ้งนั้นแทงเข้าไปเกือบมิด”
“โอย ซูดดดดด” ผมซูดปากเบาๆก่อนจะค่อยๆดึงหัวกุ้งออก ตอนนั้นมันคงชาด้วยฤทธิ์เหล้าเลยไม่ค่อยเจ็บ
แต่ไม่นึกว่าหลังจากนั้น........................................................................................
“เจ้าบ้า เจ้าบ้า” สนพยายามฉุดผมให้ยืนตรงๆ
“หา ใครบ้า ชั้นบ้า หรือใครบ้า เรียกใคร เรียกใคร” ผมเพ้อไม่เป็นภาษาคน ตอนนั้นสติมันหลุดร่วงเรี่ยราดมาตามทางที่สนพยุงหมดแล้ว
ผมจำได้เลือนๆว่าเมามาก ถึงขนาดลุกไม่ไหว ต้องให้ไอ้พัน ไอ้เอียด แล้วก็สนแบกขึ้นเรือ เพราะเดินไม่ได้ด้วย เท้าระบม พอลงเรือมาได้ก็เพ้อไม่เป็นภาษา
สนก็พยายามถูลู่ถูกังพาผมมาส่งจนถึงหน้าเรือนหมอปีย์จนได้ ตอนนั้นก็บ่ายคล้อยแล้ว
“เจ้าบ้า” เขากระซิบกระซาบ “ข้าส่งเอ็งตรงนี้นะ ปีนขึ้นเรือนเอาเอง ข้ามิอยากให้คุณหลวงเห็น”
“เออ ตามบายเรยเพื่อน ตามบายเร้ย จะไปไหนไปเลย ชั้นดูแลตัวเองได้ I am a Superman!! “ ผมตะโกนลั่นบ้านจนสนต้องรีบเอามือปิดปาก
เขาค่อยๆมุดตัวหายไปใต้ถุนเรือน ส่วนผมนั้นยืนโงนเงนอยู่ที่บันได ตั้งสติ ก่อนจะค่อยๆคลานขึ้นกระไดไปทีละขั้น
“ได้เกิดมาเจอเธอทั้งที ไม่ว่ายังไงจะลองดีสักวัน อยากรักก็ต้องเสี่ยง เอิ๊ก เอ่อออออออออออออออออออ”
ผมเดินร้องเพลงขึ้นมาก่อนจะค่อยๆพยุงตัวให้ยืนตรงได้ รู้สึกเลยว่าการคลานเป็นหมานั้นง่ายกว่าเดินเป็นคนมากตอนนั้น
“อ้าวว หมอ มาทำอะไรคนเดียวเปล่าเปลี่ยวหัวใจตรงนั้นล่ะ เอิ๊ก” ผมหันไปเจอหมอปีย์นั่งเอนหลังพิงหมอนสามเหลี่ยมมองมาที่ผมตาเขียวปั๊ด
“แน๊ แน๊ แน๊ ดูทำหน้าเข้าสิ เอิ๊ก จะด่าชั้นอีกล่ะสิ หือ ไม่อาวน๊า ไม่อาว” ผมส่ายนิ้วชี้ไปมา “ด่ากันไม่ดีน๊า คนไทยต้องสามัคคีกันรู้มั๊ย” ไปเรื่อยเลยผมตอนนั้น
“ไหนๆ มาดูหน้าใกล้ๆ หน่อยสิ อะไรเข้าตาเหรอ ทำไมถึงต้องถมึงทึงขนาดนั้น” หมอปีย์จ้องผมราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ผมทำท่าจะก้าวไปหาเขา แต่ทันทีที่เหยียบเท้าข้างที่โดนหัวกุ้งตำ ก็ต้องเซจนล้มตึงด้วยความเจ็บปวด
“โอ้ย” ผมร้องเสียงหลง หมอปีย์ ตกใจรีบวิ่งเข้ามาทันที
“เป็นอันใดมากรึเปล่าเจ้าบ้า โธ่เอ้ย ไปเมามาเยี่ยงหมา” เขาทำสีหน้าตำหนิ
“หมอ เอิ๊ก” เรอออกมากลิ่นเหล้าหึ่งจนหมอปีย์ต้องเมินหน้าหนี” “หมอชั้นม่ายด้ายมาวววว ชั้นเจ็บตีน” ผมพยายามอธิบายเหตุผลที่ล้มลง
“เจ็บเท้าอย่างไรกัน เจ้าเมามิเห็นรึ คงจะเป็นอ้ายสนสิท่าที่พาเจ้าไปสำมะเลเทเมาขนาดนี้ คอยดูนะ อย่าให้เจอหน้า เราจักลงหวายให้หลังลาย” เขากัดฟันกรอด
“ม่ายช่าย เอิ๊ก ชั้นเจ็บตีนจริงๆ นี่งาย ดูสิ เอิ๊ก” ว่าแล้วผมก็ยกเท้าขึ้นมาเฉียดหน้าหมอนั่นไปนิดเดียว
หมอปีย์เมินหน้าหนี แต่ทันทีที่เห็นเท้าที่บวมเป่งนั้นเขาก็ร้องขึ้นทันที
“นี่เจ้าไปทำอีท่าไหนมานี่ เท้าถึงได้บวมแดงขนาดนี้ ทิ้งไว้คงมิได้การณ์เสียหล่ะ”
ว่าแล้วเขาก็สั่งให้บ่าวไพร่มาพยุงผมเข้าห้อง
“เจ้าไปเอาผ้าชุบน้ำมาให้เรา ส่วนเจ้าไปเอาใบเหงือกปลาหมอตำมา” เขาสั่งบ่าวไพร่ที่ตอนนี้วิ่งวุ่นไปทั้งเรือนเพราะผมแท้ๆ
“นอนนิ่งๆสิ เราจักถอดเสื้อให้” เขาจับผมกดลง แต่ตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนกำลังตกจากที่สูง มันมึนไปหมด นอนหงายก็หายใจไม่ออก ใจหวิวๆเหมือนจะตาย ต้องนอนตะแคง แต่หมอนั่นก็จับผมพลิกนอนหายอยู่ร่ำไป
“หมอชั้นร้อน หมอร้อน” ผมร้องโวยวาย หมอปีย์ค่อยๆถอดกระดุมเสื้อผมออกและถอดมันกองลงกับพื้น บ่าวคนที่วิ่งไปเอาผ้าชุบน้ำมาถึงก็ยื่นให้หมอปีย์ ส่วนอีกคนก็เอาใบเหงือกปลาหมอมาให้
“พวกเจ้าออกไปก่อน ไปเตรียมต้มน้ำมะตูมสุกมาให้เรา” เขากำชับ
ก่อนจะค่อยๆบิดน้ำหมาดๆ
“โธ่เอ้ย ผื่นแดงขึ้นเต็มตัว ท่าจะไปกินเหล้าต้มเถื่อนมา” เขาส่ายหัว “พ่ออัชย์เอ้ย “
เขาค่อยเช็ดตัวให้ผมอย่างเบามือ ตอนนี้พิษสงในตัวของผมหมดแล้ว มันอ่อนแรงไปหมด หายใจก็ติดขัด จะยกมือก็ไม่มีแรง
หมอปีย์ค่อยๆเช็ดตัวให้ผมตามซอกอย่างเบามือ ผมรู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาด ทุกครั้งที่มือของมันสัมผัสร่างผม ไออุ่นนั้นแล่นผ่านหัวใจ ทำให้ผมรู้ทันทีว่าผมต้องไม่เป็นอะไร หากมีหมอนี่อยู่ใกล้ๆ
“ผื่นแดงขึ้นขนาดนี้นี่ ต้องแพ้สิ่งใดมาเป็นแน่” เขาบ่นกับตัวเองก่อนจะบิดผ้าทิ้งลงอ่างแล้วหันไปหยิบดินสอพองมาละลายน้ำละเลงทาทั่วตัวผมอย่างเบามือ
“ดินสอพองเป็นของเย็น ช่วยดับพิษร้อน และอาการแพ้ผื่น”
เมื่อเขาละเลงทาดินสองพองทั่วตัวผมแล้ว เขาก็หันไปดูแผลที่เท้าผม
“นี่โดนหัวกุ้งตำมานี่” เขาว่า ก่อนจะใช้ของแข็งบางอย่างคล้ายเหล็กทู่ๆจี้ไปที่แผลที่โดนตำ ผมรู้สึกเจ็บแปลบเข้าไปถึงติ่งสมอง แต่ร้องไม่ออก รู้เพียงแต่ว่ามีเลือดไหล
หมอนั่นใช้ผ้าซับเลือด ก่อนจะเอาใบเหงือกปลาหมอที่ตำแล้วนั้นพอกและใช้ผ้าขาวผูกไว้จนแน่น
“เหงือกปลาหมอช่วยถอนพิษ แก้อักเสบ ทิ้งไว้สักประเดี๋ยวเจ้าก็จักดีขึ้น” เขาว่าพลางเดินมาที่ผมใช้มือลูบหัวผมอย่างเบามือ
“พักผ่อนก่อนเถิดพ่ออัชย์ เรามีเรื่องต้องชำระความกับไอ้สน”
แล้วเขาก็เดินออกจากห้องไป ผมยิ้มอย่างอุ่นใจ อย่างน้อยถึงจะมาอยู่ในที่แปลกถิ่นอย่างนี้ก็ยังมีหมอนั่น ผมไม่รู้ว่าสนจะเจออะไรบ้าง แต่อย่างน้อยผมก็ไม่โดนเอ็ด แถมยังได้รับการดูแลอย่างดีอีกด้วย
-
จิ้มเลยขอรับ เข้ามาเจออัพตอนใหม่พอดี o13 o13
-
วุ้ย คุณหลวงอย่าไปร้ายแรงกับพ่อสนมากนะคะ สงสารเค้า
ว่าแต่...ดิฉันอยากไปนั่งบนเรือกับพ่ออัชย์จัง จะได้แอบเขวี้ยงสายตาไปมอง...ช้างน้อยของพ่อสนกับเพื่อนๆ อยากรู้ว่าจะเป็น "ล่ำเป็นสัน" จริงหรือไม่ หุหุ
-
^
แป้งจี่ เก็บอาการหน่อยครับ :laugh:
สุขสันต์วันสงกรานต์ :mc4:
สงสารหมอ เจอคนไม่มาวววว :เฮ้อ:
+1
-
หมอปีย์อยากจะว่าพ่ออัชย์ ที่ทำตัวเหลวไหล
แต่ความเป็นห่วงที่มีมากกว่าเลยต้องดูแลเอาใจใส่ ทำตัวน่ารัก
เริ่มเปิดใจกันแล้ว เป็นโอกาสของพ่ออัชย์แล้วที่จะได้อ้อนหมอปีย์ :o8:
อ่านตอนนี้ติดเรท R ด้วยจิ้นไปไกลเลย
+1 ครับ :pig4:
-
สงสาร สน อะ~ น่าจะยุให้มาเป็นมือที่สามอยู่นะเนี๋ยะ
หลวงอย่างหมอปีย์ก็อย่าลงโทษ แรงนะ สงสารน้อยของไอ่บ้า :laugh:
-
สนซวยแน่ อยู่ดีไม่ว่าดีดันมาพาเจ้าบ้าไปเมาซะได้
จะสงสารดีมั๊ยเนี่ยะ
-
อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกหิวเลยอ่ะ หิวกุ้งนะ
ไม่ได้หิวคนหากุ้ง 555
-
อยากให้ทั้งสองได้อยู่ด้วยกันจัง
จริงๆนะ...
-
ของคนอื่นไม่ต้องไปดูหรอกอัชช์
รอดูของหมอปีย์ดีกว่า :haun4:
ท่าทางสนคงจะโดนลงโทษหนัก :t2:
-
อิจฉาอัชย์อ้ะ ขนาดเมามายังไม่โดนเอ็ดซักกะคำ >///<
-
ดูแล อัชย์ ดีๆนะค่ะ หมอปีย์
-
ไอ้สนของอิชั้นจะโดนอะไรมั้ยเนี่ยเจ้าค่ะ อิชั้นว่าคุณหมอปีย์ จัดการนุ้งปอดีกว่าเมาๆเนี่ยอะไรก็ยอมเชื่อดิ :z1:
-
เหอๆ ได้หมอปีย์ดูแล แหมพ่ออัชย์คงมีความสุขน่าดู
:-[ :-[
-
สวัสดีปีใหม่ไทย ย้อนหลังครับ ไรท์เตอร์
-
ดูแลอย่างดีเลยแฮะ :-[
หมอปีย์น่ารัก อบอุ่น โห้ยยยยย อยากได้กลับบ้าน :m3:
-
หมอปีย์น่ารัก :-[
พ่ออัชย์เมืิ่อไรจะรู้ตัวน้อ :impress2: :เฮ้อ:
-
โฮกกกก อยากกินกุ้ง น้ำลายไหล :m2:
หมอดูแลดีอย่างนี้ เจ้าบ้าจะใจอ่อนยังน้อ?
-
อ่านไปก็หิวไป หนูอยากกินกุ้งงงงงงงงง
ว่าแต่พ่อสนท่าจะโดนลงโทษหนักนะคราวนี้ ทำเจ้าบ้าเมาแบบนั้น
แต่ ที่สำคัญที่สุด หมอปีย์น่าร๊ากกกกกก :o8: :o8:
-
โธ่เอ๊ย อุตส่าห์ลุ้นให้เจ้าบ้าเมาแล้วโดนหมอจับกด :serius2:ไม่ได้ดังใจเลย
-
หมอปีย์ใจดี เจ้าบ้าหนีไปซนจนเจ็บตัวกลับมาก็โกรธไม่ลง ก็แหม....คนมันรักอ่ะ! (ได้ทีแล้วหมอ เจ้าบ้ามึนๆแบบนี้ รวบหัวรวบหางเล้ย กร๊ากก)
-
ว๊าก กกก อิจฉาพ่ออัชย์ หมอปีย์อ่อนโยนมว๊ากๆเลยอ่ะ... >///<
นายสน นนนน งานเข้าแล้ว ววว
อ่านแล้วหิวโฮก กกก อ่านไปถึงตอนย่างกะตอนเอาหางกุ้งจุ่มน้ำจิ้ม...คุณพระ...ท้องร้องดัง -โครก กกกกก- ตายๆๆๆ คืนนี้จะหลับมั้้ยเนี่ย...แงมๆๆ
-
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก หมอปีย์จ๋า อย่าทำไรพ่อสนเพื่อนเล่นนู๋อัชย์ เลยน้าาาาาาาาาาาาา
-
อยากไปจับกุ้ง อิคึอิคึ
-
o18สนงานเข้า
ปล.อ่านแล้วอยากกินกุ้งค่ะ แต่ก็กินไม่ได้เพราะว่าแพ้กุ้ง:serius2:
-
• พวกเธอทั้งดูแลบ้านเรือน ลูกก็มีคราวละมากๆ บางทีเป็นสิบๆคนก็มี
ว้าย แฝดแบบ multiple twins รึคะ นั่น 5555
ขอบคุณนะคะ คุณ เซ็งเป็ด
-
ใครจะโชคดีเท่าไอ้บ้ามีอีกไหม
จริงไหมหมอ
-
คิดผิดจริงๆ ที่มาอ่านเรื่องนี้ ...
... ยามดึก มันหิววววว !
-
:-[ หวานเชียว อิอิ
-
แหมๆๆๆ พ่อหมอปีย์ ...
นายอัชย์เจ็บเท้าจนเซล้มก็ลืมความโกรธไปเลยน๊า :laugh:
-
พ่ออัชย์ผิดผีแล้ว เห็นของสน 5555
-
ว๊าวๆ หมอปีดูแลอยางดีเลย น่ารักจิงๆ
อยากกินกุ้งแม่น้ำตัวใหญ่บ้างจัง
-
แอบสงสารสนอ่ะ อย่าทำอะไรเขานักเลย กลัวว่าเด๋ววันหลังสนจะไม่พาอัชย์ไปแอดเวนเจอร์ที่ไหนอีกน่ะสิ
มามะ มาดูแลคนเมานี่ดีกว่า ฉวยโอกาสนี้ซะเลยเตอะ อะฮุๆๆ :pigha2:
-
คนไม่เมาโดนดุ
คนเมารอด
โชคดีมากที่เมา????
-
หมอปีย์น่ารัก :-[
-
อ่านแล้วอยากกินกุ้งเผาตัวใหญ่มันเยอะๆ น้ำจิ้มรสแซบเลย :oni2:
-
อยากไปหากุ้งแทนพ่ออัช เอิ๊กๆ
-
หมอปีย์ น่ารักอ่ะ
-
อ่านแล้วอยากกินกุ้งมั่ง
ว่าแต่เมื่อไรจะลงเอยกันละเนี่ย รออ่านนะคะ :L2:
-
อ่านทีไรมันหิวทุกที จะไปหากุ้งใหญ่ขนาดนั้นมากินบ้างก็จนปัญญา TT^TT
-
อยากไ้้ด้หมอชะมัด ขอแบบนี้คนดิ
-
อยากกินกุ้ง
เหอๆ สนโดนคุณหลวงจัดหนักรึป่าวน้อ ฮ่าๆๆๆ
-
แทคแคร์ดีสุดๆเลยค่ะหมอปรีย์ :-[
พ่ออัชย์ไม่รักไม่หลงให้มันรู้ไป
ปล. แอบขำ 555+ พ่ออัชย์แอบโล่งใจที่ไม่ต้องแก้ผ้า เพราะ "ไซส์" :o8:
-
อัชเอ๊ย เพิ่งรู้ว่า "ไม่เท่าไหร่" สินะ
ว๊า อย่างนี้มีหวังแย่แน่ ถ้าเกิดคุณหลวง "เป็นล่ำเป็นสัน" ขึ้นมาอีกคน ได้ข่าวว่าลูกครึ่งด้วยนิ หุหุ :-[
-
ตายเเน่ๆ ไอ้สน เอ้งดันพาว่าที่คนรักของหมอปรีย์ไปเสียคนเเบบนี้
555+++
ว่าเเต่ สามคนนั้น :-[ :-[
-
สนครับ ซวยแล้วครับ :z3:
พ่ออัชย์เอ้ย นึกว่าจะลุกมาแก้ต่างแทนสนซะแล้ว ดีแล้วที่ไม่ได้ทำ ไม่งั้นหมอคงหึงตายเลย เอ๊ะ หรือถ้าหมอหึงจะดีกว่านะ :impress2:
รอตอนต่อไปค่ะ
-
สนจะโดนอะไรมั่ง
หมอปีย์ใจเย็นเน้อ
-
หมอปีย์ จะรุกก็รุกเถอะลุ้นเหนื่อยแล้ว
ถ้าช้าอยู่อีกจะยกหนูอัชย์ให้พ่อสน(ซ่อนรูป)นะจ๊ะ555+
-
ถึงกาลบัดนี้ หมอปีย์ ก็ใช้เวลานี้ดูแล เจ้าบ้า ได้ดีเยี่ยงนี้เพราะว่ากระไรหรือ ....
ส่วนเจ้าบ้า ตอนนี้ยังไม่รู้ดอก ว่าตัวนะ เริ่มเคลิ้มไปกับการกระทำของหมอปีย์แล้ว :m20:
+1 ให้คุณนนท์ หลังจากพักยาวช่วงสงการนต์ :z2:
-
แอบสงสัย หมอปีย์ในภพปัจจุบัน ใช่คนที่ตามจีบตาอัชย์รึเปล่าน้อ?
-
โอ๊ยน่าจะจับกดซะให้สิ้นเรื่อง
-
สงสารสน
ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ
-
หมอปีย์สุดยอดมากค่ะ ดูแลเจ้าบ้าดีมากๆ
งานนี้สนท่าจะโดนหนักนะนี่ พาเจ้าบ้าไปเมา 555++
-
หลอกพี่ทำไมว่าจะมาต่อวันจันทร์ :sad4: ส่วนของวันอาทิตย์ไม่เกี่ยวพี่รอของวันจันทร์ทำไมไม่มา งอน :a14: นี่อังคารแล้วด้วย กรี๊ดดด
-
:m20:
ความซวยมาเยือนอ้ายสน...แต่ความหวานมาเยือนพ่ออัช :o8:
-
หลอกพี่ทำไมว่าจะมาต่อวันจันทร์ :sad4: ส่วนของวันอาทิตย์ไม่เกี่ยวพี่รอของวันจันทร์ทำไมไม่มา งอน :a14: นี่อังคารแล้วด้วย กรี๊ดดด
อูย ตาย ตาย ถึงขนาดทำให้เด็จแม่ระคายเคืองพระบาท
เป็ดน้อยผิดไปแล้ว
เดี๋ยวกลับเรือนจะรีบโพส้ลยนะครับ น๊าาาาาาา
-
จงรีบกลับเรือนให้ว่อง ถ้ามิอยากเจอหวายลงหลัง o18
-
มารอด้วยคน^^
แหะๆ
-
งานเข้า... :laugh: :laugh:
-
สนซวยละทีนี้ ผิดตลอดๆ เหอๆ
หมอปรีย์รุกเลยเจ้าบ้าเมาแล้วฮ่าๆ
-
มารอดูหวายจะลงหลังพี่นนท์....เอ้ย ยยย ไม่ใช่ๆๆ หลังนายสน....แหร๊ :P
(เค้าแอบหยอกเพราะรักน๊า าาาพี่นนท์ ^^)
-
ยังกลับไม่ถึงเรือนอีกหรอครับ รอๆ :L2:
-
โพล้เพล้ของวันเดียวกันนั้นเอง ผมฟื้นขึ้นมาและพบว่ามีอาการไข้รุมๆ คงเป็นเพราะอาการระบมจากแผลที่หัวกุ้งตำ ไม่น่าเชื่อว่าแค่กุ้งตัวเดียวจะเล่นผมนอนเสื่อได้ถึงขนาดนี้
“ฟื้นแล้วหรือพ่อ” เสียงหมอปีย์ปิดสมุดตำราฝรั่งเล่มหนาดังปึก ผมหันไปมองเขากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะอ่านหนังสือริมหน้าต่างในห้องผม
“นี่นายเฝ้าชั้นทั้งวันเลยเหรอ” ผมถาม
“ใช่ ก็เจ้าเพ้อตลอดเวลา ตัวก็ประเดี๋ยวร้อนประเดี๋ยวหนาว จักให้บ่าวไพร่มาดูแลพวกมันก็มีงานอื่นจักต้องทำ เราก็เลย เอ่อ ก็เลยมาดูแลเจ้าแทน” หมอปีย์หหลบสายตาไม่กล้าสู้หน้าผม
“ขอบใจนะหมอ อึ๊บ” ผมยันตัวเองขึ้นนั่ง “ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นถึงขนาดนี้นะ”
“มันจักไม่ลามไปเยี่ยงนี้ดอก หากเจ้ามิกินเหล้าขาว พิษจากหัวกุ้งเมื่อเจอฤทธิ์ของเหล้าเข้าไป มันก็เป็นเยี่ยงนี้แหละ” เขาทำท่าตำหนิ
“เท้าเจ้าเป็นอย่างไรบ้างเล่า”
“ปวดตุบ ตุบ น่ะ” ผมตอบ
“สงสัยจะกลัดหนอง ระหว่างนี้เจ้าก็ระวังตัวหน่อยอย่ากินของแสลง ข้าวโพดข้าวเหนียว ขนมที่ทำจากแป้งข้าวเหนียว กินไปแผลจะกลัดหนองทำให้หายช้า สร่างไข้แล้วก็ห้ามกินแตง แตงไทย ผลไม้เย็นๆ” เขาลุกขึ้นไปหยิบกาน้ำแล้วเทน้ำบางอย่างสีขุ่นเหลืองใส่ในแก้วชาให้ผม
“น้ำชูบาน ทำมาจากมะตูมสุกต้มใส่น้ำตาล ดื่มเสียสิ จักได้สดชื่น” เขายื่นให้ผม ก่อนที่ผมจะรับมาดื่มเฮือกใหญ่และรู้สึกชุ่มคอ ดีขึ้นอย่างที่เขาบอกจริงๆ
“ห้ามซะขนาดนี้แล้วจะให้ชั้นกินอะไรหล่ะ ไม่อดตายเลยหรือไง” ยังปากดี
“เราให้บ่าวมันทำข้าวเปียกกินกับปลาดุกย่างไว้แล้ว เดี๋ยวจักให้มันยกมาให้ ป่วยไข้เช่นนี้กินอาหารอ่อนๆไว้เป็นดี ไข้จะได้หายเร็วๆ”
หมอนี่ดูแลผมดียิ่งกว่าแม่เสียอีก ผมนั้นหัวใจพองโตจนคับหน้าอก อยากจะโผเข้ากอดเป็นการขอบคุณในมิตรภาพที่มันมีให้ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครดูแลผมถึงขนาดนี้ การดูแลเอาใจใส่ของมันครั้งนี้ ทำให้ผมมองหมอนี่ในแง่ดีมากขึ้นทีเดียว
หนึ่งวันหลังจากนั้นอาการของผมก็ดีขึ้น จริงๆมันดีขึ้นตั้งแต่วันรุ่งขึ้นนั้นแล้ว แต่ด้วยความที่ยังอยากให้หมอนั่นมาดูแลอยู่ เลยแกล้งป่วยต่อ เพราะรู้สึกดีที่มีคนมาดูแล
ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ผมเปลี่ยนแปลงตัวเองไปเยอะมาก เรื่องการดูถูกคนนี่เห็นได้ชัดเจน เมื่อก่อนผมนึกเสมอว่าคนซื้อได้ด้วยเงิน และคนพวกนั้นก็เป็นคนที่ซื้อได้ด้วยเงินจริงๆนั่นแหละ
ยกตัวอย่างว่า วันหนึ่งหลังจากกลับมาจากปาร์ตี้ที่ผับดังแห่งหนึ่ง ผมเกิดไปถูกใจแฟนสาวของนักเที่ยวคนหนึ่ง จังหวะที่เธอขอตัวแฟนเข้าห้องน้ำ ผมก็ตามเธอเข้าไป ก่อนจะใช้เงินฟาดหัวเธอและก็มีอะไรกับเธอในห้องน้ำนั้น
หรือการที่ผมใช้เงินฟาดหัวคนใช้ที่บ้านจนเคยตัว เพื่อให้ช่วยกันปกปิดเรื่องที่ผมพาใครต่อใครมานอน
ผมตวาดคนใช้ลั่นบ้าน ทำราวกับพวกเขาไม่ใช่คน
ผมเคยสาดน้ำใส่หน้าแม่บ้านคนหนึ่งที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ผมเพียงเพราะเธอเอาน้ำที่ไม่เย็นมาให้
ผมขับรถเฉี่ยวคนสวนที่เดินกวาดใบไม้เพียงเพราะเขาเกะกะ
ผมทำสิ่งเลวร้ายมากมาย จนพ่อแม่ทนไม่ไหว จับผมส่งไปเมืองนอกในที่สุด
พฤติกรรมเช่นนี้ใช่ว่าจะหายไปเมื่อผมอยู่เมื่อนอก ตรงกันข้าม มันกลับทำให้ผมเหลวไหลกว่าเดิมเสียอีก
แต่พอได้มาอยู่ที่นี่ ทุกอย่างของที่นี่ทำให้ผมเปลี่ยนไป ผมไม่โทษสภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดูหรอกทั้งๆที่ยอมรับกันตรงๆมันก็มีส่วน แต่ที่นี่ทำให้ผมรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น ความจริงใจ และความรักอย่างที่ผมไม่เคยได้รับเลยในยุคสมัยที่ผมจากมา
“หมอ วันนี้มีอะไรกินมั่ง” ผมเดินกะโผลกกะเผลกมาหาหมอปีย์ที่ศาลาชานเรือน
“มิรู้สิ ลองถามนังอ่ำมันดูเถิดวันนี้เราไม่ทานข้าวที่เรือน” เขาก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ
“อ้าว แล้วนายจะไปไหนอ่ะ” ผมทรุดตัวลงนั่งริมศาลาถัดจากเขา
“เราจักไปทานข้าวเรือนคุณชั้น วันนี้เธอให้บ่าวมาเชิญ”
“จะไปกินข้าวกับคำแก้วละสิ”
“ใช่”
“โธ่ แล้วทำเป็นมาอ้างคุณชั้น”
“ทำไมรึ”
“ปล๊าว”
“เรามิได้เจอคำแก้วเสียหลายวัน มัวแต่มาดูแลเจ้า”
“อ๋อ หาว่าชั้นเป็นภาระงั้นสิ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น เราหมายถึง เราน่าจะไปเยี่ยมเยียนเธอบ้าง”
“ตามประสาคู่หมั้น”
“ใช่”
...............................จึก...............................
ผมนิ่งไปครู่หนึ่ง นี่มันเรื่องอะไรของผมที่ไปต่อล้อต่อเถียงกับมันเรื่องคำแก้ว เขาเป็นคู่หมั้นคู่หมายกัน มันก็เรื่องของเขา แล้วกูไปยุ่งอะไรด้วยเนี๊ยะ
“เอาเถิด อย่าน้อยใจไปเลย ประเดี๋ยวรุ่งเช้า เราจักพาเจ้าไปเรือนแม่รำพึงตามที่สัญญา” เขาเงยหน้าขึ้นมายิ้มกับผมก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อไป
ค่ำคืนที่เงียบสงัด ผมกำลังเดินเท้าเปล่าเปลือยผ่านทางเดินแคบๆที่รายล้อมไปด้วยต้นกระถินณรงค์ ทางเดินข้างหน้านั้นมืดมิดจนผมต้องใช้มือทั้งสองข้างคลำทาง มันมืดมาก มืดจนมองไม่เห็นแม้แต่แสงไฟจากหิงห้อย ผมคลำทางมาเรื่อยๆ ในใจเริ่มหวาดหวั่นว่าสิ่งที่จะต้องพบเจอข้างหน้าจะเป็นอะไร ผมกลัว กลัวไปหมด กลัวสิ่งที่มองไม่เห็น กลัวความมืด ความความไม่แน่นอน
เหงื่อเริ่มผุดขึ้นมาบนใบหน้าและแผ่นหลัง ใจผมเต้นโครมครามราวกับจะทะลุออกมาจากหน้าอก ลมหายใจถี่แรงที่ตอบรับกับอัตราการเต้นของหัวใจ ริมฝีปากที่สั่นระริกนั้น ตอนนี้อาการเหล่านั้นกำลังจะทำให้ผมเป็นบ้า
แต่แล้วก่อนที่ผมจะบ้าตายเสียก่อน ผมก็เห็นแสงไฟเล็กๆจากตะเกียงที่สาดแสงไม่จ้ามากนัก แต่ก็พอให้รู้ว่าข้างหน้าผมเป็นสะพาน
“ใครน่ะ” ผมร้องถามด้วยความกลัว
ผู้ถือตะเกียงเจ้าพายุยกตะเกียงขึ้นเสมอใบหน้า
“หมอปีย์” ผมอุทานออกมาด้วยความดีใจ แสงจากตะเกียงนั้นส่องให้เห็นใบหน้าและแววตาของหมอนั่น แต่แววตานั้นดูเหมือนจะไม่ใช่หมอปีย์ที่ผมรู้จัก
“หมอ” ผมวิ่งเข้าไปหาเขาด้วยความดีใจ
“หมอชั้นอยู่ที่ไหน ทำไมที่นี่ถึงมืดอย่างนี้” ผมละล่ำละลักถาม แต่หมอปีย์ไม่มีวี่แววการตอบสนองใดๆทั้งสิ้นแม้แต่กระพริบตา
“หมอ ชั้นอยู่ไหน หมอ” ผมเร่งเร้าคำถามเดิมๆ
สะพานไม้ที่เราทั้งคู่ยืนอยู่นั้นดูมั่นคง แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่ามันกำลังสั่น
“หมอ พูดอะไรซะบ้างสิวะ หมอ” ผมเขย่าตัวหมอปีย์ จากค่อยๆจนแรงๆขึ้นแรงขึ้นตามความรู้สึกร้อนใจที่กำลังจะปะทุ แต่หมอนั่นเหมือนซากศพเดินได้ เขาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆเลย
“หมอ!!!!” ผมตวาดเขาลั่น และทันใดนั้นเอง สะพานฝั่งที่ผมยืนก็สั่นอย่างแรง จนมันขาดแยกผมกับหมอนั่นออกจากกันคนละฝั่ง
ผมก้มลงมองสะพานไม้ที่ขาดนั้นด้วยความตกใจ
หมอปีย์ไม่พูดอะไร เพียงแค่ยื่นมือมาหมายให้ผมกระโดดไปฝั่งเขา ผมนิ่งคิดอยู่นาน หันกลับไปข้างหลังที่มืดมิดก็พบว่าไม่มีประโยชน์ที่จะยืนอยู่ตรงนี้ จึงตัดสินใจกระโดดข้ามไปหาเขา แต่รอยแยกนั้นกว้างเกินไป ผมเหยียบไม้กระดานแผ่นหนึ่งไว้ได้ แต่มันกลับหลุดร่วงฉุดร่างผมลงไป
โชคยังดีที่หมอปีย์จับมือผมไว้ได้
“หมอ หมอ ช่วยชั้นด้วยหมอ ฉุดชั้นขึ้นไปที” ผมขอร้องเขาด้วยแววตาอ้อนวอน หมอปีย์จับมือผมไว้แน่น แต่ร่างกายท่อนล่างของผมนั้นร่วงลงไปจากสะพาน ปลายเท้าสัมผัสผืนน้ำที่เย็นเฉียบจนรู้สึกได้
“หมอ หมออย่าปล่อยชั้นนะหมอ”
“หมอ จับมือชั้นไว้ดีๆนะ” ผมพยายามตะเกียกตะกายขึ้นสะพาน แต่ดูเหมือนหมอปีย์ไม่ได้ออกแรงช่วยผมเลยแม้แต่น้อย
“หมอ หมอ” ผมร้องตะโกนเมื่อจู่ๆ หมอปีย์ก็ค่อยหย่อนผมลงไปในน้ำทีละน้อย
“จะทำอะไรน่ะหมอ ดึงชั้นขึ้นไปสิ หมอ”
“โธ่เว้ย ไอ้หมอบ้า อย่าเล่นแบบนี้นะเว้ย” ผมเริ่มใจคอไม่ดี
แล้วหมอปีย์ก็ค่อยๆปล่อยมือออกอย่างเลือดเย็นจนในที่สุดร่างของผมก็หล่นตูมลงไปในแม่น้ำที่เย็นเฉียบ
“นายเล่นบ้าอะไรของนายน่ะ หมอ” ผมพยายามรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มี ตะเกียกตะกายแหวกว่ายขึ้นมาเหนือน้ำ พอโผล่พ้นน้ำก็พบมือของหมอนั่นยื่นมาอีกครั้ง ผมยิ้ม คิดว่าเขาจะช่วย แต่เปล่า
เขากลับกดหัวผมลงไปในน้ำ
“หมอ ทำอะไรน่ะ หมอ” ผมสำลักน้ำอย่างหนัก แต่ก็ยังดิ้นรนอยู่ “ หมอ หยุดนะเว้ย ไอ้หมอ” เขากดหัวผมแรงขึ้น น้ำในแม่น้ำกระเซ็นกระสายไปตามแรงที่ผมดิ้นรน แต่ผมก็จับมือเขาไว้ได้ ยังไงผมก็ยอมให้หมอปีย์ฆ่าผมไม่ได้หรอก
ช่วงเวลานั้นช่างผ่านไปเนิ่นนานสำหรับผม ผมรู้สึกว่ากำลังยื้อชีวิตอยู่กับหมอนั่นอยู่นาน และเขาเริ่มอ่อนแรง ผมจึงรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้ายที่มือพุ่งตัวขึ้นเกาะขอบสะพานได้สำเร็จ
“มึงจะฆ่ากูเหรอ ไอ้หมอ มึงจะฆ่ากูเหรอ” ผมกรีดร้องด้วยความโกรธแค้น
แต่ขณะที่ผมกำลังจะยกขาทั้งสองขึ้นจากน้ำนั้น จู่ๆ ก็มีมืออันเย็นเฉียบแทรกผ่านสายน้ำขึ้นมาจับที่ข้อเท้าผม มือนับสิบมือที่ขาวซีดเหล่านั้นไม่รู้ว่ามาจากไหน มือพวกนั้นกำลังกระชากผมอย่างแรงจนมือที่เกาะเกี่ยวสะพานไว้นั้นหลุดออก
“ตูม!!!”
ผมจมลงสู่แม่น้ำอีกครั้งมือปริศนาเหล่านั้นลากผมลงสู่ก้นบึ้งของแม่น้ำ ผมหมดหนทางดิ้นรน สิ้นหวัง และไร้ประโยชน์ที่จะยื้อชีวิต ปล่อยตัวเองดำดิ่งตามแรงดึงของมือปริศนา
ผม เงยหน้ามองขึ้นไปยังพื้นน้ำเบื้องบน เห็นแสงไฟจากตะเกียงที่ส่องหน้าหมอปีย์ แววตาของเขายังคงไม่ใช่ของเขา สีหน้าของเขาเศร้าสร้อย และแสงไฟจากตะเกียงนั้นก็ค่อยๆมอดจางและดับไปในที่สุด..............................
“ไอ้หมอออออออออออออออออออออออออออออออ” ผมกรีดร้องเสียงดังพร้อมๆกับกระชากตัวขึ้นมาจากเตียงอย่างแรง ก่อนจะสูดเอาอากาศเข้าไปราวกับโหยหามันมาตลอดชีวิต
“ฮ่า ฮึ ฮ่า ฮึ ฮ่า” ปากที่อ้าพะงาบๆนั้น ช่างให้ความรู้สึกเหมือนตอนที่จมน้ำครั้งนั้นไม่ผิด
“ฝันไปหรือนี่” ผมปาดเหงื่อที่หน้าผาก และพบว่าตอนนี้เหงื่อออกเต็มตัวเหมือนคนเพิ่งขึ้นมาจากน้ำ
“ทำไมมันถึงได้.................................................”
-
หลังจากที่ตื่นนอนได้ไม่นาน นังอ่ำบ่าวช่างเหวี่ยงประจำตัวของผมก็เดินเข้ามาบอกว่า ให้รีบแต่งตัว คุณหลวงจะพาไปธุระข้างนอก
ผมถามว่าจะไปไหน เจ้าหล่อนก็ตอบกระแทกเสียงมาว่า
“เป็นแค่บ่าว จะสู่รู้เรื่องนายได้เยี่ยงไร” ดูมันตอบ ผมว่าท่าทางหล่อนคงไม่ชอบผมเอาเสียมากเลยนะเนี๊ยะ คงเป็นเพราะจู่ๆผมก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ แถมเธอยังต้องมาคอยรับใช้คนไม่มีหัวนอนปลายตีนแบบผม คงจะไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีสำหรับเธอ
“นี่ ผ้าแถบนี่นุ่งยังไง” ผมเดินเข้าไปหวังจะล้อเล่นกับเธอ แต่ก็สงสัยจริงๆนั่นแหละ เพราะผ้าแค่ผืนเดียว แต่ทำไมผูกแน่นจนไม่หลุดไม่ลุ่ยเลย ไม่ว่าจะทำงานอะไร ผาดโผนแค่ไหน ผ้าแถบก็ยังเกาะอกอยู่ได้ไม่หลุด
เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จ หมอปีย์ก็ออกมารอผมอยู่ที่ศาลาริมน้ำแล้ว เขาดูสีหน้าแช่มชื่นผิดปกติ คงจะมีความสุขที่เมื่อคืนได้ออกไปหาคู่หมั้นล่ะสิ
ผมพยายามข่มใจอยู่พักหนึ่งไม่ให้เพ้อเจ้อเรื่องเขากับคำแก้วอีก เมื่อจัดการกับอารมณ์ตัวเองได้แล้วจึงปรี่ไปหาเขา
“หมอนั่นเป็นแฟนกับคำแก้ว.................ถูกแล้ว ๆ ๆ” ผมท่องประโยคนี้ในใจระหว่างที่เดินไปหาเขา
“หมอปีย์ต้องแต่งงานกับคำแก้วๆๆๆ”
“ Hi doc. How are you? Sleep well last night? ผมถามเป็นภาษาอังกฤษที่ไม่ค่อยจะแข็งแรงเท่าไหร่
“ Yes I did. And you? หมอนั่นถามกลับสำเนียงเขาเป๊ะกว่าผมมาก อายจัง
“I had a nightmare, frightening dream.”
“ Nightmare will become a good sign”
“I hope so”
ผมนั่งลงตรงม้านั่งในศาลาริมน้ำตรงข้ามเขา มองใบหน้าเขาเชิงเป็นคำถามว่าจะพาไปไหน
“เราจักพาเจ้าไปเรือนแม่รำพึง ไปตามที่สัญญา” เขาเฉลย
“เช้านี้เหรอ ไม่ได้ ชั้นต้องเรียนทำอาหารเรือนคุณชั้น”
“เช้านี้คุณชั้นให้บ่าวมาเรียนว่า เธอจักไปทำบุญที่วัด เจ้าไม่ต้องไป”
“อ้าวเหรอ”
เราทั้งคู่ลงเรือลำเดิมที่สนเคยพาผมไปหากุ้ง ผมนั้นไม่เห็นสนหลายวันแล้ว ว่าจะฝากของเล่นที่ซื้อมาจากงานภูเขาทองไปฝากแดงมันก็ไม่มีโอกาส แต่พอนึกขึ้นได้จากคำที่หมอปีย์พูดว่า “จะไปชำระความกับอ้ายสน” ก็พอจักเข้าใจว่าทำไมมันถึงหายไป
“นายพายเรือเป็นด้วยเหรอ” ผมถาม
“เป็นสิ ทำไมจักไม่เป็น เราพายเรือเป็นก่อนเป็นหนังสืออีก” เขายิ้มเบาๆ สายลมอ่อนในยามเช้าพัดเอาไรผมที่หน้าผากปลิวไปตามลม
ผมนั้นนั่งมองสองข้างทางไปเรื่อยเปื่อย ไม่รู้จะพูดอะไรกับหมอนั่นดี เหมือนกับว่าเราทั้งคู่ยังมีเส้นบางกั้นอยู่ยังไงยังงั้น
“ you told me you had a nightmare. Why don’t you tell me” เขาเห็นว่าผมพูดภาษาอังกฤษได้ เลยพูดใส่ใหญ่
“อย่ารู้เลย มันไม่ดี” ผมนึกภาพฝันร้ายเมื่อคืนที่จมน้ำแล้วยังใจคอไม่ดี ยิ่งตอนนี้อยู่ท่ามกลางน้ำด้วยแล้ว ยิ่งไม่สมควรพูด
หมอปีย์คงเห็นว่าผมท่าทางไม่ค่อยดีเลยไม่ได้เซ้าซี้ถามต่อ ส่วนผมนั้น จู่ๆก็นึกชื่อของ แอนนา ลีโอโนเวนส์ขึ้นมาได้ เนื่องจากเคยดูละครเรื่อง The king and I เห็นทราบว่าอยู่ในรัชสมัยนี้เลยลองถามหมอปีย์ดู
“หมอ หมอรู้จักหญิงชาวอังกฤษที่ชื่อแอนนา ลีโอโนเวนส์ รึเปล่า” ผมถาม
“แหม่มแอนนาน่ะรึ เคยได้ยินแต่ชื่อแต่มิเคยพานพบ ทำไมรึ” เขาพายเรือขวาที่ซ้ายทีอย่างช้าๆ
“เปล่า นายรู้อะไรเกี่ยวกับเธอบ้างอ่ะ เธอมีตัวตนจริงๆรึเปล่า” ผมสนใจใคร่รู้
“มีสิ แหม่มแอนนาเป็นครูสอนภาษาบริเตนให้แก่พระเจ้าลูกเธอ เห็นว่าเข้ามาสยามเมื่อ ๓0 ปีก่อน” เขาเล่าเป็นฉากๆ
ตอนนั้นเรายังเพิ่งเกิดได้มิขวบดี แล้วแหม่มก็ออกจากสยามไปหลังจากนั้นอีก ๕ ปีต่อมา”
“เหรอ นายไม่เคยเห็นเธอเลยเหรอ”
“ใช่ แต่เราเคยอ่านนิยายที่แหม่มเคยแต่งเกี่ยวกับสยาม หลวงเจอราร์ทท่านนำเข้ามา ช่างน่าขันสิ้นดี” เขาหัวเราะ
“น่าขันเรื่องอะไร”
“ก็เรื่องที่แหม่มเขียนนั้นอย่างไรเล่า หาความจริงได้มิถึงครึ่ง” เขาว่า
“เหรอ นี่ชั้นเคยอ่านเรื่องที่แอนนาเขียนเรื่องหนึ่งนะ ยังจำฝังใจอยู่เลย” ผมชักตื่นเต้นเสียแล้วที่ได้แลกเปลี่ยนความเชื่อเดิมกับคนในยุคนั้นจริงๆ
“เรื่องอันใด” เขายังคงสนใจอยู่กับการพายเรือให้ตรงทางต่อไป
“ก็เรื่องเจ้าจอมทับทิมที่ถูกเผาทั้งเป็นพร้อมชู้รักนะสิ นี่รู้ปล่าวยุคสมัยชั้นเคยเอาเรื่องนี้ทำเป็นละครเวทีด้วยนะ” ผมเผลอเล่ายุคของตัวเองอีกแล้ว
“เจ้ารับรู้มาเยี่ยงไร เล่าให้เราฟังเถิด” เขากระหยิ่ม ผมจึงเริ่มเล่าโศกนาฎกรรมแห่งความรักที่ผมเคยอ่านและยังฝังใจไม่ลืม
“ก็.......................” ผมเริ่มเล่า
“เจ้าจอมทับทิมเดิมทีเป็นคนงานก่อสร้างอยู่ที่วัดไหนสักแห่งนี่แหละชั้นจำไม่ได้”
“วัดราชประดิษฐ์” หมอปีย์ตอบให้
“เออ นั่นแหละๆ แล้วรัชกาลที่๔ ทรงเห็นเข้า” ผมใช้คำราชาศัพท์ไม่ถูกเลยเลี่ยงมาใช่คำสามัญแทน “ก็เลยหลงรักเลย เพราะว่าเจ้าจอมทับทิมนั้นสวยมาก สดใส ร่าเริง สมวัย อายุน่าจะสัก ๑๔ ๑๕ นี่แหละ หลังจากนั้นพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงขอเจ้าจอมทับทิมกับบิดามารดาเพื่อไปอยู่ในวังเสียด้วยกัน”
หมอปีย์นั่งฟังไปด้วยพายเรือไปด้วย
“เมื่อเจ้าจอมทับทิมถวายตัวในวังแล้วก็ไม่ได้ยินดีในชีวิตในวัง เพราะเหตุที่เจ้าจอมเธอมีสามีอยู่ก่อนแล้ว และเธอก็รักสามีเธอมาก สามีชื่อ ชื่อ ชื่ออะไรน๊า” ผมทำหน้าสงสัย พยายามนึกชื่อ
“นายแดง” และก็เป็นหมอปีย์อีกนั่นแหละที่ช่วยแถลงไขให้ความกระจ่าง รู้หมดซะขนาดนี้แล้วจะให้เล่าทำไมวะ
“เออ นายแดง นายแดงก็เสียใจมาก จึงหนีบวชตลอดชีวิตอยู่ที่วัดราชประดิษฐ์ จนได้เป็นปลัด ทีนี้เจ้าจอมทับทิมนั้นไม่รู้ อยู่แต่ในวัง พอจะส่งขึ้นไปถวายทีไรก็มักจะหลบเลี่ยงแอบหนีไปซ่อนเป็นประจำ ไม่ยอมขึ้นถวายตัวกับสมเด็จ ต้องฉุดลากตัวกันขึ้นมา บางทีก็แกล้งว่าป่วยไข้ไม่สบายบ้าง” ผมเล่าเรื่องราวอย่างคล่องปาก เพราะจำเรื่องราวนี้ได้แม่น มันสะเทือนใจและฝังใจมาโดยตลอด
“เมื่อเจ้าจอมไม่ไปถวายตัวบ่อยเข้า พระเจ้าอยู่หัวก็เลยพาลคิดว่าเจ้าจอมคนอื่นอิจฉาริษยาเพราะว่าเจ้าจอมทับทิมนั้นเป็นเด็กสาวที่สวยงามและน่ารักที่สุดในตอนนั้น
แล้วอยู่มาวันหนึ่งเจ้าจอมทับทิมก็หายตัวไปจากวัง พระเจ้าอยู่หัวร้อนใจมาก สั่งให้คนออกตามหาและให้รางวัลนำจับด้วยนะ ชั้นจำไม่ได้หรอกว่าเท่าไหร่ แต่ก็เดาว่าคงเยอะในสมัยนั้น เอ่อ ชั้นหมายถึงสมัยนี้น่ะ” ผมว่า
“เจ้าจอมทับทิมหายไปไหนรู้ป่าว” ผมเล่าใส่อารมณ์อย่างตื่นเต้น “ท่านหนีออกจากวังโดยการโกนหัวแล้วหาจีวรพระมาครองเป็นเณร พอรุ่งเช้าพระมาบิณฑบาตเธอก็แสร้งไปต่อท้ายแถว แล้วเดินออกไปจากวังอย่างไม่มีใครสังเกตุ เก่งมั๊ยหล่ะ”
ผมตบมืออย่างพอใจ
“เหมือนในละครเลย แล้วพอท่านออกมานอกวังได้ก็ไม่รู้จะไปไหนต่อ ยืนเคว้งอยู่หน้าวัดราชประดิษฐ์ วัดที่สามีเธอบวชอยู่นั่นเอง ทีนี้เจ้าอาวาสวัดมาเห็นเธอเข้าก็เลยสงสัย เจ้าจอมทับทิมนั้นก็ก้มลงกราบขอฝากตัวเป็นศิษฐ์ พอเจ้าอาวาสซักเข้าก็ตอบอะไรไม่ได้เอาแต่ร้องไห้ เจ้าอาวาสจึงสงสารส่งไปอยู่เสียด้วยกันกับปลัดแดง สามีเธอแต่ก่อนนั่นเอง”
ผมเว้นจังหวะกลืนน้ำลาย เมื่อใกล้ถึงตอนที่ตื่นเต้น
“นายคิดดูสิ มัน คลาสสิค และโรมานซ์ขนาดไหน เอาไปสร้างเป็นหนังได้เลยนะเนี๊ยะ” ผมอดตื่นเต้นไม่ได้ หมอปีย์ไม่ได้พูดอะไร ยังคงตั้งหน้าตั้งตาพายต่อ
“แล้วพระปลัดก็จำไม่ได้ว่าเณรนั้นคือทับทิมอดีตภรรยา ก็สั่งสอนพระธรรมให้อย่างบริสุทธิ์ใจ เจ้าจอมทับทิมนั้นมีความสุขมากที่ได้อยู่ใกล้สามีเธอ แม้จะเป็นได้เพียงแค่นี้ แต่ก็ทำให้เธอมีความสุข ไม่เหมือนตอนเป็นนกน้อยในกรงทอง”
ผมเล่าอย่างออกรสออกชาติ สำนวนน่าจะไปแต่งนิยาย
“อยู่มาวันหนึ่งเณรทับทิมนอนตื่นสายเพราะมัวแต่ท่องหนังสือ พระรูปอื่นรวมทั้งพระปลัดออกไปบิณฑบาตหมดแล้ว จึงลุกขึ้นมาจัดสบงจีวร สักพักก็ได้ยินเสียหัวเราะคิกคัก ก็เลยรู้ว่าตัวเองโดนแอบดูโดยพระภิกษุ ๒ รูปที่เห็นเพศที่แท้จริงของเธอ ความก็เลยแตก ทับทิมกราบวิงวอนไม่ให้เอาเรื่องนี้ไปบอกกับใคร แต่พระสองรูปนั้นก็ไม่ยอม เธอจึงบอกว่าพระปลัดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้น พระสองรูปก็ไม่ฟัง นำเรื่องไปแจ้งกับตุลาการ
พระปลัดเองนั้นเมื่อทราบเรื่องว่าเณรน้อยนั้นคือทับทิมอดีตภรรยา ก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นทับทิมร้องไห้ สักพักพระปลัดก็เดินเข้ามาหาเธอด้วยน้ำตานองหน้า ปลอบเธอว่า ทับทิมได้ทำบาปกรรมร้ายแรง แต่ก็อย่าได้กังวลใจไป เราทั้งคู่บริสุทธิ์ใจต่อกัน ทับทิมแสดงให้เห็นแล้วว่ายังรักท่านอยู่ไม่เสื่อมคลายแม้จะได้เป็นถึงเจ้าจอมในวัง ฉะนั้นท่านจึงยินดีจะรับโทษกับทับทิมด้วย
ที่นี้ตุลาการก็ไต่สวนหาความจริงว่าใครสมรู้ร่วมคิดด้วยใช่ป่าว แต่ทับทิมไม่ยอมบอก เธอกับปลัดถูกโบยและทรมานอย่างหนัก แต่ทับทิมก็ยังยืนยันว่าพระปลัดไม่รู้เรื่อง
ในที่สุดตุลาการก็เลยตัดสินประหารชีวิตทั้งคู่ด้วยวิธีเผาทั้งเป็นบนตะแลงแกงต่อหน้าธารกำนัลและพระพักตร์ พระปลัดนั้นไม่ยอมพูดอะไรอีกเลย ส่วนทับทิมนั้นได้ต่อตะโกนออกมาจากกองไฟที่ลุกท่วมร่างของเธอ ประโยคนั้นชั้นยังจำได้ขึ้นใจว่า
“ฉันไม่ผิด คุณพระปลัดก็ไม่ผิด พระพุทธเจ้าทรงทราบดี” แล้วไฟก็ลุกโชนท่วมร่างของคู่รักทั้งสองคน”
ผมกลืนน้ำลายเฮือก
“เศร้าว่ะ เล่าแล้วก็ขนลุกอ่ะ”
“เจ้าคิดว่าเยี่ยงไร” หมอปีย์ถามความคิดเห็น
“ชั้นเหรอ ก็คิดว่าน่าสงสารไง”
“แล้วเจ้าเชื่อเรื่องพรรค์นี้หรือไม่”
“อืมม ไม่รู้สิ ตอนที่อ่านจบก็คงจะเชื่อมั้ง ก็ชั้นไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสยามสักเท่าไหร่นี่หว่า” ผมพูดเรื่องจริง เด็กไทยน้อยคนนักที่จะรู้เรื่องราวเป็นมาที่แท้จริงของสยาม
“เราก็อ่านเรื่องเดียวกับเจ้า แต่เรามิเชื่อว่าเรื่องนี้จักเป็นเรื่องจริง แหม่มแอนนาเธอสร้างเรื่องหลอกแม้กระทั่งกำพืดของตัวเอง อีกอย่างในสมัยนั้นหาได้มีเจ้าจอมทับทิมและพระปลัดจริงไม่ ส่วนพิธีการลงโทษแบบเผาทั้งเป็นนั้น ก็หาได้มีในกฎมณเฑียรบาลไม่ โดยเฉพาะการเผาคนในเขตพระบรมราชวังแล้วนั้น ยิ่งเป็นไปมิได้ ขนาดการตกลูก ยังต้องให้มาตกลูกนอกเขตวังเลย เพราะกลัวจะเป็นการณ์ใหญ่ หากมีการตายในเขตพระราชวังขึ้นมาต้องทำบุญใหญ่ ๗ วันกันเลยเชียว”
“เหรอ แต่มันก็อาจมีส่วนอยู่บ้างไม่ใช่เหรอ” ผมยังไม่ยอมเสียศรัธทาในเรื่องรักที่น่าสงสารนี้ไป ทั้งๆที่ก็เริ่มจะเห็นด้วยกับหมอนั่น
“เด็กสาวที่ถูกนำมาถวายตัวในล้นเกล้ารัชกาลที่๔นั้นมากมายนัก พระองค์ทรงสงสารรับเลี้ยงไว้หมด ครั้นพอเด็กเหล่านั้นโตขึ้นมา พระองค์ก็ได้กระทำการณ์อันมิเคยเกิดมาก่อนนั่นก็คือ มอบอิสระให้เด็กสาวเหล่านั้นมีอิสรภาพ ไปไหนมาไหนได้ตามอำเภอใจ จักออกเรือนมีผัวก็สุดแล้วแต่ แล้วเหตุใดเจ้าจอมทับทิมถึงต้องหนีหัวซุกหัวซุนเยี่ยงนั้นเล่าในเมื่อหล่อนสามารถขออิสรภาพจากพระเจ้าอยู่หัวได้ เจ้าลองตรองดูเถิด พ่ออัชย์”
เออ แหะ จริงๆด้วย แหม คนในบอกมาซะขนาดนี้ผมจะไม่เชื่อได้ยังไง อีกอย่างแอนนาเธอก็เป็นชาวตะวันตกสมัยนั้น ย่อมมองเมืองสยามในสายตาชาวตะวันตกว่าเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน หากจะมองเรื่องนี้เป็นเรื่องแต่งก็เป็นไปได้
“แต่ชั้นก็ยังว่าเรื่องนี้เศร้าอยู่ดีแหละ” ผมว่า
“หากเจ้าเศร้าเพราะเรื่องแต่งเรื่องนี้ ก็ขอให้จงอย่าเก็บมาเป็นอารมณ์ เราว่ายังมีเรื่องเศร้าที่เจ้าควรจะซาบซึ้งกว่านี้อีก อีกทั้งยังเป็นเรื่องจริงอีกด้วย”
ผมตาโตขึ้นมาทันทีเมื่อหมอปีย์พูดเรื่องนี้ ความสนใจใคร่รู้ทำให้ผมต้องขยับมาใกล้ๆหมอนั่นขึ้นไปอีก เพื่อจะได้ฟังอย่างชัดๆ
เรือแล่นไปเรื่อยเฉื่อยตามลำนำ ผ่านบ้านเรือนที่ตั้งห่างกันพอสมควร เสียงนกออกหากินตอนเช้าส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ผู้คนสองข้างทางทักทายปราศรัยกันเป็นปกติ
ผมกับหมอปีย์นั่งอยู่ในเรือลำเดียวกัน และมีจุดหมายแห่งเดียวกัน นั่นคือ บ้านแม่รำพึงนั่นเอง
-
:z13: จิ้มก่อนนะคับ เด๋วตามไปอ่าน คิดถึงมากมาย มาแย้ว ดีใจ :monkeysad:
-
นึกว่าจะได้ลงหวายซะแล้ว :laugh: แต่เศร้าเนอะ ทั้งฝันเจ้าบ้า ทั้งเรื่องเจ้าจอม :เฮ้อ:
-
เหมือนมนั่งฟังประวัติศาตร์ไทย
เป็นเรื่องที่ไม่เคยรู้เลย เรื่องนี้ สุดยอดมากค่ะ o13
-
แอบระทึกกะฝันของพ่ออัชย์...ระทึกทั้งๆที่รู้ว่าเป็นแค่ความฝันอ่ะ...แต่ มันคือลางบอกเหตุใช่มั้ยอ่ะ...อ่อย ยยย
หมอปีย์ยังน่ารักเท่าเดิมเลยน๊า าาา >///< แต่แอบนอยด์น้อยนึง มิอยากจะบอกเลยค่ะว่า...เพิ่งจะได้ทราบเรื่องราวเจ้าจอมทับทิบนี่อ่ะ แต่ตอนเรียนสังคมเคยได้ยินเรื่องของแหม่มมาบ้างที่เทอเขียนนิยายแล้วอ้างว่าเป็นเรื่องของสยามในตอนนั้น แล้วก้อเรื่องหนัง เดอะ คิง แอนด์ ไอ ว่าหนังเรื่องนี้ถูกแบนไ่ม่ให้เข้าฉายในไทยอะไรประมาณนี้...ความรู้ติดมาแค่ปลายติ่ง(บางทีผิดด้วย....กร๊าก กกก)...แหะๆๆ
อ่านเท่าไหร่ก้อไม่ง่ะพี่นนท์ มันอยากต่อ...กรี๊ด ดดดด (มันโลภ ภภภภภ...เอิ๊ก กกก)
ขอบคุณนะคะ
-
เรื่องนี้มันเริ่มเครียดตอนความฝันเนี่ยแหล่ะค่ะ :serius2:
หมอปรีย์ห้ามทำร้ายเชฟอัชย์อย่างในฝันเด็ดขาดเลยนะ
-
เซงเลยอะ กลัวเป็นแบดโรแมนซ์ :z3:
-
ฝันร้ายสุดๆเลยนะนั่น
-
ง่ะ ค้างค่ะหมอ!!!! :sad4:
รอฟังเรื่องจริงที่เศร้ายิ่งกว่าของหมอ
-
โบราณว่าไว้ว่าฝันร้ายจะกลายเป็นดี ขอให้เป็นจริงด้วยเถอะ สาธุ :call:
-
ต๊าย ยัยแหม่มช่างร้ายนัก
ชี made the ice!! ให้ไทยเสื่อมเสีย
อย่าให้เห็นใน TBL เทียวนะ กิต.จะแจ้งลบ ชิส์
๒๗๐ + ๑ = ๒๗๑
ขอบคุณนะคะ คุณ เซ็งเป็ด
-
โอย เศร้าค่ะ ทำไมรู้สึกเศร้าแบบนี้เนี่ย
หงุดหงิดหมอปีย์นะเนี่ย แอร๊ย สับสนตัวเอง :o12:
-
ฝันน่ากลัวมาก นึกว่าเป็นเรื่องจริงซะอีก
ตอนแรกนึกว่าอัชย์จะกับไปโลกปัจจุบันอีกแล้ว
-
ฝันแบบนั้นมันเป็นลางบอกเหตุรึเปล่า
ว่าตอนจบ หมอกับเจ้าบ้าจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน :m15: ไม่เอาน้าา
-
ฝันร้ายกลายเป็นดี
+1
-
ฝันเจ้าบ้าน่ากลัวอ่า
ถ้าเป็นฝันบอกเหตุก็อย่าเพิ่งให้เหตุมาถึงเร็วเลย
-
ทำไมเจ้าอัชย์ถึงฝันเช่นนั้นอ่า น่ากลัว น่าสงสาร โอ๊ย สงสัย กลัวมากกกกกกก
-
เป็นฝันที่น่ากลัวมากๆๆๆๆๆ ขออย่าได้เป็นจริงเลย :sad4:
ว่าแต่..เรื่องจริงที่หมอปีย์จะเล่านั้นเรื่องอะไรหนอ~? :confuse:
-
:กอด1:
-
:เฮ้อ: ฝันอะไรแบบนี้ น่าจับตีก้นนัก
-
ฝันน่ากลัว มากๆ จะเป็นไรป่าววว
ถ้าจบ ขออย่าให้เศร้า นะครับบได้โปรดดด
-
แหมๆๆ พ่ออัชย์ แอบอ้อนเนอะ :o8:
ถ้าบอกหมอปีย์ตรง ๆ หมอก็ำพร้อมจะให้อ้อนนะ 555+
-
:-[ เหอๆ สุขๆเศ้ราๆเหงาๆซึ้งๆ อ่าตอนนี้ ครบทุกอารมณ์
-
ฝันร้ายหวังว่าจะกลายเป็นดี
-
สุขปนเศร้าเนาะ
-
ขออย่าให้เป็นอย่างฝันเลยน้าาาาาา ไม่อยากให้อัชย์กลับไปอ่ะ
อยู่อ้อนหมอปีย์ต่อดีกว่าเนอะ ^^
-
ฝันน่ากลัววจังงง
-
ขอให้ฝันร้ายกลายเป็นดีอย่างที่หมอปีย์ว่าด้วยเถิด สาธุ
-
มันเป็นลางบอกเหตุรึป่าว?
ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ สนุกมากก
-
รออ่านนะคะ :L1:
-
เรื่องเศร้าที่ว่านั่นเรื่องของตัวเองใช่มะหมอออออออ
-
เง้ออ
อยากให้หวานๆบ้างอะไรบ้างนะ
แต่แบบนี้ก้อน่ารักไปอีกแบบ :impress2:
-
ชอบงานเขียนคุณเซ็งเป็ดมากๆเลย :impress2:
มันอ่านแล้วไม่หวานเลี่ยน o13 อ่านแล้วเพลินและติดมากๆ :o8:
จะมีขัดๆก็ตรงสรรพนามของตัวละครนิดหน่อย แต่สงสัยเราคงคิดมากไปคนเดียว o22
มาต่อเร็วๆนะคะ ชอบเรื่องนี้มาก อิอิ อ่านไปก็หวังว่าขอจบสวยๆ
ว่าแต่พี่หมอ คนที่ตอนต้นเรื่องเนี่ยเค้าจะหลับมามีบทอีกป่าวเนี่ย ดูมีใจในเจ้าบ้าอยู่นะ o18
-
:sad11:
เรื่องอันไดรือที่หมอปีร์จะเล่า ที่ทั้งเศร้าและเป็นเรื่องจริง ???
ปล. คิดถึงไอ้แดง :เฮ้อ:
-
เง่อ กำลังฟังเจ้าบ้าเม้าท์เพลินเลยเชียว รอหมอปีย์เล่าต่อ ต้องหาเสื่อมาปูแล้วหล่ะ
-
หมอปีย์จะเล่าเรื่องอะไรน้าาา อยากรู้ๆๆๆๆ
มาต่อไวๆนะคะ o13
-
เหมือนจะลางไม่ดีไงชอบกล
-
“เรื่องอะไรเหรอ หมอ เล่าให้ฟังหน่อยสิ” ผมทำตาโต
“เจ้าสนใจรึ”
“เออดิ ชอบๆ”
“เจ้าเคยได้ยินชื่อ เจ้าแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทน์หรือไม่” เขาถาม
ผมพยักหน้า เพราะชื่อนี้เคยอยู่ในหนังไทยเรื่องหนึ่งและยังอยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์อีกหลายต่อหลายเล่ม
“แล้วเจ้ารู้อันใดเกี่ยวกับเจ้าแม่บ้างรึ”
“ก็เอ่อ เป็นสตีที่มาจากราชวงศ์อู่ทอง แล้วก็ลอบมีสัมพันธุ์กับพันบุตรศรีเทพ คนเฝ้าหอพระ แล้วก็” ผมพยายามระลึกชาติอย่างหนัก
“แล้วก็ลอบปรงพระชนท์พระเจ้าอยู่หัว........................รู้แค่นี้แหละ” แต่จนปัญญาจริงๆ
“แต่ตามที่เรารู้มาจากจารึกแผ่นศิลานั้น เจ้าแม่ศรีสุดาจันทน์หาได้สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์อู่ทองไม่
ตามประวัติเดิมพระนางเป็นแต่เพียงแค่ลูกคนสามัญยากจนแสนเข็ญ บิดามารดาอยู่ที่หมู่บ้านนาเกลือปากน้ำเจ้าพระยา เมืองพระประแดง เดิมชื่อบัวผัน”
ชักสนุกแล้วสิครับ สิ่งที่หมอปีย์เล่าให้ฟังมันต่างจากที่ผมเรียนและรับรู้มา
“เหรอ”
“อืม” หมอปีย์พยักหน้าและยังพายเรือต่อ ใจจริงนั้นผมอยากจะช่วยพาย แต่พายไม่เป็นกลัวจะทำเรือล่ม
“เมื่อคราที่บัวผันเกิดนั้น ก็เกิดนิมิตหมายที่เป็นลางมิเป็นมงคล นั่นก็คือ พอตกฟากก็เกิดแผ่นดินไหว ต่อมาเกิดไฟไหม้ทั้งหมู่บ้านวอดวายไปเกือบหมด พอครบอายุโกนผมไฟก็เกิดฟ้าผ่าลงมาที่ต้นไม้หักโค่นทับบ้าน”
“โห เรื่องแบบนี้ชั้นไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะนี่ แต่ว่า ฟังดูมันเกินจริงไปหน่อยนะ คนอะไรจะเจอแต่เรื่องแย่ๆ”
“มิได้เลวไปหมดดอก ในความอัปยศนั้น บัวผันกลับมีสิ่งมหัสจรรย์เกิดขึ้นกับตนเองที่พิเศษกว่าหญิงอื่น นั่นคือนางมีกลิ่นกายที่เย้ายวนที่ชายใดเข้าใกล้มักจะลุ่มหลง นางมีน้ำใสๆไหลออกมาจากร่าง น้ำที่ไหลออกมานั้นมีกลิ่นหอมคล้ายดอกพิกุลแห้ง เมื่อลองชิมดูก็พบว่าหอมหวานเหมือนน้ำตาลสด ทำให้นางนั้นมักมี แมลงผึ้ง แมลงภู่ แมลงชันโรง แมลงวันมารุมตอม เมื่อนางร้องไห้เสียงนางจะไพเราะเหมือนเสียงแตรสังข์ เมื่อเหงื่อนางออก กลิ่นเหงื่อนั้นจะหอมเหมือนข้าวใหม่ กลิ่นตัวธรรมดาจะเหมือนดอกชมมะนาด”
“โห นั่นคนหรือน้ำยาปรับผ้านุ่มวะ” ผมฟังแล้วอกคิดว่าเหลือเชื่อไม่ได้
“อีกทั้งเมื่อนางโตขึ้น ความงามของนางก็เป็นที่เลื่องลือไปทั่วแคว้นจนพระเจ้าแผ่นดินสนพระทัย เรียกเข้าเฝ้า และเรื่องราวที่เหลือก็ตามอย่างที่เจ้าได้ยินมานั่นหล่ะ”
“ตกลงเรืองนี้เป็นเรื่องจริงเหรอ” ผมถาม
“มีบันทึกไว้หลายตำรา ต่างบันทึกไว้ตรงกัน ยกเว้นชาติกำเนิดของนาง”
“อ๋อ แล้วทำไมนายถึงบอกว่าน่าสงสารหล่ะ” ผมถามเมื่อไม่เข้าใจว่าท้าวศรีสุดาจันทน์นั้นน่าสงสารตรงไหน
“น่าสงสารสิ เจ้าลองตรองในมุมของนางดู นางรักพันบุตรศรีเทพมากเพียงใด ถึงขนาดยอมทุรยศ ทำผิดลอบปลงพระชนม์พระเจ้าอยู่หัว อีกทั้งยังกล้าที่จะกระด้างกระเดื่อ่งกับขุนนางที่เคยมีอำนาจ ด้วยสองมือของหญิงคนเดียวอย่างนาง ถ้ามิใช่เพราะความรักดอกหรือ ถึงทำให้นางกล้าถึงเพียงนี้”
“แต่สุดท้ายนางก็ต้องได้รับกรรมที่นางก่อ” ผมสรุป
“ถูกต้อง เจ้าแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทน์และพันบุตรศรีเทพถูกซุ่มยิงขณะเสด็จทางเรือเดินทางไปคล้องช้าง ทั้งหมดสิ้นพระชนม์เพลานั้นเอง โดยที่ พันบุตรศรีเทพเป็นกษัตริย์ได้เพียง ๔๒ วัน และมิได้ถูกยอมรับให้เป็นกษัตริย์ ร่างอันเปลือยเปล่าของพระนางถูกนำไปโยนให้แร้งกินที่วัดกะไดอิฐเพื่อประจานความชั่ว เมื่อผู้คนเห็นร่างอันเปลือยเปล่าของพระแม่ความลับอีกข้อก็เปิดเผยนั่นคือ นางหาได้มีเส้นโลมา (ขนตรงอวัยวะเพศ) เกลี้ยงสะอาดเตียนโล่ง เรื่องราวพวกนี้เป็นเรื่องประหลาดสำหรับยุคสมัยนั้น พระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่จึ่งสั่งให้จารึกไว้ในศิลาแผ่นหนึ่งติดไว้ที่ฐานพระเจดีย์แดงวัดกะไดอิฐพร้อมทั้งปูมหลังของพระนางเพื่อไว้ประจาน ซึ่งนั่นเองคือที่ที่เราศึกษา” เขาเล่าเสียยาวเหยียด
“อ๋อ มันก็สาสมกับสิ่งที่พระนางทำแล้วนะ” ผมฟังแล้วก็อดหดหู่ไม่ได้
“เจ้ามิควรตัดสินใครผิดถูกเยี่ยงนั้น พ่ออัชย์ คนเราทุกคนต่างมีเหตุผลของตนเองเป็นที่ตั้ง พระนางทำไปด้วยเหตุเพราะความรัก เจ้ามิเข้าใจดอกว่าความรักบันดาลได้ทุกสิ่ง จะให้ดีให้ชั่วก็ล้วนแล้วแต่ทำได้” เขาย้อนผม
“แหม จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ถูกนะเว้ย อย่างน้อยพระนางก็น่าจะรู้ผิดชอบชั่วดีบ้าง” ผมไม่ยอม เถียงกลับไปราวกับกำลังโต้คารม
“แสดงว่าเจ้ามิเคยรักใครอย่างปักใจมาก่อน”
ผมนิ่งสะอึกกับคำถามที่หมอปีย์ย้อนมา ถึงในสมองจะค้านอยู่ริกๆ แต่ในใจกลับตอบหมอปีย์ไปอย่างหมดใจว่า “ไม่เคย”
“มันไม่เกี่ยวกับความรักนะเว้ย เรื่องนี้ มันเกิดจากความมักใหญ่ใฝ่สูง ตัณหาราคะ จากที่ชั้นอ่านเรื่องราวของพระนางมา พระนางเองก็ทำกรรมไว้กับใครหลายต่อหลายคน”
“ป่วยการณ์จะต่อล้อต่อเถียงกับเจ้าแล้วเจ้าบ้า เอาเป็นว่าเรื่องนี้หาได้มีใครถูกใครผิดไม่ ไว้เจ้ารักใครสักคนอย่างหมดใจ แล้วจะเข้าใจตัวพระนางศรีสุดาจันทน์ และตัวเรา” เขาพูดพลางยกไม้พายสลับมาพายอีกฟากหนึ่ง
“ใสเจีย เสียใจ คนอย่างชั้นไม่มีทางเข้าใจเรื่องแบบนั้นหรอก เพราะชั้นไม่มีหัวใจ” ผมหัวเราะ ตั้งใจจะล้อเล่น แต่กลับทำให้หมอปีย์หน้าเจื่อน
“เราก็พอจะรู้” เขาบ่นเสียงอ่อย แต่ผมก็ได้ยิน
เรือแล่นเรื่อยๆ ผ่านบ้านเรือนที่ตั้งติดริมน้ำ บ้านทุกหลังล้วนมีกระไดยื่นลงมาในน้ำ และพวกเขาก็ใช้ท่าน้ำตรงนั้นเป็นที่อาบน้ำ ไม่ว่าจะทำอะไร ก็เอาน้ำจากที่นั้น ผมจึงไม่แปลกใจที่ครั้งหนึ่งประเทศไทยเคยประสบกับโรคห่าครั้งใหญ่
นอกจากบ้านเรือนที่ปลูกติดแม่น้ำแล้ว วัดวาอารามก็เรียงรายมากมายเต็มไปหมด สีทองอร่ามราวกับเมืองฟ้าเมืองสวรรค์ ชาวบ้านยุคนี้ศรัธทาในพระพุทธศาสนามาก มีอะไรก็ถวายวัดหมด
ผมโชคดีหน่อยที่เรือนหมอปีย์อยู่ใกล้เขตพระนคร แต่เรือนแม่รำพึงที่หมอจะพาไปนี่สิ อยู่ไกลออกไปถึงบางพระโขนง ที่นั่นเปลี่ยว และเต็มไปด้วยต้นจาก แม่น้ำก็คดเคี้ยว ถ้าต้องผ่านกลางคืน ผมคงขี้ขึ้นสมองแน่ เพราะนึกถึงผีแม่นาค
“แถวนี้คือพระโขนงเหรอหมอ” ผมถาม
“ใช่”
“โห ไม่น่าเชื่อนะ ว่าที่แบบนี้ อีกร้อยกว่าปีจะมีแต่คอนโด ตึก รถไฟฟ้า” ผมนึกในใจ
“””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””
เช้าแก่ๆเราทั้งสองก็มาถึงท่าน้ำหน้าเรือนของแม่รำพึง ทันทีที่เรือเทียบท่า และผมกับหมอก้าวขึ้นเรือน สิ่งแรกที่ผมได้กลิ่นก็คือ กลิ่นอบไทยหอมฟุ้งมาแต่ไกล ที่เรือนนั้นมีลานกว้างวางกระด้งตากดอกไม้นานาชนิด ทั้งกระดังงา จำปี มะลิ และอื่นๆที่ผมไม่รู้จักอีกหลายชนิด
ใต้ถุนเรือนมีขวดแก้วขนาดต่างๆวางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด
“อ้าว หมอ มาแล้วหรือเจ้าคะ เมื่อวานอ้ายสนมันเดินหลังลายมาแจ้งอิชั้น ไม่รู้ว่าไปโดนผู้ลงหวายมา
อ้อ ไม่นึกว่าหมอจะมาเอาเช้าป่านนี้” เสียงทักทายเจื้อยแจ้วดังมาจากบนเรือน
ผมหันขวับไปทางหมอปีย์ทันทีที่ได้ยินว่าสนหลังลาย
“นายทำอะไรสน” ผมเค้น แต่หมอนั่นหลบตาแล้วก็บ่ายเบี่ยงไม่ตอบได้แต่อมยิ้มแล้วเดินขึ้นเรือนไป
“แม่รำพึง นี่พ่ออัชย์ ญาติห่างๆของชั้น พ่ออัชย์นี่แม่รำพึงสหายวัยเยาว์” แล้วเขาก็หัวเราะ
ผมนึกในใจ นี่ตกลงกูเป็นอะไรกับมึงกันแน่
แม่รำพึงเป็นหญิงสาวที่ดูเรียบร้อยกิริยามารยาทก็นุ่มนิ่มตามแบบสตรีไทยของแท้ เธอแต่งกายอย่างปราณีตแม้อยู่บ้าน จะพูดจะเดินก็ดูงามสง่า แม้แต่หัวเราะยังต้องเอามือปิดปาก
หันมานึกภาพหญิงไทยยุค 2011 ฮ่าๆๆๆ
“น้ำปรุงนี่จะเป็นน้ำหอมใสๆสีเขียว ขวดเล็กมิต้องใช้เยอะก็ฟุ้งไปทั้งบาง ส่วนน้ำอบไทยนั้นเป็นน้ำขุ่นๆสีเหลือง ต้องเทคราละมากโขจึงจะหอมใช้ประหน้าประตัวหน้าร้อน ชื่นใจดีแท้” แม่รำพึงเดินอธิบายให้ผมฟังอย่างละเอียด
ผมเองก็ตั้งใจฟังเพราะอยากรู้ความเป็นมาเป็นไป เผื่อเอาไปใช้กับร้านอาหารไทยได้ อีกอย่างใช้แต่น้ำหอมเมืองนอกขวดเป็นพัน มารู้ของไทยๆแบบนี้บ้างก็ดีเหมือนกัน
“น้ำปรุงนี่ต้องใช้ใบเนียม พิมเสน ชะมดเช็ด แลหัวน้ำหอม ผสมกัน ใบเนียมทำให้น้ำปรุงเป็นสีเขียว ใช้เหยาะผ้าเช็ดหน้า คอเสื้อ ติดทนนานนัก ส่วนน้ำอบไทยนั้น ต้องใช้น้ำฝนสะอาด ใช้ดอกกระดังงาลนไฟลอยแล้วอบด้วยเครื่องหอมแบบไทยๆ มีผิวมะกรูด กำยาน น้ำตาลทรายแดง พิมเสนใส่ในตะคัน จุดไฟให้เป็นควันแล้วปิดฝาอบไว้หลายๆวันจนน้ำเหลืองแลหอมฟุ้ง ก็เป็นอันใช้ได้”
แม่รำพึงเดินพาผมชมวิธีการทำแต่ละขั้นตอน เธอเล่าว่าทั่วทั้งบางนี้ น้ำอบน้ำปรุงของเธอมีชื่อเสียงที่สุด ถึงขนาดส่งเข้าไปในวังก็มีเหมือนกัน
วันนั้นผมได้ความรู้มากมายเกี่ยวกับน้ำหอมไทย
เกือบเที่ยงแล้ว แม่รำพึงชวนผมกับหมอปีย์ทานข้าวเสียด้วยกันที่บ้าน ผมขออาสาไปเป็นลูกมือแม่รำพึงทำกับข้าว
เธอเป็นหญิงไทยที่มีเสน่ห์จริงๆ ทุกครั้งที่เธอเดินมักมีกลิ่นหอมดอกไม้อ่อนๆโชยมาเสมอเพราะที่ปลายผมนั้นมีดอกจำปาผูกติดไว้ อีกทั้งกริยาท่าทางก็ดูละเมียดละไม การแต่งกายก็ปราณีต บ้านช่องก็สะอาดเอี่ยม นี่หละมั้งที่เขาเรียกว่า
“งามอย่างไทย”
“เจ้ามักคุ้นกับหมอนานแล้วรึ” รำพึงถามขณะที่ผมกำลังช่วยเด็ดดอกโศกสีแสดที่มักจะบานในหน้าหนาว
“ก็” ไม่รู้จะตอบอย่างไร ความจริงผมกับหมอนั่นรู้จักกันไม่ถึงเดือน แต่ทำไมถึงเหมือนกับว่ารู้จักกันมาเสียเนิ่นนาน
“นานแล้ว” ผมตอบ
“อ๋อ ข้ามิเคยเห็นหมอปีย์เคยเล่าให้ฟัง แลไม่ค่อยจักได้ยินว่าหมอจะมีเกลอ” เธอทำหน้าสงสัย
“ทำไมเหรอ ตอนเด็กๆหมอนั่นไม่มีคนคบเหรอ” ผมถามขณะที่หยิบดอกโศกขึ้นมาดมกลิ่นหอม
“มิใช่เยี่ยงนั้นดอก พ่อ เมื่อครั้งหมอปีย์ยังเยาว์นั้น ต้องระเหเร่อร่อนตามแม่ไปบางนู้นบางนี้มิเป็นหลักแหล่ง ด้วยพ่อของหมอนั้นเป็นพวกแขกเปอร์เซียตาสีฟ้า ในสมัยนั้นหลวงท่านทรงมิให้ชาวสยามออกเรือนกับพวกนอกประเทศ ท่านเกรงว่าพวกนั้นจักมาหาความลับเอากับชาวสยาม” เธออธิบาย
“อ๋อ”
“หมอปีย์ก็เลยต้องอยู่มิเป็นหลักแหล่ง”
“แล้วรำพึงรู้จักหมอนั่นได้ยังไง”
“ฉันรู้จักหมอปีย์ก็คราที่มาอยู่กับหลวงจรัสแล้ว แกน่าสงสารนัก อยู่กับหลวงท่านได้ไม่นาน พ่อแม่ก็มาด่วนจากด้วยโรคห่า หลังจากนั้นมา หมอปีย์ก็มิใคร่จะปราศรัยเหมือนเด็กทั่วไป เอาแต่เก็บตัวอ่านตำรับตำรา ฉันนั้นตามย่าไปเอาสมุนไพรที่บ้านหลวงจรัสบ่อยๆ เลยคุ้นเคยกันดี”
ผมพยักหน้า พอนึกภาพความสัมพันธุ์ของสองคนนี้ออก
“เจ้าเป็นเกลอกับหมอก็ดีแล้ว จักได้ดูแลหมอแกเสียบ้าง เพราะแกนั้นมักดูแลแต่ผู้อื่น ผู้ใดได้ไข้ได้ป่วยมาก็มาหาแกนี่หล่ะ หายกลับไปทุกคน ชาวบ้านนับถือแกโข แต่แกก็มิใคร่จะออกไปสมาคมกับผู้ใด”
“อืม เหรอ แล้วเขาเอ่อ แบบว่า อายุขนาดนั้นแล้วไม่มีแฟน เอ่อ ชั้นหมายถึงผู้หญิงที่หมายปองอ่ะ มั้งเหรอ” ผมอ้อมแอ้มถาม
“โอ้ย พ่อ” หล่อนหัวเราะออกมา ก่อนจะปิดปาก “มีสิทำไมจักไม่มี มีมากด้วย สาวๆทั้งบางนี้ บางไหนล้วนแล้วแต่เคยเขียนเพลงยาวไปให้หมอปีย์กันทั้งนั้น แต่แกก็มิเห็นจักสนใจผู้ใด ฉันเคยถามแก เพราะเห็นว่าผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกันเขาออกเย้าออกเรือนกันไปหมดแล้ว แกบอกฉันว่า แกรอนางในฝันอยู่ ฉันนี้ หัวเราะจนปวดท้อง” พูดแล้วเธอก็หัวเราะออกมาอีก
“คุยกันใดกันรึ หัวร่อกันออกรสเชียว” หมอปีย์เดินเข้ามา
“อ๋อๆ ปล่าวๆ” ผมรีบแก้ตัว “ เรากำลังคุยกันถึงเอ่อ ถึง ดอกโศก..............................”
อาหารมื้อนั้นแม่รำพึงแกงส้มต้มกะปิดอกโศกกับปลาช่อนแห้งให้พวกเรากิน ฝีมือของเธอนั้นอร่อยเด็ดทีเดียว ผมขอให้เธออธิบายสูตรอย่างละเอียด พยายามจำทุกรายละเอียดที่เธอบอกจนขึ้นใจ
เธอบอกว่าดอกโศกนั้นหากินง่ายในหน้าหนาว กลิ่นหอมกินได้ทั้งใบและดอก ใบอ่อนสีขาวเอามาจิ้มหลน หรือกะปิคั่วก็อร่อย รสชาติของดอกโศกจะออกเปรี้ยวนิดฝาดหน่อย
“เป็นอย่างไรล่ะพ่อ กินเสียเกลี้ยงถ้วยทีเดียว” รำพึงถามขณะที่ผมกำลังเทน้ำแกงจากถ้วยใส่จานก่อนจะเอามือคลุก
“อร่อยมากเลยรำพึง อร่อยจริงๆนะ อย่างนี้น่ะ ถ้าอยู่สมัยชั้นน่ะ เปิดร้านได้สบาย”
“สมัยเจ้า???” รำพึงทำหน้าสงสัย
“อ้อ อย่าไปถือสาหาความเลยแม่ เจ้านี่สติมิค่อยจักเต็มบาท ตั้งแต่จมน้ำมาครานั้นก็พร่ามเพ้อมิเป็นภาษา” หมอปีย์เร่งแก้ตัวให้พัลวัน แต่ฟังคำแก้ตัวของมันแล้วนั้น เหมือนมันหลอกด่ากันเลย
“อ้อ”
“รำพึงนี่ฝีมือทำอาหารเด็ดขาดไปเลยนะ” ผมพูดไปพลางขณะที่ข้าวเต็มปาก “นี่หากใครได้เป็นเมียนะ คงสบายไปทั้งชาติเลย” ผมพูด
“ฉันน่ะมิใคร่จะมีดอก พ่ออัชย์ รอให้หมอปีย์แกหาไปก่อน มีเมื่อไหร่แล้วฉันถึงจะมี” แล้วเราทั้งสามคนก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมๆกัน
หมอปีย์จ้องตาผมก่อนจะส่งยิ้มให้เป็นภาษาที่อาจซับซ้อนสำหรับคนอื่น.............แต่สำหรับผม ผมว่าผมเข้าใจมัน
-
เมื่อไหร่พ่ออัชย์จะเข้าใจหมอปีย์สักที หรือเข้าใจแต่พยายามเบี่ยงประเด็น แอร๊ยยยส์
-
เฮ้อ! :เฮ้อ: สงสารเจ้าอัชย์ อิหลักอิเหลื่อแท้ พ่อหมอก็เล่นมาฝากรัก แต่เขาก็ดันมีคู่ตุนาหงันอยู่แล้ว
แถมยังเป็นชายเหมือนกัน ขีดคั่นทางสังคมก็ยิ่งมาก จะทำอะไรได้จริงมะ
ไม่รับรักเขาก็ว่าใจร้าย รับรักก็ช้ำในตายเอง อัชย์เอ๊ย.... :เฮ้อ:
-
พ่ออัชย์ จะทำยังไงต่อไปน่าาาาา คิดไม่ออกจิงๆๆ
ผมว่าพ่ออัชย์ รู้เเล้วเเหละว่าหมอปรีย์ คิดไร เเต่ทำเป็นมองไม่เห็น :เฮ้อ: คอยๆคิดละกัน
อยากให่รักกันเร้วๆๆๆๆๆ
:กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
-
อัซย์จูงมือหมอปีย์โดดน้ำกลับปัจจุบันด้วยกันเลย ง่ายดี :laugh:
-
เป็นกลังใจให้หมอปีย์ เจ้าบ้ารับรักหมอเสียทีเถิด
คนอ่านรู้สึกสงสารหมอเหลือเกิน :z3:
-
ไปเจอเพลงนี้มา นึกถึงเรื่องนี้เลย :L1: :L1: :L1: :L1:
เราข้ามเวลามาพบกัน
http://www.youtube.com/embed/s5AJSdYhWfQ
-
ตามอ่านตามลุ้นกันมาโดยตลอด พร้อมด้วยความเห็นใจหมอปีย์มาก
อัชย์ดูเหมือนจะเข้าใจรู้ความนัยๆอยู่เหมือนกัน แต่ทำไมแกล้งเฉไฉไปซะทุกที
ลุ้นๆๆๆ รอๆๆๆต่อไปค่ะ
-
ตอนจบนั่นคือการส่งรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความรักหรือเปล่าน่ะ อร๊างงง :-[
งานนี้แม่รำพึงคงต้องรออีกนานล่ะ ดูเหมือนหมอปีย์คงไม่มีวันได้เจอนางในฝันไปทั้งชาติ เจอก็แต่นายในฝันเนี่ยแหละค่า :laugh:
-
ลุ้น ๆ
สงสารก็แต่หมอปีย์ ก็นายอัชย์เล่นไม่รู้เรื่องรู้ราว เอ๊ะ! หรือแกล้งไม่รู้ก็ไม่ทราบ
แบบนี้หมอปีย์ต้องมีท้อแหงๆ
รอตอนต่อไปจ้า^^
-
บรรยากาศชวนเศร้าๆ ยังไงไม่รู้
ตั้งแต่ความฝันของพ่ออัชย์ล่ะ :dont2:
+1 สร้างเสริมกำลังใจครับ
-
หูย..หมอกำลังส่งสายตาให้นางในฝัน
นางในฝันก็ีรีบๆเข้าใจและตอบรับไมตรีของหมอปีย์เร็วๆด้วยเถิด
-
เฮ้อ พ่ออัชย์ คิดอะไรอยู่น้อออ
รู้ก็บอกว่ารู้ แต่ปลายทางจะเป็นยังไงก็คุยกันให้เข้าใจไม่ดีกว่าเร้อออ :เฮ้อ:
ปล.แก้คำผิดให้นะคร้าบ ท่าทางวันนี้จะรีบพิมพ์รีบลงมาก อิอิ
“ก็เอ่อ เป็นสตรีที่มาจากราชวงศ์อู่ทอง แล้วก็ลอบมีสัมพันธ์กับพันบุตรศรีเทพ คนเฝ้าหอพระ แล้วก็” ผมพยายามระลึกชาติอย่างหนัก
“แล้วก็ลอบปลงพระชนม์พระเจ้าอยู่หัว........................รู้แค่นี้แหละ” แต่จนปัญญาจริงๆ
“มิได้เลวไปหมดดอก ในความอัปยศนั้น บัวผันกลับมีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นกับตนเองที่พิเศษกว่าหญิงอื่น
“ป่วยการจะต่อล้อต่อเถียงกับเจ้าแล้วเจ้าบ้า เอาเป็นว่าเรื่องนี้หาได้มีใครถูกใครผิดไม่ ไว้เจ้ารักใครสักคนอย่างหมดใจ แล้วจะเข้าใจตัวพระนางศรีสุดาจันทน์ และตัวเรา”
ผมพยักหน้า พอนึกภาพความสัมพันธ์ของสองคนนี้ออก
“อืม เหรอ แล้วเขาเอ่อ แบบว่า อายุขนาดนั้นแล้วไม่มีแฟน เอ่อ ชั้นหมายถึงผู้หญิงที่หมายปองอ่ะ มั่งเหรอ” ผมอ้อมแอ้มถาม
“มีสิทำไมจักไม่มี มีมากด้วย สาวๆทั้งบางนี้ บางไหนล้วนแล้วแต่เคยเขียนเพลงยาวไปให้หมอปีย์กันทั้งนั้น แต่แกก็มิเห็นจักสนใจผู้ใด ฉันเคยถามแก เพราะเห็นว่าผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกันเขาออกเหย้าออกเรือนกันไปหมดแล้ว แกบอกฉันว่า แกรอนางในฝันอยู่ ฉันนี้ หัวเราะจนปวดท้อง”
“อ้อ อย่าไปถือสาหาความเลยแม่ เจ้านี่สติมิค่อยจักเต็มบาท ตั้งแต่จมน้ำมาครานั้นก็พร่ำเพ้อมิเป็นภาษา” หมอปีย์เร่งแก้ตัวให้พัลวัน แต่ฟังคำแก้ตัวของมันแล้วนั้น เหมือนมันหลอกด่ากันเลย
-
หมอทำใจหน่อยนะ ก็ชอบผุ้ชายเพลย์บอยเอง หมอต้องหัดควบคุม และหัดข่มขืน ฮ๋าๆๆๆ ล้อเล่น
-
อย่าเพิ่งถอดใจนะหมอปีย์...อุตส่ารอมานานขนาดนี้แล้ว
พ่ออัชย์นี่ก้อนะ...แหม๊...จะซึนอีกนานมั้ยคร๊า าาา...หมอปีย์เค้าก้ออุตส่าเปิดอก เปิดใจ สารภาพไปซะหมดเปลือก หมดไส้ หมดพุง ขนาดนั้นแล้วอ่ะ...แล้วยามใดพ่อจะรู้ใจตัวเองซะทีล่ะเนี่ย...แง่ง งงง
...อ้ายสน...โดนหวายลงหลังจริงๆด้วยอ่ะ...โอ๊ว ววว หมอปีย์ท่าจะหวงและห่วงพ่ออัชย์มากเลยนะเนี่ย
-
แล้ว รัก มันจะช่วยอะไรได้มั๊ยเนี่ย
หมอก็มีคู่หมั้น แล้วจารีตสมัยนั้น อัชก็ไถตลอด
แล้วจะได้ลงเอยกันมั๊ยเนี่ย :z3:
-
ยิ่งอ่าน ยิ่งลุ้น ลุ้นตลอดกลัวอยู่ๆ พ่ออัชย์ แว๊บบบไปปัจจุบันอีก :o12:
ตอนนั่งเรือก็กลัวเหอะ :m15:
-
“เราก็พอจะรู้”
:เฮ้อ: เจ้าบ้าทำร้ายจิตใจหมอปีย์อีกแล้ว
ฉันว่าหมอจับกดไปเลยจะดีกว่า ถ้ารอให้เจ้าบ้ารู้สึกตัวสงสัยจะมีเวลาหวานกันได้ไม่นาน
-
หมอปีย์ต้องลุยกว่านี้แหละ สู้ๆ หน่อย
-
คุนหมอปีย์รอนางในฝัน ตอนนี้ก็เจอแล้วนี่
-
หมอปีย์ สู้ๆ พ่ออัชย์ทำไม่รู้ไปงั้นแหละ
มีรักก็ต้องมีหวัง :call:
-
อุปสรรคเยอะมากๆ ขอให้ผ่านมันไปได้ด้วยดีเถอะนะ
-
ทั้งหมอทั้งพ่ออัชย์ต่างเก็บงำความในใจทั้งคู่เลย
-
โอว ตอนนี้มาย้อนอดีตหมอปีย์กันรึนี่ ก็เป็นบุคคลน่าสงสารเหมือนกันนะ
แต่หมอปีย์ก็เปิดใจแสดงออกซะขนาดนี้แล้ว น้องอัชย์ไม่ใจอ่อนสักหน่อยเหรอครับ
-
หมอปีย์เปิดขนาดนี้ พ่ออัชย์ยังใจแข็งอยู่ใย
-
โถ น่าสงสารหมอปีย์ อุตส่าห์รอนางในฝัน แต่พอนางก้าวออกมาสู่โลกจริง กลับกลายเป็นเจ้าบ้าไปเสียได้ กร๊ากก
บ้าแต่ก็น่ารักใช่ป่ะหมอ คึ
-
เฮ้อ พ่ออัชย์ คิดอะไรอยู่น้อออ
รู้ก็บอกว่ารู้ แต่ปลายทางจะเป็นยังไงก็คุยกันให้เข้าใจไม่ดีกว่าเร้อออ :เฮ้อ:
ปล.แก้คำผิดให้นะคร้าบ ท่าทางวันนี้จะรีบพิมพ์รีบลงมาก อิอิ
“ก็เอ่อ เป็นสตรีที่มาจากราชวงศ์อู่ทอง แล้วก็ลอบมีสัมพันธ์กับพันบุตรศรีเทพ คนเฝ้าหอพระ แล้วก็” ผมพยายามระลึกชาติอย่างหนัก
“แล้วก็ลอบปลงพระชนม์พระเจ้าอยู่หัว........................รู้แค่นี้แหละ” แต่จนปัญญาจริงๆ
“มิได้เลวไปหมดดอก ในความอัปยศนั้น บัวผันกลับมีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นกับตนเองที่พิเศษกว่าหญิงอื่น
“ป่วยการจะต่อล้อต่อเถียงกับเจ้าแล้วเจ้าบ้า เอาเป็นว่าเรื่องนี้หาได้มีใครถูกใครผิดไม่ ไว้เจ้ารักใครสักคนอย่างหมดใจ แล้วจะเข้าใจตัวพระนางศรีสุดาจันทน์ และตัวเรา”
ผมพยักหน้า พอนึกภาพความสัมพันธ์ของสองคนนี้ออก
“อืม เหรอ แล้วเขาเอ่อ แบบว่า อายุขนาดนั้นแล้วไม่มีแฟน เอ่อ ชั้นหมายถึงผู้หญิงที่หมายปองอ่ะ มั่งเหรอ” ผมอ้อมแอ้มถาม
“มีสิทำไมจักไม่มี มีมากด้วย สาวๆทั้งบางนี้ บางไหนล้วนแล้วแต่เคยเขียนเพลงยาวไปให้หมอปีย์กันทั้งนั้น แต่แกก็มิเห็นจักสนใจผู้ใด ฉันเคยถามแก เพราะเห็นว่าผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกันเขาออกเหย้าออกเรือนกันไปหมดแล้ว แกบอกฉันว่า แกรอนางในฝันอยู่ ฉันนี้ หัวเราะจนปวดท้อง”
“อ้อ อย่าไปถือสาหาความเลยแม่ เจ้านี่สติมิค่อยจักเต็มบาท ตั้งแต่จมน้ำมาครานั้นก็พร่ำเพ้อมิเป็นภาษา” หมอปีย์เร่งแก้ตัวให้พัลวัน แต่ฟังคำแก้ตัวของมันแล้วนั้น เหมือนมันหลอกด่ากันเลย
โอ้วว ขอบพระคุณมากขอรับ
พอดีกระผมรีบจริงๆด้วย สะเพร่าไปหน่อย เดี๋ยวจะค่อยๆตามแก้นะครับ
-
รออ่านนะคะ
o13
-
ในที่สุดก็ตามอ่านจนทัน
พล็อตเรื่องหน้าสนใจมากครับ ภาษาที่ใช้ก็ดี เข้าใจง่าย
เฮ้ออ ยิ่งอ่านยิ่งสงสารหมอปีย์แหะ อัชย์ก็ซื่อเกิน :เฮ้อ:
รออ่านตอนต่อไปนะครับ o13
-
นี่อัชย์แกล้งโง่รึเปล่านะ?
-
หมอปีย์ขอเเบบสวีทๆ หน่อย รุกให้เเบบอัชย์อึ้งไปเลย
-
อัพแล้วๆดีใจมากเลย
ยิ่งอ่านก็ยิ่งตกหลุมรักหมอปีย์
รีบๆรักกันเร็วๆนะ
-
เออ อยากรู้จริงเชียวว่าถ้าหมอลองได้ไปยุคของเจ้าบ้าแล้วจะเป็นเยี่ยงไร
-
พ่ออัชย์เข้าใจสายตาของหมอปีย์ว่าเยี่ยงไรหรอ
อยากรุๆ อิอิ :-[
-
พ่ออัชย์เข้าใจหมอปีย์ว่ากระไรรึ
หากเข้าใจจริงรีบรับรักได้แล้วน้ะ สงสารหมอจริงเชียว
-
ทำไม...พ่ออััชย์ ถึงต้องหลีกเลี่ยงความรู้สึกตัวเองทั้งๆ ที่รู้อยู่ใจล่ะ :เฮ้อ:
-
หมอปีย์พยายามอีกหน่อยนะ ส่วนพ่ออัชย์ก็ยอมเปิดใจให้กว้างเสียที
-
พ่ออัชย์คนดี ศรีสวาทของหมอปีย์ หมอปีย์รักขนาดนี้แล้ว รับรักเถิดดด สงสารคุณหมอคนดียิ่งนัก
-
เป็นกำลังใจให้ค่ะ
-
ผมสงสัยและคิดมากมายเกี่ยวกับเรื่องย้อนอดีต ถ้ามันเป็นชะตาที่อัชย์ต้องเจอ แล้วอยากรู้ว่าใครเป็นคนกำนดน๊า หนูวาดรึเปล่า หรือ วินยาณของทุกคนในบ้านนั้นที่ยังไม่ผุดไม่เกิด แต่ที่แน่ๆคือพี่เซ็งเป็ดกำนด กร๊ากกก
หมอจับกดๆๆเลย
-
เรื่องสนุกมากครับ
-
กลิ่นน้ำอบน้ำปรุงหอมกรุ่นอบอวลไปทั้งเรื่องเชียวละพ่อนนท์
ว่าแต่
"เมื่อไหร่จะเข้าใจ เมื่อไหร่จะรักกัน"
//ฮัมเพลงเบาๆ ออกจากระทู้ พร้อมกลิ่นน้ำอบน้ำปรุงติดกาย
-
ผมไม่ค่อยรู้เรื่องประวัติศาสตร์หรือเกร็ดวัฒนธรรมไทยเท่าไหร่นะครับ แต่ก็พอจะเห็นว่าหาข้อมูลมาอย่างดี ถือว่าเป็นเรื่องที่สวยงามเรื่องหนึ่งทีเดียว ขอบคุณครับ
-
:m28:
แม่รำพึงนี่ก็หมายปองพ่อหมออยู่เป็นแน่ ...
-
“ป้าแม้นฟันเหยิน เขามีงานอะไรกันเหรอ” ผมถามป้าแม้นน้องสาวยายเมี้ยนตัวแสบขี้ฟ้อง เมื่อเห็นที่บ้านคุณชั้นบ่าวไพร่วิ่งกันให้วุ่นราวกับมีใครคลอดลูก
“เอ็งนี่ มิรู้จักเด็กจักผู้ใหญ่ ปัดเดี๋ยวฟาด” แกทำหน้าตาดุ ฟันยิ่งเหยินไปใหญ่
“โถป้า ล้อเล่นน่ะ ป้าก็ สวยๆขนาดนี้ชั้นก็แซวเล่นเป็นธรรมดา นอกจากฟันเหยินแล้วยังดำปี๋อีก งามแต้ แม่คุณเอ้ย”
ป้าแม้นเขินอายม้วนต้วน แต่สักพักแกเหมือนได้สติ
“เอ๊ะ เอ็งหลอกด่าข้ารึปล่าวไอ้บ้า”
“เอาน่า เขามีงานอะไรกันเหรอ คุณชั้นจะแต่งงานอีกรอบรึไง”
“อ้ายทะลึ่ง เอ็งนี่ลามเหมือนขี้กลาก” แกด่า “วันนี้มีเจ้านายจากวังในมาเยี่ยมคุณ คุณเลยให้พวกข้าทำอาหารพิเศษรับรอง”
“โห สงสัยต้องสำคัญมากแน่ๆ ถึงได้วิ่งกันวุ่นขนาดนี้” ผมถามพลางนั่งลงบนกระต่ายขูดมะพร้าว “นี่แสดงว่าวันนี้ชั้นก็ไม่ได้เรียนนะสิ เห้อ เออ ป้า” ผมถาม ป้าเมี้ยนแกกำลังจัดผัดสดวางเรียงลงบนถาดทองเหลืองลดลายวิจิตรที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน
“มีอะไรให้ชั้นกินบ้างหล่ะ” ผมลูบท้อง นัยว่าหิวมาก
“หาเอาในครัวนั่นหล่ะ มีอันใดเหลือๆก็กินประทังไปก่อน ข้ายุ่งมิมีเวลามีต่อล้อต่อเถียงด้วย”
“โห คนสวยใจดำอ่ะ” ผมทำหน้ามุ่ย ได้แต่ถอนหายใจ มาอยู่นี่ตั้งนานแล้วคุณชั้นเธอยังไม่ยอมสอนอะไรให้เลย อย่าว่าแต่สอนเลยพูดด้วยเธอยังไม่พูดด้วยเลย เกลียดอะไรผู้ชายนักหนาวะ สงสัยจะโดนผู้ชายหักอก
บ่าวไพร่ในเรือนคุณชั้นต่างพากันไปออกันที่เรือนใหญ่ ต่างคนต่างสาละวนกับงานเรือน บ้างก็ช่วยกันขัดกระได ขัดอ่างล่างเท้า บ้างก็ไปหาบน้ำมาเติมในโอ่ง บางคนกวาดลานบ้านไปพลางวิ่งไปจับลูกไม่ให้ลงไปเล่นใกล้สระพลางดูวุ่นวายดีพิลึก ส่วนผมนั้นนั่งแกร่วอยู่ที่เรือนครัวคนเดียว
บางครั้งก็อยากจะไปร่วมวุ่นวายกับเขาบ้าง แต่พอมาคิดดูแล้ว แขกไม่ได้รับเชิญอย่างผม เข้าไปก็พาลจะทำให้คุณชั้นเธอเหวี่ยงเอาอีก
“เฮ้อ อยู่ที่ที่เราควรอยู่น่ะดีแล้ว” ผมว่า พลางลุกขึ้นยืนอย่างเบื่อหน่าย บิดตัวไปมาอย่างเกียจคร้านก่อนจะเดินขึ้นเรือนครัวไปเพื่อจะมองหาว่าพอมีอะไรเหลือๆให้คนจรหมอนหมิ่นอย่างผมได้กินบ้าง
“นี่อะไรน่ะ” ผมเปิดฝาละมีดู เจอขนมจีนเส้นสดที่เหมือนเพิ่งทำมาใหม่ๆ ขดอยู่บนใบตอง ข้างๆกันนั้นเองก็เจอผัดสดที่เหลืออยู่ไม่กี่อย่างเอง
“โห เหลือแค่โหระพา กับ พริกนี่อ่ะนะ จะให้กูกินเส้นขนมจีนกับพริกรึไง” ผมบ่นเป็นหมีกินผึ้งเพราะความหิว
สายตาสอดส่ายมองหาอะไรก็ได้ที่เป็นเนื้อเป็นหนังที่พอจะกินได้
“ตู้กับข้าวพวกบ่าว” เป้าหมายต่อไปที่ผมจะไปรื้อ คือตู้กับข้าวที่พวกบ่าวเก็บของกินที่เหลือๆไว้ ผมเปิดมันออกมาดูว่ามีอะไรกินได้บ้าง
“ปลาสลิด ปลาอินทรีย์เค็มทรงเครื่อง อืม แค่นี้ก็พอมั้ง” ของทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น ปลาสลิด เส้นขนมจีน ผัก ปลาเค็ม และของแห้งอื่นๆถูกยกมาวางเรียงกับพื้นเรือนครัว เพื่อให้ผมใช้สมองอันน้อยนิดวิเคราะห์ดูว่า
“กูจะทำอะไรแดกดีวะ”
“เอ ปลาสลิดตัวโตน่ากินดีนะ เส้นขนมจีนก็เหลืออีกตั้งเยอะทิ้งไปก็คงเปรี้ยว โหระพา” ผมเด็ดใบมาขยี้ดมดู “อืม กลิ่นหอมกว่าโหระพาใบใหญ่ที่บ้านเสียอีก ปลาเค็ม แอ่ะ ไม่เอาดีกว่าเหม็นคาวไม่ปลื้มๆ”
นับว่าเป็นงานที่หนักเอาการ
“มีเส้น มีปลาสลิด รู้แล้ว เย้!!! สปาเก็ตตี้ปลาสลิด เจ้ย ไม่ใช่สิ ขนมจีนปลาสลิด อื้ม ฟังดูไม่เลว” ผมแม้มปากเอาจริงก่อนจะลงมือเตรียมของ
“ก่อนอื่นนะครับต้องทอดปลาสลิดก่อน แต่ว่าเนื่องจากว่าเราไม่มีน้ำมันเพราะยุคนี้เจริญมาก ไม่มีน้ำมันมะกอกใช้ เราจึงต้องใช้ไอ้นี่ แต้แด่มมมมมมมมมม” ผมชูมันหมูชิ้นสีขาวๆขนาดสีเหลี่ยมผืนผ้าขึ้นมา พลางเลียนแบบเชฟดังที่ทำอาหารโชว์ตามทีวีแก้เหงา
“ยางรองเท้าแตะ จ๊ากซ์ ไม่ใช่ มันหมูนั่นเอง” เล่นมุขเองตบเองเสร็จสรรพ
“กระทะร้อนแล้วนะครับตอนนี้ สังเกตุได้จากควันที่พุ่งขึ้นมา โยนมันหมูลงไปครับ อย่าให้เลยกระทะนะครับ ฉี่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ได้ยินเสียมั๊ยครับ ร้อนจริงๆ มันหมูนี้ดี เจียวเสร็จสามารถเอากากไปผัดพริกขิงได้อีกด้วย เคยได้ยินเจ๊ชั้นขาโหดพูดให้ฟังนะครับ” ไม่วายจะไปกัดคุณชั้น
“ระหว่างที่รอให้น้ำมันพรายจากหมูตายทั้งกลมนี้ไหลออกมา เราก็มาจัดการกับผักเหล่านี้กันนะครับ” ผมหันขวับอย่างกระฉับกระเฉง แหมก็สนุกดีเหมือนกันนะนี่
“ขนมจีนปลาสลิดทอดของเราในวันนี้นะครับ เราจะใช้พริกแห้งนะครับ กับกระเทียม บุบแค่พอแหลก” ปั๊ง!!! ผมใช้มีดทุบกระเทียมไทยกลีบเล็กที่กลิ่นไม่เล็กเลย ตามด้วยหั่นพริกแห้งออกเป็นท่อนๆ และหันไปทุบพริกขี้หนูสวนเม็ดเล็กแต่โคตรพ่อโคตรแม่เผ็ด
“ใบโหระพาครับเด็ดแช่น้ำไว้ก่อนเลยจะได้ไม่เหี่ยว เอาหล่ะที่นี้เราก็มาดูกันว่า น้ำมันจากหมูตายทั้งกลมออกมาเยอะรึยัง สงสัยถ้าเชฟจะทอดเฟร้นฟรายกิน คงต้องโยนหมูทั้งคอกลงไปเจียวกว่าจะได้น้ำมันสักกะทะ แต่ก็ดีครับ จะได้ไม่เป็นไขมันในเส้นเลือดอุดตาย”
ผมใช้กระจ่าตักมันหมูที่ตอนนี้แฟบเหลือก้อนเท่านิ้วโป้ง ก่อนจะโยนปลาสลิดลงไปทอดเสียงดังฉ่า
“ร้านเขาร้านใหญ่ ขายเพียงไข่เจียว
รับทรัพย์ทุกวัน และรับรางวัล
เขาสอนนักเรียน เปิดเป็นโรงเรียน โรงเรียนสอนการเจียวไข่
แค่เพียงน้ำมันวางลงบนเตา รอไฟให้ร้อน
ฉันต้องรับต้องรับมา ปริญญาทางไข่เจียว
วางลงบนเตา รอไฟให้ร้อน
แม้สิ่งนั้นจะนิดเดียว เดียว เดียว เดียว เดียววววว”
ระหว่างที่รอให้ปลาสลิดสุกกรอบได้ที่ก็ไม่ให้เสียเวลา ร้องเพลงไข่เจียวของเฉลียงแก้เบื่อ
“เอาละครับ น่าจะได้แล้วครับ เราก็ตักขึ้นวางพักบนกระดาษซับมันซึ่งที่นี่ไม่มีครับ งั้นเราก็จะใช้ใบตองแทน รอให้เย็นแล้วก็ค่อยๆใช้มีดแซะเนื้อปลาออกจากก้างนะครับ แบบนี้”
มีดค่อยๆเฉือนเลาะเนื้อปลาสลิดที่เหลืองกรอบหอมน่ากินออกเป็นชั้นๆ จริงๆแค่ปลาสลิดทอดอย่างเดียวผมก็กินได้แล้ว แต่มันไม่มีข้าวสวยนี่สิเรื่องใหญ่
เมื่อเนื้อปลาถูกเลาะออกมาและหั่นเป็นชิ้นพอดีคำแล้ว ทีนี้ก็ถึงเวลาที่ผมจะประกอบร่างของขนมจีนปลาสลิดกรอบ อาหารฟิวชั่นฟู๊ดที่ผมคิดค้นขึ้นมาเองเสียที
ผมก้มหน้าก้มตาอยู่ที่เตาเสียนานจนลืมเงยหน้าขั้นไปมองเรือนใหญ่ ไม่รู้ว่าป่านนี้ที่นั่นจะเป็นอย่างไรกันบ้าง แต่ช่างเหอะ จะไปสนใจทำไม อาหารมื้อใหญ่รออยู่ข้างหน้านี้แล้ว
ผมเอากระทะวางลงบนเตาถ่านอีกครั้ง การประกอบอาหารกับถ่านก็ได้อรรถรสไปอีกแบบ เพราะมันจะมีกลิ่นหอมของถ่านไม้บางๆ ไม่มีกลิ่นแก๊ส อีกอย่างอาหารที่ทำจากถ่านจะสุกระอุและดูน่ากินกว่า
เมื่อกระทะร้อนผมก็เอาน้ำมันหมูปาดกระทะไปแค่ปลายจวักเพื่อไม่ให้ติด จากนั้นใส่กระเทียมและพริกแห้งลงไปผัดเสียงดังฉ่า
“ฮัดชิ้ว” กลิ่นฉุนของพริกกับกระเทียมขึ้นจมูก แต่นี่แหละเสน่ห์ของอาหารไทยเขาหล่ะ
“ฮัดชิ้ว”
“ฮัดชิ้ว”
“ฮัดชิ้ว เอ็งทำบ้าอันใดของเอ็ง เจ้าบ้า”
ระหว่างที่ผมผัดพริกแห้งกับกระเทียมอยู่นั้น ก็มีเสียงจามของคนอื่นตามมาเป็นระยะ พร้อมเสียงด่าของป้าเมี้ยน
“แหม่ กลิ่นเด็ดขาดจริงๆ” ผมว่าพลางเอาปลาสลิดลงไปผัด
ตอนนี้กลิ่นฉุนของพริกแห้งกับกระเทียมค่อยๆจางไป เหลือแต่เพียงกลิ่นหอมอบอวลลอยฟุ้งทั่วเรือนเท่านั้น
ผมนั่งผัดไปผัดมาอย่างไม่รีบร้อน เพราะไฟก็ไม่ได้แรงอะไรมากมาย ระหว่างนั้นก็ทอดสายตามองไปเรื่อยเปื่อยจนถึงเรือนใหญ่
“แหม ท่าทางจะมีแขกไม่ธรรมดามาเยี่ยม หนูวาดแต่งตัวซะสวยเชียว” ผมหันไปดูยายคนสวยของผมกำลังสนุกอยู่กับการช่วยยกสำหรับขึ้นบนเรือนอยู่ที่กระได ระหว่างนั้นก็หยิบเส้นขนมจีนลงไปคลุกเบาๆ
“น่ารักเหมือนกันนะนี่ยายเรา” ระหว่างที่ผมนั่งปลื้มยายตัวเองอยู่นั้น จู่ๆ ผมก็เห็นเธอยื้อแย่งชามใส่บางอย่างจากบ่าวผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนเธอจะไม่เต็มใจให้หนูวาดช่วย
“ให้หนูวาดช่วย ช้อยขอให้หนูวาด” เสียงของเธอแหลมเล็กขึ้นมา
“ไม่ได้นะเจ้าคะ คุณ ไม่ได้ มันร้อน ประเดี๋ยวจะลวกมือ” เธอส่ายหัวใหญ่
“ไม่ร้อนหรอก ช้อย หนูวาดถือได้ ให้หนูวาดยกไปเอง” แต่ยายผมก็ดื้อหัวชนฝาพยายามจะแย่งชามแกงนั้นมาให้ได้
“คุณวาดเจ้าขา ประเดี๋ยวมันหกนะเจ้าคะ ปล่อยเถิดเจ้าค่ะ”
ทั้งสองยื้อหยุดฉุดกระชากอยู่ครู่ใหญ่
“เดี๋ยวก็ได้หกกันพอดี” ผมบ่น พลางโรยปลาสลิดทอดลงไปจากนั้นตามด้วยเกลือป่น พริกไทยป่นที่แม่ครัวเขาตำไว้ แล้วหยิบมาชิมเส้นนึง
“เอ ยังขาดเค็ม” ผมพบว่ารสชาติมันยังขาดรสเค็มที่ไม่ใช่เค็มของเกลือ แล้วมันคืออะไรกันนะ
“อ้อ รู้แล้ว” ผมรีบกระโดดขึ้นเรือนไปหยิบปลาอินทรีย์เค็มทรงเครื่องมาโรยคลุกรวมลงไป
“อืม รสชาติกำลังดีเลย อร่อยแล้ว” เมื่อเห็นว่าขนมจีนปลาสลิดกรอบของผมรสชาติกลมกล่อมกำลังดีแล้ว จึงขยุ้มใบโหระพาโรยลงไป แล้วตักขึ้น
และแล้วสิ่งที่ผมนึกกลัวก็เกิดขึ้น
เพล้ง!!!
“ว้าย คุณวาด” เสียงบ่าวกรีดร้องขึ้นมา ผมเองก็พาลตกใจไปด้วย ชามที่ทั้งคู่ยื้อยุดกันอยู่เมื่อครู่หล่นลงแตก ทำให้แกงหกเรี่ยราด
คุณชั้นได้ยินเสียงกรีดร้องนั้น รีบเดินลงมาดู และพบว่าหนูวาดยืนตัวสั่นหน้าซีด
ชามกระเบื้องลายครามที่เคยสวยงาม บัดนี้ได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆกองอยู่ข้างบันได ข้างๆกันนั้นมีบ่าวผู้หญิงนั่งคุดคู้ก้มหน้าตาสั่นด้วยกลัวอาญา หนูวาดเองนั้นก็ไม่ต่างจากบ่าวสักเท่าไหร่
ผมลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจเช่นกัน คิดว่าคุณชั้นคงฟาดหนูวาดไม่ยั้งเหมือนที่แม่ผมเคยทำ แต่เธอกลับไม่ทำอย่างนั้น เธอมองหนูวาดแค่เพียงสายตา แค่นั้นก็ทำให้หนูวาดถึงกับร้องไห้โฮออกมาแล้ว คุณชั้นชี้นิ้วขึ้นไปบนเรือนเหมือนจะบอกให้หนูวาดเข้าไปอยู่แต่ในห้อง ไม่ให้ออกมาเพ่นพ่านอีก
“เข้าไปในห้อง ป้าจักจัดการเจ้าที่หลัง แม่วาด” น้ำเสียงแข็งกร้าวน่ากริ่งเกรงนั้น ทำให้หนูวาดเดินคอตกขึ้นเรือนไป
“แย่แล้ว แย่แล้ว” เสียงป้าแม้นวิ่งโครมๆมาที่เรือนครัว
ผมนั้นกำลังจัดจานไว้อย่างสวยงามเพื่อจะได้กินกับข้าวที่ตัวเองทำ หมายมั่นปั้นมือว่าจะได้ชิมกับข้าวที่แทนสปาเก็ตตี้ปลาสลิดของโปรดสักที แต่ยังไม่ทันจะเอาเข้าปาก
“เจ้าบ้า หลีกไปๆ” ป้าแม้นแทบจะกระโดดขี่คอผมอย่างเร่งรีบ ผ้าถุงผ้าแถบกระเจิดกระเจิง ควานหาบางอย่างในครัวจ้าละวั่น
“หาอะไรป้า” ผมถาม
“หาสำรับเหลือๆนะสิวะ ไอ้บ้า คุณวาดเธอทำแกงเขียวหวานเนื้อที่ไว้รับแขกหล่นแตก เรื่องใหญ่เลยล่ะเอ็งเอ้ย ไม่มีสำรับรับแขกน่ะ” แกเลิกลักตอบไม่มองหน้าผม ยังคงตั้งหน้าตั้งตารื้อถ้วยชามข้าวของออกมาจากตู้กับข้าว
“เอ็งเห็นผักปลา ในนี้บ้างมั๊ยวะ” แกหันไปบ้วนน้ำหมาก
ตายห่าแล้วกู ซวยแล้วมั๊ยหล่ะ เอาของเขามาทำกินหมดแล้ว
“ของอะไรป้า” ผมเฉไฉทำเสียงสูง
“ก็ปลาสลิด ปลาเค็ม ไหนจะผัก จะหญ้าในนี้ไงวะ เห็นรึเปล่า”
“อ้อ” ผมทำท่าเพิ่งนึกขึ้นได้ รู้อยู่เต็มออกว่าตัวเองไปเอาของเขามา “ปลาสลิดนี้เหรอ” ผมชี้ไปที่ปลาสลิดที่นอนนิ่งเหลือแต่ก้าง “ชั้นเอาไปทำกับข้าวเสียแล้ว ก็ ก็ป้าบอกว่าให้หากินเอาเอง”
“ตายละวา อกอีกแป้นจะแตก แล้วข้าจะเอาที่ไหนมาทำสำรับรับแขกละนี่ โธ่ อีแม้นเอ้ย” แกเดินกระสับกระส่ายไปมา พลันสายตาเหลือบไปเห็นขนมจีนปลาสลิดทอดของผม
“นี่อันใด” ป้าแม้นส่งสายตาไม่ไว้วางใจ
“อย่านะป้า ของชั้น” ผมไม่ยอมแพ้ ส่งสายตาขู่กลับ แต่ไม่เป็นผล แกยกชามอาหารเช้าผมขึ้นมา
“เอานี่แหละว่ะ ข้าขอก่อนแล้วกันนะเจ้าบ้า” ว่าแล้วแกก็ฉวยชามวิ่งหน้าตั้งโดยไม่สนใจเสียงร้องห้ามของผม
“ป้าแม้น จะเอาไปไหน นั่นมันของชั้น เอาไปไม่ได้นะป้า” ผมวิ่งตามไปติดๆ จะเอาไปได้ยังไง จะเอาอาหารจานนั้นไปรับแขกได้ยังไง นั่นมันผมทำกินเล่นๆ
-
ป้าแม้นวิ่งถือชามขึ้นเรือนไปโดยมีผมวิ่งตามมาหยุดอยู่หน้าบันได ไม่กล้าตามขึ้นไป
“นังแม้น หยุดวิ่งประเดี๋ยวนี้” เสียงคุณชั้นดุ “มิใช่สาวๆแล้ว หกล้มกระดูกกระเดี้ยวหักขึ้นมาจักลำบาก ไหนหล่ะ ของที่เราให้หา”
ผมได้ยินทุกคำพูดอย่างชัดเจนของคุณชั้น ใจหนึ่งอยากจะเดินขึ้นไปขอชามอาหารคืน แต่อีกใจก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าคุณชั้นเธอจะว่าอย่างไรกับอาหารจานนี้
“นี่เจ้าค่ะ คุณ อิชั้นหามาได้แค่นี้เจ้าค่ะ” ผมย่องเข้ามาใต้ถุนเรือน
“กระไร นี่มันกระไรหน้าตาประหลาดนัก”
“อิชั้นก็มิทราบเจ้าค่ะ เห็นเจ้าบ้ามันทำไว้น่ะเจ้าค่ะ”
“หน้าตาพิลึก เอาไปเททิ้งเสีย เอาอาหารหน้าตาประหลาดเยี่ยงนี้ไปรับแขก ขายหน้าแย่”
เธอพูดทำลายน้ำใจผมจนไม่เหลือชิ้นดี ใจร้ายมาก ถึงแม้อาหารจานนั้นมันจะไม่ได้ดูดี ดูหรูหราอะไร แต่ผมก็ตั้งใจทำนะ
“แต่คุณเจ้าคะ ในครัวไม่เหลืออะไรแม้แต่น้อยนะเจ้าค่ะ ข้าวสารเพียงหยิบมือก็มิเหลือ” ป้าแม้นยังคงพูดต่อ ส่วนผมนั้นทรุดลงไปนั่งกับพื้นด้วยความน้อยใจ
“คุณลองชิมเสียหน่อยนะเจ้าคะ บางทีรสชาติมันอาจไม่ได้เลวเหมือนหน้าตาก็ได้นะเจ้าคะ” นี่ด่าหรือชมเนี๊ยะป้า
“หากไม่เช่นนั้นจะไม่ทันการณ์เอานะเจ้าคะ นี่ก็ใกล้เพลาหม่อมจะมาแล้ว” ผมฟังจากน้ำเสียงของป้าแม้นแล้ว หม่อมคนนี้คงจะสำคัญไม่น้อย
“จักให้เราชิมไปได้อย่างไรเล่า นี่มันอาหารคนหรืออาหารสุนัขก็มิอาจเดา”
คำพูดคำนั้นเองของคุณชั้นที่ทำให้ผมถึงกับสะอึก นี่มันแย่ขนาดนั้นเลยหรือ มันไม่ได้เรื่องขนาดนั้นเลยหรือ ทั้งชีวิตผมมันห่วยแตกขนาดนั้นเลยเหรอ
ผมเสียใจ เหมือนน้ำตาจะไหล แต่มันก็ไม่อาจไหลได้ความรู้สึกคับแค้นใจไหลปร่าไปทั่วร่าง
คุณชั้นเงียบไปรวมทั้งคนบนเรือนด้วย ผมนั่งฟังคำพูดอะไรก็ได้สักคำที่จะออกมาจากปากคุณชั้น แต่ข้างบนเรือนนั้นไม่ได้พูดอะไรกันเลย นั่นยิ่งทำให้ผมกระสับกระส่ายหนักเข้าไปอีก
“โธ่เว้ย” ผมทนที่จะรับฟังคำวิจารณ์อะไรจากปากคุณชั้นไม่ได้อีกแล้ว ผุนผลันลุกขึ้นวิ่งออกไปจากบ้านผม ไม่สิ เรือนคุณชั้นอย่างเร็วที่สุด
“ Damn it!!!” เสียงปะทุอารมณ์คบแค้นในใจของผมดังลั่นเรือนหมอปีย์ ในขณะที่หมอนั่นนั่งอยู่ที่เดิม
“เป็นอะไรไปอีกเล่า” เขาถามด้วยความเป็นห่วง
“ฉันเบื่อ เบื่อ เบื่อที่นี่ I hate this place.It's not my place. I wanna go home. MY HOME” เสียงตะโกนร่ำร้องอะไรสักอย่างที่ผมโหยหาดังก้องไปทั่วบ้าน รวมทั้งในหัวผมด้วย
“จงพูดมาเถิดพ่อ เราจักรับฟัง”
“ไม่มี ไม่มีอะไรจะพูด” ผมนั่งลงใกล้ๆเขา
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“แต่ ชั้น ชั้นเบื่อ นายเข้าใจมั๊ย ชั้นเบื่อ ชั้นมาที่นี่ทำไม มาทำไม what I am doing here. I have no one here. She ignored me. She didn’t care how I feel. She is so cruel.”
“ผู้ใดกันเล่า”
“คุณชั้น คุณชั้นน่ะสิ ชั้นทำอะไรไม่เคยถูกใจสักอย่าง”
“อย่าคิดให้มากไปเลยพ่อ คุณชั้นเธอหาใช่คนใจไม้ไส้ระกำดอก ตามที่เรารู้ ถึงแม้เธอจะมิใช่คนอ่อนโยน แต่ก็หาได้ใจร้ายใจดำไม่”
“นายไม่เข้าใจหรอก นายไม่ใช่ชั้นนิ”
“เชื่อเราเถิด พ่อ เชื่อเรา”
เขาปลอบใจ ถึงมันจะไม่ได้ช่วยให้ผมหายเครียด แต่อย่างน้อยก็ทำให้พอบรรเทา
“อ้อ แล้วอีกอย่าง เจาลืมไปแล้วกระมังว่า ที่แห่งนี้ ที่ที่เจ้าบอกว่าไม่มีใคร เจ้ายังมีเรา ยังมีเรา นะพ่ออัชย์”
ผมยิ้มออกมาได้ในที่สุด รู้สึกเบาหวิวขึ้นมาทันที
“เจ้าบ้า” เสียงกระซิบดังขึ้นที่ชานเรือน
“ป้าแม้น มาทำอะไรที่นี่” ผมชะโงกหน้าออกไปนอกชาน
“คุณชั้นให้หา” เธอทำท่าตื่นเต้น
“คุณชั้นให้หา” ผมทวนคำป้าแม้น แทบไม่เชื่อหูตัวเอง
“ก็เออนะสิวะ เร่งเข้า ประเดี๋ยวจักไม่ทันการณ์” ป้าแม้นเต้นผางๆ
“เรื่องอะไร ให้หาชั้นเรื่องอะไร”
“เออวะ เจ้านี่ จักให้ข้าต้องอกแตกตายไปก่อนหรือกระไร ลงมา”
ผมเดินงงๆลงมาจากเรือน นึกไม่ออกจริงๆว่าคุณชั้นเรียกหาผมเพราะเรื่องอะไร
“เร่งตามข้ามาเถิด แขกคุณชั้นจักมาแล้ว”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับชั้นล่ะป้า”
“อุบ๊ะ ก็คุณชั้นจักให้เจ้าเร่งทำสำรับเพิ่มนะสิ เจ้านี่”
แค่นั้นแหละครับ ทันทีที่ผมได้ยิน หัวใจผมพองโตลิงโลด ดีใจอย่างบอกไม่ถูกจนต้องร้องตะโกนออกมาลั่นบ้าน
ในที่สุดคุณชั้นก็ยอมรับผมแล้ว ผมทำให้เธอเห็นว่าผมมีตัวตนแล้ว คราวนี้แหละ ผมจะทำให้สุดฝีมือ เพื่อพิสูจน์ให้เธอเห็นว่า ผมน่ะ มีดีมากกว่าที่คิด
-
:z13: :z13:
อยากอ่านฉากอัศจรรย์..... :o12:
-
:z13: :z13:
อยากอ่านฉากอัศจรรย์..... :o12:
ประสบการณ์พี่มิโชกโชนพอ คงต้องรบกวนน้องนางช่วยแล้วหล่ะ ฉากนี้อ่ะ
-
มาแบบเนื้อหานิดเดียวอ่า...อยากอ่านต่อมากมาย
กำลังสนุกเลย
-
สั้นๆค่ะ
"หิว" :o12: :o12: :o12:
-
บรรยายซะหิวเลย ถ้าเราเป็นเจ้าบ้านะเราก้คงโกรธเจ้ชั้นเหมือนกันอะ
อยากกินขนมจีนปลาสลิด~
-
อ่านแล้วอยากกินขนมจีนปลาสลิดฝีมือพ่ออัชย์บ้างอ่ะ ...รออ่านต่อไปค่ะ
-
โอว จุดกำเนิดของอาหารเทพ มาจากการยำรวมกันของของเหลือในตู้นี่เอง
-
อ่านที่ หิวข้าวทุ๊กกกที
-
เห็นทั้งภาพ ได้ทั้งกลิ่นเลย หิว
-
มันมีฉากหมอกับอัชย์นิดเดียวเอง และยังไม่ถึงไหนด้วย แต่ก็ดีนะ
รอตอนต่อไปด้วยความหิว~
-
แอบซึ้งอ่ะ
"เจ้าลืมไปแล้วกระมังว่า ที่แห่งนี้ ที่ที่เจ้าบอกว่าไม่มีใคร เจ้ายังมีเรา "
หมอปีย์นี่พยายามรุกตลอดเลยแหะ
อยากรู้จังว่าตกลงคุณชั้นเค้าว่ากระไร
มาต่อเร็วๆนะครับ
-
อ๋าาาา ยิ่งหิวๆอยู่
ไปรื้อครัวบ้างดีกว่า อิอิ
-
.
ต๊าย อ่านแล้วอยากทานเฟร้นช์ฟรายส์(French fries)เป็นเครื่องแกล้ม
(ขอให้อ่านว่า....แก้-ลม)ค่ะ อิอิ
:really2:
๒๘๐ + ๑ = ๒๘๑
ขอบคุณนะคะ คุณ เซ็งเป็ด
ว้าย กิต.เพิ่งรู้สึกตนค่ะ ขอ‘ฟอก’นิดนึง
๑. จ้าวนายจากในวังจะมาเยี่ยม
คุณชั้นเตรียมแกงเนื้อไว้เพื่อเลี้ยงดูเพียง ๑ ชาม รึคะ
ตกแตกไป จึงได้โกลาหลกันเพียงนั้น
๒. คุณนายโอปอเอาปลาสลิดแลผักหญ้า อีกทั้งขนมเส้น
ไปทำอาหารสำรวม(fusion meal)หมดแล้ว
ยังมีอะไรเหลือให้เธอ‘สำแดง’ได้อีก อิอิ
.
-
หิวข้าวววว เลยทีเดียว
เจ้าบ้า หัดมองสิ่งที่อยู่ข้างตัวบ้างเถอะ
-
ตอนนี้ดึกๆกำลังหิวเลย
-
ถ้าน้ำหนักขึ้น จะโทษนิยายเรื่องนี้ ทำให้หิวตอนดึกๆ ทุกที 55
ทีนี้เจ้าบ้าก็จะได้โชว์ฝีมือให้คุณชั้นเห็นแล้ว o13
ว่าแต่ เมื่อไหร่เจ้าจักยอมรับรักหมอปีย์เสียที
อิชั้นคอยเชียร์อยู่นะเจ้าค่ะ :z3:
-
"นอกจากฟันเหยินแล้วยังดำปี๋อีก" เอิ่มม...เจ้าบ้าเอ๋ย คนเขาถึงเรียกเจ้าว่าเจ้าบ้าอย่างไรเล่า ใครเขาชมกันเช่นนั้นเล่าพ่อ!!!
555555 เจ้าบ้างอนนะ งอนนนน เอิ๊กๆ เขาชม(รึเปล่า)ว่าทำอาหารออกมานัวเนียนจนแยกไม่ออกว่าอาหารหมาอาหารคน ก็ทำเป็นน้อยใจจะกลับบ้านนะ ดูสิ หมอปีย์เลยต้องปลอบใจเลยเห็นมะ
หมอปีย์ก็นะ บอกให้รวบหัวรวบหางซะ!! ปล่อยเจ้าบ้าลอยนวลอยู่ได้ 5555555
-
กำลังดราม่าอยู่ดีๆ หมอปีย์มาจากไหน?!?!? o22 แต่คุณท่านช่างโผล่มาถูกเวลาดีจริงๆ มาให้กำลังใจในเวลาทุกข์ยากแบบนี้ เผื่ออัชย์จะหวั่นไหวบ้างอะไรบ้าง :impress2:
เห็นแต่ละเม้นแล้วพูดไม่ออกค่ะ อยากอ่านฉากอัศจรรย์เหมือนกัน อิอิอิ
-
อ๊ากกกกกกกกกกกก คุณชั้นให้หาทำไม อ๊ากกกกกก อยากรู้ พี่นณอย่าหายไปนาน มาเร็วๆ ไวๆๆ
-
อ่านตอนทำกับข้าวแล้วสมควรถูกเรียกเจ้าบ้าจริงๆ ฮามาก ว่าแต่วัตถุดิบหมดเรียบแล้วจะเอาอะไรไปทำอาหารเพิ่มเหรอ บ้านผู้ดีอย่างคุณชั้นปล่อยให้ข้าวสารหมดบ้านได้ไงนี่ ต้องลงหวายบ่าวเสียแล้ว
-
เอ๊ะนี่พ่ออัชย์ท่าจะไม่รู้ความ ว่าร้องรำทำเพลงในครัวเขาว่าจักได้ผัวคราวพ่อ (แต่หมอปีย์ก็วางตัวได้แก่คราวนั้นแหละ ฮิฮิ)
ฟังที่เขาเรียกขานกันว่า "เจ้าบ้า" ก็ดูจะสมควรอยู่ ดูพ่อทำเข้าสิ แต่หากไปถามไถ่หมอปีย์เกรงว่าจะได้สมญานามอีกชื่อสองชื่อ "เจ้าบอด" "เจ้าใบ้" เป็นอาทิ
-
เครียดแทน
-
หิวมว๊าก กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
-
:laugh: :laugh: :laugh: :laugh:
โว้ยยยยยยยยยยยยยยยย
ชอบ!!!!!
เจ้าบ้า VS ป้าแม้น <-------ฮามากกกกกกกก
o13 o13 o13 o13
ปล. กดไลค์ เอ๊ย! กดบวกเจ้าค่ะ :z2:
-
ไม่อยากบอกว่าอ่านไปกินมาม่าไป ทำไมมันไม่อิ่มซักทีเนี่ย 2 ซองแล้วนะ >//////<
-
ถ้าคุณชั้นถูกใจแล้วเรียกหาบ่อยๆ เจ้าบ้าจะเอาเวลาที่ไหนไปจู๋จี๋กับหมอหล่ะ
-
เออนะ
อยากกินขนมจีนปลาสลิดบ้างจังงง
ท่าจะอร่อยดี
อิอิ
-
ไม่น่ามาอ่านตอนนี้เลย หิวอะ ทำงัยดี
เจ้าบ้าจะได้โชว์ฝีมือแล้ว คราวนี้ อิอิ
-
ไม่ชอบขี้หน้ายัยคุนชั้นเลยยยย
-
อัชย์จะได้โชว์ฝีมือแล้ว :m4:
-
นอกจากเจ้าบ้าแล้วจริงๆน่าจะเรียก เจ้าบื้อ เจ้าทึ่ม เจ้าเซ่อ ด้วยนะ อิอิ
-
งานนี้เจ้าบ้าลงครัวเเล้ว เเต่จะให้ดีต้องให้หมอมาชิมว่าอร่อยเเค่ไหน
-
ไหมตอนนี้หมอปีย์มานิดเดียวเอง
อ่านไปก้อหิวไป o13
-
o18ในที่สุดคุณชั้นก็ให้พ่ออัชย์ได้แสดงฝีมือสักที
-
โอ้ พ่ออัชย์ ในที่สุดก็ชนะใจคุณชั้นได้แล้ว สู้สุดใจไปเลย ยิบปี๊
-
คุณชั้นประหลาดใจกับรสชาติอาหารที่ประหลาดของพ่ออัชย์เป็นแน่
คุณชั้นนี่ก็ชั่งกระไร คนอะไรประหลาดโลกไม่ลืมจริงๆ
-
ในที่สุด!!!!!
ดึใจด้วยที่คุณชั้นเริ่มยอมรับ
-
กำลังสนุกเลย
ชอบจังคำนี้
"คุณชั้นให้หา"
คำนี้ไม่ได้ยินนานแล้ว
-
โอ้ววว เค้าเรียกเเล้วว :a2:
-
ถึงจะมีหมอปีย์แค่นิดเดียว แต่ก็หวานจนมดกัน
เอาแล้ว พ่ออัชย์จะได้เกิดก็งานนี้แหละ
-
:monkeysad: ปลื้มแทนอ่า
-
หิวอย่างแรง :z3:
-
คุณชั้นนี่พูดอะไรไม่ถนอมน้ำใจกันเลย เเย่จริงๆ สุดท้ายก็ต้องมากง้อนายเอกของเราจนได้
รีบมาต่อนะคะ สนุกมากค่ะ
-
สงสัยพ่ออัชย์จะได้แสดงฝีมืออาหารยุคปัจจุบันอวดรึเปล่า
-
ทำไมของหมดบ้าน ไม่มีสำรองเลยเหรอ
-
คุณหมอปีย์แอบหยอดคำหวานนิดๆนะนี่
คราวนี้ได้แสดงฝีมือ ทำเต็มที่เลยนะ พ่ออัชย์
-
อ่านฉากนี้แล้วท้องร้องเลยอ่ะ
-
ในที่สุดเจ้าอัชย์ก็ทำสำเร็จซะที เย้ๆๆๆ :mc4:
หมอปีย์ก็ขยันหยอดจั๊งงงงงงงงง เมื่อไหร่จะใจอ่อนซะทีน้าาาาาาาาาาา อิอิ
-
ลังเข้มข้นเลย
อ่านแล้วสะท้อนใจ เฮ้อ เป็นคนไทยที่ลืมความเป็นไทย
แล้วเราจะเหลือความเป็นไทยให้ภูมิใจได้ยังไงนะ
ปล.เหนื่อยใจกับปอมากๆ ทำเหมือนจะรู้ใจหมอปีย์ แต่ก็เหมือนจะไม่รู้ในเวลาเดียวกัน นี่ปอ โง่จริงๆหรือว่าแกล้งโง่เนี่ย
ปล. คิดถึงแดง
ปล2. +1 จ๊า
-
รู้แต่ทำเป็นไม่รุ้นะเนี้ย
-
เจ๋งไปเลย ขนมจีนปลาสลิด อยากกินบ้างอ่ะ
-
:m28:
มันเป็นไงหว่า...ขนมจีนปลาสลิด ??? :m23:
-
(http://image.ohozaa.com/i/602/73215730_e451f9668f.jpg)
หลังจากงานวันนั้นผ่านพ้นไป ผมก็ได้แสดงฝีมือให้คุณชั้นเห็นแล้วว่าผมสามารถทำได้ ด้วยการมีส่วนประกอบอาหาร และเวลาที่จำกัด ผมทำให้แขกของคุณชั้นประทับใจ และชมเปาะว่าคุณชั้นมีผู้ช่วยที่มีฝีมือน่าทึ่ง ตัวคุณชั้นเองก็ถึงกับอมยิ้มเมื่อได้รับคำชม
สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนกำลังใจให้ผมทนอยู่ที่นี่ต่อไป พร้อมๆกับความสัมพันธ์ที่เริ่มดีขึ้นระหว่างผมกับคุณชั้น
“วันนี้มิไปเรือนคุณชั้นเหรอ พ่ออัชย์” หมอปีย์ทัก
“ไม่อ่ะ วันนี้ชั้นว่าจะเอาของเล่นไปฝากเจ้าแดงมันเสียหน่อยน่ะ ซื้อมาหลายวันแล้ว” ผมเดินเข้าไปในห้องของหมอปีย์
“เจ้าพอมีเวลาสักครู่หรือไม่” เขาหันมาถามขณะที่ผมนั่งลงบนเตียง
“มีสิ มีอะไรเหรอ”
“ช่วยเราแปลข้อความทางการแพทย์บทนี้หน่อย เราพยายามแปลหลายต่อหลายหน ก็ไม่ได้สักที”
เขาเดินมานั่งใกล้ๆพร้อมกับหนังสือ
“ไม่ต้องใกล้ขนาดนี้ก็ได้” ผมขยับออกมาเมื่อเห็นว่าหมอนั่นนั่งเสียชิด
“ไม่ได้ดอก เราหูมิใคร่ดี” เขาขยับตามมาอีก
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวชั้นตะโกนให้” ผมยิ้มแหยๆ ไม่รู้ว่าหมอนั่นจะมาไม้ไหน หนาวๆแบบนี้เกิดมันอารมณ์เปลี่ยวขึ้นมาแย่เลยกู
“เจ้ากลัวเราหรือ”
“เออสิ” ผมตอบตรงๆก่อนจะขยับหนี “ดูตาสิ หื่นซะขนาดนั้น”
“เรามิทำอันใดเจ้าดอก เจ้าบ้า เราแค่อยากจะ..............อยู่ใกล้ๆเจ้า”
โห พูดซะผมใจอ่อนเลย
“อยู่ใกล้ๆชั้นเนี๊ยะนะ บ้ารึป่าว” ผมหน้าแดง จู่ๆมีผู้ชายมาบอกว่าอยากอยู่ใกล้ “ก็นี่ไงใกล้กันจนจะขี่กันได้อยู่แล้ว”
“มันยังใกล้ไม่พอสำหรับเรานี่ ใจจริงเราอยากจะทำมากกว่านี้เสียด้วยซ้ำ ให้สมกับที่เรารอคอย”
“อี๋ ไม่สบาย กินยาผิดป่ะเนี๊ยะ ไหนดูดิ” ผมลืมตัวเอามือแตะหน้าผากเขา หมอปีย์นั่งนิ่งก่อนจะค่อยๆยิ้มออกมา เอามือของเขาจับมือผม
“เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าเราคิดเยี่ยงไรกับเจ้า” เขาส่งสายตาหวานซึ้งจนผมแทบละลาย
“งึ” ผมรู้ แต่แกล้งส่ายหน้าใสซื่อไปอย่างนั้นแหละ
“เจ้าไม่รู้จริงๆหรือ”
“ใครจะไปรู้หล่ะ ชั้นไม่ได้มีเวทมนต์อ่านใจคนได้เสียหน่อย”
“แต่ถ้าเราให้พรเจ้าได้หนึ่งข้อ เราจักให้พรเจ้า รู้ใจตัวเอง มากกว่าอ่านใจคนอื่น”
ผมนิ่งไปครู่ใหญ่ ในขณะที่ในห้องนั้นมีแต่เราสองคน เสียงให้ใจของเรานั้นถูกกลบเกลื่อนด้วยเสียงลมพัดใบไม้ไหว แต่ใบไม้ที่ไหวอยู่ข้างนอกนั้น ไม่อาจเทียบได้กับใบไม้ที่ไหวอยู่ในใจ..................ผม
“หากเจ้ามิรู้ว่าเราคิดเยี่ยงไรกับเจ้าจริงๆ เราจักบอกเจ้า”
แล้วใบไม้ที่ไหวอย่างรุนแรงนั้นก็หยุดนิ่งราวกับพายุเมื่อครู่สงบลงไปแล้ว เมื่อไม่มีลมพัด บรรยากาศภายในห้องนั้นก็อึดอัดขึ้นทันที ผมกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผากอย่างยากลำบาก
ไม่ ผมยังไม่พร้อมจะรับฟังอะไรตอนนี้
“หากนายคิดว่านายพร้อมจะรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากคำพูดคำนั้นของนายได้ ก็ตามใจ” ผมก้มหน้านิ่ง แววตาเต้นระริก
“เราไม่คิดแล้ว พ่ออัชย์ เราไม่คิดอันใดอีกแล้ว เราคิดมามากพอแล้ว มากเสียจนวันหนึ่งเราเกิดกลัว กลัวว่าหากเรามัวแต่คิด วันนั้นเราจักเสียเจ้าไปอีก”
เขาหายใจถี่ขึ้น แต่ไม่ถี่เท่ากับที่ผมเป็นอยู่ เหงื่อเริ่มไหลปร่าไปตามแผ่นหลัง มือจิกที่ขาตัวเองอย่างแรงแต่กลับไม่เจ็บปวด
พายุในใจที่สงบไปเมื่อครู่นั้น คล้ายๆกับว่าเป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่า พายุใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น
“เอ่อ นายแน่ใจแล้วเหรอ” ผมลังเลที่จะฟังทั้งๆที่ไม่ใช่คนที่ต้องพูด แต่กลับกลายเป็นคนที่ตื่นเต้นเสียเอง
เขาพยักหน้าแววตาแน่วแน่
“ได้ อยากพูดอะไรก็พูด ชั้นจะตั้งใจฟัง” ผมกัดฟันพูด หันไปมองหน้าหมอนั้นอย่างเอาจริงเอาจัง
“ได้พ่ออัชย์ ตั้งใจฟังเราให้ดีนะ”
ผมพยักหน้าอีกครั้ง มุ่งมั่นว่าอย่างไรเสีย วันนี้ก็จะฟังคำๆนั้นของหมอปีย์ให้ได้
“ครั้งแรกที่เราเจอเจ้า........................”
ใจผมเริ่มสั่นโครมคราม
“เจ้าเหมือนเดินออกมาจากความฝัน..........................”
เหงื่อเริ่มซึมหน้าผาก
“เรารู้ทันทีว่าเวลาแห่งการรอคอยได้สิ้นสุดลงแล้ว.............................”
มือทั้งสองข้างกำแน่นโดยไม่รู้ตัว
“ถึงแม้เจ้าจะมิได้เป็นอย่างเราวาดไว้ในมโนภาพก็ตาม”
ตัวผมเริ่มกระสับกระส่ายไปมา
“วันนี้เราพร้อมแล้ว เรารู้แล้วว่าสิ่งที่เราต้องการคืออะไร เราไม่สนใจอีกต่อไปแล้วว่าเจ้าจักรู้สึกอย่างไร หรือใครจักรู้สึกอย่างไร “
...................
“เรามิคาดหวังความสมหวัง”
“เรามิคาดหวังความสุขในบั้นปลาย”
“เรามิคาดหวังให้ใครมาอยู่ข้างกาย”
“แต่สิ่งที่เราคาดหวังคือ เราอยากให้เจ้าได้รับรู้ จากปากของเรา...............จริงๆ”
.....................
“พ่ออัชย์” เขาจ้องมองผมไม่กระพริบ
“หา หึ อะไร” ตื่นเต้นๆ จนบอกไม่ถูก
“เรา....................................”
หัวใจเต้นตุบๆ
“เราอยากบอกเจ้าว่า....................”
ตึกๆ ตึกๆ
“เรา...............................”
ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้ว ผมหายใจไม่ออก ผมจะเป็นลม
“เรา......รั.................................”
“เฮ้ยหมอ!!!” ผมลุกพรวด “ชั้นลืมไป ว่า ชั้นเอ่อ ชั้นต้องไปหาไอ้แดงมันน่ะ” ผมหันซ้ายหันขวาทำหน้าเลิ่กลั่ก
“ชั้นไปก่อนนะหมอนะ ค่อยคุยกัน” แล้วผมก็พรวดพราดวิ่งออกจากห้องหมอนั่นไปอย่างรวดเร็ว
“ไอ้หมอป้า ไอ้หมอ ไอ้หมอ....” ผมพยายามสรรหาคำในโลกมาด่ามันในขณะที่กำลังเดินไปเรือนหลังสวน แต่ก็ด่ามันไม่ได้ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน คนบ้าอะไรวะ มาสารภาพรักกับผู้ชาย รู้ทั้งรู้ว่าเราเป็นผู้ชายยังจะมาจีบ
“เอ๊ หรือมันเห็นนมที่หน้าอกกู” ผมรีบจับหน้าอกตัวเอง
“ไอ้บ้าเอ้ย” เมื่อนึกถึงใบหน้าและแววตาตอนที่มันจะพูดตอนนั้น ผมก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
“น่ารักเหมือนกันน่ะมึงน่ะ ไอ้หมอปีย์” ผมยิ้ม
เรือนหลังสวนตอนนี้รกคลึ้มไปด้วยเถาวัลย์ต้นเล็บมือนางที่ไต่เลื้อยพันเกือบรอบเรือน อีกทั้งต้นตำลึงที่โตใบเข้มเข้มที่กำลังเลื้อยลอดราวกับจะพยายามชูต้นตรง ลูกตำลึงสีแดงสดนั้นดึงดูดเหล่านกกินผลไม้ให้เข้ามาจิกกิน
สนนั้นดูเหมือนจะยุ่งมากถึงไม่มีเวลาตัดต้นไม้เลย
แต่ถ้าไม่มีสน เรือนหลังนี้ก็คงไม่มีใครดูแล คนที่อยู่ในเรือนนี้ก็คงจะต้องกลายเป็นคนเร่ร่อนเป็นที่รังเกียจอุจาดตาของคนทั่วไป
ต้องขอบคุณสน ที่เสียสละเพื่อคนอื่นถึงขนาดนี้
ลำไม้ไผ่ลำเดิมถูกวางพาดไปยังอีกฝั่ง ผมเดินทอดน่องข้ามไปอย่างชำนาญ ในมือถือของเล่นที่ซื้อมาจากงานภูเขาทอง ซื้อมาตั้งนานไม่มีเวลาจะเอามาให้ไอ้แดงมัน ป่านนี้มันคงชะเง้อคอมองหาผมจนคอแทบหักเสียแล้วละมั้ง
หลายวันมานี้สนเองก็หายไปเลยไม่มาให้ผมเห็นหน้า หลังจากวันที่ไปเมาแอ๋มาด้วยกัน โดนหมอนั่นเฆี่ยนไม่รู้เป็นอย่างไรบ้าง
ผมเดินผ่านเรือนหลังนั้นไป เพราะคิดว่าแดงคงไม่อยู่ที่เรือนหรอก อาจวิ่งเล่นอยู่แถวๆกอไผ่อย่างเคย
นึกถึงแววตาของเด็กคนนี้แล้วทำให้ผมอิ่มใจไม่น้อย มีกำลังใจสู้ต่อทุกครั้งที่นึกถึงแดง เด็กตัวเล็กแค่นี้ แต่ต้องไม่มีพ่อมีแม่ คอยโอ๋เวลาร้องไห้ จะกินข้าวกินน้ำก็ต้องป้อนเอง อาบน้ำเอง โหยหาอ้อมกอดจากพ่อแม่ก็ไม่มี ได้แต่นั่งกอดเข่าจับเจ่าอยู่เดียวดาย ไม่มีแม้แต่เพื่อนจะเล่นด้วย โลกทั้งใบของแดงก็อยู่เพียงแค่เกาะกลางแม่น้ำและกอไผ่แห่งนี้เพียงเท่านั้น
แววตาที่แดงเหม่อมองออกไปนั้นมันไม่มีความหมายใดๆหรอก ผมรู้ว่ามันไม่มีอะไร เด็กขนาดนั้นจะไปรู้สึกอะไรได้ คงไม่เคยคิดถึงอนาคต ไม่เคยคิดว่าจะทำมาหากินยังไง คงไม่รู้จะคิดอะไร
นอกจากคำว่าเหงา ผมเองนั้นมักจะเรียกร้องอะไรที่มากเกินไป มากเกินความจำเป็นทั้งๆที่มีทุกอย่างไม่เคยขาด ตั้งแต่เด็กจนโต ผมไม่เคยไม่ได้อะไร แล้วดูเด็กคนนี้สิ เขาไม่มีอะไรเลยตั้งแต่เด็ก และยังไม่เคยคิดที่จะเรียกร้องอะไรด้วย
ผมนับถือหัวใจดวงน้อยๆของเด็กคนที่ชื่อ เจ้าแดงนี้เสียจริงๆ
“แดง”
“ไอ้แดง”
“แดง” ผมตะโกนเรียกแดงทั่วบริเวณ
แต่ไม่มีเสียงตอบกลับใดๆนอกจากเสียงลมพัดใบไผ่หวิวๆ
“แดง” ผมเดินอ้อมมาอีกฝั่งของกอไผ่ เผื่อว่าเจ้าแดงจะแอบหลับอยู่ แต่ก็ไม่พบ มีเพียงหลุมดินที่แดงขุดเป็นหลุมขนมครก บางหลุมยังมีดินที่ละลายน้ำทำเป็นแป้งอัดอยูเต็ม ข้างๆหลุมนั้นมีขนมครกจำลองถูกแคะวางอยู่เต็มไปหมด
“ไปไหนของมันนะ” ผมสงสัย ปกติแดงไม่เคยไปไหนไกลจากที่นี่
“หรือว่า.................จะไปเล่นอยู่ที่แปลงสมุนไพร” ผมหันหลังกลับเดินไปอีกฟากของเรือน ที่ที่สนขุดดินยกร่องปลูกพืชผักสมุนไพร
“แดง แดง” ปากก็ยังร้องตะโกนเรียกชื่อแดง
“แดง” แต่ไม่มีแม้วี่แววของแดงที่แปลงสมุนไพรแห่งนี้
“ลุงๆ เห็นเจ้าแดงมันมั๊ย” ผมเดินไปถามลุงแก่คนนึงที่นั่งมวนกลีบบัวแห้งเป็นมวนบุหรี่ก่อนจะจุดไฟสูบ
แกไม่ตอบอะไร เพียงแต่เบ้หน้าไปในเรือน
“อยู่ในเรือนเหรอลุง” แกพยักหน้า ผมจึงเดินกลับไปยังเรือน
ทุกครั้งที่มาเรือนหลังสวน สิ่งเดียวที่ผมไม่อยากทำมากที่สุดสำหรับที่นี่คือการ “เปิดประตู”
ทุกทีที่เปิดประตูเรือน ผมก็แทบจะหงายหลังล้มตึงไปเสียทุกครั้งด้วยกลิ่นที่ตลบอบอวลอยู่ในนั้น ทั้งกลิ่นยา กลิ่นเลือดกลิ่นหนอง กลิ่นข้าวที่บูดเน่า กลิ่นผ้าเหม็นอับ กลิ่นเสื่อเก่าเก็บ และอีกหลายๆกลิ่น
ครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมต้องเบือนหน้าหนีที่ประตูเปิดออก ก่อนจะสูดหายใจเอาอากาศข้างนอกอีกครั้งและกลั้นหายใจเดินเข้าไปในเรือน
ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม คนป่วยนอนเรียงรายร้องครวญคราง
“อ้าวสน” ผมร้องทักเมื่อเห็นสนยืนบิดผ้าอยู่ที่หน้าต่าง แผ่นหลังของเขานั้นมีรอยเส้นเป็นทางยาวพาดผ่านหลายเส้น เขาหันมามองผมสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ชั้นมาหาไอ้แดงมันน่ะ เอาของเล่นมาฝากซื้อมาหลายวันแล้วไม่ได้ให้สักกะที” ผมยิ้ม แต่สนไม่มีสีหน้าใดๆตอบกลับเลย
“เป็นอะไรรึป่าว”ผมถามเมื่อเริ่มผิดสังเกตุ
“เจ้าแดงอาการไม่ค่อยดี” เขาตอบเพียงเท่านี้ มือไม้ผมก็อ่อนทันที แววตา สีหน้าและคำพูดของสนนั้นทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ
“แดงอยู่ไหน” ผมถามอย่างร้อนใจ
“ตามข้ามาสิ”
สนถืออ่างน้ำพาผมเดินลัดเลาะแคร่ที่มีผู้ป่วยนอนเรียงรายอยู่ ผมไม่มองสิ่งใดเลยนอกจากทางข้างหน้า และสอดสายตามองหาแดงอย่างร้อนรน
“แดง” ผมร้องเรียกชื่อแดง เมื่อเห็นร่างเล็กๆนั้นนอนหายใจหนักหน่วงอยู่บนแคร่ริมหน้าต่าง
“มันเพิ่งหลับไปเมื่อประเดี๋ยวนี้เอง ไข้ขึ้นสูง ชักหลายครา ท้องเดิน แลปวดตามข้อจนร้องไห้จ้า”
แค่ผมฟังสนเล่าอาการของแดงให้ฟัง หัวใจผมก็แทบสลาย ไม่อยากได้ยินแม้แต่คำว่า แดงไม่สบาย
“แล้วแดงจะเป็นยังไงมั่ง สน” ผมนั่งลงใกล้ๆร่างของแดงที่หลับตา คราบน้ำตายังเปื้อนแก้มทั้งสองข้าง รอยเลือดยังเกรอะกรังอยู่ที่รูจมูกทั้งสองข้าง ตอนนี้หัวใจผมลีบเล็กเหลือเท่าเม็ดถั่วเขียว
“ข้าก็จนปัญญา แล้วเจ้าบ้าเอ๋ย เยียวยาไปตามอาการ จะประทังอยู่ได้กี่เพลายังมิรู้เลย” สีหน้าของเขาสลด
“ไอ้แดง เอ็งต้องไม่เป็นอะไรนะเว้ย” ผมกุมมือเล็กๆที่ลีบกุดของเด็กนั่นแน่น “พี่เอาของเล่นมาฝากนี่ไง เห็นมั๊ย ของเล่น” ผมชูของเล่นขึ้นมาแกว่งไปมาด้วยสติที่กระเจิดกระเจิง
“ตื่นขึ้นมาเล่นของเล่นด้วยกันนะเว้ย ไอ้แดง พี่ยังไม่ได้ซื้อช้างให้เอ็งเลย รอช้างพี่ก่อนสิ” น้ำเสียงเริ่มสั่นเครือ ผมรู้สึกไม่ดีเลยจริงๆ ให้ตายเหอะ มันกระอักกระอ่วนไปหมด จะร้องไห้น้ำตาก็ไม่ไหล จะพูดเสียงก็สั่นเครือ จะยิ้มก็ฝืนยิ้มไม่ได้
เวลาผ่านไปนาน แดงยังคงนอนหลับด้วยฤทธิ์ยาและความเจ็บปวด ผมเองนั้นอาสานั่งดูแดงแทนสนที่ต้องไปดูแลคนไข้คนอื่น ในใจภาวนาขอให้มันไม่เป็นอะไร ผมนึกถึงไปขนาดที่ว่า จะพาไอ้แดงกลับมารักษาที่กรุงเทพฯ ด้วยการพามันกระโดดน้ำ แต่เมื่อคิดถึงว่าถ้ามันไม่เป็นไปตามที่ผมคิดหล่ะ ผมไม่ฆ่าแดงมันด้วยความคิดบ้าๆแบบนี้เหรอ
“ช้าง” เสียงแหบพร่าดังขึ้นเบาๆจากปากที่อ้าไม่ได้มากของแดง แดงลืมตาขึ้นและเห็นผมนั่งอยู่ข้างๆ แววตาของเขาดีใจที่ผมมาหาเสียที เขาไม่เรียกชื่อผม แต่กลับเรียกผมว่า “ช้าง”
“เฮ้ย แดง แดงตื่นแล้วเหรอ” ผมร้องขึ้นมาด้วยความดีใจ
“ช้าง” มันพร่ำแต่เรียกชื่อผม
“เดี๋ยวพี่เอามาให้ใหม่นะ ตอนนี้เอานี่ไปก่อนนะ” ผมยื่นลูกข่างสีสดที่ซื้อมาจากงานภูเขาทองให้แดง
“เอาไว้หายแล้วไปเล่นด้วยกันนะ” เด็กนั่นรับลูกข่างไปก่อนที่จะฝืนยิ้มให้ผม……………………
ยังอุตส่าห์ฝืนยิ้มให้ผม
“หิวมั๊ยแดง”
มันไม่พูด
“เจ็บตรงไหนรึป่าว”
“ตรงนี้เจ็บมั๊ย” ผมจับมือเขา
“ตรงนี้หล่ะ”จับขาทั้งสองเขา
“หรือเจ็บตรงนี้” จับหน้า
แต่เขาไม่ตอบ
“หนาวมั๊ย”
“ห่มผ้ามั๊ย”
คำถามเหล่านี้ไม่มีคำตอบหลุดมาจากปากแดงเลย
“งั้นดื่มน้ำหน่อยนะ แดง” ผมหันไปหยิบขันน้ำ ก่อนจะประคองร่างเล็กๆนั้นให้ลุกขึ้น
แดงดื่มน้ำไปหลายอึกด้วยความกระหาย ผมมองดูเด็กนั่นด้วยความสงสาร บาปกรรมอันใดหนอถึงทำให้เด็กคนนี้ต้องประสบเคราะห์กรรมที่หนักหนาอย่างนี้
“เออะ เออะ” แดงไอออกมา ผมรีบเอามือลูบหลัง
“เออะ เอะ เออะ”แต่มันก็ยังไม่หยุดไอ
แดงไอติดต่อกันและหนักขึ้นหนักขึ้น เขาไอจนตัวงอ พลางเอามือกุมท้อง
“เฮ้ยแดง เป็นอะไร แดง” ผมตื่นตกใจ รีบลูบหลังให้เขา ปากก็ตะโกนหาสน
“เออะ เออะ” ยิ่งหนักขึ้นหนักขึ้น จนผมสีหน้าไม่ดี แดงงงอตัวเป็นหุ้งเขาดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวดทรมาน
ผมมัวแต่หันไปมองหาสน โดยไม่ทันได้สังเกตุแดง พอหันมาอีกที
“เลือด เลือดดดดดดดดด” แดงไอเป็นเลือดออกมา
“สน สน สน” ผมตะโกนเรียกชื่อสน สติผมขาดผึงทันทีที่เห็นเลือดจากปากและจมูกของแดง
“สน เลือด แดงเลือดออก สน” สนวิ่งเข้ามาในขณะที่ผมโอบร่างที่ไอจนตัวสั่นของเด็กนั่นไว้
“ถอยไปก่อนเจ้าบ้า เลือดแดงจักทำให้เจ้าติดโรค” สนแทรกเข้ามาที่ร่างของแดง ที่ตอนนี้เขาเริ่มร้องไห้ ด้วยความเจ็บปวดและกลัว ตอนนั้นผมไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าแดงมันจะเป็นโรคติดต่อร้ายแรงแค่ไหนผมก็ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว เด็กคนนั้นยังทนได้ ทำไมผมจะทนไม่ได้ ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากจะรับเอาความเจ็บปวดทรมานของเด็กนั่นมาที่ผมเสียด้วยซ้ำ
“สนเจ็บ ช้างเจ็บ” แดงพร่ำร้องออกมาแต่คำนี้ เขาคงหวาดกลัวและเจ็บปวดมาก ถึงร้องหาใครสักคนออกมา ทั้งๆที่เมื่อก่อนแดงไม่เคยร่ำร้องหาใครเลย
เขาคงกลัว.......................
มากกว่าที่ผมกลัวเป็นร้อยเท่า
“สนเจ็บ” เสียงเล็กๆที่โหยหวนของแดงแผดเข้าไปในสมอง กรีดหัวใจผมจนแทบจะขาดออกเป็นชิ้นๆ
“สนช่วยแดงด้วยสิวะ สน” ผมตะโกนเร่งเร้าให้เขาทำอะไรสักอย่าง
สนพยายามอย่างหนักที่จะช่วยแดง แต่เหมือนจะสุดความสามารถเขาเหมือนกัน
“เจ้าบ้า เฝ้าแดงไว้นะ เราจักไปตามคุณหลวง” แล้วเขาก็วิ่งออกไปจากเรือนอย่างรวดเร็วทิ้งผมให้อยู่เฝ้าแดงโดยลำพัง
“สนเจ็บ โอ้ย สนเจ็บ”
“แดง พี่อยู่นี่แดง ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวหมอปีย์มาแล้ว เดี๋ยวแดงก็หายไปวิ่งเล่นเหมือนเดิมแล้วนะเว้ย หมอปีย์มาแดงก็หายแล้ว นะแดง อดทนไว้นะ” น้ำตาผมเริ่มไหลตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
แดงไอออกมาเป็นเลือดอีกครั้ง คราวนี้มันเยอะมากกว่าครั้งก่อน เยอะจนหน้าอกของเขาแดงฉานไปด้วยเลือด เขาไออย่างแรงอีกครั้งก่อนที่จะค่อยๆหายใจยาวๆ แล้วก็หยุดไอในที่สุด
“ไม่เป็นไรแล้วนะ” ไมรู้ใครกำมือใครแน่นกันแน่ ตอนนี้ผมไม่สนแล้วว่าผมจะติดโรคจากแดงหรือไม่ สิ่งเดียวที่ผมสนใจคือ ผมจะไม่ให้แดงเป็นอะไรไปเด็ดขาด
“หายแน่นะ ช้าง” แดงถามเสียงแผ่วเบา
“หายสิ หายแน่ๆ” ผมฝืนยิ้มทั้งน้ำตา “หายแล้วพี่สัญญาจะพาแดงไปขี่ช้าง แต่แดงต้องหายนะ”
“หายๆ จะขี่ช้าง” เขาเผยรอยยิ้มออกมาที่มุมปาก ผมเดาเอาว่าความเจ็บปวดคงทุเลาไปแล้ว เมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น ผมก็เริ่มเบาใจขึ้น
“จะเจ็บอีกมั๊ย กลัว” แดงถาม
“ไม่เจ็บแล้ว ไม่เจ็บแล้ว เดี๋ยวหมอมาก็หาย” ผมยังคงปลอบเขา น้ำตายังคงนองหน้า แต่พยายามปาดน้ำตาและฝืนยิ้มให้แดงมีกำลังใจสู้
“ไม่ไอแล้ว เจ็บ จะขี่ช้าง” เขาพูดวนไปวนมาจนผมเผลอหัวเราะในความเดียงสา
“แดงเจ็บตรงไหนอีกมั๊ย” ผมถามเมื่อเห็นว่าเขาสามารถพูดได้มากขึ้น การไอครั้งนั้นคงจะช่วยขับพิษออกจากร่างเขาไปทำให้เขาค่อยๆทุเลา ผมเดาเอา
“เจ็บ เจ็บตรงนี้” เขาชี้ไปที่ท้อง ชี้ไปที่แขน ชี้ไปที่หัวและที่หน้าอกข้างซ้าย
“เดี๋ยวก็หายแล้วนะ” ผมยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน มือข้างหนึ่งวางบนอกข้างซ้ายของแดง
“จะหาย จะหาย จะขี่ช้าง” เขาพูด ผมรู้สึกโล่งใจแดงอาการเริ่มดีขึ้น
แววตาของแดงกลอกไปมาราวกับว่าเขากำลังมองหาอะไรบางอย่างบนเพดาน แววตาคู่นั่นดูโรยแรงและอ่อนล้า แต่แฝงไปด้วยพลังแห่งความหวัง
ผมนั่งมองเขาอยู่นิ่งๆ
แต่แล้ว!!!!
จู่ๆแดงก็หายใจอย่างแรงออกมา ก่อนที่เขาจะแอ่นหน้าอกขึ้น ดวงตาคู่เดิมเหลือกเห็นแต่ตาขาว
ก่อนที่เขาจะโยนตัวไออกมาอีกครั้งอย่างแรง
“อ๊ากกกกกกกกกกก”
“แม่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
แดงตะโกนเรียกคำว่าแม่ออกมาทั้งๆที่ตลอดมาเขาไม่เคยพูดชื่อนี้ให้ผมได้ยินเลย เขาสูดหายใจรัวๆจนร่างเล็กๆนั้นแอ่นขึ้น ตาของเขาเหลือก ปากอ้ากว้าง มือทั้งสองจิกกำมือผมแน่น
.
.
.
.
.
.
.
.
และแล้วแดงก็ปล่อยลมหายใจเฮือกสุดท้ายออกมา ปล่อยให้ร่างที่แบกความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสนั้น ทรุดร่วงลงมา
“แดง” ผมกระซิบเรียกชื่อเขา
“แดง” ยกมือของเด็กน้อยคนนั้นขึ้นมา แล้วปล่อยลงมา มือนั้นหงายแผ่ไม่มีอาการตอบสนองใดๆอีกเลย
“แดง” ผมหายใจอย่างเร็วและแรง
“แดง”ปากก็พร่ามชื่อของเขา ขาทั้งสองข้างยันร่างและถอยออกมาจากร่างไร้วิญญาณนั้น โลกทั้งโลกหยุดหมุน ใบไม้หยุดไหว สายลมหยุดพัด ผู้คนรอบๆข้างหายไป เรือนก็หายไป เตียงก็หายไป รอบข้างไม่มีใคร
มีเพียงสีขาว ผม และร่างของแดง
ขาทั้งสองข้างพาร่างอันไร้วิญญาณของผมเดินออกมาจากเรือน วิญญาณของผมหลุดลอยไปพร้อมกับลมหายใจเฮือกนั้นของแดง ผมอ้าปากค้าง ตาเบิกโพรง น้ำตาไหลออกมาเหมือนไม่มีวันหยุด
“เจ้าบ้า” เสียงใครคนหนึ่งเรียกชื่อผม แต่ผมไม่เห็นเขา ผมเห็นแค่สีขาว
“เจ้าแดงเป็นเยี่ยงไรเล่าเจ้าบ้า” มือของเจ้าของเสียงนั้นเขย่าที่ร่างผม แต่ผมไม่รู้สึกอะไรเลย เพียงแค่ได้ยินเสียงฝีเท้าตึกๆวิ่งเข้าไปในเรือน
ขาทั้งสองข้างยังคงพาร่างอันไร้วิญญาณของผมเดินต่อไป ต่อไป ต่อไป
“พ่ออัชย์” พลันผมได้ยินเสียงของใครอีกคน ใครอีกคนที่ผมคุ้นเคย
“พ่ออัชย์” และผมก็รับรู้ได้ถึงสัมผัสที่เหมือนดึงวิญญาณผมกลับมา ใครคนนั้นกำลังแตะบ่าผม
“พ่ออัชย์” สีขาวที่อยู่รอบๆตัวผมจางหายไป ใบหน้าของชายแปลกหน้าคนนั้นเริ่มชัดเจน
“หมอ” ผมเรียกชื่อเขา เหมือนกับเรียกสติตัวเองที่ขาดผึงกลับมา
“หมอ” ชื่อหมอถูกเรียกอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือง ครั้งนี้น้ำตาผมไหลออกมาเป็นทาง
“เจ้าแดงตายแล้วหมอ เจ้าแดง” ผมทิ้งหัวที่หนักอึ้งของผมลงบนบ่าของเขา มือทั้งสองข้างไร้เรี่ยวแรงที่จะยกขึ้นมาโอบกอดเขา ผมทำได้แค่ซบหน้าลงบนบ่าแล้วปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมา
“แดงตายแล้วหมอ...............................”
-
TT หนูแดงตายแล้ว
อัชย์ก็คิดซะว่าน้องไปสยามละกันนะ
พี่หมอปลอบด่วนนนนนนนนน
-
:m15:
แบบนี้เจ้าบ้าจะได้ไม่มีห่วง
-
เสียน้ำตาทุกครั้งที่พูดถึงแดง :m15:
-
สงสารแดงจัง สงสารอัชย์ด้วยเพราะรู้สึกผูกพันกับแดงไม่น้อย
มีเรื่องน่ายินดีในตอนต้นแต่ตอนท้ายเศร้า
-
ฮึกๆ แดงน้อยตายแล้ว ทำไมไม่อยู่รอขี่ช้างก่อนหล่ะ
พ่ออัชย์จะพาไปขี่ช้างไง :monkeysad:
ครึ่งตอนแรกก็นะ อ่านแล้วเขิน
ทำไมไม่ฟังให้จบ(ว่ะ)ไอบ้า
ให้หมอพูดแต่พอพูดจริงๆแล้วไม่ยอมฟัง
-
แงๆๆๆๆ จะร้องไห้ น่าสงสารเจ้าแดงยิ่งนัก
คงหมดเวรหมดกรรมเสียแล้วแหละ
อ่านตอนแรกยังหวานๆมาท้ายตอนดันเศร้า
ตอนหน้าขอหมอปรีย์ช่วยปลอบพ่ออัชด้วยนะจ๊ะ
รอตอนต่อไปค่ะ :sad11:
-
เศร้าเจ้าแดง
สงสารหมอปีย์ จัง
-
เห้อ ชีวิตก็ต้องมีเกิดมีตาย
แต่อ่านแล้วหดหู่มากเลยค่ะ
สงสารแดง
สงสารอัชย์
สงสารหมอปีย์ด้วย
เรื่องนี้เริ่มจะเศร้าแล้วนะนี่
ขอบคุณคุณเซ็งเป็ดนะคะ
-
:m15:สงสารแดงคงทรมานมากเลย
-
:o12: :monkeysad: สงสารแดงอ่า
-
ไม่ไหว น้ำตาจะไหลตามอัชย์อยู่แล้ว :sad4:
สะเทือนใจที่สุดเลยตอนนี้ ซิก...
หมอปีย์ปลอบด่วนเลยนะคะ
ส่วนคนโพส...
ขอตัวไปเช็ดน้ำตาก่อน (ขณะนี้มันเลอะเต็มหน้าไปหมดแล้ว)
-
เอาน่าอัชย์ ยังไม่กล้าฟัง แต่ก็เหมือนรับรักเขาไปเต็มๆแล้วนี่นะ... :-[
แต่ตอนท้าย....เฮ้อ!
:sad4: สงสารเจ้าแดง อย่างน้อยก็พ้นความทรมานไปแล้วหมดเวรหมดกรรมซะที
เหลือแต่คนข้างหลัง ที่เสียใจ
-
ฮือๆๆ หนูแดง
ไปซะแล้ว
หมอช่วยปลอบเจ้าบ้าด้วยนะ
-
แง T________________T เศร้าง่่า.. สงสารแดง แต่ก็ถือว่าไปสบายแล้วเนอะ
พ่ออัชย์นี่ไม่ไหวนะ หมออุตส่าห์จะบอกรักแล้ว ไม่ยอมฟัง... แน้... กลัวใจตัวเองล่ะซิ
-
แดง :m15:
เจ้าบ้า เมื่อไหร่จะยอมรับซะทีนะ :z3:
-
หวังว่าการตายของแดง ทำให้พ่ออัชย์ คิดไรได้บ้างนะ ว่าชีวิตคนเรามันไม่มีอะไรแน่นอน จะตายวันตายพรุ่งก็ยังไม่รู้
อยากให้พ่ออัชย์รับฟังความที่หมอเค้าอยากบอกมั้ง :เฮ้อ: สงสารหมอ
-
พูดไม่ออกเลย.....เศร้า!!!!!!! :sad11: :sad11: :sad11:
-
สงสารทุกคนมากเลย ตอนนี้ :sad4:
-
สงสารไอ้แดง เฮ้ออออ
ยังไงก็ก็คิดว่าแดงมันไปสบายแล้วกันเนอะ
-
โถ หนูแดด......น่าสงสารจิง ๆ เลย TToTT
-
เกือบได้สารภาพออกไปแล้ว ถ้าพ่ออัชย์ทนฟังอีกสักหน่อย แต่ก็เนอะ ถึงยังไง เจ้าตัวก็น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว :z1:
จริง ๆ แล้ว พ่ออัชย์ ถ้ายอมรับความจริง ตัวเองก็มีใจให้หมอปีย์ ไม่ใช่น้อย
แต่ตอนจบนี่ มันเรียกว่าบีบคั้นกันสุด ๆ กับเจ้าแดง อย่างน้อย เจ้าแดงก็พ้นจากทุกข์นี้ไปได้แล้ว
+1 เป็นกำลังใจให้นะครับ คุณนนท์
-
วิ่งร้องให้ออกไปจากกระทู้ :o12:
-
สิ้นเคราะห์หมดกรรมไปแล้ว...เจ้าแดง
อย่างน้อยเจ้าก็จักไม่ทรมานและเจ็บปวดอีกต่อไป
แต่ว่าตอนนี้ผมกับหยุดน้ำตาของตัวเองไม่ให้ไหลออกมาไม่ได้
กำลังจะซึ้ง..อมยิ้มกับหมอปีย์ อยู่แล้วเชียว
เจอบทเจ้าแดง กระชากวิญญาณพ่ออัชย์ไป :freeze:มึนไปเลย
รอการปลอบโยนของใครคนนั้น :กอด1:
-
.... :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad:
-
อ่านตอนแรกสงสารหมอ อ่านจบแล้วสงสารแดงมาก ๆ :m15:
-
แดงเขาไปสบายแล้วครับ :sad11: อย่างน้อยความทรมานที่เป็นอยู่ก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว..พูดไม่ออก :m15:
-
อ่านตอนนี้แล้วน้ำตาไหลเลยมันรู้สึก...เฮ้อ ก็ถือว่าแดงหมดกรรมสักที :เฮ้อ:
ส่วนคนที่ยังอยู่นี่สิเจ็บไม่น้อยสงสารอัชย์รู้สึกจะเป็นคนอ่อนโยนใส่ใจคนอื่นขึ้นก็เพราะแดง
สงสารหมอปรีย์ที่พอเอาเข้าจริงเจ้าบ้าก็ไม่ยอมรับฟัง แต่ตอนนี้หมอพูดมาเราสู้สึกว่ามันคมมากสู้ๆนะหมอ
-
เห้อ!!!อ่านตอนนี้แล้วเศร้า
-
หลับให้สบายนะแดง จะได้ไม่ทรมารอีก :m15: :m15:
-
แงๆๆ
-
สุดยอดเลยค่าเรื่องนี้ เพิ่งได้อ่านก็หยุดไม่ได้เลย(จะหกโมงเช้าแล้วเว้ยเฮ้ย)
ตอนแรกๆที่อัชย์เล่าเรื่องในอนาคตให้หมอปีย์ฟังแล้วเราสะอึกอย่างแรงปัจจุบันนี้มันช่าง...(พูดไม่ถูก)
ชอบตรงที่มันมีความรู้อยู่นิดๆด้วยอ่ะค่ะ บรรยากาศเรื่องนี้ก็สวยๆทั้งนั้นเลย
แต่ตอนนี้ก็ยังสงสัยไม่หาย แม่ของคำแก้ว(หรือคำแก้วนะ) ที่บอกว่าหน้าเหมือน...
เหมือนใครนะ อยากรู้เร็วๆจัง มันต้องสำคัญแน่ๆเลย(รึเปล่า)
ส่วนแดงก็ ไปสู่สุขติน๊า :sad11:
อีกเรื่องๆชอบหมอปีย์มากๆเลยค่ะ คนอะไรไม่รู้ดูหว๊านหวาน อ่อนโยน โอ๊ยยยย หลงรักเลย
แต่จะมีทางแฮปปี้เอนดิ้งมั้ยล่ะเนี่ย ดูเป็นไปได้ยากจังเลย ฮืออ T__T
ไหนจะอยู่กันคนละภพ ไหนจะหมอปีย์เป็นถึงคุณหลวง ไหนจะหมอปีย์มีคู้หมั้นแล้ว งื้ออ
แต่สงสารนะ กำลังจะบอกรักแล้วเชียว อุตส่าเกริ่นตั้งนาน อัชย์เราดันทนเขินไม่ไหว หนีไปซะได้ ฮ่ะๆ
-
ซึ้งอีกแล้วววว :sad4: .......รออ่านนะคะ
-
เปิดมาอารมณ์นี้ :-[ อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
แต่พอมาเจอแดงปุ๊ปปปปปปปปปปปปปป เหอะๆ :m15: ทำไมอ่ะ แดงเอ๊ยยยย ขอให้ไปดีนะลูก เกิดมาชาติหน้าฉันท์ใด ขอให้หนูมีความสุขกว่าชาติภพนี้นะลูก
-
หลับให้สบานะเจ้าแดงหมดทุกข์สักที
หมอปีีย์ก็สู้ๆนะ ต่อไปนี้พ่ออัชย์คงจะเปิดใจมากขึ้นแล้วล่ะ
คุณเซงเป็ดอย่าหายไปนานนะคับ คิดถึงเกินกว่าาาาา
:z13: :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: :z13:
-
โฮๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :monkeysad:
สงสารแดงอ่า ฮืออออออออออออออ :m15:
-
:m15:
ไม่น่าอ่านตอนนี้เลย น้ำตาไหลในที่ทำงาน...สงสารแดง :เฮ้อ:
-
โอ๊ย น้ำตาคลอ แต่ร้องไม่ได้ เพราะแอบอ่าน ฮือ ๆๆๆ
-
สงสารแดง...
-
สงสารเเดงจัง ยังเด็กอยู่เลย
-
โหยยยยยยยยยยยยยยย :sad4: ตอนนี้ no comment อย่างแรงค่ะ
:o12: :o12:
-
สงสารแดงจับใจ
-
โอ๊ย ตอนหมอจะบอกรัก ทำให้เราเขิ้นจนทำตัวไม่ถูก แต่ตอนแดง ทำให้เราขนลุก จนขึ้นหัว นี่ละนะ โลกเรา มีเกิด แก่ เจ็บตาย เป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีใครสุขทั้งชีวิต ไม่มีใครทุกข์ทั้งชีวิต
-
ไปดีเเล้วเเดง เห้อออ...
-
ดีแล้วที่แดงพ้นทุกข์ พ่ออัชย์คงซึมไปพักใหญ่ หมอปีย์อย่าปล่อยให้อยู่คนเดียวนะ สงสารเจ้าบ้ามัน
-
เจ้าแดง... :m15:
แล้วทำไมพ่ออัชย์ไม่อยู่ฟังหมอปียืบอกรัก :z3:
-
อ่านตอนนี้แล้วให้ความรู้สึกหดหู่สะท้อนในใจ จนต้องกลับมานึกคิดถึงความหมายของการมีชีวิตอยู่ มีเพื่อตัวเองหรือเพื่อใคร อย่างกรณีของเจ้าแดง ที่ต้องอยู่ต้องสู้กับโรคร้ายในกายและโรคร้ายจากสังคม (รังเกียจ) แล้วต้องมาจากไปทั้งที่พบเจอความสุขไม่กี่ครั้ง
แต่จากเหตุการณ์นี้คงทำให้อัชย์ (ตลอดจนผู้อ่านคนอื่นๆ) ฉุกคิดขึ้นมาได้บ้างว่า เวลาชีวิตมีค่าและสำคัญทุกวินาที มีอะไรต้องยังต้องทำหรืออยากทำก็ให้รีบเร่งทำ อย่ารีรอคอยท่า เพราะเวลาและโอกาสไม่เคยรอใคร
-
แดงน่าสงสารรร ในที่สุดก็ จากไปจนได้้ โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ
สงสารแดง
หมอปีย์ก็น่าสงสาร เจ้า้บ้า นะเจ้าบ้า มาปอดแหกหนีตอนสำคัญพอดี -*-
-
:m15:เจ้าแดง
-
โถ้...เจ้าแดง :monkeysad:
-
สงสารเจ้าแดง เฮ้อ ถึงยังไงก็ต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นสักวันสินะ
ว่าแต่...บอกจะตั้งใจฟัง ง้ันก็อย่าหนีสิเจ้าบ้า!
-
ร้องไห้ตามเลย เขียนสะเทือนอารมณ์มาก ตอนแดงพูด ขี่ช้างๆอ่ะ ร้องเลย หมอปรีย์สู้ๆ
-
ง่า. . . T T
จากไปอย่างงี้เลยเหรอ
-
สงสารแดงTT^TT
-
รออยู่นะคะ
-
น้ำตาไหลเลยอ่ะตอนนี้ TT
-
คนเรามีมา ก็มีจากไป
นี่และหนาคนเรา สังขารไม่เที่ยงจริงๆ
:เฮ้อ:
-
ขอให้แดงไปดีนะคับ
-
บรรยายความรู้สึกได้ถึงมากๆเลยครับทั้งตอนหวานและตอนเศร้า
-
ทำไมคราวนี้ คุณ เซงเป็ด หายไปนานจังคับ
คิดถึงแล้ว เพราะไม่ได้อ่านเรื่องอื่นเลย รออยู่เรื่องเดียว :z2: :z2: :z13: :z13:
-
สงสารเจ้าแดงมากเลยค่ะ ถึงแม้ว่าจะทำใจไว้แล้วว่ายังไงซักวันเจ้าแดงก็ต้องตาย
แต่พอเอาเข้าจริงๆ คนเขียนเขียนตอนนี้ได้ดีมากเลยค่ะ ทำให้เราหดหู่ตามไปด้วย
กลับมาอัพไวๆนะคะ ^^
\ me วิ่งออกไปร้องไห้ต่อ :o12:[/me]
-
ร่องรอยน้ำตายังคงไหลอาบแก้มแม้ผมจะหยุดร้องไห้ไปนานแล้ว แต่มันเหมือนกับน้ำตาเหล่านั้นมันไหลออกมาเฉยๆความเจ็บปวดที่ได้เห็นเด็กตายไปต่อหน้าต่อตานั้น มันยากที่จะบรรยาย ผมพร่ำคิดอยู่แต่ว่าสิ่งที่เห็นนั้นมันคือเรื่องจริงนะหรือ
เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดของแดง
เสียงร้องเรียก “แม่” อย่างสุดเสียง
แววตาที่เบิกโพรงก่อนจะสิ้นใจไปนั้น
ภาพเหล่านั้นตามหลอกหลอนผมอยู่ตลอดเวลา
“นอนพักผ่อนเถิดพ่ออัชย์ เจ้าแดงมันหมดเวรหมดกรรมแล้ว”
หมอปีย์นั่งอยู่ใกล้ๆเตียงที่ผมนอนด้วยความเป็นห่วง เขาจัดแจงล้างเนื้อล้างตัวให้ผม ก่อนจะใช้สมุนไพรบางอย่างทาฆ่าเชื้อ ผมไม่รู้หรอกว่าเขาทำอะไรกับผมบ้าง เพราะผมนอนนิ่งคล้ายกับคนที่สติเลอะเลือน ตาที่เบิกโพรงมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย ในหัวสมองว่างเปล่า ใครไม่ได้มาเห็นคนที่เรารักตายไปต่อหน้าต่อตาย่อมไม่เข้าใจความรู้สึกเหล่านั้นเป็นแน่ แดงตายในอ้อมกอดของผม เขาหลับใหลไปตลอดกาลในอ้อมกอดของผม
“เจ้าแดงมันอาจจักไปรอเจ้าอยู่ที่ภพหน้าก็ได้นะ ทำใจให้สบายเถิด” หมอปีย์กำมือผมด้วยมือทั้งสองข้างของเขา
แต่ความร้าวลึกในใจนั้น ไม่อาจจางหายได้ด้วยคำปลอบใจเพียงสองสามคำ ถึงมันจะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาได้ แต่ก็เพียงชั่วครู่
ในขณะที่ผมนอนสติหลุดลอยอยู่นั่นเอง ในใจของผมพลันคิดถึงวันเวลาของภพปัจจุบันขึ้นมา ผมหลับตาและนึกถึงสภาพบ้านที่เคยอยู่ หน้าบ้านเป็นรั้วเหล็กฉลุเป็นลายเถาวัลย์ ประตูทางเข้าบ้านที่ลาดด้วยคอนกรีต สองข้างทางนั้นปลูกต้นพญาสัตบรรณเรียงรายตลอดแนว ผมนึกภาพตัวเองกำลังเดินอยู่บนสนามหญ้า เห็นโรงครัวอยู่ตรงนั้น ผมเดินไปยังโรงครัว
เปิดประตูครัว พบข้าวของที่วางไว้เหมือนเดิม เมื่อหันไปขวามือ ผมก็เจอนาฬิกาลูกตุ้มโบราณตั้งอยู่ที่เดิม
“ฮ่า!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!” ผมสูดหายใจอย่างแรงจนหน้าอกแอ่นขึ้น รู้สึกเหมือนร่างถูกกระชากลงมาจากที่สูงด้วยความเร็วจนหายใจแทบไม่ทัน ท้องน้อยเสียวแปลบ รู้สึกคลื่นไส้และอยากจะอาเจียน
และเมื่อลืมตาขึ้น ผมก็พบตัวเองนอนแผหราอยู่ในโรงครัวเรือนคุณชั้น ไม่สิ ไม่ใช่เรือนคุณชั้นที่นี่มันบ้านของผมนี่
ผมกลับมาบ้านเหรอนี่
ด้วยความงุนงง ผมนอนแน่นิ่งตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง เหลือบตามองลอดผ่านช่องไม้เล็กๆเห็นรถพ่อจอดอยู่ ข้างๆกันนั้นมีคนงานกำลังเล็มต้นไม้ ผมหันกลับมา ตั้งสติอีกครั้ง แต่ก็เพียงครู่เดียว เพราะหลังจากนั้นไม่นานผมก็ได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งเรียกชื่อผม
“พ่ออัชย์ พ่ออัชย์” ผมเงี่ยหูฟังและรับรู้ได้ทันทีว่านั่นมันเสียงหมอปีย์นี่
“เจ้าอยู่ไหนน่ะพ่อ”
หมอปีย์เรียกชื่อผม
“กลับมาหาเราเถิดพ่ออัชย์”
เขาพูด
สิ้นเสียงเพรียกของเขา ร่างของผมก็ถูกกระชากอย่างแรงอีกครั้งด้วยมือที่อุ่นไอ
,
.
.
.
“พ่ออัชย์”
ร่างของผมปรากฏขึ้นอีกครั้งที่เตียงนอนเรือนหมอปีย์ นี่มันอะไรกัน
ด้วยอำนาจอันใด หมอปีย์ถึงสามารถดึงผมข้ามภพกลับมาได้
ผมลืมตาขึ้นหันไปมองเขา ก่อนที่เขาจะโผเข้ากอดผมแน่น
“อัชย์ เจ้าอย่าทิ้งเราไปเยี่ยงนี้อีก นี่คือคำสั่ง” เขาพูดน้ำเสียงสั่นเครือ ก่อนที่สติผมจะขาดผึงและหมดสติไปในอ้อมกอดของหมอปีย์
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
หลังจากวันนั้น อาการผมก็ยังคงทรงๆ ไม่ร่าเริงเหมือนก่อน การจะพูดอะไรสักคำสำหรับตอนนั้นมันยากลำบากจริงๆ ทุกครั้งที่ผมได้ยินเสียงตัวเอง ผมจะรู้สึกเหมือนว่าเหตุการณ์วันนั้นมันไม่ใช่ฝัน มันคือความจริง
ศพของแดงถูกเผาอย่างลวกๆเหมือนศพของผู้ป่วยคนอื่น ไม่มีการสวดบำเพ็ญกุศลใดๆทั้งสิ้น หมอปีย์เกรงว่าชาวบ้านแถวนั้นจะรู้เข้าและจะเอาไปฟ้องหลวง
เขาทำเพียงแค่พาผมไปวัด ทำบุญอุทิศส่วนกุศล และเอากระดูกของแดงไปลอยอังคาร นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าการสูญเสียนั้น มันเจ็บปวดแค่ไหน
แต่ถึงประสบการณ์วันนั้นมันจะเลวร้าย แต่ผมก็ได้หมอปีย์ที่คอยปรับเปลี่ยนมุมมองความคิดที่เฝ้าคิดแต่มุมร้ายๆให้เห็นว่าในมุมที่เจ็บปวดนั้น ผมก็ได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง
“ความตายมิใช่จุดสิ้นสุดของความทรงจำ แต่เป็นจุดสิ้นสุดของเวรกรรมต่างหาก”
“ไม่มีอะไรเจ็บปวดไปมากกกว่าการเห็นคนที่เรารักจากไป แต่ถ้าหากเรามัวแต่ติดภาพความเจ็บปวดช่วงสุดท้ายของชีวิตผู้ที่เรารักนั้น เราจักหลงลืมช่วงเวลาที่ดีที่เราเคยมีให้กันในที่สุด”
“ไม่มีใครสั่งห้ามมิให้เจ้าหลั่งน้ำตา ตัวเจ้าเองเท่านั้น ที่จะรู้ว่า เมื่อไหร่น้ำตาที่ไหลถึงจะสาสมกับความเศร้าใจที่เจ้ามี”
“หากแดงไม่จากไปในวันนั้น เราก็คงยังคิดว่าเจ้ายังเป็นเจ้าบ้าที่ไร้หัวใจ.............เช่นเดิม”
ผมผ่ายผอมลงไปมาก เพราะกินอะไรไม่ค่อยลง ภาพของแดงยังฝังแน่นในมโนจิต ทุกครั้งที่หลับตาผมจะเห็นภาพแดง นั่งเล่นอยู่คนเดียวใต้ร่มกอไผ่ แต่พอจะเดินเข้าไปหา เขากลับตาเหลือกและล้มหงายหลัง เลือดออก และร้องอย่างทรมาน
เป็นภาพอย่างนี้อยู่ร่ำไป
หมอปีย์พยายามที่จะมาดูแลผมให้บ่อยขึ้น แต่เขาก็ทำได้ไม่มากนักเพราะต้องวุ่นอยู่กับผู้ป่วยชาวบ้านคนอื่นที่ที่มักจะมาหาหมอไม่ขาดสาย เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงอากาศเปลี่ยน ผู้คนล้มป่วยได้ไข้กันมาก ไหนจะต้องเทียวไปหาไปเยี่ยมคู่หมั้นที่เรือนคุณชั้นอีก เวลาจะคอยมาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของผมจึงน้อยลง
“อัชย์” เขาเดินมาหาผมขณะที่ผมนอนหลับตาอยู่อย่างสงบ
“นี่ก็ผ่านไปหลายเพลาแล้ว เจ้ามิดีขึ้นเลยหรือ” เขานั่งลงใกล้ๆ เอามือมาแตะที่หน้าผาก
“ผ่านไปกี่วันแล้วหล่ะ” ผมพยุงตัวเองขึ้นนั่ง ไม่รู้วันรู้คืน
“เกือบจักอาทิตย์นึงแล้ว เจ้าน่าจะทำใจได้แล้ว แดงมันไป.............”
“พอเถอะหมอ ชั้นรู้แล้ว ว่าแดงไปสบายแล้ว แต่ชั้นลืมมันไม่ได้ เข้าใจมั๊ย ชั้นพยายามแล้ว แต่ภาพวันนั้นมันติดอยู่ในหัวชั้น มันเอาไม่ออก” ผมขยี้ผมไปมาอย่างแรง จนหมอปีย์ต้องจับมือให้หยุด
“เอาเถิด เราเข้าใจ ทานยาแล้วพักผ่อนเถิด ไว้เราจักมาเยี่ยมเจ้าใหม่”
หลังจากที่หมอนั่นคล้อยหลังออกจากห้องไป ผมก็ไหลตัวเองลงไปนอนต่ออย่างไร้เรี่ยวแรง หันหลังให้ประตู หันหน้าออกหน้าต่าง มองออกไปสุดสายตา เห็นท้องฟ้าสีคราม ไร้วี่แววของก้อนเมฆ เสียงนกกางเขนบ้านตัวผู้ร้องเกี้ยวตัวเมียคลอไปพร้อมกับเสียงลมพัดใบมะม่วงริมห้องไหวๆ กิ้งก่าสีสันจัดจ้านแผงคอสีฟ้า หัวสีแดงสด กำลังผงกหัวทักทายคู่ของมัน
ผมเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่มีเหตุผล ก่อนจะค่อยๆปิดตาลง
“แดงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง”
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
“พ่ออัชย์ ตื่นเถิด” เสียงของหมอปีย์ปลุกผมตื่นขึ้นมาจากผวังค์อีกครั้งในตอนเย็น ผมลืมตาขึ้นมองภาพใบหน้าของหมอนั่นเลือนลาง และค่อยๆชัดขึ้น
“อืม ว่าไงหมอ ชั้นหลับไปอีกแล้วเหรอ” ผมงัวเงีย
“ใช่ สงสัยเพราะฤทธิ์ยา ยาหมอฝรั่งนี้มีผลข้างเคียงทำให้ง่วงนอนเยี่ยงนี้แหละ”
“แต่ก็ขอบใจมันนะ ที่ทำให้ชั้นหลับลงได้” ผมยิ้ม
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ค่อยๆลุก ประเดี๋ยวจะล้มคว่ำเอา” เขาค่อยๆผยุงผมให้นั่งตรง
“ปวดหัวตุบๆเลยว่ะหมอ หนักเหมือนมีคนเอาก้อนหินมาวางทับ”
“ก็เจ้านอนเสียตั้งแต่เช้ายันค่ำ มันก็เป็นเยี่ยงนี้แหละ มิลองออกไปเดินข้างนอกรับลมหนาวบ้างรึ”
ผมส่ายหัว
“งั้นเราจักให้บ่าวยกสำรับมาให้เจ้าในห้องนะ”
“ไม่ต้องหรอกหมอ ชั้นจะไปกินกับหมอข้างนอก หลายวันแล้วที่เราไม่ได้กินข้าวด้วยกัน” ผมยันตัวเองลุกขึ้นยืนอย่างลำบาก แต่เมื่อยืนสำเร็จแล้วหันไปมองหน้าหมอปีย์ กลับพบว่าเขาหน้าแดงก่ำ
“เป็นอะไรไปหมอ” ผมถามด้วยความสงสัย “หน้าแดงไม่สบายติดไข้ชั้นรึป่าว”
“เปล่าดอก เปล่า” เขารีบส่ายหัว แต่ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มที่พยายามจะกลบเกลื่อน
สำรับกับข้าวถูกจัดวางรอท่าไว้ก่อนแล้ว เมื่อหมอปีย์มาถึงเขาจึงสั่งให้เพิ่มอีกที่สำหรับผม
กับข้าวมื้อนั้นเป็นอาหารของคนป่วยเสียส่วนใหญ่
มะระผัดไข่ ที่หมอปีย์บอกว่าสรรพคุณไล่ลมดีนัก
แกงเลียงสายบัวที่หอมกลิ่นใบแมงลัก กลิ่นเผ็ดร้อนเป็นเอกลักษณ์ของพริกไทยดำ ที่หมอปีย์บอกว่าทานแล้วจมูกโล่งดี
อีกทั้งสายบัวอวบๆที่บ่าวอาสาลงไปถอนมาจากลำคลองฝั่งตรงข้ามนั้น ก็ดูน่ากิน
อีกอย่างที่ขาดไม่ได้ก็คือน้ำพริกกะปิ ที่จัดวางมาอย่างสวยงาม โดยมีผักเคียงมากมายหาได้ริมรั้ว
“พอดีมีชาวบ้านเอากะปิดีจากเมืองแกรงมาฝาก เราเห็นว่าหอมดี เลยให้บ่าวตำน้ำพริก ”
ผักที่จัดวางข้างๆมี ยอดผักบุ้งที่ขึ้นริมคลอง ดอกผักตบชวา ยอดกระถิน ผักกูดลวก ดอกแค ดอกขจรลวก ที่เป็นหัวๆก็มีขมิ้นขาว หน่อไม้ต้ม หัวปรีต้มกะทิ ชะอมชุบไข่ทอด และที่ขาดไม่ได้คือ ปลาช่อนย่างเกลือ
“โห หมอ น่ากินจังเลย ชั้นรู้สึกหิวขึ้นมาเลยอ่ะ” ผมน้ำลายไหล
“เจ้าคงเบื่ออาหารคนป่วยเสียกระมัง หลายวันมานี้กินแต่ข้าวต้มข้าวแฉะ วันนี้ลองกินอาหารคนไม่ป่วยเสียงบ้าง เผื่อจะได้เจริญอาหาร” เขายิ้ม “อ้อ แต่ทานแค่น้อยๆก่อนนะพ่อ ทานมากไปเดี๋ยวท้องไส้จะลำบาก” เขาหัวเราะ
“ชั้นนี่แย่มากเลยนะ ต้องเป็นภาระให้นายดูแลอยู่ตลอด” ผมบ่นเซ็งตัวเอง
“อย่ากังวลให้มากไปเลย ที่เราดูแลเจ้า เพราะเราเต็มใจ อีกอย่าง หากวันหนึ่งวันใดเราได้ไข้ได้ป่วยขึ้นมา ก็หวังจักให้เจ้านี่หล่ะ ดูแลเราบ้าง” เขายิ้มแววตาเป็นประกาย
“แหม หมอ นี่มันหวังผลชัดๆ เออๆ ไว้นายป่วยลุกไม่ขึ้นเหอะ ชั้นจะดูแลอย่างดีเลย สัญญา” ผมหัวเราะขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน
บ่าวจัดแจงตักข้าวใส่จาน วันนี้หมอปีย์ ไม่ใช่ช้อนตามแบบฝรั่ง เขาให้เหตุผลว่า กินอาหารแบบนี้ จะให้ใช้ช้อนใช้ส้อมมันไม่ถึงใจ ของแบบนี้จะกินต้องใช้มือเปิบเท่านั้น
“เจ้าจักใช้ช้อนก็ได้นะ” เขาทักขึ้นเมื่อเห็นผมเก้เก้กังกังหยิบข้าวในจานด้วยนิ้ว
“มา ประเดี๋ยวเราจักสอนให้ ค่อยๆปั้นข้าวด้วยปลายนิ้ว อย่าให้ข้าวร่วงพรูลงมาเมื่อใส่ปาก ข้าวจักเปื้อนข้อนิ้วมือได้ข้อเดียวเท่านั้น” ผมทำตามหมอปีย์อย่างแข็งขัน ค่อยๆใช้ปลายนิ้วบีบข้าวให้เป็นคำ
“ตักกับใส่จานแต่พอคำ กินข้าวก่อนแล้วตามด้วยกับ อย่าให้ปากจานเลอะเทอะ ค่อยๆตะล่อมให้เม็ดข้าวไม่เลอะปากจาน ก้างปลา หรือเศษอาหารวางไว้ที่ขอบจานให้เรียบร้อย เวลากินก็ให้แบ่งกินข้าวเป็นส่วนๆ อย่าให้เลอะเทอะดูไม่งามเป็นกุลีข้างถนน ต้องหมั่นเกลี่ยให้เรียบร้อย แล้วเวลาซดน้ำแกงก็ต้องค่อยๆ ไม่ซดโฮกๆ”
ผมนั่งยิ้มมองหมอนั่นสอนไป ดูเขาตั้งใจจะสอน แต่ขณะเดียวกันก็เอร็ดอร่อยกับกับข้าวมื้อนี้มาก คงเป็นเพราะวันนี้หมอปีย์ยุ่งทั่งวัน เลยไม่มีเวลากินข้าวเลย
“อันนี้อะไรเหรอหมอ” ผมหยิบหัวปรีต้มกะทิขึ้นมา
“หัวปรีต้มกะทิน่ะ พ่อ บ่าวมันไปตัดหัวปรีหลังเรือนมา เห็นว่ากล้วยออกหลายเครือ จะทิ้งไปก็เสียดาย ของกินได้ทั้งนั้น หลวงเจอราร์ทท่านไม่อยู่ อะไรที่พอจักช่วยกันประหยัดได้ก็ต้องประหยัด หัวปรีพวกนี้จะกินสดก็อร่อยดี แต่เรามิใคร่จะชอบเพราะกินแล้วฝืดคอ ลวกเสียหน่อยก็อร่อยขึ้นโข บ่าวมันเห็นว่าใส่กะทิแล้วตัดด้วยเกลือหน่อยเค็มปะแหล่มๆ อร่อยกว่าก็เลยทำมาให้ลองชิมกัน ติดใจ ทุกคราที่หัวปรีออกเราก็เลยสั่งให้บ่าวต้มกะทิมาให้ทุกคราไป” เขาเล่าไปพลางหัวเราะไปพลางอย่างมีความสุข ผมนั่งฟังเขาเล่าก็มีความสุขไปด้วย
“ถ้าไม่ใช้หัวปรี จักใช้เป็นผักอย่างอื่นก็ได้ ยอดเลียบต้มกะทิก็อร่อย” เขาว่าพลางหยิกเนื้อปลาช่อนที่ยังคงร้อนระอุ ควันลอยกรุ่นใส่จานให้ผม
“ลองกินแกล้มกับหัวปรีต้มกะทิสิ เข้ากันดีนัก”
ผมตักหัวปรีมาใส่จานก่อนจะค่อยๆใช้นิ้วมือตะล่อมๆข้าวสวยและบีบจนเป็นก้อน ส่งเข้าปากแล้วเคี้ยว
รสสัมผัสแรกที่ติดปลายลิ้นนั่นก็คือรสนุ่มละมุนของกะทิที่ข้นกำลังดี ตัดกับรสเค็มปะแล่มๆ อีกทั้งปลาช่อนย่างเกลือที่เนื้อแน่นหวาน ทานเข้าด้วยกันแล้วทำให้ผมเจริญอาหารขึ้นมากทีเดียว
“ทานเยอะๆนะพ่อ จักได้มีแรง หมู่นี้เจ้าซูบลงไปมาก คงมัวแต่คิดเรื่องแดง” เขาว่าพลางจุ่มนิ้วลงในชามกระเบื้องที่ใส่น้ำเปล่าไว้ข้างๆเพื่อล้างมือ ผมเห็นดังนั้นจึงทำตาม
“มันหลายอารมณ์ว่ะ คิดถึง ใจหาย ตกใจ กลัว มันปนกันไปหมด นี่เป็นครั้งแรกที่ชั้นเห็นคนตายไปต่อหน้าต่อตา” ผมอธิบายก่อนจะเอื้อมไปหยิบชะอมทอดราดด้วยน้ำพริก
“กระนั้นรึ นับว่าเจ้าโชคดี” เขาบอก “เราเห็นคนตายมานักต่อนักแล้ว เลยพอทำใจให้แข็งได้บ้าง แต่กระนั้นก็เถอะ ทุกครั้งที่เห็นใครจากไป ก็อดเสียใจไม่ได้ ครั้งแรกที่เราเห็นคนตาย.................”เขาหยุดกลืนข้าวลงคอ
“ก็ตอนพ่อเราพาไปดูพิธีประหารนักโทษ” หมอปีย์หยิกปลาส่งให้ผม “ตามกฏมณเทียรบาลผู้ใดฆ่าผู้อื่นให้ถึงแก่ความตาย ผู้นั้น ต้องรับโทษให้ตายตกไปตามกัน”
“ยังไงเหรอ” ผมตั้งใจฟัง
“หากเจ้าฆ่าคน เจ้าก็ต้องโดนประหาร แม้เจ้าจักรับผิดก็ต้องถูกประหาร มิมียกเว้น”
“ถ้าหากชั้นไม่รับหล่ะ”
“ก็ต้องถูกเฆี่ยนจนกว่าจะยอมรับ แล้วจึงจะประหาร”
“อ่าว แล้วถ้ายอมรับหล่ะ”
“ก็ไม่ต้องถูกเฆี่ยนให้เจ็บหลัง ประหารเสียเลย”
“อ่าว อะไรวะ ไม่ให้อุธรณ์อะไรกันเลยเหรอ” ผมบ่น
“กฎมณเทียรบาลนี้โทษหนักนัก ผู้คนจึงเกรงกลัวมิกล้าทำบาป”
“อืม มันก็จริงนะ นายรู้หรือป่าวว่าสมัยชั้นน่ะ” ผมเงยหน้ามองหมอปีย์ เพราะนึกขึ้นได้ว่าพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดไป
“เอ่อ บ้านเมืองชั้นน่ะ ขนาดฆ่าคนมากมาย มีหลักฐานพร้อมนะ ถ้ารับผิดนะก็ลดโทษ บางทีก็กึ่งหนึ่ง จากประหารก็จำคุกตลอดชีวิต จากจำคุกตลอดชีวิตก็ลดเหลือ 20 ปี บางครั้งวันพิเศษๆเขาก็ลดโทษให้ ทำตัวดีเขาก็ลดโทษให้ ผู้ร้ายบางคนนะ เข้าออกคุกเป็นว่าเล่นเลย”
“แล้วผู้ใดจักไปเกรงกลัวกฎหมายกันเล่า” หมอปีย์ทำท่าตกใจ
“เอ ไม่รู้สิ ไม่มีมั้ง ก็เห็นทำผิดกันโครมๆ อยู่ในคุกนะ สบายจะตาย อยู่ฟรีกินฟรี บางคนนะ มีอาชีพรับจ้างติดคุกก็มีเล้ย” ผมติดลมพร่ามไปเรื่อย
“แล้วสมัยเจ้า เอ่อ เราหมายถึง” หมอปีย์พูดแปลกๆ “บ้านเมืองเจ้ามีโทษประหารตัดหัวเสียบประจานหรือไม่” เขาทำหน้าสงสัย
“โอ้ย ไม่มีหรอก ขืนมีสิ พวกนักสิทธิมนุษยชนเล่นงานตายพอดี”
“ผู้ใดคือนักสิดทิบรรพชน” มันถาม
“เขาเรียกนักสิทธิมนุษยชน พวกนี้ก็พวกที่เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีสิทธิความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกันประมาณนั่นแหละ”
“เจ้าพูดอะไรของเจ้า เรามิรู้ความ”
“เออ กูก็งงเหมือนกัน แหม กูก็ใช่จะคนเก่งซะที่ไหนเล่า แล้วไหนนายเล่าว่าเคยเห็นคนถูกประหาร เป็นไงเหรอ” ผมสั่งให้บ่าวตักข้าวเพิ่มอีกสองทัพพีใหญ่ๆ
“อ๋อ ครั้งนั้นพ่อพาเราไปดูนักโทษฆ่าเมียตนเอง เราจำได้ว่าเขาฆ่าเมียเหตุเพราะเมียเล่นชู้กับเกลอ เขาจึงฆ่าเสียให้ตายตกไปทั้งคู่ ทางการจับตัวมาไต่สวน และรับสารภาพผิด เขาจึงไม่ถูกเฆี่ยนแต่โทษคือตัดหัวเสียบประจานวันนั้นพ่อพาเราขี่คอไปที่ลานวัดโคก ชาวบ้านมุงดูกันล้น เพชฌฆาตดื่มเหล้าย้อมใจ โดยมีนักโทษนั่งเหยียดขา หลังพิงหลักประหาร มือเท้าถูกมัดอย่างแน่นหนา ที่มือนั้น ถือดอกบัวและธูปเทียน มีดินเหนียวอุดหูไว้แน่น มิให้วอกแวก ถาหากนักโทษวอกแวกเหลียวหลังกลับมา เพชฌฆาตอาจฟันไม่โดน หรือฟันโดนแต่คอมิขาด”
ผมนั่งฟังกลืนน้ำลายเฮือก ตื่นเต้นไปด้วย
“เราจำได้ว่าวันนั้นชาวบ้านมากันมืดฟ้ามัวดิน บ้างปีนต้นโพธิ์ดู บ้างขี่คอกันดู บางคนจับจองที่นั่งเอาสำรับกับข้าวมากินพร้อมสรรพ เมื่อถึงเวลา เพชฌฆาตรำดาบ และง้างดาบไปที่คอนักโทษเป็นระยะ ผู้คนก็ร้องหวีดลั่นลาน แต่นักโทษนั้นนั่งนิ่งมิไหวติง เราบีบหูพ่อแน่นด้วยความกลัว แต่อีกใจก็กระหายอยากรู้ พอถึงเวลาปี่พาทย์หยุด เพชฌฆาตก็ง้างดาบแลฟันฉับเดียวคอนักโทษขาดกระเด็นเลือดสาดพุ่งราวกับสายน้ำ”
มาถึงตรงนี้ผมอ้าปากค้าง ข้าวที่อยู่ในมือหล่นแหมะลงบนจาน
"คนที่อยู่บนต้นโพธิ์หล่นร่วงลงมาแข้งขาหัก คนที่เอาสำรับมากินต่างก็เทข้าวทิ้งกินมิลง จากนั้นหลวงก็ให้นำหัวนักโทษผู้นั้นเสียบประจานเจ็ดวันเจ็ดคืนมิให้ชาวบ้านเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ชาวบ้านเห็นก็กลัวกันนัก มิกล้าจะทำผิด”
เขาพูดจบก่อนจะตักแกงเลียงใส่จาน ตามด้วยมะระผัดไข่ หน้าตาเฉยมากกกกกกกกก
“อ้าว อิ่มแล้วรึ พ่ออัชย์” เขาเงยหน้ามาถามผมขณะที่กำลังเคี้ยวข้าว ยังอุตส่าห์มีน้ำใจถาม ไม่ได้อิ่มเว้ย แต่แมร่งใครจะแดกลง
“อ๋อ เอ่อ อิ่มแล้ว อิ่มมากด้วย แหะๆ” ผมยิ้มแหย มองสำรับกับข้าววันนี้อย่างเสียดาย แต่จะให้กินต่อนั้นก็กินไม่ลงเสียแล้ว
“อ่ำ ไปยกผลหมากรากไม้มา” หมอปีย์หันไปสั่งนังอ่ำ เขากินข้าวต่ออีกสองสามคำ ก่อนจะล้างมือในชามกระเบื้อง
“วันนี้ชาวบ้านเอาส้มมาให้ เราเห็นเจ้ามิสบาย กินส้มอาจช่วยให้หายกระอักกระอ่วน” เขาว่า
“พ่ออัชย์” หมอปีย์เรียกผม ขณะที่ผมกำลังง่วนอยู่กับการปอกเปลือกส้ม
“ว่า”
“เจ้าอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้างหรือไม่” เขาอ้อมแอ้มถาม
“เปลี่ยนบรรยากาศอะไร” ผมถามพลางคายเม็ดส้มใส่มือ
“ก็เผื่อว่า เจ้าอยากจักไปทะเลดูบ้าง หมอเจอราร์ทท่านมีเรือนเล็กอยู่ที่ชะอำ เราเองก็ว่าจักพักผ่อนเสียหน่อย” เขายิ้ม
“ไปทะเลชะอำเหรอ อืม ไปสิ ดีเหมือนกัน ชั้นก็อยากรู้ว่าชะอำสมัยนี้กับสมัยชั้นมันจะต่างกันสักแค่ไหน”
-
ไปทะเลที่ชะอำ!!!
ชวนอัชย์ไปสวีทวี๊ดวิ๊วใช่ป่ะหมอปีย์!! >o<
.
.
.
อ้าวเฮ้ย เพิ่งรู้ตัวเองได้ :z13: ด้วยแฮะ
เย้ ครั้งแรกนะเนี่ย
-
:impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2:
:sad4: :sad4:
-
เมื่อไหร่เค้าจะหวานกันค่ะ อย่าให้อิฉันต้องลงหวาย นะพ่อ o18
-
:o8: :-[ :impress2:
ไปเที่ยวทะเลซะด้วย โอ้ว!! สวีทนะ
มีหมอเขินเจ้าบ้าด้วย หมอนี้นับวันยิ่งน่ารัก...
-
หมอปีย์ ชายในฝัน
-
:กอด1:
-
เปลี่ยนบรรยากาศ หุหุ ดีเหมือนกัน
เผื่อพ่ออัชย์ จะเปลี่ยนใจ ยอมรับรักหมอปีย์เสียที :z1:
-
ทะเลจะหวานกันรึเปล่านะ...รออ่านต่อ
ไม่สงสัยเลยว่าทำไมสมัยโดนหาว่าเป็นพวกบ้านป่าเมืองเถื่อน กฎหมายยังไม่เจริญ
แถมยังถูกกดดันมากจนต้องไปก็อปประมวลของประเทศญี่ปุ่นที่ไปรับของเยอรมันมาอีกที
ป.ล.อ่านหนังสือนิติปรัชญาอยู่พอดีเลยขอเพ้อหน่อย กำลังอิน
-
:L2: หวานริมทะเล อิอิ (หวังว่านะ)
-
ไปสวีทกันเต๊อะ อิอิ :m3:
-
แก้ให้นะพี่นนนะ หรือพี่จะแก้เอง ไม่เป็นไร ยังไงปลายทางก็เหมือนกัน คิคิ เขิลลล 5555
แววตาที่เบิกโพลงก่อนจะสิ้นใจไปนั้น
และเมื่อลืมตาขึ้น ผมก็พบตัวเองนอนแผ่หราอยู่ในโรงครัวเรือนคุณชั้น ไม่สิ ไม่ใช่เรือนคุณชั้นที่นี่มันบ้านของผมนี่
“พ่ออัชย์ ตื่นเถิด” เสียงของหมอปีย์ปลุกผมตื่นขึ้นมาจากภวังค์อีกครั้งในตอนเย็น ผมลืมตาขึ้นมองภาพใบหน้าของหมอนั่นเลือนลาง และค่อยๆชัดขึ้น
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ค่อยๆลุก ประเดี๋ยวจะล้มคว่ำเอา” เขาค่อยๆพยุงผมให้นั่งตรง
“พอดีมีชาวบ้านเอากะปิดีจากเมืองแกลงมาฝาก เราเห็นว่าหอมดี เลยให้บ่าวตำน้ำพริก”
“อันนี้อะไรเหรอหมอ” ผมหยิบหัวปลีต้มกะทิขึ้นมา
“อ่าว อะไรวะ ไม่ให้อุทธรณ์อะไรกันเลยเหรอ” ผมบ่น
โอ้วๆๆๆ จะไปทะเลแล้ว วี้ดวิ้วววว ยืนดูพระอาทิตย์ตกน้ำ โฮ้ยๆๆๆ โรแมนติกได้อีก
-
รู้สึกคุ้นๆฉากประหารชีวิตค่ะ เหมือนเคยอ่านที่ไหนมาก่อน เดาว่าคงประมวลมาจากหนังสือเล่าเรื่องเก่าๆหลายๆเรื่องแล้วมาเรียบเรียงเป็นนิยายพีเรียดที่สนุกมากๆ เวลาบรรยายฉากกินข้าวทีไรรู้สึกหิวทุกทีค่ะ เป็นคนที่ชอบอาหารไทยอยู่แล้ว (จำพวกน้ำพริก ผัก ต้ม แกง) น้ำลายสอตลอดเลย :laugh:
อยากให้มีตอนหวานๆกันบ้างอ่ะ สงสารพ่อหมปีย์ที่แสนดี :o8: ส่วนอัชย์นี่ก็ซึนตลอด :z6:
-
ไปทะเลกัน :impress2:
-
ทะเล้ ทะเล
อยากให้ไปทะเลเร็วๆจัง
-
ว๊าวๆๆๆ ไปทะเลกันแล้ว เผื่อบรรยากาศดีๆ จะช่วยให้พ่ออัชย์ใจอ่อน :-[
แต่หวังว่าตอนเล่นน้ำคงไม่มี"อะไร"มาฉุดขาพ่ออัชย์เรากลับบ้านหรอกนะ o22
-
"โอ้ทะเลแสนงาม ฟ้าสีครามสดใส
มองเห็นเรือใบ แล่นอยู่ในทะเล
หาดทรายงามเห็นปู ดูซิดูหมู่ปลา
กุ้ง หอย นานา อยู่ในท้องทะเล"
เย้ๆๆ ไปทะเลย
-
ไปทะเล ไปด้วย
-
ไปเปลี่ยนบรรยายกาศที่ทะเล
เผื่ออัชย์กับหมอปีย์จะเริ่มหวานกันบ้าง :-[
-
" ความตายมิใช่จุดสิ้นสุดของความทรงจำ แต่เป็นจุดสิ้นสุดของเวรกรรมต่างหาก " o13
ไปทะเล ดีแต่ว่าไปชะอำนะ ถ้าหมอปีย์ชวนพ่ออัชย์ ไปเสม็ดล่ะก็ เป็นเรื่องแน่ ๆ :m20:
+1 พร้อมกำลังใจครับ
-
บรรยากาศเป็นใจ คงใกล้ได้สวีทละ พ่ออัชย์นี่ล่ะก้อ ไร้เดียงสาจริงเชียว :-[
-
ไปทะเลชะอำ ตามไปด้วยดีกว่า
ช่วงนี้หมอปีย์ เขิลบ่อยจังง
-
โอว หมอปีย์สามารถดึงอัชย์กลับจากโลกอนาคตได้ ทั้งๆที่ไปถึงแล้ว O_O"
แสดงอ่ามีอิทธิพลใช่น้อยเลยนะนี่
แต่นี่ชวนกันไปเดทที่ทะเล แหมๆๆหวานกันซะ
แล้วไม่ต้องอยู่เฝ้าบ้านให้คุณหมอเหรอนี่
-
"เราไม่ได้กินข้าวด้วยกัน..." สงสัยหมอจะปลาบปลื้มกะคำนี้ไปอีกนาน
ว่าแต่คนพูดเหอะ ไม่รู้สึกเหรอ เหมือนเมียเพิ่งหายป่วยแล้วชวนสามีกินข้าวไงไม่รู้ :m20:
พ่ออัชย์ อิป้าขอแนะนำให้ยอมๆหมอไปเลย ที่ทะเลเนี้ย หรือไม่ก็กดหมอปีย์ไปเลยก็สิ้นเรื่อง โฮะๆๆๆ :laugh:
-
ไปเที่ยวกันไหม... จะไปก็รับไป
ไปกับหมอปีย์แล้วสบายยยยย เดี๋ยวหมอปีย์พาไปกันตับ
~ตับ ตับ ตับ ตับ ~ :laugh:
-
อร๊ายยยยยยยยยยยย On the beach vacation
-
ไปทะเล เห็นทีพ่ออัชย์ จะเสร็จหมอปีย์ก็ครานี้กระมั่ง :impress2: :impress2:
-
สวัสดีคะ
อ่านตอนนี้แล้วมีติดใจอยุ่สองตอน ดังนี้
1. “ก็ตอนพ่อเราพาไปดูพิธีประหารนักโทษ” หมอปีย์หยิกปลาส่งให้ผม “ตามกฏมณเทียรบาลผู้ใดฆ่าผู้อื่นให้ถึงแก่ความตาย ผู้นั้น ต้องรับโทษให้ตายตกไปตามกัน”
อันกฏมณเทียรบาล เป็นกฏที่ใช้สำหรับควบคุมกิจการในพระราชวงศ์(มั้งคะ?) สำหรับบุคคลทั่วไป น่าจะใช้ กฏพระอัยการ(สำหรับราชการทหาร) หรือ กฏหมายตราสามดวง ซึ่งทรงพระกรุณาให้ตราขึ้นตั้งกะแผ่นดินรัชกาลที่ 1
2. สถานที่ตากอากาศ ยอดนิยมในสมัย ร.5 นั้น น่าจะเป็น สัตหีบ หรือ ศรีชัง ศรีราชา อะไรเทือกนี้มากกว่า ดูได้จาก รพ.สมเด็จฯ ณ ศรีราชา หรือ พระจุฑาธุชราชฐาน ส่วน ชะอำ นี้ น่าจะเป็นที่นิยมขึ้นในสมัย ร.6 (ดูจาก พระราชวังมฤคทายวัน อำเภอชะอำ) ส่วน หัวหินนี้เพิ่งนิยมในสมัย ร.7 (พระราชวังไกลกังวน แตงโมบางเบิด) ส่วนในสมัย ร.4 นั้น ว่ากันว่า นิยมไปแถวๆ อ่างศิลา-บางแสน ซึ่งเรียกกันว่า "อาศรัยสถาน"
ไม่รู้ถูกผิดประการใด ช่วยกันพิจารณาเอาเน้อ
อิเจ้
-
จะไปฮันนีมูนหรือเปล่าน่ะ ฮิ้ววววว~ :impress2:
-
จะไปสวีตกันที่ชะอำหรอค่ะคุณหมอ :laugh: :laugh:
-
สวัสดีคะ
อ่านตอนนี้แล้วมีติดใจอยุ่สองตอน ดังนี้
1. “ก็ตอนพ่อเราพาไปดูพิธีประหารนักโทษ” หมอปีย์หยิกปลาส่งให้ผม “ตามกฏมณเทียรบาลผู้ใดฆ่าผู้อื่นให้ถึงแก่ความตาย ผู้นั้น ต้องรับโทษให้ตายตกไปตามกัน”
อันกฏมณเทียรบาล เป็นกฏที่ใช้สำหรับควบคุมกิจการในพระราชวงศ์(มั้งคะ?) สำหรับบุคคลทั่วไป น่าจะใช้ กฏพระอัยการ(สำหรับราชการทหาร) หรือ กฏหมายตราสามดวง ซึ่งทรงพระกรุณาให้ตราขึ้นตั้งกะแผ่นดินรัชกาลที่ 1
2. สถานที่ตากอากาศ ยอดนิยมในสมัย ร.5 นั้น น่าจะเป็น สัตหีบ หรือ ศรีชัง ศรีราชา อะไรเทือกนี้มากกว่า ดูได้จาก รพ.สมเด็จฯ ณ ศรีราชา หรือ พระจุฑาธุชราชฐาน ส่วน ชะอำ นี้ น่าจะเป็นที่นิยมขึ้นในสมัย ร.6 (ดูจาก พระราชวังมฤคทายวัน อำเภอชะอำ) ส่วน หัวหินนี้เพิ่งนิยมในสมัย ร.7 (พระราชวังไกลกังวน แตงโมบางเบิด) ส่วนในสมัย ร.4 นั้น ว่ากันว่า นิยมไปแถวๆ อ่างศิลา-บางแสน ซึ่งเรียกกันว่า "อาศรัยสถาน"
ไม่รู้ถูกผิดประการใด ช่วยกันพิจารณาเอาเน้อ
อิเจ้
โอ้ว ขอบคุณครับเจ้ ที่ช่วยกันหาข้อมูล
เรื่องกฎมณเทียรบาลเห็นท่าจะผิดตามที่เจ๊ว่าจริงๆ เดี๋ยวต้องแก้ครับ
ส่วนสถานที่ตากอากาศนั้น ชะอำก็เริ่มเป็นที่รู้จักแล้วครับ ในสมัย ร๕
ชะอำ เพชรบุรี เพราะมีการสร้างพระรามราชนิเวศน์พระตำหนักกันแล้ว
แต่ยังไงต้องขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะครับ
-
:o12:
:-[ :impress2: :laugh:
-
:m4:
+1 ให้อิเจ้ข้างบนกับผู้แต่งสำหรับการร่วมสร้างสรรค์ :L2:
ยังไงก็ยังสงสารเจ้าแดงอยู่ดี...ตอนหน้าหวานกันริมทะเลก็ดีจะได้ลดความเศร้า :เฮ้อ:
-
“พ่ออัชย์”
ร่างของผมปรากฏขึ้นอีกครั้งที่เตียงนอนเรือนหมอปีย์ นี่มันอะไรกัน
ด้วยอำนาจอันใด หมอปีย์ถึงสามารถดึงผมข้ามภพกลับมาได้
ผมลืมตาขึ้นหันไปมองเขา ก่อนที่เขาจะโผเข้ากอดผมแน่น
“อัชย์ เจ้าอย่าทิ้งเราไปเยี่ยงนี้อีก นี่คือคำสั่ง” เขาพูดน้ำเสียงสั่นเครือ
ก่อนที่สติผมจะขาดผึงและหมดสติไปในอ้อมกอดของหมอปีย์
คงจะเป็นสายใยแห่งความผูกพันของพ่ออัชย์กับหมอปีย์ :L1:
ว่าแต่ไปเที่ยวทะเลสองต่อสองจะมิเกิดอะไรขึ้นบ้าง...กระนั้นรึ
ตามลุ้นตอนต่อไป ขอบคุณครับ
-
กรี๊ดๆๆมาแล้วๆ
นั่งนับวันรอเลยนะ คิดถึงหมอปีย์
ตอนหน้าจะไปทะเลกันด้วย
โอ๊ย น่าอิจฉาจริงๆๆ
-
ทะเล ทะเล~ :impress2:
รออ่านนะคะ
-
รักพ่ออัชย์กับหมอปีย์ ม๊ากกกกกกกมากก :L2:
รออ่านนะคะ
-
ทำไมหมอดึงอัชย์มาจากโลกอนาคตได้ตอนที่อัชย์เหมือนจะกลับไปบ้านอ่ะ?
งงนิดๆแฮะ
แต่ตอนนี้ก้เหมือนกับไปฮันนีมูนเลย กิ๊วววววววววว
-
ยังแอบคิดถึงแดง
-
บรรยากาศพาไป...
รีบมาต่อนะคะ กำลังสนุกเลยค่ะ
-
ฮันนีมูนสิน่ะ..สนุกละซิ
-
ลุ้น ๆ ๆ ยังรออ่านอยู่นะครับ
-
ทะเล วู้~~~~
หมอปรีย์เหมือนจะรู้อะไรเลย ว่าพ่ออัชย์จะกลับไปที่ภพเดิม
ดันดึงกลับมาอีก โชคชะตา ด้ายแดงรึเปล่า อิอิ
รอตอนหน้าไปทะเล ความหวานคงกลบความเค็มนะจ๊ะ
-
ทะเล..ทะเล ....ทะเล หาดทราย ชายทะเล เรือนเล็กและสองเรา....
รออ่านตอนต่อไปค่ะ!!!!! :impress2:
-
จะได้ไปสวีทกันละ :m1:
-
คิดได้ไงคนแต่ง สุดยอดจริงๆ
ขอบคุณมากนะครับสำหรับเรื่องดี
บรรยายได้สุดยอดมาก ขอคารวะจากใจจริง
-
หมอปีย์ช่างหา สถานที่มาหลอกล่อ พ่ออัชย์ซะเหลือเกิน ฮ่าๆ
เดี๋ยวพ่ออัชย์ใจแตกกันพอดี
-
จะไปทะเลแล้วคาบบบบบบบบบบบบบบบ
ไปด้วยๆ
-
หมอปีย์ปลอบใจเจ้าบ้าจนหายซึมจนได้ ต่อไปก็ไปหวีดกันริมทะเลกันบ้างเถิดพ่อ
-
ชะอำสมัยก่อนนี่จะเป็นแบบไหนนะ ที่แน่ๆ คงสวยใสไร้มลพิษน่าดู
-
จะหวานแล้วๆๆๆ แอร๊ยยยย :impress2: :-[ :o8:
-
ไม่ค่อยเลยนะหมอปีย์ :laugh:
-
:laugh: :laugh: :laugh:
-
ชักอยากรู้ซะแล้วสิ
ว่าชายชายสมัยนั้น
เขาไปหวีตทะเลกันยังไง
อิอิ
ลุ้นๆๆๆ
มี ncป่าวน้าาา
-
โหย ไปสวีทถึงชะอำ!!!!!
-
พ่ออัชย์เสร็จหมอปรีย์แน่ๆไม่รอดแน่คราวนี้ อยากรู้ใครรุกใครรับ
แต่ สาธุของให้หมอเป็นรับทีเถอะ :call:
-
ให้มันได้กัน เอ้ย ให้มันได้อย่างนี้สิ ไปเที่ยวๆ
-
กรี้ดดดด ชอบแนวนี้มาก ดีใจจังมีคนเขียน ขอบคุณมากๆเด้อ
-
ไปฮันนีมูนกันเหรอ 5555 อย่าลืมขอแต่งงานนะ
-
กรี๊ดๆๆ หมอปีย์พาไปสวีทที่ทะเล
พ่ออัชก็รีบๆตกลงไปเถอะ คนอ่านลุ้นมากกก
-
พ่อหมอออออออ จะล่อหลอกอ้ายบ้าไปชมทะเลรึเจ้าคะ อร๊ายยยยยยยยย อยากเชยชมตอนหน้ายิ่งนัก
ปล. ติดใจเรื่องนี้อีกแล้ว กรี๊ดดดดดดด ชอบบบบบบบบบบบบบบบบบ
-
สนุกมากค่ะ สนุกด้วยเนื้อเรื่องและวิถีชาวไทยในอดีต ชอบเว่อร์ๆ อิอิ
ขอบคุณค่ะ
-
:call: :call:
-
อ่านเรื่องนี้แล้วรักประเทศไทยจริงๆครับ
เพิ่งมาอ่านครับ แต่ขอฝากตัวเป็นสาวกล่วงหน้า 555
ตอนหน้าไปเที่ยวกันแล้ววววววว เย้ :impress2:
-
ดัน ดัน ดัน คุณเป็ดคร่าาาาาาา หนูรออ้ายบ้ากับหมอปีย์อยู่นะคะ
-
งานนี้น้ำทะเลจะหวานแทนแน่ๆเลยค่ะ
รอนะคะ^^
-
ยังรอเจ้าบ้า กับหมอปีย์ อยู่น้า
:m13: :m13: :m13:
-
การไปตากอากาศสมัยนั้น มันไม่ง่ายอย่างที่ผมคิดเลย เพราะมัวแต่นึกว่ามันก็คงแค่เก็บของแพคกระเป๋า เตรียมแว่นกันแดด ครีมกันแดด แล้วก็ออกเดินทาง
แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย
หมอปีย์บอกผมในวันเสาร์ แต่มาพร้อมออกเดินทางจริงๆเกือบอีกอาทิตย์หลังจากนั้น
เพราะการไปตากอากาศสมัยก่อนนั้นไม่ได้ทำกันง่ายๆ เรือนที่ชะอำนั้น หมอจรัสได้สร้างไว้แต่ตัวเรือนเปล่าๆ มีแค่ห้องหับ ที่เหลือต้องเตรียมไปเองหมดเลย ทั้งที่นอนหมอนมุ้ง อุปกรณ์ทำความสะอาดบ้าน เครื่องครัว อาหารแห้งของในครัว หยูกยา
ต้องเตรียมไปเองหมด เมื่อเรื่องมันวุ่นวายขนาดนี้ หมอปีย์จึงจัดให้บ่าวไพร่เป็นคนตระเตรียม และนำบ่าวไปด้วยสองคน ผู้หญิงหนึ่งไว้ทำครัว ผู้ชายหนึ่งไว้คอยดูแลทั่วไป ส่วนสนนั้นได้รับมอบหมายให้ดูแลบ้านตอนหมอไม่อยู่
ผมเดินมาหาหมอปีย์ในบ่ายวันหนึ่งเขากำลังยืนชี้นู่นชี้นี้สั่งให้บ่าวไพร่ทำงาน
“เรายกเลิกไปชะอำกันดีมั๊ย ชั้นว่า มันวุ่นวายว่ะ” ผมส่ายหน้า
“วุ่นวายอย่างไร” เขาหันมาถาม
“ก็อย่างที่เห็น”
“ก็เป็นปกติ”
“ปกติอะไรวะ วุ่นกันทั้งบ้าน”
“แล้วเจ้าจักให้เราทำเยี่ยงไร”
“ก็ไปกันเงียบๆ กระเป๋าคนละใบ แค่นี้อ่ะ”
“ทำเยี่ยงนั้นมิได้ดอก ชะอำนั้นหาข้าวของลำบากนัก ของกินก็หายากหากมิถูกหอยถูกปูขึ้นมาเจ้าจักลำบาก ไหนจะหยูกยา เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาจะได้รีบรักษา” เขาอธิบาย
“ชั้นไม่คิดว่ามันจะเอิกเกริกขนาดนี้นี่นา เราไปพักผ่อนแต่ทำให้คนอื่นต้องลำบากกันขนาดนี้ มันจะสนุกตรงไหน”
ผมขยับตัวออกห่างจากหมอปีย์ เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่เข้ามาเพื่อสร้างความวุ่นวายให้กับพวกบ่าวไพร่ ผมเป็นใครที่จู่ๆโผล่มาในสภาพคนบ้าสติไม่ดีที่โวยวายอยากกลับบ้าน
แต่หมอปีย์กลับยกขึ้นมาเป็นแขกคนพิเศษ มีสิทธิเทียบเท่าเจ้าของบ้าน สามารถออกคำสั่งให้ใครในบ้านทำอะไรก็ได้
พวกบ่าวไพร่มักจะมองผมด้วยสายตาไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าผมมาในฐานะอะไร เป็นญาติฝ่ายไหนของบ้าน และพวกเขาควรทำตัวยังไง พอผมเข้ามาทุกอย่างในบ้านก็วุ่นวายกันไปหมด
จากบ้านที่เคยเงียบสงบ กลับมีเรื่องเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน
“เฮ้อ” ผมเผลอถอนหายใจเฮือกใหญ่
“หากเจ้ามิสบายใจที่จักไปกับเรา เรา เอ่อ............”เขาหลบสายตามองพื้นดิน “เราชวนคำแก้วกับสนไปด้วยกันก็ได้ ไปกันหลายๆคน เจ้าจักได้ไม่เบื่อ” เขาพูดน้ำเสียงไม่ชัดเจนนักก่อนที่จะหันหลังมุ่งหน้าเดินไปเรือนคำแก้ว
ผมยืนแน่นิ่งอยู่ที่เดิม ในใจเริ่มว้าวุ่นอย่างบอกไม่ถูก ผมกำลังค้านความรู้สึกตัวเองอยู่ในใจ ระหว่าง
“ก็ให้คำแก้วไปด้วยกันสิ แม่งเอ้ย ก็เขาเป็นแฟนกัน มึงจะอะไรกับมันมากมายวะ”
และ
“ไม่ได้นะเว้ย จะให้คำแก้วไปขัดจังหวะไม่ได้ โอกาสมาถึงทั้งที”
“หมอ!!!” และความรู้สึกแรกที่ผมรู้สึกก็ทำให้ผมพลั้งปากเรียกชื่อหมอปีย์ขึ้นมา
“ไม่ต้องหรอก เรา เอ่อ เราไปกันสองคนนี่แหละดีแล้ว” ผมพูด พลางรู้สึกเลือดสูบฉีดขึ้นหน้าอย่างแรงจนแก้มแทบระเบิด
หมอปีย์ยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว แววตาของเขาเป็นประกาย เขาพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะเดินกลับมาหาผม
“ไหนๆจะไปเป็นแฟนกันแล้ว ก็ขอให้มีอุปสรรคสักหน่อยแล้วกันนะ คำแก้วนะ ยกให้ง่ายๆมันก็ไม่ตื่นเต้นนะสิ” ผมคิดในใจ
“หมอปีย์เจ้า จักไปตี้ใดกันหรือก่ะเจ้า”
เหมือนใจนึก นึกถึงคำแก้ว คำแก้วก็มา
หมอปีย์หยุดกึก มองหน้าผมก่อนจะหันหลังกลับไปหาคำแก้ว
“คำแก้วเห็นหมอเก็บข้าวเก็บของตั้งแต่เมื่อเย็นวานแล้ว” เธอกลับมาพูดภาษาภาคกลางก่อนส่งยิ้มหวานมาให้หมอปีย์ และเลยมาที่ผม ผมยิ้มตอบไปแบบเหยเก
“เอ่อ เรา เอ่อ” หมอปีย์กระอักกระอ่วน ผมเห็นมันไม่ตอบสักที นึกขัดใจ
แม่ง!!!
“อ๋อ เราจะไปตากอากาศกันที่ชะอำกันน่ะ กำแห้ว จะไปด้วยกันมั๊ย” ผมพูดเสียงดัง ไม่ได้ตั้งใจให้น้ำเสียงมันประชดประชันแบบนั้น แต่มันออกมาเอง
“คำแก้ว คะเจ้าชื่อคำแก้ว” หล่อนยิ้มหวานจนมดจะไต่ขึ้นหน้าไปกัดริมฝีปากที่บาง ชมพูระเรื่อๆนั่นอยู่แล้ว
“คะเจ้าไปด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ หมอ” หล่อนทำท่าตื่นเต้น นี่ถ้าเป็นสมัยผม ผู้หญิงแบบคำแก้วต้องเต้นระริกๆดีใจจนตัวสั่นเป็นแน่
หมอปีย์ไม่ตอบอะไรได้แต่ยิ้มแห้งๆ
“ไปได้สิ แหม ก็เป็นแฟนกันไม่ใช่เหรอ จะเป็นผัวเป็นเมียกันแล้ว ทำไมจะไปด้วยกันไม่ได้”
เฮ้ย พูดออกไปได้ยังไง นี่ผมไปกินรังต่อรังแตนที่ไหนมานี่ แต่ก็ช่างแม่งเหอะพูดไปแล้ว
หมอปีย์นั้นยืนเก้เก้กังกัง ทำตัวไม่ถูก ส่วนคำแก้วนั้นเขินจนบิดม้วนเป็นเกลียว
ผมเห็นแล้วหมั่นไส้ยิ่งขึ้นไปอีก
“ถ้าหมอชวน คำแก้วก็จักไปด้วยนะเจ้าคะ แต่ว่าคงต้องเป็นหลังจากวันพรุ่งน่ะเจ้าค่ะ ที่เรือนคุณชั้นเธอมีงานทำบุญบ้าน เสร็จจากงานบุญแล้ว คำแก้วจะเร่งตามไปนะเจ้าคะ” เธอยิ้มร่า ราวกับโลกนี้นั้นเต็มไปด้วยตัวการ์ตูน ว้าว ดิสนี่ย์ชวนฝันที่ทำให้จินตนาการเคลิบเคลิ้ม
“แหวะ” ผมเอี้ยวตัวไปข้างหลัง แลบลิ้นแผล็บๆเหมือนตัวเหี้ย
คำแก้วยืนคุยกับหมอปีย์อยู่พักใหญ่โดยที่มีผมยืนหัวโด่ฟังเขาคุยกันกระหนุงกระหนิงอยู่ใกล้ๆ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องยืนอยู่ด้วย จะไปขี้ไปเยี่ยว ไปทำอะไรซะก็ได้ แต่เสือกไม่ไป
“ไว้คำแก้วจะเร่งตามไปนะเจ้าคะ หมอ” เธอส่งยิ้มให้หมอนั่น ก่อนจะชะม้ายชายตาแลมาที่ผม ถ้าผมไม่รู้สึกไปเอง ผมว่าเธอมองผมด้วยสายตาเหยียดๆนะ
เมื่อคำแก้วจากไปก็เหลือแต่ผมกับหมอปีย์ยืนอยู่ที่ริมรั้วต้นเข็ม บ่าวไพร่นั้นจัดของเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะขอตัวไปทำงานอื่น
“เจ้านี่ปากดีได้มิเว้นจริงๆ” เขาด่า แต่ผมยืนนิ่งทำหน้าอึนๆ
“เจ้าจักพูดเยี่ยงนั้นไปเพื่อการณ์ใด สมัยเรามันมิใช่เรื่องดีเรื่องงามที่หญิงชายจักไปนอนค้างอ้างแรมที่ไหนลำพัง”
“แล้วไปกับผู้ชายสองคน มันดีมันงามแล้วเหรอ” ผมตอกกลับเล่นเอาเขาไปไม่เป็นทีเดียว
“ชั้นรู้หรอกน่า ว่าที่จริงนายก็แค่แกล้งชวนชั้นไปเพื่อเป็นไม้กันหมาไม่ให้คนนินทา ใจจริงๆก็อยากจะไปกับแฟนของนายนั่นแหละ โธ่ อย่านึกว่าชั้นไม่รู้”
“อย่าทำมาเป็นอวดเก่ง รู้ดี เจ้ามันมิรู้อะไรเลยด้วยซ้ำ เจ้าบ้า” เขากลับมาเรียกชื่อผมแบบนี้อีกครั้ง
“เออ ชั้นมันไม่รู้อะไร ชั้นมันโง่ มันควาย มันบ้า พอใจรึยัง แต่ที่ชั้นเป็นแบบนี้ก็เพราะใครหล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะนา................”
อุ๊บส์ ผมเผลอพูดอะไรออกไป
หมอปีย์ผละไปเล็กน้อย เขาทำหน้าฉงน ก่อนจะค่อยๆเผยอยิ้มออกมา
“นั่นแน่ เจ้าจักบอกว่าที่เจ้าเป็นแบบนี้เพราะเรากระนั้นรึ” เขากระเซ้า
“บ้า “ ผมด่ามันกลับ กลั้นไม่ให้เขาเห็นรอยยิ้มจางๆ “ไม่ใช่นายหรอกโว้ย อย่าสำคัญตัวผิดไปหน่อย”
“ถ้ามิใช่เรา งั้นจะเป็นผู้ใดไปได้ ที่นี่เจ้าจักรู้จักใครสักกี่คนกัน” เขายังพยายามเค้นเอาความจริงจากผม
“เออน่า ไม่ใช่นายก็แล้วกัน” ผมเห็นท่าจะรับมือไม่ไหว เลยหมุนตัวกลับจะเดินขึ้นเรือน
“เจ้าหึงเราจริงๆด้วย” เขาเดินตามมาติดๆกระซิบที่หู ผมสะดุ้งเฮือก
“เฮ้ย” ก่อนจะถอยออกมาห่างจากหมอปีย์ “หึงเหิงอะไร ชั้นจะไปหึงนายทำไม ในเมื่อชั้นเป็นผู้ชายนะเว้ย ผู้ชาย นี่ไงดูสิ ชั้นเป็นผู้ชาย ชั้นไม่มีนม ผมไม่ได้ยาว ไม่มีนี่ด้วย” ผมเอามือจับเป้า
“แต่เจ้ามีนี่” หมอปีย์ก้าวเท้าเข้ามาชิดผมอีกครั้ง มือข้างขวาของเขาทาบลงบนอกข้างซ้ายที่ตอนนี้หัวใจผมเต้นตุบๆแทบจะระเบิดออกมานอกอก
ผมยืนแน่นิ่งราวกับถูกมนต์สะกด นี่ผมเป็นอะไรไป ไอ้ปอคนเก่งปากดี โมโหร้าย ขี้โวยวาย ทำตัวเฮงซวยไปวันๆคนก่อนหายไปไหนกัน ไอ้ปอคนนั้นใช่คนเดียวกับเจ้าอัชย์คนนี้จริงๆเหรอ
ทำไมตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่ามือของหมอปีย์กำลังเกาะกุมหัวใจที่เย็นชาของผม และค่อยๆพยายามกลับด้านของหัวใจให้สลับขั้ว จากบนลงล่าง จากซ้ายไปขวา จากหน้าไปหลัง เขากำลังทำให้ผมรู้สึกว่า ผมกำลังตกหลุมรักผู้ชาย
“เฮ้ย ผู้ชาย” เมื่อนึกถึงคำนั้นขึ้นมา สติที่เคลิบเคลิ้มไปกับน้ำเสียงที่นุ่มละมุน กลิ่นกายที่หอมเหมือนเด็กแรกเกิด แววตาที่อ่อนโยนแต่แฝงด้วยแรงปราถนาที่แรงกล้า ริมฝีปากที่เผยอโหยหา อุ้งมือที่อบอุ่นแต่หนักแน่น ก็กลับดีดผึงขึ้นมา
ดวงตาที่หรี่เล็กลงและเผลอยิ้มออกมาเมื่อครู่ บัดนี้ได้เบิกโพลงขึ้น ผมกระชากตัวเองออกจากหมอนั่นอย่างแรง
แต่
แต่
ไม่แรงพอที่จะสลัดเขาไปจากตรงนั้นและจากความคิดได้ หมอปีย์ดึงตัวผมกลับเข้าหาเขา ร่างของผมวืดเข้าไปหาเขาอย่างรวดเร็วจนรู้สึกได้ถึงสายลมแผ่วเบาที่ไล้เลียใบหน้า
ผมมารู้สึกตัวอีกที บัดนี้ผมได้เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างสิโรราบแล้ว
ไม่มีเรี่ยวแรงจะต้านทาน
ไม่มีคำพูดจะเปล่งออกมา
ไม่มีความคิดที่จะผลักเขาออกไป
บัดนี้ ผมกำลังโดนผู้ชายกอด...........................................โดยสมยอม
...
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมตื่นขึ้นมาเพราะเสียงปลุกแห่งรุ่งอรุณนั่นก็คือไก่ขัน ไก่ที่นี่จะขันเป็นเวลา ผมสังเกตมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว พอใกล้รุ่งจะมีไก่ตัวหนึ่งที่อยู่บ้านใครสักคนไกลออกไปจากเรือนหมอปีย์ขันขึ้นมาเป็นตัวแรก จากนั้นไก่บ้านถัดมาก็ขันตาม ตามด้วยบ้านถัดมา ถัดมา เรื่อยๆล้อกันมา จนถึงบ้านหมอปีย์ และจากบ้านหมอปีย์ก็เรื่อยไปจนถึงบ้านคุณชั้น และไปสุดที่คุ้งแม่น้ำปลายสายกระนู้น เป็นอย่างนี้อยู่ร่ำไป
เช้านี้น้ำค้างลงหนัก พื้นหญ้านั้นชุ่มฉ่ำไปด้วยหยดน้ำค้าง ผมอาบน้ำแต่งตัวอย่างมีความสุข เมื่อนึกถึงหน้าของหมอปีย์ ไม่รู้ทำไม แต่หัวใจมันพองโตอย่างประหลาดทุกทีเวลาที่นึกถึงหมอนั่นเอามือมาแตะที่อกข้างซ้าย และเวลาอยู่ในอ้อมกอดเขา หัวใจมันพองโตทุกทีซิน่า
แต่ถึงจะมีความสุขเพียงใด ผมก็ยังไม่ลืมเจ้าแดง เจ้าแดงยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำของผม แต่ตอนนี้ ความทรงจำเหล่านั้นกำลังจะกลายเป็นสิ่งสวยงาม แทนเรื่องเลวร้ายน่ากลัว ด้วยฝีมือหมอปีย์
“Morning” ผมทักทายอย่างสั้นๆกับหมอปีย์ที่กำลังยืนกำกับให้บ่าวไพร่ยกสัมภาระใส่เกวียน
“good morning. How are you today?”
“ Excellent and you?”
“so am I”
เรายิ้มให้แก่กันอย่างเป็นมิตรกันมากขึ้นหลังจากวันนั้น ผมนั้นไม่จำเป็นต้องพูดอะไร หมอนั่นมันคงรู้ เพราะฤทธิ์เดชผมลดน้อยลงไปมาก ไม่รู้สิ ผมเดาเอานะว่าเขาจะรู้
“นายตื่นนานแล้วเหรอ” ผมเดินมาเกาะล้อเกวียนฝั่งตรงข้ามเขา
“ใช่ ตื่นนานแล้ว ไม่สิ อันที่จริงเราไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ” เขายิ้มไม่เห็นฟัน
“อ้าว ทำไมหล่ะ”
“เราตื่นเต้น”
ผมหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี แต่แล้วก็ต้องหุบปากกระทันหันเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นคำแก้วกำลังเดินตรงมาหาพร้อมกับหนูวาด ในมือของหนูวาดนั้นถือห่อบางอย่าง
“หมอปีย์ หมอปีย์” เสียงหนูวาดเจื้อยแจ้ว วิ่งตรงมาหาหมอปีย์ “พี่หมอจักไปชะอำหรือเจ้าคะ หนูวาดอยากไปด้วยจังเลย แต่คุณป้ามิอนุญาต” หน้าของหนูวาดเจื่อนไปทันที
หมอปีย์เห็นรอยยิ้มที่จางหายไปของหนูวาด เขาคุกเข่าลงใกล้ๆ “เอาไว้คราหน้าพี่หมอสัญญาว่าจักพาหนูวาดไป ครานี้หนทางไกล ลำบากนัก”เขายิ้มอย่างอ่อนโยนให้หนูวาด ซึ่งนั่นก็ทำให้เธอยิ้มออกมาอีกครั้ง
ผมเห็นความอ่อนโยนในตัวหมอนั่นแล้วอดชื่นชมไม่ได้ ความอ่อนโยนนั้นแสดงออกมาอย่างจริงใจไร้มารยา
ไม่เหมือนกับ
“หนูวาด หนูวาด” คำแก้วกระชากมือของหนูวาดให้ออกมาจากหมอปีย์ “เชื่อพี่หมอเถิด พี่หมอมิโกหกพกลมดอก” หล่อนว่าพลางปรายตามองหมอนั่น
ผมนั้นเห็นมารยาผู้หญิงแบบนี้มานักต่อนักแล้ว ตอนอยู่ยุคสมัยผม เรื่องแค่นี้ทำไมผมจะมองไม่ออกว่าคำแก้วต้องการอะไร
“แต่เพลานี้ คำแก้วจักไปกับหมอด้วยนะเจ้าคะ คุณชั้นเธออนุญาตแล้ว อาจจักช้าไปสักสองวัน แต่ก็จักทันหมอเป็นแน่” เธอยิ้มอย่างมีจริต หันไปดึงห่อของในมือหนูวาด จนหนูวาดเซ
“ห่อสำรับเจ้าค่ะ คำแก้วลงมือปรุงตั้งแต่ไก่โห่ด้วยตัวเองเลยนะเจ้าคะ” เธอยื่นห่อข้าวให้หมอปีย์
“แต่พี่คำแก้ว ห่อสำรับนั้น คุณป้าเป็นคน.................”หนูวาดพลั้งปากพูดตามมาแต่ยังไม่ทันพูดจบ
“หมอเจ้าคะ” คำแก้วรีบพูดแทรกขึ้นมา “จัดเตรียมหยูกเตรียมยาไปแล้วหรือเจ้าคะ”เธอเบียดชิดหมอปีย์ มือทั้งสองข้างเกาะแขนหมอแน่น
ช่างไร้ยางอายผิดแผกจากสตรีในสมัยนั้นจริงๆ คิดถึงแม่รำพึงแล้ว คำแก้วนี่ไม่ได้สักครึ่งของความเป็นหญิงไทยในตัวแม่รำพึงเลย
ผมทนเห็นพฤติกรรมของคำแก้วไม่ไหว จะยืนดูอยู่เฉยๆมันก็คันไม้คันมือ ผู้หญิงมารยาเพียบอย่างงี้มันต้องเจอกับผู้ชายกร้านโลกอย่างผม
“เฮ้ย” ผมเบียดคำแก้วจนเธอกระเด็นออกไป “คำแก้วไม่ต้องเป็นห่วง หมอเนี๊ยะน่ะ” ก่อนจะคว้าคอหมอปีย์มากอด “ชั้นดูแลเอง ไม่ต้องห่วงนะ” พลางตบบ่าหมอปีย์เบาๆ
หน้าหมอปีย์ตอนนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง คำแก้วเองก็ดูจะมีสีหน้าประหลาดใจไม่น้อย
“หยูกยา อาหาร พร้อมสรรพ ถ้าหมอเหงา เดี๋ยวชั้นอาสาหาอีหนูๆให้หมอเอง” ผมยิ้มเยาะ ก่อนจะหันไปยักคิ้วกับหนูวาด ซึ่งดูเหมือนหนูวาดเองจะพอใจไม่น้อย
“ไปกันเถอะหมอ สายเดี๋ยวจะร้อน” หมอปีย์ถูกผมลากมาขึ้นเกวียน ส่วนคำแก้วนั้นยืนกัดฟันกรอดๆ
“ไปนะคำแก้ว หมอเนี๊ยะ ชั้นดูแลเอง”
เกวียนค่อยๆแล่นห่างออกไปเรื่อยๆ คำแก้วหันหลังเดินจ้ำอ้าวไปโดยไม่รอหนูวาด ซึ่งยังคงยืนโบกไม้โบกมือให้ผมกับหมอปีย์
“เจ้านี่ไม่เบาเลยนะ” หมอปีย์ยิ้มเหมือนรู้ทัน
“ไม่เบาอะไร”
“อย่ามาทำเป็นไขสือ”
“เฮ้ย อาราย พูดอะไรไม่รู้เรื่อง”
“เราดีใจนะ ที่เจ้าหึงเรา” เขายิ้มกดใบหน้ามองหน้าผม ในขณะที่ผมก้มหน้าหลบตาเขา
“บ้า ไม่ได้หึงเว้ย ชั้นก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง”
“ช่างเถิด ไม่ว่าจักอย่างไร เราก็สุขใจที่จะคิดว่าเจ้าหึง” แล้วเขาก็เงยหน้าทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง
รถเกวียนค่อยๆแล่นมุ่งหน้าไปทางท่าเรือ เสียงก๊องแก๊งๆของเครื่องครัวที่กระทบกันเพราะแรงโยก เราทั้งคู่ต่างหันหน้าออกนอกหน้าต่าง ทอดสายตา อารมณ์ และความรู้สึกให้ล่องลอยไปโดยไร้ซึ่งกฏเกณฑ์ใดๆ......อีกเลย
(http://image.ohozaa.com/i/62d/dsc05714.jpg)
-
จิ้มก่อนอ่าน
-
คำแก้วออกโรงเจ้าค่า
มารยาหญิง รึจะสู้มารยาชายยย
หมอปีย์น่ารักจังงง
-
คำแก้วแอบแรง เด๊ะจับตบเลย :beat:
ไปชะอำจะเป็นไงน้าาา :-[
-
แม่นางคำแก้วหางโผล่ซะแล้ววว
-
ว้าวๆๆๆ สนุกมากกก
-
คำแก้วก็ร้ายใช่เล่นนะเนี่ย
แต่ยังสู้เจ้าบ้าไม่ได้หรอก 555
-
จิ้ม ๆๆๆๆ
ชอบตอนนี้มาเลยค่ะ ในที่สุดอัชย์ของเราก็(เหมือนจะ)รู้ใจตัวเองซะที
นางคำแก้วเนี่ยรู้สึกว่าจะเยอะไปแล้วน่ะ อ่านแรก ๆ เหมือนจะเป็นตัวละครที่ไม่แรงนัก แต่จากการอ่านตอนนี้ไปแล้ว ทำให้รู้สึกว่าชีนิสัยเหมือนกับสาว ๆ สมัยนี้เลยค่ะ ^^ หวงออกนอกหน้า
สู้ ๆ น่ะค่ะ เป็ฯกำลังใจให้เสมอค่ะ
-
ขอตบนังคำแก้วด๋อยอะไรนี่หน่อยนะคะ :beat: มากมายเหลือเกิน
กรี๊ด อัชย์กับหมอปีย์จะไปหวีทหวานกันแล้วหรือเจ้าคะ ?
หมอปีย์น่าร๊ากค่ะ
-
คำแก้วแรงงงงงงส์ ไม่มีความเป็นหญิงงามเลยอ่ะ
-
อีคำแก้ว เเรงนะหล่อน ไม่มียางอายเอาซะเลย เเบบนี้ต้องโดน :beat: :beat: :beat: :m31: :m31: :m31:
จะได้ไปฮันนีมูนกันเเล้ว :o8: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
-
อ๊ากกกกกกกกก น่ารัก
เมื่อไหร่จะถึงชะอำซักที อิอิ
-
ในที่สุดก็ได้ไปเที่ยวทะเลกันแล้ว เย้ๆ
แต่แม่นางคำแก้วชีออกตัวแรงเกินไปไหม
-
คุณคำแก้วร้ายนะเนี่ยยยยยย ขอให้ตามไปไม่ทันนะ ฮ่าๆๆ
แต่หญิงไม่งามหรือจะสู้ผู้ชายกร้านโลกได้ ฮ่ะๆ เด็ดมากพ่ออัชย์
แต่หมอปีย์ยังลั้นลาอยู่ อร๊ายยยยย พ่ออัชย์เราหวงหมอออกนอกหน้าขนาดนี้
ช่วงนี้หมอแลดูรุกหนักเนอะ อิอิ (ที่จริงอัชย์ก็รุกหนักด้วยสินะ^^)
-
สะบัดบ๊อบใส่คำแก้ว หล่อนจงกลับไปหาอาอึ้มให้อาอึ้มปัดขนตาให้ซะเถอะ :laugh: อ่าวคนละเรื่อง :jul3:
โอกาสนี้มาถึงละ ได้อยู๋กันสองต่อสอง หมอปีย์จัดการรวบหัวรวบหางกินกลางตลอดตัวเลย กร๊าก :impress2:
-
เบื่อผู้หญิงแบบ"กำแห้ว" จริงจริ๊ง บรรยากาศเป็นใจ พิชิตใจพ่ออัชย์(กายด้วย)ให้ได้นะหมอ
-
มารยาหญิงของคำแก้ว กี่พันเล่มเกวียน อย่าได้อาจมาสู้ มารยาพ่ออัชย์ หลายคันรถบรรทุก อิอิ
-
มารยาหญิงของคำแก้ว กี่พันเล่มเกวียน อย่าได้อาจมาสู้ มารยาพ่ออัชย์ หลายคันรถบรรทุก อิอิ
:m20: :m20: :m20:
-
ตกลงที่ผ่านมา แม่หญิงเธอแอ๊บเรียบร้อยมาตลอดเลยใช่มะนี่ :laugh:
แอบแรดนะค๊า กำแห้ว o18
-
ก็เเค่คำเเก้ว o16
-
มารผจญอีกแล้ว
-
ต๊าย จะว่าไปแล้ว...................
ถ้าจะโทษคำแห้วแต่ฝ่ายเดียว ก็ดูจะวาย(Y)มากไปนิดนะคะ
อย่างไรเสีย ชีก็มีตำแหน่งเป็นคู่หมั้นคู่หมาย มีสิทธิ์จะมาจุ้นกับคุณหมอ
ส่วนหนึ่ง ต้องโทษคุณหมอปรีย์ด้วย ที่เหยียบเรือสองลำมาแต่แรก
(ถ้าเหยียบเรือสองแคม ก็แปลว่าเรือเพียงลำเดียว อิอิ)
(ลำนึง ก็ยัยแก้ว เป็นเรือสำรอง, อีกลำ ก็คือโอปอ(ล์) ชายในฝัน..55)
เพิ่มเติม ฤๅว่า ชีจะสังหรณ์ กำลังจะโดนแฮ้บคู่หมั้น หึหึ
๒๙๘ + ๑ = ๒๙๙
ขอบคุณนะคะ คุณ เซ็งเป็ด
-
เดี๋ยวนี้เจ้าบ้าไร้หัวใจ เริ่มมีหงมีหึงกับเค้าบ้างแล้ว
-
เป็นกำลังใจให้หมอ ไปชะอำจะได้หวานกันมั้ยเนี่ย มีมารผจญจนได้ อิอิ
-
อุ้ย สตรีไทยในอดีตมีแบบกำแห้วด้วยเร๊อะ
อัชชี่ แสดงให้เห็นไปเลยว่าคนสมัยใหม่แรงส์กว่าเยอะ 555+
ขอบคุณค่ะ
-
นี่แหละ มารยาหญิง ไม่ว่ายุคใด สมัยใด มันก็ไม่แตกต่าง จะต่างก็เพียงแต่วิธีการเท่านั้น :z2:
นายอัชย์นี่ก็ลืมตัวเอ หรือว่าตั้งใจ ถ้าใช่..... ไปทะเลเที่ยวนี้ ถึงไม่ใช่เสม็ด ก็อาจจะ ...... :haun4:
+1 ให้คุณนนท์ รอทะเล้ ... ทะเล
-
คำแก้วถอยไป เจออิหนูอัชย์เข้าไปไปต่อไม่ถูกเลย
ชิชิ
-
คำแก้ว หล่อนร้ายนักนะ
-
น่ารัก สุดๆ :-[
-
คำแก้วสตอจริง ๆ ดูแล้วยังไงไม่รู้สิ 55+
ส่วนหมอปีย์...น่ารักมาก ><
-
หญิงยุคนั้น ถ้ากร้านและกล้าได้ขนาดคำแก้ว บอกได้คำเดียวว่าพอๆกับหญิงโคมเขียว
เพราะยุคนั้น ไม่สิ แค่ยุคสมัยคุณแม่ยังเอ๊าะๆ ลูกสาวบ้านไหนร่อนแร่ไปนอนค้างอ้างแรมกับผู้ชาย เป็นได้ลือไปเจ็ดคุ้งน้ำ
ขนาดมีผู้ใหญ่สองฝ่ายไปด้วยเต็มเรือน ยังโดนติฉินนินทา ถ้าหล่อนกล้าตามไปโดยไม่มีผู้ใหญ่ไปด้วย
ญาติโกโหติกาก็เตรียมรีบแต่งเถอะ เพราะไม่งั้นคงต้องเอาปี๊บคลุมหัวเวลาเดิน
หรือว่าแม่คำแก้วหล่อนจะเป็นแม่ม่าย ถึงกล้าได้กล้าเสีย ออกอาการซะขนาดนี้?
-
โอ้ ในที่สุดธาตุแท้เอ็งก็ออกมาซะทีนะคำแก้ว
เชียร์พ่ออัชย์ให้หวานกับพี่หมอมากกว่านี้นะเจ้าคะ ><
เอาให้หวานจนทะเลที่ชะอำข้นเป็นน้ำเชื่อมเลยเน้อ :-[
-
นังชะนีมารยาร้อยเล่มเกวียนจริง ยัยคำแก้ว ชื่อออกสวยแต่จิตใจนี้เน่าเฟะ :angry2:
-
พ่ออัชย์ จัดไปหนักๆนะพ่อนะ
มารยาหญิงหรือจะสู้จริตชาย
-
นังคำแก้วจะจริตเกินมาหญิงเมืองเหนือไปแล้ว
หมอปีย์เป็นของพ่ออัชย์ ไม่มีวันสนใจหล่อนหรอกย่ะ
อย่าได้เจอนะ :z6: :z6: แล้วก็ :beat: :beat: :beat:
555555555555555555555555555555555555+
พ่ออัชย์เสร็จหมอปีย์แน่
-
และแล้ว...การเดินทางตามหาศิลามณีก็เริ่มต้นขึ้น :z1:
-
โอ้โห...ตอนนี้ เค้าพัฒนาไปแล้วจริง!!
เจ้าบ้า (ขอเรียกชื่อเดิมด้วยคน) แหม เอาใหญ่เลยนะ มีมาบอกว่ายกให้ง่ายๆไม่ได้ หมอเขาเป็นของพ่อตั้งแต่เมื่อใดรึ?! ทำมาหึงเรียกสาวเจ้าว่ากำแห้ว! (สมเป็นเจ้าบ้าจริงๆ จะมีใครคิดได้อีกเนี่ย) หลงหมอปีย์แล้วอ่ะเด้
ตอนนี้หวานจริงอะไรจริง ตอนหน้า เขี่ยแม่แห้วไป แล้วเก็บกำไรให้เต็มที่เลยนะหมอปีย์ เอิ๊กๆ
-
แหนะๆ พ่ออัชย์ เริ่มมีหง มีหึง ยอมรับว่ารักหมอแล้วล่ะเซ่ อั๊ยๆๆ :impress2:
จัดการนังชะนีแห้วให้หลาบจำเลยนะพ่อ ว่า หมอของข้า ใครอย่า(บังอาจ)แตะ o18
-
สงสัยยัยกำแห้วจะตามอัชย์มาจากกทม.
นิสัยเหมือนนางร้ายในละครเลย
-
คำแก้วรู้จักฤทธิ์เดชเจ้าบ้าน้อยไปซะแล้ววววววว
พ่ออัชย์เค้าเหมือนนายเอกน้ำเน่าที่ไหนเล่า รายนี้เค้าร้ายไม่หยอก ฮ่าๆๆ
-
เจ๊คำแก้วเนี้ยแรงผิดกับหญิงสมัยนั่นจิง แต่ชายหลงยุคอย่าอ้าบบ้านั่น แรงกว่า ปลื้มมมมมมมมใจจริง
-
อะโด่ยัยคำแห้ว ทีแรกนึกว่าจะเรียบร้อย
แอบร้ายนะย่ะ อย่างนี้อีชั้น :z6: สั่งสอนเองคร่า :laugh:
-
คำแก้วแรงอ่ะ
เล่นเจ๊แกเลยอัช เอาเลย :z6:
-
//พ่ออัชย์ o13
...ว่าแต่ พ่ออัชย์มาอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้วนะ เป็นห่วงว่าที่บ้าน(ปัจจุบัน)ของพ่อจะเกิดเรื่องจริงๆ
-
นังคำแก้ว แรด ตรบมาน
หนูปออออ ใจอ่อนขึ้นมาบ้างแล้วใช่ไหมมม
-
อ้ากกกก ยัยกำแห้ว เธอจะร้ายไปไหน!
แต่จะว่าไปกำแห้วร้ายแรงอีกก็ดีนะ จะได้เห็ยพ่ออัชย์หึง+แสดงความเป็นเจ้าของหมอปีย์แรงๆ (กว่านี้)
ดูท่าว่าไปเที่ยวทะเลครานี้ จักมิได้แค่ไปเที่ยวเสียเแล้ว
จักต้องมีอันใดแอบแฝงอยู่เป็นแน่ 55
-
คำแก้วแรงผิดมาดสาวเหนือเหวยยยย o22 มาแบบนี้ก็ตบตีแย่งชิงกับคุณเธอได้แบบไม่ต้องรู้สึกผิดแล้วล่ะ :laugh:
-
เง้อออ
เมื่อไรหมอปียืจะได้พูดคำนั้นซะทีน้าาาา
ลุ้นจนเหนื่อยยย :-[ :-[
-
คำแก้วร้ายมากโกหกไม่หลังหนูวาดฟ้องเลยเนอะ
อย่านี้อัชอย่าช้า แย่งหมอมาเลยไม่ต้องสงสาร
-
คำแก้ว มารยาหลายเหลือขนาด
แต่ยังไงก็สู้พ่ออัชย์มิได้ดอกนาง
หมอปรีย์ก็นะรุกซะจริงพ่ออัชย์มิใจอ่อนก็ให้รู้ไป
แต่ก็นะปากแข็งจริงๆ
รอตอนต่อไปค่ะ
-
อ่านไปอ่านมา มาหลุดฮา ตรงกำแห้ว ฮ่าๆๆๆๆ
-
:jul3:
ท่าจะจริง เรื่องเที่ยวของคนสมัยก่อน นึกถึงเมื่อตอนเด็กๆ
ไปเที่ยวกันทั้งครอบครัว ไปแค่บางแสน ยังขนยังกะจะย้ายบ้าน
หม้อกะทะไห ขนมนมเนย ผ้าห่มผ้าเช็ดตัว ฯลฯ เตรียมกันเป็นวัน
ปัจจุบันเหลือคนละกระเป๋า ไม่เกินชั่วโมงนอนตีพุงชายทะเลละ :laugh:
-
เริ่มมีหึงแล้ว ฮ่าๆๆๆ :laugh:
:L2: :L2: :L2:
-
คำแก้วนี่ร้ายจริงๆ :m16:
-
พ่ออัช o13
-
หวาย.. มีหึงหวงกันเสียด้วยย
อย่าเป็นผู้ร้ายปากแข็งนักเลยพ่ออัชย์
:impress2:
นังคำแก้ว :beat:
ปล.อ่านเรื่องนี้แล้วหนูรู้สึกผิดต่อบรรพบุรุษ :z3:
-
แหมๆๆ จริตเจ๊คำแก้วนี่ใช่ย่อยเลยนะเนี่ย
-
คำแก้วกล้าจัง...คนสมัยก่อนไม่น่ากล้าขนาดนี้ สารภาพมาซะดีๆว่าหลงยุคมาอีกคนใช่มะ555
-
พ่ออัช พ่อยังไม่มาอีกดอกหรือ
-
ถ้ามันไปลำบากขนาดนั้น คำแก้วคนเดียวจะตามไปไหวหรือ หรืิอจะยกครัวไป
-
เกวียนลากค่อยๆพาเราแล่นผ่านถนนดินดานสีขาวที่ฝุ่นคละคลุ้ง ผมนั้นหงุดหงิดไม่น้อยที่ปกติขับรถยนต์ ไม่เคยต่ำกว่า 100 แต่ต้องให้มานั่งเกวียนที่วิ่งเร็วกว่าเต่าคลานนิดเดียวแถมยังโยกเยกๆไปมาชวนคลื่นไส้ บ่าวสองคนที่หมอปีย์พาไปด้วยนั้นนั่งอยู่ด้านหน้าคอยบังคับเกวียน ส่วนผมกับหมอปีย์นั้น นั่งอยู่ด้านใน
“หมอ กี่ชั่วโมงถึงน่ะ” ผมถามเมื่อเห็นว่าตั้งนานแล้วทำไมถึงยังไม่ถึงท่าเรือเสียที
“หนึ่งวัน” เขาตอบน้ำเสียงกลั้วในลำคอ
“อ๋อ ชั่วโมงเหรอ”
“หนึ่งวัน” เขาย้ำอีกครั้ง
“หนึ่งวัน!!!” ผมทำท่าตกใจ ทวนเขาพูดเขาอีกครั้ง เพราะไม่เชื่อหูตัวเองว่าเขาจะหมายถึงอย่างนั้นจริงๆ
“อืม หนึ่งวัน” ดูเหมือนหมอนั่นก็ไม่เบื่อที่จะตอบ
“กลับ งั้นกลับ โอ้ย วันนึง จะบ้าเหรอตัวเธอว์ ไปชะอำวันนึง บ้ารึป่าว ชั้นขับรถไปไม่ถึงสามชั่วโมงก็ถึงแล้ว นี่วันครึ่งนี่ นายจะไปชะอำหรือจะไปชิคาโก้” ผมบ่นๆๆๆๆๆ
หมอปีย์ไม่พูดอะไร เขาคงชินกับความจู้จี้ขี้บ่นของผมไปเสียแล้ว
“กลับกันเหอะหมอ ชั้นไปไม่ไหวหรอก ตั้งวันนึงแน่ะ”
“เจ้าอยากกลับก็กลับไปคนเดียว เราหมายใจไว้แล้วว่าจักไป”
เอาละสิ เกวียนแล่นมาทางไหนก็ไม่รู้จะกลับเองได้ยังไง แววตาหมอปีย์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะล้มเลิกแผนการเดินทางหฤโหดเพื่อไปตากอากาศได้
“แล้วเราจะไปกันยังไง” ในที่สุดผมก็ตัดสินใจไปก็ไป แต่ก็ขอรู้ข้อมูลการเดินทางหน่อยแล้วกัน
“จำเป็นจักต้องโดยสารทางเรือ เหตุเพราะหลวงท่านทรงซ่อมแซมทางรถไฟสายใต้ ยังมิเปิดให้ใช้ เรือจักแล่นออกจากปากแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านแม่น้ำท่าจีนแลแม่กลอง ยี่สาน เพชรบุรี แล้วจึงเข้าชะอำ”
ผมนั่งฟังที่หมปีย์อธิบายก็ต้องถอนหายใจดังเฮือกแล้ว เพราะฟังๆดูแล้วมันช่างลำบนเสียนี่กระไร
แต่ก็เอาเถอะไหนๆก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ลองสักหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอกมั้ง
อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเกี่ยวกับการเดินทางทางเรือ เพราะความทรงจำที่ไม่ดีที่ผมเคยจมน้ำในครั้งนั้นยังคงหลอกหลอนอยู่ ผมกลัวว่าหากตกน้ำจมน้ำไป หากไม่ตายเสีย ก็คงต้องกลับสู่ภพเดิม แล้วจะไม่ได้กับมาอีก
ในที่สุดเกวียนก็พาเรามาสู่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาเอาสายแก่ๆเกือบเที่ยง แต่ถึงจะใกล้เที่ยงแล้ว แต่แดดที่นี่ก็ไม่ร้อนเท่าไหร่นัก อาจเป็นเพราะยังมีต้นไม้ต้นใหญ่ขึ้นหนาแน่นคอยดูดซับความร้อนเอาไว้ได้ หากเทียบกับยุคสมัยผม ที่บริเวณนี้คงเต็มไปด้วยตึกคอนกรีตสูงเบียดเสียดแข่งกันเป็นแน่
“เจ้าไปรอบนเรือก่อนเถิด ทางนี้เราจัดการเอง” เขาออกคำสั่งเสร็จสรรพ ผมก็ไม่ขัดข้องอยู่แล้ว เดินตรงขึ้นเรือโดยสารที่นำไม้กระดานมาวางพาดเป็นบันไดขึ้นเรือ
เรือลำนี้เป็นเรือลำขนาดกลางมีหลังคาคอยบังแดดบังฝน ด้านในนั้นเป็นเครื่องยนต์ไอน้ำที่ใช้ถ่านเป็นเชื้อเพลิง ผมเดินไปสำรวจดูรอบๆบริเวณ ผู้โดยสารส่วนใหญ่ของเรือลำนี้ จะเป็นพ่อค้าจากหัวเมืองปักษ์ใต้เสียส่วนใหญ่ ที่นำเอาอาหารทะเลแปรรูป ผลหมากรากไม้ มาค้าขาย แล้วนำพวกข้าวสาร ผ้า ยาจีนกลับไป
“เป็นอย่างไรบ้างพ่ออัชย์” หมอปีย์เดินเหงื่อไหลขึ้นมาบนเรือ ผมจับจองที่นั่งกาบซ้ายของเรือไว้แล้ว
“จะให้เป็นยังไงหล่ะ นั่งเรือกันวันครึ่งคงสนุกหละมึงเอ้ย” ผมยังไม่อยากที่จะใช้ชีวิตตั้งเกือบวันบนเรือแคบๆอย่างนี้นี่นา
“อดทนเอาหน่อยเถิด ขากลับจักได้นั่งรถไฟกลับ” เขาปลอบโยนอย่างอบอุ่นก่อนจะนั่งลงหอบใกล้ๆ
เสียงเครื่องยนต์เรือดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว ควันสีขาวพวยพุ่งออกจากปล่องด้านท้ายเรือ ก่อนที่เรือจะค่อยๆขยับเสียงดังครืนๆ
“มันต้องเสียงดังขนาดนี้เลยเหรอ” ผมตะโกนถาม หมอปีย์พยักหน้า
“ก่อนจะถึงชะอำกูไม่หูดับซะก่อนเหรอนี่”
เรือแล่นไปอย่างเอื่อยเฉื่อยไม่รีบไม่ร้อน น้ำทะเลที่ปากน้ำยังใสแจ๋ว ผมหันหลังกลับไปมองก็พบว่าที่ชายฝั่งนั้นเต็มไปด้วยต้นจากขึ้นหนาแน่นเขียวชะอุ่มไปหมด
ท่าเรือที่เรือแล่นจากมานั้นก็คับคั่งไปด้วยเรือขนาดต่างๆที่จอดเทียบท่ากันอยู่มากมาย ด้านบนฝั่งเป็นตลาดเล็กๆที่ขายของสด ที่เห็นได้มากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นปลาทูตัวโตๆน่ากิน
ชาวบ้านละแวกนั้นดูจะมีอันจะกินมากกว่าชาวบ้านในแผ่นดินที่ลึกเข้าไปในพระนคร อาจเป็นเพราะบริเวณนั้นเป็นเมืองท่าค้าขายที่สำคัญ บริเวณนั้นจึงดูจะเจริญกว่า
“เป็นอะไรไปหรือพ่ออัชย์ หน้าซีดเชียว” หมอปีย์ตะเบ็งเสียงถามแข่งกับเสียงเรือ ขณะที่ผมนั้นนั่งเหม่อมองออกไปนอกทะเล
“นายว่าเรือมันหมุนๆมั๊ย” ผมถาม
“ไม่นิ มันก็แล่นตรงตามปกติ”
“แต่เอ ทำไมชั้นเห็นมันหมุนยังไงไม่รู้”
“โธ่ เจ้าบ้าเอ้ย ท่าทางจะเมาเรือเสียแล้วกระมัง”
“ไม่หรอก เมาได้ยังไง ชั้นนั่งเครื่องบินเป็นว่าเล่น กะอีแค่เรือแค่นี้ จะเมาได้ยังไง” ผมยังปากเก่งไม่เลิก
ตอนนั้นยังไม่คิดว่าตัวเองจะเมาเรือ ก็จะเมาเรือได้ยังไง เรือแล่นยังกับเต่าคลาน
“แต่สีหน้าเจ้ามิใคร่ดีเลยนะ” หมอปีย์แสดงความห่วงใย
“เหย เด็กๆน่า ไม่ต้องห่วงหรอก นายจะไปไหนก็ไป” ผมโบกมือไล่
หมอปีย์คงเห็นว่าผมยังปากเก่งอยู่ คงไม่เป็นอะไรง่ายๆ จึงลุกขึ้นเดินออกไปสำรวจเรือ แต่ก็หันหลังมามองผมเป็นระยะๆ
“สงสัยยังไม่กินข้าวเช้ามั้งเลยมึนหัว” ผมพยายามหาเหตุผลมาอธิบายอาการที่เกิดขึ้น
เรือแล่นห่างออกไปจากชายฝั่ง จนตอนนี้ผมมองไม่เห็นชายฝั่งอีกต่อไป มีเพียงน้ำทะเลเวิ้งว้าง ฟองคลื่นกระเซ็นซ่านขึ้นมาคล้ายฟองเบียร์ ผมเพียงแค่ก้มลงมองฟองเบียร์เหล่านั้นก็ทำให้เริ่มรู้สึกถึงรสชาติของเบียร์เยอรมันดีๆแล้ว รสชาติของมันขมเฟื่อนเมื่อแตะปลายลิ้นในรสสัมผัสแรก แต่พอแล่นผ่านลำคอไปแล้วกลับรู้สึกหวานเจื่อนๆกลั้วอยู่ในลำคอ และรสหวานในลำคอนี้นี่เองที่ทำให้เกิดอาการเมา
“เหมือนเมาเลยแฮะ” ผมนึกในใจ พลางเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ เห็นชาวบ้านนั่งเรียงรายไปตามลำเรือ บางคนให้นมลูก บางคนนั่งคุยกัน แต่ภาพที่ผมเห็นนั้นเลื่อนลอยยังไงชอบกล
“หมอไปไหนวะ” ผมนึกถึงหมอทันทีเพราะเริ่มรู้สึกไม่ดีแล้วจริงๆ
รอบข้างผมตอนนี้แกว่งไปแกว่งมาจนตาลาย อารมณ์เหมือนตอนเล่นเรือไวกิ้งครั้งแรกที่ดรีมเวิร์ลยังไงยังงั้นเลย มันหวิวๆ หายใจไม่ค่อยออก สายตาเริ่มพร่ามัวสอดส่ายหาหมอปีย์ที่ตอนนี้ไม่รู้อยู่ที่ไหน
“หมอ หมออยู่ไหน ชั้น....................ไม่สบาย” ผมพยุงตัวเองลุกขึ้นยืนและพบว่าตัวเองแทบจะยืนไม่ไหว ขามันอ่อนแรงไปหมด มือทั้งสองข้างเกาะราวไปเรื่อย หรือว่านี่เราจะเมาเรือจริงๆ
“หมอ หมออยู่ไหน” ผมตะโกนเสียงแข่งกับเสียงเรือ ไม่สนใจว่าคนรอบข้างจะมองยังไง
“หมอ!!!!”
หมอปีย์ซึ่งกำลังยืนหันหลังสั่งงานบ่าวผู้ชายที่ติดตามมาด้วยหันมามองผม ทันทีที่เห็นผม สีหน้าของเขาก็แสดงอาการตกใจอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะกึ่งวิ่งกึ่งเดินมาหาผมที่แทบจะพยุงตัวเองไว้ไม่อยู่
“พ่ออัชย์ หน้าเจ้าซีดเผือด เราว่าเจ้าคงเมาเรือเข้าเสียแล้ว” เขาพยุงผมนั่งลง
“คงยังงั้นแหละหมอ” ผมเกาหัวแกรกๆ ต้องยอมรับความจริง “ช่วยชั้นหน่อยสิ ชั้นไม่ไหวว่ะ จะอ๊วก”
“อ๊วก?? คืออันใด” เขาทำหน้าสงสัย
“ชั้นหมายถึงอาเจียนน่ะ”
หมอปีย์นั่งมองหน้าผมไม่มีทีท่าว่าจะช่วยอะไร
“เฮ้ย ทำอะไรสักอย่างสิวะ หมอ” ผมโวยวาย
“จักให้เราทำอันใด เมาเรือเยี่ยงนี้ก็ต้องทนเอา ไหนเจ้าบอกเราเองมิใช่รึว่ามิได้เมา เรื่องเด็กๆ” แน่ะ ยังจะมาย้อนกูอีก
“เฮ้ย ก็นายเป็นหมอนี่หว่า หมอก็ต้องรักษาคนสิวะ”
“เรามิใช่หมอเทวดา จักได้รักษาได้ทุกโรค”
ดูมันตอบ ไร้ความปราณีเสียจริง
“เฮ้ย ช่วยชั้นหน่อยสิหมอ ชั้นจะตายแล้วนะ” ผมเริ่มเหนื่อย น้ำเสียงเริ่มอ่อนลง “จะตายแล้วนะ”
“มิมีผู้ใดเคยเมาเรือตายดอกพ่อ อย่าใจปลาซิวปลาสร้อยไปหน่อยเลย ประเดี๋ยวก็หาย ทนเอาหน่อย”
“ไอ่หมอแขกตี้ ไม่มีจรรยาบรรณแพทย์เอาเสียเลยนะมึง เห็นคนป่วยจะตายยังไม่ช่วย” ผมยังโวยวายไม่เลิก ล้มตัวลงนอน
แต่พอนอนปุ๊บมันแน่นหน้าอกขึ้นมาทันทีจนหายใจไม่ออก เหมือนๆกับมีก้อนกลมๆหนักๆมาทับ และเรือก็ยิ่งโคลงเคลงหนักเข้าไปอีกจนผมทนไม่ไหว ลุกขึ้นนั่งตามเดิม
“มองไปไกลๆสิพ่อ อย่าก้มลงมาคลื่น จักยิ่งเมา” เขาแนะนำ แต่ผมไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้นแล้วตอนนั้นนอกจากอาการ วิ้งๆที่ดังตลอดเวลาในหู
“หมอ” ผมสะกิด
“หือ” เขาหันมามอง
“ชั้น เออออออะ จะ อ๊วกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
น้ำใสๆจากปากผมพุ่งปรี๊ดใส่หน้าอกหมอปีย์อย่างแรง ผมอาเจียนออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ๆ ผมสาบานได้ว่าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ
จริงจริ๊ง
“หมอ” ผมร้องเรียกเขาด้วยความตกใจ เอามือเช็ดปาก และใบหน้าของตัวเอง หมอปีย์แน่นิ่งไปเหมือนคนถูกสาป ทำหน้าตาเลิกกลั่ก ผมเองก็ไม่รู้จะทำยังไงเอามือที่เช็ดอ๊วกที่ปากนั่นแหละ เช็ดเสื้อ เช็ดหน้าเขา
“หมอ ชั้น ชั้น ขอโทษ” มือไม้สั่น ไม่คิดว่าจะรักมันมากถึงขนาดอ๊วกใส่หน้ากันเลยทีเดียว
“หมอพูดอะไรสักอย่างสิ” ผมยังคงเอามือปัดๆป่ายไปทั่วใบหน้าเขา
“เจ้าบ้า” เขากัดฟันกรอด “จักให้เราพูดว่ากระไร ขอบใจที่อาเจียนใส่หน้าเรากระนั้นรึ”...............
หมอปีย์ลุกเดินหายไปหลังจากที่ผมหวังดี ยกมือที่เต็มไปด้วยอ๊วกเช็ดหน้าให้เขาไป เขาเดินจากไปอย่างเงียบๆ ปล่อยให้ผมนั่งคอพับเป็นปลาทูแม่กลอง รำพึงรำพันกับตัวเอง
“มันต้องเกลียดกูแล้วแน่ๆ ฮือๆ”
-
เรือยังคงโคลงเคลงเหมือนเดิม แต่โลกเหวี่ยงน้อยลง ผมหายใจหายคอโล่งขึ้น แต่ยังคงมึนหัวและรู้สึกหวิวๆในใจอยู่
เสียงคลื่นกระทบกาบเรือดังตึงๆ เสียงเด็กร้องไห้ เสียงชาวบ้านคุยกันจอแจไปหมด ผมยังคงนั่งฟุบอยู่ที่เดิมอย่างเดียวดาย.................
“เจ้าบ้า” มือของใครคนหนึ่งวางลงบนบ่าผม ไม่ใช่ใครหนึ่งที่ไหนหรอก
“หมอ” ผมเงยหน้าขึ้นมาเห็นหน้าหมอปีย์กลับมาในสภาพเหมือนเดิมก่อนที่จะถูกผมอ๊วกใส่
“หมอ หมอไม่โกรธชั้นใช่มั๊ย”
หมอปีย์ยิ้มอย่างอ่อนโยนเช่นทุกครั้ง “ไม่โกรธดอก เรามิเคยโกรธเจ้า แต่................” เขาเว้นวรรค “แต่อย่าทำแบบนี้บ่อยๆ เราจะพาลเมาอาเจียนเจ้าไปด้วย”
“หมอ T-T” ผมน้ำตาคลอซึ้งใจจริงๆ “ชั้นขอโทษ ก่อนจะโผเข้ากอดเอวหมอแน่นโดยลืมสนใจคนที่อยู่บนเรือนั่นด้วย
“เจ้าบ้า” หมอปีย์กระซิบกระซาบ “ทำอันใดของเจ้านั่น ดูเถิด ชาวบ้านชาวช่องเขาหัวร่อกันยกใหญ่แล้ว ปล่อยเรา” เขาแกะมือผมออก ในขณะที่ผมหันไปมองรอบๆข้าง
“อายด้วยเหรอ” ผมยิ้ม “สมัยชั้นเขาไม่ถือกันหรอกนะเรื่องแบบนี้นะ ผู้ชายทักทายกันแบบนี้เยอะแยะ”
“เรามิอายดอก หากเจ้ามิทำเยี่ยงนี้ในที่รโหฐาน ทีอยู่กับเราลำพัง ทำไมถึงมิกล้า” เขาสวน
ผมไม่ตอบ
“เราเอาสำรับมาให้ แล้วนี่น้ำ บ้วนปาก” เขายื่นลำไม้ไผ่ที่ถูกตัดเฉียงมาให้ผม ผมรับมาก่อนจะเทน้ำใส่ปากแล้วบ้วนลงทะเลไป
“เป็นเยี่ยงไรบ้าง ดีขึ้นไหม”
“ดีขึ้น ไม่ค่อยแน่นแล้ว แต่ยังมึนอยู่” ผมตอบก่อนจะแกะห่อใบบัวที่ข้างในมีข้าวสวยกับปลาดุกย่างและน้ำพริก
“งั้นกินอะไรรองท้องเสียหน่อยเถิด เป็นเพราะยังมิมีอาหารตกถึงท้องกระมัง ถึงได้เมาเรือหนักเยี่ยงนี้” เขาว่าพลางนั่งลงใกล้ๆผม
“แล้วนายหล่ะ ไม่กินอะไรหน่อยเหรอ” ผมถาม ไม่ได้เพราะเป็นห่วงหรอก แต่เพราะกลัวจะถูกอ๊วกใส่หน้าคืนตะหาก
“มิต้องเป็นห่วงเราดอก” เขายิ้ม “เราขอตัวไปดูคนไข้ที่ท้ายเรือก่อนนะ ท่าทางจะหนักกว่าเจ้ามากนัก” ก่อนจะลุกขึ้นยืน
“หมอ ใครเป็นอะไร”
“ชาวบ้านถูกเงี่ยงปลาดุกทะเลตำน่ะ”
ตะวันเลยหัวผมไปแล้ว เรือยังคงแล่นมุ่งหน้าไปตามทิศทางที่ถูกกำหนด ผมไม่รู้หรอกว่ามันใกล้จะถึงรึยัง เพราะมัวแต่นอนหมดแรงอยู่บนเรือ หลังจากการอาเจียนครั้งนั้น ผมก็ยังคงอาเจียนต่ออีกหลายครั้ง จนหมดเรี่ยวหมดแรง ส่วนหมอปีย์นั้น หายไปตั้งแต่เอาข้าวมาให้ผมกินในครั้งนั้นแล้ว
ผมลุกขึ้นยืนโงนเงนอยู่พักใหญ่ ก่อนจะตั้งสติแล้วออกเดินทางตามหาหมอปีย์ ถึงเรือลำนี้จะไม่ใหญ่มากนัก แต่ผู้คนที่เบียดเสียดแน่นกันอยู่บนเรือก็ทำให้การย่างก้าวแต่ละครั้งลำบากไม่ใช่น้อย
“หมอ” ผมร้องเรียก เมื่อเห็นหมอกำลังนั่งแกะผ้าขาวม้าที่พันเท้าชายคนหนึ่งออก
“คนนี้เหรอที่ถูกเงี่ยงปลาตำ” ผมไม่กล้ามองหน้าเขาชัดๆ ชายคนนั้นดูหน้าตาไม่น่าไว้วางใจยังไงชอบกล ไม่ใช่เพราะร่างกายที่ใหญ่โตกำยำของเขา ไม่ใช่เพราะหนวดเคราที่ขึ้นรกครึ้ม แต่เป็นเพราะแววตา ที่ดูแข็งกร้าวและเหมือนไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นั่นตะหากเล่า
หมอปีย์ค่อยๆแกะผ้าออกมาอย่างเบามือ น้ำเลือด น้ำหนองที่เกาะเหนียวหนืดอยู่ที่ผ้านั้นทำผมต้องเมินหน้าหนี
เขาไม่มีท่าทางเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ผมเสียอีกที่อดทนดูไม่ได้
หมอปีย์เอายาเม็ดกลมๆออกมาจากระเป๋าประจำตัวเขาสองสามเม็ดก่อนจะบดแล้วโปะไปที่แผล แล้วเอาผ้าขาวสะอาดพันทับไว้กันยาหลุดร่วง
“อีกมิเกินเย็นนี้แผลคงยุบ” เขาพูดอย่างอ่อนโยนเหมือนที่พูดกับคนป่วยทุกคนของเขา แต่แปลกที่ผมกลับรู้สึกว่าชายคนนั้นไม่ได้ซาบซึ้งอะไรเลย นอกจากมองหมอปีย์เหมือนเป็นเหยื่ออันโอชะในอาหารมื้อเย็น
“มานั่งทำอันใดอยู่ตรงนี้” หมอปีย์เดินตามผมมานั่งใกล้ๆ
“เมื่อไหร่จะถึงซะทีวะหมอ ชั้นอ๊วกจนจะหมดตัวอยู่แล้ว”
“ใกล้แล้วกระมัง นี่ก็บ่ายแก่ๆแล้ว เห็นบ่าวว่าจักถึงท่าเรือชะอำมิเกินค่ำ เหนื่อยมากไหม” เขาถาม น้ำเสียงที่ดูห่วงใยนั้นแสดงออกมาอย่างชัดเจนจนผมรู้สึกว่าความเหนื่อยที่มีอยู่นั้น กลับหายเหนื่อยไปปลิดทิ้ง
“ไม่เหนื่อยหรอก แต่เบื่อ”
“เบื่อเราด้วยหรือ” เขาแหย่
“เออ โดยเฉพาะนาย”
หมอปีย์หน้าเจื่อนลงทันที
“ทำไมเล่า”
“ไม่รู้”
“ทำไม เจ้าบ้า เรามันน่าเบื่อมากเลยหรือ”
ผมไม่ตอบ
หมอนั่นก็ไม่เซ้าซี้ถามอีก แต่กลับนั่งหันหลังให้ผมไม่ยอมพูดจา
ผมเองก็ไม่อยากจะง้อมันสักเท่าไหร่ โธ่ รู้ก็รู้ว่าแค่ล้อเล่น จะมาโกรธอะไรนักหนา
“พระอาทิตย์ตกดินสวยดีนะหมอ ว่ามั๊ย”
“............................”ไม่ตอบ
“ชั้นไม่เคยเห็นพระอาทิตย์ตกดินสวยขนาดนี้มาก่อนเลยว่ะ”
“...................................”
“เออ นี่ คนไข้นายเป็นยังไงมั่ง แผลแห้งรึยัง”
“....................................”
“หมอ”
“หมอ ชั้นคุยกับนายน่ะ ได้ยินมั๊ย”
“................................”
“ไอ้หมอ”
ผมกระชากแขนของหมอให้หันกลับมา และทันทีที่เขาหันหน้ามา ผมกลับเห็นดวงตาของเขาเอ่อไปด้วยน้ำใสๆ
“หมอเป็นอะไร ร้องไห้เหรอ” ผมถาม
“ปล่าว แค่แสบตาเท่านั้น” เขาขยี้ตา “เจ้าพูดอะไรนะ” เขาถามเหมือนสิ่งที่ผมพูดไปไม่เข้าหูเลย
“เฮ้ย พูดมาตั้งเยอะนี่ไม่ได้ยินเลยเหรอ”
เขาส่ายหัวด็อกแด็ก
“ชั้นถามว่านายร้อยไห้เหรอ”
“เปล่าเสียหน่อย เราจักร้องไห้เรื่องอันใด เราแค่หาวนอนน้ำตาก็เลยไหล” เขาหาวออกมาอีกครั้ง
“อ๋อ” ผมพยักหน้าเข้าใจ แต่ก็ยังอดคิดไม่ได้อยู่ดีว่าหมอนั่นแอบร้องไห้
“แล้วคนป่วยนายเป็นยังไงมั่ง” ผมถาม
“แผลคงจักแห้งแล้วกระมัง”
“ชั้นว่าเขาดู เอ่อ ไม่น่าไว้วางใจเลยอ่ะ” ผมนึกถึงหน้าผู้ชายคนนั้น
“เราเป็นหมอ เลือกรักษาคนไม่ได้ดอก อีกอย่างจะมองผู้ใดอย่ามองเพียงภายนอก ถึงหน้าตาเขาจะไม่น่าไว้วางใจ แต่ข้างในเขาอาจเป็นคนดีก็เป็นได้”
“เออ ขอโทษ ชั้นคงคิดมากไปเองแหละ นี่” ผมชี้ไปทางขวามือ “นั่นมันตลิ่งหรือเปล่า ที่เห็นไกลๆน่ะ” ผมตื่นเต้น
หมอปีย์เพ่งมองอยู่ครู่หนึ่ง
“ใช่ อีกไม่นานคงจักถึงชะอำ เห็นฝั่งมาไกลๆ บ้านเรือนละแวกนี้ทำจากไม้ไผ่เสียส่วนใหญ่ เราจำได้”
“เฮ้อ ในที่สุด” ผมบ่น “ก็ถึงเสียที”
-
ไม่แน่ใจว่าปาดหรือเปล่า
ถ้าไม่ปาดขอจิ้มทีนึง :z13: ถ้าปาดก็ขอโทษนะตะเอ๊ง
ปล.เจ้าบ้าของเราชอบทำให้หมอเสียใจอยู่เรื่อย ไม่มีหมอแล้วจะหนาว ชริ! :z6:
-
อยากมีแฟนเป็นหมอออออออ
จะอ่อนโยนไปไหนคะ หมอปรีย์
แล้วก็ถึงชะอำซะทีนะ
ตอนหน้าขอหวานๆค่ะ อย่าเพิ่งให้แม่นางคำแก้วมาเป็นกขคนะคะ
-
เจ้าบ้า บางครั้งก็พูดอะไรไม่คิดถึงใจหมอเลยนะ
จะ ซึน ไปถึงไหนคะ~!!! รอหมอตาย หรือว่าแต่งงานไปก่อนละค่อยมานั่งเสียใจก๋า~!!! :z3:
-
น่าสงสารหมอ
นั่งน้ำตาตกในอีกแระ
เจ้าบ้านี่ นิสัย!
-
เฮ้อ ชักเซ็งพ่ออัชย์ เดี๋ยวได้เจอ มคปด ฮ่วย
-
ไม่ชอบคนพูดไม่คิดถึงใจคนอื่น แถมรู้ตัวว่าพูดไม่ดีแล้วยังไม่ขอโทษอีก
เออ ไม่ใช่แค่แฟนนะ จะเป็นเพื่อน พ่อแม่ พี่น้อง คนรู้จักก็ไม่ควรทำอ่ะ
สงสารหมอปีย์น้ำตาตกใน :monkeysad:
-
ในที่สุดก็ถึงเวลาได้อ่านสักที เย้ :mc4:
สงสารหมอปีย์
-
เจ้าบ้าชอบทำหมอร้องไห้ ทำให้หมอเสียใจ มันเจ็บนะรู้มั้ยฮะ!! :angry2:
-
เจ้าบ้า พูดไรไม่คิดถึงจิตใจคนอื่นบ้าง มันน่าลงหวายนัก สงสารหมอปีย์ :กอด1:
-
ผมนั่งฟังที่หมอปีย์อธิบายก็ต้องถอนหายใจดังเฮือกแล้ว เพราะฟังๆดูแล้วมันช่างลำบากลำบนเสียนี่กระไร
ผมเพียงแค่ก้มลงมองฟองเบียร์เหล่านั้นก็ทำให้เริ่มรู้สึกถึงรสชาติของเบียร์เยอรมันดีๆแล้ว รสชาติของมันขมเฝื่อนเมื่อแตะปลายลิ้นในรสสัมผัสแรก
“คงยังงั้นแหละหมอ” ผมเกาหัวแกรกๆ ต้องยอมรับความจริง “ช่วยชั้นหน่อยสิ ชั้นไม่ไหวว่ะ จะอ้วก”
“อ้วก?? คืออันใด” เขาทำหน้าสงสัย
“เรามิอายดอก หากเจ้าทำเยี่ยงนี้ในที่รโหฐาน ทีอยู่กับเราลำพัง ทำไมถึงมิกล้า” เขาสวน
รโหฐาน แปลว่า ที่ส่วนตัว มีรั้วรอบขอบชิดครับ
เขาส่ายหัวด๊อกแด๊ก
“ชั้นถามว่านายร้องไห้เหรอ”
เฮ้อ การพูดจาอะไรออกไปโดยไม่ทันคิด เพียงเพราะต้องการปกปิดความเขินอายของตน มันทำให้คนฟังเสียใจจริงๆนะพ่ออัชย์เอ๋ย มิได้เป็นผู้ฟัง มิรู้ดอก
ปล. ถ้าผมจำไม่ผิด ยี่สาน นี่คือแถวๆ อัมพวา ใช่มั้ยพี่นนนี่ อิอิอิ :teach:
-
หมอ ขี้น้อยใจจังเลยอ่ะๆ
-
โอ๋ๆๆๆ :กอด1: นิ่งนะหมอน๊า >>>>>>>>>>..แว๊กวิ่งหนี :z6:
-
น่าตีก้นพ่ออัชจริงๆ ทำหมอน้ำตาซึมรู้ตัวไหม :a14:
-
ปากไม่ดีจริงๆแหละ ไม่ได้ช่วยทำงานหรือขนข้าวของอะไรสักอย่างยังเอาแต่บ่น แถมยังชอบพูดทำร้ายจิตใจอีก
-
พ่ออัชพูดกับหมอปีย์แบบนี้ได้ไง :m15:
-
หมอปีย์งอนแล้วล่ะ เหอะๆ แอบร้องไห้ด้วย T^T
-
เห้อออ หมอปีย์อย่าร้องไห้ไปสิ
เค้าก้อเศร้าไปกับหมอปีย์ด้วยนะเนี่ย :m15:
-
เจ้าบ้าเลิกซึนเลิกพูดจาทำร้ายจิตใจคนอื่นสักที คนฟังมันเจ็บ นึกถึงใจเขาใจเราบ้าง
ถ้าไม่มีหมอปรีย์คอยอยู่ข้างๆแล้วคนที่จะรู้สึกแย่ก็นายนั่นแหละ เฮ้อ
ว่าแต่จะเกิดเหตุอะไรก่อนถึงชะอำรึเปล่านะ
-
ทำไมหมอดูซึนๆจังเลย ฮ่าๆๆ
-
สมัยนั้นการแพทย์ยังไม่เจริญ ไม่งั้นหมอคงอยากผ่าตัดเอาหมาที่ปากพ่ออัชออกมาแล้ว
เฮ้ออ ตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ นายเอกของเรายังคงปากเสียได้เสมอต้นเสมอปลายจริง ๆ
-
หมอปีย์โชคร้ายโคตรๆตอนนี้ เจออ๊วกเจ้าบ้าเต็มๆ
แต่ไปชะอำที่เป็นวันก็เห็นทีจะไม่ไหวเหมือนกัน
-
เจ้าบ้้านี้น้าาาาา พูดไม่คิดอีกแล้ว
-
เจ้บ้าพูดไม่รักษาจิตใจพี่หมอเลย
-
สงสารพี่หมอ :o12:
รออ่านนะคะ :pig4:
-
สงสัยต้องจับเจ้าบ้าฉีดยาสักเข็มสองเข็มจึงจะหายบ้าสักที
-
เจ้าบ้านี่บ้าสมชื่อจริงๆ เชียว ไม่นึกถึงใจคนฟังบ้าง
หมอก็นะ จะอ่อนโยนไปถึงไหน
:L2: <<<<< ช่อนี้ให้คุณวี o13
-
อ้วกใส่หน้าคนอื่นได้ พ่ออัชเธอแน่มากๆ :laugh:
ขอบคุณค่ะ
-
ไปถึงชะอำคงไม่มีเรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้นหรอกน่ะ
-
หมอปีย์งอนอีกแล้วววว :z3:
งอนเก่งจริงนะหมอนะ555
-
แค่เมาเรือจริงๆสินะ ตอนแรกแอบคิดว่าอาถรรพ์อะไรซักอย่างซะอีก = =ll
หวังว่าถึงชะอำจะมีเรื่องสวีทๆมาให้กระชุ่มกระชวยหัวใจบ้าง คิคิ
-
นึกถึงอาการเมาเรือแล้วสยอง เป็นอะไรที่แย่มาก เข้าใจหักอกพ่ออัชละ
-
อยากเห็นฉากสวีทแล้วอ่า :z3:
-
เจ้าบ้าเนี่ย - - ขี้บ่นเหมือนกันนะเนี่ย
บ่นตั้งแต่ลงเรือยันจะขึ้นฝั่งอยู่แล้ว
แต่ว่า ... หมอร้องไห้จริงอ่ะ
แว๊ก เจ้าบ้าเอ็งไปทำอะไรหมอเนี่ย ไปปลอบด่วนเลย ><
-
:z2:
-
-*- ชิล์ๆ
ชังเจ้าบ้าขึ้นมาหน่อยนึงล่ะ
ปล.เมื่อไหร่จะหวานเต็มรูปแบบ ,,,,อยากให้ถึงคราวหม่อมผมลงหวายนะขอรับ.....เดี้ยวจะโดนมิใช่น้อย ^^
-
:z13: :z13: :z13:
-
เสียงเรือจอดเทียบท่าดังขึ้น พร้อมกับชาวบ้านที่ทะยอยลุกขึ้นอย่างกระวีกระวาด การเดินทางที่ยาวนานในวันนี้ ทำให้หลายต่อหลายคนบ่นอุบว่าเมื่อไหร่รถไฟจะซ่อมเสร็จ
ผมเองกับหมอปีย์นั้น นั่งรอให้ผู้คนซาเสียก่อน ไม่อย่างเบียดเสียดกันลงเรือ ทันทีที่ผู้คนลุกขึ้น สภาพบนเรือก็ไม่ต่างไปจากถังขยะดีๆนี่เอง เศษอาหาร เศษใบไม้ โดยเฉพาะเมล็ดแตงโมที่ชาวบ้านเอาขึ้นมาแทะแก้เบื่อระหว่างนั่งเรือก็เกลื่อนพื้นเต็มไปหมด
ผมนั้นนั่งเท้าคางมองขึ้นไปบนฝั่ง ที่พอมีแสงแดดยามเย็นสีเหลืองทองส่องให้เห็นใบไม้ ต้นไม้ที่ขึ้นโปร่งตากว่าที่ปากน้ำมาก อาจเป็นเพราะดินบริเวณนี้เป็นทราย ต้นไม้ส่วนใหญ่ จึงไม่เติบโตเท่าดินแถวปากน้ำ แต่กระนั้นผมก็ยังเห็นเจ้าสัตว์ร่วมโลกตัวน้อยที่ห้อยโหนไปมาอยู่ไม่ไกล
“หมอ ดูนู่นสิ” ผมชี้ไปที่ลิงแสมฝูงหนึ่ง ที่กำลังปีนป่ายต้นไม้ไปมา อาจชินตาสำหรับคนที่นี่ แต่สำหรับผมนั้น มันช่างชวนให้คิดว่า จริงๆแล้ว ความเจริญคือสิ่งที่โลกต้องการ หรือแค่มนุษย์ต้องการเท่านั้น ในยุคสมัยผมไม่มีภาพแบบนี้ให้เห็นอีกแล้ว ที่ไหนมีมนุษย์ที่นั่นมีการพัฒนา ในขณะเดียวกันมนุษย์ก็ทำลายไปด้วย
“เจ้ามิเคยเห็นลิงแสมรึ” หมอปีย์หันมาถาม “ที่บ้านเจ้าไม่มีแบบนี้รึ”
“ไม่มีหรอก ชั้นเพิ่งมาเห็นตัวนึงก็ตอนมาอยู่บ้านนายนี่แหละ ดูเหมือนจะเป็นลิงแขกเสียด้วยนะ” ผมด่ากระทบมัน ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่บันไดเรือ ปล่อยให้หมอปีย์นั่งเกาหัวด้วยความงุนงง
“หมอแล้วเราจะไปยังไงกันต่อหล่ะ” ผมหันไปหันมา
หมอปีย์ก็หันไปหันมาคล้ายกับกำลังมองหาใครสักคน
“เราส่งข่าวให้ชาวบ้านที่ดูแลเรือนรับรองของหมอเจอราร์ทมารับ ป่านนี้ทำไมยังมิมา” เขาทำท่าร้อนรนกระวนกระวาย
“โห อะไรวะ ยังต้องไปอีกเหรอ ไม่ไหวแล้วนะ กูเมื่อยยยยยยยยยยยยย” ผมทิ้งตัวนั่งลงบนขอนไม้ผุใกล้ๆด้วยความเหนื่อยอ่อน
หมอปีย์เองก็ดูจะทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน บ่าวสองคนที่ตามมาด้วยก็ถือของพะรุงพะรัง ผมจะขอช่วยถือ แต่เธอก็ไม่ยอม คงกลัวหมอปีย์ดุ
“เอาไงหมอ เหนื่อย หิว ง่วง” งอแงเป็นเด็กๆน่ารำคาญ แต่ตอนนั้นผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
“อ้าวหมอ!!!” เสียงชายแปลกหน้าร้องทักมาจากด้านหลัง ผมหันไปมอง
“อ้าว” หมอร้องตอบ คนป่วยของหมอที่หมอรักษาตอนอยู่บนเรือนั่นเอง เขากับพรรคพวกอีกสองคนกำลังขับเกวียนมาทางที่เรากำลังยืนอยู่พอดี
“จักไปบ้านใดกันเล่าหมอ”สำเนียงของเขาดูแปล่งๆไม่เหมือนกับเสียงคนพระนครเลย สำเนียงนั้นดูแข็งกระด้าง ดุดัน
“เราจักไปบ้านนายางน่ะ อาการเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“ดีขึ้นโขแล้วหมอ ถ้าไม่ได้หมอ ข้าคงจักแย่ เอาอย่างนี้ไหม หมอ ขบวนข้ากำลังจะไปทางนั้นพอดี ท่านไปกับข้ามั๊ยหล่ะ ทิ้งบ่าวไพร่ให้รออยู่ที่นี่”
หมอปีย์ทำท่าครุ่นคิด เขาหันมามองผม ผมเองก็มองไปที่กลุ่มคนเหล่านั้นอย่างไม่ไว้วางใจเท่าไหร่ พลางหันไปส่งสายตาว่า ไม่ ให้หมอปีย์
หมอปีย์เองก็ดูท่าจะคิดไม่ตก เขามองผมเป็นระยะๆ
“เอาสิ แต่เราขอพาคนป่วยไปด้วยอีกคนนะ” หมอปีย์ชี้มาที่ผม “พอดีเขาเมาเรือ ไม่มีเรี่ยวแรง จักทิ้งไว้ที่นี่ก็เห็นว่าคงลำบาก”
ชาวบ้านสี่คนนั้นหันไปซุบซิบๆกันครู่หนึ่ง
แสงแดดยามเย็นยังคงสาดส่องมารำไร ไม่มืดเสียทีเดียว นั่นทำให้ผมเห็นใบหน้าของพวกเขาถึงจะไม่ชัดเจนนัก แต่ก็พอจะบอกได้ว่า มันไม่น่าไว้วางใจ
“หมอ จะดีเหรอ ชั้นว่ามันไม่น่าไว้ใจนะ” ผมลุกขึ้นไปกระซิบข้างหูหมอ
“เอาเถิด ไม่มีอันใดดอก ใกล้จักมืดค่ำแล้ว เจ้าเองก็เหนื่อยเต็มที เราจักให้บ่าวสองคนรอคนมารับแล้วตามเราไปทีหลัง ส่วนเรากับเจ้า ล่วงหน้าไปก่อน”
“ได้ๆหมอ ขึ้นมาเลย เบียดกันหน่อยนะหมอ” ทั้งสี่คนกระตือรือร้นจัดที่จัดทางให้ผมกับหมอนั่ง หมอปีย์หันไปสั่งให้บ่าวสองคนรอที่นี่แล้วตามไปสมทบทีหลัง ส่วนผมนั้นทันทีที่ขึ้นเกวียน ก็มองไปรอบๆทันที
เกวียนของคนทั้งสี่นั้นเต็มไปด้วยอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นมีด เคียว ขวาน และที่ข้างๆกันนั้นมีหัววัวตั้งอยู่ด้วย
“พวกข้าเป็นพ่อค้ามีด ค้าขวานน่ะ” หนึ่งในนั้นพูดขึ้นมาเมื่อเห็นว่าผมนั้นมองด้วยท่าทางไม่ไว้ใจ
หมอปีย์กระโดดขึ้นมาใกล้ๆผมพร้อมกับสัมภาระในสะพาย ตามด้วยชายคนที่ขาเจ็บนั่งขนาบเราทั้งสามคน
สรุปว่า ผมกับหมอปีย์นั่งเกวียนมากับชายแปลกหน้าสี่คนที่หน้าตาเหมือนโจรทุกกระเบียดนิ้ว ผีสางตนใดถึงดลใจให้ไอ้หมอบ้านั่งรถมากับคนพวกนี้
ระหว่างทางพวกเขาคุยกันเป็นระยะๆ แต่ผมไม่ได้สนใจหัวข้อสนทนาพวกนั้นหรอก สัณชาตญาณบางอย่างบอกผมว่า มันต้องมีอะไรไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้นแน่นอน เหตุผลนั้นทำให้ผมไม่สนใจตอบคำถามของชายแปลกหน้าพวกนั้น ว่าผมมาจากที่ไหน แต่ผมกำลังมองหาทางหนีทีไล่ หากเกิดเหตุการณ์ไม่ดีเกิดขึ้น จะได้เอาตัวรอดได้
“ถึงแล้วหมอ” ชายคนที่ขาเจ็บพูดขึ้น “หมอลงตรงนี้นะ พวกเราจักต้องแยกไปอีกทาง ส่วนหมอเดินตรงไปทางนี้” เขาชี้ไปทางขวา ซึ่งขณะนี้เรากำลังอยู่ที่ทางสามแพร่ง “เดินไปยังมิทันได้เหงื่อก็ถึงแล้ว” เขาว่า ก่อนจะรีบขับเกวียนออกไปอย่างลุกลี้ลุกลน
“เอาไงหล่ะทีนี้น่ะหมอ จะไปถูกมั๊ยเนี๊ยะ” ผมว่า ตอนนี้สองข้างทางมืดแล้ว แต่โชคยังดีที่คืนนี้เป็นคืนเดือนแรม พระจันทร์ยังส่องแสงให้เห็นทางอยู่บ้าง
“ไปตามทางที่พวกนั้นบอกเถิด เราว่าคงไม่ไกลดอก เจ้าเห็นแสงตะเกียงลิบๆนั้นมั๊ย”
“บอกตรงๆว่ะ หมอ ว่า...................กูเหนื่อย” ผมกระแทกเสียงอย่างแรงด้วยความหงุดหงิด “ถ้ารู้ว่าเหนื่อยขนาดนี้นะ กูไม่มาหรอก ห่าเอ้ย มาเที่ยวชะอำหรือว่าเที่ยวป่าหิมพานต์กันแน่วะ”
“เราขอโทษ ที่ทำให้เจ้าเหนื่อย อดทนอีกหน่อยเถิด ไม่ไกลก็คงจักถึงแล้ว”
“นายไปเหอะหมอ ไปถึงเมื่อไหร่แล้วค่อยเอารถมารับ ไม่ไหว เหนื่อยแม่ง ไม่มีแรงแล้ว” ผมนั่งลงอย่างหมดเรี่ยวแรงจริงๆ
“แล้วเจ้าจักให้เราทำเยี่ยงไร เราทำดีที่สุดแล้ว” หมอปีย์เองก็คงหงุดหงิดไปไม่น้อยกว่าผมเท่าไหร่
“ไม่ต้องทำอะไรหมอ ไม่ต้องทำอะไร เลิกทำอะไรเพื่อคนอื่นซะที” ผมซัดหมัดนี้เข้าไปหมอปีย์ถึงกับสะอึก เขานิ่งไปครู่หนึ่ง
“เราขอโทษ”
“อ้อ แล้วก็อีกอย่าง อย่าพูดคำว่าขอโทษพร่ำเพรื่อ มันไม่มีค่าหรอกนะ ถ้านายพูดมันบ่อยๆ”
“เราก็แค่อยากพาเจ้ามาพักผ่อน........เท่านั้นเอง” น้ำเสียงหมอปีย์อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
“ชั้นบอกแล้วไงว่าไม่ต้องๆ นายก็ไม่เชื่อชั้น เป็นไงหล่ะ มาหลงป่าอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ชั้นยังไม่อยากตายอยู่ที่บ้านป่าเมืองเถื่อนแบบนี้หรอกนะเว้ย”
หมอปีย์นิ่งงัน เขาไม่พูดอะไรไปชั่วครู่
“ไปกันเถิด ค่ำแล้ว” ในที่สุดเขาก็พูดขึ้นมา
“ไปเหอะ นายจะไปไหนก็ไป ชั้นจะรออยู่ตรงนี้แหละ”
“แต่...........”
“ไปดิ๊” ผมตวาดขึ้นมาด้วยความโมโห ความอดทนที่ผ่านมาขาดสะบั้นลงทันที ความรู้สึกที่มีกับหมอปีย์ตอนนี้มันเหมือนกับคนที่รู้สึกว่า ใครคนหนึ่งทำอะไรไม่ดั่งใจเราเลยสักอย่างเดียว
หมอปีย์เดินจากไปอย่างเงียบๆ เขาหันหลังมามองผมอีกครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะหายลับไปหลังพุ่มไม้ใหญ่ด้านหลัง
ผมนั่งหอบหายใจแรงด้วยความโกรธ เซ็ง และเหนื่อย ตอนนั้นไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น ความรู้สึกที่มีเพียงแค่ ไม่อยากจะเดินแม้แต่ก้าวเดียว
เสียงจักจั่นเรไรร้องระงมป่า ผมยังคงนั่งทอดขาอย่างอ่อนแรงบนพื้นใบไม้แห้ง ข้างหน้าเป็นทางเกวียนที่แล่นเข้าไปยังหมู่บ้าน ผมยังเห็นแสงตะเกียงรำไรจากที่นั่น และข้างหลังผมก็เป็นชายทะเล ที่ที่ผมนั่งเกวียนมา หากผมยังนั่งต่ออยู่ที่นี่ ไม่ช้าไม่นาน ขบวนของบ่าวหมอปีย์ก็คงผ่านมา
“กรอบแกรบๆ” เสียงคนย่ำเท้าเหยีบใบไม้แห้งดังขึ้นเว่วๆ ผมชะเง้อคอมองหา ในใจนึกว่าน่าจะเป็นเสียงขบวนของบ่าวหมอปีย์ หรือไม่ก็เป็นชาวบ้านแถวๆนี้ที่เพิ่งกลับมาจากหาปูหาปลา
“กรอบแกรบๆ” เสียงดังใกล้ๆเข้ามา แต่แทนที่เสียงนั้นจะดังขึ้น แต่มันกลับคล้ายกับคนเดินย่องอย่างค่อยๆยังไงยังงั้น
“ใครวะ” ผมตะโกนถามด้วยความไม่สู้จะวางใจนัก
“กูถามว่าใคร” ผมทำใจดีสู้เสือตะโกนถามอีกครั้ง แต่ไม่มีเสียงตอบรับเลย
ใจคอเริ่มไม่ดี ที่นี่แปลกที่แปลกทาง ถึงมันจะเป็นผืนแผ่นดินไทยเหมือนกัน แต่มันคนละยุคสมัยกับผม อะไรก็เกิดขึ้นได้สำหรับที่ที่กฎหมายเข้าไม่ถึงแบบนี้
ผมหันไปคว้าไม้เหมาะๆมือกำแน่นไว้ใกล้ตัว
“เฮ้ย กูถามว่าใคร ถ้าไม่ตอบกูฟาดไม่ยั้งแน่” ผมลุกขึ้นท่าทางเอาจริง
สักพักเสียงเหยียบเท้าก็ดังขึ้นอีกครั้ง ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา
ผมใจเต้นไม่เป็นจังหวะ นึกถึงหมอปีย์ขึ้นมาทันที
“ใครรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรร!!” ผมควบคุมตัวเองไม่ได้อีกแล้ว ความมืดที่คืบคลานเข้ามานั้น ทำให้ผมยิ่งประสาทแดกมากขึ้นไปอีก
“เจ้าบ้า เราเอง” หมอปีย์โผล่หน้ามาจากโคนต้นประดู่ต้นใหญ่ มันทำหน้าทะเล้นอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ก่อนจะฉีกยิ้มร่า
“ไอ้ ไอ้ ไอ้บ้า ไอ้หมอบ้า เชี่ย กูตกใจหมดเลย แม่ง” ผมถอนหายใจโล่งอก ทิ้งไม้ที่กำแน่นในมือ “เล่นบ้าอะไรของมึง กูตกใจหมดเลย แม่งเอ้ย”
“ก็เราเป็นห่วงเจ้านี่นา” เขาทำหน้าได้น่าสงสารมาก “ดึกดื่นมืดค่ำ เจ้าจักอยู่ที่นี่คนเดียวได้อย่างไร เรารู้ว่าเจ้าเหนื่อย แต่อดทนอีกหน่อยเถิด พ่อ อีกเพียงแค่ชั่วเคี้ยวหมากแหลกก็จักถึงที่พำนักแล้ว”
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ เหนื่อยใจกับหมอปีย์เสียจริงๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมมันต้องเป็นห่วงผมมากขนาดนี้ โตๆกันแล้ว แถมยังเป็นผู้ชายอีกด้วย
“นายนี่มัน.............”ผมนึกคำด่าไม่ออก “เฮ้อ ไอ้หมอปีย์ขี้เท่ยเอ้ย ไป ไปก็ไป” ในที่สุดผมก็ทนลูกตื้อหมอปีย์ไม่ไหว
หมอปีย์ส่งยิ้มให้ผมเหมือนกับจะบอกเป็นนัยๆว่า ดีแล้วหล่ะ เพราะกูเหนื่อยที่จะตื้อมึงเหลือเกินแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่าผมทนลูกตื้อมันไม่ไหวจริงๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนใครที่มาเร้าหรือกับผมมากขนาดนี้ มีหวังหัวแตก
“เหนื่อยมั๊ยวะ ที่ต้องคอยตื้อ ตามดูแลชั้น บอกตรงๆนะ ชั้นไม่ต้องการหรอก ไม่ต้องลำบาก ชั้นดูแลตัวเองได้” ผมพูด
“เจ้ามิต้องการ แต่เราต้องการ”
สั้นๆแต่ได้ใจความ
เราสองคนเดินกันมาเงียบๆ เสียงย่ำบนใบไม้แห้งเป็นจังหวะสลับกันไปมา เสียงนกกลางคืนเริ่มร้อง ฝูงค้างคาวบินโฉบไปมาอยู่เหนือหัว ป่าโปร่งริมทะเลเมื่อครู่ บัดนี้ได้กลับกลายเป็นป่าพุ่มเตี้ยระดับเอวที่สามารถมองเห็นหมู่บ้านได้ชัดเจนมากขึ้น
หมอปีย์เดินตามหลังผม เขาพยายามรักษาระยะห่างเอาไว้เหมือนกลัวว่าผมจะสติแตก วิ่งหนีเตลิดหายเข้าป่าไปยังไงยังงั้น
เสียงฝีเท้าของเขาแผ่วเบาราวกับแมวป่า แตกต่างจากฝีเท้าช้างเหยียบของผมสิ้นเชิง
“แกรบบบบบบบบบบบ” แต่แล้วจู่ๆผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าประหลาดดังแทรกขึ้นมา มันไม่ใช่ฝีเท้าผม ไม่ใช่ฝีเท้าหมอปีย์
เสียงนั้นดังมาจากขวามือด้านหลัง
“แกรบบบบบบบบบบบบบ” ไม่สิ ดังมาจากซ้ายมือต่างหาก
“แกรบบบบบบบบบบบบ”
เราทั้งคู่หยุดกึก ผมมองหน้ามองปีย์ แสงจันทร์ทำให้ผมเห็นแววตาที่แสดงอาการตกใจไม่ต่างจากผม
“do you hear anything?” ผมถามเขาเป็นภาษาอังกฤษ เผื่อว่าเสียงนั้นอาจเป็นเสียงไม่ชอบมาพากล
“ Yes,” เขาพยักหน้ารับ “ be careful, do not stay away from me” เขาบอกให้ผมอยู่ใกล้ๆเขา และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมเชื่อฟังเขาโดยไม่มีข้อกังขา เขยิบมาใกล้เขาอย่างหวาดระแวง
“what’s that noise?” สายตาของผมเพ่งกวาดไปทั่วในความมืด
“I don’t know”
คำตอบกระซิบกระซาบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือนี้นี่เองที่ทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่า นี่มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาเสียแล้ว
“กรอบแกรบๆๆๆ” เสียงดังถี่ขึ้นๆ
จนในที่สุดภาพที่ปรากฎให้เราทั้งคู่เห็นตรงหน้านั้นทำให้เราทั้งคู่สะดุ้งสุดตัว
“เฮ้ยยยยยยยยยยยย”
เสียงชายในชุดไอ้โม่โพกหัว ปิดหน้าปิดตา ตวาดลั่น ในมือของเขานั้นถือมีดยาวเกือบศอกชี้มาที่เรา
“จะไปไหนค่ำๆมืดๆ” มันยังมีหน้ามาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ เราทั้งคู่ไม่พูดอะไร หมอปีย์สะกิดมือผมให้หันหลังเพื่อวิ่งหนี แต่ทันทีที่หันหลังก็พบชายในชุดไอ้โม่อีกคนยืนดักอยู่แล้ว
“ Dam it!! Who are you” ผมเผลอสบถเป็นภาษาอังกฤษ
“พวกเจ้าเป็นใคร ต้องการสิ่งใด” หมอปีย์แปลให้ แต่มันสุภาพเกินไปมั๊ยหมอ
“พวกเราเป็นใคร ฮ่าๆๆๆ” พวกมันหัวเราะกันเกรียวราวกับหนังอาฉลองก็มิปาน ผมเพิ่งสังเกตุเห็นว่าขวามือของเรามีพวกมันมาสมทบอีกคน “แต่งตัวเยี่ยงนี้ พวกข้าคงเป็นขุนนางกระมัง”
“กวนตีน” ผมบ่นเบาๆไม่ให้มันได้ยินกลัวโดนทืบ
“ไอ้พวกโง่เอ้ย ข้าจะบอกให้เอาบุญ ละแวกนี้ไม่มีใครไม่รู้พวกข้าหรอกโว้ย เสือเผือดแห่งบ้านชะอาน” มันพูดเหมือนภูมิใจกับฉายากะโหลกกะลานี้มาก
“ไม่รู้จักว่ะ รู้จักแต่เสือใหญ่” ผมตอบไม่ได้ตั้งใจจะกวนส้นตีนมันแต่อย่างใด เพียงแต่เคยดูละครที่ พี่นกฉัตรชัยเล่นตอนเด็กๆ
“ปากดีนักนะมึง” เสือเผือดเงื้อมือจะฟาดปากผม แต่หมอปีย์ดึงผมเข้ามาเสียก่อน
“เราสั่งให้เจ้าสงบคำประเดี๋ยวนี้ เจ้าบ้า เก็บปากเจ้าไว้ต่อปากต่อคำกับเราจักดีกว่า” หมอดุ
“เรามิมีสิ่งที่เจ้าต้องการดอก เรามาตัวเปล่า สัมภาระหีบหับยังอยู่ที่บ่าวไพร่” หมอปีย์เจรจา
“อย่ามาทำปากเก่งอีกคนนะ อ้ายหมอ” เสือเผือดพูด นั่นทำให้ผมตกใจว่ามันรู้ว่าหมอปีย์เป็นหมอได้อย่างไร หมอปีย์เองก็เช่นกัน ผมเดาเอาว่าพวกโจรเถื่อนนี่มันต้องสะกดรอยตามเรามาจากท่าเรือแน่ๆ
“พวกมึงรู้ได้ไงว่าไอ้แขกนี่เป็นหมอ” ผมแกล้งถาม
“มิใช่ธุระกงการอันใดของเจ้า เจ้าเจ่กหงี” ผมทำหน้าเบ้ทันทีที่ได้ยินคำด่า “เอาของมีค่ามาให้หมด มิเช่นนั้น พวกข้าจะหมกเอ็งทั้งสองคนให้เป็นผีเฝ้าป่าอยู่ที่นี่.........................เหมือนพวกนี้” เสือเผือดพูดพลางชี้ไปที่ที่เราเหยียบอยู่ ผมก้มลงมองด้วยความสงสัยว่าพวกนี้ที่มันหมายถึง คือพวกไหนกันแน่
และทันทีที่ก้มลงมองผมก็พบว่าผมกำลังยืนอยู่บนเนินเล็กๆขนาดเท่าคนนอน ไม่ใช่มีเพียงเนินเดียวแต่ยังมากอีกหลายทีเดียว
“อะไรวะหมอ” ผมหันไปถามหมอ
“หลุมศพ” เขาตอบหน้าตาเฉย แต่ผมนี่สิ อ้าปากค้าง นิ่งไปเลย “เราขอร้อง อยู่เฉยๆเถอะพ่อ”
“พี่เผือด ปล่อยพวกมันไปเถอะ พี่ ดูท่าว่าพวกมันจะมาแต่ตัวเสียจริงดังคำ ข้าว่าเราดักรอปล้นเกวียนมันมิดีกว่ารึ คงจะมีของโขอยู่” โจรที่ยืนกุมเชิงอยู่ด้านขวามือผมพูด ผมหันไปมองเขาด้วยประหลาดใจ ดูท่าทางโจรคนนี้จะไม่เต็มใจที่จะทำแบบนี้
“พูดอะไรของมึง ริจักเป็นโจร อย่าใจอ่อน” เสือเผือดตวาดลั่น จนผมเองสะดุ้งเพราะรับรู้ได้ถึงความเหี้ยมโหดในน้ำเสียง
“ส่งของมาสิวะ เฮ้ย” แล้วเขาหันมาตวาดลั่นใส่พวกเรา
“ก็กูไม่มีอะไรจริงๆนี่เว้ย เฮ้ย” ผมเริ่มหงุดหงิด “ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่หมอยกับไข่ มึงจะเอามั๊ย” เลือดขึ้นหน้า ถามว่ากลัวมั๊ย กลัว แต่ตอนนี้มันมากกว่าความกลัว ความเหนื่อย ล้า หิว ง่วง หงุดหงิด มันมากมายเกินกว่าจะให้มานั่งกลัว
หมอปีย์ทำท่าตกใจที่ผมพูดไปอย่างนั้น เขากำลังจะเอามือมาปิดปากผม แต่ไม่ทันเสียแล้ว เสือเผือดกระชากแขนผมออกไปก่อนจะฟาดปากผมด้วยหลังมือเสียงดังปั๊ก
“...................”
ผมล้มลงกับพื้น รู้สึกชาที่หน้าและมึนหัว น้ำหนืดๆไหลซึมออกมาจากปาก ผมเอามือแตะปากก็พบว่า
“เลือด”
ตอนนี้ร่างของผมสั่นเทิ้มไปทั้งตัว เสียงหายใจพ่นฟืดฟาดด้วยความโกรธ ความตายไม่ใช่สิ่งที่ผมกลัว แต่ศักดิ์ศรีต่างหากที่มันมาทำกับผมแบบนี้ไม่ได้
“มึง” ผมกัดฟัดกรอดเงยหน้าขึ้นไปมองอย่างเอาเรื่อง เป็นจังหวะเดียวกับที่ไอ้เผือดจ่อปลายดาบมาที่คอผม
“หยุด!!!” หมอปีย์ปรี่เข้ามาห้าม “อย่าทำอะไรชายผู้นี้เลย มันเป็นบ้า เป็นคนจรจัดที่เราเอามาเลี้ยง ไม่มีสมบัติติดตัวใดๆมาดอก หากจักเอา มาเอากับเรา”
ดูเหมือนคำของหมอปีย์จะทำให้ไอ้เผือดพอใจไม่น้อย เขาเลิกสนใจผม หันไปย่างสามขุมหาหมอปีย์แทน หมอปีย์ยืนนิ่งใจดีสู้เสือ ผมสังเกตุเห็นว่าเขายืนกำบางสิ่งบางอย่างไว้ในมือแน่น
“แล้วในตัวเจ้ามีอะไรให้พวกข้าได้รึ” สมแล้วที่เป็นโจร ท่าทาง แววตา คำพูดของโจรคนนี้ทำให้เหยื่อประสาทแดกได้ไม่ยาก
“ที่ตัวข้าไม่มีดอก แต่หากเจ้าต้องการเราจักพาเจ้าไปเอาที่เรือน ที่นั่นมีหีบสมบัติที่จักทำให้เจ้าสบายไปทั้งชาติ แต่ข้าขออย่างเดียว ปล่อยเจ้าบ้านี่ไปเถิด มันไม่มีประโยชน์อันใดกับเจ้า รังแต่จักทำให้เจ้ารำคาญ”
ไอ้เผือดได้ฟังคำนั้นเขานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจดึงดาบที่จ่อคอผมกลับ เขาดูจะพอใจกับข้อเสนอของหมอปีย์มาก จึงหันมาเล่นกับเหยื่ออย่างหมอปีย์แทน
“แล้วข้าจักรู้ได้เยี่ยงไรว่าเจ้าจักมิหลอกพวกข้า”
“หลอกพวกเจ้า” หมอปีย์หัวเราะ ผมว่านะ ไอ้พวกโจรนั่นคิดผิดอย่างแรงที่ไปเล่นกับเหยื่ออย่างหมอปีย์
“หากมิเชื่อคำเรา เจ้าก็มิได้อันใดไปอยู่แล้ว เจ้าก็เห็นอยู่แล้วนี่ว่าพวกเรามิมีของมีค่าอันใดติดตัวมาเลย”
“ใช่พี่ หมอพูดถูก เราไปเอาของที่เรือนพวกมันกันไม่ดีกว่ารึ” โจรคนเดิมที่แสดงความใจอ่อนออกมาเมื่อครู่พูด
ผมลุกขึ้นยืนข้างๆหมอปีย์
“ปล่อยเจ้าบ้านี่ไป แล้วเจ้าจักได้ทุกอย่าง” หมอปีย์พูด แววตาของเขาแข็งกร้าว ไม่มีความเกรงกลัวปรากฎในแววตาให้พวกนั้นเห็นแม้แต่น้อย
แต่ในขณะที่เขาพูด หมอปีย์ได้ยัดบางอย่างที่เขากำไว้แน่นใส่มือผม สิ่งๆนั้นขดม้วนเป็นเกลียว เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ผมเหลือบไปมองหน้าหมอ แต่เขา ไม่หันกลับมามองเลย
“เจ้าไปได้ เจ้าเจ่กหงี ไปให้ไกลถ้ายังไม่อยากถูกฝังเป็นผีเฝ้าป่าช้านี่” เสือเผือดสั่ง ก่อนจะเอาด้ามดาบกระทุ้งเอวให้หมอปีย์เดินนำหน้าไป
“หมอ” ผมร้องเรียกก่อนจะก้าวเท้าเดินตามเขาไป หมอปีย์ไม่หันมามอง เขาตั้งหน้าตั้งตาเดินไปเหมือนเชลยศึก โจรอีกคนหนึ่งเง้อดาบจะฟันผมเมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ ผมจำเป็นต้องหยุดนิ่ง และยืนมองหมอปีย์เดินหายไปด้วยหัวใจที่ปวดร้าว
ผมยืนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน ในสมองตื้อตันไปหมด คิดไม่ออกว่าต้องทำยังไง เสียงฝีเท้าของพวกเขาดังแว่วอยู่ไกลๆ แต่ผมทำอะไรไม่ถูก
หรือผมจะกลับไปตามคนมาช่วยดี
ผมหันหลังกลับทำตามที่หมอปีย์บอก จะว่าผมเห็นแก่ตัวก็ได้ เพราะลำพังผมคนเดียวจะทำอะไรพวกนั้นได้ สู้กลับไปตามคนมาช่วยไม่ดีกว่าเหรอ”””””””””””””””””””””””””
-
อว้ากกกก ได้จิ้มด้วยๆๆๆ
อูอา...ขอให้หมอปลอดภัยเตอะนะ
หมอเอาอะไรให้เจ้าบ้ากันน้อ
ติดตามต่อไป คนเขียนสู้ๆนะครับ^^
-
หมอปีย์แย่แล้ว :serius2:
-
เง้อออ ตัดฉึบๆแบบนี้ เจ้าบ้าก็ห่วงหมอปีย์แย่เลยซี่
-
ขอให้หมอปลอดภัยยยยยยยยยยยยยยยยย
-
รีบวิ่งไปหาคนมาช่วยดjวนเลยพ่ออัชย์!!!
-
เราเริ่มจะไม่ชอบเจ้าบ้าละนะ บางครั้งนายก็พูดจาได้หน้ากระทึบจริงๆ
ที่มีชีวิตอนู่ได้ในโลกนี้ก็เพราะมีหมอช่วยทั้งนั้น พูดอะไรคิดถึงใจหมอบ้าง
ถ้าไม่ใช้หมอประคบประหงมแกตายตั้งกะกุ้งตำเท้า ปานนี้โดนทุบตีอยุ่ที่ตลาดแล้ว
ปล. ขอให้การกระทำของหมอครั้งนี้ทำให้แกคิดอะไรได้บ้างนะ ขอให้หมอปลอดภัย
-
จะไปเดทกันทั้งที
ไหงมาเจอเรื่องแบบนี้ได้เนี่ยยย :angry2: :angry2:
ดีเนอะ โจรสมัยนู้น มันไม่ปล้ำผู้ชาย
-
เจ้าบ้ารีบตามคนมาช่วยหมอปีย์ด้วยนะ :sad4:
-
หนทางมิได้ราบลื่นอย่างที่คิดไว้เลย
การเดินทางที่แสนจะลำบาก ยังต้องมาเจอกับพวกโจรป่าอีก
แล้วจะเป็นยังไงต่อไปล่ะ ก็ได้แต่หวังว่าเมื่อผ่านพ้นเหตุการณ์ร้ายไปได้
พ่ออัชย์คงเข้าใจและเห็นใจหมอปีย์มากขึ้น :กอด1:
-
ปากดีจริง ๆ อัช ปากพาคนอื่นเดือดร้อนเสียด้วย เฮ้อ
-
หมอ แมนมาก :กอด1:
-
พี่เซ็งเป็ดสร้างคาแรคเตอร์นายเอกได้น่ากระทืบจริงๆ :laugh: แต่ก็ realistic ดีนะ ดูเป็นคนจับต้องได้พอเข้าใจอยู๋ว่าก่อนหน้าจะย้ายสัมมะโนครัวข้ามเวลามาอดีตเจ้าบ้าเป็นคนจำพวกลูกคนรวยนิสัยไม่ดี
แต่หมอปีย์จะเป็นยังไงต่อ พ่อหมอของช้าน :serius2:
-
งืม.....น้องอัชย์ ไปหาคนมาช่วยพี่หมอให้ได้น่ะ :m31:
ว่าแต่พี่หมอเอาไรยัดใส่มือน้องอ่ะ
-
อ๊ากกกกกกกก มาให้ค้างแล้วก็จากไป
ตอนนี้หมอปีย์เท่ห์มากๆเลยอ่า
สุขุม ไม่เลือดร้อนเหมือนพ่ออัชย์
รอตอนต่อไปค่ะ ลุ้นๆๆ :m31:
-
ตอนนี้หวาดเสียวจังเลยยย
กลัวว่าทั้งสองจะเป็นอะไรไป
ขออย่าให้ทั้งสองคนเจอเรื่องร้ายๆอะไรอีกเลยน้าาา :serius2: :serius2:
-
นายเอกของเราช่างปากเก่งเหลือเกิน = = " ปลาหมอจะตายเพราะปากซะละมั้งเนี่ย
-
เหมือนเด็กนะเจ้าบ้า
-
ไม่นะ หมอปีย์
เจ้าบ้าไปตามคนมาช่วยสิ
-
หมอปีย์สู้ๆ :ped149:
-
เอาละไง งานเข้า
กว่าจะได้เที่ยวทะเล ไอ่โจรเวรรรร :angry2: :angry2:
-
หมอ :monkeysad:จะเปนไรมั้ยอ่า
ไอ้โจรไม่รุ้บุญคุณคน :angry2: โด่
-
:call:
-
หมอปีรย์ อย่าเป็นอะไรนะ
พ่ออัชย์รีบไปช่วยหมอปรีย์เร็วๆเข้า
โจรมันโง่เชื่อดิ :a5: :a5: :a5: :a5:
-
ขอให้หมอปลอดภัยด้วยเถอะค่ะ :sad4:
-
:beat: ขอสั่งสอนเจ้าบ้าสักที งี่เง่าจนทำให้หมอลำบากเห็นไหม
ตอนหน้าต้องช่วยหมอให้ได้นะ พร้อมทั้งยกสมบัติที่มีติดตัวให้หมอไปด้วย เป็นค่าทำขวัญ
-
หมอปีย์!!!!
นายอัชย์รีบหาคนมาช่วยเร้ววว
-
ปากดีตลอดอ่ะ
หัดเงียบไว้ก็ไม่เสียหลายหรอนะ ไอ้บ้า
-
อะโห้ๆ
รีบวิ่งไปเลย,,,เจ้าบ้า
ไปหาคนมาช่วยหมอปีย์ ณ บัดนาว!!~?
-
หมอแย่แล้วววว
ลุ้นๆๆๆๆๆๆ
:pig4:
-
พ่ออัชย์รีบๆไปตามคนไปช่วยหมอไวๆ
-
พ่ออัชย์ปากพล่อยเสมอต้นเสมอปลายจริงเฟร้ย
ก็เข้าใจนะว่าไม่เคยเดินทางอะไรลำบากขนาดนี้จะหงุดหงิดก็ไม่แปลก เฮ้อออ มอบโล่ให้หมอปีย์ดีมั้ย อดทนเป็นเลิศจริงๆ
แล้วนี่จะเป็นยังไงบ้างล่ะเนี่ยหมอ..เป็นห่วงๆ
-
แว้ก แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป?
สิ่งใดเล่าที่หมอส่งให้เจ้าบ้า?
โอ้ว มีแต่ง.งู 2 ตัว ค่ะ
ขอบคุณค่ะ
-
อะไรในมือหมอหว่า่ :m28:
-
เจ้าบ้านี่หนา หมอปีย์ออกจะแมนขนาดนี้ยังเรื่องเยอะอยู่ได้
-
อ้าก กก หมอเเย่เเล้วอ่ะ ไิอ่โจรเลว ชั่วช้ามากกก ก
น่าจะโดนโปลิสจับเสียให้หมด อิอิ
รีบมา่ต่อนะคะ
-
โธ่ พี่หมอคนดี ศรีสยาม
หน้าตาดี นิสัยดี สุภาพบุรุษ น่าเอ็นดู อยากได้แบบนี้ซักคนจริงจริ๊งงงงง
มาต่อไวไวนะคะ ลุ้นว่าคุณหมอสุดหล่อจะรอดไหม เจ้าบ้าจะช่วยพี่หมอได้ไหมม นั่น อนาคต สามีหล่อนนะ
-
o22
เวรกรรมของพ่อหมอสุดหล่อ...ทำคุณบูชาโทษซะแล้ว :เฮ้อ:
-
หมอปีย์อย่าเป็นอะไรไปเลยนะ :call:
ขอให้อัชย์ไปตมคนมาช่วยได้ด้วยเถ้ออออออออออออ
-
เอ๊ะ ยัดอะไรใส่มือมา อ๋อ แคปซูลแปลงร่าง
-
ดูท่าก็รู้ว่าโจร หมอก็ ...... ไปเชื่อเค้าทำไม T,T
-
ยัดเบอร์โทรใส่มือใช่มะ กลับไปอีกภพแล้วค่อยให้โทรมาจีบกันใหม่ :laugh:
-
สวัสดีคับ พึ่งเข้ามาอ่านเรื่องนี้วันแรก แต่ขอสารภาพ ว่าติดเรื่องนี้ซะแล้ว อ่านแล้วอิ่มใจจัง ไม่มีฉากunseenให้หวาดเสียว แต่ก็อ่านไปเขินไปยิ้มไป แต่ก็ไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นยังไงต่อไป อยากให้ตอนจบคงจะสุขสมหวังจังคับ น่าจะมีความสุขที่สุดในโลก อ่านวันเดียวหมดเลย ชอบมากกกกก ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆ มีสาระและความรู้ จะติดตามผลงานตลอดไปนะคับ
ปล.อ่านนิยายเรื่องนี้แล้วนึกถึงเพลงนี้ขึ้นมา
http://www.youtube.com/watch?v=9Ly5Afn70gI&NR=1
ลมเอย เพลงประกอบละครเวทีทวิภพ ผมว่ามันเพราะมากเลยคับ
-
:mc4:
เย้ๆ เรื่องใหม่ๆ
ว่าแต่ไอ้นี่อะ...3. ผู้เขียนไม่ได้คิดจุดจบของเรื่องไว้ ปล่อยไปตามยถากรรม จบอย่างไรแล้วแต่เหตุการณ์พาไป
น่ากลัวนะ
:z10:
ใช่คับอ่านแล้วมันน่ากลัวมากกกกกกกกกกก
-
"หยุดนะ ! เจ้าโจรใจทราม"
ป.ล. คุ้นกับประโยคนี้บ้างไหม
-
พ่ออัชย์ นี่ปากดีได้ทุกเวลาจริงๆ เชียวแล้วนี่ หมอปีย์ของเราจะเป็นไรไหมนี่ :sad4:
-
เดินทางไปเเค่ชะอำยังขนาดนี้ นี่ถ้าจะไปเมืองนอกคงไม่อยากจะคิด
-
:z13:
-
คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองหมอปีย์
-
คิดถึงหมอปีย์ และเจ้าบ้า
เมื่อไรจะมาน้อออ :z3:
-
มึงจะทำไรหมอปรีย์ไอ้โจรเชี่ยยยยยยยยยยยยย :serius2:
-
เมื่อไหร่จะมาน้อ
(http://btgsf1.fsanook.com/album/files/jpg/335/1677725.jpg)
ขอบคุณรูปจาก http://btgsf1.fsanook.com ด้วยนะคะ
-
เมื่อไหร่จะมาน้อ
รอก่อนนะเจ๊นะ
คอมป์เจ๊งอ่ะ
คนเขียนก็ลุ้นจนขนลุกขนพองกลัวว่าไอ้ที่เขียนๆไว้จะอันตรธานหายไปหมด
ภาวนาทุกเช้าค่ำ
ตูไม่อยากเขียนใหม่
ยังไงขอโทษด้วยนะครับ
(http://btgsf1.fsanook.com/album/files/jpg/335/1677725.jpg)
ขอบคุณรูปจาก http://btgsf1.fsanook.com ด้วยนะคะ
-
:m31: :m31: :m31:
-
อยากให้โจรกลายร่างเป็นกามเทพน้อย :o8:
-
รอนะคาบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
-
มาต่อเหอะค่ะ TT'
-
เค้าคิดถึงหมอปีย์
เมื่อไรจะมาค้าฟฟฟฟ :z3: :z3:
-
รออยู่นะครับ
-
คิดถึงหมอปีย์กับอัชย์จัง
มาเร็วๆนะคะ
เราปูเสื่อนอนรออยู่ T-T
-
นายปอทำไมถึงไม่ทันพวกโจนนา ความจริงน่าจะเป็นคนฉลาดและรู้ทันตั้งแต่ตอนที่ลงเกวียน
แต่ฮาสุดยอดเท่าที่เคยอ่านมาเลยอ่ะ แต่ละรีก็ฮามากกกก ทั้งตัวมีแต่หมอยกับไข่เนี่ย คิดได้ไง๊ 55555555555
รอคร้าบ
-
คุณโจร ออกมาเถอะ ทุกคนรออยู่
-
แล้วหมอ จะรอดมั้ยเนี่ย รีบมาต่อนะครับ .......
สงสารหมออ่ะ หวังว่าคงเอาตัวรอดได้
-
โจรสมัยนั้น เข้าใจคำว่าหมอยกับไข่ด้วยหรือวะ????? = ="
กร๊าาาาาาาาาาาาาก :m20:
แหมๆๆๆ พ่ออัชย์น่าจะถอดโชว์ด้วยนะ โจรจะได้เข้าจาย ฮ่าๆๆๆๆ :laugh:
-
:m15: :m15:
หมอปีย์จะเปนไงบ้างเน้อออ
เค้าอยากรุตอนต่อไปแล้วน้าาาาา
-
ยังอ่านไม่ถึงเลยงะ T________T
แต่พยามปริ้นอ่านและ คึคึ :laugh:
แต่สงสารหมอปีย์มาก(รีบอ่านตอนท้าย)
:m15: :m15: :m15:
-
:m15: :m15: :m15: คิดถึงหมอปีย์
-
พี่เซ็งเป็ดมาต่อเถอะครับ นิดเดียวก็ยังดีนะพี่ แค่ลงถี่ๆ อารมณ์อินมันจะได้ต่อเนื่อง นะคร๊าบ
รอคร้าบผม!
-
รออีกแล้วอ่ะ
-
คิดถึง
-
คุณเป็ดงานยุ่งเหรอ มาต่อเถอะนะ เค้ารออยู่...คิดถึงคุณหหมอ :L2:
-
แวะเข้ามาบอกว่า เขาคิดถึงคุณหมอปีย์นะ คิดถึงพ่ออัชย์ด้วย คือกัน
-
อ่านเเล้วรู้สึกผูกพันธ์กับตัวละครมากๆเลย รีบมาต่อเร็วๆนะครับ จะรอนะคับ :L2:
-
ไม่ผิดใช่ไหมที่จะรำคาญเจ้าบ้าซะเหลือเกิน
นอกจากจะอยู่ผิดยุคแล้วยังชอบทำอะไรผิดเวลำ่เวลาเหลือเกิน
-
ไม่ชอบเลยเวลาอ่านทันอ่าาาา โคตรทรมานเวลาที่ต้องรอ :jul1:
-
ก่อนอื่นต้องขออภัยผู้อ่านด้วยนะครับ ที่กว่าจะมาต่อนานมาก เล่นเอาเกือบเดือน
เหตุเพราะคอมป์เจ๊งจากสาเหตุโหลดหนังโป๊มากเกิน.........ไม่ช่ายยยยยยย
เห็นช่างว่าการ์ดจอเสีย เอาไปซ่อมเขาบอกว่าอาทิตย์นึงเสร็จเราก็รอ สรุปเกือบสองอาทิตย์แล้วบอกว่าซ่อมไม่ได้
แม่งโคตรเซ็ง ก็เลยซ่อมออีกร้าน รออีกอาทิตย์ ซ่อมไม่ได้เหมือนกัน สุดท้ายซื้อใหม่เลย
เงินก้ไม่มีผ่อนอิออนเอา น่าสงสารมั๊ย (ถ้ารวมเล่มได้ ก็ช่วยอุดหนุนสมทบทุนไปจ่ายค่างวดอิออนหน่อยน๊า...อ้อนๆ555)
แล้วคอมป์เครื่องเก่าซื้อมาสามหมื่ก็ขายอะไหล่ไปพันห้า โคตรคุ้ม แถมข้อมูลเก่าๆก็เอามาไม่ได้ด้วย
ไอ้ที่เขียนไว้เยอะๆก็ล่องลอยหายไป...................... :a5:
แต่นั่นยังเจ็บใจไม่เท่าไหน่ เพราะเรื่องราวมันอยู่ในหัว เขียนอีกกี่ทีก็ได้ (ถ้าไม่ขี้เกียจ)
แต่ไอ้ที่เสียดายก็หนังโป๊นี่สิ อุตส่าห์โหลดเก็บมาตลอดสี่ปี เง้อออออออออออ o22
-
การ์ดจอเสีย ไม่ซื้อการ์ดจอมาเปลี่ยนอย่างเดียวอ่ะคะ
หรือว่ามันออนบอร์ด o22
เข้ามารอหมอปีย์กับพ่ออัฐ :o8:
-
กด+พร้อมกับมานั่งรอ :z2:
-
ช่างน่าจะกู้ข้อมูลให้เราได้นะครับ
เพราะอย่างน้อย Hard Disk ที่อยู่ในเครื่องก็เอาออกมาเป็น external ได้นะครับ
-
อ่อ....ลืมครับ ถ้ารวมเล่ม ขอ 1 ชุดนะครับ
-
การหันหลังให้หมอปีย์ในครั้งนี้ของผม เหมือนกับเข็มนับพันทิ่มแทงหลังของผม มันรู้สึกเจ็บแปลบๆจนทำให้ต้องหันหลังกลับไปมองหมอปีย์
ภาพของชายหนุ่มร่างกายสูงโปร่งกำยำ ที่ผมคุ้นตา บัดนี้กลับกลายเป็นเหมือนราชสีห์ที่ถูกเหล่านายพรานล่ามโซ่แห่งความหวังดีเอาไว้
เป็นเพราะผม หมอปีย์ถึงได้ตกอยู่ในสภาพแบบนี้ เป็นเพราะผม พวกโจรจัญไรนั่นถึงได้มีเครื่องมือในการต่อรองบังคับขู่เข็ญหมอปีย์
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะผม
ผมมันตัวซวย ตัวปัญหา อยู่ที่ไหนก็รังแต่จะนำความเดือดร้อนมาให้เขาไปหมด ผมมันไม่น่าจะเกิดมาบนโลกนี้เลย ทำไมภาระปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นกับผม ต้องถูกทุ่มใส่ให้คนอื่นเสมอ โดยที่ผมแทบไม่ต้องรับผิดชอบ รับรู้ หรือแม้แต่ แตะต้องความเจ็บปวดเหล่านั้นเลย
“กูมันตัวเหี้ย” เสียงคำรามในลำคอที่อัดแน่นไปด้วยความคับแค้นใจนั้นส่งผ่านออกมา ภาพของหมอปีย์ค่อยๆหายหลับไปในความมืด พร้อมๆกับความเป็นคนของผมที่ค่อยๆเหือดหายไป ผมกัดฟันกรอดจนเส้นเลือดปูดขึ้นหน้า มือกำแน่น ก่อนจะทรุดตัวลงบนพื้นหญ้า ก้มหน้าตัวสั่นเทา เฝ้าคิดวนเวียนอยู่แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับหมอปีย์
ภาพหมอนั่นไปประกันตัวผมที่คุก
ภาพหมอนั่นพาผมวิ่งหนีพวกโจรอั้งยี่
ภาพหมอนั่นคอยดูแลผมเมื่อไม่สบาย
ภาพหมอนั่นอยู่ข้างๆเมื่อครั้งที่ผมต้องสูญเสียแดง
ภาพเขาป้อนข้าว
ป้อนน้ำ
เช็ดตัว
หัวเราะ
สั่งสอน
อ่านหนังสือ
เดินรอบบ้าน
หรือแม้แต่
แววตาที่จ้องมองผม
มันคอยตามหลอกหลอนให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเห็นแก่ตัวเสียเต็มประดา
น้ำตาจากความคับแค้นใจ ความอัดอั้นใจที่ช่วยอะไรหมอนั่นไม่ได้หลั่งรินนองหน้า
ผมไม่ได้ร้องไห้คร่ำครวญ
ไม่มีเสียงสะอึกสะอื้น
ร่างกายภายนอกแค่สั่นเทิ้ม แต่ภายในนั้นกลับมอดไหม้จนเกือบจะเหลือแต่เถ้าถ่าน
“หมอออออออออออออออออออออออออออออออออ” ผมตะโกนออกมาอย่างสุดกลั้น
ป่าทั้งป่าเงียบลงไปทันทีที่ฝูงนกแตกฮือ เพราะเสียงตะโกนของผม ผมยังคงทรุดตัวอยู่อย่างนั้น จนปัญญาไม่รู้จะทำอย่างไร ตอนนี้ตัวไปชาไปหมด ไม่สิ
ยังมีอีกส่วนที่ยังคงรู้สึก มือข้างขวาของผม ผมรู้สึกเจ็บแปลบที่มือข้างนั้น และเหมือนจะมีน้ำบางอย่างซึมออกมาจากอุ้งมือ
“เลือด” ผมหงายมือออกและพบว่ามีเลือดซึมออกมา แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ดึงความสนใจของผมไป
“สร้อยนี่นา” ใช่ สร้อยตะหากที่ทำให้ผมต้องสงสัยว่าหมอปีย์ยัดสร้อยที่มีจี้เพชรเป็นรูปหัวใจให้ผมทำไม
ผมนั่งนิ่งมองสร้อยอยู่ครู่หนึ่ง บัดนี้จิตของผมเพ่งอยู่ที่จี้เพชรรูปหัวใจ มันนิ่งและสงบลง เหมือนจี้ที่ไม่ไหวติง และเมื่อจิตของผมนิ่งผมก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“หมอ รอชั้นนะเว้ย ชั้นจะกลับไปช่วยนายเอง”
ความมืดเข้าปกคลุมป่าแทบจะเรียกได้ว่าทันทีที่พระอาทิตย์ตกดิน แต่โชคยังดีที่คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง และป่าที่นี่ไม่ทึบมากนัก จึงทำให้มองเห็นรอบๆได้ไม่ยากนัก
ความเงียบสงัดวังเวงเริ่มทำให้บรรยากาศไม่น่าไว้วางใจมากขึ้น อาจเป็นเพราะเหล่านกกาที่บินกลับมาจากหากินต่างพากันจับจองที่กันเรียบร้อยแล้ว เมื่อไร้วี่แววของพวกมัน ป่านี้ก็เหมือนป่าช้า
ผมเดินย้อนกลับมาตามเส้นทางเดิมตอนที่แยกกับหมอนั่น ใช้สัญชาตญาณนำทางว่าหมอนั่นจะพาพวกโจรไปทางไหน ผมเข้าใจวันนี้นี่เองว่าทำไมหมอนั่นถึงต้องคอยบอกให้เดินเบาๆ เพราะตอนนี้นั่น ทุกฝีก้าวของผมระมัดระวังอย่างมากที่จะไม่ให้เกิดเสียงดังแม้แต่เสียงเหยียบใบไม้แห้ง
“อยู่นี่นี่เอง” ผมจ้องเขม็งไปที่แสงไฟสลัวๆจากตะเกียงที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ภาพของกลุ่มคนเหล่านั้นถึงจะไม่ชัดเจนนักแต่ก็เดาได้ไม่ยากว่าชายรูปร่างสูงโปร่งคนนั้นคือ..................หมอปีย์
“หมอ” ผมว่าก่อนจะสอดส่ายสายตามองไปรอบๆเพื่อหาทางวิ่งไปดักหน้าพวกนั้นให้เร็วที่สุด
ในที่สุดผมก็วิ่งมาอยู่หน้าพวกนั้น มือกำสร้อยไว้แน่น ถึงเหงื่อจะออกมือ ใจจะเต้นรัวอย่างไร แต่ผมก็สู้ จะตายจะรอดก็ช่างหัวแม่ง เกิดหนเดียวตายหนเดียว ตายซะที่นี่ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยๆก็ได้ตายเพราะตอบแทนหมอปีย์ก็คุ้มแล้ว
“เฮ้ย ไอ้เสือเผือก” ผมกระโดดขวางหน้าพวกนั้น เสือเผือดไม่มีสีหน้าสะทกสะท้านใดๆทั้งสิ้น ต่างจากลูกสมุนของมันที่มีอาการชะงัก ส่วนหมอปีย์นั้น เขาส่ายหัวไปมายากจะคาดเดา
“พวกมึงเป็นโจรได้ยังไงวะ โง่บัดซบ ฮ่าๆๆ” ผมสวมบทบ้าระห่ำหัวเราะลั่นป่า ไม่กลัวตายแล้ว
“โดนไอ้หมอบ้านั่นหลอกเข้าซะเต็มเปาเลย ชั้นจะบอกอะไรให้เอาบุญนะเว้ย บ้านที่หมอนั่นพูดถึงน่ะ ไม่มีของมีค่าอะไรหรอก ขนาดครกกะสากมันยังต้องหอบเอามาจากพระนครเล้ย แล้วนับประสาอะไรกับของมีค่า” ผมกอดอกวางมาดเป็นผู้อยู่เหนือเกมส์
“ถ้าพวกมึงอยากได้ของมีค่านะ” ผมมองไปที่หมอปีย์ สีหน้าของเขาเคร่งเครียดและเหมือนกำลังส่งสายตาบอกว่า อย่าแม้แต่จะคิดที่จะทำเชียว แต่ไม่มีทางเลือกแล้วหมอ
“ชั้นขอโทษ” ผมพูดเบาๆ
“มันอยู่นี่” ผมชูมือที่กำสร้อยขึ้นก่อนจะปล่อยให้สร้อยห้อยลงมา พวกนั้นมองกันเป็นตาเดียว
“สร้อยในมือชั้น นี่แหละ มีค่าที่สุดแล้ว สร้อยนี่ประเมินค่าไม่ได้ ชั้นจะยกให้หากพวกมึงปล่อยหมอนั่นไป”
“เอาไงดีพี่เผือด ข้าว่าไอ้เจ๊กนั่นพูดก็มีเหตุผล อย่าหวังน้ำบ่อหน้าเลยพี่ ข้าว่าเอาสร้อยไปจากมันแล้วเรารีบหนีกันเถิด นี่ก็ใกล้เขตเรือน เอ่อ เรือน...........”โจรที่ขาเจ็บพูดขึ้น และ กระอักกระอ่วนเมื่อพูดถึงเรือน..........ใครสักคน
“หึหึ ข้ามีแผนที่ดีกว่านั้น เอ็งไปเอาสร้อยในมือมัน ไป๊” เสียงเสือเผือดตวาดลั่น จนผมสะดุ้งโหยง ดูท่าแผนการณ์จะไม่เป็นไปตามที่ผมคิดเสียแล้ว
“เจ้าบ้า วิ่งหนีไป วิ่ง” เสียงหมอปีย์ตะโกนสุดเสียง ผมลังเลอยู่ชั่วครู่
“ก็เอาสิ หากเอ็งคิดแม้แต่จะก้าวขาเพียงก้าวเดียว ข้าบั่นคอไอ้นี่แน่ อย่างน้อยพวกข้าก็มีแต่ได้กับได้ จักได้มากได้น้อยก็แค่นั้นเอง ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะของพวกนั้นบาดลึกเข้าไปในสมอง ผมกำหมัดแน่น กัดฟันกรอดด้วยความโมโห นี่ถ้าผมมีปืน ผมคงไม่รีรอที่จะเหนี่ยวไกยัดกระสุนฝังสมองไอ้พวกบ้านั้นไปแล้ว
“ไปเอามาเร็วๆสิวะ” เสือเผือดตวาดลูกน้องขาเป๋ เขาเดินกะโหผกกะเหผกเข้ามาหาผม ดูเหมือนเขาดูลังเลในที
“เอามาให้ข้า แล้วเอ็งก็หนีไป ข้าสัญญาจะไม่ทำอันตรายเจ้าหนุ่มนั่น” ทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงเขาใกล้ๆ ก็ทำให้ผมคุ้นหูอย่างบอกไม่ถูก
ผมค่อยๆยื่นสร้อยไปให้เขาอย่างช้าๆ ในใจสับสันอยู่กับสองสิ่ง วินาทีเป็นวินาทีตายได้เริ่มขึ้น
หากผมให้สร้อยมันไปแล้ววิ่งหนี ผมก็รอด
แต่หากไม่ล่ะ อะไรจะเกิดขึ้น
“ผั๊วะ!!!” ผมฟาดท่อนไม้ที่แอบอยู่ด้านหลังเข้าไปที่กกหูของโจรนั่นอย่างเต็มแรงจนเขาล้มตึงทั้งยืน พวกที่เหลืออ้าปากค้างตกใจกับสิ่งที่เห็น แต่ก็ไม่นาน สมุนอีกคนของเสือเผือดชักดาบพุ่งตรงเข้ามาหาผม หมอปีย์นั้นเมื่อเหลือตัวต่อตัวกับเสือผาดเขาก็สู้อย่างเต็มกำลัง
“เฟี้ยวววววววววววววว” เสียงปลายดาบแหวกอากาศแล่นผ่านหน้าผมไปอย่างเฉียดฉิว ผมกระโดดถอยหลังออกมาทัน ก่อนจะฟาดท่อนไม้ไปที่ต้นคอของโจร แต่มันก็ว่องไวไม่แพ้ผม หลบไปได้ เราจดๆจ้องๆกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่โจรนั่นจะฟาดดาบลงมาที่ผม
“ฉับ”
โชคยังดีที่ท่อนไม้ที่ผมถือมานั้นทนพอที่จะต้านทานคมดาบนั่นไว้ได้ เมื่อจังหวะนี้มาถึง มันเปิดช่องว่างช่วงหน้าอกไว้ ผมจึงไม่รอช้าถีบเข้าที่หน้าอกอย่างจัง จนมันล้มลงไม่เป็นท่า ผมไม่รอช้าปรี่เข้าฟาดไม้ไปที่หัวของมันอย่างสุดกำลังจนมันสลบเหมือดคาที่ไปอีกคน
“เฮอ เฮอ เฮอ” ผมหายใจหอบอย่างหนัก ทันทีที่ล้มโจรอีกคนนึงได้ แต่ยังไม่ทันจะหายเหนื่อย
“ผั๊วะ”
“โอ้ย”
ความรู้สึกจุกแน่นแล่นผ่านกลางหลัง ตอนนี้ผมพบว่าตัวเองล้มนอนนิ่งอยู่บนพื้นดินโดยที่มีโจรขาเป๋ที่ผมตีสลบไปครั้งแรกยืนเอาเท้าเหยียบหน้าอกผมไว้
“ข้าบอกเอ็งแล้วว่าให้หนีไป หากมิเชื่อคำกันในคราแรก ก็อย่าหาว่าข้าใจดำก็แล้วกัน” เขาเงื้อดาบขึ้นสุดแขน หัวใจผมสั่นรัว สายตาพร่ามัวไปด้วยเหงื่อ เมื่อความตายมารออยู่ตรงหน้า ความกลัวก็แล่นพล่านไปทั่วตัว ผมตัวสั่นเทา หลบตาโจรนั่น แต่ทันใดนั้น สายตาผมก็พลันไปพบเข้ากับสิ่งหนึ่ง ที่ทำให้คำตอบในข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวโจรคนนี้กระจ่างก่อนที่ผมจะตาย
“มึง” ผมเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง “มึงเป็นคนไข้ที่หมอปีย์ทำแผลให้ตอนอยู่บนเรือนี่”
“รู้ตอนนี้แล้วเจ้าจักทำอะไรได้ บุญคุณไว้ตอบแทนกันชาติหน้าเถิด ชาตินี้ข้าจำเป็นต้องทำ มิขอให้เจ้ากับหมอนั่นอโหสิดอก หลับตาเสีย ข้าจักฆ่าเจ้าในดาบเดียว มิทันให้สะดุ้ง”
ผมสูดหายใจเฮือกสุดท้ายอีกครั้งอย่างสิ้นหวัง ก่อนจะกลั้นหายใจ การตายของผมในครั้งนี้หากมองในแง่ดีก็อาจทำให้ผมถูกดึงกลับสู่ภพปัจจุบัน แต่หากมองในแง่ร้าย ผมก็อาจกลายเป็นวิญญาณที่ติดอยู่ระหว่างสองภพสองภูมิไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดก็ได้
“อ๊ากซ์!!!!” เสียงโจรนั่นตะโกนลั่น ผมหลับตานอนรอความตาย ลาก่อนหมอปีย์ นี่คือคำพูดสุดท้ายที่ผมจะพูด
“ฉึก!!!”
เสียงของมีคมแล่นผ่านร่างกายนั้นผมได้ยินชัดเจน แต่กลับไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด นี่ละมั้งที่โจรนั่นบอกว่าจะฆ่าผมในดาบเดียว ผมหลับตาอยู่อย่างนั้นรอคอยว่าเมื่อไหร่จะมีใครมาบอกให้ผมลุกไปสวรรค์หรือไม่ก็นรก แต่กลับไม่มี มีเพียงหยดน้ำที่ไหลลงมาจากเบื้องบนที่ไหนสักแห่งลงมาบนท้องน้อยของผม
“เจ้าบ้า เจ้าบ้า” เสียงนี่คุ้นๆ หรือจะเป็นเสียงของยมบาล ดูเถิด ขนาดยมบาลยังเรียกผมว่าเจ้าบ้าเลย
“เจ้าบ้า ตื่น ตื่น เป็นอะไรรึป่าว”
“เจ้าบ้า........................ตื่น................เพี๊ยะ”
เฮ้ยอะไรวะ ยมบาลตบหน้ากันได้ด้วยเหรอ
ผมค่อยลืมตาขึ้น ไม่ได้หวังว่าจะอยู่สวรรค์หรอก แต่ทันทีที่ลืมตา ภาพยมบาลที่คาดไว้กลับกลายเป็น
“หมอ”
ผมอึ้งไปชั่ววินาที ก่อนจะโผเข้ากอดหมอนั่นแน่นด้วยความดีใจ น้ำตาไหลอีกครั้ง มันเหมือนกับฝันร้ายได้จบลงไปแล้ว และผมตื่นขึ้นมาและพบว่าหมอปีย์ยังอยู่ข้างๆ
“เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม”เขาถามน้ำเสียงห่วงใย ผมเหลือบตาไปมองโจรที่จะฆ่าผม ก็พบว่าร่างของเขานอนคว่ำหน้าโดยที่มีดาบปักอยู่ที่หลัง
“ชั้นยังเก็บสร้อยนายไว้นะ นี่ไง” ผมยกมือขึ้นอย่างอ่อนแรง น้ำเสียงบ่งบอกว่าผมหมดแรงและกำลังจะหมดสติแล้ว
“เจ้าบ้าเอ้ย” หมอปีย์ยิ้มอีกครั้ง รอยยิ้มที่ผมคิดว่าชาตินี้คงจะไม่ได้เห็นมันอีกแล้ว ผมน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว
“เจ้ายังไม่รู้อีกหรือ เรามิได้เป็นห่วงสร้อยนั่นดอก สิ่งที่เราเป็นห่วงคือเจ้า หากเราบอกให้เจ้าหนีไปโดยไม่มีของมีค่าที่เจ้าคิดว่ามีความหมายต่อเรามาก เจ้าก็คงไม่หนี แต่เราเข้าใจผิด เจ้ามันโง่กว่าที่เราคิดนัก เจ้าบ้าเอ้ย” เขายิ้มก่อนจะค่อยๆประคองผมไว้ในอ้อมกอด
“หมอ” ผมเรียกชื่อเขาเบาๆด้วยความซาบซึ้ง
“ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าบ้า เราจักปกป้องเจ้าเอง”
“หมอ”
“หมอ”
“หมออออออออออออออออออ!!!” แต่แล้วน้ำเสียงนั้นก็กลับแปรเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงที่ตกใจ ผมร้องตะโกนเรียกชื่อหมออย่างสุดเสียง ทันทีที่เห็นร่างทะมึนดำมืดของเสือผาดยืนอยู่ด้านหลัง ในมือของเขาถือท่อนไม้มหึมา เขากำลังเงื้อมือขึ้นสูง
“หมอออออออออออออออออออออออออ!!!”
“ปั่กกกกกกกกกกกกกกกกก!!!”
.
.
.
.
.
.
.
.
. หมอปีย์แน่นิ่ง
แววตาเบิกโพรง
ปากอ้ากว้าง
เขาจ้องมองมาที่ผมอย่างไม่กะพริบตา ผมนั้นขยับเขยื้อนตัวไม่ได้แม้แต่น้อย เรี่ยวแรงทั้งหมดไม่มีเหลือ เลือดสีแดงฉานค่อยๆไหลออกมาจากหัวของหมอปีย์ จากหยดเล็กๆ ค่อยไหลมากขึ้น มากขึ้น จนเหมือนสายน้ำแห่งสายเลือดที่ไม่มีวันเหือดแห้ง
บัดนี้ใบหน้าของหมอปีย์แดงฉานไปด้วยเลือด แต่เขายังคงกอดผมไว้แน่นไม่ปล่อย ร่างของผมยังคงอยู่ภายใต้การปกป้องของหมอปีย์
“ปั่กกกกกกกกกกกกกกกกกก”
“อย่า อย่าทำหมอ” ผมได้แต่คำรามในลำคอด้วยความเจ็บปวดที่เห็นหมอปีย์ถูกตีครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงแม้จะพยายามดิ้นรนเพียงใด แต่ผมทำได้แค่ขยับนิ้วเท่านั้น
ปั๊กกกกกกกกกกกกกกกก
“อย่า อย่าทำหมอ ฮือๆๆๆ อย่า”
ปั๊กกกกกกกกกกกกกกกกก
“หมอ ฮือๆๆ หมอ” เลือดของหมอปีย์ไหลลงมาอาบหน้า และเนื้อตัวของผม กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปหมด
“ปักกกกกกกกกกกกกก”
และแล้วหมอปีย์ก็หมดแรงจะทานไหว เขาทิ้งตัวลงบนร่างผมพร้อมกับเลือดท่วมตัว
“หมอออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ” ผมรวบรวมพละกำลังทั้งหมด ตะโกนออกไปจนสุดเสียง ก่อนที่สติค่อยๆเลือนหายไป หายไป
.
.
.
.
.
.
.
“เฮ้ย หยุดนะเว้ย หยุด” เสียงตะโกนดังแว่วมาจากชายป่า และนั่นคือเสียงสุดท้าย........................ที่ผมได้ยิน
(http://image.ohozaa.com/i/7ef/blood.jpg)
-
:a5: แวกกก ไม่น้า....... :sad4: :serius2: หมอกะพ่ออัชย์จะมาเป็นอะไรตอนนี้ไม่ได้นะ
รออ่านมาตั้งนานอย่ามาทำให้ใจหายใจคว่ำแบบนี้จิ ใจร้ายที่สุดเลย :sad4:
ไม่รีบมาต่อ เค้าจะงอลจิงๆ ด้วยนะเออ
-
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
-
หมออออออออออออ!!!!
โจรเวร :z6:
-
ค้างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
-
:m15: ไม่จริง ไม่จริง ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ
หมอออออออออออออออ อย่าเป็นอะไรนะ
-
ไม่น่าเข้ามาอ่านตอนนี้เลย :o12:
ค้างได้โล่มาก สงสารหมอ
-
:เฮ้อ: ลุ้นกับฉากเสือฉากสิงห์เสียจริง
ถ้ารอดครานี้ไปได้ จัดฉากหวานหนักๆสักทีนะพ่อ
-
กรี๊ดดดด หมอปีย์!!!!! ไอ้เสือเผือด!! เลวมาก!!
เจ้าบ้า เป็นไงมั่งละเนี่ย
-
๓๓๕ + ๑ = ๓๓๖
ขอบคุณนะคะ คุณ เซ็งเป็ด
-
ถ้าหมอตายหรือพิการนี่ ... o22
จบเรื่องเลยใช่มั้ยคะ
-
พอผมลืมตาขึ้น ก็พบว่านอนอยู่ในโรงพยาบาลที่ไหนซักแห่งในกรุงเทพ นี่ผมกลับมาแล้วเหรอ แล้วเอ๊ะ เตียงข้างๆนี่ ....หมอปีย์!!!!
กลับมาปัจจุบันด้วยกันเถอะ
ปล. ไอ้เสือเผือดเลวไม่มีชิ้นดี เลวเหมือนเผดเหมือนผี เหมือนยาอี เหมือนขี้! เซรี่ย!!!!!!!!
-
:serius2:
-
อิโจรยี่สิบบาท :z6:
-
ง่ะ.....................!!!!!!!!!!!!!
:z3:
รอๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :m31:
+1
-
ค้างมากเลยยยย
สงสารหมอออ :o12:
-
ขอให้หมอปีย์รอดด้วยเถ้อะะะะะะะ :call:
-
ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย :serius2: :serius2: :serius2:
-
ใครกันที่โผล่มาช่วย
อ๊ายยยสงสารหมอปีย์ จะเป็นไรมากไหมอ่ะ
อยากเข้าไปกระทืบโจรให้จมดินเลย :fire:
-
อ่านเเล้วร้องเลย
-
เลวววววว!
-
จับได้..ไอ้โจรนั่น ประหาร ตัดคอเสียบประจานสถานเดียว ส่วนซากร่างทิ้งให้เป็นอาหาร แร้ง กา :fire: :m31: :m16:
ส่วนหมอปีย์ .. :monkeysad:หวังว่าคนดีๆ ต้องตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้
-
ลุ้นน้ำลายเหนียวเลย!!!!!
หมอ อย่าเป็นไรนะ
-
ไอ้เลว!!!!!
หมอปีย์ พ่ออัชณ์ TT^TT
-
(http://t3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcS8uKwxa1YGglFaK67t397nzjzj-_Z4TAwvQx4OBSkWPUHi9ZBp6Q)
ขอหมอปีย์ปลอดภัย
-
คำเดียวสั้นๆได้ใจความ
"ค้าง"
-
หมอออออออออออออออออออออออ ฮือๆๆ อย่าเป็นอะไรนะฮือๆ
-
เฮ้ย!! หมออออออออออออออออออออออออออออ
-
:beat: เลววววววววววว อิเสือผาด :z6:
-
อย่าเป็นอะไรนะ หมอออออออออออ !! :m15:
-
หมอออออ จะแย่มากมั้ย หรือว่าความจำเสื่อม หรือว่าจะตายมั้ยอ่ะ
อย่าเป็นอะไรนะหมอ :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:
-
หวังว่าสิ่งที่หมอหวังไว้ คงไม่ดับหายวับ เพราะ เสียงที่ได้ยินครั้งสุดท้าย อาจมีปฎิหารก็ได้
+1 ให้คุณนนท์ ยินดีด้วยกับคอม ฯ ใหม่ คิดในทาง + ซิครับ ไม่งั้นก็ไม่ได้ของใหม่ :m23:
-
หม๊อออออออออออออออออ หมอเป็นอะไร มาต่อเลยนะคุณเป็ด หมอเป็นอะร๊ายยยยยยยยยยยยยยยย ฮือๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
-
เสียงผู้คนคุยกันจ๊อกแจ๊ก เสียงฝีเท้าย่ำพื้นดินอย่างแผ่วเบา เสียงปังๆของไม้
และก็เสียงของ
"แน๊ๆ แน๊ๆ"
เสียงของใครบางคนที่อยู่ใกล้ๆหูผม
ไม่ใช่เพียงแค่เสียงเท่านั้น ยังมีสัมผัสอย่างแผ่วเบาจากปลายนิ้วของเขาผู้นั้น
ด้วยที่เหมือนกำลังสะกิดแก้มผมอยู่
"โอ่ะ" ผมครางในลำคอเบาๆด้วยความเจ็บปวด ตอนนี้ร่างของผมเหมือนจะถูกฉีกออกเป็น
เสี่ยงๆ มันปวดเมื่อยบาดลึกไปถึงกระดูก อีกทั้งเรี่ยวแรงก็เหมือนแห้งเหือดไปหมด
ผมนอนแน่นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง พยามรวบรวมสติ คิดถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น เพราะเหตุ
ใดผมจึงอยู่ในสภาพอย่างนี้ แล้วเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆก็แล่นปราดเข้ามาในสมอง
ผมนั่งเรือมาชะอำกับหมอปีย์ แล้วผมก็เมาเรือ อ๊วกแตกอ๊วกแตนจนหมดตัว
อ๋อ มิน่าหละถึงไม่มีเรี่ยวแรง จากนั้นเมื่อมาถึงชะอำ ผมก็
โดน..................ปล้น ใช่โดนโจรปล้น แล้วผมก็ต่อสู้กับมัน ทำให้ต้องปวด
เมื่อยขนาดนี้
ต่อสู้เหรอ
ต่อสู้
หมอ
หมอปีย์หล่ะ หมอ
"หมอออออออออออออออ" ผมกระชากตัวลุกจากขึ้นอย่างแรง เสียงล้มตึงดังขึ้นข้างฝา
ผมหันไปมองรอบๆ ที่นี่ที่ไหน กระท่อมเหรอ หลังคามุงจาก ฝาผนังเป็นไม้ไผ่สาน มี
หมอนมอซอกับผ้าเก่าๆ แล้วก็
"เฮ้ยยยยย ใครน่ะ" ผมต้องสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆก็พบหญิงวัยกลางคนนั่งตัวสั่นงัน
งก กอดเข่าตัวเองครางฮือๆอยู่ข้างฝา หล่อนนุ่งผ้าสีดำมอซอ เนื้อตัวเต็มไปด้วย
แป้งสีขาวเต็มไปหมดโดยเฉพาะที่หน้า ทุกครั้งที่หล่อนขยับตัว ผงแป้งก็จะร่วงพรู
ลงมาเต็มพื้น ฟันของหล่อนก็ไม่ได้ดำเหมือนหญิงทั่วไป อีกทั้งผมก็ปล่อยสยายยาว
ไม่มัดเกล้า หรือตัดทรงกระพุ่มแบบหญิงไทยสมัยก่อน ท่าทางหล่อนจะไม่ใช่คนแถวนี้
"นี่" ผมตะคอก หญิงคนนั้นสะดุ้งเฮือก "ที่นี่ที่ไหน"
แต่หล่อนกลับไม่ตอบเอาแต่ส่ายหัวไปมา
"ชั้นถามว่าที่นี่ที่ไหน"
.
.
.
"เฮ้ย ได้ยินรึป่าว"
"แอ แอ แอ" เอาแต่ส่ายหน้าไปมา
"นี่!!!" ชักจะโมโหแล้วนะ ยิ่งร้อนใจอยู่ แค่อยากรู้ว่าผมอยู่ที่ไหน และหมอปีย์
เป็นอย่างไรบ้าง
"แออออออออออออออออออ" หล่อนเริ่มตัวสั่น และร้องไห้หนักขึ้น หนักขึ้น
"อีบ้า!!! เอ็งมาทำอะไรในนี่" เสียงตวาดลั่นดังออกมาจากประตูที่เปิดออก หญิงชรา
อีกคนเดินถือถาดเข้ามา
"ออกไป ไป๊" หล่อนไล่หญิงที่เอาแต่ร้องไห้ หญิงบ้าที่ถูกไล่ลุกขึ้น ก่อนจะวิ่ง
ร้องไห้ออกไป เกือบชนหญิงชรานั่น
"เอ๊ อีนี่ เฮ้อ" หล่อนถอนหายใจอย่างเอือมระอา ก่อนจะนั่งลงชันเข่าเคี้ยวหมาก
น้ำหมากไหลย้อยจนต้องดึงผ้าแถบมาเช็ด
ผมมองหญิงชราด้วยความฉงน
"เออ เว้ย มองข้าเสียอย่างกับข้าหาใช่คน" หล่อนวางถาดลงกับพื้น "เป็นอย่างไร
บ้างเล่า"
"ที่นี่ที่ไหน แล้วหมอปีย์อยู่ไหน" ผมไม่ตอบ แต่ถามกลับไป
"เอ๊ เอ็งนี่ ข้าถามว่าอาการเจ็บไข้เป็นเยี่ยงไร หูมิดีหรือ" กวน
"แค่นี้ไม่ตายหรอก ทีนี้จะตอบได้หรือยังว่าที่นี่ที่ไหน"
"ปากเก่งเสียจริง ที่นี่เรือนหลวงบริรักษ์แห่งหัวเมืองปักษ์ใต้"
"แล้วชั้นมานอนอยู่ที่นี่ได้ยังไง"
"ก็บ่าวที่นี่ไปพบเจ้ากำลังถูกโจรมันกำลังจะฆ่า เลยช่วยไว้" หล่อนบ้วนน้ำลายลง
ใต้ถุนพื้น ก่อนจะหยิบใบไม้สีเขียวสดใส่ในรางบดยา แล้วบด
"แล้วหมอปีย์หล่ะ หมอปีย์อยู่ไหน"
...........
........
.......
"ชั้นถามว่าหมอปีย์อยู่ไหน ไม่ได้ยินรึไง" ผมตวาดลั่น
"เบาๆก็ได้ เอ็งนี่ เสียงดังโวยวายขนาดนี้ มิน่าอีบ้าถึงได้สติกระเจิดกระเจิง"
หล่อนหยิบใบไม้ที่บดละเอียดใส่ผ้าขาวก่อนจะค่อยๆห่ออย่างมิดชิด
"ข้ามิรู้จักหรอก หมอปงหมอปีย์น่ะ แต่หากเป็นพ่อหนุ่มหน้าตาดีที่มากับเอ็ง บัดนี้ นอน
รักษาตัวอยู่บนเรือนใหญ่นู่นแน่ะ" หล่อนเบ้ปากไปทางเรือนไม้หลังงามที่ตั้งตระ
หง่านอยู่ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่
พลางยื่นห่อผ้าหวังจะมาประคบที่แขนผม แต่ยังไม่ทันจะได้โดนแผล ผมลุกพรวดขึ้น
อย่างเร็ว ก่อนจะกระโดดลงเรือนไม้หลังเล็กนั่น โดยลืมไปว่าตัวเองเพิ่งฟื้น และ
กำลังบาดเจ็บอยู่
ที่ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องเจ็บป่วยเหล่านั้นเลยนั้น เพราะในใจคิดถึงแต่หมอปีย์ ไม่รู้ว่า
เป็นเพราะอะไรถึงเอาแต่คิดเป็นห่วงมัน อาจเป็นเพราะหมอนั่นช่วยชีวิตผมหลายต่อ
หลายครั้งแล้ว ผมเป็นหนี้ชีวิตมันหลายต่อหลายครั้ง
หากมีสักวันที่ผมจะได้ตอบแทนมันบ้าง แม้ต้องแลกด้วยชีวิต ผมก็จะทำ.............
สายลมพัดผ่านใบหน้าผมไป พื้นดินที่เหยียบย่ำ ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำ ผมวิ่งหน้าตาตื่น
ไปยังเรือนหลังนั้น หลังที่หมอปีย์อยู่ บ่าวไพร่ ที่อยู่รอบๆเรือนต่างยืนมองผม
ด้วยสายตาประหลาดระคนตกใจ เขาคงคิดว่าผมเป็นไอ้บ้าสติไม่ดีอีกละมั้ง แต่ก็ช่าง
แม่งเหอะ ใครก็ไม่รู้ ผมไม่รู้จัก ชาตินี้จะได้เจอกันอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้
เพราะฉะนั้นจะไปสนใจอะไรกัน
เรือนหลังใหญ่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แสงแดดยามสายของที่นี่ร้อนแรงกว่าที่พระนคร แต่
ผมก็ไม่ย่อท้อ กระโดดขึ้นบันไดเรือนก้าวทีละสองขั้นขึ้นไป ในที่สุดผมก็มายืน
อยู่บนเรือนหลังนี้ เรือนของหลวงอะไรสักคนนี่แหละ ใครจะไปจำได้
บนเรือนนั้นเป็นลานกว้างมีอ่างบัววางอยู่รอบๆ อีกทั้งไม้ดัด บอนไซเล็กๆนั้นก็
ดูสง่างามขนาบคู่อยู่กับหัวเสือหัวใหญ่ที่เจ้าของตั้งใจจะแขวนมันไว้เพื่อประดับ
บารมี
ตรงกลางของเรือนเป็นพื้นยกสูงมีแคร่ที่ทำมาจากไม้สักวางอยู่พร้อมทั้งหมอนรูปทรง
สามเหลี่ยม
"หมอ หมออยู่ไหน" ผมตะโกน ไม่เกรงอกเกรงใจเจ้าของบ้าน
"หมอปีย์ หมอ" ภาพผมยืนตะโกนเรียกหาหมอปีย์อยู่กลางเรือน ยืนหันไปหันมา เพราะ
ไม่รู้ว่าเขาอยู่ไหน คงเป็นภาพที่น่าแปลกประหลาดใจสำหรับคนที่นี่ พวกเขาทิ้งของ
ที่อยู่ในมือ ทิ้งงาน ทิ้งลูก ยืนจ้องมองผมตาถลนราวกับสิ่งที่ผมทำนั้นเป็น
เรื่องคอขาดบาดตายอย่างนั้นแหละ
"หมออออออออออออ"
"ปัง!!"
"อุบ๊ะ ไอ้อีหน้าไหนบังอาจขึ้นมาตะโกนแหกปากบนเรือนกู" ภาพชายสูงอายุคนนึงเดิน
ออกมาจากห้อง เขาเปิดประตูอย่างแรงด้วยความโมโห ใบหน้าของชายผู้นั้นขมวดแน่นจน
เห็นเส้นชัดเจน อีกทั้งหนวดนั้นก็ดูน่าเกรงขามไม่น้อย ชายผู้นี้รูปร่างสันทัด
เจ้าเนื้อผิวดำแดง และที่สำคัญเขาดูท่าทางน่ากลัวมากกว่าน่าเกรงขามเสียอีก
"ชั้นมาหาหมอปีย์" ผมยืนแน่นิ่ง
ชายผู้นั้นเดินถือตะพดตรงมาหาผม
"บังอาจ ไอ้ทาสขี้เรื้อน เอ็งบังอาจมากที่ขึ้นมาร้องแร่แห่กระเชิงบนเรือนกู"
"ชั้นไม่ใช่ทาส" ผมร้องตอบไม่มีท่าทีเกรงกลัวแม้แต่น้อย "ชั้นมาหาเพื่อนของชั้น
ที่ถูกทำร้ายเมื่อคืน เขาอยู่บนนี้" บ่าวผู้ชายรูปร่างกำยำสองสามคนเดินขึ้นมา
สมทบกับชายแก่ผู้นั้น
"อ้ายทาสชั่ว มึงหาได้อยู่ในฐานะจักมาต่อปากต่อคำกับกูไม่ ลงจากเรือนกูไป
ประเดี๋ยวนี้ ไอ้พวกสกปรก"
ชายแก่เจ้ายศเจ้าอย่างผู้นั้นส่งสายตาเหยียดหยามมาที่ผม ทำราวกับผมไม่ใช่คน สาย
ตาคู่นั้นของเขา เหมือนมีพลังบางอย่างดึงดูดความเป็นมนุษย์ของผมไปหมดสิ้น
"ชั้นไม่ไปไหนทั้งนั้น จนกว่าจะได้พบเพื่อนชั้น เขาอยู่บนนี้หรือเปล่า"
"เอ๊ะ ไอ้นี่ อ้ายเบี้ยว อ้ายเม้ง จับมันโยนออกไปนอกเรือนประเดี๋ยวนี้" บ่าว
กำยำสองคนนั้นตรงดิ่งมาที่ผมจับแขนผมแน่น ผมสะบัดดิ้นไปมา
"ปล่อยชั้น ปล่อย ชั้นไม่ใช่ทาสนะเว้ย ปล่อย" ยิ่งผมดิ้นแรงเท่าไหร่ สองคนนั้น
ก็บีบแขนผมแรงมากขึ้น เขาลากผมออกมาจนเกือบจะถึงบันได แล้วทำท่าจะโยนผมลงมา
จริงๆด้วย
"ปล่อยนะเว้ย ปล่อย ชั้นมาตามหาเพื่อนชั้น หมอปีย์ หมอปีย์ หมอปีย์ที่เป็นหมอ
อยู่บ้านหมอจรัส เขาอยู่บนนี้" ผมตะโกนไม่ยอมหยุด
"เฮ้ย หยุดก่อน" ทันทีที่ชายแก่ได้ยินชื่อหมอจรัส เขาก็สั่งให้ทาสทั้งสองคนนั่นหยุด
เมื่อกี้มึงพูดว่ากระไร" เขาเดินมาใกล้ๆ ทาสทั้งสองคนจับผมกดให้นั่งคุกเข่า แต่
ผมขัดขืนไม่ยอมคุกเข่า สองคนนั้นจึงกระแทกผมลงกับพื้นอย่างแรง
"มึงรู้จักกับหมอจรัสกระนั้นรึ อ้ายทาสไร้ค่า" ชายแก่นั่นเอาไม้ตะพดเคาะหัวผม
ทำราวกับผมเป็นสุนัข ผมไม่ตอบ
"หมอปีย์อยู่ที่นี่หรือเปล่า" ผมกัดฟันกรอด
"ฮ่า ฮ่า ฮ่า มึงนี่มันเหมือนหมาบ้าเสียจริง" เขายังคงเคาะหัวผมไม่หยุด
"เสียงเอะอะมะเทิ่งกระไรกันหรือเจ้าคะ" ก่อนที่ผมจะระเบิดอารมณ์ออกมา เสียง
ผู้หญิงคนนึงก็ดังขึ้นเบื้องหน้า เธอเปิดประตูห้องออกมาในชุดสไบสีชมพูห่มเฉียง
นุ่งกับโจงกระเบนพร้อมเครื่องประดับเต็มตัว
ถึงเธอจะห่มผ้าอย่างประณีตงดงาม สวมเครื่องประดับมีค่ามากมาย แต่ผมกลับมองว่า
เธอเป็นแค่นางกุลาที่สรรหาพลอยราคาถูกมาใส่แค่นั้น หาความงามใดๆไม่ได้จริงๆ
ผมเหลือบมองเธอครู่หนึ่ง
พลันทันใดสายตาก็เหลือบเข้าไปในห้อง
และแล้ว สิ่งที่ผมเห็นก็คือ
"หมอ"
หมอปีย์ นอนแน่นิ่งอยู่ในสภาพผ้าพันตามตัวและใบหน้า เขามีรอยเลือดแดงซึมออกมา
ตามตัว หมอปีย์อยู่ในห้องนั้น
"หมออออออออ" ผมกระชากตัวจากทาสสองคนนั้นอย่างแรงจนหลุดออกมา ก่อนจะปรี่หมาย
วิ่งเข้าไปหาหมอ ชายแก่นั่นสีหน้าตกใจ หญิงสาวที่อยู่หน้าห้องก็หวีดร้องเสียงหลง
แต่ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้น สิ่งเดียวที่ผมเห็นในดวงตาคือ หมอปีย์
"จับมัน จับมันสิ" ยังไม่ทันที่ผมจะก้าวข้ามผ่านธรณีประตู บ่าวหลายคนต่างกรูกัน
เข้ามาหาผม พวกเขารั้งผม ดึง ฉุด กระชากกันพัลวัน ผมก็ดิ้นไม่ยอมหยุด ปากก็ร้อง
เรียกชื่อหมอ
"หมอ"
"หมอ"
"ปล่อยกู ปล่อย"
ผมดิ้นอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน จนในที่สุดก็ทรุดตัวลงกับพื้น เหตุการณ์ชุลมุน
เมื่อครู่หยุดลง หลายคนหอบหื่น
"มึงมันบ้า อ้ายทาสโสโครก มึงมันบ้า" ชายแก่นั้นเอาไม้ตะพดเคาะหัวผมถี่ๆ
"กูไม่ได้บ้า กูไม่ใช่ทาส และถึงกูจะเป็นทาส พวกมึงก็ไม่มีสิทธิมาทำอย่างนี้กับ
กู" ผมหายใจหอบหนัก
"ฮ่า ฮ่า ฮ่า สิทธิเหรอ มึงกล้าพูดคำว่าสิทธิเหรอ ทาสอย่างมึงจักมีสิทธิอันใด"
ชายแก่หัวเราะเยาะ
"สิทธิในความเป็นคนไง ถึงจะเป็นทาส จะเป็นนาย ก็คนทั้งนั้น กูเป็นคน พวกมึงก็
เป็นคน พวกมัน" ผมชี้ไปที่บ่าวไพร่ ที่ยืนมุงกันอยู่หน้ากระไดข้างล่าง "ก็เป็น
คน เราเป็นคนเท่าเทียมกัน"
ทันทีที่ผมพูดจบ บรรยากาศก็เงียบลงไปทันที บ่าวไพร่อ้าปากค้างราวกับสิ่งที่ผม
พูดมันเป็นเรื่องราวลึกลับ เรื่องผีสางเทวดา มนุษย์ต่างดาวนอกโลก ไม่มีใครเชื่อ
ว่ามีอยู่จริงอย่างนั้นแหละ
"คนเท่าเทียมกันเหรอ หึ หึ" แววตาเจ้าเล่ห์และอำมหิตนั่นทำให้ผมแน่ใจว่าสิ่งที่ผมพูดคงไม่ทำให้ชายแก่นี่รับฟังได้แน่นอน
“พวกมึงไม่ใช่คน พวกมึงเป็นทาส ทาสเป็นแค่สิ่งของที่ข้าจักทำเยี่ยงใดก็ได้ มึงมันบ้า เกิดมาไม่เคยพบเห็นทาสยโสอย่างมึง” เขากระแทกเสียง
“กูไม่ใช่ทาส” ผมคำราม
“มึงมันแค่ทาสไร้ค่า”
“ไม่ใช่ กูไม่ใช่ พวกมึงนั่นแหละบ้า ล้าหลัง การมีทาสทำให้ประเทศชาติไม่เจริญ ชาติใดมีทาสชาตินั้นไม่เจริญ” ผมตะโกนลั่นบ้าน ทุกคนแน่นิ่ง หน้าซีดเผือด โดยเฉพาะชายแก่นั่น
“อีกไม่นานหรอก อีกไม่นาน พระเจ้าอยู่หัว จะประกาศเลิกทาส ความเป็นไท จะแผ่ไพศาลไปทั่วสยาม แล้วเมื่อนั้นพวกมึงทั้งหมดจะเข้าใจคำว่าสิทธิของความเป็นคน” ผมมองไปที่พูดบ่าวไพร่ที่ตอนนี้นั่งก้มหน้าตัวสั่นด้วยความกลัว
บังอาจ!!!
เสียงตวาดของชายแก่คนนั้นพร้อมๆกับการกระแทกไม้ตะพดลงบนพื้นทำให้ผมและคนบนเรือนสะดุ้ง เสียงนั้นมีอำนาจน่ากลัว จนผมต้องกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่
“มึงหาญกล้าพูดถึงขนาดนี้เลยรึ ไอ้ทาสชิบหาย ท่าทางกูคงจักพูดดีกับมึงมิได้เสียแล้ว ไอ้เม้ง ไอ้เบี้ยว จับไอ้หมาบ้านี่มัดกับเสา กูจักเฆี่ยนมันให้ตายคาหวาย”
“ท่านพ่อ เอามันลงไปเฆี่ยนเสียข้างล่างเถิด ข้ามิอยากให้รบกวนพ่ออัชย์ของข้า” เสียงหญิงซึ่งเป็นลูกสาวของชายแก่คนนั้นพูด
“พ่ออัชย์เหรอ” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ ทำไมเธอจึงเรียกหมอปีย์ว่าพ่ออัชย์ อัชย์นั่นมันชื่อผมไม่ใช่หรือ................ทำไม
“ลากมันลงไปข้างล่าง!!!” ชายแก่ผู้นั้นพูด “ข้าจักให้อ้ายทาสยโสนี่ได้ลิ้มรสชาติที่แท้จริงของความเป็นทาส มันจักได้ตระหนักให้จงดีว่า เป็นเพียงแค่ทาสไร้ค่า อย่างอาจหาญเรียกร้องความเป็นไท.......................”
-
เง้ออออออออ ไหงเป็นแบบนี้ล่ะ
จะโดนเฆี่ยนหนักไม๊น้อ
-
ชุดคงประมาณนี้
(http://t0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcTIbaKnxcWZKFmDE-JHeikLA3Kd7NEv-9VSafla27PJXNAirzVv)
แต่ถ้าเป็นเจ้ ต้องจัดชุดใหญ่ แบบ..
(http://t3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcRCWTyiKjV8aZU7KENT7KFjXOImbT6frQnqhz5Cxt2wlM7rkRMh)
-
พ่ออัชย์ นับถือในความกล้าและบ้าบิ่นมาก แต่ถ้าโดนเฆี่ยนจะเป็นอะไรมั๊ย
หมอปีย์ก็ยังนอนแหม่บอยู่ ใครจะช่วยได้ล่ะเนี่ย :z3:
วันนี้ได้อ่านตั้ง 2 ตอน แต่ยังคงรู้สึกได้ถึงความค้างอยู่เหมือนเดิมเลยค่ะ
ตอนหน้าขอจงมาไวๆนะคะ :sad4:
-
เอ้า!! ไมเรื่องกลายเป็นงี้ หมอปีย์ รีบตื่นมาเคลียร์นะ :sad4:
-
มันเกิดอะไรขึ้นละวา!!!!!!!
-
อ้าว เฮ้ย อะไร ยังไง?
มันเกิดอะไรขึ้นนนนน !!!!!
:m31:
-
เหมือนเรื่องมันพลิกไปพลิกมาตลอด งงค่ะ แต่ก็สนุกด้วย เป็นอีกเทคนิคนึงที่ให้คนอ่านตามแบบไม่คลาดสายตารึป่าว
อัชย์ยังคงความหุนหันพลันแล่นไม่เปลี่ยน ดูไม่เป็นคนไม่ค่อยเฉลียวเท่าไร ไม่ค่อยมีสติ แต่อาจเป็นเพราะว่ายังอายุไม่เยอะ ชีวิตไม่ค่อยมีประสบการณ์การทำงานหรือการคบหาคน (จำได้แค่รางๆตอนแรกๆนายอัชย์เราเป็นคนไม่เอาถ่าน อะไรพวกนี้) เค้าดูเป็นตัวละครที่ทะเล่อทะล่าไปทุกตอน เอาแต่ความแรงและกำลังพุ่งเข้าชน แต่เพราะเป็นตัวเอกเลยแคล้วคลาดไปได้เรื่อยๆ (ส่วนตัวคิดว่าถ้าเป็นเรื่องจริง คนอย่างนี้ไปโผล่ในสมัยก่อนแล้วทำตัวอย่างนี้ หรือเผลอพูดในเรื่องแนวการปกครองที่ถูกต้องและศิวิไลซ์ให้ชนชั้นปกครอง"บางคน"ในสมัยนั้นฟัง มีสิทธิ์ถูกเก็บ) อ่า เริ่มจะเข้าการเมือง ขอจบการเม้นท์แต่เพียงเท่านี้ กดบวกและรอตอนต่อไปนะคะ :bye2:
-
เง้อ เหมือนเรื่องเริ่มลอยไปไหนแล้ว o22
-
ยิ้มไม่ได้ หัวเราะไม่ออก เลยทีเดียวสองตอนหลัง :เฮ้อ:
หมอปีย์กับพ่ออัชย์ไม่รู้จะสงสารใครมากกว่ากัน
ทรมานวิญญาณหนักหนา :sad3:
กด+ เอาใจช่วยครับ ขอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
-
หมอปีย์ไปรุจักยัยผุหญิงคนนั้นด้วยหรออ
แล้วหมอปีย์จะฟื้นขึ้นมาช่วยทันมั้ยยอ่า :z3: :z3:
-
แล้วใครจะมาช่วยพ่ออัชย์ได้เนี้ย
-
ติดตามผลงานอยู่นะครับ...สนุกมากเลย
มาต่อไวๆนะครับ :3123:
-
เจ้าบ้า หาเรื่องโดนหวายซะแล้ว หมอจะฝื้นมาช่วยทันมั้ยเนี่ย แอร๊ยยยส์ :serius2:
-
คำว่า " ไท ไม่ใช่ทาส " มีความศักสิทธิ์เสมอ แม้แต่เสียของ เจ้าบ้า ยังทำให้คนตกตะลึกทั้งบ้าน
เป็นพระมหากรุณาธิคุณ ที่ล้นเกล้า รัชกาลที่ 5 ทรงพระราชทานให้แก่ชาวสยามประเทศ
อยาก + สัก 100 ให้คุณนนท์ แต่ เพิ่ง + ให้เมื่อคืน ฉนั้น รอก่อนนะครับ :กอด1:
ปล. แล้วทำไม คนไทยในปัจจุบัน จึงยังตกเป็นทาสทางความคิดและอารมณ์กันอยู่อีกละครับ :เฮ้อ:
-
หมอปีย์ตื่นมาช่วยเมียด่วน!!!!
เอ๊ยไม่ใช่ หมอปีย์ตื่นมาช่วยเพื่อนเลิฟด่วน ไม่งั้นพ่ออัชย์ของหมอปีย์หลังขาดแน่เลย
หวังว่าคงไม่แบบในละครนะ ที่หมอปีย์ตื่นขึ้นมาจำอะไรไม่ได้ เพราะศีรษะกระทบกระเทือน อิอิ
-
เอ๋รู้สึกว่าอาเจ๊นั้นจะหลงหมอปีย์เข้าซะและ
เต็มปากเต็มคำว่า"พ่ออัชย์ของข้า"ลุ้นต่อไป
-
ดูท่าว่าบุตรสาวคุณหลวงจะหลงรักหมอปีย์เข้าแล้ว
-
เกิดอะไรขึ้น!!!
ตอนนี้สงสารเจ้าบ้าอย่างรุนแรง :z3:
-
อะไรกันเนี่ยยยยยยยย
เกิดอะไรขึ้น งงอ่า T^T
-
แงงงงงงงงงงง อย่าทำไรพ่ออัชย์นะ ฮือๆๆ
-
จะตายเพราะปากมันซะทุกตอนจริงๆเลยพ่อคนนี้
ถ้าบอกเหตุบอกผลบอกชื่อบอกที่มาตั้งแต่แรก
ไม่โหวกเหวกโวยวายเรื่องมันก็คงจะง่ายกว่านี้เยอะ
แต่ก็เอาเถอะ ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ก็คงไม่ใช่นายเอกเรื่องนี้แหละเนาะ :laugh:
-
มาช่วยด้วยเร็วๆเถอะคับ
เป็นห่วงมากๆเลยอ่ะ
-
ค้างอะครับ
เป็นห่วงหมอปีย์ จัง จะฟื้นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ โดนหนักขนาดนี้ จะเป็นอะไรมากมั้ย หวังว่าความจำคงไม่เสื่อมนะ
พ่ออัชย์ของเราคงแย่แน่ๆ ใครจะช่วยได้บ้างเนี่ย ว่าพ่ออัชย์ไม่ใช่ทาส
มาต่อเร็วๆ นะครับบบบบบ รออ่านอยู่นะครับ
-
เอาเเล้วไง มาสอง อัชย์
หมอปีย์ตื่นด่วน!!
-
งงงงงงงงงงงงงง
อย่างแรงเลยค่ะ อะไรยังไงเนี่ย
ทำไมหมอปีย์ เป็นชื่ออัชย์ไปซะแล้ว
มาต่อเร็วๆนะคะ
-
เง้ออออ จะโดนเฆี่ยนหรือไม่นี่??
-
งงเว้ยยยยยยย ทำไมหมอปีย์เป็นอัชย์วะ :angry2:
แล้วนางชะนีตัวนี้มันคือใคร๊ :serius2:
:monkeysad: ทำไมพี่เป็ดตัดฉับขนาดนี้ ค้างมาก
-
เฮ้ย สลับร่างกันรึป่าวเนี่ย(มั่วละ) 55
รออ่านนะๆ :3123: :L1:
-
หมอปีย์ช่วยด่วนนนนนนนนนนนนนนนนนน
-
อาคคคค..
ไหงเป็นงี้อ่ะ
หมอปีย์รีบตื่นมาช่วยหน่อยเซ่ :o12:
:call:
-
สลับร่างกันชัวร์!! หนุ่มหน้าตาดีที่พวกเค้าว่าอาจจะเป็นอัชจริงๆ เอ๊ะ แต่รู้ชื่อได้ไงอ้า!!! เอ้าแล้วบาดหนี่ เส็ดมึง!!!! ตายคั่กๆ!!!!
อาการค้างทำให้สมองปั่นป่วน เหอๆ
-
//ปรากฎว่าหมอปรีย์ความจำเสื่อม!!! :a5:
ไม่ใช่ละ อย่ามามุกนี้นะ 555 เมื่อไหร่พ่อหมอจะฟื้น พ่ออัชย์จะโดนเฆี่ยนแลล้วนะเนี่ย
พ่ออัชย์เอ้ยยยย โชว์เสตปเทพอังกฤษอย่างคนมีการศึกษาใส่ซะ เค้าจะได้ไม่คิดว่าเป็นทาส
:: หมออย่างแมนนนนนนนนนนน!!! ตายแทนกันได้เลยอ่ะะ โคตรของโคตรลูกผู้ชาย o13
-
อ่านตอนนี้งง
กลับมาเฉลยเหอะค่ะ
นั่งเกร็งแล้วเนี่ยยย :z2:
-
สงสัยหมอละเมอแล้วยัยลูกสาวคิดเอาเองแน่ๆ
สงสารหมออ่ะ
-
“อูย เบาๆ สิป้า คนนะไม่ใช่พื้นห้องน้ำ ขัดซะแรงเชียว” ผมนอนคว่ำหน้าร้องซี๊ดปากอูยๆ
“ก็ใครใช้ให้เอ็งไปปากเก่งกับพระยาท่านเล่า พวกบ่าวไพร่ใจหายใจคว่ำ นึกว่าจักโดนหางเลขตามเจ้าไปเสียด้วย” หญิงแก่คนเดิมที่เคยเอายามาทาให้ผมพูด
“จะโดนได้ยังไง พวกป้าไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ชั้นตะหากที่ทำ”
“เอ็งมิรู้จักท่านพระยาดีเท่าพวกข้าดอก เอ็งลองดูหลังพวกบ่าวเรือนนี้สิ ไม่มีคนไหนที่จักไม่มีรอยหวาย”
ผมชะโงกหน้าออกไปดู ก็เห็นเป็นจริงดังคำป้าแก หลังของบ่าวแต่ละคนล้วนแต่มีร่องรอยการถูกเฆี่ยนอย่างทารุณ
“โห แล้วป้าทนเข้าไปได้ยังไง” ผมว่าเพราะตัวเองโดนเข้าไปถึงกับสลบ
“ทนไม่ได้ก็ต้องทน จักทำเช่นไรเมื่อชีวิตเราเกิดมาเป็นทาส” แกค่อยๆประคบยาที่ห่อด้วยผ้าขาวอย่างเบามือ คงเป็นเพราะทนเห็นผมสะดุ้งไม่ไหว
“เอาอีกแล้ว ชั้นละเบื่อจริงๆ”
“ข้าถามเอ็งสักหน่อยเถิด เอ็งทำเช่นนั้นไปทำไมกันเล่า” ป้าถาม
“ป้าชื่ออะไร” ผมถามกลับ
“หนู”
“ป้าหนู ป้าจะเชื่อชั้นหรือป่าวไม่รู้นะ แต่ชั้นไม่ใช่ทาส และชั้นจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมายัดเยียดความเป็นทาสให้กับชั้น ชั้นจะพาเพื่อนชั้นกลับบ้าน” น้ำเสียงผมแสดงความมุ่งมั่น
“เอ็งไปไหนไม่ได้ดอก เมื่อเอ็งก้าวเท้าเข้ามาที่นี่แล้ว โอกาสเดียวที่จะออกไปจากเรือนหลังนี้ได้ก็คือ “ตาย” น้ำเสียงของป้าหนูทำให้ผมขนลุก “เรือนหลังนี้เป็นเสมือนคุกของพวกข้า เอ็งก็เหมือนกัน บางคราข้ายังคิดเลยว่า จักดีเสียกว่าหรือไม่หากเจ้าถูกพวกโจรมันฆ่าตายเสียที่ชายป่าแทนที่จะมาอยู่เรือนหลังนี้” แววตาของป้าหนูบ่งบอกถึงความโหดร้ายบางอย่างที่อยู่เบื้องหลังเรือนหลังนี้
“ป้าพูดอะไรของป้าน่ะ”
“เอ็งดูอีบ้านั่นนะ” แกชี้ให้ผมดูหญิงบ้าที่เคยเข้ามาในห้องผม “เมื่อก่อนมันหาได้บ้าเยี่ยงนี้ไม่ อีจันทร์มันอุตส่าห์หนีพ่อหนีแม่มันมาเพราะมิอยากเป็นทาส พ่อแม่มันเป็นคนลาว มันหนีตายซมซานมาจนมาถึงที่นี่ สุดท้ายมันก็หนีความเป็นทาสไม่พ้น” เสียงของป้าหนูบ่งบอกถึงความสงสารที่มีต่อตัวของจันทร์อย่างจับใจ
“แล้วทำไมถึงบ้าหล่ะป้า”
“คืนนั้น อีจันทร์ถูกเรียกตัวเข้าไปหาพระยา และคืนนั้นเป็นคืนที่บ่าวไพร่ต่างนอนมิหลับ เพราะเสียงร้องโหยหวนทั้งคืนของอีจันทร์ดังเล็ดลอดออกมาจากห้องของพระยา ตอนเช้า ข้าก็พบอีจันทร์นอนสติเลื่อนลอยอยู่ใต้ถุนเรือน แล้วมันก็เป็นอย่างที่เจ้าเห็นนี่แหละ”
“โห แม่ง เลวว่ะ” ผมอุทาน “แล้วชั้นจะพาเพื่อนหนีออกไปจากที่นี่ได้ยังไงกันน่ะ” ผมเริ่มถอดใจ
“ค่อยๆคิดเถิด เอ็ง ครานี้พักผ่อนเอาแรงรอให้แผลหายก่อน อีกอย่างข้าจักเตือนเจ้าไว้ อย่าออกไปจากจากเรือนนี้เด็ดขาด หากเจ้าจักอยู่เรือนนี้เจ้าจักต้องเป็นได้อย่างเดียวเท่านั้น คือ “ทาส”
“ไม่มีทาง ชั้นไม่มีวันยอม” ผมยืนกรานเสียงแข็ง
“คิดดูให้ดี เป็นทาสเพียงร่างกาย แต่จิตใจเจ้ายังเป็นไท รอโอกาสเหมาะแล้วค่อยหนี”
“ป้าจะช่วยชั้นเหรอ” ผมถาม
แต่หญิงแก่ไม่พูดอะไร เธอหันไปหยิบห่อผ้าอีกห่อที่มีน้ำสีเหลืองๆซึมออกมามาประคบหลัง ยาตัวนี้ทำให้ผมถึงกับน้ำตาเล็ดเพราะความแสบ
“ป้า ผู้หญิงคนที่อยู่บนเรือนเมื่อเช้าเป็นใครกันน่ะ” ผมถามเมื่อนึกถึงหน้าหญิงที่ห่มสไบสีชมพูได้
“อ๋อ คุณชงโค ลูกสาวท่านพระยาน่ะ อย่าไปยุ่งกับเธอทีเดียวเชียว ถ้าเอ็งเห็นว่าพ่อของเธอร้ายแล้วนั้น ข้าจักบอกให้ เธอร้ายกว่าพ่อเธอมากนัก”
ผมนอนฟังป้าหนูเล่าเรื่องราวของบ้านหลังนี้ นี่มันบ้านหรือคุกบางขวาง ทำไมแม่งมีเรื่องราวลึกลับซับซ้อนมากมายขนาดนี้
“แล้วตกลงเอ็งกับพ่อหนุ่มรูปงามนั่นเป็นอะไรกันรึ” ป้าหนูยกถาดยาไปวางไว้ริมฝาเรือนก่อนจะหันมาถามผม
“เอ่อ ชั้นเป็นเพื่อนกับหมอนั่นน่ะ เออ แล้วป้ารู้มั๊ยทำไมเพื่อนชั้นถึงไปนอนในห้องของยายชงโคตับเป็ดนั่น”
“รู้สิ มิมีเรื่องอันใดในเรือนนี้ที่อีหนูไม่รู้ คงถือเป็นคราซวยของเพื่อนเอ็งเสียละมั้งที่ไปต้องชะตากับคุณชงโคเข้า” ป้าหนูบอก
“ป้าช่วยเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ชั้นฟังละเอียดๆหน่อยได้มั๊ย”
“ได้สิ แต่ข้าขอถามเอ็งสักข้อก่อน เอ็งรู้จักหลวงจรัสแห่งบางพระโขนงจริงๆหรือ” ป้าหนูถาม
“ใช่ ทำไมเหรอ ทำไมคนบ้านนี้ถึงอยากรู้เรื่องหมอจรัส” ผมตอบทั้งที่จริงๆแล้วไม่เคยเห็นหน้าท่านเสียด้วยซ้ำ
“หมอท่านเคยมาที่นี่ มารักษาคุณชงโคเมื่อปีกลาย”
“อ๋อ มีน่า พระยาบ้าอำนาจนั่นถึงได้อึ้งเมื่อชั้นพูดถึงหมอจรัส”
“เอ้ เอ็งนี่ปากวอนหาหวาย อย่าไปพูดถึงพระยาแบบนี้ให้ใครได้ยินล่ะ เอ็งจะซวยเอา”
“เออน่า รู้แล้วทีนี้จะเล่าให้ชั้นฟังได้รึยังล่ะ”
“เออๆ เอ็งนี่เร่งข้าเสียจริง เรื่องราวเป็นมาเยี่ยงไรข้ามิรู้ดอก รุ้แต่ตอนที่พวกบ่าวใกล้ชิดของพระยา ไปหิ้วพวกเอ็งสองคนมา สารรูปนี่ข้านึกว่าไม่รอดแล้ว”
“แล้วไงต่อ”
“ข้ากับบ่าวอีกสองคนก็ช่วยกันเช็ดหน้าเช็ดตาให้พวกเอ็งนะสิ พระยาท่านเดินเข้ามาดู คราแรกจะให้ข้าเอาพวกเอ็งไปทิ้ง แต่คุณชงโคเธอมาเห็นพ่อรูปงามนั่นเสียก่อน”
“แล้วยายชงโครู้จักชื่อเพื่อนชั้นได้ยังไง”
“ก็เธอถามน่ะสิ ถามเพื่อนเอ็งนั่นแหละ ว่าชื่อกระไร เพื่อนเอ็งยังมิได้สติดีดอก แต่ก็บอกชื่ออัชย์ พร่ำเพ้อแต่อัชย์ อัชย์ไม่ขาดปาก”
พอป้าเล่ามาถึงตอนนี้ ผมก็ต้องกลืนน้ำลายของตัวเองลงคอ ไม่สิ ความกล้ำกลืนต่างหาก ขนาดนี้แล้วหมอปีย์ยังจะเป็นห่วงผมอีกเหรอ ตัวเองจะตายอยู่แล้วยังคิดถึงแต่ผมอยู่อีกหรือนี่ มิน่าหล่ะ นังกุลานั่นถึงเรียกชื่อหมอปีย์ว่า “อัชย์”
“แล้วเพื่อนชั้นเป็นไงมั่งป้า” ผมถามด้วยความเป็นห่วง และเพราะเห็นว่าป้าหนูเป็นคนใกล้ชิดของยายชงโค
“ข้าก็ไม่รู้” ป้าหนูเตรียมลุกขึ้น “แต่ข้าจักบอกอะไรเอ็งให้ หากเอ็งอยากขึ้นไปบนเรือนใหญ่อีกละก็ ย่อมได้” แกว่า ก่อนจะจัดแจงผ้าแถบที่คาดอกให้เรียบร้อย “แต่ต้องไปในฐานะทาสนะเว้ย”
หลังจากป้าหนูออกไปจากห้อง ผมก็นอนซม ระบมไปทั้งตัว นี่มันเป็นบุญหรือแม่งเป็นเวรกันแน่ ที่ทำให้ต้องหลงยุคมาเจอเรื่องแบบนี้ ชาติที่แล้วผมคงทำเวรทำกรรมไว้กับคนภพนี้มาก ถึงต้องกลับมาชดใช้ให้พวกเขาจนปางตายขนาดนี้
หมอปีย์ยังนอนอยู่บนเรือนหลังใหญ่ ผมนอนคิดจนไมเกรนขึ้น ไม่รู้จะพาหมอนั่นหนีได้ยังไงในสภาพแบบนี้ ลำพังแค่ผมคนเดียวจะหนียังลำบาก หากต้องพ่วงหมอปีย์ไปด้วยอีก คงไปไหนได้ไม่ไกลแน่ๆ
“เฮ้อ” ผมถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง ทิ้งหน้าลงบนหมอนที่ทำมาจากลูกมะพร้าว นี่การเป็นไพร่ในยุคนี้นี่ไม่มีอะไรดีเลยเหรอ แม้แต่หมอนนุ่มๆยังไม่มีจะหนุนกันหรือย่างไร
“หากจะขึ้นไปเรือนใหญ่อีกครั้ง ต้องไปในฐานะทาสเท่านั้น” เสียงของป้าหนูดังก้องอยู่ในหัวผม
“ถึงกายเอ็งจักเป็นทาส แต่ใจยังเป็นไท”
ไม่มีทางไหนแล้วเหรอที่จะได้เข้าใกล้หมอนั่น ไม่มีทางไหนนอกจากทางนี้แล้วเหรอ
“เอาวะ เอาไงเอากัน ชั้นจะช่วยนายออกมาจากที่นี่ให้ได้.......หมอ”
-
แล้วคนที่ตามมากับ หมอปีย์ และพ่ออัชย์ ล่ะ ไปไหนกันหมด ยังไม่มาตามตัวอีกเหรอ
แล้วจะเข้าใกล้หมอปีย์ได้จริงเหรอ คุณชงโคไม่ กันซีนหรือไง
โอ้ย......หนักใจอึดอัดแทนพ่ออัชย์จริง เมื่อไหร่จะผ่านช่วงเวลานี้ไปได้สักทีเนี่ย
หมอฟื้นเร็วๆ นะเอาใจช่วย ฟื้นมาแล้วต้องจำได้ทุกอย่างนะ
-
ลุ้นๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
เอาใจช่วยอัชย์กับหมอปีย์ให้ออกมาจากเรือนนั้นได้ด้วยเถ้อะะะ :call:
-
ตอนนี้มาเร็วจริงๆด้วย :impress2:
สุดท้าย เจ้าบ้าก็โดนเฆี่ยนจนได้สินะ
ตอนนี้หมอปีย์ก็ยังคงไม่ฟื้น คงไม่มีใครรักษาให้ล่ะนะ ทางที่ดีรักษาตัวรอดไว้ก่อนจะดีกว่ามั๊ยเนี่ย
แอบมีความคิดว่า หมอจรัสอาจจะช่วยหมอปีย์กับเจ้าบ้าให้ออกมาจากบ้านนี้ได้
ขอให้รอดพ้นไปด้วยดีเถิด อุปสรรคเยอะจริงๆ พับผ่าสิ แล้วงี้ตอนจบจะออกมาเป็นยังไงน๊อ :z3:
-
แล้วคนที่ตามมากับ หมอปีย์ และพ่ออัชย์ ล่ะ ไปไหนกันหมด ยังไม่มาตามตัวอีกเหรอ
แล้วจะเข้าใกล้หมอปีย์ได้จริงเหรอ คุณชงโคไม่ กันซีนหรือไง
โอ้ย......หนักใจอึดอัดแทนพ่ออัชย์จริง เมื่อไหร่จะผ่านช่วงเวลานี้ไปได้สักทีเนี่ย
หมอฟื้นเร็วๆ นะเอาใจช่วย ฟื้นมาแล้วต้องจำได้ทุกอย่างนะ
นั่นดิ บ่าวไพร่หายไปไหนกันหมด ไม่มาตามหานายหรอ
-
มันอะไรกันว้า อ่านแล้วอึดอัดเพราะเอาใจช่วยจนตัวเกร็ง
พี่ซงโค่แสนสวยได้ข่าวว่าร้ายมาก แล้วอัชย์จะร้ายสู้ไหวเร้อ
รอคร้าบ :)
-
รอต่อค่ะ!! ในหัวของพ่อเชฟอัชย์จุแน่นไปด้วยความรู้ที่สั่งสมกันมาก่อนหน้านั่นเป็นร้อยปี จะชนะผู้หญิงเจ้าอารมณ์กับตาแก่โหดๆแค่สองคนไม่ได้ได้ไงล่ะ o13
-
ทั้งหมดนี่คือการมาตากอากาศที่ชะอำใช่ไหม :a5:
-
เส้าจัง เจอแต่เรื่องแย่ๆ :z3: :z3:
ยายชงโคนั่นจะร้ายสักแค่กันนะ :m31:
-
รู้สึกสาวไทยเรื่องนี้ไม่มีความเป็นกุลสตรีกันซะเล้ยยยย
กะแล้วว่าหมอต้องเพ้อชื่ออัชย์ 5555 นึกสภาพตอนหมอฟื้นแล้วไม่ออกเลยแฮะ คงฮาพิลึก :laugh:
-
เรื่องราว...สนุกมาก :3123:
มารอติดตาม...ตอนต่อไป :z13:
-
ลุ้นๆ หมอปีย์จะเป็นไงบ้างเนี่ย เจอแต่ผู้หญิงแปลกๆ 555+
-
กรรม...รู้สึกเหมือนค้างกว่าเดิม :m31:
-
ถ้าหมอฟื้นมาแล้วความจำเสื่อมนี่...โอย ไม่อยากจะคิด :z3:
เรื่องนี้ผู้หญิงสมัยนั้นแรงใช่ย่อยนะเนี่ย
+1 รอให้หมอฟื้นเร็วๆจ้า
-
:call: ขอเห้ออ
อย่าให้หมอปีย์ความจำเสื่อมเล้ย :monkeysad:
-
ว๊าววววววววววววว
-
ลุ้นมากกกกกกกกก
-
มีเรื่องให้ลุ้นระทึกกันอีกแล้ว >//<
-
หรือคู่หมั้นของหมอปีย์จะมาช่วย เพราะเห็นว่าจะตามมาทีหลังอยู่นี่
เห็นทีว่าจะได้ฉะกับแม่นางชงโคกันสนุกสนานล่ะทีนี้ :m11:
แต่ก็ยังมีข้อสงสัย ทำไมอัชย์ถึงไม่บอกว่าพวกตนเป็นใคร
เกี่ยวข้องอะไรกับหมอจรัส หรือคิดไม่ได้คิดไม่ถึงหรือยังไง
ถ้าบอกไปแล้วเค้าไม่เชื่อก็ลองแนะนำว่าให้ส่งคนไปสืบหรืออะไรยังไงดูก่อนก็ได้
ถ้าไม่ใช่จริงๆจะลงโทษในภายหลังก็คงจะยังไม่สาย
แต่ถ้าสืบรู้ความจริงมาแล้วว่าใช่ อย่างน้อยๆก็คงได้รับการต้อนรับที่ดีกว่านี้
และอาจได้ออกไปจากบ้านหลังนี้อย่างสง่าผ่าเผย
โดยที่ไม่ต้องคิดแผนหนีอะไรให้มันวุ่นวายเลยแม้แต่นิดเดียว
-
รอหมอปีย์หายก่อนดีกว่า :laugh: สิบชงโค รึจะสู้ อัชย์เดียว :laugh:
-
มารยาหญิงรึจะสู้จริตชาย ชงโคที่ว่าร้าย มาเจอพ่ออัชย์ทีเดียวจอด
-
ตอนที่แล้วเป็นหลวงบริรักษ์
ตอนใหม่ไหงกลายเป็นพระยาไปได้คะพี่
ปล. ฉิบหาย ไม่ใช่ ชิบหาย (เพิ่วอ่านพบจากตอนที่แล้ว อิอิ)
-
พ่ออัชสู้ๆ
-
หมอปีย์รีบฟื้นขึ้นมาเร็วๆสิ จะได้พูดไปเลยว่าเรามิได้ชื่ออัชย์
แต่อัชย์เป็นชื่อคนที่เรารัก 55++
-
หมอเจ็บหนักซะแล้ว...จะเป็นไงต่อไปละเนี่ย :เฮ้อ:
-
อยากให้หมอปีย์รีบๆฟื้นขึ้นมา
จะได้มายืนยันว่าพ่ออัชย์ไม่ใช่ทาส
-
พ่ออัชย์เตรียมออกรบกับอิชงโค....ชิงตัวหมอกลับมาให้ได้นะพ่ออัชย์ สู้ๆ
-
ทำไมกลาเป็นอย่างนี้ไปได้ล่ะ
ไม่นะ ไม่อยากจะคดเลย
แล้วจะทำยังไงล่ะทีนี้
ใครจะมาช่วยหมอปีย์ กับ พ่ออัชย์ของเราละทีนี่
:serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2:
-
:z3: :z3: :z3:
-
:z3: :z3:
-
ละไม่ใช่หมอปีย์ฟื้นขึ้นมาละความจำเสื่อมอีกนะ ตบกะบานแตก :beat:
ส่งหมอปีย์ไปเกิดยุคปัจจุบัน ถีบพ่ออัชย์เข้าทามแมชชีนไปรักกันยุคไฮเทค
แฮปปี้เอนดิ้ง :กอด1:
-
โถ่พ่ออัชช์ พ่อหมอปรีย์ของเจ้ TToTT
-
"ถึงกายเอ็งจักเป็นทาส แต่ใจยังเป็นไท”
ประโยคนี้ของป้าหนูโคตรโดนอ่ะ!!
-
:angry2: :angry2: ชงโค :z6:
-
แอบเขินเล็กๆ ที่ป้าหนูบอกว่าหมอเอาแต่เรียก อัชย์ๆๆๆ อ๊ายยย :o8: :o8:
แต่ว่าไม่เอาแบบ หมอฟื้นมา ความจำเสื่อมน้าาาา แบบนั้นเราไม่ยอม
-
:angry2: :angry2: :angry2:
แล้ว ไอ้ 2 คน ที่ ตาม มา มัน ไม่ ตาม หา นาย มัน หรอ ????
-
อร้ายยยยยยยยยยยย
อารายเนี้ยยย
เกิดไรขึ้น งงไปหมดแล้วน๊า
-
กอด :กอด1: หมอปีย์ กอด :กอด1: พ่ออัชย์ ...คิดถึง...
และ รอคนเขียน :z2: :z2: :z2: แห่ะๆ
:seng2ped:
-
โอยย ทำไม โหดร้ายอย่างนี้ อัชย์จะพาหมอปีย์รอดจากคนพวกนี้ได้มั้ย
ติดตามต่อไปนะคะ
-
โห้ย แย่ๆ แบบนี้แย่ๆ จะหนียังไงเล่าพ่ออัชย์!!!
สงสารหมออ่า
-
หายเร็วๆนะหมอ มีคนคอยอยู่
-
มาเป็นกำลังใจให้นะคะ ฮิฮิ :L1:
-
ยอมจำนนเป็นทาส เพื่อปกป้องหมอปีย์จากแม่นางชงโค หึ หึ หึ .....
มาดูว่า พ่ออัชย์ จะช่วยหมอปีย์ยังไง
+1 ให้คุณนนท์ เป็นกำลังใจให้ครับ
-
สู้เพื่อหมอ!
-
พ่ออัชย์สู้ๆ มารยาหญิงยุคก่อน 100เล่มเกวียน ไม่เท่ามารยา1รถบรรทุกเรายุคนี้ 555 อยากให้มีตอนหวานๆให้เยอะๆจัง
-
ขนาดอยู่ในช่วงสอบยังอดใจเข้ามาดูไม่ได้ เหอๆ
มาต่อยาวๆนะคับพี่
ขอบคุณนะคร้าบ
-
โหย...พรุ่งนี้สอบแล้ว :z3: :z3: :z3:
แต่ก็แอบแว๊บมาดู...ยังไม่มา อ๊ากกก :z3:
:o12: :o12: :o12: รีบไปอ่านหนังสืออย่างด่วน :a5: :a5: :a5:
-
เอาใจช่วยนะคับ
-
พูดไม่ออก
-
:t3: :t3: :t3:
รออยู่นะครับ :z13:
-
รอทุกวันคับผม
-
มาต่อเร็วๆนะคับ
-
:z2:
-
พี่เซ็งเป็ดคาบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
ผมรอมาหลายยวันแล้วนะคาบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
-
โอ๊ยๆๆๆ.... :m31:
หายเงียบไปเลยอ่ะ อยากอ่านจังเล้ย :z3:
รออยู่นะครับ เป็นกำลังใจให้นะ :z2:
:seng2ped:
-
มาตามอ่านอยู่ครึ่งวัน สนุกสุดๆ
อ่านแล้วรักประเทศไทยเลย
แต่ตอนนี้ต้องให้ยัยชงโคนั้น รู้ถึงมารยาชายไทยซะหน่อยแล้ว :m16:
-
แม่(ชง)โค นี่ร้ายเหลือ
จัดการเลยค่ะ พ่ออัชย์
ครึๆ
-
ดันค๊าบ...ดัน ดัน ดัน :z2:
รออยู่ทุกวันนะครับ :z10:
:seng2ped:
-
:call: :call: อ่านมาทันแล้ว ต้องรอต่อไป อยากบอกว่า สนุก สุดๆไปเลยครับ มาต่อเร็วๆนะครับ :call: :call:
-
อยากให้พ่ออัชย์ จัดการได้ชักเรื่องอ่ะคับ
-
ปูเสื่อ กางมุ้ง เตรียมหมอนค่า รออยู่ค่า
-
ปลื้มหมอปีย์มาก ผู้ชายไทยโบราณจริงๆ สมัยนี้หาไม่ค่อยได้หรอกนะ อิอิ ส่วนเจ้าบ้านี่ก็ผู้ชายไทยยุคปัจจุบัน พูดอะไรไปไม่เคยคิดถึงใจอีกคนเลย ปากหมาพาเรื่องเข้าตัวเองอีก
-
เฝ้ารอใครสักคน จะหลงทางผ่านมา ^___^
คนเขียนห๊ายไป๊ 555+
ยังรอคอยอยู่นะคะ
-
รอเหมือนเดิม
-
วันนี้ก็รอคับผม
(รู้สึกจะเกลียดการรอคอยแล้วอ่ะ)
-
• “เอาวะ เอาไงเอากัน ชั้นจะช่วยนายออกมาจากที่นี่ให้ได้.......หมอ”
วุ้ย ช่วยไวๆเข้านะคะเธอ....แล้วพากลับมากรุงเทพ.ให้ทันวันอาทิตย์ด้วย
๓๕๐ + ๑ = ๓๕๑
ขอบคุณนะคะ คุณ เซ็งเป็ด
-
นัง โค เดี๋ยวได้รู้ฤทธิ์พ่ออัชย์ตัวจริงซะบ้าง
-
ยังรอเหมือนเดิมนะคับ
-
ปูเสื่อรอค่า
-
ปูเสื่อ เปิดทีวี นอนรอคุณเป็ดนะคะ รออย่างมีความหวัง *วิ๊งๆๆๆ*
-
รอ
-
หมอปีย์รีบๆหายนะ จะได้รีบๆมาช่วยพ่ออัชย์ได้^^
-
ตอนนี้ได้แต่ร้องเพลง *รอ*
มาต่อเร็ว ๆ นะคะ ^^~
-
รอครับ :L2:
-
มารอด้วยคน
-
รออีกแล้วคาบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
-
รอๆๆๆ
ไม่น้าาาา หมอปีย์ต้ งเป็นของไอบ้าคนเดียวสิ T^T
-
keep on waitin' till the world ends !!
-
เข้ามาดูทู๊กวัน มาอัพเุถอะน๊า :call:
-
รอทุกวันๆ
-
กลับมาได้ม๊ายยยยย~~~ กลับมาอัพเถอะ ฉันรอเธออยู่ทุกวันนนนนนนนนนนนน
-
เป็นกำลังใจให้พี่นนท์คับ รีบมาต่อไวๆนะ
-
ทาสรักช่อง 3 ก็จบไปแล้ว
เมื่อไหร่ทาสอัชย์ของหมอปีย์จะมาซะทีน๊าาาา :monkeysad:
-
ก่อนอื่นต้องขอโทษทุกท่านที่ทำให้รอนะครับ
ตอนนี้ผมมีเรื่องด่วนต้องทำ ชนิดที่เรียกได้ว่าด่วนมากกกกกกกกกกกกกกก
จึงขออนุญาตหยุดโพสเป็นการชั่วคราวนะครับ
ขอเวลาสักประมาณเดือนนึงนะ เมื่อทุกอย่างลงตัวแล้ว สัญญาจะมาต่อให้จบครับผม สัญญา
-
เง้อออออ
ไว้ทำงานเสร็จแล้ว ก็มาต่อด่วนๆก็แล้วกันนะคะ
ยังไงก็รอหมอปีย์เหมือนเดิมค่ะ ^^
-
:pig4:
-
ผมก็สัญญาครับว่าจะรอ....
รอ เซ็งเป็ด มาต่อนิยายเรื่องนี้ให้อ่าน :t3:
-
รอได้ค่ะ
ทำงานเสร็จไวไวนะค่ะ ^^
-
ไม่เป็นไร รอได้ รอให้งานเสร็จแล้วค่อยมาเขียนต่อก็ได้จ้า
เพื่อหมอปีย์และเจ้าอัีชย์
-
รอค้าฟฟฟ เด๋วเตรียมตั้งแคมป์นอนรอแถวนี้แหละจ้ะ 555
ขอให้งานเสร็จลุล่วงปลอดโปร่งนะจ้ะ
-
รับทราบคร้าบ^^
-
จะรอ นะครับ
-
โอเค จะรอนะคะ
-
1เดือนรอได้แน่นอนค่ะ
ช้ากว่านี้ก็จะรออ่าน (แต่อย่าช้าเลยเป็นดีที่สุด)
-
ฮัดช่าาาา เข้าใจแล้วฮับ
เสร็จงานด่วนแล้ว รีบกลับมาไวๆ นะคะ :กอด1:
-
รอ ตามสัญญาครับบบบ
-
รอๆๆๆๆๆเค้าจะรอ
-
รับทราบจ้า
ไม่ต้องรีบนะ จัดการเรื่องด่วนมากกกกกกกให้เรียบร้อยก่อน
คนทางนี้รอได้เสมอ
-
รอได้ค่ะ
รอหมอปรีย์ กับ พ่ออัชย์ จ้า
-
จะรอนะคับ
และคิ ดถึงมากๆด้วยอ่ะคับ
-
อ๋อ ได้ค่ารอได้ :L2: :กอด1:
-
จะรอนาาาา
-
เป็นกำลัวใจให้นะครับ
ขอให้งานเสร็จไวๆ
จะรออ่านต่ิอนะครับ 5555+
-
โอเคค่ะ จะรอน๊าาาาาาาาาาา
-
รับทราบครับ ไม่เป็นไรๆ รอได้ครับ
ตั้งไจทำงานนะครับ ^^
-
:serius2:
ยังไม่มาต่ออีกเหรอ คิดถึงงงงง :sad11:
-
(http://cheapcampingequipment.org/wp-content/uploads/image/camping-at-clark-2.jpg)
การเต็นท์ ก่อกองไฟรอดีกว่า อิอิ
-
รอๆๆๆ
-
รอคาบบบบบบบบบบบบบบบ
-
เข้ามาอ่านจบอีกเป็นรอบที่ 4
คิดถึงหมอปีย์คับ ว่างเเล้วก็มาต่อให้อ่านกันอีกนะคับผม ^^
-
หายไปนานจังเลย คิดถึงหมอปีย์ คิดถึงพ่ออัชย์ คิดถึงคนแต่งจ้า
-
คิดถึงเหมือนกันคับผม
-
นอนรอ อย่างมีหวัง ^^
-
และแล้วผมก็ต้องยอมกลืนน้ำลายตัวเอง ด้วยความช่วยเหลืออย่างมีมิตรไมตรีของป้าหนู ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนแบบนี้อยู่ในเรือนนรกหลังนี้ด้วย ป้าหนูอาสาเกลี้ยกล่อมให้ยัยชงโคอนุญาตให้ผมขึ้นไปดูแลหมอปีย์บนเรือนได้ ทั้งๆที่หมอปีย์เป็นของผม ด้วยเหตุผลที่ว่า
“มันเป็นบ่าวคนใกล้ชิดของพ่ออัชย์(หมอปีย์)นะเจ้าคะ ให้มันมาดูแล บ่าวรู้ใจนายอย่างมัน อิชั้นรับรองว่าพ่ออัชย์จักต้องดีวันดีคืนเป็นแน่เจ้าค่ะ” ป้าหนูตกปากรับคำเป็นหมั่นเป็นเหมาะ ผมนั้นต้องเมินหน้าหันไปทางอื่น แค่มองหน้ายัยชงโคแล้วเห็นเม็ดแตงโมที่ติดที่ปาก(ไฝ) ก็คันไม้คันมืออยากจะเอานิ้วดีดปากเสียให้ได้
“ว่าไงหล่ะ เจ้าเส็ง” ป้าหนูหันมาถามผม แต่ไม่ได้เตี้ยมกันก่อน เลยเกิดอาการงงกันเกิดขึ้น
“ใครชื่อเส็ง” ผมถามกลับ
“ก็เจ้านั่นแหละ เจ้าเส็ง แห้ ๆๆ” ป้าหนูหัวเราะกลบเกลื่อน “ สงสัยสติจักยังไม่สมประกอบดีกระมังเจ้าคะ”
“อ้อ เอ่อ ก็ตามนั้นอ่ะ” ผมพูดขอไปที การที่ต้องนั่งคุกเข่าบนพื้นในขณะที่ต้องนอบน้อมให้กับผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า มันเป็นอะไรที่แย่มากในความรู้สึกผมตอนนั้น
ชงโคอนุญาตให้ผมขึ้นไปหาหมอปีย์ได้วันละสองครั้ง เช้ากับเย็น เมื่อต้องป้อนข้าวป้อนน้ำ หลังจากนั้นผมจะต้องไม่ไปเพ่นพ่านแถวเรือนใหญ่อีก และระหว่างที่ผมอยู่บนเรือน ไม่ให้ผมพูดอะไรกับหมอปีย์ ยกเว้นหมอปีย์จะถามเท่านั้น
“จะบ้าเร๊อะ อีปลวกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
สำหรับอาหารถูกจัดไว้ในถาด มีข้าวต้ม ปลาแห้ง ผลไม้ก็เป็นมะม่วง มีน้ำและมียาเม็ดลูกกลอนที่วางกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่ในขันเล็กๆ ผมเดินถือถาดขึ้นเรือนด้วยอาการปวดหลัง และยังมีไข้รุมๆ แต่ก็จำใจต้องทำ ขืนไม่รีบให้หมอนั่นหาย เวลาที่จะต้องอยู่ในเรือนนรกหลังนี้ก็คงจะยืดเยื้อไปด้วย
“เกิดมาไม่เคยต้องทำแบบนี้กับใคร” ผมบ่นกับตัวเองเบาๆ แต่ก็ต้องทำ เพราะสิ่งที่ผมทำยังไม่ได้สักเศษเสี้ยวกับที่หมอปีย์ทำให้ผมเลย
“อยู่บนเรือนใหญ่ อย่าสอดรู้สอดเห็น ให้ก้มหน้าไว้ตลอด” ป้าหนูกำชับ ก่อนจะแยกทางก่อนถึงบันไดเรือนเพื่อไปหลังเรือน ส่วนผมนั้นนอกจากหมอปีย์แล้ว ไม่มีอะไรน่าสนใจสำหรับที่นี่เลยสักนิด
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” ผมเคาะห้องที่หมอปีย์นอนพักฟื้น สูดหายใจลึกๆ กี่วันมาแล้วที่ไม่ได้เจอหน้าหมอปีย์
“เอี๊ยดดดดดด”เสียงประตูเปิดออก ชงโคเดินออกมาในสภาพผ้าแถบครึ่งท่อนสีชมพูตัดกับผ้านุ่งที่เธอใส่ เข็มขัดทองเหลืองอร่ามคาดเอวพร้อมทั้งเครื่องประดับแทบจะล้นตัวเธออกมา ผมหลบตาเธอตามที่ป้าหนูบอก
“อย่าสะเออะทำเกินคำสั่ง จำไว้ อ้ายขี้ข้า ข้าจักให้บ่าวมานั่งเฝ้ามึงหน้าห้อง” เธอจิกสายตามาที่ผม ในขณะที่ผมนั้นกัดริมฝีปากสะกดความรู้สึกที่อยากจะตอบโต้ไว้
“อือ” ผมตอบ
“ว่าไงนะ” เธอตวาดแว๊ดขึ้นมา
“ขอรับ” ผมตอบเสียไม่ได้ ก่อนที่ชงโคจะรามือ ยอมเดินออกจากห้องไป
เสียงเธอกำชับบ่าวผู้หญิงให้เฝ้าหน้าห้องไว้ให้ดีดังขึ้น ก่อนที่ผมจะหันหลังไปปิดประตู
“หมอ” ผมวางถาดอาหารไว้ที่โต๊ะข้างประตู ปรี่ไปหาหมอปีย์ด้วยใจเป็นห่วงลืมคำสั่งของชงโคไปหมดสิ้น
“หมอ เป็นไงมั่ง” ผมนั่งลงใกล้ๆเขาซึ่งยังคงหลับตา ที่หัวพันไปด้วยผ้าขาว
“ชั้นขอโทษนะหมอ ชั้นขอโทษ” ในที่สุดผมก็หลั่งน้ำตาให้กับสารรูปของหมอปีย์ ที่เขาเป็นแบบนี้ เพราะปกป้องผมแท้ๆ
“โอ้ยยยย” เสียงแหบซ่าดังผ่านลำคอของเขา หมอปีย์ขยับตัวนิดหน่อย ก่อนจะเอามือกุมหัว
“หมอ หมอ” ผมเรียกเขาด้วยความตื่นเต้น
หมอปีย์ค่อยๆลืมตาขึ้นมา ผมลุ้นกับทุกความเคลื่อนไหวของเขา
“หมอ เป็นยังไงบ้าง”
แววตาหมอปีย์จ้องมองไปบนเพดาน เขาจ้องมองไม่กะพริบตาอยู่ครู่หนึ่ง เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
แล้วเขาก็หันมามองผม
“อัชย์ อัชย์”
ทันทีที่ได้ยินเขาเรียกชื่อผม หัวใจผมพองโตจนแทบจะระเบิด เขาไม่เป็นไร เขายังจำผมได้ ผมยิ้มทั้งน้ำตา
“ใช่ ชั้นเอง” ผมตอบ
“อัชย์ อัชย์” หมอปีย์ยังคงเรียกชื่อผมไม่ขาดปาก
“ใช่ นายไม่เป็นไรแล้ว ชั้นอยู่นี่”
แต่เขายังไม่หยุดเรียกชื่อผม นอกจากนั้นยังมีอาการดิ้นทุรนทุรายมากขึ้นกว่าเดิมอีก
“เอ้ย นายเป็นอะไร” ผมตกใจหน้าซีดเผือด
“ออกไป” แล้วเขาก็ผลักผมจนตกเตียง ผมอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูก นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“หมอ” ผมลุกขึ้นยืน “นี่ชั้นไง อัชย์ นายจำชั้นไม่ได้เหรอ อัชย์ไง”
“ออกไป ออกไปให้พ้น ออกไป” หมอปีย์เริ่มอาละวาดหนักขึ้นพร้อมทั้งตะโกน ผมพยายามจะเข้าไปปลอบให้เขาหยุด แต่เขาไม่ยอม ในที่สุด
“โอ้ย” เขาทรุดตัวลงกับพื้น กุมหัวดิ้นไปมา
“หมอ หมอเป็นอะไร”
“พ่ออัชย์ เกิดอันใดขึ้น” ทันใดนั้นชงโคเปิดประตูเข้ามา สีหน้าของเธอตื่นตกใจ เธอหันมาจ้องผมตาถลน
“มึงทำอันใดกับพ่ออัชย์ของข้า เจ้าทาสเส็ง” พูดไม่พูดเปล่า ชงโคง้างมืออย่างสุดแขนก่อนจะฟาดผมที่ใบหน้าเข้าอย่างจัง
แต่ตอนนั้นผมไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น ยังคงตกใจกับสิ่งที่เห็นเบื้องหน้า
“ออกไปให้พ้นหน้าข้า อ้ายทาสเลว ข้ามิน่าไว้ใจทาสอย่างเจ้าเลย ออกไป”
ผมเดินออกมาจากห้องหมอปีย์ด้วยอาการงุนงงยิ่งกว่าโดนชงโคตบหน้าเสียอีก ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับหมอปีย์กันแน่
เมื่อมาถึงเรือนทาสที่ผมซุกหัว ผมทิ้งร่างที่ระบมนอนลงบนพื้น มือทั้งสองข้างก่ายหน้าผาก
“หรือมันจะความจำเสื่อม” ผมคิด
ไม่ผิดแน่ มันต้องความจำเสื่อมแน่ๆ โดนฟาดเสียขนาดนั้น โธ่เว้ย นี่เรื่องมันชักจะไปกันใหญ่แล้วสิ
ไม่ได้การณ์แล้วขืนปล่อยไว้ไม่รีบรักษาหมอปีย์อาจต้องเป็นอย่างนี้ไปตลอดก็ได้ ต้องพาหมอปีย์กลับพระนครอย่างเร็วที่สุด ยังไงเสียที่นั่นก็มีหมอจรัสอยู่ ท่านต้องมีวิธีรักษาหมอปีย์เป็นแน่
ผมจะต้องรีบไปบอกหลวงบริรักษ์เรื่องหมอจรัส เผื่อว่าเขาจะใจอ่อนยอมปล่อยเรากลับพระนคร
เมื่อคิดได้เช่นนั้นด้วยความใจร้อน ผมกระโดดลงจากเรือน ไม่ใส่เสื้อ มีเพียงผ้าโจงกระเบนเก่าๆเท่านั้นที่ห่อหุ้มร่างกายอยู่
ผมวิ่งผ่านเหล่าบ่าวไพร่ที่กำลังทำงานบ้านประจำวันซ้ำๆซากๆอย่างไร้จุดมุ่งหมายในชีวิต เสียงป้าหนูตะโกนไล่หลังมาแว่วๆ
“อ้ายเส็ง หยุดวิ่งประเดี๋ยวนี้” แต่ไม่ทันเสียแล้ว ผมกระโดดแผล๋วขึ้นเรือนมุ่งหน้าไปยังห้องพระยาบริรักษ์อย่างรวดเร็ว
และแล้วผมก็มายืนอยู่หน้าห้องพระยาบริรักษ์ในสภาพเหงื่อท่วม หอบแฮกๆ ผมตั้งสติเรียบเรียงคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือจะเคาะประตูห้อง
“เอ็งก็เพลาๆกับมันหน่อยสิ จักทำอันใดให้นึกถึงประโยชน์เราเข้าว่า ไปตบหน้ามันฉาดใหญ่ขนาดนั้น หากมันหนีไปเราจักลำบาก” เสียงพระยาบริรักษ์พูดทำให้ผมต้องรามือลง ก่อนจะแนบหูกับประตู
“ทำไมพ่อต้องให้ข้ายอมมันด้วย มันวิเศษกว่าบ่าวไพร่คนอื่นตรงไหน” เสียงชงโคยังคงคุกรุ่นไปด้วยความโกรธ
“วิเศษสิ วิเศษมากด้วย” น้ำเสียงของพระยาคนนั้นเปลี่ยนไป “มันบอกพ่อว่ามันรู้จักกับหมอจรัส”
พระยาบริรักษ์พูดถึงหมอจรัสด้วย ผมยิ้มด้วยความดีใจ ความหวังเริ่มส่องแสงรำไร
“หมอจรัส หมอที่มารักษาคุณพ่อเมื่อครั้งอหิวาระบาดนั่นหรือเจ้าคะ พ่อมีการณ์อันใดกับหมอคนนั้นหรือ”
“มีสิ ชงโค” น้ำเสียงของพระยาบริรักษ์ดูมีเลศนัย “เอ็งลองนึกดู หากเจ้าสองคนนี้อยู่เรือนของเรา เราก็แค่ให้คนวิ่งเร็วไปแจ้งข่าวแก่หมอจรัส แค่นี้หมอจรัสก็ต้องเร่งมาหาพวกมันที่นี่ จากนั้น.............................................”
“จากนั้นอะไรหรือเจ้าคะ คุณพ่อ”
“จากนั้น เราก็แค่ทำให้หมอจรัสสิ้นชื่อไปจากโลกนี้”
สิ้นประโยคนี้สีหน้าของผมก็เปลี่ยนไปทันที นี่พระยาบริรักษ์คิดจะลอบฆ่าหมอจรัสเหรอ
“เมื่อหมออเมริกันคนนี้ถูกฆ่าตาย พวกมันย่อมไม่พอใจในพระนคร ชนวนเหตุแห่งการณ์บาดหมางก็จักเกิดขึ้นและเมื่อนั้น ฮ่าๆๆๆๆ” เสียงหัวเราะของพระยาบริรักษ์ดังบาดลึกเข้าไปในความรู้สึก นี่ไอ้แก่บ้านี่กำลังจะทำอะไรของมัน
“เพราะฉะนั้น เจ้าจักใจร้อนวู่วามไปมิได้ จำไว้ชงโค การณ์ใหญ่กำลังรอเราอยู่”
ผมเดินออกมาจากห้องพระยานั่นพร้อมทั้งคำถามมากมาย นี่มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาเสียแล้ว การที่ผมย้อนอดีตมาครั้งนี้ ทำให้ผมต้องพัวพันกับเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้เชียวหรือ แล้วผมจะทำยังไงต่อไป จะทำยังไงต่อไป
“หมอ ฟื้นมาช่วยชั้นที”
-
เจ๊กลับมาแล้ว กรี๊ดดดดดดดด
ไปอ่านก่อนดีกว่า ดีใจๆๆๆๆ
-
พ่ออัชย์กับหมอปีย์กลับมาแล้ว :mc4:
-
เย็นวันนั้นผมถูกใช้งานเหมือนทาสคนอื่น ฐานะของผมสำหรับบ้านหลังนี้ช่างต่างจากหมอปีย์อย่างยิ่ง อ้อ ไม่สิ อย่างน้อยก็มีสิทธิพิเศษอยู่หน่อยนึง เพราะเป็นตัวล่อหมอจรัสมาที่นี่ โชคดีแค่ไหนแล้วที่ผมไม่เอาความเรื่องหมอจรัสว่าท่านไปทำงานอยู่ที่ไหนมาบอกพระยาบริรักษ์ ไม่งั้น ผมจะกลายเป็นคนที่ส่งหมอจรัสมาตายอย่างแท้จริง
“เจ้าเส็ง” เสียงป้าหนูเรียก “คุณชงโคเรียกเอ็งแน่ะ”
ผมทำสีหน้าแปลกใจ
“ไปเถิด ไม่ต้องทำหน้าสงสัย ขืนชักช้าจักโดนหวายเอาอีก” ป้าหนูบอก
“อะไรกันวะ อยู่ที่นี่แค่ขยับตัวก็ผิดหรือนี่” ผมบ่น
ชงโคเรียกผมขึ้นไปบนเรือนด้วยเหตุผลที่จะให้ผมดูแลหมอปีย์ เธอแสดงมารยาทที่ดีกับผมมากขึ้น แต่ลึกๆผมรู้ว่าเธอต้องการอะไร
ผมแกล้งทำเป็นซื่อบื่อ ไม่รู้เรื่องราว รับปากเธอจะดูแลหมอปีย์เป็นอย่างดี โดยที่เธอก็ไม่รู้ว่าลึกๆผมต้องการอะไร
ตอนนี้ผมเรียนรู้แล้วว่า การจะจัดการกับคนนั้น ไม่ใช่จะพุ่งชนใช้กำลังอย่างเดียว บางครั้งการจะจัดการกับคนบางคนมันต้องใช้มากกว่ากำลัง นั่นคือ...............สมอง
“ขอรับคุณชงโค กระผมจะดูแลหมอปีย์ เอ้ย คุณอัชย์เป็นอย่างดี” ผมเผลอเรียกชื่อหมอปีย์ออกมา “ว่าแต่ คุณชงโคจะไปไหนขอรับ แต่งตัวเสียงามเชียว ผมคุณชงโคก็งาม ผิวก็เนียน งามแท้ๆ” จะอ๊วก
แต่นั่นก็เป็นประโยชน์ไม่น้อย ชงโคยิ้มแทบหุบไม่ลง ก่อนจะหันมาบอกผมว่า
“เอ็งนี่ก็ปากหวานไม่เบา เอาเป็นว่าข้าไม่อยู่ ดูแลพ่ออัชย์ของข้าให้ดีล่ะ” เธอยิ้ม แต่สายตายังคงเป็นนังมารร้าย ก่อนจะเดินมาเปิดประตูห้องหมอปีย์ให้ผมเข้าไป
“ข้างามจริงๆนะ” เธอหันมาถามผมอีกครั้ง ผมไม่ตอบเพราะถ้าให้พูดอีกกูคงอ๊วกใส่หน้านังกุลาฟันเหยินนั่นเป็นแน่ แต่เลือกที่จะยิ้มและพยักหน้าแทน
“หมอ” ผมเรียกหมอ ขณะที่เขานั่งหันหลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง เขาไม่หัน แต่ช่างเหอะ หน้าที่ผมตอนนี้คือป้อนข้าวเขา และทำให้หมอนั่นหายให้เร็วที่สุด
ผมวางถาดอาหารข้างๆตัวเขา ก่อนจะนั่งลงใกล้ๆ แววตาของหมอปีย์ดูเปลี่ยนไป แววตาของหมอคนเก่าไม่เลื่อนลอยแต่แข็งกร้าวแบบนี้
“หมอ” ผมเรียกเขาอีกครั้ง เขาหันมามองผมเอียงคอเล็กน้อย ก่อนจะนิ่งไปครู่หนึ่ง
“ออกไป” แล้วเขาก็ตวาดและผลักผมจะล้มหงายหลังตึง
“อูยยยย” ผมร้องอูยเบาๆ เพราะก้นกระแทกกับพื้นอย่างจัง
“ไอ่หมออออออออออออออ” ครางในลำคอเบาๆด้วยความเจ็บ แต่ต้องอดทน ภารกิจครั้งนี้คือต้องทำให้หมอหายให้เร็วที่สุดและพาเขาออกไปจากที่นี่
“หมอ” ผมเรียกเขาอีกครั้ง และเหมือนครั้งก่อน เขาบอกให้ผมออกไปก่อนจะผลัก แต่ครั้งนี้ผมหลบทัน
“หมอ นี่จำชั้นไม่ได้จริงๆเหรอ อัชย์ไงอัชย์”
“อัชย์ อัชย์” เขาเปรยเบาๆเอียงคอไปมา
“เออ อัชย์ ไอ้บ้าอัชย์ไง”
“บ้าอัชย์ บ้าอัชย์” แล้วเขาก็ยิ้มและสงบลง
“เฮ้อ ผมถอนหายใจโล่งอกที่หมอนี่ไม่อาละวาด “กินข้าวนะหมอนะ แล้วกินยาจะได้หายไวๆ” ผมว่า ก่อนจะตักข้าวเต็มช้อน ยื่นไปที่ปากหมอปีย์
แต่หมอนั่นไม่ยอมอ้าปาก ต้องหลอกล่ออยู่พักใหญ่ถึงจะยอมอ้า
“อ้ำ” ผมพูด
หมอปีย์อมข้าวไว้ครู่หนึ่ง ก่อนจะ
“ถุ้ยยยยยยยยย” เขาพ่นข้าวใส่หน้าผมอย่างแรงจนผมสะดุ้ง ข้าวเต็มหน้า
“ไอ้หมออออออออออออออออออออออ” เป็นอีกครั้งที่ผมกัดฟันแน่น อยากจะตบหัวมันสักป๊าดใหญ่ด้วยความโกรธ
“ไม่ได้ ไม่ได้ ทำแบบนั้นไม่ได้ มันเอ๋ออยู่” ผมข่มใจตัวเอง
“กินข้าวดีๆหมอ ไม่กินจะจับยัดนะเว้ย”
ผมป้อนข้าวให้เขากินอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาปัดข้าวในชามจนหล่นแตกเสียงดังเพล้ง ข้าวหล่นกระจัดกระจาย
ผมก้มหน้าลงกำหมัดแน่น ความอดทนผมกำลังจะหมดลง ตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ ทำไมผมต้องมาตกในสภาพแบบนี้ ทำไมต้องเป็นแบบนี้
ความอดทนกำลังจะหมดลง แต่แล้วภาพที่หมอนั่นกำลังจ้องมองมาที่ผม แววตาที่ไม่เป็นมิตรคู่นั้น ทำให้ผมนึกถึงใครคนหนึ่งที่แม่งโคตรเลว
จะเป็นใครเสียไม่ได้นอกจาก
“แม่งเอ้ย นี่มันกูชัดๆ” ผมนึกถึงตัวเองตอนที่มาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ ร้ายกว่านี้เป็นร้อยเท่า แต่ทำไมหมอปีย์ถึงทนผมได้ เมื่อเขาทนผมได้ ผมก็ต้องทนเขาได้
ผมเดินลงไปเอาถาดข้าวมาใหม่ แต่ก็ไม่ได้ป้อน เพราะหมอนั่นปัดจนหล่นหมด
ผมลงไปเอามาใหม่
หมอนั่นปัดทิ้ง
ผมลงไปเอามาใหม่ หมอนั่นปัดทิ้ง
ทำแบบนี้อยู่นับสิบครั้งจนในที่สุด
“หมอกินข้าว” ผมพูดคำนี้เกือบสิบครั้ง แต่ครั้งนี้ เขาอ้าปาก และในที่สุดหมอปีย์ก็ยอมเคี้ยวข้าว
“น้ำ” เขาพูดเสียงแข็ง ผมยื่นน้ำให้เขา
“ซู่ว์” หมอปีย์สาดน้ำใส่หน้าผมโครมใหญ่
“ไอ้หมอออออออออออออออออออ....................อดทนไว้ อดทนไว้” ผมสะกดอารมณ์ไว้ พยายามคิดว่ามันบ้า มันบ้า
“น้ำ” เขาร้องขอน้ำอีก ผมยื่นให้อีก
“ซู่ว์” และก็เหมือนเดิม มันสาดน้ำใส่ผมอีก แต่คราวนี้ผมหลบทัน ไม่โดน
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไม่โดน” ผมล้อ
“โครม!!”
“เต็มหน้ากูเลย...................ไอ้หมอ!!!”
วันรุ่งขึ้นผมขออาสาป้าหนูทำกับข้าวให้หมอปีย์ เมื่อคืนกว่าจะสู้รบปรบมือกับไอ้หมอบ้านั่นเสร็จเล่นเอาระบมไปหมดทั้งตัว เข้าใจหัวอกหมอเลยว่าตอนผมแผลงฤทธิ์มันเป็นยังไง
กลับมานอนที่เรือนผมก็เอาแต่คิดว่าจะรักษาหมอนั่นได้ยังไง ลำพังแค่ยาลูกกลอนแค่สองสามเม็ดคงไม่ทำให้สติสตางค์หมอนั่นกลับมาได้หรอก
“โภชนาบำบัด” ในที่สุดผมก็นึกออกว่าจะช่วยหมอนั่นได้ยังไง เมื่อตอนที่เรียนทำอาหาร ผมได้เรียนวิชานี้มาด้วย เขาบอกว่าอาหารก็สามารถเป็นยาได้ เพราะฉะนั้น ผมจะใช้อาหารนี่แหละ รักษาหมอนั่น
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมจึงวานให้บ่าวช่วยกันไปหาใบบัวบกมาเพราะใบบัวบกช่วยบำรุงสมอง และความจำ เมื่อได้ใบบัวบกมาผมก็เอาไปคั้นเอาแต่น้ำ ใส่น้ำตาลปึกเข้าไป กลายเป็นน้ำใบบัวบก
นอกจากนั้นยังเอาใบบัวบกไปแกงกับหอยขมอีกด้วย เพราะหอยช่วยบำรุงเลือด หมอนั่นเสียเลือดไปเยอะ ร่างกายเลยอ่อนแอ สมองก็เลยล้าไปด้วย
ปลาทู ผมเอาปลาทูไปนึ่ง เพราะในปลาทูนั่นมีโอไมก้าช่วยบำรุงสมอง
“กินขนาดนี้แล้วถ้าไม่หายก็ให้มันรู้ไป” ผมพูดขณะที่เดินถือถาดอาหารขึ้นเรือน
“เจ้าเส็ง”
“แหม เรียกชื่อกูเพราะเชียวนะ” ผมนึกในใจเมื่อชงโคเรียกผมขณะที่กำลังเดินขึ้นเรือน
“ขอรับ แหมวันนี้คุณชงโคดูสดชื่นนะขอรับ เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล” หือถ้ากูจำกลอนสุนทรภู่ได้ คราวหน้าจะเอามายอนังกุลานี่อีก
“ก็ข้านอนหลับเต็มอิ่มนี่” หล่อนยิ้มกว้าง “พ่ออัชย์ไม่ละเมอ หลับสนิทดี เอ็งนี่สมแล้วที่เป็นบ่าวคนสนิท”
เธอยิ้ม ก่อนจะให้ผมเข้าไปป้อนข้าวให้หมอนั่น
“อ้อ ป้อนข้าวเสร็จแล้วพาพ่ออัชย์ไปอาบน้ำด้วยนะ บ่าวคนอื่นมิมีใครเอาพ่ออัชย์ของข้าอยู่สักคน” หล่อนว่า
“อะไรน๊า” ผมทำเสียงสูง จนชงโคทำหน้าประหลาดใจ
“เอาพ่ออัชย์ไปอาบน้ำไง เจ้าฟังมิรู้ความดอกรึ”
-
ภายในห้องเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปด้วยเศษอาหารฝีมือหมอปีย์ สำหรับผม นี่เป็นครั้งแรกที่ต้องมาดูแลคนอื่น ไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่าจะสามารถอดทนดูแลคนอื่นได้ขนาดนี้
หมอปีย์ยังคงไม่ยอมไม่กินอะไร ต้องคอยหลอกล่อเหมือนเด็ก ห้องที่เลอะเทอะนั้นผมไม่ต้องเป็นห่วง เพราะชงโคเธอกำชับบ่าวไพร่ให้คอยมาทำความสะอาดให้อยู่แล้ว
“ไอ้หมอเอ๋อ ไปอาบน้ำ” เขาทำตาขวางทันทีเมื่อผมบอกให้ไปอาบน้ำ
“ไปอาบน้ำไง มาทำหน้าเป็นหมาบ้ากลัวน้ำไปได้” ไม่มีปฏิกิริยาของหมอ แทนที่เขาจะลุกขึ้น เขากลับล้มตัวลงนอนหันหลังให้ผม
ผมนั้นมองเขาด้วยความเอือมระอา แต่พอคิดถึงว่าเหตุใดเขาถึงต้องเป็นแบบนี้ ก็เลยต้องเต็มใจที่จะทำ
“หมอ หมอครับ หมอ” ผมนั่งลงข้างๆเขา เอานิ้วสะกิดเอว “ไปอาบน้ำกัน” แอ๊บเสียงแบ๊วสุดชีวิต เหมือนเด็กอ่างชวนป๋าอาบน้ำ
มันยังไม่มีท่าทีสนใจ เท้าเริ่มกระดิก อยากจะถีบให้ตกเตียงนัก
“หมอไปอาบน้ำเหอะ ลุกๆ” ผมดึงมือหมอปีย์ แต่เขากระชากมือออก
“เฮ้ยยยยยยยยยยยย ไอ้หมอเอ๋อ กูบอกไปอาบน้ำ!!!!!”
ในที่สุดหลังจากฟัดเหวี่ยงกับหมอนั่นจนเหงื่อไหลไคลย้อย หมอปีย์ก็ยอมมายื่นหน้าบึ้งอยู่ที่ท่าน้ำที่กั้นไว้ด้วยไม้ไผ่สานตาละเอียด หมอปีย์ตอนนี้ไม่เหมือนหมอปีย์คนเก่าเลย เขาดูเหมือนเด็กในร่างผู้ใหญ่เสียมากกว่า
“หรือนี่จะเป็นหมอปีย์ตอน 10 ขวบ” ผมคิดในใจ
“หมอ ถอดเสื้อออก” ผมสั่ง แต่หมอปีย์ยังยืนนิ่ง ดื้อด้านที่สุด ไม่คิดว่ามันจะดื้อด้านขนาดนี้
“ถอดออก”
“ไม่”
“หมอ มึงไม่ถอดออกแล้วจะอาบน้ำยังไง” ตอนนั้นผมความอดทนผมปริ่มๆจะหมดลง ตัวสั่นด้วยความหงุดหงิด อยากจะชกมันเข้าเบ้าตาสักหมัด แต่มาคิดๆดูหากมันสู้ขึ้นมา ผมคงตายพอดี ตัวยังกับควาย
“ถอดให้หน่อย” หมอปีย์พูด ผมเบือนหน้าหนี แบะปากออกมาโดยอัตโนมัติ
“ถอดให้หน่อย”
“เออ รู้แล้วๆ” เอาวะ มาถึงขนาดนี้แล้ว สุดๆไปเลย เสียเวลาทำไมอยู่
“อืม ยกแขนขึ้น” ผมจับชายเสื้อทั้งสองข้างก่อนจะค่อยๆถลกเสื้อขึ้น
ภายใต้เสื้อสีขาวตัวนี้ เผยให้เห็นผิวกายที่เนียนละเอียดราวกับหยก ผิวของหมอปีย์เนียนผิดกับชาวสยามธรรมดาในยุคสมัยนั้น แต่อาจเป็นเพราะมันเป็นลูกครึ่ง หมอนั่นถึงได้แตกต่าง
ผมถลกเสื้อไล่ขึ้นมา ร่องรอยบาดแผลที่หมอปีย์เจอมาวันก่อนนั้น ยังปรากฏตอกย้ำให้เห็นว่าผมทำอะไรลงไปกับมันบ้าง ยิ่งเพิ่มทวีความรู้สึกผิดในใจผมขึ้นไปอีก
“ชั้นขอโทษ” ผมเอ่ยเบาๆ พลางลูบนิ้วมือไปตามบาดแผลที่เริ่มแห้งสนิทบนหน้าอกของหมอนั่น
“เร็วๆ หายใจไม่ออก” หมอปีย์ว่า
“เออๆ ขอโทษ” ผมดึงเสื้อมาจนสุด ตอนนี้ร่างของหมอนั่นเปลือยเปล่าท่อนบน ผมจ้องมองอย่างลืมตัว กลืนน้ำลายเฮือก
ไม่ใช่จะหื่น แต่อิจฉาที่คนอย่างมันไม่ต้องเหนื่อยเข้าฟิตเนสให้วุ่นวาย แต่กลับได้หุ่นที่ผู้ชายหลายๆคนปรารถนา
“มองอะไร”
“หา เอ่อ ป่าว เอานี่ผ้า เปลี่ยนซะจะได้อาบน้ำซะที ชั้นจะได้ไปคิดแผนพาเราหนี วุ่นวายกับนายมาทั้งวันแล้ว” ผมยื่นผ้าให้หมอปีย์ แต่หมอไม่รับ เขากลับจับปมผ้าแพรที่เขานุ่ง ก่อนจะคลายปมออก แล้ว
“ผลั่วะ!!!!” กางเกงแพร หลุดร่วงกองลงกับพื้น บนเรือนร่างของหมอนั่น ไม่มีอาภรณ์ใดๆห่อหุ้มอีกเลย ผมยืนอ้าปากค้างอยู่หลายวินาที
“ไอ้เหี้ย ทำอะไรของมึง” เมื่อได้สติจากการจ้องตากับงูอนาคอนด้า ผมคว้าผ้ามาหวังจะปิดร่างที่เปลือยเปล่าของมันอุตลุด แต่หมอปีย์ไม่ยอม เขาปัดมือผมพัลวัน
“มึงจะบ้าเหรอ ไอ้หมอ มึงเป็นหมอนะเว้ย ไม่ใช่นายแบบหนังเกย์ ห่า นุ่งเร็ว”
“ไม่เอา ไม่เอา อาบน้ำให้หน่อย อาบน้ำให้หน่อย” มันดิ้นไปมาราวกับเด็ก
ผมกัดฟันกรอด เหนื่อยหน่ายกับหมอปีย์แล้ว ความอดทนตอนนี้หมดแล้ว
“ขอสักทีเหอะวะไอ้หมอเอ๋อ กูหมั่นไส้มึงเต็มทีแล้ว”
ในระหว่างที่หมอปีย์ยืนอ่าซ่าอยู่นั้น
“อาบน้ำ อาบน้ำ” ผมอาศัยช่วงจังหวะเผลอ ยกขาขวาขึ้นอย่างมั่นคง ก่อนจะง้างหมับ และถีบหมอนั่นอย่างสุดแรง
“ขอกูเหอะนะหมอ อ๊ากกกกกกกกกกกกกซ์”
“ปั๊ก!!!”
“ตูม !!!!” เสียงน้ำแตกกระจาย พร้อมกับร่างของหมอปีย์ที่หล่นไปอยู่ในน้ำ
“ฮ่าฮ่าฮ่า อาบสิน้ำอ่ะ น้ำเต็มเลย” ผมหัวเราะชอบใจ
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย” หมอปีย์หล่นไปอยู่ในน้ำ เขาตะเกียกตะกายทำราวกับว่ายน้ำไม่เป็น
“ช่วยด้วย ว่ายน้ำไม่เป็น” เสียงน้ำแตกกระเซ็นดังตูมๆ มือของหมอปีย์ตะเกียกตะกายไปมา
“หึ จะมุขไหนอีกหล่ะทีนี้ แม่งตั้งแต่เอ๋อนี่ ลูกเล่นแพรวพราวนะมึง” ผมว่าพลางนั่งลงรอว่าเมื่อไหร่หมอปีย์จะเหนื่อยจนเลิกเล่น
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย เอือก ๆๆ”
“ช่วยด้วย”
เสียงน้ำสงบเงียบลง ทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติ หมอปีย์หายไปใต้ผิวน้ำ แต่ผมยังคิดว่าเขาแค่ล้อเล่น
“หมอ อย่ามาเล่นน่า ขึ้นมาได้แล้ว เดี๋ยวก็ตายจริงหรอก”
แต่ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมอปีย์ เขาหายไปนานแล้วนะ จริงๆน่าจะนานเกินไปเสียด้วยซ้ำ
“หมอ ไม่ตลกนะ ขึ้นมา” ผมเริ่มร้อนใจ
“หมอ หมอ ตายห่าแล้วกู ฆ่าหมอซะแล้ว” ผมอาจคิดผิดก็ได้ที่ว่าหมอนั่นว่ายน้ำแข็ง บางทีการที่มันสมองเสื่อมจำอะไรไม่ได้อาจทำให้ทักษะการว่ายน้ำเสื่อมไปด้วยก็ได้
ว่าแล้วผมก็กระโดดลงน้ำอย่างไม่คิดชีวิต งมหาหมออย่างร้อนใจ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“หมอ หมอ อย่าเป็นไรนะ หมอ” ผมค่อยๆลากหมอขึ้นมาบนท่าน้ำ เขาหมดแรงในสภาพเปลือยเปล่า ผมรีบเอาผ้ามาห่มท่อนล่างเขาไว้กันอุจาด
“หมอ หมอ” ผมตบหน้าเขาหลายต่อหลายครั้ง
“หมอตื่น สิ หมอ อย่าเป็นอะไรนะเว้ย หมอ” ร่างของหมอปีย์นอนแน่นิ่งไม่ไหวติง ผมลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูก
“หมอๆ” กี่ครั้งแล้วที่ชั้นทำให้นายเจ็บปางตาย กี่ครั้งแล้ว ครั้งนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ คำว่าขอโทษคงไม่พอที่จะทำให้นายฟื้นขึ้นมาได้แล้ว
“หมอ!!” จู่ๆความคิดแวบนึงก็แล่นเข้ามา ผมนึกถึงกฎการช่วยชีวิตผู้จมน้ำขึ้นมาได้ นั่นก็คือการผายปอด
“เอาวะ เป็นไงเป็นกัน” ผมจัดแจงท่าทางตัวเองก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างกุมเข้าหากัน ทุบไปที่หน้าหมอนั่นอย่างแรง สามครั้ง แล้วใช้มือขวาช้อนท้ายทอยเขาขึ้นมา ก่อนจะใช้อีกมือเปิดปากเขา
ผมค่อยๆโน้มใบหน้าไปใกล้หมอนั่น ลมหายใจเริ่มถี่ขึ้นเมื่อริมฝีปากของเขาใกล้เข้ามา พร้อมทั้งหัวใจที่เต้นตุบๆไม่เป็นจังหวะ
ผมขยับริมฝีปากใกล้เขาเรื่อยๆ เรื่อยๆ
แล้วจู่ๆ
“หมอ”
หมอปีย์เบิกตาโพรงจ้องมองผมไม่กะพริบตา ผมเองก็ตกใจที่จู่หมอนั่นก็ลืมตาขึ้นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ปี๊ดดดดดดดดด” แล้วเขาก็เม้มปากฉีดน้ำที่ผมไว้ใส่หน้าผมอย่างจัง จนผมหงายหลัง
“ไอ้บ้า มึงทำอะไรของมึง”
หมอปีย์ลุกขึ้น มัดผ้าขาวม้าอย่างแน่นหนา ก่อนจะเดินไปอย่างหน้าตาเฉยโดยไม่หันมามองผม
“อาบน้ำเสร็จแล้ว” มันพูด
ผมขบฟันจนกรามแทบหัก รู้สึกมีลมพัดออกจากหูฟู่ๆ ด้วยความโกรธ
“อย่าให้มึงหายนะไอ้หมอ กูสัญญาว่าจะเอาคืนให้ครบ...............ทุกดอก คอยดู” ผมตะโกนไล่หลังพลางเอามือลูบน้ำออกจากหน้า
-
ว้าวว มาต่อแล้ว o13 o13 o13
-
มาแล้ว หมอปีย์ แต่ว่าโหมดนี้มาเป็นเด็กแล้ว 555+ ขอบคุณค้าพี่เป็ด :L2: :pig4:
-
คิดว่าตาฝาด... มาอัพแล้วจริงๆ
อ่าน หมอปีย์กับพ่ออัชย์ ด้วยความคิดถึง :man1:
ลุ้น ตื่นเต้น ไปกับเนื้อเรื่อง สู้เขานะพ่ออัชย์ เอาใจใส่หมอปีย์หน่อย
หมอทำเพื่อนายมาเยอะแยะ แต่ว่าตอนนี้หมอปีย์เอาแต่ใจแถมยังเจ้าเล่ห์อีกต่างหาก
กด+ อย่าแกล้งพ่ออัชย์มากเลยนะสงสาร
:pig4:
-
ในที่สุดก็มาต่อแล้วววว คิดถึงหมอกับเจ้าบ้า :กอด1:
-
กรี๊๊ดดด ในที่สุดหมอปีย์ก็กลับมาจนได้
แต่กลับมางวดนี้ แปลกและแตกต่างจากเดิมมากมาย แล้วอย่างนี้พ่ออัชย์จะรับมือไหวไหมนี่
-
มาต่อแล้ว ... ฮือออออออออออออออออ :sad4:
กรรมติดจรวดมากมากนะพ่ออัชย์ รู้ซึ้งรึยังว่าตอนนั้นหมอปีย์รู้สึกยังไง 5555
เอาน่ะ หยวนๆไป หมอปีย์เป็นงี้ก็เพราะช่วยแกนะเว่ย ดูแลดีๆหน่อย
ขอให้หมอปีย์หายเร็วๆนะ สงสารไอ้เส็งมัน (ได้ยินชื่อนี้แล้วนึกถึงปางบรรพ์จริงๆ :m15:)
รู้แผนการของสองพ่อลูกนี่แล้วก็ระวังตัวดีๆนะพ่ออัชย์ อยู่รอดปลอดภัยให้ได้นะเออ
ลุ้นมากๆ รอตอนหน้าอย่างใจจดใจจ่อค่ะ :กอด1:
-
พ่ออัชย์ โหดอะ :z6: สงสารหมอปีย์
-
หมอมามุกไหนเนี่ย...
แอร๊ยยย ทำให้สงสัยขนาดนี้ มา่ต่อเร็วๆ นะค้าาาา
-
จะสงสาร หรือ จะฮา ดีเนี้ย หมอเอ๊ย นาทีทองเอาคืนหรือป่าวเนี้ย
-
กรี๊ดกร๊าดๆๆๆๆ หมอปีย์กับพ่ออัชย์กลับมาแล้ววววว
หมอปีย์ตอนนี้น่ารักมากอ่ะ ถึงพ่ออัชย์จะรำคาญก้อเหอะนะ แต่เอาน่าหมอปีย์ช่วยไอ้บ้ามามากแค่ไหนแล้ว นี่แค่นี้เอง ทนๆเอานะไอ้บ้า
คิดถึงคนเขียนมว๊ากกกก กลับมาคราวนี้ต่อเนื่องใช่ม้าาา ไม่หายไปไหนแล้วน้าาาา
เป็นกำลังใจให้สุดๆเลยค่ะ
-
มาต่อแล้ววววววยาวคุ้มค่ากับที่รอเลยทีเดียววว
หมอปีร์ถึงกลายเป็นเด็กก็น่ารัก ให้อัชรู้สึกแบบนี้บ้างก็ดี เหวี่ยงหมอมาทั้งเรื่องละสงสารหมอ
ให้หมอจับฉีดยาเอาคืนเลย /me จับอัชตีก้น
-
หมอความจำเสื่อมจริงดิ ฮ่าๆ ไม่อยากจะเชื่อเลย
ตอนนี้อัชย์เราน่วมแน่ๆ หมออาละวาดแหลกขนาดนี้ หุหุ
-
เย้ๆๆๆ คุณเซ็งเป็ดมาต่อแล้ว
หมอปีย์แกล้งความจำเสื่อมป่ะเนี่ย 55++
พ่ออัชย์รับบทหนักประหนึ่งดูแลเด็ก 5 ขวบ อิอิ
รอตอนต่อไปค่ะ
-
ชอบมากเลยครับ o13 ยิ่งฉากทำอาหารนี่ หิวเลย วันๆกินแต่อาหารเดิมๆ เบื่อมาก ตอนนี้สอบด้วยแต่ก็อดใจไม่ไหวต้องมาอ่าน ฮ่าๆ
-
555 ชงนมเอ๋ยชงโคก็มีประโยชน์เหมือนกันอิอิ
-
น่ารักอ้ะ :-[ หมอแกล้งป้ะเนี่ย
-
มาต่อแล้ว หมอแกล้งอัชย์แน่ ๆ เลย
-
หมอปีย์เวอร์ชั่นนี้ฮาอย่างแรง
ไม่รู้ว่าหมอแกล้งหรือเป็นจริงๆ
แต่รู้สึกสะใจมากที่หมอได้เอาคืนเจ้าอัชญ์ :laugh:
-
กลับเข้ามาในสมัย กบฎ รศ๑๑๒ เลยเหรอ
อดทนเอาไว้ เจ้าบ้า อีกหน่อยจะเจอหนักกว่านี้อีกเป็นแน่ :m20:
+1 เป็นกำลังใจให้ พี่นนท์ :z2:
-
ไม่รู้ว่าหมอปรีย์แกล้งหรือเป็นจริงๆ แต่สะใจมากที่อัชย์โดนเอาคืน แล้วจะรอดปากเหยี่ยวปากมารได้ไหมนี่ นักใจแทนทั้งศึกนอกศึกใน (แกล้งมันเยอะๆนะคุณหมอ ให้มันรู้สำนึกซะบ้าง)ดีใจมากๆที่กลับมาเข้ามาดูทุกวันเลย
-
หมอปีย์แกล้งเป็นหรือเปล่าเจ้าค่ะ
แต่ก็สมน้ำหน้าเจ้าบ้าดี แต่ก็ปนด้วยสงสาร
หายไวไวนะหมอแล้วรีบๆออกไปจากนรกนี้ซะนะ
-
สงสารหมอปีย์ ภาวนาให้เป็นแค่หมอแกล้งทำเห้อ อย่าเป็นจริงๆเลย
คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ อยากให้ความดีช่วยให้หมอกับอัชย์หลุดไปจากบ้านนี้ได้เร็วๆ
-
ดีใจครับที่กลับมาแล้วจะยังคงติดตามเหมือนเดิมครับ
-
แกล้งหรือจริงหว่า แต่มาอยู่ในที่แบบนี้......มีแต่มารร้ายชัดๆ ="=
-
:serius2:
หมอแกล้งรึเปล่าเนี่ย...อยากให้กลับไปหวานๆใสๆกันเหมือนเดิมไวๆจัง :o8:
-
โอ้ มาต่อเเล้วววว นานพอดู 55.
สนุกสมใจอยากจริงๆ :z2:
-
กรรมของเวรจิงๆหมอ
-
ดีใจเย้ๆ มาแล้วๆ เอ่อ ว่าแต่หมอนี่น่าสงสัยอยู่นะ...อิอิ
-
555 ขำดีค่ะตอนนี้ :laugh:
-
หมอปีย์เอาคืน
-
+1 ให้กับการกลับมาของเซ็งเป็ด :pig4:
สมน้ำหน้าพ่อเส็งที่โดนหมอเล่นงานบ้าง5555555 o13
-
o13 o13
-
(http://uploadpic.org/storage/2011/thumb_Wy0XLeEDTOqQfcx5QsJ3QDbhT.png) (http://uploadpic.org/v.php?img=sTuBiRrCey)
หมอหน้าตาประมาณนี้ป่ะครับ ๕๕ พอดีเห็นในเอ็มวีละเลยเอามาจินตนาการ :laugh:
-
อย่างฮาอ่ะ อิอิ
-
๓๖๔ + ๑ = ๓๖๕
ขอบคุณนะคะ คุณ เซ็งเป็ด
-
ว้าวๆๆๆๆ มาต่อแล้ว ยังสนุกเหมือนเดิม
หมอปีย์เวอร์ชั่นความจำเสื่อมพอฟัดพอเหวี่ยงกับไอ้บ้าอัชย์เลยนะหมอ :laugh:
มาอัพบ่อย ๆ นะคะ ชดเชยที่หายไปนาน :laugh:
-
:L2: มาเป็นกำลังใจให้คับ
-
ติดตามผลงานมาตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนล่าสุด สนุกมากๆคับ
ชอบหมอปีย์กับเจ้าบ้ามากๆเลยคับ ผมยังรอติดตามตอนต่อไปอยู่น่ะคับ :call:
-
หมอปีย์งอแงยิ่งกว่าเจ้าบ้าแล้วนะ 555
-
ว่าเจ้าบ้าหนักแล้ว หมอปีย์หนักกว่า555
-
:mc4: เย้ๆๆๆ คุณเซ็งเป็ดกลับมาแล้วววววว
แถมจัดเต็มให้ขนาดนี้ รักตายเลยยยย >///<
หึหึ หมอปีย์หายเมื่อไหร่ เสร็จแน่ๆๆๆๆ 55555
-
อยากอ่านต่อที่สุดดดดดดดดดดด~ :m17:
-
โถ...พ่อหมอๆๆๆๆๆ
น่าสงสาร!!!!!!
-
ได้อ่านแล้วคับ
ขอบคุณพี่มากนะคับ ที่ให้ความสุขกับพวกผม
บาย
-
ตกลงความจำเสื่อมจริงเหรอ :o12: :o12: :o12: :o12:
เรื่องมันจะวุ่นวายไปกันใหญ่แล้วนะ
-
ใจหนึ่งอยากให้หมอหายเร็วๆ
แต่อีกใจก็อยากให้เจ้าบ้าสำนึก โดนซะบ้าง
-
โดนเข้าเเล้วไงงง 555
-
ผมกับหมอปีย์ติดที่อยู่เรือนนี้สี่วันแล้ว อาการภายนอกของหมอนั้นเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ความทรงจำต่างๆของหมอปีย์ยังไม่มีท่าทีว่าจะกลับมา ผมยังคงต้องกลายเป็นที่รองรับอารมณ์ของเขา อะไรๆที่เคยดีตอนนี้กลับกลายเป็นขัดหูขัดตาเขาไปหมด จากที่เคยเป็นคนที่ถูกเอาใจประคบประหงม บัดนี้ผมกลับถูกกระทำเยี่ยงทาส อาจเนื่องมาจากหมอปีย์คงถูกชงโคเป่าหุว่าผมเป็นทาสกระมัง เขาถึงทำกับผมอย่างนี้
“ป้าหนู ป้าว่าชั้นเหมือนทาสมากเลยเหรอ” ผมถามขณะที่ช่วยป้าหนูขูดมะพร้าวด้วยกระต่ายขูดมะพร้าวเสียงดังแกรกๆ
“ทาสนะเว้ยไม่ใช่โรคเรื้อน จักได้ดูออกว่าผู้ใดเป็นมิเป็น แต่จักว่าก็ว่านะ รูปร่างผิวพรรณเอ็งก็ดูผุดผ่องผิดวิสัยคนเป็นบ่าวเป็นไพร่อยู่นา”
“เฮ้อ เมื่อไหร่ชั้นจะไปจากที่นี่ได้เสียทีนะ” ผมเริ่มบ่น
“อดทนหน่อยสิวะ คิดให้รอบคอบให้จงดี ถูกจับได้คอเอ็งจะหลุดกระเด็นออกจากบ่ามิทันรู้ตัว”
“แต่ชั้นทนในสภาพแบบนี้ไม่ไหวแล้วนะป้า ชั้นอยากไปจากที่นี่ ไปจากเรือนหลังนี้ ไปจากพระนคร ไปจากยุคสมัยนี้”
“เอ็งพล่ามอะไรของเอ็ง” ป้าหนูส่ายหัว “เร่งคั้นกะทิมาให้ข้าบัดเดี๋ยวนี้ มันขี้หนูข้าเปื่อยหมดแล้ว”
ผมยกชามที่ใส่หัวกะทิขาวข้นไปให้ป้าหนู ก่อนจะถามแกว่าแกกำลังแกงอะไร
“แกงคั่วมันขี้หนูกับหมูสามชั้น ของโปรดพระยาท่าน” ป้าหนูบอก
“มันขี้หนูคืออะไรเหรอป้า” ผมถามขณะที่ค่อยๆเทกะทิลงใส่หม้อ
“มันขี้หนูก็เป็นมันประเภทหนึ่งที่มีแถวหัวเมืองปักษ์ใต้ คนพระนครอย่างเอ็งคงมิเคยกินดอก” ผมพยักหน้า
ป้าหนูใช้ทัพพีที่ทำจากกะลามะพร้าว ตักกะทิที่เดือดพล่านใส่ครกที่มีเครื่องแกงอยู่ หล่อนคนสองสามทีให้พริกแกงเข้ากับกะทิ แล้วยกครกเทลงหม้ออย่างชำนาญ ทันทีที่เครื่องแกงลงหม้อ กลิ่นหอมก็ฟุ้งขึ้นมาเตะจมูก
“หอมดีนะป้า”
“เออสิวะ ฝีมือแม่ครัวเรือนใหญ่อย่างข้าเสียอย่าง”ป้าหนูยิ้มอย่างภูมิใจ
“ทำยังไงถึงจะให้น้ำแกงสีจัดจ้านแบบนี้อ่ะป้า” ผมสงสัยขณะที่คนน้ำแกง
“เลือกพริกชี้ฟ้าแดงแห้งสิวะ ใส่ให้สีน้ำแกงสวยดูน่ากิน แต่ไม่เผ็ดนะเว้ย เอ็งต้องผสมพริกขี้หนูสวนแห้งไปด้วย”
“อ๋อ” ผมได้เคล็ดลับเพิ่มอีก
“แกงคั่วกะทิให้ดีต้องเคี่ยวให้กะทิแตกมันจำไว้ จักทำให้ยิ่งหอม กลมกล่อม ผิดกับขนมของหวาน อย่าให้กะทิแตกมันทีเดียวเชียว เขาจักหาว่าเจ้าทำกับข้าวมิเป็นสัปะรดเอาได้”
“เจ้าเส็งๆ” เสียงเรียกของบ่าวคนสนิทชงโควิ่งหน้าตาตื่นเรียกเส็ง ซึ่งตอนนี้ชื่อนี้กลายเป็นชื่อในวงการชั่วคราวไปแล้ว
“คุณชงโคให้หา” หล่อนหอบแฮ็กๆ
“อะไรอีกวะ” ผมทำหน้าหงุดหงิด อุตส่าห์อยากอยู่สงบเงียบๆในครัว
“ไปเถิด เจ้าเส็ง เดี๋ยวก็มีเรื่องอีกดอก” ป้าหนูคงจับความผิดปกติครั้งนี้ได้ จึงเร่งเร้าให้ผมเดินตามบ่าวนางนั้นไป
ผมเดินสาวเท้ายาวๆตามบ่าวหญิงคนนั้นที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินด้วยท่าทีร้อนใจ พลางส่ายหัวด้วยความเอือมระอากับเจ้านายเรือนหลังนี้ การที่เกิดมาเป็นคนที่มีอำนาจ และใช้อำนาจเสียจนเคยตัว จนไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว ตัวเองหากถอดหัวโขน และยศฐาที่นำหน้าชื่อ ก็แทบจะไม่ต่างจากบ่าวไพร่พวกนี้ น่าขัน ที่นับจากวันนั้นจึงถึงยุคผมสองร้อยกว่าปี ยังมีคนประเภทนี้เกลื่อนถนน.....................
เหงื่อไหลซึมแผ่นหลังในขณะที่ผมเดินมาถึงเรือนหลังใหญ่ บนเรือนมีเสียงเอะอะโวยวาย เสียงไม่ดังนักหรอก แต่รู้ว่ามันผิดวิสัยของเรือนหลังนี้
ผมกำลังจะก้าวขาขึ้นบันได ทันใดนั้น สายตาพลันเหลือบไปเห็น บ่าวผู้หญิงคนหนึ่งนอนคุดคู้อยู่ใต้ถุนเรือน โดยมีจันทร์หญิงบ้านั่งยองๆอยู่ใกล้ๆ
ผมมองตามบ่าวคนนำทางเมื่อเห็นเธอเดินหายขึ้นเรือนไปก่อนแล้ว ผมจึงถือโอกาสเดินย่องไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับหญิงสาวคนนั้น
“นี่ นี่” ผมละล้าละลังไม่กล้าเข้าไปใกล้ เพราะร่างของหล่อนสั่นเทิ้มเหมือนคนจับไข้
“นี่ เป็นอะไร”
“แอ้ แอ้ แอ้ แอ้” เสียงจันทร์เงยหน้ามามองผมแววตาเบิกโพรงด้วยความตื่นตระหนก หล่อนโบกไม้โบกมือเป็นความหมายให้ผมมาดูหญิงคนนี้หน่อย
“เขาเป็นอะไรเหรอ” ผมถามจันทร์ แต่ก็เปล่าประโยชน์ จันทร์คงลืมไปแล้วกระมังว่าภาษาคนเขาพูดกันยังไง
ผมชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ๆ
“นี่”
เธอไม่ตอบ เอาแต่เขย่าตัวไปมา
“นี่” ผมชะโงกเข้าไปใกล้ๆ จนสุดท้ายคุกเข่าลง และจับไหล่บ่าวคนนั้นให้หันมา
“เฮ้ย!!!” ทันทีที่เธอหันมา ก็ทำให้ผมตกใจจนหงายหลัง ใบหน้าของบ่าวคนนั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยรอยกรีดเล็กๆคล้ายโดนของมีคมไม่ยาวมากกรีดทั่วไปหน้า มือของเธอนั้นกุมเข้าหากัน พร้อมทั้งแดงฉานไปด้วยเลือดสดๆ
“เลือดมาจากไหนกันมากมายขนาดนี้” ผมสงสัย พยายามมองไปที่มือที่บ่าวคนนั้นกุมแน่น และแล้วผมก็รู้ที่มาของเลือดที่ไหลราวกับน้ำป่านั้น................
-
“คุณชงโค”
ผมเดินกระทืบเท้าตึงๆเดินขึ้นเรือนด้วยอารมณ์คุกรุ่น
“อ้าวขึ้นมาแล้วรึ เจ้าเส็ง” หล่อนยังยิ้มหน้าระรื่น ทั้งๆที่ทำกับมนุษย์คนหนึ่งอย่างนั้นได้ลงคอ
“คุณทำอย่างนั้นได้ยังไง คุณทำได้ยังไง” ผมระเบิดอารมณ์ใส่หน้าชงโคอย่างหมดความอดทน
“ข้าทำอันใด” ชงโคตีหน้าซื่อไม่รู้เรื่องราว
“สิ่งที่คุณทำมันไม่กระทบจิตใจคุณเลยเหรอ”
“ทำอันใดกันเล่า เอ็งก็เล่ามาสิ” หล่อนนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ หยิบขวดน้ำอบมาดมอย่างสบายอารมณ์
“ทำไมคุณถึงทำกับผู้หญิงคนนั้นราวกับเขาไม่ใช่คน คุณทำได้ยังไง” ผมกัดฟันกรอด กำหมัดทั้งสองข้างไว้เหมือนกับพยายามเก็บกักความคับแค้นใจเข้าไปข้างในร่าง
“อ้อ อิไพร่จัญไรนั่นรึ” หล่อนหัวเราะรื่น ริมฝีปากที่แสยะยิ้มนั้น มันน่ารังเกียจจนผมเมินหน้าหนี “ข้านึกว่าอันใด”
“คุณไม่ใส่ใจ ไม่รู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองทำเลยเหรอ” ผมเป็นผู้ชายที่ตอนนี้กลับกลายเป็นกำลังยืนชี้หน้าด่าผู้หญิง และรู้สึกด้อยค่ากว่าเพราะคำว่าชนชั้น
“ข้ามิเก็บมาเป็นอารมณ์ให้เช้าวันใหม่ของข้าหม่นหมองดอก เอ็งก็เหมือนกัน อินั่นมันเป็นแค่บ่าว เอ็งจะเก็บมาใส่ใจทำไมกันเล่า มานี่เถิด เรามีเรื่องให้.................” ชงโคยังไม่ทันพูดจบ ผมก็โพล่งตะโกนขึ้นมา
“ไม่เก็บมาเป็นอารมณ์เหรอ การที่คุณกรีดหน้าเขาจนหน้าเละ แล้วยัง ยัง....” ผมแม้มปากแน่น ความเจ็บปวดแล่นมาจุกที่ลำคอ “แล้วยังตัดนิ้วของเขา คุณยังอยากให้เช้าวันใหม่ของคุณสดใสอีกเหรอ คุณทำได้ยังไง เขาก็คนเหมือนกับคุณนะ”
“ปั๊ก!!!” เสียงกระทบของของแข็งบางอย่างดังใกล้ๆหูผม จากนั้นผมจึงเซเล็กน้อย ครู่หนึ่งก็มีของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหน้าผากผม
ชงโคปาขวดน้ำอบใส่หัวผมอย่างแรง ทันทีที่ผมพูดจบ ความรู้สึกชาแผ่ซ่านทั่วใบหน้า เลือดสีแดงสดไหลลงมาลามคิ้ว ผมยกมือขึ้นแตะหน้าผาก
“อย่าเรียกอิขี้ข้านั่นว่า คน มันไม่ใช่คน พวกมันก็ไม่ใช่คน” หล่อนแผดเสียงดังลั่นห้องพลางกวาดมือชี้ไปที่บ่าวไพร่ที่ตอนนี้ก้มหน้างุด “พวกมันเป็นสมบัติของข้า ข้าจักทำเยี่ยงใด จะเผามันทั้งเป็น จะแล่เนื้อเอาเกลือทา จะหั่นเขนหั่นขาโยนให้สุนัข มันก็เรื่องของข้า ข้าย่อมทำได้ เพราะพวกมันเป็นสมบัติของข้า”
ป่วยการณ์ที่จะเรียกร้องสิทธิความเป็นคนจากพวกใจคออำมหิตเหล่านี้ ผมก้มหน้าสิ้นหวัง นึกถึงใบหน้าบ่าวผู้หญิงคนนั้นแล้วหดหู่ ไม่เคยคิดเคยฝันว่าที่เขาบอกว่าบ้านป่าเมืองเถื่อน มันเป็นแบบนี้นี่เอง
“อิไพร่นั่นทำพ่ออัชย์(หมอปีย์)ของข้าเจ็บ ข้าสั่งให้มันหั่นเล็บให้พ่ออัชย์ แต่มันกลับทำให้พ่ออัชย์ของข้าเลือดออก ข้าจักต้องทำให้มันเลือดออกกว่าพ่ออัชย์ร้อยเท่า"”
ชงโคอธิบาย แต่คำอธิบายนั้นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีกับหล่อนขึ้นมาเลย ตรงกันข้ามกลับยิ่งเพิ่มความเกลียดชังในสตรีนางนี้เป็นทวีคูณ
“ไปทำแผลเสีย แล้วขึ้นมาหั่นเล็บให้พ่ออัชย์” เธอปรับเสียงพูดลงอย่างอัตโนมัติ เหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เป็นเพียงหมอกควัน
ผมเดินตัวลีบเล็กลงเรือนไปพร้อมกับแบกความทุกข์ใจไว้หนักอึ้งเต็มสองบ่า
-
“ชั้นจะพาหมอหนีคืนนี้” จู่ๆ ผมก็พูดขึ้นมาในขณะที่ ป้าหนูกำลังบี้ๆสมุนไพรบางอย่างที่หน้าผากผม แกละมือทันทีที่ได้ยิน ก่อนจะลากแขนผมมาไกลจากผู้คน
“เอ็งพูดอันใดออกมา” ป้าทำเสียงจุ๊ “ขี้ข้าเรือนนี้จะไปจากที่นี่ได้ในสภาพเดียวเท่านั้นคือ ศพ หรือเอ็งอยากเป็นศพ” ป้าหนูขู่
“ไม่รู้แหละ ยังไงชั้นก็ไม่อยู่แล้วไอ้บ้านโรคจิตหลังนี้ ชั้นจะหนีคืนนี้ ป้าจะช่วยหรือไม่มันก็เรื่องของป้า”
เมื่อป้าทนความดื้อดึงของผมไม่ไหว หล่อนทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ภายนอกเสียงจันทร์หญิงบ้ากำลังนั่งโยกตัวครางฮือๆไปมาด้วยความหวาดกลัว
ป้าหนูเห็นว่าไม่สามรถทัดทานความตั้งใจของผมได้ ในที่สุดเธอจึงยินดีช่วย โดยการพาไปดูเส้นทางหนี ที่ลัดเลาะเข้าดงกล้วย ก่อนจะข้ามลำคลองและหายเข้าไปในป่ารกชัฏ
“มันจะโผล่ที่ไหนเหรอป้า” ผมเพ่งมองเข้าไปในป่ารก ไม่มีแสงสว่างเล็ดลอกออกมาจากปลายทาง
“ข้าก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเป็นทางเดียวที่จักหนีออกไปจากเรือนนี้
"”เสื้อผ้า เสบียงข้าเอาไปซ่อนไว้ให้ที่ป่ากล้วยแล้วนะเว้ย เอ็งแวะไปเอา จำคำข้าไว้ หนีไปให้ไกลที่สุด หากเอ็งไม่ตายก็อย่าได้แวะพัก” ป้าหนูบอก
ผมเตรียมตัวทุกอย่าง ตัดสินใจแล้วว่าอย่างไรเสียก็จะไม่รอจนหมอนั่นหาย ผมจะพามันหนีไปเสียคืนนี้ หากเรายังมีบุญวาสนาก็คงจะพากันรอด แต่หากไม่เช่นนั้น ผมก็ยินดีจะตายเสียแต่ที่นี่
“ชั้นเชื่อนะป้า ว่าการที่ชั้นมาภพภูมินี้ มันต้องมีเหตุผลบางอย่างนำพามา เหตุผลนั้นมันต้องสำคัญมากด้วย เพราะฉะนั้น ชั้นไม่เชื่อหรอกว่า ชั้นจะมาตายเสียแต่ที่นี่” ผมเปรยกับป้าหนู ในขณะที่แกนั่งเหม่อมองออกไปข้างนอกอย่างไร้จุดหมาย
ข้างๆกันนั้นมีจันทร์นั่งกอดเข่าซบป้าหนูอยู่ไม่ห่าง
“ป้า” ผมเรียกสติแก รู้สึกถึงความหมายบางอย่างในแววตานั้น
“ใช่ว่าข้าจักอยากแก่ตายอยู่ที่เรือนหลังนี้เสียเมื่อไหร่” จู่ๆป้าหนูแกก็พูดขึ้นมา “ข้ามิรู้ว่าวันหนึ่งวันใด จักเป็นข้า ที่ถูกกุดนิ้ว กุดมือ หรือกุดหัว อยู่เรือนหลังนี้ข้าตายได้ทุกเพลา” น้ำเสียงของป้าหนูดูสิ้นหวัง
“ป้าก็หนีไปกับชั้นสิ ไปกันหมดนี่แหละ จันทร์ด้วยนะ นะไปด้วยกัน” ผมแสดงอาการกระตือรือร้น จันทร์พอได้ยินผมเรียกชื่อเธอก็แสดงท่าทางดีใจ
“หึ” ป้าหนูหัวเราะสั้นๆ แสดงอาการหมดอาลัยตายอยากในชีวิต ก่อนจะลุกขึ้นเดินหายเข้าห้องไป
เย็นย่ำของวันเดียวกันนั้น ผมทำกิจวัตรประจำวันเหมือนปกติ ทำงานในครัว ยกกับข้าวไปเตรียมบนเรือนใหญ่ ก่อนจะลงมานั่งรอที่เชิงบันไดให้พวกเขากินเสร็จ แล้วยกสำรับลงมาให้บ่าวผู้หญิงล้าง
ระหว่างนั้น ผมเหลือบมองหมอปีย์บ่อยๆ หมอนั่นดูเหมือนหุ่นยนต์ไร้จิตใจไปทุกขณะ แววตาไร้ชีวิต ความรู้สึก ใบหน้าซีดเซียวเหมือนคนไร้วิญญาณ สิ่งที่ชงโคพูดกรอกหู ฝังหัวเขาไว้นั่นคือ เขาเป็นสามีของหล่อนที่ถูกโจรปล้นทำให้ความจำเสื่อม หมอปีย์จึงไม่ขัดเขินเวลาชงโคปฏิบัติตนเหมือนภรรยาคนหนึ่ง แต่ในบางครั้งผมก็รู้สึกได้เองว่า เขาต่อต้านอยู่ในใจ
“เจ้าเส็ง” เสียงชงโคเรียก “นำพ่ออัชย์ไปอาบน้ำ แล้วพาขึ้นมาหาข้าที่ห้อง คืนนี้ข้าจักให้พ่ออัชย์นอนกับข้า”
ผมยิ้มแหยๆให้หล่อน แต่ในใจนึกแช่งชักหักกระดูก “ฝันไปเหอะ คืนนี้กอดหมอนข้างไปแล้วกันเว้ย กูจะพาหมอหนีไปให้พ้นจากเรือนเฮงซวยนี้” ผมนึกก่อนจะลากมือหมอปีย์ไปอาบน้ำ
วันนี้หมอนั่นดูเซื่องซึมผิดปกติ ทั้งๆที่ปกติมันจะโวยวายดื้อด้านไม่ยอมท่าเดียว ใจผมนั้นหวังจะให้เขาดื้อแพ่งเหมือนวันก่อน เพราะจะได้ถ่วงเวลาให้มืดค่ำลงกว่านี้ แต่ตรงกันข้าม วันนี้หมอปีย์กลับเงียบเฉย
“โธ่เว้ย ไอ้หมอ ทีวันที่กูจะให้มึงบ้า มึงกลับไม่บ้า” ผมอยากจะตบกบาลสักป๊าบ แต่กลัวมันสู้
“เอาวะ มึงไม่ทำ กูทำเองก็ได้” ว่าแล้วก็จัดแจงให้หมอปีย์นั่งห่างๆ คอยดูผมเล่นละคร โดยการตักน้ำสาดไปทั่วบริเวณ พร้อมส่งเสียงร้องโหวกเหวกโวยวายอยู่คนเดียว
“ถ้ากูบ้า มึงต้องรับผิดชอบนะเว้ย” ผมหันไปมองหมอนั่นที่เอาแต่เหม่อลอย
ตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว ความมืดเข้าปกคลุม คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด จึงไม่มีแสงจันทร์นำทางเหมือนคืนก่อนๆ จะถือว่าเป็นโชคดีก็ได้ ที่ทำให้เราหนีได้สะดวก แต่ในทางกลับกัน ความมืดเช่นนี้ก็ทำให้เราลำบากไม่น้อย
“หมอ” ผมนั่งลงใกล้ๆหมอปีย์ ก่อนจะจับมือเขา
“จำชั้นให้ได้เสียทีเถอะ” น้ำเสียงสั่นเครือ น้ำใสๆคลอเบ้าตา ตอนนี้ผมโดดเดี่ยวเหลือเกิน ผมไม่อยากผจญชะตากรรมนี้คนเดียว หากหมอปีย์หายอย่างน้อยผมก็คงจะไม่ต้องรู้สึกอ้างว้างเช่นนี้
ผมนั่งจับมือหมอปีย์อยู่นาน นานจนรู้สึกว่าหมดเวลาที่จะมาคร่ำครวญอีกต่อไป ผมจับมือหมอปีย์ดึงให้เขาลุกขึ้น
“หมอ ชั้นว่าเราอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้วนะ ไปเถอะ กลับบ้านกัน” สายตาที่ผมส่งไปให้หมอปีย์นั้นแรงกล้า ความตั้งใจที่ลุกโชนในแววตา ส่งไปถึงเขา เขามองหน้าผมก่อนจะยิ้มเพรา
“กลับบ้าน”
“ใช่ บ้านเราไง กลับบ้านเรากันเถอะ” ว่าพลางลากมือเขาค่อยเดินหลบออกมาจากท่าน้ำ
-
ยัยชงโค!!! :z6:
พี่เป็ด ทำไมเรื่องมันเริ่ม SM
ซะแล้วล่ะนั่น ฮ่าๆๆๆ :laugh:
-
บริเวณเรือนใหญ่ เงียบสงัด มีเพียงเสียงนกตบยุงและจักจั่นที่ส่งเสียงร้องเป็นระยะๆ บ่าวไพร่ต่างพากันปิดไฟเข้านอน บนเรือนใหญ่นั้นมีแสงตะเกียงจากห้องพระยาและชงโคเล็ดลอดผ่านความมืด
ผมกับหมอปีย์ค่อยๆย่องลอดใต้ถุนเรือน เหนือหัวขึ้นไปเป็นห้องพระยา ถัดมาเป็นห้องชงโค
“นี่ พวกเอ็งไปตามเจ้าเส็งกับพ่ออัชย์สิ เห็นท่าจะอาบกันนานไปเสียแล้ว ค่ำมืดดึกดื่น” เสียงชงโคสั่งบ่าว ทำให้ผมหยุดกึกไปชั่วขณะ แต่แล้วก็ตัดสินใจเร่งฝีเท้าจูงหมอปีย์กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปจากใต้ถุนเรือนให้เร็วที่สุด
......
......
.........
........
.....
....
......
“คุณชงโคเจ้าขา คุณชงโค” เสียงบ่าวโหวกเหวกอยู่เบื้องหลัง “คุณอัชย์กับเจ้าเส็งหายไปเจ้าคะ”
แค่นั้นแหละ เรือนทั้งเรือนลุกโชนเป็นไฟ บ่าวไพร่ถูกเกณฑ์เรียกมาช่วยกันตามหาเราทั้งคู่ เสียงตีฆ้องร้องป่าวของบริวานพระยาบอกให้เตรียมปืนผาหน้าไม้ ได้ฟังแค่นี้ก็ทำให้ผมกับหมอปีย์เร่งฝีเท้ากันอย่างไม่คิดชีวิต
“หมอ หมอ ฟังชั้นนะ” ผมหอบแหกๆ ก่อนจะจับมือหมอปีย์ มองหน้าเขา “พวกนั้นจะตามมาฆ่าเรา เพราะฉะนั้น ชั้นจะพานายหนีไป ตามชั้นให้ทัน วิ่งให้สุดชีวิต เข้าใจมั๊ย”
หมอปีย์พยักหน้าอย่างว่าง่าย ก่อนจะออกวิ่งไปพร้อมกันในความมืด
แสงคบเพลิงแวบวับนับสิบดวงอยู่เบื้องหลังเราทั้งคู่ ผมกับหมอปีย์วิ่งฝ่าดงกล้วยล้มลุกคลุกคลาน
“ทางนี้เว้ย ทางนี้” เสียงตะโกนไล่หลังพวกเรามา
“เร็วเข้าหมอ เร็วๆ เราต้องรีบไปเอาเสบียง” ผมพาหมอปีย์วิ่งไปตามทางที่ป้าหนูบอกว่าจะเอาเสบียงพร้อมเสื้อผ้ามาให้เรา เมื่อมาถึงจุดซ่อนเสบียง ผมตะกุยหาในกองใบตองแห้งแต่กลับไม่พบอะไรเลย
“หายไปไหนกันน่ะ” ผมสงสัย หันไปมองข้างหลัง แสงไฟคบเพลิงก็เข้ามาแล้ว แต่ถ้าเราหนีไปโดยที่ไม่มีเสบียงเลยมีหวังอดตายในป่าแน่ๆ
“โธ่เว้ย” ผมนั่งลงอย่างสิ้นหวัง
แต่แล้วเสียงย่ำเท้าของใครบางคนที่กำลังใกล้เข้ามาก็ทำให้ผมต้องเด้งตัวลุกขึ้นก่อนจะจับมือหมอนั่นแน่น
“ป้าหนู” แสงไฟจากตะเกียงเจ้าพายุสาดให้เห็นใบหน้าเหี่ยวย่นของหญิงชราผู้นั้น หล่อนยื่นห่อผ้าสีมอซอให้ผม
“รับไว้แล้ววิ่งไปทางนี้” ป้าหนูชี้ไปตามทางรกทึบ พลางยื่นตะเกียงให้ผม
“แล้วป้าหล่ะ”
“ข้าจะคอยรั้งพวกมันไว้ให้ เจ้าเร่งฝีเท้าเข้าเถิด ประเดี๋ยวจะไม่ทันการณ์”
ผมขอบคุณป้าหนู ก่อนจะให้สัญญาว่า ถ้ารอดออกไปได้จะกลับมารับป้าหนูไปอยู่ด้วย ไม่มีอาการใดๆแสดงออกมาทางสีหน้าของหล่อน นอกจากแววตาที่อาวรณ์และเหมือนกับป้าจะรู้ชะตากรรมตัวเองหลังจากที่ผมจากไป
“จำไว้ ไม่ว่าจะอย่างไร อย่าหยุดวิ่ง”
ผมตั้งหน้าตั้งตาวิ่งอีกครั้ง ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ ไกลเท่าไหร่ แต่รู้สึกว่าป่ากล้วยนี่มันเหมือนไม่สิ้นสุดเสียที เราทั้งคู่วิ่งอย่างไม่คิดชีวิต มือข้างหนึ่งถือตะเกียง อีกข้างสะพายเสบียงไว้เบื้องหลัง โดยไม่ลืมจับมือหมอปีย์ไว้แน่น
กิ่งไม้ ขวากหนามทิ่มแทงตามร่างกาย แต่ความเจ็บปวดนั้นเล็กน้อยเกินกว่าจะมาสนใจ ผมยังคงวิ่ง วิ่ง และวิ่ง
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”
เสียงกรีดร้องดังขึ้นจากเบื้องหลัง
“ป้าหนู” ผมหยุดกึก อ้าปากค้างแน่ใจว่าเสียงนั้นต้องใช่เสียงกรีดร้องของป้าหนูแน่ๆ
ความลังเลเกิดขึ้นในใจ ผมอยากจะหันหลังกลับไปหาป้าหนู แต่อีกใจก็ยังจำคำที่หล่อนกำชับไว้ได้ จึงกัดฟันหลับตาลากมือหมอปีย์วิ่งต่อไป
ในที่สุดเราทั้งคู่ก็วิ่งมาถึงเขตลำคลองที่กั้นระหว่างเรือนของพระยาบริรักษ์กับป่ารกทึบ หมอปีย์สะบัดมือผม
“ไม่ได้นะเว้ย นายจะหยุดอยู่แค่นี้ไม่ได้นะ” ผมหันไปมอง แต่ภาพที่เห็นกลับไม่ใช่แค่หมอปีย์คนเดียว ข้างหลังหมอปีย์ยังมีคนอื่นอีก
“ชงโค!!”
“ใช่ กูเอง ไอ้ทาสทุรยศ เสียแรงที่กูไว้ใจ” ชงโคยืนจังก้าในมือถือพัดไม้จันทน์ ข้างกายของหล่อนมีบ่าวรูปร่างกำยำถือดาบจ้องมาที่เราสองคน
“ปล่อยพวกเราไปเถอะ” ผมหมดหนทางที่จะพูด
“พ่ออัชย์ กลับมาหาข้า” เสียงชงโคดูเด็ดขาดและน่าเกรงขาม เสียงนั้นทำให้หมอปีย์ถึงกับลังเล เขาก้าวขาออกไปหาชงโค
“หมอ อย่าไป” ผมร้อง
“หมอนี่ ไม่ใช่พ่ออัชย์ของเจ้า เขาคือหมอปีย์ หมอปีย์ของข้า!!!” ผีห่าซาตานตนใดดลใจให้ผมพูดออกไปเช่นนี้ แต่ก็ช่างเถอะ ผมพูดไปแล้ว และเหมือนจะได้ผล คำพูดของผมเหมือนสะกิดใจของหมอปีย์ทำให้เขาถอยหลังมายืนชิดผม
“มัวยืนเซ่ออยู่ทำไมกันเล่า ไปลากคอพวกมันมาให้ข้า” ความอดทนของชงโคหมดลง หล่อนสั่งให้บ่าวสองคนนั้นเดินมาจับผม พวกเขาเดินตรงมาที่ผมในมือชี้ดาบมาที่เราทั้งคู่ ผมถอยหลังกรูด
“เธอไม่มีวันเอาหมอปีย์ไปได้หรอกชงโค คนอย่างเธอไม่มีวันที่ใครจะมอบหัวใจรักให้โดยสิโรราบ จำคำชั้นไว้ ว่าคนอย่างเธอ ไม่มีวันได้ความรักจากใคร”
เสียงกรีดร้องดังโหยหวนของชงโค ทำให้ผมรู้ว่าคำพูดที่ผมพูดออกไปกรีดแทงหัวใจเธอและทำให้เธอเจ็บปวดทรมานที่สุด
เธอสั่งให้บ่าวสองคนเร่งเข้ามาลากคอผม
ทั้งสองประชิดตัวเรามากขึ้น มากขึ้น
“แอ่ แอ่ แอ่” แต่แล้วจู่ๆจันทร์หญิงบ้าที่ตามเรามาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กระโดดมาขวางเอาไว้ จันทร์กระโดดไปมาและโบกไม้โบกมือให้เราหนีไป
“จันทร์หลบไป หลบไป” ผมตะโกน แต่ไม่เป็นผล จันทร์ยังคงพยายามขวางทางพวกมันเอาไว้
“ถีบอีนี่ออกไปสิวะ” เสียงชงโคสั่ง จันทร์ถูกถีบกระเด็นออกมา แต่หล่อนยังคงวิ่งถลาเข้าไปขวางอีก
“หนอยแน่ คนบ้ามิอยู่ส่วนคนบ้า มึงวอนมือกูเสียนี่กระไร เพี๊ยะ!!” เสียงหลังมือของชงโคฟาดลงบนหน้าของจันทร์อย่างแรงจนเธอเซล้ม แต่จันทร์ยังคงลุกขึ้นได้ วิ่งถลาเข้าหาให้ชงโคตบอีกหลายฉาด
“อีบ้านี่ มึงอยากตายตามไอ้ชาติชั่วนั่นอีกคนใช่มั๊ย” ชงโคกัดฟันกรอด ก่อนจะถลาไปดึงดาบในมือของบ่าวผู้ชายหมายจะทำร้ายจันทร์ แต่จันทร์ว่องไวกว่า หล่อนกระโดดรัดคอชงโค และกอดรัดฟัดเหวี่ยงชุลมุน
“โอ้ย อีบ้า มึงจักทำอะไร โอ้ย” ชงโคดิ้นพราด เธอถูกจันทร์รัดคอจนแน่น มือทั้งสองข้างฟาดใส่หน้าและหัวของจันทร์ไม่ยั้ง แต่จันทร์ก็ยังไม่ปล่อย
“ไอ้สองตัว มึงมาช่วยกูบัดเดี๋ยวนี้” ชงโคกระหืดกระหอบหายใจไม่ออก จันทร์นั้นรัดคอเธอจนแน่น
บ่าวสองคนละสายตาจากผมก่อนหันไปช่วยเจ้านายของมัน
ผมยืนตัวแข็งทื่อ ตกใจกับสิ่งที่เห็น พาลนึกไม่ออกว่าต้องทำอย่างไร แต่แล้วในระหว่างที่ยืนตะลึงงันอยู่นั้น พลันมีมืออุ่นๆมาสัมผัสผมก่อนจะกระชากผมอย่างแรง
“ตูม!!!” หมอปีย์จับมือผมนั่นเอง เขากระชากมือผมกระโดดลงน้ำ ก่อนจะว่ายออกไป
ผมหันหลังมาดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับจันทร์
“จันทร์ จันทร์” จันทร์ถูกชายสองคนนั้นใช้ไม้ทุบตีเธอจนเลือดอาบ แต่เธอก็ยังไม่คลายมือจากชงโค
ไม่มีเสียงร้องคร่ำครวญใดๆออกมาจากปากของหญิงบ้าคนนั้น นอกจากแววตาที่มองมาที่ผม เธอคงอยากให้ผมเป็นอิสระ เหมือนที่ใจเธออยากเป็นอิสระ ถึงจันทร์จะบ้า บ้าเพราะถูกย่ำยี แต่เธอก็ยังรอคอยวันที่เธอจะเป็นอิสระ.......................จากโลกที่เลวร้ายนี่
“เอามานี่” ชงโคคว้าดาบในมือของบ่าวคนหนึ่งทันทีที่เธอหลุดมาได้ ก่อนจะแทงดาบผ่านร่างของจันทร์
“จันทร์!!!!!” ผมตะโกนสุดเสียง ร่างของหญิงบ้าค่อยทรุดลงกับพื้น และในที่สุด ร่างของจันทร์ก็แน่นิ่งในท่าคุกเข่า จันทร์เป็นอิสระแล้ว.................................
-
ยัยชงโคโหดร้าย ทารุณ
เกิดชาติหน้าต้องเกิดเป็นคนหน้าตาอัปลักษณ์แน่ๆเลยอ่ะ
-
ชงโคโหดร้ายที่สุด โหยอย่าให้เจอแบบนี้มั้งนะ
จะบ้าให้เหมือนจันทร์เลยคอยดู
:z6: ขอถีบนังชงที 5555
-
ลงจบตอนยังหว่า...
ตอนนี้โหดอ่ะ แค่ให้ตัวเอกเราหนีได้ต้องมีคนตายถึงสองคนเชียว เศร้า T^T
ว่าแต่หมอมีสติลากพ่ออัชย์ลงน้ำด้วย ไม่ได้บ้าใช่มั้ย แกล้งใช่มั้ย ข้องมาก ฮ่าๆๆ
แต่รู้สึกดีนิดนึงนะ ให้อัชย์ทำอะไรเพื่อคนอื่นซะบ้าง หมอทำให้มาเยอะละ
-
อ้าวววว หมอปีย์ว่ายน้ำเป็นแล้วเรอะ
งั้นก็จำได้แล้วอ่ะดิ :mc4:
:beat: ยัยชงโค ยัยซาดิสต์
-
โหดอ่ะ ผู้หญิงอะไรดหดปานนี่ แต่ก็น่ะสมัยก่อน มองทาสเยี่ยงสัตว์ เหอ~ o6
-
:o12: :call:
-
:z10:
-
ยายชงโคนี่ถ้าจะไม่ตายดีแน่ ๆ :m31:
จะหนีรอดไหมหนอ :z3:
+ 1 ให้เซ็งเป็ดจ้า
-
ตื่นเต้นครบรสจริงๆขอบคุณครับ
-
ชงโคเลวมาก ! ... อย่าว่าแต่ชาติหน้าเลย ชาตินี้ขอให้โดนบ่าวไพร่ในบ้านรุมสกรรมตายๆ ไปตามป้าหนูกับจันทร์เหอะ
ถ้าหมอปีย์มีสติขนาดพาอัชย์หนีได้ก็แปลว่าคงหายบ้าแล้วสิ :impress2:
สงสัยเป็นเพราะอานุภาพคำพูดของพ่ออัชย์ละกระมัง 555555
หวังว่าหลังจากนี้ อัชย์คงไม่เสียใจจนกลายเป็นบ้าไปจริงๆนะ :z3:
-
เกียจชงโคคคคค นรกส่งมาเกิดจริงๆ ขอให้จันทร์ไปสบายๆเกิดในภพภูมิใหม่ที่ดี
อยากจะก้านคอหมอปีร์แต่ก็ทำไม่ลง :z3:
-
ชงโคโหดมาก ขอให้เธอมีบทสุดท้ายโหดเลย
-
อ่าวว จบตอนแล้วหรอเนี่ยย กลังเพลินเลย ลุ้นมากๆ เฮ้อออ ได้ข่าวว่าอัชย์กับหมอปีย์เค้ามาเที่ยวกันไม่ใช่หรอ ไหงเจอแน่เรื่องร้ายๆอ่ะ เส้า TOT
-
เธอช่างโหดร้ายอะไรเยี่ยงนี้ ToT
-
ชงโค.....ชั่ว!!!!
ใจร้ายชะมัดเลย
แต่หมอปีย์กับอัชย์หนีออกมาได้แล้วใช่มั้ย T^T
สงสารป้าหนูกับจันทร์จัง
-
เป็นการกระทำที่กระทบจิตใจสุดสุด รอตอนต่อไปนะครับ
-
ในที่สุดจันทร์ก็เป็นอิสระเสียที ไม่ต้องทนทรมานอยู่กับคนโหดร้าย เลวร้ายเหล่านี้ กรรมมีจริงและคงไม่นานต้องสนองคนแบบชงโคอย่างรวดเร็วถึงใจแน่
พ่ออัชย์ก็รีบๆพาหมอปีย์หนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้เห้อ อย่าปล่อยให้ความเสียสละของป้าหนู และจันทร์ต้องสูญเปล่าเพราะมัวแต่เสียใจเลย
-
ในที่สุดก็ตามทัน สักที
อยากจะบอกคนเขียนว่า อ่านเรื่องนี้แล้วเหมือนคนบ้าเลยคะ
หัวเราะ ร้องไห้ ไปกับตัวละคร มีความสุข เศร้า อิน ไปกับบทเลย ชอบมากเลย
รีบมาอักต่อไวๆนะคะเป็นกำลังใจให้ :กอด1:
-
ยัยชงโค ยังมีความเป็นคนหลงเหลืออยู่บ้างไหม
จิตใจแกต่ำกว่า ป้าหนูแม่ครัวหรือแม้แต่จันทร์คนบ้าใบ้เสียอีก
อ่านแล้วแค้นใจแทน :fire:
พ่ออัชย์กับหมอปีย์ยังต้องผจญภัยเจออะไรอีกล่ะนี่
คิดว่าจะได้หวานใส่กันตอนมาเที่ยวทะเล
กับเจอเหตุกราณ์สยองปนเลือดเข้าให้
กด+ "หมอปีย์เป็นของข้า" เจอประโยคนี้ของพ่ออัชย์เข้าไป หมอปีย์สติกลับคืนมาทันใด
-
ค้างงงงงงงง มากมายเลยค่ะ
หมอปีย์แกล้งบ้า ใช่รึไม่
รอคำตอบตอนหน้าค่ะ
-
อิชงโค อิเลวววววววววววววววววววววว ทำได้แม้กระทั่งกับคนบ้า
เดี๋ยวมันจะต้องบ้าตามแถมไม่ตายดีอีก ไหนจะป้าหนูอีก ป้าจ๋าาาาาาาาาาาาาา
-
บีบอารมณ์สุดๆ :เฮ้อ: ชงโค นี่จะตายดีมั้ยนะ
-
หมอจำได้แล้วใช่ไหม
หรือว่าแค่ทำเป็นลืม
-
ความผิดครั้งนี้ จัดกุดหัวหมดโครต ก็ไม่สาสม ( หิ หิ .... อินจัด )
มาช่วยกันลุ้นต่อไปว่า เจ้าอัยช์ กับหมอปีย์ จะรอดเงื้อมือ อันโสมมนี้ได้อย่าไงกัน
+ 1 ให้คุณนนท์ นำพาเจ้าอัยช์กับหมอปีย์กลับพระนครอย่างปลอดภัย :z2:
-
โหดเหี้ยมได้อีกคุณชงโค
-
ดาร์กอย่างแรง...คุณชงโคโหดว่าคุณโมรีหลายเท่านะนี่
-
o22
เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนกันหรือไรนี่...สมัยนั้นเป็นแบบนี้จริงหรือแค่นิยาย :เฮ้อ:
เอาใจช่วยหมอกับพ่ออัชย์ให้หนีพ้นไปโดยไว... :call:
-
อ่านจบตอน....
ทำเอาซึมเลย
-
นังชะนีหน้าปลวก แกเป็นตัววรนุชกลับชาติมาเกิดชัดๆ
พ่ออัชย์พาหมอหนีไปให้ได้นะ
-
“กลับบ้านเถอะลูก ปอ กลับบ้านเถอะลูก” เสียงของแม่เรียกร้องให้ผมกลับบ้านดังอยู่ในหัว รอบๆตัวมีแต่ความมืด มีเพียงแต่เสียงแม่เท่านั้นที่นำทางให้ผม
“แม่ แม่”
“กลับบ้านเราเถอะลูก กลับบ้าน”
“ยังก่อนแม่ ขอปออยู่ก่อน ขอปออยู่ที่นี่ก่อนนะแม่นะ”
“แม่ แม่” ผมสะดุ้งเฮือกตื่นขึ้นมา สายตาทอดยาวขึ้นมอง ภาพแรกที่เห็นคือ ใบไม้รกคลึ้มเขียวขจี สายลมพัดแผ่วเบาจนทำให้ใบไม้ไหวไปมาตามลม
ผมตั้งสติครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
เราว่ายน้ำหนีบ่าวเรือนพระยาบริรักษ์ ผมพาหมอปีย์วิ่งเข้าไปในป่ารก แล้วก็ เกิดอะไรขึ้นจากนั้น
“อ้อ” ผมร้องเมื่อนึกเหตุการณ์ออก หมอปีย์ล้มฟาดกับรากต้นไม้ใหญ่จนหมดสติไป จากนั้นผมก็จับหมอปีย์ขี่หลังแล้วพาวิ่ง วิ่ง และก็วิ่งโดยที่ไม่รู้เจ็บ รู้ปวด รู้เมื่อย รู้ล้า เหงื่อหยดแล้วหยดเล่าไหลปร่าราวกับน้ำหลาก ผมลิ้มรสเหงื่อตัวเองและยังจำรสชาติเค็มปะแหล่มๆนั้นได้ดี
“หมอปีย์” ผมมองไปข้างๆ ภาพชายคุ้นตานอนสลบไม่ได้สติ
“หมอ หมอ” ผมสะกิดเขาเบาๆ “หมอ”
“
“
“
“
“
“
“
“
“ฮืออออออออออออ”
หมอปีย์ครางในลำคอเบาๆ เขาหรี่ตาด้วยความเจ็บปวด ริมฝีปากเผยอน้อยๆ ก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นมา
ทันทีที่เขาลืมตาเห็นผม หมอปีย์ก็แน่นิ่งราวกับพยายามครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“หมอ จำชั้นได้มั๊ย” ไม่มีความหวังในน้ำเสียงของผมหรอก ผมแค่ถาม เผื่อที่ว่าโชคชะตาอาจเลิกเล่นตลกกับเราแล้วก็ได้
.
.
.
.
.
.
เขาไม่ตอบ เอาแต่จ้องมองผม
ตอนนั้นใจผมฝ่อเหลือเท่าเม็ดถั่ว เมื่อคืนหลังจากที่หมอนั่นล้มหัวฟาด สลบไม่ได้สติ นั้น ใกล้รุ่ง เขาส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด ถ้าผมจำไม่ผิด ถึงมันจะลางเลือน แต่ผมก็จำได้ว่าเป็นเสียงร้องของเขาแน่ๆ ถ้าเพียงแต่ผมมีแรง ผมคงลุกขึ้นดูแลเขา แต่นี่ แม้แต่จะขยับตัวผมยังทำไม่ได้ จึงต้องปล่อยให้หมอนั่นร้องครวญครางไปตามยถากรรม นี่หากหมอปีย์จำอะไรไม่ได้และเกิดอาการเลวร้ายลงกว่าเดิม แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป
อุตส่าห์หนีออกมาจากเรือนพระยาบ้านั่นได้แล้วเชียว
“เฮ้อ” ผมถอนหายใจ แต่ยังไม่ทันจะสุด มือของหมอปีย์ก็ยกขึ้นมาแตะใบหน้าผมอย่างแผ่วเบา จนผมสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่คุ้นเคย
“พ่อ..............................” คำพูดคำแรกนั่นทำให้ผมใจสั่น
“พ่ออัชย์ของข้า”
ผมอ้าปากค้าง แววตาเอ่อล้นไปด้วยน้ำตาแห่งความปิติ ริมฝีปากยิ้มด้วยความดีใจ ในที่สุด ในที่สุดหมอปีย์ก็กลับมา
“หมอ”
ผมโผเข้ากอดหมอปีย์แน่นอย่างลืมตัว ไม่คิดอะไรอีกแล้ว ณ วินาทีนั้น รู้แต่ว่าที่ผ่านมา คืนวันที่หมอปีย์ไม่อยู่ ผมทุกข์ทรมานมากแค่ไหน โดดเดี่ยวและไร้จุดหมายมากแค่ไหน การที่ต้องมาอยู่ในภพภูมิที่ไม่คุ้นเคยตัวคนเดียว ก็เหมือนกับจิตวิญญาณลอยเคว้งขว้างอยู่กลางมหานที มันช่างเดียวดายจนยากเกินที่ใครจะเข้าใจ
“หมอกลับมาแล้ว” เสียงผมอู้อี้
น้ำตาแห่งความตื้นตันไหลไม่ยอมหยุด เป็นครั้งแรกที่ผมร้องไห้แบบนี้ แต่ผมไม่สามารถหยุดน้ำตาเหล่านี้ได้จริงๆ นำ้ตาที่ผสมปนเปความรู้สึกต่างๆไม่ว่าจะเป็น ดีใจ โล่งใจ หมดกังวล และอีกหลายความรู้สึก
“เราอยู่นี่แล้ว พ่ออัชย์”
หมอปีย์คงตกใจไม่น้อยที่เห็นผมเป็นแบบนี้ ปกติเขาเห็นผมเป็นพวกแข็งกร้าว เมื่อเจอแบบนี้หมอนั่นก็ใจคอไม่ดีไปเหมือนกัน
“เราเป็นอะไรไปรึ พ่ออัชย์ แล้วเราอยู่ที่ไหน บ่าวไพร่คนอื่นหล่ะ” คำถามมากมายหลั่งไหลออกมาจากปากหมอปีย์ แต่ผมไม่สนใจที่จะตอบมันแม้แต่น้อย สุขใจแค่เพียงได้กอดหมอปีย์คนเก่าที่จากไปเสียเนิ่นนานแบบนี้มากกว่า
“พ่ออัชย์” เขาเรียกชื่อผม “ปล่อยเราสักประเดี๋ยวเถิดพ่อ เราหายใจไม่ออก”
ผมได้สติ ค่อยๆคลายเขา ก่อนจะปาดน้ำตาแล้วมองหน้าเขาอีกครั้งให้เต็มตา
“เอ้ย ขอโทษว่ะ ดีใจนะเว้ยที่กลับมาได้ซะที เล่นเอาชั้นแทบแย่” ผมตบบ่าหมอปีย์แก้เขิน
เขายิ้มตอบก่อนจะยันตัวเองลุกขึ้นนั่ง ยกมือเช็ดน้ำตาที่ไหลนองหน้าของผม
“ร้องไห้เป็นเด็กๆไปได้พ่ออัชย์” เขายิ้มอย่างเอ็นดู รอยยิ้มอุ่นละไมแบบนี้กลับมาแล้ว รอยยิ้มที่เป็นดั่งดวงอาทิตย์ยามเหน็บหนาว เป็นจันทรายาวมืดมน ไม่มีวันที่ผมเบื่อรอยยิ้มอาทรนี้
“ใช่นายจริงๆใช่มั๊ยหมอ” ผมถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เพื่อไม่ให้ภาพคนที่เห็นเบื้องหน้าเป็นแค่.....ความฝัน
-
:mc4: :mc4: :mc4:หมอกลับมาแล้ว.....
+1...
-
สั้นไปมั้ยพ่อคุณ :z10:
-
“ใช่สิพ่อ”เขายิ้มอีกครั้ง “หิวน้ำเสียจริง ที่นี่พอจักมีน้ำให้เราประทังความกระหายได้หรือไม่” เขาพูด ก่อนจะพยายามลุกขึ้น
“อย่าเพิ่งลุก หมอรออยู่ที่นี่แหละ เดี๋ยวชั้นจะไปหาน้ำมาให้นายเอง” ผมยิ้มอย่างสุขใจ
“ต่อไปนี้นะหมอ” ผมจับมือเขาอย่างไม่เคอะเขิน “ชั้นจะเป็นคนดูแลนายเอง หลวงพินิจ”
เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้
ที่ที่เราหนีออกมานั้นเป็นป่าโปร่งมีต้นสนและหูกวางแซมริมเขาลูกหนึ่ง ผมเดาเอาว่าเราคงจะหนีออกมาไกลพอสมควรทีเดียว เพราะตอนนี้ ป่าเหล่านี้เริ่มที่จะบางตาลงเรื่อยๆ และดินละแวกนี้ก็เริ่มบอกให้เรารู้ว่าเราอยู่ใกล้ชายทะเลมากขึ้นทุกที
“เราจะเดินไปไหนกันหมอ” ผมถาม พลางขยับห่อเสบียงและเสื้อผ้าขึ้นสะพายบ่า
“ออกไปหาทะเลกัน ทันทีที่เราเจอทะเล เราจะเจอทางกลับเรือน”
“โห นายนี่เก่งนะ ความจำเสื่อมขนาดนี้ ยังจำได้”
“พ่ออัชย์” หมอปีย์เรียกชื่อผม “เล่าให้เราฟังทีเถิด ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง”
เมื่อหมอปีย์ร้องขอ เรื่องราวทั้งหมดจึงถูกผมเล่าไปตลอดทางระหว่างที่เรามุ่งหน้าออกสู่ชายทะเล
“ขนาดนั้นเลยรึ” หมอปีย์หัวเราะทันทีที่ผมเล่าเรื่องที่หมอนั่นพ่นข้าวใส่หน้าผม
“นี่ไม่ตลกนะเว้ย ชั้นไม่ถีบตกเตียงก็บุญเท่าไหร่แล้ว รู้รึป่าวว่านายน่ะ มันตัวป่วนเลยทีเดียว” ผมยีหัวหมอปีย์ด้วยความหมั่นไส้ เขาหัวเราะร่วน
“แล้วยังไงอีกพ่ออัชย์ เราอยากฟังอีก น่าขันดี”
“ชงโคเขาเข้าใจว่านายน่ะ ชื่ออัชย์ เพราะทันทีที่นายฟื้นขึ้นนายก็เพ้อเรียกแต่ เอ่อ เรียกแต่.......................”
“เรียกแต่ชื่อเจ้า” หมอปีย์พูดต่อจากผม
“ อืม ชงโคเขาก็เลยเรียกนายว่าพ่ออัชย์ๆ และก็หลอกนายว่านายเป็นผัว เอ้ยเป็นสามีเขา”
“หา!!!” หมอปีย์ทำหน้าตกใจ “แล้วหร่อนทำอันใดเรารึไม่พ่ออัชย์”
“จะทำอะไรได้ มีชั้นอยู่ทั้งคน ไม่มีใครพรากพรหมจรรย์นายไปไหนได้หรอก” ผมยิ้มอย่างภูมิใจ หมอปีย์เองก็ดูจะมีความสุขไม่น้อยที่ได้ยินแบบนี้
ผมจึงเริ่มเล่าเรื่องที่จับเขาไปอาบน้ำ ตอนที่ผ้าขาวม้าหลุด ตอนที่หมอปีย์แกล้งตาย
“เจ้าก็...............”หน้าหมอปีย์แดงขึ้นมาเหมือนลูกตำลึงทันที “เจ้าก็เห็น เอ่อ เห็น....หมดแล้วกระนั้นรึ”
“เออ” ผมตอบสีหน้าเรียบเฉย
หมอปีย์ไม่ตอบอะไร ก้มหน้าก้มตาเดินงุดๆ
“อายเหรอ” ผมกระเซ้า “ฮั่นแน่ๆ อายจริงด้วย” ก่อนจะหัวเราะชอบใจ “ไม่ต้องอายหรอกหมอ เรื่องเด็กๆ”
หมอปีย์เงยหน้ามามองก่อนจะอมยิ้ม
“เรื่องเด็กๆกระนั้นรึ หน็อย เจ้านี่มัน ร้ายกาจยิ่งนัก” ว่าแล้วหมอนั่นก็วิ่งไล่เตะผมด้วยความอาย
“ฟ้าหลังฝนมักสดใสเสมอ” คำพูดที่ใครๆมักพูดให้กำลังใจคนที่กำลังเผชิญหน้ากับความทุกข์ที่มืดครึ้ม ผมไม่เคยเข้าใจมันเลย จนกระทั่งวันนี้ ปัญหาต่างๆที่ผ่านมาไม่น่าเชื่อว่าผมจะผ่านมันมาได้ด้วยตัวของตัวเอง ในบางครั้งก็อดภูมิใจไม่ได้ว่านี่เราโตจนสามารถรับผิดชอบตัวเองจนกระทั่งรับผิดชอบชีวิตคนอื่นได้ด้วยหรือนี่
พ่อมักจะปรามาสผมเสมอว่าผมจะไปไหนไม่รอดหรอก สุดท้ายผมก็ต้องมาตายลงบนกองมรดกของครอบครัว และผลาญมันจนหมด
มาวันนี้ผมรู้แล้วว่าผมจะไม่เป็นเช่นนั้น ผมภูมิใจที่ฟ้าหลังฝนของผมวันนี้สดใส ดีใจที่วันที่สดใสวันนี้ มีหมอปีย์อยู่ใกล้ๆ
ผมไม่ได้เล่าเรื่องป้าหนูกับจันทร์ให้หมอปีย์ฟัง เพราะเห็นว่าเขายังไม่ควรจะมารับรู้เรื่องอะไรที่เลวร้ายตอนนี้ ป้าหนูกับจันทร์มีบุญคุณกับผมมาก การที่สองคนนั่นเสียสละชีวิตเพื่อช่วยพวกเรานั้น ยิ่งทำให้ผมซาบซึ้งและเข้าใจคุณค่าของคนที่รักและหวังดีกับเรามากขึ้น การสูญเสียคนที่เรารักและหวังดีกับเรา นับจากแดง ป้าหนู และจันทร์นั้น เป็นสิ่งที่ผมโทษตัวเอง โทษว่าทุกอย่างจะไม่เกิดขึ้นถ้าผมไม่มาที่นี่
สิ่งเดียวที่ผมจะทดแทนบุญคุณของพวกเขาได้คือ ผมจะทำในสิ่งที่ชะตาฟ้าลิขิตซึ่งเป็นอะไรก็ไม่รู้ให้ดีที่สุด และที่สำคัญ ผมจะไม่ลืมพวกเขา ไม่ว่าจะภพนี้หรือภพไหน
**มีต่อหน้า ๖๗
-
โอ้ววววยังไม่อยู่ในระยะปลอดภัยใช่มั้ยเนี่ย...สู้ๆคุณเซ็งเป็ด
โอ้วววอ่านตอนล่าสุด ขณะนี้ น่าจะปลอดภัยแล้ว ขอให้ถึงเรือนเร็วๆนะ พ่ออัชย์ หมอปีย์
-
ป้าข้างบนใจร้อนจริง ไม่ใช่สาวๆแล้วนะครับคุณป้า ใจร่มๆ มีต่อๆ :z2:
-
หมอปีย์จำได้แล้ว :m4:
-
สั้นไปมั๊ยๆๆๆๆๆ มาต่ออีกนิดเถอะค่ะ
แต่ว่าดีใจอ่าาาาาาหมอกลับมาแล้วววว
-
พวกเรือนโรคจิตนั่น ยังจะตามมามั๊ยเนี่ย o18
แต่ท่าทางอัชย์จะมาอยู่กับหมอนานไปแล้วแน่ๆ แม่ถึงขั้นเรียกแล้วง่ะ o22
-
อ่านตอนนี้แล้วมีความสุขจังขอบคุณคุนเซงเป็ดมากๆๆ
o13
-
“ปั่ก!!”
“โอ้ย หมอ เจ็บ” ผมแอ่นหลังซี๊ดปากทันทีที่ฝ่ามือของหมอนั่นฟาดลงบนหลัง
“เราขอโทษ เราขอโทษ หนักมือไปหน่อย” หมอปีย์ทำหน้าตกใจ
“เพื่อนเล่นเหรอ ห๊ะ ยอมหน่อยละเอาเชียว” โดนผมดุแบบนี้เข้า หมอนั่นถึงกับหน้าเจื่อน ผมกลั้นหัวเราะอยู่ครู่ใหญ่
ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา
“ล้อเล่น แหม ทำหน้าจะร้องไห้” เราทั้งคู่หัวเราะ
รอยเท้าของเราทั้งคู่ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อย่ำบนพื้นทรายขาวละเอียด ไม่มีคำพูดใดออกมาจากปากชายสองคนที่เดินเคียงข้างกันไปยังจุดหมายที่ ณ ตอนนี้เรายังไม่รู้้เลยว่ามันอยู่ไหน รู้เพียงแต่ว่าจุดหมายจะเป็นยังไงก็ช่าง ขอแค่ข้างๆของเรานั้น
มีกันและกัน................ก็พอ
“หมอ ร้อนเน๊อะ” ผมพูดในมือถือกิ่งไม้หวดอากาศไปมา “ถ้ามีน้ำแข็งใสขายก็คงจะดี” แดดยามบ่ายของที่นี่ค่อนข้างร้อนระอุ เหงื่อซึมไหลเป็นทาง แต่ยังดีที่ลมทะเลช่วยพัดพาลมเย็นๆมาบ้าง
“น้ำแข็งกระนั้นรึ” หมอปีย์ทำท่าครุ่นคิด “ที่นี่จักไปหาน้ำแข็งได้จากหนใด สยามสั่งน้ำแข็งมาจากสิงคโปร์เท่านั้น”
ผมหันหน้าขวับไปมอง ก่อนจะถอนหายใจอย่างหมดแรง
“สั่งน้ำแข็งไปตอนนี้ กว่าจะได้กิน ไม่ละลายหมดแล้วเหรอ”
“ไม่ดอก เขาอัดมาใต้ท้องเรือ เอาแกลบ ขี้เลื่อยโรยทับอีกหลายชั้น” หมอปีย์อธิบาย “แต่เราไม่ยักกะชอบน้ำแข็ง กินแล้วเสียวฟัน สู้น้ำโอ่งน้ำฝนเรามิได้ดอก”
“คนแก่ก็งี้แหละ นี่รู้เปล่าที่บ้านเมืองชั้นนะ เรามีเครื่องทำความเย็น มีตู้เย็น ทุกอย่างต้องเย็น แตงโมแช่เย็น น้ำแช่เย็น หมู ไก่ ไข่ แม้แต่คนยังอยู่ในห้องเย็นๆเลย” ผมพูดข่มมือก็หวดอากาศไปเรื่อย
“บ้านเมืองเจ้านี่ดีนัก บ้านเมืองเราอยากกินแตงโมเย็นๆก็เอาแช่ตุ่ม อยากกินน้ำเย็นก็ตักในโอ่งน้ำฝน หมู ไก่ คลุกเกลือตากลมไว้กินได้หลายวัน นี่แหละบ้านเมืองเรา”
“ไว้ว่างๆชั้นจะพานายไปเที่ยวบ้านชั้นนะ รับรองนายจะต้องร้อง โอ้โฮ นี่หรือบางกอก ผิดกับบ้านนอกตั้งหลายศอกหลายวา” ผมร้องเพลงพุ่มพวงพอถูๆไถๆ แต่ก็ทำให้หมอนั่นหัวเราะออกมาได้
“นายปวดหัวบ้างหรือเปล่า”
เขาส่ายหน้า
“หิวข้าวมั๊ย”
ส่ายหน้า
“หิวน้ำรึเปล่า”
ส่ายหน้า
“เมื่อยมั๊ย ร้อนมั๊ย”
หมอปีย์ไม่ตอบเอาแต่ส่ายหน้า แต่คราวนี้มีรอยยิ้มเปื้อนมาด้วย
“เราดีใจนะ ที่เจ้าเป็นห่วงเรา”
“ชั้นก็ดีใจ ที่เป็นห่วงใคร...................เป็นกับเขาซะที” ผมยิ้มตอบกลับ
รอยเท้าของเราเคียงคู่บนหาดทรายสีขาว ร่องรอยเหล่านั้นกลายเป็นอดีตไปเพียงแค่เสี้ยววินาที อดีตที่ชัดเจนนั้น ช่างแตกต่างกับอนาคตของเราที่เป็นเพียงเงาที่พาดผ่านลงบนหาดทราย....เท่านั้น
ตะวันคล้อยหลังเรามามากแล้วเงาของเราทั้งสองทอดยาวออกไปจนเกือบมองไม่เห็น อากาศที่เคยร้อนอบอ้าวเมื่อครู่กลับถูกแทนที่ด้วยไอเย็นจากลมทะเลที่หอบเอากลิ่นทะเลอ่อนๆลอยมาตามลม หมอปีย์บอกผมว่าถ้าเราเดินเลียบชายหาดไปจนสุดทาง เราจะเห็นภูเขาเตี้ยๆอีกลูก และที่ชายเขานั้นเองจะเป็นบ้านพักตากอากาศของหมอจรัส
ผมนั้นไม่แน่ใจนักว่าที่นั่นจะปลอดภัยมากแค่ไหน เพราะคนของพระยาบริรักษ์อาจตามเรามาได้ทุกเมื่อ แต่เมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงตอนนี้แล้ว เรายังไม่เห็นวี่แววคนของพระยา เราก็เลยคิดว่าพวกเขาคงเลิกล้มแผนการณ์ที่จะติดตามเราแล้วก็เป็นได้
“เจ้าว่ามันจักผิดวิสัยหรือไม่ที่ ผู้ชายสองคนจักอาศัยนอนในห้องเดียวกัน” หมอปีย์ถามเล่นเอาผมไปไม่เป็น
“คงไม่มั้ง ก็เราเอ่อ” ผมอ้ำอึ้งที่จะพูดคำหลังจากนี้ “บริสุทธิ์ใจต่อกันไม่ใช่เหรอ”
“คงงั้นกระมัง” เข้าอ้อมแอ้ม
“ชั้นได้ข่าวมาว่า สมัยนายผู้ชายกับผู้หญิงเขาไม่อยู่ด้วยกันสองต่อสองเหรอ” ผมถามเพราะเคยอ่านในหนังสือประวัติศาสตร์มา
“เป็นเช่นนั้น ชายหญิงมิบังควรอยู่ด้วยสองต่อสองในที่ลับตาคน”
“งั้นนายเคยจับมือผู้หญิงป่าว”
“พูดกระไรเยี่ยงนั้น” ใบหน้าหมอปีย์แดงก่ำ ราวกับสาวแรกรุ่น
“อย่าบอกนะ ว่าโตขนาดนี้ยังไม่เคยได้จับนมผู้หญิง” ผมรุกหนัก
“เจ้านี่มัน บ้าเสียจริง” เขามองซ้ายขวา “เรื่องเยี่ยงนี้มิควรนำมาพูด มันไม่งาม”
“โห ไม่งามอะไรกันหมอ ไม่มีใครสักหน่อย เราก็ผู้ชายทั้งคู่ ไม่มีใครว่าหรอก”
“สมัยเราเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องต้องห้าม สตรีมิควรออกนอกเรือนนอกห้องตัวเอง มิควรแวะเวียนเรือนชายอื่น มิควรชะม้ายชายตาทอดสะพานให้ชายอื่น เรื่องจักมาถูกเนื้อต้องตัวยิ่งเป็นไปมิได้” เขาก้มหน้าก้มตา
“ส่วนบุรุษเพศนั้นก็ควรให้เกียรติสตรี เราจักไม่แสดงออกในเรื่องชู้สาว มิฉกฉวยล่วงเกินสตรีให้เสียหาย แม้แต่เป็นสามีภรรยาก็จักไม่ประพฤติตนรุ่มร่ามให้ชาวบ้านติฉินนินทาเอาได้”
“โห อะไรวะ ถามแค่นี้ตอบซะยาวเชียว ชั้นไม่ได้อยากรู้เรื่องนั้นหรอก ชั้นแค่อยากรู้ว่านายเคยจับเนื้อตัวผู้หญิงบ้างมั๊ย”
ผมยังไม่ลดละความพยายาม
หมอปีย์ก้มหน้านิ่งไม่ยอมพูด ผมจึงหยุดไม่ยอมเดินเช่นกัน
“ถ้านายไม่ตอบนะหมอ ชั้นจะไม่เดิน จะนั่งมันตรงนี้แหละ” ผมทรุดตัวลงนั่งกับพื้นทราย หมอปีย์หันหลังกลับมามอง เขาส่ายหน้าด้วยความเอือมระอา
“เจ้านี่มันรั้นเสียนี่กระไร เฮ้อ” เขาถอนหายใจ “แต่เหตุอันใดเราถึงต้องยอมเจ้าอยู่ร่ำไป” ว่าแล้วเขาก็นั่งลงข้างๆ
“เราเป็นหมอ เจ้าอย่าลืมสิ” เขาเอ่ยปากพูด
“เป็นหมอแล้วไง”
“เราแตะเนื้อต้องตัวสตรีมานักต่อนัก ทั้งหญิงสาวชาวบ้าน ข้าทาส นางใน ด้วยความสัตย์จริงเรามิเคยรักใคร่สิเน่หาพวกนางเหล่านั้นเลย”
“เหรอ” ผมทำตาโต
“แต่เจ้าอยากรู้หรือไม่ ว่าผู้ใด ที่ทำให้จิตใจของข้าโลดแล่นเหมือนโคถึก”
เขาเว้นจังหวะหายใจ
“ทุกครั้งที่เราเห็นใบหน้าเขา เห็นแววตาของเขา ริมฝีปากของเขา อยู่ใกล้เขาจนลมหายใจเราสัมผัสกัน เมื่อเนื้อกายสัมผัสเนื้อกายกันและกัน เมื่อนั้นจิตใจของเรากลับร้อนรุ่มเหมือนอยู่ในเพลิงแห่งความสุข” แววตาของหมอปีย์เหม่อมองออกไปนอกทะเลสุดสายตา
“จนเราแทบอยากจะหยุดหายใจ”
....
...
......
....
.....
......
เสียงคลื่นกระทบฝั่งเป็นจังหวะพร้อมๆกับที่เสียงของหัวใจผมเต้นตึกๆอยู่ภายใน ผมพยายามสงบพายุที่อยู่ในใจผมที่ตอนนี้กำลังคลุ้มคลั่งด้วยน้ำคำที่แสนจะเชยเฉิ่ม แต่เพราะเหตุใดคำพูดเหล่านั้นถึงทำให้ผมนั่งแทบไม่ติด
“เจ้าจะไม่ถามหรือว่าเขาผู้นั้นเป็นใคร” เขาหันมามองหน้าผม
ผมเหล่ตาไม่กล้าสบตาหมอปีย์ เพราะกลัว กลัวว่าจะไม่สามารถควบคุมพายุที่อยู่ในใจได้อีกต่อไป
“ไม่เห็นจะอยากรู้สักหน่อย” ผมตอบ
หมอปีย์นิ่งไปครู่หนึ่ง ส่วนผมนั้นเงยหน้ามองฟ้าสุดหายใจลึกๆเข้าปอด ผมไม่อยากรู้ ไม่อยากคิดไปเองว่าคนที่หมอนั่นพูดจะเป็นผม เพราะหากเกิดไม่ใช่ขึ้นมา ผมกลัว กลัวว่า ผมจะต้องเสียใจ
“เราไปนะ” จู่ๆหมอปีย์ก็ลุกขึ้นปัดเนื้อตัวแล้วเดินไปหน้าตาเฉย ทิ้งให้ผมนั่งแกร่วอยู่ลำพัง
แต่ก่อนที่ผมจะลุกขึ้นเดินตามหมอปีย์ไป สายตาพลันเหลือบไปเห็นพื้นทรายที่ที่หมอนั่นนั่ง
“เจ้านั่นแหละ เจ้าบ้า” ลายมือขยุกขยิกปรากฏขึ้นบนพื้นทราย ผมอ่านมันซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ ก่อนจะค่อยๆเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“หมอ รอด้วยสิวะ”
(http://image.ohozaa.com/i/c63/D29rn.jpg)
-
ดีใจมากครับที่ได้อ่านต่อ
ผมจะติดตามจนกว่าจะจบนะครับคุณเซ็งเป็ด คูณก็อย่าหายไปนานนักล่ะ
-
ที่จริงอัชน์น่าจะรีบบอกหมอเรื่องหมอจรัสนา มัวแต่หวานแหววกนสองคน ลืมไปหมดแล้วม๊าง อิๆ
ปล.ช่วงที่ป้าหนูกับจันทร์ช่วยอัชน์เขียนได้ดีมากและน่าประทับใจมากค่ะ :กอด1:
-
อร๊ายยยยยยยยยยยย อย่างน้อยก็ยังได้เห็นทะเลกันล่ะนะ ฮ่าๆ
แบบนี้นี่เรียกว่าสารภาพรักได้เปล่าหว่า >///<
ว่าแต่พ่ออัชย์บอกจะพาหมอไปบ้าน เอ่อออ พูดจริงพูดเล่นเนี่ย
-
แหมมม พ่ออัชย์ยังจะปากแข็งอยู่ได้
เกือบเสียหมอปีย์ไปยังไม่เข็ดอีกรึนี้
-
:เฮ้อ: ... อยากให้เรื่องนี้ไม่มีโชคร้าย
อย่าได้ไว้วางใจเลยพ่อ ไอ้พวกนั้นจะยอมปล่อยไปง่ายๆเหรอ ระวังๆไว้หน่อยก็ดีนะ
ดีใจมากๆ หมอปีย์ของเจ้าบ้ากลับมาแล้ว ฮิvฮิ ...
เผชิยเรื่องร้ายๆมาด้วยกันขนาดนี้แล้ว ยอมรับฟังหมอเค้าเถอะพ่ออัชย์ ก่อนจะสายไป ชีวิตมันไม่แน่ไม่นอนนะ :m15:
-
+1 ให้เซ็งเป็ด จ้า
หมอปีย์จำได้แล้ว ส่วนพ่ออัชย์ ก็เริ่มจะเข้าใจเสียที :กอด1:
หวังว่านางชงโค กับพ่อคงไม่ตามมาหรอกนะ :beat:
ขอตอนยาว ๆ อีกนะ :call:
-
น่ารักอ่ะ หมอน่ารัก
-
แอร๊ยยยยยยย เขินเลย :-[
-
จบหวานแบบนี้แอบเป็นห่วงเค้าสองคนจัง
-
ในที่สุดหมอปีย์ก็กลับมาแล้วววว>< เฮ้อ กลับมาคราวนี้หวานกันกว่าเดิมเยอะเลยแฮะ5555
หวังว่าคู่นี้จะไปกันได้ดีจากนี้ไปนะคะ แต่แอบคิดว่าเรื่องนี้ต้องจบเศร้าแฮะ
-
ไม่อยากคิดในแง่ร้าย แต่กลัวว่าพอไปถึงเรือนจะป๊ะกันแหม กะคนของพระยาบริรักษ์จะรอท่าอยู่แล้วอะดิ ท่าทางจะไม่ปล่อยมือง่ายๆแน่ๆ
-
โห หวีดวี้ดวิ้วนะตอนนี้ อิอิ ใจตรงกันแล้ว
เจ้าบ้าอย่าลืมบ้านล่ะ สงสารแม่อ่ะ
-
กรี๊ดดดดด หมอคัมแบ็คคคค
ดีใจมากๆๆๆๆๆๆ หวังว่าคงเป็นฟ้าหลังฝนจริงๆนะ คนแต่งอย่าหลอกคนอ่านน้าาาา
-
หมอปีย์มาแล้ว เย้ๆ
-
ซึนได้อีกค่ะ ทั้งคู่เลย แต่เดี่ยวนี้ หมอปีย์ไม่ซึนแล้วนะคะ
เค้าพัฒนาแล้วววววว
คำว่ารักไม่ต้องพูดออกมา ก็รับรู้ได้ด้วยใจ
อ่านตอนนี้แล้วเขินนนน รอตอนต่อไปค่ะ
:กอด1:
-
ดีใจจังหมอปีย์จำความได้แล้ว
และยังหวานกันแบบ ไม่ต้องวางท่ากันอีกต่างหาก
ว่าแต่เรื่องคงยังไม่จบเท่านี้ใช่มั้ยเนี่ย จะต้องมีเรื่องวุ่นๆเข้ามาอีกมากมาย
ไม่อยากจะคิดถึงตอนจบเลยอ่ะ
-
มาต่อแล้ววววววว มาเร็วมากเกือบตามไม่ทันแน่ะ =w=
ไปอ่านก่อนเด้อออออ
-
อย่างน้อยอ่านตอนนี้ก็ทำให้ยิ้มได้บ้างล่ะนะ^__^
ทำในสิ่งที่ชอบ เดินไปในหนทางที่วางไว้
ก้าวไปตามฝัน และรักใครสักคนที่หัวใจต้องการ :กอด1:
กด+ :L2:
-
หวานแล้ว ๆ หวังว่าคงไม่มีเรื่องร้าย ๆ แล้วนะครับ
อยากรู้เรื่องตอนปัจจุบันด้วยจัง
-
แอบตกใจตอนแม่อัชช์เรียก นึกว่ากลับมาปัจจุบันแล้ว :เฮ้อ:
-
โอ๊ยยย โมเม้นริมหาดทราย ทำเอาเรายิ้มได้ก่อนนอน :o8:
-
หวานไปๆ 555+ น่ารักอ่า o13 o13
-
^^ ขอบคุณคะพี่เป็ด
หมอปีย์บอกไปเลย 55+ จะได้รู้เสียที นอนรอต่อไปคะ
-
โอ๊ย มดกัด หวานจริงอะไรจริง
แต่เดี๋ยวพ่ออัชย์ต้องกลับมาพบปัจจุบันแน่ๆเลย แม่เรียกแล้ว
กลับมาแล้วคงกลับไปหาหมอปีย์ได้นะ
-
โอ๊ยๆๆๆๆๆ น่ารักอ่ะ
-
กรี๊ดดดดดดดดดดด อ่านไปเขินไป หวานมากกก :-[
-
ยิ่งอ่านก็ยิ่งเขิน ไม่ไหวแล้ว ขอตอนต่อไปอีกได้ไหมคะ :-[
-
โอ๊ย ทะเลมันกลายเป็นน้ำเชื่อมหมดแล้วค่ะ!
หวานซะขนาดนั้น เล่นเดินไปหวานไป แล้วเมื่อไหร่จะถึงล่ะค่ะเนี่ย
-
ขนาดสารภาพรักยังหวานซะ
-
หมอกลับมาแล้วววววววววว ><
แถมมีฉากหวานๆมาให้ชื่นใจอีก อิอิ
-
โอ๊ย อ่านไปก็เขินไป :-[
ขอสวีทต่ออีกเยอะๆนะคะ แอร๊ยยยยย
/รัวF5ๆๆๆๆๆ
-
กรี๊ดดดดดดด
ไม่ไหวแล้วเขินนนน
มาปูเสื่อรอออ ++++
-
โอ๊ยๆๆ ชอบหมอปีย์มากๆเลยอ่ะ ดีใจที่หมอปีย์ความจำเป็นปกติ :o8:
ผมยังรอตอนต่อไปอยู่น่ะคับคุณเป็ด :call:
-
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด เขียนทรายบอกรักอ่ะ น่าร้ากกกกกกกกกกก
อ่านแล้วมัน กวิ๊วกว๊าวววววววววว :o8: :-[
-
อ้ายยย หมอน่ารักที่สุด เขินดิ้นนนนนเเล้ว
-
หมอน่ารักเกินนนนนนนนนน
-
เเม้ น้ำตาลยังอาย..
-
เย้ๆ หมอคนเดิมกลับมาแล้ว
แถมยังหยอดคำหวานเฉยๆได้อีกด้วย ^^
-
แทบไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างผมจะยอมสยบให้กับคนอย่างหมอนั่น แล้วโดยเฉพาะมันเป็นผู้ชายด้วยแล้ว
แรงต้านอย่างมหาศาลเกิดขึ้นในใจ เมื่อแรก ผมยังจำคำที่พี่หมอเคยสบประมาทผมไว้เมื่อครั้งที่เราทะเลาะกันเพราะเขาแย่งมุกของผมไปว่า “ปอหนีตัวตนของตัวเองไม่พ้นหรอก” เมื่อนึกถึงคำพูดและน้ำเสียงเหล่านั้น ยิ่งทำให้ผมไม่อยากให้สิ่งที่พี่หมอพูดเป็นจริง แต่ตอนนี้ เมื่อยิ่งใกล้ชิดกับหมอปีย์มากเท่าไหร่ ในใจก็เริ่มกร่อนลงเพราะความผูกพันและห่วงใยของหมอนั่น
ครั้งหนึ่งผมเคยมีรักอันดูดดื่มกับสตรีเพศ แต่แล้วสตรีนางนั้นก็ทำให้ผมผิดหวังแทบไม่เป็นผู้เป็นคน เรารักเขาเท่าชีวิต แต่เขากลับรักเราไม่มากพอที่จะเลือกเราแล้วเมินเฉยกับเหตุผลหรืออะไรก็แล้วแต่ที่มุกบอกว่า มันจำเป็น หลายต่อหลายครั้งที่ผู้หญิงมักมีเหตุผลมากมายเมื่อหมดรัก
แต่ผมเองไม่โทษเธอหรอก ใครๆก็ต้องมีเหตุผลเป็นของตัวเองทั้งนั้น
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ผมเริ่มตระหนักแล้วว่า หากจะรักใครสักคนด้วยเหตุผลมากมายขนาดนั้น ผมว่า อยู่คนเดียวและรักตัวเองไปดีกว่า
ตอนนี้ผมยอมรับจริงๆว่าผมเริ่มมีจิตผูกพันรักใคร่หมอนั่นไปแล้วอย่างไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าเมื่อไหร รู้เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่อยู่ใกล้เขาหัวใจผมเหมือนจะบีบรัดเล็กลงๆเรื่อยๆ..................เหมือนกับหัวใจหมอนั่นมาเบียดพื้นที่เล็กๆในหัวใจ.....ของผม
ผมจะไม่โทษฟ้าดิน จะไม่โทษโชคชะตาที่พัดพาผมมาไกลถึงยุคที่ห่างจากเวลาปัจจุบันร้อยกว่าปี เพื่อมารักกับผู้ชายอีกคนที่อายุแก่กว่าผมร้อยกว่าปี
มันต้องมีเหตุผลสิ การย้อนเวลามาเพื่อให้รู้ตัวเองว่าเป็นเกย์ คงไม่ใช่เหตุผลใหญ่หรอก ผมเชื่ออย่างนั้น มันต้องมีเหตุผลมากกว่านี้ที่ผมอยู่ที่นี่ ได้มาเจอกับหมอปีย์ มันต้องมีอะไรมากกว่า “การรักกัน”
“พ่ออัชย์” เสียงหมอปีย์เรียกผมอยู่เบื้องหน้า “เกรงว่าคืนนี้เราจักต้องพักแรมที่นี่เสียกระมัง”
เราทั้งคู่มาหยุดพักอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งที่ทรุดโทรม มีเพียงศาลาเก่าๆทำด้วยไม้มุงด้วยกระเบื้องสีแดงเก่า ภายในศาลานั้นมีองค์พระประธานตั้งอยู่พร้อมแจกันดอกไม้ที่โรยรา ข้างๆศาลา มีกุฏิไม้เล็กๆเก่าทรุดโทรมอยู่หลังหนึ่ง นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรอีกเลย
“หลวงพ่อขอรับ พวกเราพลัดถิ่นมา อยากจักขออาศัยพักแรมที่นี่สักคืนนะขอรับ” หมอปีย์คุกเข่าพนมมือไหว้พระที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ผมนั่งลงใกล้ๆเขา พระรูปนั้นมองมาที่ผม เรียกว่าจ้องเขม็งมาที่ผมจนผมรู้สึกอึดอัด
“น่าเวทนายิ่งนัก” จู่ๆ พระรูปนั้นก็พูดขึ้นมา พลางส่ายหัว ใบหน้าที่ดำกร้าน ริ้วรอยที่บ่งบอกให้รู้ว่าท่านแก่พรรษาเพียงใด จีวรที่ดูแทบไม่ออกว่าเคยเป็นสีเหลืองมาก่อน ยิ่งทำให้พระรูปนั้นดูขลัง และน่าเกรงขาม
“จัดที่จัดทางเอาเองเถิด”หลวงพ่อพูดก่อนจะเดินจากเราสองคนไป
“ทำไมต้องน่าเวทนาด้วยวะหมอ ชั้นเหมือนคนจรจัดมากขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมก้มลงมองสภาพตัวเอง
“ไม่ดอก บางทีท่านอาจเวทนาชะตากรรมของเราสองคนก็เป็นได้” หมอปีย์ยิ้ม
ผมจัดแจงปัดกวาดพื้นศาลาด้วยผ้าเก่าๆ พระรูปนั้นยกมุ้งเก่ามาให้เราพร้อมหมอน ผมนั่งยิ้มให้กับตัวเอง ลมอะไรหนอถึงพัดพาชีวิตคนอย่างผมมาตกระกำลำบากอย่างนี้ แต่ก็ไม่ได้หนักใจอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะผมเริ่มทำใจได้แล้วว่า ที่แท้คนเราสุดท้ายจะเหลือแค่อะไร
“เราขอไปอาบน้ำก่อนนะ เหนอะหนะเต็มที” หมอปีย์เดินมาบอก เขาหอบเสื้อผ้าที่ป้าหนูห่อมาให้ไปเปลี่ยนด้วย
ขณะที่ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีทองอำไพ
“จะให้ชั้นอาบให้อีกมั๊ย” ผมแซว แต่กลับโดนหมอนั่นดุ บอกว่าให้สำรวมกริยาเสียหน่อย อยู่ในวัดในวา
“อะไรวะ แค่พูดเล่น”
-
เมื่อจัดที่หลับที่นอนเสร็จ ผมจึงถือโอกาสปัดกวาดเช็ดถูโต๊ะหมู่บูชา กวาดขี้เถ้า เศษฝุ่น เศษทรายไปทิ้ง แล้ววิ่งไปเก็บดอกผักบุ้งทะเลมาปักแจกัน
“ข้าแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โปรดดลบันดาลให้ลูกช้างได้รู้เสียทีเถิดว่า เหตุใดลูกช้างถึงต้องมาติดอยู่ในภพภูมินี้” ผมนั่งคุกเข่าหลับตาด้วยจิตอันเป็นสมาธิ นึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์
“โยม” เสียงพระรูปนั้นทำผมสะดุ้งโหยง “ดอกไม้งามดี” ท่านชม ก่อนจะเดินมายืนใกล้
“วัดนี้ร้างผู้คนมานาน อาตมาเองจำวัดที่นี่ก็อาศัยชาวประมงแวะเวียนเอาสำรับมาให้พอประทังชีวิต ครั้นจักให้ทิ้งวัดนี้ไปก็กระไรอยู่ วัดที่ไม่มีพระ ไฉนเลยจักเรียกว่าวัดได้เต็มปาก จริงไหมโยม”
ผมยิ้มพยักหน้า
“โยมเองก็เหมือนกัน จิตผูกพันกับที่ใดที่หนึ่งก็ยากจักลืมเลือน แม้นจักเกิดกี่ภพกี่ชาติ จิตก็ยังผูกพัน”
“หมายความว่าไงครับ หลวงพ่อ”
“โยมเชื่อเรื่องเวรกรรมหรือไม่” หลวงพ่อถาม แต่ผมกลับไม่ตอบ
“คนเรามีเวรกรรมติดตัวมาแต่ชาติภพก่อนกันทุกคน จักมากจักน้อยตามแต่บุญทำกรรมแต่ง โยมเอง มิสงสัยดอกรึว่าเหตุใดจึงต้องมาร่อนเรพลัดที่นาคาที่อยู่่เป็นนกขมิ้นไร้รังอยู่เช่นนี้”
“หลวงพ่อรู้ หลวงพ่อรู้หรือครับ”
“อาตมาก็รู้ไปไม่มากกว่าที่โยมรู้ดอก” การสนทนาของเราทั้งคู่เป็นไปด้วยความสงบ ผมเงยหน้ามองหลวงพ่อ ขณะที่ท่านจ้องมองพระประธานไม่กระพริบตา
“ที่ที่โยมมามิไกลไปจากที่นี่เท่าใดดอก หากแต่ไม่มีใครสามารถเดินทางไปถึงได้แม้แต่อาตมาเอง ที่ที่โยมอยู่ เวลาที่โยมหายใจ วินาทีที่โยมกระพริบตาอยู่นี้ ยังมีภพภูมิอีกภพภูมิหนึ่งซ้อนอยู่ ไม่มีใครเห็นหรือสัมผัสมันได้ ภพภูมินั้นถูกกั้นเขตด้วยรั้วหนามแน่นหนาที่เรียกว่า “กาลเวลา”
หลวงพ่อเริ่มพูดอะไรเข้าใจยากขึ้น
“แต่โยม ซึ่งมีกรรมและแรงปรารถนาอันแรงกล้าสามารถผ่านรั้วหนามนั้นมาได้ อาตมาเองกลับประหลาดใจมิน้อย”
“หลวงพ่อรู้” เป็นอีกครั้งที่ผมพูดคำนี้ด้วยอาการขนลุกชัน
“กระผมย้อนอดีตมาได้อย่างไรขอรับ หลวงพ่อ”
“โยมรู้หรือไม่ว่าชื่อของโยมแปลว่าอันใด” ผมส่ายหน้า คุ้นๆว่าแม่เคยเล่าให้ฟังว่ายายหนูวาดตั้งให้ผม เพราะยายบอกว่ามีชายคนหนึ่งมาบอกว่าหากยายมีหลานชายคนโตให้ตั้งชื่อหลานว่า “อัชย์”
“อัชย์ แปลว่า ผู้อยู่เหนือกาลเวลา” หลวงพ่อพูดราวกับรู้จักผมมาก่อน ทั้งๆที่ผมไม่เคยบอกชื่อนี้ให้แก่หลวงพ่อฟังเลย
“เพราะดีใช่ไหม แต่ชีวิตโยมเกิดมาพร้อมปมปัญหามากมายที่ต้องแก้ เพราะฉะนั้นเหตุที่โยมกลับมาที่นี่ด้วยเหตุใด อาตมามิสามารถแพร่งพรายลิขิตได้ อาตมาบอกได้แต่เพียงว่า...............................”
สายลมพัดเอาใบโพธิ์หลุดปลิวมาอยู่ตรงหน้าผม
“มิใช่ทุกคนที่มีจิตผูกพันกับภพภูมิอดีตจะสามารถย้อนเวลากลับมาได้ ผู้ที่จักกลับมายังอดีตนี้ได้ จักต้องมีจิตปรารถนาอันแรงกล้า กาลเวลาที่สัมพันธ์ จิตของคนในอดีตที่โหยหา และที่สำคัญ จักต้องเป็นเรื่องสำคัญที่ส่งผลต่ออนาคตอันใหญ่หลวง”
“เรื่องสำคัญที่ส่งผลต่ออนาคตเหรอครับ” ผมทำท่าครุ่นคิด ยิ่งหลวงพ่อพูดอธิบายมากเท่าไหร่ คำถามในใจก็เกิดมากขึ้นเท่านั้น
“อาตมาบอกได้เท่านี้แหละ โยม ชีวิตโยมที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับโยมแล้ว”หลวงพ่อพูด ก่อนจะหันหลังทำท่าจะเดินกลับกุฎิ
“อ้อ อาตมามีเรื่องจักเตือนโยมไว้อย่างนะ อย่าฝืนใจตนอีก มันมิใช่เรื่องผิดดอก ตรงกันข้าม ความรู้สึกที่โยมลังเลอยู่นั้น กลับจักช่วยชีวิตโยมในกาลต่อไป” แล้วหลวงพ่อก็เดินหายลับไป
-
หลวงพ่อกั๊กอ่ะ
บอกให้หมดเลยสิคะ หนูอยากรู้ด้วยคนค่าาาาาาาาาาาาาาาา :sad4:
-
“เจ้าคุยอันใดกับหลวงพ่อรึ” หมอปีย์เดินสวนกับหลวงพ่อ ขณะที่ผมเองกำลังนั่งครุ่นคิดถึงสิ่งที่หลวงพ่อพูด
“หลวงพ่อท่านพูดอะไรแปลกๆน่ะ หมอ “ เขาเอาผ้าผืนเก่าเช็ดหน้า
“ท่านพูดว่าชั้นมาจากที่ที่ใกล้มาก แต่กลับไม่มีใครไปถึง เหมือนท่านรู้ว่าชั้นมาจากอนาคตอย่างนั้นแหละ”
หมอปีย์แสดงสีหน้าเปลี่ยนไปจากเมื่อครู่อย่างเห็นได้ชัด แววตาที่หรี่เล็กลงแสดงให้เห็นว่า เกิดคำถามขึ้นในใจของหมอนั่นเช่นกัน
“ถามจริงเหอะ” ผมหันหน้ามานั่งตรงข้ามหมอปีย์ มือทั้งสองจับเข่าเขาอย่างมั่นคง “นายยังไม่เชื่อชั้นอีกใช่มั๊ยเรื่องที่ชั้นมาจากอนาคต”
“เอ่อ อืม มันเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อน่ะพ่ออัชย์ เราเองก็มิใช่จะหัวสมัยเก่า แต่เรื่องนี้เห็นว่า........................”
“นี่นายเห็นตอนที่ชั้นหายไปตอนที่แดงเสียใช่มั๊ย นายเห็นใช่มั๊ย”
เขาพยักหน้าช้าๆ
“แล้วนายอธิบายมันได้รึเปล่าว่าทำไมชั้นถึงหายไปต่อหน้าต่อตานาย”
ครั้งนี้หมอนั่นกลับส่ายหน้า
ผมนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่
“หมอปีย์.......................ขอร้องหล่ะ เชื่อชั้นเถอะนะ เชื่อชั้นสักครั้งเถอะ ถ้านายไม่เชื่อชั้น ก็ไม่มีใครอีกแล้วในโลกนี้ที่จะเชื่อชั้น”
แววตาของผมสื่ออาการวิงวอน น้ำเสียงที่ท้อแท้และสิ้นหวัง ทำให้หมอปีย์ถอนหายใจยาว ก่อนจะเม้มริมฝีปากและพูดว่า
“เจ้าบอกเรามาสิว่า เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
เขาแสดงอาการตั้งใจฟัง
ความมืดเริ่มเข้าปกคลุมไปทั่วบริเวณ เสียงคลื่นซัดเข้าหาฝั่งฟังเป็นจังหวะถี่ๆแต่สม่ำเสมอ รับรู้ได้ถึงฟองคลื่นที่เลาะหาดทราย เสียงหริ่งไรไร จั๊กจั่นดังลั่นหาด ที่แห่งนี้มีเพียงแสงเทียนที่จุดไว้หน้าพระประธานเท่านั้นที่คอยให้แสงสว่าง
“ครั้งแรกที่ชั้นมาที่นี่ ชั้นมาด้วยความรู้สึกที่อยากจะหนีจากโลกที่ชั้นอยู่ แต่ไม่รู้จะไปที่ไหน ชั้นจึงมาหลบในห้องครัวเก่าซึ่งสมัยนายคือเรือนครัวบ้านคุณหญิงชั้น จากนั้นชั้นจำได้ลางๆว่าเปิดหนังสือภาษาอังกฤษเก่าๆเล่มหนึ่ง แล้วเจอกระดาษแผ่นหนึ่ง” ผมเว้นช่วงจังหวะ พยายามนึกถึงข้อความในกระดาษแผ่นนั้น แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก
“จากนั้นก็เกิดแผ่นดินไหว ข้าวของในห้องนั้นหล่นกระจัดกระจาย ตามมาด้วยเสียงนาฬิกาลูกตุ้มโบราณที่ตีดังกังวาน นี่ชั้นยังจำเสียงนั่นได้ดีเลยนะ” ผมเงยหน้าไปมองเขา “จากนั้นชั้นก็สลบไป มารู้สึกตัวอีกทีก็มาโผล่ที่เรือนคุณชั้น”
หมอปีย์นั่งฟังอย่างตั้งใจ
“และทุกครั้งที่ชั้นเฉียดตาย หรือรู้สึกเหมือนจะตาย ชั้นจะได้ยินเสียงนาฬิกาลูกตุ้มแกว่งไกวส่งเสียงดังอย่างเร่งเร้า เมื่อมันเงียบลงชั้นก็จะกลับมายังโลกปัจจุบันของชั้นทุกครั้ง”
“โลกปัจจุบัน โลกปัจจุบันของเจ้ามันโลกไหนกันรึ” หมอปีย์ถาม
“ก็โลกในปี พ.ศ 2553 ไง นายอยู่ในยุคของพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ห้า ส่วนชั้นมาจากยุคพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่เก้า”
หมอปีย์อ้าปากค้าง ราวกับว่าผมไม่เคยบอกข้อมูลนี้ให้เขาฟังมาก่อนอย่างนั้นแหละ ทั้งๆที่ผมพูดให้เขาฟังหลายต่อหลายครั้งแล้ว
“ ร้อยกว่าปีกระนั้นรึ”
“ใช่ร้อยกว่าปี เหมือนที่หลวงพ่อบอกไง ว่าชั้นมาจากที่ที่ใกล้มาก นั่นคือนับจากสถานที่ แต่ไม่อาจมีใครไปถึง นั่นนับจากเวลา แสดงว่าหลวงพ่อท่านรู้ว่าชั้นย้อนอดีตมา” ผมอธิบาย
“แล้วท่านพูดอันใดกับเจ้าอีก”
ผมอยากจะเล่าทั้งหมดให้หมอปีย์ แต่เห็นว่าแค่นี้ก็เหลือเชื่อเกินที่จะรับได้สำหรับเขาแล้ว อีกอย่างหากบอกเรื่องราวหมด หมอนั่นก็ต้องรู้ว่าผมกำลังลังเลเรื่องอะไรอยู่
“แค่นี้แหละ ไม่มีอะไร” ผมตัดบท “ นอนเถอะ ชั้นง่วงแล้ว”
ผมแทรกตัวเข้าไปในมุ้งหลังเก่า จีวรเก่าๆของหลวงพ่อถูกนำมาปูกันดินกันทราย หมอปีย์ตามเข้ามาเขานอนก่ายหน้าผากถอนหายใจ
“เรารู้ว่ายังมีเรื่องอื่นที่หลวงพ่อพูดกับเจ้าอีก แต่หากเจ้ามิพึงใจจะเอ่ยถึงมัน เราก็มิบังคับ”
“ให้เวลาชั้นหน่อยเถอะนะหมอ เรื่องหลายเรื่องที่เกิดขึ้นกับชั้นมันยากที่จะทำใจให้ยอมรับได้เหลือเกิน”
“รวมทั้งเรื่องของเราด้วยกระนั้นรึ”
หมอปีย์ไม่ต้องอธิบายขยายความใดๆว่าเรื่องของเราคืออะไร แต่ผมก็เข้าใจกระจ่างแจ้งว่าเขาหมายถึงอะไร
“มันยากเกินที่เจ้าจักทำใจรับได้ เราเข้าใจ เพราะเราก็เคยรู้สึกและเจ็บปวดกับมันมาก่อน เรามิรู้ดอกว่าโลกที่เจ้าจากมา ความรักมีกี่ประเภท แต่ในสมัยเรา ความรักจักเกิดขึ้นได้แต่ชายหญิงเท่านั้น หากเกินกว่านั้นเจ้าคงนึกไม่ถึงดอกว่าโทษมันจักเป็นเยี่ยงใด แต่เรามิกลัวอันใดทั้งสิ้น พ่ออัชย์ เรามิกลัวอีกแล้ว เราขอตายเสียดีกว่า หากต้องอยู่โดยมิได้บอกรักคนที่ใจปรารถนา”
ผมนิ่งฟังสิ่งที่อยู่ในใจหมอปีย์ น่าขันที่ต้องมานอนฟังคนที่แก่กว่าเรานับร้อยปี แถมยังอยู่ในกรอบในวัฒนธรรมที่ปิดกั้นทางความคิดและไม่ยอมรับ มาระบายความในใจอย่างเปิดเผย ในขณะที่ผมเองมาจากโลกปัจจุบันที่ทุกสิ่งทุกอย่างเปิดกว้างทางความคิดและการยอมรับมาก แต่กลับไม่กล้าที่จะเอ่ยความในใจ
“นายบอกว่าอยู่ในวัดให้สำรวมไม่ใช่เหรอ หมอ” ผมเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง “เพราะฉะนั้น นอนกันเหอะว่ะ ชั้นง่วง” ผมหาวเสียงดังส่งสัญญาณให้รู้ว่าง่วงนอนและไม่พร้อมที่จะคุยเรื่องใดๆ ก่อนจะนอนตะแคงหันหลังให้หมอปีย์
เสียงหัวใจเต้นหนักหน่วง
ลมหายใจเข้าออกไม่เป็นจังหวะ
มือไม้เย็นเฉียบ
เสียงวิ้งๆดังขึ้นไม่ขาดสายในหู
กลืนน้ำลายไม่ลงคอ
ปั่นป่วนท้องน้อย
อาการเหล่านี้มันคืออาการอะไรกันแน่ มันไม่เคยเกิดขึ้นกับผมมาก่อนเลย จนกระทั่ง...........................ได้นอนใกล้หมอปีย์
-
^
^
จิ้ม อิอิ
-
ใกล้ลงเอยกันแล้วสินะ หมอนี่น่ารักจริงๆ o13 o13
-
หลวงพ่ออออออ รู้แต่ไม่บอกค้างในอารมณ์อย่างแรง :z3:
คุณอัชย์ค่ายอมรับซักที่ที่ชอบหมออ่ะ
-
สายสัมพัันธ์เริ่มถักทอ ฮุฮู จะว่าไป ตั้งแต่'เจ้าบ้า' มาอยู่ที่นี่ ไม่ค่อยได้ใช้ภาษาอักฤษให้เป็นเรื่องเป็นราวเทา่ไหร่เลยนิ เรียนมาเสียของจริงๆฮะฮธ
-
หมอปีย์ช่างกล้าหาญยิ่งนัก ใจรู้สึกเช่นไรก็พูดออกไปเช่่นนั้น
เหลือแต่พ่ออัชย์ที่จะยอมรับความรู้สึก จิตผูกพันของตนเองกับหมอปีย์เมื่อไหร่
กด+ พร้อมให้เป็ด :3123: เอาใจช่วยหมอปีย์ พ่ออัชย์ ^^
-
โหยยย หมอเท่ห์มากตอนนี้ พ่ออัชย์ก็เลิกลังเลซักทีนะ
-
พ่ออัชย์อย่ามัวแต่ลังเลอยู่เลย หมอปีย์โปรยมาซะขนาดนี้แล้ว แม้กระทั่งหลวงพ่อก็พูดเป็นนัยๆใ้ห้แล้วนะ
-
อ๊ากกกกก หวั่นไหวซะแล้ววววว
พ่ออัชย์กับหมอปีย์น่ารักจังเลยยยย
คนเขียนสู้ๆน้าาา ><
-
^
^
พ่ออัชย์รู้ใจตัวเองเร็วๆเหอะ
คนออ่านรอ ฉากนั้นอยู่น่า
-
สิ่งที่รอคอย มันใกล้เข้ามาแล้ววววว :z1:
-
อ่ะ..ค้างเล็กน้อยถึงปานกลาง แต่คู่นี้นี่น่ารักวันน่ารักคืนจริงจริ๊งงง
จะเกี่ยวข้องกับรศ.๑๑๒หรือเปล่าน้อ
-
พ่ออัชย์เลิกกลัวได้แล้ว เป้าหมายมีไว้พุ่งชนนะ
-
ตอนต่อไปอยู่ไหนนน
-
คนอ่านลุ้นจนฉี่เหนียวแล้ว :z1:
-
:a11: :m28: หลวงพ่อขลังมากกก
-
หลวงพ่อยุอ่ะ 5555
อยากให้ทั้งสองพ่อกลับไปที่บ้านและเรื่อนคุณชั้นเร็วๆ จัง
รู้สึกว่าปมอะไรๆ อยู่ที่ัทั่น ที่สำคัญ อยากให้พ่ออัชย์ได้เรียนทำอาหารต่อแล้วอ่ะค่ะ
-
หลวงพ่อกั๊กจังเลย อยากรู้นะเนี่ย 55+
ตอนจบพ่ออัชย์ออกอาการเขินด้วย ><
-
อยากรู้จัง หน้าที่ที่พ่ออัชย์ต้องทำในภพนี้คืออะไรนะ
ถึงขั้นพามาย้อนอดีตได้เนี่ย คงจะยิ่งใหญ่น่าดู
-
ในที่สุดปมก้อเริ่มคลายออกมาแร้ว เย้ๆ เมื่อไรปอจะยอมรับสักที สงสารหมอปีย์จัง คนอ่านก้อลุนจนเหนื่อย ^^"
-
มันเกิดอะไรกับหัวใจ ควบคุมอะไรไม่ได้สักอย่าง
ความรักไงจ๊ะ พ่ออัชย์ ตอบให้เลยเสร็จสรรพ
หมอปีย์ตรงไปแล้ว กรี๊ดดดดดดด ชอบๆๆๆ
อยากให้พ่ออัชย์พาหมอปีย์ข้ามเวลาไปปัจจุบันจัง :กอด1:
รอตอนต่อไปค่ะ
-
กำลังสงสัยว่าพี่หมอในโลกปัจจุบันกับหมอปีย์นี่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกันรึเปล่า หมอๆเหมือนกัน ๕๕
-
พ่ออัชย์ย้อนเวลากลับมาทำไมนะ
หรือว่าจะมาแก้ไขเรื่องราวรักเมื่อภพที่แล้วอาจจะไม่รู้ใจตัวเอง ดื้อ ก็เลยกลับไปอยู่ปัจจุบัน
แต่เกิดใหม่ชาตินี้ อาจจะมาอยู่กับหมอก็เป็นได้
เดาไม่ถูกเลยแหะ
-
:o8:
ได้กลับมากุ๊กกิ๊กกันอีกแล้ว...พ่ออัชย์อย่าปากแข็งนักเลย
รักก็บอกไปเลยว่ารัก จะได้ไม่ต้องมาเสียใจภายหลัง :z1:
-
ตามอ่านทันสักที
รอตอนต่อไปจ้า
-
กำลังสนุกเลยคับ
เอาอีกๆๆๆ
-
รีบออกจากวัดเลยพ่อ! :-[ :-[
-
พ่ออัชย์ยังลังเลอันใด ชีวิตภายหน้าเท่าที่อ่านดูแล้วยังมิอาจวางใจ คนอ่านหวาดหวั่นและหวั่นไหว :z3:
-
ไม่อยากคิดถึงเรื่องราวในโลกปัจจุบันเลยอ่ะ
เศร้า..
แต่ก็ชอบนะ
แอบหวานกันเล็กน้อย ถึงปานกลาง
-
มาต่อแล้ววววววววว ดีใจมากๆเลยครับ T T
อยากจะวิ่งออกไปหน้าหอแล้ว กรี๊ดๆๆๆๆๆๆๆ จากนั้นก็เดินแอ๊บแมนเข้าห้องมาอ่านต่อ
คิดถึงหมอปีย์มากๆเลย
ขอบคุณนะคับ
-
ลุ้นจนตัวโก่งแล้ว.......
ขอบคุณหลวงพ่อที่ชี้ทางสว่างให้พ่ออัชย์ ถึงแม้ว่ายังไม่เข้าใจก็ตามที
-
อุ๊ยย่ะ!!!!! หลวงพ่อออกตัวแรงขนาดนี้ อัชย์เอ๋ยอย่าได้รอช้า....ทำตามหัวใจโล้ดดดดดดดดดด
-
ฟังที่หลวงพ่อบอกแล้วท่าทางยังจะต้องผจญกรรมกันอีกเยอะหละนะ :เฮ้อ:
แต่คนอ่านขอกดไลท์ให้หลวงพ่อได้ป่าว o13
-
เริ่มจะคลี่คลาย กับปัญหาอึมครึม ๆ แต่ก็ยังมีหมอกจาง ๆ ขวางกั้นความรู้สึกอยู่ :เฮ้อ:
ส่วนภาระหน้าที่ ที่อัยช์จักต้องกระทำนั้น ยิ่งใหญ่กว่าที่คิด
+1 ให้พ่อนนท์ ช่วยนำพาให้เจ้าบ้ากระทำการอันยิ่งใหญ่ให้สำเร็จด้วย มิเช่นนั้นปัจจุบันก็จะไม่เป็นเยี่ยงนี้ :z2:
-
พ่ออัชย์ปากแข็งน่าจับหวดก้นนัก
-
หมอปีย์เอ่ยรักเจ้าถึงเพียงนี้ แล้วพ่ออัชย์จักต้องคิดสิ่งใดให้มากความ :-[
รออ่านตอนต่อไปอยู่น่ะครับ :call:
-
ภารกิจสำัคัญอะไรหว่า
พ่ออัชย์ กล้าๆหน่อย หมอปีย์ยังกล้าเปิดใจแล้วนะ
-
อ่านตอนที่พูดถึงรัชกาลไทย รู้สึกขนลุกเพราะความรักและศรัทธาทุกที :L1:
-
อยากรู้จังว่าทำไมถึงได้ย้อนเวลามาได้
สนุกมากเลยค่ะ รีบมา่ต่อนะคะ
-
อ่านเรื่องนี้แล้ว ได้ครบทุกอารมณ์จริงๆ
-
ในที่สุดก็ตามทันคับ 5วัน 5คืน - -"
ชอบเรื่องนี้มากคับ สมจริง มีรายละเอียดดีจริงๆ
เห็นภาพเลย เรียนวรรณกรรมศาสตร์มารึปล่าวครับเนี่ย
ปล. หากจะรัก เวลาหาสำคัญไม่นะครับ
-
มาตอบแล้วดีใจ ตามมานานหมอปีย์ใกล้สมหวังแล้ว :monkeysad:
-
เช้าวันต่อมาผมตื่นขึ้นเพราะเสียงคุยกันแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบความลับของจักรวาลลอยมาตามลม หากเป็นช่วงที่ผมอยู่คอนโดแถวท่าพระ ผมคงไม่รู้สึกตัวกับแค่เสียงกระซิบนี้หรอก ตอนนั้นขนาดสัญญาณไฟไหม้ดังผมยังหลับอุตุได้อย่างไม่สะทกสะท้านเลย ผิดกับตอนนี้ ที่โสตประสาทสัมผัสทำงานดีเหลือเชื่อ แม้แต่เสียงคุยกันแผ่วเบาผมยังได้ยิน อาจเป็นเพราะที่นี่ไม่มีเสียงรบกวนให้รำคาญหู จนหูชินชาไปกับเสียงต่างๆ
อาจเป็นเพราะเรายังได้ยินเสียงใบไม้ไหวเมื่อลมพัด
ได้ยินเสียงสายน้ำม้วนตัวอย่างอ้อยอิ่งกระทบตลิ่ง
ได้ยินเสียงนกร้องเจื้อยแจ้วเจรจา
ได้ยิน...........แม้กระทั่งเสียงหัวใจของตัวเอง
“อ้าว ตื่นแล้วรึพ่ออัชย์” หมอปีย์ถามขณะที่ผมเดินงัวเงียขยี้ตาตรงมาหาเขาที่ชายหาด
“มาทำอะไรตรงนี้วะ”
“เรามาเอาของทะเลที่ชายผู้นี้นำมาถวายพระน่ะ เจ้าดูสิว่าจักเอาสิ่งใดไปทำถวายได้บ้าง”
ผมชะโงกหน้าไปดูในข้องใส่ปลา ปลาชนิดต่างๆนอนแน่นิ่งไม่รู้ชะตากรรม ผมรู้จักอยู่เพียงไม่กี่อย่าง ปลาแดง นั่นปลาดุกทะเล นั่นปลาข้างเหลือง มีปลาหมึก กุ้ง แซมอยู่ด้วย
“ปกติลุงเอาไปถวายหลวงพ่ออย่างนี้เลยเหรอ” ผมเงยหน้าจากข้องใส่ปลามาถามชาวประมง
“จะบ้ารึ พ่อหนุ่ม พระสงฆ์องค์เจ้าท่านจะได้บาปเอา ข้าให้อีผินเมียข้ามาทำถวายท่านสิวะ แต่เช้านี้เห็นว่าหลวงพ่อท่านมีศิษย์มาก็เลยเอามาถวายแต่ของสด”
“อ๋อ” ผมพยักหน้าเข้าใจ
ผมกับหมอปีย์เดินกลับเข้ามาโดยมีข้าวสวยร้อนๆห่อใบบอน กับปลาแดงติดมือมาด้วยสี่ห้าตัว ผมไม่ได้เลือกเอามามาก เพราะสงสารชาวบ้าน อีกอย่างในกระเป๋าเสบียงยังมีของที่ป้าหนูเตรียมมาให้อยู่ไม่น้อย
หมอปีย์แยกไปอาบน้ำ ส่วนผมนั้นขอหลวงพ่อทำอาหารถวาย ข้างๆกุฏิหลวงพ่อมีเพิงหมาแหงนที่ทำด้วยใบตาล สงสัยชาวบ้านจะมาทำไว้ ข้างในมีเตาที่ทำมาจากก้อนหินสามก้อนวางอย่างง่ายๆ หม้อดินเขม่าดำ ถาดบิดเบี้ยว กระบวย ช้อน จานเก่าๆ ผมมองแล้วอดเป็นห่วงหลวงพ่อไม่ได้ หากไม่มีชาวบ้านมาคอยดูแล ท่านจะอยู่ จะฉันยังไง
ของในห่อผ้าถูกแกะมาวาง ทุกครั้งที่ผมเห็นของในนั้น ความสำนึกในบุญคุณของผมที่มีต่อป้าหนูก็จุกอกขึ้นมาทันที
ใครกันที่บอกว่าทาสสมัยก่อนไม่รู้ ไม่อยากจะเป็นไท ผมว่าอย่างน้อยก็มีป้าหนูและจันทร์ ที่จิตใจเบื้องลึกยังโหยหาอิสระภาพที่ตัวเองไม่เคยได้ลิ้มรสเลยจนวันตาย
“เจ้าจักทำอันใด” หมอปีย์ยืนเอามือไพร่หลัง เขาอยู่ในชุดกางเกงไทยขายาวเลยเข่านิดหน่อยสีน้ำเงิน กับเสื้อสีขาวบางที่ป้าหนูเตรียมมาให้ สีหน้าเขาดูสดชื่นขึ้นเมื่อเทียบกับเมื่อวาน
“ชั้นเจอเนื้อย่าง ปลาแห้ง แล้วก็พริกเกลือ ในห่อนี้” ผมชี้ไปที่ห่อเสบียง “ก็คงกินกันตายไปก่อน ว่าจะเอาปลาแดงคลุกเกลือ ห่อกับใบตองแล้วเอามาเผา กินกับข้าวสวยร้อนๆคงอร่อยดี” ผมว่าพลางเอาเกลือมาทาทั่วปลาแดง
“ส่วนเนื้อแห้งปลาแห้งที่เหลือ ชั้นว่าจะถวายหลวงพ่อไว้ อ้อ นายบอกว่าอีกไม่ไกลเราก็จะถึงเรือนหมอจรัสแล้วใช่มั๊ย”
เขาพยักหน้า
“”””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””
ผมถวายภัตตาหารให้หลวงพ่อ ส่วนหมอปีย์ถือโอกาสออกมาเก็บข้าวของให้เป็นระเบียบ
“เราต้องไปแล้วนะครับ หลวงพ่อ” ผมนั่งลงประนมมือไหว้
“แล้วจะมาเยี่ยมบ่อยนะๆครับ” หมอปีย์เอาศอกกระทุ้งผม ก่อนจะทำหน้าดุ เชิงว่าไม่ควรจะพูดแบบนี้กับพระกับเจ้า
หลวงพ่อเดินออกมาส่ง ท่านไม่พูดอะไรถึงเรื่องเมื่อวาน ทำราวกับว่าไม่รู้เรื่องราว ไม่ใช่คนที่พูดเมื่อวานอย่างนั้นแหละ
หมอปีย์กับผมลาหลวงพ่ออีกครั้ง ด้วยความเป็นห่วง
“เร่งเข้าเถิด พ่ออัชย์ ประเดี๋ยวแดดนายเสียก่อน” หมอปีย์เร่งฝีเท้า
“แดดนาย แดดนายคืออะไร” ผมถาม
“แดดนาย คือแดดแรงนั่นแหละ”
“อ๋อ” ผมพยักหน้า “แล้วนี่อีกไกลมั๊ยกว่าจะถึงเรือนหมอจรัส”
“ไม่น่าจักไกล อาทิตย์ยังมิทันลับคงจะถึง”
“หา!!!” ผมทำท่าตกใจเมื่อนึกว่าต้องเดินกันอีกตั้งเกือบครึ่งค่อนวัน “ทำไมสมัยนายถึงไม่ใช่รถยนต์กันน้า”
“รถยนต์?” เขาทำหน้าสงสัย
“ก็ใช่นะสิ รถยนต์ รถที่ใช้เครื่องยนต์ และน้ำมันเป็นตัวขับเคลื่อน”
“น้ำมันกระนั้นรึ น้ำมันจากพืชหรือสัตว์กัน”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า นายนี่ท่าจะบ๊อง” ผมหัวเราะเยาะในความเดียงสาของเขาโดยลืมไปว่า หมอนั่นกับผมเรามาจากคนละยุค “ไม่ใช่น้ำมันจากพืชและสัตว์ แต่เป็นน้ำมันปิโตรเลี่ยม เอ แต่จะว่าไปมันก็มาจากการทับถมของซากพืชซากสัตว์เป็นเวลาหลายล้านปีนั่นแหละ”
หมอปีย์พยักหน้า เขาไม่ทึบเกินไปที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
“แล้วคำว่า บ๊องหล่ะ หมายความว่ากระไร”
เป็นอีกครั้งที่ผมหัวเราะ จนใจที่จะอธิบายให้เขาฟัง
“บ๊องเหรอ ก็ประมาณเอ่อ Crazy เอ ไม่น่าจะถึงขนาดนั้น น่าจะ Innocent หรือไม่เต็มบาท”
“งั้นเจ้าก็บ๊องนะสิ” หมอปีย์ย้อน ผมหันขวับ”หัดย้อนนะเดี๋ยวนี้น่ะ”
เราทั้งคู่หัวเราะ ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินเลียบร่มไม้ชายหาดไปตามทาง....................
-
นานมาก หากนับตั้งแต่โตมาที่ผมไม่รู้สึกว่าผมคิดถึงแม่ แต่ไม่กี่วันมานี้ผมฝันถึงแม่บ่อยครั้ง และรู้สึกคิดถึงท่านขึ้นมา แม่เป็นแม่ในแบบนี้ที่ผมอยากให้เป็น เมื่อครั้นยายหนูวาดยังอยู่ ท่านมักพาผมตักบาตรตอนเช้า ยายหนูวาดก็จักพาผมเข้าวัด กลับมาแม่ก็จะเตรียมอาหารไว้ให้ ทุกคืนแม่จะเล่านิทานให้ผมฟัง
แต่เมื่อยายหนูวาดจากไป แม่ก็มีภาระมากยิ่งขึ้นเนื่องจากเป็นคนโต ภาระหนักของบ้านจึงตกอยู่กับท่าน และแม่ยิ่งเปลี่ยนไปมากขึ้นเมื่อต้องคอยตามราวีผู้หญิงมากหน้าหลายตาของพ่อ
แม่วิ่งตามพ่อจนลืมสนใจผม
ในขณะที่ผมโหยหาอ้อมกอดคุ้นเคย แต่แม่กลับไม่มีให้
แม่ไม่ยื่นมือมาจูงผมเหมือนเคย
เมื่อผมฝันร้ายแล้ววิ่งไปเคาะห้องแม่ ผมกลับโดนแม่เอ็ดและตีซ้ำ หลังจากนั้นผมจึงเรียนรู้ที่จะอยู่และปลอบประโลมตนเอง
โลกทั้งโลกของแม่ มีเพียงธุรกิจ เงิน พ่อ แต่ไม่มีผมในนั้น ผมเคาะประตูของให้แม่เปิดรับผมเข้าไปอยู่ด้วย แต่เธอเลือกที่จะเปิดประตูและยิ้มอย่างฝืดฝืน ก่อนจะบอกให้ผมไปอยู่ในโลกของตัวเอง ด้วยคำพูดที่ว่า “แม่ยุ่ง”
เมื่อไม่มีโลกของใครให้ผมอยู่ ผมจึงสร้างโลกของตัวเองขึ้นมาด้วยความไม่รู้ โลกของผมจึงบิดเบี้ยว มืดมน และแคบเล็ก.
“คิดอันใดอยู่รึ พ่ออัชย์” หมอปีย์หันมาถามเมื่อเห็นผมเงียบไป เขายื่นกระบอกไม้ที่มีน้ำเต็มกระบอกมาให้ผม แต่ผมส่ายหน้า บอกให้เขาดื่มแทน
“แค่คิดถึงแม่น่ะ จู่ๆ” ผมย้ำคำว่าจู่ๆ เพื่อให้หมอรู้ว่า มันแค่ความบังเอิญ ที่คิดถึงผู้หญิงคนนั้นขึ้นมา
“ชั้นจากบ้านมาเป็นเดือน ป่านนี้ไม่รู้ว่าที่นั่นเป็นไงบ้าง เฮ้อ” ลมหายใจที่พ่นออกมานั้น เหมือนกับความหวังแห้งๆที่ล่องลอยและมืดมนถูกพ่นออกไปด้วย
หมอปีย์หยุดรอผมจนผมเดินทันเขา
“เจ้าอยากรู้เรื่องน้ำแข็งหรือไม่” เขาเปลี่ยนเรื่องหวังจะให้ผมละความไม่สบายใจ
“หึ” ผมส่ายหัว
“น้ำแข็งถูกนำเข้ามาสมัยรัชกาลที่ ๔ ใส่เรือและกลบขี้เลื่อยมา สมัยนั้นผู้คนมิเชื่อว่าจักสามารถทำน้ำแข็งได้ ข้าหลวงบางคนถึงขนาดเอ่ยว่า “จักปั้นน้ำเป็นตัวได้อย่างไร” เขาหัวเราะ ผมมองหน้าหมอปีย์ก็อดยิ้มไม่ได้
“คราที่เราไปงานของข้าหลวงอังกฤษที่ท่าวาสุกรี ทางนั้นจัดของหวานเป็นแตงไทยน้ำกะทิ แล้วโรยด้วยน้ำแข็งที่บดละเอียด กินเข้าคำแรกก็ว่าชื่นใจดี แต่พอหลังจากนั้นกลับต้องน้ำตาเล็ด”
“อ้าวทำไมหล่ะ” ผมสงสัย
“เห็นจักไปกัดสมองเอากระมัง ปวดหัวเหมือนจักตายเสียให้ได้”
“ฮ่าฮ่าฮ่า” ผมหัวเราะร่วน “ไม่ตายหรอก กินของเย็นๆก็เป็นอย่างงี้แหละ มันเย็นจัดจนไมเกรนขึ้น”
“ไมเกรน?” เขาหันมาสงสัย ผมเห็นว่าถ้าไล่ตอบข้อสงสัยของหมอปีย์ชาตินี้คงไปไม่ถึงไหน จึงเปลี่ยนเรื่อง
“หมอ หมอมีชื่อจริงมั๊ย เอ่อ ชื่อ แล้วตามด้วยนามสกุลน่ะ”
เขาส่ายหน้า “เราชื่อพินิจอลงกรณ์ ใครๆก็เรียกเยี่ยงนี้ หากบางทีเห็นยาวน่ารำคาญจักเรียกหลวงพินิจก็มี แล้วเจ้าหล่ะ มีรึ”
“มีสิ สมัยชั้นนะ เขามีชื่อ นามสกุลกัน เพราะคนมากขึ้น ในประเทศไทยสมัยชั้น หรือสยามนั่นแหละ มีคนมากถึง 63ล้านคนทีเดียวนะ”
“หา!!” ไม่รู้ครั้งที่เท่าไหร่ที่ผมเห็นหน้าตกใจของหมอนั่น
“ใช่ เพราะฉะนั้นเราจึงมีนามสกุลกัน เพื่อจะได้รู้ว่าเรามาจากเทือกเขาเหล่ากอใด และป้องกันการสับสนด้วยเพราะคนเยอะ อย่างชั้นก็ชื่อ อัชย์ บดินทรบดี”
“ยาวแลเรียกยากดีแท้” เขาบ่น
“ใช่ป่าวหล่ะ เราจึงมีชื่อเล่นให้เรียกง่ายๆไง อย่างชั้นก็ชื่อ ปอ”
“ยุ่งยากดีแท้ สมัยของเจ้า จักปกครองดูแลกันคงลำบากมิน้อย คนมากมายอย่างนั้น”
“ไม่หรอก เรากระจายการปกครองไปตามจังหวัดต่างๆ แล้วแยกย่อยไปเป็นอำเภอ ตำบล หมู่บ้านอีกนะ แต่จะรวมศูนย์กลางอำนาจไว้ที่ส่วนกลาง"
“เหมือนหัวเมืองต่างๆกระนั้นรึ”
“ใช่ๆ”
“แล้วจักต้องส่งส่วยส่งบรรณาการด้วยรึไม่”
“ไม่มีแล้ว เราจะมีรายได้แล้วจะจัดการกันเอง”
“แล้วผู้ใดเป็นใหญ่ในระบบศูนย์กลาง”
“เราเรียกนายกรัฐมนตรี” ทันทีที่ผมพูดจบหมอปีย์ก็หยุดเดินแสดงอาการตกใจอย่างเห็นได้ชัด
“สมัยนั้นเรามิมีพระมหากษัตริย์แล้วรึ”
“อย่าเพิ่งตกใจสิหมอ มี เรายังมี แต่พระองค์จะอยู่เหนือการเมือง เราเรียกการปกครองสมัยชั้นว่า เอ....ขอคิดก่อนนะ ชั้นก็ไม่ได้เก่งวิชาพวกนี้เสียด้วยสิ” ผมนึกโกรธตัวเองที่ไม่ตั้งใจเรียน หากรู้ว่าวันหนึ่งจะได้กลับมาเยี่ยมบรรพบุรุษ ผมคงจะอ่านให้มากกว่านี้
“อ๋อ เขาเรียกว่า การปกครองระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข”
หมอปีย์พยักหน้า เชิงเข้าใจ แต่เขาไม่พูดอะไรต่อ หมอนั่นตั้งใจจะทำให้ผมอารมณ์ดีแต่กลับกลายเป็นว่าเขาต้องเป็นกังวลแทน
แดดเริ่มแรงขึ้นทั้งๆที่ยังอยู่ในช่วงหน้าหนาว แต่ทางใต้ อากาศหนาวมีเฉพาะในตอนเช้า พอสายแดดจัดหน่อย อากาศก็อบอ้าวจนต้องหาน้ำมาชโลมตัว
ตั้งแต่มาเที่ยวทะเลครั้งนี้ ผมยังไม่มีโอกาสเล่นน้ำทะเลเลยด้วยซ้ำ นึกแล้วก็ขำ ไม่น่าเชื่อว่าจะผ่านอะไรมากมายขนาดนี้
แดดลามเลียจนตอนนี้ผมแสบไปทั้งตัวเนื่องจากความร้อน แขนทั้งแขนแดงเพราะเกรียมแดด ผิวขาวของคนกรุงเทพฯตอนนี้หายไปแล้ว ผมเริ่มจะกลืนไปกับคนสยามในสมัยนั้นเสียแล้วสิ
หมอปีย์กับผมแวะพักใต้ร่มหูกวางต้นใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านช่วยบังแดดที่ร้อนแรง ผมทิ้งตัวลงนอนทอดยาวอย่างหมดแรง ริมฝีปากแตกระแหงเพราะความร้อน หมอปีย์เองก็ไม่ต่างกัน เราหันมามองหน้ากัน
“งีบสักหน่อยคงจะเข้าที” เขายิ้ม
ผมจึงหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็ได้กลับบ้าน...................ไปหาแม่
-
แสงแดดโรยแรงอ่อนล้า เหมือนกับว่าได้คลายความโกรธแค้นลงไป จากแสงแดดที่แผดเผาอย่างดุดัน บัดนี้เหลือเพียงไอแดดอุ่นๆที่คละคลึงมากับสายลมที่เย็นฉ่ำ ผมลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้าและซึมเซา รู้สึกว่าร่างกายกำลังจะถูกฉีกออกเป็นเสี่ยงๆจากความปวดร้าว เมื่อยล้าของการวิ่ง เดินและแบกหมอปีย์ ทันทีที่ลืมตาขึ้น ภาพบ้าน บ้านหลังที่เคยเติบใหญ่ก็เลือนหายไป ใบหน้าแม่และพ่อก็พลันเลือนหายไปด้วย บางทีการที่ฝันถึงภาพเหล่านี้ในพักหลังๆมา อาจหมายถึงว่า พวกเขากำลังคิดถึงผมอยู่ หรือไม่ก็กำลังจะลืมผม
ผมยันร่างขึ้นมา หันมองไปข้างกาย หมอปีย์ยังคงหลับตาพริ้ม ไม่รู้ว่าเขากำลังฝันถึงอะไร แต่ใบหน้าของหมอขณะที่หลับตาอยู่นั้น เมื่อเพ่งมองยิ่งเนิ่นนาน ยิ่งทำให้รู้สึกถึงความเย้ายวนภายใน หมอปีย์เป็นผู้ชายที่มีพลังดึงดูดอย่างประหลาดที่ยากจะอธิบาย เขาไม่ใช่ผู้ชายธรรมดาที่ผมเคยพบเจอ หลายต่อครั้งที่ผมเคยเจอและรู้จักเกย์ แต่ก็ไม่มีใครสามารถทำให้ผมรู้สึกได้แบบเขา เขาไม่ใช่ผู้ชายหน้าตาดีที่สุดที่ผมเคยเจอ แต่ด้วยใบหน้าที่คมสัน บ่งบอกชัดเจนถึงความเป็นบุรุษเพศ จมูกตรงปลายเชิด ริมฝีปากบางได้รูปที่แม้แต่ขณะหลับยังดูเหมือนเผยอยิ้ม ใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาไร้ไฝฝ้า ตัดกับคิ้วหนาดูภูมิฐาน และส่วนที่สำคัญที่ทำให้ผมเผลอไผลได้ทุกครั้งที่จ้องมองนั่นคือดวงตา
หมอปีย์มีดวงตาที่ประหลาด ด้วยดวงตาที่กลมโต ตาของหมอสามารถเปลี่ยนสีได้ตามสภาพอากาศ ผมเคยเห็นดวงตาของหมอเป็นสีน้ำตาลอ่อนเมื่ออากาศร้อน แต่เมื่อหนาวขึ้นมาคราใด ดวงตาคู่นั้นก็กลับเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้มอย่างหน้าอัศจรรย์ และมาถึงตอนนี้ผมบอกอย่างไม่อายเลยว่า ผมสามารถมองตาของหมอนั่นได้อย่างเคลิบเคลิ้มเป็นวันๆ
“อัชย์”
หมอปีย์ลืมตา ก่อนจะเรียกชื่อผม ในขณะที่ผมกำลังนั่งมองใบหน้าเขาอย่างลืมตัว
“หือ” ผมตอบกลับ แต่ยังไม่สามารถละสายตาจากเขาได้
“ทำไมถึงมองเราอย่างนั้นเหล่า”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“หา อ้า เอ่อ” เมื่อผมได้สติ อาการเลิ่กลั่กก็ปรากฏ “เปล่า เอ่อ จะดูว่าตายรึยัง”
“แล้วทำไมต้องยิ้มกรุ้มกริ่มเยี่ยงนั้นด้วยเล่า” หมอปีย์อมยิ้ม เขายังคงนอนในท่าเดิมเพียงแต่ลืมตาเท่านั้น
“ยิ้มอะไร” ไม่รู้ว่าหน้าผมแดงหรือไม่ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าเลือดแล่นพล่านไปทั่วใบหน้า และโดยเฉพาะ....
“หูเจ้าเป็นอะไรรึ แดงเถือกเชียว” เขาเอามือมาจับ
“เฮ้ย อย่ามายุ่งน่า” ผมปัดออก ก่อนจะลุกขึ้น “ไปกันต่อได้รึยัง เดี๋ยวก็มืดค่ำกันพอดี”
“เฮ้อ คนเรา ไม่รู้จะปากหนักไปถึงเมื่อไหร่ ทะเลเอ๋ย ช่วยหอบเอาความในใจของข้าไปบอกเขาทีว่า ข้านี้รอจนเหนื่อยเต็มทนแล้ว” หมอปีย์พูดลอยๆ
ผมแสร้งไม่ได้ยิน แต่จริงๆแล้วในใจกำลังเต้นลิงโลดอยู่ภายใน
“ทะเลเอ๋ย ช่วยหอบข้อความในใจของข้าไปยังชายที่เดินเยื้องกรายอยู่เบื้องหลังด้วยว่า ข้าเองก็เหนื่อยหน่ายที่จะทัดทานความรู้สึกภายใน....................เต็มทน”
-
เราไม่ได้มาแทรกใช่ไหม
เหนื่อยแล้วก็เลิกทัดทานได้แล้วแล้วพ่ออัชย์ ข้าก็ลุ้นจนเหนื่อยเหมือนกัน
-
ข้าน้อนอ่านแล้วอายเกินจะทน
เมื่อไรรึที่พ่ออัชย์จักเลิกปากซักที่
พวกข้าน้อยใคร่อย่ากรู้เต็มทนแล้วนะ :-[ :-[ :-[
-
..... เหมือนขาดๆ o22
-
อั๊ยยยยยยย!!!!! เขินอ่ะ ฮ่าๆๆ
-
เหนื่อยนัก..ก็หันไปบอกตรงๆเลยสิพ่อออออออ จักรอช้าอยู่ไย เร่งทำการนี้เถิดดดดดดด
-
:impress2:
เป็นปลื้มมากมากกกก ในที่สุดอัชย์ก็บอกแล้ว ทนไม่ไหวก็ไม่ต้องทนสิพ่อ ♥
ดีใจแทนหมอปีย์ :กอด1:
-
เจ้าอัชย์ อ้ำๆอึ้งๆอยู่ได้ ชอบก็บอกเลยซี่่ หมออุตส่าห์เปรยๆให้แล้วอ้ะ ><
-
พ่ออัชย์จะซึนจนถึงเมื่อไหร่กัน
บอกๆไปเถอะ ก่อนจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นอีก ไม่งั้นสายไปคงแย่
รอตอนต่อไปค่ะ
-
กรี๊ดด วิ่งหนีออกจากกระทู้ด้วยความขวยอาย :z3: แล้วเมื่อไรจะเปิดใจกันซักที๊!!
-
โอ้ยยย ตายยๆๆ อินซูลินเหลือน้อยย 5555
-
อ่านสองบรรทัดสุดท้ายแล้ว อยากจะบอกว่า เราก็เหนื่อยกับการลุ้นมาก :laugh:
หยุดเหนื่อยละหันไปบอกความในใจกันดีกว่าไหมจ๊ะ วันเวลาไม่แน่นอน เมื่อมีโอกาสได้มารักกัน ก็รักเถอะนะจะ :กอด1:
-
พรีสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสขออีกได้ม้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย คุณเซ็งเป็ด
อย่าเพิ่งจากไปเยี่ยงนี้เลยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย :dont2:
-
ทะเลที่ว่าเค็ม มันหวานหมดแล้ว หน้าแดงเทือกเลยอ่านไปนี่โครตเขิน หมอจะหวานไปขนาดไหน
-
จีบกันไปก็จีบกันมาเน้อ ทะเลงี้หวานเป็นทะเลน้ำเชื่อมแระ ฮิ้วววววววววว
-
ชอบตอนนี้ๆๆ ผ่อนคลายดี ฮ่าๆ เป็นความสงบก่อนเกิดพายุรึเปล่าเนี่ย
พ่ออัชย์ล่ะก็ ถ้าจะเหนื่อยที่ต้องเก็บงำขนาดนี้ ก็สารภาพไปเลยดีกว่า ><
พูดออกมาขนาดนี้แล้ว ฮ่าๆ ความหมายไม่ต่างกัน
ว่าแต่หมอปีย์แอบความจำสั้นนะเนี่ย พ่ออัชย์เราพูดเรื่องพระมหากษัตริย์เป็นรอบที่สามแล้ว
-
ทะเลเอ๋ย.....หอบอะไรก็ได้ที่จะทำให้สองคนนี้รักกันเร็วๆเถิด คนอ่านใจจะขาดอยู่แล้ว 555555555555
-
ลุ้นให้เผยความในใจจนเยี่ยวเหนียวแล้ว
-
เฮ้อออ เกือบแล้วใช่มั๊ย เมื่อไหร่พ่ออัชย์จะยอมหมอปีย์ซักที??
แต่อ่านแบบนี้ก็สบายใจดี เพราะรู้ว่าเค้ามีใจให้กัน คริคริ
-
เกือบล่ะ อีกนิดเดียวเอง ทำไมไม่พูดต่อหน้าหมอปีย์เรยล่ะพ่ออัชย์เอ้ยยย ข้าก้อออ ลุ้นเจ้าทั้งสองจนเหนื่อยเหมือนกัน อิอิ ชื่อของหมอเพราะจังเรย ชอบๆๆ :impress2:
-
ระวังฝากคำกับทะเลไปอย่านี้ไม่แคล้วจะเสีย...
-
มัวแต่ฝากกับลม กับฟ้า กับทะเล กันอยู่นี่หล่ะ
บอกกันตรงๆเลยสิจ๊ะ คนอ่านลุ้นจนเหนื่อยแล้วเนี่ย :z3:
-
:o8:
ชอบจังหยอกเย้ากันแบบนี้...แต่รีบหน่อยดีไหมพ่อหนุ่มทั้งสอง
ประเดี๋ยวโจทก์ตามมาทันจะเดือดร้อน.... o22
-
หวานอีกแล้วววว ชอบ
-
หมอปีย์รักเจ้าถึงเพียงนี้ ทำไมพ่ออัชย์ถึงเมินเฉย :serius2:
ถ้าพ่ออัชย์เป็นเยี่ยงนี้ ข้าจะชอบหมอปีย์แทนเจ้าแล้วน่ะ
รอติดตามตอนต่อไปอยู่น่ะคับพี่เป็ด :call:
-
อยู่กลับยุคกันหรือเปล่า
หมอกล้ารุก แ่ต่พ่ออัชย์ก็เอาแต่ตั้งการ์ด
-
ปากหนักเหลือเกิน ชอบก็บอกกันเล้ย คนอ่านลุ้น ><
-
ทะเลหวานกันอีกรอบ^^
พ่ออัชย์ ทนไม่ได้ก็ไม่ต้องทนสิ รีบๆตอบรับความรู้สึกของหมอเร็วหน่อยนะ
-
เมื่อไหร่จะเลิกปากหนักซักทีเนี่ยพ่อคุณ รีบๆสวีทกันได้แล้ว คนอ่านรอฉากนั้นอยู่
-
อ่านเรื่องนี้ได้ ความรู้อีกมากโข เหมือนกับได้ย้อนวันเวลาไปที่ไหนสักแ่ห่ง มีความสุขจังที่ได้อ่านเรื่องนี้
-
ชอบเรื่องนี้มากๆเลย มาต่ออีกน่ะค่ะ
-
ลุ้นจนเหนื่อยรับรักสักที่สิพ่ออัชย์ เวลาไม่เข้าใครออกใครหรอกนะ
-
รอวันที่อัชย์กล้าบอกความในใจ
สงสารหมอปีย์อ่า รอมานานแล้วเน่อ
เกิดหมอปีย์ถอดใจไป แล้วจะมาเสียใจภายหลังนะ
รออ่านตอนต่อไปค่ะ
-
จักทนไปถึงเมื่อใดกันเล่าพ่อ
แค่นี้คนที่รอก็จวนเจียนจะขาดใจตายเสียแล้ว
รู้บ้างหรือเปล่า...
-
ก็แค่อ้าปากพูดออกมาน่ะ เจ้าบ้า... ทำไม่ได้หรือไง????
อ้าปากสิค๊าาาาาา :z3:
-
ปล้ำเลยหมอ
-
ช่าย...... ปล้ำไปเลยหมอ
แค่พูดออกมาจากความรู้สึกแค่นี้ก็ไม่ได้
-
อ๋อยยยยยยยยย เขินง่ะ ไม่ไหวล่ะ :impress2:
ด่วนๆเลยคับที่รัก รออยู่
-
เขินอ่ะ หมอปีย์น่าร๊ากกกกกกกกกกกกก :impress3:
-
เพลานี้หมอปีย์และพ่ออัชย์ มิควรชักช้า ถ้าคำแก้วตามมา จักลำบาก
รออ่านตอนต่อไปอยู่น่ะคับพี่เป็ด :z13:
-
ใครจะบอกความในใจก่อนกันก็ไม่รู้นะคับ
-
ในที่สุดเราทั้งสองก็ถึงจุดหมาย นั่นคือเรือนหมอจรัส อาจคลาดเคลื่อนไปหลายวัน แต่เราก็มาถึง
เรือนตากอากาศของหมอจรัสเป็นเรือนไม้ยกใต้ถุนสูงตามแบบบ้านเรือนไทยของภาคใต้ หลังคาทรงจั่วที่ลาดเทมากกว่าปกติ ตัวบ้านโปร่งลมพัดเข้าออกได้รอบทิศ ลวดลายรอบบ้านล้วนแต่ฉะลุโปร่งเป็นลายกนกไม้ลวดลายวิจิตรสวยงาม ข้างๆบันไดมีต้นเล็บมือนางเลื้อยเลาะไปตามระเบียง ส่งกลิ่นหอมในเวลาเช้าพร้อมดอกสีขาว แต่เมื่อสายดอกจะค่อยๆเข้มขึ้น จนกลายเป็นสีแดงสดในบ่ายแก่จัด
ผมจำได้ เพราะเมื่อก่อน บ้านของยายหนูวาดมีต้นเล็บมือนางปลูกไว้ที่ศาลาริมรั้ว ยายหนูวาดมักจะเอาดอกเล็บมือนางมาเสียบร้อยยาวเป็นสร้อยให้ผมคล้องคอทำเป็นสร้อยบ้าง กำไลบ้าง
ขณะที่เรามาถึงเรือนหมอจรัสนั้นก็เย็นย่ำแล้ว แต่ยังพอมองเห็นรอบๆบ้านที่ขนาบด้วยต้นมะขามใหญ่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา ดอกพุดซ้อนสีขาว ตัดกับดอกชบาและดอกเข็มสีแดง
ผมยืนมองเรือนหลังนั้นด้วยความดีใจ ที่ในที่สุดเราก็ไม่ต้องระหกระเหเร่ร่อนอีกต่อไป
อยากให้พ่อกับแม่มาเห็นบ้านหลังนี้ และบรรยากาศของที่นี่ บางทีท่านอาจอยากยอมให้บ้านโดนยึด ร้านอาหารโดนโกง ทรัพย์สมบัติร่อยหรอหายไป เพื่อที่เราจะได้ครอบครัวกลับคืนมา
ผมยังจำความรู้สึกตอนที่รู้ว่าบ้านเรากำลังล้มละลายได้ดี มันไม่เชื่อหูตัวเองเป็นอย่างแรก และไม่เชื่อว่ามันคือเรื่องจริง ผมเกิดมาก็มีเงินใช้ไม่ขัดสน แล้ววันหนึ่ง เราจะไม่มีอะไรเลย มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองต้องอยู่ต่อไปไม่ได้แน่ๆ สังคมวัตถุนิยมเหล่านั้นยอมรับเฉพาะคนมีเงินตราเป็นอาวุธเท่านั้น พวกเขานับถือคนมีเงินว่าเป็นคนดี คนมีเกียรติ และจะได้รับการปฏิบัติดั่งพระราชา
แล้วหากวันหนึ่งผมไม่มีเงินขึ้นมา .....................ผมจะเป็นยังไง
แต่มาวันนี้ วันที่ผมยืนอยู่หน้าบันไดเรือนตากอากาศหลังนี้กับหมอปีย์ เมื่อนึกย้อนกลับไป ผมกลับเห็นว่า ช่างน่าขันสิ้นดี ทำไมผมถึงได้สิ้นหวังกับวัตถุที่เมื่อเวลาผ่านไปมันก็แค่กระดาษ
“คิดอะไรอยู่รึ” หมอปีย์เดินมาถามขณะที่กลับมาจากสำรวจความเรียบร้อยรอบเรือน
“ปล่าว ชั้นคิดถึงแม่น่ะ ถ้าแม่อยู่ที่นี่กับชั้น ท่านคงชอบ” หมอปีย์แตะบ่าเผาอย่างปลอบประโลม แต่ผมรู้ว่าที่เขาไม่พูดอะไรไม่ใช่ว่าไม่อยากพูด เพียงแต่เขาไม่รู้จะพูดอย่างไรในเมื่อตัวเองไม่เคยมีแม่มาตั้งแต่เกิด
“ขึ้นเรือนกันเถอะ” เขาเดินนำหน้า “เรือนหลังนี้หมอจรัสให้ชาวบ้านแถวนี้เป็นคนดูแล เขาจักมาทำความสะอาดเช้าเย็น วันนี้คงมาปัดกวาดแล้ว เราค่อยรอพรุ่งนี้ แล้วค่อยหารือกันว่าจักทำเยี่ยงไรต่อ”
บนเรือนไม้น่าอยู่หลังนี้ มีของใช้อยู่เพียงไม่กี่ชิ้น หมอปีย์เดินสำรวจดูรอบๆ ส่วนผมเปิดประตูเข้าไปดูห้องนอนที่มีเพียงห้องเดียว
ห้องนอนหันหน้าให้ทะเล แต่ก็ยังสามารถเปิดหน้าต่างอีกฝั่งมองไปยังภูเขาได้ด้วย เตียงไม้กว้างขนาดนอนได้สองคน วางไว้กลางห้องโดยมีผ้าขาวคลุมไว้อย่างดี มุ้งสายพาดไว้ที่มุมเสาทั้งสองข้าง เบาะผ้าบางๆที่ทำจากนุ่น ผ้าห่มแพรผืนสีฟ้า แค่ผมเห็นเพียงเท่านี้ ผมก็แทบจะกระโดดลงไปนอนให้หายเมื่อยแล้ว
“พ่ออัชย์” ในขณะที่ผมกำลังล่องลอยไปกับจินตนาการในการนอนเตียงนุ่มๆนี้ จู่ๆหมอนั่นซึ่งปกติก็เดินเหมือนแมวย่องอยู่แล้วก็มาโผล่ประชิดหลังก่อนจะเรียกชื่อ เป็นจังหวะเดียวกับที่ผมหันหลังกลับเพื่อจะออกไปหาเขา
แต่เมื่อหันกลับไปใบหน้าของหมปีย์ก็แนบหน้า ผมผงะตกใจก่อนจะหงายหลังล้ม หมอปีย์คว้าแขนไว้
เราสองคนสบตากัน มันช่างเหมือนในละครน้ำเน่าตอนหัวค่ำเสียจริง ฉากที่พระเอกคว้านางเอกไว้ก่อนที่หล่อนจะล้ม นางเอกสบตาพระเอก ทั้งๆที่พยายามอย่างมากที่จะหลบเลี่ยงความรู้สึกที่มีต่อพระเอก แต่ทันทีที่ได้สบตา หล่อนก็เหมือนดั่งต้องมนต์สะกด
“พ่ออัชย์ พ่ออัชย์” หมอปีย์เรียกสติ ผมสะดุ้งเล็กน้อย นี่เราถูกหมอนั่นสะกดจิตหรือ
“เฮ้ย” ผมร้องเสียงดังข่มความเขินขาย “จับแขนทำไม ปล่อย” ผมบอก
“ปล่อยไปประเดี๋ยวเจ้าก็ล้มตึง”
“ช่างเหอะ ปล่อย เอ้ ปล่อยสิวะ” ผมดิ้น ทันใดนั้นโดยไม่ได้เตรียมตัวหมอปีย์ปล่อยมือเขาจากแขนผม จากท่าที่คว้างเคว้งอยู่แล้ว เมื่อไม่มีมือคอยดึง ผมจึงล้มลงบนเตียงอย่างแรงเสียงดัง ตึง!!!
“โอ้ยยยยยยย โอ้ยยยย ไอ้หมอ” ผมโอดครวญ “ปล่อยแม่มไม่ดูจังหวะกูเล้ย โอ้ย ริดสีดวงกูแตกซ่านแล้ว โอ้ย” ผมนอนร้องดินไปดิ้นมาบนเตียง จริงๆมันไม่ได้เจ็บมากหรอก แต่เพียงแค่เมื่อล้มตัวลงบนเตียงนุ่มๆแล้วนั้น กลับไม่อยากลุกขึ้นอีกเลย จึงหาข้ออ้างนอนดิ้นบนเตียงนุ่มๆ
“สำออยนัก เจ้านี่” เขายิ้มนั่งลงใกล้ๆผม ที่นอนพาดเตียงแผ่หลา
“เตียงนี่สบายจังเลยหมอ นุ่มอ่ะ ชั้นไม่ได้นอนเตียงนุ่มๆแบบนี้มาน๊านนนนนนมาก” ผมลากเสียงยาว
หมอปีย์ นั่งมองผมเหม่อมองเพดาน อมยิ้มอย่างมีความสุข
“ที่บ้านชั้นนะ เตียงนอนของชั้นกว้างกว่านี้อีก แถมนุ่มเด้งดึ๋งๆเลยหล่ะ แล้วบนเตียงก็มีหมอนข้าง หมอนอิง สารพัดหมอนเลยบนนั้น เพราะว่าชั้นกลัวผีมานอนด้วย เลยต้องหาอะไรมาสุมๆไว้บนเตียง” ผมหัวเราะขำในความไร้สาระของตนเอง แต่ในความคิด กลับมีภาพเตียงนอนนั้นอย่างชัดเจน
“อ้อ แล้วสมัยชั้นแตกเนื้อหนุ่มนะ ใต้เตียงชั้นเต็มไปด้วยหนังสือโป๊เลยแหละ”
“หนังสือโป๊?” หมอปีย์เอียงคอ
“อื้อ หนังสือโป๊ หนังสือที่มีรูปผู้หญิงแก้ผ้าน่ะ”
“แก้ผ้า?”
“ใช่ แก้ผ้า”
“เปลือยนะรึ”
“อืม”
“ไม่ใส่อะไรเลยรึ”
“ใช่ อล่างฉ่าง อะบะละฮ่า”
หมอปีย์กลืนน้ำลายดังเฮือก สีหน้าดูกระอักกระอ่วน
“บางทีก็มีรูปผู้ชายกับผู้หญิงซ่ำกันด้วยนะ” ผมนึกอยากจะล้อหมอปีย์
“ซ่ำ?”
“หมายถึง Featuring นะ”
เครื่องหมายคำถามปรากฏเต็มหน้าหมอปีย์
“เออๆ ช่างเหอะ” ไม่สนุกเอาเสียเลย
“หญิงในสมัยเจ้ามีหญิงงามเมืองมากกระนั้นรึ”
“ฮ่าๆๆ” ผมหัวเราะ “หญิงงามเมืองในความหมายนายเป็นไงหล่ะ” ผมยกขาชันเข่าขึ้นมาในท่าสบาย
“ก็ เอ่อ เอ่อ” หมอปีย์ก้มหน้านิ่ง นิ้วมือพันไปจนจะเป็นเกลียวอยู่แล้ว
“พูดมาเหอะหมอ ไม่งามชั้นรู้ แต่ว่า ไม่งามสักครั้งเหอะนะ”
“หญิงงามเมืองก็หมายถึง หญิงที่ปล่อยตัว เข้าหาชาย จับมือถือแขนชายในที่รโหฐาน แล้วก็ เอ่อ”
หมอปีย์ยังไม่ทันพูดจบผมก็แทรกขึ้น
“โอ้ย ถ้าหญิงงามเมืองคือหญิงแบบที่นายว่านะ สมัยชั้น ก็คงงามทั้งประเทศแล้วหล่ะ”
หมอปีย์ทำหน้าตกใจราวกับเห็นผี เขาอ้าปากค้าง จนผมต้องลุกขึ้นนั่ง เอามืองัดคางปิดปากเสียงดังกั๊บ
“ไม่ต้องตกใจไปหรอกหมอ สมัยชั้นน่ะ รับวัฒนธรรมตะวันตกมามาก การที่ผู้หญิงจับมือถือแขน กอดกัน หรือแสดงความรักต่อกันกับผู้ชาย ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นผู้หญิงไม่ดี เพียงแต่มันเป็นการแสดงความรักในรูปแบบหนึ่งเท่านั้น”
“ไหนเจ้าบอกว่าเรามิเป็นเมืองขึ้นพวกฝรั่งมังค้องไง ไฉนจึงรับเอาวัฒนธรรมบัดสีแบบนั้นมาได้” เขาส่ายหัว
“เอาไว้นายไปบ้านเมืองชั้นแล้วนายจะเข้าใจ” ผมตัดบทเพราะเหนื่อยใจจะอธิบายให้หมอนั่นฟัง
“ชั้นไปอาบน้ำก่อนนะ เหนียวตัวมาก” ผมลุกขึ้นหยิบผ้าผ่อนในตู้ก่อนจะเดินลงไปจากเรือน
-
“แตงโม แตงโม่ แตงโม แตงโมลูกโตๆรสหว่าน ใครรับประทานถูกอกถูกใจ แตงโมจินต่ะราม้ามาย แตงโมจินต่ะราม้ามาย” เสียงเพลงที่ผมมักชอบร้องเวลาอารมณ์ดี หรืออยากจะหัวเราะหึๆในลำคอเบาๆดังขึ้นเพื่อกลบเสียงเงียบสงัดในหัวค่ำของคืนนั้น
ห้องน้ำทำด้วยไม้กระดานกั้นสี่มุม มีโอ่งน้ำที่มีน้ำเต็ม ขันทองเหลืองที่ดูมีราคา และชั้นวางที่วางขมิ้นผง มะกรูดแช่น้ำ และไม้ข่อยทุบแช่ในถ้วยเกลือ
“อย่างกะโรงแรม” ผมนึก
“ยินดีต้อนรับสู่โรงแรมห้าดาวชายทะเลชะอำ” ผมพูดล้อ พลางนึกว่าหากเป็นยุคของผม ที่ตรงนี้น่าจะเป็นโรงแรม......โรงแรมดุสิตที่หรูหรา พรั่งพร้อมด้วยความสะดวกสบาย อ่างอาบน้ำจากุซซี่ระบบวนล้านทิศทาง เราใช้ผลิตภัณฑ์อย่างดีจากลังโคม” ผมผายมือไปที่ชั้นวางของสำหรับอาบน้ำ มองผงขมิ้น น้ำมะกรูดสำหรับสระผม แล้วแปรงสีฟันยาสีฟันที่ทำมาจากกิ่งข่อยทุบกับเกลือ เข้ากันเสียจริง
“เชิญท่านสัมผัสกับประสบการณ์อันเลอ................”
“ปัง!!!”
“เฮ้ยยย เช็ดเป็ด!!” ผมสะดุ้งโหยงกำลังเพลินๆกับบทละครหลอนจินตนาการให้เคลิ้ม หันไปมอง หมอปีย์นุ่งผ้าขาวม้า ยืนอยู่หน้าประตู
“ไอ้บ้า!! ตกใจหมด มาทำอะไร ตรงนี้” ผมลุกขึ้นยืนลืมไปสนิทว่าไม่ได้ใส่อะไรปิดบังเรือนร่างแม้แต่ชิ้นเดียว
“อาบน้ำสิ” หมอปีย์ยิ้มกรุ้มกริ่ม จนผมประหลาดใจ
“ยิ้มอะไรของมึง” ก่อนจะก้มลงมอง
“เฮ้ยยยยย พ่อมตาย หมดกันกู หมดกัน” ผมเต้นผางทันทีที่รู้ว่ากำลังยืนอ้าซ่า เผชิญหน้าหมอปีย์มือคว้าผ้าขาวม้ามาห่อหนอนน้อย
“จะเข้ามาทำแป๊ะอะไรตอนนี้วะ ไอ้บ้า”
“เจ้าอาบช้า รอไม่ไหว เลยมาอาบด้วย” เขาเดินเข้ามาในห้องน้ำ
“อีกอย่าง อยากตอบแทนเจ้าที่เคยอาบน้ำให้เรา”
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง เต็มใจทำโดยไม่หวังผล ออกไปก่อนนะ ชั้นอาบแป๊บเดียว” ผมเขิน แต่หมอนั่นไม่เขินด้วยเขาทำท่าจะปลดผ้าขาวม้า
“เอ้ย ทำไรอ่ะ ไม่ต้องถอดนะเว้ย” ผมร้อง นี่ตกลงใครควรจะเป็นฝ่ายรักนวลสงวนตัวกัน ระหว่างชายที่อยู่ในยุคร้อยกว่าปีก่อน กับชายที่มาจากยุคเกย์เฟื่องฟู
“แล้วจะอาบอย่างไร”เขาถาม
“ก็อาบทั้งผ้านี่แหละ”
“งั้นเจ้าให้เราอาบด้วยแล้วสิ” ว่าแล้วหมอปีย์ก็นั่งลงตรงข้าม
“นี่อะไร” เขาหยิบผ้าฝ้ายสามเหลี่ยมสีดำที่ผมขยี้น้ำแขวนไว้ข้างฝา
“เฮ้ย อย่าจับ ไอ้บ้า นั่นมันกางเกงใน” ผมร้อง
“กางเกงใน?”
“เออ กางเกงที่เขาใส่ไว้ข้างในน่ะ”
“แล้วทำไมจับไม่ได้”
“มันของส่วนตัวเข้าใจป่าว ของส่วนตัว”
หมอปีย์พยักหน้า บางทีมันก็ฉลาดเป็นกรด แต่บางทีก็แม่งซื่อจนหน้าถีบ
“จำเป็นต้องใส่มันด้วยรึ” เขาถาม
“จำเป็นสิ ใส่แล้วมั่นใจ ว่าจะไม่ดึ๋งดั๋งขึ้นมาผิดที่ผิดทาง” ผมยิ้มๆ “นายไม่ใส่เหรอ”
“ไม่” เขาส่ายหน้า
“เฮ้ย จริงดิ แล้วมันไม่เอ่อ ไม่.......”
“ไม่”
“หือ เก่งนะเนี๊ยะ you can control yourself”
“Certainly I can control everything but my heart”
“T_T”
คืนนั้นเราทุ่มเถียงกันยกใหญ่เรื่องที่ใครจะได้อภิสิทธิ์ในการนอนบนเตียง
“นายต้องให้ชั้นสิ หมอ เพราะว่าชั้นเหนื่อยกว่านายมาก ชั้นดูแลนายตอนที่นายเอ๋อ ชั้นพานายวิ่งหนี แบกนายตอนนายไม่ได้สติ นายต้องให้ชั้น” ผมยื่นคำขาดพร้อมให้เหตุผลประกอบมากมาย
“แต่เราบ้า” สามคำที่หมอปีย์ให้เหตุผล เล่นเอาผมอึ้ง งงไปกับหมอ
“นอนด้วยกันได้ เตียงตั้งกว้าง” เขายื่นข้อเสนอ
“ไม่หล่ะ ขอบใจ” ผมแบะปากพลางหอบหมอน และผ้าขาวม้า ออกไปนอนนอกห้อง
ค่ำคืนของชะอำ ไม่ต่างไปจากค่ำคืนของสยาม และคงไม่ต่างไปจากค่ำคืนของกรุงเทพ ที่ที่ผมจากมา
ผมไม่เคยนอนมองท้องฟ้า และเฝ้าถามตัวเองว่า กลุ่มดาวลูกไก่คือดวงใด ไหนหล่ะดาวไถ ดาวประจำเมือง พระจันทร์ที่เขาว่ามีกระต่ายสีขาวปุกปุยอยู่มันมีจริงรึเปล่า ไม่เคยเลยสักใครในชีวิตของการเป็นคนสมัยสิวิไล
แต่คืนนี้ ผมกลับทำในสิ่งที่ผมเห็นว่าไร้สาระ ในวันนี้ที่ ดวงจันทร์ดวงโต ลอยเด่นเหนือท้องฟ้า ถึงแสงจะไม่เจิดจ้าเท่าดวงอาทิตย์ แต่นั่นก็ทำให้คนธรรมดาอย่างผมสามารถมองมันอย่างชื่นชมได้โดยไม่แสบตา และถามตัวเองว่า
“คืนนี้ แม่จะเห็นดวงจันทร์ดวงเดียวกับผมรึเปล่านะ”
“เพี๊ยะ ซี๊ด” ผมตบยุงที่เฝ้าแต่จะรุมกันดูดเลือดจนไม่ได้หลับได้นอน เสียงหวีดวี่ดังอยู่ข้างหูจนรู้สึกรำคาญ ที่ที่ผมนอนเป็นลานกว้างโล่งหน้าเรือน ถัดออกไปเพียงไม่กี่ก้าว ก็จะเป็นระเบียงไม้ที่ ที่ที่ดอกเล็บมือนางไต่เลื้อยอย่างเสรี
กลิ่นของมันหอมเย็นในตอนกลางคืน กล่อมให้ผมเคลิบเคลิ้มจนแทบหลับ
แต่ “เพี๊ยะ” ยุงเจ้ากรรมนี่สิ ที่ยังตามราวีผมไม่ยอมเลิกรา
“”””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””
“หมอ” ความพ่ายแพ้ที่ผมต้องยอมรับในครั้งนี้คือ ผมทนที่จะนอนให้ยุงนับล้านแห่กันมารุมเจาะเลือดผม โดยที่มีเพียงผ้าขาวม้าผืนเดียวเป็นเครื่องปกป้องไม่ได้ ผมสาบานได้ว่า หากทนนอนในสภาพนั้นถึงตอนเช้า ผมคงเลือดหมดตัวตายแน่ๆ
“ยุงกัด” เป็นประโยคบอกเล่าที่เจือน้ำเสียงอ้อนวอน
“เข้ามาสิ” หมอปีย์พูดผ่านมุ้ง ผมเห็นเงาตะคุ้มๆของเขาผ่านแสงตะเกียงเจ้าพายุสี่ตัวที่อยู่รอบห้อง
“จะให้ชั้นนอนที่ไหน”
“ตามใจเจ้าเถิด”
ผมมองไปรอบๆห้อง มีเพียงพื้นไม้กระดานที่ว่างเปล่า และเป็นช่องลม การนอนตรงนี้ก็คงไม่ต่างจากนอนข้างนอกนั่น
“ขยับหน่อยสิ” ผมค่อยๆแทรกตัวเข้าไป หมอปีย์ขยับเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะพลิกตัวนอนหงาย
.
.
.
.
.
.
.
ความเงียบกำลังจะรัดคอผม มันทำให้หายใจติดขัด และรู้สึกยิบยับไปทั่วตัว
“ลมโกรกดีนะ” ประโยคที่จะช่วยทำลายความเงียบดังขึ้น ผ้าม่านสีขาวพริ้วไหวไปมา
“ลมทะเล มีทั้งปี เราชอบทะเล มันทำให้เรารู้สึกว่า ความอ้างว้าง ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด” หมอปีย์พูด
“แต่ชั้นชอบตึกรามบ้านช่องที่บ้านชั้นมากกว่า ชั้นชอบอยู่บนตึกสูงๆ มันทำให้ชั้นรู้สึก ว่าโลกทั้งใบอยู่ใต้ฝ่าเท้าชั้น”
“เราช่างต่างกันเหลือเกินนะพ่ออัชย์ ต่างกันแทบจะทุกอย่าง มีเพียงอย่างเดียวที่เหมือนกัน โดยไม่น่าจะเหมือนกันเอาเสียเลย”
“อะไรวะ”
“เจ้าเป็นชาย เราเป็นชาย คือสิ่งเดียวที่เราทั้งคู่เหมือนกัน”
ผมกลืนน้ำลายเฮือก นึกถึงช่วงเวลาที่จะเกิดขึ้นแล้วนึกกลัวขึ้นมาจับใจ
“หมอ นายเคยมีความรักมั๊ย” กลิ่นดอกลั่นทมต้นใหญ่หลังบ้านส่งกลิ่นโชยมาอ่อนๆ
หมอปีย์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่
“เราไม่เคยมีความรัก แต่เรากำลังมีความรัก”
.
.
.
.
.
.
.
.
ลมทะเลพัดพาไอทะเล
ลมหายใจหมอปีย์พัดพาลมแห่งสิเน่หา
.
.
.
“หมอ อย่ารักชั้นเลย ชั้นไม่ใช่คนที่นายเห็นในความฝันหรอก” ไม่มีสิ่งใดให้มองในความมืด แต่ผมยังคงเบิกตาโพรง
“เราพยายามแล้ว แต่ทำมิได้” น้ำเสียงหมอปีย์สั่นเครือ ความอัดอั้นตันใจคงกำลังฆ่าหัวใจหมอปีย์อยู่ภายใน
“เจ้ามิรักเรา ก็มิเป็นไรดอก แต่ขอร้อง อย่าบังคับให้เราเลิกรักเจ้าเลย พ่ออัชย์ เราทำไม่ได้”
“ชั้นเคยมีความรักมาหลายต่อหลายครั้งนะหมอ แต่ทุกครั้งที่ชั้นรักใคร ชั้นก็มักจะพบว่า วันหนึ่งเมื่อตัวเองตื่นขึ้น ก็พบว่าเหลือเพียงตัวเองที่อยู่คนเดียว” ผมสูดหายใจลึกๆ รวบรวมความกล้า
“ชั้นไม่ได้รังเกียจนายที่นายเป็นผู้ชาย ตรงกันข้าม.......................................”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“ตรงกันข้ามชั้นกลับซาบซึ้งในไมตรีจิตของนาย แต่ แต่...................” บัดนี้กลายเป็นผมที่น้ำเสียงสั่นเครือเสียเอง
.
.
.
“หมอ!!” ผมลุกพรวดขึ้นจากเตียง “ชั้นอยากได้เหงื่อว่ะ ไปหาอะไรสนุกๆทำกันดีกว่า”
...
-
พ่ออัชย์จะไปทำอะไรจะ
ที่จะได้เหงื่อนะ :laugh:
-
กรี๊ด.......จะเล่นอะไรกันค้า......มาอยากได้เหงื่อเอาตอนแบบบนี้นี่ มันมีอยู่ไม่กี่อย่างนะค๊า..... :o8:
-
กลังรักแล้วเวลาต้องกลับปัจจุบันแล้วจะเจ็บล่ะซิเ้จ้าบ้า
เลยไม่ยอมรับรักหมอของเราซักที
-
รอลุ้นกิจกรรมเรียกเหงื่อ
-
+1 ให้เซ็งเป็ด ไฟแรงดีไม่มีตก
ออกกำลังกายแบบไหนหว่า อยากรู้อะ :z2: :z2:
รอวิธีการออกกำลังกายตอนกลางคืนอะ :call: :call:
-
“เจ้ามิรักเรา ก็มิเป็นไรดอก แต่ขอร้อง อย่าบังคับให้เราเลิกรักเจ้าเลย พ่ออัชย์ เราทำไม่ได้” :o8:
ข้าชอบวจีของหมอปีย์ยิ่งนัก พวกเจ้า 2 คน จักทำอันใด เพื่อเรียกเหงื่อรึ
จะรออ่านตอนต่อไปน่ะคับพี่เป็ด :call:
-
เสียเหงื่อ? พ่ออัชย์ เวลาแบบนี้มาชวนหมอปีย์เสียเหงื่อ แบบไหนอ่ะ :m21:คนอ่านอยากรู้
ความรักของคนทั้งคู่ คงเหมือนกุญแจแห่งเวลา...ที่รอการไขของหัวใจทั้งสองดวง
เรื่องราวบทสรุปสุดท้ายจะเป็นเช่นไร...น่าติดตาม^^
กด+ กับความรู้สึกดีๆ :3123:ขอบคุณครับ
-
เล่นผีผ้าห่มจิ จะได้เหงื่อ :laugh:
-
อ่ะอ้าววว คืนนี้้มีเสียเหงื่อ ทำไรกันอ่ะ ฮ่าๆๆ
สมัยนั้นมีอะไรเล่นมั่งเนี่ย
ว่าแต่ช่วงนี้พ่ออัชย์พูดแนวๆว่า"ถ้าหมอปีกลับปัจจุบันด้วย"หลายครั้งแล้วนะเนี่ย
ไม่ใช่ว่า ลงทะเลกันคราวนี้จะไปโผล่ที่บ้านแบบตอนตกคลองคราวนู้นนะ = =lll
-
พ่ออัชย์ ถ้าพ่ออัชย์มัวแต่กลัวแล้วเมื่อไหร่พ่อจะมีความสุขเล่า
บวกเป็ดเจ้าค่ะ
-
อะไรกันพ่ออัชย์
เรียกเหงื่ออะไรดึกๆ ดื่นๆ
จะชวนหมอไปทำอะไร? :z1:
-
จะชวนหมอไปทำอะไร :haun5:
-
กะลังเคลิ้ม....
ชิส์!!! ไอ้บ้าอัชย์ทำเสียอารมณ์ :z3:
-
(http://i269.photobucket.com/albums/jj72/myem0/01/yoyo-emoticon-2-050.gif) Oh Noooooooooo.....!!!
ตาอัชย์ จะทำอะไรหมอปีย์ของช้านนนนนน บอกมานะ!?! (http://i269.photobucket.com/albums/jj72/myem0/01/yoyo-emoticon-2-073.gif)
-
555 คืนนี้มีเสียเหงื่อซะเเล้ว o18
-
จะมาชวนเล่นอะไรกันตอนนี้ล่ะพ่ออัชย์ - -*
-
ผีผ้าห่ม เป่ายิงฉุบถอดทีละชิ้น อิอิ แต่ละเกมส์ พาจิ้นๆ :laugh:
-
กิจกรรมเรียกเหงื่อ!?!?!? อร๊างพ่ออัชย์ อย่าทำให้คิดไปเองสิ><
รอตอนต่อไปค่า หวังว่าจะพูดความในใจออกไปเร็วๆนะคะ ได้รักแล้วได้จากกันดีกส่าไม่ได้พูดความในใจออกไปเลยนะคะ
-
เข้าซาวน่าเลยค่ะ :laugh:
-
ไหนตอนแรกว่าเหนื่อย ทำชวนทำกิจกรรมเข้าจังหวะ เอ๊ย กิจกรรมเสียเหงื่อซะอย่างนั้น
-
ตัดตอน อย่างแรง คุณเซ็งเป็ด
-
แต่เราว่าทั้งสองชายคงไม่ ฟิจเจอริ่ง กันหรอก ท่ามากกันซัขนาดนั้น คงไปกระโดดตบยุงหน้าห้องกันแหละมั้ง
แล้วเมื่อไหร่จะได้ ฟิจเจอริ่งกันสักที :dont2:
-
เจ้าบ้าไม่ใจเลย :m16:
สุดท้ายก็ปากแข็งไม่ยอมพูด
-
อ้าวกำลังมาซึ้งๆ แต่ไหงพ่ออัชย์ทำเยี่ยงนี้ล่ะพ่อ :z3:
-
คงไม่ได้ไปว่ายน้ำทะเลนะ เอ๊ะ รึว่าจะไปวิ่งไล่จับ แฮ่ๆ
-
กรี๊ดดดดดดดดด
ขอเหงื่อด้วยคน....
-
อัยย๊ะ พี่อัชชชชชชชชชย์......จะทำอะร๊ายยยยยยยยยยยย
.
.
.
.
.
.
.
ทำเร็วๆสิรออยู่น๊าาาาาาาาาา ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :z1: :o8:
-
เขิลลลครับ
-
55 ทำรายยยย
หมอน่ารักมากสุด อ่านไปเขินไปทุกตอนสิน่า~
-
กะลังซึ้งอยุ่เรย พ่ออัชย์นี่ก้อออแหม จะชวนหมอทำอะไรล่ะเนี่ย
-
"เรามิเคยมีความรัก แต่เรากำลังมีความรัก" กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
ไม่ไหวนะ ไม่ไหวแล้วง่า เฮียยยยย
-
ไม่ได้โพสมานานมาก แต่ยังไงก็ยังคอยติดตามอ่านเรื่องนี้อยู่เสมอๆนะครับ :L2:
-
ทำอะไรอ๊าก
อ๊ากกกกกกกก ค้างอย่าง แร๊งๆ :z3:
-
พ่ออัชย์ชอบหลบหนีหลีกเลี่ยงตลอดอ่ะ
ยอมรับสักทีเหอะว่าแกก็รักหมอ ไม่งั้นฉันจะแย่งหมอจากแกแล้วละไอบ้า ชิชิ
-
เรียกเหงื่อตอนกลวงคืน อุอุ
-
ป๊าดโธ่ !! จะลีลาท่ามากไปไยล่ะพ่อ ... :z3:
จะทำอะไรก็รีบเข้าเถอะ เวลาและวารีไม่เคยจะคอยใครนะจ๊ะ นะจ๊ะ :z1:
-
:z3: อะรายอะ
-
เปิดปมไว้ให้คนเดาไปในทิศทางเดียวกันหมด และรอลุ้นว่า สิ่งที่ตัวเองคิดไว้ ถูกต้องหรือเปล่า :oo1:
+1 ให้พ่อนนท์ สำหรับระเบิดลูกนี้ :z2:
-
:jul1: ออกกำลังกายเรียกเหงื่อเหรอคะะะะะะะะะะ
-
พูดจาชวนคิดลึกอีกแล้ว><
-
ดูเหมือนเราทุกคนคาดหวังกับกิจกรรมเสียเหงื่อยามดึกของพ่ออัชย์และหมอมากกก อืมม
-
ในที่สุด ก็ตามทันสักที
:mc4: :mc4:
-
มาต่อเร็วๆนะครับ
-
o13 o13 o13
-
จะให้ได้เหงื่อ มันต้อง "กีฬาบนเตียง" :haun4: :haun4:
-
เฮ้ย!!!...ชวนไปทำอะไรน่ะ
-
กล้านะอัชย์ ชวนหมอปีย์ทำกิจกรรมเรียกเหงื่อ อิอิ
-
เอ่อออ แบบว่า ขออนุญาต :beat:
พ่ออัชย์ซักทีละกัน...กำลังได้อารมณ์
:jul3:
-
รีบกลับมาอัพไวๆนะคะ จะขาดใจแล้ว ยิ่งด้ดูทวิภพ ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ :-[
-
:-[ :-[ :-[ :-[ โอ้ย ๆ ๆ ไม่ไหวแล้ว น่ารักอ่ะ
-
เล่นรัยกันอ่ะ
-
เย้...ได้อ่านต่อแล้ว
-
เข้ามารอๆๆๆ คิดถึงหมอปีย์เเล้วอ่า ><
-
:z1:ฮ่าๆๆๆๆ
:laugh:
-
พ่ออัชย์คงไม่ออกไปวิ่ง ตอนนี้หรอกนะ 55555555
-
กิจกรรมอะไรจะสนุกไปกว่าเล่นผีผ้าห่ม55
-
นั่งดูติดขอบเตียง เอ้ย! จอ
-
ใกล้มาต่อแล้วใช่มั๊ยๆๆ อิอิ :L2:
-
:impress2: :impress2: :impress2:
-
มารอคุนเซงเป็ดรอบนี้มาเยอะๆเรยน้า
-
คิดถึงคุรเซงเป็ดอ่า ไม่มาต่อซะที
-
:call: :call: :call:
-
:z2: รอด้วยคน ^^
-
รออ ยิ่งดูทวิภพ ยิ่งอยากอ่านนน
-
ทำอะไรถึงจะได้เหงื่อนะ อยากรู้จังค่ะ 555+
-
รออยู่ทุกวัน
-
ข้าคิดถึงหมอปีย์กับพ่ออัชย์ยิ่งนัก รออ่านตอนต่อไปอยู่น่ะคับพี่เป็ด :call:
-
โอม.........จงงลตอนต่อไป.....จงลงตอนต่อไป
-
พ่ออัช ชวนหมอปีย์เล่นกีฬาในร่มหรออ
-
เข้ามานึกว่าจะได้อ่านต่อสักตอนสองตอน :z3:
-
:z3: :z3: :z3: :z3: รอจนใจจะขาดรอนๆ
-
อยากอ่าน คิดถึงงงงง
-
รอ
-
มารออออ
-
รอเหมือนกันคับผม
-
พ่ออัชย์พูดเเบบนี้หมอปีย์จิ้นนะ 55555.
รีบมาต่อนะคะ
-
มาต่อเถอะ พี่เป็ด
-
อ่านสนุกมากเลยคับ มาต่อไวๆเน้อ
-
รออยู่ครับบบ
-
มารอทุกวันเลยนะครับเนี่ย เรื่องนี้
-
เราพลาดไปได้ยังไง,,,, :กอด1:
เพิ่งเห็นว่าเรื่องนี้ของพี่เป็ด ขอจิ้มไว้ก่อนเดี๋ยวมาอ่านนะค๊า :L2:
-
รอทุกวันและเวลา
-
ยังไม่จบเลย แต่ :really2: ไม่ไหวแล้วค๊า
สนุกมากกกๆๆ ยอมรับฝีมือเลย
เขียนได้ถึงใจจริงๆ มุกแต่ละมุกก็อยากจะถามพี่นัทว่า คิดได้ยังไง :laugh:
เด่วพรุ่งนี้มาอ่านต่อ :กอด1:
-
มาต่อ ซะที เถอะะฮะ อยากอ่านมาก
-
คุณเซงเป็ดรออยู่น้าาาา
-
มารอคุณหมอกับคุณพ่อครัวครับ อิอิ รอคุณเซงเป็ดด้วย
-
รออออออออ
-
รอๆๆๆๆๆ
-
http://youtu.be/IL9cuyAMF5w เพลงอสงไขย
-
นานไปแล้ววว
-
รออยู่เน้อ :L2:
-
รออีกแล้วคาบบบบท่าน
-
รอออออออออ
-
สนุกมาก ชอบมากกกกกกกก (y)
-
ยิ่งดูทวิภพยิ่งอยากอ่าน
-
♫ ฉันคิดถึงเธอ ตั้งแต่หัวค่ำจนอุษาสาง ♫
-
รอออออออ
-
อีก 3 วันก็รอจนครบ 1 เดือนเเล้วนะคับ มาต่อได้แล้วม้าง :เฮ้อ:
-
รอมาจะครบเดือนแล้ว
-
อย่าทำร้ายจิตใจกันแบบนี้นะ
มีอะไรยังไงก็บอกเล่ากันหน่อยนะครับ..ปล่อยให้คนที่รักคุณต้องรอคอยเนิ่นนาน..แบบไม่บอกไม่กล่าวมันใจร้ายเกินไปแล้วนะครับ
กลับมาต่อเถอะน้าาาาา
-
พี่เซ็งเป็ด 'ทำ' นู๋ค้างมากกกกกกกกกกกกกกก :m31: :m31:
-
ท่านพระยาเป็ดเพลาใดท่านจะมาต่อเจ้าคะ :m15:
กิจกรรมเรียกเหงื่อทำอิฉันพุ่งพล่าน :-[
-
รออยู่ทุกวันจนพรุ่งนี้จะครบเดือนแล้ว นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดีมาก ไม่อยากให้คนเขียนหายไปเรย
-
ครบ หนึ่งเดือน แล้ววว มาสักทีเถอะคับ
-
แวะมาจอดรอ^^
-
อยากอ่านต่อจังค่ะ
-
แค่จะมาบอกว่าคิดถึงเรื่องนี้
-
อยากอ่านต่ออ่ะ มาเร็วๆนะพ่ออ้ชย์
-
รอแล้วรอเล่า รอร๊อรออยู่น่ะครับ
-
keep on waiting 'till the world ends :เฮ้อ:
-
จบแล้วหรอคับ
ไม่เห็นมาตออ่ะ
-
มาต่อเถอะคร้าบบบบบ รออยู่นะ :monkeysad: :m15: :m15: :m15:
-
สงสารหมอปีย์
อยากอ่านต่อค๊าาาาาาาาาา
-
ดันทุกวันนนนนนน
-
:z3: :z3:
-
น้านนนนนนาน
-
หวัดดีฮ้าบ! น่าจะป่อยให้จบก่อนแล้วค่อยเข้ามาอ่านนะเนี่ย.........
-
มารอครับผม
-
รอรอรอ
-
คิดถึงหมอปีย์กับเจ้าอัช
-
มารอเรื่องนี้ T^T
-
หายไป หายไปกับดอกไม้
-
http://youtu.be/2Zhv5h22yq4 ฟังเพลงรอ... :t3: มาไรจะมาหนอ
-
:m22:
-
เรื่องนี้ทำให้เรากลับมาฟังเพลงไทยยย ไทยเดิมเรยอ่าหลังจากที่ไปฟังเพลงเกาหลีอยู่นานแต่ก้ยังไม่ได้ทิ้งเกาหลีนะ ฟังบ้างแต่จะฟังเพลงไทยบ่อยกว่า คิดถึงเรื่องนี้จังง เมื่อไหร่ คนเขียนจะมาต่อสักที เฮ้อออ
-
เข้ามารอค่า มาต่อไว้ๆนะคะ
-
รอ รออออ
-
รออ่านต่ออยู่ครับ
-
เมื่อไรจะมาต่อละพ่อ เรานี่รอจนจะลงแดงตายอยู่แล้ว T T
-
เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ ชอบมากกกกกก :กอด1:
หมอปีย์น่ารักมากมาย แล้วจะเกี่ยวอะไรกับพี่หมอในปัจจุบันรึเปล่า
ที่ว่าพูดแบบนี้ต่อไปจะต้องเสียใจ
ประเด็นนั้นยังสงสัยอยู่เลย ตกลงพี่หมอกับแฟนเก่านั่นมันยังไงกันแน่
แล้วหนังสือเล่มใหญ่ในห้องครัวอีก เล่มเดียวกับที่หมอปีย์อ่านรึเปล่า
แล้วทำไมรูปหมอยิ้มถึงมาอยู่เรือนครัวเจ๊ชั้นได้ โอ้วมันช่างซับซ้อน55
แต่มาปล่อยให้ค้างตอนนี้ได้ยังง้ายยยยย :serius2:
-
มารอคุณเป็ดคร๊าบบ
-
รอด้วยความหวัง^^
-
อาห่อย อาห่อย
สามเดือนผ่านไป
-
ปูเสี่อนั่งจิบชาอยู่ในสวนบ้านริมน้ำของหนูวาดที่พระนคร แล้วก็นึกสงสัยขึ้นมาว่า
หมอปรีย์กับไอ่บ้า ไปทำอะไรกันที่เรือนตากอากาศของหมอจรัสกันนานแสนนาน เฮ้ออออ
รออยู่นะครับผม
-
งอ หงิก หงอย…
-
หายไปอย่างไร้ร่องรอย T^T
รออ่านอยู่นะคะ มาต่อเร็วววววววววววววววววววววววว
-
คุณเซ็งเป็ดหายไปไหน คร๊าบ
รออ่านอยู่นะครับ
-
หายเงียบไปเลยT^T
-
:mc4: ประเดิมกระทู้แรกซักหน่อย คิคิ
พร้อมกับจุดธูปเรียกวิญญาณ เอ๊ย... เรียกมาต่อได้แล่ะ :call:
-
หายไปไหนหว่าาา รออยู่น้าา :sad4:
-
หมอปีย์ พ่ออัช พวกเจ้าอยู่ไหน!!!
TT_TT กลับมาเถอะทุกคนให้อภัยแล้วนะ
-
แปะไว้ก่อนนะคะ
-
ทันแล้วโว๊ยยยยยย :mc4: :mc4:
รอ....รอ กลับมาเถิดคุณ :seng2ped: :seng2ped:
-
เป็นเรื่องราวที่มีกลิ่นอายของประวัติศาสตร์หรอคะ
น่าสนใจดีค่ะ
-
เฝ้ารอคอย เสมอๆ
ชูป้ายเรียกพี่เป็ด :seng2ped:
-
อยากอ่านแล้วอ๊ะคุณเซ็งเป็ด!!!!
งอแงๆ แล้วนะ
-
พี่คนแต่งกลับมาต่อเถอะครับ T____T
-
เงียบหายไปจริง
รออ่านต่อค่ะ ยังไงก็จะรอ
-
อ่านทันแล้ววววววว เย้ๆๆๆๆ
มาต่อเร็วๆนะคะ สนุกมากมาย
-
รอคอย เธอมาแสนนาน ทรมานวิญญาณหนักหนา
(ขุดเอาเพลงประกอบละคร แต่ปางก่อนมาเลย)
-
ยังคงรอเจ้ากลับมา
-
รอๆๆ
-
มาต่อเถอะ ครอ่านจะขาดใจตายอยู่แล้วววว :z3:
-
ไม่มาจริงอ่ะ T^T
-
คุณเป็ดนนท์ไปว่ายน้ำอยู่แถวไหนนี่
-
รอ...รอ...กลับมาเถิดคนดี :z3: :z3:
-
โหวตเซ็งเป็ดอวอร์ดให้ทั้งสองสาขาที่เข้าชิงเลยนะ เพื่อเป็นการตอบแทน จงมาต่อนิยายซะดีๆ
-
รอต่อไปครับผม T_T
-
สุดท้ายยยยย
เขาก็ไม่มาแล้วอ่ะคับ
คิดถึงคาบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
-
ปูเสื่อนอนรอจนเสื่อขึ้นราไปหลายผืนแล้ว
แต่...
ก็ยังรออยู่เจ้าคะ TT^TT กลับมาอัพเร็วนะคะ
-
กรี๊ดได้ รางวัลนิยายใช้ภาษาไทยดีเด่น ด้วยพี่เป็ด :กอด1:
ยินดีด้วยค่ะ :mc4: :mc4:
ไปรับรางวัลแล้วกลับมาต่อด้วยนะค๊า
ไม่งั้นคราวหน้าจับส่งดองเค็ม :angry2: :laugh:
:L2: :L2: :L2:
-
ข้าคิดถึงหมอปีย์กับพ่ออัชย์ยิ่งนัก รออ่านตอนต่อไปทุกเพลา :call:
-
And the best Thai Language Usage Award goes to........P' Non :3123:
But, wait !! Where the heck is he ? :angry2:
-
:3123: แสดงความยินดีจ้าที่ได้รางวัล >.<
-
:z10: เอาตัวมาแปะไว้พร้อมกับ :n1: (เกี่ยวก้อย) สัญญาว่าจะตามอ่าน...........(ทีหลัง) นะเค่อะ :a5:
-
แอร๊ย ตามทันซะที :-[
จักชวนหมอปีย์ทำอะไรเรียกเหงื่อรึพ่อ? อย่าบอกนะว่าจะวิ่งรอบหาด?
-
มารอด้วยคนนะคะ ยินดีด้วยค่ะที่ได้รางวัล^_^
-
รออ่านอยู่นะคะ
เรื่องนี้ทำให้รักเมืองไทย รักวัฒนธรรมไทยขึ้นเยอะ
แล้วก็รักพ่ออัชย์กับหมอปีย์ ยิ่งนักกกกกกกกกกกกก
มาต่อเร็วๆด้วยเถิด คุณพระเซ็งเป็ด T_T
-
อ๊ากกกกกกกก!! ค้างเติ่ง~
คนเขียนหายไปไหนค๊าาาาาาาาา
เอาหมอปรีย์กับเจ้าบ้าอัชมาคืนคนอ่านด่วน!!
เจ้าบ้าชวนหมอไปทำอะไรน่ะ
อยากได้เหงื่อหรอ แหมๆ ไม่ต้องไปไหนไกลหรอก :z1:
รอนะคะรอ อ่านรวดเดียวสองวันจนมาถึงตอนล่าสุด
มาต่อไวๆนะคะ อยากลุ้นให้อัชรับรักหมอจะแย่แล้ว :เฮ้อ:
-
กึ๊ดเติงหาหมอปีย์หนาาาาา
-
ค้างเติ่ง อัชย์อยากได้เหงื่อ O..O
เค้าเร่งอ่านแล้วนะเนี่ย เป็นเรื่องแรกที่ อ่านได้แบบไม่สะดุดไม่ขัด
หลงรักหมอปรีย์ ๕๕
ท่าจักรอไม่ไหว ซื้อหนังสือ !!!!!!
-
วู้~~~ อ่านเเบบรวดเดียวจบ อ่านสนุกไม่ขัก จริงๆวุ้ย :really2: :really2:
รู้สึกรักชาติขึ้นมาเป็นกลอง ชาติไทยไม่เเพ้ชาติใดในโลกจริงๆ
กลับมาดูตัวเอง นี้ตร....... :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:
ตอนนี้เรียนกลองชุดอยู่ กะจะไปหาโขนเรียน
เพื่อสนอง Need เรื่องนี้บอกตรงๆพี่เซ็งเป็ด
เป็กเเรงกำลังใจให้เขาเลยอ่ะ :oo1: :oo1: :oo1:
-
กลับมาต่อเถิด ข้าคิดถึงหมอปีย์และพ่ออัชญ์ยิ่งนัก :sad4:
-
อยากให้คุณเซ็งเป็ดมาอัพสถานะบอกกันบ้างคะ ว่าทำไรอยู่ ติืดธุระสำคัญ มาอัพไม่ได้ อะไรอย่างงี้
คนรอทรมานคะ เป็นกำลังใจให้นะคะ
-
รอๆๆๆๆ มาต่อสักที
คิดถึงหมอปีย์จะแย่แล้วววว
-
รอๆๆๆ นานแล้วน๊า TT
-
มารอออออออ :m15:
-
เพิ่งได้มาตามอ่านจนทันตอนล่าสุดแล้ว สนุกมากเลยครับ อยากให้กลับมาอัพไวๆครับผม
-
ยังคงรออยู่เสมอนะคับ....
-
เข้ามารอด้วยคน
-
โครตคิดถึงเรื่องนี้เลยเมื่อไหร่จะมาต่อสักที
-
กี๊ซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ
มาต่อได้แร้วค่าาาาาา อ่านรวดเดียวตั้งแต่ทุ่มนึงยันตีสอง มาต่อเร็วๆนะคะ
-
มาต่อเร็วๆนะคะ :mc4: :mc4: :mc4:
ถ้าเรื่องนี้ทำเป็นรูปเล่มจะต้องมีประโยชน์มากเเน่ๆเลยคะ :impress2:
เพราะมันเต็มไปด้วยวัฒนธรรมของชาติเราเเละเเนวคิดคติต่างๆมากมาย :L2: :L2:
ชอบหมอปีย์กับไอ้บ้ามากๆเลยคะ จะรอนะคะ :z2: :z2:
เเล้วก็ตอนจบอย่าเศร้านะคะ ถ้าจะเเยกกันก็ต้องกลับมาเจอกันนะคะ :m15: :m15:
ขอร้องน้าค่า :sad4: :sad4:
สุดท้าย เออ...ฉากอัศจรรย์จะมีมั้ยนะ :oo1: :oo1:
-
อ่านรวดเดียวจบ สนุกมากๆ อ่านแล้วก็นึกถึงคนไทยสมัยนี้ที่รับเอาวัฒนธรรมของชาติตะวันตกเข้ามา โดนไม่ได้สนใจถึงวัฒนธรรมดีงามของไทยที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ
ปล. อยากบอกว่า...ค้างอ่ะ T^T
-
อ่านเรื่องนี้แล้วนึกถึงทวิภพที่ฟลอเรนซเล่น เราชอบมากเลย เรื่องนี้ให้ความรู้สึกคล้ายๆกัน ชอบค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ
-
หายไปนานมากๆเลยยยยยยย
ฮืออออออออ
กลับมาอัพต่อเถอะ ค้างมาก เลย T^T
-
กลับมาต่อเถอะครับ นิยายดีๆแบบนี้ มีแต่คนรออ่านอยู่นะ
-
หายไปกะน้ำหรือป่าวน้าๆๆๆ กลับมาได้แล้วคับ
คิดถึงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
-
รอเหมือนเดิมเลยอ่ะคับ
-
เข้ามาแปะไว้ก่อนนะ......
เด๋วจะกับไปอ่านต่อ บอกว่าคำเดียวว่าหนุกมากๆๆ อ่านไปหิวไป
เนื้อเรื่องก้อดีอีก
-
พ่ออัชย์กลับกรุงเทพแล้วแน่เลยอ่ะ สงสัยน้ำพัดไป :sad4:
-
เย้ๆๆๆ อ่านทันแล้วจร้า.....
รอด้วยอีกคนนะคะ รีบๆ กับมาต่อเถอะคะ
คิดถึงหมอปีย์กับอัชย์แล้วนะ รวมทั้งคนเขียนด้วยคะ
-
รออยู่นะคะ สู้ๆค่ะ (:
-
เริ่มเรื่องมาได้น่าสนใจมากๆค่ะ ย้อนยุคไปไกลเลย คุณหญิงนี่เป็นย่าทวดหรือเปล่านะ แล้วก็จะมีการเลิกทาสด้วย แสดงว่าเป็นยุคของรัชกาลที่ 5 หละสิเนี่ย ปอมีซัมติงรองกับพี่หมอหรือเปล่าเนี่ย แล้วไหนจะมุกอีก
-
คิดถึง อยากอ่านอีกๆๆๆๆๆ TOT
-
หายไปนานเเบบนี้ กลับมาต่อให้อ่านเยอะๆๆด้วยนะคับ แฟนคลับรอนานนนน
-
หรือคนแต่งจะลืมไปว่ายังแต่งไม่จบ!!!
-
รักเรื่องนี้จังเลย ประทับใจในทุกๆเรื่องราว o13
-
อีก 3 วัน ก็ครบ 3 เดือนเเล้วที่ต้องทนคิดถึงหมอปีย์
-
คิดถึงหมอปีย์กับพ่ออัชย์ค่ะ รออย่างใจจดจ่อ
-
เดี๋ยววันจันทร์ จะเอามาลง ให้ครบจนจบเลยครับเลยครับ
สามเดือนที่ผ่านมา มีอะไรที่ต้องทำหลายอย่างมาก
(คนในนี้บางคนรู้ดีว่าหายไปทำไรมา อิๆ)
แต่เรื่องของหมอปีย์ กับอัชย์ยังคงวิ่งพร่านในหัว ด้วยความที่ตอนจบเรานึกไว้ออกแล้ว
เราเลยตื่นเต้นอยากเขียนต่อ แต่เพราะเหตุผลหลายๆอย่าง ทั้งเวลา งานที่ล้นมือ
งานนอก งานใน ทำให้ไม่มีเวลาเขียน
สุดท้ายไม่ไหวก็เลยลางานมาอาทิตย์นึง(น้ำท่วม) เพื่อเขียนเรื่องนี้ให้จบ
และคาดว่าจะเขียนจบภายในวันจันทร์ ที่จะถึงนี้และครับ
เรื่องราวก็จะเข้มข้นขึ้น ยังไงขอบคุณทุกคนที่ยังอุตส่าห์ติดตาม
และขอบคุณโมฯ ที่ยังไม่ย้ายกระทู้นี้ไปห้องโลกลี้ลับนะครับ
ขอบคุณครับ :กอด1:
-
เข้าใจแหละ ที่หายไปนาน เพราะอย่างนี้นี่เอง
จะรอวันจันทร์จ้ะ
-
รับทราบแล้วค่ะ
ขอบคุณนะค่ะที่แต่งต่อ
จะรออ่านนะค่ะ สู้ๆๆค่ะ
-
รอค้าบบ
-
รับทราบค่ะ จะรอเจอคุณหมอในวันจันทร์นะเจ้าคะ
-
จะกลับมาแล้วววว โอ้เย้ : 222222:
-
สามเดือนที่ผ่านมา มีอะไรที่ต้องทำหลายอย่างมาก
(คนในนี้บางคนรู้ดีว่าหายไปทำไรมา อิๆ)
.................................................................
หรือว่าที่หายไป เพราะไปแต่งงานมา :z1:
แอร๊ยยยยยย :5779: วิ่งหลบร้องเท้าเซ็งเป็ด
-
เย้ จะได้อ่านแล้ว รอ รอ รอ
-
ดีใจจัง จะรอนะจ๊ะ :z2:
-
รักคนเขียนจัง จะรออ่านนะคะ :m4: :m4: :m4:
-
เอาเต๊นท์มากาง ขนข้าวของ ขนเสบียงอาหาร มานอนรอพี่นนอยู่ในนี้ประหนึ่งผู้ประสบภัย :impress2:
-
เอาเต๊นท์มากาง ขนข้าวของ ขนเสบียงอาหาร มานอนรอพี่นนอยู่ในนี้ประหนึ่งผู้ประสบภัย :impress2:
+1 ครับ ตรงใจ
-
จะรอวันจันทร์อย่างใจจดใจจ่อเลยค่ะ!
คิดถึงหมอปีร์และพ่ออัชมากกกกกก :)
-
โอ้ว วันจันทร์สินะ รับรองว่าไม่พลาดแน่นอนครับ
-
จะได้อ่านต่อแล้ว ดีใจจังเลย คร้าบบบบบบบ
คนเขียนกลับมาแล้ว คิดถึงที่สุดดดดดดด
-
กร๊ีดกร๊าดดดดดดด
ดีใจน้ำตาแทบไหลพราก
+1 ประเดิม คิดถึงหมอปีย์กับพ่ออัชย์ที่ซู้ดดดดดดดดด
-
โอเคเลยค่ะ อันทีั่จริงเปิดมาอ่านทุกวันนะ เผื่อจะเกิดความเคลื่อนไหว ดีใจนะคะที่มาอัพต่อ ^^
-
วิ่งรอบบ้านแล้วตะโกนว่า "มาต่อแล้ว!! มาต่อแล้ว!!"
ตื่นเต้นอยากอ่านใจแทบขาดแล้วค่ะ :m11:
-
จะมาแล้วๆ :m4:
ตั้งหน้าตั้งตารอ :m3:
-
จะมาแล้ววว :-[
-
กรี๊ดดดดดดดดดด มาแล้ว
คิดถึงจังเลยยยย :กอด1:
วันจันทร์จะมาปูเสื่อรอค่า :mc4:
-
จะรออ่านนะคะ คิดถึงหมอปีย์กับอัชย์มากๆๆๆๆๆ เลยคะ
ทุกวันนี้เห็นภูเขาทองทีไรจะคิดถึงหมอปีย์กับพ่ออัชย์ตลอด เอิ๊กๆ
-
จะรอวันจันทร์นะคะ ชอบเรื่องนี้มากกก :o8: :impress2:
-
มารอ รักกหมอปีย์ที่สุดเลยยย
-
ยังรออยู่เหมือนเดิมค่ะ :กอด1:
-
ที่หายไปนาน อย่างนี้นี่เอง รอวันจันทร์นะคะ
-
ปูเสื่อรอค่า~~
-
รออ่าน...รออ่านจ้า
-
รออ่านอยู่นะคะ
อยากให้ถึงวันจันทร์เร็วๆ จังเลย
-
จะรออ่านค่ะ วันจันทร์ต้องเข้าหอพอดีเลยจะนั่งอ่านให้ตาแฉะก่อนเปิดเทอม><
-
เย้เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ กรีดร้องงง
-
หิ้วเสื่อมาปูรอ.. ^w^
-
นับเวลาถอยหลังให้ถึงวันจันทร์เร็วๆ คิดถึงหมอปีย์กับพ่ออัชย์
:m15:แอบหวังเล็กๆ ว่าเรื่องนี้คงไม่จบแบบเศร้านะ ไม่อยากร้องไห้ :m15:
-
จักเป็นข่าวดียิ่ง จะได้อ่านตอนต่อไป เป็นกำลังใจให้พี่เป็ดคับ :กอด1:
-
o13
-
กี๊ซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ รอค่ะ
-
ในที่สุด ไม่น่าเชื่อว่าความฝันของผมกำลังจะเป็นจริง
โอเค ไม่เว่อร์ละ จะรอครับๆ สู้ๆ เน่อ
-
วันนี้วันจันทร์แล้วววววววววว
ล้อเล่น อยากอ่านเร็วๆ อ่ะ555
รออ่านค่ะ สู้ๆ
-
:L2: เย้ๆๆๆๆ จะได้อ่านต่อแล้ว คิดถึงเรื่องนี้ :L2:
:pig2: :seng2ped:
-
ท่านมาต่อเราดีใจ
ใกล้จากไกล(ใกล้จบ)เราใจหาย
-
ลงทีเดียวเลยนะ...หวานตรู อิอิ
-
วันจันทร์ๆ
รอค่ะ :bye2: :bye2:
-
ขอจบไม่เศร้านะค้าบบบ กลัวร้องไห้ แหะๆๆ
รอๆๆๆๆ
-
มารอค่า ชอบมากๆ
-
http://www.youtube.com/v/xx_Zwa5f6rY?version=3&hl=en_US&rel=0
แต่บอกกับใจไม่หยุดฝัน อธิษฐานในกาลนิรันดร์ อย่าหยุดศรัทธา...สักวันคงได้พบเธอ
อีกครึ่งหนึ่งของดวงวิญญาณ...ฉันรออยู่ คนเคยรู้ใจ คนเคยรู้จัก จำฉันได้ไหม...เราเคยพลัดพรากกัน
หากเธอกับฉันสวนทางกัน...ในความฝัน อยากให้สายตาเราได้จ้องกัน และให้เธอบอกฉัน...ว่าฉันข้ามเวลาเพื่อมาพบเธอ
-
ปูเสือรอพรุ่งนี้แล้วเย่
-
และแล้ววันที่รอคอยกะมาถึง :impress2: :impress2: :impress2: มารอ ๆ ๆ
-
เอ๊ะเอ เหมือนว่าวันนี้จะมีอะไรน้า
สงสัยจะเป็นเย็นๆดึกๆ
-
วันจันทร์แล้ว รออยู่ค่าาา ^^
-
รอร๊อรอ
-
จะจบแล้วหรอ เสียดายจัง
รออ่านต่อครับ
-
วันนี้วันจันทร์ :mc4:
รอๆๆๆๆ
-
o22 ยังไม่มา o22
:mc4: รออยู่นะคร้า :call:
-
เย้ๆ วันจันทร์แล้ววว มาปูเสื่อรอค่าา
-
เข้ามารอเหมือนกันค่ะ.
ขอบคุณคุณเซ็งเป็ดนะคะ. :กอด1:
-
นั่งเฝ้าหน้าคอมรับการกลับมาของคุณเซ็งเป็เ :impress2: :impress2:
-
เข้ามานั่งรอ^^
-
มาปูเสื่อ ตั้งแคมป์ รอ ^^♥
-
อ๊ายยย รอค่ะ ><
-
รอด้วยคนจ้ะ
-
วันนี้ก็รอเหมือนเดิม
-
วันจันทร์แล้วจ้า
มารอแล้วนะ ^^
-
รอ รอ รอ :call: :call:
-
รอ ร้อ รอ ปูเสื่อ รอ
-
แสงตะเกียงเจ้าพายุ สาดส่องนำทางเราสองคนไปทั่วพื้นทราย หัวใจที่เร่งเร้าบอกให้เท้าทั้งเดินถอยหลังในขณะเดียวกันก็สั่งให้เดินหน้า ผมไม่รู้ว่ากำลังคิดจะทำอะไรอยู่ จู่ๆความคิดบ้าๆนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรก็ไม่รู้
หมอปีย์เดินตามหลังผมมาอย่างเงียบๆ
“หมอ” ผมวางตะเกียงลงบนพื้นทราย หมอปีย์เองยืนมองผมอย่างไม่เข้าใจ
“ฟังชั้นนะหมอ” ผมเดินเข้าไปใกล้ๆเขา ยื่นมือไปรับตะเกียงจากมือเขาก่อนจะวางลงกับพื้นทราย
“มันยากสำหรับชั้น ที่จะยอมรับความรู้สึกตัวเอง” มือทั้งสองข้างจับมือหมอปีย์
“นายชกชั้นทีเถอะ” ก่อนจะยกมือของเขาแตะที่ใบหน้า แววตาของหมอปีย์แน่นิ่ง ผมเห็นเพียงแสงตะเกียงวิบวับอยู่ในตาเขาเท่านั้น
“ทำให้ชั้นรู้ว่านายแข็งแกร่งกว่าชั้น หนักแน่นกว่าชั้น แน่วแน่กว่าชั้น ทำให้ชั้นรู้ว่านายอยู่เหนือชั้น ชกชั้นสิหมอ” ผมกำมือเขาแน่นขึ้น แต่หมอปีย์ยังคงนิ่งเฉย เขายืนตัวแข็งราวกับหินสลักโรมัน
“ชกชั้น” ผมขึ้นเสียง
“ชกชั้นสิ” ผมตวาดลั่น
“ทำไม่ได้ เราทำไม่ได้” เขาดึงมือกลับ
“นายต้องทำหมอ ถ้านายอยากให้ชั้นยอมรับ นายต้องชกชั้น”
.
.
.
.
.
.
.
เราทั้งคู่ยืนเผชิญหน้ากัน เสียงคลื่นกระทบฝั่งดังเร่งเร้า ลมทะเลพัดแรงจนเสื้อหมอปีย์สะบัดไปตามแรง แสงตะเกียงทำหน้าที่ของมันอย่างแข็งขัน
แต่เราสองคน กลับเงียบเฉย
“เจ้าคิดจักทำอันใดของเจ้า”
“ผั๊วะ!!!” หมัดลุ่นๆซัดเข้าไปที่ใบหน้าของหมอปีย์จนหน้าเขาหันไปตามแรง หมอปีย์หยุดค้างไปชั่วครู่ๆ
ส่วนผมนั้น ไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดภายนอกเลยแม้แต่น้อย เพราะตอนนี้ ภายในของผมร้อนรุ่มดั่งไฟเผา
“ทีนี้นายจะชกชั้นได้รึยัง” ผมท้า
แต่เหมือนหมัดที่ผมซัดไปไม่ได้ทำให้หมอนั่นแค้นเคืองขึ้นมาเลย เขายังคงยืนนิ่งเฉย เย็นชา
“ผั่วะ!!”
“จะชกมั๊ย”
“ผั๊วะ!!”
“ชกสิเว้ย ไอ้หมอ ชกกูสิวะ”
“ผั่วะ!!”
“ชกสิ หมอ ชกชั้นที ชกให้ชั้นรู้สักทีว่าชั้นก็ยังมีหัวใจ” ผมปล่อยโฮ ออกมาอย่างสิ้นหวัง น้ำตาแห่งความสับสนไหลบ่าไม่ขาดสาย บางทีการที่เราทำอะไรบ้าๆไปก็ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล เหมือนที่ผมทำครั้งนี้ ผมยังตอบตัวเองไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าผมทำไปเพื่ออะไร
“ผั่วะ!!” เสียงวิ้งๆพร้อมสายลมแล่นผ่านใบหน้าใบอย่างรวดเร็ว ความแรงของลมทำให้ผมต้องหันหน้าตาม สักพัก ผมถึงได้รู้สึกถึงความรู้สึกตุบๆที่มุมปาก และรับรู้ถึงของเหลวที่อยู่ในปาก
“เจ็บ” นี่คือความรู้สึกสุดท้ายที่เกิดขึ้นกับผม
ผมหันหน้ามาช้าๆ ภาพหมอปีย์ยืนกำหมัดแน่น เขาขบฟันกรอดจนกรามขึ้น เหงื่อผุดขึ้นใบหน้า แววตาดูแข็งกร้าว ผมไม่เคยเห็นหมอเป็นแบบนี้มาก่อน
“ผั๊วะ!!!” ย้ำรอยเดิม หมัดของหมอปีย์ซัดเข้าตรงมุมเดิมเป๊ะ จากความรู้สึกเจ็บเมื่อครู่ ตอนนี้ผมชักยั๊วะขึ้นมาแล้ว ไอ้บ้า กูให้มึงชกกูทีเดียว แม่งเล่นเบิ้ลเลยหรือวะ
คราวนี้เป็นผมที่กัดฟันกรอด เราทั้งคู่กัดฟันกรอด ดูเหมือนเราจะกลายเป็นวัวป่าที่พร้อมจะพุ่งชนเข้าหากัน
สายลมพัดแรงขึ้น ใบหูกวางใบสุดท้ายร่วงหล่น และทันทีที่มันแตะพื้น ก็เป็นเหมือนสัญญาณให้การต่อสู้ของลูกผู้ชายครั้งนี้.....เริ่มขึ้น
-
มานั่งรอด้วยคนจ้า
**************
หวังว่าเขาคงไม่ได้มาคั่นนะ เขาไม่ได้ตั้งใจ
-
“อ๊ากกกกซ์” ผมกระโจนเข้าหาหมอนั่นอย่างแรง หมอปีย์ก็อยู่ในท่าตั้งรับ เสียงปั๊กดังขึ้นเมื่อหน้าอกของเรากระแทกกันอย่างแรง
หมอปีย์กอดรัดฟัดเหวี่ยงผมในขณะที่เสียงคำรามของเขาดังหึ่มๆอยู่ข้างหู ผมเองก็ไม่ลดละ พยายามที่จะใช้หมัดทุบหลังเขา
การชกต่อยครั้งนี้ไม่ใช่เพราะเราโกรธ หรือเกลียดกันแต่ชาติปางไหน แต่สำหรับเรามันคือการได้ปลดปล่อยความรู้สึกที่อัดอั้นมานานตั้งแต่เราทั้งคู่ได้เจอกัน หมอปีย์ต้องต่อสู้กับกรอบประเพณี และวัฒนธรรมความถูกต้องในยุคของเขา ส่วนผมต่อสู้กับกรอบความคิดและจิตใจที่มัดแน่นอยู่ภายใน
เมื่อผมหาทางปลดปล่อยความอึดอัดเหล่านั้นออกมาไม่ได้ การได้ทำอย่างนี้ก็เหมือนจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
“ผั๊วะ” หมอปีย์ซัดหมัดลุ่นๆเข้าที่ใบหน้าผมอีกหมัด พร้อมๆกับที่ผมซัดหมัดที่กำแน่นเข้าที่ท้องน้อยของเขา เราทั้งคู่ล้มตึงลงบนพื้นทรายทันทีที่มัดของเราละออกจากกัน
.
.
.
.
.
.
.
.
ไม่มีเสียงอื่นใดนอกจากเสียงคลื่นกระทบหาด และเสียงหอบหนักหน่วงของเรา เหมือนเราทั้งคู่จมดิ่งลงในทะเล และกำลังจะขาดหายใจ ลมหายใจเฮือกสุดท้ายกำลังจะหมด แต่แล้วปาฏิหาริย์ก็ทำให้เรามานอนหายใจแย่งอากาศกันอยู่บนหาดยังไงยังงั้น
.
.
.
.
“เจ็บมั๊ยหมอ” ผมถามเมื่ออาการหอบค่อยๆคลายหายไป
เขาไม่ตอบ แต่ผมรู้ดีว่าต้องเจ็บแน่ๆ
“นายเคยต่อยกับใครแบบนี้รึเปล่า......ชั้นนะ เมื่อก่อนมีเรื่องชกต่อยแทบทุกวัน ไม่ได้ทำแบบนี้มานาน พอได้ทำก็ดีเหมือนกันนะ” ผมหัวเราะ
“บอกเราได้รึยัง ว่าทำเยี่ยงนี้ทำไม” หมอปีย์ถาม
ผมนิ่งเงียบไปพักใหญ่
“ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากจะพิสูจน์อะไรบางอย่าง”
“พิสูจน์?” เขาทวนคำ
“ใช่ ชั้นแค่อยากรู้ว่าชั้นจะยังเป็นลูกผู้ชายได้อยู่อีกหรือไม่ ในเมื่อหัวใจของชั้นมัน..............................”
จู่ๆหัวใจผมก็เต้นโครมครามๆ
“หัวใจของเจ้ามันทำไม” หมอปีย์ลุกขึ้นมานั่งมองผม ใบหน้าของเขาดูไม่จืดเลยทีเดียว
“หัวใจของเจ้าทำไม พ่ออัชย์” ดูเขาตื่นเต้นเป็นพิเศษ
“หัวใจของชั้นมันเสือก...............เอ่อ เอ่อ”
เลือดในกายสูบฉีด อย่างแรงจนเกินจะควบคุม ลมหายใจพ่นออกมาเหมือนหวูดรถไฟ
“เสือกรักผู้ชาย..................อย่างนายนะสิวะ ไอ้หมอเชี่ย” ผมสบถ
เหมือนฝัน เหมือนฝันที่ผมพูดคำนั้นออกมาได้ในที่สุด ทันทีที่พูดออกมา มันก็รู้สึกได้ว่า
“เออแหะ ไม่เห็นจะยากเลยนี่หว่า” ผมโล่งอก โล่งใจอย่างบอกไม่ถูก ความกลัว ความละอายที่คิดว่าจะมี กลับไม่มีแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะผมได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า ถึงแม้ผมจะรักผู้ชายแต่ผมก็ยังเป็นผู้ชาย
ตอนนี้เหลือแต่รอยยิ้มที่รู้สึกเจ็บจี๊ดๆที่มุมปากเท่านั้นที่เปื้อนใบหน้า
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“หมอ หมอ” ผมเรียกหมอ เมื่อเห็นว่าเงียบไปนาน
“หมอ สิ้นใจตายไปแล้วเหรอ”
ผมหันไปมองเขา ร่างของเขานอนแผ่หราบนหาดทราย รอยยิ้มและประกายในดวงตาทำให้ผมรู้ว่า เขาก็มีความสุข
“พ่ออัชย์” เขาเอื้อมมือมาจับมือผม แต่ไม่ยอมหันหน้ามา
“ปากหนักนักนะเจ้า กว่าจะง้างปากออกมาได้ ทำเราปางตาย” หมอปีย์หัวเราะเต็มเสียง มือกำมือผมแน่น
“อูย ซี๊ด” เขาเอามือแตะริมฝีปากพลางร้องโอดโอยเพราะหัวเราะมากเกินไป “เจ้าเอ่ยคำรักออกมาแล้ว ห้ามคืนคำ สาบานต่อหน้าพระจันทร์สิว่า คำที่เจ้าเอ่ย คือคำที่มาจากใจ”
“เออ เรื่องมากจริง” ผมถอนหายใจ “สาบาน สาบานว่าผม นายอัชย์ รักหมอบ้าที่นอนพะงาบๆอยู่ข้างๆตั้งแต่ครั้งแรกที่อยู่ในอ้อมกอดเขา ไม่สิ จริงๆแล้วรู้สึกวูบวาบที่ท้องตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้าเขา ไม่รู้ว่าเวรหรือกรรมที่ทำให้ให้เป็นแบบนี้ แต่จันทร์เอ๋ย ผมสาบานว่าผมรักเขา.....จริงๆ”
(http://image.free.in.th/x/i/is/original_fullmoonoverthesea.jpg)
-
ความจริงแล้วถ้าผมทำตามความรู้สึกตัวเอง ผมคงจะบอกรักหมอนั่นไปนานแล้ว ผมไม่ได้รังเกียจที่หมอนั่นเป็นผู้ชาย ไม่ได้รังเกียจแม้แต่น้อย เพียงแต่ผมไม่อยากจะรักมัน เพราะว่าหากวันหนึ่งผมต้องตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองต้องนอนคนเดียวในยุคปัจจุบันที่ผมจากมา คราวนี้ หัวใจผมคงแหลกละเอียดเป็นแน่
“กลับขึ้นเรือนกันเถิด น้ำค้างลงแรง เดี๋ยวจักพาลไม่สบายเอาอีก” หมอปีย์ลุกขึ้นยืน เขาก้มลงมองผมที่นอนแผ่หราด้วยแววตาที่เอ่อไปด้วยความสุข
“ชั้นยังอยากนอนตรงนี้อยู่เลยว่ะ หมอ สบายดี” ผมหลับตาพริ้ม รู้สึกเหมือนตัวเองเบาหวิว
“ไปกันเถอะ”
แต่แล้วผมก็กลับเป็นฝ่ายลุกขึ้นและเดินนำหน้าหมอนั่นขึ้นเรือน
“เจ็บมั๊ยหมอ ชั้นขอโทษนะที่ซัดนายซะหลายหมัด” ผมนั่งลงตรงหน้าเขา พลางเอามือแตะมุมปาก
“เจ้าก็เจ็บมิน้อยกว่าเราดอก รู้มั๊ย พ่ออัชย์ ตั้งแต่เจ้าเข้ามาในชีวิตเรา โลกที่เคยเงียบสงัดของเราก็ไม่เคยเหมือนเดิมเลยแม้แต่วันเดียว เจ้าทำให้เราหัวเราะ ทำให้เราปวดหัวบ้างบางเพลา ทำให้เราเป็นห่วง ทำให้เราหวง ทำให้เรารู้ว่าเราพร้อมจะตายแทนคนๆนึงได้อย่างจริงใจ” เขาพูดไม่หยุด
“หมอ” ผมมองตาของเขาที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ เมื่อต้องแสงเทียน
“ชั้นขอจูบนายได้มั๊ย”
ผมไม่มีคำพูดสวยหรูแบบเขา ไม่รู้จะบรรยายพรรณนาความรู้สึกตัวเองอย่างไร แต่ตอนนี้ผมมีเพียงอย่างเดียวที่จะทำให้หมอปีย์รู้ว่าผมรู้สึกอย่างไร และอยากจะขอบคุณความหวังดีที่เขามีให้ตลอดมา สิ่งเดียวที่ผมจะตอบแทนและสื่อแทนคำพูดได้ นั่นก็คือสิ่งนี้
หมอปีย์แย้มรอยยิ้มบางๆ มันทำให้หัวใจของผมแทบจะละลายไปทันทีที่ต้องลมหายใจของเขา
“ผู้ชายอะไรวะ น่ารักชิบหาย” ผมนึกในใจแล้วจึงเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวเหมือนกัน
เพียงสบเนตร............เนตรสบก็พบรัก
เพียงพบพักตร์.............พักตร์พบกันใจพลันเผลอ
เพียงบอกรัก...............รักบอกใจให้ละเมอ
เพียงแต่เพ้อ.....................เพ้อหลงใหลใจพะวง
“เจ้าบ้า”
“หึ”
“จักจ้องเราอีกนานไหม”
“แป๊บนึง”
.
.
.
.
.
.
“เจ้าบ้า นานแล้วนะ”
“เออ แป๊บนึง”
“หน้าเรามีอะไรรึ เจ้าถึงจ้องเอาจ้องเอา”
“ก็ตานายสวยนี่หว่า ชั้นอยากจ้องนานๆ”
.
.
.
.
.
.
“เจ้าบ้า”
“หือ”
“ถ้าเจ้าไม่จูบเรา เราจักจูบเองแล้วนะ”
ว่าแล้วหมอปีย์ก็ค่อยๆโน้มตัวลงมา ใบหน้าของเขาแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด
“หึ” ผมร้องในลำคอเบาๆ ตาเบิกโพรงทันทีที่ริมฝีปากของหมอนั่นประทับรอยบนริมฝีปากของผม ไม่มีจูบอันดูดดื่ม อย่างที่ผมเคยทำกับหญิงสาวมากหน้าหลายตา ไม่มีการแลกลิ้น แลกน้ำลาย ลิ้นพันใดๆทั้งสิ้น
แค่ริมฝีปากของเราทั้งคู่สัมผัสกันปล่อยให้ลมหายใจของเรากอดรัดกันไปมา แค่นั้น
แต่เพียงเท่านั้นก็ทำให้อารมณ์กระเจิดกระเจิงไปถึงไหนต่อไหน ผมรู้สึกได้ว่าหน้าแดงโดยเฉพาะใบหู มันเคยแดงแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้มันแดงกว่านั้นมาก หัวใจเต้นแรงเหมือนกลองสะบัดชัย ลมหายใจเร่งเร้าที่ผมพยายามอย่างหนักเพื่อจะควบคุมไม่ให้มันแรงไปจนทำให้หมอนั่นรู้สึกว่าผมตื่นเต้น
“เป็นอย่างไร” เขาถอนรอยจุมพิตออกมาในขณะที่ผมกำลังหลับตาพริ้ม
“เอ่อ” ผมทำหน้าไม่ถูกรู้สึกเขินขึ้นมาอย่างฉับพลัน “ไม่รู้สึกอะไรเลยว่ะ ขอลองอีกครั้งได้ป่าว”
เป็นอีกครั้งที่เขาโน้มตัวใช้ริมฝีปากแตะริมฝีปากผมอย่างเนิ่นนาน
ก่อนที่เขาจะถอนริมฝีปากออกก่อนจะเอียงคอแสดงสีหน้าคล้ายจะถามว่าคราวนี้เป็นยังไง
“อืม แปลกๆว่ะหมอ ไม่รู้สึกอะไรเลย หรือว่า ชั้นจะไม่ได้.............................ฮึบ” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ หมอปีย์ก็ประกบปากอีกครั้งแต่ครั้งนี้รุนแรงและ..............ดูดดื่ม
ดูดดื่มจนยากที่ผมจะนิ่งเฉยปล่อยให้เขาบดขยี้ริมฝีปากผมโดยที่ผมไม่ตอบโต้อะไรเลย
-
เราทั้งคู่จมดิ่งลงสู่เบื้องลึกของภวังค์ที่หมุนวนลงไปเบื้องล่างราวกับไม่มีวันสิ้นสุด มีเพียงเราสองคนเท่านั้นในห้วงอากาศที่เปลือยเปล่า ลมแห่งสิเน่หาพัดพาเอาไอเย็นอย่างรุนแรงเข้าใส่เรา จนเราทั้งคู่ต้องกอดก่ายกันจนไม่เหลือช่องว่าง แต่เมื่อไอเย็นพัดผ่าน ไอร้อนก็แผ่ซ่านตามมาโอบล้อมเราไว้จนต้องถอดเสื้อผ้าอาภรณ์ออก
เมื่อไม่มีอาภรณ์ห่อหุ้มร่าง ก็ไม่ต่างจากทารกแรกเกิด ผมไม่เหลือความคิดแบ่งแยกชายหญิงอีกต่อไป คนที่อยู่เบื้องหน้า เขาไม่ใช่ผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิง ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น แต่เขาคือคนที่กำลังฉุดผมดำดิ่งสู่ทะเล.....ทะเลแห่งอารมณ์
เกินใจ จะเก็บ กลั้นอารมณ์
ดั่งสายลม ปรารถนา เจ้าเพรียกพร่ำ
ทะเลโลม ละเลียด ผืนนหาดดำ
ละเลงน้ำ ไล้ลูบทั่ว อณูทราย
แทรกซึม ซอกซอน ทรายทุกเม็ด
กระฉูดเกล็ด เม็ดฟองขาว กระเซ็นกระสาย
โหมกระหน่ำ ยามเจ้าคลั่ง แทบวางวาย
ก่อนสยบ ซบซอกสลาย แนบฟากฝั่ง
แล้วน้ำนั้น ก็ไหล ย้อนลงมา
ก่อนจะถา โถมเข้า ไปอีกครั้ง
ผาแกร่ง เจ้าซอกซอน จนเจียนพัง
โอ้...มิอาจ หยุดยั้ง ยังพรั่งพรู
ทะเลคลั่ง หรือไร ใจเจ้าเอ๋ย
จึงสาดเลย เกยเกิน ก้องเสียงกู่
แนวหญ้านั้น ชุ่มน้ำ แน่นอณู
พรายฟองฟู เปลื้องอาภรณ์ แห่งอารมณ์
จึงหยิบแก่น กฤษณา ข่มขีดเขียน
ละเลงผืน ทรายนวลเนียน ด้วยสุขสม
บทกวีไร้ ฉันทลักษณ์ อันรื่นรมณ์
กดแก่นข่ม กรีดร่อง รอยทะเล
ทะเลคลั่ง สร้างผืนทราย ให้งดงาม
ฟ้าสีคราม หลังฝน เจ้ากล่อมเห่
บางเวลา บางอารมณ์ เช่นทะเล
บางทุ่มเท รับใช้ ทะเลอารมณ์ ทะเล...ใจ
(http://image.free.in.th/z/ij/1205422577.jpg)
-
:กอด1:
-
เช้าวันใหม่ที่อะไรๆจะไม่เหมือนเดิม ผมหลับตาพริ้มทั้งๆที่ตื่นนอนมาได้ครู่ใหญ่แล้ว จินตนาการถึงความรู้สึกที่มีมือของใครคนหนึ่งโอบกอดผมไว้อย่างแผ่วเบา เขาคงประคองกอดผมอย่างรักใคร่ ที่ผมได้อบอุ่นอยู่ตอนนี้คงเพราะอ้อมกอดของเขา หมอปีย์แน่ๆ
“ไอ้หมอ!!!” มันโรแมนติกมาก เมื่อเราหลับตาและจินตนาการ แต่เมื่อลืมตาขึ้น แม่ง กลับคนละเรื่อง
ผมตะโกนใส่หมอปีย์เมื่อพบว่าอ้อมกอดที่ผมพร่ำเพ้อนั้นกลับกลายเป็น
“มึงบ้ารึป่าว เอาขามาพาดคอกูแบบนี้ คิดว่ากูเป็นจา พนมรึไงวะ” ผมจับท่อนขาอันหนักอึ้งและปกคลุมไปด้วยขนหน้าแข้งอันรกครึ้มของหมอปีย์โยนออกไปก่อนที่จะลุกขึ้นนั่งมอง
“อ้าว” และพบว่ากลายเป็นผมเองที่นอนดิ้นจนมาอยู่ปลายเตียง
“นอนกันอีท่าไหนวะ”
“ตื่นแล้วรึ” หมอปีย์ลุกขึ้นมาถาม
“ยัง หลับอยู่มั้ง” ผมตอบกวนโมโห
“ตื่นมาก็ปากเก่งเลยนะ เมื่อคืนไม่ได้เห็นจักเก่งแบบปาก”
“อะไรๆ ไอ้หมอ พูดอะไร เดี๋ยวโดน”
ชาวบ้านที่ทำหน้าที่ดูแลบ้านแวะมาในสายของวันนั้น เขาแปลกใจที่เห็นมีคนอยู่ที่บ้าน หมอปีย์อธิบายเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังพร้อมทั้งมอบหมายหน้าที่ให้เขาเอาความไปแจ้งทางพระนครว่าไม่ต้องเป็นห่วง จะกลับไปในอีกไม่กี่วัน
หมอปีย์กับผมอยู่บ้านหลังนี้ในบ่ายที่อากาศดีวันนั้น เขารื้อเอาสัมภาระที่ฝากไว้กับบ่าวในครั้งแรก พร้อมทั้งเอาเอกสารออกมาแปลโดยมีผมนอนเด็ดลูกหวายที่ลุงคนเฝ้าบ้านเก็บมาฝากโยนเข้าปาก ผมไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของสถานะที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเลย
ไม่มีความรู้สึกอะไรพิเศษ นี่นะเหรอ ที่บอกว่าเป็นแฟนกับผู้ชาย มันก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดที่หว่า อย่างน้อยก็ไม่เห็นมีอะไรต่างไปจากตอนที่เป็นเพื่อนกันเลย
ผมหันไปมองหมอนั่นอีกครั้ง ในโหมดเคร่งขรึม ดูจริงจังแน่วแน่กับงานที่เขากำลังทำอยู่ คิ้วที่สองขมวดเข้าหากัน ปากที่เม้มเป็นระยะๆ ดูเขาจะเคร่งเครียดเกินไปรึเปล่า
“หาทางคลายเครียดให้เขาหน่อยดีกว่า” ว่าดังนั้นแล้วจึงเด็ดลูกหวายมาลูกหนึ่งก่อนจะปาใส่เขา พลางแกล้งหลับ
หมอปีย์เงยหน้ามามอง แต่ก็ไม่พูดอะไร
ผมได้ใจจึงปาไปอีกหลายครั้งแล้วแกล้งหลับ
“อย่ามัวแต่เล่นอยู่เลย มาช่วยเราแปลเอกสารพวกนี้หน่อยเถิดพ่อ มันล่าช้ามาหลายเพลาแล้ว”
“โห หมอ นี่เรามาพักผ่อนนะเว้ย ยังจะหอบงานมาอีก” ผมบ่น
“เรามีเวลาพักผ่อนอีกมาก แต่คนป่วยเขาไม่มี อย่างเดียวที่รอพวกเขาคือความตาย”
เมื่อหมอปีย์พูดมาถึงประโยคนี้ ภาพของแดงก็ฉายเข้ามาในแววตา ผมหลับตา ก็ยังนึกถึงหน้าแดงตอนที่เงยหน้ามองผมได้อย่างชัดเจน
“ก็ได้ ไหนหล่ะ จะให้แปลอันไหน” ผมนั่งลงใกล้ๆเขา หยิบเอกสารตำราเก่าๆสีซีดๆมาแผนหนึ่งก่อนจะเริ่มต้นแปล
เวลาคงจะล่วงไปจนเย็นหากไม่มีป้าซึ่งเป็นภรรยาของลุงคนเฝ้าบ้านเดินขึ้นมาบนเรือนพร้อมปิ่นโต
“พักกินข้าวกินปลากันก่อนเถอะจ๊ะ พ่อหนุ่ม” ผมเงยหน้าไปมองทันทีที่ได้ยินเสียงและได้กลิ่นอาหารในปิ่นโตที่โชยออกมา
หมอปีย์ละสายตา วางปากกาหมึก ก่อนจะบิดขี้เกียจ
“อ้ายกล่ำมันอาสานั่งเรือไปแจ้งข่าวให้ที่พระนครน่ะ เห็นว่าพรุ่งนี้เช้าก็คงจักได้ความ” หล่อนว่า
“ข้าวางปิ่นโตไว้ตรงนี้แหละนะ” ก่อนจะวางปิ่นโตและหม้อหิ้วใบสีเขียวไว้บนโต๊ะไม้
“หมอ ทำไมป้าแกไม่จัดการจัดสำรับให้เราหล่ะ” ผมถามเมื่อเห็นว่าผู้หญิงแก่คนนี้ไม่เหมือนบ่าวไพร่คนอื่น
“ป้าแกมิใช่ทาสมิใช่บ่าว แกเป็นชาวบ้านที่หมอจรัสไหว้วานให้ดูแลเรือน” หมอปีย์ว่า พลางลุกขึ้นไปหยิบปิ่นโตและหม้อหิ้ว
“อ้าว ชั้นนึกว่าคนไทยถ้าไม่เป็นเจ้านายก็เป็นทาสเสียหมด”
“ไม่หมดดอก ชาวบ้านแถวนี้เขาทำประมงหาปูหาปลาเลี้ยงตัว มิจำเป็นต้องเป็นทาสใคร”
“เหรอ” ผมพยักหน้าเข้าใจ
มือเที่ยง ไม่สิ มื้อบ่ายของเราถูกทำให้หายไปอย่างรวดเร็วราวกับลมพัด บ่ายวันนั้นผมใช้เวลาส่วนใหญ่นอนเล่นกลิ้งไปกลิ้งมา เพราะแดดยามบ่ายก็ร้อนเสียจนเกินจะเดินเล่น
หมอปีย์เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานของเขา เหมือนกับวันเวลาที่เขาติดอยู่ที่เรือนหลวงบ้านั่น ทำให้เขาเสียเวลาทำงานไปค่อนชีวิตอย่างนั้นแหละ
ผมเฝ้ามองเขาเม้มปากไปมาอยู่พักใหญ่ จนเผลอหลับไปในที่สุด
.........................................................................................
ความฝันเรื่องเดิมที่หายไปนานกลับตามมาหลอกหลอนผมอีกครั้ง ผมกำลังจะดำดิ่งลงสู่ก้นแม่น้ำที่ดำมืด มือของหมอปีย์เอื้อมลงมา ผมหวังว่าเขาจะช่วยดึงมือผมขึ้น แต่เปล่าเลย เขากลับกดหัวผมให้ยิ่งจมดิ่งลงไปในสายน้ำที่หนาวเหน็บ
“หมอ อย่า!!!” ผมตะโกนสุดเสียงพร้อมสูดลมหายใจเฮือกสุดท้าย มือคว้าไปทั่วจนได้สัมผัสเข้ากับมือคู่หนึ่ง
“อัชย์ พ่ออัชย์ เป็นอะไรรึ” ผมลืมตาขึ้นมองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ และเกือบจะพลั้งปากถามว่าทำไมเขาถึงได้ทำแบบนั้นกับผม
“เปล่า หมอ แค่....................ความฝันน่ะ”
-
ผมหมกมุ่นอยู่กับความฝันนั้นตลอดทั้งวันหลังจากนั้น ความกลัวที่อยู่ในใจลึกๆที่เมื่อคืนได้ถูกหมอปีย์ทับถมมันไว้ลึกก้นบึ้งในใจ แต่ตอนนี้มันกลับพุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง
“ถ้าชั้นต้องจากที่นี่ไป ชั้นจะทำยังไง หมอ”
ตลอดระยะเวลาสามวันที่ผมใช้ชีวิตร่วมกับหมอปีย์ ณ ที่แห่งนั้น เป็นเวลาที่ผมมีความสุขที่สุดตั้งแต่เกิดมาบนโลกนี้เลยก็ว่าได้ มันเหมือนกับว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ความสุขที่ผมพบเจอล้วนแต่จอมปลอม เป็นความสุขเรี่ยรายปลายทางก่อนที่จะเจอความสุขที่แท้จริง
ทุกค่ำคืน
ทุกรุ่งเช้า
ทุกก้าวย่าง
ทุกคำพูด
มีแต่ผมกับหมอปีย์
สถานะความเป็นคนรักของเราแทบไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะหมอปีย์เองก็มีกรอบของเขา ส่วนผมเองก็มีกรอบของผมเอง เราทำอะไรถึงต้องระมัดระวังไม่ให้ประเจิดประเจ้อกว่าปกติ
ชีวิตประจำวันของผมหมดไปกับการช่วยหมอปีย์แปลเอกสารที่เขาอุตส่าห์หอบมาจากพระนคร คำศัพท์บางคำผมก็แทบจะไม่รู้จักและไม่เคยเห็นเลย
“สมัยชั้นนะ สบายมาก ไม่รู้อะไรถามอากู๋ได้คำตอบหมด” ผมส่ายหัวไปมา เพราะเหนื่อยกับการต้องเดาสุ่มศัพท์ทางเทคนิคการแพทย์
“ผู้ใดคืออากู๋”
“ก็กูเกิ้ลไง เป็นช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆที่ไม่ว่าเราจะใส่อะไรลงไปมันก็จะมีคำตอบให้เราเสมอ ผิดบ้างถูกบ้าง แต่ก็มีประโยชน์” ผมอธิบายให้เหมอปีย์เข้าใจง่ายๆ
“อ้อ พวกหมอผีหมอดู” เขาตอบตาใส
ผมหัวเราะขำในความช่างคิดของเขา
นอกจากใช้เวลาหมดไปกับการแปลงานและกวนประสาทหมอปีย์คลายเครียดเป็นพักๆแล้ว ผมยังถือโอกาสเดินไปบ้านของลุงกับป้าที่ดูแลบ้านหลังนี้ ไปช่วยป้าทำกับข้าว ได้เรียนรู้เคล็ดลับและสูตรอาหารพื้นบ้านหลายๆอย่าง และทุกครั้งผมก็จะกลับมาจดสูตรกันลืมไว้เสมอ
“เจ้าชอบดูพระอาทิตย์ตกรึ” หมอปีย์เดินมานั่งลงใกล้ๆผม ขณะที่ผมทิ้งตัวลงบนพื้นทรายอุ่นๆ ทอดสายตามองออกไปไกลเท่าที่สายตาจะมองเห็น
“ มั้ง” ผมตอบสั้นๆ เพราะไม่รู้ว่าจริงๆแล้วตัวเองคิดอย่างไรกับพระอาทิตย์ตกดิน ผมไม่ใช่พวกเพ้อฝันพรรณนา จินตนาการเปรียบเปรยอะไรมากมาย พระอาทิตย์ตกดินก็คือพระอาทิตย์ตกดิน มันไม่มีทางเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปได้
“เราชอบพระอาทิตย์ขึ้นมากกว่า” เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ผมกับหมอนั่นรู้สึกไม่เหมือนกัน
“ทำไม”
“เหมือนชีวิตใหม่กำลังเริ่มขึ้น”
“แล้วพระอาทิตย์ตกดินหล่ะ”
“เหมือนการสิ้นสุดลงของชีวิต”
“เฮ้อ......................” ผมถอนหายใจ
“เจ้าถอนหายใจหลายครั้งแล้วนะวันนี้” หมอปีย์ตั้งข้อสังเกต
“มีอันใดไม่สบายใจกระนั้นรึ”
“ทุกครั้งที่พระอาทิตย์ตกดิน มันหมายถึงการสิ้นสุดไปอีกวันหนึ่งของชีวิต...............ใช่มั๊ย” ผมถาม
หมอปีย์นิ่งไปครู่หนึ่ง
“คงงั้นกระมัง” เขาทอดสายตามองไปข้างหน้า สายลมอ่อนๆพัดมาลูบไล้ใบหน้าเราอย่างแผ่วเบา
“นั่นคงเป็นสัญญาณว่าเวลาของชั้นสำหรับที่นี่ คงน้อยลงไปด้วย” น้ำเสียงของผมเจืออารมณ์อ่อนไหว
“เจ้าอยู่ที่นี่ตลอดไปไม่ได้รึ” หมอปีย์พูด
“ไม่รู้สิหมอ ชั้นรู้สึกนะ รู้สึกตลอดเวลาว่าการที่ชั้นมาที่นี่ มันมีบางอย่างที่ชั้นต้องทำ หมดภาระชิ้นนั้นชั้นก็คงต้อง.......................”
“เราไม่ให้เจ้าไป ไม่ให้เจ้าไปไหนทั้งนั้น” หมอปีย์พูดน้ำเสียงแน่วแน่ “เรารอเจ้ามาค่อนชีวิต ค่อนชีวิตเชียวนะ พ่ออัชย์”
“ถ้ามันลิขิตสวรรค์ นายจะทำอะไรได้วะ เป็นแค่หมอนะเว้ย อย่าลืม” ผมแซว แต่ก็ยังเศร้าใจเมื่อคิดถึงวันนั้น
“เจ้าคอยดูแล้วกัน เจ้าบ้า”
“เออ จะคอยดู”
เราทั้งคู่เงียบอยู่พักใหญ่ นั่งมองแสงอาทิตย์สีทองฉาบน้ำทะเล ฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่ง รับลมยามเย็นที่มีกลิ่นหอมทะเลอ่อนๆ
ความเงียบที่มีแค่เสียงคลื่นนี้หาไม่ได้ง่ายนักในสมัยผม แต่สำหรับที่นี่ มีเกือบทุกหนแห่ง
“เรารักเจ้านะ” จู่หมอปีย์ก็พูดคำนี้อีกมา ผมหันไปมองเขาแวบหนึ่ง แวบเดียวที่มองแววตาเขาก็พอจะรู้ว่าความรู้สึกของเขาตอนนี้เป็นอย่างไร
คงไม่ต่างจากผม
โหวงเหวง
หวิวๆ
ใจคอไม่ดี
กลัวอนาคต
กลัววันพรุ่งนี้
กลัวไปหมดทุกอย่างว่าความสุขที่เราพบเจอและโอบกอดมันอยู่ตอนนี้จะอยู่กับเราไม่นาน
ผมไม่มีคำตอบใดๆให้หมอปีย์ มีเพียงการเอนหัวลงไปซบบ่าเขา และปล่อยให้เงาของเราทั้งสองคนทอดยาวไปตามหาดทรายสีขาว พร้อมแสงอาทิตย์อัสดงที่ค่อยๆลาลับขอบฟ้าไป
(http://image.free.in.th/z/iz/sunsetsunset.jpg)
-
''เรารักเจ้าน่ะ'' หมอปีพูดคำนี้ออกมา แทบจะกรี๊ดดดดด
เขิลแทนพ่ออัชย์
หลงรักหมอปีย์เข้าเต็มๆ
-
เช้าวันรุ่งขึ้นท้องฟ้ามืดครึ้มไปด้วยเมฆฝนที่ตั้งเค้ามาตั้งแต่หัวรุ่ง แต่ไม่ยอมตก มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นท้องฟ้าและทะเลยามมืดครึ้มยิ่งทำให้ใจหาย
รู้สึกเหมือนกับว่าความสุขของเรากำลังจะหมดไปแล้ว แต่พอคิดไปสักพักก็ต้องเลิกคิด ก้มหน้าก้มตาเก็บของต่อไป
“เสร็จแล้วรึ” หมอปีย์เดินตามออกมาขณะที่ผมกำลังยืนรอเขาอยู่ข้างล่าง
“อืม จะต้องไปกันแล้วใช่มั๊ย” เขาพยักหน้า พลางบอกว่าหากผมอยากมาอีกก็มาเมื่อไหร่ก็ได้ ผมยิ้มรับ
เกวียนพาเราแล่นห่างออกไปจากเรือนหมอจรัสมากขึ้นๆ ผมหันกลับไปมองบ้านไม้หลังงามนั้นอีกครั้ง บ้านที่ทำให้ผมยอมรับหมอปีย์ บ้านที่เราทั้งคู่เป็นของกันและกัน
“ลาก่อนนะ แล้วชั้นจะกลับมาใหม่” ผมพูดเบาๆก่อนจะหันกลับมา
เกวียนวิ่งมาตามเส้นทางเดิมที่เราเคยมา ภาพที่เราพบเจอกับโจรยังชัดเจนในความทรงจำ แต่มันก็เป็นอดีตไปแล้ว คงไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้นและบ้านของพระยาบริรักษ์อีกแล้ว
ในที่สุดเรือที่จะพาเรากลับพระนครก็แล่นมาเทียบท่า พ่อค้าแม่ค้าที่หอบหิ้วของจากพระนครมาขายต่างทยอยลงจากเรือกลไฟ ลูกเด็กเล็กแดงวิ่งไปมารอบๆเรือ ต่างพากันส่งเสียงร้องตะโกนโหวกเหวกช่างตื่นเต้นที่ได้เห็นเรือเหล็กขนาดยักษ์ลอยน้ำได้
หมอปีย์หันมาพยักหน้ากับผม เป็นนัยว่าให้ขึ้นเรือได้แล้ว
“ชั้นจะเมาเรืออีกรึเปล่าหมอ” ผมถาม
“ไม่ดอก เอาพริกแห้งนี่เหน็บเอวไว้ จักได้ไม่เมา” ผมทำหน้าประหลาดใจ แต่ก็ยอมรับไว้โดยดี
เรือคำรามดังลั่นท้องน้ำ ก่อนจะค่อยๆเคลื่อนตัวแล่นออกสู่ทะเล ผมนั่งเอาคางเกยแขน มองไปหาฝั่งที่จากมา ในหัวไม่มีอะไรเลย มีเพียงแต่วันรุ่งขึ้น
“คิดอันใดอยู่รึ พ่ออัชย์”
“คิดถึงวันพรุ่งนี้ เออ หมอ ถามอะไรหน่อยสิ” ผมหันมามองหมอปีย์ที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ถ้ากลับบ้านที่พระนครแล้ว นายจะเหมือนเดิมมั๊ย”
เขาหัวเราะ “เราเคยไม่เหมือนเดิมด้วยรึ”
“ไม่รู้ดิ บางทีนายอาจจะ...............เปลี่ยนไป”
“อย่ากลัวอันใดไปเลยพ่ออัชย์ เห็นเจ้าคิดมากมาหลายเพลาแล้ว พาลไม่มีความสุขไปกับเจ้าด้วย ช่างมันเถิดพ่อ อันใดจักเกิดก็ปล่อยให้มันเกิด เราอยากให้เจ้ามีความสุขกับวันนี้ก็พอ ชีวิตคนเราสั้นนัก พบพรากจากลาเป็นเรื่องธรรมดา หากมัวแต่กังวล จิตใจจักหาความสุขที่อยู่ใกล้ๆเจ้ามิได้”
หมอปีย์พูดปลอบใจเสียยืดยาว แต่ก็ได้ผล มันทำให้ผมรู้สึกดี และคิดอะไรได้มากขึ้น
“อื้อ นั่นสินะ จะไปคิดอะไรมาก” ผมยิ้มให้เขาอย่างจริงใจ
คนบนเรือขากลับพระนครวันนี้ไม่แน่นเหมือนขามา เราจึงมีพื้นที่ส่วนตัวสำหรับทั้งคู่ ท้องฟ้ามืดครึ้มหนักกว่าเดิม เหมือนกับห่อผ้าที่อุ้มน้ำ ในที่สุด ฝนเม็ดแรกก็ตกแปะลงมาบนหัวผม
“หมอฝนตก” ผมบอกหมอ ทั้งๆที่เรื่องแค่นี้ไม่ต้องบอกเขาก็ได้ แต่ตอนนั้นรู้สึกเหมือนอยากพูดกับเขาทุกๆวินาที
“เข้ามาข้างในเถิด ประเดี๋ยวจักไม่สบาย” เขาเดินนำเข้ามา
“เรือจะล่มมั๊ยหมอ ฝนตกหนักนะนี่ ดูท่า”
“ไม่ดอก อย่างมากก็แค่โครงเครง”
“โครงเครง!!!” และก็เป็นอีกครั้งที่ผมอาเจียนจนหมดเรี่ยวหมดแรง ด้วยแรงลมและคลื่นทำให้เรือโยกไปโยกมา ผมพยายามมองท้องฟ้าอย่างที่หมอบอก แต่ก็ไม่ช่วยให้ดีขึ้นเลย ในที่สุดผมก็เหนื่อยกับการอ๊วกถมทะเลจนหลับไปในที่สุด
เรือเหล็กนำเรามาถึงปากแม่น้ำพระนครที่คราคร่ำไปด้วยผู้คนที่มารอรับญาติ มารอรับของ มารอขึ้นเรือ มาค้าขาย และหลายๆเหตุผล หนึ่งในนั้นมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ยืนอยู่ในร่มไม้ชายฝั่ง ผมไม่รู้จักคนกลุ่มนั้นเลยนอกจากสน ที่ยืนปะปนอยู่พร้อมด้วยสีหน้าโล่งใจ
หมอปีย์หน้าเจื่อนเล็กน้อยเมื่อเขามองไปยังชายรูปร่างสูงใหญ่ผมสีดอกเลาที่ยืนอยู่ไกลๆ ผมเดาว่าชายผู้นั้นคงจะเป็นหมอจรัส
ทันทีที่ก้าวลงเรือ ความรู้สึกผมก็แปลกๆไป เหมือนกับสามวันที่อยู่ตามลำพังกับหมอปีย์จะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
“สัญญานะหมอว่าจะเหมือนเดิม” ผมนึกในใจ
หมอปีย์เดินก้มหน้าก้มตาเหมือนเด็กสำนึกผิดที่หนีเที่ยว ท่าทางเขาจะกลัวหมอจรัสเอามาก
“โชคดีที่รอดมาได้” คำแรกที่หมอจรัสพูดกับหมอปีย์ น้ำเสียงของเขาเรียบเฉย แต่แฝงไปด้วยอารมณ์ตำหนิติเตียน ถึงใบหน้าและแววตาของหมอจรัสจะดูเป็นคนแก่ใจดีธรรมดาคนหนึ่ง แต่การวางตัว ท่าทาง และคำพูดของเขาน่าเกรงขามไม่น้อย
“I am sorry I just.......’’” หมอปีย์พยายามจะอธิบายบางอย่าง
“Go home we’ll talk this later” หมอจรัสพูดพลางปรายตามามองผมแวบหนึ่ง ก่อนจะหันหลังเดินนำหน้ากลับไปยังเกวียน
ระหว่างทางไม่มีใครพูดเรื่องอะไรกันเลย มีแต่สน ที่นั่งใกล้ๆผมที่เอาแต่พร่ามเรื่องที่หมอจรัสทราบเรื่องที่พวกเราหนีไปตากอากาศและถูกโจรทำร้าย
“เจ้ารู้รึไม่ หมอท่านโกรธมาก เรามิเคยเห็นท่านโกรธอันใดเยี่ยงนี้มาก่อน”
“ข้านึกว่าพวกเจ้าจักไม่รอดกลับมาเสียแล้ว”
“กลับเรือนไปเรื่องคงใหญ่โตมิน้อย”
และก็จริงดั่งสนว่า ทันทีที่กลับถึงเรือน หมอจรัสก็เรียกเราทั้งสองคนเข้าห้อง และสั่งให้บ่าวไพร่ลงจากเรือนจนหมด
“เจ้าทำเยี่ยงนี้มันถูกมันควรแล้วรึ” สำเนียงของหมอจรัสชัดมาก แต่ก็ยังมีเสียงแปร่งๆตามประสาชาวต่างชาติพูดไทยอยู่บ้าง
“เราวางใจให้เจ้าเฝ้าเรือน ดูแลเรือนแลบ่าวไพร่ แต่เจ้ากลับเอาแต่สนุก ทิ้งเรือนไปเที่ยวจนเกือบจักเอาชีวิตไม่รอด”
หมอปีย์ก้มหน้าสำนึกผิด ผิดกับผมที่ใจเต้นระริกที่อยากจะพูดแก้ตัวให้หมอ ผมรู้สึกว่าคุ้นเคยกับนิสัยฝรั่งดี พวกเขายอมรับฟังเหตุผลมากกว่าคนไทย เพราะฉะนั้นผมจึง
“หมอไม่ผิดหรอกครับ ผมเองที่...............”
ยังไม่ทันที่จะพูดจบ หมอจรัสก็หันขวับสายตาแข็งกร้าวจ้องมาที่ผม จนผมนึกไม่ออกว่าจะพูดอะไร
“เราถาม เจ้าจึงจักตอบ” แค่สั้นๆ แต่ก็ทำให้ผมต้องก้มหน้าเหมือนหมอนั่นไปโดยปริยาย
“สงสัยอยู่ไทยนานไป” ผมคิดในใจ
-
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก โดนนนนนนนนนนนนนนนน :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:
-
ยังไม่ได้อ่านแต่มาเมนก่อน
ไปอ่านแล้วจ้า ....
-
อ่านๆๆมาแล้ว
-
หมอจรัสต่อว่าหมอปีย์อยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงหันมาที่ผม
“เจ้าเป็นใคร” เขาถาม
ผมเงยหน้าแววตาตื่นอยากจะตอบคำถามเขาใจจะขาด
“ผมเอ่อ เป็นคนที่หลุดมาจากโลกอนาคต” หมอปีย์หันขวับมาที่ผม ทำท่าจะเอามือปิดปาก แต่ไม่ทันเสียแล้ว
“ผมมาจากปี พุทธศักราช 2553 หรือ คริสตศักราช 2010” หมอจรัสเอียงคอสงสัย
แล้วผมก็เริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดเหมือนที่เล่าให้หมอปีย์ฟัง แต่เป็นภาษาอังกฤษ และนั่นเองที่ทำให้หมอจรัสทึ่งไม่น้อย เขานิ่งเงียบไม่พูดอะไร
“เอาล่ะ หมดธุระเจ้าแล้ว ออกไปก่อน” หมอจรัสพูด ผมลังเลมองหน้าอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อหมอปีย์พยักหน้าให้ทำตาม ผมจึงออกไปแต่โดยดี
“สั่งให้ออกไป แต่ไม่ได้สั่งห้ามให้แอบฟังนี่หว่า”
ว่าแล้วด้วยสันดานช่างเสือกของผม ไม่สิ ไม่น่าจะเรียกว่าเสือก น่าจะแค่สอดมากกว่าของผม จึงทำให้ผมทำในสิ่งที่เรียกว่าน่าละอายสำหรับคนสมัยก่อน นั่นคือการเอาหูแนบประตู
“แต่หมอขอรับ ถ้าเราไล่เขา แล้วเขาจักไปอยู่ที่ใด” ผมยืนฟังสองคนนั่นคุยกันอยู่พักใหญ่ จนมาถึงประโยคนี้ที่ทำให้ผมถึงกับหน้าซีด
“เราจักรับเลี้ยงเขามิได้ เจ้าก็รู้ เรามิรู้หัวนอนปลายตีนของเขา จักเป็นพวกเชื้อพวกศึกเสียก็มิรู้ หลวงท่านยิ่งกวดขันแลสถานการณ์บ้านเมืองครานี้ยิ่งตึงเครียด เผลอๆเราอาจจักโดนข้อหาขบถเข้าก็เปนได้”
หมอจรัสอธิบาย ดูน้ำเสียงของเขาเคร่งเครียด ผมถอยออกมาจากหน้าห้อง รู้ชะตากรรมต่อไปของตัวเองแล้ว แต่ก็ยังทำอะไรไม่ถูก เพราะนอกจากเรือนนี้ ผมก็นึกไม่ออกจริงๆว่าจะมีที่ไหนให้ซุกหัวนอน
สิ่งที่ผมคาดการณ์ไว้ไม่ผิดจริงๆ หลังจากกลับมาจากชะอำ ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปจริงๆ แต่ไม่นึกว่าจะเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ เท้าสองข้างพาผมเดินลัดเลาะขอบรั้วผ่านต้นจำปีจนมาถึงต้นมะขามต้นใหญ่ต้นเดิมในเรือนคุณชั้น
ผมทรุดตัวลงนั่งอย่างเหนื่อยอ่อน ความคิดที่วนเวียนไปมากำลังทำให้จิตใจผมว้าวุ่น
“อ้าว เจ้านั่นเอง” เสียงเล็กๆดังขึ้นมาจากใต้ถุนเรือน หนูวาดนั่นเอง เธอวิ่งปรี่เข้ามาหาผมทันทีที่เห็น
“เจ้าหายไปไหนมาเสียนาน” หนูวาดยืนอยู่เบื้องหน้า ในมือกำช่อดอกเข็มสีแดงสด มืออีกข้างกำลังดูดน้ำหวานจากมัน
“ไปเที่ยวชะอำไง ยาย เอ้ย หนูวาดจำไม่ได้เหรอ” ผมแค่นยิ้ม
“จำได้ แต่ทำไมไปนานจัง รู้มั๊ยหนูวาดคิดถึง คุณป้าก็บ่นคิดถึง”
ผมตาถลึงทันทีที่หนูวาดพูดคำนี้
“อะไรนะหนูวาด เมื่อกี้ว่าอะไรนะ” ผมจับแขนหนูวาดเขย่า
“ก็หนูวาดบอกว่าหนูวาดคิดถึง”
“หลังจากนั้นหล่ะ หลังจากนั้น” น้ำเสียงกระตือรือร้นอย่างออกนอกหน้า
“อ๋อ คุณป้าก็คิดถึงเจ้าเหมือนกัน คุณป้าบอกว่า ไม่รู้จักเป็นตายร้ายดีอย่างไร ไม่ถามไถ่ก็ดูจักใจไม้ไส้ระกำเกินไป เพราะว่าเจ้าเคยช่วยหนูวาด”
ผมยิ้มกริ่มขึ้นมา ในที่สุดคุณชั้นก็ยอมรับผมซะที
“งั้นผมขอไปหาคุณเธอได้มั๊ย”
“ได้สิ คุณป้าอยู่บนเรือนพอดี”
หนูวาดนำผมเดินฉับๆขึ้นเรือน ผมจุ่มเท้าลงในอ่างสี่เหลี่ยมล้างเท้าก่อนจะนั่งรอที่บันได ให้หนูวาดขึ้นไปบอกคุณชั้นก่อน
หนูวาดหายไปพักใหญ่ ก่อนจะรีบเดินกลับมาหาผมและส่งยิ้มให้
“หายไปไหนมาล่ะ หึ” เธอทักผมในขณะที่กำลังนั่งม้วนยาสูบอัดใส่โหลแก้วสีใสโดยไม่เงยหน้ามามองผม
แต่ผมนั้นทันทีที่เห็นเธอ น้ำตาผมก็รื้อขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ เหมือนกับได้กลับมาเห็นญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวของตัวเองอีกครั้ง ทั้งๆที่ไม่คิดว่าจะมีชีวิตรอดได้กลับมา
“ผมไป เอ่อ.................”
“ขึ้นมานั่งเสียด้วยกันบนนี้สิ” ในที่สุดเธอก็มองมาที่ผม สีหน้าดูอ่อนลงไปมาก คำแก้วนั้นนั่งจัดดอกปีบแห้งอยู่ใกล้ๆ
“ไม่เป็นไรขอรับ ผมนั่งข้างล่างดีกว่า” ผมเลือกที่จะไม่ขึ้นไปนั่งบนแคร่กับเธอ เพราะคิดว่าถึงเธอจะเริ่มเมตตาผม แต่ก็ไม่ควรจะตีตัวเสมอ
“ตามใจนะ” เธอวางมือจากงานเบื้องหน้า ก่อนจะหันหน้ามาคุยกับผมจริงจัง “ไหนเล่ามาสิ ว่าหายไปไหน รู้หรือไม่ว่าเขาเป็นเดือดเป็นร้อนกันทั้งเรือน”
สายตาคุณชั้นดูสนใจใคร่รู้ ผมจึงเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ
“คุณพระคุณเจ้า” เธอยกมือขึ้นทาบอก “ ปลอดภัยมาก็ดีแล้ว คราวหน้าคราวหลังก็อย่าไปไหนที่อันตราย เจ้ายิ่งเป็นคนแปลกถิ่น.....................” คุณชั้นทำท่าจะพูดอะไรต่อ แต่เหมือนนึกบางอย่างขึ้นได้
“พวกเจ้าลงไปข้างล่าง ไปเตรียมสำรับกับข้าวก่อน เจ้าด้วยคำแก้ว” บ่าวไพร่ทั้งหมดยกข้าวยกของลงไปข้างล่าง มีเพียงคำแก้วที่อิดออด แต่ก็ยอมลงไปแต่โดยดี
“เจ้าเคยบอกกับเราว่า บ้านของเจ้าคือเรือนหลังนี้” จู่ๆคุณชั้นก็พูดคำที่ผมเคยพูดไว้ออกมา
“ขอรับ” ผมตอบ
“อย่างไร”
ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าจะเล่าดีหรือเปล่า แต่พอคิดๆไป หลังจากนี้ ก็ไม่รู้ต้องระหกระเหินไปอยู่ที่ไหน เล่าๆไปก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง
“เอ่อ เรื่องมันอาจเหลือเชื่อไปนิดนะครับ แต่ผมสาบานได้ว่ามันเป็นเรื่องจริง” ผมเงียบมองดูปฏิกิริยาที่นิ่งเฉยของคุณชั้น
“บ้านหลังนี้เคย ไม่ใช่สิ จะเป็นของผมในอีก 100 ปีข้างหน้า”
เป็นอีกครั้งที่สีหน้าของเธอเรียบเฉยจนยากจะคาดเดา
“จำได้มั๊ยขอรับว่าจู่ๆผมก็มาโผล่ที่เรือนหลังนี้ จริงๆแล้ว ผมแค่หลับไปแล้วตื่นขึ้นมาก็มาโผล่ที่นี้ ในเวลาของผมนั้น ห่างจากเวลาของที่นี่เป็นร้อยปี”
“เจ้ากำลังจักบอกเราว่าเจ้ามาจากยุคพระศรีอารย์รึ”
“ไม่ใช่ครับ แค่มาจากอนาคต”
“อืม” เธอแค่พยักหน้าเบาๆ เชิงรับรู้แค่นั้น
“เอ่อ คุณชั้นไม่ประหลาดใจหน่อยเหรอครับ” ผมถาม
“ไม่นิ หนูวาดเองก็เล่าให้เราฟัง เธอว่า เธอเห็นเจ้าหายตัวไปตอนที่กำลังช่วยเธอจากน้ำ”
ผมนึกไม่ถึงว่าเธอจะเชื่อง่ายขนาดนี้
“แล้วเจ้าเป็นอะไรกับเรือนหลังนี้”
“อ๋อ ผมเป็นหลานของคุณยายวาด ซึ่งก็คือหนูวาดตอนนี้แหละครับ” สีหน้าของคุณชั้นเริ่มมีอาการประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้าในที่สุด
“หนูวาดยังอยู่ดีรึ สมัยเจ้า”
“อยู่ดีครับ ยายหนูวาดอายุยืน และก็แข็งแรงทีเดียว”
“แล้วหลานชั้นออกเรือนไปกับผู้ใดกันเล่า”
“คุณตาผมเป็นพ่อค้าชาวจีนครับ”
“หา!!! อะไรกัน” ทั้งหมดที่เล่ามา ไม่ทำให้คุณชั้นตกใจเท่ากับการบอกว่าหนูหวาดแต่งงานกับคนจีน
“เวรกรรมแท้ๆ หนูวาดเอ้ย”
“ไม่ใช่เวรกรรมหรอกครับ คุณตาผมเป็นเศรษฐีชาวจีนที่มาค้าขายในสยามจนร่ำรวย คุณยายสุขสบายและมีความสุขมากครับ”
ถึงเธอจะถอนหายใจเบาๆออกมา แต่ก็ยังคงแสดงอาการห่วงใยในเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย
“เอาหล่ะ เราหมดธุระจักคุยกับเจ้าแล้ว ออกไปได้” เธอว่า
ผมยกมือลา ก่อนจะลุกขึ้น
“อ้อ แล้วถ้าอยากจะมาเรียนสำรับกับข้าวก็มาได้นะ” เธอว่า ผมได้แต่ยิ้มรับ แต่ในใจนั้นกลับหม่นหมอง เพราะไม่รู้ว่าหลังจากโดนไล่ออกจากเรือนหมอปีย์แล้ว จะต้องไปอยู่ไหน
-
คืนนี้พอแค่นี้ก่อนนะครับ จะไปดูชิงร้อยชิงล้าน อิๆ ขอให้สนุกกับการอ่านนิยายของข้าพเจ้านะครับ :z2: :bye2:
-
หงะ :sad4:แล้วเจอกันอีกน่ะหมอปีย์
-
มาให้กำลังใจ
+1
-
ตอนนี้คุณชั้นน่ารักจัง นึกถึงผู้ใหญ่ปากร้ายใจดีเลย :man1:
-
เยอะจุใจสมการรอคอยค่ะ
ลุ้น อยากให้ลงเอยแฮปปี้อ่ะ :monkeysad:
-
หง่ะ!! o22 กำลังค้างเลยอ่ะ
ไม่เป็นไรพรุ่งนี้มาอ่านต่อก็ได้
-
งะ อย่าไล่กันน้าแค่นี้โอปอกะแย่แล้ววว แงแง
กลัวเศร้าง่าาาา
-
พ่ออัชย์ หมอปีย์ :sad4:
-
สงสารพ่ออัชย์ถ้าต้องถูกไล่จากเรือนหมอจรัสแล้วหมอปีย์ล่ะ จะทำยังไง :sad4:
-
กำลังสนุกเลยอ่าาา :sad4: อ่านไปลุ้นไป ไว้เดี๋ยวมาตามต่อนะคะ :bye2: :bye2: :bye2:
-
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด (ยังไม่อ่าน แต่เม้นก่อน) 55
มาเยอะเลยนะคะรอบนี้ สมกับที่รอคอยมานาน
-
ลุ้นมากมายเลยทีเดียว
อ่านจนแทบลืมหายใจ
แต่จะว่าไปการอ่านกลอนบท...รัก
มันก็ให้อารมณ์...ได้ดีเหมือนกันนะครับ :o8:
ขอบคุณครับ :L2:และจะติดตามจนจบครับ
-
หมอจรัส ทำไมดูแล้งน้ำใจจัง
-
อ๊ากกกกกกกกกกก!!
บอกรักกันแล้ว ได้กันแล้ว!!!
อ๊ากกกกดกกดกกก!!
ดีใจจนน้ำตาไหล 555
คุณชั้นก็ยอมรับแล้ว แต่หมอจรัสกำลังจะไล่ออกจากบ้าน
ไม่เอาอ่ะ หมอปีย์ต้องช่วยพ่ออัชช์นะ
รออ่านตอนต่อไปค่ะ ขอเยอะๆแบบนี้อีกนะ :)
-
รออ่านต่อ คึคึ เรื่องนี้ไม่พลาดแน่ๆ...รอตอนจบอยู่จ้า
กำลังลุ้นว่าหมดจรัสจะทำไง แล้วพ่ออัชย์กับหมอปรีย์จะเป็นไงต่อไปหว่า ลุ้น!!!!!!!
-
ลุ้นจนเอ็ดร้อยหวายบิดเกร็งไปหมด
หมอจรัสใจร้าย จะไล่พ่ออัทย์ไปได้ยังไง
นั้นเท่ากับว่ากระชากดวงใจหมอปีย์ออกจากตัวเลยนะ
ฮือออออออออออออ TT
-
เเล้วถ้าถูกไล่ออกจากเรือนจริงๆ
พ่ออัชย์จะไปอยู่ไหนล่ะเนี้ย หมอจรัสใจร้ายยย
-
ดีใจด้วยนะเจ้าบ้าที่คุณชั้นเริ่มเอ็นดูแล้ว
แต่แอบหวั่นใจว่าจะโดนไล่ออกจากบ้านมั้ยละนั่น :เฮ้อ:
มาอัพยาวจุใจมาก แต่ก็ยังไม่จบ :pig4:
-
คิดถึงเรื่องนี้จริงๆ
พ่ออัชย์พ่อต้องหนักแน่นแล้วก็เชื่อใจหมอปีย์นะพ่อนะ
มีแววจะได้กินมาม่า ฮือๆๆ
+1 จ้าา
-
เอาละน่า อย่างน้อยก็มีอีกคนละที่เชื่อว่า พ่ออัชย์มาจากอนาคต
ว่าแต่ พ่ออัชย์มาจากอนาคต ไม่คิดจะช่วยอะไรกับสยามในเวลานั้นเลยหรือไงจ๊ะ
+1 ให้คุณนนท์ ชิงร้อยชิงล้าน ผ่านไปหลายวันแล้วนะ :z2:
ปล. บทเสียตัวนี่ช่าง :impress2:
-
:z3: อิ่มมาม่าไปนานเลย ฮือออออออออ
-
:m15:ไม่นะ พ่ออัชย์บอกรักหมอปีย์แล้ว และหมอปีย์ก้บอกรักพ่ออัชย์แล้ว ไม่อยากให้ทั้งคู่ต้องพรากจากกันเลยอะ :m15:
-
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
อ่านจุใจสุดเลยค่ะ
สงสารอัชย์จังเลย
ถ้าโดนไล่ไป จะไปอยู่ไหนนิ
-
ในทีสุดก็ได้อ่าน ดีใจจัง
-
ถ้าพ่ออัชย์โดนไล่จากเรือนหมอจรัส คุณชั้นจะยอมให้อยู่ในเรือนด้วยมั้ยหนอ?
แต่มันก็คงลำบาก ขนาดหมอจรัสยังไม่กล้ารับไว้ แล้วคุณชั้นที่ทั้งเรือนมีแต่ผู้หญิง จะกล้ารับคนจรหมอนหมิ่นไว้ได้ยังไง
รอลุ้นต่อไป แต่ถ้าจบเศร้า ไม่ยอมนะ เค้าจะร้องไห้ด้วยแหละ!
-
เหมือนเริ่มจะเห็น ดราม่ามากลายๆ T^T
แต่ว่าขอบคุณมากนะค๊าา รอติดตามตอนต่อไปอย่างจดจ่อ คิดถึงหมอปีย์กับพ่ออัชย์มากกก ^^
-
:sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:
-
ชอบเรื่องนี้มากตรับหายไปนานกลับมาอ่านยังสนุเหมือนเดิมแต่ก็อดเสียดายไม่ได้ที่จะจบซะหล่ะ
-
พ่ออัชย์เกิดเรื่องอีกแล้ว :sad4:
อุตส่าห์ได้บอกความรู้สึกกันไปแล้ว ทำไมต้องมีเรื่องด้วย ทำไม :o12:
-
มาต่อไวไวนะครับ
-
หวังว่าพ่ออัชย์คงไม่ได้บอกอะไรที่มันสามารถเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้นะ
โอ๊ย ไม่อยากให้จบเศร้าอ่ะ อย่านะขอร้อง
อยากเห็นพ่ออัชย์กับหมอปีย์มีความสุข
-
กี๊ซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ
รออยู่นะเพคะ
-
อยากจะบอกว่าค้างมากมายค่ะ มาอ่านตอนต่อไปอย่างใจจดจ่อ
-
ในที่สุด ...
สงสารเจ้าบ้าอะ ถ้าต้องถูกไล่ออกจากเรือนจริงๆ งั้นไปอยู่เรือนหนูวาดดีมั้ย
-
“มาหลบอยู่ที่นี่เองรึ” ผมเงยหน้าขึ้นมาจากกองใบไม้ที่สุมกันอยู่ข้างเท้า หมอปีย์นั่นเอง เขายืนเอามือไพล่หลังมองผมเหมือนกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับผมมันน่ารื่นรมย์อย่างนั้นหล่ะ
“มาทำอะไรตรงนี้” เขายิ้มอย่างอ่อนโยน
ผมไม่ตอบแต่ก้มหน้าลงเหมือนเดิม ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเสวนากับมันอีก
“ไม่พอใจกระไรอีกรึ พ่อ” เขานั่งลงใกล้ๆ
สายน้ำในลำคลองสงบนิ่ง ใสราวกับกระจก แต่ทันทีที่ใบไม้เหี่ยวร่วงหล่น น้ำนั้นก็พลันกระเพื่อมขึ้นเหมือนกำลังเต้นระบำ
“มันเปลี่ยนไปแล้วใช่มั๊ยหมอ” ผมพูด
“ไหนนายบอกว่ามันจะไม่เปลี่ยนไง”
หมอปีย์เอียงคอ เขาคงไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมพูด
“ไม่มีอะไรเปลี่ยนเสียหน่อย พ่ออัชย์ เราก็ยังคงเป็นเรา”
“เปลี่ยนสิ” ผมยังคงดื้อดึง
“อะไรกัน”
“ก็หมอจะไล่ชั้นไปอยู่ที่อื่น จะไม่ให้ชั้นอยู่ที่นี่อีกต่อไป นี่ไงที่เรียกว่าเปลี่ยน” ผมเงยหน้ามองหมอปีย์สายตาแข็งกร้าว
“ไล่เจ้าไปอยู่ที่อื่น?”
“ก็ใช่น่ะสิ ชั้นได้ยินที่หมอจรัสพูดหมดแล้ว”
“แต่...............”หมอปีย์พยายามจะอธิบายอะไรออกมา
“หมอไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว”
“เอ่อ เรา...............”
“ชั้นเข้าใจดี ไม่ต้องห่วงหรอก”
“ฟังเรา................”
“ชั้นไปอยู่วัดเอาก็ได้”
“....................”
“วัดแถวนี้ คงมีที่ให้คนจรจัดอย่างชั้นได้ซุกหัวนอนบ้าง” แววตาผมเศร้าสร้อย
หมอปีย์ไม่พูดอะไรอีก เขาเอาแต่จ้องหน้าผม ก่อนเผยอยิ้มมุมปาก
“แล้วเจ้าจะไปวันไหนกัน”
ผมหันขวับไม่คิดว่าหมอปีย์จะสิ้นเยื่อใยขนาดนี้
“หมอ!!!”
“ไปวันไหน เราจักให้สนไปส่ง” เขายิ้ม เหมือนกับเปรมปรีที่ผมจะได้ไปจากชีวิตเขาเสียที
“ไปวันนี้เลยก็ได้” ผมกระชากตัวลุกขึ้นอย่างแรงก่อนจะก้าวขาเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ทันที่ขาข้างขวาจะก้าวตาม หมอปีย์ก็ดึงแขนผมไว้จนตัวเซ
“ทีหน้าทีหลังจักแอบฟังก็ฟังให้จบก่อนสิพ่อ” เขาอมยิ้ม
“อะไร” ผมหันไปมอง ก่อนจะดึงมือกลับ ไม่อยากให้ใครเห็นหมอนั่นจับมือผม “ปล่อยหมอ เดี๋ยวใครมาเห็น”
“ไม่ปล่อยจนกว่าเจ้าจักนั่งลงและฟังเราเสียก่อน”
“ปล่อยยยยยยยยย” ผมกระชากมืออย่างแรง เป็นจังหวะเดียวกันที่เขาก็ดึงมือผมเข้าไปหา แรงของเขาทำให้ผมถลาล้มลงบนร่างหมอนั่น
“ไอ้บ้า เดี๋ยวคนมาเห็น แทนที่กูจะต้องออกจากบ้านคนเดียว เดี๋ยวมึงก็ต้องออกไปด้วยหรอก”
ผมผลักตัวเองออกมาจากร่างของหมอ
“จะว่าอะไรก็ว่ามาสิ”
“หมอจรัสท่านอนุญาตให้เจ้าพักอยู่ที่เรือนนี้ดังเดิม”
“หา ทำไม” ผมไม่เข้าใจ หมอจรัสนั้นดูจะไม่ชอบผมเอาเสียมากๆ แต่ทำไมถึงยอมให้ผมอยู่ต่อ
“ท่านคงมีเหตุผลของท่าน เอาเป็นว่าเจ้าก็มิต้องตีอกชกหัวจะหนีไปอาศัยวัดดอก อยู่ที่นี่ดังเดิมน่ะดีแล้ว”
หมอปีย์ยิ้ม ผมเองก็ยิ้ม ยิ้มแฉ่งด้วย
-
เราทั้งคู่นั่งอยู่ริมน้ำพักใหญ่ เรื่องราวมากมายที่เราเล่าสู่กันฟัง เหมือนกับว่ามันจะไม่มีวันที่เราจะหยุดพูด เมื่อจบเรื่องนั่น เรื่องใหม่ก็มาให้เราได้หัวเราะร่าต่อ ผมไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน หมอปีย์ก็เหมือนกัน ทันทีที่เราเปิดใจ ทุกอย่างก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังกันอีก
“คิดถึงแดงนะหมอนะ” ผมพูดเมื่อตะวันเริ่มคล้อยลงต่ำทำให้เห็นเงาจากต้นลำพูฝั่งตรงข้ามพาดผ่านท้องน้ำที่สงบนิ่ง
“แดงไปสบายแล้ว ที่นี่เป็นเยี่ยงนี้แหละ ผู้คนมักล้มตายราวใบไม้ร่วง ในหน้าที่หมออย่างเรา การผูกพันกับใครมักเจ็บปวด เราจึงเลือกที่จักจดจำเขาไว้เพียงแค่สิ่งดีงาม ความอาลัยมิทำให้เราก้าวต่อไปได้”
“อืม มันก็จริง นายนี่ใจแข็งดีนะ” ผมว่า
“เจ้ามิรู้หรอกว่าแท้จริงแล้ว ใจเราเป็นเยี่ยงใด”
ผมขอนั่งที่ริมน้ำต่ออีกครู่ ในขณะที่หมอปีย์ขอตัวไปดูคนป่วยที่สวนหลังเรือน ความอิ่มเอมใจยังคงเต้นระริกอยู่ในใจ แต่เพียงเสี้ยวนึงของมันผมกลับรู้สึกว่า หมอจรัสต้องมีอะไรสักอย่างให้ผมทำแน่ๆ ไม่อย่างนั้นท่านคงไม่เก็บผมไว้หรอก
-
“มาแต่เช้าเลยนะเจ้าบ้า” ป้าเมี้ยนบ่าวคนสนิทของคุณชั้นทักทายผมอย่างยิ้มแย้มซึ่งผิดปกติวิสัยที่แกเคยทำ อาจเป็นเพราะนายเริ่มเป็นมิตร บ่าวก็เลยต้องถูกจริตกับผมอย่างจำยอม
“วันนี้มีงานเหรอป้า” ผมถามเพราะเห็นบ่าวไพร่ขมักขะเม้นช่วยงานกันอย่างลนลานผิดปกติ
“วันนี้มีงานหม่อมวังใน คุณชั้นเธออาสาจักทำทองหยิบทองหยอดถวาย” ป้าเมี้ยนพูดพลางเอาผ้าขาวขัดไข่เป็ดจนสะอาด ผมนั่งลงมองหางานที่จะพอช่วยได้
“มานี่สิ เจ้าน่ะ” เสียงคุณชั้นดังออกมาจากมุมหนึ่งของเรือนครัว ผมเดินปรี่ไปหา
คุณชั้นกำลังเทน้ำตาลใส่กระทะทองเหลือง
“มาช่วยเราทางนี้” เธอว่า
“ขนมไทยแต่ดั้งเดิมนั้นมีเพียงแป้ง น้ำตาล และมะพร้าวเป็นหลัก พวก ขนมครก ขนมชั้น เปียกปูน ลูกชุบ ถั่วกวน เหล่านี้มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย” คุณชั้นเอามือคลึงน้ำตาลในกระทะ
“ต่อมาในคราสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ถึงได้มีการทำขนมเยี่ยงตะวันตก จดหมายเหตุของคณะพ่อค้าโปรตุกีส กล่าวว่า ท้าวทองกีบม้า หรือ มารีกีมาร์ ภรรยาเจ้าพระยาวิชาเยนต์ซึ่งเป็นชาวโปรตุกีสเช่นกัน ภายหลังสามีนางถูกประหารชีวิตนางก็ได้รับเข้าทำงานในห้องครัวเป็นพนักงานกำกับเครื่องหวาน”
ผมนั่งฟังคุณชั้นเล่าเรื่องราวความเป็นมาของขนมอย่างสนใจ ในเนื้อหาเดียวกันนี้ หากผมนั่งฟังในห้องบรรยายจากอาจารย์ชาวฝรั่งเศสซึ่งรู้เรื่องอาหารไทยมากกว่าคนไทยอย่างผมเสียอีก ผมคงจะหาวไม่ต่ำกว่าสิบครั้งต่อนาทีเป็นแน่
แต่เรื่องราวที่ผ่านจากปากคุณชั้น คนในยุค รัชกาลที่ห้า กลับทำให้ผมซาบซึ้งและตื้นตันไปกับมัน
“ท้าวทองกีบม้านี้หละ ที่สอนชาวสยามให้ทำขนมทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ทองโปร่ง ทองพลุ ขนมผิง ทองม้วน ขนมหม้อแกง เมื่อขนมเหล่านี้ตกทอดรุ่นสู่รุ่น ชาวสยามเราซึ่งเป็นหนึ่งในเรื่องอาหารก็ได้ประยุกต์ขนมเหล่านี้ให้เข้ากับท้องถิ่นเราเอง จนขนมเหล่านี้ได้กลายเป็นขนมประจำชาติเราไปในที่สุด” เธอเล่าไปเตรียมงานไปอย่างคล่องแคล่ว
“สมัยเจ้ายังมีขนมเหล่านี้อีกหรือไม่” เธอถาม
“เอ่อ มีครับ แต่แพง แหะๆ แถมยังไม่ค่อยมีคนกินเพราะมันอ้วน”
คุณชั้นหันมามองผมด้วยสีหน้าประหลาดใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
บ่าวสองสามคนกำลังง่วนอยู่กับการแยกไข่ขาวออกจากไข่แดง ไข่เป็ดฟองแล้วฟองเล่าถูกตอกจนเผยให้เห็นไข่แดงสีสดที่เรียกได้ว่าสดจริงๆ สีจัดจ้านมาก
คุณชั้นเองเมื่อใส่น้ำตาลลงกระทะแล้ว เธอจึงเอาเปลือกไข่ไก่ใส่ลงไปด้วยพร้อมขยำกับน้ำตาลจนเปลือกไข่แตกละเอียด
“คุณชั้นใส่เปลือกไข่ไปทำไมหรือครับ” ผมถามด้วยความสงสัย
“ทำให้น้ำตาลทรายสะอาดและน้ำเชื่อมสีใส” เธอตอบก่อนจะยกกระทะตั้งไฟอีกครั้ง แล้วเทน้ำลอยดอกมะลิและใบเตยลงไปคนจนน้ำตาลละลาย
“สมัยผมขนมเหล่านี้หากินยากมากครับคุณชั้น หาที่อร่อยไม่ค่อยมี” ผมพูด ขณะที่ช่วยเธอคนน้ำตาลทรายในกระทะ
“ประเดี๋ยวเจ้าก็จักได้รู้ว่า ที่อร่อยนั่นน่ะ ยังมีให้กินอยู่ที่นี่” เธออมยิ้มน้อยๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเธอยิ้ม สำหรับคนรักอาหาร การทำอาหารคงทำให้มีความสุขไม่น้อย
ตอนนี้น้ำเชื่อมใสดีแล้ว เธอเทใส่ผ้าขาวบางก่อนจะกรองเอาเศษไข่และตะกอนออกจนได้น้ำเชื่อมใส่แจ๋ว
“ดูแล้วจำให้ได้ เรายังมิอยากให้ของเหล่านี้สูญหายไป” คุณชั้นย้ำ
“ครับ” ผมรับปากไปเพียงคำเดียวสั้นๆ แต่ในใจนั้นตั้งปณิธานแน่วแน่ว่าหากมีโอกาสได้กลับบ้าน ผมจะเป็นผู้สืบทอดมันเอง
ความยุ่งยากของขนมไทยมากกว่าที่ผมคิดไว้เสียอีก ขั้นตอนต่างๆนอกจากจะต้องทำอย่างถูกต้องตามสูตรแล้ว ยังจะต้องมีความละเมียดละไมอีกด้วย
-
ผมเป็นลูกมือช่วยจับนู่นจับนี่ แต่ก็ไม่ลืมที่จะจดจำเคล็ดลับเล็กๆน้อยๆที่คุณชั้นไม่ได้ตั้งใจจะบอก อย่างเช่น คุณชั้นจะล้างมือทุกครั้งเวลาจับอาหาร หรือ มักจะใช้ผ้าขาวสะอาดซับขวบกะทะไม่ให้เลอะเทอะเปรอะเปื้อนอีกด้วย
“ลองทำดูไหม” คุณชั้นหันมาเชื้อเชิญ ผมตาลุกวาว
“ใช้ช้อนตักไข่แล้วค่อยๆหย่อนลงไปในน้ำเชื่อมให้เป็นวงกลมแบบนี้นะ ไฟอย่าแรงประเดี๋ยวน้ำตาลจะไหม้ “ เธอทำให้ดูขณะที่บ่าวคนหนึ่งยกกระทะออกจากเตาเพื่อให้น้ำเชื่อมนิ่งไม่เดือดปุด
ผมรับช้อนจากมือเธอก่อนค่อยๆบรรจงตักไข่แดงที่ตีจนเข้ากันและมีเนื้อเนียนละเอียดเพราะกรองด้วยผ้าขาวบาง ไข่เป็ดสีส้มสดค่อยๆถูกวางในกระทะจนเต็ม จากนั้นจึงยกวางบนเตาอีกที
“ใช้ได้แล้ว ตักมาใส่ถ้วยตะไลแล้วจับจีบ ระวังร้อนมือจักพองเอา” เธอคอยกำชับอยู่ใกล้ๆ ผมทำตามอย่างคล่องแคล่ว เพราะมีพื้นมาบ้าง เธอเองก็มองด้วยความพอใจ
“ใช้ได้นะเจ้า” ผมยิ้มไม่หยุดทันทีที่เธอชมเบาๆ
เตาอีกเตาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถูกจุดขึ้นเพื่อเตรียมทำทองหยอด แต่สำหรับทองหยอดนั้นคนทำคือคำแก้ว ซึ่งท่าทางหล่อนจะดูภูมิใจไม่น้อยที่สามารถทำทองหยอดได้ก้าวหน้ากว่าผม
ทองหยิบถูกวางเรียงอย่างสวยงามในถาดทองเหลืองชะลุลาย คุณชั้นวางใจให้ผมทำ ในขณะที่เธอแวะเวียนไปดูคำแก้วทำทองหยอด
“อ้าว มาดูทางนี้” เสียงคุณชั้นเรียก “ทองหยอดนี่ก็ใช้ส่วนผสมเหมือนกับทองหยิบนะ เพียงแต่วิธีทำไม่เหมือนกัน ดูคำแก้วทำเอาแล้วกันนะ” ว่าแล้วคุณชั้นก็เดินกลับไปดูทองหยิบที่กำลังจะเสร็จ
“ขอชั้นลองทำหน่อยสิ” ผมนั่งลงใกล้ๆคำแก้ว เธอหันมามองก่อนจะหลบตา
“งานแม่หญิง เจ้าจักรู้ไปทำไม”
อ๊าว!!!
“ทำไมหล่ะ งานผู้หญิงผู้ชายรู้ไม่ได้รึไง” ผมถามกลับ
“แม่หญิงรู้งานเยี่ยงนี้เพื่อออกเรือน แลปรนนิบัติสามี แล้วเจ้าหล่ะ” คำพูดที่เนิบนาบของคำแก้วนั้นฟังผิวเผินก็ไม่มีอะไร แต่สำหรับผม น้ำเสียง ท่าทางแบบนั้น มันมากกว่านั้น
“ชั้นก็เรียนรู้เพื่อไปปรนนิบัติสามีเหมือนกัน ทำไมเหรอ” ผมตอกกลับอย่างลืมตัว เพราะนึกถึงว่าคำแก้วเป็นคู่หมั้นของหมอปีย์ก็อดแค้นเคืองในใจไม่ได้
คำแก้วหันขวับมามองผมเหมือนไม่เชื่อหูตัวเองว่าจะได้ยินผมพูดแบบนี้ แหงหล่ะ ผู้ชายยุคนั้นใครเขาจะกล้าพูด แต่หล่อนคงลืมไปว่าผมไม่ใช่ผู้ชายยุคนั้น ผมน่ะ มาจากยุคที่เกย์เฟื่องฟูนะเฟ้ย
“บัดสีบัดเถลิง เป็นผู้ชายพูดเยี่ยงนี้ได้กระไร ฟ้าผ่า ผู้ชายจะมีสามีได้จะได” เธอเริ่มลนลานพูดปนเหนือปนกลางมั่วไปหมด
“ทำไมจะเป็นไม่ได้”
“แล้วไผคือสามีเจ้า”
“ก็หมะ..................”ผมเกือบจะหลุดชื่อหมอปีย์ออกไปด้วยความคะนองปาก โชคดีที่ยั้งไว้ทัน
“อย่ารู้เลย เดี๋ยวคำแก้วจะช๊อกตาตั้งตกเก้าอี้คอหักตายไปก่อน” ผมตัดบท “ตกลงจะให้ทำมั๊ย”
คำแก้วไม่ตอบ แต่ลุกสะบัดตูดเดินออกไปหาคุณชั้นหน้าตาบูดบึ้ง ผมได้โอกาสจึงลองทำทองหยอดดูและพบว่ามันยากกว่าทองหยิบหลายเท่า เพราะถ้าไม่ชำนาญจริงๆจะหยอดไม่เป็นหยดน้ำ และไม่เท่ากันด้วย อีกทั้งไฟก็ต้องแรง น้ำเชื่อมต้องเดือดปุดๆเพราะจะได้ช่วยพยุงทองหยอดให้เป็นทรง
ผมขลุกอยู่หน้าเตาตั้งแต่เช้ายันบ่ายคล้อย กว่าจะเสร็จเล่นเอาหน้ามืด แต่เมื่อเสร็จแล้ว มองไปที่เราทำกลับรู้สึกภูมิใจอย่างประหลาด
ทองหยิบทองหยอดวางเรียงรายเต็มลานเหมือนทองคำระยิบระยับเหลืองอร่ามตา คุณชั้นโรยดอกมะลิตูมกับกุหลาบหนูสีแดงสดทำให้ตัดกันยิ่งงดงามมากขึ้นไปอีก
“อบเทียนหอมไว้สักคืน”
เธอบอก ผมหน้าจ๋อยทันทีนึกว่าจะได้กินเลย แต่เหมือนคุณชั้นจะรู้ทัน เธอรีบพูดขึ้นมา
“จะเอาไปงานพรุ่งนี้ใช้ได้ แต่จะเอาไปกินเย็นนี้ค่อยมาเอา” เธอว่า ผมยิ้มอย่างอายๆ
-
อ่านเรื่องนี้จบ ได้สุตรทำขนม กับข้าวไปด้วย ชิมิ :laugh:
-
เย็นวันนั้น คุณชั้นให้บ่าวหิ้วทองหยิบทองหยอดมาให้จานใหญ่ ผมเดินถือขึ้นมาบนเรือน พร้อมกลิ่นโชยอ่อนของดอกไม้และเทียนหอม เดินไปพลางกลืนน้ำลายเอื๊อกๆ
“อะไรน่ะ พ่ออัชย์” เสียงหมอปีย์ทักมาแต่ไกล
“ขนม ฝีมือชั้น” ผมพยักหน้าภาคภูมิใจในฝีมือตัวเอง
“กระนั้นรึ เรานึกว่าฝีมือคุณชั้นเสียอีก” หมอปีย์หัวเราะ
“ดูถูก งั้นไม่ต้องกิน” ผมว่าพลางจะหันหลังกลับ
“เดี๋ยวสิพ่อ เราหยอกเล่น ไหนมาให้เราชิมหน่อย”
“อย่าเพิ่งสิวะ แบ่งให้หมอจรัสก่อน”
หมอปีย์ยิ้ม ก่อนจะเรียกบ่าวให้เอาจานมาให้แบ่ง
“พ่ออัชย์ เจ้าเอาไปให้หมอเองเถิด” เขายื่นจานขนมมาให้ผม
“ทำไมอ่ะ นายไปดิ ชั้นไม่กล้าหรอก”
“ไปเถิด”
หมอปีย์คะยั้นคะยออยู่นาน จนในที่สุดผมก็ต้องใจอ่อนยอมเอาขนมไปให้หมอจรัส
ในห้องที่เปิดหน้าต่างรับลม หนังสือวิชาการมากมายวางเกลื่อนไปหมด ผมยืนเก้เก้กังกังอยู่หน้าห้อง ไม่กล้าเคาะประตู จนหมอจรัสหันมาเอง
“เออ ผมเอาขนมมาให้ครับ”
“เข้ามาสิ”
ผมเดินข้ามธรณีประตูเข้าไปในห้องหมอจรัส ภายในห้องนั้นมีเพียงอย่างเดียวที่ไม่เป็นระเบียบคือหนังสือ หนังสืออยู่ทุกมุมห้องของหมอไปหมด ไม่เว้นแม้แต่ใต้เตียงนอน
“พอดีผมไปช่วยคุณชั้นทำน่ะครับ เอ้ย ขอรับ” ผมชิงพูดก่อน แล้วรีบวางจานเพื่อจะได้ออกจากห้องไวไว
“อย่าเพิ่งไปสิ อยู่คุยกับเราก่อน” ผมหยุดกึกเหมือนต้องมนต์ นึกในใจตายแน่ๆกูคราวนี้
“นั่งสิ”
“ทองหยิบทองหยอดงั้นรึ” หมอจรัสว่าพลางใช้ไม้จิ้มทองหยอดพินิจพิเคราะห์แล้วใส่ปากเคี้ยว
“อื้ม ฝีมือคุณชั้นนี่อร่อยดีแท้ สงสัยต้องไหว้วานให้มาช่วยดูแลงานที่จักเกิดภายภาคหน้าเสียแล้วกระมัง”
“งานอะไรหรือครับ เอ้ย ขอรับ” ผมพูดแทรกขึ้นมาอย่างลืมตัว
หมอจรัสยิ้มอย่างเป็นมิตรช่างต่างจากหมอจรัสในวันนั้นอย่างสิ้นเชิง
“ไม่นานเจ้าก็จักได้รู้ เพราะงานนี้ก็ต้องพึ่งเจ้าด้วยเหมือนกัน เจ้าอัชย์” หมอจรัสยิ้มพลางหยิบทองหยิบใส่ปากและหันกลับไปอ่านหนังสือต่อไป
-
โชคดียังเข้าข้างผมอยู่บ้าง หมอจรัสให้ผมนอนในห้องของตัวเองต่อไปโดยไม่ต้องระเห็จไปนอนกับสนที่เรือนเล็กด้านหลัง สนนั้นแวะเวียนมาชวนผมออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกบ้าง แต่ไม่บ่อยนัก เพราะดูเหมือนเขาเองจะรับรู้แล้วว่าผมอาจไม่ใช่เจ้าบ้าคนเดิมอีกต่อไป
งานของผมนอกจากไปช่วยคุณชั้นทำอาหารและขนมที่เรือนคุณชั้น ผมยังต้องช่วยหมอจรัสแปลเอกสารจากภาษาอังกฤษมาเป็นภาษาไทยอีกด้วย ซึ่งบางครั้งหมอจรัสก็ไม่สามารถหาคำภาษาไทยมาอธิบายศัพท์เฉพาะทางภาษาอังกฤษได้
ชีวิตสองภพของผมบัดนี้ดูเหมือนจะเข้าร่องเข้ารอยมากขึ้น ผมโหยหาที่ที่จากมาน้อยลงอาจเป็นเพราะเวลาในการคิดถึงมันน้อยลงไปด้วย วันเวลาสำหรับที่นี่ผ่านไปเร็วมาก
คืนหนึ่งขณะที่ผมกำลังง่วนอยู่กับการเปิดตำราหาตัวยาที่ใช้รักษาโรคคุดทะราดอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ
“ใครวะ” ถึงแม้จะรู้แล้วว่าเป็นใคร แต่ผมก็ยังต้องถาม
“เราเอง” เสียงผู้อยู่เบื้องหลังบานประตูตอบ ผมยิ้ม ก่อนจะลุกไปเปิดประตู
“มาทำไมป่านนี้วะ ดึกแล้ว” ผมทักเมื่อเปิดประตูเจอหน้าหมอปีย์ยิ้มหน้าเจื่อน
“เราเอ่อ เรา” เขาหันซ้ายหันขวา “เราอยากเข้าไปหาหนังสือในห้องเจ้า”
ผมยิ้มอย่างรู้ทัน หลบตัวเองให้เขาเข้ามาก่อนปิดประตู
“หมู่นี้เจ้ามิค่อยมีเวลา” เขานั่งลงบนเตียง
“อ้าว ก็คนมีการมีงานทำนี่นา ไม่เหมือนใครบางคน วันๆมีคู่หมั้นนั่งเฝ้าไม่ห่าง” ผมล้อหมอเล่นเรื่องคำแก้ว ที่มักจะแวะเวียนมาทักทายบ่อยครั้งขึ้น แต่จะอยู่ครั้งละไม่นาน เพราะสมัยก่อนหญิงสาวห้ามไปหาผู้ชายถึงเรือน
“แล้วทำไมเจ้าถึงไม่เฝ้าเราเล่า”
“เรื่องอะไร ทำไมต้องเฝ้า” ผมนั่งลงบนโต๊ะเขียนหนังสือตัวเดิม ก่อนจะเปิดหนังสือหน้าเดิมที่ทำงานค้างไว้
“เจ้าก็เป็นเสียอย่างนี้อยู่ร่ำไป” ผมไม่ได้หันไปมองเขาหรอก เพียงแต่รับรู้ได้ว่าน้ำเสียงเขาดูเบาลงไป
“โอ๋ๆ น้อยใจเหรอ เอาน่า ชั้นไม่ได้ไม่สนใจนายเสียหน่อย เพียงแต่ไว้ใจ ชั้นรู้ว่านายไม่ทำอะไรไม่ดีหรอก จริงมั๊ย” ผมเดินมานั่งใกล้ๆเขา
“จริง” หมอปีย์ตอบก่อนจะยิ้มราวเด็กอายุแปดขวบ ผมขยับตัวก่อนจะล้มตัวลงบรรจงวางหัวลงบนตักเขา
แสงเทียนจากมุมเสาสาดส่องมาที่ใบหน้าของหมอปีย์ ที่บัดนี้ก้มมองผมด้วยแววตาอันอ่อนโยน
“หมอ สิวขึ้นน่ะเนี๊ยะ” ผมเอามือแตะสิวเม็ดเล็กๆที่ขึ้นที่ปลายจมูกเขาอย่างเบามือ
“โอ้ย” แต่หมอนั่นเสือกร้องซะเสียงดัง
“หือ ไอ้หมอ อย่ามาทำสำออย ร้องยังกะผ่าริดสีดวง”
“ก็มันเจ็บนี่”
“เครียดอะไรรึเปล่าทำไมสิวขึ้น”
“อืม มีเรื่องกังวลใจ นี่ก็ใกล้เวลาที่เราจักต้องให้คำตอบหมอจรัสเรื่องงานแต่งระหว่างเรากับคำแก้วแล้ว แต่เรายัง.......”
บรรยากาศเงียบลงฉับพลัน เหมือนลมพัดกรุ่นๆหอบไอเย็นมาเมื่อครู่ดับวูบลงทันใด
ผมไม่พูดอะไร เพราะในใจนั้นจุกเหมือนโดนกระแทกอย่างแรง ความสุขที่เกิดขึ้นในช่วงหลังมานี้ ทำให้ผมหลงลืมวันเวลาที่มันควรจะเป็นจริงตามครรลองครองธรรม
“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยหมอ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไปเถอะ ชั้นเหนื่อยเหลือเกินแล้วกับการที่ต้องฝืนอะไรที่มันยากที่จะฝืน” เสียงถอนหายใจของผมดังเล็ดลอดออกมาท่ามกลางความเงียบ
“เจ้าจักยอมแพ้รึ”
“ก็ถ้าโชคชะตามันกำหนดไว้ ชั้นจะทำอะไรได้”
“นี่มันมิใช่วิสัยของเจ้า”
“ชั้นเหนื่อยแล้วว่ะหมอ จริงๆ บางทีชั้นคิดว่าชั้นอาจคิดผิดก็ได้ที่เลือกทำตามใจตัวเอง” ผมลุกขึ้นนั่ง
“จะให้ชั้นบุกป่าฝ่าดง หรือทำอะไรโลดโผนโจนทะยาน บุกน้ำลุยไฟแค่ไหน ชั้นไม่เคยกลัว แต่การที่จะให้ฝืนธรรมชาติที่มันจะต้องเป็น ชั้นทำไม่ได้ว่ะ”
หมอปีย์นิ่งไปชั่วขณะ แววตาสั่นระริกด้วยน้ำที่คลอเบ้าตา
เขาไม่พูดอะไร เพียงแต่แววตาเท่านั้นที่จับจ้องมาที่ผม
“พ่ออัชย์ อย่ายอมแพ้เถิด เราขอร้อง อย่ายอมแพ้ เราสู้คนเดียวไม่ได้ หากไม่มีเจ้าสู้อยู่เคียงข้างเรา”
-
คืนนี้พอแค่นี้ก่อนนะครับ จะไปดูชิงร้อยชิงล้าน(เมื่อวานเผาหลอก วันนี้เผาจริง) อ่านให้สนุกนะครับ ใกล้จบแล้วหล่ะ อีกปีกว่าๆ :z13:
-
:monkeysad: :เฮ้อ:
:call: ไม่มาม่านะ
-
พ่อเซ็งเป็ด เอาจริง อีกปีกว่าๆใช่ไหมคะ ฮิๆ ดีใจนะไม่ใช่อะไร
อยู่ด้วยกันอีกนานๆ ^o^
-
หมอปีย์ พ่ออัชย์ สู้น่ะพ่อ
-
ใกล้จบแล้ว อีกปีกว่าๆ :mc4:
พ่ออัชย์ อย่าท้อ :L2:
-
ในที่สุดอัชย์ก็ยอมรับหัวใจตัวเองสักที สู้เคียงหมอปีย์ต่อไปเถอะอย่าเพิ่งยอมแพ้เลย
ชอบตอนที่ต่อปากต่อคำกับคำแก้วแฮะเธอคงอึ้งมิใช่น้อยหากรู้ว่าสามีพ่ออัชย์เป็นใคร หึหึ
ขอบคุณที่มาลงให้อ่านยาวๆครับ :pig4:
-
:L2:พ่ออัชย์ สู้ๆ นะ สู้ไปพร้อมกับหมอปีย์ ร่วมกันฝ่าอุปสรรคไปด้วยกันนะ :L2:
-
ก็ต้องค่อยดูว่า พ่ออัชย์กับหมอปีย์จะทำยังไงกันต่อไป
สู้ต่อไปเน้อ ! ไอ้มดแดง!!!
ผัวะ!!
/me (โดนตบออกนอกเล้า TT^TT)
-
เกือบได้มาอ่านแบบถ่ายทอดสด > <
สนุกมว๊ากกกก
ตอนนี้แอบอ่านแล้วหดหู่จังค่ะ สงสารทั้งหมอปีย์ทั้งอัชย์
อ่านแล้วกลัวว่าอยู่ดีๆอัชย์จะโปล่กลับไปที่บ้าน แล้วหมอปีย์ต้องเศร้าอยู่คนเดียว
ขอให้จบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งได้ไหมคะ สาธุๆๆ
-
แววมาม่ามาเลย อินจนเครียด
-
อิจฉาชิงร้อยชิงล้าน
-
อ่านตอนแรกกระเพาะร้องโครกคราก อ่านตอนท้ายเครียดลงกระเพาะ
-
ตอนนี้มาดราม่าเลยทีเดียว
ลืมเรื่องคำแก้วกับหมอปีย์ไปแล้วนะเนี่ย
นึกว่าทางจะสะดวกแล้วซะอีก
รออ่านตอนต่อไปจ้า :L2:
-
ไม่โดนไล่ออกจากบ้านก็ดีแล้ว
แต่หวั่นใจว่าจะมีงานอะไรให้อัชญ์ทำนี่สิ
ถ้ามีมาม่าอีกคนอ่านตายแน่ กินจนจุกหมดแล้วเน้อ :sad4:
-
ได้กลิ่นมาม่าต้มเลยละที่นี้
-
เอ้ยยยยยยยย!!
พ่ออัชช์ ห้ามยอมแพ้นะเว้ย
ต้องสู้ดิ สู้ด้วยกันกับหมอปีย์
ห้ามยอมแพ้ง่ายๆอย่างนี้เด็ดขาด!!!
ทั้งๆที่คุณชั้นและหมอจรัสเริ่มจะดีกับพ่ออัชช์แล้วแท้ๆ
แต่กลับดันมีอุปสรรคเรื่องความถูกต้องอีก เห้อ...
รอตอนต่อไปค่ะ มาไวๆนะคะ ไม่เอาเป็นปีน๊าาาาา :)
-
:a5: :a5: :a5: :a5: :a5: :a5:
อร๊ากกกกกกกกก ไม่ได้ฝันไปใช่มั๊ยยยย 3 เดือนที่รอคอย
ขอบคุณมากๆนะคับ
-
ได้กลิ่นมาม่ามาแต่ไกล..
ไม่กินได้มั้ยพ่อ เราอิ่มแล้ว :z3:
พ่ออัทย์ต้องสู้ต่อไป(ทาเคชิ)นะ
สู้เพื่อตัวพ่ออัทย์เองแล้วก็เพื่อหมอด้วย o13
อย่ายอมแพ้ พักได้แต่อย่าถอยนะพ่อ..TT
-
มาแล้ว =w= คิดถึงพ่ออัชย์ !
:z3: ขอปริ้นไปอ่านอีกรอบนะคะ
เดี๋ยวจะมาเม้นอีกที :laugh:
-
เสนห์ของขนมไทยมันอยู่ที่ความละเมียดละมัย ใส่ใจในทุกขั้นตอน o13
ส่วนชีวิตของหมอปีย์กับพ่ออัชย์ จะละเมียดละมัย หรือจะกระตุก กระตัก คงต้องรอ คุณนนท์ดูชิงร้อย ชิงล้านก่อน :z2:
+1 ให้เป็นกำลังใจครับ
-
รับรู้ถึงความยากลำบากที่จะรักกันจริงๆ
สมัยก่อนเขายังไม่ยอมรับเท่าสมัยนี้ อะไรๆ ก็ดูจะยากไปหมด
ยิ่งใกล้จบก็ยิ่งกลัว ขอให้จบแบบแฮปปี้เอนดิ่งนะเจ้าค่ะ
-
ไม่อยากให้เรื่องนี้จบเลย :z3: :z3: หลงรักแล้วอะ :กอด1:
-
รออ่านตอนต่อไปอยู่น่ะคับพี่เป็ด เป็นกำลังใจให้คับ :call:
-
สูตรอาหารที่ได้อ่าน
ยังไม่เคยลองทำดูซักที
เป็นกำลังใจให้คุณพี่เซ็งเป็ดน่ะ สู้ๆ
-
แงแงไม่เอาดราม่าน้าาา กลัวร้องไห้ แงแง
-
หมอปีย์ยังสู้เลย เจ้าก็ต้องสู้กับหมอด้วยซะวะ
-
ทาสเขียนงี้บ่จ้าย ทาศเด้อค่ะ
-
โอ๋ๆๆๆ หมอ :monkeysad:
-
เศร้าอ่ะ :sad4:
เรื่องดำเนินไปด้วยดี แต่ทำไมมันเศร้าแบบนี้ :sad5:
-
โอ๊ยยยย!!! อย่ายอมเเพ้นะตัวเธออ o13 o13
-
ขอบคุณ คนเขียนมากแต่งได้เก่งมากที่สามารถแต่งเรื่องนี้ได้อย่างลงตัว ที่นำเรื่องความรักแบบนี้ไปอยู่ในยุคอตีต ที่ยังปิดกัน และเขียนออกมาได้ดี ไห้ความรู้สึกกับตัวละคร และกับตัวเราเองที่ลืมสิ่งดีๆที่เรามีอยู่
ขอบคุณมาก ยังรออ่านต่อครับ :pig4: :pig4: :pig4: :
-
วันนี้จะมาต่อป่ะค๊าบบ ยังไงก็รอนะๆ ^^
-
กี๊ซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ
รอรอรอรอ มาต่อเร็วๆนะคะ
-
รอดูบทสรุปอยู่นะคะ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ก็รับได้จ้า (แต่อย่าดราม่าเยอะนา ฮุฮุ)
ฟังเพลงในละครเวทีทวิภพแล้วค่อนข้างเข้าเลยทีเดียวคะ คนละภพ ลมเอย สุดยอด~
-
พ่ออัชย์อย่ายอมเเพ้สิ สู้ต่อไปด้วยกันกับหมอปีย์น่ะ
ไม่อย่ามาม่าน่ะ รอตอนต่อไปค่ะ
-
อ้าววว ใกล้จบแล้ว จิงป่าวอ่า อยากรู้บทสรุปซะแล้วสิ ว่าหมอปีย์จสู้ยังไง แล้วอยากรุว่าหมอจรัสคิดยังไง ไว้ใจพ่ออัชย์แล้วจิงๆหรอ (อยากรุเยอะไปป่าวหว่า >.<")
-
น่าสงสารหมอปีย์นะ ไม่ใช่คนที่กึ่งๆไม่มีอะไรจะเสียแบบอัชย์ หมอจรัสมีแผนอะไรหว่า
-
ยังไงหมอปีย์ก็ไม่ได้รักคำแก้วใช่ป่ะ
แต่งไปก้บ่แฮปปี้
-
สงสารทุกคนเลย ขนาดเกิดในสมัยนี้เรื่องแบบนี้ก็ยังไม่ง่าย
แต่นี่เกิดในสมัยโน้น ไม่อยากคิดเลย
-
:sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:
อ่านทันแล้วววว
:m31: :m31: :m31: :m31:
สนุกมากคร๊าฟฟฟ
-
คำร้องขอคำนั้นของหมอปีย์ทำให้ผมน้ำตารื้อไปเหมือนกัน สิ่งที่หมอปีย์พูดแสดงถึงอาการสิ้นหวัง และต้องการใครสักคนอยู่เคียงข้างจริงๆ การที่เขารู้สึกอย่างนั้นก็คงจะแย่มากพอแล้ว นี่ยังรู้สึกว่าต้องต่อสู้เพียงลำพังในกรอบวัฒนธรรมที่ปิดกั้นทุกวิถีทาง ยิ่งทำให้เขาเหมือนถูกทิ้งหนักเข้าไปอีก
“เอาเถอะหมอ อย่าเพิ่งไปพูดถึงมันเลยนะ” ผมเปลี่ยนเรื่องเมื่อรู้สึกว่ามันเริ่มจะอึดอัด
“ชั้นเองก็มีเรื่องติดอยู่ในใจเหมือนกัน เรื่องหมอจรัส”
“กระไรรึ” หมอปีย์ถาม
“นายพอรู้มั๊ยว่า หมอจรัสอยากให้ชั้นช่วยงานอะไร”
“รอให้ท่านบอกเจ้าเองจักดีกว่า อีกไม่นานหรอกพ่ออัชย์”
เขายิ้มออกมาได้ในที่สุด
“เจ้าไม่ทำงานแล้วรึ” หมอปีย์หันมาถาม
“ไม่แล้ว ก็นายมัวแต่ชวนคุย”
“แล้วจักทำอะไรเล่า ยามนี้”
“ทำอะไรเหรอ” ผมเป็นฝ่ายยิ้มเจ้าเล่ห์บ้าง “แหม มีคนมาหาถึงห้อง ปลาทูมาหาแมว อย่างนี้แมวจะปล่อยไปได้ยังไง” พลางยื่นมือไปบีบแก้มหมอ เขาหัวเราะคิกคักอยู่ในคอ
“เวลาเจ้าแสร้งทำแววตาเยี่ยงนี้แล้ว ดูไม่เหมือนเจ้าบ้าเลย” เขาหัวเราะเขินๆ
“ทำไม แล้วเหมือนอะไร”
“เหมือนคนหื่นกระเหี้ยนกระหือรือมากกว่า”
“อ้าว ก็ได้ ถ้างั้นไม่ทำอะไรก็ได้ กลับห้องไปดิ ชั้นจะนอนแล้ว”
“อืม” หมอปีย์ พยักหน้า พลางลุกขึ้น ผมตกใจไม่คิดว่าเขาจะออกไปจริงๆจึงจับมือเขาไว้
“จะไปจริงเหรอหมอ”
“อืม”
“จริงอ่ะ”
“อื้ม”
“หมอจรัสไม่อยู่ไม่ใช่รึ มานี่เถอะ อย่าเล่นตัว” ผมดึงหมอเข้ามา
แล้วหลังจากนั้น หมอปีย์กับผมก็เริงร่าอยู่ในโลกที่เราสร้างขึ้น. ลืมเรื่องราวที่เราทั้งคู่กังวลใจ แล้วแหวกว่ายไปมาในห้วงทะเลอารมณ์............เพียงแค่เราเท่านั้นในโลกแห่งนี้...เพียงแค่เรา...........จริงๆ
-
บึ๋ยย..ใจร้ายอ่ะ ตัดฉับไปได้ไง
-
:z3: :z3: :z3: แงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :sad4: :sad4: :sad4: จัยร้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยย
-
โว๊ะ หมอจรัสไม่อะไร พ่ออัชย์นี่เป็นเมีย ที่น่ารักนะคะ เริ่มก่อนเลย (คนสมัยนี้ใจร้อน) ๕๕
-
คราวนี้ไม่มาเป็นบทอัศจรรย์เหมือนคราวก่อนแฮะ555
รอตอนต่อไปค่า หมอจรัสไม่น่าไว้ใจจริงๆนะ! บุ่ยๆ
-
อ๊ายยยย :o8: :o8:
-
เหตุใดจึงไปเชิญชวนหมอปีย์อย่างนั้นเล่า *ตี* ไม่รักนวลสงวนตัวเลยพ่ออัชย์ :o8: :-[ :-[
-
มาให้ค้างแลวก็จากไป แงๆๆ :o8: :sad4:
-
เรื่องระหว่างผมกับหมอปีย์ไม่มีใครระแคะระคายเลย เพราะทันทีที่ออกจากห้องนอน ผมกับเขาก็เหมือนเพื่อนกันธรรมดา นานๆสักครั้งเราจึงหาโอกาสเหมาะๆที่ปลอดคน หลบมานั่งปรับทุกข์และคุยกัน
จะมีเพียงคำแก้วเท่านั้นที่ผมรู้สึกว่าเธอกำลังจับตามองผมกับหมอปีย์อยู่ ไม่ใช่ว่าผมคิดไปเอง แต่ทุกครั้งที่ผมมาทำอาหารที่เรือนคุณชั้น เธอมักจะคอยสอบถามเรื่องหมอปีย์กับผมอยู่ร่ำไป และสุดท้ายเธอก็จะถามผมว่าตกลงสามีผมคือใคร
ในบ่ายแก่ๆของวันที่อากาศอบอ้าววันหนึ่ง ผมกำลังนั่งแปลงานเหมือนอย่างเดิม นานๆครั้งถึงจะละสายตาจากกองหนังสือวิชาการที่หมอจรัสขนลงเรือสำเภามาจากอเมริกา ทอดสายตามองออกไปนอกบ้านมองไปยังต้นตบะที่ออกดอกสีม่วงอยู่ไกลๆ เพื่อผ่อนคลายสายตา
“ดูเจ้ายุ่งมากเลยนะ หมู่นี้” จู่ๆเสียงของหมอจรัสก็ทำให้ผมต้องละสายตาจากเปลวแดดที่เต้นระริกอยู่ลิบๆ
“เราใช้งานหนักไปรึเปล่า” เขายิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะนั่งลงใกล้ๆผม ด้วยความเกรงใจและมารยาทที่ซึมซับตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ผมรีบถอยกรูดลงไปนั่งพับเพียบกับพื้นทันที
“ไม่หนักขอรับ ดีเสียอีกที่หมอให้งานกระผม กระผมจะได้ไม่ว่าง อีกอย่างจะได้ช่วยแบ่งเบางานของหมอด้วยน่ะขอรับ” ผมเริ่มพูดคล่องปากมากขึ้น
“ว่าแต่งานแปลของกระผมพอจะใช้ได้บ้างมั๊ยขอรับ”
“ยอดเยี่ยมทีเดียว นี่ถ้าเราไล่เจ้าออกไป เราคงต้องเสียคนแปลฝีมือดีไปอย่างน่าเสียดายแน่ๆ” ว่าแล้วหมอจรัสก็หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี
กลิ่นน้ำหอมที่หมอจรัสใช้ส่งกลิ่นลอยมาตามลม กลิ่นไม่คุ้นเคย น่าจะเป็นน้ำหอมที่มาจากทางฝรั่งเศสเสียมากกว่า กลิ่นหอมที่หนักอึ้ง และค่อนไปทางฉุนเอียนทำให้ผมต้องเมินหน้าหนีในช่วงแรก แต่พอนานๆเข้าก็เริ่มชิน และพบว่า เมื่อกลิ่นน้ำหอมนั้นเจือจาง มันจะส่งกลิ่นหอมอ่อนๆออกมาให้สบายโพรงจมูกมากขึ้น
“เจ้าจำคำที่เราเคยบอกเรื่องมีงานให้ช่วยหรือไม่” ในที่สุดหมอจรัสก็เอ่ยขึ้นมา
“จำได้ขอรับ จำได้” ผมกระตือรือร้นใคร่รู้
“เราอยากให้เจ้าช่วยเราทำหน้าที่รับรองแขกต่างชาติ ในอีกสองสัปดาห์ที่จะถึงนี้ เราจักจัดงานเลี้ยงหมอต่างชาติที่ประจำอยู่ที่สยาม ไม่มีใครที่รู้ภาษาอังกฤษดีเท่าเจ้า”
ผมโล่งอกทันทีที่รู้ว่างานคืออะไร
“No Problem ขอรับ กระผมยินดี”
“อ้อ อีกอย่าง เราอยากให้เจ้า ช่วยไหว้วานคุณชั้น ให้หล่อนช่วยเป็นแม่งานเตรียมงานให้เราในครั้งนี้ได้รึไม่”
เย็นวันเดียวกันนั่นเอง ผมได้นำเรื่องนี้ไปบอกคุณชั้น ซึ่งเธอก็ไม่ขัดข้องอะไร ตรงกันข้ามกลับกระตือรือร้นที่จะช่วยงานของหมอจรัสในครั้งนี้ ถึงขนาดอาสามาหาหมอจรัสถึงเรือนเพื่อขอทราบรายละเอียดของงาน
หมอปีย์ก็ดูจะตื่นเต้นไม่น้อยกับงานใหญ่ครั้งนี้ เขาจำได้ว่าทุกๆสองปี จะมีการพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแนวทางของหมอแผนปัจจุบันที่มาจากต่างชาติ แต่เมื่อสองปีที่แล้ว งานนี้ถูกยกเลิกไปเพราะเกิดโรคห่าครั้งใหญ่ในกรุงสยาม คราวนี้จึงเท่ากับงานจัดขึ้นสี่ปีเลยทีเดียว
“ชั้นต้องทำอะไรบ้างอ่ะหมอ” ผมหันไปถามหมอขณะที่เขากำลังนั่งอ่านตำรา
“เป็นล่ามเหมือนที่เจ้าเป็นนั่นแหละ ไม่มีอันใดมากดอก “ พูดเสร็จเขาก็ไอออกมาสองสามที
“นายไม่สบายเหรอ”
“อืม สงสัยจะเพลียแดด” หมอปีย์ออกไปเรือนหลังสวนทั้งวันท่ามกลางอากาศที่ร้อนผ่าว ไม่แปลกที่เขาจะกลับมาพร้อมอาการไข้แดด
“ตัวร้อนจริงๆด้วยหมอ” ผมอังมือบนหน้าผากเขา
“เป่ากระหม่อมให้เราหน่อยสิ เผื่อเราจักหาย” เขาแกล้งยิ้ม
“จะบ้าเหรอหมอ ชั้นไม่ใช่ครูมวยนะเว้ย”
“เวลาไม่สบายก็อยากมีใครอยู่ใกล้ๆ”
“สำออยน่าหมอ เป็นแค่ไข้แดด”
“เมื่อเรายังเด็ก ในยามที่ไม่สบาย เราต้องนอนคดคู้อยู่ในห้องมืดคนเดียว ร่ำร้องหาใครสักคนเอามือมาแตะหน้าผากอย่างที่เจ้าทำ ถามเราสักคำว่าเป็นเยี่ยงไรบ้าง เราต้องการเพียงแค่นี้ แต่.....” หมอปีย์เหมือนกล้ำกลืนความเจ็บปวดบางอย่างที่เกิดขึ้นในอดีตลงคอ “ไม่มีใครเลย”
“เอาเถอะหมอ” ผมนั่งลงใกล้ๆเข้า กุมมือทั้งสองของเขาไว้อย่างแน่นที่สุด
“ตอนนี้นายก็มีชั้นแล้วนี่ไง” รอยยิ้มแห่งความหวังดีปรากฏบนใบหน้าของผม “พักผ่อนเถอะนะหมอ ตื่นมาจะได้หาย” ผมว่าพลางจัดท่าให้เขานอนและห่มผ้าให้
ผมลุกขึ้นยืนมองเขา ก่อนจะก้มตัวลงไปลูบหัวเขา
“เพี้ยง ตื่นมาขอให้หายเลยนะหมอ” เล่าเป่าออกมาอย่างแผ่วเบาสัมผัสไรผมของหมอ ผมยิ้มให้เขาอีกครั้งและทันทีเขาก็ยิ้มตอบกลับมา
ผมปล่อยให้เขาพักผ่อนในห้อง ส่วนตัวเองนั้นขอตัวไปทำกับข้าวเย็นที่เรือนคุณชั้นเหมือนเคย
-
“หมอจรัสไม่อยู่ไม่ใช่รึ มานี่เถอะ อย่าเล่นตัว” ผมดึงหมอเข้ามา
^
^
ไม่รู้ทำไมแต่ชอบประโยคนี้
-
เย็นวันนี้คุณชั้นเธอเลือกทำขนมจีนซาวน้ำด้วยเหตุผลที่อากาศช่วงนี้ร้อน การได้กินขนมจีนซาวน้ำที่มีธาตุเย็นจะช่วยดับร้อนจากภายในได้
ผมเองตอนอยู่ กรุงเทพฯก็เคยได้ยินมาบ้างแต่ไม่เคยได้ลิ้มลองเลยสักครั้ง เพราะไม่มีโอกาสและหากินยาก แต่เมื่อวันนี้ได้มีโอกาสได้เห็นและเรียนรู้ จึงตื่นเต้นเป็นพิเศษ
คุณชั้นเธอเล่าให้ฟังว่า ขนมจีนนั้นต้องใช้ขนมจีนเส้นสดที่ไปซื้อมาจากเจ๊กที่ท่าพระจันทร์ เธอบอกว่าเส้นสดจะมีรสนุ่มและไม่มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวเหมือนเส้นหมัก
อีกสิ่งที่สำคัญคือกะทิ ที่ต้องเลือกใช้เฉพาะหัวกะทิคั้นสดๆที่ได้จากมะพร้าวห้าวนำมาเคี่ยวด้วยไฟอ่อนๆ จากนั้นก็ค่อยๆใส่หางกะทิลงไปเล็กน้อยเพื่อไม่ให้กะทิข้นเกินไป
“เมื่อกะทิร้อนดีแล้ว ให้ปรุงรสให้ออกหวาน เค็มนิดๆ” เธอสาธยายให้ฟังอย่างละเอียด
ขนมจีนซาวน้ำนั้น มีเครื่องเคียงหลายอย่าง เป็นอาหารที่รสไม่จัด แต่จะออกหวานเค็ม มัน และหากชอบเปรี้ยว หรือเผ็ดก็สามารถปรุงเพิ่มได้ตามใจชอบ
นอกจากเครื่องเคียงไม่ว่าจะเป็นกุ้งแห้งป่น สับปะรด ขิงซอย พริกชี้ฟ้าซอย กระเทียม มะนาวแล้ว ที่สำคัญที่ขาดไม่ได้นั่นคือ “แจงลอน” หรือเนื้อปลากลาย ที่นวดจนเหนียวขึ้นมือกับเกลือ และปั้นเป็นลูกชิ้นวงรีพอดีคำต้มในกะทิ หรือปิ้งไฟพอสุก
“น่ากินจังเลยครับคุณชั้น” ผมตอบน้ำลายสอเต็มกระพุ้งแก้ม
“คุณชั้นครับ ผมขอแบ่งขนมจีนซาวน้ำไปให้หมอปีย์ได้มั๊ยครับ พอดีหมอไม่ค่อยสบายนะครับ” ผมยิ้มอย่างอายๆ แต่ทันทีที่บอกว่าหมอปีย์ไม่สบาย คำแก้วก็หันขวับหูผึ่งมาทันที
“เอาสิ ทำตั้งเยอะตั้งแยะ ตักไปเผื่อหมอจรัสเสียด้วยเลย”
“คุณป้าเจ้าคะ คำแก้วขออาสาเอาสำรับไปให้หมอได้มั๊ยเจ้าคะ” เธอหันไปขออนุญาตคุณชั้น
“หนูวาดขอไปด้วยนะเจ้าคะคุณป้า หนูวาดอยากไปดูงูในขวดโหล”
เสียงหนูวาดเจื้อยแจ้ว
“ไม่เป็นไรหรอกคำแก้ว” ผมยิ้มหวาน “เดี๋ยวชั้นถือไปเอง ค่ำมืดดึกดื่นเธออยู่เฝ้าเรือนเถอะ”
สีหน้าคำแก้วเปลี่ยนไปทันที หล่อนจ้องมองผมด้วยสายตาแข็งกร้าวชั่วครู่ ก่อนจะก้มหน้าเก็บของต่อไป นี่ถ้าคำแก้วเป็นผู้หญิงยุคผม เธอคงกระโดดถีบยอดหน้าผมไปแล้ว
ผมหิ้วสำรับที่คุณชั้นจัดมาให้ที่เรือนหมอจรัส ทุกอย่างถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบสวยงาม ผมถือกลับเรือนอย่างระมัดระวัง แสงอาทิตย์ยามเย็นราวๆสักห้าโมงแล้วแต่ยังคงส่องแสงแรงกล้าอย่างไม่ลดละ ถึงคราวร้อน ที่นี่ก็ร้อนเสียจนแทบจะกระโจนลงคลองเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“หมอ หมอ” เสียงเปิดประตูก่อนจะตามมาด้วยเสียงเรียกหมอดังขึ้นอย่างแผ่วเบา หมอปีย์นอนหันหลังให้ ผมจึงไม่แน่ใจว่าเขาจะหลับอยู่หรือเปล่า
“หมอ”
เมื่อแน่ใจแล้วว่าหมอปีย์หลับ ผมจึงวางสำรับไว้ตรงโต๊ะหัวเตียง รอให้เขาตื่น เขาคงลุกมากินเอง พลางหันหลังจะเดินออกจากห้อง
“แอ้ม!!” หมอปีย์กระแอมในลำคอ ผมหันหลังกลับไปมอง
“ใคร”
“ชั้นเองหมอ ชั้นเอาอาหารเย็นมาให้” ว่าแล้วผมจึงเดินกลับไปหาเขาอีกที “ลุกขึ้นมาทานเสียหน่อยนะ จะได้มีแรง”
“อะไร”
“ขนมจีนซาวน้ำ คุณชั้นเธอให้เอามาให้น่ะ กินซะจะได้ดับร้อน” สำรับถูกยกมาวางไว้ใกล้ๆหมอ
“ไหนดูสิ” ผมวางมือลงบนหน้าผากของเขา “อืม ตัวไม่ร้อนแล้วนี่นา” และก็อดแปลกใจไม่ได้ ว่าทำไมหมอจึงไม่มีไข้เลย
“หายแล้วนี่หว่า”
“ยัง!!!” จู่ๆ หมอปีย์ก็โพร่งออกมาอย่างลืมตัว “เอ่อ ยังดอก เรายังรู้สึกเพลียๆ ไม่ค่อยมีแรง เจ้าป้อนเราหน่อย”
“เฮ้ย กินเองดิ โตแล้วนะเว้ย”
ผมพูดจบหมอปีย์ก็ชักสีหน้า ก่อนล้มตัวลงนอนเหมือนเดิม “ถ้าเจ้าไม่ป้อน เราก็ไม่กิน”
ถึงบทที่หมอนั่นจะดื้อขึ้นมา ผมก็เทียบชั้นไม่ติด ในที่สุดจึงใจอ่อนยอมป้อนให้เขาแต่โดยดี
“นายนี่มัน จริงๆเลย” ผมส่ายหัว แต่ก็ป้อนให้อย่างเต็มใจ
“อืม กลมกล่อมดีแท้ รสมือเจ้านี่เข้าขั้นแล้วทีเดียว” เขาเอ่ยปากชม
“ใครบอก นี่ฝีมือคุณชั้นตะหาก โห่” ผมหัวเราะ
“แต่ยังไงเราก็เชื่อว่า ถ้าเจ้าทำยังไงก็ต้องอร่อย พ่ออัชย์ของเราน่ะ ทำอาหารอร่อยที่สุด” แล้วหมอปีย์ก็ยิ้มร่า
ผมรู้สึกหมั่นไส้ในคารม จึงจงใจแกล้งป้อนอาหารให้เลอะปาก
“เฮ้ย หมอ ขอโทษว่ะ” น้ำขนมจีนไหลย้อยมาตามร่องจมูกของหมอปีย์ ผมหัวเราะ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหาผ้ามาเช็ดปาก
แต่ระหว่างที่ผมกำลังเช็ดปากให้หมอปีย์อยู่นั้น.......................
“หมอเจ้าคะ.....................”
-
คืนนี้เรียกน้ำย่อยก่อนนะครับ
ขอไปเขียนเพิ่มอีกนิดนึง เดียวจะจบแบบไม่สวย :a5:
-
กี๊ซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ ค้างคา
-
อย่าลืมกลับมาต่อเร็วๆนะคะ :sad4:
ค้างมากกกกกกกกก o22
-
เฮืกกกกกกกกก !! มีมารรรรรรรรรรรร
ขัดขวางทำไมๆๆ คำแก้วแน่ๆ :o211: o21
-
เอ่อ อีคนพูด หมอเจ้าค่ะ...... :fire:
สามคำ>>>ไป ไกล ไกล :serius2:
-
อั้ยย่ะ เสียงนั้นคือนางคำแก้วใช่หรือไม่ มีมารมาผจญซะแล้วสิ เสียวแทน :a5:
-
ไผเข้าไปหาหมอ!!!
หมอปีย์กับพ่ออัทย์กำลังสวีทวิ๊ดวิ้วอยู่นะ
ขัดจังหวะจริงเลยเธอ =[]=
-
มารผจญ :beat:
+1
-
อารมค้างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง :a5: :a5: อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!!! :z3: :z3:
-
หมอเจ้าคะ ค้างมากกเจ้าค่ะ :laugh:
-
โห แล้วตอนเริงร่าในอารมณ์ หายไปไหน :serius2: ตัดกันแบบนี้ แย่ดิ
ต้องจบแฮปปี้นะ ไม่งั้น อิชั้นจะเผาเรือนค่ะคุณ o18
-
^^
^^^^^
^^^^^^^^
อิฉันพร้อมทำหน้าที่ราดน้ำมัน ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
-
มาเฟียกันทั้งน้านนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน ป่าเถื่อนที่ฝุด :o12:
-
โห กำลังหวานได้ที่ อยู่ๆ ก็มีเสียงมารมาผจญ อย่างนี้มันต้องงงงงงงงงง :beat: :beat: :beat:
-
เย้ยยยยยยย นังนั่นมันเป็นใคร
บังอาจมาขัดขวางช่วงสวีท :z6:
-
ขอบคุณที่มาต่อนะคร๊าบบบบ เพิ่งอ่านตอนที่เเล้วจบเมื่อวาน :)
-
ใครนะ กล้ามาขัดเวลาอันแสนสุข
-
เสียงชะนีเข้ามากระชากอารมณ์คนอ่านมาก o18
-
ไม่มีฉากอัศจรรย์ก็ขอฉากจูบลูบไล้บ้างเถิดเจ้าประคุณรุนช่อง
ตัดฉากเป็นบทบรรยายตลอดอ่ะ
โฮกกกกกก. Need fan service ! :z3:
-
เจ้าของเค้ามา...... ทำไมคนอ่านเหล่า FC พ่ออัชย์ถึงได้ :m16: นักนะ 555.....
+1 ให้เป็นกำลังใจครับ คุณนนท์
-
อ๊ายยยย ขัดจังหวะอ่ะ
-
ใครฟร้า ค่ำมืดคนเค้าจะสวีท มาทำไม
5555555555+
-
อ๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ค้างอย่างแร๊งแรงงงงงงงงงงง
ไม่ชอบยังคำแก้วเลย เขาสวีทกันอยู่ยังไปเป็นมารขัดความสุขอีก
-
คู่นี้น่ารักอ่ะ!
-
คนเขากำลังสวีทหวานแหววกันอยู่ ดันมีมารผจญโผล่มาขัดจนได้ :beat:
แต่คู่นี้ช่างหวานกันเหลือเกิน :-[
-
เรารออ่านตอนต่อไปอยู่น่ะพี่เป็ด และอยากรู้นักว่าผู้ใดมาหาหมอปีย์และพ่ออัชย์ :a5:
-
ไล่ตามอ่านทันจนได้ พี่ตัดตอนฉับจนหนูปวดใจ
ใครเป็นคนเข้ามาหาหมอปีย์กันนี่
รอตอนต่อไปค่ะ^^
-
โอ๊ย ใครน่ะ
มาขัดจังหวะทำไม :m31:
-
:m16:ต้องเป็นนางชะนีคำแก้ว แน่ๆ เลย หล่อนนี่ช่างเป็นมารผจญจริงๆ น่าจับตบให้คว่ำจริงๆ :m16:
-
สงสัยติ้ดนึง
ตกลงหนูวาดเป็นยายหรือทวด
แล้วพ่ออัชเปนหลานเหลนรึโหลนกันแน่
-
o18
ตัวขัดจังหวะเข้ามาอีกละ....จุ้ฟหมอโชว์เลยพ่ออัชย์ :laugh:
-
อีนางคำแก้ววววววววววววววว ตบ !!! :angry2:
-
ใครวะ?! มารหัวขน คำแก้วถ้ามาเกิดในปัจจุบันนะ คงจะแรงจริงๆ = ='
-
โห้กำลังสวีทเลย มาทำไมเนี่ย
-
นังมารคอหอย มาขัดขวางความสุขของหมอปีย์ได้ไง
-
แอ๊ะ o22 ใครน้าาาากล้ามาขัดจังหวะ เดี๋ยวแม่ตบซะนี่ :m16: :m31:
-
ก๊าซซซซซซซซซซซซ
ใคร!!! ชาวเล้าเป็ดแฝงตัวไปใช่ม๊ายยยย
ไม่ชวนนนน :z3: ( :beat: ไม่ใช่แล้วย่ะ!)
-
อูย..........*เอาหัวโขกคอม*
ดีนะคนมาเจอเป็นผู้หญิง แถมมากับคำว่าเจ้าคะ ถ้าพวกคนใช้ในบ้านมาเจออย่างมากก็คงเอาไปนินทาล่ะมั้งแต่ถ้าคำแก้วมาเจอเนี่ย...ไงดีล่ะ เหมือนคุณเจ๊เธอจะรู้อยู่แล้วนะ ยิ่งมาเจอแบบนี้ยิ่ง..เอ้อ
โอยยยย อยากอ่านตอนต่อไป แต่ยิ่งเรื่องนี้เข้าใกล้ตอนจบหนูก็ยิ่งกลัวววว>0<
อ่านแล้วจะร้องไห้มั้ยเนี่ย..
-
เสียงใครน่ะ!!!!
อย่าบอกว่าคำแก้วนะ แย่แน่ๆ
ไม่อยากให้อัชย์กับหมอปีย์ต้องแยกจากกันเลยย ฮืออ T^T
-
หล่อนเป็นใครกัน
มาขัดจังหวะได้ไง
-
o22
โว้ยยย ใครมาขัดเนอะ "หมอเจ้าค่ะ" !!!
-
จบสวยๆๆๆๆๆๆๆๆ
:call: :call: :call:
-
เห็นรางมาม่ามาแต่ไกล
-
ช๊อบ ชอบบ :กอด1: ชอบเรื่องนี้มาก
อยากให้จบมีความสุขจังเลย :sad4: ถึงแม้ความหวังน้อยนิด
แง่ว แต่ยังหวังอยู่น๊า :L2:
-------------------
ตรง “หนูวาดยังอยู่ดีรึ สมัยเจ้า”
“อยู่ดีครับ ยายหนูวาดอายุยืน และก็แข็งแรงทีเดียว"
เรามึนตรงไหนไปรึเปล่าค๊า ทำไมรู้สึกเหมือนหนูวาดแก่ตายไปแล้ว
-
เข้ามาเต้นระบำรอตบคำแก้ว :z2:
-
ณ เพลานี้เรา dislike ให้คำแก้ว แต่ like ให้หมอปีย์กับพ่ออัชย์ :o8:
-
ใคร ใค๊ร ใคร ใครนะมาขัดจังหวะ :m16: :seng2ped:
-
รอนานแล้วนะพ่อ
-
อ๊ากกก มันคืออ้ายอีตัวไหนมาขัดจังหวะเนี่ยยยย :fire: :beat:
-
อย่าจบแบบดราม่า นะขอเถอะ
-
มารอหมอปีย์กับพ่ออัชย์ จ้า
-
ปูเสื่อรอหมอปีย์กับพ่ออัทย์~~~
-
keep in touch ch ch :fire: เบ่งพลังรอ
-
ปูเสื่อรอตบคำแก้วววว ><
-
:m32: แอบย่องมาถามพี่เป็ดว่า ถ้าเรื่องนี้จบจะมีตีพิมพ์ไหมคะ T^T
ถ้ามีก็ขอบันไซ อ๊ายยยยย หนูจะอุดหนุนเยอะๆเลยค่ะ :กอด1:
-
o13 o13 o13 o13
ชอบเรื่องนี้มากกกกกกก
-
ว๊ากกกกกกกกกกก ก
-
เสียงคำแก้วก็ดังขึ้นหน้าห้องที่ผมเปิดประตูเอาไว้เพราะไม่คิดว่าจะมีใครเดินมา เนื่องจากห้องหมอปีย์อยู่มุมสุด และที่สำคัญไม่คิดว่าหญิงสมัยก่อนจะกล้าขึ้นมาหาผู้ชายถึงห้องนอน
คำแก้วยืนตัวแข็งทื่อราวกับต้องคำสาปทันทีที่หล่อนเห็นผมกับหมอปีย์ สีหน้าของคำแก้วบรรยายไม่ถูกว่าเธอรู้สึกอย่างไร ผมกับหมอปีย์เองก็เช่นกัน ในสถานการณ์เช่นนั้น ผมเป็นคนแรกที่ได้สติ กระโดดลุกจากเตียงออกให้ห่างจากหมอปีย์ให้ไกลที่สุด
“คำแก้ว” ผมเรียกชื่อเธอ พร้อมๆกับเรียกสติของหมอปีย์ด้วย
เมื่อเธอได้สติ คำแก้วหันไปหันมาระหว่างผมกับหมอปีย์ เหมือนกำลังพยายามเรียบเรียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้า
เมื่อเธอหยุดหัน สำรับที่เธอถือมาด้วยก็ร่วงกราวลงกับพื้น เสียงเพล้งดังขึ้น แล้วคำแก้วก็วิ่งพรวดลงจากเรือนไปโดยไม่สนใจเสียงเรียกของผม
“คำแก้ว” ผมตกใจกับภาพที่เห็น หันไปมองหน้าหมอปีย์ เขาเองก็ตกใจไม่น้อยกว่าผม แต่ยังคงนั่งนิ่งเหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่เขาเองก็เห็นดีเห็นงามด้วย
และเป็นผมเองที่ต้องกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามคำแก้ว คำแก้ววิ่งลงกระไดผ่านหน้าหนูวาดที่เดินตามมา หนูวาดเองงงงวยกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“มีอันใดกันรือเจ้าคะ” หนูวาดถาม ผมไม่ตอบได้แต่วิ่งตามคำแก้วไป แต่ไม่ทันเสียแล้ว เธอวิ่งหายกลับเรือนคุณชั้นไปแล้ว
“สน สน” ผมเรียกสน ที่เดินออกมาจากแปลงสมุนไพร “คำแก้วขึ้นมาบนเรือนได้ยังไง”
“อ้อ เธอบอกว่าจะเอาสำรับมาให้หมอปีย์น่ะ ข้าเห็นว่ายังมิค่ำมืด อีกอย่างคุณวาดก็มาด้วยจึงปล่อยให้เธอขึ้นไป”
ผมพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรงด้วยความขัดใจ แต่ทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้น ผมจะให้สนรู้ได้อย่างไรเล่าว่า คำแก้วเดินขึ้นไปเห็นอะไร
“นายต้องทำอะไรสักอย่างนะ หมอ” ผมพูดหลังจากเดินกลับไปส่งหนูวาดที่เรือน และหวังว่าจะพบคำแก้วที่นั่น แต่เธอเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง
“คำแก้วต้องรู้แล้วแน่ๆว่าเราเป็นอะไรกัน” ผมเดินไปปิดประตูลงกลอน
“ช่างคำแก้วประไร บางทีเราว่านี่อาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะบอกให้คำแก้วรู้ว่า เรามิอาจเป็นคู่ตุนาหงันที่ดีของเธอได้” หมอปีย์พูดน้ำเสียงราบเรียบ
“นายพูดอย่างนั้นไม่ได้นะหมอ” ผิดกับผมที่น้ำเสียงกระแทกกระทั้นมากขึ้น
“คำแก้วเป็นคู่หมั้นนายนะ อีกไม่นานหมอจะต้องแต่งงานกับเธอ”
“มันเป็นไปไม่ได้หรอก พ่ออัชย์ เจ้าก็รู้ดี” เขาพยายามเก็บอาการหวาดกลัวอย่างสุดกำลัง
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้หมอ ทีเรื่องของเรามันยังเป็นไปได้แล้วเลย ทั้งๆที่มันไม่ควรจะเป็น” ผมกล้ำกลืนความเจ็บปวดก้อนสุดท้ายลงคอ ก่อนจะสูดลมหายใจเต็มที่
“หมอต้องไปหาคำแก้วแล้วปรับความเข้าใจกันซะ อย่าถามเหตุผล เพราะมันมีเหตุผลเดียวที่หมอต้องทำคือ คำแก้วเป็นคู่หมั้น และหมอต้องแต่งงานกับเธอ”
“แล้วเจ้าหล่ะ เจ้าจักเป็นอย่างไร” เขาเงยหน้าขึ้นมาถาม นัยน์ตาปวดร้าวจนผมรับรู้ได้
“ไม่ต้องห่วงชั้นหรอกหมอ อีกไม่นานชั้นก็จะต้องไป ไปโดยที่ไม่มีวันกลับมาหาหมออีก” ผมไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ผมพูดจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ ผมจะยังกลับภพภูมิตัวเองได้อีกหรือไม่ แต่ถึงอย่างไร ผมก็จะไม่อยู่ที่นี่อีกแล้ว หากไม่ได้กลับไป ผมก็จะไปอยู่ที่อื่น ที่ที่ไกลจากเขา
“ทำไมเจ้าพูดเยี่ยงนั้น”
“เรื่องระหว่างเรามันเป็นแค่ความฝันนะหมอ เหมือนที่นายเคยบอกชั้น ว่านายฝันเห็นชั้นทุกค่ำคืน ชั้นก็แค่คนในฝันของนาย ไม่มีตัวตนจริงๆหรอก ตัวจริง ความจริง และอนาคตของนายคือคำแก้ว”
ความหวาดกลัวแล่นเข้ามาในใจผมอย่างฉับพลัน ผมมันเกิดขึ้นหลังจากที่คำแก้วเห็นเราสองคน ทันทีที่ผมเห็นหน้าคำแก้ว ความรู้สึกผิดได้ถาโถมเข้าใส่ราวกับน้ำป่า มันทำให้ตัวผมชาและรู้สึกรังเกียจตัวเอง ผมกลัว ยอมรับว่าผมกลัวเกินไปที่จะยอมรับความจริงได้
“ที่ผ่านมาเจ้าไม่คิดเยี่ยงเราเลยรึ”
.
.
.
.
-
คำถามจากหมอปีย์ทำให้ความเจ็บปวดที่ผมกล้ำกลืนอยู่ข้างในแล่นขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ ผมคิดเพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่จะตอบคำถามหมอปีย์
“ไม่”.............................
“ชั้นรู้แล้วหมอ ว่าที่ผ่านมาชั้นไม่ได้รู้สึกกับนายแบบนั้น ยิ่งได้มาเห็นแววตาของคำแก้วเมื่อครู่ ชั้นยิ่งแน่ใจมากขึ้นว่า ชั้นไม่ได้..................รักนาย..........เลย” คำพูดติดขัดเป็นห้วงๆแสดงถึงอาการของคนกำลังจะขาดใจตาย
“พ่ออัชย์” น้ำใสๆเอ่อขึ้นมาจากตาหมอปีย์ มือผมสั่นเทาด้วยความเจ็บปวด กี่ครั้งแล้วที่ผมต้องทำให้เขาต้องเจ็บปวดจนร่างแทบแหลกสลาย หัวใจของหมอปีย์ป่นปี้เพราะผมมากี่หน
แต่ไม่มีครั้งไหนที่ผมรู้สึกว่าความเจ็บปวดที่มอบให้หมอปีย์ จะถูกต้องและสมควรเท่าครั้งนี้
“หากเจ้าต้องการเยี่ยงนั้นก็ได้ พ่ออัชย์ เราจักทำตามที่เจ้าบอกทุกอย่าง แต่อย่าคิดนะว่าที่เราทำ เป็นเพราะหัวใจเราสั่งการ หากเป็นเพราะน้ำคำของเจ้าต่างหากที่สั่งให้เราทำ และจงจำเอาไว้ว่า หากความเจ็บปวดทรมานที่จักเกิดขึ้นกับเราและคำแก้วต่อไปภายภาคหน้า หาได้เป็นความผิดของเราแต่เพียงผู้เดียวไม่ เจ้า พ่ออัชย์ คือคนที่ทำให้เราต้องเป็นเยี่ยงนั้น จำไว้” หมอปีย์กัดริมฝีปากแน่นด้วยความคับแค้น ส่วนผมนั้นจุกอกจนแทบจะขาดใจทันทีที่หมอปีย์โยนก้อนหินแห่งความทุกข์ระทมมาให้ผมรับไว้แต่เพียงผู้เดียว
ผมไม่โทษเขาหรอก ที่เขาจะโทษผมแบบนั้น ผมสมควรได้รับมันแล้วหล่ะ
“เจ้าออกไปเถิด เราอยากพักผ่อน” หมอปีย์ทิ้งตัวลงนอนหันหลังให้ ผมลุกขึ้นยืนอย่างอ่อนแรง ก่อนจะเดินคอตกออกจากห้องพร้อมกับความรู้สึกผิดและหม่นหมองที่ประเดประดังเข้าใส่จนยืนแทบไม่อยู่
ดอกปีบสีขาวนวลร่วงหล่นเรี่ยรายอยู่บนพื้นหญ้าสีขาว ช่างงดงามราวใครจับวาง กลิ่นของมันก็หอมเย็นจับใจ แต่ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้พายุในใจของผมสงบลงได้ แม้ท้องน้ำเบื้องหน้า ยอดลำพูฝากฝั่งกระนู่น หรือแม้แต่หิงห้อยที่สองแสงวูบวาบก็ไม่อาจทำให้ผมลืมเรื่องที่เกิดขึ้นชั่วครู่นี้ได้
ผมใช้เวลานั่งไตร่ตรองสิ่งที่ได้ตัดสินใจทำลงไป ทบทวนอีกครั้งเผื่อทว่าผมเกิดเปลี่ยนใจ ก็ยังอาจไปขอทาหมอปีย์ได้ทันท่วงที
แต่ยิ่งคิดยิ่งทบทวน ก็ยิ่งพบว่า สิ่งที่ตัดสินใจทำลงไป คือสิ่งที่ถูกต้องและสมควรที่สุดแล้ว ผมไม่อาจครอบครองหมอปีย์ไว้แต่เพียงผู้เดียวได้ แม้จะรักเขาหมดหัวใจมากเพียงใด
ณ สยาม วินาทีนี้ ผมยอมรับกับสายลม ท้องน้ำ แล้วดอกปีบ ตรงนี้เลยว่า ผมรักหมอปีย์หมดหัวใจโดยไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นกาลเวลา ภพสมัย หรือแม้แต่เพศก็ตาม
แต่ผมก็ไม่อาจทำตามใจได้ ยุคสมัยนี้ต่างกับยุคที่ผมจากมา เราจะอยู่กันอย่างไรในสภาพแบบนี้ หมอปีย์เป็นถึงหมอรักษาคน มีคนเคารพนับถือมากมาย อีกทั้งเรื่องพรรค์นี้ก็ไม่มีใครยอมรับ หากผมดื้อดึงที่จะยึดหมอไว้แต่เพียงผู้เดียว ก็จะเป็นการทำร้ายหมอ
เมื่อวันหนึ่งมาถึง วันที่ผมต้องจากภพนี้ไปอย่างถาวร หมอจะอยู่อย่างไรหากไม่มีผม ผมจะปล่อยให้เขาต้องทนอยู่กับความว่างเปล่าโดยมีคำพูดตราหน้าที่ผมทิ้งไว้ให้เขาว่า “เขาเป็นพวกผิดเพศ วิปริต” ได้อย่างนั้นหรือ
ผมทำไม่ได้
ยอมให้เขาเจ็บปวดและตัดใจเสียตอนนี้ ยังจะดีเสียกว่า
“นี่เราทำดีที่สุดแล้วใช่มั๊ย” ผมถามตัวเอง ไม่หวังให้ใครมาเข้าใจ ผมรู้ว่าทางที่ผมเลือกนี้ ย่อมทำให้เราต้องเจ็บด้วยกันทั้งคู่ แทนที่จะใช้เวลาที่เหลืออยู่ด้วยกันให้คุ้มค่า แต่ผมกลับทำมันให้แย่ลง
แต่มันไม่มีทางไหนที่ดีกว่านี้แล้วจริงๆ
-
หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ระยะห่างระหว่างผมกับหมอปีย์ก็เกิดขึ้น อย่างรวดเร็ว ผมนึกว่าหมอจะเป็นฝ่ายทำใจยาก แต่เปล่าเลย เขากลับเป็นฝ่ายที่ดูจะเจ็บปวดน้อยที่สุด ส่วนคนที่ยังคงจมอยู่กับทุกข์ทรมานคงไม่พ้นผมนี่แหละ
หมอปีย์ปรับความเข้าใจระหว่างเขากับคำแก้วในวันรุ่งขึ้น ด้วยเหตุผลที่ว่า ผมเป็นแค่เพียงบ่าวที่มีหน้าที่มาดูแลยามไม่สบายเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น
เมื่อผมได้ฟังเหตุผลที่เขาให้คำแก้วจากปากคำแก้วแบบนั้น ความรู้สึกเจ็บปวดก็เท่าทวีคูณ ผมยิ้ม ยอมรับกับคำแก้วว่าเป็นเช่นนั้นจริง แต่ในใจนั้น ใครจะมาเข้าใจ
ทุกเช้าเราเคยเดินออกมาทักทายหยอกล้อกัน กลับกลายเป็นอดีต
ต้นปีบริมน้ำที่เคยนั่งเล่าเรื่องราวที่เจอกันมา กลับว่างเปล่า
เรือนหลังสวนที่ผมเคยไปเยี่ยมคนป่วยกลับกลายเป็นที่หลบลี้หนีหน้าของหมอปีย์
คำคืนที่เรานั่งดูดาว
ยามเช้าที่เขามาคอยดักหน้าห้อง
หนทางที่เคยเป็นทางเดินของเราสอง
บัดนี้...................เหลือเพียงแค่ผมคนเดียว
ในยามที่เราพบหน้ากันมีเพียงช่วงทานข้าวสั้นๆเท่านั้น ซึ่งบางครั้งหมอปีย์ก็จะให้บ่าวยกสำรับไปให้เขาในห้อง หรือเรือนหลังสวน
บางวันผมแทบจะไม่เจอหน้าเขาเลย
เมื่อเหตุการณ์พลิกผันไปเช่นนั้น ผม ซึ่งเคยร้องขอไม่ให้หมอปีย์เปลี่ยนไปในวันนั้น มาวันนี้กลับเป็นคนทำทุกอย่างให้เปลี่ยนไปเสียเองและกลับทำใจไม่ได้ ผมร่ำร้องอยากกลับสู่เวลาปัจจุบันของผมทุกขณะจิต ไม่แม้แต่อยากจะอยู่บ้านหลังนั้นเพียงวินาที ทุกๆวันที่ผ่านพ้น ท่วมท้นไปด้วยความทุกข์ทรมาน
การที่เราต้องอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ มันทรมานสิ้นดี คนเคยรัก เคยห่วงใย รู้สึกดีๆต่อกัน กลับกลายเป็นคนแปลกหน้า ห่างเหิน หมางเมิน และไม่แยแส
ผมเคยสะดุดหกล้มที่ตีนบันได โดยที่หมอปีย์นั่งทำงานอยู่ เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้ามามองว่าผมจะเป็นอะไรบ้าง เขาคงเกลียดผมจริงๆแล้วสิ
เย็นวันหนึ่งขณะที่ผมและหมอปีย์ถูกเรียกมาทานอาหารเย็นพร้อมๆกันเพื่อจะปรึกษาหารือเรื่องงานที่ใกล้เข้ามาทุกที
“คุณชั้น จัดรายการสำรับอาหารไว้พร้อมแล้วขอรับ พรุ่งนี้กระผมจะเอามาให้ดูนะขอรับ” ผมรายงานความคืบหน้าในส่วนของผม
ส่วนหมอปีย์ที่นั่งอีกฟากก็ได้แจ้งว่า เขาได้ออกจดหมายเชิญแพทย์หลวงประจำหัวเมืองต่างๆเรียบร้อยแล้ว
อาหารเย็นมื้อนั้นเป็นไปอย่างเงียบสงบ เหมือนทะเลที่ไม่มีคลื่น แต่นั่นกลับกลายเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า อีกไม่นานพายุกำลังจะถาโถมเข้ามา
หมอปีย์ก้มหน้าก้มตากิน ผมเองก็ไม่ต่างไปจากเขา
แต่แล้วจู่ๆหมอก็รวบช้อน หยิบน้ำมาดื่ม ก่อนจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า
“หมอจรัสขอรับ กระผมมีเรื่องจักแจ้งน่ะขอรับ”
ผมเงยหน้าขึ้นมอง หมอจรัสเองก็วางช้อนก่อนจะตั้งใจฟัง
“กระผมคิดแล้วว่า หลังจากเสร็จงานในครานี้ กระผมจัก เอ่อ จักให้หมอจรัสเป็นผู้ใหญ่สู่ขอหมั้นหมายคำแก้วนะขอรับ” หมอปีย์พูดโดยที่ไม่มองมาทางผมเลย เหมือนไม่มีผมนั่งอยู่ตรงนั้น
หมอจรัสพูดอะไรอีกหลายอย่าง แต่ผมกลับไม่ได้ยินอะไรเลย ในหูมีแต่เสียงวิ้งๆ สายตาก็พร่าจาง มองไม่เห็นว่าสีหน้าของหมอปีย์เป็นอย่างไรขณะนั้น
ผมจำอะไรไม่ได้อีกเลยหลังจากนั้น ความรู้สึกมันเหมือนโดนของแข็งฟาดเข้าที่ท้ายทอย รู้แต่เพียงว่า ผมลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะสำรับไปอย่างเลื่อนลอยโดยไม่ได้บอกกล่าวใคร ก่อนจะปิดประตูห้องและขังตัวเองพร้อมทั้งความรู้สึกที่สับสนไว้ในนั้น
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” ดึกของคืนนั้น ผมเดินไปเคาะห้องหมอปีย์ นี่นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่ผมไปหาหมอ ในใจผมแกว่งไปแกว่งมา มือทั้งสองข้างเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ อีกทั้งยังสั่นและกำแน่น ผมไม่รู้ว่าผมควรจะมาหาหมอปีย์ดีหรือไม่ แต่ตอนนี้ผมก็ได้มายืนอยู่หน้าห้องของเขา และเขากำลังจะเปิดประตู
“เจ้านั่นเอง มีอันใดรึ” สีหน้าเมินเฉยของเขา ทำให้ผมรู้สึกสมน้ำหน้าตัวเองอย่างบอกไม่ถูก นี่ไม่ใช่หรือคือสิ่งที่ผมอยากให้มันเป็น ไอ้ปอ มึงอยากให้มันเข้มแข็งไม่ใช่รึ มันก็เข้มแข็งแล้วนี่ไง แล้วทำไมมึงถึงยังต้องเจ็บปวดมากมายขนาดนี้เล่า
“เอ่อ ชั้นจะมาแสดงความยินดี ขอเข้าไปหน่อยได้มั๊ย”
หมอปีย์เปิดประตูออก และหลีกให้ผมเดินเข้าไป
“ชั้นดีใจนะที่ได้ฟังข่าวดีจากนาย...................วันนี้” ผมพูด “และชั้นก็หวังว่า นั่นมันจะเป็นความสุขที่แท้จริงสำหรับนาย หมอ”
หมอปีย์ไม่พูดอะไร
“ชั้นขอโทษนะ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเรื่องเล็ก หรือเรื่องใหญ่ที่ชั้นเคยทำกับนายไว้”
เขายังคงไม่พูดอะไร
“นี่หมอ นายยังโกรธชั้นอยู่อีกเหรอ พูดอะไรบ้างสิ อย่าทำให้ชั้นต้องทุกข์ใจไปมากกว่านี้เลย” ผมร้องขอ.
.
.
.
.
.
“เราขอโทษ” หมอปีย์เอ่ยปากพูด “เรามิได้เจตนาจักให้เจ้าทุกข์ เพียงแต่....................”เขาตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้พูด
“หมอ ชั้นรู้เรื่องของเรามันทำให้นายต้องทรมาน ชั้นเองก็ทรมาน ที่ผ่านมา ชั้นนอนไม่หลับ และคิดอยู่ทุกวันว่าไม่อยากจะอยู่ที่นี่อีกแล้ว เพราะฉะนั้นชั้นมาวันนี้ก็เพื่อที่จะมาขอร้อง ขอร้องให้นายยกโทษและเลิกหมางเมินกับชั้นแบบนั้นได้มั๊ยวะ ถึงแม้เราจะไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว แต่อย่างน้อย นายช่วยเห็นชั้นเป็น.....เพื่อน เหมือนเดิมได้มั๊ย”
น้ำตาผมเริ่มเอ่อ น้ำเสียงเริ่มสั่นเครือ แต่ผมพยายามเก็บกลั้นมันไว้
“เราขอโทษนะพ่ออัชย์ เราไม่รู้จักทำตัวเยี่ยงไรเมื่อเจอเจ้า เรามิรู้ว่าเจ้าอยากให้เราเป็นอะไรกันแน่แล้ว การหมางเมินกับเจ้าใช่จะเป็นผลดีกับเรา ตรงกันข้ามมันกลับบั่นทอนเราให้ตายทั้งเป็น” เขากลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะยิ้มออกมา
“วันนี้เรารู้แล้วว่าเจ้าอยากให้เราเป็นเยี่ยงไร พ่ออัชย์ เรารู้แล้ว แต่เรายังยืนยันคำเดิมว่า...........เรายังรักเจ้าไม่เสื่อมคลาย ไม่ว่าจะภพนี้หรือภพไหน ชาตินี้เราบาปหนานัก มิอาจสมหวังในรักที่หมายปอง เราเข้าใจความหวังดีของเจ้าแล้ว พ่ออัชย์ หากเจ้าอยากให้เราเป็นเพื่อน เราก็จักเป็น เราจักเป็นทุกอย่างที่เจ้าอยากให้เราเป็น พ่ออัชย์”
หมอปีย์น้ำตาเอ่อคลอเบ้า ผมเองก็กลั้นน้ำตาไว้เกือบไม่ไหว ความอัดอั้นตันใจที่เก็บมานาน วันนี้มันได้ทะลักออกมาจากความรู้สึกข้างในด้วยหัวใจที่หวังดีต่อผมบริสุทธิ์จริงๆของหมอปีย์
“งั้น ชั้นก็ขอแสดงความยินดีกับนายในฐานะเพื่อนได้มั๊ย” ผมยิ้ม
หมอปีย์พยักหน้า
“ยินดีด้วยนะหมอ ชั้นเอ่อ ชั้นขอกอดนายในฐานะเพื่อนหน่อยได้มั๊ย”
หมอปีย์เดินตรงมาหาผม พลางอ้าแขนกว้าง เราต่างคนต่างเก้เก้กังกัง อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสวมกอดกันอย่างหลวมๆ
“เรายังรักเจ้าเสมอนะ พ่ออัชย์” หมอปีย์กระซิบข้างหู
ผมนั้นทำได้เพียงตบบ่าเขาเบาๆ และปล่อยให้น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ ไหลลงมาเปื้อนบ่าหมอปีย์
-
ทำไมมันเศร้าเยี่ยงนี้ล่ะเจ้าค่ะ
-
:a5:
:serius2:
:monkeysad:
-
ร้องไปแล้วน๊าา TT เอามาลงซ๊าา อย่าให้ค้่างจิ ><
-
:o12: :o12: :o12: :o12:
-
ทรมานทั้งปอ หมอ และคนอ่าน
-
ความสัมพันธ์ระหว่าผมกับหมอปีย์เริ่มดีขึ้น แต่คงไม่มีทางจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม บ่อยครั้งที่เขาเดินไปหาคำแก้วที่โรงครัว เพื่อจะเอาผ้าที่ซื้อมาจากย่านสำเพ็งไปฝากหล่อนโดยที่มีผมนั่งอยู่ คำแก้วมองมาที่ผมอย่างระแวดระวัง ส่วนผมเองก็ยิ้มให้หมอปีย์เพียงแค่คนรู้จักแล้วก้มหน้าทำงานต่อ
คำแก้วเมื่อเห็นว่าผมไม่ได้มีท่าทีใดๆต่อหมอปีย์จึงหันไปยิ้มแย้มโอภาปราศรัยกับหมอปีย์ตามปกติ
ในการพบหากันของหนุ่มสาวสมัยนั้นเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก ต่อให้เป็นคู่หมั้นคู่หมายกันแล้ว แต่การพบกันก็ต้องอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ เพราะฉะนั้นเวลาที่หมอปีย์จะได้เจอคำแก้วก็มีเพียงช่วงที่ทำครัวเท่านั้น ซึ่งเวลานั้นก็ต้องมีผมอยู่ด้วย
หากการที่ต้องเอามีดกรีดแขนตัวเองเจ็บปวดเพียงใด ก็เหมือนกับการต้องทนเห็นคนที่เรารักมีใจให้กับคนอื่นเช่นนั้น ผมต้องฝืนใจทนเห็นภาพเหล่านั้นเกือบทุกวัน ในครั้งแรก ใจเกือบทนไม่ไหวอยากจะวิ่งหนีไปให้พ้น แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมามองหน้า คุณชั้น คุณยายหนูวาดซึ่งมาคลอเคลียอยู่ใกล้ๆ ก็ทำให้นึกขึ้นได้ว่า เรามาที่เรือนคุณชั้นเพื่อมาเก็บเกี่ยวความรู้เรื่องอาหารไทยให้มากที่สุดไม่ใช่หรือ เรื่องอื่นปล่อยมันไปก่อนเถอะ
“หนูวาด”
“เจ้าคะ”
ผมพาหนูวาดมานั่งเล่นที่ใต้ต้นมะขามต้นเดิมที่บัดนี้ ออกดอกสะพรั่งส่งกลิ่นหอมอมเปรี้ยวเต็มต้น
“หนูวาดรักกระผมมั๊ยขอรับ”
หนูวาดเงยหน้ามามองผมด้วยความประหลาดใจ แต่ก็ยิ้มให้ตามประสาเด็ก
“รักสิเจ้าคะ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมหนูวาดถึงรัก......” หนูวาดลังเลว่าจะเรียกผมว่าอะไรดี
“เจ้าอัชย์ หนูวาดเรียกกระผมว่าเจ้าอัชย์ดังเดิมเถอะขอรับ” ผมขอให้ยายหนูวาดเรียกผมว่าเจ้าอัชย์เหมือนที่เคยเรียกตอนผมเป็นเด็กๆ
“เจ้าอัชย์” หนูวาดเอียงคอเล็กน้อย
“กระผมก็รักหนูวาดเหมือนกันนะขอรับ” ผมดึงร่างของหนูวาดเข้ามานั่งบนตัก “หนูวาดเป็นเพียงญาติผู้ใหญ่ที่ผมรู้จักเพียงคนเดียวที่นี่” เสียงเปรยดังขึ้นแผ่วเบาลอยไปตามลม
เธอยังคงเล่นดอกมะขามอย่างตั้งใจ โดยที่ไม่ได้สงสัยจะตั้งคำถามใดๆกับสิ่งที่ผมพูด
“หนูวาดขอรับ”
“เจ้าคะ” เธอแหงนหน้าขึ้นมามองผม ใบหน้าพริ้มเพรา ปากเรียวเล็กกระจับอมชมพู จมูกเชิดรั้น ดวงตาที่กลมโตนั้น ช่างเหมือนกับยายหนูวาดของผมไม่มีผิด
“กระผมขออะไรหนูวาดสักอย่างได้มั๊ยขอรับ” ผมกอดเธอแน่นขึ้น
“อะไรรึ”
“ในภายภาคหน้า หากคุณหนูวาดมีหลาน.................” ผมนิ่งไปครู่หนึ่ง นึกย้อนไปว่ายายหนูวาดไม่มีลูกชายเลย มีเพียงหลานชายคนแรกคือผม
“หากคุณหนูวาดมีหลานชายคนแรก กระผมขอให้หนูวาดตั้งชื่อหลานชายคนแรกนั้นว่า “อัชย์”ได้มั๊ยขอรับ”
ผมยิ้ม ในใจพองโต และขนลุกอย่างประหลาด คำพูดของแม่ที่เคยเล่าให้ผมฟังว่า ตอนที่แม่คลอดผมนั้น ยายหนูวาดเป็นคนขอตั้งชื่อหลานชายคนแรกด้วยตัวเองว่า “อัชย์” และให้เหตุผลว่า ท่านจำได้ลางเลือนว่าตอนที่ท่านเป็นเด็ก มีชายหนุ่มคนหนึ่งร้องขอให้ท่านตั้งชื่อหลานชายคนแรกว่าอัชย์ แม่ยังเล่าให้ผมฟังอีกว่า ยายจำได้ว่ายายถามผู้ชายคนนั้นว่า “อัชย์” แปลว่าอะไร แล้วชายแปลกหน้าคนนั้นก็ตอบว่า.................
....
...
...
..
“ชื่ออัชย์หรือเจ้าคะ ชื่อเหมือนเจ้า เลย เจ้าอัชย์” หนูวาดยิ้มร่า ผมพยักหน้า
“แล้ว อัชย์แปลว่ากระไรกันหรือเจ้าคะ” เธอทำหน้าสงสัย
“อัชย์ แปลว่า ผู้อยู่เหนือกาลเวลา ขอรับ” ผมยิ้ม น้ำตาเอ่อคลอ พูดทุกคำที่แม่เคยเล่าให้ฟังถึงความหมายของคำว่าอัชย์ตามที่คุณยายหนูวาดเคยเล่า
ไม่น่าเชื่อ ว่าผู้ชายแปลกหน้าที่ทั้งยายหนูวาด แม่ และผม สงสัยมานาน นั่นก็คือ........ผมเอง
“รับปากผมสิขอรับ”
“เจ้าค่ะ หนูวาดรับปาก ว่าจะตั้งชื่อหลานชายคนแรกว่า อัชย์ ตามชื่อเจ้าอัชย์ พี่ชายที่หนูวาดรัก”
เราทั้งคู่หัวเราะร่า และนี่เป็นเพียงช่วงเวลาแห่งความสุขช่วงเดียวที่ผมมีในเวลานี้
-
พ่ออัชย์ ใกล้กลับไปเมืองไทยหรือยัง
อย่าให้ทุกอย่างค้างคาอยู่แบบนี้เลยนะ
-
เดี่ยวพรุ่งนี้มาต่อนะคร๊าบบ ขอโทษด้วยที่ไม่ยอมจบสักกะที
-
อ่า~~~ TT^TT พรุ่งนี้กะได้ จะจบแบบไหนน๊าาา +1
-
มันปวดใจ
-
เคืองหมอ แต่ต้องทำใจ ทางเลือกมีไม่มาก แถมไม่นานก็ต้องไป อึดอัด อยากตบคำแก้ว :m16:
ปล. อัชย์ตั้งชื่อให้ตัวเองซะงั้น
-
ตอนนี้ทำเราน้ำตาซึมไปเลยค่ะ สงสารทั้งหมอ และพ่ออัชย์ :m15: :m15:
อีกไม่นานสินะที่พ่ออัชย์จะต้องกลับโลกปัจจุบันแล้ว :o12:
-
ถ้าพ่ออัยช์ จะกลับโลกปัจจุบัน ลากเอาหมอปีย์กลับมาด้วย แอร๊ยยยส์
จบไม่แฮปปี้ จะจุดไฟเผ้ากระทู้นี้เลย :fire:
-
จบเศร้าใช่มั้ย จะได้ทำใจไว้ล่วงหน้า TT
-
ขอแปะเพลงนี้ แล้ววิ่งออกไปเช็ดน้ำตานอกกระทู้ :o12: :o12: :o12:
http://www.youtube.com/v/3lObL3mhEec
-
เฮ้อ นะ อย่างน้อยก็ยังได้เป็นเพื่อนกันนะ...
หมอปีย์เป็นคนที่เข้มแข็งมากๆเลย เป็นผู้ชายที่ดีมากๆ แล้วก็มีความรักที่ดีมากๆด้วย การที่จะยอมทำให้ได้ทุกอย่างเพียงแค่เอ่ยปากขอเนี่ย จะต้องใช้ความรักเยอะมากๆเลย
ชอบที่หมอปีย์พูดว่า เป็นได้ทุกอย่างที่อัชย์อยากให้เป็น ถึงต่อจากนี้จะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่อย่างน้อยหมอก็ได้ทำเพื่อคนที่หมอรักแล้วนะ บางครั้งเหตุผลมันก็ยิ่งใหญ่เกินไปจนมันเอาชนะความรู้สึกได้เหมือนกัน
เฮ้อ..ใกล้จบแล้วต้องเม้นยาวๆ โอยยยย ต้องคิดถึงเรื่องนี้แน่ๆเลยค่ะTT^TT
-
โอ๊ยยิ่งใกล้จบยิ่งปวดใจ
-
ปวดใจ สงสารทุกคน T_T
-
เศร้าอ่ะ ไม่อยากอ่านต่อแล้วอ่ะ กลัวตอนจบทำใจไม่ได้ Y_Y ขอพักไปทำใจก่อนนะ หมอปีย์ กับ พ่ออัชย์ โอ๊ยเครียด... :o12: :o12: :o12: :o12:
-
เศร้าอ่ะ กลัวจบเศร้า
ขอไปทำใจเเป๊ปหนึ่ง :o12: :o12:
-
:o12: :o12: :o12: :o12: :o12:
เสียน้ำตาไปหลายปี๊บเพราะตอนล่าสุดดดดดดดดด
หมอปีย์น่าสงสารจังงงงงงงงง :m15: :m15: :m15: :m15:
เจ้าบ้าของเราก้อยังคงเป็นเจ้าบ้าคนเดิม ง่าาาา
ยัยคำแก้วววววววน่าจับไปอยู่เรือนหลังสวนแล้วปล่อยให้ตายตามเจ้าแดงไป >,,<
-
โอ้ววววววว. :o12:.ม่ายยยจริงงงงง :dont2: :dont2: มาถึงตอนนี้ ความดันในร่างกายลดต่ำ....เลือดสูบฉีดไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอ.. :o7: :o7: ....เหมือนใจดวงน้อยๆดวงนี้จะขาดตาม... พ่ออัชย์ กับ หมอปีย์ ของข้าาาาาาาาาาา :dont2: :dont2: :dont2:
....
..
.
ปล. อิเม้ย อยู่ที่ใดมาเอา อินางคำเเก้ว ไปเก็บบั้นเด๋วนี้ :angry2: :angry2: :angry2: :angry2:
-
ทำไมเป็นแบบนี้ :o12:
-
โห เปิดเข้ามาเห็นคอมเม้นไม่กล้าอ่านเลย o22
น่ากลัวมาก ว่าแล้วก็ไปอ่านดีกว่า :เฮ้อ:
----------------------------------
:o12: :o12: ขอจบแบบแฮ๊ปปี๊ไม่ได้หรอ
เป็นของขวัญวันปีใหม่ไงคะพี่เป็ด o13 :laugh:
ไม่อยากให้จบเศร้าจริงๆนะ ความรู้สึกมันต่างกันมากก
แต่ดูจากภาพแรกของเรื่องแล้ว... :z3:
:กอด1:
-
ฮือออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ
-
ขอแบบแฮบปี้ รักกันเถอะนะ
ไม่งั้นโป้งงงงง :sad4:
-
:z3: :z3: :z3:
จะเศร้าไปถึงไหนกันนนนนน น่าสงสารกันทั้งคู่จริงๆ อ่านเรื่องนี้แล้วคิดว่ามันน่าจะจบเหมือนเรื่องจิน ใช่มั๊ยคะเนี่ย
เฮ้อออ เอาน้ำตาไปล้านลิตร :o12: :o12:
สงสารทั้งพ่ออัชย์ทั้งหมอปีย์ รักนี้ไม่มีวันจะสมหวัง โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ
-
คนอ่านอยากจะเอาหัวโขกกำแพงตาย :z3: :z3:
สงสารพ่ออัชย์ ส่งพ่ออัชย์กลับปัจจุบันก่อนดีไหม (ใจไม่ดี)
เฮ้อ ใกล้จบแล้ว แต่ไม่อยากเดาตอนจบ หากอดีตอยู่ร่วมกันไม่ได้
..ก็ขอให้ได้อยู่ด้วยกันตลอดในสมัยปัจจุบันทุกภพทุกชาติไป...
-
สะเทือนจิตตต T____________T
-
อื้อหืออ แน่นหน้าอกมากกับการอ่านตอนนี้
มันอึดอัด มันจุกแบบบอกไม่ถูกเลยทีเดียว :monkeysad:
-
จะให้หมอแต่งงานกับคำแห้วจริงๆเหรอ (อยากเรียกแบบนี้อะ ให้หล่อนแห้วๆไปซะ)
-
บีบหัวใจจริงๆ พ่ออัชย์เอ้ย
ถ้าพ่ออัชย์กลับไปกรุงเทพ หมอปรีย์จะทำเยี่ยงไร
:sad4:
-
ฮืออออออออออออออออออออออออออออ
เศร้ามาก... ร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลไปหมดแล้ว
เราจำตินแรกได้ที่พ่ออัทย์เจอกระดาษแผ่นนึงในสมุด
ที่เขียนประมาณแม้กาลเวลาจะพรากเจ้าไปแต่เราจักรอเจ้าตลอดไป
หรือมันจะจบอย่างนั้น!? ฮือออออออออออออ
ไม่นะ การรอคอยแบบที่ไม่รู้จะต้องรอถึงเมื่อไหร่มันเจ็บมากเลยนะ
มันจะเศร้าและเจ็บปวดมากเลยนะ แง้งงงงงงงงงง T[]T
-
โอ้วววววว จะเป็นไงต่อนี้ๆๆ
-
เส้า น้ามตาคลอ TT
น่าสงสารทั้งคู่เลยค่ะ
แต่ก้รู้สึกว่าที่อัชญ์ทำไปน่ะ ถูกแล้ว
เหนแก่อนาคตของหมอปีย์ :sad4:
-
ฮืออออออ ไม่เอา ไม่จบแบบนี้
คนสมัยก่อนก็เป็นเกย์ได้นี่นา!!
หมอปีย์อย่ายอมแพ้แบบนี้
พ่ออัชช์อย่าทำแบบนี้
ช่วยรักกัน อยู่ด้วยกันตลอดไปทีเถอะ ToT
-
ทำไมมันเศร้าเยี่ยงนี้ T^T
-
:a5: :เฮ้อ:
-
T-T พาหนีตามกันมายุคปัจจุบันเลยครับ
-
ในความทุกข์ระทม ก็ยังคงเหลืออยู่ซึ่งความรัก ห่วงใย ในกันและกัน :เฮ้อ:
มาดูทางออกของปัญหานี้ต่อไป ว่าคุณนนท์จะหาทางออกมาเยี่ยงไร
+1ให้กับทางออก :z2:
-
สองคนนี้ถนัดทำให้ตัวเองทุกข์จริงหนอ
-
ฮื่อๆ กลั้นน้ำตาไม่ไหวแล้ว
พ่ออัชย์ต้องกลับไปภพปัจจุบันจริงๆหรอ จะไม่ได้อยู่กับหมอปีย์จริงๆหรอ
เพราะพ่ออัชย์กลับไปใช่ไหม หมอปีถึงเขียนกลอนทิ้งไว้
หรือว่าพ่ออัชย์กลับไปแล้วไปแจ่กับหมอปีย์ที่กลับชาติมาเกิดในภพปัจจุบัน
หรือว่าจะเป็นพี่หมอที่อยู่ตอนต้นๆเรื่อง แงแๆ ไม่เอานะยังไงก็จะเอาหมอปีย์คนเดิม
(เวิ่นเวอร์ไปมากมาย คิดเองเออเองหมดเลยเรา)
-
:m15:รักกันแต่มิอาจครองคู่กันได้ เพราะผิดขนบธรรมเนียมประเพณี นี่แหละความรักที่เสียสละซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างก็ทรมานเพื่อให้อีกฝ่ายไม่ต้องเจ็บปวด แต่สุดท้ายก็ไม่วายต้องเจ็บปวดกันทุกคน :m15:
-
:dont2:
-
รออยู่นะค๊าบบบบบ
คิดถึงหมอปีย์กับเจ้าบ้า
:call: :call: :call:
-
:เฮ้อ:
รอดูว่า ผู้อยูเหนือกาลเวลาจะก้าวผ่านความรักไปได้อย่างไร :m15:
-
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
ไม่อยากให้อัชย์แยกกับหมอปีย์เลยอ่ะ
ฮือๆๆๆ
-
:o12: วิ่งน้ำตาไหลพรากออกนอกกระทู้
-
ขอบคุณมากนะครับ กับนิยายดีๆๆแบบนี้ คุณเขียนได้ถึงอารมณ์มากเพราะการที่เอาความรักลักษณะนี้
ไปเล่าในยุคย้อยไปอีกร้อยกว่า ที่มีความเชื่อและค่านิยมไม่เหมือนสมัยปัจจุบัน ถึงเสร้าเพียงใด
ก็เขาใจความรู้สึกของตัวละครและต้องยอมรับ คุณความรู้สึกได้เหมือนจริงมาก
ขอบคุณมากมาย :L2: :pig4:
-
นั่งไล่อ่านตั้งแต่เมื่อวานจนถึงปัจจุบัน
ชอบหมอปีย์มากกก บทจะหวานก็เล่นเอาซะตัวบิด
บทจะเศร้าก็เอาซะน้ำตาคลอ
สงสารหมอปีย์มากค่ะ ใจนึงก็ว่าอัชย์ทำถูก แต่อีกใจก็คิดว่า น่าจะสู้ไปด้วยกัน
ดังหมอปีย์ว่า อย่าปล่อยให้หมอสู้คนเดียวเลย TT
(อินจัด)
-
สงสารทุกคน แต่อัชย์ทำถูกแล้ว ความรักคือการเสียสละ ถ้่สังคมรับรู้ หมอจะไม่มีที่ยืน
เศร้าจัง
-
อย่าจบเศร้านะคะ อยากจะร้องไห้ ยังไงก็อยากให้พ่ออัชย์กับหมอปีย์อยู่คู่กัน
รอตอนต่อไปจ้า
-
มาม่า T^T
-
ทำใจเเละยอมรับมัน...
-
เดี่ยวพรุ่งนี้มาต่อนะคร๊าบบ ขอโทษด้วยที่ไม่ยอมจบสักกะที
แต่งไปเรือ่ยๆๆ นานๆๆ ยาวๆๆ ไม่ต้องรีบจบหรอกคร๊าบบ
-
เข้ามารอ เช้าสายบ่ายเย็นนนนนนนนนนนน
:m15: :m15: :m15:
-
เหอเหอ ชักจะไม่อยากคิดถึงตอนจบแล้วสิ
-
มีลางว่าจะจบเศร้า :m15:
ม่ายน้าาาาาาาา
:z6:
-
ข้ารู้สึกเศร้าจับใจยิ่งนัก รักของหมอปีย์และพ่ออัชย์ในภพนี้ มิอาจจะสมหวังอย่างนั้นรึ :sad4:
ในเพลานี้เรารู้สึก drama ยิ่งนัก :o12:
-
:call: :call: :call:
-
ยิ่งงานเข้ามาใกล้เท่าไหร่ ทุกคนทั้งเรือนหมอจรัส และเรือนคุณชั้นต่างก็ดูชุลมุนวุ่นวายกันเสียหมด ต่างคนต่างมีหน้าที่เป็นของตัวเอง
บ่าวไพร่ส่วนหนึ่งจัดแต่งลานหน้าบ้านเป็นลานรับรอง โต๊ะแบบฝรั่งซึ่งค่อนข้างจะหายากในขณะนั้นถูกหมอจรัสสั่งมาจากหัวเมืองสิงคโปร์ กระถางดอกไม้ถูกจัดแต่งใหม่หมด อีกทั้งต้นไม้ก็ถูกตัดแต่งให้เป็นรูปทรงเลขาคณิต
ลานกว้างหน้าเรือนเป็นลานหญ้าโล่ง มีเพียงพื้นไม้ยกสูงขึ้นประมาณคืบนึงเท่านั้นที่เป็นเวทีสำหรับนางรำ
คุณชั้นเธอสั่งขอนางรำเหล่านี้จากวัง เธอบอกว่าคืนนั้นจะมีรำฉุยฉาย และรำนางรจนาเสี่ยงพวงมาลัยเป็นการแสดงแบบไทย
บ่าวอีกส่วนก็รื้อจานชามสังคโลกลวดลายวิจิตรมาเช็ดถู อีกพวกก็เตรียมฟืน เตรียมไฟ เตรียมสำรับอาหารกับวุ่นวาย
หมอจรัสอยากให้งานนั้นคืนนั้นเป็นแบบฝรั่ง เขาจึงสั่งให้บ่าวไพร่ที่ไม่มีหน้าที่ใดๆอยู่แต่ในครัวและหลังเรือน ส่วนคนที่ต้องคอยดูแลแขกเหรื่อก็ให้จัดหาเสื้อแสงมาใส่เสียให้เรียบร้อย
ผมกับสนนั้น หมอจรัสได้สั่งให้ช่างแหม่มชาวอังกฤษมาวัดตัวตัดชุดสูทแบบสากล
“พ่ออัชย์ เราจักออกไปธุระข้างนอก เจ้าไปกับเราหน่อยเถิด” หมอปีย์สีหน้าไม่สู้ดีนักจนผมผิดสังเกต
“มีอะไรหรือหมอ ชั้นต้องไปช่วยเรือนนู้นเตรียมของนะ”
“มาเถิด เจ้าต้องไปรับชุดด้วยมิใช่รึ ออกไปกับเราจักได้ไม่เสียเที่ยว”
ผมเห็นทีท่าของหมอปีย์ร้อนรนเหมือนมีเรื่องอะไรไม่ชอบมาพากล จึงยินยอมนั่งรถลากออกไปกับเขา
“หมอมีอะไร” ผมนั่งติดกับเขา กลิ่นกายของเขายังเย้ายวนอยู่เหมือนเดิม แต่ผมต้องหักห้ามใจเพราะตอนนี้ สถานะเราได้เปลี่ยนไปแล้ว
“เจ้าเคยบอกว่าตอนที่เราความจำเสื่อมที่ชะอำ เราพักอยู่ที่เรือนพระยาบริรักษ์ กับชงโคใช่หรือไม่”
จู่ๆ หมอก็ถามผมถึงชื่อคนเลวสองคนนี้ขึ้นมา ทำเอาผมแปลกใจ
“จำได้สิ มีอะไร” ผมถาม สีหน้าไม่สู้ดีนัก
“เราเห็นจดหมายเทียบเชิญที่หมอจรัสให้เราส่งมีชื่อ สองคนนั้นด้วย”
หมอปีย์พูดจบผมก็อ้าปากค้าง นึกว่าตัวเองหูฝาดฟังผิดไป
“จดหมายเชิญพระยาบริรักษ์กับชงโค!!”
“ใช่ เราจำไม่ผิดแน่”
“จะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อสองคนนั้นไม่ได้เป็น.......”
“เป็นสิ พระยาบริรักษ์เคยเป็นหมอหลวงอยู่ที่พระนคร แต่ต้องระเห็จไปอยู่หัวเมืองชะอำเหตุเพราะถูกกล่าวหาว่าลักยาในท้องพระคลัง”
“แล้วไหนหมอจรัสบอกว่าจะเชิญเฉพาะแขกต่างบ้านต่างเมืองไง” ผมยังคงไม่อยากให้เรื่องมันเป็นไปตามที่ผมคิด ไม่อยากจะนึกเลยหากสองคนนั้นมาจริงๆจะเกิดอะไรขึ้น
“หมอท่านอยากตอบแทนการมีน้ำใจของพระยาบริรักษ์ เรื่องที่คอยดูแลรักษาเราตอนที่เราไม่สบาย”
“โธ่เว้ย” ผมถอนหายใจอย่างขัดใจ
และนิ่งไปครู่ใหญ่
“แต่คงไม่มีอะไรหรอกหมอ เราอยู่ที่นี่มีผู้คนมากมาย ไหนจะหมอจรัส ไหนจะคุณชั้น อีกอย่างที่นี่ก็เป็นถิ่นของเรา สองคนนั้นคงทำอะไรเราไม่ได้หรอก” ผมแค่นยิ้ม พยายามนึกในทางที่ดีแต่ในใจนั้นเริ่มรู้สึกถึงบางอย่างชอบมาพากล
-
รถลากพาเราทั้งคู่แล่นผ่านถนนเจริญกรุงมาจอดหน้าร้านตัดสูท ที่มีหุ่นวางอยู่หน้าร้าน ผมด้อมๆมองๆภายในร้าน พักหนึ่งก็มีหญิงสาวหน้าตาดีเดินออกมาต้อนรับในชุดลูกไม้ระบายสีเหลืองพลิ้วทันสมัย
“เชิญข้างในก่อนสิ หมอ” หญิงสาวคนนั้นยิ้มมาให้เราทั้งคู่ รอยยิ้มนั้นทำให้ผมคุ้นเคยอย่างประหลาด
“รำพึง” และแล้วผมก็นึกออก รำพึงหญิงสาวที่บ้านของเธอทำน้ำอบนั่นเอง
“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่หล่ะ แต่งตัวแบบนี้ชั้นจำแทบไม่ได้” ผมร้องทัก
“เรามาเรียนตัดเสื้อกับแหม่จุรีที่นี่น่ะ” เธอตอบ แต่ชื่อแหม่มนั้นทำให้ผมแปลกใจไม่น้อย
“อ่อ แหม่มจุรีเป็นชื่อสำหรับเธอที่นี่ แต่ชื่อจริงๆของเธอคือ มาดามจูลี่” หมอปีย์อธิบาย ผมจึงร้องอ๋อ
“สองคนนี้ยังคงตัวติดกันเช่นเดิมเชียวนะ ไปไหนก็ต้องเจออีกคน” รำพึงล้อ ผมหันไปมองหน้าหมอ หมอเองก็เช่นกัน และได้แต่แค่นยิ้มให้กันอย่างอายๆ
“แหม่มเตรียมชุดไว้แล้วหล่ะ” รำพึงว่า พลางเดินไปหยิบสูทที่แขวนอยู่มุมร้าน เธอเป็นหญิงสยามที่แตกต่างจากหญิงสยามทั่วไป ด้วยเพราะเธอค่อนข้างหัวสมัยใหม่เมื่อเทียบจากหญิงสมัยนั้น รำพึงทำงานนอกบ้าน สนใจแฟชั่น และพูดภาษาอังกฤษได้บ้างในขณะที่หญิงสมัยนั้นเป็นตรงข้ามกับรำพึงแทบทุกอย่าง
“ไม่ใส่ไม่ได้เหรอหมอ มันร้อน” ผมบอก
“ไม่ได้ หมอจรัสท่านเคร่งนัก พวกฝรั่งมังค่ามันชอบดูถูกชาวสยามเรานัก”
“นายจะไปเดือดร้อนทำไม หน้านายก็ไม่ได้เหมือนคนไทยสักหน่อย หน้าชั้นก็เหมือนคนจีน กลัวอะไร”
“เจ้านี่ เลิกดื้อดึงสักวันจักได้หรือไม่ ไปลองชุดเสียก่อน จักแก้ไขตรงไหนค่อยแจ้งรำพึง”
หมอปีย์ดุ ผมจึงยอมเดินเข้าไปเปลี่ยนชุด ในใจแวบนึงยังนึกว่าหมอยังเป็นคนรักผมเหมือนเดิม แต่พออยู่ต่อหน้ากระจก ความจริงก็ปรากฏ
ผมใช้เวลาจัดชุดอยู่พักหนึ่ง มันไม่ยากหรอกสำหรับการใส่สูท และไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับผมด้วย สมัยอยู่เมืองนอก ออกจะใส่บ่อย เพียงแต่การใส่สูทในสยามยุคที่ไม่มีแอร์นี้ ทำเอาเหงื่อซึมจนชุ่มหลังได้เหมือนกัน
“หมอ” ร่างที่ยืนอยู่ต่อหน้าหมอของผมถูกห่อหุ้มด้วยชุดสูทที่ตัดมาอย่างปราณีตพอดีตัว หมอปีย์เงยหน้ามามอง
สายตาของเขาจดจ้องอยู่ที่ผมราวกับคนข้างหน้านั้นเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขา
“เจ้าดูดีมากเลย พ่ออัชย์” เขายิ้ม
“อะไรหมอ อย่ามาจ้องกันแบบนี้สิวะ แค่ใส่สูทเอง” ผมเขิน
“ก็เจ้าดูแปลกตาไป ไม่เหมือนเจ้าบ้าคนก่อน”
“ชั้นเป็นชั้นคนเดิมนั่นแหละหมอ เพียงแค่ใส่สูทเข้าไปเอง”
“ไม่จริง เจ้ามิใช่พ่ออัชย์คนก่อน เจ้ามิใช่พ่ออัชย์ของเราอีกแล้ว”
แววตาของหมอปีย์เศร้าลงไปทันที เขาก้มหน้านิ่ง กำมือแน่น
“พอดีมั๊ย แหม่มแกมีฝีมือด้านนี้ทีเดียว ดูโก้ขึ้นโขเลย” รำพึงเดินเข้ามาได้จังหวะพอดี ก่อนจะยื่นอีกชุดหนึ่งซึ่งเป็นของสนให้ผม
รำพึงทำลายความเงียบระหว่างผมกับหมอปีย์ได้ทันเวลา ผมเองก็ทำอะไรไม่ถูกขณะนั้น ระหว่างผมกับหมอยังมีเยื่อใยบางๆเชื่อมโยงถึงกันอยู่ ผมยังรู้สึกถึงมันได้
เราทั้งคู่ออกจากร้านมาในบ่ายแก่ๆ ไม่มีใครพูดอะไรถึงเรื่องในร้านอีกเลย หมอปีย์เองก็คงรู้สึกผิดที่พูดแบบนั้นออกมา ส่วนผมเองก็กำลังอดทนที่จะไม่พูดอะไรบางอย่างในใจออกไปเช่นกัน
รถลากพาเรามาถึงเรือนหมอจรัส ผมขอตัวลงหน้าเรือนคุณชั้น ก่อนจะเดินเข้าเรือนไป
ณ ลานหน้าเรือน มีรถลากจอดเรียงอยู่สองคัน ผมมองขึ้นไปบนเรือนก็เห็นว่าคุณชั้นเธอมีแขก จึงเดินอ้อมไปเรือนครัว
“ป้า ใครมาน่ะ” ผมเดินไปถามป้าเมี้ยน
“แขกคุณชั้นเธอน่ะ มาจากหัวเมืองใต้”
“หัวเมืองใต้” ผมชะงักไปนิดหนึ่ง แต่คิดในแง่ดี
“คงไม่ใช่มั้ง” ก่อนจะส่ายหน้าทำเอาป้าเมี้ยนงง
“เป็นอะไรของเอ็ง มาเข้า เร่งมาช่วยข้า หายไปไหนมาทั้งวัน ไม่มีใครช่วยเลย” แกบ่นไปตามประสา
ผมเป็นลูกมือเตรียมงานช่วยป้าเมี้ยน มะพร้าวถูกปอกจนเหลือแต่เนื้อใน มะละกอ พริกเด็ดขั้ว ปอกหอม กระเทียม ทุกอย่างถูกเตรียมไว้อย่างครบครัน
ความวุ่นวายในครัวทำให้ผมลืมเวลา ลืมเรื่องหมอปีย์ ลืมเรื่องพระยาบ้านั่นเสียสนิท ตอนนี้คุณชั้นไว้วางใจให้ผมทำอะไรในครัวเองมากขึ้น บ่อยครั้งที่ผมเองเป็นฝ่ายสอนเทคนิคต่างๆให้ป้าเมี้ยน เช่น วิธีปอกกระเทียมอย่างรวดเร็ว โดนการใส่ในห่อผ้าขาว แล้วใช้ฝ่ามือบี้ เป็นต้น
“คุณชั้นมานู่นแล้ว เจ้าบ้า เร่งมือเข้า” ป้าเมี้ยนหันมาบอก ผมเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นคุณชั้นและคำแก้วเดินตรงมาเรือนครัวกับใครบางคนที่คุ้นหน้า
“ใครวะคุ้นๆ” เมื่อทั้งสามคนเดินเข้ามาใกล้ๆ ใบหน้าของหญิงสาวที่เดินคู่มากับคุณชั้นจึงชัดขึ้นและทำให้ผมถึงกับผงะ
“ชงโค” ผมกระโดดผลุงลงจากแคร่ จนข้าวของหล่น
“เป็นบ้าอะไรของเอ็งอีก” เสียงป้าเมี้ยนตะโกนด่าไล่หลังในขณะที่ผมวิ่งหายไปหลบหลังเรือนครัว
คุณชั้นพาชงโคเดินเข้ามาในครัว ส่วนผมนั้นแอบอยู่หลังกอกล้วยกอใหญ่ที่บังกายไว้อย่างมิดชิด แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าชงโค ผู้หญิงที่ใจคอโหดเหี้ยม ฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็นจะมายืนอยู่ตรงหน้าผมตรงนี้ ผมจ้องมองหล่อนด้วยสายตาเคียดแค้น ภาพของป้าหนู กับจันทร์ที่ถูกหล่อนฆ่าอย่างไม่ปราณีแล่นผ่านเข้ามาในสมอง วินาทีนั้นผมแทบจะหมดความอดทนจนเกือบจะถลาออกไปบีบคอหล่อน
โชคยังดีที่ผมไม่ทำแบบนั้น เพราะไม่เช่นนั้นเรื่องมันอาจเลวร้ายกว่าที่คิดก็ได้
คุณชั้นยืนพูดคุยกับชงโคที่เก็บจริตอันน่ารังเกียจไว้ได้อย่างแนบเนียน หล่อนหัวร่อต่อกระซิกกับคำแก้วอย่างสนิมสนมราวกับเคยรู้จักกันมาก่อน ผมไม่ได้ยินทั้งหมดพูดกัน แต่ก็พอเดาออกว่าชงโคอาจต้องมามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรือนหลังนี้อย่างแน่นอน
-
“ป้า คุณชั้นพาใครมาน่ะ” ผมค่อยๆย่องออกมาจากกอกล้วยหลังจากที่คุณชั้นพาชงโคคล้อยหลังไป
“ลูกสาวพระยาบริรักษ์จากหัวเมืองใต้ เธอจะมาดูแลเรื่องงานบ้านงานเรือน”
“หึ” ผมแบะปาก นึกในใจ นังกุลานี่อ่ะนะ จะมาดูแลงานบ้านงานเรือน โธ่ ลำพังจะแต่งตัวตัวเองให้ดูเป็นผู้เป็นคนยังทำไม่ได้เลย
“แล้วนี่เอ็งหายไปไหนมา คุณชั้นเธอให้หาแน่ะ”
“เหรอป้า” ผมกระโดดผลุงลงจากแคร่อย่างรวดเร็วอีกครั้ง พร้อมๆกับคำด่าตามหลังของป้าเมี้ยนที่หาว่าผมเป็นพวกลิงทโมนเสียสติ
ผมวิ่งมาหยุดที่หน้าเรือน มองรอบๆและเห็นว่ารถลากได้หายไปแล้ว แสดงว่าชงโคได้กลับไปแล้ว จึงค่อยเดินขึ้นบันไดเรือน
“มาแล้วรึ หายไปไหนมาหล่ะ” คุณชั้นนั่งเจียรใบตองโดยมีหนูวาดเป็นลูกมืออยู่ข้างๆ
“อ๋อ เอ่อ ไป ไป ไปตัดใบตองนะขอรับ”
“นั่งสิ เรามีเรื่องจะหารือ”
ผมนั่งลงข้างล่าง คุณชั้นยื่นกระดาษสีซีดเซียวส่งมาให้ผม
“เจ้าดูรายการอาหารที่เราจักเสนอหลวงจรัสให้หน่อยเถิด ว่าพอใช้ได้รึไม่ เรามิรู้ว่าฝรั่งมังค่าจักกินจักอยู่เยี่ยงไร”
ผมรับกระดาษมาอ่าน
“รายการอาหาร มี๑. เป็ดตุ๋นส้มจีน
๒.แกงจืดไก่กับหน่อไม้ตง
๓.แกงกะหรี่กุ้งสดกับแตงอ่อน
๔.ยำญวน
๕.หมูหวาน
๖.กุ้งบงกช
ขนมหวานมี น้อยหน่าน้ำกะทิ ผลตาลลอยแก้ว และผลไม้ตามฤดูกาล
“เยอะจังเลยครับคุณชั้น” ผมเงยหน้าขึ้นมายิ้ม
“ต้องทำเผื่อเหลือเผื่อขาดไว้ ของบางอย่างฝรั่งมันอาจชอบ บางอย่างอาจไม่ชอบ มีให้เลือกนั่นแหละดีเราขี้คร้านจักมากุมขมับกับพวกมันทีหลัง” ดูท่าทางคุณชั้นเธอจะไม่ค่อยปลื้มฝรั่งเอาเสียเท่าไหร่
“น่าจะพอครับ เพราะเห็นหมอจรัสว่า จะมีแขกมาร่วมงานประสามยี่สิบ ถึงสามสิบคนนะครับ”
“อืม เห็นว่าจักพอดังเจ้าว่า เออ เจ้าอัชย์ สำรับมากโขขนาดนี้ เกรงว่าเราคนเดียวจักทำไม่ทัน อย่างไรเสีย เราขอให้เจ้าช่วยเป็นธุระทำสักสองสามอย่าง เห็นเป็นอย่างไรบ้าง”
คุณชั้นยิ้ม แต่ผมกลับอึ้ง แต่ในใจนั้นพองโต ไม่คิดว่าจะได้การยอมรับและรับเกียรติจากคุณชั้นให้ปรุงอาหารสำหรับงานใหญ่เช่นนี้ ปากนั้นอยากจะบอกว่าไม่ แต่ใจนั้นลิงโลดอย่างทำใจจะขาด
“ว่าอย่างไรเล่า” คุณชั้นถามย้ำในขณะที่ผมยังไม่ทันตั้งตัว
“ได้ครับได้ ยินดีครับ”
ผมตกปากรับคำมาในที่สุด ถึงจะไม่แน่ใจว่าจะทำมันออกมาดีหรือไม่แต่ ตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะทำให้ดีที่สุดให้สมกับที่คุณชั้นเธอวางใจ
คุณชั้นมอบหมายให้ผมทำสำรับ สามอย่าง มี แกงจืดไก่กับหน่อไม่ไผ่ตง ยำญวน และ ผลตาลลอยแก้ว และมอบบ่าวให้คอยมาเป็นลูกมืออีกสามสี่คน
-
เย็นวันนั้นหลังจากอาหารมื้อเย็น ผมออกมาหาหมอปีย์ที่ศาลากลางเรือน หมอจรัสนั้นหมู่นี้ออกไปข้างนอกกับสนและกลับมาดึกดื่นแทบทุกคืน ทิ้งให้ผมกับหมอปีย์เฝ้าเรือนตามลำพัง
“หมอ ชั้นมีเรื่องไม่สบายใจ” ผมยืนกุมมือแน่น
“นั่งก่อนสิ มีเรื่องอันใดรึ” เขาเงยหน้าขึ้นมาจากตำรา
“เรื่องชงโคกับพระยานั่นน่ะ” ผมนั่งลงตรงข้ามเขา คืนนี้ลมสงบนิ่ง ทำให้อากาศอ้าวขึ้นไปอีก หมอปีย์ใส่เสื้อจีนสีขาวบางพริ้วจนเห็นเนื้อใน ส่วนผมนั่นร้อนแทบทนไม่ไหวจึงต้องถอดเสื้อเหลือแต่กางเกงผ้าแพร
“วันนี้ชงโคมาที่เรือนคุณชั้น” ผมบอก แต่สีหน้าหมอปีย์ดูจะไม่แปลกใจเท่าไหร่ ตรงกันข้าม สิ่งที่หมอปีย์บอกผมกลับมานั้น ทำให้ผมแปลกใจยิ่งกว่า
“วันนี้พระยาบริรักษ์ก็มาหาหมอจรัสเช่นกัน”
“หา!!!” ผมร้องหา ลั่นบ้าน เพราะยังจำคืนที่พระยาบริรักษ์บอกชงโคเรื่องที่จะฆ่าหมอจรัสเพื่อก้าวขึ้นสู่อำนาจได้ดี
“มีอันใดรึ”
“อ๋อ เอ่อ ไม่มีอะไร” ผมเลือกที่จะไม่บอกความจริงกับหมอ “แล้วพระยานั่นมาทำไมเหรอหมอ”
“เราก็ไม่รู้ดอก หมอเชิญแขกเข้าไปคุยในห้อง”
.
.
.
ผมนิ่งไม่พูดอะไร ในใจพยายามนึกถึงเหตุผลที่พระยาบริรักษ์มาที่นี่
“ร้อนมากหรือพ่อ” จู่ๆหมอปีย์ก็ถามขึ้นมา
“หา อ้อ เอ่อ ร้อนสิ มากด้วย”
“นั่งตากลมกับเราที่ชานเรือนสักประเดี๋ยวก็ได้ เผื่อจักคลายร้อนได้บ้าง” เขาเชื้อเชิญ ผมเห็นดีด้วยเพราะอยู่ในห้องนั้นอบอ้าวเหลือเกิน
เราสองคนนั่งเงียบกันอยู่ครู่ใหญ่ เพราะต่างคนต่างก็ไม่รู้จะพูดอะไร หมอปีย์ก้มหน้าเขียนหนังสือ ส่วนผมก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน
“เล่มนี้อ่านเพลินดีนะหมอ” ผมเงยหน้าขึ้นมาพูดกับเขา เมื่ออ่านหนังสือเล่มนั้นผ่านไปสองหน้า
“ไหน” เขาพลิกหน้าปกมาดู “อ๋อ หนังสือ "Du Royaume de Siam" แปลตามตัวว่า “ว่าด้วยราชอาณาจักรสยามของ เมอซิเออร์ เดอ ลาลูแบร์นั่นเอง เจ้าสนใจรึ”
“อืม อ่านเพลินดีนะ เพิ่งรู้ว่าเขามีแปลเป็นภาษาอังกฤษด้วย” เนื้อหาที่ผมอ่านนั้นล้วนเกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ บ้านเมือง ความอุดมสมบูรณ์ วัฒนธรรมที่แปลก ที่ผมอ่านผ่านสายตาของชาวตะวันตก สิ่งเหล่านั้นทำให้ผมสนใจหนังสือเล่มนี้เป็นพิเศษ
“เอาไปอ่านคลายเบื่อสิ เราอ่านจบแล้ว” เขาว่า
“อืม” ผมก้มหน้าก้มตาอ่านต่อไป
.
.
.
.
.
.
“เจ้ามาอยู่ที่นี่เห็นจักหลายเพลา” หมอปีย์เป็นคนทำลายความเงียบ
“อ่อ ไม่รู้สิ ชั้นไม่เคยนับน่ะ”
“ประหลาดดี ที่คนเราจักเดินทางผ่านมาในอดีตได้โดยที่ไม่มีเหตุผลรองรับ” เขาปิดหนังสือตำราดังปึก
“มีสิ ชั้นเชื่อว่ามี และชั้นก็รู้สึกว่าคำตอบมันกำลังใกล้เข้ามาแล้ว” ผมจ้องหน้าหมอปีย์
“นายเคยรู้สึกมั๊ยว่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดอยู่มันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว เหมือนเราเคยทำ เคยพูดแบบนี้มาแล้ว”
เขาไม่ตอบ แต่ยังคงตั้งใจฟังในสิ่งที่ผมพูด
“ชั้นรู้สึก และรู้สึกบ่อยขึ้นในพักหลังมานี้ ณ ตอนนี้ ชั้นก็ยังรู้สึกเลยว่าชั้นเคยทำแบบนี้พูดแบบนี้กับนายมาแล้ว มันไม่แปลกเหรอ หมอ” ผมถามกลับ
“เจ้ากำลังจะบอกว่า มีสัญญาณบอกว่าใกล้ถึงเวลาที่เจ้าจักกลับไปโลกของเจ้าแล้วกระนั้นรึ” หมอปีย์หรี่ตาลง
“ชั้นรู้สึกอย่างนั้นน่ะ”
“ฝืนมันไม่ได้เลยรึ”
“ไม่รู้สิ”
“แล้วเจ้าจักกลับมาอีกมั๊ย จักกลับมาหาเราอีกมั๊ย”
“ไม่รู้”
.
.
.
.
.
.
“อย่าไปเลยนะ พ่ออัชย์”
-
สงสารหมอปีย์
-
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด จิ้มมมมมมมมมมม
ฮือออ ทำไมเรื่องหลังๆมันดูเศร้าขนาดนี้แหละ
แต่พ่ออัชย์ก็ต้องทำให้ถูกต้อง ก็เพราะรักหมาปีย์นี่เนอะ
โอ๊ยยยย เขินนน รอนะคะ *-*
Ps. หนูจะรอซื้อหนังสือออออออออ
-
ไม่ไปแล้วหมอจะตอบแทนยังไง คำแก้วก็รอขึ้นแท่น อยู่ไปก็ชีช้ำ ปล่อยเขากลับน่ะดีแล้ว :z3:
-
โอ้ววว เย้ๆๆ ได้จิ้มคนแรก คิคิคิ
:sad4: :sad4: :sad4:
กำ ไม่ทัน แง่
-
ขออาบน้ำ ทำใจ ก่อนยังไม่กล้าอ่าน กลัวดราม่า >.< :m15: เดี๋ยวมาอ่าน งิ
-
:z3:
-
ดราม่าอะไรเยี่ยงนี้หนอ~ :z3: :sad4: :sad4:
-
:z3: :z3: :z3:
มันมาแล้ว นังตัวร้ายยยยยยย :z6: :z6:
สองคนนี้คือจุดเปลี่ยนในชีวิตของหมอปีย์และพ่ออัชย์อีกครั้งหนึ่งใช่หรือไม่ ?
ทำไมต้องมาทำให้มันเศร้าด้วยว๊าาาาาาาาา :m15:
-
ใจคอไม่ดีเลยหละ
-
คืนนี้แค่นี้นะครับ ไม่อยากสปอยซ์ตอนจบเลยครับ
แต่แย้มนิดนึงว่า น้ำตาอาจไหลพราก แต่ในขณะเดียวกันก็ยิ้มได้ด้วยนะเออ :z2:
-
ตัดฉับบบบบบบบบ :sad4: :sad4:
อยากรู้จังว่าสองพ่อลูกนั่นจะมาไม้ไหนกัน โอ๊ย ยิ่งนึกยิ่งลุ้นๆๆๆๆๆ
-
กำลังบีบหัวใจสุดๆ =^=
-
ไม่อยากจะเดา ไม่อยากจะคิดไปเอง ปวดตับ
คุณเซ็งเป็ดคะ หวังว่าตอนจบจะเป็นแบบนี้นะคะ :m2:
-
คืนนี้แค่นี้นะครับ ไม่อยากสปอยซ์ตอนจบเลยครับ
แต่แย้มนิดนึงว่า น้ำตาอาจไหลพราก แต่ในขณะเดียวกันก็ยิ้มได้ด้วยนะเออ :z2:
:o
หรือว่าตอนจบคนอ่านจะเป็นบ้า
ยิ้มไปร้องไห้ไปเหรอคะ555
-
น้ำตาที่ว่า มากจากความปลื้มปิติ ใช่ไหมจ้า :laugh:
-
ต้องมีเรื่องร้ายชัวร์!!!
ชงโคโหดขนาดนั้น คงมีเจตนาไม่ดีอีกแน่
อัชญ์อย่าทิ้งหมอเลยนะ T^T
น่าสงสารหมอมากกกกๆๆ
-
อ๊ากก
ทำไมพักนี้มันเศร้า
หวังจะจะจบไม่เศร้าน้าา
-
เฮ้อออ สงสารหมอ
แล้ว 2 พ่อลูกนั่นมีแผนอะไรหว่า :fire:
ปล. จะมีโอกาสรวมเล่มมั้ยเจ้าคะ ถ้ามีขอจองล่วงหน้าเลย :m1:
-
สงสารหมอปีย์อ่ะT^T เฮ้อ สองคนนี้นี่จะกลับมาอีกทำไม ไม่เลิกราจริงๆเล้ยยย ฮือออ
-
นึกว่าเรื่องของชงโคจบๆไปแล้วซะอีก นี่กลับมาอีกเรอะ
จะกลับมาทำอะไร คงไม่ได้มาทำร้ายใครใช่ไหม - -
สงสารหมอ สงสารพ่ออัทย์
ความรักช่างเป็นสิ่งที่น่าเศร้ายิ่งนีก TT
ปล.เรื่องนี้จะทำเป็นหนังสือไหมคะ ทำเถอะนะอยากซื้อ *____*
-
2 พ่อลูกจะเป็นตัวแปรรึป่าวเนี่ย
มีสปอย์ ตอนจบ แบบนี้ตกลง happy มั้ยเนี่ย???
-
คนบางคนแค่เดินผ่านเข้ามาในชีวิต
แวะพักอยู่ในใจทิ้งรอยเท้าเอาไว้
และชีวิตเราก็ไม่มีวันเหมือนเดิมอีกเลย
-
:o12:
แฮ๊ปปี๊เถิดพ่อเป็ด ได้โปรดด
-
ง่ะ ไม่กล้าอ่าน กลัวทำใจไม่ได้ กลัวเศร้ามากแล้วตัวเองต้องซึมหลายวันแน่ๆ
-
เศร้าจังงงงงง
-
ไม่ไว้ใจตัวร้ายสองพ่อลูกนั่นเล๊ย o18
-
พ่ออัชย์นี่แหละ จะเปิดเผยถึงความคิด ชั่ว ๆ เลว ๆ ของ พะยา ( ตั้งใจพิมพ์ ) จิตทราม :z2:
เวลาที่เหลือของสองคน จักเป็นอย่างใดต่อไป
+1 ให้คุณนนท์ รอคอยทั้งสองกลับมาร่วม .... กันอีกครั้ง อย่าคิดลึก หึ หึ หึ ....
-
เศร้าอีกแล้ว :sad4:
-
แงแงแง อ่านไปน้ำตาจะไหลอ่า T^T
สงสารหมอปีย์มากกก พอกะอัชอะ แงแง
ดราม่าน้ำตาท่วมมาก จบเศร้าแน่เลยๆ T^T
-
ตัดฉับ
สะเทือนอารมณ์น่ะจริงเจ้าค่ะ
แต่สงสารหมอปีย์อ่ะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะ
-
ยังไม่อยากให้จบเลยคับ ยังรู้สึกว่ามันแค่ครึ่งเรื่องเอง อย่าเพิ่งรีบจบเลยนะคับ
อยากอ่านต่อ
-
เศร้าๆๆๆๆๆๆ
ถ้าภพนี้ไม่สมหวัง ก็ได้แต่หวังให้ได้มีความสุขกันใหภพใหม่นะ
-
โอ๊ยยยสงสารทั้งหมอทั้งพ่ออัชย์เลยอ่ะ
แค่เรื่องนี้ก็เศร้าพอแล้ว สองพ่อลูกนั้นยังจะเข้ามาอีก :o12: :o12:
-
:serius2:
หรือพ่ออัชย์จะถูกส่งมาให้ขัดขวางการทำร้ายหมอจรัส
เข้มข้นขึ้นทุกทีแล้วสินะ...อย่าไปเลยนะพ่ออัชย์ :m15:
-
"อย่าไปเลยนะพ่ออัชย์"
หมอปีย์พูด้อนซะขนาดนี้ ไม่ใจอ่อนก็แย่แล้ว
เรื่องกำลังเข้มข้นเลย จะมีการนองเลือดรึเปล่าเนี่ย
รอตอนต่อไปจ้า
-
มาแอบมโนเอาเองว่า...พี่หมอในยุคปัจจุบันที่ตามจีบปอตลอดมา คนนั้นต้องมีอะไรๆแน่ๆ ไม่งั้นจะตามจีบปอทำไมตั้งนาน แล้วยิ่งตอนเรื่องจะแต่งงาน(?)ไรนั่นกะแฟนเก่าปออีกอ่ะ ที่พี่หมอบอกว่ามันมีเหตุผลอะไรสักอย่างที่ปอไม่ทันฟังนั่นน่ะ....มันต้องมีอะไรแน่ๆเลย พี่หมอจะใช่หมอปีย์รึป่าวน๋อ? แล้วแฟนเก่าปอจะใช่คำแก้วมั้ย แลว่ามันเกี่ยวพันกันยังไงมิยู๊ว ววว
/มโนเอาเองเป็นตุเป็นตะ... ถ้าไม่ใช่นี่เก็บเศษหน้าแทบไม่ทัน....เอิ๊ก กกก/
-
สงสารหมอปีย์
-
ไอ้สองพ่อลูกนั่น คิดร้ายอะไรอีกเนี่ย สงสารหมอปรีย์
-
ฮืออออ :sad4:
ชอบนิยายเรื่องนี้มากเลยนะพ่อ
เพิ่งมาตามอ่านได้ 3-4 วัน ติดงอมแงมเลยเจ้าค่ะ
ตอนที่ลงวันที่หก ทำอิชั้นร้องไห้ขี้มูกไหลเลย :o12:
อยากอ่านตอนต่อไปแล้วพ่อ มาต่อบัดเดี๋ยวนี้เถิด ขอร้อง :sad4:
อยากจะสมทบทุนผ่อนอิอ้อน (ไม่รู้ตอนนี้ผ่อนหมดยัง) มีไว้เก็บไว้เป็นเล่มคงจะได้เอาออกมาลูบมาคลำบ่อยๆ :-[
เป็นกำลังใจให้พ่อนะเจ้าคะ อิชั้นจักเฝ้ารอตอนต่อไปเหมือนที่หมอปีย์เฝ้ารอพ่ออัชย์ :monkeysad:
ปล.ฉากอัศจรรย์ในเรื่องนี้งดงามยิ่งนัก :a5:
-
• ในบ่ายแก่ๆของวันที่อากาศอบอ้าววันหนึ่ง ผมกำลังนั่งแปลงานเหมือนอย่างเดิม
นานๆครั้งถึงจะละสายตาจากกองหนังสือวิชาการที่หมอจรัสขนลงเรือสำเภามาจากอเมริกา
ทอดสายตามองออกไปนอกบ้านมองไปยังต้นตบะที่ออกดอกสีม่วงอยู่ไกลๆ เพื่อผ่อนคลายสายตา
ว้าย ต้นไม้โบราณ
ตะแบก น. ชื่อไม้ต้นหลายชนิดในสกุลLagerstroemia วงศ์ Lythraceae
ผิวเปลือกเรียบล่อนเป็นสะเก็ด ดอกสีม่วง
เช่น ตะแบกนา (L. floribunda Jack).
๔๒๗ + ๑ = ๔๒๘
ขอบคุณนะคะ คุณ เซ็งเป็ด
/กิต. คาดหวังให้สิงห์เหนือ(คำแห้ว) ปะทะกับ เสือใต้(ชนโค) อย่างถึงพริกถึงขิง อิอิ
(เพิ่มเติมเมื่อ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๔)
-
อ่านรวดเดียวหมดเลยค่ะ
มารอตอนจบด้วยคน
-
เรื่องนี้ใกล้จะจบแ้ล้วหรอเนี้ย ไม่อยากใ้ห้จบเลย
หลังๆ ทำไมมันเศร้าได้ถึงเพียงนี้กันนะ ไม่อยากเห็นหมอปีย์เป็นทุกข์เลย
ภพนี้ทั้งสองจะไม่สมหวังกันจิงๆ หรอ อ่านไปน้ำตานองหน้าเต็มไปหมด
ปวดใจแทนทั้งสองคนยิ่งนัก แล้วไหนจะมีสองพ่อลูกกลับมาป่วนอีก
ไหนจะคำแก้ว ถ้าทำเป็นเล่มบอกด้วยนะคะ
-
จบแบบนี้คนอ่านอาจตายด้าย เห้ย !! ตายได้ ไม่เอาแบบนี้นะหมอ~
น้ำตาไหลพรากและยิ้มได้ นั่นสิมันจะยิ้มแบบขื่นๆฝืนยิ้มหรือเปล่าก็ไม่รู้ TT
เดาว่ามันอาจเกี่ยวกับปัจจุบัน เหตุการณ์ค่อยๆคลี่คลาย มีสัญญาณมาแล้ว
มาอัพไวๆนะคะ ปล.ขอบคุณมากเลยนะคะที่อัพตรงกับวันเกิด (คนแต่งคงไม่รู้)
ของขวัญวันเกิดปีนี้เี่ียี่ยมอีกแล้ว...
-
Ohhhhh!!!
-
เช้าวันงาน ผมตื่นแต่เช้าตรู่ เดินย่ำหญ้าที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำค้างตรงไปยังเรือนคุณชั้น แสงไฟลอดผ่านสุมทุมพุ่มไม้ออกมา แสดงให้เห็นว่าเรือนครัว ตอนนี้คงกำลังวุ่นวายกันอยู่
ความกังวลใจกำลังทำให้ผมรู้สึกสับสน เรื่องราวหลายๆเรื่องไม่ว่าจะเรื่องหมอปีย์ เรื่องพระยาบริรักษ์ เรื่องการทำสำรับอาหารวันนี้ และที่สำคัญ เรื่องราวความฝันแปลกๆที่เกิดขึ้นเมื่อคืน กำลังทำให้ผมกังวลใจเป็นอย่างมาก
พักหลังมานี้ ผมมีอาการแปลกๆไป ทุกครั้งที่เหม่อลอย ผมจะเหมือนถูกกระชากวิญญาณออกจากร่าง ผมมองเห็นร่างของตัวเองยืนเหม่อแน่นิ่ง และทันทีที่หันหลัง มันก็เหมือนกับเหตุการณ์ครั้งนั้นมันเกิดขึ้นมาแล้วหลายต่อหลายครั้งซ้อนกันไปมา
มีครั้งที่ชัดเจนที่สุด นั่นก็คือครั้งที่ผมจะเดินออกมาจากห้องหมอปีย์ แล้วเขาคว้าข้อมือผม เพื่อจะขอร้องไม่ให้ผมไป
ผมไม่ได้ตอบคำถามของหมอปีย์ ไม่ใช่เพราะไม่อยากตอบ แต่เป็นเพราะผมรู้สึก และเห็นภาพตัวเองที่เคยทำแบบนี้ ซ้ำๆกันอยู่สองถึงสามครั้ง มันเหมือนการกรอภาพย้อนกลับไปมา สามครั้งยังไงยังงั้น
ผมรู้ก่อนหมอปีย์เสียอีกว่าเขาจะพูดอะไร จะทำอะไร แต่ผมฝืนมันไม่ได้
หรือในยามค่ำคืน ทันทีที่จะเคลิ้มหลับ ผมก็จะเห็นภาพที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต และมันก็จะเป็นไปตามที่ฝันอยู่หลายต่อหลายครั้ง
“เจ้าบ้า!!!” เสียงป้าเมี้ยนเตือนสติ “เป็นอะไรไปอีกละเจ้า เดินเหม่อลอย ประเดี่ยวก็เหยียบเอาเตาไฟตีนไหม้กันพอดี”
“อ่อ เอ่อ ขอโทษครับ” ผมหันไปทางป้า ก่อนจะได้สติ และรู้ตัวอีกทีก็เห็นตัวเองยืนอยู่ตรงเรือนครัวที่ถูกสร้างเป็นเพิงชั่วคราวขึ้นมาเพื่อแยกออกจากเรือนครัวหลังเก่าซึ่งคุณชั้นใช้เป็นที่ทำอาหารส่วนของเธอ
“ของที่จักทำข้าเตรียมไว้ให้ตรงนั้นแล้ว เร่งมือเข้า งานจะเริ่มบ่ายนี้แล้ว”
ผมมองไปที่บนครัวเห็นหน่อไม้ตงลำอวบวางเรียงเป็นแพ อีกทั้งทะลายลูกตาล และเครื่องคาวต่างๆที่จะใช้ทำเมนูวางพร้อมใช้งาน
“งั้นเรามาทำแกงจืดไก่กับหน่อไม้ตงก่อนดีกว่า” ผมร้องบอกลูกมือ เพราะเห็นว่าอาหารชนิดนี้ทำไว้ก่อนได้ พอจะใช้ก็ค่อยอุ่นเอา
แกงจืดไก่หน่อไม้ตงนั้น คุณชั้นเคยสอนให้ทำเมื่อหลายวันก่อน ผมจำวิธีทำได้ดี เพราะไม่ยากเพียงแค่ใช้เวลาในการเคี่ยวเท่านั้น
“ป้าเมี้ยน” ผมร้องเรียกหาไก่ที่สับแล้ว บ่าวผู้หญิงคนหนึ่งยกไก่ที่สับและล้างสะอาดแล้วมาให้ ผมหยิบขึ้นมาดูว่าเขาสับเป็นชิ้นพอดีหรือไม่ เมื่อเห็นว่าใช้ได้แล้วจึงหันไปโขลกกระเทียมไทย รากผักชี พริกไทย และเกลือเม็ดจนละเอียดก่อนจะเอามาคลุกกับไก่ แล้วหมักไว้ชั่วครู่
ลูกมือคนอื่นๆกำลังขะมักเขม้นช่วยกันปอกหน่อไม้ตง หน่อไม้ที่ปอกเสร็จแล้วนั้นเนื้อขาวเนียน และมีกลิ่นหอมหวานโชยออกมาอ่อนๆ ผมจับหั่นตามขวางอย่างชำนาญ
เมื่อเสร็จแล้วจึงนำไปต้มรวมกับไก่ และเคี้ยวไปจนเนื้อเปื่อย เมื่อได้ที่จึงให้บ่าวช่วยกันเลาะกระดูกไก่ เอาแต่เนื้อก่อนจะเคี้ยวต่อไป
ระหว่างที่เคี้ยวไก่อยู่นั้น ผมก็หันไปทำกับข้าวอย่างที่สองอย่างคล่องแคล่ว การเป็นเชฟในร้านอาหารที่ผมเคยทำนั้น ต้องทำอย่างว่องไว แต่ต้องถูกต้องและอร่อย ทักษะเหล่านั้นช่วยผมได้มากในยามนี้ แต่ที่น่าจะสำคัญกว่านั้นก็คงจะเป็นความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาจากคุณชั้นนั่นเอง
“จักทำอะไรต่อ” ป้าเมี้ยนถาม
-
ผมมองดูเมนูแล้ว เห็นว่า อาหารอีกสองอย่างใช้เวลาไม่นานในการทำ ตอนนี้เหลือเวลาอีกนานกว่างานจะเริ่ม จึงยังไม่ลงมือทำ เพราะหากทำทิ้งไว้เกรงว่า อาหารจะเย็นชืดไม่น่ากินเสียก่อน
คุณชั้นวุ่นวายอยู่กับอาหารส่วนที่เหลือ ผมจึงอาสาเดินไปช่วยเป็นลูกมือของเธออีกแรง ทันทีที่เดินเข้าไปหา คำแก้วซึ่งกำลังนั่งเด็ดดอกขจรเงยหน้ามามองผม ก่อนจะก้มหน้าเหมือนพยายามปิดบังอะไรบางอย่าง
แต่ผมก็ไม่ได้สนใจกับท่าทางแปลกๆของเธอมากนัก ยังคงอยู่ช่วยงานคุณชั้นต่อไปจนเกือบเที่ยงจึงขอตัวกลับมาทำอาหารส่วนที่เหลือของตัวเองเพราะกะเวลาไว้ว่าน่าจะพอดี
อาหารจานต่อไปที่ผมจะทำเป็นขนมหวาน นั่นคือลูกตาลลอยแก้ว ซึ่งสมัยนั้นลูกตาลคงหาได้ง่าย คุณชั้นคงเห็นถึงข้อดีข้อนี้จึงหยิบเมนูนี้มาให้แขกเหรื่อได้ลองทาน อีกอย่างหน้าร้อนๆแบบนี้ได้ทานลูกตาลลอยแก้ว คงจะชื่นใจน่าดู
ป้าเมี้ยนให้บ่าวผู้ชายผ่าลูกตาลแล้วแกะออกมา ส่วนบ่าวผู้หญิงก็ปอกเปลือกที่ขมของลูกตาลออกจนเห็นแต่เนื้อขาวๆ หนูวาดนั้นวิ่งมาแต่ไกลเมื่อเห็นว่าผมกำลังจะทำขนมลูกตาล วิ่งมาถึงก็คว้าหมับเข้าปาก จนยายเมี้ยนต้องดุถึงหยุดกิน
“ก็หนูวาดชอบกินนี่นา” เธอยิ้มอย่างอายๆ
ผมหัวเราะก่อนจะหยิบน้ำลอยดอกไม้นานาชนิดที่คุณชั้นเธอเตรียมค้างคืนไว้มาเทใส่หม้อ ตามด้วยน้ำตาลทรายขาว ตั้งไฟจนเดือด จากนั้นจึงใส่ลูกตาลที่หั่นไว้ รอเดือดอีกครั้งก็เป็นอันเสร็จ
“เสร็จแล้วเหรอเจ้าคะ ง่ายจังเลย” หนูวาดยิ้ม
“ของหนูวาดน่ะ เดี๋ยวพี่ทำให้ใหม่ สูตรนี้รับรองอร่อยเด็ดกว่านี้อีกนะ” ว่าแล้วผมก็เอาลูกตาลที่เหลือเก็บไว้ มาเทใส่ในน้ำกะทิสดที่ละลายน้ำตาลปีบกับเกลือจนรสออกหวานมัน และเค็ม ปะแล่มๆ ก่อนจะตั้งไฟให้พอร้อน เรียกได้ว่า ใช้แต่ของสดๆกันเลยทีเดียว
“อ้าว นี่ของหนูวาด” ผมยิ้มและยื่นให้หนูวาดที่ทำท่าตื่นเต้นเสียยกใหญ่
หนูวาดหยิบช้อนขึ้นมาตักก่อนจะชิม
“เจ้าอัชย์เจ้าคะ” หนูวาดอุทาน ปากเคี้ยวขนมตุ้ยๆ “อร่อยมากๆเลยเจ้าค่ะ อร่อยกว่าแบบนั้นเสียอีก” หนูวาดทำตาโตแก้มป่อง ก่อนจะวิ่งถือถ้วยไปหาคุณชั้น
“หนูวาดๆ ไปไหน จะเอาถ้วยขนมไปไหน” ผมตะโกนถาม แต่ไม่ทันเสียแล้ว หนูวาดถือถ้วยวิ่งหน้าตั้งไปหาคุณชั้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อไม่มีหนูวาดก็ไม่มีเสียงเจี๊ยวจ๊าวซักนู่นซักนี่ เห็นหนูวาดทีไรผมก็อดคิดถึงเจ้าแดงมันไม่ได้ซักที เด็กสองคนนี้มีอะไรที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันนั่นก็คือกำพร้าพ่อแม่เหมือนกัน
“แดง ถ้ายังอยู่แถวนี้มากินขนมนี้นะ” ผมวางกระทงบตองที่ใส่ขนมลูกตาลกะทิสดไว้ที่โคนต้นมะขาม ก่อนจะเอ่ยชื่อแดง
“อ้าวป้าเมี้ยน ได้เวลาทำยำญวนแล้วหล่ะ” ผมร้องขึ้น
ยำญวน เป็นยำที่ผมเองก็ไม่เคยเห็น หรือได้ยินชื่อมาก่อน ดูเหมือนกาลเวลาจะทำให้อาหารไทยหลายๆอย่างเลือนหายไปมากพอสมควร นี่ขนาดผมเรียนด้านอาหาร และที่บ้านก็เปิดร้านอาหารนะ ยังไม่รู้จักอาหารไทยอีกหลายชนิดเลย
การทำยำญวนนั้นไม่ยากอย่างที่คิด เพราะของถูกเตรียมไว้หมดแล้ว วิธีทำก็คือ นำหมูติดมันและหนังหมูมาลวกก่อนจะหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นก็ลวกกุ้ง ลวกอกไก่แล้วฉีกเป็นฝอยๆ เห็ดหูหนูก็หั่นพอดีคำ แตงกวาอ่อนไม่ปอกเปลือกหั่นขวาง หัวผักกาดสดฝานเหมือนแตงกวา ก่อนจะเอาไปขยำเกลือให้หายขื่น แห้วซอย เมล็ดแตงโม ใบสาระแน่ ไข่ต้ม ทั้งหมดวางเรียงกันในจานเดียวกัน ก่อนจะราดด้วยน้ำยำที่ประกอบด้วย พริกแดง กระเทียม รากผักชี และเกลือโขลกละเอียด ผสมน้ำตาลทราย เกลือ และน้ำส้มละลายให้เข้ากัน เวลาจะรับทานก็แค่ตักใส่จานแล้วคลุก แค่นี้ก็อร่อยเด็ดแก้เลี่ยนได้เป็นอย่างดี
-
สำรับของผมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมยืนมองมันอย่างภาคภูมิใจ ไก่ต้มหน่อไม้ตงก็กำลังเคี่ยวได้ที่ หมอใหญ่แบบนี้คงกินได้ไม่ต่ำกว่า 40คนแน่ๆ
ระหว่างที่ผมยืนภูมิใจอยู่กับอาหารฝีมือตัวเองนั้น คุณชั้นก็เดินมาข้างหลังพร้อมกับคำแก้ว และใครอีกคนที่ผมไม่อยากพบเจออีกเลยในชีวิตนี้
“เจ้าทำอะไรให้หนูวาดกิน” ผมหันไปมอง สีหน้าคุณชั้นดูตึงเครียด แต่คนที่ดูจะเครียดและตกใจกว่าผมคือ ชงโค เธอคงไม่คิดว่าจะเจอผมอยู่ที่เรือนหลังนี้
ผมเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนึกขึ้นได้เรื่องลูกตาลกะทิสด
“เอ่อ ผม ผมแค่ ลองทำให้หนูวาดเธอชิมแค่นั้นเองขอรับ”
คุณชั้นมองหน้าผมด้วยสายตาที่คาดเดาไม่ได้
ในใจเธอคงก่นด่าผมอยู่ในใจว่าเหตุใดถึงกล้าขัดคำสั่งเธอ ทำในสิ่งที่เธอไม่ได้สอน คำแก้วเองก็ยิ้มสะใจนิดๆอยู่มุมปาก ส่วนชงโคนั้นกัดฟันจนกรามขึ้นเป็นรูป
“รสชาติใช้ได้เลยทีเดียว จักเป็นไรไหม ถ้าเราจักให้เจ้าทำขนมลูกตาลใหม่ ตามแบบที่เจ้าทำ”
เมื่อพูดจบคุณชั้นก็ยิ้มด้วยความเกรงใจ ผมนั้นเผลอถอนหายใจออกมาเบาๆอย่างโล่งอก ส่วนสองคนนั้นหันไปมองหน้ากันอย่างผิดหวัง
ของในครัวที่จะใช้เสริฟถูกเตรียมเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบบนชานเรือนคุณชั้น ของบางอย่างก็ตั้งอุ่นไฟเคี่ยวอยู่ ดอกไม้ บายศรีฝีมือวิจิตร ก็พร้อมทั้งหมดรอแค่ให้บ่าวไพร่ยกไปจัดเรียงก็เป็นอันเสร็จ
ผมยกถาดผลไม้ถาดใหญ่ที่แกะสลักอย่างสวยงามถาดสุดท้ายมาวาง ก่อนจะยืดตัวบิดขี้เกียจแก้เมื่อย
“มาอยู่นี่เองรึ พ่อตัวดี” จู่ๆชงโคก็เดินมายืนอยู่ข้างหลัง ในมือถือพัดไม้จันทร์โบกไปมา
ผมยืนหันหลังให้หล่อน สูดหายใจเข้าอย่างแรงก่อนจะพ่นออกมาอย่างเหลืออด นี่ผมเลี่ยงหล่อนทุกวิถีทางแล้วนะ ยังจะตามมารังควานอีก
“ก็นี่มันบ้านกระผม จะทำตัวดีตัวเลวยังก็ทำในบ้านตัวเอง อย่างน้อย กระผมก็ไม่ได้ไปทำตัวเลวในบ้านคนอื่นอย่างใครบางคน” ผมพูดด้วยความเอือมระอา
สีหน้าของชงโคเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยเลือดที่พลุ่งพล่านทันที หล่อนสะบัดพัดรวบเสียงดับพั่บ ก่อนจะบีบมันไว้แน่นและเม้มปากด้วยความโกรธ
“ปากดี จะตายอยู่แล้วยังไม่รู้ตัว” จู่ๆชงโคก็โพล่งพูดเรื่องตายขึ้นมา
“ก็เอาสิ คนชั่วอย่างเธอคงทำอะไรได้ไม่ดีเท่ากับการฆ่าคนอย่างเลือดเย็นแล้วหล่ะ” ผมกัดฟันพูดด้วยความโมโห
“มึง” ชงโคยกแขนขึ้นหมายจะฟาดหน้าผมด้วยพัด
.
.
.
“อ้าว มาทำอะไรกันอยู่ตรงนี้เล่า ชงโค” เสียงคุณชั้นดังขึ้นมา “ยังไม่รีบไปแต่งตัวอีก แขกเหรื่อเริ่มมากันแล้วนะ”
ชงโคลดมือลงมาจับไว้ที่หน้าท้องเหมือนเดิม “ฝากไว้ก่อนเถอะ” ก่อนที่เธอจะหันหลังกลับไปยิ้มกับคุณชั้น
“เจ้าค่ะ จักไปประเดี๋ยวนี้แหละเจ้าค่ะ”
-
บ่ายแก่ๆของวันนี้อากาศไม่ร้อนนักเพราะมีเมฆครึ้มคอยบังแสงแดด อีกทั้งได้ร่มไม้ช่วยอีกแรง ผมเดินลัดเลาะมาตามทางเดินริมคลอง ในใจยังคุกรุ่นไปด้วยแรงโทสะที่มีต่อชงโค ตอนที่หล่อนเงื้อมือขึ้นมานั้น มือผมก็กำแน่นอยู่แล้ว ถ้าคุณชั้นมาช้าไปกว่านี้ ผมคงได้ชกหน้าผู้หญิงคนนั้นจนฟันบิ่นเป็นแน่
“อัชย์ มาอยู่เสียที่นี่เอง หมอจรัสให้หา เร่งไปอาบน้ำแต่งตัวเข้าเถิด” หมอปีย์เดินเข้ามาหา เขาแต่งตัวภูมิฐานอยู่ในชุดสูทสากล ผมมองเขาแล้วนึกยิ้มอยู่ในใจ เขายังคงดูดีมีมาดเสมอไม่ว่าจะอยู่ในชุดใด
หลังจากที่แยกกับหมอปีย์ ผมจึงแวบไปอาบน้ำที่หลังเรือน ก่อนจะขึ้นมาแต่งตัวและหยุดยืนอยู่หน้ากระจก
“นี่เราจริงๆเหรอ” ผมเปรยกับตัวเองเบาๆ ทันทีที่เห็นใบหน้าตัวเองอย่างชัดเจนหลังจากที่ไม่เคยส่องกระจกเลยหลังจากมาอยู่ที่นี้
ใบหน้าคล้ำกร้านลงไปมาก อีกทั้งผิวพรรณก็ไม่ผุดผ่องเหมือนเดิม
“ฟึบ!!!” จู่ๆแสงวาบจากกระจกก็พุ่งเข้าตาผมจนต้องหลับตา แต่พอลืมตาขึ้นทุกอย่างก็เป็นปกติ
“เฮ้ย อะไรกัน” ผมตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น แสงที่คล้ายไฟหน้ารถยนต์เมื่อกี้นี่มันคืออะไรกัน ผมสะบัดหัวสองสามครั้งด้วยความไม่เข้าใจ แต่ไม่มีเวลาจะมาหาคำตอบในเรื่องนี้ ผมวิ่งไปหยิบชุดสูทมาใส่ เสร็จแล้วจึงเอาน้ำมันมาใส่ผมเซตให้ดูดีที่สุด
“มาแล้วรึ เรากำลังจักไปตามเจ้าอยู่พอดี” หมอปีย์ทักขณะที่ผมมายืนอยู่ข้างๆมองออกไปลานหน้าเรือน
“แขกเหรื่อมากันเยอะแล้วนี่” ผมมองออกไปยังชายหญิงฝรั่งคู่หนึ่งที่ยืนอยู่อย่างสง่างาม ฝ่ายชายนั้นมาในชุดทักซิโดสีดำ เข้ากับหนวดที่โค้งพองาม ส่วนฝ่ายหญิงที่ยืนอยู่ใกล้ๆนั้นก็ดูสวยงามในชุดฟูฟ่อง
อีกมุมหนึ่งของลานก็มีอีกคู่ ยืนคุยกันอยู่
“ไปทำหน้าที่ของเจ้าสิ พ่ออัชย์” หมอปีย์กระทุ้งแขนผมเบาๆ
ณ ริมน้ำ หมอจรัสยืนคุยอยู่กับชายแก่คุ้นหน้าคนหนึ่งอย่างสนิทสนม ผมหรี่ตามองให้ชัดเจนขึ้น จนเมื่อชายแก่คนนั้นหันหน้ามา ผมถึงได้ร้องอุทานขึ้นมาเบาๆว่า
“พระยาบริรักษ์”
“ฟึ่บบบบบบบบบบบบ!!!”
ทันทีที่เอ่ยชื่อของพระยานั่น แสงสว่างวาบก็จ้าเข้ามาในตา แล้วภาพเหตุการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้น
....................พระยาบริรักษ์กำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ในมือของเขาถือมีดที่เปื้อนไปด้วยเลือด และที่พื้นนั้นเอง ผมได้เห็นภาพหมอจรัสที่นอนฟุบอยู่กับพื้นที่นองไปด้วยเลือดแดงฉาน
“Excuse me. Where is the rest room” เสียงของแหม่มฝรั่งคนหนึ่งกระชากผมจากภวังค์อันน่าสยดสยองนั้น ขนแขนยังลุกชันในขณะที่ตอบแหม่มผู้นั้นไป
“นี่มันอะไรกัน” ผมเปรย
-
ยิ่งเย็นแขกยิ่งมากันคึกคักมากขึ้น ทั้งหมอจรัส ผม หมอปีย์และสนต่างวุ่นวายอยู่กับการรับแขก และคอยอำนวยความสะดวก ส่วนพวกผู้หญิงนั้นไม่ว่าจะเป็นชงโค คำแก้ว หรือแม้แต่รำพึงซึ่งหมอปีย์เป็นคนเชิญมาช่วยรับแขก ต่างก็ช่วยทำหน้าที่ของตัวเอง
แขกที่มางานในคืนนี้ส่วนใหญ่เป็นแขกต่างบ้านต่างเมือง งานนี้จึงเป็นเหมือนงานแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมเสียมากกว่า พวกหมอผู้ชายก็จะจับกลุ่มพูดคุยกันถึงเรื่องวิวัฒนาการของโรคและการรักษา มีหมอชาวสเปนที่ประจำอยู่ที่หัวเมืองมะละกาเล่าให้ฟังถึงโรคประหลาดที่นั่น ที่อาการของโรคนั้นน่ากลัวและรุนแรง เขาเล่าให้ฟังว่าโรคนั้นจะเริ่มจากการที่ผู้ป่วยจะเริ่มมองอะไรไม่ชัด หกล้มบ่อย ควบคุมตัวเองไม่ได้ เหมือนร่างกายไม่ใช่ของเรา จากนั้นก็จะเดินไม่ได้ ต้องนั่งอย่างเดียว อาการต่อไปก็คือ ขยับร่างกายไม่ได้ พูดไม่ได้ และเสียชีวิตในที่สุด
ส่วนหมออีกคนที่มาจากอังกฤษก็เล่าว่าที่สิงคโปร์นั้นแพทย์แผนปัจจุบันนั้นก้าวหน้าไปมาก ด้วยเพราะสิงคโปร์ได้รับการช่วยเหลือและความรู้จากอังกฤษ หมอผู้นั้นเล่าอย่างภูมิใจ โดยไม่ลืมทิ้งทายว่าทั้งหมดทั้งมวลล้วนมาจากพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระราชินาถ อลิซาเบธที่ 2
เมื่อพวกผู้ชายสุมหัวกันพูดถึงแต่เรื่องวิชาการ ฝ่ายภริยาที่เฝ้าติดตามก็แยกกลุ่มมานั่งคุยสอบถามถึงความเป็นอยู่ ความสวยความงาม แฟชั่นเครื่องแต่งกาย อาภรณ์ที่กำลังได้รับความนิยม หนึ่งในผู้ที่ร่วมวงเสวนาด้วยก็คือ รำพึงนั่นเอง
ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม ผู้คนหนาตามากขึ้น แสงไฟถูกจุดขึ้นโดยรอบจนสว่างจ้า วงดนตรีไทยบรรเลงสลับกับวงสากล ให้บรรยากาศเหมือนมางานการ์ล่า ดินเนอร์ของพวกผู้ดีฝรั่งยังไงชอบกล
บ่าวไพร่ที่ทำหน้าที่ของตนหมดแล้วต่างแยกย้ายไปพักผ่อนที่หลังเรือน มีเพียงบางส่วนที่มาซุ่มแอบดูงานและพากันหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นบรรดาแหม่มหัวทองแต่งชุดที่รัดเอวเสียจนกิ่ว แหม่มบางคนนึกพิเรนทร์เมื่อเห็นบ่าวผู้หญิงสุมหัวกันแอบมอง หล่อนเดินเข้าไปหาก่อนจะหมุนตัวจนกระโปรงบานเผยให้เห็นเนื้อใน
บ่าวไพร่ที่อยู่ตรงนั้นต่างพากันกรีดร้องด้วยความตกใจกลัว วิ่งหนีล้มลุกคลุกคลาน สร้างความครื้นเครงให้กับบรรดาแหม่มเหล่านั้นเป็นอย่างมาก
“ใกล้ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว เจ้าจงเร่งไปบอกคุณชั้นให้ยกสำรับมาเถิด” หมอจรัสเดินมาหาผมซึ่งกำลังคุยกับฝรั่งจากอังกฤษอย่างออกรสถึงเรื่องราวที่เคยไปใช้ชีวิตที่ออสเตรเลีย
“I have to go.” ผมบอกก่อนจะทิ้งท้ายไว้ว่า คราวหน้าจะกลับมาเล่าถึงการทำงานของเครื่องซักผ้าให้ฟัง
เรือนคุณชั้นมีบ่าวไพร่ผู้หญิงนั่งคอยอยู่แล้ว ส่วนคุณชั้นนั้นก็ได้เดินดูความเรียบร้อยอยู่บนเรือน
“คุณชั้นขอรับ หมอจรัสให้มาบอกว่า ให้ยกสำรับอาหารเย็นไปได้แล้วขอรับ” ผมบอก คุณชั้นหันไปพยักหน้าให้ป้าเมี้ยน ป้าแม้น สองพี่น้องช่วยกันดูแลจัดการเรื่องนี้ หนูวาดนั้นยืนอยู่ข้างๆคอยชะเง้อมองออกไปนอกหน้าต่าง คงอยากไปร่วมสนุกกับงานนี้เสียเต็มประดาแต่ถูกคุณชั้นห้ามไว้
“ไว้รอนางรำแสดงก่อนนะ หนูวาด ป้าจักพาไปดู” หนูวาดหน้าจ๋อยแต่ก็พยักหน้าเป็นการตอบรับ
ขบวนอาหารถูกยกมาวางตามโต๊ะต่างๆ อาหารเหล่านี้จัดมาเป็นชุดๆ แขกเหรื่อต่างนั่งประจำโต๊ะตามที่ตัวเองต้องการ อาหารก็จะถูกยกมาเสริฟเป็นจานๆ บ่าวบางคนมือสั่นตัวสั่นเมื่อเข้าใกล้ฝรั่ง จนสนเห็นเข้าจึงต้องอาสาเป็นคนยกสำรับมาเสริฟเอง
หมอจรัสนั่งร่วมโต๊ะกับฝรั่งอีกสามคู่ พร้อมกันนั้นข้างๆก็ยังมีพระยาบริรักษ์ที่แต่งตัวในชุดราชปะแตน ในมือถือซิกก้าไม่ยอมวาง
เมื่อดนตรีสากลจากการบรรเลงของฝรั่งที่หมอจรัสไปขอยืมตัวมาจากโบสถ์คริสต์ ดังขึ้น ทุกคนก็ต่างลงมือรับประทานอาหารที่อยู่ตรงหน้า เสียงแหม่มบางคนถามสามีถึงอาหารว่าทำมาจากอะไรรสชาติเผ็ดหรือไม่ดังขึ้นอยู่เป็นระยะ
ผมจึงอาสาหมอจรัสเดินไปตามโต๊ะต่างๆเพื่อแนะนำอาหาร กรรมวิธีการทำ และส่วนประกอบ อีกทั้งรสชาติที่ล้ำลึก
“ที่บ้านยูกินเป็ดกันด้วยรึ” หมอฝรั่งคนหนึ่งถามเมื่อเห็นเมนูเป็ดตุ๋นส้มจีน ผมเข้าใจฝรั่งท่านนี้ดีเพราะตามธรรมเนียมของฝรั่งบางที่แล้วนั้นเป็ดก็เหมือนกับสัตว์เลี้ยงในสวนสัตว์เหมือนนกพิราบตามสนามหลวงบ้านเรา ไม่คิดว่าจะกินได้ แต่เมื่อฟังที่ผมบรรยายสรรพคุณและกรรมวิธีการทำพร้อมทั้งตักให้เขาชิม เขาก็ออกปากชมไม่หยุดปาก
ส่วนแหม่มจากโปรตุเกสอีกคนนั้นสนใจในแกงกะหรี่กุ้งสดแตงอ่อนเป็นพิเศษ เธอชื่นชมกลิ่นที่หอมเย้ายวนของเครื่องเทศและที่สำคัญฝีมือการแกะสลักแตงอ่อนอันประณีตของบ่าวเรือนคุณชั้น
“ชั้นแทบไม่อยากจะเคี้ยวมันเลย” เธอรำพึง
ผมเดินไปรอบๆบริเวณงานคอยอำนวยความสะดวกและให้ความรู้เกี่ยวกับอาหารไทยแก่พวกฝรั่ง ภรรยาของหมอหลายท่านถึงขนาดออกปากขอร่ำเรียนอาหารไทยเลยทีเดียว นี่ยิ่งทำให้ผมภูมิใจยิ่งนัก
“ยูทำดอกไม้อันวิจิตรนี้จากมะละกอได้อย่างไร”
“สีม่วงงดงามนี้ได้มาจากสิ่งใด”
“ใบไม้ที่อยู่ในแกงนี้กินได้หรือไม่”
คำถามเหล่านี้ดังขึ้นเกือบทุกโต๊ะ จนผมวิ่งแทบไม่ทัน แต่ผมก็ภูมิใจที่พวกเขาเหล่านั้นให้ความสนใจและบอกว่าเขาไม่คิดว่าอาหารไทยจะอร่อยขนาดนี้
ในเวลาที่ทุกคนรับประทานอาหารนั้น มีผมเพียงคนเดียวที่เดินวุ่นไปรอบๆบริเวณ จนหมอจรัสกล่าวชมกับหมอปีย์ว่าไม่เสียแรงที่ให้ผมมาช่วยงาน
ฝรั่งโต๊ะแล้วโต๊ะเล่าที่กล่าวชื่นชมถึงรสชาติของอาหารไทย บางคนออกปากร้องอุทาน oh my gods ขึ้นมาก็มี พวกเขาเหล่านั้นล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเขาไม่เคยคิดว่าสยามจะมีอารยธรรมจนกระทั่งได้มาลิ้มลองอาหารไทย
ฟังแล้วก็อดภูมิใจไม่ได้ ที่ถึงแม้ฝรั่งในยุคนั้นหลายๆคนจะดูถูกสยามเรื่องความล้าสมัย เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน แต่เมื่อได้ลิ้มลองรสชาติอาหารไทย ทัศนะคติแย่ๆของพวกเขาก็เปลี่ยนไปได้ในที่สุด
-
จิ้มก่อนอ่าน :z13: :z13:
-
ผมกลับมานั่งที่โต๊ะเพื่อเริ่มทานอาหารเย็นเพราะตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย ที่โต๊ะเรามีหมอปีย์ สน และฝรั่งซึ่งเป็นลูกชายของหมอริชาร์ดกับภริยาที่ชื่อฟาติมะ นั่งอยู่ด้วย
“ฝีมือเจ้านี่เข้าขั้นทีเดียวนะ เจ้าอัชย์” สนเอ่ยปากชม ขณะกำลังเคี้ยวยำญวนอย่างเอร็ดอร่อย
“อร่อยเหรอ สน” ผมถาม
“อื้อ”
“เดี๋ยวเราทำให้กินอีกเอามั๊ย ยังมีอีกหลายอย่างเลยที่ยังไม่ได้แสดงฝีมือ” ผมหัวเราะ และคงจะหัวเราะมีความสุขมากไปหน่อย ทำให้หมอปีย์มองค้อนขวับ
“รสชาติยังไม่ถูกปากเท่าไรนัก ขาดความจัดจ้าน” จู่ๆ หมอปีย์ก็วิจารณ์ออกมาโดยที่ไม่ได้มองหน้าคนทำ
“อ้าว ก็ทำให้ฝรั่งกินนี่นา” ผมว่า
“ฝรั่งกินแล้วกระไร ทำไมต้องเอาใจฝรั่ง”
“ก็เขาเป็นแขก อีกอย่างอาหารไทยแท้ๆรสก็ไม่ได้จัดมากซะหน่อย”
“ใช่ขอรับ หมอ กระผมว่ารสชาตินี่ก็ดีมากแล้วนะขอรับ” สนพูดแทรกขึ้นมาโดยไม่รู้ชะตากรรม
“ใครขอความเห็นเจ้า อ้ายสน” หมอปีย์ตวาดแว๊ดขึ้นมาจนสนต้องรีบก้มหน้าก้มตากินงุดๆ
“ผิดจังหวะไปหน่อยวะสน ฮิๆ” ผมกระเซ้าสนก่อนจะหัวเราะคิกๆ
“หัวเราะอันใดของเจ้า” หมอปีย์เสียงแข็ง
“โอ้ย หมอเป็นอะไรของนาย ทำไมต้องดุดันขนาดนั้นด้วยวะ ดูสิ ไนเจล กลัวจนตัวสั่นแล้ว” ผมหมายถึงฝรั่งที่นั่งร่วมโต๊ะกับเราด้วย
หมอทำหน้ายู่ยี่อยู่พักหนึ่ง แต่พอไนเจลถามว่าคุยเรื่องอะไรกัน เขาถึงยิ้มและหันกลับมาคุยปกติ
แต่ยิ่งหมอปีย์มีท่าทางกระฟัดกระเฟียดแบบนั้น ผมกับสนซึ่งเห็นเป็นเรื่องสนุกจึงเอาใหญ่ ต่างพากันนั่งแซวหมอปีย์จนเป็นที่พอใจ
แขกเหรื่อเริ่มวางช้อน ซึ่งแสดงว่าพวกเขารับประทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว หมอจรัสจึงให้เด็กไปบอกเหล่านางรำให้ออกมาแสดง
ทันทีที่เสียงปี่พาทย์บรรเลง เหล่าบรรดาแขกในงานต่างก็ลุกขึ้นชะเง้อดูด้วยความสนใจ และถามไถ่กันว่ามันคืออะไร หน้าที่นี้กลายเป็นหน้าที่ของรำพึง สน และหมอปีย์ที่คอยแนะนำ เพราะผมนั้นความรู้เรื่องนี้เป็นศูนย์
ชงโคกับคำแก้วนั้นนั่งคุยกระซิบกระซาบกันอยู่อย่างมีพิรุธ แต่ผมก็ปรามตัวเองว่าผมคงคิดมากไป คนที่ผมควรจะจับตาดูเป็นพิเศษน่าจะเป็นพระยาบริรักษ์เสียมากกว่า
แต่พระยานั่นก็ดูสงบนิ่งเกินกว่าจะมีอะไรให้จับผิด อาจเป็นเพราะเขาวางแผนร้ายมาดีเลยไม่หลุกหลิกให้เห็น ด้านชงโคกับคำแก้วนั้นดูเหมือนจะกำลังทุ่มเถียงเรื่องอะไรกันอยู่ ชงโคยื่นบางอย่างให้คำแก้ว แต่เธอมัวแต่ส่ายหน้า ชงโคดึงมือเธอไว้ก่อนจะพูดอะไรสักอย่างที่ทำให้สีหน้าคำแก้วดูอ่อนลงและยอมรับของในมือชงโคในที่สุด
แล้วจู่ๆคำแก้วก็ลุกขึ้นหันซ้ายหันขวาอย่างร้อนรน ก่อนจะเดินก้มหน้าหายไปในพุ่มโกสนข้างเรือน
“เจ้าอัชย์” สนเอามือมาแตะบ่าผม “หมอจรัสท่านสั่งให้ยกสำรับของว่างมาได้แล้ว”
ผมพยักหน้า ก่อนจะหันไปมองหาคำแก้วอีกรอบแต่ไม่เห็นเธออีกแล้ว
ขนมถูกตักวางใส่ถาดทองเหลืองไว้เรียบร้อย โดยคุณชั้นจะให้แขกเลือกว่าจะรับเป็นน้อยหน่ากะทิ หรือจะเป็นลูกตาลกะทิสด แต่ขณะที่ผมกำลังจะเดินขึ้นไปบอกบ่าวให้ยกสำรับ สายตาพลันเหลือบไปเห็นคำแก้วกำลังให้หนูวาดก้มๆเงยๆทำอะไรสักอย่างกับถาดขนมหวานถาดเล็ก
“ทำอะไรกันน่ะ” ผมตะโกนถาม
“เจ้าอัชย์” หนูวาดเงยหน้าขึ้นมา “ คำแก้วให้หนูวาด..................”
“ให้หนูวาดยกถาดไปนะสิ ไปกันเถอะหนูวาด ประเดี๋ยวคุณป้าจะเอ็ดเอา” คำแก้วรีบเอามือปิดปากหนูวาดก่อนจะพูดแทรกขึ้นมาทันควัน พลางยกถาดขนมเดินจูงมือหนูวาดออกไป
ตอนนั้นผมไม่เอะใจอะไรเลยแม้แต่น้อย เพราะภาพที่เห็นเพียงแค่หนูวาดก้มลงหยิบถาดแค่นั้นเอง อาจไม่มีอะไรก็เป็นได้
คำแก้วร้องบอกให้บ่าวคนอื่นยกสำรับขนมตามไป ก่อนที่เธอจะถือถาดเล็กเดินนำหน้าไปก่อน
ผมกับสนมองหน้ากัน ก่อนจะเดินตามหลังเธอไปอย่างเงียบ
-
เมื่อเราเดินมาถึงบริเวณที่จัดงาน การแสดงนางรจนาเสี่ยงพวงมาลัยก็เดินทางมาถึงช่วงที่กำลังจะโยนพวงมาลัยให้เจ้าเงาะพอดิบพอดี คุณชั้นยืนมองอย่างสนใจใกล้ๆกับหนูวาดซึ่งเดินมาสมทบ ส่วนคำแก้วนั้นยื่นถาดให้ชงโคเป็นคนยกถาด หล่อนถือถาดไม่ยอมวางมือราวกับกลัวว่าใครจะมาแย่งถาดนั้นไป
ผมกลับเข้าไปนั่งรวมกลุ่มกับหมอปีย์ และหมอจรัส ที่ตอนนี้ย้ายมานั่งโต๊ะเดียวกันด้านหน้าเวที
เมื่อเรานั่งกันครบ หมอจรัสจึงให้สัญญาณยกสำรับอาหารหวาน โดยที่บ่าวจะเดินถือถาดมาโต๊ะละสองคน คนแรกถือถาดน้อยหน้ากะทิ อีกคนถือลูกตาลกะทิสด เพื่อให้แขกเลือก
ในขณะที่บ่าวคนอื่นกำลังเดินถือถาดให้แขกเลือกอาหารหวานอยู่นั้น ชงโคก็เดินมาที่เรา ก่อนจะหันไปบอกว่า
“หมอจรัสเจ้าคะ รับเป็นลูกตาลนะเจ้าคะ” น่าแปลกที่เธอไม่ถามความเห็นของหมอจรัส แต่ได้ยื่นถ้วยลูกตาล วางไว้หน้าหมอ
“ส่วนนี่ของเจ้า ก็ลูกตาลเหมือนกัน” ชงโคกระแทกเสียงใส่ผมแล้ววางถ้วยขนมโดยที่ผมไม่มีสิทธิ์เลือก
ก่อนจะหันไปฉอเลาะใส่หมอปีย์
“หมอปีย์เจ้าคะ น้อยหน่ากะทิเจ้าค่ะ อิชั้นเก็บไว้ให้หมอโดยเฉพาะนะเจ้าคะ” ชงโคชม้ายชายตาให้หมอปีย์ ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่เดิมและมองมาที่โต๊ะเราเป็นระยะๆ
“ของนายเป็นอะไรอ่ะ” ผมหันไปถามสน
“น้อยหน่ากะทิ” เขาตอบ
“เฮ้ย แลกกับชั้นมั๊ย ของชั้นลูกตาลกะทิสด ฝีมือชั้นทำเองเลยนะ ไม่อยากกินฝีมือตัวเองว่ะ อยากลองกินฝีมือคุณชั้นดูบ้าง” ผมยิ้มก่อนจะดันถ้วยไปทางสน
“เอาสิ” สนกำลังจะเอื้อมมือมารับถ้วย
“ไม่ได้!!” แต่หมอปีย์ร้องปรามในลำคอ “เอามานี่” เขาบอกให้สนดึงถ้วยลูกตาลไปให้เขา
“เฮ้ย หมอ ชั้นให้สนนะเว้ย” ผมคำรามกลับไปเบาๆ
“ก็เราจักกินถ้วยนี้นี่”
“หมอนี่ เอ ก็ไปแลกกับคนอื่นสิวะ ทำเป็นเด็กไปได้”
“สนเอามาให้เรา” หมอปีย์ออกคำสั่ง สนซึ่งหันซ้ายหันขวาจนคอจะเคล็ดในที่สุดก็ยอมทำตามที่หมอปีย์บอก
ทันทีที่เขารับถ้วยลูกตาลกะทิสด หมอปีย์หันมามองหน้าผมเล็กน้อย สายตาของเราสบกันชั่วครู่แต่ผมรู้สึกว่าการสบตากันครั้งนี้มันเนิ่นนานกว่าผมจะละสายตาจากเขาไปมองการแสดงที่อยู่ตรงหน้าได้
เสียงปี่พาทย์บรรเลงเพลงเป็นจังหวะเร่งเร้า ทำให้ภาพนางรจนาที่กำลังจะเสี่ยงพวงมาลัยนั้นยิ่งทวีความตื่นเต้นขึ้นไปอีก
นางรจนารำร่อนไปมา ทำท่าเงื้อมือจะโยนพวงมาลัยใส่แขกแต่ก็ดึงกลับ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่นางอิดเอื้อนแอ่นร่างไปมาตามจังหวะระนาดที่เร่งเร้า
ฝรั่งมังค่าต่างจับจ้องว่านางรจนาจะยอมโยนพวงมาลัยไปให้เจ้าเงาะตัวดำปี๋ ที่ทำท่ารำเก้กังดูน่าขันอยู่ใกล้ๆหรือไม่
ทันทีที่จังหวะปี่พาทย์บรรเลงเพลงมาจนถึงช่วงสุดท้าย เสียงระนาดหยุดลงกึก ทุกอย่างในบริเวณนั้นเงียบลงอย่างถนัดตา แขกเหรื่อรวมทั้งผมด้วยแทบจะหยุดหายใจ
นางรจนาค่อยๆง้างมือขึ้นก่อนจะโยนพวงมาลัยให้เจ้าเงาะในที่สุด
“เพล้ง!!!” แต่แล้วจู่ๆเสียงถ้วยแตกก็ดังขึ้นทำลายความเงียบและขลังของการแสดง ทุกคนต่างชะเง้อมองว่าเกิดอะไรขึ้น ผมหันกลับมาจากการแสดงตรงหน้า
และก็ต้องพบกับภาพหมอปีย์ที่บัดนี้ ล้มลงดิ้นทุรนทุรายก่อนฟุบแน่นิ่งกับพื้น
-
จบรึยังคะเนี่ย??
กลัวคั่นจังเลย ToT
แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!
อินังสองคนนั้นและไอ้เฒ่าชั่วแน่ๆที่เป็นคนทำ!!
จริงๆแล้วตั้งใจจะวางยาพ่ออัชช์ใช่มั๊ย
แต่หมอปีย์กลับมาโดนแทน
ไอ้พวกเชี่ยยยยยย!! หึ๊ยยยยยยยยยยยยย :z6: :z6:
เมื่อไหร่อิชะนีทั้งสองจะหายไปจากเรื่องนี้ซะที เกลียด!! :m31:
-
ผมนิ่งอึ้งไปพักหนึ่งราวกับสิ่งที่เห็นมันเป็นภาพจากในละคร ในสมองสับสนว่านี่คือเรื่องจริงหรือฝัน ภาพหมอปีย์ที่นอนแน่นิ่งตรงหน้านั้นใช่เขาจริงหรือเปล่า
“หมอปีย์ขอรับ หมอปีย์” เสียงสนตะโกนเรียกหมอพลางเขย่าตัว เขาเป็นคนแรกที่ถลาเข้าไปหาร่างของหมอ
“หมอถูกวางยา หมอถูกวางยา!!” และเสียงตะโกนนี้ของสนนี่เองที่ทำให้ผมได้สติ ผมตกใจจนทำอะไรไม่ถูก มือไม้สั่นไปหมด แต่ก็วิ่งไปหาร่างของหมอก่อนจะประคองเขาไหว
“หมอ หมอ” เสียงตะโกนเรียกชื่อหมอ ดังแข่งกับเสียงหวีดร้องเส็งแซ่ ภาพหลังจากนั้นชุลมุนวุ่นวายไปหมด ผมเห็นภาพเหล่านั้นเป็นเพียงภาพเบลอๆ ขาดหายเป็นห้วงๆ เพราะมีเพียงภาพเดียวที่ชัดเจนคือภาพของหมอนี่นอนแน่นิ่งอยู่บนตักผม
“หมอ อย่าเป็นอะไรนะหมอ” เมื่อผมแน่ใจว่าคนที่นอนอยู่บนตักเป็นหมอ น้ำตาก็ไหลพรากจนเกินจะควบคุม มือทั้งสองข้างตบแก้มของหมอ พร้อมๆกับเขย่าตัว ปากก็ตะโกนเรียกชื่อเขาไม่ขาด
หมอถูกวางยา ใครวางยาหมอ สิ่งเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัวผม แต่ในใจผมมีเพียงเสียงเดียวคือเสียงเรียกร้องให้หมอกลับมา ให้หมอไม่เป็นอะไร
“หลีก” มือของใครคนหนึ่งกระชากแขนผมอย่างแรง ก่อนจะดึงเอาร่างของหมอปีย์ไป
“จับตัวมันเลยเจ้าค่ะ มันผู้นี้แหละ เป็นผู้วางยาหมอ” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนก้องอยู่ด้านหลัง แล้วหลังจากนั้นก็มีกลุ่มคนที่มาจากไหนไม่รู้ต่างกรูเข้ามาจับแขนผมไว้ ผมดิ้นรนอย่างสุดกำลัง ไม่ใช่เพราะต้องการหนี แต่เพียงแค่อยากเข้าไปหาหมอที่นอนอยู่ไม่ไกลเท่านั้น
แต่พวกเขาเหล่านั้นไม่เข้าใจ ต่างช่วยกันฉุดยื้อ และจับผมกดลงกับพื้นพร้อมกับใช้เข่ากดท้ายทอยผมจนหายใจแทบไม่ออก
“ปล่อยกู ปล่อยกู กูจะไปหาหมอ ปล่อย!!” แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังไม่ยอมแพ้ รวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีดิ้นรนพร้อมตะโกน จนน้ำลายกระเซ็นเหมือนหมาบ้า จากที่มีคนจับอยู่เพียงสองสามคน บัดนี้ผมรู้สึกว่า มีคนนับสิบกำลังทับร่างผมเอาไว้
“ปล่อยกูนะ กูจะไปหาหมอ ปล่อยกู” น้ำตาที่ไหลเป็นทางทำให้ผมมองเห็นหมอปีย์เลือนรางเหลือเกิน เขายังคงไม่ได้สติ มีใครคนหนึ่งกำลังอุ้มร่างหมอปีย์ไป
“ปล่อยกู!!!” ผมกัดฟันกรอด สะบัดแขนออกจากการจับกุม และดิ้นพราดเหมือนหมาถูกน้ำร้อนลวก มือตะกุยพื้นดินเพื่อเป็นที่ยึดดึงร่างไปหาหมอจนเล็บฉีกกระจุย ปากก็ตะโกนร้องเรียกหาหมอ
“ปล่อยกูนะ!!”
“ไอ้ฆาตกร“ผั๊วะ!!” สิ้นเสียงนั้น สายตาของผมก็ค่อยๆลางเลือน สติค่อยหลุดลอย ลมหายใจค่อยๆแผ่วลง
“หมอ เอาหมอคืนมา” แล้วในที่สุดผมก็หมดสติไป
-
คืนนี้พอก่อนนะครับ แก๊งส์สามช่ามาถึงแล้ว ไปดูก่อนนะครับ อิๆ
-
อิคำแก้วววววววว!!!!! อินังโคถึกกกกกกกกกกกก!!!! :z6: :z6:
แกคิดจะวางยาพ่ออัชย์สินะหมอปรีย์รับเคราะห์แทนสนไปซะงั้นแน่ะ เอายัย 2 ตัวนี้ไปถ่วงแม่น้ำเจ้าพระยาที :m31:
หมอปรีย์อย่าเป็นอะไรนะ คุณชั้นช่วยพ่ออัชย์ด้วย :sad4:
-
อ๊ากก ค้าง
ค้างมากกก
พ่ออัชย์จะเป็นไงเนี้ยย
-
dislike ชงโคและคำแก้ว นางเลวที่สุด เลวมากจริงๆ บังอาจทำร้ายหมอปีย์ ใส่ร้ายป้ายสีพ่ออัชย์ :angry2:
ส่วนพระยาบริรักษ์ก็ไม่น่าไว้วางใจ จะมาไม้ไหนกันแน่
จะรออ่านตอนต่อไปน่ะคับพี่เป็ด +1 เป็นกำลังใจให้น่ะคับ o13
-
ใครทำร้ายหมอปีย์ กะพ่ออัชย์ ฆ่ามานนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน :angry2: :angry2: :angry2: :angry2:
-
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด :beat: :beat: :beat:
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ หมอปีย์ห้ามตายนะ พ่ออัชย์อย่าเป็นไรไปนะเว่ย !!! :m15:
ค้างงงง มากเลยค่ะ โฮๆ รอตอนต่อไปนะคะ
-
จิ้มมมมมมมมมมๆๆๆๆๆๆๆ
-
อีชงโคชงกระบือ น่านักเชียว
-
เรื่องก็ใกล้จะจบแล้ว
ดูท่าจะสมหวังในภพนี้คงยาก :sad4: :sad4: แต่ก้ยังหวังอยู่ลึกๆนะครับ
:: สงสารหมอปีย์ อย่าเป็นอะไรเลยนะ :seng2ped:
-
โอ้ยยยย ค้างงงมากกกกกกกกก
-
ตัดจบได้ทำร้ายจิตใจกันยิ่งนัก
อ๊ายยยย ทำไมถึงเป็นเช่นนี้
น้ำตาจะคลอแล้ว ไม่อยากให้จบเศร้าเลยอ่ะ อย่านะ ขอร้อง
-
หมอหายไปกับแก๊งสามช่าซซะแล้ว
-
ง่าาาาาาาาาาาาบีบหัวใจสุดๆ
-
แอร้ยยยยย หมอปีย์อย่าเป็นอะไรนะ
พ่ออัชย์จะโดนอะไรบ้างเนี่ย
เครียดดดด :m31:
-
พี่เป็ดดดดด...แก๊งสามช่ามาแล้ว (ไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องเลย -_-)
หมอ! หมอออ!! หมอปีย์!!!!! โฮววววววววววววววววววว :o12:
หมออย่าเป็นอะไรไปนะเจ้าคะ หมอเป็นอะไรไปอัชย์คงขาดใจตาย
ฉันรู้นะนังชงโคว่านี่เป็นฝีมือเจ้า! อันที่จริงแกจะฆ่าพ่ออัชย์ใช่หรือไม่!! :z6:
นังผู้หญิงใจชั่ว ทำอย่างนี้ได้ยัง!!! ชงโค คำแก้วววว!!! :beat: :beat:
-
ใครก็ได้ ช่วยหมอปีย์กับเจ้าอัชด้วย :sad4:
-
ลุ้นมากมาย มาต่อเร็ว ๆ น้า
-
ไอ่หยา หมออ :a5:
-
โอ้ยยย ตัดตอนอย่างนี้เอามีดมากระซวกกันดีกว่าาา T^T
กะลังไคลแมกซ์เลยค่ะ
ฮือออ หมออย่าตายนะๆๆๆ
สนก็ช่วยเป็นพยานให้อัชย์หน่อยว่าหมอเอาชามอัชญ์ไปกินเอง ฮือๆๆๆ :sad4:
-
ทำไมถึงมาทำกับพ่ออัชย์ของข้าได้
-
ทำไมทำกับเราอย่างนี้ :sad4: ทิ้งให้เราใจเสียอ๊าาาาา
ได้โปรดรีบๆมาต่อเถอะน๊ะ
-
นังชงโค กะอีคำแก้ว มรึงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
อิชั่ววววววววววววววว !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
-
• เมื่อเสร็จแล้วจึงนำไปต้มรวมกับไก่ และเคี้ยวไปจนเนื้อเปื่อย
เมื่อได้ที่จึงให้บ่าวช่วยกันเลาะกระดูกไก่ เอาแต่เนื้อก่อนจะเคี้ยวต่อไป
ระหว่างที่เคี้ยวไก่อยู่นั้น ผมก็หันไปทำกับข้าวอย่างที่สองอย่างคล่องแคล่ว
ว้าย เถคนี้คของเชฟโอปอ....ท่าทางจะเปื่อยดีมาก
ทุ่มทุนสร้างจริงๆ....แต่กิต.คงไม่กล้าชิมนะคะ หุหุ
๔๒๘ + ๑ = ๔๒๙
ขอบคุณนะคะ คุณ เซ็งเป็ด
-
งานนี้พ่ออัชย์ก็ทำไม่ถูก ในเมื่อรู้ว่าสองพ่อลูกมีแผนร้ายขนาดจะฆ่าหมอจรัสก็ไม่ควรจะเก็บเงียบเอาไว้ น่าจะเตือนให้เจ้าตัวได้รู้ แล้วก็อาจจะไม่เชิญมางานเลย คนระวังหรือจะสู้คนจ้องทำร้าย
-
จะเลิกดู ชิงร้อยชิงล้าน ก็บัดนี้แหละ ทุกครั้งที่กำลังขะเหมงเกรียว พี่นายต้องหาเรื่องแวบไปดู แก๊งสามช่าทุกที :m16:
+1 ให้ตามธรรมเนียม พร้อมรอดูชะตากรรมของ เจ้าบ้า :เฮ้อ:
-
:serius2:
แล้วจะแก้ไขสถานการณ์ยังไงต่อไปละนี่ :z3:
-
อยาก :beat: นังชงโค กับนังคำแก้วจริงๆ
ร้ายมากเลย
สงสารพ่อัชย์ เป็นแพะรับบาปซะงั้น หมอปรีย์ :sad4:
อยากให้รักกันเหมือนเดิม :z3:
-
โอ้ยๆๆๆ ค้างๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
วันนี้เอามาด้วยน๊าาา TT^TT
-
ถึงเวลาของหนูวาดแล้วที่ต้องพูดความจริง ว่าเป็นฝีมือของนางคำแก้วและนางชงโค :beat:
ช้านขอยืนยันเลยว่าหมอปีย์ไม่มีทางรักคนชั่วอย่างพวกนางหรอก :angry2:
-
ค้างได้อีกค่ะ อ๊ากกกกกกก หมอปีย์อย่าเป็นอะไรนะ
พ่ออัชย์จะโดนจับป่ะเนี่ย เกลียดยัยชงโคกับคำแก้วมากกกกก
รอตอนต่อไปจ้า
-
ตัดฉับตอนนี้ทรมานจิตใจกันน่าดูเชียววว
ยัยสองคนนั้นมันร้ายจิงๆๆ แล้วหนูวาดจะไม่ช่วยพ่ออัชช์เลยรึเนี้ยยย
รู้สึกว่ายิ่งใกล้จบ ยิ่งเครียด ยิ่งดราม่า อย่าเยอะเลยอ่ะ ทำใจรับ บ่ ได้
-
อ....ฮืออออออออออออออ
เกลียดนังชงโคที่สุดเลย ทำอย่างนี้ได้ยังไง อร๊ากกกก อัชย์น่าสงสาร
หมอปีย์ไม่น่าหึงไม่เข้าท่าเลยนะหมอ ปกติจะชมว่าน่ารักอยู่หรอก แต่ทำตัวน่ารักแล้วโดนวางยานี่!! ไม่ได้เกลียดสนเป็นการส่วนตัวนะ แต่ให้สนกินไปน่ะดีแล้วววว อย่างน้อยก็ยังมีหมอปีย์รักษา
ว่าแต่นี่หมอจรัสโดนวางยาด้วยมั้ยเนี่ย??? เป็นลูกตาลเหมือนกันนี่o.o แง๊... มาทำให้ลุ้นแล้วจากไปนะคะคุณคนเขียน
-
มันตั้งใจนี่หว่า !! ต่อไวๆนะคะ ขอไปอ่านหนังสือสอบก่อน
-
กริ๊ดดดดดดด :a5:
มาต่อเร็วๆเถอะค้า ตื่นเต้นจะแย่อยู่แล้ว~ :serius2:
ชอบหมอปีย์มากมายอ่ะ แอร๊ยยย ><
อย่าให้หมอปีย์เป็นอะไรน้าาาาาาาาาา
เจ้าอัชย์ก็อย่าเพิ่งกลับยุคปัจจุบันล่า ดูแลหมอปีย์ก๊อนนนนนน
กริ๊ดดด นังชงโค กะ นังคำแก้วววววววว กร๊าซซซซซซ :m31:
-
หมอปีย์จะเป็นอะไรหรือเปล่าเนี้ย
แถมอัชย์ยังถูกใส่ร้ายอีกแย่จริงๆ :serius2:
-
“ปอ ปอ” เสียงอบอุ่นที่คุ้นเคยดังขึ้นในความมืด
“ปอ ลูก ตื่นได้แล้วมานอนทำอะไรในเรือนเก่าอย่างนี้หล่ะลูก” ฉับพลันก็รับรู้ถึงมือที่อ่อนโยนสัมผัสที่ใบหน้า
“แล้วนี่เป็นอะไรหึ ฝันร้ายเหรอ ร้องไห้น้ำตาไหลเหมือนเด็กๆเลย”
ผมค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆอย่างยากลำบาก รู้สึกปวดหัวตุบๆเหมือนโดนของแข็งตี ตาทั้งสองข้างค่อยๆลืมขึ้น แต่แสงสว่างภายนอกทำให้ผมต้องหรี่ตา
“มาทำอะไรตรงนี้หล่ะ ปอ” ผมหันไปตามเสียงและก็พบว่าหญิงสาวที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆนั้นคือแม่ผมนั่นเอง
“แม่!” ผมถลาเข้ากอดเธอจนร่างเซไปข้างหลัง สีหน้าของเธอแปลกใจที่จู่ๆผมก็โผเข้ากอดเธอแบบนี้
“ปอ เป็นอะไรรึเปล่าลูก”
“แม่ เกิดอะไรขึ้นกับปออ่ะ แม่ บอกปอทีเกิดอะไรขึ้นกับปอ” ผมกอดเธอพลางเขย่าตัว เสียงร้องโฮด้วยความตกใจ เพราะภาพหมอปีย์ยังตาตรึงในความคิด อีกทั้งเสียงสุดท้ายที่เรียกผมว่า “ไอ้ฆาตกร”ก็ยังดังก้องอยู่ในหู”
“ก็ปอหายไปไหนมาทั้งคืน ปอบอกแม่ว่าจะไปกับมุกไงลูก แล้วปอก็ไม่กลับบ้าน ตอนเย็นแม่ได้ยินเสียงดังมาจากในเรือนครัวเก่าก็เลยเข้ามาดู เห็นปอนอนหมดสติอยู่ในนี้น่ะลูก” แม่อธิบาย
ผมนิ่งงัน ค่อยๆคลายมืออกจากร่างของแม่ ในสมองคิดเรียบเรียงสิ่งที่เกิดขึ้น
“เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นชั่วคืนเองเหรอ นี่เราแค่ฝันไปจริงๆเหรอ” ผมหันไปมองรอบๆ ข้าวของที่เคยหล่นกระจัดกระจายเพราะแผ่นดินไหว กลับถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบเหมือนมันไม่เคยหล่นร่วงมาก่อน
นาฬิกาไขลานก็วางแน่นิ่งอยู่ที่เดิมในที่ของมัน
“ปอ เข้าบ้านกันก่อนเถอะลูก ในนี้มันอึดอัด”
แม่พยุงผมออกมาจากเรือนครัว ทันทีที่ออกมาจากในนั้น ผมก็รับรู้ได้ว่าผมอยู่บ้านจริงๆ เรือนคุณชั้น เรือนหมอจรัส ท่าน้ำ โรงรถ เรือนหลังสวน บัดนี้หายไปจนหมดสิ้น
แสงอาทิตย์ที่คล้อยต่ำทำให้รู้ว่าเวลานี้นั้นเย็นย่ำมากแล้ว ทุกคนในบ้านนั้นไม่มีท่าทีแปลกใจเลยที่เห็นผมเดินโซเซเข้ามาพร้อมบาดแผลจากการถูกอาทำร้าย เพราะพวกเขาคงเห็นผมกลับมาในสภาพนี้จนชินชา แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกันนะ ครั้งนี้ผมไปเจออะไรมาพวกเขารู้บ้างมั๊ย
ความสับสนที่อยู่ในใจผมตอนนี้คือ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ตกลงมันคือความฝันหรือความจริงกันแน่
ผมเฝ้าคิดวนเวียนอยู่อย่างนี้ ไม่สนใจคำพูดของแม่ที่คอยซักไซ้เลย
“โอ้ย” แล้วจู่ๆผมก็รู้สึกปวดแปล๊บที่หัวเหมือนโดนเข็มจิ้มจนต้องเอามือกุมขมับ
แม่ถลาเข้ามาโอบผมไว้ ก่อนจะหันไปร้องขอยาแก้ปวดจากแม่บ้านมาให้ผม
ยาแก้ปวดสองเม็ดถูกกลืนกินเข้าไปอย่างยากลำบาก ผมล้มตัวลงนอนหลังจากนั้นไม่นาน และในที่สุดก็หลับไปอย่างอ่อนเพลีย
-
ปวดตับเหลือเกิน
-
“ไอ้ฆาตกร มึงมันฆาตกร”
“เลี้ยงเสียข้าวสุกแท้ๆ”
“เสียแรงข้าไว้วางใจ”
“ป้า หนูวาดกลัว อย่าให้อัชย์เข้าใกล้หนูวาด”
เสียงจากประโยคสั้นๆเหล่านั้นวนเวียนไปมาซ้ำๆ เหมือนเทปที่ถูกกรอกลับไปกลับมา ผมไม่ได้ฝันถึงอะไร เพียงแต่ได้ยินเสียงเหล่านั้นแว่วมาตามลมในความมืด เสียงของชงโค หมอจรัส คุณชั้น หนูวาด
“ผมไม่ได้ฆ่าหมอ ผมไม่ได้ทำ” ปากที่ขมุบขมิบพอจับใจความได้ พยายามที่จะส่งสารไปให้พวกเขาเหล่านั้น แต่ดูเหมือนมันจะเบาเกินไป
“ครืดดดดดดดดดดดดดด” เสียงผ้าม่านถูกเปิดออก พร้อมๆกับแสงสว่างจากภายนอกที่สาดส่องเข้ามาในห้องนอน
บัดนี้ผมรู้สึกตัวเองกำลังนอนอยู่ในผ้านวมผืนอวบอุ่น บนเตียงและหมอนที่อ่อนนุ่ม เสียงเครื่องปรับอากาศดังหึ่งๆอยู่ภายนอก ยิ่งทำให้แน่ใจว่าผมได้กลับมาอยู่ในโลกปัจจุบันแล้ว
“กี่โมงแล้ว” ผมพยุงตัวเองขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอน
“สิบเอ็ดโมงค่ะ คุณปอ เป็นไงบ้างคะ ดีขึ้นหรือยัง นอนไปเต็มอิ่มเชียว” เสียงแม่บ้านพูดเจื้อยแจ้วอย่างลืมตัว เธอพูดมากเกินไปสำหรับผมในตอนที่ผมเป็นปอคนก่อน เธอก็เหมือนจะรู้ตัวว่าไม่ควรพูดกับผมเกินกว่าห้าคำ จึงหันมาขอโทษด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
ถ้าผมเป็นปอคนก่อน ผมคงตวาดเธอลั่นบ้านไปแล้ว แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิม
“นี่ชั้นนอนหลับไปกี่วัน” ผมบิดขี้เกียจพร้อมหาวโดยไม่สนใจจะฟังสิ่งที่แม่บ้านพยายามจะขอโทษ
“สองคืนค่ะคุณปอ” แม่บ้านทำสีหน้าแปลกใจที่ผมไม่แสดงอาการเกรี้ยวกราดเหมือนที่ผ่านมา แต่เธอก็รีบเปิดผ้าม่านและรีบออกจากห้องผมไป
ทันทีที่แม่บ้านคล้อยหลังไปจากห้อง ผมก็คิดขึ้นมาถึงเหตุการณ์ที่เรือนหมอจรัส คิ้วทั้งสองข้างเริ่มขมวด ผมระดมความคิดและสมองทั้งหมด พยายามกวาดเอาความทรงจำที่เรี่ยราดกลาดเกลื่อนเข้ามาให้เป็นรูปเป็นร่าง
ผมใช้เวลาครุ่นคิดอยู่บนเตียงเกือบครึ่งชั่วโมง ในที่สุดก็หาเหตุผลได้แล้วว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมันคือเรื่องจริง ผมไปที่นั่นมาจริงๆ และที่ผมได้กลับมายุคปัจจุบันก็คงเป็นเพราะอาการเจ็บท้ายทอยตนหมดสติครั้งนั้น
“แม่ เดี๋ยวปอขอออกไปหอสมุดนะ” ผมพูดหลังจากที่กวาดเอาอาหารบนโต๊ะยัดใส่ลงกระเพาะด้วยความหิวโหย
หอสมุดแห่งชาติในวันธรรมดานั้นเหมือนหอสมุดร้าง ผู้คนบางตา อาจเป็นเพราะว่าคนกรุงเทพฯนั้นต้องทำงานในช่วงเวลานั้น นักเรียนนักศึกษาก็ต้องเรียน การที่จะมานั่งอ่านหนังสือที่นี่คงทำได้ยาก
ผมเดินเข้ามาในห้องโถงชั้นหนึ่ง ภาพๆนี้เหมือนเคยเกิดขึ้นมาแล้ว ผมรู้ทันทีเลยว่าอีกไม่กี่อึดใจผมจะเดินไปหาประชาสัมพันธ์สาวสวยคนนั้น เพื่อถามเธอว่า
“ขอโทษนะครับ หนังสือเกี่ยวกับเหตุการณ์ในสมัยรัชกาลที่ ห้าอยู่ตรงไหนครับ” และเป็นอย่างนั้นจริงๆ
ผมเดินไปตามบันไดไม้ที่พาวนขึ้นไปบนชั้นสามตามคำแนะนำของประชาสัมพันธ์สาว อาคารของที่นี่เหมือนกับโรงเรียนเก่าแก่สมัยโบราณ หนังสือถูกจัดแยกไว้ในห้องต่างๆเรียงรายตามทางเดิน ด้านหลังนั้นกำลังก่อสร้างอาคารใหม่เพื่อรองรับหนังสือที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ
“302” ผมเอานิ้วไล่ชั้นหนังสือตามที่ประชาสัมพันธ์คนนั้นบอก
“เอ ไหนว่าอยู่ตรงนี้ไง ไม่เห็นมีเลย” ผมเปรยกับตัวเอง เมื่อไล่หาหนังสือที่ต้องการจนหมดทุกชั้น
เมื่อหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ ผมจึงเดินไปถามเจ้าหน้าที่ประจำชั้นอีกครั้ง เธอก็ยืนยันคำเดิมว่าหนังสือที่ผมต้องการอยู่ตรงนั้น
ผมกลับมาหาอีกครั้งอย่างตั้งใจ แต่จนแล้วจนรอดก็หาไม่พบ
“หาหนังสือเล่มนี้อยู่เหรอ” เสียงหญิงสูงอายุคนหนึ่งดังขึ้นข้างหลัง ผมหันไปตามเสียงนั้นและก็ต้องแปลกใจ
หญิงคนนี้ผมเคยเจอเธอมาหนหนึ่งแล้วที่นี่ ผมจำได้ ครั้งนั้นเธอพูดอะไรบางอย่างกับผม ใช่เธอแน่ๆ
“รึเปล่า?” เธอถามย้ำอีกรอบเมื่อเห็นผมนิ่งไป ผมเลื่อนสายตามมาดูหนังสือในมือเธอ
“เหตุการณ์สำคัญในสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว”
“ใช่ครับ เล่มนี้แหละครับ” ผมพยักหน้ารับ “แต่เอ ป้าครับ เราเคยเจอกันที่นี่รึเปล่า” ผมแกล้งถาม
“ทำไมเหรอ” หญิงผู้นั้นยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“ผมรู้สึกว่าผมเคยเจอป้าที่นี่มาก่อน”
“โธ่ ฉันน่ะหน้าโหล เธอคงจำผิดคนแล้วหล่ะ” เธอวางหนังสือลง ก่อนจะหันหลังกลับและหยุด แล้วหันมาที่ผมอีกครั้ง
“อ้อ พ่อหนุ่ม สิ่งใดควรแก้ก็จงแก้ สิ่งใดแก้ไม่ได้ก็ปล่อยมันไปเถอะนะ” หญิงลึกลับยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเดินหายไปทิ้งความสงสัยไว้เบื้องหลัง
“โอ้ย อะไรกันเนี๊ยะชีวิตกู จะมีคนพูดให้กูเข้าใจง่ายๆสักคนมีมั๊ย” ผมนึกรำคาญที่ช่วงหลังมานี้เจอแต่ปมที่ขมวดแน่นในชีวิต
หลังจากที่พยายามเลิกสนใจในสิ่งที่หญิงคนนั้นพูดทิ้งไว้จนสำเร็จ ผมก็หันมาสนใจหนังสือที่อยู่ตรงหน้า
“มันต้องมีสิ ถ้าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริงมันต้องมี” ผมภาวนาในใจให้สิ่งที่ผมคิดเป็นจริง หนังสือถูกเปิดค้างไปที่หน้าสารบัญ นิ้วมือไล่อ่านไปอย่างรวดเร็ว
“พระเจ้าหลวงเสด็จประพาสต้น
พระนางเรือล่ม
ประหารนายทองอยู่”
และจนเกือบบรรทัดสุดท้ายนั่นเองที่ทำให้ผมหน้าซีดมืออ่อน
“วางยาหลวงพินิจ”
ผมเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ รู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอกอย่างบอกไม่ถูก ลังเลที่จะเปิดไปยังหน้านั้น
ในใจร่ำร้องเพียงแต่คำว่า ไม่จริง หมอปีย์ต้องไม่ตาย ไม่จริง
ผมกลัวที่จะเปิดหน้านั้น ผมคงใจสลายแน่หากต้องอ่านและพบว่าหมอปีย์ต้องตายจริงๆ
ตอนนี้มือของผมสั่นไปหมด เหงื่อซึมออกมือทั้งๆที่อากาศในห้องนั้นหนาวมาก เสียงหัวใจเต้นตุบๆอย่างหนัก
“ขออย่าให้เป็นหมอเลย” ผมภาวนาก่อนจะเปิดไปหน้านั้นและอ่านมันช้าๆอย่างระมัดระวังไม่ให้ตัวหนังสือตกหล่นไปเลยแม้แต่ตัวเดียว
“ข้าหลวงโรเบิร์ต ปานีย์ ได้บันทึกไว้ว่า ร่างของหลวงพินิจนั้นหล่นร่วงลงกับพื้นราวใบไม้เหี่ยวเฉาร่วงลงจากต้น ไม่นานนักผู้คนบริเวณนั้นก็กรีดร้องด้วยความตกใจ หญิงคนหนึ่งตะโกนร้องออกมาพลางชี้ไปที่ชายหนุ่มที่ประคองหลวงพินิจเอาไว้ บ่าวเรือนนั้นต่างกรูกันเข้าไปจับกระชากลากถูชายแปลกหน้าผู้นั้นออกไป ข้าพเจ้าหาได้ทราบชื่อชายผู้นั้นไม่ มิรู้ว่าเป็นผู้ใดมาจากไหน
ร่างของหลวงพินิจถูกนำส่งโรงหมอ แต่หลวงพินิจได้สิ้นไปเสียก่อนจักถึง ข้าพเจ้ามิทราบเรื่องราวหลังจากนั้น ทราบแต่เพียงว่า หมอจรัสได้ถูกส่งตัวกลับมะริกัน แลส่วนคุณหญิงเยาวภาโสภณนั้น ทางการได้ตั้งข้อหาวางยา ทำให้คุณหญิงต้องโทษจำคุกแลถูกริบเรือน
ภายหลังจากคดีสิ้นสุด ทางการของบริเตนได้สรุปว่าเหตุการณ์ครั้งนี้อาจเกิดขึ้นเพราะต้องการลอบฆ่าหมอชาวบริเตนที่มาร่วมงาน แลข้ออ้างนี้ได้ถูกนำไปเป็นส่วนหนึ่งของข้ออ้างในการยึดดินแดนของสยามในเวลาต่อมา”
ผมทิ้งมือทั้งสองข้างลงข้างตัวอย่างหมดแรง นี่มันอะไรกัน เรื่องราวต่างๆมันจบลงเพียงแค่นี้หรือ ผมย้อนเวลากลับไปทั้งที แต่ทำอะไรไม่ได้เลย ผมช่วยชีวิตหมอปีย์ไว้ไม่ได้ ล้างมลทินให้คุณชั้นไม่ได้ ทำไม่ได้แม้แต่จะตะโกนออกไปว่าผมไม่ใช่ฆาตกร
-
ตกลงมาแค่นี้เหรอคะ งั้นคนอ่านก็ใกล้จะหลับอย่างอ่อนเพลียเหมือนกัน ^^''
-
ด้วยสมองที่ว่างเปล่า หัวใจที่ล่องลอย ผมขับรถเลียบไปตามถนนราชดำเนิน ที่ที่สมัยก่อนถนนเส้นนี้เคยได้ชื่อว่าถนนที่สวยที่สุด ถนนข้าวสาร ถนนที่เรือสำเภาต่างแบกข้าวเป็นกระสอบมาเพื่อค้าขายกันละแวกนั้น ถนนดินสอ ถนนเส้นที่ร้านตัดเสื้อที่รำพึงเคยทำงานเป็นลูกจ้างตั้งอยู่ แต่บัดนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไป
บนถนนที่รถติดอย่างหนักเพราะฝนที่ตกโปรยปรายนั้นเอง ที่ผมปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อาย
ผมไม่สะอึกสะอื้น
ไม่คร่ำครวญ
ไม่โวยวาย
ผมแค่นั่งนิ่งๆ ทอดสายตามองสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระ แล้วจู่ๆน้ำตามันก็ไหลออกมาเอง
“หมอ ชั้นทำไม่ได้ ชั้นช่วยชีวิตนายไว้ไม่ได้”
น้ำตาทุกหยดหยาดไหลรินอาบแก้มทั้งสองข้างเหมือนกับน้ำที่ไหลมาจากภูเขาสูง แต่ละหยดล้วนกลั่นมาจากความเจ็บปวดภายใน ความคับแค้นใจ และความห่วงหาอาทรที่คนๆนึงซึ่งตั้งแต่เกิดมาไม่เคยห่วงใยใครนอกจากตัวเอง แต่บัดนี้ เขากำลังหลั่งน้ำตาให้กับคนที่อยู่ในอดีต คนที่ไม่มีทางมีตัวตนจริงๆในวันที่เราต้องการใครสักคนตอนนี้ได้
น้ำตานี้ดูเหมือนจะไม่มีวันหยุด
“พอ พอได้แล้ว” ผมบังคับตัวเองให้หยุดการไหลบ่าของห่าน้ำตา
“ชั้นบอกให้พอไง พอได้แล้ว” แต่เหมือนยิ่งเร่งเร้าให้มันไหลมากขึ้นไปอีก
“หยุดซะที หยุด!!!” มือทั้งสองข้างกระแทกพวงมาลัยรถอย่างแรง พร้อมทั้งเหยียบเบรกรถจนเสียงดังเอี๊ยด
หลังจากนั้นผมจึงฟุบลงกับพวงมาลัยปล่อยน้ำตาให้ไหลอย่างสุดจะกลั้นอีกต่อไป
“พอเถอะ พอเสียที”
.
.
.
.
.
.
ผมปล่อยให้น้ำตานั้นไหลออกมาจนพอใจ เสียงฮือๆจากความเจ็บปวดที่สะอื้นให้ออกมาดังเป็นระยะๆ ตัวที่สั่นเทาจากความร้าวรานที่หาทางออกไม่ได้กำลังพลุกพล่านอยู่ข้างใน มือที่บีบพวงมาลัยแน่นจนนิ้วเกร็งชานั้นเสมือนว่ากำลังจะพยายามปลดปล่อยความทุกข์ใจที่ท่วมท้นออกมา
หยดน้ำตาหยดหนึ่งไหลหยดลงมาที่ตักก่อนจะซึมหายไป
แต่ความทรมานที่อยู่ข้างในไม่เป็นเช่นนั้น
-
รถยนต์จอดไว้ริมถนนที่สองข้างทางพลุกพล่านไปด้วยคนเดินกางร่ม ผมเดินลงจากรถโดยปราศจากร่ม จะไปกลัวอะไรกับอีแค่น้ำฝนประปราย สองเท้าพาสารร่างมุ่งหน้าไปวัดภูเขาทอง ที่ที่ผมกับหมอปีย์เคยมีความทรงจำดีๆด้วยกันที่นี่
ในที่สุดผมก็มาถึงเชิงบันไดทางขึ้นภูเขาทอง ก่อนเดินขึ้นไป ผมตั้งจิตอธิษฐานอย่างแรงกล้า
“ข้าแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผมขอโอกาสอีกสักครั้ง ขอให้ผมได้กลับไปที่นั่นอีกสักครั้ง”
เมื่อตั้งใจแน่วแน่แล้ว ผมจึงค่อยๆก้าวย่างเท้าขึ้นบันไดทีละขั้น ๆ และแต่ละขั้นผมจะอธิษฐานเหมือนเดิมทุกครั้ง ว่าขอให้ผมได้กลับไปอีกสักครั้ง
ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเพราะเหตุใดผมจึงย้อนกลับไปในอดีต คงเป็นเพราะปมในใจ และแรงอธิษฐานอันแรงกล้าที่จะกลับไปแก้ไขอดีตนั่นเองที่ทำให้ผมกลับไป
ผมต้องกลับไปช่วยหมอปีย์ ล้างมลทินให้คุณชั้นและหมอจรัส อีกทั้งแก้ไขประวัติศาสตร์ที่ว่า ชาวสยามหมายจะลอบฆ่าหมอชาวอังกฤษเพื่อให้เกิดข้ออ้างทางการทูตเพื่อที่อังกฤษจะได้เอาข้ออ้างนี้ไปต่อรองเรื่องดินแดน
สองเท้าพาผมเดินขึ้นมาถึงบันได้ขั้นสุดท้ายพร้อมกับคำอธิษฐานซ้ำๆ ผมหยุดยืนสูดหายใจ มองไปรอบๆ บัดนี้ฝนได้หยุดตกแล้ว แสงอาทิตย์ยามเย็นได้ถือโอกาสออกมาทำหน้าที่ของมัน กรุงเทพฯยามนี้ แตกต่างจากสยามเสียเหลือเกิน
ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างได้ ยกเว้นเวลา เวลาตัวเดียวที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป เพราะเวลา จึงทำให้ผมได้กลับไปหาคนที่ผมรัก และเพราะเวลาอีกเหมือนกันที่พรากผมออกมาจากเขา
ผมเดินเข้าไปภายในด้วยจิตที่สงบนิ่ง มีเพียงเรื่องเดียวที่คิดในหัวคือ ทำอย่างไรผมถึงจะสามารถกลับไปได้อีก
พระบรมสารีริกธาตุถูกบรรจุไว้ในแก้วครอบงามวิจิตร ผมคุกเข่าประนมมือ ภาวนาในสิ่งที่ต้องการ ใช้เวลาไม่นานผมก็ต้องออกมาเพราะมีผู้คนมาต่อแถวสักการะอยู่เป็นจำนวนมาก
บันไดสีแดงที่มุมห้องนั้นเขียนป้ายว่าทางขึ้น ผมจึงเดินไปตามทาง และพบว่าบันไดนั้นพาผมขึ้นมาตรงจุดสูงสุดของภูเขาทอง
สายลมเย็นพัดโชยมาเบาๆ วิวทิวทัศน์ของกรุงเทพฯที่สวยงามเช่นนี้ผมไม่เคยได้เห็นมาก่อน การอยู่บนนี้ช่างแตกต่างจากการอยู่ข้างล่างมาก ตรงนั้นผมรู้สึกอึดอัด ทุกอย่างดูเคลื่อนไหวตลอดเวลา ผู้คน รถรา ผิดกับตรงนี้ที่ดูเหมือนทุกอย่างจะสงบนิ่ง
สงบนิ่งพอที่จะทำให้ผมคิดถึงคืนนั้น.....
คืนนั้นหากหมอปีย์ไม่แย่งเอาถ้วยขนมผมไป เขาคงไม่ต้องมารับเคราะห์แทนผม
“แต่เอ แสดงว่าคนที่คนร้ายอยากให้ตายไม่น่าจะใช่หมอปีย์ แต่ควรจะเป็น....ผม” เมื่อคิดถึงตอนนี้ ผมก็ยิ่งพบเงื่อนงำมากขึ้น
ใครกันที่อยากให้ผมตาย ผมไม่ได้มีศัตรูที่ไหนที่นั่นนี่นา ยกเว้น.........
“คืนนั้น” ผมค่อยๆเรียบเรียงความคิด “ชงโคยื่นอะไรให้คำแก้ว ก่อนที่หล่อนจะเดินไปที่เรือนคุณชั้นพร้อมหนูวาด และเราก็เห็นเธอกำลังสั่งให้หนูวาดทำอะไรกับขนมในถาด”
เมื่อผมคิดมาถึงตรงนี้ ผมก็นึกขึ้นได้หมอปีย์ตายเพราะถูกวางยา เพราะฉะนั้น สิ่งที่ชงโคยื่นให้คำแก้วจึงน่าจะเป็น
“ยาพิษ”
“แล้วทำไมต้องให้หนูวาดเป็นคนใส่”
ผมสงสัย เพราะลำพังงานแค่นี้ คำแก้วคนเดียวทำก็น่าจะได้
“หรือการที่ให้ยายหนูวาดทำก็เพื่อจะโยนความผิดนี้ให้กับหนูวาด เอ หรือไม่ก็....คุณชั้น”
เรื่องราวค่อยๆคลี่คลายทีละนิดๆ ผมก้มลงมองเบื้องล่างด้วยแววตาครุ่นคิด
“แล้วทำไมต้องฆ่าเราด้วย ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะฆ่าเรา นอกจาก..............”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เงื่อนงำต่างๆก็คลี่คลายลง แผนการนี้ต้องเป็นแผนการของสองพ่อลูกนั่นแน่ๆ ผมไม่ใช่เป้าหมายหลักในการลอบวางยาครั้งนี้ คนที่สองพ่อลูกนั้นหวังปลิดชีวิตก็คือหมอจรัสมากกว่า จากการที่ชงโคยกขนมลูกตาลกะทิสดมาให้หมอจรัสโดยจงใจ และขนมนั้นก็เป็นแบบเดียวกับที่ให้ผม เพราะจงใจจะฆ่าผมเหมือนกันโดยคิดไม่ถึงว่าหมอปีย์จะแย่งไป
การฆ่าหมอจรัสถือเป็นเป้าหมายของพระยาบริรักษ์เพื่อต้องการยึดอำนาจหมอหลวงและสร้างความแตกแยกระหว่างชาวสยามกับพวกอเมริกาที่เป็นเหมือนหอกข้างแคร่ของอังกฤษในยามนั้น นั่นแสดงว่าพระยาบริรักษ์ต้องเป็นหนอนบ่อนไส้ให้กับอังกฤษเป็นแน่
ส่วนการฆ่าผมน่าจะเป็นแผนที่เพิ่งคิดขึ้น และคนที่คิดแผนชั่วร้ายนี้คงไม่พ้นชงโคเป็นแน่ เธอคงอาศัยจุดอ่อนของคำแก้วที่หวาดระแวงเรื่องผมกับหมอปีย์มาตลอดเพื่อยุยงให้คำแก้ววางยาผมโดยหวังให้ผมออกไปจากชีวิตหมอปีย์
“เลวชาติ” ผมกัดฟันกรอดด้วยความโกรธ คนสยามคิดอัปรีย์ขายชาติเช่นนี้ ไม่น่าจะมีโอกาสได้อยู่ในแผ่นดินสยามเลย
มือทั้งสองข้างกำรั้วเหล็กที่กั้นระหว่างเบื้องบนกับเบื้องล่างไว้ ผมตัวสั่นด้วยความโกรธเพราะรู้ว่าทำอะไรไม่ได้ มันจบลงแล้ว ผมช่วยหมอปีย์ไว้ไม่ได้ ผมทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว
อากาศเริ่มอึมครึมขึ้นอีกครั้ง เมฆก้อนใหญ่ครอบคลุมไปทั่วท้องฟ้า สายลมจากที่พัดเอื่อยๆ กลับค่อยแรงขึ้นแรงขึ้น
ผู้คนบนนั้นต่างทยอยกันเดินกลับลงไปข้างล่าง แต่ผมยัง ผมยังไม่กลับ
จนกว่าผมจะได้วิงวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้อีกครั้ง
“อ้าว ปอ ไปไหนมา” เสียงแม่ร้องทักในขณะที่เห็นผมกำลังเดินเปียกปอนเข้ามา
“ไปทำธุระหน่อยน่ะแม่”
“จะทานอะไรร้อนๆหน่อยมั๊ย เดี๋ยวแม่ให้นกไปทำอะไรมาให้รองทอง”
“ไม่หล่ะครับ ไม่หิว”
ความรู้สึกหิว ร้อน กระหาย หรือสัมผัสพื้นๆนั้นหัวใจผมไม่รับรู้อีกแล้ว เพราะสิ่งเดียวที่มันรับรู้ได้ตอนนี้คือความทรมาน
ผมล้มตัวจมลงไปกับความอ่อนนุ่มของเตียง เหมือนตัวเองกำลังจะหายไปจากโลกนี้และไปปรากฏตัวอีกโลกที่ใจถวิลหา นั่นมันความฝัน แต่ความจริงแล้วนั้นผมยังคงอยู่ที่นี่........ ที่เดิม
“นี่เราจะไม่ได้กลับไปที่นั่นอีกแล้วเหรอ” ผมพร่ำบ่นกับตัวเองก่อนจะหลับตาและจมดิ่งไปพร้อมกับความทุกข์อันอึมครึม
-
หมอปีย์ T____________________T
ชงโค คำแก้ว พระยาบริรักษ์ แกเลวมากกกกกก!
ทำไมคุณชั้นต้องโดนแบบนั้นด้วย ทั้งๆที่ไม่ได้ผิดอะไรเลย
ขอให้ปอได้กลับไปอีกครั้งด้วยๆๆ TT
-
ทุกวินาที
ทุกนาที
ทุกลมหายใจ
ทุกความเป็นไป
ของที่นี่
มันช่างเนิ่นนานและเชื่องช้า ผมซึ่งกลับมาสู่โลกปัจจุบันแต่ตัว แต่หัวใจและวิญญาณกลับจมปลักอยู่กลับอดีตและดูเหมือนไม่มีทีท่าว่าจะจบสิ้น
ทุกเช้าของที่นี่นั้นก่อนผมจะลืมตาขึ้นมา จิตภาวนาขอให้ภาพแรกที่ผมเห็นคือหลังคามุงกระเบื้องดินเผาสีแดงสดของเรือนหมอจรัส แต่เมื่อค่อยๆลืมตาขึ้นมากลับพบว่าผมกำลังจ้องมองเพดานคอนกรีตสีขาวอยู่
มันเหมือนเช้าของทุกวันไม่เปลี่ยนแปลง ที่ต้องตื่นขึ้นมาพบกับความจริงที่ว่า
“มันจบแล้ว” เรื่องราวทั้งหลายที่ฝังแน่นอยู่ในความทรงจำ มันได้จบลงแล้ว
สวรรค์ได้ให้โอกาสผมหลายต่อหลายครั้งแล้วในการกลับไปแก้ไขอดีต แต่ผมละเลยที่จะทำมันอย่างจริงจัง ถึงตอนนี้มันคงสายไปเสียแล้วจริงๆ
ทุกๆเช้าเป็นอยู่อย่างนี้ จนกระทั่ง...........................
นับจากวันนั้น วันที่ผมฟื้นขึ้นมาในห้องครัวในสภาพน้ำตานองหน้า จนถึงวันนี้ เกือบจะ 20 ปีไปแล้ว
ความทรงจำเหล่านั้นค่อยๆเลือนรางไปตามกาลเวลา มีบางเสี้ยววินาทีที่ผมรู้สึกถึงแววตาอันอบอุ่น เสียงเรียก”พ่ออัชย์”อันหวิวไหวมาตามสายลม สัมผัสได้ถึงอ้อมกอดและกลิ่นกายอันคุ้นเคยและระลึกถึง
แต่ผมก็ยุ่งเกินไปที่จะมีเวลามานั่งเรียกร้องอดีตที่ผมเดินทางห่างไกลออกมามากเกินที่จะกลับไปแล้ว
หลังจากวันที่ผมถูกพ่อกับแม่จับส่งตัวเข้าโรงพยาบาลเนื่องจากมีอาการซึมเศร้าและซูบผอม เพราะไม่ยอมกินข้าวกินน้ำ เอาแต่นอนซมอยู่ในห้องนอน ไม่แม้แต่จะลุกขึ้นเดินออกจากห้อง
แม่นั้นมักจะแวะเวียนเข้ามาดูอาการด้วยความเป็นห่วง ส่วนพ่อนั้นนานๆจะกลับมาบ้านหลังนี้สักครั้ง
จนคืนหนึ่ง ขณะที่ผมนอนเบิกตาโพรงในความมืดนั้นเอง ผมได้ยินเสียงเขาคนนั้นลอยมาตามลม มาจากที่ไหนสักแห่งที่ไม่ไกลจากหน้าต่างบ้านผมมากนัก เสียงคุ้นเคยนั้นกล่าวทักทายผมด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน เขาถามผมว่า “ไยเจ้าจึงมัวแต่นอนซมอยู่เยี่ยงนี้เล่า ลุกขึ้นเถิด พ่ออัชย์ ลุกขึ้น เจ้ายังมีหลายอย่างที่จักต้องทำ” เสียงแผ่วเบานี้ลอยมาแล้วก็ลอยไปตามลม
ผมกระชากตัวลุกขึ้นอย่างแรงด้วยความหวังในแววตา ยังจำได้แม่นยำว่าเสียงนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นมันเสียงหมอปีย์ ดวงใจของผมแน่นอน
“หมอ” ผมลุกขึ้นจากเตียง เปิดประตูออกไปจากห้องครั้งแรกในรอบเกือบเดือน ก่อนจะเดินโซซัดโซเซ ไปตามระเบียงทางเดินห้องนอนและทางลงบันได
เมื่อมาถึงบันได ขาของผมเกิดอ่อนแรงทรุดลงและทันใดนั้นผมก็กลิ้งตกลงจากบันไดอย่างแรง จนต้องหามส่งโรงพยาบาล
และในคืนที่นอนให้น้ำเกลืออยู่ในโรงพยาบาลนั้นเอง ที่ผมได้สติ และคิดได้ว่า ทุกอย่างมันจบลงแล้ว ผมกลับมาแล้วจริงๆและไม่มีวันได้กลับไปแก้ไขอะไรที่นั่นอีก ในช่วงแรกผมอาจสับสนในอดีตกับปัจจุบันที่มันผูกพันกันจนยุ่งเหยิง แต่คืนนั้นผมคิดได้ ว่าผมควรจะจบมัน จบอดีตนั้นเสีย แล้วลุกขึ้นทำในสิ่งที่ถูกต้องเพื่ออนาคตเสียที
ทันทีที่ผมออกจากโรงพยาบาล ผมจึงได้สร้างความแปลกใจครั้งใหญ่ให้กับแม่ นอกจากที่ผมยอมลุกขึ้นมามีชีวิตปกติอีกครั้ง ผมยังสร้างความประหลาดใจให้กับแม่ด้วยการบอกเธอว่า ผมจะดูแลร้านอาหารไทยเอง
นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ 20 ปี ด้วยวัย 50 ปี ผมได้เป็นเจ้าของร้านอาหารไทยที่ขยายสาขาไปถึง12 แห่งทั่วโลก โดยที่แม่ได้อยู่ดูความสำเร็จของผมแค่สาขาที่ 6 แต่นั่นก็ทำให้เธอภูมิใจมาก ที่ร้านอาหารไทยที่ใกล้สิ้นลมหายใจของเธอถูกผมชุบชีวิตและเจริญเติบโตอย่างงดงาม
ผมอยู่คนเดียวหลังจากนั้น ไม่มีใครมาแทนที่หมอปีย์ได้ ผมไม่ได้พยายามมองหาใครมาเป็นคู่ชีวิต เพราะรู้สึกอยู่เสมอว่าคู่ชีวิตของผมเขากำลังรอผมอยู่ หรืออาจเดินทางมาหาผมจากที่ไหนสักแห่ง
บางห้วงเวลา เช่นระหว่างนั่งเครื่องบินจากกรุงเทพฯ ไป บอสตัน หรือระหว่างที่ผมกำลังนั่งรออาหารไทยที่คิดค้นขึ้นใหม่มาเสริฟ ผมจะนึกถึงเขา หมอปีย์
เพราะทุกครั้งที่นึกถึงใบหน้าของเขา ผมจะรู้สึกได้ทันทีว่าผมมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ที่ทนเหน็ดเหนื่อยและดิ้นรนทุกวันนี้เพื่ออะไร
ถึงความทรงจำเหล่านั้นจะเริ่มเจือจางในความทรงจำ แต่ยังคงเด่นชัดในความรู้สึกผมอยู่เสมอ
“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป” นี่คือคำพูดตามลมครั้งสุดท้ายที่ผมได้ยิน และมาถึงวันนี้ผมทำได้ ผมมีชีวิตอยู่ได้อย่างเต็มภาคภูมิ แม้หมอปีย์ คนที่ผมรักที่สุดจะไม่มีโอกาสได้เห็น แต่ผมก็รู้ว่าเขารับรู้และยิ้มมาให้ผมจากที่ไหนสักแห่ง
-
นี่....เรื่องมันจะจบแล้วเหรอค่าา TT^TT
ไม่เอานะ :z3: :sad4:
ยังไม่อยากให้จบเลยอ่ะ เศร้าเกิ๊นนน
-
คิดว่าหมอคงมาเกิดใหม่ใช่ไหมอ่ะ หรือไม่อัชย์ตาแล้วย้อนไปกรุงศรี หรือไม่ไปเจอกันบนสววรค์ดาวดึง
-
ยังไม่จบใช่ไหม ??? :z3: :z3: :z3:
มันเศร้ามากนะ ฮืออออออออออออออออ
มันจะมีพลิกแพลงอะไรอีกรึเปล่า??
หมอปีย์จะกลับชาติมาเกิดไหม??
จะมีฉากพ่ออัชย์ได้พบหมอปีย์อีกรึเปล่า??
แง้งงงงงงงงงงงงงงงงงง :sad4: :sad4: :sad4:
-
จะมาต่อใช่มั้ยคะ? จะมาต่อใช่มั้ยคะ?? ฮืออออออออ T[]T
อ่านแล้วน้ำตาปริ่ม หมออออออออออออ
-
เศร้าจังเลยครับ.......อ่านไปร้องไห้ไปเลยอ่ะ :o12:
-
ยังไม่จบนะครับ เดียวมาต่อวันมะรืน จุบๆ
-
จบอย่างนี้???จบแล้ว?? จบแล้วใช่มั้ยคะT^T
เป็นตอนที่....ไม่รุ้จะบรรยายยังไง
ถ้าจบอย่างนี้จริงๆก็ดีไปอีกแบบล่ะนะ เฮ้อ
คุณดิท-----------
ไม่จบ สรุปไม่จบ>< อร๊างงงงงง
-
คงไม่น่าจบแบบนี้
เชื่อว่าต้องได้กลับไปแน่ๆ
-
อย่าบอกว่าา จบแล้ววนะ
-
อ่านตอนท้ายก็เศร้าแล้วอ่ะ ทำใจอ่านตอนเริ่มแรกไม่ได้ ฮือออออ
-
เศร้า
เข้มแข็งไว้นะ
-
ฉันยังรอคอยปาฏิหาริย์... :m15:
เชื่อว่าวันหนึ่งจะมาถึง.. :monkeysad:
ครึ่งหนึ่งของฉันที่มันขาดหายไป... :sad11:
ใครที่รักกันจริงคนนั้น.. :impress3:
คนที่เคยฝันเขาจะมาอยู่ข้างกันจริงๆ.... :n1: :n1: รักเรื่องนี้จังเลย o13
-
ขอให้มีความสุขขอให้มีความสุขขอให้มีความสุข
เพี้ยง :sad4: :จุ๊บๆ:
-
ขอให้สองคนนี้ได้สมหวังกันเถอะ :เฮ้อ:
-
เศร้าจริงๆ นะ
อยากทราบว่า ประวัติจริงๆ เป็นอย่างนี้รึเปล่าครับ
-
ยังไงก็อยากให้พ่ออัชย์ได้เจอกัยหมอปีย์อีกครั้งนะคะ
รอตอนจบจ้า ไม่อยากให้จบเลย แงๆๆๆ :L2:
-
:sad4: x 10
ยังดีที่พี่คนแต่งบอกว่ายังไม่จบ ไม่งั้นจะเป็น :sad4: x 100
ฮือออออออออออออออออออออออ สงสารพ่ออัชย์เหลือเกิน ฮือออ
ขอบพระคุณมากค่ะ รอๆๆ รอวันมะรืนค่ะ
-
แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!
ค้างรุนแรงขอรับกระผม :serius2:
ผ่านไปแล้ว 20 ปี พ่ออัชช์อายุ 50
แบบนี้แปลว่าหมอปีย์ตายแล้วจริงๆน่ะสิ!!
ไม่อาวววววววววววววววววววววววววววววววววววววว :serius2: :serius2:
มาต่อไวๆเถอะค่ะ อยากรู้ใจจะขาด~
-
เศร้าๆ เหงาๆ หงอยๆ
:o12:
-
ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
-
อย่าบอกนะว่าจะมาเจอกันตอน พ่ออัชย์ 50 จะมาช่วยกันตะบันน้ำกินรึงัย :laugh:
-
กลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้ ก็ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
ส่วนสยามประเทศ เมื่อใดที่ผู้คนในชาติขาดความสามัคคี
พวกอัปรีย์ขายชาติ ก็จะเหริมเกริมทำให้ชาติย่อยยับอัพจน
ไม่ว่า อดีตหรือปัจจุบันก็ไม่ต่างกันเลย มันเป็นวงล้อของชะตากรรม :เฮ้อ:
+1 ให้พี่นาย พร้อมมารอดูความสำเร็จของพ่ออัชย์ กับการกลับมาของหมอปีย์ :z2:
-
จะจบแบบนี้หรอเนี่ย เห้อ เศร้าเลย
-
นึกว่าจะจบตอนนี้ซะแล้ว นึกว่าพี่หมอคนนั้นคือหมอปีย์ที่กลับชาติมาเกิดซะอีก ปอจะได้สมหวัง :z3: :z3:
-
จบแบบนี้เหรอ ทำเอาไปไม่ถูกเลย
-
อ่านถึงหน้า 25 แล้ว
น่าสงสารเจ้าบ้า กับคุณหมอจริง
ไม่รู้ใจตัวเองกันซะที เลยหึงแบบไม่รู้ตัว
เป็นเรื่องที่หาข้อมูลมาดีมาก อ่านแล้วอยากกินเลย o13
-
:m15: บ้านเมืองจะพินาศเพราะคนในชาตินี่แหละที่ทำลายบ้านเมือง พ่ออัชย์ของหมอปีย์จะได้พบกับหมอปีย์อีกไหมนะ ไม่อยากให้จบเศร้าเลย :m15:
-
อ๊ายยยยย
หมอปีย์
-
จบ? ไม่จริงอ่ะ จบแบบนี้หรอ ทำร้ายจิตใจกันมากเลย
แต่ว่าพ่ออัชย์ยังไม่ได้แก้ไขอะไรเลยสักอย่างนะ (หรือแก้ไปแล้ว)
ต้องยังไม่จบง่ายๆแบบนี้แน่ T.T
-
มันยังไม่จบสินะ :laugh:<< :z3:
น้ำตาจะไหล 50แล้วนะพ่ออัชย์ หมอปีย์อยู่แห่งหนตำบลใด :monkeysad:
มาเจอกันเสียที :เฮ้อ:
-
ม่ะเอา...ไม่จบแบบนี้ซิ...มันเศร้าเกินอ่ะ :m15:
http://www.youtube.com/v/eGrZYY7Mk9U?version=3&hl=en_US&rel=0
-
ไม่จริงเราไม่เชื่อ ถ้าคุณชั้นโดนจับ
บ้านโดนยึดเป็นของหลวงแล้วยายหนูวาดกับครอบครัวปอจะอยู่ที่เดิมได้ยังไง
อย่ามาหลอกเค้านะ เค้าจะเอาแฮปปี้เอนดิ้งงงงงงงงงงงงงง //โวยวายๆ
-
:serius2:
รู้สึกค้างคากับปมปัญหาที่ยังไม่ได้แก้ไข :z3:
-
:amen:ขอให้เจอกันด้วยเถิ๊ด :amen:
-
drama ที่สุด ณ เพลานี้ หมอปีย์จากไปแล้วจริงๆหรือ? :sad4:
ไม่อยากให้จบเช่นนี้เลย เรารู้สึกใจหายและเศร้าใจมากมายนัก
รออ่านตอนต่อไปอยู่น่ะคับพี่เป็ด +1 เป็นกำลังใจให้คับ
-
หมอปีย์กลับมาเกิดใหม่ก็ยังไม่สายนา :sad4: :sad4:
-
http://www.youtube.com/watch?v=9Ly5Afn70gI
ลมเอย~ ฟังแล้วหนาวสะท้านทรวง เพลงหวานๆแต่เนื้อหาเศร้า...
20 ปีผ่านไปไวกว่าโกหก พ่ออัชย์ของเรา 50 แล้วหรือ โอย เรื่องนี้หวานขื่น แต่หลงรักไปแล้ว
รอต่อจ้า กระซิบ อยากได้แบบเกือบแฮปปี้นิดนึง ...
-
T^T ยังไม่จบใช่ไหม
แงแง อย่าพึ่งจบเลย ทางคู่ขนานเหรอ แงแงแง
T^T
-
เฮ้อออออออออออ
ถ้าจะเศร้าขนาดนี้
:o12: :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:
-
:a5:
:a5:
:a5:
มะ..ไม่จริง ช่ายหมายยย o22 o22
โน๊วววววววววว !! T[]T!! อิฉันรับไม่ด๊ายยย :z3: :m15: แงๆ ม่ายอาววแบบแน๊!! :serius2:
ปมเรื่องตั้งหลายอย่างก็ยังไม่ได้แก้ไข ทั้งเรื่องกลอนตอนแรกเอย ทั้งเรื่องบ้านที่พ่ออัชย์อยู่เอย
แถมเจอไปแบบนั้น หนูวาดไม่น่าจะตั้งชื่อพ่ออัชย์แบบนั้นหรอก ดังนั้นจบแบบนี้ ไม่อ๊าวว :angry2:
:fire: :m31:
สงสารหมอปีย์ กับ พ่ออัชย์ :sad4:
-
วันนี้้คือวันมะรืนแล้วใช่มั้ย อิอิ
รอๆ
o18
-
วันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2574 เป็นวันที่ผมว่างจากการตระเวนดูสาขาใหม่ที่เมลเบิร์น นานๆสักครั้งผมถึงจะหาเวลาว่างกลับมากรุงเทพฯได้
บัดนี้สยาม หรือกรุงเทพฯใน พ.ศ. 2574 ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก เรายกเลิกรถไฟสมัยรัชกาลที่ ห้า แล้วหันมาใช้รถไฟความเร็วสูงที่สามารถพาเราจากกรุงเทพฯไปเชียงใหม่ได้แค่ 3 ชม
รถไฟฟ้าในกรุงเทพฯได้ขยายเส้นทางครอบคลุมจนทั่วถึง แต่ก็ยังไม่พอจะรองรับผู้คนมหาศาลที่ทำงานในกรุงเทพฯ
เราเปิดการค้าเสรีภายใต้สนธิสัญญาการค้าอาเซี่ยน ดังนั้นในสมัยนี้เราจึงเห็นคน จีน คนเวียดนาม หรือพม่า มาทำงานในบ้านเรามากมายจนแทบจะกลายเป็นพลเมืองของไทย อีกทั้งสินค้าต่างๆก็ไม่ได้มีจำกัดอีกต่อไป
ผู้คนก็เปลี่ยนไปมาก ความสัมพันธ์ในครอบครัวเริ่มเล็กลง ในขณะที่ความเอื้ออาทร และพึ่งพาอาศัยกันในแบบเก่านั้นหายไปโดยสิ้นเชิง
ถ้าจะให้เปรียบก็ถือ กรุงเทพฯเจริญก้าวหน้ามากในด้านวัตถุนิยม แต่ทางด้านจิตใจกลับเสื่อมถอยลงจนหน้าใจหาย
บ่ายของวันที่ 30 นั้นเอง ที่ผมกำลังเดินสำรวจบ้านหลังเก่าที่เคยเป็นเรือนคุณชั้นบ้านหลังนี้ถูกเก็บรักษาไว้เหมือนเดิมทุกประการ ปีละ 2-3 ครั้ง ที่ผมมีโอกาสได้กลับมานอนที่บ้านหลังนี้ บัดนี้มันทรุดโทรมลงไปมาก โดยเฉพาะเรือนครัว เมื่อมีเวลาว่าง สามสี่วัน ผมจึงไม่รอช้า รีบจ้างช่างมาเพื่อซ่อมแซมและปรับปรุง
ต้นมะขามต้นใหญ่ที่ปลูกไว้ข้างเรือนครัวเมื่อ 20 ปีก่อน หลังจากที่ผมได้ออกจากโรงพยาบาล เพื่อระลึกถึงวันที่ผมกับหมอปีย์เคยนั่งปรับทุกข์และฟังเสียงลมหายใจของกันและกันได้เติบใหญ่ขึ้น
รอบๆบ้านเรานั้นเต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้าที่กลายเป็นที่อยู่อาศัยของคนกรุงเทพฯไปแล้ว การหาที่ดินเปล่าปลูกบ้านเดี่ยวในยุคนี้แทบเป็นไปไม่ได้ เพราะที่ดินนั้นแพงลิบลิ่ว มีเพียงบ้านผมเท่านั้นที่ยังคงเป็นบ้านเดี่ยวมีบริเวณและมีต้นไม้ใหญ่รกครึ้ม นอกนั้นกรุงเทพฯก็มีแต่คอนโดมิเนียมสูงและปราศจากต้นไม้ใหญ่
แม่น้ำเจ้าพระยาหลังบ้านยังคงเหมือนเดิม จะต่างกันก็ตรงที่ กทม ได้สร้างแนวกั้นน้ำทะเลหนุนสูงขึ้นจนเกือบจะถึงระดับมิดหัวกันน้ำท่วม
ผมเดินดูรอบๆบ้านอย่างเชื่องช้า เพื่อให้ภาพความทรงจำในอดีตที่ค่อยๆทยอยฉายเข้ามาในสมอง “มันนานแล้วซีนะนับจากวันนั้น นายจะอยู่ที่ไหนนะหมอ” ผมเปรยกับตัวเองขณะก้มลงเก็บดอกปีบที่ร่วงหล่น
ด้วยมือที่เหี่ยวกร้านตามประสาคนวัยใกล้ฝั่ง
“คุณอัชย์ครับ” เสียงช่างหนุ่มที่ผมจ้างมาซ่อมแซมเรือนครัวเดินมาด้านหลัง ผมหันไปมองเขา
“จะให้เริ่มตรงไหนก่อนดีครับ”
ผมมองไปรอบๆบ้าน
“เริ่มที่บ้านหลังใหญ่ก่อนก็แล้วกัน”
“แล้วหลังนี้หล่ะครับ” เขาชี้ไปที่เรือนครัว “จะให้ผมทำยังไง ทุบทิ้งแล้วสร้างเป็นห้องใหม่มั๊ยครับ”
“ไม่ได้!!” ผมหันไปมองเขาด้วยสายตาดุดันจนช่างรีบก้มหน้า
“อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงเรือนหลังนี้เด็ดขาด ทำให้เหมือนเดิมมากที่สุด” ผมกำชับช่างด้วยเสียงที่หนักแน่น เขาก้มหัวรับคำด้วยท่าทางเกรงขาม ก่อนจะเดินหันหลังไปสั่งงานลูกน้องที่ทยอยขนเครื่องไม้เครื่องมือเข้าเตรียมที่จะซ่อมแซมในวันรุ่งขึ้น
-
ผมจ้องมองเรือนครัวหลังนั้น มีแรงดึงดูดบางอย่างพยายามเรียกร้องให้ผมเดินเข้าไปหามัน
“เข้ามาสิ เข้ามาหาชั้นสิ” ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ แรงดึงดูดจากเรือนหลังนั้นรุนแรงมาก พยายามต้านทานแรงนั้นเหมือนที่เคยทำมาตลอด แต่ครั้งนี้ผมทำไม่ได้ ไม่สามารถทัดทานเสียงเรียกร้องนั้นได้อีกต่อไป
ผมจึงตัดสินเดินขึ้นไปบนเรือนครัวหลังเก่านี้อีกครั้งหลังจากที่ปิดตายมาเนิ่นนานด้วยเหตุผลเพียงเพราะว่า หากไม่สามารถลืมเลือนความทรงจำที่เจ็บปวดนั้นได้ ผมก็ขอกักขังมันไว้ในเรือนหลังนี้ เพราะขี้ขลาด ไม่เข้มแข็งพอ และยังอาวรณ์มัน จึงไม่สามารถที่จะตัดใจทำลายมันได้
ผมจะต้องก้าวไปข้างหน้า เพราะฉะนั้นจึงเลือกที่จะทิ้งความทรงจำนั้นไว้........ที่นี่ โดยตั้งใจไว้ว่า หากวันสุดท้ายของชีวิตมาถึง ผมจะมาทิ้งร่าง และลมหายใจห้วงสุดท้ายไว้ที่เรือนครัวหลังนี้
แม่บ้านที่บ้านหลังนี้ถูกกำชับไม่ให้เข้ามาวุ่นวายในเรือนนี้เด็ดขาด เพราะฉะนั้น เรือนหลังนี้จึงดูเก่า ทรุดโทรม และขาดการดูแลรักษา
ทันทีที่ผมเหยียบย่างลงบนพื้นไม้ เสียงไม้ตะเคียนเก่าก็ดังเอี๊ยดอ๊าด ราวกับดีใจที่มีคนมาเยี่ยมเยียน โซ่ที่คล้องประตูไว้ก็มีสนิทเกรอะกรัง มันทำหน้าที่กักขัง ปกป้องความทรงจำของผมไว้ในนี้อย่างเต็มกำลัง
ผมล้วงกระเป๋ากางเกงแสลคเรียบหรูพลางคว้านเอากุญแจขึ้นมา ก่อนจะไขประตู
ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก ลมแห่งความทรงจำก็พัดเข้าใส่ผมไม่ยั้งจนแทบจะล้มทั้งยืน เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีที่แล้วถูกผมเก็บไว้ในห้องๆนี้ทั้งหมด ด้วยความคิดของหนุ่มวัย 30 ในขณะนั้นที่ว่า เมื่อผมเข้มแข็งเมื่อไหร่ ผมจะกลับมาเปิดห้องนี้อีกครั้ง แต่จนแล้วจนรอด ผ่านมาจนวัย50 ปี ผมก็ยังไม่เข้มแข็งเสียที
จนมาถึงวันนี้ ถึงจะยังรู้สึกว่ายังไม่พร้อมที่จะรื้อฟื้นความทรงจำที่แสนจะเจ็บปวด แต่ความรู้สึกมันบอกว่า ถึงเวลากลับมาห้องนี้เสียที
กลิ่นของห้องนั้นเหม็นอับ อีกทั้งหยากไย่แมงมุมก็เต็มห้อง เนื่องจากผมไม่ยอมให้ใครเข้ามาแม้แต่แม่บ้าน ห้องนี้จึงแทบมีสภาพไม่ต่างไปจากห้องคุกใต้ดินที่ถูกทิ้งให้รกร้าง
สิ่งของต่างๆถูกวางในที่ของมันเหมือนเดิม ผมยกขาข้ามธรณีประตูเข้าไป และทันใดนั้นภาพตัวเองในกระจกตู้ก็แสดงให้เห็นชายแก่รูปร่างภูมิฐาน สวมเสื้อเชิ้ตสีโอโรส กางเกงแสลคสีเทา ใส่แว่นสายตา มีผมและหนวดสีดอกเลา และในขณะเดียวกัน ภาพของชายอีกคนก็ปรากฏขึ้นข้างๆชายแก่คนนั้น
“หึ” ผมยิ้มในลำคอเบาๆ ชายหนุ่มที่เห็นคนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน คือผมในสมัยหนุ่มนั่นเอง เพราะทันทีที่เข้ามาในห้องนี้ ภาพความทรงจำในตอนนั้นก็ชัดเจนขึ้นอย่างน่าประหลาด
ผมยืนมองชายสองคนในกระจกที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว โดยเฉพาะแววตา ชายแก่คนนี้มีแววตาที่เหนื่อยอ่อนและโรยแรง ผิดกับชายหนุ่มที่ยืนข้างๆที่กลับมีแววตาแห่งความหวังและการรอคอยใครสักคนอยู่เต็มเปี่ยม
“หยุดรอซะทีเถอะพ่อหนุ่ม เขาไม่มาหรอก ชั้นรู้ดี” ผมพูดกับชายหนุ่มในกระจก สีหน้าของชายหนุ่มดูเศร้าสลดลง และแล้วเขาก็เลือนหายไป
-
รออ่านคับ
-
มือทั้งสองข้างปัดป่ายไปตามห้อง เพราะหยากไย่ของแมงมุมที่อาศัยเป็นเจ้าของเรือนนั้นมีมากเสียเหลือเกิน
ที่มุมห้องยังคงมีอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือทำครัวของคุณชั้น ผมจำถาดทองเหลืองใบนั้นได้ อีกทั้งกระต่ายขูดมะพร้าว มีด จาน ชาม ไห หม้อ ยังอยู่ครบดี
อีกมุมห้องหนึ่งนั้นเป็นมุมที่วางนาฬิกาลูกตุ้มเรือนเดิมที่ครั้งหนึ่งมันเคยตีบอกเวลาอยู่บนเรือนคุณชั้น แต่เมื่อมันได้สิ้นอายุขัยก็ถูกยกมาเก็บไว้ในเรือนหลังนี้ ข้างบนนาฬิกานั้นมีรูปถ่ายเก่าของชายคนหนึ่งที่ใบหน้าเลอะเลือนจนมองไม่ออกว่าเป็นใคร แต่ผมกลับเห็นเขาด้วยหัวใจ
แม้จะมองด้วยสายตาไม่เห็น
แต่หัวใจผมมองเห็น หัวใจที่เฝ้ารอชายผู้นี้มากว่า 20 ปีนั้น บอกผมทันทีว่าเขาคือ หมอปีย์ ชายคนที่ผมยอมฝ่าฝืนทุกกฎของธรรมชาติยกหัวใจให้ ทันทีที่เห็นภาพเขา แม้แต่แค่รูปร่าง ผมก็ปรี่เข้าไปหยิบรูปนั้นมา แล้วน้ำตาที่เหือดแห้งมากว่า 20 ปีก็ไหลรินขึ้นอีกครั้ง
หมอปีย์แต่งตัวในชุดราชปะแตน ถ้าเดาไม่ผิด จากภาพขาวดำนี้ เขาคงสวมกางเกงสีน้ำเงิน และเสื้อสีขาวตัวที่เคยใส่เป็นแน่
นิ้วมือค่อยๆลูบไล้ไปตามรูป น้ำตาก็ไหลออกมาอย่างสุดกลั้น มันเหมือนกับเราเฝ้ารอใครคนหนึ่งมาชั่วชีวิต คิดอยู่เสมอว่าวันหนึ่ง เราจะได้พบกันอีก แล้ววันนั้นก็มาถึงจริงๆ วันที่ผมได้พบกับหมอปีย์อีกครั้ง แม้แต่เพียงแค่รูปถ่ายก็ตาม
ผมจ้องมองรูปภาพนั้นอย่างละเอียด ภาพหมอปีย์ยิ่งชัดเจนขึ้นในมโนภาพ โดยเฉพาะแววตาที่คมกริบแต่แฝงไปด้วยความอบอุ่น ผมพยายามจ้องมองทุกรายละเอียดในภาพ
และสิ่งหนึ่งที่ผมไม่เคยสังเกตมาก่อนในรูปเลยก็ปรากฏ ผมเห็นว่าในมือขวาของหมอปีย์นั้นถือหนังสือเล่มหนึ่งอยู่แนบกับลำตัว ความรู้สึกวูบหนึ่งแล่นเข้ามา ผมรู้สึกเหมือนหมอปีย์กำลังจะบอกอะไรผมสักอย่างผ่านรูปถ่ายใบนี้
“ดูหนังสือในมือเราสิ” และแล้วเสียงที่ได้เคยหายสาบสูญไปเมื่อ 20 ปีก็ดังขึ้นอีกครั้ง เสียงที่เร่งเร้า เร่งรีบ และโหยหานั้นเหมือนกับเสียง................
“หมอ”
“ดูหนังสือในมือเราสิ”
ผมจ้องเขม็งไปที่หนังสือนั้น ภาพเลือนรางจนทำให้ต้องขยับแว่น แต่ถึงจะพยายามแค่ไหน ผมก็มองไม่ออกว่าหนังสือเล่มนั้นเป็นหนังสืออะไร
“มืดเกินไป” ผมคิดก่อนจะเดินไปยังหน้าต่างที่แสงแดดยามเย็นสาดส่องเข้ามารำไร
แสงสว่างทำให้เห็นภาพชัดขึ้น แต่ก็ยังไม่พอ ภาพยังลางเลือนและเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งกาลเวลา
“ ดู เดอ เดอ ดู” ผมค่อยสะกดคำที่เลอะเลือน มันเป็นคำภาษาอังกฤษ
“ดู รู โร ดูโร”
“ดู โร ดูโครยู ยูเมอะ ดูโครยูเมอ” เมื่อพยายามอ่านถึงตรงนี้ สีหน้าผมก็แสดงอาการดีใจสุดขีด
“ดู โครยูเมอ เดอ ซายาม หนังสือว่าด้วยราชอาณาจักรสยาม” ผมร้องชื่อหนังสือที่คุ้นเคยขึ้นมาทันที
หนังสือเล่มที่หมอปีย์ให้ผมอ่านเพราะเห็นว่าผมชอบนั่นเอง ผมเดินกลับมายังตู้หนังสือใกล้นาฬิกาอย่างร้อนรน ก่อนจะนั่งลง เปิดตู้และหาหนังสือ
“มันยังอยู่ มันยังอยู่” ผมพยายามไล่หาหนังสือในตู้ที่มีฝุ่นเขรอะขระ ยังจำได้ว่ามันอยู่ในตู้นี้ ไม่เคยมีใครเข้ามาในห้องนี้และไม่เคยมีใครเอาอะไรจากห้องนี้ออกไป เพราะฉะนั้นทุกอย่างมันต้องอยู่ในนี้
หัวใจผมเต้นตุบๆ มันไม่รู้สึกอย่างนี้มานานแล้วนับตั้งแต่วันนั้น ผมลนลานรีบควานหาหนังสือ รื้อมันจนกระจุยกระจาย
และในที่สุด
“อยู่นี่เอง”
หนังสือเล่มนี้ เล่มที่หล่นใส่มือผมเมื่อ 20 ปีก่อน ถูกหนังสืออีกหลายเล่มวางทับไว้ ผมหยิบมันขึ้นด้วยมือไม้ที่สั่น ก่อนจะเปิดไปหน้าที่พับมุมหน้ากระดาษคั่นไว้ ไม่น่าเชื่อว่า หน้านี้ผมได้อ่านค้างมาร้อยกว่าปี
ทันทีที่หน้านี้ถูกเปิดขึ้น ความทรงจำของสองภพก็ลอยฟูฟ่องขึ้น ภพแรกคือ ภพที่ผมนอนอ่านหนังสือเล่มนี้กับหมอปีย์ที่ชานเรือน กับอีกภพหนึ่งคือเมื่อ 20 ปีก่อนที่ผมเจอหนังสือเล่มนี้โดยบังเอิญ แต่วันนั้นผมจำได้ว่ามันมีเศษกระดาษที่เขียนด้วยลายมือแผ่นหนึ่งด้วย แต่วันนี้ทำไมไม่มี
“ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง” ทันทีที่ผมเริ่มอ่านหนังสือหน้าที่คั่นไว้ต่อ เสียงนาฬิกาลูกตุ้มที่หยุดทำงานมานานแล้วก็ดังขึ้นอย่างน่าประหลาด
ผมเงยหน้าขึ้นไปมองและเห็นว่าลูกตุ้มได้แกว่งไปมาจริงๆ
เสียงตึ้งๆ ค่อยๆดังเร็วขึ้นๆ และแล้วพื้นเรือนก็ค่อยๆสั่นไหว
เหตุการณ์แบบนี้มันเกิดขึ้นมาแล้ว
ผมรู้ดี สีหน้าของผมบัดนี้ไม่มีอาการตกใจแม้แต่น้อย ตรงข้าม รอยยิ้มเล็กๆกลับปรากฏขึ้นที่มุมปาก หัวใจผมเริงร่ากลับมามีชีวิตอีกครั้ง ข้าวของเริ่มสั่นไหว และค่อยๆร่วงหล่น ร่างของผมแกว่งไปมาตามแรงโยก
ผมหลับตาพริ้มพร้อมรอยยิ้ม.......................ง
รอคอย
รอคอย
และรอคอย
.
.
.
.
“พรึ่บ!!!”
แสงสว่างวาบปลาบแปลบเจิดจ้าในดวงตา ผมหลับตาเม้มปากอยู่ชั่วครู่ สิ่งแรกที่รับรู้ได้คือ เสียงบรรเลงดนตรีไทยดังอยู่รอบๆ เสียงพูดคุยด้วยภาษาที่แปลกหู
และผมที่นั่งสบตากับหมอปีย์และรู้สึกว่าการสบตาครั้งนี้มันช่างเนิ่นนานเสียจนผมแทบอยากจะลุกกระโจนไปสวมกอดเขา
""""""""""""""""""""วันนี้น้อยหน่อย อย่าเคืองกันนะครับ เหนื่อยกับการเดินทางกลับบ้านมากกก""""""""""""""""
-
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด >O<
กลับมาหากันแล้ว เย้!!!!
ดีใจๆ
-
สู้ๆจ้า โหๆๆ นานอะกว่าจะได้กลับไปหา
คิดถึงหมอมากๆๆคะ 5555555+
ชายวัย 50 555555+
-
อยากกระโจนไปสวมกอดด้วยคน ถูกใจที่สุด
ม๊วบๆ
ตอนเห็นหนังสือน้ำตาจะไหล โอ๊ย ดีใจ
ปล. ถ้าเป็นเราได้กลับไปนานแล้ว ก็เรารู้ว่าต้องเปิดหนังสือ(แต่ไม่รู้ว่าหนังสืออะไร กร๊ากกก)
-
ทิ้งท้ายให้ลุ้นทุกตอนเลยนะจ๊ะ อิอิ
-
คิดว่าน่าจะจบอย่างประทับใจล่ะ (คิดเข้าข้างตัวเองT^T)
-
อย่าบอกนะว่ากลับมาในสภาพชายแก่
เอิ่ม
เอาเหอะ
คำว่าเหี่ยวนี้ไม่น่าใช้กับกร้านนะไม่แน่ใจ
ตรงท่อนก้มหัวอย่างเกรงขามน่าจะเป็นเกรงใจมากกว่า
หวังว่ากลับไปคราวนี้พ่ออัชจะเลิกนิสัยคิดเองเออเองตัดสินใจเองไม่ปรึกษาชาวบ้านไม่ใส่ใจรายละเอียดสุดท้ายก็ทำร้ายตัวเองกับคนที่รักตัวเองซะทีนะ
กลับไปคราวนี้ขอให้เคลียร์ทุกอย่างที่ค้างคาใจให้หมดเน่อ
-
ย้อนเวลากลับไปก่อนที่หมอปีย์จะได้กินลูกตาลถ้วยนั้นสินะ
ลุ้นๆค่ะ รอตอนต่อไป อิอิ :L2:
-
โอย.. น้ำตาจะไหลตอนพ่ออัชย์บอกตัวเองในกระจกว่าเขาไม่มาหรอก
แล้วยิ้มแก้มแทบแตกตอนที่พ่ออัชย์กลับไปอีกครั้ง o13 o13
-
คราวนี้...คงไม่พรากจากกันอีกแล้วนะ...หมอปีย์ :L1:พ่ออัชย์... :m15:
http://www.youtube.com/v/D5G4fIAnAOw?version=3&hl=en_US&rel=0
-
การรอคอยที่แสนยาวนาน จักไขความกระจ่างสู่เจ้าเยี่ยงไรกันพ่ออัชย์
-
ปลื้มปริ่ม :monkeysad: แทบจะอดใจรอตอนหน้าไม่ไหวแล้วจ้า :sad4:
-
ในที่สุดการรอคอยก็สิ้นสุด..
-
ร้องไห้ไปกับเจ้าอัชย์ รู้สึกทรมานเหมือนข้างในตัวจะระเบิด T^T
-
อ๊ากกกกกกกกกกกกกก!!
กลับไปแล้ว ได้กลับไปแล้วววววววววววววววววววว
แต่! กลับไปในสภาพอายุ 50 ปีรึป่าว?
ระวังหมอปีย์เห็นแล้วไม่รักนะ ฮ่าๆ *โดนพ่ออัชช์ถีบ*
จบแบบนี้แอบงอนคนเขียนแหละ! :z3:
-
กลับมาพบกับความทรงจำที่เจ็บปวด พร้อม ๆ กับการกลับมาแก้ไขอดีตที่ควรแก้
+1 ให้คุณนนท์ พร้อมกับรอตอนต่อไป หลังจากพักเหนื่อยแล้ว :z2:
-
อัชย์กลับไปหาหมอปีย์ได้แล้ว :m3:
-
ไม่ต้องรอแล้วล่ะจ่ะ ...โอ้ย ดีใจดูจะแฮปปี้ซะที :z2:
-
อ่านไป ใจเต้นตึกตักไป..
-
"...ชาตินี้ชาติใดให้เธอเท่านั้น สาบานนิรันดร์รักไว้ชั่วกาล
แม้นชีพมลายไม่อาจเปลี่ยนผัน มอบดวงฤทัยรักมั่นเพียงเธอ ..."
:กอด1: :กอด1: :กอด1:
-
โอ้ย!!! อกแทบระเบิดรอไม่ไหวแล้ว
-
ในที่สุดพ่ออัชย์ก็ได้กลับมาหาหมอปีย์อีกครั้ง :กอด1:
จะรออ่านตอนต่อไปน่ะคับพี่เป็ด :call:
-
:m13:อยากบอกว่าดีใจ :กอด1:
เอ่อ..ทำไมพ่ออัชแลดูแก่จังเลยยคะ :a5:
"ชายแก่รูปร่างภูมิฐาน สวมเสื้อเชิ้ตสีโอโรส กางเกงแสลคสีเทา ใส่แว่นสายตา มีผมและหนวดสีดอกเลา"
แค่50เองตอนแรกนึกว่า80ได้ พ่ออัชยังไม่แก่น๊า :sad4:
ชอบเรื่องนี้มากๆเลย :L2:
-
:m15:
นานมากมายกับความทรมานที่รอคอย...แต่กระนั้นก็ได้ย้อนกลับมาแล้ว
เปลี่ยนแปลงมันให้ได้นะพ่ออัชย์ :กอด1:
-
พ่ออัชย์กลับมาแล้ว :mc4:
-
กรี๊ดกลับมาแล้ววววว!!!!
-
คุคุ จะเป็นยังไงต่อนี้ๆๆๆ
-
ชอบเรื่องนี้อ่า อ่านวันเดียวไม่เป็นอันทำอะไร ใช้เวลาหน้าคอม เกือบ 20 ชั่วโมง
-
ในที่สุด!!!!
อ๊าาาา กว่าจะกลับไปได้นะ
-
น้ำตาไหลเลย TT
กลับไดสักทีนะ พ่ออัชย์
คิดถึงหมอปีย์เสมอ TT
-
กรี๊ดดดดด พ่อัชย์ ช่วย หมอปีย์ ให้ได้นะ แล้วอยู่ที่นั่นต่อเลยไม่ต้องกลับมา
-
สุดท้ายยยยย
ก็ได้อ่านอย่างสมใจ
ขอบคุณมากๆคับ
ขอให้มีความสุขมากๆนะคับ
หนุ่มน้อย...
-
กลับไปทำในสิ่งที่ควร
และก็อย่าดื้อกับหมอมากนักนะเจ้าบ้า
-
กรี๊ดดดด อยากจะร้องไห้ !
-
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด เจอกันแล้ว
แม้จะเจอกันในวัยชราก็เถอะ หรือว่าย้อนกลับไปวัยหนุ่มได้อีก แอร๊ยยยย
ขอบคุณนะคะ เฝ้ารอคอยตอนต่อไป :impress2:
-
กกี๊ซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ
-
รอตอนต่อไป
-
ไม่กล้าวิพากษ์มาหลายตอนเพราะทำใจไม่ได้
ในที่สุด ก็ได้เวลากลับมาแก้ไขเสียที
-
:กอด1:
ขอกอดคนเขียนทีนึง!! >///<!!
o13 แจ่มแจ๋วไปเลยค๊าาา พ่ออัชย์หมอปรีย์ อ๊ายยยยย :-[
-
อีกสักเพลงรอตอนต่อไป ขอแบบหวาน ๆ นะคร๊าบ :L2:
http://www.youtube.com/v/erY-IOocLGU?version=3&hl=en_US&rel=0
-
อ๊ายยยย ได้เจอกันเเล้วใช่มั้ยยย
-
เข้ามารอค่ะ :กอด1:
-
พ่อคุณทูนกระหม่อมแก้ว คิดว่าจะไม่กลับมาซะแล้ว ดีใจเว่อร์
-
http://youtu.be/KtxXPnC7ANQ
อยากให้ฟังเพลงนี้ จริงๆนะ มันเข้ากลับเรื่องนี้มากๆๆ
-
อ่ะ
อัชย์กลับมาแล้ว
ดีใจ!!!!!!!
-
:impress2: ชอบมากกกกเรื่องนี้ สุดๆๆ
-
เกินกว่าจะคาดเดา
-
คืนนี้รอลุ้น ว่าพี่นนท์ จะมาต่อมั้ยน้อออ :เฮ้อ:......ขอจบแบบ ไม่ดราม่า มากน้าาาาาาาาาาาา :sad4: :sad4:
-
พรุ่งนี้มาต่อนะ ขอดูคนอวดผีก่อน แฮ่ๆ :really2:
-
:a14:
-
คุณพี่เซ็งเป็ดขาาาาา จะมีรวมเล่มมั้ยคะ อยากมีไว้ในครอบครองค่ะ ! ! !
:z10:
-
คนอวดผีน่ากลัว :sad4:
-
จะได้เจอกันแล้วใช่มั้ย..... สิ้นสุดการรอคอยเสียที
น้ำตาคลอ... สงสารพ่อัชช์มาก
-
วันนี้มาไหมคะ?? ไม่ทำอะไรแล้วนอนรอ :t3:
-
รอพี่เป็ด =3=
-
ชอบตอนของหน้า 91 มากๆ ที่อัชญ์มีชีวิตอยู่ต่อไปเพราะหมอปีย์
แล้วอัชญ์ย้อนเวลาไปแบบแก่ๆหลอ?? แล้วหมอปีย์ละคะตายแล้วนี่นา T^T
-
กลับมาแล้ว :m15:
-
และแล้ว.... ก็ยังไม่มา :serius2:
-
วันนี้จะมามั้ยน้ออออ อยากอ่านต่อแล้ว :เฮ้อ:
-
:call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call:
คิดถึงหมอปีย์มากกกกกกกกกกกกกกก มาต่อเร็วๆนะคร๊าบบบบบบบบบ
อ่านเรื่องนี้แล้วคิดถึงทวิภพ
-
ฉันยังรอคอยปาฏิหารย์............. :man1:
-
อยากอ่านต่อครับ ขอบคุณนะครับ หุหุ
-
“เจ้าอัชย์ เป็นอันใด ยิ้มเหมือนคนบ้า” สนนั่นเองที่ย้ำความรู้สึกว่าผมกลับมาแล้ว ผมอยู่ที่นี่จริงๆไม่ได้ฝันไป
ช่วงวินาทีนั้น สมองยังสับสน ต้องใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งเพื่อสลัดตัวเองออกจากความมึนงงที่อยู่ขณะนี้ มันยากจะแยกให้ออกว่าอันไหนคือความฝันอันไหนคือเรื่องจริง
แต่เมื่อได้ยินเสียงของสน ผมก็แน่ใจได้ทันทีว่ามันคือความจริง
เสี้ยววินาทีนั้นผมอยากจะลุกขึ้นสำรวจว่าตัวเองยังคงเป็นชายวัย 50 หรือว่ายังเป็นหนุ่มเหมือนเดิม แต่ไม่มีเวลาแล้ว เพราะทันทีที่ผมกลับมาผมก็เห็นหมอปีย์กำลังถือช้อนและจะตักขนมในถ้วยนั้นกิน
แรงอธิษฐานของผมเป็นผล
ผมได้กลับมาแล้ว
และผมจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีก
“หมอ” ผมกระโจนตัวพุ่งข้ามสนไปหาหมออย่างแรง “อย่ากิน” แล้วก็ปัดช้อนที่มีขนมในมือหมอหล่นพื้นได้ทันเวลา
มันเกิดขึ้นเร็วมาก เหตุการณ์มันมาแทบจะไม่ให้ผมได้ทันตั้งตัว จริงๆถ้าจะย้อนเวลาให้กลับมาก็น่าจะย้อนไปไกลกว่านี้หน่อย นี่อะไรย้อนมาซะเสี้ยววินาที ถ้าผมแก้ไขมันไม่ทันอีก ผมไม่ต้องทนทรมานไปชั่วชีวิตอีกเหรอ
แต่ก็เอาเถอะ ไหนๆผมก็ห้ามหมอปีย์ได้ทันแล้ว
ช้อนหล่นลงบนโต๊ะ ทุกคนในโต๊ะ มองผมเป็นตาเดียวด้วยความงุนงง หมอจรัสเองก็ชะงักไป
“เป็นอะไรของเจ้า” หมอปีย์ถาม
“อย่ากินหมอ อย่ากินขนมนั่น” ผมละล่ำละลักตอบ
“ทำไมเราจักกินไม่ได้”
“กินไม่ได้ บอกว่ากินไม่ได้ก็ไม่ได้สิ ขนมนั้นมี ยาพิษ!!!” ผมตอบ และทันใดนั้นทุกคนบนโต๊ะที่ฟังภาษาไทยออกก็วางช้อนลงและแสดงสีหน้าไม่เข้าใจ
“ขนมมียาพิษ อย่ากิน” ผมตะโกนร้องห้ามเสียงหลง พลางโบกไม้โบกมือ
เสียงมโหรีหยุดบรรเลง
“don’t eat that, it’s poisoned”
ผู้คนในงานต่างแตกตื่น หมอปีย์ลุกขึ้นปรี่เข้ามาจับแขนผมไว้
“ทำอันใดของเจ้า”
“หมอ เชื่อชั้น อย่าให้ใครกินขนม ในนั้นมียาพิษจริงๆ” ผมจับมือหมอเขย่าก่อนจะจ้องมองสายตาเว้าวอนให้เขาเชื่อในสิ่งที่ผมพูด
หมอปีย์ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะหันไปทางหมอจรัสแล้วพยักหน้า
“สน ให้คนเก็บถาดขนมออกไป” หมอจรัสสั่ง
ทันทีที่หมอสั่งสน ท่านก็หันไปบอกคนของท่านให้รีบเข้ามาจับตัวผมไว้ทันที
“หมอขอรับ ท่านทำอันใดน่ะขอรับ” หมอปีย์ถามอย่างไม่เข้าใจเมื่อเห็นคนมาลากผมออกไป
“ข้าขอสอบสวนมันก่อน เรื่องนี้หาใช่เรื่องเล็กไม่” หมอจรัสตอบ
ผมนั้นไม่มีอาการตกใจแม้แต่น้อยเพราะคิดอยู่แล้วว่ามันต้องออกมาอีรูปนี้ ยินยอมให้บ่าวในเรือนจับโดยดี
แขกเหรื่อเริ่มมองมาที่ผมด้วยสายตาหวาดหวั่น พวกเขาซุบซิบกัน
ชงโครีบปรี่ไปหาพ่อของหล่อน ผมเห็นเขาทั้งสองคน คำว่าเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรใช้ไม่ได้สำหรับผม
ผมมันพวกบาปหนา อาฆาตพยาบาท หากสองพ่อลูกนั้นไม่ได้รับกรรมในสิ่งที่ตัวเองก่อต่อหน้าผม ผมคงจะไม่มีวันสบายใจ บางครั้งกรรมเวรก็มาสนองช้าเกินไป ผมขอเป็นผู้ส่งกรรมให้แก่สองพ่อลูกนั้นเอง
“หมอจรัสขอรับ กระผมขอโทษนะขอรับ กระผมทำตามคำสั่งพระยาบริรักษ์น่ะขอรับ” ผมชี้ไปที่สองพ่อลูก ที่ตอนนี้ยืนไม่ติดพื้น
ทุกคนหันไปที่สองพ่อลูกนั่น หมอจรัสหันมามองผม เหมือนเขาก็คงรับรู้อะไรบางอย่าง เขาพยักหน้ากับผมเชิงเข้าใจ
“เจ้าแน่ใจนะ” เขาถาม
“ขอรับ” ผมพยักหน้ายืนยันหนักแน่น ไม่นึกเสียใจที่ทำแบบนี้ เพราะนี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้หมอจรัสเชื่อได้ ผมยอมเอาตัวเข้าแลกเพื่อให้เรื่องมันจบ หากแค่บอกความจริงว่าพระยาบริรักษ์และชงโคเป็นคนทำคงไม่มีใครเชื่อ และคนที่จะเดือดร้อนคือคุณชั้นที่เป็นคนปรุงอาหารขึ้นมา ผมนั้นไม่เป็นไรอยู่แล้วเพราะสุดท้ายหากโชคดีก็คงจะได้กลับยุคปัจจุบันของผม แต่หากโชคไม่เข้าข้าง ต้องมาทิ้งชีวิตเสียที่นี่ก็ไม่คิดเสียดาย
“ไปจับสองคนนั่นมา” เสียงหมอจรัสก้องกังวานและเด็ดขาด
พระยาและลูกสาวถูกลากเข้ามาในเรือนพร้อมผม ส่วนแขกคนอื่นๆนั้น สนและรำพึงทำหน้าที่แก้ปัญหาอยู่ข้างนอก
“บังอาจมาก พวกมึงเป็นไพร่ บังอาจมาแตะตัวกู ปล่อย” เสียงพระยาบริรักษ์คำรามอยู่ในลำคอ
“ปล่อยกูนะ ปล่อย กรี๊ดๆๆ” ส่วนลูกสาวตัวดีนั้นตอนนี้ดีดดิ้นอย่างหมดรูป
ผมและทั้งหมดถูกลากเข้ามาในห้องโถงบนเรือน หมอจรัสสั่งให้คนปิดประตูลงกลอนแน่นหนา
หมอปีย์นั้นบอกให้บ่าวเอามือออกจากผม เขาจะเป็นผู้คุมผมด้วยมือของเขาเอง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เจ้าทำ โทษมันรุนแรงมากนัก” หมอจรัสถาม
“เอ่อ ผม......” ตอนนี้เริ่มรู้สึกกลัว กลัวแววตาหมอจรัสขึ้นมาเสียแล้ว หมอปีย์เหมือนจะรับรู้ความกลัวนั่น เขาลูบมือผมเบาๆ
“ผมรู้ครับ แต่........” ในหัวตอนนี้พยายามคิดหาคำที่ดูน่าเชื่อถือที่สุด ผมไม่ได้โกหกใส่ความสองพ่อลูกนั่น สิ่งที่ผมพูดเป็นความจริง เพียงแต่ความจริงนั่นต้องอาศัยผมเป็นตัวสื่อเท่านั้น มันถึงจะปรากฏ ไม่อย่างนั้นคนชั่วก็ย่อมยังคงลอยนวล
“แต่พระยาบริรักษ์เป็นคนสั่งขอรับ” หมอปีย์บีบมือผมแน่น เหมือนจะถามผมว่าผมกำลังคิดจะทำอะไร
“ไอ้ชาติชั่ว มึงเอาเรื่องอันใดมาพูด” พระยาบริรักษ์เต้น
“พระยาบริรักษ์ให้กระผมเอายาพิษไปใส่ในอาหารขอรับ หากกระผมไม่ทำ พระยาจักทำร้ายครอบครัวกระผมขอรับ”
หมอจรัสหันไปหาพระยานั่น
“จริงกระนั้นรึ ท่าน”
“จะบ้ารึ เราจักทำเยี่ยงนั้นไปไย หมอเชื่ออ้ายไพร่นี่กระนั้นรึ”
“จริงๆนะขอรับ ไม่เชื่อเรียกคำแก้วมาถามก็ได้ขอรับ คำแก้วเธอรู้ว่ากระผมเป็นคนทำ”
ผมโยนไปหาผู้ร่วมก่อการณ์อีกคน เพราะแน่ใจว่าสองคนนั้นคงไม่กล้าเรียกคำแก้วมาแน่ๆ
บรรยากาศภายในห้องเริ่มอึดอัดมากขึ้น รับรู้ได้ว่าสองพ่อลูกนั่นกำลังหวาดกลัวเพราะสีหน้าและแววตาวิตกกังวลอย่างชัดเจน แต่พวกเขายังไม่ยอมรับง่ายๆ
หมอจรัสเห็นว่าสุดกำลังแล้วจึงส่งตัวสองพ่อลูกให้กับทางการสอบสวนในเวลาต่อมา
ส่วนผมนั้นอันที่จริงต้องไปกับสองพ่อลูกนั้น แต่ด้วยเพราะหมอปีย์ขอร้อง
“หมอจรัสขอรับ กระผมขอให้อัชย์อยู่ที่นี่คืนนี้ได้มั๊ยขอรับ กระผมมีเรื่องจะสอบสวน”
“อืม แต่วันรุ่งขึ้น ทางการจักส่งคนมารับมันไป เจ้าช่วยเป็นธุระจัดการให้ที ข้ามีเรื่องจักต้องเข้าวัง”
-
เมื่อเหตุการณ์กลับสู่ความสงบ ความเงียบก็ครอบคลุม เวลาเกือบ สามทุ่ม ณ ขณะนั้น ผมยังคงสับสนว่าสิ่งที่ตัวเองทำลงไปนั้นถูกหรือผิด
ผมไม่ได้ออกจากห้องนั้นอีกเลยหลังจากนั้น คุณชั้นฝากบ่าวมาถามไถ่ เพราะไม่เชื่อว่าผมจะทำเรื่องเลวร้ายพรรค์นั้น ส่วนหมอปีย์นั้น หลังจากคล้องกุญแจลงกลอนอย่างแน่นหนาก็หายไปกับหมอจรัส
ผมนั่งลงบนเตียงรับรู้ได้ว่า คืนนี้ตัวเองได้กลับมาอยู่ในโลกที่ใจเรียกร้องมาตลอดในสภาพที่ยังหนุ่ม แต่เพียงแค่กลับมาเพื่อมายอมรับว่าตัวเองเป็นผู้ร้าย มันจะดีเหรอ
ผมคงทำให้ใครหลายต่อหลายคนผิดหวัง
คุณชั้นคงจะเสียใจที่อุตส่าห์ให้โอกาส และสั่งสอน
หนูวาดเองก็คงจะผิดหวังที่ผมไม่ได้เป็นพี่ชายที่ดีอย่างที่คิด
ที่สำคัญหมอปีย์ เขาคงจะ..................
“กริ๊ก” เสียงไขกุญแจดังขึ้นหน้าห้อง คงไม่ใช่บ่าวที่หมอจรัสสั่งให้เฝ้าไว้แน่ เพราะพวกนั้นไม่มีกุญแจ
“แอ๊ดดด” เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมตะเกียงเจ้าพายุ แสงจากตะเกียงเผยให้เห็นใบหน้าของหมอปีย์ที่เต็มไปด้วยความกังวล
ทันทีที่เขาหันหลังลงกลอนประตู ผมไม่รอช้า ถลาตัวโผเข้ากอดเขาด้วยความคิดถึง
ผมรอคอยเวลานี้มากว่าสามสิบปี ถึงแม้มันจะเป็นความฝันหรือความจริงก็ตาม แต่มันก็ยาวนานมากสำหรับการรอคอยใครสักคน
สำหรับหมอปีย์ผมคงทำให้เขาแปลกใจ
แต่สำหรับผม กลิ่นกายและไออุ่นของเขาคือสิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดตอนนี้
“หมอ ชั้นคิดถึงนาย” นี่คือคำพูดที่กลั่นกรองมาจากความคิดถึงที่สั่งสมมาถึงสามสิบปี ผมไม่รู้ว่าคำพูดไหนจะแทนความรู้สึกได้ดีเท่านี้อีกแล้ว
ผมกอดเขาแน่นราวกลับกลัวใครจะมพรากเขาไป
หมอปีย์ยืนนิ่งอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะดึงตัวผมออก
“เจ้ารู้ตัวมั๊ยว่าเจ้าทำอะไรลงไป” สีหน้าของเขาเคร่งเครียด
“รู้สิหมอ เพราะรู้ตัวชั้นถึงทำ” ผมพูดพลางนึกถึงเหตุการณ์ที่หมอปีย์ล้มฟุบลงกับพื้นเพราะยาพิษ
“เจ้าโกหก เรารู้ว่าเจ้าโกหก ทำไมถึงทำเยี่ยงนี้”
มือทั้งสองข้างของหมอปีย์บีบแน่นที่ไหล่จนผมรู้สึกเจ็บแปลบ
“บอกเรามาสิว่าทำไม” เขาเขย่าตัวผม
“ทำไม อัชย์ ทำไมถึงต้องทำขนาดนี้”
แล้วหมอปีย์ก็ทรุดลงไปกับพื้น เขาคุกเข่าก้มหน้า ผมนั้นได้แต่ยืนแน่นิ่งตกใจกับภาพตรงหน้า ไม่คิดว่าหมอจะเป็นแบบนี้
นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้วสิ หมอปีย์หายไปไหนมากันแน่
“หมอ” เมื่อได้สติ ผมจึงคุกเข่าลงใกล้เขา มือที่แตะบ่าเขานั้นทำไปโดยไม่รู้สึกตัว
“หมอฟังชั้นก่อนนะ ชั้นมีเหตุผล” ผมประคองร่างหมอให้ลุกขึ้นมานั่งบนเตียง
“ชั้นไม่ได้เป็นคนวางยา นายพูดถูก”
เขาเงยหน้าขึ้นมอง
“แต่ที่ชั้นทำไปก็เพื่อปกป้องนาย ปกป้องหมอจรัส ปกป้องคุณชั้น และปกป้องสยาม”
“เจ้าพูดเรื่องอันใดของเจ้า”
“หมอ ชั้นรู้แล้วว่าชั้นกลับมาที่นี่เพราะเหตุใด ฟังชั้นนะ นายจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่สิ่งที่ชั้นจะพูดมันคือความจริง ในประวัติศาสตร์ที่ชั้นเพิ่งกลับไปเจอมา พระยากับชงโควางแผนจะฆ่าหมอจรัส และชั้น แต่นายกลับเป็นคนที่ต้องตายเสียเอง หลังจากนั้นพระยาก็โยนความผิดให้ชั้น และเอาเรื่องทั้งหมดไปแจ้งทางการและพวกอังกฤษ ทำให้ทางการสั่งเนรเทศหมอจรัส และริบเรือนคุณชั้น ส่วนอังกฤษเองก็อ้างเรื่องนี้เพื่อแบ่งดินแดนสยาม”
หมอปีย์แน่นิ่งไป
“ชั้นกลับภพปัจจุบันและต้องใช้ชีวิตต่อไปอย่างทุกข์ทรมาน นายไม่รู้หรอกว่ามันทรมานแค่ไหน ชั้นเฝ้าภาวนาทุกค่ำคืนขอให้ได้กลับมาแก้ไขสิ่งเลวร้ายนี้อีกครั้ง จนวันนี้ซึ่งสำหรับนายมันสั้นแค่เสี้ยววินาที แต่สำหรับชั้นมันนานเกือบค่อนชีวิต แต่ชั้นก็ได้กลับมาอีก เพื่อแก้ไขมัน และนี่ชั้นคิดว่ามันเป็นทางเดียวที่ชั้นจะทำได้ นายเข้าใจชั้นมั๊ย”
ผมจ้องตาเขาต้องการเพียงแค่ให้เขาเชื่อมั่นในสิ่งที่ผมทำเพราะตอนนี้ผมแทบไม่หลงเหลือความเชื่อมั่นใดๆในตัวเองอีกเลย
“แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าผลมันจักเป็นเยี่ยงไร” หมอบีบมือผมแน่น
“ชั้นไม่รู้หรอก รู้แต่ว่าชั้นทำสำเร็จแล้ว ชั้นช่วยนายไว้ได้แล้ว หมอ” ผมโผเข้ากอดหมออีกครั้ง คราวนี้แน่นกว่าครั้งก่อน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังไม่ทันจะข้ามคืนนี้มากมายเสียจนผมเรียงลำดับความสำคัญไม่ถูก
“หมอ ชั้นบอกไปหรือยังว่าชั้นคิดถึงนาย”
หมอปีย์ยังคงเงียบ เขาคงยังกังวลกับผลที่กำลังจะตามมาที่ผมยังไม่รู้ แต่แล้วดูเหมือนหมอนั่นจะละทิ้งความกังวลใจนั้นไป เขากอดผมกลับอย่างแผ่วเบา
“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่า เจ้าให้เราเป็นแค่สหาย” หมอปีย์แหย่
ผมผละออกจากอ้อมกอดเขาแทบจะทันทีที่เขาพูด
มองจ้องไปที่ใบหน้าของเขา ก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป
“ลืมมันไปเหอะว่ะ ถือว่าชั้นผายลมออกมาก็แล้วกัน ตอนนี้ คืนนี้ นาทีนี้ นายเป็นของชั้น ใครหน้าไหนก็เอาไปไม่ได้” ผมยิ้ม
“เจ้าไม่สงสารคำแก้วแล้วเหรอ”
“ขอให้ชั้นได้สงสารตัวเองบ้างเถอะนะ ที่ผ่านมาชั้นรู้แล้วว่า การเป็นคนเห็นแก่ตัว บางครั้งมันก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไปหรอก”
-
กรีดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ยังไม่ชบแบบนี้ใช่มั๊ยอะ
-
“มันนานมากเลยเหรอที่เจ้าจากเราไป”
“นานสิหมอ นานมาก จนนายคาดไม่ถึงเลยหล่ะ”
เขาพยักหน้า
“แต่คราวนี้ ชั้นจะอยู่กับนายที่นี่ตลอดไปแล้วนะเว้ย ชั้นจะไม่กลับไปอีก”
หมอปีย์นิ่งไปจนผมอดสงสัยไม่ได้
“มีอะไรเหรอหมอ”
“เปล่าๆ” เขารีบบอกปัด แต่ผมเชื่อว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ
“หมอ โทษของชั้นมันหนักแค่ไหน ถึงขนาดต้องจำคุกเลยมั๊ย” ผมถาม
แต่หมอปีย์ก็ยังไม่ตอบอะไร เขาเอาแต่จ้องหน้าผมแล้วแน่นิ่งไป
“หมอเป็นอะไรรึเปล่า”
“อ๋อ เปล่าดอก” เขาเหมือนสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมา
“ช่างเถอะนะ พรุ่งนี้จักเป็นอย่างไรก็ช่าง คืนนี้เราขอนอนเป็นเพื่อนเจ้าที่นี่.....เป็นคืน...........”น้ำเสียงเขาขาดห้วง เสียงเรไรร้องระงม ผมแน่นิ่งไป เหมือนไม่แน่ใจในวันพรุ่งนี้
“นะ ยังไงก็เถอะ คืนนี้นอนเป็นเพื่อนหน่อยก็แล้วกัน ชั้นน่ะกลัวผีจะตายไป” ผมฝืนยิ้ม
“ถึงคืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่ได้นอนกับนาย ก็ขอให้นายทำดีกับชั้นหน่อยก็แล้วกัน คืนหลังจากนี้ คืนที่ต้องนอนคนเดียวในคุก ชั้นจะได้นึกถึงมัน” ผมยิ้ม เหมือนน้ำตาจะไหล
หมอปีย์คว้าผมไปกอดแน่น ร่างเขากระตุกเป็นระยะ
“หมอ” ผมลูบหลังเขาเบาๆ
“ชั้นแค่ติดคุกเองนะหมอ ไม่ได้ตายซะหน่อย อย่ามาทำเป็นร้องไห้หน่อยเลย” ผมปลอบใจหมอ ซึ่งอันที่จริงน่าจะเรียกว่าปลอบใจตัวเองเสียมากกว่า
,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,
คืนนั้นอากาศร้อนอบอ้าว ผมจำได้ ผมขอร้องให้หมอปีย์พาไปอาบน้ำ เพราะรู้สึกเหนียวเหนอะหนะ อีกทั้งวันพรุ่งนี้ยังไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง เลยต้องพร้อมไว้ก่อน
ครั้งแรกหมอปีย์ไม่เห็นด้วย เขาพยายามจะเกลี้ยกล่อมให้ผมอาบน้ำบนเรือน แต่ผมรับปากเขาอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าผมจะไม่หนีเด็ดขาด เพราะไม่รู้จะหนีไปไหน
เขาถึงอนุญาต แต่ขอไปนั่งเฝ้าเป็นเพื่อน
“หมอ” ผมร้องเรียกเขาออกมาจากฉากไม้ที่กั้นระหว่างเรา “นายว่าพระจันทร์ข้างบนนู่นจะใจดีรึเปล่านะ” ผมถาม เงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ที่ทอแสงนวลตา
“ทำไมรึ”
“ก็ชั้นน่ะ ตอนที่จากนายไป ก็เอาแต่อธิษฐานกับพระจันทร์ขอให้ชั้นได้กลับมาหานายอีกครั้ง” ผมนึกย้อนวันที่ตัวเองต้องตื่นขึ้นมาในตอนดึกคืนที่พระจันทร์เต็มดวงและพบว่าโลกที่กำลังหายใจอยู่นั้น ไม่มีหมอปีย์
“แต่พระจันทร์ก็ไม่เคยให้สนใจฟังชั้นเลยนะ ทุกคืนชั้นจะพูดกับพระจันทร์ดวงเดิมนั้น และถามว่า นายจะมองพระจันทร์ดวงเดียวกับชั้นอยู่หรือเปล่า” ผมนึกขันตัวเองอยู่ในที
“แต่พระจันทร์ก็ไม่ตอบ ชั้นว่าใจร้ายมากกว่านะ ฮ่าๆๆ” แล้วผมก็หัวเราะในความโง่เขลาของตัวเอง
“แต่เจ้าก็ได้กลับมาแล้วมิใช่รึ จักใส่ความว่าพระจันทร์ใจร้ายมิได้แล้วนะ” หมอปีย์หัวเราะในลำคอ
“ที่พระจันทร์มิยอมให้ดั่งเจ้าประสงค์ มิยอมตอบข้อกังขาของเจ้า อาจจักมีเหตุผลก็ได้นะ” หมอปีย์หยุดพูด
“เหตุผลอะไร” ผมถามออกมา
“ก็เหตุผลที่ว่า พระจันทร์คงอยากให้เจ้า รู้ใจตนเองเสียที”
คำตอบของหมอปีย์ทำให้ผมยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
เวลา20 ปีในขณะนั้นได้ทำให้ผมแน่ใจแล้วว่า ผมรักเขาคนนี้มากแค่ไหน
“เราขอแต่งตัวให้เจ้า ได้หรือไม่”
ผมกลับมาอยู่ในห้องๆเดิม กุญแจถูกคล้องและลงกลอนอย่างแน่นหนาอีกครั้งโดยที่หมอยอมให้ตัวเองถูกขังอยู่กับผมด้วย
ผมถามเหตุผลเขาว่าทำไมถึงต้องมาอยู่กับผมในนี้ด้วย พรุ่งนี้ก็ได้เจอกันอีก
เขาตอบมาเพียงสั้นๆแค่ว่า
“ไม่อยากจากกันไปไหนอีกแล้ว แม้แต่วินาที”
เท่านี้ผมก็ไม่เซ้าซี้อะไร ปล่อยให้ห้องถูกลงกลอนและยินยอมถูกกักขังหากห้องนี้มีหมออยู่ด้วย
“ขอเราแต่งตัวให้เจ้านะ พ่ออัชย์” น้ำเสียงของหมอปีย์เศร้าสร้อย
เขาค่อยๆเอื้อมมือไปหยิบเสื้อคอจีนสีขาวที่อบด้วยดอกปีบและเล็บมือนางจนมีกลิ่นหอมเย็น
หมอโอบผมไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง ทันทีที่หน้าอกของเขาสัมผัสแผ่นหลัง ผมรู้สึกได้ถึงความรักที่เขามีให้ ความปลอดภัยและอุ่นใจที่ได้อยู่ใกล้เขา ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ผมก็ไม่กลัว
เสื้อถูกสวมอย่างช้าๆ เขาใช้มือค่อยๆลูบไล้ให้ผ้าแนบกับลำตัว ผมได้แต่ยืนแน่นิ่ง
“หมอ”
เสียงลมพัดใบมะม่วงไหวริกๆ
“ชั้นจะไม่ทิ้งนายไปไหนอีกแล้วนะ”
...
-
คืนนั้น ผมล้มตัวลงนอนด้วยความเหนื่อยอ่อน เหมือนการต่อสู้เพียงชั่วข้ามคืนนั้น ได้ดูดกลืนพละกำลังที่มีทั้งหมดไปชั่วพริบตา
ไม่มีใครรู้ว่าคนเลวจะได้รับกรรมอย่างไร ไม่มีใครรู้ว่าที่นี่จะเป็นอย่างไรต่อไป ไม่มีใครรู้ว่าผู้คนที่นี่จะดำเนินชีวิตกันไปอย่างไร
และที่สำคัญไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้ผมกับเขา จะเป็นอย่างไร
ความเหนื่อยล้า อ่อนเพลียที่สะสมมาจากการเดินทางอันยาวนานกำลังจะคร่าสติผมไปจากการตื่นรู้ ผมพยายามอย่างหนักหน่วงที่จะไม่หลับตาลง
เพราะกลัว กลัวเหลือเกินว่า เมื่อตื่นมาวันรุ่งขึ้น ผมจะไม่ได้เจอเขาอีก
ความกลัวนี้ทำให้ผมหวาดหวั่นมากกว่าโทษทัณฑ์ที่จะตามมาพรุ่งนี้เสียอีก ตามหลักความจริงในความคิดผม การที่ผู้ร้ายรับสารภาพ โทษมันคงไม่หนักไปกว่าการจำคุกหรอก
“ผมทนได้”
บางทีชะตาชีวิตของผมที่ถูกต้องมันควรจะจบแบบนี้ก็เป็นได้
“นอนไม่หลับหรือ” หมอปีย์ขยับตัวมาใกล้ๆ เมื่อเห็นผมขยับพลิกตัวไปมา
“นายหล่ะ” ผมถามกลับ
“มีเรื่องให้คิด”
“คิดเรื่องอะไรนักหนา อย่างน้อย นายก็...................”ผมเกือบจะหลุดปากออกไปแล้วว่า รอดตายมาได้
“หรือว่าคิดเรื่องพรุ่งนี้”
เขาไม่ตอบ แต่ผมแน่ใจว่าคงไม่พ้นเรื่องนี้แน่ๆ
“หมอ ช่างมันเถอะ เราแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ชั้นทำในสิ่งที่คิดว่าทำได้ อย่างดีที่สุดแล้ว ไม่มีทางอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว” ความมืดในห้องนั้นเหมือนลอยอ้อยอิ่งไปมาอย่างเชื่องช้า นานๆครั้งถึงจะได้ยินเสียงใบไม้ไหวเพราะแรงลม
“แต่เจ้าก็ไม่น่าล้อเล่นเยี่ยงนั้น”
“ชั้นไม่ได้ล้อเล่น”
“ทำไม ถึงไม่คิดถึงหัวอกคนอื่นบ้าง”
“................................”
“หัวอกเรา”
“คิดสิวะหมอ คิดแล้ว ถึงได้ทำ คิดมากกว่านายด้วยซ้ำไป”
ผมนอนตะแคงข้างหันหลังให้เขา ในขณะที่เขานอนหงายมือก่ายหน้าผาก
“นายก็แค่ไปเยี่ยมชั้นที่คุกบ้าง หากมีเวลา เอาอาหารอร่อยๆฝีมือคุณชั้นไปให้ชั้นกินบ้างเวลาที่ร้องขอเพราะเบื่อข้าวแดง............”
“หยุดพูดแล้วนอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า”
เขาตัดบทก่อนจะพลิกตัวเอื้อมมือมากอดผมแน่น
ผมจึงหลับตาพริ้มลงได้ด้วยความอุ่นใจ
-
เสียงฟ้าร้องครืนๆปลุกให้ผมตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ หลังจากที่เผลอหลับไปในอ้อมกอดหมอ ก่อนที่จะลืมตา ผมกลัว กลัวเหลือเกินว่าลืมตามาแล้วผมจะไม่ได้อยู่ที่นี่อีก
แต่จะหนีความจริงไปตลอดก็ไม่ได้ ผมต้องตื่น
และลืมตา
และพบว่า
ผมยังอยู่........................
“ตื่นนานแล้วเหรอหมอ” ผมลุกขึ้นงัวเงีย บิดขี้เกียจ
หมอหันหน้ามายิ้ม รู้ได้แทบจะไม่ยากว่าเขาไม่ได้นอนเลยทั้งคืน
“นายไม่ได้นอนเลยเหรอ” ผมเดินมายืนใกล้ๆเขา ในห้องมีเพียงเราสองคน ภายนอกบ่าวไพร่หายไปไหนกันหมด บ้านเงียบจนผิดสังเกต ท้องฟ้าก็อึมครึมมาตั้งแต่เช้า
อาจเป็นเพราะร้อนอบอ้าวมาหลายวัน ถึงเวลาที่ฟ้าจะลาแดดแล้ว
“เรานอนไม่หลับ” หมอปีย์พูด เขายังคงนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าตาอย่างไร้จุดหมาย
“เป็นอะไรรึเปล่า” ผมถามด้วยความเป็นห่วง
เขาไม่ตอบ แต่กลับเอนหัวมาพิงที่เอวผม เขาดูหนักมากกว่าที่ผมคิด ผมทำได้เพียงแค่โอบไหล่เขา และอยู่เป็นเพื่อนเขาชั่วขณะที่ความคิดของหมอล่องลอย
“อัชย์” ความเงียบถูกทำลายลงทันทีที่นกเขาคู่หนึ่งบินมาเกาะกิ่งมะม่วงที่ออกดอกรอฝน
“เราจักตายไปกับเจ้า” จู่ๆหมอปีย์ก็กระชากผมอย่างแรงจากความเวิ้งว้าง
“ทำไมพูดแบบนี้”
หมอปีย์ยิ้ม
“ความตายไม่ได้น่ากลัวน้อยไปกว่าการพลัดพรากจากคนที่รักเลย เราอยู่ไม่ได้อีกเป็นแน่ หากเจ้าต้องจากไป”
“หมอ พูดความจริงมาเถอะ” ผมเริ่มไม่แน่ใจในชะตาชีวิตตัวเองต่อจากนี้ไปเสียแล้ว
น้ำตาจากเบื้องลึกของความรู้สึกที่หมอเก็บมาทั้งคืนเอ่อขึ้นมา ใบหน้าที่อิดโรย น้ำเสียงที่แหบพร่า
“โทษของเจ้าหนักนัก พ่ออัชย์ ข้อหากบฏมิใช่เรื่องเล็กดังเจ้าคิด พระยาบริรักษ์ถูกไต่สวนและมีหลักฐานว่าคิดคดกบฎกับพวกบริเตน ดังนั้น เจ้าจึงโดนร่างแหไปด้วย”
ผมยืนนิ่งราวกับถูกสายฟ้าฟาด มือแข็งตัวแข็ง เหมือนร่างกายนี้ไม่ใช่ของผมอีกต่อไป
“เจ้าจักถูกนำตัวไปประหาร เที่ยงนี้”
ผมเซทรุดลงทันทีที่หมอพูดจบหมอลุกขึ้นจับแขนผมไว้
คำพูดปลอบใจของหมอไม่เข้าหูผมอีกเลย เบื้องหน้าท้องฟ้ามืดครึ้ม แต่ยังไม่ดำมืดเท่าความรู้สึกในใจตอนนี้
มันเลวร้ายกว่าที่ผมคิดไว้ ผมไม่ได้ทำใจไว้สำหรับเรื่องนี้ มันชา ชาไปหมดทั้งตัว
“พ่ออัชย์ พ่ออัชย์”
...........................
“พ่ออัชย์”
ผมสะดุ้งเฮือก
“หมอ ชั้น จะ ตาย เหรอ” น้ำเสียงที่ไร้อารมณ์นั้นบ่งบอกว่าผมกำลังช๊อก
หมอบีบแขนผมแน่น เขาเองก็ไม่รู้จะช่วยผมได้อย่างไร ถ้ามีทางจริงๆเขาคงช่วยไปแล้ว
“ชั้น ต้อง ตายเลยเหรอหมอ” ผมยังไม่คิดว่าสิ่งที่ได้ยินจะเป็นเรื่องจริง
“หมอ ชั้นจะต้องตายใช่มั๊ย” และแล้วผมก็ปล่อยโฮออกมาแทบจะทันทีที่หมอปีย์พยักหน้า หมอดึงร่างผมไปกอดแน่น
การร้องไห้ของผมครั้งนี้เป็นครั้งที่จริงจังที่สุดตั้งแต่เกิดมา ชีวิตผมต้องมาจบลงที่นี่อย่างนั้นหรือ ผมยังไม่อยากตาย
ยังไม่อยากตาย
ชั้นยังอยากอยู่กับนาย
ยังอยากนั่งคุยกับนายที่ริมน้ำ
ยังอยากอาบน้ำด้วยกัน
กินข้าวด้วยกัน
หัวเราะกัน
เดินข้างๆกัน
ชั้นยังอยากทำแบบนั้นอยู่นะ
“หมอ” ผมเงยหน้าขึ้นน้ำตานองหน้า แววตาของหมอก็ไม่ต่างกัน
“ชั้นยังไม่อยากตาย”
เขาดึงผมมากอดอีกครั้งและเราทั้งคู่ก็ปล่อยให้น้ำตาหลั่งไหลอยู่เนิ่นนาน
-
“อิจฉานกมันนะหมอ” ผมพูดเมื่อในที่สุดกาลเวลาแม้เพียงชั่วครู่ได้พิสูจน์ว่ามันคือเรื่องจริงที่ผมต้องยอมรับมัน ผมคิดว่าหากการตายของผมจะเป็นประโยชน์แก่คนที่ผมรัก ประเทศที่ผมรัก ก็ไม่เสียดายชีวิต ไม่เสียชาติเกิดแล้ว
เพียงแต่ที่วิตกอยู่ภายในก็คือความกลัว ผมกลัว กลัวความตาย ไม่รู้มันจะเจ็บ จะปวด จะทรมาน ไม่รู้ว่าพวกเขาจะทำอย่างไรกับร่างกายและจิตวิญญาณของผม ไม่รู้ว่าโลกปัจจุบันผมจะเป็นอย่างไร และที่สำคัญไม่รู้ว่าวิญญาณของผมต้องไปไหน ถ้าหากวิญญาณจะต้องติดอยู่ในมิติแห่งเวลาไปตลอดกาล มันคงจะทรมานมากทีเดียว
แต่เมื่อหมอปีย์บอกว่า เขาจะอยู่ข้างๆผมตลอดไป ผมถึงได้เบาใจ
“ทำไมรึ”
“มันมีอิสระ”
.
.
.
.
“อีกไม่กี่เพลา เจ้าก็จักมีอิสระเหมือนดั่งนกแล้ว”
ผมยิ้ม เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร
“เราจักตายพร้อมเจ้า” หมอปีย์พูดคำนี้อีกครั้ง
“อย่าพูดแบบนี้อีกนะหมอ นายจะตายได้ยังไง”
“ทำไมจะตายมิได้ เจ้าไม่อยู่ เราก็ไม่อยากจะอยู่อีกต่อไป หากเราตาย บางครา ฟ้าอาจจักเห็นใจให้ชาติหน้า เราได้เกิดมาคู่กันจริงๆเสียที”
“ชั้นห้ามนายตายนะหมอ” ผมเอาจริง “คนเราเกิดมาต้องทำประโยชน์ให้คนอื่น หากไม่เช่นนั้นก็เท่ากับเกิดมาเสียชาติเกิด ชั้นตายก็ได้ทำประโยชน์ให้บ้านให้เมือง ให้นายแล้ว ชั้นพอใจ
แต่ถ้านายตายตอนนี้ ผู้คนอีกมายที่อยู่ข้างหลัง หมอจรัส คนป่วย ใครต่อใครที่นายจะทำประโยชน์ให้เขาได้ จะทำยังไง”
หมอปีย์นั่งฟังนิ่ง
“อยู่ต่อเถอะนะหมอ มีชีวิตอยู่ต่อ.........อย่างสง่างาม”
หมอปีย์น้ำตาไหลริน
“สักวันเราจะได้เจอกันอีก ชั้นเชื่อ และนายก็ต้องเชื่อด้วย” ผมกำมือหมอปีย์แน่น
“แต่ แต่เราไม่รู้จักอยู่ต่อไปได้อย่างไร”
“ก็อยู่ต่อด้วยความหวังไงหมอ หวังว่าสักวันเราจะได้เจอกันอีก”
ผมยิ้ม ยิ้มทั้งน้ำตา รู้สึกขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้ได้มาเจอผู้ชายคนนี้ คนที่ทำเพื่อผมมาทั้งชีวิตของเขา ดีใจที่ได้กลับมาอีกครั้ง แม้เพียงเพื่อบอกแค่คำลา
“ถึงเวลาที่ชั้นจะทำเพื่อนายบ้าง” ผมคิด
“ชั้นรักใครไม่ได้อีกแล้วนะหมอ..............”
-
เพลง เพราะ จังเรยยย เพลงมาจากไหนคับบ เพราะมากก
-
:sad4: :o12:
-
นะ น้ำตาไหลท่วมจอแล้วนะคะ TT^TT
เศร้าเนื้อหา แถมมาฟังเพลงน้ำตาทะลักเลย
ว่าแต่..เพลงนี้คือเพลงอะไรหรอคะ ขอชื่อได้หรือเปล่า เพราะมากกก >.<
-
เสียงเคาะประตูดังขึ้น นั่นหมายถึงเวลาที่ผมจะต้องเดินทางสู่การรับโทษทัณฑ์มาถึงแล้ว
ทั้งๆที่ทำใจไว้แล้ว แต่ก็ยังก้าวขาแทบไม่ออกทันทีที่ประตูเปิด ความรู้สึกที่ค้างคาในใจยังมีมากมาย คำถามต่างๆ ที่ยังไม่ได้คำตอบ หรือแม้แต่ยังทำใจให้เชื่อหมดหัวใจไม่ได้ว่านี่คือเรื่องจริง
หากแค่การหันหลังแล้วปิดประตูขังตัวเองอยู่แต่ในห้องจะทำให้หลุดพ้นจากความตายที่กำลังจะมาถึงได้ ผมคงทำมันทันทีโดยไม่ลังเล
แต่ความจริงมันไม่เป็นเช่นนั้น
ผมไม่โทษใครที่ต้องมาเจอเรื่องน่าเศร้าอย่างนี้
หากความผิดทั้งหมดจะต้องมีคนรับไว้ คนคนนั้นก็น่าจะเป็นผมคนเดียว
ชีวิตของผู้ชายโหลยโท่ย เฮงซวยไม่เอาไหนคนหนึ่ง เดินทางผ่านเรื่องราวมามากมายจนกลายเป็นผู้ชายคนใหม่ที่มีหัวใจ รักคนอื่นนอกจากตัวเองเป็น
ผมถือว่ามันคุ้มค่ากับการได้เกิดมาชาติหนึ่งแล้ว
“ไปกันเถอะ พ่ออัชย์” หมอปีย์ดูสงบนิ่งกว่าเมื่อครู่มาก เขายังคงเป็นหมอปีย์ที่สุขุม และรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ได้ดีเสมอ ผิดกับผมที่ตอนนี้นั้น เหงื่อได้ไหลผ่านแผ่นหลังและฝ่ามือจนชุ่มโชก
ตำรวจยืนอยู่ลานหน้าบ้านประมาณ 5-6 คน พวกเขาแต่งตัวด้วยชุดกางเกงขาสามส่วนและเสื้อสีเขียวขี้ม้า ใส่หมวก และถุงเท้าที่ยาวเหนือเข่า ดูเคร่งขรึม และทะมึงทึงใส่ผม จนผมแทบอยากจะตะโกนบอกความจริงไปว่าผมไม่ได้ทำ ผมโกหก
แต่มันสายเสียไปแล้ว
หนึ่งในพวกนั้นเดินขึ้นมาบนเรือนหวังจะลากผมไป แต่หมอปีย์เดินออกมา
“อย่าแตะต้องเขา เราจักจัดการเรื่องนี้เอง ทำเรื่องที่พวกเจ้าควรจักทำ” ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและท่าทีที่น่าเกรงขามเอาจริงเอาจังนั้น ทำให้ตำรวจนายนั้นถึงกับถอยกรูดออกไป
ผมเดินตามหมอปีย์ลงมาจนถึงลานบ้าน ท้องฟ้ามืดหนัก เมฆฝนตั้งเค้าจะตก ลมพัดกระหน่ำแรงขึ้นจนใบไม้ปลิวร่วง บ่าวไพร่ในเรือนออกมาแอบดูตามซอกมุมแล้วพากันซุบซิบ
ผมเดินก้มหน้านำหน้าโดยมีหมอปีย์เดินเคียงข้าง ตำรวจที่เหลือเดินประกบตามหลัง ทุกย่างก้าวของผมมีความหมาย เพราะทุกครั้งที่เท้าเหยียบย่างลงดิน ผมจะรู้สึกพร้อม พร้อมที่จะเดินไปสู่ความตายอันใกล้เข้ามามากขึ้น
ดอกปีบสีขาวร่วงเต็มพื้นหญ้าสีเขียว กลิ่นดอกลั่นทมโชยมาเหมือนอาลัย เสียงหวิวๆของใบไผ่ลู่ลมยิ่งทำให้ความรู้สึกหม่นหมองลงไปอีก
“เจ้าอัชย์” เสียงเล็กแหลมของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมคุ้นเคยทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมา
“ยายหนูวาด” หนูวาดยืนเกาะอยู่ริมรั้วใกล้ๆคุณชั้น เธอร้องไห้น้ำตาไหล
“เจ้าอัชย์ อย่าไปนะ อย่าไป” เธอร้องเสียงดัง จนคุณชั้นเอ็ด เธอเองสีหน้าก็ดูอ่อนเพลียเหมือนไม่ได้นอน
เธอเดินตรงมาหาผมก่อนจะกระซิบเบาๆ
“เรามิเชื่อว่าเจ้าจักทำเช่นนั้น เราจักเข้าวังเพื่อหาทางช่วยเจ้า”
“อย่าเลยครับคุณชั้น แค่คุณชั้นเชื่อใจและมีจิตห่วงใยจะช่วยเหลือ กระผมก็ซาบซึ้งจนเกินจะพูดแล้วขอรับ ให้กระผมทำแบบนี้เถอะนะขอรับ”
“เจ้าทำเหมือนครั้งที่ช่วยหนูวาดมิได้รึ หายตัวไปน่ะ” คุณชั้นหมายถึงตอนที่ผมจมน้ำครั้งก่อน
“กระผมทิ้งปัญหาไว้เบื้องหลังไม่ได้หรอกขอรับ ผลที่จะตามมามันร้ายแรงมาก”
สีหน้าคุณชั้นดูวิตกกังวล
“ผมลานะขอรับคุณชั้น” ผมยกมือไหว้ก่อนจะหันไปยิ้มให้หนูวาด
“อย่าลืมเรื่องที่ผมขอไว้นะครับ ยาย”
หนูวาดพยักหน้าก่อนซบหน้าลงที่มือคุณชั้นและร้องไห้โฮ
บัดนี้ ผมถูกคุมตัวมาอยู่ที่ศาลาริมคลอง เรือจอดเทียบท่าอยู่สามลำ มันโคลงเคลงไปมาตามแรงลมที่พัดน้ำจนเป็นคลื่น ฝนเริ่มลงเม็ด ผมเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ยิ้มให้ท้องฟ้าที่อุตส่าห์ยังมีใจหลั่งน้ำตาให้ผม
“แม่ครับ พ่อครับ ลาก่อนนะครับ ชาตินี้ปอไม่มีโอกาสตอบแทนบุญคุณ ชาติหน้าขอให้ปอได้เกิดเป็นลูกแม่กับพ่อ อีกนะครับ ปอรักแม่กับพ่อเท่าชีวิตปอเองนะครับ” ผมน้ำตาไหลปนไปกับสายฝน
-
“ลงเรือบัดเดี๋ยวนี้ ชักช้าฝนตกหนักเข้าจักเสียกาล” ตำรวจนายหนึ่งพูด เขาตรงดิ่งมาจับมือผมแล้วดึงลงเรือลำที่จอดใกล้ที่สุด
“ช้าก่อน เราขอติดตามพวกเจ้าไปด้วย” หมอปีย์ไม่รอช้า ก้าวขาลงเรือและนั่งลงตรงข้ามผม
ตำรวจนายที่เหลือต่างทยอยลงเรือ และเร่งพายออกไป
เรือพายผ่านบ้านของผม ไม่สิ บ้านของคุณชั้น ที่ดูเหมือนจะเงียบงันและปิดหน้าต่างเกือบทุกบาน
ผมใจหายทันทีที่เห็นเรือนครัว มันรู้สึกเหมือนว่าผมจะไม่ได้กลับมาอีกแล้วไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบัน ผมจะต้องจากโลกนี้ไปแล้วจริงๆ
เรือนหมอจรัสค่อยๆ เลือนหายไปท่ามกลางสายฝนที่ตกหนักจนแทบจะมองไม่เห็นทาง ฟ้าร้องคำรามดังลั่นราวกับพยายามร้องห้ามไม่ให้ผมไป
หมอปีย์นั่งนิ่งไม่พูดอะไรตั้งแต่ตอนก้าวออกจากเรือน เขามองหน้าผมไม่ละสายตา ดวงตาที่แดงก่ำและบวมช้ำนั้น บอกให้รู้ว่าเขาเสียใจแค่ไหน
ณ สยามเวลานี้ ผมมีเพียงสิ่งเดียวที่อยากจะบอกหมอ ว่าผมไม่เคยเสียใจเลยที่ได้ย้อนอดีตกลับมา เจอเขา การเจอกับหมอปีย์เป็นเหมือนการได้เจอแสงสว่างท่ามกลางอุโมงค์ที่มืดทึบ ถึงแม้จะเป็นเพียงชั่วเวลาสั้นๆ
ครั้งแรกที่ผมเจอหน้าเขา ผมรู้ได้ทันทีว่าชายผู้นี้มีบางอย่างที่พิเศษ ถึงแม้ผมจะพยายามหลีกหนีความรู้สึกที่แท้จริงด้วยการกระทำที่ทำร้ายจิตใจเขาสารพัด แต่หมอก็ยังยืนยันที่จะรักผมอย่างแน่วแน่ โดยไม่สนกรอบประเพณีใดๆทั้งสิ้น
ภาพความทรงจำเก่าๆแล่นเข้ามาอย่างชัดเจน
ภาพที่ผมโวยวายเหมือนคนบ้าที่เรือนคุณชั้น
ภาพตัวเองตอนนอนอยู่ในคุก
ภาพที่เราวิ่งหนีโจรอั่งยี่
ภาพเราทั้งคู่ที่งานภูเขาทอง
ภาพหิงห้อย
ภาพผมในอ้อมกอดเขา
ภาพที่ชะอำ
ภาพทุกภาพชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้น
มันมีความสุขมาก มากเสียจนผมต้องหลั่งน้ำตาให้น้ำฝนชะล้างไปเสียบ้าง
การลาจากหมอปีย์ และใช้ชีวิตอยู่คนเดียวถึง 20 ปีตอนนั้น มันทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส เรารู้ว่าเรารักใคร และรู้ว่าเขาก็รักเราอย่างสุดหัวใจ แต่ไม่มีทางที่จะได้อยู่ร่วมกัน พูดคุยกัน หรือแม้แต่จ้องตากัน มันทรมานสุดจะบรรยาย
ผมเฝ้าอ้อนวอนให้ได้กลับมาหาเขาอีกครั้งอย่างเอาเป็นเอาตาย
จนในที่สุดก็ได้กลับมา ทันทีที่ผมกลับมาเห็นหมออีกครั้ง ผมแทบจะถลาเข้าไปกอดเขาด้วยความคิดถึง รู้สึกขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้ผมได้กลับมา
แต่นั่นมันก็เป็นเวลาสั้นๆ ความจริงที่รอผมข้างหน้านี่สิ คือความจริงที่เจ็บปวดและทรมานจริงๆ
หมอปีย์ยังคงจ้องหน้าผมอย่างเอาเป็นเอาตาย เขากำลังคิดอะไรอยู่ผมไม่รู้ แต่ด้วยริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้น มันทำให้ผมเป็นห่วง
“หมอ” ผมตะโกนแข่งกับสายฝน
“ชั้นกลัว”
หมอปีย์ขยับมานั่งใกล้ๆ
“ไม่ต้องกลัวหรอก ไว้ใจเรานะ พ่ออัชย์” เขากระซิบ
ผมมองหน้าเขา คำถามเกิดขึ้นในใจ
และแล้วสิ่งที่ผมกลัวก็เกิดขึ้น หมอปีย์เม้มปากแน่น ก่อนจะถลาเข้าใส่ร่างผม
“ตูมมมมม”
ด้วยแรงที่เขาถาโถมใส่นั้น ทำให้เราทั้งคู่ตกลงไปในคลองด้วยกันอย่างแรง
ผมดิ้นทุรนทุรายอยู่ในน้ำนั้น เสียงฝนดังอยู่รอบๆ ไหนจะเสียงตะกุยน้ำอย่างเอาเป็นเอาตายของผมยิ่งทำให้เหตุการณ์อลม่านมากขึ้น
หมอปีย์พยายามใช้แขนล๊อคไว้ที่คอ ถึงตอนนี้ผมเข้าใจได้ทันทีว่าเขากำลังจะทำอะไร ผมดิ้นรนสุดกำลังเพื่อไม่ให้หมอทำเช่นนั้น เขาอาจตายได้ หรือไม่เช่นนั้นหากรอด ก็อาจถูกดำเนินคดี
“หมออย่า” ผมตะโกน มือทั้งสองข้างตะเกียกตะกาย
แต่พละกำลังของเขามากมายเหลือเกิน ในที่สุด ผมก็หมดแรงปล่อยให้หมอปีย์ลากผมดำดิ่งลงสู่ท้องน้ำเบื้องล่าง
ภาพความฝันในคืนนั้นผุดขึ้นในหัว ภาพที่หมอปีย์พยายามกดให้ผมจมน้ำ ภาพที่เขาปล่อยมือและทิ้งให้ผมจมดิ่งสู่ความมืดมิด มันคือความจริงหรือนี่
เราทั้งคู่กำลังดำลึกลงไป ยิ่งลึกลงเท่าไหร่ ก็ยิ่งเงียบสงัดมากขึ้นเท่านั้น ลมหายใจที่ผมกลั้นไว้ บัดนี้กำลังจะหมดลง ผมกำลังจะขาดใจ สติกำลังจะหลุดลอย เห็นแสงสีขาวนวล สลับกับความมืดมิดของท้องน้ำ
นี่เรากำลังจะกลับสู่โลกปัจจุบันใช่ไหม
หมอยังคงลากผมให้ดำลึกลงไปอีก ดูเหมือนเขาจะไม่ยอมปล่อยจนกว่าผมจะหายไปต่อหน้าต่อตาเขาเป็นแน่
หมอปีย์ คนที่เคยอ้อนวอนไม่ให้ผมทิ้งเขาไป บัดนี้ ต้องกลายเป็นคนผลักไสให้ผมไปเสียเองด้วยความจำใจ เขาจะรู้สึกอย่างไร จะทรมานแค่ไหน
น้ำตาของเขาจะไหลรวมกับน้ำในลำคลองไปมากมายเท่าไหร่ ผมมิอาจรู้
ผมรู้แต่เพียงว่า ด้วยสติที่น้อยนิดและกำลังที่ยังพอมีเหลือ ผมจะไม่ยอมให้หมอปีย์ต้องเป็นอะไรไปแน่ๆ
“หมอ ปล่อยชั้น” ผมนึกในใจ รวบรวมกำลังทั้งหมดไปที่มือ แล้วจิกไปที่แขนของหมอ สลัดตัวเองอย่างแรง จนหลุด ก่อนจะผลักเขาขึ้นไปเหนือน้ำพร้อมกับฟองอากาศเฮือกสุดท้ายที่ลอยขึ้นคู่กับร่างของหมอ
“จงมีชีวิตอยู่ต่อนะหมอ” ผมร่ำร้องในใจ ก่อนจะมองภาพของหมอที่ลอยขึ้นไปเหนือน้ำอย่างช้าๆ พร้อมๆกับเหล่าตำรวจหลายนายที่ดำดิ่งลงมาช่วย
“ชั้นจะรอนายนะหมอ”
และทันใดนั้นลมหายใจของผมก็ขาดห้วง สติดับวูบ แล้วแสงสีขาวนวลก็ปรากฏ
-
แสงสีขาวจ้าดับวูบลง
ความมืดเข้าครอบคลุม
ไม่นานหลังจากนั้นแสงสีทองค่อยๆแหวกว่ายเข้ามาแทนที่
ผมรู้สึกตัวแทบจะทันทีที่เห็นแสงสว่างสีทอง
แต่ยังไม่อยากลืมตา
เสียงหัวใจเต้นตึกตัก ความหวาดกลัวยังไม่จางหาย จิตเบื้องลึกรู้ว่านี่คือบ้าน ผมกลับบ้านมาแล้ว แต่จิตอีกส่วนก็ยังเว้าวอนขออย่าให้สิ่งที่คิดเป็นจริง
ลางสังหรณ์บางอย่างบอกกับผมว่า นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้กลับไปหาหมอปีย์
ผมควรจะร้องไห้ที่รู้สึกเช่นนี้ แต่แปลกที่คราวนี้น้ำตาไม่ไหล มีเพียงแต่ความอิ่มเอิบใจอย่างประหลาด
ความรู้สึกเหมือนหมอปีย์กำลังพูดผ่านสายน้ำที่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบันได้ มาบอกผมว่า เขาจะอยู่ต่อ จะอยู่รอผมอย่างสง่างามอย่างที่ผมบอก จะทำประโยชน์ให้ผู้คนและ สยามประเทศ
ผมได้ยินเช่นนั้นจริงๆ
ไม่นานนักเมื่อรู้ตัวเองว่าพร้อมที่จะตื่นขึ้นมารับความจริงแล้ว ผมจึงค่อยๆลืมตาขึ้น
และไม่มีอะไรน่าแปลกใจ
ผมกลับมาที่บ้านจริงๆ
ทุกอย่างเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็นมา ผมชินชาไม่สิ เฉยชากับการกลั่นแกล้งของโชคชะตาเสียแล้ว บางครั้งรู้สึกเหมือนชีวิตตัวเองกำลังถูกล้อเล่น ถูกจับโยนไปโยนมาเหมือนของเล่น
ผมปวดใจ
ทุกข์ทรมานใจ
เสียใจ
เศร้าโศก
อาวรณ์
ใดๆเหล่านี้ล้วนไม่ได้ทำให้คนบนฟ้าเห็นใจ
มาถึงตอนนี้ผมเหนื่อย เหนื่อยเต็มที
ถึงผมจะยอมรับว่าผมรักหมอปีย์จนสุดหัวใจ
แต่ก็เข้าใจดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ ผมเข้าใจดี
และพร้อมที่จะยอมรับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นตอนนี้ ตอนที่หัวใจผม..........แตกละเอียดไปแล้ว
ผมมองไปที่ชั้นวางหนังสือ หยิบหนังสือเล่มที่คุ้นเคยก่อนจะเดินออกมาจากห้องนั้นอย่างเงียบๆ
“โครม!!!”
ทันทีที่คล้อยหลัง เสียงโครมคล้ายของหล่นจากที่สูงก็ดังขึ้น ผมหันหลังกลับไปมอง
และพบว่า นาฬิกาลูกตุ้มนั้น จู่ๆก็ล้มคว่ำหน้าลงกับพื้น จนกระจกแตกละเอียด เหลือเพียงภาพของหมอปีย์ที่ยังแขวนไว้ไม่ไหวติง
ผมยืนแน่นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
ภาพที่เห็นนั้นตอกย้ำว่าทุกอย่างจบแล้ว มันจบลงจริงๆแล้ว ความร้าวรานเกิดขึ้นภายใน ร่างกายแทบจะแตกเป็นเสี่ยง
ภายในมันทรมานจนแทบจะกรีดร้องออกมา
มันเจ็บปวดจนแทบจะกระชากเนื้อตัวเองให้สาแก่ใจ
หัวใจร่ำไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด แต่น้ำตาภายนอกกลับไม่มีให้ไหล
หากได้ร่ำร้อง
หากได้ฟูมฟาย
หากได้กรีดร้อง
หากให้น้ำตาชะล้างความเจ็บปวดในใจ
หากเป็นเช่นนั้น
คงจะดีกว่าที่ต้องเจ็บอยู่ข้างในอย่างนี้
ทำไม ทำไมมันต้องเกิดขึ้นกับผม
ผมอยู่ของผมดีๆ ทำไมต้องทำให้ผมต้องพบกับรักจริงๆแล้วพรากมันไปจากผม
จะให้ผมเกิดมาทำไม
จะให้ผมมาเจอเรื่องแบบนี้ทำไม
ผมทรุดลงกับพื้น กำหมัดแน่น ตัวสั่นเทิ้ม
“ปัง!!”
กำปั้นที่กำแน่นทุบลงกับพื้นอย่างแรง
“ปัง ปัง ปัง” และอีกหลายต่อหลายครั้งจนความเจ็บปวดแล่นผ่านหัวใจเข้ามา
ผมก้มหน้าอยู่อย่างนั้นพักใหญ่
ก่อนจะสูดหายใจลึกๆ
ลุกขึ้นยืน หันหลังให้ภาพตรงหน้าเมื่อครู่
คิดเสียว่า
“มันจบแล้ว มันจบแล้ว”
ก่อนจะเดินหันหลังออกจากห้องไป และจะไม่มีวันกลับมาห้องนี้อีก
-
:sad4: :o12: :sad2: :sad2: :sad2: :sad2: :sad2:
เศร้ามากๆๆ
:sad4:
-
สุดๆคับ
-
น้ำตาไหลออกมาเป็นทางเลยคะ มันตันอยู่ในอกจริงๆตอนนี้ :m15:
-
หนังสือเล่มนั้นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ผมหยิบออกมาจากห้องที่รกร้าง
ผมบรรจงวางมันลงเป็นโต๊ะกระจกในห้องรับแขก ก่อนจะทิ้งตัวลงเหม่อมองแสงอาทิตย์ยามใกล้ค่ำด้วยใจหดหู่
“หมอ ชั้นคิดถึงนาย” ในสมองพร่ำเพ้อแต่คำนี้ ยิ่งคิดว่าชาตินี้จะไม่ได้เจอเขาอีก มันยิ่งเจ็บปวดใจจนแทบจะหยุดหายใจ
“อ้าวปอ ไปไหนมาทั้งคืน” เสียงแม่ดังขึ้น เสียงที่แข็งกระด้างอย่างที่ควรจะเป็นทำให้ยิ่งแน่ใจว่า ภพนี้คือภพแห่งความจริงแน่ แม่ผมที่อ่อนโยนคนก่อนเป็นเพียงภาพในจินตนาการเท่านั้นเอง
“ไปฟัดกับหมาที่ไหนมาอีก เนื้อตัวดูไม่ได้ ชั้นหล่ะเอือมแกจริงๆ ส่งไปร่ำไปเรียนก็ไม่จบ กลับมายังไม่ทันไรสร้างปัญหาอีกแล้ว แล้วนี่....................”
“แม่” ผมพูดแทรกออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“แม่เคยรักผมบ้างมั๊ย” ผมถามอย่างเลื่อนลอย สายตายังคงเหม่อมมองออกไปไกลสุดไกล
แม่นิ่งไปครู่หนึ่ง คงคาดไม่ถึงว่าผมจะถามอะไรอย่างนี้
เธอนั่งลงใกล้ผม
ก่อนจะตอบเพียงสั้นๆว่า
“ถามอะไรไร้สาระ” ด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
นึกอยู่แล้วว่าแม่ต้องตอบแบบนี้
“นี่หนังสืออะไร” เธอหยิบหนังสือที่ผมเอาออกมาจากเรือนครัวก่อนจะพลิกดู
“อ๋อ นี่หนังสือที่ยายแกฝากไว้ให้แกนี่นา”
ผมหันไปมองแม่อย่างไม่เข้าใจ สีหน้าที่แสดงท่าทีสงสัยนั้นทำให้แม่เริ่มเล่า
“ยายแกกำชับว่าให้เก็บไว้ให้แก เพราะว่ามีคนฝากไว้ให้แก ชั้นก็ลืมไปสนิท ดีนะที่แกเห็นเสียก่อนไม่งั้นคงเอาไปชั่งขายแล้ว”
แม่พูดอะไรอีกมากมาย แต่ผมไม่สนใจจะฟัง คำที่ผมอยากฟังเธอกลับไม่พูด ทำไมนะ ทำไมคนเราถึงไม่พูดความรู้สึกจริงๆจากใจออกมา
ผมหยิบหนังสือเล่มนั้น
“ผมรักแม่นะครับ” ก่อนจะเดินขึ้นห้องไปเงียบๆ
ผมทรุดตัวลงนั่งบนเตียงอย่างอ่อนแรง เปิดหนังสือเล่มนั้นอย่างแผ่วเบา
หมอปีย์เอาหนังสือมาฝากไว้ให้ผม เขายังมีชีวิตอยู่และรอผมจริงๆ
คิดได้อย่างนั้นแล้ว ยิ่งรู้สึกบีบหัวใจจนแทบจะหายไม่ออก
หน้าแล้วหน้าเล่าของหนังสือถูกเปิดอย่างเบามือ
มันเปลี่ยนไปมากจริงๆ
ทั้งเก่า ซีด เหลืองและบางครั้งตัวหนังสือก็เลอะเลือน แต่ถึงมันจะเก่าอย่างไร หนังสือเล่มนี้ก็เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เก็บความทรงจำของผมไว้
“กระดาษ?”
ผมเปิดมาเจอเศษกระดาษแผ่นนั้นอีกครั้ง
ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาอ่านอย่างเบามือ
กระดาษที่เดินทางผ่านกาลเวลามากว่าร้อยปี
ทำหน้าที่รอคอยแทนเจ้าของที่จากไป
มันทำหน้าที่ของมันสิ้นสุดแล้ว
บัดนี้ กระดาษได้มาอยู่ในมือผู้รับแล้ว
“หมอ ชั้นได้รับข้อความจากนายแล้วนะ”
...........
...
.
.
.
.
.
(http://image.ohozaa.com/i/ea0/27Cbs.jpg)
-
ขอร้องอย่าจบอย่างนี้เลยน้า :sad4: :o12:
-
จบยังๆๆ
-
จบเเล้วจริงๆเหรอ
เศร้าอ่ะ
-
ชะอำ ณ ประเทศไทย สามเดือนต่อจากนั้น
ผมยืนรับลมยามเย็นที่พัดผ่าน
กลิ่นไอทะเลไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
ที่เดิมที่เราทั้งคู่เคยเหยียบย่ำด้วยกัน
กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม ที่ที่เรามีความสุขด้วยกัน
ผมกลับมาอีกครั้ง
ในสถานที่แห่งเดิมแต่ถูกกางกั้นด้วยกาลเวลาที่ยาวนาน
ถึงที่นี่จะเหมือนเดิม แต่เม็ดทรายหาใช่เม็ดเดิมไม่ ต้นไม้ก็ไม่ใช่ต้นเดิม สายลมก็เปลี่ยนเสมอ
มีเพียงเสียงคลื่นเท่านั้นที่ยังเหมือนเดิม
“หมอ ชั้นกลับมาแล้วนะ ไหนนายบอกว่าถ้าชั้นอยากมานายจะพามาไงเล่า”
ผมยิ้ม
ยิ้มอย่างมีความสุข ความเหงาอาจฆ่าผมได้ มีเพียงแต่ความทรงจำเท่านั้นที่คอยปกป้องผมจากมัน
ความทรงจำที่มีต่อหมอเท่านั้น...........ที่ยังทำให้ผมพยายามจะหายใจต่อไป
ผมนั่งลงบนหาดทรายยามเย็น หยิบสมุดเล่มเล็กสีขาวขึ้นมาพร้อมดินสอ
“กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม..............................”
คือคำแรกที่เริ่มเขียนลงไปในสมุดเล่มนั้น ทุกเหตุการณ์ กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม ครานั้น จะถูกถ่ายทอดและจดจำด้วยตัวอักษร ทุกเหตุการณ์จะอยู่ในความทรงจำของผม............ตลอดไป
“ปอ...................” เสียงคุ้นเคยดังขึ้นข้างหลัง ผมเงยหน้าจากสมุดบันทึก หัวใจเต้นแรงอีกครั้ง
“มาทำอะไรที่นี่” เสียงนั้น เสียงนั้น............................
ผมค่อยหันไปช้าๆ ราวกับภาพเคลื่อนไหวที่ช้าลงอย่างไม่ได้ตั้งใจ
และทันใดนั้น ภาพชายคนคุ้นเคยทั้งภพก่อนและภพนี้ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าผม
“พี่.................หมอ”
กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม............................ได้อวสานลงแล้ว
แต่กาลครั้งหนึ่ง ณ ปัจจุบัน......................กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
ผมหันกลับมายิ้มให้กับท้องทะเล และเกลียวคลื่น นึกขอบคุณที่หอบเอาคนที่ผมรอคอย..........กลับมา
(http://image.ohozaa.com/i/e23/cvKLF.jpg)
(http://image.ohozaa.com/i/c40/mJhN4.jpg)
http://www.youtube.com/v/CGl0Jbc-RCU?version=3&hl=th_TH;autoplay=1
-
หมอปีย์ TT
คิดถึงใจหมอปีย์แล้วเศร้าที่สุด
พ่ออัชย์ด้วย :o12: :o12: :o12: :a5:
-
ขอบคุนมากจิงๆคคับ
-
:sad11: :sad11: :sad11:
ขอตอนพิเศษด่วน
มีไหมอ่ะ 555+
-
หวังว่าจะได้อ่านภาค ... กาลครั้งหนึ่ง ณ ปัจจุบัน...
ขอบคุณมาก :L2:
+1 +เป็ด
-
จบได้ประทับใจมากเลยค่ะ รับรู้ถึงคำว่ารักได้จริงๆ ถึงจะต้องจากกัน แต่เป็นกันจากกันที่เต็มใจทั้งสองฝ่าย
และยังมีความหวังว่า สักวันจะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง เป็นอะไรที่ มหัศจรรย์มาก
ขอบคุณจริงๆนะคะ สำหรับนิยายเรื่องนี้ ทำให้คนอ่านได้ซาบซึ้งถึงคำว่ารัก จริงๆคะ
-
อ่านจบแล้ว ในที่สุด!!
น้ำตาไหลลเป็นปิ๊บ อย่างน้อยก็จบอยากแฮบปี้ ในที่สุดก็ได้พบกัน นานมากเลยทีเดียว
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ เราประทับใจมากๆเลยค๊ะ
-
น้ำตาไหลเป็นทาง...อ่านตอนเริ่มเรื่องข้อความเดียวกัน แต่ความรู้สึกต่างกันมาก
อย่างที่เดาไว้ หมอปีย์กับพี่หมอ เป็นคนเดียวกัน ...
ถึงว่าถ้าปอบอกให้เลิกก็จะเลิก...
จบประทับใจค่ะ เรื่องนี้ติดตามตลอดสุดยอดมาก o13
-
หมอปีย์ พี่หมอ TT
ขอบคุณนะคะ ที่แต่งเรื่องที่ดีขนาดนี้ให้ได้อ่านกัน
รับรู้ได้ถึงความรู้สึกรักที่ยิ่งใหญ่ ของทั้งหมอปีย์และพ่ออัชย์
ไม่รู้ว่าจะอธิบายมาเป็นตัวอักษรอย่างไร แต่ประทับใจเรื่องนี้มากๆค่ะ
ขอให้หมอกับพ่ออัชย์อยู่คู่กันไม่มีพรากกันนะคะ TT
-
มีภาค 2 ไหมอ่าค่ะ ค้างอ่า :monkeysad:
-
:กอด1: ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ ที่น่าประทับใจนะคะ :กอด1:
-
ทำเป็นหนังสือ เถอะค่ะ อยากได้ไว้ในตู้หนังสือมากมายนัก สนุกที่สุดเลย สนุกมาก o13
-
อ่านไปหยุดไปค่ะเพราะน้ำตานองหน้า :o12: บีบหัวใจมากๆ
งดงาม เป็นนิยายเรื่องเยี่ยมไม่แพ้นิยายวางขายทั่วไปเลยค่ะ แค่ตัวเอกเป็น ชาย-ชายเท่านั้น
แต่ความรักไม่เคยแบ่งเพศอยู่แล้ว
เอาเพลงมาแปะ เพราะเห็นคนถามถึง
มหัศจรรย์แห่งรัก โดย ต้น ชาญณัฐ
มันมหัศจรรย์จริงๆค่ะ ไม่ใช่แค่สำหรับคู่หมอปีย์กับอัชย์
แต่มหัศจรรย์แห่งรักสำหรับทุกคู่บนโลกใบนี้ ทั้งที่ผ่านมาในอดีตและปัจจุบัน
ที่เกิดมาเพียงแค่ได้รักกันแต่ไม่ได้ครองคู่
http://www.youtube.com/v/CGl0Jbc-RCU
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ ประทับใจมาก (ลุกขึ้นยืนปรบมือให้) :L1:
-
:pig4: :pig4:
เดาไว้ไม่ผิด ว่าพี่หมอคือหมอปี ขอบคุณที่แต่งนิยายดี ๆ ให้อ่านครับ ซึ้งและสนุกดีครับ
อยากให้มาต่อเรื่องราวของ อัชย์ กับพี่หมอ ต่อด้วยนะครับ จะรอ
-
อยากให้มีภาคต่อจัง
:sad2:
เรื่องนี้ซึ้งมากจาค้างคาใจ
:sad2:
อยากให้มีเรื่องของพี่หมอกับปอจังเลย
:sad2:
-
อยากให้มีกาลครั้งหนึ่ง ณ ปัจจุบัน ออกมาต่อจังเลยค่ะ T T
ใจหายมากที่เรื่องนี้จบแล้ว :sad4: ไม่สนใจทำรวมเล่มเหรอคะะ อยากได้มากมาย :sad4:
ต่อจากนี้ไปคงคิดถึงเรื่องนี้ไปอีกนานนนนน
ขอบคุณคนแต่งที่แต่งเรื่องดีแบบนี้ออกมาให้ได้อ่านกันนะคะ สนุกมากจริงๆ ขอบคุณมากๆค่ะ
ปล.อยากอ่านตอนต่อของพี่หมอกับปอจังเลยค่ะะ :m15:
-
จบลงซะแล้ว กับเรื่องดีๆ อีกหนึ่งเรื่อง TT^TT
ขอบคุณมากนะคะ ที่เอาเรื่องนี้มาลงให้อ่าน
ปล.อยากอ่านฉากหวานๆ ของพี่หมอกะปอจังอ่ะ (ทำสายตาปิ๊งๆ)
-
ในที่สุดการเดินทางของนิยายเรื่องนี้ก็มาถึงบทสรุป
หนึ่งปีเต็มสำหรับการอดทนของทั้งผู้เขียน และผู้อ่าน
ขอบคุณมากนะครับที่อดทนรออ่าน และไม่เคยบ่น
ผู้เขียนเองบ่อยครั้งที่เหนื่อย ท้อ และตีบตันกับเรื่องนี้ เพราะยากเหลือเกิน
แต่พอรู้ว่ามีคนถามถึง มีคนรออ่านก็มีกำลังใจค้นคว้า และเขียนต่อไป
ครั้งแรกที่เขียนยอมรับว่ากลัว กลัวว่านิยายแบบนี้จะตกยุค เชย และไม่เป็นที่นิยม
จะไม่มีใครอ่าน แต่ก็ได้ตั้งใจไว้แล้วว่าอยากจะเขียนนิยายที่สวยงามและมีคุณค่าขึ้นมาสักเรื่อง
จะยากแค่ไหนก็จะต้องเขียนให้จบ
วันนี้ใจหายเหมือนกันที่ต่อไปจะไม่ได้เขียนถึงหมอปีย์กับเจ้าบ้าอีกแล้ว
เพราะปกติทุกคืนตลอดหนึ่งปี ก่อนนอนจะคิดเรื่องของสองคนนี้จนหลับไปเสมอๆ
เรื่องราวของพวกเขาค่อนข้างจะชัดเจนสำหรับผู้เขียน เหมือนพวกเขามีชีวิตจริงๆ
ยอมรับว่าตอนเขียนคำสุดท้าย ก่อนจะอ่านและมีเพลงขึ้นก็มีน้ำตาซึมเหมือนกัน
ก็อยู่ด้วยกันมาตั้งปีนึงนี่เน๊อะ หมอปีย์ อัชย์
สุดท้ายไม่มีอะไรมากครับ แค่อยากจะขอบคุณกับการติดตาม ทุกกำลังใจให้เขียนต่อ และที่สำคัญ
ความอดทน อดทนกันมากจริง
ยังไงฝากเรื่องนี้ไว้ในความทรงจำด้วยนะครับ
ส่วนเรื่องหน้า รออ่านเรื่องใหม่ " A thousand word of flowers" เรื่องราวความรักของผู้ชาย สี่ คน
ที่จะถ่ายทอดผ่านดอกไม้ที่มีความหมายทั้งสี่ชนิดนะครับ
ยังไงฝากด้วยนะครับ
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
เราชอบอ่านนิยายแนวพีเรียดแบบนี้มากกกกกกกกก
ซึ่งหาอ่านได้ยากมากค่ะ ยิ่งภาษาสวย ดำเนินเนื้อเรื่องดี พล็อตแจ๋วแล้วละก็
หาอ่านถูกใจได้ยากจริงๆ คนเขียนเก่งมาก ชื่นชมจริงๆค่ะ
เราเองก็รู้สึกรักหมอปีย์กับเจ้าบ้าเหมือนกันนะ T^T
จะรอติดตามผลงานต่อไปนะคะ :D
-
ใจหาย ...กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม จบแล้ว
เราอยู่กันมานาน รู้สึกไม่อยากให้จบเลยอ่ะ ToT
จบสวยมาก ปลื้ม ชอบ รัก สุโค่ย
ไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกออกมายังไงแล้วเนี๊ย
สุดท้ายพี่หมอคนนั้นก็คือหมอปีย์นั้นเอง
เดาไว้ตั้งแต่กลางๆเรื่องแล้วล่ะว่าต้องใช่ แล้วมันก็ใช่ =w=
ดีใจมากที่สุดท้ายทั้งสองก็ได้กลับมารักกันในปัจจุบัน
ดีใจมากที่ไม่ได้จบดราม่าอย่างที่เคยลองคิดไว้
เราอ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกรักประเทศไทยมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
ขอบคุณพี่เป็ดมากที่แต่งนิยายดีๆอย่างนี้ให้ได้อ่าน
ขอบคุณมากจริงๆค่ะ
ปล.รวมเล่มเถอะพี่ นิยายดีๆอย่างนี้หนูอยากเก็บไว้หยิบอ่านตอนแก่
ปลล.มีตอนพิเศษไหมอ่ะค่ะ =o=
-
ขอบคุณมากๆนะคะ ที่ได้สร้างสรรค์วรรณกรรมดีๆให้เราได้อ่านกัน
ใครที่บอกว่า YAOI เป็นเรื่องไร้สาระ พวกเขาคิดผิด !!
เรื่องนี้ทำให้เราได้รู้ว่า ความรักแท้ เกิดขึ้นได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นชายหญิง หญิงหญิง หรือ ชายชาย
อยากให้มีภาคต่อมากๆเลยค่ะ อ่านตอนจบแล้วซึ้งน้ำตาไหลพรากๆ
-
เสีย น้ำตา มากมายย ไม่เคยร้องให้นักขนาดนี้มาก่อนน
เป็นเรื่องที่ซึ่งที่สุด ที่เคยอ่านมา ยิ่งตอนสุดท้ายน้ำตาไหลพรากเรย
แต่อยากถามว่า พี่หมอ คือคัยยย
แอบ งง
-
อา......โดนซัดพรวดๆจนปรับอารมณ์ตามไม่ทันเลยค่ะT^T
ไม่รู้จะเม้นยังไงดีเลย ตอนจบเรื่องนี้ มาแบบจุใจจริงๆ
สรุปแล้วพี่หมอคนนั้นก็คือหมอปีย์ที่กลับมาสินะ? กลับมาเจอกันจริงๆสินะ? แต่พี่หมอก็ไม่มีความทรงจำของชาติที่แล้วมั้งเนอะ?
โอยยยย จบแบบนี้เปิดประเด็นให้จิ้นต่อเอาเองหรือจะแต่งตอนพิเศษต่อคะ>< แต่ตอนนี้ขอเอาไปฝันก่อนละกันค่ะ อิอิอิ
เรื่องนี้สนุกมากๆเลย ขอบคุณคุณเซ็งเป็ดสำหรับนิยายดีๆนะคะ ชอบความรู้สึกในตอนท้ายๆของหมอปีย์กับอัชย์ค่ะ มีครบทุกรส
จริงๆ นี่ถ้าไม่ใช่ว่าตอนอ่านอยู่เพื่อนปาตุ๊กตาใส่คงน้ำตาแตกแล้วแน่ๆค่ะT^T
จะรอติดตามผลงานต่อไปนะคะ ตอนนี้ก็คงได้แต่กลับไปย้อนอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกรอบมั้งเนี่ย เฮ้อ มีแผนจะรวมเล่มมั้ยคะ? ถ้าพิมพ์จะรอซื้อค่ะ><
-
-ขอบคุณมาก-
คำนี้คำเดียวเพียวๆจริงๆ กอดๆ
:กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
:L2: :L2:
-
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆมากเลยครับ
ผมชอบอ่านนิยายแนวย้อนยุคอยู่แล้ว เพราะมันเขียนยากกว่านิยายทั่วไป
ต้องมีข้อมูลอะไรหลายๆอย่าง และผมชอบเรื่องนี้มากเลยครับ ยังอยากอ่านต่อภาคสองด้วยซ้ำ
จะคอยติดตามผลงานคุณเสมอเลยนะครับ สู้ๆ :impress2: :impress2:
-
โอย~ เป็นปลื้มที่สุด น้ำตานองหน้า
ในที่สุดก็กลับมา ในที่สุดก็ได้เจอกัน!
แม้จะผ่านอะไรกันมามากมายขนาดไหนก็ตาม
แต่ทั้งคู่ก็ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง.....ตามที่สัญญา
ขอบคุณจริงๆค่ะ ขอบคุณมากมายมหาศาลจริงๆกับนิยายเรื่องนี้
ร้องไห้ตาบวม ตอนจบซึ้งได้จิตได้ใจจริงๆ
ขอบคุณอีกครั้ง และจะติดตามผลงานเรื่องต่อไปค่ะ :L2:
-
ขอบคุณที่สร้างสรรค์นิยายดี ๆ มาให้อ่านนะคะ :L2:
แต่สงสัยว่า ถ้าพี่หมอคือหมอปีย์กลับชาติมา ตกลงหน้าเหมือนกันไหมคะ ถ้าเหมือนแล้วทำไมปอไม่เคยพูดถึง หรือเอ่ยว่าคุ้น ๆ อะไรเลยล่ะคะ หรือถ้าหน้าไม่เหมือนแล้วรู้ได้ไงว่าคือหมอปีย์ชาตินี้ -_-a
-
รวมเล่มเถอะค่ะ อยากอ่านพ่ออัชย์ ได้ทุกที่ ทุกเวลา
[/color]
-
สวัสดีค่ะพี่เซ็งเป็ด
เราชอบนิยายเรื่องนี้มากๆๆๆๆๆๆๆๆ แค่ชื่อก็โดนแล้ว สไตล์แบบย้อนยุคพีเรียดแบบนี้ยิ่งชอบ
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วประทับใจมากถึงมากที่สุดค่ะ ตามอ่านประมาณ 4 วัน ไม่คิดว่าวันที่ 4 ที่อ่านจะจบพอดี อยากให้มีต่ออ่า
อยากให้ทำเป็นหนังสือด้วย เพราะนิยายดีๆแบบนี้เราอยากเก็บไว้อ่ะค่ะ (ไว้ก.พ.-มี.ค.ก็ได้ค่ะ ตอนนี้เราทรัพย์จางเว่อร์ๆๆ TT)
สุดท้ายนี้อยากจะบอกว่า รักและประทับใจเรื่องนี้ที่สุดค่ะ!!
-
สุดท้ายก็ได้กลับมาเจอกันในปัจจุบันซักทีนะ
อ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกว่ามันเต็มตื้น มันอิ่มๆ
ขอบคุณนะคะที่สร้างสรรค์ผลงานดีๆมาให้ได้อ่านกัน
+1 ไปเลยค่ะ
-
ขอตอนพิเศษด้วยคน
-
ขอบคุณมากๆครับ สำหรับนิยายดีๆ ประทับใจมากครับ
-
ขอบคุณมากที่เขียนเรื่องดีๆให้ได้อ่าน ตอนสุดท้ายนี้เล่นเอาน้ำตาไหลพราก ชอบเรื่องนี้มากๆเลย ขอบคุณค่ะ
-
ประทับใจมากค่ะ เป็นอีกเรื่องที่สวยงามทั้งภาษา ทั้งการดำเนินเรื่องจริงๆ แต่ตอนจบมันห้วนไปอะะะะะะะะะะะะะะ :serius2: :serius2: :serius2:
sad มาทั้งตอน จบแบบนี้เหมือนยังไม่อิ่มเลย ขอตอนพิเศษหน่อยเถอะค่ะ :sad12: :sad12: :sad12:
-
จบดีมากเลยค่ะ o13
แอบอยากให้มีกาลครั้งหนึ่ง ณ ปัจจุบันด้วย
แต่ผู้แต่งบอกว่าเรื่องต่อไปคือเรื่องอื่น (ที่ไม่น่าจะเป็นภาคต่อของเรื่องนี้)
ชอบมากเลย เป็นนิยายที่สุดประทับใจของเราเลยนะคะ
ไม่ว่าจะการบรรยายที่ไม่น่าเบื่อ ทำให้น่าติดตาม
การใส่ความรู้สึกผู้แต่งเข้าไปในเรื่องก็เป็นกลางๆ ทั้งยังสนับสนุนให้คนอ่านหันมาสนใจสิ่งที่เป็นไทยมากขึ้น
ต้องยอมรับว่าอ่านเรื่องนี้แล้วทำให้เราสนใจอาหาร ขนมไทย ประวัติศาสตร์ไทยมากขึ้น (ถึงกับเดินไปหาอ่านในซีเอ็ดเลยทีเดียว)
การใช้ภาษาก็ดี อ่านแล้วคล่องเลยค่ะ ให้ความรู้สึกสมัยก่อนจริงๆ
คาแรกเตอร์กับการกระทำของตัวละครก็ไปในทิศทางเดียวกันค่ะ อ่านแล้วไม่ขัดความรู้สึก (ไม่เหมือนนิยายหลายเรื่องที่คาแรกเตอร์เด่นชัดมาก แต่การกระทำกลับไม่สอดคล้องกับกับการบรรยายคาแรกเตอร์)
โดยรวมถือว่าประทับใจมาก
ยอมรับให้เป็น "สมบัติวรรณกรรมวาย" ที่ควรค่าแก่การอ่านอย่างยิ่งค่ะ o13
แอบหวังว่าจะมีการรวมเล่มเป็นนิยายขาย
แต่ก็อยากให้นิยายเรื่องนี้ได้ไปอยู่บนดินอย่างเปิดเผยสู่สาธารณชนด้วย (อยากให้คนทั่วไปได้อ่านบ้าง)
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณคุณเซ็งเป็ด หรือ คุณนนท์ (ได้ยินคนเขาเรียกแบบนั้น) ที่ตัดสินใจเขียนนิยายดีๆเรื่องนี้ขึ้นมา เป็นการตัดสินใจที่มีความเสี่ยงมาก(ในตอนแรก) แต่มาถึงตรงนี้คุณนนท์คงนึกดีใจที่ตัวเองได้ตัดสินใจแบบนั้น เราอดปลื้มใจแทนไม่ได้ที่นิยายออกมาแล้วเสร็จสมบูรณ์ดี เราว่าคุ้มค่ากับการนอนคิดพล๊อตทุกคืนอยู่นะคะ :laugh:
-
เป็นเรื่องรักแบบย้อนยุค สนุกม๊ากกกกกกกกค่ะ o13
ยิ่งตอนท้ายเศร้าจัง แต่ยังดีที่กลับมาภพปัจจุบัน หมอปีย์ตามเจ้าบ้าเจอจนได้ :o8:
อยากให้รวมเล่มจังค่ะ เนื้อหา ภาษา ประณีตจังชอบค่ะ
ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆให้อ่านนะค่ะ :pig4: :L2:
-
จะติดตามเรื่องอื่นๆต่อไปน่ะ ชอมากเลยเรื่องนี้ ไม่แน่ใจคิดไปเองหรือเปล่าว่าการเขียนตอนท้ายๆกับตอนแรกๆรู้สึกต่างกันน่ะ แต่ก็ขอบคุณมากก ชอบตอนจบ เหมือนที่เรากำลังคิดในใจมาก เจอกันเรื่องหน้าค่ะจะติดตาม
-
ทำใจอยู่นานเชียวล่ะกว่าจะกลับมาอ่านให้จบเรื่องได้...เพราะรู้สึกว่าช่วงนี้บริโภคมาม่าเกินขนาด(ฮา)
อ่านไปน้ำตาหยดไป..จนตัวหนังสือบนจอมันเบลอเพราะน้ำตานองนี่แหละ
หมอปีย์...ก็ยังคงเป็น หมอปีย์ คนเดิมที่ยอมตามใจพ่ออัชย์ เจ้าบ้า คนเดิมและคนเดียวของหมอแบบนี้(คนอ่านชักอิจฉาตาร้อนผ่าวๆ...ฮา)
อัชย์...สมหวังกับเขาสักทีเนอะพ่อคุณ....มาม่า เอ้ย ดราม่ากันจนอิ่มอืดทั้งหมอทั้งปอ..(แน่นอนคนอ่านก็มาม่า) สยาม ณ เวลานี้ คงไม่เหงาแล้วสินะ?
ใจหายเหมือนกันกับเรื่องราวของ สยาม ณ ขณะที่ตัวละครทั้งหลายโลดแล่นอยู่จบลงซะแล้ว...
ต้องคิดถึงไปอีกนานแน่....
ปล. ปีใหม่นี้ก็ขอให้มีแต่สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตนะคะ o13
-
ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ :กอด1:
ในที่สุดก็จบมีความสุขซักทีเนอะ!หมอปีย์กับพ่ออัชย์ ดีใจจัง :mc4:
ขอบคุณพี่เป็ดมากมายนะคะที่แต่งเรื่องดีๆอย่างนี้มาให้อ่าน
ชอบมากจริงๆค่ะ
ปล.จะแอบมีตอนพิเศษมามั้ยคะ สำหรับพี่หมอกับปอ อบากอ่านน :impress2:
-
รัก หมอปีย์ รักเจ้าบ้า รักคนเขียน รักคนอ่าน รักต้นไม้ใบหญ้า รักทะเล รักอาหารไทย รักประเทศไทย :sad11: :sad11: รักเรื่องนี้มาก จะอยู่ในความทรงจำ :monkeysad: :monkeysad:
-
๔๔๕ + ๑ = ๔๔๖
ขอบคุณนะคะ คุณ เซ็งเป็ด
-
o13ขอบคุณครับเป็นเรื่องที่สนุกมากอีกเรื่องนึง โดยส่วนตัวเป็นคนชอบอาหารไทยอยู่แล้ว ผู้แต่งก็ได้นำมัดสอดแทรกไว้โดยไม่ทำลายอรรถรสของนิยายเลย อีกทั้งอารมณ์ที่ตัวนายเอกสื่อออกมาได้อย่างชัดเจนถึงความขัดแย้งระหว่างความรู้สึกกับสามัญสำนึก และอีกมากมายที่ไม่สามารถกล่าวได้หมด ขอบคุณจริงครับ จะรอผลงานชิ้นต่อไปนะครับ :L1:
-
ในที่สุดกาลเวลาที่พาให้ทั้งคู่ได้พบกันและกาลเวลาอีกนั้นแหละที่ทำให้ทั้งคู่ต้องห่างกัน
สุดท้าย ก็กาลเวลาอีกเช่นกัน ที่ทำให้พ่ออัชย์กับหมอปีย์ กลับมา :n1: :กอด1:
+1 ให้คุณนนท์ เป็นกำลังใจให้ กับการเขียนผลงานออกมาให้ได้อ่านอีกเช่นเคย :L1:
-
ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆ ขอบคุณที่นำความเป็นไทยกลับมาให้ได้ชื่นใจอีกครั้งครับ ขอบคุณมากๆ ครับ
-
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ มีคุณภาพนะคะ
แต่อยากอ่านต่อจังเลย T_T special สักหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ??
เรื่องนี้ทำให้คิดย้อนไป แล้วก็รู้สึกภูมิใจกับวัฒนธรรมไทยขึ้นมากๆเลย
อยากอ่านเรื่องของหมอกับอัชย์ต่อจังเล้ยยยยยยยยยยยยยคะ
-
ซึ้งมากกกกกก ประทับใจมากจริงๆ
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ T^T
-
จะมีภาคสองไหม?????
-
:L2:
คงบอกได้คำเดียวว่า เต็มตื้น อิ่มเอิบอบอุ่นและก็อบอวลไปด้วยความเศร้าเคล้าความคิดถึง :เฮ้อ:
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ ที่พยายามอดทนแต่งจนปิดตัวลงอย่างสมบูรณ์ :mc4:
-
ตกลงหมอก็คือหมอจริงๆด้วยToT
ในที่สุดทั้งสองก็ได้อยุ่ด้วยกัน
อย่างนี้แปลว่าหมอจำเรื่องชาติก่อนได้สินะคะ
สงสัยอยุ่อย่างนึงทำไมถึงตอนที่อัชพบหมอปีย์ครั้งแรกความรุ้สึกต่างกับตอนพบพี่หมอคือเปนแค่คนที่มาตามตื้อคนนึงละคะ
ปล. อยากอ่านตอนพิเศษ
-
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ สิ่งดีๆของไทยที่คุณเซ็งเป็ดเขียนออกมาทำให้เรารักประเทศเรามากขึ้น
ขอบคุณที่พยายามเขียนจนจบให้พวกเราอ่านแม้คุณจะยุ่งมากแค่ไหน ขอบคุณจากใจจริงๆ
ปล.หวังภาคพิเศษ ณ ปัจจุบันสักนิดนะคุณเซ็งเป็ด
-
ขอบคุณพี่มากๆค่ะ
ขอบคุณสำหรับนิยายที่ดี
ที่ให้ได้ระลึกถึงชาติ
ได้ให้ความรู้สึกของรักที่เสียสละ เห็นแก่ตัวบ้าง ตามกิเลสของมนุษย์
ได้ให้ความรู้สึกของกรุ่นกลิ่นอายของประวัติศาสตร์ ถึงวิธีทำอาหารต่างๆ
ขอบคุณนิยายที่มีความสละสลวยของคำและอารมณ์ค่ะ
ขอบคุณจริงๆ
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก อยากอ่านต่อง่ะ
-
ขอบคุณนิยายดีๆๆแบบนี้ จะไม่ลืมเลย ภาษาสวยงาม อ่านเข้าใจ ลำดับเรื่องดีมาก
:L1: :L2:ขอบคุณมากมาก :pig4: :L1:
น่าจะมีภาคต่อนะครับ ยังอยากอ่านต่อนะครับ
-
จบแล้ว เราหยุดร้องไห้ไม่ได้เลยค่ะ ยิ้มทั้งน้ำตาจริงๆ
ดีใจที่หมอปีย์กลับชาติมาเกิดใหม่ คิดว่าหมอน่าจะจำเรื่องในชาติที่แล้วได้
ขอบคุณคุณเซ็งเป็ดมากๆเลยนะคะ เราชอบแนวแบบนี้ที่สุดเลย
อยากให้รวมเล่มแล้วก็มีตอนพิเศษจริงๆ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ
-
ซาบซึ้ง กินใจ ในทุกตัวอักษรที่กลั่นออกมาเป็นเรื่องราวให้อ่านกันค่ะ
ขอบคุณสำหรับนิยายดีดีที่นำมาแบ่งปันกัน
ปล. มีตอนพิเศษไหมคะ อยากอ่านพี่หมอกับปอ อ่ะค่ะ
-
ขอบคุนคนเขียนมากๆๆ ที่ได้เขียนเรื่องราวดีๆ มาให้เราได้อ่าน
รู้สึกตื้นตัน และประทับใจกับความรักของทั้งสองคนมากๆ สุดท้ายก้อกับมาคู่กันจนได้
พร้อมทั้งได้สอดแทรกความรู้ด้านอาหาร และวัฒนธรรมไทยต่างๆ
ถ้าเป็นไปได้ก้ออยากได้รวมเล่ม และขอตอนพิเศษของพ่ออัชช์กับหมอปีย์ หรือพี่หมอในยุคนี้ได้มั๊ยอ่ะคะ
-
อยากอ่านนิยายของคุณเซ็งเป็ด
เริ่มเรื่องใหม่หรือเป็นตอนพิเศษก็ได้
แต่อยากมีความหวัง
อยากเข้ามาในเล้าทุกวัน แล้วไล่ดูว่า วันนี้มีตอนใหม่หรือยัง
เหมือนที่ทำอยู่ทุกๆวัน
-
น้ำตาไหลพราก ร้องไห้อ่ะ ร้องจริงๆ :m15:
จบได้เศร้าและประทับใจมาก o13
1ปีที่พี่เขียน และที่เราอ่าน มันยาวนานเหมือนกัน แอบเศร้าเล็กน้อยที่จบแล้ว :sad2:
-
หลังจากที่ห่างหายจากนิยายเรื่องนี้ไปนานร่วมครึ่งปี ได้กลับมาอ่านอีกครั้ง หลายสิ่งที่ได้จากเรื่องนี้ตั้งแต่ต้น
คำพูดที่พ่ออัชย์พูดบางคำ ทำให้รู้สึกรักในความเป็นไทยมาก
ความผูกพันของคนสองคน ความรักที่ก่อตัวอย่างเชื่องช้าแต่งดงาม ไม่ได้หวานจนน้ำตาลอาย แต่กินใจเกินจะบรรยายออกมา
พาร์ทการจากกันช่วงหลังบีบหัวใจจนแทบต้องร้องไห้ ความทรมานของการรอคอย ความเสียสละเพื่อคนรัก จะบอกว่าบทบรรยายทำเอาใจวูบเลย จนมาพีคตรง 'และแล้วสิ่งที่ผมกลัวก็เกิดขึ้น หมอปีย์เม้มปากแน่น ก่อนจะถลาเข้าใส่ร่างผมด้วยแรงที่เขาถาโถมใส่นั้น ทำให้เราทั้งคู่ตกลงไปในคลองด้วยกันอย่างแรง' ชาวาบเลย
แง้ !!บรรยายไม่ถูกแล้ว สุดยอดมากจริงๆ เพลงบิ้วต์อีก(ว้ากกกกกกกกกกก!! ไม่ไหวแล้ว ขอตะโกนหน่อย)
'ต่างคนอยู่ไกลแสนไกล กลับมาอยู่เคียงชิดใกล้'
ปล. ไม่รู้ว่ามีคนตอบยัง เพลงนี้ชื่อ 'มหัศจรรย์แห่งรัก'
-
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆที่แต่งขึ้นมาให้ได้อ่านนะคะ
อ่านแล้วอยากจะร้องไห้ Y^Y
ขอบคุณมากๆคะ ขอบคุณจริงๆ ^^ o13 o13 o13
-
มีความสุขทุกครั้งที่ได้อ่านทุกตัวอักษรของคุณนนท์
แอบหลงรักทั้งนักเขียนและตัวละคร รักทุกตัวอักษรที่ถ่ายทอด
อยากให้มีเรื่องราวดีๆอย่างนี้ได้แบ่งปันมาอีกเรื่อยๆ
ไม่เคยท้อที่จะรออ่าน ทุกกนาทีกลับกลายเป็นความหวัง
ที่จะได้ซึบซับเรื่องราวดีๆที่ได้อ่านและปล่อยความคิดให้หลุดลอยไปกลับนิยายเรื่องนี้
ขอบคุณจริงๆครับที่นำเสนอสิ่งดีให้ได้มีความสุขตลอดเวลา :pig4: :pig4: :pig4:
-
ถ้าไม่รักคงไม่รอ :เฮ้อ: ใจหายเนอะ ชอบแนวนี้นะคะ เป็นคนหลงไหลแนวทวิภพ สองภพ ต่างภพ เทือกๆนี้อยู่แล้ว...
รู้ตัวอีกทีก็หลงรักเรื่องนี้ไม่รู้ตัว ๕๕ ขอบคุณนะคะที่ถ่ายทอดเรื่องดีๆมาให้ได้อ่านกัน รอติดตามเรื่องต่อไปสู้ๆนะคะ :กอด1:
-
ลุ้นตอนจบแทบแย่ นึกว่าจะได้ลงหวายคนเขียน :laugh:
ไม่มีตอนพิเศษ ช๊อตหวานๆของ ณ กาลปัจจุบันบ้างหรอค่ะ แบบว่า เสียน้ำไปเยอะ ก่อนจบ ขอน้ำตาลหน่อย
ตอนแรกลุ้นให้หมอ ติดมาอยู่ในกาลปัจจุบันด้วย แต่กลายเป้นอีกแบบ ก็ไม่เป็นไรยังงัย พี่หมอ ก็คงทำหน้าที่ต่อ อิอิ :impress2:
-
พอดีมีหลายคนอยากให้ตีพิมพ์ ใจผู้เขียนเองก็อยาก เพราะอยากจะเก็บไว้เองเป็นความภาคภูมิใจส่วนตัว
แต่ครั้งจะพิมพ์แค่ 4-5 เล่มก็คงคิดว่าไม่ดีแน่
เลยอย่างจะถามความสนใจของผู้อ่านท่านอื่นว่าสนใจที่จะเก็บหมอปีย์กับพ่ออัชย์น้อยๆ ไว้บนชั้นหนังสือในพื้นที่เล็กๆ
หรือเปล่า หากสนใจรบกวนแจ้งในกระทู้ให้หน่อยนะครับ
จะได้ปรึกษากับทางสำนักพิมพ์ว่าจะพอทำอย่างไรได้บ้าง
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
ส่วนเรื่องตอนนพิเศษตอนนี้ยังไม่ได้คิดเลยครับ
แต่เดี๋ยวจะมีเวลาว่าง 2 อาทิตย์คงได้เขียนอะไรเพิ่มเติมได้บ้าง
ยังไงฝากนิยายเรื่องแรกสำหรับที่นี่ด้วยนะครับ
อ้อ แล้วก็ขอบคุณทุกคอมเม็นท์นะครับ มันมีความหมายมากจริงๆที่ได้อ่านความรู้สึกของทุกคนหลังจากได้อ่าน
แทบไม่น่าเชื่อว่าทุกคนได้รับสารเดียวกับที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อ รู้สึกดีใจที่ตัวเองเขียนให้คนเชื่อและคล้อยตามได้
ยังไงก็ขอให้ติดตามกันเรื่อยๆนะครับ หากมีเวลาจะรีบเอาเรื่องใหม่มาลง
รับรองเอาหัวเป็นกระกันว่า สนุกไม่แพ้เรื่องนี้แน่นอน :seng2ped:
-
สนใจค่าาาา สนใจมากๆเลยค่าาาาา :impress2: :impress2: :impress2:
ปล.รอตอนพิเศษนะคะ~~~~~~
-
ได้สามเล่มรวมผู้เขียนแล้วเย้ๆ :mc4: :mc4: :mc4:
-
สนใจมากๆค่ะ
เป็นเรื่องที่คุ้มค่าแก่การซื้อเก็บมาก
อยากให้มีตอนพิเศษที่ลงในนี้และตอนพิเศษที่มีในเล่มแต่ไม่ลงเว็ปอีกหลายๆตอนจังเลยค่ะ
-
สนใจค่ะ อยากเก็บเรื่องนี้ :กอด1:
-
อ่านเรื่องนี้แล้วนึกอะไรไม่ออกนอกจากเพลงโปรด.....
"ฟ้าดลบันดาลให้เรามาพบ
เวทมนตร์ฉันใดถึงได้มาเจอ
หรือโชคชะตาได้ขีดเอาไว้
ให้มอบหัวใจรักมั่นเพียงเธอ "
"ชาตินี้ชาติใดให้เธอเท่านั้น
สาบานนิรันดร์รักไว้ชั่วกาล
แม้นชีพมลายไม่อาจเปลี่ยนผัน
มอบดวงฤทัยรักมั่นเพียงเธอ
อาจเป็นเธอ อาจเป็นเธอรึเปล่า
ราวกับฝัน ที่พลันสะท้อนเป็นเรื่องจริง"
ให้หลายคำ............. ดั่ง ฝัน ฉัน ใด :กอด1: ชอบเรื่องนี้มากค่ะ อดีตจะเป็นยังไง ก็ขอให้ปัจจุบันมีกันและกันก็พอ
-
สนใจที่สุดเลย o13 o13 o13
ถึงไม่ถาม
เราก็กะจะถามอยู่เเล้วว่าจะทำรึเปล่า
ได้ยินเเบบนี้ดีใจมากๆเลย
ชอบเรื่องนี้มากๆ
อ่านเเล้วรู้สึกรักความเป็นไทยขึ้นเยอะเลย
ขอบคุณที่เเต่งนิยายดีๆแบบนี้มาให้อ่าน
-
ค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อยครับ
ตอนแรกนึกว่าจะไม่มีใครสนใจ
เอาวะ ไหนๆเราก็มีสมัครพรรคพวกแล้ว
เรื่องบทเสริมคงจะมีให้นะครับเป็นการตอบแทนน้ำใจของทุกคนที่อุตส่าห์รออ่าน
ขอบคุณมากจริงๆครับ สำหรับกำลังใจ งั้นผมลุยเลยนะ :sad4: :fire: :angry2:
-
จอง1เล่มครับพี่เป็ด
-
จัดไปค่ะ! จองด่วนล่วงหน้า + EMS ๕๕
-
ซึ้งจังเลย ขอบคุณค่ะ
สนใจหนังสือด้วยค่ะ
-
พิมพ์ได้เลยค่า จะรอซื้อแน่นอนค่ะ ^ ^
-
จากการลองซาวเสียงดูพบว่ามีคนสนใจเป็นจำนวนมหาศาล555 เลยตัดสินใจว่า
พิมพ์แน่นอน พรุ่งนี้เลยนัดเขาคุยเรื่องออกแบบปก
จะทำให้ดีที่สุดครับ ให้คุ้มค่ากับการรอคอยและคู่ควรกับหนังสือบนชั้นของผู้อ่านทุกท่านเลย
จะเอาความคืบยหน้าพร้อมตอนพิเศษมาลงให้ทุกท่านอ่านกันเรียกน้ำย่อยนะครับ
o13
-
ในที่สุดเรื่องก็เดินทางมาถึงตอนอวสาน
อยากของบุณคุณเซ็งเป็ดมากๆๆๆเลยค่ะ ที่เขียนนิยายดีๆเรื่องนี้มาให้อ่าน
ทุกครั้งที่นิยายเรื่องนี้อัพ เราจะรู้สึกตื่นเต้นมากๆ แล้วพออ่านจบก็จะนั่งเพ้อ มีความสุขอยู่คนเดียว เหมือนหมอปย์กับอัชย์มีตัวตนอยู่จริงๆ
จนถึงตอนอวสาน เรานั่งร้องไห้น้ำตาไหลไม่หยุดเลย ใจนึงก็ไม่อยากให้จบ ใจนึงก็รู้สึกดีใจที่จบอย่างงดงาม
อยากให้คุณเซ็งเป็ดเขียนนิยายต่อไปเรื่อยๆนะคะ เราจะตามมาคอยให้กำลังใจตลอด :bye2:
ปล.อยากให้มีรวมเล่มมากๆ นิยายเรื่องนี้ควรค่าแก่การอ่านจริงๆค่ะ
-
(http://www.ninekaow.com/data/wbs/pictures/05/0005395/pic-1239792528.jpg)
ว้าว ,,,
รอคอยทั้งตอนพิเศษและรวมเล่ม
เปิดจองเร็วๆนะคะ อิอิ
-
:m4: ดีใจจังเลยที่คุณเซ็งเป็ดตัดสินใจรวมเล่ม!
เรื่องนี้ควรค่าแก่การสะสมจริง ๆ (ชอบตอนอธิบายเรื่องอาหารตำรับโบราณมาก ๆ :m1:)
เปิดจองเมื่อไหร่... โปรดแจ้งให้ทราบโดยไว
-
รับทราบค่ะ
จะรอติดตามข่าวนะคะ^ ^
ปล.เพื่อนเดินมาเห็นกระทู้ เลยฝากบอกมาว่าจะซื้ออีกหนึ่งเสียงค่ะ^ ^ คุณเซ็งเป็ดสู้ๆ
-
สนใจ คับแต่ขอตอนพิเศษเพิ่มด้วยได้ป่าว
-
ได้คับ เดี๋ยวจัดตอนพิเศษให้เน้อ
-
สนใจอย่างเเรงค่ะ !! o13
-
แงๆๆๆ จบแล้วอ่าารู้สึกใจหายแว๊บเลย :monkeysad:
จะรออ่านตอนพิเศษนะคับผม
-
อยากเก็บเรื่องนี้เหมือนกันเพราะภาษา เนื้อหา ดีมากเราประทับใจ
อยากอ่านตอนพิเศษปัจจุบันด้วย ขอตอนพิเศษเยอะๆเลยนะค๊ะ :กอด1:
-
ยังไม่ได้อ่านตอนจบ (เล่นในมือถือ อ่านลำบาก :z3:)
แต่รีบมาบอกก่อน ว่าสนใจเรื่องรวมเล่มอย่างยิ่งค่ะ :mc4:
-
เห็นคนยกมืออยากสะสมแล้วดีใจด้วยเหมือนกัน
มีคนอยากเก็บเรื่องนี้เหมือนเราแล้ว เย้!!!
:mc4: :mc4: :mc4: :mc4:
กว่าจะจบ เรารออ่านกันนมเหี่ยว :เฮ้อ:
-
ชอบมากๆ อยากได้ด้วยยคนคร่าาาาาาาา
-
ต๊าย โอปอกับพี่หมออยู่ชะอำนานๆนะคะ อย่าเพิ่งรีบกลับมาลุยน้ำเลยค่ะ
ป.ล.๑ โอปอคะ.......กิต.ก็อยากอ่านบันทึกของเธอเหมือนกันนะคะ
ทั้งเรื่องระหว่างเธอกับหมอปีย์ และเธอกับพี่หมอของเธอเลยค่ะ
ป.ล.๒ เธอยังเคี้ยวไก่ตอนทำอาหารอยู่ไหมคะ อิอิ
ขอบคุณนะคะ คุณ เซ็งเป็ด
(http://img1.uploadhouse.com/fileuploads/15305/15305691e8d7cf4abab5c2ba47f74e4aad4039ff.jpg)
-
สนใจมากกกค่ะะ
-
ตามอ่านจนจบแล้ว
เป็นเรื่องที่ดีและซึ้งมากเลยค่ะ
แล้วก็ อ่านเรื่องนี้ทีไร หิวประจำเลยค่ะ แหะๆ
แอบเสียดายอยู่เหมือนกันที่อาหารในเรื่องนี้ปัจจุบันหาทานได้ยาก
บางอย่าง ดูจากชื่อและคำบรรยายแล้ว ..ขอสักจานเถอะค่ะ ><
[ถ้าเราจะตะกละขนาดนี้..]
ส่วนเรื่องความรักข้ามภพอันแสนซาบซึ้ง
ก็..ก็..น้ำตาไหลเป็นทางไปตามระเบียบ
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ :)
-
กร๊าซซซซซ จะพิมแล้ว ดีใจๆ ><
ในที่สุดก็จะได้อยู่ในอ้อมอก T^T
=_= เปิดมารอบนี้รู้สึกว่าจะจบแล้วเรอะ!!!
ไม่ได้เปิดหลายวันเร็วมากกกกกก
ขอแว๊บไปอ่านก่อนนะคะ ><
-
ขอจองด้วยคนคร่า น่าเก็บมากๆเรื่องนี้ พลาดบ่อด้ายยยย
-
เอารวมเล่มด้วยค่ะ อยากเก็บไว้บนหิ้งนิยายเหมือนกัน เรื่องนี้ควรค่าแก่การเก็บอ่ะค่ะ ^^
-
ซื้อแน่นอนค่ะ ตอนนี้ตู้หนังสือยังว่างมีเนื้อที่รอหมอปีย์กับพ่ออัชย์อยู่
อยากได้มานอนกอดจริงๆนะเออ^^
-
สนใจสุดๆค่า!! พิมพ์ออกมาเลยเราจะเก็บตังค์รอ
-
ถึงกับเสียน้ำตาเป็นขัน
ถึงแม้สุดท้ายพี่หมอจะเป็นหมอปีย์ก็เถอะ
(อ่านแล้วอินมากจริงๆ อย่างกับอยู่ในเหตุการณ์กับเขา)
-
มาหนับหนุนด้วยคนจัดพิมพ์เลยค่ะ จะรอซื้อนะค่ะ :กอด1:
-
เข้ามากดVOTE ว่ารวมเล่มเถอะครับ พิมเลยครับ ผมซื้อแน่นอน
ข้อเสนอ
อยากให้ปกเป็น ลายไทยอะครับ เหมือนกับว่าตัวเรานั้นหยิบหนังสือเก่าโบราณออกมาอ่าน เหมือนอย่างตัวละครในเรื่องที่ชื่อปอ อะครับ
-
ขอขอบคุณทุกเสียงสนับสนุนมากๆเลยครับ
ชื่นใจจริงๆ เป็นกำลังใจที่ดีให้ผู้เขียนสำหรับงานชิ้นต่อไปเลยครับ
ขอสัญญาว่าจะเขียนงานให้ดียิ่งๆขึ้นไป
วันนี้จะนัดคุยเรื่องทำปกครับ
หน้าปกลายไทยก็เป็นอีกไอเดียที่น่าสนใจมากครับ
ขอบคุณทุกคนจริงๆครับ :m15: :pig4:
-
จะรออุดหนุนนะค๊าาาาาาาาาาาาาาาาา :D
-
เพิ่งได้อ่านเรื่องนี้เมื่อไม่กี่วันก่อน อ่านจบเสียน้ำตาไปเป็นปี๊บ :sad4: ไม่อยากให้จบเลย อยากอ่านต่อ :serius2:
ขอบคุณคุณเซ็งเป็ดมาก นานแล้วที่เราไม่ได้อ่านนิยายแล้วรู้สึกอิ่มขนาดนี้ อินมาก ปลื้มหมอปีย์สุดๆ :o8:
ตอนแรกไม่ได้เป็นสมาชิกที่เล้าหรอกนะ แต่ตอนนี้สมัครแล้ว เพราะอยากเม้นให้เรื่องนี้ อ่านแล้วได้ครบทุกรสชาติจริงๆ o13
จะรอหนังสือนะครับ
-
น้ำตาไหลเลยค่ะ มันซึ้งมากๆๆๆ
จะมีบทส่งท้ายรึเปล่าคะ รอๆๆๆ หมอเค้ากลับมาด้วยรูปลักษณ์แบบไหน มาเกิดใหม่หลอคะ??
-
ขอจองด้ยน่ะคะ ชอบพ่ออัชย์มากเลย :impress2:
-
มา +1 ให้ก่อน
ค่อยกลับไปอ่าน
ไปอ่านก่อนนะ
:bye2:
-
เปิดจองเมื่อไหร่บอกด้วยนะคร้าาา o13
-
มายกมือให้ทำหนังสือด้วยคนจ้าา (ได้ข่าวว่าตัดสินใจทำไปแล้ว= =)
ตอนนี้ยังไม่ได้อ่านต่อเลย อิอิ ไม่ว่างอ่านไรยาวๆเลย TT
-
:sad4:
ซึ้งจัง เป็นรักที่ยาวนานมาก นี่พี่หมอ(ในปัจจุบัน) เค้าจำเรื่องในอดีตได้รึเปล่าค่ะ ?
-
ขอบคุณทุกตัวอักษรที่ผ่านการคัดเลือกและสรรคำมาอย่างดีครับ สนับสนุนให้รสมเล่มและจะสั่งจองเก็บไว้แน่นอน
-
สนใจเป็นอย่างยิ่ง จองด้วยค่ะ :-[
-
:z2:
-
รอการรวมเล่ม ของเรื่องนี้ครับ :L2:
-
สนใจเหมือนกันคะ อ่านแล้วรู้สึกเหมือนตัวละครมีอยู่จิงๆๆ
อยากได้เก็บไว้เป็นที่ระลึก และความประทับใจต่างๆ ที่ได้จากเรื่องนี้
ขอหนึ่งเล่ม ถ้าเปิดให้จองอีกทีโปรดแจ้งให้ทราบด้วยนะคะ
-
อยากให้มีต่อจริงๆ นะ
น้ำตาไหลไม่รู้จักหยุดแล้ว
บีบหัวใจสุดๆ พอตอนจบก็หัวใจพองโตสุดๆ เหมือนกันครับ
ขอบคุณพี่เซ็งเป็ดที่เขียนเรื่องราวๆ ดีๆ อย่างนี้
ขอบคุณที่เขียนจริงๆ ครับ
-
ชูสุดมือ นับป้าด้วยยยยยยยยย จะพลาดได้เยี่ยงไร
-
เพิ่องเข้ามาอ่าน อ่านทีเดียวจนจบเลยทำเอาตาลายแต่ก้สนุกดีชอบภาษาดีสวยมากเลยอ่ะสุภาพดีค่ะอยากให้มีเรื่องของพี่อัชย์กับพี่หมอจังค่ะ เเล้วจะรออ่านเรื่องต่อไป
-
พึ่งจะมาตามอ่านเรื่องนี้ได้ไม่นาน ก็จบซะแล้ว
เสียดายที่ไม่ได้ติดตามอ่านมาตั้งแต่แรกๆ ที่ลงเรื่อง
เวลาอ่านเรื่องนี้ทีไร รู้สึกว่า เวลาที่หมอปีย์กับพ่ออัชย์มีความสุขตัวเองก็จะยิ้มได้แบบกว้างๆเลย
แต่ถ้าถึงตอนไหนที่หมอปีย์กับพ่ออัชย์ ต้องแยกจากกันบางทีอ่านๆไปก็น้ำตาไหล
เหมือนตัวเองได้เข้าไปอยู่ในสถานการณ์นั้นจริงๆเลยครับ
เพราะการเลือกใช้ภาษาที่ดีมากๆแล้วก็เข้าใจง่าย สื่ออารมณ์ของตัวละครออกมาสุดๆ
และการบรรยายสูตรอาหารไทยที่แทบหาทานได้ยากมากแล้ว
กับเกร็ดเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของไทยแทรกไปในบางตอน
ยิ่งทำให้เนื้อเรื่องน่าติดตามมากๆเลยครับ
ขอบคุณ คุณเซ็งเป็ดที่เขียนนิยายดีๆแบบนี้ให้ได้อ่าน o13
แล้วก็สนับสนุนให้รวมเล่มด้วยครับ ขอผมด้วยอีก 1 เล่ม
ปล. ขอฝากเพลงนี้ไว้ด้วยครับ คิดว่าน่าจะเข้ากับเรื่องนี้ดี
เพลงความคิด ของสแตมป์ ครับ
http://www.youtube.com/watch?v=Vs-dn_bfI_g (http://www.youtube.com/watch?v=Vs-dn_bfI_g)
-
ก็สนใจอยู่นะคะแต่อยากให้มีตอนพิเศษ ที่เป็นภาคปัจจุบันด้วย
-
สนใจจอง 1 เล่มค่ะ
-
เพิ่งเข้ามาจนจบ อยากจะบอกว่าซึ้งในความรักที่หมอปีร์มีให้กับปอมาก
น้ำตาไหลเป็นกระบุ้งเลย
ขอบคุณ คุณเซ็งเป็ด สำหรับนิยาย Y ดีๆอย่างนี้น่ะคับ
ส่วนเรื่องหนังสือ ซื้อเเน่นอนคับ
-
สนครับๆ ตามอ่านมานาน มาสมัครล็อกอินก็เพราะเรื่องนี้เลยครับ
อยากบอกว่าชอบหมอปีย์มากกก จุดที่ได้ใจของเรื่องนี้ของผมคือตอนที่มีงานลอยกระทง
พี่บรรยาย จนผมเห็นภาพ ซึ้งอะ!
สรุปชอบคร้าบบ o13
-
เป็นครั้งแรกที่ log in เข้ามาโพสต์ในรอบหลายปีเลยยย
ปกติอ่านลูกเดียวอ่ะ เหอๆ
อยากบอกว่าจับใจมากครับ ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆ มาให้ได้อ่านกัน
ถ้ารวมเล่นเมื่อไหร่ จองแ่น่นอนครับ
-
มายกมืออยากได้รวมเล่มค่ะ ถึงจะมาช้ามากไปหน่อยแต่ก็อยากได้นะคะ^^
ขอบคุณสำหรับนิยายดีดีที่พี่แต่งให้อ่าน ขอบคุณสำหรับความรู้ต่างๆที่ได้จากนิยายเรื่องนี้
ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ^^
-
ขอจองด้วยนะคะ
-
จองด้วยคนค่ะ
ปล. อยากจะรู้ว่า ตอนแรกพี่หมอคบกะแฟนเจ้าบ้าของเราทำไมนี่สิ= =
-
พึ่งจะได้มาเห็นเรื่องนี้อ่ะค่ะ มาเจอตอนจบซะแล่ว
แต่ยังไงซะก้อขอบอกเลยนะคะว่านิยายเรื่องนี่เยี่ยมมากจิงๆค่ะ
นับถือคนแต่งจิงๆ
-
ถ้าตีพิมพ์ล่ะก็ซื้อแน่นอนค่ะ
ชอบเรื่องนี้มากๆค่ะ
ตามอ่านมาแต่เนิ่นๆ แต่หลังๆเริ่มขาดช่วงไปเพราะคอมเสีย เลยหยุดอ่านไปพักนึง จะให้อ่านต่อคงต้องเริ่มตั้งแต่แรก ซึ้งกะว่าจะให้มีที่เรียนก่อนแล้วจะมาตามอ่าน แต่ตอนนี้ คุณเซ็งเป็ดจะรวมเล่มแล้ว
ก็ขอรออ่านเรื่องทั้งหมดให้จบจากหนังสือแล้วกันค่ะ จะรออย่างใจจดใจจ่อเลยค่ะ
-
ชอบเรื่องนี้มากกกก อยากได้เป็นเล่มด้วย
สนับสนุนเต็มที่ครับ อยากได้้้้้้้้้้้้้้้้........
-
จัดไปอย่าได้เสียค่ะ !!
จะพิมพ์เป็นร้อยเล่มยาวยืดเป็นภาคแข่งกับเพชรพระอุมา หนูก็ซื้อ >...<!!
อ่านไปน้ำตาไหลไป ..สุดๆ อ่ะ T^T!
-
สารภาพตามตรงตอนแรกที่เห็นชื่อเรื่องก็คลิ๊กเข้ามาดูนะ คือจะหาว่านิสัยเสียก็ได้ค่ะ เพราะเห็นการพิมพ์จัดหน้าเว้นระยะมันติดๆกัน ทำให้อ่านยาก เลยเลือกที่จะข้ามไปไม่เข้ามาอ่านอีก
จนกระทั่งเห็นวิวที่มันสูงมากกกกกกก เลยต้องคลิ๊กเข้ามาอ่านอีกระรอบ วันเดียวใช้เวลาตั้งแต่เที่ยงถึงตี5 จนจบ
คุณเซงเป็ดเรานับถือจริงๆ การแต่งนิยายเรื่องนี้ไม่ใช่สะท้อนใ้ห้เห็นแค่ความรักของชายกับชายเท่านั้น การที่คุณแต่งเรื่องนี้ ทำให้เด็กไทยหลายๆคนในเล้า ได้ซึมซับวัฒธรรม การเป็นอยู่ หรือแม้วิถีชีวิตไปด้วย ผิดกับการเรียนประวัติศาสตร์ในห้องเีรียนที่เมื่อเริ่มเปิดหนังสือเมื่อไหร่ตาก็จะปิดทันที หลากหลายแง่มุมที่คุณเซงเป็ดจะสะท้อนให้เห็นยังมีอยู่ในสังคมอีกมากมาย และเชื่อว่าทุกคนที่อ่านเรื่องนี้แล้วจะรักประเทศไทยของเราเพิ่มขึ้นไปอีกเหมือนกับฉัน^^
การที่จะเขียนบรรยายวิถีชีวิตของคนสมัยก่อนทั้งๆที่เราเป็นคนสมัยใหม่ ไม่ง่ายเลยใช่มั้ยค่ะ คุณทุ่มเท่กับมันมาก ฉันนับถือจริงๆขอบคุณที่สร้างสรรค์ผลงานดีๆขึ้นมานะค่ะ หวังว่าคุณเซงเป็ดจะมีผลงานออกมาให้ติดตามอีก
อ้อ! ฉันสงสัยนิดนึงค่ะ ตอนที่ปออายุ50แล้วย้อนกลับไปเพื่อแก้ปมปัญหา แล้วกลับมาอีกครั้งก่อนโดนประหาร ตอนกลับมาปอมาปอย้อนกลับมาตอนที่อายุ26รึป่าวค่ะ ไม่ใช่ตอนอายุ50ใช่มั้ยค่ะ?
ปล.อ่านเรื่องนี้ของคุณเซ็งเป็ด ฉันเอาไปทำรายงานส่งอาจารย์ได้เลยค่ะ! 55555
-
+1 ให้คุณเซ็งเป็ดจ้า
ร้องไห้น้ำตาท่วมจอแล้วเนี่ย
แต่พอจบ กลับยิ้มเสียกว้างเลย
อ่านแล้วมันเหมือนย้อนมาอีกแล้วหรือ
ตอนแรกว่า 50 ตอนก่อนจบเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเลย
หรือเราร้องไห้จนเบลอหว่า :o12:
รอตอนพิเศษอยู่จ้า :call: :call:
-
ยกมือสูงๆๆๆๆๆ
เค้าเป็นหนึ่งเสียงที่อยากให้รวมเล่ม
เอาไว้ตอนแก่ๆหยิบขึ้นมาอ่าน ฮ่าๆ
-
จะ100หน้าแล้ว
-
ในที่สุดก็ว่างมาอ่านแล้ว
น้ำตาไหลเป็นทางเลยค่ะ :m15:
ซึ้งมากๆ
ปล. เก็บเงินเตรียมสอยหนังสือ o13
-
เราคนนึงล่ะที่จะซื้อ o13
-
ขอ 2 o13 o13 o13
-
i want sp in newyear T^T pls i love story very much
-
HNY ค่ะ ขอให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรงนะคะ
-
อาา ไม่อยากจะเชื่อเลยแหะ ตกลงเรื่องนี้จบแล้วจริงๆใช่มั๊ยคนเขียน ??
ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าพี่หมอกะหมอปีย์คือคนเดียวกัน?
อยากอ่านตอนพิเศษบ้างอะไรบ้าง 55
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้คนอ่านคนนี้เสียน้ำตาบ่อยมากกก
อ่านแล้วมันได้อารมณ์ (?) มากๆ
ต้องขอบคุณคุณเซ็งเป็ดมากๆนะครับที่เขียนนิยายดีๆอย่างนี้ออกมา >\\<
-
คือ เข้ามาอีกเพราะตัดใจไม่ค่อยลง เรื่องนี้มันสวยงามมากค่ะ
แต่แพรวก็เหมือนคนอื่นๆ มันจะจบแล้วหรอคะ?
แพรวก็กลัวเหมือนที่คุณเซ็งเป็ดอาจจะกลัวว่ามันอาจไม่สวยงามเหมือนเคย แพรวดีใจที่ได้อ่านเรื่องนี้มากๆและยินดีจะจ่ายเงินซื้อมาครอบครองอย่างไม่เสียงเวลาคิด
แต่อีกอย่างหนึ่งที่แพรวอยากลองขอดู...
ช่วยสานต่อเรื่องราวออกไปอีกหน่อยเถอะค่ะ ถ้าแพรวมีปัญญาแต่งเองคงไม่มาขอคุณเซ็งเป็โหรอ555 แต่เพราะฝีมือคุณเซ็งเป็ดทำให้แพรวรู้สึกทราบซ้ำมาจริงๆ เลยลองขอดูค่ะ
-
อนุญาตอัพตอนพิเศษคืนวันที่ 3 นะครับ เรื่องราวจะเล่าผ่านมุมของพี่หมอบ้าง
เพราะฉะนั้นเนื้อเรื่องจะท้าวความไปว่า ทำไมพี่หมอถึงรักปอนักหนา
แล้วหลายคนจะเข้าใจในบทบาท และการกระทำของตัวเอกมากยิ่งขึ้นครับ
ส่วนเรื่องเปิดจองตอนนี้กำลังดำเนินการให้เสร็จ และส่งมอบก่อนวาเลนไทน์
รูปแบบหนังสือจะออกแบบให้สวยงามและคุ้มค่ากับเงินทุกบาททุกสตางค์ของผู้อ่าน สวยงามเหมาะแก่การเก็บรักษา
และให้เป็นของขวัญครับ ยังไงมีข่าวเพิ่มเติมยังไงจะกลับมาแจ้งในกระทู้นี้นะครับ
ส่วนตอนพิเศษ รอคืนวันที่ 3 นะครับ
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
จะรอวันที่สามอย่างใจจดใจจ่อ -w-
-
มารับทราบค่า เย่ๆ ในที่สุดก็จะได้กระจ่างไปอีกขั้นแล้วววววว
เก็บเงินๆ ฟืดดดด
-
T^T รออย่างใจจดใจจ่อ
-
รออ่านคร่าาาาา
-
รับทราบ
:mc1: :mc3: :mc2:
สวัสดีปีใหม่ ขอให้มีความสุขมากๆ นะ
-
อยากให้มีตอนพิเศษจังเลยค๊าบบบบบบบบ
อยากอ่านตอนที่ปอกับพี่หมอมารักกันในปัจจุบันบ้างงงงงงงงอ่ะ
สรุปว่ายังไม่อยากให้จบเลยอยากอ่านต่อมากๆค๊าบบบบบบบบ
-
จะรอนะคะ อยากรู้จริงๆว่าทำไม?
-
มานั่งรอตอนพิเศษค่ะ :-[ อยากอ่านมากมาย
-
เสียน้ำตาไปเป็นปี๊ปเลย
มารอตนพิเศษค่า
-
คืนวันที่สามนะคะคุณ :กอด1:
พร้อมแล้วค่ะ :a9: :a2:
-
รออ่าน และรอจองๆๆๆ >///<
-
เก็บตังรอ
อยากอ่านมาก
-
รอด้วยคนคร๊าบบบบบ ^^ :กอด1: อยากเห็นรูปเล่มมากมาย :o8:
-
ตามเกาะติดสถานการณ์ ...รอจองหนังสือ :z2: :z2:
-
มาเจิมรอวันเปิดจอง และรอตอนพิเศษษษษษษษษษษษษษษษ ><
-
รออ่านตอนพิเศษนะครับ
-
เห็นเรื่องนี้มาตั้งนานเเต่ก็ไม่ได้เข้ามาอ่านวันนี้ไม่มีอะไรทำ555เลยเปิดเข้ามาดูหน่อย
หลังจากอ่านหลายๆเม้นเเล้วโดยไม่ได้อ่านเนื้อเรื่องเริ่มรู้สึกว่าของเค้าดีจริงเลยอยากจองหนังสือเก็บไว้อ่านด้วยคนนะค่ะ
กะว่าจะไม่อ่านในเล้าเเต่ค่อยเก็บความตื่นเต้นไปอ่านในวันที่ได้หนังสือกันเลยทีเดียวว
-
ขอลอกตามเม้นข้างบนนะครับ
รออ่านจากหนังสือทีเดียว... o13
-
เข้ามารอตอนพิเศษ
-
มารอตอนพิเศษด้วยคนค่า
-
โห... เปิดจองแล้วเหรอคะเนี่ย
จะบอกว่า พระเจ้าจอร์ชเรื่องนี้มันยอดมาก
แต่กว่าเราจะค้นพบเรื่องนี้มันก็จบแล้ว
คืออยากทราบรายละเอียดในการจองอ่ะค่ะ
คือพอดีเห็นว่าจะรีบส่งก่อนวันวาเลนไทน์
ก็เลยอยากรู้รายละเอียดอ่ะค่ะ อยากเห็นหน้าปกด้วย
คือกลัวหน้าปกมันชัดเจนอ่ะค่ะ แหะๆ =_=;;
คุณแม่หนูช่างมีสายตาอันคมกริบ.. -_-+
ก็เลยอยากรู้ว่าจะเปิดจองถึงวันไหนอ่ะค่ะ จะได้รีบๆตัดสินใจว่าจะเอายังไงดี
เพราะวันวาเลนไทน์ก็เร็วเหมือนกันนะคะ กลัวพลาดอ่ะ..
เพราะช่วงนั้นสองพอดี กลัวว่าจะไม่ได้เปิดคอมเข้ามาติมตามความเคลื่อนไหวบ่อยๆ T^T
สุดท้ายนี้ อยากบอกคุณนักเขียนว่า แต่งเก่งมากกก
เมพมากกก ที่สุดอ่ะ! ปลื้มมมม..
-
ตามมาทวงตอนพิเศษ
กินข้าวไม่ได้นอนไม่หลับมา3วันติดแล้วนะคะ
เว่อร์ไป อุอุ
-
รอ รอ รอ กอดๆๆ
-
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
บทเสริมภาคพี่หมอ...........................................
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้” เป็นคำถามแรกที่พ่อถามผมทันทีที่ผมบอกเหตุผลว่าทำไมถึงไม่สามารถแต่งงานกับมุกได้ อาการกุมขมับของชายแก่ผมสีดอกเลานั้นทำให้เกิดความรู้สึกผิดแวบขึ้นมาชั่วครู่ ว่าที่บอกความจริงไปนั้นมันถูกต้องหรือไม่
“ผมขอโทษครับพ่อ”
ผู้เป็นพ่อเอาแต่นิ่งไป
ครอบครัวของผมเป็นหมอมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ปู่ทวดของผมนั้นเป็นหมอหลวงในรัชกาลที่ ๕ จริงๆแล้ว ปู่ทวดไม่ได้เป็นปู่ทวดจริงๆหรอก แต่ท่านรับปู่เป็นลูกบุญธรรม เพราะปู่ทวดจริงๆซึ่งชื่อ”สน” นั้นได้เสียชีวิตไปเนื่องจากโรคไข้กาฬหลังแอ่น
เพราะฉะนั้นในครอบครัวของผมไล่ลงมาตั้งแต่ปู่ทวด หรือหลวงพินิจ
ปู่นิจวิกรณ์ซึ่งเป็นแพทย์หลวงสภากาชาด
มาถึงพ่อผมนายแพทย์พรวินิจ
แล้วก็ผม นายแพทย์นิจณ์
ทั้งหมดล้วนแต่เป็นหมอทั้งสิ้น
พ่อของผมเคยบ่นขึ้นมาในระหว่างอาหารมื้อเย็นว่า ครอบครัเราเหมือนโดนสาปให้ต้องรับใช้ผู้อื่นมาตั้งแต่บรรพบุรุษ
ในความคิดของผมครั้งแรกก็คิดเหมือนผู้เป็นพ่อ ทำไมผมถึงเลือกเรียนหมอด้วยในวันนั้น ทั้งๆที่ไม่เคยมีความคิดเรื่องนี้มาก่อน
แต่เหมือนมีอะไรมาดลใจให้เลือกเรียน เลือกที่จะเป็นหมอ
พ่อเงยหน้าขึ้นมาหลังจากครุ่นคิดเรื่องที่ผมเพิ่งบอกไป การเป็นหมอที่พบเจอเรื่องราวมามากมายกว่าผู้คนทั่วไป แต่กลับไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำใจยอมรับว่าลูกชายตัวเอง..................
“ผมขอโทษครับพ่อ แต่ผมทำไม่ได้จริง พ่อเข้าใจผมเถอะนะ”
ผมนั่งลงใกล้ๆผู้เป็นพ่อก่อนจะกุมเข่าเขาแน่น พยายามให้เขารับรู้ความลำบากใจที่ลูกชายคนนี้ต้องเผชิญอยู่
“ผมไม่ได้อยากเป็นแบบนี้พ่อ แต่ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง บ่อยครั้งที่ผมมองผู้หญิงคนอื่นแล้วรู้สึกดี แต่พอแค่คิดอยากมีความสัมพันธ์มากกว่านั้น มันก็เหมือนมีอะไรมาฉุดดึงไว้”
ผู้เป็นพ่อยังคงไม่พูดอะไร เขามีลูกชายเพียงคนเดียวหวังให้สืบสกุล แต่ในเมื่อลูกชายมาเป็นเช่นนี้
“เอาเถอะ แกจะเป็นอะไรก็เรื่องของแก ต่อไปชีวิตแกจะเป็นยังไงก็แก้ปัญหาเอาเองแล้วกัน”
ผู้เป็นพ่อปัดมือของผมให้พ้นเข่าตัวเองก่อนจะลุกขึ้นหันหลังเดินจากไป
ผมยังคงนั่งแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น แล้วหวนคิดสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นมาในชีวิต...........................
ทางการแพทย์ยังระบุไม่ได้แน่ชัดว่าอาการชายรักชาย หรือที่ภาษาทั่วไปเรียกเกย์นั้นเกิดจากความผิดปกติของอะไร
บ้างก็ว่าเกิดความผิดปกติของยีนต์
บ้างก็ว่าเกิดจากกรรมพันธุ์
หรือไม่ก็บอกว่าเกิดจากสิ่งแวดล้อมและการเลี้ยงดู
แต่สำหรับผม ผมไม่เคยปักใจเชื่อเลยว่า อาการที่เป็นนั้นเกิดจากสาเหตุเหล่านี้
ผมเกิดมาในตระกูลที่ค่อนข้างจะมีฐานะ การเลี้ยงดูก็ถูกต้องทุกอย่าง เพราะทั้งพ่อและแม่ก็เป็นหมอ
พ่อนั้นเป็นนายแพทย์ที่มีคนเคารพนับถือมากมาย เพราะจิตใจดี ส่วนแม่ เสียชีวิตลงหลังจากผมย้ายเข้าโรงเรียนประจำได้ไม่นาน
บางทีอาการที่ติดตัวผมมานั้นอาจเป็น “กรรม”เสียก็เป็นได้
ชีวิตในวัยเด็กของผมแทบจะไม่แตกต่างจากเด็กผู้ชายทั่วไป ซุกซน ดื้อตามประสาเด็ก
บ้านของเราอยู่ติดกับบ้านเศรษฐีตระกูลเก่าแก่หลังหนึ่ง ซึ่งครอบครัวผมรู้จักมักจี่และมักจะไปมาหาสู่กันเสมอๆ
ผมเป็นแค่เด็กผู้ชายปกติมาตลอดจนกระทั่งวันหนึ่ง..............................
-
“นิจ ลูก ไปดูน้องกันมั๊ย” น้ำเสียงแม่ดูจะตื่นเต้นเป็นพิเศษ ส่วนผมนั้นไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เพราะขณะนั้นยังจำความไม่ได้ดีนัก เพราะอายุน่าจะประมาณ สามขวบไม่ถึงดี
แม่พาผมพร้อมกระเช้าของสำหรับเด็กอ่อนมายังบ้านเศรษฐีหลังใหญ่หลังนั้น ทุกคนในบ้านดูตื่นเต้นกันมาก เพราะเป็นหลานชายคนแรกของตระกูล ผมมักได้ยินเสียงใครต่อใครพูดว่า
“น่าเกลียดน่าชัง” อยู่ไม่ขาดปาก
“โอ๋ มาหาป้ามาลูกมา โอ๋ น่าเกลียดน่าชังจริงๆ” แม่รับเด็กตัวแดงๆมาอุ้ม ผมพยายามเขย่งเท้าขึ้นดู
น้าอรซึ่งเป็นแม่ของน้องคงเห็นว่าผมอยากดูก็เลยช่วยอุ้มขึ้น
ทันทีที่ผมเห็นหน้าเด็กคนนั้น ผมจำความรู้สึกได้ลางๆว่าเหมือนรู้จักน้องมาเนิ่นนาน เด็กนั่นลืมตากว้างจ้องมองมาที่ผมและยิ้มหวานให้
นิ้วมือน้อยๆของเขาค่อยแตะปลายนิ้วของผม........
คำแรกที่ผมพูดกับน้าอรคือ
“น้าคับ ขอน้องให้ผมนะคับ” เสียงผู้ใหญ่หัวเราะครืนเอ็นดูในความเดียงสาของผม แต่สำหรับผม ผมหมายถึงอย่างนั้นจริงๆ
“เอาสิลูก น้ายกให้เลย ว่างเมื่อไหร่มาหาน้องได้ตลอดนะลูกนะ” น้าอรยิ้ม
“คุณอรตั้งชื่อให้ลูกรึยังคะ”
“ตั้งแล้วค่ะ คุณยายเขาขอตั้งเอง นี่ยื่นคำขาดเลยนะคะว่าถ้าได้หลานชายจะขอตั้งเองให้ได้” น้าหันไปยิ้มกับยายวาดที่นั่งมองหลานชายอย่างเอ็นดู
“ชื่ออะไรคะ”
“อ๋อ ชื่ออัชย์ค่ะ แต่ชื่อเล่นยังไม่ได้ตั้ง ถามเจ้าตัวเล็กดีกว่า หนูนิจ หนูนิจตั้งชื่อให้น้องหน่อยสิลูก”
น้าอรเอามือลูบหัว
“ปอคับ ปอคับ” ผมตอบอย่างกระตือรือร้นโดยไม่ได้คิด คำว่าปอ ออกมาจากปากเด็กสามขวบได้อย่างไร
ทุกคนมองหน้าอมยิ้มกัน น้าอรหันไปปรึกษายายวาด
“เอา ชื่อปอก็ปอ น้องเป็นของหนูนิจแล้วนะ ดูแลน้องดีๆหล่ะ” น้าอรยิ้ม
ผมหัวเราะร่าเต้นไปเต้นมาอย่างดีอกดีใจ
“เย้ๆ น้องปอเป็นของนิจแล้ว เย่ๆ”
และนี่ความทรงจำแรกที่เกิดขึ้นกับชีวิตผม
ในวัยเด็กผมไม่รู้หรอกว่าความรักอย่างลึกซึ้งเป็นเช่นไร ผมรู้แต่เพียงว่าเรื่องราวของผมทั้งหมดที่เล่าให้แม่ฟังจะเป็นเรื่องของน้องปอ
“แม่คับ วันนี้นิจเต้นนกแลก็คือนกแก้ว ให้น้องดู น้องหัวเราะใหญ่เลย”
“แม่คับน้องปอเค้าชอบเอานิ้วนิจไปดูดด้วย จั๊กกะจี๋จะตาย”
“แม่คับ แม่คับ นิจเอาหุ่นยนต์ไปให้น้องได้มั๊ยคับ”
“แม่คับ น้องร้องไห้เสียงดังมาก น้าอรบอกว่าน้องปวดท้อง”
ทันทีที่ผมลืมตาสิ่งแรกที่คิดได้ในวัยนั้นคือ ต้องรีบไปหาน้อง ไปเล่นกับน้อง
ผมเข้าออกบ้านหลังนั้นเป็นว่าเล่น ยายวาดใจดีกับผมมาก ยายมักจะทำขนมอร่อยๆให้กินเสมอ บางครั้งยายก็จับน้องมานอนบนตัก ให้ผมหนุนตักอีกข้าง แล้วยายก็เล่านิทาน
คุณยายชอบเล่าเรื่องศรีธนญชัย สลับกับเรื่องนางมณีเมขลาที่ชอบเอาลูกแก้วไปแหย่รามสูร
ผมนอนฟังนิ่งอย่างตั้งใจ แต่ทุกครั้งจะไม่เคยรู้ว่าตอนจบเป็นอย่างไร เพราะมักจะหลับก่อนเสมอ
บ้านนั้นเอ็นดูผมราวกับเป็นลูกเป็นหลานคนหนึ่ง โดยเฉพาะยายวาด แกมักจะชอบเล่าเรื่องที่แกเป็นเด็กให้ฟังเสมอ
ยายวาดอายุมากแล้ว น้ำเสียงแกก็เบาและสั่นเครือ มือไม้สั่นอยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งที่แกเล่าเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ผมมักจะเข้าไปนั่งเท้าคางฟังใกล้ๆจนแทบจะหน้าชนหน้าแก
“สมัยยายเป็นเด็กนะ เด็กผู้ชายเขาไม่ไว้ผมแบบนี้กัน เขาจะไว้ทรงแกละ ทรงจุก” ยายวาดเอามือลูบหัว
“ยายจะขอให้แม่เขาไว้จุกให้เจ้าอัชย์ แต่แม่เขาไม่ยอม” ยายวาดหันไปเจียรหมากก่อนใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ
“ไม่เอานะยาย ไว้จุกเหมือนกุมารทอง”
ยายวาดหัวเราะในความช่างพูด
“ไปเอามาจากไหนน่ะลูก”
“จากละครสี่ยอดกุมาร” ผมยิ้มแหยๆ
“สมัยโบราณนิยมโกนผมให้น้องเพราะอะไรรู้มั๊ยลูก”
ผมส่ายหน้า
“เพราะบ้านเราเป็นเมืองร้อน แล้วเด็กๆก็ซุกซนตามประสา โกนเสียจะได้ดูแลง่าย หมัดเหาก็จะได้ไม่ถามหาไงลูก”
“แต่หนูนิจไม่ชอบเลยคับยาย เหมือนผีกุมารทอง หนูนิจกลัว” ยายวาดหัวเราะ “คุณยายอย่าโกนหัวน้องนะคับ นะ” ผมเขย่าขายายวาดใหญ่
ผมเฝ้ามองความเปลี่ยนแปลงของปอมาตลอดเวลา ทุกครั้งที่บ้านน้าอรมีเฮ ผมเป็นต้องอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยเสมอ ไม่ว่าวันที่น้องตั้งไข่ วันที่คลาน วันที่เริ่มพูดว่า”มูมู”ครั้งแรก
วันที่น้องเดินก้าวแรก วิ่งก้าวแรก
ทุกเหตุการณ์ล้วนอยู่ในความทรงจำ...........................
-
ผมนั่งเอนหลังพิงเบาะ ลืมเรื่องมุก เรื่องพ่อไปชั่วขณะ ความสุขเล็กๆเกิดขึ้นเมื่อนึกถึงวันนั้นของเราสองคน ผมไม่ผิดใช่มั๊ยที่เฝ้ารอปอมาตลอดชีวิต ไม่ผิดใช่มั๊ยที่จะรักปอเพียงคนเดียวโดยที่ไม่ยอมรับกับใครว่าผมเป็นเกย์ เพราะเกย์จะต้องชอบผู้ชายคนอื่นด้วยไม่ใช่เหรอ แต่ผมกลับไม่ใช่ ผมไม่รักใครอีกเลยนอกจาก เขาคนนั้น
สิ่งหนึ่งที่ทำให้หงุดหงิดและเกลียดชังตัวเองทุกครั้งก็คือเมื่อนึกหาเหตุผลว่าทำไมต้อง “ปอ” แล้วไม่สามารถคำตอบใดๆให้ตัวเองได้
ผมคิด ไม่ใช่ไม่คิด คิดว่าทำไมต้องรักเขา ทำไมต้องเป็นห่วง ต้องมองเขาอยู่ในสายตาตลอดเวลา เหมือนดั่งคำสาป กรรมเวรอันใดกันถึงผูกพันผมกับปอไว้แน่นหนาขนาดนี้
เสียงรถยนต์ดังขึ้น พ่อขับรถออกไปโรงพยาบาลอย่างที่เคยทำเป็นประจำ แต่ครั้งนี้ พ่อไม่ได้เดินมาสั่งงาน หรือกำชับเรื่องคนไข้คนใดเป็นพิเศษเหมือนดังก่อน พ่อคงโกรธผมมาก
มันก็น่าอยู่หรอก ทำให้ท่านผิดหวังและเสียหน้าขนาดนั้น เป็นพ่อคนไหนก็ต้องโกรธ แต่ผมไม่คิดว่าพ่อจะเกลียดผมด้วยเหตุผลเพราะผมรักผู้ชาย
พ่อเข้าใจผมดี
แต่ที่ต้องทำแบบนั้นก็เพราะเหตุผลที่พ่อรับปากแม่ไว้ก่อนตาย
“คุณคะ ให้ปอแต่งงานกับลูกสาวคุณพิภพนะคะ”
นี่คือคำที่แม่ร้องขอก่อนตาย ผมไม่รู้เหตุผลของแม่หรอกว่าทำไมท่านถึงอยากให้ผมแต่งงานกับมุก แต่จนถึงวันนี้ หากแม่รับรู้ได้ แม่คงเข้าใจและไม่โกรธนิจใช่มั๊ยครับ ที่ทำตามความต้องการของแม่ไม่ได้
ผมลุกขึ้นจากโซฟาสีฟ้าตัวนุ่มที่เคยเป็นที่นอนสมัยที่อ่านหนังสือสอบเข้าแพทย์จนหลับคาซบคามัน สวมรองเท้าสลิปเปอร์ ปิดประตูกระจก และเดินออกไปนั่งรับลมยามเช้าที่ศาลาข้างบ้าน
“คุณนิจคะ จะรับอะไรเป็นอาหารเช้าดีคะ” เสียงป้าแต๋วแม่บ้านเดินมาถาม
“กาแฟแก้วเดียวก็พอ” ผมหันไปยิ้ม “อ้อ ป้าแต๋ว ช่วยเอาเบอร์พี่นุ คนงานเฝ้าบ้านที่ชะอำให้หน่อยนะ”
แม่บ้านรับปากก่อนจะเดินหายไปหลังบ้าน
ลมยามเช้าพัดมาเอื่อยๆ ผมนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ หันหลังให้กับบ้านที่ย้ายมาอยู่ได้เกือบจะสิบปีหลังนั้น
ถึงบ้านหลังนี้จะใหญ่โต และน่าอยู่เพียงใด แต่ผมก็ยังคิดถึงบ้านเก่าหลังนั้น หลังที่ติดกับบ้านปอไม่ได้
เสียงนกกางเขนบ้านร้องทักทายกันไปมา แสงแดดยามเช้ากระทบกลีบดอกกลัวไม้สีม่วงสดส่องประกายวิบวับงามจับตา ผมเอนหลังพิงพนักพิง ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปในวันวาน.......................
-
วันเวลาผ่านไป ชีวิตวัยเด็กที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงของผม โรงแรมชื่อดังได้มาซื้อที่ข้างบ้านน้าอรทำให้ผมไม่สามารถปั่นจักรยานไปที่ท่าน้ำได้เหมือนเคย อีกทั้งถนนหนทางก็ตัดผ่านหน้าบ้านเราทำให้ไม่สามารถเดินไปหาน้องได้เพียงลำพังดังก่อน
เรื่องนี้ร้อนไปถึงน้าอร เธอจึงสั่งให้คนงานที่บ้านเจาะกำแพงเท่าหมาลอดเพื่อเป็นทางให้ผมเดินไปเล่นกับน้องได้สะดวก
ผมใช้ช่องหมาลอดนี้ตลอดมา จนกระทั่งตัวเองเข้าโรงเรียน ส่วนน้องปอนั้นกำลังช่างพูดช่างเจรจา
เหตุการณ์ในวันเข้าโรงเรียนของผมวันแรกนั้น ผมจำได้ดี เด็กคนอื่นๆคงร้องไห้แงที่ต้องไปโรงเรียน แต่ผมนั้นกลับตื่นเต้นและเร่งเร้าให้แม่แต่งตัวติดกระดุมให้ไวๆเพื่อจะได้ไปโรงเรียน
ชุดนักเรียนอนุบาลเป็นชุดเอี๊ยมสีแดง ที่แม่บรรจงปักชื่อให้ด้วยมือของแม่เองว่า “น้องนิจ” ผมตื่นเต้นกับมันมาก วิ่งถามคนนู้นคนนี้ว่าน่ารักมั๊ย
จนแม่ต้องบอกให้อยู่นิ่งๆเพื่อที่จะเอากระติกน้ำรูปหมีมาสะพายให้
“ว่าไงนักเรียนใหม่” เสียงน้าอรทักมาแต่ไกล น้าอรจูงน้องปอที่กำลังเดินเตาะแตะ พอน้องเห็นผมเข้าก็วิ่งถลาเข้ามาหา
“แหม น่ารักจริงเลย กลับมาจากโรงเรียนต้องมาสอน ก.ไก่ ข.ไข่ให้น้องด้วยนะลูก” น้าอรแหย่
ผมหัวเราะ วิ่งไปจูงมือน้อง
“พี่ไปโรงเรียนนะ เดี๋ยวตอนเย็นจะเอาขนมมาฝาก แล้วก็เอาตัวต่อเลโก้ไปให้เล่นด้วยนะ”
ปอพยักหน้า แต่สีหน้าเหมือนจะร้องไห้ ทันทีที่ผมปล่อยมือ
“ขึ้นรถได้แล้วลูก เดี๋ยวไปสาย ครูจะดุเอา” แม่บอก ผมปีนขึ้นเบาะหลังรถยนต์ ส่วนแม่นั้นกำชับบอกคนขับรถให้ขับรถดีๆ
“ไปแล้วน้า” ผมโบกมือบ้ายบายน้อง และทันทีที่ล้อรถเริ่มหมุน ปอก็ร้องไห้จ้าตาม จนน้าอรต้องรีบคว้าตัวมาอุ้ม
-
ลงเป็นน้ำจิ้มให้ก่อนนะครับ
ที่เหลือรับรองสนุกไม่แพ้พาร์ทปอแน่นอน ด้านล่างเป็นรายละเอียดของการจองนะครับ
ยังไงฝากนักเขียนหน้าใหม่(สำหรับบอร์ดนี้) ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจทุกคนด้วยนะคร๊าบบบบบ :impress2:
(http://image.ohozaa.com/i/32b/MVvOL.gif)
(http://image.ohozaa.com/i/3f0/zLqpP.jpg)
รายละเอียดหนังสือ
1. หนังสือ 1 ชุด มี 2 เล่มจบ พร้อม Box set ราคาชุดละ 900 บาท (ราคานี้รวมค่าจัดส่งชนิดลงทะเบียนตรวจสอบสถานะการจัดส่งผ่านเวปไซต์ของไปรษณีย์ได้ 2 ชุดขึ้นไปจัดส่ง EMS)
2. ปก กระดาษอาร์ตการ์ด 260 แกรม
3. เนื้อใน กระดาษถนอมสายตา 75 แกรม
4. ที่คั่นหนังสือ
5. ตอนพิเศษเพิ่มเติมจากที่ลงในบอร์ด
เนื้อหาตั้งแต่ต้นจนจบ อ่านได้ที่ A moment in Siam กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.0)
เปิดจองและโอนเงินวันนี้ - 2 มีนาคม 2555
มี 2 ช่องทางการสั่งจองคือ
1.จองผ่านทาง Utellido<<-----คลิกเพื่อทำรายการสั่งจอง (http://utellido.com/utellido/index.php/shopping.html#ecwid:category=0&mode=product&product=8552609) (แก้ไข link เพื่อลดอาการงงแล้วจ้า สะดวกสำหรับคนจ่ายผ่าน paypal มาก)
2.สั่งจองทาง E-Mail
(http://image.ohozaa.com/i/24d/sNryd.jpg)
ตั้งชื่อหัวข้อเมลล์ว่า "สั่งจองหนังสือ"
โดยระบุรายละเอียดดังนี้
1. ล็อกอินในเล้าเป็ด (ถ้ามี)
2. เบอร์โทรที่สามารถติดต่อได้
3. จำนวนที่ต้องการ
รอรับ Code สำหรับโอนเงิน (ดำเนินการโดยทีมงาน Utellido)
ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ
-
ราคาเท่าไหร่หรอคะ
-
มาต่อ ไวๆ นะครับ โห้ย รอมานาน ได้อ่านเสียที หุ้ยยยย ลุ้นต่อไป ว่าจะใช่ หลวงพินิจ ไหม
รักกกกก เรื่องนี้ ว่ะ 555 เซ้งเป็ด นายเจ่ง ว่ะ เขียนได้ดี จิงๆ ยกนิ้วให้เลยว่ะ อ่านแล้วซึ้งมาก เลย
-
ราคาเท่าไหร่ฮะ แล้วเมื่อไหร่จะมาต่ออีกคับ
-
อ่า พี่หมอชื่อนิจนี่เอง
มาต่อไวๆนะพี่นะ :o8:
-
สั่งไปแล้ว :laugh:...รู้แต่ว่าถ้าไม่ได้มาเก็บไว้และเผยแผ่ต่อลูกหลาน ลงแดง :sad4:
-
รอลุ้นพี่หมอต่อ
:mc3: :mc2: :mc1:
สวัสดีปีใหม่ ขอให้มีความสุขมากๆ
+1
-
ในที่สุดก็รู้ชื่อพี่หมอล่ะ เย่!!!
พี่นิจ คล้ายๆกับพินิจย์หรือเปล่า? ที่แท้นี่ก็ตระกูลสนเองสินะ อยากอ่านต่อจัง อยากรู้ว่าตอนเจออัชย์ที่ชะอำพี่หมอคิดอะไรอยู่><
พ้นมรสุมสอบแล้วจะเมลไปจองนะคะ^ ^
-
มาแล้ววว พี่หมอน่ารักจริงๆเลย
ตอนบทแรกไม่ชอบเลย แต่ตอนนี้ร๊ากกกรัก
เงินกำลังจะหมุนไปแล้วววว555+
-
หลวงพินิจย์ กับพี่หมอนิจย์ เอาล่ะเหมือนพาร์ทย้อนอดีตแต่ไม่ลึกเท่าของปอ
สั่งหนังสือไปเมื่อครู่ กำลังใจจดใจจ่อว่า ถ้าเงินพอจะสั่งเพิ่มดีไหม (เพื่อลูกเผื่อหลาน ๕๕)
มั่นใจว่าคุ้มค่าแก่การเก็บรักษาแน่ๆค่ะ คุณเซ็งเป็ด :pig4:
-
สั่งจองไปละครับ รอๆๆๆๆมาต่อไวๆนะครับ อยากเห็นฉากหวานของสองคนนี้อีก
-
น้ำจิ้มถ้วยนี้แซบมากๆค่ะ
หนูนิจน่ารักจังเลยยย รักปอตั้งแต่3ขวบ ฮี่ๆๆ
รอต่อไปๆ :bye2:
-
ว้าวว หมอชื่อนิจย์นี่เอง
เดี่ยวเก็บเงินก่อนน
อ๊ากกก
-
จะสั่งจองทางเมลล์ ไม่ทราบเมล์ที่จะส่งมาให้ค่ะ
ขอทราบรายละเอียดได้หรือไม่คะ
อยากได้หนังสือมาก ๆ ค่ะ
-
ยังพอมีเวลาเก็บเงินอีก ต้องมีเก็บไว้เชยชมให้ได้
-
สั่งจองแล้ว อิอิ :mc4:
ปอตอนเด็กน่ารักหยิกน่าใช่เล่นนะ อร้ายยยยยยย เขิลอะ ไม่เคยเรียกอัชย์ว่าปอเลย :-[
หมอนิจ ยังคงเป็นหมอนิจ :impress2:
-
ทีเเรกว่าจะจองทาง Utellido พอเข้าไปเกิดอาการมึน..ไปไม่ถูก555555+ :really2: เลยต้องจองผ่าน suck-duck :เฮ้อ: :เฮ้อ:
-
เก็บเงินๆๆๆ
-
อยากได้มาก เก็บตังค์ๆๆๆ
-
แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยย!!
โควต้าในบอร์ดแค่นี้ใช่ป่ะคะ?
อดอ่านแล้วใช่ม๊ายยยยยยยยยยยยย :z3:
ถ้าพี่หมอนิจจะน่ารักขนาดนั้นนะ!
แล้วตอนปอมันไปเจอหมอปีย์ หมอนิจไปอยู่ไหนมาอ่ะ
แต่ยังไงก็เถอะ ยังไงก็ได้อยู่ด้วยกันแล้ว
ฮืออออออ เก๊าอยากอ่านแต่ไม่มีกะตังค์ :monkeysad:
-
น่ารักน่าชัง :-[ :-[
-
อยากจองแต่จองไม่ได้ไม่รู้เมลค่ะ ภาพไม่ขึ้น
ส่วน Utellido ใช้ไม่เป็นงงค่ะ
-
อยากจองด้วยคนอ่ะครับ แต่ เมลล์ ไม่ขึ้นชื่ออ่ะครับ ^^"
-
สั่งไปแล้วๆ สั่งทางเมล์ไปนะคะ (ตั้งใจรอ^^)
สั่งทางUtellido ไม่เป็น เข้าไปแล้วงง หากาลครั้งหนึ่งไม่เจอ
-
อ๊ายยยยยย
อยากได้เก็บไว้ แต่ช่วงเงินซอทอ่ะ
-
ต้องการสั่งจอง แต่ใช้ เว็บที่ให้มาไม่เป็นคะ 555
พอจะสั่งผ่านเมล มันก็ไม่ขึ้นชื่อให้ค๊ะ ต้องทำยังไงค๊ะ
-
กรี๊ดดดดดดดดดดดดด :impress2: ในที่สุดก็เปิดจอง. เดี๋ยวจะรีบกลับไปจองที่บ้านนะคะ. ><. ว่าแต่ไม่ได้ช่วงวาเลนไทน์แล้วใช่มั้ยคะ?
-
จองไปแล้วไม่รู้ ได้เปล่างะ งง ว่าตัวเองจองผ่านเปล่าน้อออ :a5:
-
นิยายดีๆ เราต้องอุดหนุน
(สั่งจองไปทาง Mail ไปแล้วนะจ๊ะ :z1:
-
ว่าจะสั่งใน utellido.com แต่เข้าไปแล้วเห็นแต่นิยายเรื่องอื่น ไม่เห็นมี A moment in Siam เลยครับ
อยากเห็นปกกับรูปเล่มจัง ว่าแต่มีกำหนดเวลาปิดรับจองรึเปล่าครับ
-
จองได้ถึง2มีนา..โล่งงงงงง
ช่วงนี้รายจ่ายบานตะเกียง ตกใจหมดเลย ฮ่าๆ
-
กรี๊ดดดดดดดดดดด อยากอ่านต่อแล้ววว :impress2:
ส่วนหนังสืออุดหนุนแน่นอนค่ะ แต่กำลังรอเพื่อนตัดสินใจอยู่ว่าจะสั่งไหม จะได้สั่งพร้อมกันคร่าาา :-[
รอตอนต่อไปนะคะ :กอด1:
-
เฮ้!!! มีเวลาเก็บตังค์ *น้ำตาปริ่ม*
ถ้าไม่ได้ซื้อเรื่องนี้เราเศร้าเลยนะ TT
ขอถามนิดนึงนะคะ แล้วเนื้อหาข้างในเนี่ยตอนพิเศษเยอะมั้ยคะ? ประมาณกี่ตอน
(จิตใต้สำนึก ----> อยากให้เล่ม 1 เป็น หมอปีย์ + พ่ออัชย์ เล่ม 2 เป็น พี่หมอ + โอปอ 5555555)
-
เป็นงานเขียนที่ดีอีกชิ้นหนึ่งเลยค่ะ. เนื้อหาสาระเยอะมากๆ
ได้เกร็ดความรู้เยอะแยะเลย โดยเฉพาะอาหาร. น้ำลายไหล
ไม่น่าเชื่อเลยเนอะว่า คนเราจะผูกพันกันได้ถึงเพียงนี้
เรื่องนี้สุดยอดค่ะ o13
-
ได้รับ Code แล้วก็โอนตัง ไปแล้วนะขอรับ.....หลังจากนี้จะตั้งหน้าตั้งตารอ....'A Moment in Siam กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม'. :impress2: :impress2: รอวันที่เจ้าจะมาอยู่ในครอบครองของข้า :laugh: :laugh:
-
อ่านจบแล้ววววววววววววววววว ในที่สุดก็ตบะแตกมาอ่านต่อจนจบจนได้ (งานการไม่ทำ งื้อออ)
เสียน้ำตาไปหลายไหมากๆ ช่วงหลังๆนี่มันกินใจสุดๆ ฮือออ แบบมันยิ่งใหญ่อ่ะ T____T
หวังว่าชาติปัจจุบันนี้จะได้ลงเอยกันซักทีเน้ออ...
ว่าแต่ตอนต้อนเรื่อง ดูปอจะไม่ชอบพี่หมอเอาซะเลยนะ = =lll ไหงตอนเด็กๆติดแจเชียว ฮ่าๆๆ พี่หมอน่ารัก
-
อ่านจบแล้ว ชอบมากๆ เลยค่ะ ใช้เวลาสองอาทิตย์ (การบ้านโหมกระหน่ำแต่อยากอ่าน 555 )
อยากบอกว่าชอบมาก เป็นงานเขียนที่สุดยอดจริงๆ บรรยายได้แทบจะเห็นภาพเลยค่ะ
ชอบปอมาก ถึงจะแก่นๆ ไปหน่อยก็เถอะ 55555
ปล.ไปท่องเว็ปมาเล่นๆ เจอรูปนิชคุณแล้วมันเป๊ะกับอิมเมจที่เราคิดเล่นเวลาอ่าน 55 เลยเอามาแปะให้ดูค่ะ
(http://upic.me/i/0c/104167125.jpg)
จิ้นเอาว่าเป็นรูปของ ปอ กับ หนูวาดก็แล้วกันนะค่ะ 555555555555555555 :L1: :L1: :L1:
-
คิดๆไปแล้ว.... พี่หมอนี่โดนอัชย์ทำให้ช้ำใจมาตลอดเลยนะ ตั้งแต่ชาติก่อนยันชาตินี้ เหอๆๆ กงกรรมกงเกวียนจริงๆ หมุนไปหมุนมาเนอะ แต่คู่กันแล้วย่อมไม่แคล้วกัน แต่ไงก็ช่างมีอุปสรรคเยอะจริงๆ - -" ไอเพิ่งกลับมาอ่านต่อหลังจากอ่านค้างไว้ซะนาน(ตั้งแต่วางแผนไปเที่ยวชะอำนู่นแน๊ะ) ท่าทางคุณชั้นจะเล่าให้หนูวาดฟังล่ะมั้งเรื่องอัชย์เป็นใครอ่ะ ไม่งั้นคงแปลกๆที่ให้หลานเรียกตัวเองแบบนั้นแล้วก็หลายๆอย่างด้วย นี่นะน้าาา ตอนไออ่านตอนที่หมอโดนยาพิษล่ะร้องไห้เลย การคิดถึงใครมาครึ่งชีวิตมันทรมานนะ นี่ดีที่ครั้งสุดท้ายที่มาปัจจุบันอีกครั้งเป็นหนุ่ม ถึงจะยากที่ต้องฟื้นฟูกิจการอีกครั้ง แต่ก็ยังดีที่ครั้งนี้ได้พบหมอซะที ถึงจะมีอุปสรรคอะไรอีก ไอว่าไอ้ปอของเราไม่มีวันยอมแพ้อยู่แล้วแหละ หุๆๆ ความสุขครั้งนี้คว้ามาให้ได้นะปอ (*^^*)
ปล.ไอสั่งหนังสือแน่นอนอยู่แล้วค่ะ มีอะไรน่ากินเยอะเลย ^^
ปล2.มาต่อตอนพิเศษอีกหน่อยได้ไหมคะ อยากอ่านต่อมากมาย กว่าจะได้หนังสือมันอีกนานเลยนี่นา (>人<;)
-
ขอจองทาง mail ไปค่ะ เพราะเข้า web ไปแล้วงงค่ะ รอหมายเลข บ/ช พร้อมโอนแล้วค่ะ
-
เป็นพี่หมอนี่เอ ไม่ใช่คนไกลเลยเนอะ.. ว่าแต่.. พี่หมอ อย่าวิจัยแค่เหตุผลชายรักชายอย่าเดียวสิ วิจัยเรื่องที่ว่า เจอนู๋ปอเขาตอกกลับแรงขนาดนั้น ไหงพี่หมอ ยังถึงตามตื้ออยู่ ทั้งในชาติก่อนและชาตินี้ พี่หมอลึกๆแล้วที่จริงเป็ฯพวก สายS รึเปล่าเนี่ย(ฮา)
-
อ้ากรักหมอคะ ฮ่าๆๆๆ
น่าสงสารโดนปอตอกตลอดยังรักเนอะ ฮ่า
-
โว้ว......สั่งจองแล้วเรียบร้อย ทันทีที่อ่านจบ ใช้เวลาสองวัน ตาเเฉะกันเลยทีเดียว ทั้งๆทีใกล้สอบ โอ้ว....T__T แต่ไม่เป็นไรเพื่อหมอเราทนได้ ฮ่าๆๆ เราชอบงานเขียนของท่านนะ หาอ่านยากมากแนวย้อนยุค ตอนแรกอ่านแล้วแอบงงเล็กน้อยตรงที่จากหนุ่มเป็นแก่ แล้วกลับมาเป็นหนุ่ม หัวหมุนกันเลยทีเดียว แต่เราชอบหมอปีย์มากอ่ะ แบบ....โอ๊ย....อะไรจะน่ารักขนาดนี้ อยากจะกรีดร้องจริงๆ >__< แต่อ่านไปก็สงสารไป คนอะไรจะรักมั่นคงขนาดนั้น แถมยังความอดทนสูงอีกต่างหาก แต่หมอคะ.....มาชอบเราแทนมั้ยหมอ (ผัวะ....อัชย์เตะก้านคอ) ฮ่าๆๆ
นิยายเรื่องนี้ทำให้เรารู้สึกว่าประเทศไทยมีดีกว่าที่เราคิด สอนให้เรารู้จักประเทศนี้มากขึ้น ทั้งอาหาร วัฒนธรรม และอะไรอีกหลายอย่าง คุ้มค่ากับที่อ่านจริงๆ ในเวลาที่อัชย์พูดกับหมอปีย์ว่าถ้าหากสิ่งที่มีอยู่ในตอนสมัยนี้หายไป ถูกลืมเลือน ท่านจะรู้สึกยังไง เป็นเรา เราก็เสียใจนะ สั่งสมมานานแต่สุดท้ายกลับถูกลืมเลือน ไม่แม้แต่ได้รับการอนุรักษ์ ถึงจะมีแต่ก็นับว่าน้อยมาก น้อยคนที่จะรักษา วู้ว......ทำไมรู้สึกว่าแอบดราม่า แหะๆๆ เข้าเรื่องนิยายต่อเถอะเนอะ ภาษาพูดสมัยก่อนตอนจีบกันฟังแล้วเพราะกว่าคำพูดสมัยนี้หลายเท่าตัวเลย ตอนอ่านก็อ่านแล้วเอามือกุมหน้า อะไรจะโรแมนติกขนาดนั้น เจอผู้ชายแบบหมอปีย์นะ รักตายเลย......กรี๊ดค่ะกรี๊ด ฮ่าๆๆ
ปล.ถ้านึกอะไรออกอีกเราจะมาเพิ่มเติมนะคะ แต่ตอนนี้เราต้องขอลาไปจมกับกองหนังสือก่อน T__T (โลกช่างโหดร้าย)
ปล1.เราได้รับเมลตอบกลับแล้วเจ้าค่ะ อยากสอบหน่อยว่า ใครรู้บ้างว่า ตัวเลขเยอะๆที่ให้มานั่นคือหมายเลขบัญชีที่ใช้โอนเงินรึเปล่าอ่ะคะ พอดีเราเพิ่งสั่งหนังสือเป็นครั้งแรก
-
กว่าจะอ่านจบได้ใช้เวลานานเหมือนกัน
อ่านแล้วก็ทำให้รู้อีกมุมหนึ่งของสยาม รักเมืองไทยจัง
-
ปล1.เราได้รับเมลตอบกลับแล้วเจ้าค่ะ อยากสอบหน่อยว่า ใครรู้บ้างว่า ตัวเลขเยอะๆที่ให้มานั่นคือหมายเลขบัญชีที่ใช้โอนเงินรึเปล่าอ่ะคะ พอดีเราเพิ่งสั่งหนังสือเป็นครั้งแรก
เลข10หลักใช่เปล่างับ ถ้าใช่ นั้นก็คือเลขที่บัญชีและจะมีชื่อบัญชีที่ให้เราโอนตังไปจองงับ :z2: :z2:
-
พออ่านตอนสุดท้ายเสร็จยังงง ไอ้หมอนี่มันใครเนี้ย เลย อ่านตั้งแต่บทหนึ่งใหม่ เห้ย เลยร้องกริ๊ดดดออกมา โอยเขินเลย พี่หมอ=หมอปีย์
-
วันก่อนมีโอกาศไปทำบุญ ไหว้พระที่วัดภูเขาทอง ทำให้นึกถึง หมอปีย์ กับ พ่ออัชย์ :impress2: :impress2:
-
จะเก็บเงินทันไหมหนอ ลุ้นตัวเอง
-
ตอนนี้พยายามเก็บเลินอยู่ครับ สิ่งที่อยากได้มันล่อตาล่อใจมากมาย ไม่ไหวแล้ว ยังดีนะ ให้โอนได้ถึงมีนา ไม่งั้นผมแย่แน่ๆเลย
TT เก็บเงินๆ :sad4: อยากอ่าน หมอนิจต่อ ฮ่าๆๆๆ รักเรื่องนี้้ :-[
-
เลข10หลักใช่เปล่างับ ถ้าใช่ นั้นก็คือเลขที่บัญชีและจะมีชื่อบัญชีที่ให้เราโอนตังไปจองงับ :z2: :z2:
อ่อ...ไอเราก็นั่งงงอยู่นานสองนาน ขอบคุณมากค่ะ แล้วถ้าโอนเสร็จแล้วต้องส่งเมลล์ไปบอกไหมอ่ะท่าน
-
อ่อ...ไอเราก็นั่งงงอยู่นานสองนาน ขอบคุณมากค่ะ แล้วถ้าโอนเสร็จแล้วต้องส่งเมลล์ไปบอกไหมอ่ะท่าน
เมลมาบอหน่อยก็ดีครับ น้องผมมจะได้เช็คถูก ขอบคุณมากครับ
-
^
^
รับทราบ ขอรับ :call: :call:
-
ส่งเมล์ไปจองเรียบร้อยแล้วนะคะ รอเมล์ตอบกลับๆๆ :mc4:
ปล. ชอบปกหนังสือมากกกก :m1:
ปล2. จะได้หนังสือช่วงไหนเหรอคะ?
-
ในที่สุดก็อ่านทันแล้ว
ตื่นมาไม่ทำอะไร เปิดคอมอ่านก่อนเลย อิอิ
สนุกมาเลยค่า ชอบมากๆ o13
อ่านแล้วให้แง่คิดต่างๆเยอะมาก เราชอบมากเลยค่ะ
พลาดเรื่องนี้ได้ยังไงก็ไม่รู้
จะรออ่านตอนพิเศษต่อนะคะ อยากรู้ว่าพระเอกของเราจะมีความคิดยังไงบ้าง หลังจากที่ได้อ่านในมุมมองของปอแล้ว :L2:
-
เมลมาบอหน่อยก็ดีครับ น้องผมมจะได้เช็คถูก ขอบคุณมากครับ
รับทราบค่ะ ขอบคุณมากนะคะ >_<
-
อ่านสยามฯ แบบโต้รุ่งมาเกือบอาทิตย์ ทำเอาอิบ่าวติดเปนเอามากจริงเลยพ่อ ๕๕๕ :t3:
ขอกราบขอบคุณท่านหลวงเซ็งเป็ดงามๆสักทีได้รึไม่? (ไปตั้งตำแหน่งให้พี่เค้าเฉย - -) :seng2ped:
คือหนูว่ามันไม่ใช่แค่ความรักของชายสองคน ,มันเป็นความรักบรรพบุรุษผู้คุ้มครองชาติ รักครอบครัว รักชาติเกิด รัก+เห็นค่า+เข้าใจชีวิต
ซึ่งชายสองคน ในครั้งสยาม ได้พานพบ
แลช่วยปลุกสำนึกรัก"สยาม"ให้แก่เล้าแห่งนี้ฯ
ปัจฉิมลิขิต อ่านเรื่องนี้จบแล้วคิดว่าตัวเองเจ้าสำบัดสำนวนขึ้นตั้งพะเรอเกวียน(?)แน่ะท่าน
ปัจฉิมลิขิต(อีกครา) อิบ่าวเป็ดน้อยกระเตาะกระแตะ(??)สนับสนุนการลงตอนพิเศษให้หายคิดถึงเจ้าค่ะ :กอด1: :กอด1: :กอด1:
-
ขอบคุณคร๊าบบบ ดีใจที่มีคนชอบ
ตอนพิเศษลงให้อ่านกันไปเรียกน้ำย่อยกันไปนิดๆหน่อยๆนะครับ
สำหรับคนที่จองและรอรูปแบบปกหนังสืออดใจรอกันนิดนะครับ ตอนนี้คนออกแบบกำลังหัวหมุน
เพราะเจ้าของมันเรื่องมาก 555
-
:impress: อยากอ่านต่อจังเลยค่ะ ... จะขาดใจเอาง่ะ :z3:
-
สำหรับคนที่จองและรอรูปแบบปกหนังสืออดใจรอกันนิดนะครับ ตอนนี้คนออกแบบกำลังหัวหมุน
เพราะเจ้าของมันเรื่องมาก 555
อะ อ้าว ในเว็บ utellido นั่นไม่ใช่ปกหนังสือหรอกรึ? หน้าแตกเลยเจ้าค่ะ :z10:
แต่ชอบแนวๆ นี้ ขอแบบไทยๆ นะเจ้าคะ มันดูย้อนยุค ดูขลังๆ ดี :m1:
-
เมล์จองไปแล้วนะคะ
รอดูหน้าปกต่อไปค่ะ :impress2:
-
ตอนจบทำเอาน้ำตาไหลไปเยอะมากสุดยอดจริงๆ อ่านตั้งแต่ตอนแรกๆตงิดๆเลยเดาว่าพี่หมอกับหมอนั้นน่าจะเกี่ยวข้องกัน เพราะดูพี่หมอจะผูกพันธ์กับปอมากขนาดปอร้ายใส่ก็ยังตามไม่เลิก ถ้าเป็นคนที่มาชอบเฉยๆก็ไม่น่าจะยอมทนขนาดนั้น(มั้ง) ชอบมากครับแต่งเก่งมากขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆที่แต่งมาให้ได้อ่านกัน
ปล.ส่งเมลล์สั่งจองไปแล้วนะครับรอการตอบกลับครับ
-
ตอนจบทำเอาน้ำตาไหลไปเยอะมากสุดยอดจริงๆ อ่านตั้งแต่ตอนแรกๆตงิดๆเลยเดาว่าพี่หมอกับหมอนั้นน่าจะเกี่ยวข้องกัน เพราะดูพี่หมอจะผูกพันธ์กับปอมากขนาดปอร้ายใส่ก็ยังตามไม่เลิก ถ้าเป็นคนที่มาชอบเฉยๆก็ไม่น่าจะยอมทนขนาดนั้น(มั้ง) ชอบมากครับแต่งเก่งมากขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆที่แต่งมาให้ได้อ่านกัน
ปล.ส่งเมลล์สั่งจองไปแล้วนะครับรอการตอบกลับครับ
ขอบคุณสำหรับคำติชม และชื่นชอบผลงานนะครับ
ส่วนเรื่องเมลเดี๋ยวจะเร่งให้น้องตอบให้นะครับ รอแป๊บบบบบ
-
สั่งไปทาง Utellido แล้วนะ
อยากรับว่าได้รับมั้ย เผื่อความแน่ใจ -[]-
ชอบเรื่องนี้มาก ซึ้งมาก อ่านข้ามวันจนโดนแม่ด่า
ตาเป็นหมีแพนด้า T^T
-
หลังจากเข้ามาอ่านตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว ก็ขอบอกอะไรเล็กๆ?น้อยๆ?สักหน่อยค่ะ
ตามลิงค์นี้เลยนะคะ :)
http://t.co/NgtRSOZN
-
พี่เป็ดขาาา แล้วถ้าพลาดรอบนี้จะมีวางร้านไหมคะ ?
(คือจะสั่งไปชุดเดียวก่อน แล้วค่อยทีละชุดเรื่อยๆ =_=)
-
พี่เป็ดขาาา แล้วถ้าพลาดรอบนี้จะมีวางร้านไหมคะ ?
(คือจะสั่งไปชุดเดียวก่อน แล้วค่อยทีละชุดเรื่อยๆ =_=)
ไม่มีครับผม สั่งเท่าไหนเท่านั้นจริงๆ ถ้าสั่งไม่ทันอ่านเอาในนี้ก็ได้นะ ไม่ลบ ไม่ลบ
-
หลังจากเข้ามาอ่านตั้งแต่ต้นจนจบแล้ว ก็ขอบอกอะไรเล็กๆ?น้อยๆ?สักหน่อยค่ะ
ตามลิงค์นี้เลยนะคะ :)
http://t.co/NgtRSOZN
พี่มิสามารถตอบในทวิตเตอร์หนูได้อ่า เล่นไม่เป็น อิๆ
ขอตอบในนี้แล้วกันนะครับ
ขอบคุณมากสหรับการติดตามและที่สำคัญใส่ใจในรายละเอียดที่ผู้เขียนอย่างพี่ต้องการสื่อ
เราไม่ต้อการอะไรจากคนอ่านมากไปกว่าเข้าใจสารที่เราต้องการสื่อ
หนูนี่ เข้าใจเต็มๆ พี่หล่ะชื่นใจจริงๆ
ภาคต่อในมุมของพี่หมอมีนะครับ เขียนเสร็จแล้ว
เป็นอีกรูปแบบนึง ยังไง ถ้ามีโอกาสจะเอามาลงให้อ่านนะครับ
ขอบคุณอีกครั้งน้า
-
โว้ว.....อยากอ่านแฮะ ถ้าท่านลงเราก็จะตามอ่านเช่นเคย >__<
-
น่าอ่านแห๊ะ
ขอแปะโป้งเรื่องนี้ไว้ก่อน อ่านแน่ๆค่ะแน่ๆ
แต่ช่วงนี้ต้องอ่านหนังสือเรียนก่อน หุหุ
หวังว่าจะได้อ่านก่อนปิดจองนะนั่น -"-
เผื่ออินจัดจะได้สั่งมานอนกอดที่บ้าน อิอิ
-
ในที่สุดก็อ่านจบ....กับเวลาสามวันตอนเวลาตีสาม o7
หลังจากอ่านจบ.....
สิ่งแรกที่ทำคือ
:z10: :z10:เพื่อ
สั่งจองหนังสือเรื่องนี้เป็นอันดับแรก
เพราะกลัวว่าจะพลาดไปแล้วจะเสียใจไปตลอด :m15:
เมื่อจองเสร็จก็เลยได้เวลามาเม้นท์ให้กับเรื่องนี้
ตอนแรกที่อ่านตอนที่หนึ่ง คิดอยู่ในใจว่า
ทำไม???????????????????????????
ทำไมถึงเพิ่งคิดจะกดเข้ามาอ่านเรื่องนี้ ทั้งๆที่เห็นชื่อเรื่องนี้มาหลายเดือนแล้ว
แต่ก็ช่างเถอะ...อดีตมันผ่านไปแล้ว....และไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้ไม่เหมือนกับตัวเอกของเรื่องนี้
คิดได้แค่ว่า....ดีแล้วที่ในที่สุดก็ได้เข้ามาอ่านและเป็นหนึ่งในแฟนหนังสือของคุณเซ็งเป็ดเหมือนคนอื่นๆ
และทันได้จองเพื่อให้ได้หนังสือเรื่องนี้ไว้ในครอบครอง
ขอบอกว่าสั่งจองเรื่องนี้สองชุดเพราะจะเอาไปให้คนอื่นอ่าน
บอกตามตรงเลยว่า ทุกครั้งที่เราอ่านนิยายวาย เรารู้สึกชอบและสนุกไปกับสิ่งต่่างๆที่บรรดานักเขียนทั้งหลายได้ถ่ายทอดและบรรยายมันออกมา
แต่เราก็อ่านสิ่งเหล่านี้อย่างเงียบๆ ไม่ได้บอกกับใคร เพราะคนอื่นๆจะชอบมองว่าแปลกที่มาอ่านนิยายประเภทนี้
เราก็อยากจะบอกไปเหมือนกันว่า....นิยายประเภทนี้มันมีอะไรมากกว่าที่คุณคิด....ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีดีและไม่ดีในตัวมันเอง
ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะหามันเจอหรือไม่และเปิดใจรับกับสิ่งเหล่านั้นได้มากแค่ไหน
แต่เราก็ไม่เคยได้บอกออกไปตรงๆ คงเพราะเรายังไม่เจอเรื่องที่เราคิดว่ามันจะเป็นคำตอบ ที่เราจะเอามันไปบอกกับคนอื่นที่ไม่ได้มีความชอบหรือมีอคติกับเรื่องราวเหล่านี้ได้
จนมาได้อ่านนิยายเรื่องนี้นี่แหล่ะค่ะ......
เหมือนมันเป็นคำตอบที่เราสามารถเอาไปบอกใครๆที่เค้าไม่เคยอ่านนิยายวายมาก่อน....เพื่อที่จะแนะนำให้เค้ามาอ่านนิยายวายได้
ว่า....นิยายวาย....นั้นมีดีมากกว่าที่คุณคิด....ดีกว่านิยายรักชายหญิงที่แต่งมาประโลมโลกเสียอีก
ดูท่าว่าชักจะเยอะเกินไปหน่อยละ....
สุดท้ายนี้ขอ :กอด1: :กอด1:ขอ :L2:และ :pig4:คุณ :seng2ped:
ที่ทำให้ได้อ่านนิยายเรื่องนี้มากๆนะคะ
ตอนนี้ก็ได้แต่นอนรอเวลาในการไปโอนเงินเพื่อจองหนังสืือในตอนเช้าค่ะ
:a12: ไปนอนแระ....ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
-
ในที่สุดก็อ่านจบ....กับเวลาสามวันตอนเวลาตีสาม o7
หลังจากอ่านจบ.....
สิ่งแรกที่ทำคือ
:z10: :z10:เพื่อ
สั่งจองหนังสือเรื่องนี้เป็นอันดับแรก
เพราะกลัวว่าจะพลาดไปแล้วจะเสียใจไปตลอด :m15:
เมื่อจองเสร็จก็เลยได้เวลามาเม้นท์ให้กับเรื่องนี้
ตอนแรกที่อ่านตอนที่หนึ่ง คิดอยู่ในใจว่า
ทำไม???????????????????????????
ทำไมถึงเพิ่งคิดจะกดเข้ามาอ่านเรื่องนี้ ทั้งๆที่เห็นชื่อเรื่องนี้มาหลายเดือนแล้ว
แต่ก็ช่างเถอะ...อดีตมันผ่านไปแล้ว....และไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้ไม่เหมือนกับตัวเอกของเรื่องนี้
คิดได้แค่ว่า....ดีแล้วที่ในที่สุดก็ได้เข้ามาอ่านและเป็นหนึ่งในแฟนหนังสือของคุณเซ็งเป็ดเหมือนคนอื่นๆ
และทันได้จองเพื่อให้ได้หนังสือเรื่องนี้ไว้ในครอบครอง
ขอบอกว่าสั่งจองเรื่องนี้สองชุดเพราะจะเอาไปให้คนอื่นอ่าน
บอกตามตรงเลยว่า ทุกครั้งที่เราอ่านนิยายวาย เรารู้สึกชอบและสนุกไปกับสิ่งต่่างๆที่บรรดานักเขียนทั้งหลายได้ถ่ายทอดและบรรยายมันออกมา
แต่เราก็อ่านสิ่งเหล่านี้อย่างเงียบๆ ไม่ได้บอกกับใคร เพราะคนอื่นๆจะชอบมองว่าแปลกที่มาอ่านนิยายประเภทนี้
เราก็อยากจะบอกไปเหมือนกันว่า....นิยายประเภทนี้มันมีอะไรมากกว่าที่คุณคิด....ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีดีและไม่ดีในตัวมันเอง
ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะหามันเจอหรือไม่และเปิดใจรับกับสิ่งเหล่านั้นได้มากแค่ไหน
แต่เราก็ไม่เคยได้บอกออกไปตรงๆ คงเพราะเรายังไม่เจอเรื่องที่เราคิดว่ามันจะเป็นคำตอบ ที่เราจะเอามันไปบอกกับคนอื่นที่ไม่ได้มีความชอบหรือมีอคติกับเรื่องราวเหล่านี้ได้
จนมาได้อ่านนิยายเรื่องนี้นี่แหล่ะค่ะ......
เหมือนมันเป็นคำตอบที่เราสามารถเอาไปบอกใครๆที่เค้าไม่เคยอ่านนิยายวายมาก่อน....เพื่อที่จะแนะนำให้เค้ามาอ่านนิยายวายได้
ว่า....นิยายวาย....นั้นมีดีมากกว่าที่คุณคิด....ดีกว่านิยายรักชายหญิงที่แต่งมาประโลมโลกเสียอีก
ดูท่าว่าชักจะเยอะเกินไปหน่อยละ....
สุดท้ายนี้ขอ :กอด1: :กอด1:ขอ :L2:และ :pig4:คุณ :seng2ped:
ที่ทำให้ได้อ่านนิยายเรื่องนี้มากๆนะคะ
ตอนนี้ก็ได้แต่นอนรอเวลาในการไปโอนเงินเพื่อจองหนังสืือในตอนเช้าค่ะ
:a12: ไปนอนแระ....ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนนะครับ
เป็นกำลังใจที่ดีที่จะทำให้ผู้เขียนมีกำลังเขียนนิยายดีๆต่อไปครับผม
เดี๋ยวอาทิตย์หน้าเอาปกมาให้ดูนะครับ
-
ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนนะครับ
เป็นกำลังใจที่ดีที่จะทำให้ผู้เขียนมีกำลังเขียนนิยายดีๆต่อไปครับผม
เดี๋ยวอาทิตย์หน้าเอาปกมาให้ดูนะครับ
จะรอคอยดูหน้าปกอย่างใจจดใจจ่อเลยค่ะ :z1:
วันนี้ไปโอนเงินมาแล้วค่ะ
ตอนนี้เลยได้แต่รออย่างเดียว......
เอ....ไม่เอาดีกว่า....ขอกลับไปอ่านเรื่องนี้อีกสักรอบดีกว่า :impress2:
-
สวัสดีค่ะพี่เซ็งเป็ด :impress2:
มีเพื่อนแนะนำให้ลองอ่านเรื่องนี้ดู ตอนแรกยังเฉยๆนะคะ แต่ทว่าเมื่อได้ลองอ่านแล้วกลับวางไม่ลงค่ะ
พอเลิกงานปุ๊บต้องรีบกลับบ้านทันที อาบน้ำกินข้าวแล้วเปิดคอมเข้ามาอ่านเรื่องนี้โดยด่วน
เป็นเรื่องแนวพีเรียดที่สนุกมากๆเท่าที่เคยได้อ่านมาเลยค่ะ น่าติดตามตลอดทั้งเรื่อง
มีทั้งตลก เครียด(จนคิ้วผูกโบว์) ท้องร้องเพราะสูตรอาหารไทย (ห้ามอ่านตอนท้องว่าง) และสุดท้ายเสียน้ำตาเป็นโอ่ง (เวอร์)
ชอบนายเอกเรื่องนี้มากๆ บ้าจริงๆ คนเอาแต่ใจ ขี้โวยวาย และเป็นที่รักของหมอปีย์ผู้เงียบขรึม
โดยส่วนตัวแล้วเรียนจบประวัติศาสตร์มาโดยตรงค่ะ (แต่อย่าเรียกว่าเก่ง) แต่กระนั้นก็มีเรื่องที่ไม่เคยได้พานพบมาก่อนในรายวิชาต่างๆที่ได้ร่ำเรียนมาตลอด 4 ปีในรั้วมหาวิทยาลัย นั่นคือ เรื่องลับๆระหว่างเจ้าพระยาวิชเยนทร์กับสมเด็จพระนารายณ์ที่พี่หมอปีย์ได้เล่าให้พ่ออัชย์ฟัง และยังเรื่องของกรมหลวงรักษ์รณเรศ ในเรื่องของเจ้าพระยาวิชเยนทร์นั้นไม่ค่อยแปลกใจเหตุเพราะเคยได้อ่านพงศาวดารแล้วเจอเรื่องความสนิทสนมชิดใกล้และเป็นคนโปรดของสมเด็จพระนารายณ์มากๆ และตั้งใจรับใช้พระองค์จนถึงขั้นที่ไม่สนใจท้าวทองกีบม้าเลย แต่อาจเป็นเพราะการงานที่ปฏิบัตินั้นมิสามารถปลีกตัวมาได้
แต่เรื่องของกรมหลวงรักษ์รณเรศนั้น ไม่เคยได้รู้เรื่องมาก่อนเลย พอได้อ่านตอนนี้ของพี่เซ็งเป็ด จึงรีบไปหาอ่าน ซึ่งก็ได้ทราบความมาที่ตรงกับที่พี่เซ็งเป็ดวางพลอตไว้ให้หมอปีย์เล่า รู้สึกทึ่งมากๆค่ะ ที่สามารถวางพลอตเรื่องได้ไม่ขาดตกบกพร่องใดๆเลย
เรื่องนี้สามารถบรรยายวิธีการทำ "อาหารไทย" ได้ประหนึ่งว่าอยู่ในยุคนั้นจริงๆ มีอยู่ตอนนึงที่เป็นเรื่องของ "แกงจืดลูกรอก" เป็นตอนที่อ่านแล้วร้องไห้ค่ะ ที่ร้องไห้เพราะว่าคิดถึงคุณย่ามากๆค่ะ คุณย่าชอบน้ำแกงจืดมาใส่ข้าวแล้วป้อนให้กินเมื่อสมัยยังเป็นเด็กค่ะ และยังอาหารอีกหลายสำรับที่พาลให้คิดถึงคุณย่าทวดเช่นกันค่ะ เคยถามคุณพ่อ ท่านก็ว่า ทำแบบนี้แหละ คนโบราณก็นิยมใช้หอมแดงในการปรุงอาหารหลายชนิด พอได้อ่านสูตรอาหารหลายๆสูตร ก็เกิดอาการ "น้ำลายสอ" ขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้เลยค่ะ บางสำรับไม่เคยได้ยินชื่อ บางสำรับก็ได้ยินจากคุณย่าบ้างค่ะ ส่วนเรื่อง "คลุมโพลง" นั้น ก็เคยได้ทำแบบนั้นมาค่ะ เพื่อช่วยบรรเทาอาการหวัด
นอกจากนี้ยังสุดยอดในเรื่อง "ภาษาและวัฒนธรรม" อีกด้วยค่ะ พี่เซ็งเป็ดใช้ภาษาที่สวยงามมากๆค่ะ อ่านแล้วอึ้งไปเลยค่ะ โดยส่วนตัวชอบภาษาโบราณแบบนี้มากๆค่ะ มักได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่พูดกันบ่อยๆ ด้วยความที่อาจได้รับการอบรมออกจะโบราณสักนิด เลยทำให้ยิ่งชอบเรื่องนี้มากขึ้นอีกทวีคูณเลยค่ะ :impress2:
ภาษาที่หมอปีย์ใช้นั้นช่างสละสลวยแล้วทำให้รู้สึกอ่อนโยนตามนิสัยของหมอด้วยค่ะ แต่ของพ่ออัชย์นั้นกระโชกโฮกฮากตรงตามคอนเซ็บต์ดีค่ะ คนสมัยนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเก็บอารมณ์ความรู้สึกทุกอย่าง ไม่สามารถพูดหรือทำอะไรได้อย่างใจคิดเหมือนสมัยนี้ ซึ่งตรงนั้นหมอปีย์สามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของคนยุคนั้นได้อย่างดีเียี่ยมค่ะ แต่ชอบมากๆตอบหมอปีย์เขิน น่ารักมากๆค่ะ มุมละมุนของผู้ชายมาดขรึม :man1:
ฉากที่เรียกรอยยิ้มได้มากโขเลยก็ตอนที่ไปจนถึงเรือนตากอากาศของหมอจรัสที่ชะอำ แล้วได้ทำให้พ่ออัชย์ได้รู้ใจตัวเองแบบหมดเปลือก แล้วไหนจะตอนที่....กัน โอยยยย อมยิ้มจนแก้มปริเลยค่ะพี่เซ็งเป็ด แต่ขำที่ต้องไปชกเรียกเหงื่อก่อนที่จะ....กัน 5555+
ส่วนตอนที่ทำให้น้ำตาไหลได้เป็นโอ่งเลยก็ไม่พ้นตอนที่เศร้ามากๆอย่างตอนที่พ่ออัชย์ให้หมอปีย์ไปแต่งงานกับนางคำแก้วนั่นอีก คำพูดของหมอปีย์ช่างบีบรัดหัวใจ แล้วยังตอนที่หมอปีย์ตายเพราะยาพิษ และพ่ออัชย์ต้องทนทุกข์ทรมานไปอีก 20 ปี มันบีบรัดหัวใจมากๆ่เช่นกันค่ะ อ้อ...แล้วตอนที่พ่ออัชย์ได้ย้อนกลับมาแต่ต้องโทษประหารนั้น หมอปีย์จักตายตกไปตามกันด้วย นั่นยิ่งทำให้น้ำตาไหลออกมาเช่นทำนบแตกเลยค่ะ จดหมายที่หมอแนบมาในหนังสือเล่มนั้นก็เช่นกันค่ะ คำพูดของพ่ออัชย์กินใจมากๆ ทำให้รู้สึกสงสารทั้งหมอปีย์และพ่ออัชย์ก็ตอนที่พ่ออัชย์กำลังจะตาย
“อยู่ต่อเถอะนะหมอ มีชีวิตอยู่ต่อ.........อย่างสง่างาม”
เรื่องนี้โดยรวมทั้งหมดเลยนะคะ ชอบมากถึงมากที่สุดค่ะพี่เซ็งเป็ด อยากให้พี่เขียนนิยายแนวนี้ออกมาอีกค่ะ เพราะนิยายของพี่เซ็งเป็ดที่ได้สัมผัสในเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกเลยนะคะ เป็นเรื่องที่ทำให้มองได้ว่า เป็นเรื่องที่สนุกได้โดยไม่ต้องอีโรติคค่ะ :-[
สุดท้ายนะคะ เรื่องวัฒนธรรมไทยที่พ่ออัชย์ถ่ายทอดออกมาทางคำพูดนั้น กระแทกจิตมากๆค่ะ
“นอกจากลูกหลานเราจะรับวัฒนธรรมของตะวันตกแล้ว เรายังตกเป็นเมืองขึ้นทางวัฒนธรรมของเพื่อนบ้านที่สมัยหนึ่ง หรือในสมัยนายนี่แหละ เคยล้าหลัง ยากเข็ญและแร้นแค้นกว่าสยามหลายเท่านัก นั่นก็คือเกาหลี”
"เราอยากเป็นเขา และก็ปฏิเสธที่จะเป็นเรา"
“เรานับถือทุกประเทศ ยกเว้นตัวเราเอง”
เหมือนโดนตบหน้าฉาดใหญ่ แต่กระนั้นก็ยอมรับค่ะว่าปัจจุบันนี้เราบูชาพวกเขามากกว่ารากเหง้าของตัวเองค่ะ
แต่ถ้าถามว่ารู้จักเพลงฉ่อย ลำตัด ไหม รู้จักค่ะ ชอบฟังลำตัดมากๆค่ะตอนเป็นเด็ก เพราะคุณย่าชอบค่ะ เลยได้ซึมซับมาด้วย
โขน ก็เป็นสิ่งที่ชอบมากๆเช่นกันค่ะ
ทุกวันนี้รักอาหารไทยและขนมไทยมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
"ตัวเป็นไทย ใจก็ยังเป็นไทย" อยู่ดั่งที่บรรพบุรุษเราได้ฝากฝังไว้ให้ลูกหลานได้สืบทอดต่อไปค่ะ
ขอบคุณพี่เซ็งเป็ดในการถ่ายทอดเรื่องราวความรู้สาระที่อัดแน่น ทั้งยังคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมและประเพณีที่ดีงามของไทยเราให้ได้ทราบกันค่ะ แต่ก็ยังไม่ทิ้งเรื่องกุ๊กกิ๊กๆระหว่างพระเอกและนายเอกของเรื่องนะึคะ เรื่องนี้ครบจริงๆค่ะ จะเป็นกำลังใจให้พี่เซ็งเป็ดต่อไปค่ะ o13
-
สวัสดีค่ะพี่เซ็งเป็ด :impress2:
มีเพื่อนแนะนำให้ลองอ่านเรื่องนี้ดู ตอนแรกยังเฉยๆนะคะ แต่ทว่าเมื่อได้ลองอ่านแล้วกลับวางไม่ลงค่ะ
พอเลิกงานปุ๊บต้องรีบกลับบ้านทันที อาบน้ำกินข้าวแล้วเปิดคอมเข้ามาอ่านเรื่องนี้โดยด่วน
เป็นเรื่องแนวพีเรียดที่สนุกมากๆเท่าที่เคยได้อ่านมาเลยค่ะ น่าติดตามตลอดทั้งเรื่อง
มีทั้งตลก เครียด(จนคิ้วผูกโบว์) ท้องร้องเพราะสูตรอาหารไทย (ห้ามอ่านตอนท้องว่าง) และสุดท้ายเสียน้ำตาเป็นโอ่ง (เวอร์)
ชอบนายเอกเรื่องนี้มากๆ บ้าจริงๆ คนเอาแต่ใจ ขี้โวยวาย และเป็นที่รักของหมอปีย์ผู้เงียบขรึม
โดยส่วนตัวแล้วเรียนจบประวัติศาสตร์มาโดยตรงค่ะ (แต่อย่าเรียกว่าเก่ง) แต่กระนั้นก็มีเรื่องที่ไม่เคยได้พานพบมาก่อนในรายวิชาต่างๆที่ได้ร่ำเรียนมาตลอด 4 ปีในรั้วมหาวิทยาลัย นั่นคือ เรื่องลับๆระหว่างเจ้าพระยาวิชเยนทร์กับสมเด็จพระนารายณ์ที่พี่หมอปีย์ได้เล่าให้พ่ออัชย์ฟัง และยังเรื่องของกรมหลวงรักษ์รณเรศ ในเรื่องของเจ้าพระยาวิชเยนทร์นั้นไม่ค่อยแปลกใจเหตุเพราะเคยได้อ่านพงศาวดารแล้วเจอเรื่องความสนิทสนมชิดใกล้และเป็นคนโปรดของสมเด็จพระนารายณ์มากๆ และตั้งใจรับใช้พระองค์จนถึงขั้นที่ไม่สนใจท้าวทองกีบม้าเลย แต่อาจเป็นเพราะการงานที่ปฏิบัตินั้นมิสามารถปลีกตัวมาได้
แต่เรื่องของกรมหลวงรักษ์รณเรศนั้น ไม่เคยได้รู้เรื่องมาก่อนเลย พอได้อ่านตอนนี้ของพี่เซ็งเป็ด จึงรีบไปหาอ่าน ซึ่งก็ได้ทราบความมาที่ตรงกับที่พี่เซ็งเป็ดวางพลอตไว้ให้หมอปีย์เล่า รู้สึกทึ่งมากๆค่ะ ที่สามารถวางพลอตเรื่องได้ไม่ขาดตกบกพร่องใดๆเลย
เรื่องนี้สามารถบรรยายวิธีการทำ "อาหารไทย" ได้ประหนึ่งว่าอยู่ในยุคนั้นจริงๆ มีอยู่ตอนนึงที่เป็นเรื่องของ "แกงจืดลูกรอก" เป็นตอนที่อ่านแล้วร้องไห้ค่ะ ที่ร้องไห้เพราะว่าคิดถึงคุณย่ามากๆค่ะ คุณย่าชอบน้ำแกงจืดมาใส่ข้าวแล้วป้อนให้กินเมื่อสมัยยังเป็นเด็กค่ะ และยังอาหารอีกหลายสำรับที่พาลให้คิดถึงคุณย่าทวดเช่นกันค่ะ เคยถามคุณพ่อ ท่านก็ว่า ทำแบบนี้แหละ คนโบราณก็นิยมใช้หอมแดงในการปรุงอาหารหลายชนิด พอได้อ่านสูตรอาหารหลายๆสูตร ก็เกิดอาการ "น้ำลายสอ" ขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้เลยค่ะ บางสำรับไม่เคยได้ยินชื่อ บางสำรับก็ได้ยินจากคุณย่าบ้างค่ะ ส่วนเรื่อง "คลุมโพลง" นั้น ก็เคยได้ทำแบบนั้นมาค่ะ เพื่อช่วยบรรเทาอาการหวัด
นอกจากนี้ยังสุดยอดในเรื่อง "ภาษาและวัฒนธรรม" อีกด้วยค่ะ พี่เซ็งเป็ดใช้ภาษาที่สวยงามมากๆค่ะ อ่านแล้วอึ้งไปเลยค่ะ โดยส่วนตัวชอบภาษาโบราณแบบนี้มากๆค่ะ มักได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่พูดกันบ่อยๆ ด้วยความที่อาจได้รับการอบรมออกจะโบราณสักนิด เลยทำให้ยิ่งชอบเรื่องนี้มากขึ้นอีกทวีคูณเลยค่ะ :impress2:
ภาษาที่หมอปีย์ใช้นั้นช่างสละสลวยแล้วทำให้รู้สึกอ่อนโยนตามนิสัยของหมอด้วยค่ะ แต่ของพ่ออัชย์นั้นกระโชกโฮกฮากตรงตามคอนเซ็บต์ดีค่ะ คนสมัยนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเก็บอารมณ์ความรู้สึกทุกอย่าง ไม่สามารถพูดหรือทำอะไรได้อย่างใจคิดเหมือนสมัยนี้ ซึ่งตรงนั้นหมอปีย์สามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของคนยุคนั้นได้อย่างดีเียี่ยมค่ะ แต่ชอบมากๆตอบหมอปีย์เขิน น่ารักมากๆค่ะ มุมละมุนของผู้ชายมาดขรึม :man1:
ฉากที่เรียกรอยยิ้มได้มากโขเลยก็ตอนที่ไปจนถึงเรือนตากอากาศของหมอจรัสที่ชะอำ แล้วได้ทำให้พ่ออัชย์ได้รู้ใจตัวเองแบบหมดเปลือก แล้วไหนจะตอนที่....กัน โอยยยย อมยิ้มจนแก้มปริเลยค่ะพี่เซ็งเป็ด แต่ขำที่ต้องไปชกเรียกเหงื่อก่อนที่จะ....กัน 5555+
ส่วนตอนที่ทำให้น้ำตาไหลได้เป็นโอ่งเลยก็ไม่พ้นตอนที่เศร้ามากๆอย่างตอนที่พ่ออัชย์ให้หมอปีย์ไปแต่งงานกับนางคำแก้วนั่นอีก คำพูดของหมอปีย์ช่างบีบรัดหัวใจ แล้วยังตอนที่หมอปีย์ตายเพราะยาพิษ และพ่ออัชย์ต้องทนทุกข์ทรมานไปอีก 20 ปี มันบีบรัดหัวใจมากๆ่เช่นกันค่ะ อ้อ...แล้วตอนที่พ่ออัชย์ได้ย้อนกลับมาแต่ต้องโทษประหารนั้น หมอปีย์จักตายตกไปตามกันด้วย นั่นยิ่งทำให้น้ำตาไหลออกมาเช่นทำนบแตกเลยค่ะ จดหมายที่หมอแนบมาในหนังสือเล่มนั้นก็เช่นกันค่ะ คำพูดของพ่ออัชย์กินใจมากๆ ทำให้รู้สึกสงสารทั้งหมอปีย์และพ่ออัชย์ก็ตอนที่พ่ออัชย์กำลังจะตาย
“อยู่ต่อเถอะนะหมอ มีชีวิตอยู่ต่อ.........อย่างสง่างาม”
เรื่องนี้โดยรวมทั้งหมดเลยนะคะ ชอบมากถึงมากที่สุดค่ะพี่เซ็งเป็ด อยากให้พี่เขียนนิยายแนวนี้ออกมาอีกค่ะ เพราะนิยายของพี่เซ็งเป็ดที่ได้สัมผัสในเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกเลยนะคะ เป็นเรื่องที่ทำให้มองได้ว่า เป็นเรื่องที่สนุกได้โดยไม่ต้องอีโรติคค่ะ :-[
สุดท้ายนะคะ เรื่องวัฒนธรรมไทยที่พ่ออัชย์ถ่ายทอดออกมาทางคำพูดนั้น กระแทกจิตมากๆค่ะ
“นอกจากลูกหลานเราจะรับวัฒนธรรมของตะวันตกแล้ว เรายังตกเป็นเมืองขึ้นทางวัฒนธรรมของเพื่อนบ้านที่สมัยหนึ่ง หรือในสมัยนายนี่แหละ เคยล้าหลัง ยากเข็ญและแร้นแค้นกว่าสยามหลายเท่านัก นั่นก็คือเกาหลี”
"เราอยากเป็นเขา และก็ปฏิเสธที่จะเป็นเรา"
“เรานับถือทุกประเทศ ยกเว้นตัวเราเอง”
เหมือนโดนตบหน้าฉาดใหญ่ แต่กระนั้นก็ยอมรับค่ะว่าปัจจุบันนี้เราบูชาพวกเขามากกว่ารากเหง้าของตัวเองค่ะ
แต่ถ้าถามว่ารู้จักเพลงฉ่อย ลำตัด ไหม รู้จักค่ะ ชอบฟังลำตัดมากๆค่ะตอนเป็นเด็ก เพราะคุณย่าชอบค่ะ เลยได้ซึมซับมาด้วย
โขน ก็เป็นสิ่งที่ชอบมากๆเช่นกันค่ะ
ทุกวันนี้รักอาหารไทยและขนมไทยมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
"ตัวเป็นไทย ใจก็ยังเป็นไทย" อยู่ดั่งที่บรรพบุรุษเราได้ฝากฝังไว้ให้ลูกหลานได้สืบทอดต่อไปค่ะ
ขอบคุณพี่เซ็งเป็ดในการถ่ายทอดเรื่องราวความรู้สาระที่อัดแน่น ทั้งยังคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมและประเพณีที่ดีงามของไทยเราให้ได้ทราบกันค่ะ แต่ก็ยังไม่ทิ้งเรื่องกุ๊กกิ๊กๆระหว่างพระเอกและนายเอกของเรื่องนะึคะ เรื่องนี้ครบจริงๆค่ะ จะเป็นกำลังใจให้พี่เซ็งเป็ดต่อไปค่ะ o13
ขอบคุณมากครับสำหรับคอมเม๊นท์ที่ละเอียดและทำให้รู้ว่าน้องอ่านจริงๆ และรับรู้ได้จริงๆ
อ่านทุกตัวอักษรเลยครับ 555 เพราะเหมือนเป็นกระจกสะท้อนตัวเราเอง
เพื่อที่จะพัฒนาชิ้นต่อไป
ยังไงก็ขอให้ติดตามกันต่อไปนะครับ เมื่อมีโอกาสได้เขียนผลงานเล่มต่อไป
-
พี่เป็ดคะ ตอนพิเศษมาลงอีกตอนไหนค๊า...!!!!!! รอรอรอรอ อย่างใจจดใจจ่อ
เอ๊ะ..!! หรือว่าจะลงเฉพาะในหนังสือ TT^TT
-
เข้ามา ตอบ ก่อน มาอ่านตอนจบครับ
-
อ๊ากกกกกกกกกกก
ชอบบบบบบบบมากกกกกกกอ่ะ
อ่านแล้วรู้สึกว่ารักประเทศไทย
ปอแล้วก็พี่หมอด้วย
อยากได้จังเลยยยยยอ่าอ่ะ
-
โอนเงินไปแล้วนะค้า:) รอรอ
-
โอนเงินไปแล้วนะคะ หลังจากนี้ก็แค่รออย่างเดียวใช่ป่าว?
แล้วต้องแจ้งชื่อ ที่อยู่ตอนไหนอ่ะ เพิ่งเคยสั่งหนังสือครั้งแรก แหะๆ :m23:
-
มารออ่านต่อเหมือนกันครับบบ ลงวันไหนบอกได้ไหมครับบบบบ รักคนอ่าน Like คนเขียนน่ะครับบบ รออยู่น่ะครับบบบบ :call: :call: :call:
-
ในหนังสือจะมีภาคปัจจุบันมั้ยค่ะ
อยากอ่านมากกกก
ถ้าไม่มีคงเสียใจแย่เลยอ่ะ :impress3:
-
ในหนังสือจะมีภาคปัจจุบันมั้ยค่ะ
อยากอ่านมากกกก
ถ้าไม่มีคงเสียใจแย่เลยอ่ะ :impress3:
มีครับ มีในพาร์ทของพี่หมอ ที่จะเล่าย้อนไปว่าทำไมเขาถึงได้รักปอขนาดนั้นด้วย
ติดตามอ่านได้ในหนังสือนะครับ
-
โอนเงินไปแล้วนะคะ หลังจากนี้ก็แค่รออย่างเดียวใช่ป่าว?
แล้วต้องแจ้งชื่อ ที่อยู่ตอนไหนอ่ะ เพิ่งเคยสั่งหนังสือครั้งแรก แหะๆ :m23:
เมลล์แจ้งโอนเงิน บอกจำนวนเงินที่โอน วันที่โอน และแจ้งที่อยู่จัดส่ง แล้วรอได้เลยค่ะ
-
หึหึ คืออยากสารภาพว่ายังไม่เคยอ่านเรื่องนี้เลยอะคะ(โดนรุมตืบ)
แต่ดิฉันจองไปเรียบร้อยแล้ว(เอ๊าฮิ๊วววววว)
และเหตุผลที่จองไปก่อนนั้นก็คือ.....คื๊อ....(จะบิ๊วอารมณ์ทำไมเนี้ย)
....อยากได้....(สองคำจบปะ)อิอิ
ไม่ใช่ ไม่ใ่ช่ เพราะคิกว่าเรื่องนี้ต้องสนุกแน่ๆอะ
และก็เป็นจริงดั่งที่คิด อ่านไปยังไม่ถึง1ใน8ของเรื่อง
.....................................
สนุกมา๊ากกกกกกกกกกกก
อ๊ากกกก อยากได้เร็วๆ อยากอ่านๆ
เพราะฉะนั้น เดี๋ยวรอเมลล์ยืนยันกลับแล้วจะไปโอนให้นะคะ
จุ๊บจุ๊บ :กอด1:
-
พี่เป็ดคะ ตอนพิเศษมาลงอีกตอนไหนค๊า...!!!!!! รอรอรอรอ อย่างใจจดใจจ่อ
เอ๊ะ..!! หรือว่าจะลงเฉพาะในหนังสือ TT^TT
อื่มมมมมมม รอเหมือนกันน่ะครับบบบบ..... o13 o13
-
รออ่านด้วยคนค้าบบบ
-
เป็นอีกหนึ่งคนที่อ่านเรื่องนี้แบบรวดเดียวจบ
และคอมเม้นท์เรื่องนี้เป็นครั้งแรก (ขอโทษค่ะ (_ _*))
เพียงแค่อยากขอบคุณพี่เซ็งเป็ดอย่างสุดซึ้ง
บอกได้เลยว่าตัวเองเป็นคนที่เคยชอบเกาหลีอยู่ช่วงหนึ่ง (ตอนนี้ซาลงไปมากเพราะเรียนหนัก!)
แต่อ่านเรื่องนี้แล้วให้ความรู้สึกภูมิใจในประเทศขึ้นมาแบบแปลกๆ
เคยคิดว่าสมัยก่อนคงลำบากยากแค้นกันน่าดู
แต่พออ่านเรื่องนี้ในมุมมองที่พี่เซ็งเป็ดเสนอขึ้น ดันอยากย้อนเวลาได้บ้างซะงั้น
แต่น่าเสียดายที่ต่อจากนี้จะไม่ได้้เปิดคอมมาเจอพ่ออัชย์กับหมอปีย์อีกแล้ว
ขอบคุณที่เขียนนิยายน้ำดีแบบนี้มาให้อ่านให้แง่คิดเยอะมากๆค่ะ
ปล.อยากจองแต่ตังค์ไม่พอเลยยังไม่กล้ากดจองไป เก็บตังค์ครบเมื่อไหร่คงได้ฤกษ์จองแหละค่ะ 2 มี.ค น่าจะทันนะ..
-
เพิ่งอ่านจบค่ะ!
ตอนจบซึ้งมาก :sad4:
ซึ้งจนน้ำตาไหล :o12:
ตั้งมั่นว่าจะต้องซื้อเรื่องนี้ให้ได้!
(ส่งเมลล์เรื่องโอนไปแล้ว)
เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นในหลายๆด้านเลยทีเดียว
ช่วงแรกๆนี่..อายตัวเองเสียจริง ขายชาิติ! :z2:
ตอนที่รู้ว่ามุกกับพี่หมอเป็นคู่หมั้นพอมาเจอคำแก้วนี่..
อ้อ! เลยล่ะ :a5: คิดเคยว่าพี่หมอคือหมอปีย์กลับชาติมาเกิด!
อีกจุดสังเกตุคือ .. เป็นหมอเช่นเดียวกัน - -++
เอ้อ...ตอนที่อัชย์กลับมาโลกปัจจุบันแล้วติดอยู่ซัก 20 ปีนั่น..
พอจะรู้ได้ว่ามันอ้างว้างมาก เราก็มีแต่เขาในใจ ข้างกายก็โดดเดี่ยว :monkeysad:
สุดท้ายนี้คือขอบคุณที่ได้แต่งนิยายดีๆเรื่องนี้มาห้อ่านนะคะ ขอบคุณค่ะ :pig4: :pig4:
รักเรื่องนี้มาก..ไว้จะมาอ่านอีก :-[
รักทุกนในเรื่องนี้ค่ะ : )
ปล.ชอบสนกับแดงมากค่ะ แมเป็นตัวละครที่ดีเยี่ยมตัวหนึ่งค่ะ! :impress2:
-
กำลังอ่านไปเรื่อยๆๆ จนกว่าจะจบครับ
-
พี่เซ็งเป็ดครับ
ก๊อฟ โอนเงินค่าหนังสือไปเรียบร้อยแล้ว
แต่ยังไม่ได้รับเมลล์ ยืนยันการรับเงินเลยอ่ะครับ
รบกวนพี่เช็คให้หน่อยนะครับ ว่าเมล์ตกหล่นหรือเปล่า
กลัวไม่ได้หนังสือ อยากได้มาก ๆ ๆ
เมลล์ ก๊อฟ g_o_l_f_2529แอทhotmail.com
ขอบคุณมากครับ
-
แต่ที่ต้องทำแบบนั้นก็เพราะเหตุผลที่พ่อรับปากแม่ไว้ก่อนตาย
“คุณคะ ให้ปอแต่งงานกับลูกสาวคุณพิภพนะคะ”
นี่คือคำที่แม่ร้องขอก่อนตาย ผมไม่รู้เหตุผลของแม่หรอกว่าทำไมท่านถึงอยากให้ผมแต่งงานกับมุก แต่จนถึงวันนี้
หากแม่รับรู้ได้ แม่คงเข้าใจและไม่โกรธนิจใช่มั๊ยครับ ที่ทำตามความต้องการของแม่ไม่ได้
พิมพ์ชื่อผิดหรือเปล่าค่ะ ^^
:กอด1:ขอบคุณที่เขียนนิยายดีๆให้ได้อ่านกันค่ะ นิยายเรื่องนี้ไม่ได้สวยงามเพียงแค่เรื่องของความรัก
แต่ภาษาและวัฒนธรรมที่สื่อออกมาจากตัวละคร ทำให้น่าภาคภูมิใจในความเป็นไทยมากเลยค่ะ
แดจังกึมที่ว่าแน่ ก็ยังสู้อาหารไทยของคุุณชั้นไม่ได้เลย o13
-
ขอบคุณมากครับ เดี๋ยวจะทยอยตอบเมลให้นะครับ
อาทิตย์หน้าน่าจะได้เอาปกมาให้ได้ดูกันพร้อมเนื้อหาตอนต่อไปมาเรียกน้ำย่อย
ตอนนี้กำลังเร่งออกแบบอยู่จ้า o13
-
สวัสดีค่ะพี่เซ็งเป็ด วันนี้อ่าน กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม จบเรียบร้อยแล้ว จะไม่ลืมเลยว่าเคยอ่านนิยายวายที่มีคุณภาพ กินใจ และน่าจดจำเรื่องนึง อยากจะบอกว่าเป็นเรื่องแรกที่อ่านจบเลยล่ะค่ะ อยากจะเล่ากาลครั้งหนึ่งที่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้ ตอนแรกมีคนตั้งกระทู้ที่สยามโซนเพื่อขอนิยายจากเล้าอ่าน
แล้วมีคนแนะนำเรื่อง A moment in siam ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร ก็เลื่อนสกอร์บาร์ผ่านเลยไป สยามอะไร สยามแสควร์เหรอ (คิดได้น่าตบตีมาก) แล้วก็ไม่ได้สนใจเลย จนกระทั่งเข้าเฟชของเล้าเป็ด อาจจะเป็นพรหมลิขิตก็ได้ที่ทำให้เรามาเจอกัน หมอปีย์ และพ่ออัชย์
ขึ้นลิ้งเรื่องนี้เลยกดเข้ามาอ่านเฉยๆ ตอนแรกที่จะอ่านแค่ผ่านๆงั้นๆ แต่พออ่านบทแรกก็ไม่อาจถอนตัวจากนิยายเรื่องนี้ได้เลย อ่านแล้วติดพอได้เจอแต่ละประโยค แต่ละคำเข้าไป มันเป็นความรู้สึกงดงาม ประมาณทุ้มอยู่ในใจ พอไปโรงเรียนแล้วก็จะพูดแต่หมอปีย์ อ่านตลอดเลยค่ะแบบว่าติดมาก
ขนาดในคาบประวัติศาสตร์หยิบโทรศัพท์(ของเพื่อน)ขึ้นมาอ่านหมอปีย์ตอนอาจารย์สอนหน้าห้อง อ่านแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองได้เรียนประวัติศาสตร์และได้แง่คิดอะไรมากมายกว่าคำว่าสนุก ตัวละครทุกตัวมีมิติ เหมือนกับว่ามีตัวตนอยู่จริงๆ
มีหลายครั้งที่นั่งเหม่อลอยไปไกลและมองเห็นภาพหมอปีย์กับพ่ออัชย์ บางทีก็คิดว่าเขาทั้งสองมีตัวตนอยู่จริงๆ การย้อนเวลาเกิดขึ้นได้จริง(แบบว่าอินจัด)ตอนอยู่โรงเรียนก็เล่าแต่หมอปีย์กับพ่ออัชย์ให้เพื่อนฟัง และตอนที่อ่านบทสนทนาของหมอปีย์ พี่บรรยายจนบางครั้งคิดว่ามีหมอปีย์มาพูดเสียงนุ่มๆอยู่ใกล้ๆ (เป็นเอามากจริงๆ๕๕)
และที่สำคัญเรื่องนี้สอนอะไรเยอะมาก เล่าเรื่องความเป็นจริงของคนไทยในยุคเกย์เฟื่องฟู(อิอิ)ได้อย่างชัดเจนและตรงกับความเป็นจริง ความรู้สึกมันเหมือนว่าเราอยู่บนผืนแผ่นดินเดียวกันแต่ต่างกันตรงกาลเวลา ร.๕ได้ทรงเลิกทาสไปแล้ว แต่ว่าคนไทยยังคงเป็นทาสแต่ต่างจากชาวสยามในยุคนั้น เราเป็นทาสทางวัตถุนิยมและความสุขจอมปลอมที่สร้างมันขึ้นมา
วิ่งตามไขว้คว้าหาสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง...ต่างกับคนสยามในยุคนั้นมากๆ อีกอย่างอ่านเรื่องนี้แล้วได้อะไรหลายๆอย่างในด้านของวัฒนธรรม อ่านแล้วบางทีก็ใจหายเหมือนกัน เพราะกลัวว่าวันหนึ่งสมบัติของชาติที่มีค่าจะเลือนหายไปตามกาลเวลาและรสนิยมของเด็กรุ่นใหม่
ช่วงวันสองวันที่ผ่านมานั่งอยู่เฉยๆกับเพื่อนในรถที่การจราจรติดขัด ผู้คนต่างเร่งรีบ เราก็พูดขึ้นมว่า "แก ความจริงเพลงลูกทุ่ง ลูกกรุงมันก็เพราะดีนะ" มันทำให้รู้สึกว่าเรามีของดีอยู่แต่กลับไม่เคยมองเห็นค่าของมัน คิดว่าเป็นสิ่งที่เชยและล้าสมัย
ตัวผู้อ่านเป็นเด็กในวงดนตรีไทยมาประมาณ ๔ ปี (แต่ตอนนี้ออกจากวงแล้วเนื่องจากไม่มีเวลาในการเข้าไปร่วมเล่นกับวง รู้สึกคิดถึงเสียงระนาด เสียงซอ เสียงขิมเหมือนกัน)มีวันหนึ่งไปเดินเล่นกับเพื่อน เขาพูดกันว่าจะฟอร์มวงดนตรีขึ้น จะเล่นกีต้าร์ เล่นเบส ไม่เห็นมีใครพูดว่าอยากเล่นระนาด ขลุ่ย ซอ บ้างเลย
ยอมรับว่าดนตรีไทยเวลาเล่นแล้วมันจะสยบทุกสายตาได้จริงๆ เพราะความปราณีตและไพเราะในตัวของมันเอง แต่ก็นั่นแหละ...ทุกคนคิดว่าเป็นเรื่องที่เฉิ่มเชยไปเสียหมด พออ่านนิยายเรื่องนี้แล้วความคิดพวกนี้มันก็เกิดขึ้นในใจเต็มไปหมด
ทุกบททุกตอนที่พ่ออัชย์พูดถึงคนสยามในยุคนี้เหมือนโดนอะไรแทงใจดำ ฉึกๆเลยล่ะค่ะ
อีกส่วนหนึ่งทีทำให้นิยานเรื่องนี้สวยงามคือความรัก อ่านแล้วทำให้เรารู้สึกอินไปเลยว่า ไม่ว่ากาลเวลา เพศ หรือกรอบประเพณีแล้ว ไม่มีคำพวกนี้ในนิยามของคำว่า 'ความรัก' มันทำให้รู้สึกว่าทุกอย่างมันประทับใจจนไม่รู้จะบรรยายออกมายังไงดี
รักความรักของคนสองคน รักหมอปีย์ รักพ่ออัชย์ รักทุกสิ่งในถ้อยคำและบทสนทนาของคนทั้งคู่ บางทีเฉิ่มเชย แต่พออ่านแล้วกลับไม่รู้สึกแบบนั้น มันงดงาม มันตื้นตัน อ่านแล้วหัวใจเต้นตึกตัก หมายเหตุ อยากฝากสายลมไปบอกหมอปีย์ว่า ตอนนี้ต้นรักน่ะ ปลูกขึ้นแล้วนะ ปลูกขึ้นในใจของผู้อ่านคนนี้ไง
ฮิๆ
ชื่นชมคุณเซ็งเป็ดบ้างดีกว่า อยากบอกว่าคุณสุดยอดดดดดดดดมาก ในการวางพล็อต เขียนเรื่อง เก็บรายละเอียดได้ทุกเม็ด ประมาณว่าเป็นท่านหลวงเซ็งเป็ดในยุคนั้นเลยจริงๆ บรรยายอาหารได้น่ารับประทานจริงๆเจ้าค่ะ อ่านแล้วอยากนั่งรถไปแถวๆท่าพระจันทร์ แถวๆสนามหลวง ไปหาอาหารชาววัง ฮิๆ
ชอบข้าวต้มปลาทูสุดๆ (อยากจะลิ้มรสมากมายเจ้าค่ะ) และที่สำคัญ บทสังวาส (บทอัศจรรย์นั่นแล...เอิ๊กๆ)ก็บรรยายได้สวยงาม อ่านแล้วนึกถึงอารมณ์ทะเลกำลังคลั่งด้วยรสแห่งสิเน่หา (มาโบราณได้อีก ไม่ได้ๆต้องให้เข้ากับท้องเรื่อง)
แต่งเป็นกลอนได้อื้อหือ อ่านแล้วไม่หวือหวา แต่หวั่นไหว อ้าก มันงดงามจริงๆ
ฮ่าๆ ยังไงก็ขอบคุณมากค่ะที่แต่งเรื่องนี้มาให้อ่านกัน และขอโทษด้วยจริงๆค่ะที่ไม่ได้แสดงความคิดเห็นในแต่ละตอนที่ผ่านมา เนื่องจากอ่านจบแล้วกะพิมพ์ยาวๆเลย) แต่ความจริงแค่นี้ก็ไม่หมด (มันยาวมาก ใครรำคาญก็ขอโทษด้วยจ้า ฮึกๆ เค้าประทับใจเรื่องนี้จริงๆ)
หมายเหตุ :: สั่งจองไปแล้วนะจ๊ะ แต่ยังไม่ได้โอน(กำลังเร่งเก็อบัฐอยู่) อยากได้มาไว้ครอบครองควรแค่แก่การอ่าน
ปล.อยากให้พี่เซ็งเป็ดเซ็นลายเซ็นให้จัง
ขอบคุณอีกครั้งสำหรับนิยายเรื่องนี้ เราจะจำไว้ในความทรงจำว่าเคยอ่านเรื่องราวที่น่ารักของหมอปีย์และพ่ออัชย์
๒๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๕
-
โอยยยยยยยยยย ไม่ไหวจริงๆค่ะเรื่องนี้
อ่านแล้วรู้สึกแบบ เฮ่ยย มันสามารถเป็นวรรณกรรมได้เลยนะสำหรับอิชั้น
ใครจะว่าเวอร์ไม่รู้ แต่อิชั้นรู้สึกแบบ มันเป็นอะไรที่ดูมีคุณค่า
อ่านแล้วรักสยามของเรามากขึ้น รักประเทศชาติ ประเพณีวัฒนธรรมต่างๆ มากขึ้น
ไม่รู้สิ่คะ รู้แต่รักเรื่องนี้เลย อยากย้อนอดีตมั่งจัง ฮ่าๆ
รอตอนพิเศษอยู่นะคะคุณเซ็งเป็ด 55555555
ปล.ยังไงก็จะซื้อแน่นอนค่ะ แต่ณ ตอนนี้ อิชั้นขอตัวเก็บสะตุ้งสะตังก่อนนะคะ อิอิ :impress2:
-
สวัสดีค่ะพี่เซ็งเป็ด วันนี้อ่าน กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม จบเรียบร้อยแล้ว จะไม่ลืมเลยว่าเคยอ่านนิยายวายที่มีคุณภาพ กินใจ และน่าจดจำเรื่องนึง อยากจะบอกว่าเป็นเรื่องแรกที่อ่านจบเลยล่ะค่ะ อยากจะเล่ากาลครั้งหนึ่งที่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้ ตอนแรกมีคนตั้งกระทู้ที่สยามโซนเพื่อขอนิยายจากเล้าอ่าน
แล้วมีคนแนะนำเรื่อง A moment in siam ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร ก็เลื่อนสกอร์บาร์ผ่านเลยไป สยามอะไร สยามแสควร์เหรอ (คิดได้น่าตบตีมาก) แล้วก็ไม่ได้สนใจเลย จนกระทั่งเข้าเฟชของเล้าเป็ด อาจจะเป็นพรหมลิขิตก็ได้ที่ทำให้เรามาเจอกัน หมอปีย์ และพ่ออัชย์
ขึ้นลิ้งเรื่องนี้เลยกดเข้ามาอ่านเฉยๆ ตอนแรกที่จะอ่านแค่ผ่านๆงั้นๆ แต่พออ่านบทแรกก็ไม่อาจถอนตัวจากนิยายเรื่องนี้ได้เลย อ่านแล้วติดพอได้เจอแต่ละประโยค แต่ละคำเข้าไป มันเป็นความรู้สึกงดงาม ประมาณทุ้มอยู่ในใจ พอไปโรงเรียนแล้วก็จะพูดแต่หมอปีย์ อ่านตลอดเลยค่ะแบบว่าติดมาก
ขนาดในคาบประวัติศาสตร์หยิบโทรศัพท์(ของเพื่อน)ขึ้นมาอ่านหมอปีย์ตอนอาจารย์สอนหน้าห้อง อ่านแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองได้เรียนประวัติศาสตร์และได้แง่คิดอะไรมากมายกว่าคำว่าสนุก ตัวละครทุกตัวมีมิติ เหมือนกับว่ามีตัวตนอยู่จริงๆ
มีหลายครั้งที่นั่งเหม่อลอยไปไกลและมองเห็นภาพหมอปีย์กับพ่ออัชย์ บางทีก็คิดว่าเขาทั้งสองมีตัวตนอยู่จริงๆ การย้อนเวลาเกิดขึ้นได้จริง(แบบว่าอินจัด)ตอนอยู่โรงเรียนก็เล่าแต่หมอปีย์กับพ่ออัชย์ให้เพื่อนฟัง และตอนที่อ่านบทสนทนาของหมอปีย์ พี่บรรยายจนบางครั้งคิดว่ามีหมอปีย์มาพูดเสียงนุ่มๆอยู่ใกล้ๆ (เป็นเอามากจริงๆ๕๕)
และที่สำคัญเรื่องนี้สอนอะไรเยอะมาก เล่าเรื่องความเป็นจริงของคนไทยในยุคเกย์เฟื่องฟู(อิอิ)ได้อย่างชัดเจนและตรงกับความเป็นจริง ความรู้สึกมันเหมือนว่าเราอยู่บนผืนแผ่นดินเดียวกันแต่ต่างกันตรงกาลเวลา ร.๕ได้ทรงเลิกทาสไปแล้ว แต่ว่าคนไทยยังคงเป็นทาสแต่ต่างจากชาวสยามในยุคนั้น เราเป็นทาสทางวัตถุนิยมและความสุขจอมปลอมที่สร้างมันขึ้นมา
วิ่งตามไขว้คว้าหาสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง...ต่างกับคนสยามในยุคนั้นมากๆ อีกอย่างอ่านเรื่องนี้แล้วได้อะไรหลายๆอย่างในด้านของวัฒนธรรม อ่านแล้วบางทีก็ใจหายเหมือนกัน เพราะกลัวว่าวันหนึ่งสมบัติของชาติที่มีค่าจะเลือนหายไปตามกาลเวลาและรสนิยมของเด็กรุ่นใหม่
ช่วงวันสองวันที่ผ่านมานั่งอยู่เฉยๆกับเพื่อนในรถที่การจราจรติดขัด ผู้คนต่างเร่งรีบ เราก็พูดขึ้นมว่า "แก ความจริงเพลงลูกทุ่ง ลูกกรุงมันก็เพราะดีนะ" มันทำให้รู้สึกว่าเรามีของดีอยู่แต่กลับไม่เคยมองเห็นค่าของมัน คิดว่าเป็นสิ่งที่เชยและล้าสมัย
ตัวผู้อ่านเป็นเด็กในวงดนตรีไทยมาประมาณ ๔ ปี (แต่ตอนนี้ออกจากวงแล้วเนื่องจากไม่มีเวลาในการเข้าไปร่วมเล่นกับวง รู้สึกคิดถึงเสียงระนาด เสียงซอ เสียงขิมเหมือนกัน)มีวันหนึ่งไปเดินเล่นกับเพื่อน เขาพูดกันว่าจะฟอร์มวงดนตรีขึ้น จะเล่นกีต้าร์ เล่นเบส ไม่เห็นมีใครพูดว่าอยากเล่นระนาด ขลุ่ย ซอ บ้างเลย
ยอมรับว่าดนตรีไทยเวลาเล่นแล้วมันจะสยบทุกสายตาได้จริงๆ เพราะความปราณีตและไพเราะในตัวของมันเอง แต่ก็นั่นแหละ...ทุกคนคิดว่าเป็นเรื่องที่เฉิ่มเชยไปเสียหมด พออ่านนิยายเรื่องนี้แล้วความคิดพวกนี้มันก็เกิดขึ้นในใจเต็มไปหมด
ทุกบททุกตอนที่พ่ออัชย์พูดถึงคนสยามในยุคนี้เหมือนโดนอะไรแทงใจดำ ฉึกๆเลยล่ะค่ะ
อีกส่วนหนึ่งทีทำให้นิยานเรื่องนี้สวยงามคือความรัก อ่านแล้วทำให้เรารู้สึกอินไปเลยว่า ไม่ว่ากาลเวลา เพศ หรือกรอบประเพณีแล้ว ไม่มีคำพวกนี้ในนิยามของคำว่า 'ความรัก' มันทำให้รู้สึกว่าทุกอย่างมันประทับใจจนไม่รู้จะบรรยายออกมายังไงดี
รักความรักของคนสองคน รักหมอปีย์ รักพ่ออัชย์ รักทุกสิ่งในถ้อยคำและบทสนทนาของคนทั้งคู่ บางทีเฉิ่มเชย แต่พออ่านแล้วกลับไม่รู้สึกแบบนั้น มันงดงาม มันตื้นตัน อ่านแล้วหัวใจเต้นตึกตัก หมายเหตุ อยากฝากสายลมไปบอกหมอปีย์ว่า ตอนนี้ต้นรักน่ะ ปลูกขึ้นแล้วนะ ปลูกขึ้นในใจของผู้อ่านคนนี้ไง
ฮิๆ
ชื่นชมคุณเซ็งเป็ดบ้างดีกว่า อยากบอกว่าคุณสุดยอดดดดดดดดมาก ในการวางพล็อต เขียนเรื่อง เก็บรายละเอียดได้ทุกเม็ด ประมาณว่าเป็นท่านหลวงเซ็งเป็ดในยุคนั้นเลยจริงๆ บรรยายอาหารได้น่ารับประทานจริงๆเจ้าค่ะ อ่านแล้วอยากนั่งรถไปแถวๆท่าพระจันทร์ แถวๆสนามหลวง ไปหาอาหารชาววัง ฮิๆ
ชอบข้าวต้มปลาทูสุดๆ (อยากจะลิ้มรสมากมายเจ้าค่ะ) และที่สำคัญ บทสังวาส (บทอัศจรรย์นั่นแล...เอิ๊กๆ)ก็บรรยายได้สวยงาม อ่านแล้วนึกถึงอารมณ์ทะเลกำลังคลั่งด้วยรสแห่งสิเน่หา (มาโบราณได้อีก ไม่ได้ๆต้องให้เข้ากับท้องเรื่อง)
แต่งเป็นกลอนได้อื้อหือ อ่านแล้วไม่หวือหวา แต่หวั่นไหว อ้าก มันงดงามจริงๆ
ฮ่าๆ ยังไงก็ขอบคุณมากค่ะที่แต่งเรื่องนี้มาให้อ่านกัน และขอโทษด้วยจริงๆค่ะที่ไม่ได้แสดงความคิดเห็นในแต่ละตอนที่ผ่านมา เนื่องจากอ่านจบแล้วกะพิมพ์ยาวๆเลย) แต่ความจริงแค่นี้ก็ไม่หมด (มันยาวมาก ใครรำคาญก็ขอโทษด้วยจ้า ฮึกๆ เค้าประทับใจเรื่องนี้จริงๆ)
หมายเหตุ :: สั่งจองไปแล้วนะจ๊ะ แต่ยังไม่ได้โอน(กำลังเร่งเก็อบัฐอยู่) อยากได้มาไว้ครอบครองควรแค่แก่การอ่าน
ปล.อยากให้พี่เซ็งเป็ดเซ็นลายเซ็นให้จัง
ขอบคุณอีกครั้งสำหรับนิยายเรื่องนี้ เราจะจำไว้ในความทรงจำว่าเคยอ่านเรื่องราวที่น่ารักของหมอปีย์และพ่ออัชย์
๒๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๕
เข้ามาบอกว่าอ่านทุกตัวอักษรเลยครับ อ่านสองรอบ 555 เพราะว่ามันเป็นกำลังใจที่ดีเลย
ขอบคุณสำหรับคำชมนะครับ(ติมั่งก็ได้นะ จะได้เอาไปพัฒนาครั้งหน้า)
ผู้เขียนเองก็หลงรักเรื่องนี้เหมือนกัน ถึงพยายามอย่างหนักเพื่อเขียนให้จบ
ทั้งที่ท้อหลายครั้งมาก หายไปนานมาก สังเกตดูว่าเรื่องนี้ใช้เวลา ปีเต็ม นานมาก
แต่จบแล้วก็ดีใจครับที่มีคนชอบ ยังไงรอติดตามเรื่องต่อๆไปของผู้เขียนด้วยนะครับ
-
โอยยยยยยยยยย ไม่ไหวจริงๆค่ะเรื่องนี้
อ่านแล้วรู้สึกแบบ เฮ่ยย มันสามารถเป็นวรรณกรรมได้เลยนะสำหรับอิชั้น
ใครจะว่าเวอร์ไม่รู้ แต่อิชั้นรู้สึกแบบ มันเป็นอะไรที่ดูมีคุณค่า
อ่านแล้วรักสยามของเรามากขึ้น รักประเทศชาติ ประเพณีวัฒนธรรมต่างๆ มากขึ้น
ไม่รู้สิ่คะ รู้แต่รักเรื่องนี้เลย อยากย้อนอดีตมั่งจัง ฮ่าๆ
รอตอนพิเศษอยู่นะคะคุณเซ็งเป็ด 55555555
ปล.ยังไงก็จะซื้อแน่นอนค่ะ แต่ณ ตอนนี้ อิชั้นขอตัวเก็บสะตุ้งสะตังก่อนนะคะ อิอิ :impress2:
จะรอนะครับ อิๆ
-
อ่านรวดตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืน ....12 ชั่วโมงพักแค่ทานข้าวและเข้าห้องน้ำ เป็นเรื่องที่ทำให้ประทับใจมากที่สุดเท่าที่เคยอ่านมา เป็นมากกว่าคำว่า"นิยาย" และ...ทำให้ร้องไห้หนักที่สุด
-
อ่านจบแล้วเช่นกัน ตอนแรกอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องทั่วไป แต่อ่านไปเรื่อยกลับพบว่าเรื่องนี้สามารถเป็นเรื่องที่น่านะได้รับการยกย่องเรื่องภาษาและประวัติศาสตร์ได้เลย มีกลิ่นไอของอดีตที่ความเป็นไทยที่เราไม่เคยไดสัมผัสถึง มีการดำเนินเรื่องได้อย่างสอดคล้องไม่มากไปไม่น้อยไปทุกอย่างพอดี ในทุกครังที่พ่ออัชย์ได้เล่าเรื่องในยุคนี้แล้วนั้นมันเป็นสิ่งที่เป็นความจริงทุกประการ โดยที่เราได้แต่มองย้อนไปว่าทำไมเราทุกอย่างที่เป็นเราในวันนี้ เราถึงได้อยากไปเป็นคนอื่นเราไม่แต่จะยอมรับตัวตนของเราเอง
ป.ล.สั่งซื้อหนังสือ โอนเงินไปแล้วครับ อยากได้เป็นรูปเล่มเร็วๆจะได้อ่านทุกครั้งที่คิดถึง
-
สวัสดีคะ อ่านจบแล้วต้องขอฝากความคิดเห็นไว้ซะ"เล็กน้อย" :L2:
จริงแล้วเพิ่งเริ่มอ่านเมื่อเช้าเลยคะ ไล่กวดอ่านทั้งวันจนจบ( ป๊าดด อึ้งตัวเองอยู่)
พออ่านจบแล้ว ความรู้สึกมันปะปนกันไปหมดเลยคะ ไม่รู้อารมณ์ไหน เศร้าหน่อยๆ ประทับใจ ทุกอย่างรวมกันไปหมด งั้นจะขอแสดงความคิดเห็นตั้งแต่เริ่มเลยนะคะ
ตอนแรกก่อนคลิ๊กเข้ามาอ่าน ไปเจอกระทู้จองหนังสือ เรื่องนี้ก็เลยคลิ๊กเข้ามาลองอ่านดู อ่านไปตอนแรก..อืม งง ย้อนกลับไปอีกรอบ จึงเข้าใจ (ติดนิสัยกวาดตาอ่านไวไวเลยข้ามๆไป) อ่อ พ่ออัชย์นี่ :fire: ตอนแรกยังเดาเนื้อเรื่องไปต่างๆนานา เอ..หรือพระเอกจะนายทุนเจ้าหนี้ บลาๆๆ คิดไปกระทั่งพระเอกเป็นฝรั่งที่มาติดใจ ๕๕๕ พออ่านไปสักพัก โอ้ววววว ย้อนอดีตอะๆๆๆ แม่มณี~ (เพ้อไปแล้วยัยนี่) ส่วนตัวชื่นชอบเรื่องแบบแนวนี้อยู่แล้ว เลยตื่นเต้นตึกตัก แต่ก็แอบงงนิดๆตอนเจอกับคุณชั้นตอนแรกสุดเรื่องเกี่ยวภาพของตัวเรือนเนี่ยแหละคะ! แต่ก็อืมพยายามมโนภาพ
ช่วงที่พ่ออัชย์หลอกตัวเองว่าไม่ได้อยู่อดีตก็ทำเอาหงุดหงิดอยู่ เพราะทำใจได้ช้ามากกกกกกก แต่หมอพินิจเนี่ยทำเอาหวั่นไหวแล้วเกาะหนึบอยู่ ตอนที่พ่ออัชย์เล่าถึงประเทศไทยปัจจุบัน มันน่าสลดจริงๆแอบน้ำตาซึมเลยตรงนี้ เรายอมรับว่าเป็นคนนึงที่ชอบเพลงสากล เกาหลีอะไรพวกนี้ แต่ว่าเราก็ยังรักความเป็นไทยอยู่เห็นอย่างนี้ก็ชอบเรียนระนาดนะเออ! คนไทยยังไม่เลวร้ายขนาดนั้นคะพ่ออัชย์ขาา
อ่านไปจนถึงตอนที่คุณหมอหึงเนี่ยเป็นอะไรที่น่ารักเกิ๊น :impress2: แอบยุในใจ เอาเลย ตบจูบๆๆ :m20: แต่คุณหมอสุภาพบุรุษไทยใจงามเกิน น่าจะเป็นโสรยา อ๊า~ "กระผมเจ็บขอรับ คุณท่าน" :-[ อ่านเรื่องแนวนี้มันน่าหงุดหงิดตรงความเอื่อยของพระเอกนี่แหละ!! อยากจะแหวกเข้าำไปจับคุณหมอกรอกไวอากร้า ๕๕๕๕+
รักคุณยายหนูวาด น่ารักอะทั้งอดีตปัจจุบัน หลงรักตัวละครนี้เข้าเต็มหัวใจเลย เรื่องนี้มีตัวละครเด็ก2คน ที่ทั้งน่ารักและน่าสงสาร แตกต่างแต่กลับเหมือนกันอย่างน่าประหลาดใจ ส่วนของแดงนั้น น่าสงสารมาก ในใจแอบภาวนาให้หายดี กลับเป็นคนในบ้านคุณหมอ แต่เฮ้ออ น่าเสียดายจริงๆรู้สึกช๊อกไปพร้อมๆกับพ่ออัชย์เลยทีเดียว
คุณชั้นเป็นท่านที่น่าเคารพที่สุดในเรื่องนี้เลยเท่าอ่านมา ไม่มีคำอธิบายใดดีเท่าท่านเป็นครูตัวจริง เป็นผู้ใหญที่น่าเคารพ =A=
ตอนเดินทางไปชะอำโอย ปานจะขาดใจไม่ไหวแล้ววว ซวยซ้ำซ้อนจริงๆ ยายหนูกับแม่จันทร์ช่างเป็นคนดีจริงๆ ส่วนเจ้โคกับพ่อคุณเธอ เหอะ โหดเหลือร้าย แต่ก็ยังดีที่แม่นางปิ๊งคุณหมอ ไม่งั้น คุณหมอกับพ่ออัชย์อาจจะตายจริงๆก็ได้=_= แต่พอตอนนี้ออกมาได้ อื้อหือ หวานกันโพดดดด ปานน้ำผึ้งเดือนห้า สรุป มาฮันนีมูนกันใช่หรือไม่พ่อคู๊ณณณณณ คนอ่านอ่านไปเกาแขนคะเยอคะ มดกัด๕๕๕+
ตอนกลับมานี่แอบปวดใจ แต่แอบกระซิบว่าโรคจิตคะชอบบทแบบนี้ ต้องห่างกันทั้งที่รัก งอนๆกันเนี่ยชอบบบ ดราม่าชอบบบบบบบบ (ยัยโรคจิตเอ้ย!) เฮ้อ แต่เบื่อจริงๆกับบทผู้หญิงแบบนี้ที่ชักจูงง่าย ยอมทำร้ายผู้อื่นถึงขั้นตายเพื่อตัวเอง ไม่ได้คิดผลที่ตามมา ผู้หญิงยิ่งใหญ่แบบคุณชั้นไปไหนโม๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด :m31: :fire:
พอพ่ออัชย์กลับมาทำกิจการโอย มันทรมานแทน 20 ปี มันช่างยาวนานเหลือเกิน น้ำตาปริ่มจะไหล แต่พอกลับไปแล้วตัดสินใจแบบนั้นมัน.. มันช่าง :m16: ฮืออ เกลียดอารมณ์นี้ที่สุดเลยคะ ที่จริงมันน่าจะมีทางออกที่ดีกว่านี้นะเฮ้อ เป็นต้นว่า มันบูดของเก็บทิ้งไรงี้= = (ไร้สาระ) เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรนะ แล้วค่อยคิดแผนมัดตัวสองพ่อลูกนั้นทีหลังก็ไม่สาย อนิจจังทุกขัง แอบติงพ่ออัชย์มันไม่เหมือนในฝันนะ=_= คุณหมอไม่ได้จับกดหัว แต่เล่นพาดิ่งคู่ แค่คิดภาพก็สยองแล้วค่า รับประทานดิฉันกลัวการจมน้ำตายที่สุดในโลกา o22
พอกลับมายุคัจจุบัน อาเด๊ะ ยังงง คือ คือ สรุปย้อนกลับมายังหนุ่ม แม่ยังไม่ตาย??? อ่า :really2: จูนสมองๆ เเล้วเลยกลายเป็นย้อนไปๆมาๆซะงั้น แหม แต่คุณหมอยังตามมาหวานถึงอนาคต ฝากหนังสือไว้ซะใจสั่นเลยเทียว~ :o8: :-[ คุณหมอก็กลายมาเป็นพี่หมอ :กอด1: อาเมนนน ก็นะดีกว่าจบเศร้ากว่านี้ เห็นคนรักกันแล้วมีความสุขคะ :L1:
ปล.สรุปบ่นอะไรให้คนแต่งฟังเนี่ย :a5: ๕๕๕+
ปล2.ขอบคุณที่แต่งนิยายดีดีให้ประโยชน์หลากหลายแง่ ให้หิว(แม่เจ้าโว้ย เข้าครัวที่ รับประทานอิฉันอยากทานฝีมือคุณชั้นบ้างงงT^T) ขอบคุณจริงๆคะ
-
ดีใจจัง ที่ตอนจบพี่หมอกับปอได้อยู่ด้วยกัน
ชอบเรื่องนี้มากเลยครับ ชอบบรรยากาศแบบนี้
เป็นเรื่องที่ประทับใจมากๆอีกเรื่องครับ :)
-
จะจำไว้ กาลครั้งหนึ่งในเล้า ผมได้เคยอ่านเรื่องนี้ ขอบคุณ คุณเซ็งเป็ดมากๆ ครับ (ให้ตาย นึกว่าต่อมน้ำตาผมมันเสียไปนานแล้วซะอีก) o13
-
มานั่งรอตอนพิเศษ ......
-
อ่านจบแล้วครับพี่เซ็งเป็ด
ซึ้งมากครับ อ่านเรื่องนี้ค้างไว้นานแล้ว
คืนนี้เลยตั้งใจว่าจะอ่านให้จบ
ร้องให้ฟูมฟายมาก :z3: :o12:
รอตอนพิเศษครับ
-
รอด้วยคน ฮ้บบบบบบบบบบบบบบบบ :impress2:
-
อ่านแล้วชอบมากกกกกกกก
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วชอบที่สุด
บางตอนอ่านแล้วก็มานั่งร้องให้ T-T
-
อยากได้หนังสือเร็วๆ
ขอลายเซ็นต์คุณเซ็งเป็ดด้วย ได้ไหมคะ? :m11: 555
-
มารอตอนพิเศษด้วยคน
-
ประโยคนี้ใน รีที่ 409 หน้า 14
“ก็เรียบลื่นเงาวาว เพราะบ่าวไพร่ชอบมาขัดถูเวลาแอบฟังเจ้านายคุยกัน” เมื่อพูดถึงตรงนี้แววตาของเธอก็เป็นประกายขึ้นมา
ควรแก้เป็น
“ก็เรียบลื่นเงาวาว เพราะบ่าวไพร่ชอบมาขัดถูเวลาแอบฟังนายคุยกัน” เมื่อพูดถึงตรงนี้แววตาของเธอก็เป็นประกายขึ้นมา
นาย-บ่าว(ไพร่)
เจ้านาย-ข้า(หลวง)
แล้วจะแวะมาทักอีกนะ อิอิ
-
ในรีที่ 145 หน้า 49
“ก็ตอนพ่อเราพาไปดูพิธีประหารนักโทษ” หมอปีย์หยิกปลาส่งให้ผม “ตามกฏมณเทียรบาลผู้ใดฆ่าผู้อื่นให้ถึงแก่ความตาย ผู้นั้น ต้องรับโทษให้ตายตกไปตามกัน”
สงสัยว่า....อัน กฏมณเฑียรบาล นั้น หาได้ใช้บังคับบัญชากันแต่ในรั้วพระบรมมหาราชวังหรือ จึงคิดว่าน่าจะเป็นกฏหมายตราสามดวงเสียมากกว่า
-
รีที่ 1934 หน้า 65
“แกงคั่วกะทิให้ดีต้องเคี่ยวให้กะทิแตกมันจำไว้ จักทำให้ยิ่งหอม กลมกล่อม ผิดกับขนมของหวาน อย่าให้กะทิแตกมันทีเดียวเชียว เขาจักหาว่าเจ้าทำกับข้าวมิเป็น-(สัปะรด)-เอาได้”
.....สรรพรส.....
-
รีที่ 2063 หน้าที่ 69
“อ๋อ เขาเรียกว่า การปกครองระบอบ-ประชาธิปไตย-โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข”
สมัยนั้นหมอปีย์ ไม่น่าจะเข้าใจคำนี้ เพราะเพิ่งบัญญัติขึ้นโดยพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ เมื่อสมัยรัชกาลที่6-7 นี้เอง จึงน่าจะเขียนให้มีการอธิบายคำคำนี้ระหว่างตัวละครทั้งสอง หรือใช้เป็น Democracy แทนอะไรทำนองนั้น จะเข้าบรรยากาศมากกว่า
-
โดยพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ยังได้ทรงบัญญัติคำไว้อีกมา เช่น อัตโนมัติ สหกรณ์ สถิติ เป็นต้น
-
รีที่ 2818 หน้า 94
-ตำรวจ-ยืนอยู่ลานหน้าบ้านประมาณ 5-6 คน พวกเขาแต่งตัวด้วยชุดกางเกงขาสามส่วนและเสื้อสีเขียวขี้ม้า ใส่หมวก และถุงเท้าที่ยาวเหนือเข่า ดูเคร่งขรึม และทะมึงทึงใส่ผม จนผมแทบอยากจะตะโกนบอกความจริงไปว่าผมไม่ได้ทำ ผมโกหก
สมัยนั้นน่าจะเรียกว่า "โปลิศ" อยู่นะ นอกจากจะเรียก "คุณพระตำรวจหลวง" ที่เดินถือกระบี่นำหน้าเวลาพระราชวงศ์เสด็จไหน
-
ก่อนจะปิดท้ายกันไป ขอฝากเพลงนี้ไว้ให้ฟัง เมื่อคุณคิดถึงใครสักคนอย่างสุดหัวใจ
"คำหวาน"
http://www.youtube.com/v/-RAEdomfNFY
-
เจ้สอง ขอบคุณมากนะครับ ไม่รู้จริงๆเลยเรื่องพวกนี้ ข้อมูลไม่แน่นเท่า
ยังไงจะเอาไปแก้ไขตอนรวมเล่มนะครับ
อ้อ ตอนนี้ปกเสร็จไปแล้วประมาณ 50% ที่เหลือแค่ตกแต่งนะครับ
เดี๋ยวจะโพสรูปให้ดู ขอบคุณครับบบบบบบบบบบบบ :3123:
-
อ่านจบแล้ว ตามอ่านมาสามสี่วันได้ แอบมีเสียน้ำตากับเรื่องนี้ :o12:
คุณเซ็งเป็ดเขียนได้ดีมากจริง ๆ ชอบมาก ๆ อ่านแล้วรู้เลยว่าหาข้อมูลมาเยอะพอตัว
ตอนแรกอ่านชื่อเรื่องแล้วรู้สึกเฉย ๆ ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ แต่วันนั้นเซ็ง ๆ เลยลองอ่าน
พอได้ลองอ่านแล้ว กลับติดแหงก ถอนตัวไม่ขึ้น ติดใจ หลงรักนิยายเรื่องนี้ไปเลย :กอด1:
คงจะเป็นเพราะพรหมลิขิตกระมัง ที่ทำให้เราได้พบกัน....
ขอบคุณคุณเซ็งเป็ดสำหรับนิยายดี ๆ สนุก ๆ o13
ขอเป็นกำลังใจให้ทำเรื่องใหม่ต่อไปอีกเรื่อย ๆ จ้า
-
ขอบคุณนะค่ะ ที่ทำให้นิยาย yaoi กลายเป็นวรรณกรรมชั้นยอดได้ขนาดนี้
เป็นเรื่องที่ดีมากๆอีกเรื่องนึงที่ได้อ่าน ดีใจมากเลยค่ะที่ไ้ด้รู้ั่จักเรื่องนี้
ขอบคุณนะค่ะ ที่เหนื่อยเพื่อพวกเรา รู้ได้เลยค่ะว่ากว่าจะเขียนเรื่องออกมาได้แต่ละประโยค
มันลำบากมากขนาดไหน ในที่สุดก็ปิดฉากเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างงามสง่า เหมาะสมเป็น
วรรณกรรมชั้นยอด
ชื่นชมจริงๆค่ะ ^^
-
รีที่ 2818 หน้า 94
-ตำรวจ-ยืนอยู่ลานหน้าบ้านประมาณ 5-6 คน พวกเขาแต่งตัวด้วยชุดกางเกงขาสามส่วนและเสื้อสีเขียวขี้ม้า ใส่หมวก และถุงเท้าที่ยาวเหนือเข่า ดูเคร่งขรึม และทะมึงทึงใส่ผม จนผมแทบอยากจะตะโกนบอกความจริงไปว่าผมไม่ได้ทำ ผมโกหก
สมัยนั้นน่าจะเรียกว่า "โปลิศ" อยู่นะ นอกจากจะเรียก "คุณพระตำรวจหลวง" ที่เดินถือกระบี่นำหน้าเวลาพระราชวงศ์เสด็จไหน
อันนี้คิดว่าเป็นคำพูดของอัฐหรือเปล่าเลยใช้คำว่า ตำรวจ ถ้าเป็นเราคงใช้คำว่าตำรวจเพราะไม่ได้อยู่ในยุคนั้นแต่เกิด ? :m28: :m28:
-
สนุกมากๆเลยค่ะ
ต้องขอขอบคุณ คุณ เซ็งเป็ดมากๆเลยค่ะที่แต่งนิยายดีๆแบบนี้ให้พวกเราได้อ่านกัน
เป็นนิยายที่สุดยอดไปเลยค่ะ ^^
-
จะเชื่อไหม ถ้าบอกว่าสมัครเว็บบอยเลิฟเพราะฟิคชั่นเรื่องนี้ . *หัวเราะ*
ไม่ใช่ว่าคิดจะอ่านไม่คอมเมนต์นะคะ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เปิดมาเจอเว็บนี้ และ "เรื่องนี้" เป็นเรื่องแรก :)
"A Moment in Siam กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม"
แค่ชื่อก็คลังแล้ว จริงๆเราไม่ใช่คนชอบอ่านฟิคแต่งขึ้นมาใหม่
ด้วยความที่เป็นแฟนคลับเกาหลีด้วยแหละ(อ่านแล้วแอบสะดุ้งฮ่าๆ) ก็เลยนึกภาพไม่ออก ต้องจิตนาการตามสิ่งที่มีอยู่แล้ว
ประมาณว่าจิ้นคู่วายในวงแหละค่ะ UU' นี่เรื่องแรกจริงๆ
*กรีดร้องเขินอาย*
ทีแรกที่เรามาอ่าน เราชอบนายเอกมากกกกกกกกกกกกกกกก เกรียนได้อีก
ตกหลุมรักความเกรียนนายเอกตั้งแต่แรกเจอ อ่านไปเรื่อยๆเราก็ชักจะหลงรักหมอปีย์ หลงรักเรื่องนี้
อ่านแล้วเราคิดทบทวนตัวเองได้เยอะ บางทีก็คิดไปว่า "เฮ้ย นี่กูเป็นได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ เป๊ะมาก คนสมัยก่อนไม่เห็นเป็นแบบกู" ฮ่าๆ
อ่านแล้วหิวตลอด อาหารในเรื่องน่ากินทุกอย่างเลย อยากจะไปเข้าครัวทำบ้างอะไรบ้าง .
อ่านแล้วได้ความรู้ สาระเยอะ ต่างจากฟิคอิ๊อ๊ะที่เคยอ่านมา แปลกใหม่มากสำหรับเรา 555
อ่านแล้วสงสารแดง(ที่สุด) รู้สึกว่าความทรมานมันหนักหนาอยู่ไม่น้อยเลย(อินจัด)
ที่สำคัญ อ่านแล้วเรารักชาติขึ้นเป็นล้านเท่า จากล้านเท่าที่มีอยู่แล้ว XD
สรุปอ่านแล้วได้อะไรเยอะมาก วันที่อ่านจบเราไปพูดกับพ่อแม่เหมือนทุกวัน
แต่เขาบอกว่าวันนี้พูดจาแปลกๆ ดูพูดจาโบราณขึ้น 5555555555555 (อินเกินเหตุ)
สำหรับเราแล้วคือไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับคำผิดถูก วิธีการนู่นนี่นั่น เลยช่วยแก้คำอะไรไม่ได้ แต่เราว่าผูกเรื่องดีมากค่ะ ตื่นเต้นดี บางทีก็คิดไว้ว่าเรื่องมันต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ พออ่านไปกลับไม่ใช่อย่างที่คิด
เราเป็นคนซึ้งยากแต่ฟิคเรื่องนี้ทำเราร้องไห้จนได้ในที่สุด TT' บราโว่บราโว่
ขอบคุณสำหรับวรรณกรรมวายดีๆนะคะ :)
กล้าพูดได้ว่าวรรณกรรม เพราะมันมีสาระและเป็นอะไรที่มากกว่าฟิค .
สู่ต่อไปค่ะ! จะรอหนังสืออย่างใจจดใจจ่อ(กดดัน) XD
แอบสั่งไปก่อนสมัครสมาชิกบอร์ดนี้อีก ฮี่ๆ .
Ps. ขอเพ้อต่ออีกนิด เพลงนี้ http://youtu.be/0S_Qp1u4XN8 . (จำไม่ได้ว่าใครโพส UU)
เราฟังแล้วคิดถึงเรื่องนี้มาก เปิดให้ได้ยินไม่ได้เลยไม่งั้นเราจะร้องไห้ = =;
เพราะเราไม่ได้ดูละครที่ประกอบเพลงนี้ด้วยแหละเลยไม่ติดภาพลักษณ์พระนาง แต่ดันมีฉากฟิดผุดขึ้นมาแทน
ขอบคุณอีกทีนะคะ สู้ต่อไปค่ะ :DD
-
สวัสดีค่ะคุณเซ็งเป็ด
ก่อนอื่น ..ขออนุญาตยกความตอนนี้มานะคะ
ส่วนหมออีกคนที่มาจากอังกฤษก็เล่าว่าที่สิงคโปร์นั้นแพทย์แผนปัจจุบันนั้นก้าวหน้าไปมาก ด้วยเพราะสิงคโปร์ได้รับการช่วยเหลือและความรู้จากอังกฤษ หมอผู้นั้นเล่าอย่างภูมิใจ โดยไม่ลืมทิ้งทายว่าทั้งหมดทั้งมวลล้วนมาจากพระมหากรุณาธิคุณของ -สมเด็จพระราชินาถ อลิซาเบธที่ 2-
คุณเซ็งเป็ดหมายถึง ควีนวิกตอเรียหรือเปล่าคะ ?
เพราะเราอ่านแล้ว..เอ๊ะ ควีนอลิซาเบธที่ 2 นี่ไม่ใช่คนที่เป็นประมุขของอังกฤษอยู่ตอนนี้เหรอ ? เลยเปิดวิกิดูว่าใครครองราชย์ตรงกับรัชสมัยของร.5 กันแน่ ก็มีควีนวิกตอเรียกับเอ็ดเวิร์ดที่ 7 ค่ะ
ที่ติดใจหลังจากอ่านนิยายจบมีแค่นี้แหละ แฮะๆ (จริงๆสงสัยเรื่องการเสียดินแดนให้อังกฤษอีกเรื่องนึง แต่ขอนั่งงมก่อน..)
แต่ก็ต้องบอกว่านิยายเรื่องนี้แปลกกว่าเรื่องไหนๆที่เคยอ่านมาเลยล่ะค่ะ เพราะ
อย่างที่หนึ่งคือเนื้อหาของเรื่องมันกระตุ้นให้เราอยากรู้ เอ๊ะ เรื่องนี้จริงๆแล้วมันเป็นยังไง ?...ตรงนี้เขาแต่งหรือเอามาจากข้อเท็จจริงตามประวัติศาสตร์ ? เราสงสัยนั่นนี่ กลายเป็นว่า...อ่านนิยายเรื่องนี้ไม่ใช่ได้แค่ความบันเทิง หรือไม่ได้มีแค่มุมความรักของตัวเอกแต่ได้ความรู้หลายด้านๆของสยามในอดีต ..ทั้งประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมประเพณี วิถีชีวิตของผู้คนในสมัยนั้นทั้งด้านสว่าง ด้านมืด ทั้งหมดนี่คุณแทรกมันใส่ลงไปในนิยายของคุณได้อย่างดี
อย่างที่สองคือ ทำเราสะอึกค่ะ ฮ่าฮ่า ประเด็นแต่ละอย่างที่คุณเขียนลงไปนั้น มันทำให้เราย้อนกลับมามองตัวเอง มองสังคมรอบตัว มองประเทศนี้ พอคุณคนแต่งเขียนถึงเรื่องเหล่านี้ที่ไร เราทั้งพยักหน้าทั้งขมวดคิ้วทั้งเอียงคอรวมถึงสะอึกกับบางประเด็นที่มันจี้ใจ (หลายความคิดเห็นของคุณที่แทรกอยู่เราทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่น่าจะเพราะพื้นฐานความคิดของเราไม่เหมือนคุณคนเขียนล่ะมังคะ ? )
ซึ่งทั้งการทอดแทรกความรู้และประเด็นจี้ใจ(ฮา)ให้คิดตามนี่ เป็นจุดเด่นของนิยายเรื่องนี้ และทั้งหมด คุณคนเขียนก็ใช้ลีลาและสำนวนการเขียนในการอธิบาย บรรยาย พรรณา ได้ดีและลงตัว ชอบค่ะ บทฮาก็ฮาเงิบ บทเครียดก็ชวนขมวดคิ้ว บทโศกก็พาน้ำตาไหลพรากๆ(โดยเฉพาะช่วงหลังๆนี่.. อืม ปวดใจโคตรๆ) แต่ในบรรดาทั้งหมดที่ชอบที่สุด ชอบมากๆ คือตอนคุณเขียนบทรักหวานๆ.. บางตอน.. "แม่งเขิน" บางตอน.."ไม่ไหวแล้ว จะละลาย" จนถึง "โอ้ย อัชย์ ขอหมอปีย์ให้เราเถอะ" ทำเราหลงหมอ อิจฉาเจ้าบ้าเป็นบ้า!!
แต่ฉากที่ประทับใจมากๆคือฉากที่เจ้าบ้าทอดปลาสลิดน่ะค่ะ ทอดไปพากย์ไป พูดอยู่คนเดียว ทำไปได้... :m20: ซึ่งเราฮามาก ประทับใจสุดๆ คุณเขียนให้อ่านแล้วรู้สึกถึงความบ๊องของอัชย์ได้เลย
และก็ตอนที่ใกล้จบ เรารู้สึกเหมือนเล่นเกมเลือก ถ้าตอบ 1 ไปข้อ 2, ถ้าตอบ 2 ไปข้อ 5 ..เลยล่ะค่ะ รู้สึกว่าถ้าอัชย์เลือกอีกทำอีกแบบนึง มันจะไม่จบแบบนี้ ถ้าหมอปีย์ไม่เชื่อว่าอัชย์มาจากอนาคตจริงๆ คงจะไม่ผลักอัชย์ลงน้ำ แล้วอัชย์ก็โดนลงโทษ ตาย หมอตายตามอีก..
เป็นนิยายที่น่าสนใจตั้งแต่ชื่อเรื่องจนตอนจบ (ตอนพิเศษด้วย พี่หมอน่ารักมากกกก) สนุกและให้มากกว่าความบันเทิง
รู้สึกตัวเองชักเม้นท์เพ้อเกินแล้ว ไปนอนรอตอนพิเศษของพี่หมอดีกว่า ^ ^
และก็อีกอย่างหนึ่ง ขอบคุณที่เขียน อะ โมเมนท์ อิน สยาม ให้อ่านนะคะ เป็นกำลังใจให้สร้างผลงานดีๆเช่นนี้ออกมาอีกค่ะ
ป.ล. รักหมอปีย์-พี่หมออย่างจริงจังค่ะ !!
-
แวะมาเยี่ยมเยียนปอกับหมอปีย์ พร้อมรอปกจ้า
ตังค์มีแล้วแต่ยังไม่โอน (เย้ย) ๕๕
ล้อเล่นจ่ะ ยังไม่ได้ไปโอนเลยค่ะ แต่ต้องรีบไปก่อนมีนาแน่นอน
เพราะลงทะเบียนเยอะมากค่ะช่วงนี้
ปิดเทอมสัญญาว่าจะอ่านรอบที่สอง (ในหนังสือ []) )
-
ฝากไว้ก่อนเ๔อะโอราฬ อ่านไปได้ 63 หน้า
ไม่ไหว ไปทำกับข้าวกับปลาก่อนที่อีคุณผู้ชายจะมาแดกหัวเอา
เพราะโมโหหิว
-
สนุกมาก ๆ ๆ เลยอ่าาาาาาาาา :D
-
สนุกมาก ๆ เลยขอบอก
อ่านแล้วหิวมาก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
พี่หมอ คือ หลวงพินิจ ในปี ร.ศ.112 หรือไม่
อยากมีตอนพิเศษเพิ่มอีกอ่ะ ยังไขความไม่กระจ่างเลย แง๊ๆๆๆๆๆ
-
จบแล้วค่ะ ไปนอนแล้วนะคะ อรุณสวัสดิ์
-
สวัสดีค่ะคุณเซ็งเป็ด กำลังจะส่งเมล์จองค่ะ เเล้วก็ ต้องยอมรับเลยนะค่ะว่าที่สมัครสมาชิกเนี่ยเพราะเรื่องนี้จริงๆ
เรื่องนี้มีเสน่ห์เเละสวยงามมากเลยละค่ะ ตอนเเรกที่อ่านเนี่ยรู้สึกไม่ชอบเจ้าอัชย์เลยละค่ะคนอะไรเกรียนได้โล่จริงเเต่สุดท้ายก็
หลงรักจนได้ เเล้วตอนที่เจ้าอัชย์จากหมอปีย์ตั้ง20ปีเราร้องไห้ตามเลยอะ แล้วตอนที่เจ้าอัชย์กลับไปแล้วได้สบตากับหมอปีย์
เรานี่เเทบกรี๊ดออกมาดังๆ เเล้วที่เจ้าอัชย์บอกกับหมอปีย์ว่าขอให้หมอปีย์มีชีวิตอยู่ต่ออย่างสง่างามซึ้งมากเลยค่ะ
เรื่องนี้ทำอยากไปอยู่ในสมัยร.5มากเลยละ แถมยังทำให้รู้ว่าวิถีชีวิตของคนโบราณเเตกต่างจากคนปัจจุบันจริงๆ
แล้วอีกอย่างนะค่ะที่อ่านตอนพิเศษอะรู้สึกว่าเจ้าอัชย์กับหมอปีย์เค้าเกิดมาเพื่อกันเเละกันจริงๆ เเล้วก็เรื่องนี้บทจะเศร้าซะก็ทำ
เอาน้ำตาเเตกเลย เเต่พอจะหวานก็หวานซะทำเอาเราเพ้อไปตั้งหลายวันเลย การที่ได้อ่านเรื่องนี้ทำให้มีความสุขมากเลยค่ะ
เราเป็นคนที่ชอบอ่านเเนวพีเรียดนะอ่านหลายเรื่องเเล้วเหมือนกันเเต่เรื่องนี้ให้ความรู้สึกที่ต่างออกไปจริงๆ
แล้วสุดท้ายนี้ขอให้คุณณนนท์เขียนผลงานดีๆอย่างนี้ออกมาเรื่อยๆนะค่ะ :pig4: :3123:
-
เห็นชื่อเรื่องตอนแรกนึกว่าสยามสแควร์ 555+
อ่านจบแล้วแบบล่าช้า (2 วันจบ) และอ่านแบบข้าม ๆ (เฉพาะตอนที่บีบหัวใจจนเกินไป) แต่ก็เก็บใจความได้หมด
.
.
ขอบคุณสำหรับนิยายที่สนุกมาก ๆ และสะท้อนความสวยงามในอดีตของเรา อ่านแล้วจินตนาการภาพต่าง ๆ ตามไปกับเนื้อเรื่องแล้วพบว่าอดีตบ้านเมืองของเรานั้นมันช่างสวยงาม ..
ขอบคุณ ๆ ๆ
//และขอบคุณที่ทำให้พี่หมอ (ในชาตินี้) คือหมอปีย์ แอบเดาไว้ตั้งแต่กลางเรื่อง (อ่านไปก็คิดย้อนไป) ไม่ผิดจริง ๆ 555+
-
ชอบเรื่องนี้มากเลยครับ สนุกมากเลย อ่านแล้วได้รู้เรื่องการทำอาหารแล้วก็เรื่องสมัยก่อนเยอะเลย
-
ทุกเย็นหลังจากเลิกเรียน คนขับรถจะเอากระเป๋าไปเก็บให้ ส่วนผมจะวิ่งเหยงๆไปบ้านน้าอรเพื่อไปหาปอ ปอเป็นเด็กน่ารัก ตาโต แก้มป่อง ว่านอนสอนง่าย อาจเป็นเพราะคุณยายวาดช่วยดูแลสั่งสอน
ทุกครั้งที่ผมวิ่งไปหาที่บ้านมักจะเอาสมุดวาดภาพ ระบายสีติดตัวไปด้วยเสมอ
ปอจะวิ่งออกมารับด้วยความดีใจ
น้าอรบอกว่าพอถึงตอนเย็น น้องจะออกมานั่งรอตรงลานหินอ่อนหน้าบ้านทุกที
“นี่ตัวนี้เรียกจอมมารบู ปอต้องทาสีชมพู นี่” ผมเลือกสีไม้ตราม้าสีชมพูให้น้อง
“แต่ปออยากทาสีแดง”
“จอมมารบูไม่มีสีแดง ต้องสีชมพู”
“ทำไมอ่า”
“ก็ ก็....................” ผมไม่รู้จะหาเหตุผลมาจากไหนว่าทำไมจอมมารบูถึงสีแดงไม่ได้
“จะทาสีแดง” ปอยืนยัน
“แต่ จอมมารบูเค้าสีชม................”
ปอหน้าเบ้ ทำท่าจะร้องไห้
“โอ๋ๆ ก็ได้ๆ สีแดงก็สีแดง” ผมเก็บสีชมพูแล้วยื่นสีแดงให้ปอแทน “ จอมมารบูโกรธจนตัวแดงก็ได้นี่เน๊อะ”
แล้วเราทั้งคู่ก็หัวเราะ
“ปอ มาเดี๋ยวพี่สอนร้องเพลง” เย็นวันหนึ่งหลังจากกลับมาจากโรงเรียน ผมเอาการบ้านมานั่งทำที่บ้านน้อง โดยที่น้องกำลังนั่งเล่นตัวต่อเลโก้
“ชื่อเพลง ผลไม้นะ เดี๋ยวร้องตามพี่นะ ส้มโอ มังคุด” ผมนำ
“ส้มโอมังคุด” น้องตาม
“ละมุดลำไย”
“ละมุดยำไย”
“ละมุดลำไย ร้องใหม่ๆ”
“ละมุดยำไย” ปอร้องลำไยไม่ได้
“ลำไย”
“ยำไย”
“ไย”
“ไย”
“ลำไย”
“ยำไย”
“เอาใหม่ๆนะ มองปากพี่ ลำไย” ผมตั้งใจพูดช้าๆ
“ลำไย” ปอพูดช้าตาม จนในที่สุดก็พูดได้
“ละมุดลำไย”
“ละมุดยำไย”
“T_T”
สรุปเพลงวันนั้นผมก็ยังสอนให้น้องร้องจนจบไม่ได้
ความผูกพันของเราก่อตัวมาจากการเป็นพี่น้อง ไม่มีสิ่งใดแอบแฝงนอกเหนือไปจากความบริสุทธิ์ใจของเด็กอย่างเรา ผมรักปอเหมือนน้อง น้องเองก็ติดผมแจเหมือนเด็กติดพี่
ทุกเช้าเสาร์อาทิตย์ผมจะตื่นเช้าทั้งๆที่วันธรรมดาที่ต้องไปโรงเรียนกลับอยากจะนอนตื่นสายๆ เหตุผลเพราะจะต้องตื่น ตื่นมาดูโดเรมอน ต่อด้วยดราก้อนบอล เพราะวันจันทร์จะได้มีเรื่องคุยกับเพื่อนๆ
ปอเองก็จะวิ่งมาดูทีวีที่บ้านผม พอพักโฆษณาเราก็จะเล่น “โฆษณานี้ของใคร”
“เดี๋ยวพอโฆษณาแรกเป็นของพี่นะ อันต่อไปของปอ โอเคมั๊ย” ผมเป็นพี่ใหญ่ออกคำสั่ง
“คับ”
แล้วเราก็เล่นสลับกันไปมาแก้เบื่อ พอผมได้โฆษณาหุ่นยนต์น้องก็ทำท่าเสียดาย พอถึงตาปอ ปอกลับได้ผ้าอนามัย
“พี่นิจ ปอไม่อยากได้ผ้าอนามัย” ปอโยเย
“อ้าวก็เราสลับกันนี่นา”
“พี่นิจได้หุ่นยนต์กันดั้มนี่นา ปอจะเอาผ้าอนามัยไปทำอะไร”
“ปอก็เอาไปทำเกราะซับน้ำสิ นี่ไง เวลาปิศาจแห่งน้ำมันใช้พลังวารีพิฆาตใส่ปอ ปอก็จะได้ไม่เปียกไง แถมยังบินได้ด้วยนะ เพราะมันมีปีก”
ผมยกเหตุผลสารพัดจนในที่สุดปอก็ยินยอม
ถึงเหตุการณ์เหล่านี้จะเป็นแค่เศษเสี้ยวในความทรงจำ แต่มันก็เป็นเศษเสี้ยวที่มีค่าสำหรับผม
ปอเป็นเด็กจิตใจดี แต่จะดื้อบ้างเป็นบางครั้งและไม่ยอมคน ในขณะที่ผมนั้นใจเย็นและดูเป็นพี่ใหญ่มากกว่าปอ
บ่อยครั้งที่ปอมักจะมีเรื่องกับเด็กที่โตกว่า และคนที่ต้องแก้ปัญหาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน
“เอาลูกบอลคืนน้องเรานะ”
“ลูกบอลเราตะหาก น้องนายมาแย่ง”
“ไม่จริงนะพี่นิจ ปอเล่นของปอดีๆ มันก็มาแย่งของปอ”
“ปอ อย่าไปเรียกเขาว่ามัน” ผมปรามน้อง
“ครับ” ปอหน้าจ๋อย เด็กป.2 ที่กล้ามีปัญหากับเด็กป.6 นี่ถือว่าไม่ธรรมดา ขนาดตอนนั้นผมอยู่ ป.5 ผมยังไม่กล้าเลย
“คืนน้องเรานะ ไม่งั้นเราจะฟ้องครู”
“ไปฟ้องสิ โธ่ เด็กขี้ฟ้องนี่หว่า ทำไมเราแย่งมาแล้วจะทำไม ก็เอาไปเล่นอยู่ได้คนเดียว”
“ลูกอื่นก็มีเยอะแยะ”
“ก็ทำไมหล่ะ เราจะเล่นลูกนี้ มีอะไรมั๊ยไอ้ขี้ฟ้อง”
ผมยืนกัดฟัน กำหมัดแน่น
“เฮ้ยพวกเรา มาดูไอ้เด็กขี้ฟ้องเว้ย เอะเอะก็จะฟ้องครู เอะอะก็จะฟ้องครู”
ตอนนั้นผมโกรธจนน้ำตาไหล ตัวสั่นไปหมด แต่ไม่รู้จะทำยังไง และแล้ว คนที่กลับทนไม่ไหวก็คือ
“นี่แน่ะ อย่ามาว่าพี่เรา” ปอนั่นเอง เขาถลาไปผลักเด็กป.6 คนนั้นจนล้มลง ก่อนจะกระโดดคล่อมร่างเด็กนั่นแล้วรัวหมัดใส่ไม่ยั้ง
ผมยืนตะลึงกับสิ่งที่ปอทำ ปอเหมือนหมาบ้าที่ไม่สนใจว่าตัวเองจะตัวเท่าลูกหมา เขาเลือดขึ้นหน้า หน้าที่แดงจัด เหงื่อที่ชุ่มโชก แสดงให้เห็นว่า ปอโกรธมากจริงๆ
“เฮ้ย ปอ” ผมได้สติ วิ่งเข้าไปดึงแขนปออกมา หันไปมองเด็กนั่น
“แงๆ คอยดู เราจะฟ้องครู แงๆ” ซึ่งกำลังร้องไห้โฮ และกลายเป็นตัวเองที่วิ่งแจ้นไปฟ้องครู
...
-
“หึๆ” ผมหัวเราะในลำคอเบาๆเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้น ไม่น่าเชื่อว่าเด็กตัวเท่าลูกหมาจะบ้าระห่ำขนาดนั้น
“กาแฟค่ะ คุณนิจ แล้วก็นี่หนังสือพิมพ์” ป้าแต๋ววางหนังสือพิมพ์ Bangkok Post ฉบับเช้าไว้ใกล้ๆกาแฟดำ
“ไม่มีเคสเหรอคะ เช้านี้”
“ยังเลยป้า แต่เดี๋ยวคงเข้าไปตอนบ่าย”
ป้าแต๋วเป็นพี่เลี้ยงที่ดูแลผมมาตั้งแต่เล็กจนถึงตอนนี้ก็ยังคงทำอยู่ และกลายเป็นญาติผู้ใหญ่ในบ้านไปแล้ว
ยามเช้าละแวกบ้านที่ผมอยู่นั้นเงียบเชียบ ไม่มีเสียงรถราให้ระคายหู อาจเป็นเพราะที่นี่อยู่ชานเมืองออกมา มลพิษทั้งทางเสียงและอากาศจึงยังมาไม่ถึง
ผมหยิบกาแฟขึ้นมาจิบ รสชาติที่คุ้นเคยนั้น แทบไม่ต้องเดาเลยว่าเป็นฝีมือใคร
“พี่ชอบผู้ชายไง พี่เป็นเกย์ไง” เสียงของปอในคืนนั้นกระชากความรู้สึกสุนทรีในยามเช้าจนขาดสะบั้น
น้ำเสียงแบบนั้น น้ำเสียงที่เขาไม่เคยใช้กับผมมาก่อน แต่คืนนั้นเขาระเบิดมันใส่หน้าผมจนแทบจะล้มทั้งยืน ปอคงเกลียดผม เกลียดที่ผมรู้สึกกับเขาต่างไปจากสิ่งที่เขาคาดหวัง
ปอเห็นผมเป็นพี่ชายตลอดมา ไม่ว่ายังไง เขาก็ยังอยากให้ผมเป็นพี่ชายที่ดีของเขา
-
“เจ็บมั๊ยหล่ะ หึ” ผมถามในขณะที่เรานั่งเล่นม้าหมุนในสนามเด็กเล่นรอให้คนขับรถมารับ
“เจ็บ” ปอตอบ “แต่ปอสะใจมากกว่า ได้ชกมันไปหลายหมัด หนอย มาว่าพี่เราขี้ฟ้องได้ยังไง”
เขาทำหน้าสะใจ
“นี่ พี่บอกแล้วไงอย่าไปเรียกใครว่ามัน” ผมเอ็ด
“ก็มัน เอ่อ เขามาว่าพี่นิจก่อนนี่ พี่นิจก็เหอะ ทำไมยืนทื่อให้เขาว่าอยู่ได้”
“เออ ก็พี่มันไม่เก่งเหมือนปอนี่ ปอขาบู๊” ผมล้อ
“ปอขาบู๊ งั้นพี่นิจก็ขาบุ๋นนะซี เพราะพี่นิจเรียนก็เก่ง สอนการบ้านปอถูกหมดเลย”
ผมหัวเราะในความช่างคิดของเขา
“พี่นิจต้องอยู่กับปอไปตลอดเลยนะ ต้องเป็นพี่ชายปอไปตลอดเลย เพราะว่าพี่นิจต้องคอยสอนการบ้านปอ ฮ่าๆๆ”
ปอหัวเราะ
“ปล่อยพลังคลื่นเต้าสะท้านฟ้า”
แล้วเราทั้งคู่ก็รีบวิ่งไปขึ้นรถที่มาจอดรออยู่ที่ประตูหน้าโรงเรียน
ช่วงเวลานั้นเราเหมือนคู่แฝดที่ตัวติดกัน เห็นผมที่ไหนเป็นต้องเห็นปอที่นั่น ตอนเช้าน้าอรจะให้ปอนั่งรถมากับผม พอถึงโรงเรียนก่อนเข้าแถว ปอก็จะให้ผมทำการบ้านให้ เพราะตอนเย็นมัวแต่เล่นเกมส์คอนตร้า หรือไม่ก็อ่านการ์ตูนจีบัน
น้าอรวางใจให้ผมดูแลน้อง เพราะน้าอรกับน้าผู้ชายเองต่างก็มีภาระที่ต้องทำงาน ปอจึงมีเวลาส่วนใหญ่อยู่กับยายวาดและผม ยายวาดทั้งรักทั้งเอ็นดูปอ มีแต่ปอเท่านั้นที่พอยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งอยากจะอยู่ห่างๆยายวาด
“ก็ปอไม่ชอบผิวเหี่ยวๆของยายนี่นา พี่นิจ มันหยึยๆ” ปอให้เหตุผล
ถึงผมจะยกเหตุผลสารพัดว่ายังไงยายวาดก็เป็นยาย และเป็นคนที่รักปอมากเพียงใด แต่ปอก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้ยายหนูวาดอีกอยู่ดี
“วันนี้เรามาเล่นมังกรหยกกันดีกว่า” ปอมักชอบปั่นจักรยานมาหาผมที่บ้าน
“ไม่ได้ พี่ต้องทำการบ้านก่อน”
“โห การบ้านส่งตั้งวันจันทร์แน่ะ พี่นิจ วันอาทิตย์ค่อยทำก็ได้ น้า ไปเถอะน้า เนี๊ยะ พวกป๋องกับสตางค์มันรออยู่ที่สนามหน้าหมู่บ้านแล้ว”
และผมก็ไม่เคยทนเสียงรบเร้าของปอได้เสียที
พวกเราและแก๊งส์เด็กผู้ชายในหมู่บ้านอีก5-6 คนมักจะรวมกลุ่มกันในตอนเย็นหลังเลิกเรียนเพื่อเล่นหนังจีนบ้าง เล่นสร้างบ้าน เอาหุ่นยนต์มาประลองบ้าง และทุกครั้งที่มีการแบ่งกลุ่มปอจะต้องอยู่กับผม นี่คือกฎ
“เรื่องอะไรปอจะแยกกับพี่นิจ แยกกับพี่นิจทีไรปอแพ้ทุกที” เขาว่า
แต่ไม่ใช่ว่าเราจะไม่แยกจากกันเลย ในช่วงวัยเด็กของเราทั้งคู่ มักต้องแยกกันเสมอ อย่างในช่วงแรก ผมจบ ป.6 ต้องเข้าม.1 แต่ปอยังเพิ่งขึ้น ป.5 เราก็ต้องแยกกันเรียน
แต่เมื่อถึงเวลากลับบ้านก็เป็นเวลาของเราอีกอยู่ดี
ในช่วงที่ปอกำลังจบชั้นประถมหกนั่นเอง เป็นช่วงเวลาที่ยายวาดเสีย ผมจำได้ว่า เช้าวันรุ่งขึ้นแม่เดินมาปลุกผมที่ห้องนอน และบอกข่าวร้ายนี้แก่ผม
ผมงัวเงียขึ้นมาฟังข่าวจากแม่ แต่ไม่มีอาการตกใจใดๆเกิดขึ้นเลย
คำแรกที่ผมพูดออกมานั้นคือ
“ผมรู้แล้ว” ใช่ ผมรู้แล้วว่ายายวาดจะจากพวกเราไป เพราะคืนนั้นผมฝัน ฝันว่ายายวาดมาบอกว่าจะไปแล้ว ฝากดูแลปอด้วย แต่มีสิ่งเดียวที่น่าแปลกนั่นก็คือยายหนูวาดไม่เรียกผมว่าหนูนิจ แต่กลับเรียกว่า “หมอปีย์”
งานศพของยายวาดจัดขึ้นที่วัด ครอบครัวผมไปฟังพระเทศน์เกือบทุกคืน ผู้คนมากันมืดฟ้ามัวดิน เพราะยายวาดท่านเป็นคนเก่าคนแก่ ไหนจะลูกหลาน ไหนจะคนที่เคารพนับถือในฐานะอาจารย์สอนอาหารไทยที่มีชื่อเสียงในครั้งก่อน
ทุกคนดูเศร้าโศกเสียใจ มีเพียงปอเท่านั้นที่ไม่รับรู้อะไรเลยนอกจากเที่ยวเล่น
หลังจากยายวาดเสียไปไม่นาน ปอก็สอบเข้าเรียนโรงเรียนมัธยมเดียวกับผม ผมไม่แน่ใจว่าปอสอบได้ด้วยตัวเองหรือได้ด้วยเงินบริจาคที่มากโขที่พ่อแม่ของเขาทุ่มเพื่อสร้างอาคารเรียนหลังใหม่
แต่ไม่ว่าอย่างไรปอก็เข้ามาเรียนโรงเรียนเดียวกับผม และความเปลี่ยนแปลงจากวัยเด็กเข้าสู่วัยรุ่นของปอก็ชัดเจนมากขึ้นในช่วงนั้น
เริ่มจากเสียงที่แหบพร่า ก่อนจะแตกเป็นเสียงผู้ใหญ่ เสียงเด็กผู้ชายตะโกนโหวกเหวกเวลาไม่สบอารมณ์ เสียงเล็กๆเวลาอยากจะออดอ้อนหายไป
ร่างกายที่สูงใหญ่ขึ้น ขนเริ่มขึ้นตามตัวเห็นได้ชัดจากไรหนวดเหนือริมฝีปาก ตามแขนและขา และที่สำคัญ
“พี่นิจ พี่นิจ ปอมีเรื่องจะบอก”
ปอวิ่งกระหืดกระหอบมาหาผมบ่ายวันหนึ่งขณะที่ผมกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ต้นกระถินณรงค์ริมรั้วโรงเรียน
“เรื่องอะไรอีกหล่ะ”
ผมถามอย่างขอไปที สำหรับปอทุกเรื่องเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นไปหมด แต่ไม่สำหรับผม
“พี่นิจ ปอได้การ์ดมอนเตอร์ซิงโครมาด้วยแหละ นี่ดูสิ”
“พี่นิจ พี่นิจดูเล็บปอสิ ช้ำเป็นสีม่วงเลย”
หรือ
“พี่นิจๆ วันนี้ปอแอบเห็นครูสุมนถอนขนจมูกด้วย โคตรฮาเลย”
แต่วันนี้ปอหน้าตื่นมากกว่าปกติ ผมเงยหน้าจากหนังสือเตรียมสอบขึ้นม.4
“ปอมีเรื่องสนุกๆจะเล่าให้พี่นิจฟัง แต่พี่นิจต้องห้ามบอกใครนะ” เขาทำหน้าตาเลิกลักก่อนจะขยับมานั่งใกล้ๆ
“เนี๊ยะ เมื่อวานปอเข้าห้องน้ำ แล้วก็................”เขาหันซ้ายหันชวา “แล้วไอ้นั่นปอมันแข็งปอก็เลย เอ่อ ทำแบบนี้อ่ะ” ปอทำท่ารูดมือขึ้นลง “ปอทำสักพักมันก็เสียวใช่ป่าว แล้วจู่ๆมันก็มีน้ำอะไรก็ไม่รู้ออกมาด้วยแหละ ปอตกใจมาก ตัวเกร็งไปหมดเลยนะพี่นิจ แต่มันก็เสียวดีนะ” เขายิ้ม
“พี่นิจน่าจะลองทำดูนา สนุกดี”
“โธ่เฮ้ย อ่อนว่ะ แบบนั้นน่ะเขาเรียกการช่วยตัวเอง มาพี่จะสอนให้” ผมปิดหนังสือ ตั้งท่าเอาจริงเอาจังที่จะสอนเขาเพราะคิดว่าปอคงเริ่มมีสัญญาณการเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว เขาไม่ปิดบังผมน่ะดีแล้ว เพราะอย่างน้อยจะได้สอนเรื่องที่ถูกต้องให้กับเขา
“เด็กผู้ชายนะ พออย่างเข้าวัยรุ่นฮอร์โมนทางเพศจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ร่างกายก็ด้วยเหมือนกัน เหมือนที่ปอเป็นอยู่นี่แหละ” ปอตั้งใจฟัง
“แล้วพอถึงช่วงหนึ่งปอก็จะมีการสนใจเรื่องเพศมากขึ้น เหมือนที่ปอทำก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง จริงๆพี่ว่าเราน่าจะฝันเปียกมาก่อนรึเปล่า”
“ฝันเปียก?”
“ใช่ฝันเปียก คือลักษณะของการนอนหลับและเกิดการกระตุ้นของฮอร์โมนภายใน..................”
“โอ้ย พี่นิจ ปอไม่ใช่นักศึกษาป.โทนะ เอาง่ายๆหน่อยสิ”
“เออๆ ฝันเปียกก็คือเวลาปอนอนหลับแล้วตื่นขึ้นมาจะมีน้ำเหนียวๆไหลออกมาจากของปอน่ะ” ผมชี้ไปที่เป้าเขา “แล้วก็จะเลอะผ้าห่ม เลอะเตียงน่ะ เป็นป่าว”
ปอรีบพยักหน้างึกๆ “ใช่ๆพี่นิจ ปอเคยเป็น แต่แม่มาเห็นก็ไม่ว่าอะไรนะ”
“เออนั่นแหละ แล้วเรื่องการช่วยตัวเอง หรือภาษาทั่วไปเขาเรียกการชักว่าวน่ะ ผู้ชายทุกคนเขาก็ทำกัน เพราะฉะนั้น...............ไม่ต้องมาอวดเข้าใจป่าว” ผมเอามือยีหัวตั้งๆของปออย่างเอ็นดู
“เด็กผู้ชายทุกคนเหรอพี่นิจ งั้น..............” ปอทำท่ามีเลศนัย “พี่นิจก็..................”
“เฮ้ย อย่าคิดอะไรแผลงๆกับพี่นะ” ผมปรามแต่หน้าดันแดง
“น่านะ เล่าให้ปอฟังหน่อยนะ นะ ไหนพี่นิจเคยบอกว่าไม่มีเรื่องอะไรปิดบังปอไงนะ” เขาเร้าหรือ
“แต่นี่มันเรื่องส่วนตัวพี่นะเว้ยเฮ้ย”
“โธ่ พี่ปอก็ นะๆ” เขากระแซะเข้ามาอย่างใคร่รู้ ตาก็มองไปที่เป้ากางเกงผม
“อ๊อดดดดดดดดดดดดดดดด”
เหมือนสวรรค์ทรงโปรด เสียงออดหมดเวลาพักเที่ยงดังขึ้นเหมือนช่วยชีวิต
“เฮ้ย พี่ไปเรียนก่อนนะ” ว่าแล้วผมก็รีบลุกขึ้นเดินออกไปโดยที่เอากระเป๋านักเรียนปิดเป้ากางเกง
-
ช่วงนั้นปอเริ่มมีสังคมของเขา กลุ่มเพื่อนรุ่นเดียวกันที่ร่วมทำอะไรแผลงๆร่วมกัน ผมมักเห็นปอตั้งวงแซวหญิงหน้าโรงเรียน เริ่มที่จะทำผิดกฎระเบียบเล็กๆน้อยๆเช่นการตัดผมทรงลานบิน การไว้เล็บยางที่นิ้วก้อย
แต่ถึงที่โรงเรียนเขาจะเป็นเด็กกลุ่มทะโมนจนครูเอือมระอาเพียงใด แต่เมื่อกลับบ้านปอก็จะกลับมาเป็นน้องที่น่ารักของผมเสมอ
หากปอเป็นพวกชอบแหกกฎ รักอะไรก็ตามที่ผาดโผน ผมจะตรงกันข้ามเขาทุกอย่าง ผมจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านหนังสือ ทุกครั้งมักจะมีข้ออ้างว่าต้องเตรียมสอบนั่นสอบนี่เสมอจนปอมักจะแซวบ่อยๆ
“วันนี้อ่านหนังสือเตรียมสอบอะไรอีกหล่ะ”
ช่วงที่เราเรียนม.ต้นกันนั้นเป็นยุคเฟื่องฟูของดนตรีที่เรียกว่า อัลเทอร์เนทีฟ ไม่ว่าจะเป็น มอร์กะจาย โมเดิร์นด๊อกซ์ แบล๊คเฮด เสือ ธนพล หรือโลโซ สิ่งหนึ่งที่นักดนตรีพวกนี้ต้องเล่นได้คือกีต้าร์
“พี่นิจ นี่เทปของร๊อคอำพัน ปอซื้อมาแล้ว มาฟังกันมั๊ย เดี๋ยวปอจะแกะเพลงเล่น” เขาหยิบกีต้าร์ที่น้าอรซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดขึ้นมาดีดๆเกาๆ
“ไม่เอา ไปเล่นไกลๆเลย หนวกหู ดนตรีอะไรก็ไม่รู้น่าปวดหัว”
“โห อะไรกันน่ะพี่นิจ ไม่จ๊าบเลย เพลงเขาออกจะฮิต นี่ฟังนะๆ แตว แต่ว แตวแต้ว แตวแต๊ววววววว”
ปอเลียนเสียงลี๊ดกีต้าร์น่าปวดหูให้ผมฟัง
“น้าพี่นิจ ฟังปอเล่นหน่อยนะ” เขาวางกีต้าร์ลงก่อนจะโผเข้ามากอดแขน เอาหัวถูคางผมไปมา
“นี่เลิกเล่นแบบนี้ได้แล้ว ไม่ใช่เด็กแล้วนะเราน่ะ”
“ทำไมก็ปออยากเล่นกับพี่นิจแบบนี้นี่นา ต่อให้ปอแก่เป็นคุณตาข้างบ้านเรา ปอก็จะเล่นแบบนี้ มีอะไรมั๊ย”
สุดท้ายก็เหมือนเดิม ผมต้องยอมทนนั่งฟังเขาเกากีตาร์ผิดคีย์ไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนดึกดื่น
ปกติผมกะปอเรามักจะแยกกันตอนก่อนค่ำ แต่มีอยู่พักหนึ่งที่ละครเรื่องดังกำลังออกอากาศ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราทั้งคู่ติดละครอย่างงอมแงม ผมยังจำได้ว่าพอหมดช่วงข่าวภาคค่ำ ปอจะใส่ชุดนอนสีฟ้ารีบวิ่งแจ้นในมือถือหนังสืออะไรก็ได้สักเล่มเพื่อให้น้าอรเห็นว่ามาอ่านหนังสือที่บ้านผม เพื่อที่จะมาดูละครหลังข่าว
เรื่อง “ปีหนึ่งเพื่อนกันและวันอัศจรรย์ของผม”
สาเหตุที่เราทั้งคู่อินกับละครเรื่องนี้มาก เพราะมันเป็นละครเกี่ยวกับความรักความผูกพันของพี่กับน้องที่แม้ความตายก็ไม่อาจพลัดพราก
“พี่นิจ ถ้าพี่นิจตาย พี่นิจจะมาหาปอ มาอยู่ข้างๆปอแบบนั้นมั๊ย” ปอสะอื้นร้องไห้ เมื่อละครใกล้จบและผู้เป็นพี่กำลังจะจากไปจริงๆ
“มาสิ ทำไมจะไม่มา ก็ปอเป็นน้องพี่นี่” ผมปลอบ
“พี่นิจต้องมาแบบในละครนะ แบบคนปกตินะ อย่ามาแบบน่ากลัวๆ”
“เออ” ผมรับปาก “เฮ้ย ว่าแต่ พี่จะตายตั้งแต่เมื่อไหร่เนี๊ยะ มาแช่งกันซะแล้ว”
“ก็ปอเผื่อไว้ไง แต่ปอก็ไม่อยากให้พี่นิจตายหรอก เพราะเดี๋ยวไม่มีคนสอนการบ้าน” ปอหัวเราะทั้งน้ำตา
ผมรู้ว่าเขาพูดเล่นไปอย่างนั้นเอง ทั้งที่จริงปอก็รักผมมากเหมือนกัน
-
“คุณนิจคะ โทรศัพท์จากคุณท่านค่ะ” ผมเงยหน้าขึ้นก่อนจะรับโทรศัพท์จากป้าแต๋ว ในใจนั้นหวั่นๆอยู่ไม่น้อย
ไม่รู้ว่าพ่อมีเรื่องอะไรจะพูดด้วย
“ครับพ่อ”
“วันนี้ฝากแกดูเคสคุณพิบูลย์ห้อง 213 ด้วยนะ ช่วงบ่ายชั้นมีเรื่องต้องทำ” ปลายสายน้ำเสียงเคร่งเครียด
“ครับพ่อ” ผมไม่ถามต่อว่าเรื่องอะไรที่พ่อต้องทำ เพราะรู้อยู่แล้วว่าพ่อจะทำอะไร
ผมกับมุกเรารู้จักกันแค่ไม่นาน ผมเจอเธอไม่กี่ครั้งจากการแนะนำของปอก่อนที่ปอจะไปเรียนเมืองนอก มุกเป็นแฟนปอ แล้วเขาก็รักกันมาก โดยที่ผมไม่รู้มาก่อนว่าแม่ผมกับแม่ของมุกได้รู้จักกันมาก่อน และหมั้นหมายเราเอาไว้แล้ว
ข่าวนี้พ่อเป็นคนบอกผมเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ผมถามย้ำกับพ่อไปถึงสองรอบว่า “มุกไหน มุกไหน” เพราะไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
ผมไม่โกรธปอแม้แต่น้อยที่เขาว่าผม และแสดงกิริยาไม่ดีกับผมในคืนนั้น เป็นใครๆก็ต้องโกรธ ณ วันนี้เองผมก็ยังไม่มีหน้าจะโทรไปหา เพื่อแก้ตัวหรืออธิบายใดๆให้ปอฟังทั้งสิ้น
เขาคงโกรธ คงเกลียดผม จนยากจะให้อภัย
สิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุดตอนนี้คือ ยกเลิกการหมั้นหมายระหว่างผมกับมุก
เพราะการทำแบบนั้นเท่ากับการหักหลังคนที่ผมรักมากที่สุด
“ป้า เตรียมชุดให้ผมหน่อยนะ ผมจะออกไปเลย” ผมจิบกาแฟอีกครั้งก่อนจะวางมันลงที่เดิมและลุกขึ้นเดินเข้าบ้านไป
ถนนที่มุ่งหน้าไปโรงพยาบาลนั้นคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่ร่วมกันใช้รถใช้ถนน เคสผู้ป่วยที่ผมดูแลมากที่สุดจนถึงตอนนี้คือผู้ป่วยที่ได้รับอุบัติเหตุจากการใช้รถใช้ถนน
ดังนั้นทุกครั้งที่เริ่มเหยียบคันเร่ง ผมจึงไม่ลืมคาดเข็มขัดและพกสติไปด้วยเสมอ
สองข้างทางเต็มไปด้วยรถรา ช่างแตกต่างจากวันธรรมดาโดยสิ้นเชิง อาจเป็นเพราะวันนี้เป็นวันครอบครัว หลายๆครอบครัวจึงพากันออกไปหาอะไรกินนอกบ้านหรือทำกิจกรรมนอกบ้านกัน
ก็เหมือนครอบครัวผมเมื่อก่อน..............................
-
วันนี้มาต่อแค่นี้ก่อนนะครับ
แจ้งเรื่องปกด้วยนิดนึง ตอนนี้ใกล้เสร็จแล้ว คาดว่าไม่นานจะได้เอารูปมาให้ได้ชมกัน
สำหรับใครที่สนใจสั่งจองหนังสือก็เข้าไปอุดหนุนกันได้นะครับ ที่แบนเนอร์ กดเข้าไปสั่งกันได้เลยครับผม :pig4:
-
วิ่งมาอ่าน..
..เอิ่ม.. จอมมารบู .. น้องปอจะระบายสีแดงเหรอ? ฮา... บ้าแต่เด็กจริงๆ
ปลื้มพี่หมอ ..ไม่ว่าจะชาติไหน เป็นหมอปีย์หรือหมอนิจก็อ่อนโยนจริงๆ ชอบบบ!
-
โหยยยย
แอบสงสารพี่นิจ
แรกๆมาโดนปอเกลียดเฉยเลย
แต่พอปอกลับชาติ...เอ่อ...ไปภพก่อน
แล้วพอกลับมา พี่นิจกลับเป็นพระเอกไปซะได้!!
สุดยอดค่ะพี่หมอ
ช้าๆได้ปอทั้งตัว o13
-
พี่หมอใจดีจังเลย ยอมน้องปอทุกอย่าง
ส่วนปอนี่แสบซนเหลือเกินนะเนี่ย อิอิ
จะรอตอนต่อนะคะ
-
ชอบหมอปีย์มากกว่า :o8:พี่หมอคนนี้ก็น่ารักนะ
แต่ดูจริงจังมากก บอกน้องไม่อ้อนที่จริงน้องอ้อนแต่ตัวไม่สนต่างหาก :m20:
-
:z3: :z3: :z3: หนูอยากอ่าน หนูอยากอ่าน ฮืออ...หนูจะรอค่ะพี่ หนูจะรอ หนูจะรอค่ะ อร๊ายยย...หนูคิดถึงหมอปีย์
ไปอ่านอีกรอบ :z10: :z10:
-
ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก
อ่านแล้วยิ้มแป้นหน้าบานไม่หุบ
สองคนนี้น่ารักกันจริงๆเลยนะเนี๊ย >_<
พี่เป็ดตัดตอนได้ค้างมาก...อยากอ่านต่ออยู่เลยอ่ะ
พี่เป็ดมาต่อพรุ่งนี้เลยได้ไหมอ่ะ?
อยากอ่านอีกอ่ะ! >.<
-
+1 ให้คุณนัท :man1:
รอ :call:
-
ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษ
Happy Valentine's Day :L2: :L1:
+1
-
และแล้วเราก็ได้อ่านความในใจของพี่หมอนิจ --มันก็แลดูดราม่านะ รักเค้ามาตั้งนานแล้วดันต้องมาหมั้นกะแฟนเค้าน่ะ
//แต่หมอปีย์ดราม่ากว่า ด้วยเงื่อนไขทางสังคม และอื่นๆอย่างที่เห็นกัน - -"
น้องปอตอนเด็กๆน่ารักดีค่ะ แต่ตอนวัยรุ่นนี่... ฉายแววหื่นตั้งแต่ม.ต้นเลยนะแก หึหึ
พี่เป็ดสู้ๆนะคะ รอติดตามตอนต่อไปค่ะ
*ปูสาดรอ*
-
สุดยอดค่ะพี่หมอ
ช้าๆได้ปอทั้งตัว o13
ไม่ค่อยแสดงออกถึงความหื่น :m20:
-
ว้าวววววววว ๆ มาต่อแล้ว ดีใจครับที่ได้อ่านนนนน o13
-
เกาะติดทุกสถานการณ์ :z2: :z2:
-
กำลังเก็บเงินอยู่จร้าาา เดวไกล้สิ้นเดือนจะส่งเมล์ไปสั่งนะจ๊ะ
-
พี่หมอนิจ(หมอปีย์) ยังคงอบอุ่นเสมอต้นเสมอปลาย ทั้งชาตินี้และชาติก่อน o13
-
มาแล้ว >< แปะแล้วเดี๋ยวมาอ่านนะคะ
-
เย้ เย้ มาเเล้วๆ
-
อืม....จอมมารบู? จีบัน? ไม่อยากจะบอกเลยว่า..ทันได้ดูด้วย (แปลว่า...ใช่มั้ยเนี่ยเรา 555+)
-
ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษ
พี่หมอยังคงอบอุ่นเหมือนเดิม
:กอด1: :กอด1:
-
ติดตามเสมอครับ o13
-
คิดถึงหมอปีย์ยังไงไม่รู้ซิ
ทั้งที่พี่หมอก็กำลังเล่าอยู่ เอ๊ะ
ว้าวววว ใกล้จะได้เห็นปกแล้ว ตื่นเต้นๆ
-
เย้...ได้อ่านพาร์ทพี่หมอต่อแล้ว
เกือบจะไม่ได้อ่านซะแล้ว
ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เข้าห้องนิยายที่จบแล้วสักเท่าไหร่
พอมาเห็นรีบกดเข้ามาอ่าน
ไม่อยากจะบอกว่าทันมอร์กะจายด้วย
เรื่องปีหนึ่งเพื่อนกันและวันอัศจรรย์ของผมที่พูดถึงนี้นี่ใช่ที่ออย ธนาเล่นใช่ไหมคะ...จำได้ว่าชอบมากดูทุกตอน
แต่เสียดายตอนจบ....ถ่ายได้แย่มาก.... :m16:เหมือนตกม้าตายตอนจบ(เริ่มนอกเรื่องไปไกลแระ)
น่าจะยังไม่จบพาร์ทคุณหมอใช่ไหมคะ....รออ่านตอนต่อไปค่ะ
แล้วก็รอดูหน้าปกด้วย....อยากได้มาไว้ในครอบครองเร็วๆจัง
-
o22เข้ามาถึงตกใจเลย. พี่หมอมาอัพแล้ววววววว
ฮูเรรรรรรรร :z2: :z2: :z2:
-
o13 เริ่ดดดด.....แต่ว่า...มาต่อเร็วๆน้าาาาาาาาาา :z3:
-
รอครับ
-
:L2:
-
รอตอนต่อไปนะครับ
-
ชอบเรื่องนี้มากอ่ะ อ่านแล้วอินไปกับตัวละครในเรื่องยิ่งตอนหลังๆ อ่านแล้วน้ำตาไหลพรากๆ รอคอยพี่หมอบรรยายต่อไป!~
-
เรื่องนี้สนุกมาก ๆ เลย...
o13 o13 :L2:
-
โอนเงินแล้วค่าาาาาาา
รอร๊อรอ อร๊างงงงง อยากอ่านตอนชะอำจัง>< พี่นิจดูซีเรียสกับชีวิตนา ปอออกจะใช้ชีวิตอย่างมีสีสัน
-
ยอมรับว่าเข้ามาอ่านตอนแรกกะแก้เบื่อชื่อเรื่องน่าสนใจดี อ่านไปอ่านมากลับให้ความรู้สึกว่า เรื่องนี้ นี้หล่ะที่ตามหามานาน เนื้อเรื่องแสดงถึงความเป็นไทยได้ดีมาก อ่านแล้วกลับมามองตัวเองทันที่ เราคนไทยแต่ใจเราไทยจริงหรือเปล่าหรือว่าเราโดนวัฒนธรรมทางตะวันตกกลืนกินไปหมดแล้ว
เรื่องนี้เป็นการนำเสนอเนื้อเรื่องที่ดีมากสำหรับเรา ทั้งเรื่องความรัก และเรื่องวัฒนธรรม เพราะงั้นขอบคุณนักเขียนมากค่ะที่เขียนเรื่องดีอย่างนี้มาใหเอ่าน
ปล.เเลดูเขียนเวอร์จังเกิดไม่เคยเขียนไรอย่างนี้มากก่อนเขินจัง :-[
-
พี่หมอออออออออ :impress2: จะกี่ชาติก็ยังคงอ่านหนังสือต่อไป
๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕ :laugh: เรื่องนี้พลิกไปพลิกมา คาดเดาเนื้อเรื่องผิดไปหมดเลย
o13 คนแต่งเจ๋งจริง ๆ ข้าน้อยขอคาราวะ :pig4:
-
จอมมารบลู?? เมื่อก่อนเราก็ดู แถมติดงอมแงมเลยด้วย! 555
-
มารอต่อไปค่าา หายไปนานเลย นึกว่าจะไม่มาต่อแล้ววว T^T
คราวนี้อย่าหายไปนานนะคะะ
-
เย่ๆๆ o^^/ พี่มาต่อตอนพิเศษให้หน่อยแล้ววววว
อ่านทีไรก็สงสารพี่หมอ(ปีย์)ทูกกกกกที รักคนแบบปอเข้าไปได้ไงฟระ ปอเนี่ยถึงจะน่ารักแต่นิสัย(แอบ?)แย่จริงๆนะ เหอๆ
ปล.ไอก็ชอบจอมมารบลูเหมือนกัน ^^
-
เย้ๆๆๆ ยังรออ่านอยู่เรื่อยๆๆนะครับ
-
โหยยยยยยย อ่านสองวันจบ
ตอนสุดท้ายน้ำตาไหลพรากๆเลย
แทบอยากก้มกราบคนเขียนอ่ะ มันสนุกกกกกกกกกมากกกกกกกกกกกกก ก.ไก่ล้านตัวเลย
คือไม่รู้จะพูดไง สุดยอดค่ะ ถ้าสรรหาคำที่มันดูอลังการกว่า สุดยอดได้ ก็จะเอามาชมนะ ฮ่าๆ
ปล. ไม่ทราบว่าตอนพิเศษนี่ จะตามอ่านได้แึค่ในหนังสือรึเปล่าคะ? หรือว่าจะเอามาลงในบอร์ดด้วย?
-
ตอนพิเศษของหมอปีย์นี่เขียนไปยาวๆเลยได้ไหมคะ อยากรู้ชีวิตของหมอ กับเรื่องราวหลังจากที่ปอจำได้แล้ว
ว่าแต่เวปที่ให้จองหนังสือนี่ โอนเงินไปแล้วเขาไม่ตอบรับเลยนะคะ เมลไปอีกรอบก็ไม่ตอบอะ อยากจะรู้ว่าเขาเช็คเจอหรือไม่ กลัวตกสำรวจแล้วไม่ได้หนังสือค่ะ
-
คุณเซ็งเป็ดครับอยากจะบอกว่า ผมเป็นเชฟ(แอบมโนเอาว่าตัวเองเป็นอัชย์^^) เพื่อนผมมันเห็นผมอกหักอยู่เลยส่งเรื่องนี้มาให้อ่าน ตอนแรกก็ไม่อยากอ่าน เพื่อนมันยังบอกว่าแกต้องชอบ และแล้ว....ผมก็ติด อ่านบนไอแพดตลอดเวลา(เกือบอ้วกครั้งนึงเพราะอ่านบนรถ) สูตรอาหารแม่ไม่ได้บอกรายละเอียด ปต่เคล็ดลับต่างๆผมลองเอาไปทำดูก็โอเค อ่านแล้วผมกลับมาศึกษาความเป็นไทยมากขึ้น อินมากๆเพราะตัวเองเป็นเชฟเหมือนอัชย์มั้ง อ่านรวดเดียวจบ ผมเคยคิดว่าความรักเป็นแบบนี้ แต่ได้อ่านเรื่องนี้ผมเข้าใจว่ารักจริงๆแล้วมีหลายรูปแบบ นิยายของผม(แต่งโครงเรื่องไว้นานแล้วหาตอนจบไม่ได้) เมื่อได้อ่านของคุณเซ็งเป็ดแล้ว ทำให้ผมนึกตอนจบที่ดีได้เลย ขอบคุณมากครับสำหรับนิยายดีๆ. อ้อ แล้วสั่งนิยายยังไงครับ มี link หรืออะไรตรงไหน พอดีผมอ่านแต่เนื้อเรื่องรีบๆเร็วๆ ไม่ได้อ่านคอมเม้นเลย อย่างไรรบกวนบอกด้วยนะครับ
ปล. ชอบฉากเลิฟซีนที่เป็นบทอัศจรรย์มากครับ ขออนุญาติใช้ไอเดียนี้บ้างนะครับ ชอบแต่งกลอนอยู่แล้ว หุหุ
-
สวัสดีค่ะพี่เ็ซ็งเป็ด หนูติดตามพี่มาอย่างเงียบๆค่ะ :o8: ตอนแรกหนูคิดว่าเรื่องนี้จะเป็นแนวแบบรักแห่งสยามที่เรื่องเกิดขึ้นในสยามสแควร์แต่แล้วก็ไม่ใช่ พอได้อ่านแล้ว อ่านไม่วางจริงๆค่ะ อ่านต่อกันมา3วัน3คืนจนจบแล้ว ณ ตอนนี้ ขอบคุณพี่มากค่ะที่สรรค์สร้างเรื่องราวดีๆมาให้อ่านกัน
อยากจะบอกว่าพี่หาข้อมูลได้แน่นและละเอียดมากค่ะ หนูเข้าใจทุกคำ ทุกการสื่อสารที่พี่แทรกไว้ในเนื้อหาเหล่านั้น (แม้บางช่วงจะค่อนข้างสับสนที่พี่เขียนผิดบ้าง เขียนเกินบ้าง แต่หนูมั่นใจว่ารับสารครบทุกอย่างค่ะ)
ขอบคุณอีกครั้งค่ะและเป็นกำลังใจให้พี่สำหรับการสร้างผลงานดีๆแบบนี้ออกมาีอีกนะคะ
ปล. ลงภาคต่อของพี่หมอนิจกับน้องปอต่อด้วยนะคะ หนูบ่จี๊ :sad4: อาจจะซื้อหนังสือพี่ไม่ทันในรอบนี้ แต่ถ้ารอบหน้าจะมีการรีปริ้นท์ ได้โปรดบอกหนูนะคะ หนูยินดีพร้อมพลีชีพค่ะ ^______^
ปล2. เหมือนตัวเองล้าหลังที่เพิ่งรู้ว่าพี่ลงเรื่องใหม่จนเมื่อ2วันก่อน แลหนูก็หาอัฐมิทัน :monkeysad: มาลงให้หนูอ่านต่อด้วยนะคะ สู้ๆค่ะ
-
อยากจะบอกว่า นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ปลาบปลื้มมากๆ o18
ภาษาที่คุณเซ็งเป็ดถ่ายทอดออกมา เห็นชัดเจนมากๆ
ภาษาสวย ลื่นไหล อ่านเเล้วไม่สะดุด
มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ การทำอาหาร
จะรอตอนของหมอปีย์นะคะ
+1 ให้ค่ะ :pig4:
-
เนื่องจากหลังจากปิดรับจองไปแล้วนั้น ทางทีมงานแจ้งมาว่าต้องรอเอาตัวอย่างจริงของหนังสือมาพิสูจน์อักษรก่อนสั่งพิมพ์จริงเต็มจำนวนอีกครั้ง อีกทั้งตอนนั้นทางทีมงานแจ้งมาว่ายังมีคนโอนเงินเข้ามาอยู่และแจ้งเหตุจำเป็นเพื่อเลื่อนโอนอยู่บ้างจึงยังเปิดโอกาสให้คนที่โอนไม่ทันโอนมาอยู่นะครับ
ทางทีมงานเห็นสมควรแจ้งให้ผู้สั่งจองทราบความคืบหน้า และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่รอคิวพิมพ์หนังสือ ผู้อ่านที่สนใจและสั่งจองไม่ทัน สามารถสั่งเพิ่มเติมเข้ามาได้ครับ
เพราะจะไม่มีรีปริ้นแล้วนะเออ รอบเดียว รวยแล้วเลิก 555
ส่วนคนที่จองไว้ยังไม่ได้โอนเงิน ยังมีเวลานะครับ ยังไงมีเวลาเก็บเงินนะครับ
หากมีข้อมูลใดๆเพิ่มเติม เราจะเข้ามาแจ้งให้ทราบเป็นระยะๆนะครับ
รูปแบบปกหนังสือออกมาแล้ว :mc4: :mc4:
๐ ปกเล่ม 1
(http://image.ohozaa.com/i/d9c/uRQkk.jpg)
๐ ปกเล่ม 2
(http://image.ohozaa.com/i/b78/zLrGvE.jpg)
Concept ที่ทีมงานได้รับมาจากคุณเซ็งเป็ดมีใจความสั้นๆง่ายๆ (แต่ยาก...หาย) ว่า "ไทยร่วมสมัยและมีอะไรที่ต่อเนื่องเกี่ยวพันกันเหมือนเนื้อหาภายในเรื่องที่ใช้เวลาเป็นตัวเชื่อมโยง ให้ความผูกพันเป็นตัวดำเนินเรื่อง" (ลึกซึ้ง :o8:)
ดังนั้น!! เมื่อเราเอาปกหน้าของทั้งสองเล่มมาต่อกัน ก็จะได้ความสัมพันธ์ดังตัวอย่าง
(http://image.ohozaa.com/i/e7f/UByJGe.jpg)
ปกหลังก็มีลักษณะแบบเดียวกันกับปกหน้า
(http://image.ohozaa.com/i/469/ENKXq4.jpg)
ณ ตอนนี้ ขั้นตอนการจัดทำอยู่ในขั้นตอนส่งขอตัวอย่างหนังสือมาตรวจสอบความถูกต้องและตรวจคำผิดรอบสุดท้ายก่อนสั่งพิมพ์จริงทั้งหมด หากใครสนใจยังสั่งได้อยู่นะคะ (แต่อาจจะมีเวลาให้โอนเงินน้อยลง :z3:) รายละเอียดการสั่งซื้อตามนี้เลยค่ะ
(http://image.ohozaa.com/i/32b/MVvOL.gif)
(http://image.ohozaa.com/i/3f0/zLqpP.jpg)
รายละเอียดหนังสือ
1. หนังสือ 1 ชุด มี 2 เล่มจบ พร้อม Box set ราคาชุดละ 900 บาท (ราคานี้รวมค่าจัดส่งชนิดลงทะเบียนตรวจสอบสถานะการจัดส่งผ่านเวปไซต์ของไปรษณีย์ได้ 2 ชุดขึ้นไปจัดส่ง EMS)
2. ปก กระดาษอาร์ตการ์ด 260 แกรม
3. เนื้อใน กระดาษถนอมสายตา 75 แกรม
4. ที่คั่นหนังสือ
5. ตอนพิเศษเพิ่มเติมจากที่ลงในบอร์ด
เนื้อหาตั้งแต่ต้นจนจบ อ่านได้ที่ A moment in Siam กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.0)
มี 2 ช่องทางการสั่งจองคือ
1.จองผ่านทาง Utellido<<-----คลิกเพื่อทำรายการสั่งจอง (http://utellido.com/utellido/index.php/shopping.html#ecwid:category=0&mode=product&product=8552609)
2.สั่งจองทาง E-Mail
(http://image.ohozaa.com/i/24d/sNryd.jpg)
ตั้งชื่อหัวข้อเมลล์ว่า "สั่งจองหนังสือ"
โดยระบุรายละเอียดดังนี้
1. ล็อกอินในเล้าเป็ด (ถ้ามี)
2. เบอร์โทรที่สามารถติดต่อได้
3. จำนวนที่ต้องการ
รอรับ Code สำหรับโอนเงิน (ดำเนินการโดยทีมงาน Utellido)
ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ
UTDATE ความคืบหน้าโดย ทีมงาน.....(http://images.ecwid.com/images/401031/14525675.jpg)
-
กรี๊ดดดดดดดด
ปกมาแล้ว >< สวยมากๆ ฮ้าา *O*
รอหนังสือต่อไปปปป =w=
-
ว้าวววววว ปกมาแล้วววว สวยมากค่ะ o7
รอหนังสือๆๆๆ
-
ส่งเมล์จองหนังสือไปแล้วนะคะ เกือบไม่ทัน ^^
-
จะมีรีปริ้น มั้ยอ่า อยากได้ ยังเก็บเงินไม่ทัน จอง วันสุดท้ายที่เท่าไหร่อ่า
-
จะมีรีปริ้น มั้ยอ่า อยากได้ ยังเก็บเงินไม่ทัน จอง วันสุดท้ายที่เท่าไหร่อ่า
คงไม่รีปริ๊นอ่ะครับ แต่ว่าไม่เป็นไรครับ อ่านเอาในนี้ก็ได้ หรือไม่ยืมเพื่อนเอาก็ได้ ถ้าเกิดยังไง เดี๋ยวจะยืมของน้องที่สั่งให้เอาไปถ่ายเอกสารน๊า แหะๆ
-
วุ้ย กิต.ส่งสารไปทาง Hot Mail แล้วนะคะ เวลาประมาณ 23 นาฬิกา เศษๆ ของวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๕ ค่ะ
ขอบคุณนะคะ คุณ เซ็งเป็ด
-
คงไม่รีปริ๊นอ่ะครับ แต่ว่าไม่เป็นไรครับ อ่านเอาในนี้ก็ได้ หรือไม่ยืมเพื่อนเอาก็ได้ ถ้าเกิดยังไง เดี๋ยวจะยืมของน้องที่สั่งให้เอาไปถ่ายเอกสารน๊า แหะๆ
ขอบคุณเซ็งเป็ดมากฮะ แต่เราอยากเก็บมากกว่า เดว จะเมลไปจอง แล้วเงินไปให้เรยยังพอมีอยู่บ้างฮะ หนังสือดีดีอย่างนี้อยากเก็บให้คัยสักคนอ่านด้วยกัน เฮ้อออ
-
ปก มันลึกล้ำ มากก!!
-
ปกคลาสสิกมากเลย สวยอ่ะ อยากเห็นของจริงไวๆแล้ว อิอิ
-
ว้าววว ปกสวยมากค่ะ >_____<
ไปโอนเงินมาแล้วฮุฮิๆ
-
ส่งเมล์ไปแล้วอะไม่เห็นมีอะไรตอบกลับเรยยย อยากได้
-
อั๊ยยยยย อ่านรวดเดียว สั่งจอง โอนเงิน สมัครสมาชิกบอร์ด แล้วค่อยมาเม้นท์ (แอบเลว) :o8:
สนุกมากๆ เลยค่ะ ส่วนตัวชอบอ่านแนวพีเรียดอยู่แล้ว ยิ่งแบบสองภพสองชาติ ยิ่งชอบใหญ่เลย หลงรักหมอปีย์ แอร๊ยย
โอนเงินผ่าน paypal ไปแล้วนะคะ order #105 ในเว็บ utellido โอนเมื่อกี้นี้เอง หวังว่าคงทันนะคะ
มันยังอยู่ในวันที่ 2 มีนาไหมนะ หรือกลายเป็นวันใหม่ไปแล้ว 555 เลยมา 2 ชั่วโมงเอง ให้เค้าเถอะนะตัววว :monkeysad:
-
เมล์ ส่ง กลับมาแล้ว แต่ไม่เห็นมีโค๊ดอะไร เรยอะคับ โอน เรยเลยรึเปล่าคับ งง มาก แล้ว ก็อยากได้ด้วยทำงัยอะคับ
-
ขอโทษค่ะ พอดีโอนเงินไปเมื่อวานเเต่ลืมเเจ้งโค้ดนะค่ะ
เพิ่งเเจ้งวันนี้ จะได้มั้ยค่ะช่วยหน่อยเถอะนะค่ะ :impress3:
-
จะคุณหมอปีย์หรือพี่หมอนิจเราก็ชอบทั้งคู่เลย
เป็นคนที่อบอุ่่น อ่อนโยน และนึกถึงคนอื่น (โดยเฉพาะปอ/พ่ออัชย์) เสมอ
ตอนเด็กๆ ปอติดพี่นิจสุดๆเลย มีอะไรก็พี่นิจๆ น่ารักจริงๆ
ขนาดเรื่องช่วยตัวเองยังเอามาเล่าให้พี่นิจฟังจนแทบเห็นภาพ ๕๕๕๕๕๕๕+
แต่ไม่ชอบปอเลยที่ปอบอกว่าไม่ชอบคุณยายหนูวาดเพราะหนังเหี่ยวๆ ของท่าน
ฟังเหตุผลแล้วอยากจับมาตีก้นจริงๆ -"-
ขัดใจมากๆ ที่ขนาดงานศพคุณยายปอก็ยังเที่ยวเล่นได้ เฮ้อออ ห่อเหี่ยวใจ
เรื่องพี่หมอนิจกับมุกนี่บังเอิญมาก ใครจะไปคิดว่าเรื่องมันจะยุ่งเหยิงซับซ้อนแบบนี้
ถ้าปอฟังเหตุผลของพี่หมอนิจบ้างก็ดี
แต่เชื่อว่าทุกอย่างต้องดีขึ้น เพราะปอเปลี่ยนไปแล้วหลังจากได้ไปท่องแดนสยามมา
อะไรๆ ต้องดีขึ้นแน่ๆ รวมทั้งความสัมพันธ์ของพี่หมอนิจกับปอด้วย :)
ชอบพาร์ทพี่หมอมากๆ ได้อ่านมุมผู้ชายคนหนึ่งที่รักและหวังดีกับน้อง?เสมอ รู้สึกอบอุ่นในหัวใจจัง อิอิ เป็นกำลังใจให้พี่เซ็งเป็ดค่ะ
-
พี่คะ น้องหนูจะสั่งวันนี้ทันไหมคะ TT
-
ปอตอนเด็กๆน่ารักมากเลย :กอด1:
-
สั่งตอนนี้ยังทันรึเปล่าค่ะ
-
โอ๊ยยยยยยยยยยยย
ซึ้ง อ่ะ :sad11:แต่งได้สุดยอดมั่กมากกกก o13
จะหาเจอมั๊ยน่อ คนแบบหมอปีย์ :-[
-
มารับทราบความคืบหน้า
อา....ปกสวยมากกกกกกกกค่ะ.....มันเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันดีจริง :impress2:
คราวนี้ก็ใกล้ที่จะได้หนังสือมาไว้ในครอบครองแล้ว :z1:
-
วันเดียวรวดเดียวจบ เยี่ยมๆ หลากหลายอารมณ์จริงๆค่ะ :m4:
แต่หนังสือนี่สิอยากได้ก็อยากได้นะ ถ้าสามารถทำกระดาษเป็นเงินคงจะสั่งไปสักสิบชุด(ไปเผื่อคนอื่นอ่าน :z2:) :z1:
ของเค้าดีจริงๆ :call:
-
ประทับใจมากคับบเรื่องนี้ อยากให้มีภาคต่อจังไม่รู้หวังสูงไปหรือป่าว
-
สนุกม๊ากกกก ประทับใจสุดๆ :กอด1:
-
นิยายเรื่องนี้สนุกมากครับ ชอบสุดๆเลย
แต่ไม่มีเงินสั่งอ่ะ ฮือๆๆ แต่จะรออ่านต่อนพิเศษที่จะมาต่อน่ะครับ
ขอบคุณคนแต่งที่ใช้ความละเอียดอ่อน ความรู้ต่างๆเพื่อให้นิยายเรือ่งนี้ออกมาดี
ขอบคุณ มากๆครับ
-
ตอนนี้เป็นไงบ้างหว่า?
อยากได้หนังสือเร็วๆ จัง ><
-
ขอโทษค่ะ ไม่ทราบว่าปิดการจองไปรึยัง
คือเราอยากได้มากๆ T_T แต่ส่งเมลไปแล้วยังไม่ตอบกลับมาเลย
ขอให้ทันด้วยเถอะไม่อยากพลาดหนังสือดีๆ :sad4: :o12:
-
เข้ามารอหนังสือค่ะ ><
อยากได้ใจจะขาดแล้วววว
คิดถึงพี่หมอกับปอ :man1:
-
อยากสั่งหนังสืออ่า!! จาทันไมอ่า เศร้าจัย
-
ยังคงรออ่านตอนพิเศษส่วนที่เหลืออยู่นะครับ
ไหนๆก็ลงมาเป็นน้ำจิ้มเยอะขนาดนี้แล้วก็ขอให้มาเรื่อยๆนะพ่อนะ
จักเป็นบุญเป็นกุศลนักแล
เรื่องที่คาใจและเป็นกุญแจสำคัญตอนนี้คือคุณยายหนูวาดทราบได้อย่างไร
ว่าพี่หมอนิจเป็นคุณหมอปีย์กลับชาติมาเกิด
แล้วตัวพี่หมอนิจเองจะมีความจำเกี่ยวกับชาติที่แล้วมากน้อยแค่ไหน
พ่ออิชย์ถึงได้เชื่อว่าพี่หมอกับหมอปีย์เป็นคนๆเดียวกัน
-
สวัสดีค่ะ.... :m5:
ทีมงานขอแจ้งข่าวแทนคุณเซ็งเป็ดที่ตอนนี้กำลังผจญชะตากรรมเป็นสจ๊วตฝึกหัดอยู่ที่เมืองไนรูบี ประเทศเคนย่า นะคะ
ความคืบหน้าเกี่ยวกับหนังสือ ตอนนี้ทางโรงพิมพ์ส่งตัวอย่างจริงของรูปเล่มมาให้ตรวจสอบและแก้ไขอีกครั้งก่อนสั่งพิมพ์แล้วค่ะ
รวมไปถึงร้านกล่องก็ส่งตัวอย่าง Box Set มาให้แล้วเช่นกัน
***หมายเหตุ : Box set อาจมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ หากจำนวนขั้นต่ำที่สั่งทำราคาสูงเกินไปนะคะ
ขณะนี้ หากมีใครต้องการสั่งซื้อหนังสืออยู่ สามารถเมลล์ไปสั่งจองได้ตามรายละเอียดหน้า P.106 CLICKที่นี่ค่ะ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1875313#msg1875313)
ใครที่จองมาในช่วงเวลาที่รอสั่งพิมพ์จริงนี้ ทีมงานขอให้ท่านโอนเงินภายใน 3 วันหลังจากได้รับ Code โอนเงินนะคะ
หากใครต้องการเปลี่ยนที่อยู่ยังสามารถแจ้งได้ตลอดเวลาค่ะ หากมีการตอบกลับช้า ขออภัยด้วยนะคะ ทีมงานจะตอบกลับทุกเมลล์ค่ะ :pig4:
ตัวอย่างหนังสือ & Box
Box ตัวอย่าง เป็นกล่องที่ทีมงานออกแบบขึ้นมาใหม่ ลักษณะของกล่องเหมือนกุญแจหลักของนิยายเรื่องนี้ที่มีหนังสือเป็นสื่อกลาง คอนเซ็ปประมาณว่า เราเปิดหนังสือออกมาเป็นเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น อธิบายแบบง่ายๆคือ เปิดหนังสือมาเจอหนังสือ? อธิบายวกวนเนอะ :z3:
(http://image.ohozaa.com/i/4b0/qiOVkK.JPG) (http://image.ohozaa.com/i/dc2/s2VxzO.JPG)
(http://image.ohozaa.com/i/c99/rXnw69.JPG) (http://image.ohozaa.com/i/648/NUBrQe.JPG)
(http://image.ohozaa.com/i/abe/oW8x3I.JPG) (http://image.ohozaa.com/i/6cf/qpC3SY.JPG) (http://image.ohozaa.com/i/4d6/hLhQZV.JPG)
UTDATE ความคืบหน้าโดย ทีมงาน.....(http://images.ecwid.com/images/401031/14525675.jpg)
-
ว้าววววว box สวยมากค่ะ
อยากได้มาครอบครองเร็วๆ แล้วสิ :impress2:
-
ยังสั่งซื้อได้อยู่มั้ยคะ?
-
เข้ามารอหนังสือ มันช่างงามแท้ :-[
อยากได้ใจจะขาดแล้ว :o12:
-
ฮือออออ คือว่าเคยสั่งจองไปตั้งแต่วันที่ 25 เดือนมกราแล้วอะค่ะ
แล้วยังไม่ได้รับ Code เลย วันนี้เลยมาดูที่แท้...
หนูเขียนเมล์เป็น .com TOT!
ส่งเมลล์ไปแล้วนะคะ T.T
-
ตัวหนังสือสีทองสวยมากกกกกกก :-[
อยากได้มาครอบครองแล้วค่ะ อร๊ายยยยยยยย รอนะคะ
-
รอคอยเธอมาแสนนานนนนนนนนนน~ อยากได้แล้วค่า
-
เพิ่งจองและโอนเงินไปวันนี้ 25/3/12 ผ่าน website Utellido ยังทันใช่ไหมครับ
-
ชอบbox อ่ะค่ะ สีสวยมากมาย เเล้วเราจะเปิดหนังสือไปเจอหนังสือ?! เยี่ยมค่ะ!!!!
-
เห็นตัวอย่างหนังสือแล้วสวยมากเลยค่ะ
เเล้วBoxนี่เก๋ดีนะค่ะ เปิดหนังสือมาเจอหนังสือ
จะรอดูของจริงนะค่ะ
-
่อ่านเรื่องนี้แล้วหลงรักเลยค่ะ o13
ทั้งสนุก ฮา เศร้า หวาน ได้อารมณ์คละกันไปจนทำให้ประทับใจขอจองหนังสือมาเก็บซักเล่มเถิดค่ะ
ไม่รู้จะช้าไปหรือเปล่าแต่ว่าเมลไปเมื่อกี้้แล้วนะค้า :o8:
-
:a5: คือว่าไม่มีเวลาอ่านน่ะค่ะ แต่สั่งซื้อพร้อมโอนเงินไปแล้ว พอมาอ่านตอนท้ายเพื่อหาข่าวหนังสือ กลายเป็นว่าเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าตอนจบมันไม่ แฮปปี้อะ :m15: ทำใจไม่ได้ ได้หนังสือมาแล้วจะอ่านได้มั๊ยเนี่ย :o12: ชอบแนวย้อนยุคแต่ไม่ชอบแอบเศร้าอะ :serius2: :o12:
-
:a5: คือว่าไม่มีเวลาอ่านน่ะค่ะ แต่สั่งซื้อพร้อมโอนเงินไปแล้ว พอมาอ่านตอนท้ายเพื่อหาข่าวหนังสือ กลายเป็นว่าเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าตอนจบมันไม่ แฮปปี้อะ :m15: ทำใจไม่ได้ ได้หนังสือมาแล้วจะอ่านได้มั๊ยเนี่ย :o12: ชอบแนวย้อนยุคแต่ไม่ชอบแอบเศร้าอะ :serius2: :o12:
หืมมมมมมม จบแฮปปี้น้าา ^^
-
ชอบ Box สวยดี
-
เป็นนิยายที่ผมคิดว่ามีคุณค่าที่สุดแล้วที่ผมอ่านนะรู้สึกได้ถึงอะไรต่างๆมากมายที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อ สุดยอดที่สุดครับ
-
เป็นนิยายที่ดีมากๆเรื่องหนึ่งเลยค่ะ
มีความอบอุ่นที่หาไม่ค่อยได้ในนิยายสมัยนี้
-
:กอด1: ขอบคุณมากๆเลยค่ะ ที่คุณเซ็งเป็ด แต่งนิยายแนวนี้ให้อ่าน อ่านแล้วรู้สึกว่าโชคดีจริงๆที่ได้เกิดเป็นคนไทย และแอบอิจฉาคนไทยสมัยก่อนในหลายๆเรื่อง อยากให้วัฒนธรรมที่ดีงามของไทย คงอยู่นานเท่่านาน แต่มองสมัยนี้แล้วแทบจะไม่เห็นความหวัง :เฮ้อ:
อ่านตอนแรก รู้สึกตัวนายเอก เป็นคนที่ปากร้าย ออกจะก้าวร้าวนิด ๆ แต่พออ่านไปเรื่อยถึงรู้สาเหตุของการเป็นคนแบบนี้ เลยทำให้หลงรักตัวนายเอกเลย เพราะเนื้อแท้แล้วเป็นคนที่จิตใจดีมากๆ กล้าหาญ เสียสละ มั่นคง สรุปคือเพอเฟรคอ่ะ อ่านแล้วไม่อยากให้จบเลย สนุกมากเลยค่ะ แถมได้ความรู้ในหลายเรื่องอีกด้วย
ขอบคุณมากๆค่ะ
-
ขอบคุณคุณเซ็งเป็ดอย่างมากเลยนะครับ ที่แต่งนิยายดีดีมีสาระน่ารู้มากมายขนาดนี้ เนื้อเรื่องเข้มข้นมากกกก ตอนแรกเห็นชื่อเรื่องคิดว่า คงเป็นความรักของวัยรุ่นในสยาม อะไรทำนองนั้น 5555 พออ่านมาเจอเรื่องย้อนอดีต เอ๊ะ มันน่าสนใจอะ จนอ่านวันนี้ทั้งวันไม่ไปไหน ไม่กินข้าว อ่านจนจบในที่สุด ทั้งเรื่องเพิ่งมาเสียน้ำตาตอนพิเศษ ทำให้รู้ว่า ความผูกพันนั้นแน่นหนาเพียงใด เห้อออ จะมีใครตามมาเกิดในชาตินี้เพื่อนเราบ้างนะ 5555
-
ขอบคุณนะครับ สำหรับเรื่องนี้ อ่านแล้วได้มากกว่า นิยายที่สนุกๆไปวันๆเท่านั้น ได้ความรู็เรื่องเก่าๆเยอะเลย และ ความรักชาติ ที่อาจจะหาได้ยากจากนิยาย ณ ปัจจุบัน เป็นกำลังใจให้ผู็เขียน จากผู้อ่าน คนนี้นะครับ ^_^
-
...ร.ศ112 ทวิภพ.....เหอ มันจะเป็นยังไงเนี่ย ต้องลองอ่านดู ไม่เคยอ่านแนวนี้เลยครับ อิอิอิ
...เคยอ่านแต่แนวย้อนยุคจีน ย้อนยุคไทย ไม่เคยอะครับ +5555... :laugh: :laugh: :laugh:
-
...แอบลุ้นว่าเมื่อไหร่หมอปีย์จะจับปอกดซะที +5555555 จัดเลย จัดเลย จัดเลย (อ้าว เป็นงั้นไป -*-) :laugh: :laugh: :laugh:
-
.....ปีย์+ปอ น่าร้ากกกกกกกกกกกก อ๊าคคคคคคคค!!!! :o8: :o8: :-[ :-[
-
...พี่เป็ดครับบบบบบ จะมาต่อมั้ยครับ มาต่อด้วยนะครับ ผมรออยู่น๊าาาาาาาาา.... :impress2: :impress2: :impress2:
-
เราว่าบทพูดมันเหมือนเรื่อง ทวิภพ เวอร์ชั่น ภาพยนตร์เลยนะ โดยเฉพาะตอนที่พูดถึงสยามในอนาคต
แล้วตอนที่บอกว่าพ่อ-แม่ไม่รัก ส่งไปเรียนเมืองนอกด้วยอะ
http://www.youtube.com/v/LXzFOEBidR4?version=3
-
เรื่องนี้อ่านแล้วได้ทั้งความรู้ ความรัก มุมมองชีวิต
และการปกป้องวัฒนธรรมไทย
คนเขียน เขียนออกมาได้ประทับใจสุดๆ
ไม่อาจหาคำบรรยายใดๆได้
o13
-
มาดักรอต่อไป
อยากรู้ว่า เมื่อปอเจอกับพี่หมอแล้ว
ปอจะทำยังไงต่อไป ในเมื่อตอนนี้ปอจำได้แล้ว
/ปูเสื่อรอ
-
อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ สนุกมากๆ ชอบเรื่องพีเรียดแบบนี้อยู่แล้ว
ตอนแรกคิดว่าจะอ่านซักสองชั่วโมงแล้วจะนอน ปรากฎว่าอ่านซะจบเลย
อ่านตอนจะจบไปก็น้ำตาไหลพราก แบบไหลออกมาเองจริงๆ
เรื่องนี้มีเกร็ดต่างๆเยอะเลย ให้ข้อคิดด้วย เห็นถึงความตั้งใจของผู้เขียนเลยค่ะ
ขอบคุณนะคะที่เขียนเรื่องสนุกๆดีๆแบบนี้ให้อ่านกัน o13 :L2: :pig4:
อยากได้หนังสือจังเลย จะยังทันมั้ยหว่า...
-
เมื่อไหร่จะได้หนังสือหนอ...
-
เป็นนิยายที่ควรค่าให้เยาวชนอ่านมากๆ
สอดแทรกอะไรไว้เยอะเหลือเกิน
คาดว่าผู้เขียนคงต้องทำการบ้านมาดีมากทีเดียว
ยังไงก็จะเป็นกำลังใจให้สำหรับเรื่องต่อไปนะคะ
ปล.อยากได้หนังสือ ลองส่งเมลไปจองดู ยังพอมีเหลือมั้ยคะเนี่ย
ขอบคุณอีกครั้งสำหรับผลงานดีๆนะคะ
ไม่เคยผิดหวังสักครั้งกับฝีมืองานเขียนของคุณเซ็งเป็ด
รู้สึกดีใจมากๆที่ได้อ่านค่ะ
-
อยากให้อัพเดทข่าวคราวหนังสือหน่อยค่าาา
ล่าสุดตั้งเดือนนึงแล้วนา
-
ชอบเรื่องนี้จัง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เสียน้ำตาเยอะมาก เสียใจกับตัวเอก ปลื้มใจ หลายอารมณ์มาก หมอบปีร์เป็นผู้ชายในฝันเลยอ่ะ รักเลย ชอบคนใจดีเป็นผู้ใหญ่ ซื่อๆ มั่นคง รักเดียวใจเดียว สเป็กเลย ขอบคุณคุณเซ็งเป็ดมากๆ ได้ความรู้เยอะเลย
-
แจ้งความคืบหน้าครับ
ตอนนี้หนังสือเรียบร้อยครับ รอแค่ทางสำนักพิมพ์ส่งมาอย่างเดียว
เมื่อถึงมือเมื่อไหร่ รับรองจะรีบส่งให้ทันทีครับ
ด้านล่างเป็นตัวอย่างกล่องหนังสือครับ
(http://image.ohozaa.com/i/3f9/tg9VBG.jpg)
(http://image.ohozaa.com/i/40b/2o5nRs.jpg)
-
เห็นแล้วยิ่งอยากได้เร็วๆจังเลย :-[ :o8:
-
รอคอย :impress2:
-
ขอโทษนะครับถ้าจะเปลี่ยนที่จัดส่งต้องทำอย่างไรหรอครับ
-
อูย....ปาดน้ำลาย
-
เย่ๆ จะได้หนังสือแล้ว
-
ขอโทษนะครับถ้าจะเปลี่ยนที่จัดส่งต้องทำอย่างไรหรอครับ
แจ้งไปในเมลล์ที่จองค่ะ
-
ยังสั่งซื้อได้อยู่ไหมคะ??
-
ใกล้แล้ววววววววววววว
-
อยากให้มาต่อตอนจบ ..... จะได้ไหมครับ?
-
ขออนุญาตแสดงความเห็นครับ
ขอเป็นยาขมก่อนนะครับ ภาษา และสำนวนสำหรับผมอาจจะแปร่ง ๆ ไปซักนิดในบางช่วงรวมถึงมีการนำสำนวนจากนิยายเรื่องอื่นมาลงอย่างชัดเจน และมีเรื่องของข้อมูลอาจจะไม่ชัดเจนนักหลายๆ จุดตามที่มีเพื่อน ๆ หลายท่านได้ให้ข้อคิดเห็นไปแล้ว และเนื้อเรื่องในบางช่วงอาจจะยังไม่กลมกล่อมนักยังรู้สึกสงสัยในที่มาที่ไปของหลายๆ เหตุในเรื่อง แต่อาจจะเป็นเพราะผมไม่ได้อ่านตอนพิเศษที่ตีพิมพ์ลงหนังสือก็ได้
คราวนี้เป็นยาหอมล่ะครับ พล๊อตถึงจะเป็นพล๊อตย้อนยุคในช่วงเวลาที่มีผู้เขียนไว้หลายรูปแบบ แต่เรื่องนี้ก็มีความสมบูรณ์ในการนำเสนอที่น่าสนใจ มีการหยิบเอาอาหารไทยมาประกอบตัวเรื่องได้พอเหมาะ อ่านแล้วเรียกน้ำย่อยได้ดีทีเดียว ถึงผู้เขียนอาจจะไม่ถนัดสำนวนในบางรูปแบบ แต่ในหลายๆ ช่วงสื่อสารดีเหลือเกินบทเศร้าก็เศร้าจนเห็นภาพ เนื้อเรื่องสามารถเขียนจนเดาทางไม่ถูกว่าจะไปทางไหน แสดงออกถึงความรักได้อย่างดี เสียดายที่ไม่ได้อ่านตอนที่ลงหนังสือครับ
นิยายเรื่องนี้อ่านแล้วรู้สึกทั้งอื่มและไม่อื่มไปในคราเดียวกัน ทำให้อยากหามาอ่านเพิ่มเพิ่ม และขออภัยหากมีถ้อยคำใดที่ผู้เชียนหรือผู้อ่านท่านอื่นไม่พอใจ ทั้งหมดเป็นเพียงความเห็นส่วนตัวครับ ขอบคุณมากครับที่เขียนเรื่องที่ทำให้รู้สึกรักความเป็นไทยขึ้นมาอีกโขทีเดียว
-
แอร๊ยยยยยยยยย พึ่งมีโอกาสได้อ่านเรื่องนี้ อ่านรวดเดียวจบ ประทับใจมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ชอบพี่หมอปีย์ สั่งตอนนี้จะทันมั้ยคะเนี่ย? มีของเหลือรึป่าว หรือว่ามีวางขายที่ไหนมั้ยคะ????
-
ชอบมากๆๆๆคับ
-
พอดีวันนี้เพิ่งได้ลองอ่าน เรื่องแนวย้อนยุคน่าอ่านมากค่ะ จะเมลล์ไปจองทันมั๊ยเนี่ย
-
เก็บตังค์ไม่ทันอ่ะน่าเสียดายมากๆเลย ถ้ามีอีกรอบก็คงจะดี เศร้าใจจัง
-
อ๊ากกก เพิ่งมาอ่าน เศร้ามากน้ำตาไหลออกมากมาย :m15: :sad11: :impress3: อยากให้มี กาลครั้งหนึ่ง ณ ปัจจุบัน ต่อจังเลยค่ะ
-
สวัสดีค่ะ ตัวแทนจากทีมงาน (http://images.ecwid.com/images/401031/14525675.jpg) (http://utellido.com/utellido/) นะคะ
หนังสือกาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม เขียนโดยคุณเซ็งเป็ด ได้จัดส่งแล้ววันนี้ค่ะ
จากจำนวนทั้งหมด มีขาดส่ง 4 ชุด แบ่งเป็น 2 ชุด 1 กล่อง และ 1 ชุด 2 กล่องนะคะ
คนที่ไม่ได้รับ ไม่ได้มีปัญหาใดๆทั้งสิ้นค่ะ เพียงแต่ทีมงานไล่ติดชื่อไปจนครบจำนวนหนังสือ
พอของหมด เหลือชื่อไหน ชื่อนั้นเลยเป็นชื่อที่ต้องรอของนะคะ ขาด Box setอีก 10 กล่องค่ะ
เมื่อได้ของแล้วทีมงานจะรีบจัดส่งให้นะคะ ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
ผู้ที่สั่งซื้อหนังสือ สามารถตรวจสอบเลขรับพัสดุได้ ตามลิงค์ด้านล่างนี้นะคะ
เลขรับพัสดุกาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม
(http://utellido.com/utellido/index.php/forum/16/635-moment-in-siam.html#635)
ท่านสามารถนำหมายเลขพัสดุของตัวเองไปตรวจสอบสถานะการจัดส่งได้ที่เวปไปรษณีย์ ตามลิงค์ด้านล่างนี้ค่ะ
สถานะการจัดส่งจากไปรษณีย์ (http://track.thailandpost.co.th/trackinternet/Default.aspx)
ทีมงานจะแจ้งเมลล์ไปหาผู้ที่ยังไม่ได้รับหนังสือในรอบนี้ ทั้ง 3 รายชื่อ ทางเมลล์นะคะ
และจะแจ้งผ่านแฟนเพจ (http://images.ecwid.com/images/401031/14525675.jpg) (https://www.facebook.com/utellido) ค่ะ หากท่านไม่ได้อยู่ในคนที่ทีมงานขาดส่งแต่ไม่มีเลขรับพัสดุ ติดต่อทีมงานทางเมลล์ที่สั่งหนังสือได้เลยค่ะ
ขอบคุณค่ะ ทีมงาน
-
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
รอรับค่ะ
ตื่นเต้นจังเลยยยย~~~~~~
-
ได้รับหนังสือแล้วค่ะ สวยมาก
มาต้อนรับเสาร์อาทิตย์พอดีเลย อ่านโลด :impress2:
-
ได้หนังสือแล้วค่ะ^_^
:pig4: :pig4: :pig4:(http://)
-
เย้ ดีใจด้วยคนครับ ห่อเองกับมือทุกขั้นตอนจริงๆ เหนื่อยย่างแรง 555
ขอบคุณที่อุดหนุนกันนะครับ :กอด1:
-
ได้รับหนังสือแล้วค่าชอบตอนจบมากๆเลยค่ะ o13
-
ยังไม่ได้หนังสือเลยอ่ะค่ะ เมลก็ยังไม่ได้รับตอบ
ยังไงรบกวนช่วยเช็คดูให้หน่อยนะคะ ร้อนใจมากๆเลย ;_;
-
ได้รับแล้วเหมือนกันค่ะ สภาพสมบูรณ์ 100 % ทั้ง 2 ชุดเลยค่ะ
ขอบคุณสำหรับลายเซ็นต์ด้วยน้า :3123:
-
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ลุ้นๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:
-
ได้รับหนังสือเรียบร้อยแล้วค่ะ
สภาพสมบูรณ์ 100%
ถูกใจมาก ๆ ค่ะ
ขอบคุณค่ะ
-
....ได้รับหนังสือแล้วคราบบบบบบ...อ๊ากกก!!!!!!!!!!!! :laugh: :laugh:
......สวยงามมมม..เป็นปลื้มมมม.. :impress2:
....มันสวดยอดดด...มั๊กๆๆๆๆๆๆ.. :z2: :z2:.
...สมกับที่รอคอยเธอมาแสนนนนนานนนน :z3: :z3:
-
ชอบเรื่องมากๆเลย ชอบแบบชอบมากๆ
ทั้งถ้อยคำการบรรยายภาพทำให้เหมือนเข้าไปอยู่ในยุคสมัยของ ร.5 เลยจริงค่ะ
อ่านแล้วหน่วงตาม หน่วงมากๆเลยค่ะ ใจนี่อินไปเต็มที่แล้ว
ชอบหลายๆคำในเนื้อเรื่องนะคะ อย่างเช่น
"เราอยากเป็นเขา และก็ปฏิเสธที่จะเป็นเรา"
“เรานับถือทุกประเทศ ยกเว้นตัวเราเอง”
เรื่องนี้สอนอะไรได้หลายอย่างเลยค่ะ
อ่านแล้วรู้สึกนึกถึงบรรพบุรุษที่ท่านอุตส่าห์ทำไว้เพื่อลูกหลาน
ซึ่งในบ้างมุมอ่านเองก็รู้สึกผิดเองเลยน่ะค่ะ เพราะตัวเองก็เป็นอย่างที่พูดไว้จริงๆ
ส่วนตัวแล้วรู้สึกชอบตัวละครทุกตัวที่บรรยายถ่ายทอดออกมาราวกับว่ามีตัวตนจริงๆ
ตัวละครที่ประทับใจรองลงมาจากหลวงพินิจและปอก็คือสนเลยค่ะ
รู้สึกชื่นชมตัวละครนี้มาก สนเป็นคนดีๆจริง เค้าทำทุกอย่างโดยที่ไม่ได้หวังอะไร
พออ่านใกล้จะถึงตอนจบรู้สึกมันเป็นปม ปมที่มันยังตราตรึงในความคิด
ปมที่ได้อ่านแล้วลืมไม่ลง ทั้งๆที่รู้ว่าเนื้อเรื่องจบแล้วแต่ความรู้สึกมันยังเป็นปมอยู่อย่างงั้น
ปมในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเนื้อเรื่องไม่ดีอ่านแล้วไม่เข้าใจหรอกนะคะ
จะอธิบายไงดีละ มันเป็นเหมือนตะกอนที่ยังไงก็ยังไม่สลายหายไปจากใจน่ะค่ะ
หาอ่านได้ยากนะคะ นิยายเฉพาะกลุ่มที่มีเนื้อหาดีๆเช่นนี้
ส่วนตัวเราชอบนิยายแนวพีเรียดด้วยสิ แต่หาอ่านได้ยากเหลือเกิน
รู้สึกโทษตัวเองมากที่ทำไมเพิ่งนึกจะมาเรื่องนี้ตอนนี้ ทั้งๆที่ก็เห็นเรื่องนี้มาตั้งนาน
ยังอยากได้เรื่องนี้มาเก็บไว้เป็นที่ระลึกอยู่นะคะ
ในใจยังแอบหวังว่าอาจจะมีเปิดจองรอบสองนะคะ
ขอบคุณจริงๆค่ะ ที่เขียนนิยายดีๆแบบนี้มาให้เราได้อ่านกัน :L2:
-
ได้รับแล้วจ้า อื้ม กล่องพัสดุใหญ่กว่าที่คิด ๕๕+
กำลังเริ่มอ่านใหม่อยู่ แม่ชมว่าหนังสือสวย ให้พี่สาวดูก็บอกว่าชอบ เดี๋ยวโดนยึดๆ
คำผิดมีประปราย ถือว่าเล็กน้อยค่ะคุณเซ็งเป็ด
เป็นกำลังใจให้เรื่องต่อๆไปนะคะ o13
-
ดีใจจริง ๆ ที่ได้มาอ่านนิยายเรื่องนี้ :m15: แรกๆอ่านแล้วน้ำตาคลอเลยค่ะ สะท้อนสังคมในยุคนี้มาก ๆ
เป็นนิยายที่ทำให้เราเสียน้ำตาได้มากสุดเลย ; v ; อินทั้งเรื่องจริง และในนิยาย (ได้อ่านเรื่องนี้แล้วก็วิ่งไปหาเรื่องสมัยร.5มาอ่านมั่ง)
ขอบคุณมากๆเลยนะคะที่สร้างสรรค์นิยายดี ๆ แบบนี้มาให้ได้อ่าน ถึงจะมีช่วงที่เราอ่านแล้วเราว่าติดขัดไปบ้าง แต่ว่าโดยรวมแล้วยกให้เป็นนิยายในดวงใจเลยค่ะ o13
ว่าแต่จะมีเปิดให้ซื้ออีกมั้ยคะ แง
-
ได้รับหนังสือแล้ว สวยงามเรียบร้อยทุกประการ น่าเก็บรักษาเป็นที่สุด ขอบคุณค่ะ
-
ได้รับหนังสือแล้วนะคะ ^^
จะบอกว่าท่านแม่เป็นคนรับพัสดุให้ พอเห็นชื่อเรื่องก็หันมาถามเราว่าหนังสืออะไร
เราก็ไม่กล้าบอกตรงๆ ว่า มันเป็นหนังสือนิยายวายอ่ะแม่
เลยบอกแม่ไปว่า เป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ไทยอ่ะค่ะ หนูลองไปอ่านดูสนุกดีเลยสั่งซื้อมา
แต่พอพ่อได้ยินแล้วตอบกลับคำเดียว (ตอนนั้นพ่อนั่งอยู่ข้างๆ) เราแทบบอกความจริงไม่ทัน
.
.
"งั้นป๊าขอยืมอ่านต่อนะ" TTOTT
-
ได้เเล้นค่าาาา~ ชอบมากเลย ขอบคุณคุณเซ็งเป็ดที่เเต่งเรื่องดีดีนี้มาให้อ่านะค่ะ ^^
-
ได้รับหนังสือเรียบร้อยค่ะ >.<
ชอบมากๆ เลย ควรค่าแก่การเก็บจริงๆ ดูสวยงาม ประณีตจริงๆ
เพ้อๆๆ
-
ได้รับหนังสือแล้วค่ะ สภาพ100% ค่ะ ขอบคุณค่ะ
-
ได้รับหนังสือตั้งเเต่วันศุกร์เเล้วค่ะ
สวยมากเลย ขอบคุณค่ะ o13
-
อยากได้จังเลยค่ะ....เรามาอ่านตอนหลังเปิดจองเเล้ว
อยากให้มีเปิดจองรอบสองมากค่ะ ><
-
ได้รับมาสักพักแล้วค่ะ ชอบมากก อ่านไปน้ำตาไหลไป ><
ขอโทษที่ไม่ได้มาบอกนะคะ
-
น้อยมากค่ะ นิยายที่อ่านแล้วตีบตันไปด้วยความรู้สึกหลายๆอย่างในนี้
ทั้งๆที่เป็นการบรรรยายจากปอ แต่กลับเข้าใจและสะท้อนความรู้สึกของหมอปีย์ได้ชัดเจน
ประทับใจตั้งแต่ต้นจนจบจริงๆค่ะ
-
ได้รับแล้วนะคะ(ความจริงได้ตั้งแต่วันที่12แล้วละคะแต่ไม่ได้เข้ามาเลย)
สนุกๆมากๆเลยคะ ยิ่งตอนที่กำลังจะพาประหารนั้น
น้ำตาร่วงเลยละคะ ชอบมากๆ
อยากให้เขียนอีกหลายๆเรื่องเลยอะ ^^~
-
เพิ่งอ่านจบ อยากเข้ามาขอบคุณคุณเซ็งเป็ดครับ
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วรู้สึกผูกพันกับตัวละครมากครับ อ่านจบแล้วใจหายยังไงบอกไม่ถูก และที่สำคัญ ประทับใจมากครับ ขอบคุณที่เขียนเรื่องดีดีอย่างนี้นะครับ
-
สนุกมากเลยคะ o13
-
อ่าน 2 วันจบ สนุกมากค่ะ ซึ้งมาก
สั่งซื้อไม่ทัน T_T
พี่นัทจะเอาภาคปัจจุบันมาลงต่อไหมคะ งืดๆ
-
สั่งซื้อไม่ทัน TT^TT มีรอบใหม่ไหมง่า
อ่านจบภายในวันเดียวเลยเรื่องนี้ติดงอมแงม
-
ได้รับหนังสือและอ่านจบเรียบร้อย แอบรู้สึกอยากอ่านภาคปัจจุบันต่อจริงๆค่ะ >___<
-
ชอบโครต!
หากมีต่อเพื่อความอาวรณ์ขแงไอ้เฮจักดีไม่น้อย ที่สำคัญ... มาอ่านช้าไปเลยซื้อหนังสือไม่ทัน มันช่างเศร้า อะโฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮTT0TT
-
พึ่งมีโอกาสได้อ่านเรื่องนี้ต่ออีกครั้งหลังจากที่น้ำท่วมใหญ่คราวที่แล้ว
เป็นนิยายที่มีหลากหลายอารมณ์เลยจริงๆ
พออ่านจบแล้วรู้สึกประทับใจมาก จนคิดอยากจะได้หนังสือของนิยายเรื่องนี้จัง
เป็นนิยายเรื่องแรกที่คิดอยากจะได้หนังสือเก็บไว้เป็นที่ระลึกจริงๆจังๆสักเล่ม
ยิ่งพอได้รู้ว่าผู้เขียนได้จัดทำเป็นหนังสือด้วยยิ่งอยากได้
แต่น่าเสียดาย ผมคงมาช้าไป เลยไม่ทันสั่งจอง
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องขอขอบคุณผู้เขียนครับ ที่แต่งนิยายดีๆน่าประทับใจแบบนี้ให้ได้อ่าน
ขอบคุณมากมายครับ o1
-
อ่านจบแล้ววว สนุกมากกกกก
ทั้งซึ้ง เศร้า ตลก ตื่นเต้น มีครบทุกอย่างจริงๆ
ให้ความรู้ด้วยอ่ะ อ่านเพลินเลย เก่งจริงๆ ค่ะ ^^
อยากรู้ความเป็นไปของพี่หมอกับปออีกจัง
แต่มาไม่ทันซื้อหนังสือ เสียใจมากกก :monkeysad:
-
ติดซะแล้วววค่าา สนุกมากก
อยากได้ไว้นอนกอดมาก แต่เรามาช้าไป TT
อยากรู้เรื่องพี่หมอต่อจังค่ะ
:pig4:
-
ขอบคุณมากๆเลยนะครับ
มีความสุขมากเลยที่ได้อ่านเรื่องนี้
เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก
อยากบอกว่าอ่านเเล้วแทบไม่อยากไปไหนเลย
รักเรื่องนี้มากครับ
ตอนจบเล่นเอาน้ำตาท่วมจอ ตาบวมไปหมดเลย
ขอบคุณมากๆเลย
:sad4:
-
จะมีอัพเดท ปัจจุบันไหมครับ ต่อหลังจากที่พี่หมอพบกับปอร์ ที่บ้านพักแล้ว
-
ต่อหวานให้หน่อยนะค้าบบบ
กว่าจะผ่านมาม่าของเรื่องหลักจะแย่แล้วน้า
-
อ่านถึงตอนที่อัพล่าสุดแล้วค่ะ
ขอ 3 คำ "สนุกมากกกกกก"
ชอบเรื่องนี้มากๆเลยค่ะ
เสียดายมากที่มาไม่ทันจองหนังสืออ่า
อยากให้มี reprint จังเลย รับไว้พิจารณาด้วยนะคะ
เป็นกำลังใจให้ รออ่านตอนต่อไปอยู่นะคะ ^^
-
ขอบคุณมากกกกกกกกครับบบ บ บ ผมอ่านจนผมบ้าแบบเปิดกูเกิ้ลไปด้วยเพื่อดูภาพในอดีต
แบบลองศึกษาประวัติศาสตร์ ผมเริ่มอ่านเมื่อวาน แบบหนังสือสอบไม่อ่านเลย
แบบชอบมากกกก จนอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้จริงๆๆ
หมอปีย์น่ารักแบบเห้ยคุณหลวงน่ารักมากกกก :o8:
ขอบคุณจริงๆสำหรับเรื่องนี้นะครับ ลงทุนสมัครมาเม้นเลยนะเนี้ยย :")
ปล เสียดายอยากได้หนังสืออออ :serius2:
-
เพิ่งจะได้อ่าน พอดีว่าเพิ่งอ่านทวิตภพ อีกรอบ แล้วมาอ่านเรื่องนี้
ได้อารมณ์ไปอีกแบบ การกลับไปกลับมาของปอ ก็มึนงงดีแท้
โดยเฉพาะ 20 ปีนั่น ยากจะคาดเดาว่า สรุปปอต้องทนทุกข์ อยู่ 20 ปี
แล้วค่อยกลับไปช่วยหมอปีย์ แล้วกลับมาอายุ เกือบๆ 30 อีกรอบ
จึงเจอกับหมดนิจที่ชะอำ อืม เล่นเอามึน
มีจุดโหว่อยู่หลายจุด แต่โดยรวมสนุกมาก
ปล. ตอนที่คุยกับแขกของหมอจรัส เรื่องอังกฤษให้ความช่วยเหลือด้านแพทย์กับชาวสิงคโปร์นั้น
สมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรียหรือเปล่าคะ ไม่น่าใช่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แน่ๆ
ส่วนหมออีกคนที่มาจากอังกฤษก็เล่าว่าที่สิงคโปร์นั้นแพทย์แผนปัจจุบันนั้นก้าวหน้าไปมาก ด้วยเพราะสิงคโปร์ได้รับการช่วยเหลือและความรู้จากอังกฤษ หมอผู้นั้นเล่าอย่างภูมิใจ โดยไม่ลืมทิ้งทายว่าทั้งหมดทั้งมวลล้วนมาจากพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระราชินาถ อลิซาเบธที่ 2
-
อ่านจบตั้งแต่วันเสาร์ที่แล้ว แต่อยากมาขอบคุณ
ที่แต่งนิยายดีๆให้อ่านนะขอรับ
ผมคงคิดถึงหมอปีย์ กับเจ้าบ้าแย่เลย :o12:
-
จะเป็นความกรุณามากเลยขอรับ ถ้าจักเขียนเรื่องราวในปัจจุบัน ให้ได้ติดตามบ้าง :m15:
กระผมคิดว่าหลายๆคนน่าจะอยากอ่านนะขอรับ รอเห็นความใจดีของท่านเซ็งเป็ดอยู่นะขอรับ
ขอบคุณล่วงหน้ามากๆ :pig4:
-
เพิ่งร้องไห้เสร็จหมาดๆๆ
อยากได้หนังสือมากๆเลยค่ะ แต่ดันมาไม่ทัน ไม่น่ามาช้าเลย ...
ส่วนตัวเป็นคนเม้นไม่เก่งนัก ความรู้สึกตอนนี้ คือ
"หนูมีความสุขมากที่ได้อ่านเรื่องนี้ ขอบคุณคนเขียน หนูร้องไห้เหมือนเจ้าเข้า เหมือนเข้าไปอยู่อีกภพหนึ่งกับอัชย์
รู้สึกว่ามันคุ้มมากๆจริงๆที่หนูได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ทั้งวัน ขอบคุณค่ะ"
:L2: :L2: :L2:
####
จะนอนแล้ว นอนไม่หลับเลย นอนเปิดเพลงปี่พาทย์ แล้วคิดถึงแต่เรื่องนี้ หมอปีย์ พ่ออัชย์ หมอนิจ ปอ ซ้ำไปซ้ำมาในหัว
นึกภาพตัวเองได้หนังสือมานั่งอ่านบนรถ โอ๊ยยย อยากได้หนังสือออจังเลยค่ะ :z10:
มี รีปริ้นอีกไหมค่ะ :sad4: :sad4: :sad4:
-
ผมชอบเรื่องนี้มาก ทำให้มองย้อนมองดูตัวเองว่าตอนนี้เราได้หลงลืมอะไรไปหลายอย่างที่เกี่ยวกับความเป็นไทย มันทำให้รู้สึกตัวและรักประเทศไทยมากขึ้น เรื่องระหว่างหมอปีย์กับอัชย์ก็ประทับใจมากจริงๆสามารถรับรู้ความรู้สึกผ่านตัวอัษรที่เล่า มีความสุขมากที่ได้อ่านเรื่องนี้ ขอบคุณที่เขียนเรื่องดีๆแบบนี้มาให้อ่านครับ
-
ขอบคุณครับ เพิ่งได้มีโอกาสมาร้านเรื่องนี้จบภายใน 1คืนและอีก1วัน ชอบมากน้ำตาไหลโดยกลั้นไม่อยู่
อยากได้หนังสือยังพอจะมีมั้ยครับ
แต่อยากให้เขียนภาคปัจจุบันต่อจังเลย. รักคุณหมอปีย์ กับ นายอัชเข้าแล้ว
-
อ่านจบแล้วครับ ขอบอกว่าประทับใจทุกตอน ฮามากด้วย น่าเอาไปสร้างเป็นละครหลังข่าว โดยเฉพาะตอนจบ มีเพลงขึ้นมาด้วย ซึ้งมากๆ ดีที่น้ำตาไม่ไหล แบบว่าเป็นคนมีภูมิ อิอิ
ที่ยังสงสัยอยู่คือ ตอนปอย้อนอดีตกลับมาครั้งหลังสุดแล้วเจอแม่ ตอนนั้นปอย้อยกลับมาตอนที่เขายังหนุ่มอยู่ใช่ไหมครับ ไม่ใช่ตอนอายุ 50
ผมขอตินิดหน่อยนะครับ มีอยู่ตอนหนึ่งที่มีคนทักทายกันด้วยคำว่า "สวัสดี" ตามที่ผมรู้มาสมัยนั้นยังไม่มีคำนี้เกิดขึ้นนะครับ
คำนี้เกิดขึ้นมาภายหลังจากนั้นโดย "พระยาอุปกิตติ์ศิลปศาล" ผมไม่แน่ใจว่าอัชญ์เป็นคนพูดหรือไม่ ถ้าใช่ไม่น่าจะแปลกอะไร
แต่ถ้าคนพูดคือตัวละครในสมัยนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องแปลก ตามที่บอกไปข้างต้นครับ
สุดท้ายขอขอบคุณผู้แต่งนะครับที่แต่งนิยายดีๆ แบบนี้ให้อ่านกัน
ปล. สำหรับใครที่ชอบนิยายแนวนี้ผมแนะนำเรื่อง "ปางบรรพ์" ของคุณ Purple_Sky ครับ สนุกไม่แพ้กัน
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=15938.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=15938.0)
-
พ่อหนุ่มกรุงเทพนี้ฮาเอาโล่เลย
หนุ่มสยามเลยเอ๋อบ่อยๆ
อ่านแล้วรู้สึกจุกได้น่ะ
เหมือนพูดไม่ออกอ่ะ
-
เข้ามาอ่านช้าไป อยากได้หนังสือบ้างพอมีเหลือบ้างมั๊ยยยยย
-
สวัสดีค่ะ คุณเซ็งเป็ด
ได้มีโอกาสเข้ามาอ่านนิยาย "กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม" เอาตอนนี้
และอ่านรวดเดียวจบในเวลาไม่กี่วัน
นักอ่านคนนี้ชอบเรื่องนี้สุดหัวใจค่ะ :L2:
เป็นเรื่องที่เราว่าเขียนยากแต่คุณเซ็งเป็ดก็ทำได้ดีมากเลย
เราชอบทุกตัวละครในเรื่องนี้
- หมอปีย์ พระเอกคนนี้อบอุ่น อ่อนโยน เป็นสุภาพบุรุษมาก ความฉลาดและความสุขุมของเค้าทำให้เราหลงรัก เป็นพระเอกในดวงใจอีกคนในลิสต์ของเรา ฮ่าาาาาาา o13
- พ่ออัชย์ เราชอบความหมายของชื่ออ่ะค่ะ ผู้อยู่เหนือกาลเวลา นายเอกคนนี้มีหลากรส หลายอารมณ์ จากที่เป็นคนที่ค่อนข้างเสเพล ไม่เอาอ่าว แต่การเวลาที่ห่างกันถึง100ปี และหมอปีย์ รวมไปถึงคนในสมัยนั้นขัดเกลาให้เค้าเป็นผู้เป็นคนขึ้นมา
- หนูวาด ตัวละครนี้ตอนเป็นเด็กทำให้เรายิ้มได้ เป็นหนูวาดที่น่ารักเสมอ แม้ตอนที่เป็นยายของปอเราก็ชอบเค้า เพราะเค้ามีส่วนที่ทำให้ปอเป็นคนที่อ่อนโยนจากการเลี้ยงดูหลานรักคนสำคัญคนนี้
- คุณชั้น เราชอบผู้หญิงคนนี้ เวลาได้อ่านตอนที่เค้าทำอาหารแล้วมันรู้เลยว่าคุณเธอมีความสุขจริง ๆ อ่านไปอ่านมาชักหิว เสน่ห์ปลายจวักในการทำอาหารคาวหวาน เราหิวตลอด เราอยากกิน :z3:
- สน เป็นตัวละครที่เราขอบคุณมาก ที่ช่วยดูแลเจ้าบ้าของคุณหลวงเป็นอย่างดี แต่น่าสงสารตอนถูกเฆี่ยน ฮ่าาาาาาา หลังลายเลย :z10: ก็ดันพาเจ้าบ้าของคุณหลวงไปโดนก้ามกุ้งตำนี่นะ กร๊ากกกกกก
- เจ้าแดง น่าสงสาร แต่ก็เป็นบุคคลสำคัญในเรื่องที่ทำให้อัชย์รู้จักคิดถึงคนอื่นกับเค้าเหมือนกัน จากกันเร็วไปหน่อยนะ เราได้แต่แอบหวังว่าเจ้าแดงน่าจะมาเกิดในยุคนี้ จะได้อยู่เป็นเพื่อนเล่นกับอัชย์ ให้อัชย์ได้คอยดูแล
- หมอจรัส เราใจหายมากเลยตอนที่หมอกลับมาแล้วจะไม่ให้เจ้าบ้าอยู่ที่เรือนด้วยกัน แต่ในที่สุดก็โล่งอก เหมือนยกภูเขาออกจากอก ถ้าวันนั้นหมอไล่้เจ้าบ้าไปหมอก็คงไม่ได้คนมีความสามารถมาช่วยงานอย่างที่หมอได้พูดเอาไว้่จริง ๆ
- คำแก้ว เป็นแม่หญิงที่เราแอบหมั่นไส้เบา ๆ ดีว่านางไม่ตามไปชะอำ ไม่อย่างนั้นคงไม่สวยแน่ ๆ แต่ก็ไม่น่าหูเบาร่วมมือกับชงโคเลย เป็นถึงคนที่ตัวเองรักเลยนะ มันน่า!!!! :fire:
- ชงโค ตัวละครนี้อย่าให้บรรยายเลยว่าเรารู้สึกยังไง นางไม่ใช่คนอ่ะ มีบุญนะที่อยู่มาได้จนถึงตอนที่ทำการอุกอาจที่บ้านหมอจรัส นิสัยแบบนั้นไม่น่าจะอยู่รอด สร้างบาปสร้างกรรมไว้เยอะเหลือเกิน :z6:
- หลวงบริรักษ์ รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี แต่คุณหลวงตัวดำคนนี้รักลูกในแบบที่ผิดเหลือเกิน ซ้ำยังเป็นกบฏอีก สมควรแล้วกับโทษที่ได้รับ
เราชอบทุกตัวละครเลยจริง ๆ นะ มันเหมือนเค้ามีชีวิตจริง ๆ อ่านแล้วเราอินมากเลย อยากย้อนเวลาไปนั่งใต้ต้นมะขามด้วยคน
อยากไปชะอำ - ////// - เราชอบเรื่องนี้อีกอย่างตรงที่ไม่มีฉาก NC ปกติเราอ่านนะฉากแบบนี้ แต่เรื่องนี้ที่เราชอบเป็นเพราะ
เราเห็นว่ามันเป็นยุคสมัยที่บริสุทธิ์ อยู่ในกรอบประเพณี เป็นกรอบที่ไม่การแหก ชี้นกเป็นนก ชี้เป็นไม้
แค่ฉากจูบแล้วบรรยายโคลงกลอน เราก็ดื่มด่ำ ยิ้มแก้มบาน มีความสุขมากกับการที่เค้าเป็นของกันและกัน :-[
ตอนที่อัชย์กลับมาปัจจุบันหลังจากตอนที่คุณหลวงโดนยาพิษล้มลงไป เราร้องไห้เลย เราคิดว่าคงไม่มีตอนไหนที่เศร้ากว่านี้อีกแล้ว แต่ว่าเราคิดผิด
ฉากที่เศร้าที่สุดในเรื่องคือฉากที่อัชย์ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกค่อนชีวิตโดยที่มีแต่ความทรงจำ
อาจเป็นความทรงจำที่เจ็บปวด แต่มันก็คุ้มหากอัชย์จะสามารถกลับไปแก้ไขอดีตได้ กลับไปช่วยหมอปีย์ไม่ให้ถูกยาพิษ
โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย TT TT
อ่านแล้วเราร้องไห้เลยจริง ๆ นะ ..... เรายกนิ้วให้เลย o13
เป็นนิยายในดวงใจจริง ๆ ค่ะ
-
สวัสดีค่ะ ข่าวประชาสัมพันธ์นี้ ดำเนินการโดยทีมงาน (http://images.ecwid.com/images/401031/14525675.jpg)ค่ะ
การเข้า login คุณเซ็งเป็ดครั้งนี้ ได้รับอนุญาตจากเจ้าตัวแล้วค่ะ
เปิดจอง REPRINT
A Moment in Siam (กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม)
รายละเอียดหนังสือ
1. หนังสือ 1 ชุด มี 2 เล่มจบ ราคาชุดละ 900 บาท พร้อมซองผ้าใส่หนังสือ (ราคานี้รวมค่าจัดส่งชนิดลงทะเบียนตรวจสอบสถานะการจัดส่งผ่านเวปไซต์ของไปรษณีย์ได้ 2 ชุดขึ้นไปจัดส่ง EMS)
2. ปก กระดาษอาร์ตการ์ด 260 แกรม
3. เนื้อใน กระดาษถนอมสายตา 75 แกรม
4. ที่คั่นหนังสือ
5. ตอนพิเศษเพิ่มเติมจากที่ลงในบอร์ด
เนื้อหาตั้งแต่ต้นจนจบ อ่านได้ที่ A moment in Siam กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.0)
(http://image.ohozaa.com/i/d9c/uRQkk.jpg)
(http://image.ohozaa.com/i/b78/zLrGvE.jpg)
มี 2 ช่องทางการสั่งจองคือ
1.จองผ่านทาง Utellido<<-----คลิกเพื่อทำรายการสั่งจอง (http://utellido.com/utellido/index.php/shopping.html#ecwid:category=0&mode=product&product=8552609)
2.สั่งจองทาง E-Mail
(http://image.ohozaa.com/i/24d/sNryd.jpg)
ตั้งชื่อหัวข้อเมลล์ว่า "สั่งจองหนังสือ Reprint A Moment in Siam"
โดยระบุรายละเอียดดังนี้
1. ล็อกอินในเล้าเป็ด (ถ้ามี)
2. เบอร์โทรที่สามารถติดต่อได้
3. จำนวนที่ต้องการ
เปิดจองและโอนเงินภายในวันนี้ - 30 พฤศจิกายน 2555 นี้ค่ะ
รอรับ Code สำหรับโอนเงิน (ดำเนินการโดยทีมงาน (http://images.ecwid.com/images/401031/14525675.jpg))
-
ขอถามหน่อยค่ะ ว่า ในหนังสือทั้งสองเล่มนี่ มีต่อ เรื่องที่เป็นของ พี่หมอนิจมั๊ยค่ะ
หรือมีแค่ตอนที่ลงในเว็บกับตอนพิเศษ..??
-
อยากจะมากรีดร้องด้วยความดีใจมากค่ะที่คุณเซ็งเป็ดทำการ Reprint A moment in Siam กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม อีกรอบ
น้ำตาไหลพลากๆ ดีใจจริงๆค่ะ เพราะอยากได้หนังสือมากเลยค่ะ
รักนิยายเรื่องนี้จริงๆอ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ ชอบการเขียน การบรรยายเนื้อเรื่องและพล็อตของเรื่องมากเลยค่ะ
เข้าใจถึงอารมณ์ได้ทุกช็อตจริงๆ มีทั้งให้ขนลุกทุกทีที่อ่าน ฮ่าๆๆ
หวานๆซึ้งๆ อบอุ่นๆอีกด้วย
ไม่คิดว่าหมอปีย์ในยุคสมัยเมื่อร้อยปีจะมีความเสี่ยว #ห๊ะ >_<
จะติดตามเรื่องๆต่อๆไปนะค่ะไม่รู้ว่าพลาดเรื่องไหนไปรึป่าว จะรอหนังสือนะค่ะ ขอบคุณสำหรับงานเขียนดีๆอีกครั้งค่ะ :impress2:
-
คุณ Yimganta ครับ มีตอนต่อภาคหมอปียย์ครับ อ่านไปในเวปอาจนึกว่าเศร้าสร้อยดราม่า แต่ฉบับในหนังสือ รับรอง
อิ่มเอมหัวใจกันไปเลยครับ
-
อยากจะมากรีดร้องด้วยความดีใจมากค่ะที่คุณเซ็งเป็ดทำการ Reprint A moment in Siam กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม อีกรอบ
น้ำตาไหลพลากๆ ดีใจจริงๆค่ะ เพราะอยากได้หนังสือมากเลยค่ะ
รักนิยายเรื่องนี้จริงๆอ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ ชอบการเขียน การบรรยายเนื้อเรื่องและพล็อตของเรื่องมากเลยค่ะ
เข้าใจถึงอารมณ์ได้ทุกช็อตจริงๆ มีทั้งให้ขนลุกทุกทีที่อ่าน ฮ่าๆๆ
หวานๆซึ้งๆ อบอุ่นๆอีกด้วย
ไม่คิดว่าหมอปีย์ในยุคสมัยเมื่อร้อยปีจะมีความเสี่ยว #ห๊ะ >_<
จะติดตามเรื่องๆต่อๆไปนะค่ะไม่รู้ว่าพลาดเรื่องไหนไปรึป่าว จะรอหนังสือนะค่ะ ขอบคุณสำหรับงานเขียนดีๆอีกครั้งค่ะ :impress2:
ขอบคุณมากๆครับบบบ กรี๊ดอย่างเดียวระวังคอแห้งนะครับ
รับหนังสือสักชุดไปให้ชุ่มชื่นหัวใจไปถึงลำคอดีมั๊ยครับ อิๆ
-
สวรรค์มาโปรด ในที่สุดก็มี RePrint :")
คราวนี้ไม่พลาดแน่ๆ
-
น้ำตาปริ่มจริงๆค่ะ อยากได้เรื่องนี้มาก! พลาดจากการจองครั้งที่แล้วไปนิดเดียวเอง Orz
คราวนี้ไม่พลาดแน่ๆค่ะ ><
-
ครั้งนี้ไม่พลาดแล้วค่ะ มาจองทัน อิอิอิ
ส่งเมล์ไปเรียบร้อยแล้วนะคะ
-
o13 เรื่องนี้ดีมากๆๆๆ อ่านรวดเดียวจบงานการไม่ทำกันเลยทีเดียว 555
PS แสดงความขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆด้วยเม๊นท์แรกหลังจากได้เป็นสมาชิกเป็นตัวเป็นตน ก่อนหน้านี้เป็นวิญญาณสิงเล้ามานาน
-
:pig4: อ่านแล้วซาบซึ้งใจจริงๆค่ะ สนุกมากมาย
แล้วตอนพิเศษจะยังอัพอยู่อีกไปคะ จะรอติดตามผลงานนะคะ :กอด1:
-
โชคดีจริงๆ ที่มาทันเปิดจองล็อต 2
ประทับใจนิยายเรื่องนี้มากครับ
^^
-
อ่อย หลังจากอ่านม้วนเดียวจบ ซาบซึ้งมากกกก :o12:
ดีหมดทุกอย่างเลย แต่ใจจริงไม่อยากให้จบแบบนี้เท่าไหร่ มันเศร้าาาาาาาา
อ่านแล้วหิวตลอด จนต้องถามแม่ว่า ทำแกงเผ็ดเป็ดย่างเป็นไหม ทำให้หน่อย อยากกิน :laugh: :laugh:
ถึงกระนั้น จองไปเรียบร้อยแล้วครับ :z1: :z1: :z1:
ปล. มีภาค 2 ได้ไหม เอาให้ happy ending หน่อยเถิด เอาไปให้เพื่อนฟังแล้วพอถึงตอนจบสะอึกเล่าไม่ออกตลอดเลย :m31: :m31:
:seng2ped: :seng2ped: :seng2ped: :seng2ped:
-
ตอนนี้เป็นเวลา ๐๓.๔๕ น. ....
เป็นเวลาที่อ่านนิยายเรื่องนี้ิของคุณเซ็งเป็ดจบ
ขอบอกเลยว่าเห็นนิยายเรื่องนี้มานานแต่ไม่เคยแม้แต่จะคลิกอ่านมาดูสักครั้ง
เพราะโดยส่วนตัวเป็นคนที่ไม่ชอบนิยายแนวประวัติศาสตร์ย้อนยุคสักเท่าไหร่...อืม...ไม่ชอบเลยมากกว่า
แต่พออ่านนิยายเรื่องนี้จบ กลับรู้สึกโกรธตัวเองมากที่ปล่อยเวลาไปนานแสนนานกว่าจะตัดสินใจเข้ามาอ่าน
เพราะเสียเวลาไปเปล่าๆ กว่าที่จะได้มารู้จักนิยายที่มีคุณค่ายิ่งกว่านิยายเรื่องนี้
นิยายเรื่องนี้ไม่ต้องมีฉากหวานๆ ของพระเอกนายเอกจนเกลื่อนแทบทุกหน้า
ไม่ต้องมีฉากหวาบหวามเรียกเลือดเป็นจุดขายหลักๆ ของเรื่อง
และก็ไม่ใช่นิยายชวนฝันไร้สาระจับแก่นสารอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง
แต่นิยายของคุณสามารถทำนิยามของคำว่า "รัก" ให้จับต้อง สัมผัสความรู้สึกนี้ได้อย่างแท้จริง
โดยบอกเล่าผ่านชายแค่สองคนที่ต่างกันทั้งหน้าตา อายุ นิสัย พื้นฐานครอบครัว หรือแม้แต่กาลเวลาได้อย่างลงตัว
จนอดคิดไม่ได้ว่า ในตอนนี้จะมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นที่ไหนสักแห่งหรือเปล่าหนอ
เพราะ "รัก" ที่เกิดขึ้นไม่ได้เิกิดขึ้นอย่างฉาบฉวย แต่มีต้นตอแล้วปลิหน่อออกผลเป็น "ต้นรัก"
นอกจากนี้แล้วการเล่าเรียงร้อยบรรยายฉากต่างๆ ในนิยายก็ทำให้อดเคลิ้มตามไม่ได้
เพราะเหมือนกับเรามองเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ได้ด้วยตาของตัวเอง
และเกร็ดความรู้ต่างๆ ของในอดีตซึ่งแม้แต่ในปัจจุบันเองก็ยากที่จะหาคนจดจำ
แต่สิ่งที่ประทับใจที่สุดก็คือ ความรักในประเทศชาติ ที่นับวันคนเราก็ยิ่งลบเลือนความรู้สึกนี้ลงไปทุกทีๆ
โดยไม่เฉลียวใจเลยว่าที่ยืนอยู่ทุกวันนี้คือแผ่นดินที่แลกมาด้วยเลือด เนื้อ และความทุกข์ของบรรพบุรุษของเรามากมายแค่ไหน
แทนที่ลูกหลานจะช่วยกันรักษาเอาไว้ แต่กลับช่วยกันทำลายเพียงเพราะยึดติดว่าเป็นของตัวเองหาใช่ของทุกๆ คนไม่
ต้องขอบคุณ คุณเซ็งเป็ดมากๆ ที่ทำให้เกิดนิยายที่มีคุณค่า เป็นมากกว่าตัวหนังสือบนหน้ากระดาษเรื่องนี้ออกมา
จะคอยเป็นกำลังใจให้ในการผลิตผลงานดีดี มีคุณภาพแบบนี้ออกมาเรื่อยๆ เราอาจจะเป็นนักอ่านแค่คนเดียว แต่จะเป็นนักอ่านที่จะติดตามผลงานคุณตลอดไปแ่น่นอน
............................................................ขอบคุณ................................................................
เวลา ๐๔.๑๐ น. วันอังคารที่ ๑๓ พฤศจิายน พ.ศ. ๒๕๕๕
-
ขอบคุณมากนะคะที่เขียนนิยายดีๆแบบนี้มาให้อ่าน
ไม่ใช่แค่ความสนุกที่ได้รับจากเจ้าบ้าและหมอปรีย์เท่านั้น
แต่ยังมีความรู้ที่แฝงไว้ในเรื่องอีกมากมายเช่นกัน
ทั้งเรื่องประวัติศาสตร์ เรื่องการทำอาหาร หรือแง่มุมทางความคิดของตัวละครทุกตัว
ทุกสิ่งล้วนแสดงถึงความใส่ใจในรายละเอียดของคนเขียนจริงๆค่ะ
ขอบคุณคุณเซ็งเป็ดค่ะ ^^
-
ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ
มันได้เกร็ดอะไรเยอะแยะไปหมดเลย
แล้วก็ยังไม่เคยเจอใครที่แต่งแนวย้อนยุคแบบนี้มาก่อนด้วย
ขอบคุณนะค่ะสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้
-
ขอบคุณที่ได้สร้างสรรค์ผลงานที่ดีมาให้ได้อ่านนะคะ ขอบคุณมากๆค่ะ ประทับใจตั้งแต่ต้นเรื่องถึงตอนจบเลยค่ะ
-
Reprint มาในช่วงยากจนพอดี แต่เอาวะ มาม่าก็ยอม เพื่อหมอปีย์ T^T
-
:L1: :L1: :L1: :L1:
+ไปหลายเป็ดกับนิยายเรื่องนี้
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
-
เพิ่งมีโอกาสได้อ่านเรื่องนี้ และก็ติดจนกลับมาจากเรียนก็นั่งอ่านไม่เป็นอันทำอะไร มีความหวังว่าน่าจะมีรีปริ้นท์อีกสักรอบ เพราะเป็นครั้งแรกมากที่อยากได้หนังสือเก็บไว้ในครอบครอง ชอบจากหัวใจจริงๆ พอเปิดมา หน้า110 โอ้ ดีใจ มีรีปริ้นท์ มาดูวันที่ น้ำตาแทบไหล พลาดแล้วพลาดอีก พลาดตั้งแต่เห็นชื่อเรื่องแล้วไม่อ่าน พลาดที่มาอ่านช้า พลาดที่มาไม่ทันรีปริ้นท์ อยากได้เก็บไว้จริงๆ
-
ขอบคุณค่ะ สำหรบนิยายดีๆเรืื่องนี้ อ่านรวดเดียวจบเลย
-
อยากอ่านต่ออีกนะครับ ภาคต่อของหมอนิจกับปอในปัจจุบัน
ยังมีหนังสืออีกมั๊ยครับ ถ้าไม่มีแล้วเอาตอนพิเศษ(ภาคต่อ)มาลงในบอร์ดนี้ได้หรือเปล่าครับ :z3:
-
สุดยอดมากเลยครับ นิยายดีๆแบบนี้
ไม่ต้องมีฉาก NC แต่ก็ทำให้เราสนุกได้ แอบยิ้ม แอบเขิน แอบร้องไห้
สนุกครบทุกรส ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะครับ
มาไม่ทันหนังสือ ถ้ายังไงช่วยกรุณาลงตอนพิเศษยุคปัจจุบันมาให้อ่านก็จะดีนะครับ
-
อ่านแล้วอิมใจในความเป็นไทยของเรามาก
เนื้อเรื่องสนุก ภาษาดี
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกและดีจะรอติดตามเรื่องต่อไปนะคะ
-
พี่อัทช์น่ารักมากกกกกกกกกกกกกก กร๊าก เป็นนายเอกที่น่าหมั่นไส้โคตรๆ เลยคุณ
ชอบคุณหลวง อิอิ :กอด1:
-
สวัสดีค่ะ ข่าวประชาสัมพันธ์นี้ ดำเนินการโดยทีมงาน (http://images.ecwid.com/images/401031/14525675.jpg)ค่ะ
การเข้า login คุณเซ็งเป็ดครั้งนี้ ได้รับอนุญาตจากคุณเซ็งเป็ดแล้วค่ะ
ตอนนี้ทีมงานได้ทำการจัดส่งหนังสือรอบ Reprint ทั้งหมดแล้วนะคะ (ยกเว้นผู้ที่เพิ่งโอนเงินมา)
ผู้ที่สั่งซื้อเรื่องนี้ ติดตามการอัพเดทหมายเลขพัสดุได้ที่ (http://images.ecwid.com/images/401031/14525675.jpg) (https://www.facebook.com/utellido) ค่ะ
สำหรับรอบ Reprint เบื้องต้นทางทีมงานตั้งใจจะเปิดจองโดยมีเพียงแต่หนังสือ 2 เล่มจบเท่านั้น ต่างจากรอบปกติที่มี box set กระดาษแข็งฝังแม่เหล็ก แต่นักเขียนอยากให้มีของตอบแทนเล็กๆน้อยๆแก่ผู้ที่ซื้อในรอบนี้ ทางเราเลยมีปกผ้าแถมให้ไปนะคะ จริงๆทีมงานต้องขอโทษในความล่าช้าในส่วนของปกผ้าที่ทำให้ต้องรอกันนานเป็นเดือนเลยทีเดียว เนื่องจากช่วงปิดจองและสั่งทำของเป็นช่วงสิ้นปีพอดีและร้านทำแพ็คเกจของชำร่วยมีคิวแน่นมากค่ะ กว่าจะมาถึงคิวของทางเราเลยกลายเป็นความล่าช้าเกิดขึ้น แต่ตอนนี้ทุกอย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วนะคะ
ขอบคุณผู้ซื้อทุกท่านที่เข้าใจด้วยค่ะ
สำหรับผู้ที่มาไม่ทันรอบ Reprint ทีมงานมีข่าวดีแจ้งให้ทราบว่า
1. ขณะนี้ มีของที่สั่งมาเผื่อพร้อมจัดส่งมีปกผ้าครบชุด จำนวน 8 ชุดถ้วน ใครสนใจเลื่อนไปดูรายละเอียดด้านล่างค่ะ
2. ทีมงานสั่งปกผ้าเกินจำนวนหนังสือที่สั่งพิมพ์มา 20 ชิ้น หากใครที่สนใจอยากได้เรื่องนี้ไว้เก็บสะสมพร้อมปกผ้าครบชุด สามารถ pre-order เข้ามาได้ตามรายละเอียดด้านล่างเช่นกันค่ะ (ในส่วนนี้ต้องรอ เพราะมีปกผ้าแต่ยังไม่มีหนังสือนะคะ ทีมงานต้องสั่งมาเพิ่มให้ค่ะ)
ปกผ้าที่ทุกคนได้รับในรอบ Reprint นี้ค่ะ (สวยงามมากค่ะ ทีมงานชอบ :impress2:) เป็นปกผ้าที่ใช้งานได้จริง มีตีนตุ๊กแกติดเข้าหากันเพื่อความสะดวกในการจัดเก็บ (ออกแบบและสงวนลิขสิทธิ์รูปแบบปกผ้าโดย utellido (สารพัดจัดให้)
(http://image.ohozaa.com/i/ga4/ow2daB.JPG)
(http://image.ohozaa.com/i/cd0/71czl3.JPG)
(http://image.ohozaa.com/i/964/EYW714.JPG)
(http://image.ohozaa.com/i/aea/erYo4j.JPG)
รายละเอียดหนังสือ
1. หนังสือ 1 ชุด มี 2 เล่มจบ ราคาชุดละ 900 บาท พร้อมซองผ้าใส่หนังสือ (ราคานี้รวมค่าจัดส่งชนิดลงทะเบียนตรวจสอบสถานะการจัดส่งผ่านเวปไซต์ของไปรษณีย์ได้ 2 ชุดขึ้นไปจัดส่ง EMS)
2. ปก กระดาษอาร์ตการ์ด 260 แกรม
3. เนื้อใน กระดาษถนอมสายตา 75 แกรม
4. ที่คั่นหนังสือ
5. ตอนพิเศษเพิ่มเติมจากที่ลงในบอร์ด
เนื้อหาตั้งแต่ต้นจนจบ อ่านได้ที่ A moment in Siam กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.0)
มี 2 ช่องทางการสั่งจองคือ
1.จองผ่านทาง Utellido<<-----คลิกเพื่อทำรายการสั่งจอง (http://utellido.com/utellido/index.php/shopping.html#ecwid:category=0&mode=product&product=8552609)
2.สั่งจองทาง E-Mail
(http://image.ohozaa.com/i/24d/sNryd.jpg)
ตั้งชื่อหัวข้อเมลล์ว่า "สั่งจองหนังสือ Reprint A Moment in Siam"
โดยระบุรายละเอียดดังนี้
1. ล็อกอินในเล้าเป็ด (ถ้ามี)
2. เบอร์โทรที่สามารถติดต่อได้
3. จำนวนที่ต้องการ
รอรับ Code สำหรับโอนเงิน (ดำเนินการโดยทีมงาน (http://images.ecwid.com/images/401031/14525675.jpg))
:pig4: :pig4:
-
นี่คือนิยายพีเรียตเรื่องแรกในชีวิตที่เคยอ่านเลยนะ บอกตรงๆ...
ตอนแรกคิดได้แค่ว่า...ก็งั้นๆนะ
แต่เวลาผ่านไป 2 วันกับ 1 คืนที่เราไม่ละสายตาไปจากเรื่องนี้เลยทำให้เรารู้ว่ามันไม่ใช่..ก็งั้นๆสำหรับเราแล้ว
อ่านไปคิดว่าเนื้อเรื่องคล้ายเรื่องทวิภพอยู่แต่เราไม่ได้เอาเรื่องนั้นเข้ามาเกี่ยวเลย
เหมือนมันมีเสน่ห์ในตัวของมันเองจนเราอ่านตลอดอ่ะ
เน็ตหอก็ไม่ดี ติดๆดับๆตลอดจนต้องเช็คตลอดเวลาว่าเน็ตมารึยังเพื่ออ่านต่อ
อ่านเรื่องนี้ได้ความรู้เรื่องประวัติศาสตร์เยอะเลย
เรื่องการทำอาหาร...มิตรภาพระหว่างบ่าวไพร่และเจ้านาย
ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสมัยนั้นที่บรรยายจนเห็นภาพ
ความคิดของตัวละครที่ถ่ายทอดออกมาราวกับมีชีวิตอยู่จริง
และสิ่งที่รออ่านจนจบคือ... NC ของทั้งคู่
แต่คนเขียนกลับบรรยายเป็นกลอนซะได้ =[]=!!
เอาว่ะ...จิ้นเองก็ได้ เชอะ!
สุดท้ายเราฟังเพลงนี้ตลอดขณะอ่านบทหลัง
บอกตรงๆ ณ ตอนนี้เราโคตรหน่วงเลย...
ความรู้สึกหน่วงมาก
สงสารพี่หมอที่โดนปอว่าก่อนจะย้อนเวลาไปอ่ะ
ท้ายที่สุด...หมอปีย์ก็คือพี่หมอ...จบข่าว
เราจะข้ามเวลามาพบกัน....
http://www.youtube.com/watch?v=kMW3OlSgYSE
-
ชอบเรื่องนี้มาก ๆ เลย
-
อยากได้หนังสืออีกจังเลยครับ จะทำการรวมเล่มอีกรอบไหมอ่ะครับ
-
ขอบคุณมากๆครับสำหรับ นิยายที่ดีมากๆเรื่องนี้ เป็นนิยายที่มีค่ามากๆเลย ขอบคุณณ :)
-
พึ่งได้อ่านค่า ชอบมากกกกกกกกกกกกกกก ชอบที่สุดเลย เคยอ่านแนวพีเรียดมาไม่มาก
แต่เรื่องนี้อ่านตอนแรกก็ชอบหมอปีย์มากกกกกกกกกกกกก และอยากบอกว่าอ่านแล้วอบอุ่นหัวใจมากเลยค่า
ฉากที่ได้อ่านข้อความในกระดาษเก่าๆใบนั้น แถมมาเป็นภาพกระดาษอีก เราน้ำตาแตกสุดๆเลยค่า T^T ขอบคุณเฮียเป็ดมากๆ
อยากได้หนังสือมั่งจังเลย
-
ขอบคุณครับ ผมอ่านจนแทบไม่ได้พักเลยจนจบแต่ตอนพิเศษทำไมไม่จบละครับเสียดายจังเลย
-
ขอสารภาพเลยว่า ตั้งแต่อ่านเรื่องอื่นๆ ในเว็บบอร์ดนี้มา ไม่เคยเม้นเลย แต่สำหรับเรื่องนี้ผมอยากขอบคุณคนแต่งมาก คุณทำให้ผมรับรู้ได้ถึงความรักอันยิ่งใหญ่ คำมั่นสัญญา ทำให้ผมภูมิใจในความเป็นไทย คุณเก่งมากๆเลยครับ
-
สั่งหนังสือตั้งแต่ก่อนสงกรานต์ ยังไม่คืบหน้า นานเว่อร์ไปไหมคะคุณ
-
อยากอ่านตอนปัจจุบันต่ออ่ะครับ แต่ก็นานแล้วอ่ะอยากให้คุณเซ็งเปิดกลับมาต่อให้จบจัง
อยากจองหนังสือด้วยอ่ะ มีใครอยากขายต่อไหมอ่ะครับ พร้อมจะซื้อต่อน่ะครับ
-
อ่านรวดเดียวจบแล้วค่ะ
สนุกมากกกกกกกกกกกกก
เป็นแนวที่ตามหามานานจริงๆ ไม่ค่อยมีคนแต่ง
ลุ้นอยู่เสมอว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างในตอนถัด การได้เห็นพัฒนาการของพ่ออัชย์ ความรักที่ทั้งสองมีให้กันมันน่าปลาบปลื้มใจจริง เวลาหมอปีย์พูดกับพ่ออัชย์ อ่านกี่ครั้งก็เขิน รู้สึกอบอุ่นมากๆเลยค่ะ "พ่ออัชย์ของข้า" >//////<
ในส่วนของบรรยายกาศ ลักษณะของอาหารและกริยาของคนในสมัยก่อนมันทำให้ได้ฉุกคิดอะไรหลายๆอย่าง ว่าเราหลงลืมอะไรไปบ้าง มีประโยคนึงที่เราอ่านแล้วสะท้อนใจมากที่สุดคือ คนไทยฆ่ากันเอง...
ขอบคุณที่แต่งเรื่องดีมากๆเรื่องนี้มาให้ได้อ่านนะคะ :hao5:
ปล.ถ้าไม่เป็นการรบกวนมากเกินไป อยากให้ลงตอนพิเศษต่อให้จบนะคะ เพราะคงมีอีกหลายคนที่เพิ่งเข้ามาอ่านเหมือนกับเรา แล้วก็หาซื้อหนังสือมาอ่านมาเก็บไว้ไม่ได้แล้ว เลยอยากให้ลงต่อจะได้อ่านต่อให้จบครบบริบูรณ์น่ะค่ะ ขอบคุณมากนะคะ
ปล.2 หากยังมีอยู่ที่คุณบ้างหรือมีใครสนใจจะขายต่อ ก็ขอซื้อต่อนะคะ ติดต่อมาได้เลยค่ะที่ yokomosa6154แอดhotmail.com
-
:impress2:
หลงรักหมอปีย์...ซะแล้ว!
ใจดี อบอุ่น อ่าาาา
ส่วนปอ ตอนเด็กก็น่ารักดีน้าาา แต่ทำไมตอนโตถึงได้เอาแต่ใจตัวขนาดนั้นหนอ?
ติดพี่หมอแจเลย ^^'
อ่านเรื่องนี้ได้ความรู้หลายอย่างเลยค่ะ
ประทับใจมาก มาก มาก มาก
-
นิยายเรื่องนี้เป็นที่หนึ่งในใจเราเลยค่ะ
เรื่องนี้ทำให้เราสมัครไอดีเล้่า ๕๕๕
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วรู้สึกกระชุ่มระชวยหัวใจ
จากที่แต่ก่อนเราแอนตี้แนงพีเรียดมาก ตอนนี้หลงรักเลยค่ะ
หลงรักหมอปีย์ ภาษาสวยมากค่ะ
หลงรักภาษาเรื่องนี้มาก มันช่าง....สวยงาม น่าหลงไหล
ทำให้เราอยากอ่านเรื่องแนวนี้ไปอีกเรื่อยๆ ไม่อยากให้จบ
ตอนแรกเศร้ามาก นึกว่าจะจบแบบไม่สวย
ร้องไห้จนตาบวม ร้องติดกันสองวัน จนมาอ่านต่อ
ทำให้รู้ว่า เอ้า..ก็จบดีนี่นา ๕๕๕ ตอนนั้นขำตัวเองมาก
คิดเองเออเองว่าจบไม่ดีจบเก็บไปร้องไห้..
อยากบอกว่ารักเรื่องนี้มากกกก
เราอ่านเรื่องนี้แล้วรักเมืองไทยขึ้นมากเลยค่ะ
จากที่เรามัวแต่ไปหลงไหลวัฒนธรรมของต่างชาติ
จนลืมว่ามีของดีอยู่ใกล้ตัวมากๆ
จากที่แต่ก่อนเราเขียนภาษาไทยแบบวิบัติมากๆๆๆ
ตอนนี้เรากลับตัว มาเขียนภาษาไทยอย่างถูกต้องแล้วค่ะ
เห็นคุณค่าของทุกๆอย่างในเมืองไทยเพิ่มมาเป็นกอง จากที่เราเคยมองข้ามมาตลอด
(อยากจะบอกว่า น้ำอบของเมืองไทยนี่ สุดยอดที่สุดแล้วค่ะ หอมมากก คุณแม่ซื้อมาฝาก)
หลังจากที่เราอ่านนิยานเรื่องนี้จบ นิยายเรื่องนี้ทำให้ทัศนคติของเราเปลี่ยนไปมากเลยค่ะ
จากที่เราไม่เคยเห็นคุณค่าของความรัก นิยายเรื่องนี้ทำให้เราเขื่อมั่นว่ารักแท้ต้องมีอยู่จริงค่ะ
เชื่อมั่นอย่างแรงกล้าเลยด้วย..
ตอนที่เราอ่านนิยายเรื่องนี้ เราต้องเปิดเพลง "เราจะข้ามเวลามาพบกัน" ไว้ตลอด
เพลงนี้เข้ากับนิยานเรื่องนี้มากๆ เราฟังทีไรน้ำตาจะไหลทุกที
ได้ความรู้เรื่องอาหารด้วย ขอบคุณมากค่ะ
จากการที่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้ ทำให้เราสะท้อนกลับมามองตัวเอง
'กุลสตรีไทย' เดี๋ยวนี้หายากของจริงค่ะ 'งามอย่างไทย' ก็เช่นกัน
นิยายเรื่องนี้ทำให้เราเปลี่ยนตัวเองในหลายๆอย่าง จนพ่อแม่เรายังแปลกใจ
สุดท้าย ขอขอบคุณไรต์เตอร์มากๆ ที่แต่งนิยานดีๆแบบนี้ออกมาให้ได้อ่าน
ภาษาของคุณสวยมาก สำนวนดีเยี่ยม หลงรักคุณเข้าแล้วค่ะ
เรียกได้ว่า นิยายเรื่องนี้แทบเปลี่ยนชีวิตเราเลยค่ะ
ขอบคุณไรเตอร์มากๆๆๆๆๆๆเลยค่ะ (เพ้อยาวไปไหมเรา)
-
สนุกมากกก เป็นความรักที่น่าเศร้าและยินดีไปพร้อมๆกัน
-
สนุกมาก ซื้อ อีบุ๊คมาอ่าน จะได้อ่านอนพิเศษไหมคะ
-
เพิ่งได้เข้ามาอ่านค่ะ เป็นอะไรทีประทับใจมาก และอยากขอให้มีการจัด re-print อีกซักรอบ เพราะคาดว่ามีอีกหลายคนที่อยากซื้อมาเก็บไว้ค่ะ
-
สารภาพเลยว่าเข้ามาดูเรื่องนี้หลายรอบแล้วค่ะ แต่ไม่เคยมานั่งอ่านแบบจริงๆ จังๆ สักที
พอได้อ่านก็ใช้เวลาสามวันถึงจะอ่านจบ อยากจะบอกว่าเสียน้ำตาตั้งแต่วันแรกตอนที่ปอเปรียบเทียบคนยุคสมัย ร.๕ กับสมัยของเรา เห็นได้ถึงความแตกต่างของวัฒนธรรมเลยค่ะ ทั้งๆ ที่เป็นแผ่นดินผืนเดียวกัน เชื้อชาติศาสนาเดียวกัน แต่พฤติกรรมกับค่านิยมมันช่างแตกต่างกันเหลือเกิน คนสมัยนี้แทบจะลืมขนบธรรมเนียบประเพณีที่ดีงามในสมัยก่อนหมดสิ้นแล้ว ทั้งที่ประเพณีทั้งหลายของประเทศเราดีกว่าของชาติตะวันตกเสียอีก แต่เราก็ยังจะดันทุลังไปตามแบบเขา ภาษาที่ใช่ในสมัยนี้ก็เหมือนกันทั้งๆ ที่บรรพบุรุษท่านอุตส่าห์ประดิษฐ์ขึ้นมาให้เราได้ใช้ เพื่อจะได้ไม่ต้องเอาภาษาของเขมร พม่ามาใช้ แต่คนสมัยนี้ขนาดแค่พิมพ์คุยกันยังวิบัติแล้ววิบัติอีก ทั้งๆ ที่เราเป็นไท ไม่ได้ตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศใด แต่มาบัดนี้เรากลับทำราวกับตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศเหล่านั้น หากบรรพบุรุษทั้งหลายได้มารับรู้เรื่องราวของลูกหลานของตนที่แม้จะมิมีสงคราม แต่กลับมีคนตายเป็นเบือ แถมยังเป็นคนในชาติเดียวกันที่ฆ่ากันเอง ท่านคงร่ำไห้เสียใจ
วันที่สองที่ร้องไห้ก็ตอนเจ้าแดงตาย สงสารเด็กจับใจ ทั้งๆ ที่เป็นเด็กเพียงคนเดียวที่อยู่ที่นั่น อยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ไร้ซึ่งญาติสนิทมิตรสหายมาดูดำดูดี โชคชะตาดันเล่นตลกกรรมนั้นคงยังไม่มากพอ ถึงได้พรากพ่อพรากแม่ของเด็กไปด้วย ร้องหนักก็ตอนที่แดงตะโกนคำว่าแม่สุดเสียงก่อนจะสิ้นลม รับรู้ถึงความเจ็บปวดทรมานเลยค่ะ ขนาดแค่ออกไปข้างนอกยังไม่ได้ ถ้าหากเป็นเราคงไม่มีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่แล้วล่ะ
วันที่สามก็ร้องมาตั้งแต่ต้นตอนที่กลับมาจากชะอำนั่นแหละ ไม่อยากจะบอกว่าว่าร้องมันซะทุกตอน แถมยิ่งร้องก็ตอนพี่เป็ดปล่อยให้ค้างก็คือตอนที่ปอกลับมาที่โลกปัจจุบันโดยที่ไม่ได้แก้ไขอดีตตอนที่หมอปีย์ตาย
อ่านแล้วยังไม่อิ่มเอมใจเพราะยังค้างเรื่องของพี่หมอนิจกับน้องปออยู่เลย อยากรู้ว่าทั้งคู่จะเป็นยังไงต่อไป ถ้าหากมีภาคสองก็คงจะดีไม่น้อย
แต่ก็อยากให้มีการรีปริ้นหนังสืออีกรอบจังเลยค่ะ มาไม่ทันทั้งสองรอบเลย เสียดายมากๆ เลยค่ะ แทบจะนั่งร้องไห้ เค้าพิมพ์รอบแรก แถมรีปริ้นรอบ 2 ปี 2555 ไอ้เรามัวแต่ไปมุดหัวอยู่ไหนถึงไม่มาอ่านเสียก่อน เสียใจ ใจหาย อยากได้มากๆ เลยค่ะ อยากให้มีการรีปริ้นอีกรอบจริงๆ นะคะ อยากได้ที่สุดเลยค่ะพี่เป็ด
-
:m15:เพิ่งอ่านจบรวดเดียว เเถมไม่หลับนอน กินกาเเฟสดไปครึ่งเเก้วอ่านจบภายในสองวัน อยากบอกว่าเป็นนิยายที่ดีมาก สอนอะไรหลายๆอย่างในกับคนอ่าน น้ำตาไหล ร้องไห้ทั้งคืน เรื่องนี้ ถ้าได้เเสดงเป็นหนัง คงจะดีไม่น้อย.... ใครว่าอ่านนิยายเเล้วร้องไห้มันไรสาระ(มีนะ เค้าหาว่าเวอร์อ่ะ :o12: เเต่เรื่องนี้ ใครอ่านเเล้วไม่เสียน้ำตา ผิดมนุษย์มนาเเท้ๆจ้า :heaven
เราก็ไม่รู้ไปมุดหัวอยู่ไหนมา ถึงไม่ทันรีปริ๊น.... เเล้วจากนี้เขาจะลบกระทู้ออกไหมน้า เพราะหมดหนังสือ ถ้าลบกระทู้ คนหลังๆที่ไม่รู้คงจะพลาดโอกาสที่จะอ่านหนังสือดีๆเเบบนี้เเน่นอน :กอด1:
-
เป็นนิยายอีกเรื่องที่รู้สึกว่าถ้าไม่คอมเม้นท์ให้คุณเจ้าของเรื่อง
ตัวเองคงจะน่ารังเกียจพอๆกับไอ้บ้าอัชย์ :mew5:
ถึงจะไม่ชอบลักษณะนิสัยตัวไอ้บ้าเพราะดูจิตสำนึกอยู่ลึกเกินไป
อ่านได้ครึ่งเรื่องแล้วเพลียกับความปากมอมของมันจนต้องหยุดอ่านไปพักนึง
แต่รู้ว่านั่นเป็นเพราะคุณคนเขียนทำให้ตัวละครมันมีเสน่ห์และสมจริง
เลยทำให้ต้องกลับมาอ่านต่อ
ที่สุดแล้วคือชอบรายละเอียดของทัศนคติเกี่ยวกับบ้านเมือง และขนบธรรมเนียมต่างๆ
เป็นนิยายเรื่องแรกที่อ่านแล้วต้องดึงหูฟังออก
เพราะไม่สามารถอ่านไปด้วยแล้วฟังเพลงไปด้วยได้อย่างที่เคยทำประจำ
รายละเอียดต่างๆบ่งบอกว่าคุณคนเขียนทำการบ้านมาดีมาก
ขอบคุณสำหรับความสนุกและความรู้ดีๆจากนิยายเรื่องนี้ครับ
//ตอนแรกแอบเหล่ว่าทำไมคอมเม้นท์มันถึงยาว
//ตอนนี้เข้าใจแล้วครับ Orz
-
ขอสารภาพเลยว่าตอนแรกอยากอ่านแต่แล้วก็ไม่อ่าน ทำไปทำมาก็ไม่ได้อ่าน
จนเพิ่งมาอ่าน แล้วก็เสียดายมากที่ไม่อ่านมาตั้งแต่แรก
อ่านแล้วทำให้เราวางไม่ลงเลิกไม่ได้อยากอ่านต่อไปเรื่อยๆ
เสียดายจริงๆ ที่ไม่ทันหนังสือ อยากอ่านตอนพิเศษของหมอปีย์
ขอบคุณพี่เป็ดมากค่ะที่แต่งเรื่องดีๆ สอดแทรกสาระมาให้ได้อ่าน
อ่านแล้วภูมิใจที่ได้เกิดมาบนแผ่นดินไทยสุดๆ :L2:
-
:n1:
-
สวัสดีค่ะ
เพิ่งอ่านจบ
บอกตามตรงมองข้ามเรื่องนี้ไปหลายรอบมาก ต้องขอโทษจริงๆค่ะ :call: :call:
เป็นเรื่องที่สนุกมากๆ แรกๆสนุก ตลก หลังๆน้ำตาไหลพรากๆเลยค่ะ
ประทับใจมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :hao5: :hao5: :hao5:
อยากให้มีรีปริ้นท์จังเลย :hao5: :hao5: :hao5:
-
เป็นเรื่องที่หวานละมุน สุข เศร้า ซึ้งไปถึงขั้วหัวใจ :mew4: :mew4: o13
-
อ่านแล้วประทับใจมากค่ะ
หยุดไม่อยู่เลย ตัวละครเหมือนมีชีวิต
เมื่อคืนเป็นวันลอยกระทง ติดจนไม่ไปไหนเทศกงเทศกาลอะไรชั้นไม่ไป!ชั้นจะอ่าน! 555
อ่านตั้งแต่เมื่อวานจนเกือบๆเช้า และในขณะนี้กำลังจะไปเรียน(หวังว่าจะไม่หลับในคาบเรียน55)
ที่พล่ามมาไม่มีอะไรค่ะ แค่จะบอกว่ามันหยุดอ่านไม่ได้จริงๆ
พอหยุดอ่านเพราะคิดว่าพรุ่งนี้เช้ามีเรียน ปรากฏว่าในหัวมีแต่เรื่องหมอปีย์กับพ่ออัช
ว่าเรื่องจะดำเนินยังไงต่อไป? จะเกิดอะไรขึ้นอีกมั้ย? ปอมันจะพยศอะไรใส่หมออีกหรือเปล่า?
โอ๊ยยยคิดจนวุ่น สุดท้ายเลยเปิดอ่านต่อ และต่อจนจบ สว่างคาตาเลยทีนี้ :ruready อาบน้ำไปเรียน เอิ๊กๆ
ประทับใจจริงๆสำหรับเรื่องนี้ ตราตรึง..
-
ดีใจ มากครับที่ได้มาอ่าน เรื่องราวดีดีที่คุณเซ็งเป็ดได้บรรจงแต่งขึ้นมาอย่างสวยงามประทับใจมาก มีทั้งคราบน้ำตาเสียงหัวเราะ
เสียดายเหมือนกับหลายๆคนที่พลาด อยากให้จัดมีตติ้งจังเลยครับ อยากได้ตั้งแต่กรูไม่ใช่เกย์..ได้อารี่.และเล่มอื่นๆของคุณเซ็งเป็ด
ไม่มีอะไรแค่อยากบอกว่าคุณคือนักเขียนในดวงใจเลยครับ... :L2: :3123: :L1: :pig4:
-
นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายที่ถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้อย่างดีมากมากเลยครับ ผมอ่านแล้วต้องเสียน้ำตาไปหลายตอน จุกอยู่ตรงกลางใจ โดยเฉพาะตอนที่ปอต้องทนอยู่กับความห่วงหาความอาวรณ์ความคิดถึงต่างๆนาๆที่มีให้กับคนที่รักอย่างหลวงพินิจที่ต้องจากไปกันถึง20ปี ข้ามกาลเวลา จากไปโดยที่ต้องมีเรื่องต่างๆมากมายให้ทำ ให้สะสาง มันจะมีความรู้สึกอย่างไร? การทนอยู่ได้ด้วยความห่วงหาอาลัยแบบนี้มันช่างทรมานเหลือเกิน ผมคิดถ้าเป็นผมคงทนอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียวแบบนี้ไม่ได้หรอกครับ จิตใจผมไม่เข้มแข็งพอ และการที่หลวงพินิจต้องฆ่าคนที่รักด้วยมือของตัวเอง การที่ไม่สามรถปกป้องคนที่รักได้ การที่ต้องมีชีวิตต่อไป มีชีวิตอยู่อย่างสง่างามโดยที่ไม่มีคนที่รักอยู่เคียงข้าง การที่เราต้องเฝ้ารอคนที่รักนานแสนนานข้ามกาลเวลาเป็นร้อยปี ความคิดถึงความรู้สึกความโหยหามันจะต้องมากมายจะต้องทรมานมากขนาดไหน ผมก็ยังไม่อยากจะคิด อยากไปน้ำตาคลอไปจุกอยู่ตรงกลางอก ซึมไปหลายชั่วโมงเลย(เพราะมันอินจัด)
.......................................................................
โดยรวม เป็นนิยายที่ดีมากครับ อารมณ์ บทบาทตัวละคร ถูกวางออกมาอย่างลงตัว เนื้อเรื่องการบรรยายก็สุดแสนจะเศร้าจับใจ แสดงออกถึงอารมณ์บทบาทตัวละครได้อย่างดีเลยครับ ขอบคุณที่เขียนนิยายดีๆแบบนี้ให้อ่านนะครับ ถ้านิยายรีปริ้นท์เมื่อไหร่บอกด้วยนะครับ^^
-
เป็นนิยายที่ดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อีกเรื่องหนึ่งเลย อ่านแล้วซึ้งเวอร์ๆ และอินมากๆ พึ่งมีโอกาสได้มาอ่านตอนปี 2014 เสียดาย :hao5:
-
ดีมากๆ สนุกมากๆ :hao5:
อยากอ่านตอนพิเศษค่า
-
เพิ่งอ่านจบเมื่อกี้นี้ ชอบมากเลยครับ ขอบคุณที่แต่งเรื่องดีๆ ให้อ่านนะครับ
รู้สึกอิ่มเอมใจมากๆ :bye2:
-
ชอบเรื่องนี้มากๆเลย แต่เสียดายที่พึ่งได้อ่าน
นิยายเรื่องนี้อ่านแล้วเสียน้ำตาเยอะมากจริงๆ ร้องไห้ไปเยอะมาก :sad4:
ที่ชอบที่สุด น่าจะป็นเรื่องสำนวนที่เพราะมาก ยิ่งเวลาจีบกันหรือบอกรักกัน ชอบมากค
ซึ้งจริงจังง:o8:
เป็นอีกเรื่องโปรดอีกเรื่องเลยคะ ^ ^
ปล. อยากได้หนังสือมากๆเลย รีปริ้น เร็วๆๆนะคะ อยากิ่านต่อ :impress2:
-
สนุกมากครับ ครบรส ภาษาดี
-
ขนาดว่ามีรีปริ้นท์เราก็ยังมาไม่ทัน.... :katai1: เรื่องนี้เคยเห็นเมื่อไม่นานมานี้แต่ยังไม่คิดจะเปิดอ่านแต่พอไม่มีอะไรอ่านก็มาไล่อ่านดู
เราชอบนะเนื้อเรื่องที่ดำเนินตามความคิดตามที่มนุษย์ปกติควรมี (อย่าเช่นเรื่องของไผ่ริวนั่นก็ค่อยๆรักกันเหมือนกัน)ความรักที่มีให้กันมันเริ่มเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ มีการใช้คำ การแสดงถ้อยคำความคิดอ่านของตัวละครที่สมเหตุสมผล ยอมทำทุกอย่างเพื่อคนที่ตนเองรัก แต่ไม่อาจรักกันได้เพราะกรอบประเพณี
อ่านไปเเรกๆก็จืดๆงั้นๆแต่พอรู้สึกตัวอีกทีก็อ่านเรื่อยๆไม่หยุดอ่านซักที จำได้เลยว่าตอนที่อ่านเรื่องนี้จ บขึ้นไปนอนร้องไห้หยุดคิดเรื่องของทั้งสองคนไม่ได้ จนตื่นเช้าไปโรงเรียนเพื่อนทักเลยว่าตาเป็นบวมๆ #อ่าห์พูดแล้วก็อยากร้องไห้อีกรอบ :hao5: อยากให้มีรีปริ้นท์อีกสักครั้งจังแต่ตั้งเก็บเงินก่อน #กว่าจะรู้ว่าสิ่งที่ดีๆมีอยู่รอบตัวก็จักเกินเพลาไปแล้ว
-
ทำลายจิตใจกันมากมายอยากรู้มากว่าสุดท้ายเป็นยังไงต่อในส่วนของพี่หมอแต่มันไม่มี :o12: :o12: :sad4: :sad4: :a5: :a5: o22 o22 :m31: :m31:
-
ค้างมากกกกกกกกกกกก :katai1:
ลุ้นตอนของหมออยู่ทำไมไม่อัพต่อ :m31:
-
ชั้นมาอ่านเรื่องนี้ตอนที่เค้าไม่รีปริ้นแล้วหรือนี่!!! :ling1:
-
เป็นการอ่านนิยายที่ทิ้งช่วงนานมาก T^T เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกเลยที่อ่านแล้วดองไว้
จำได้ว่าเคยเปิดอ่านตอนปี 2010 จนมาถึง 2014 นี้เพิ่งจะอ่านจบ
เรื่องนี้เป็นไม่กี่เรื่องที่ทำให้น้ำตาไหล หลงรักความรักบริสุทธิ์ของหมอปีย์และปอ มันเป็นการรอที่ยาวนานมาก อ่านจบแล้วถึงรู้ว่าจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง แต่ก็ยังมีความรู้สึกหน่วงๆในใจ แต่ยังไงก็ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆที่คุณเซ็งเป็ดได้บรรจงสร้างสรรค์มันขึ้นมาให้อ่าน และขอเก็บเรื่องราวในนี้เป็นอีกเรื่องราวหนึ่งในความทรงจำที่มีค่าครับ
-
น้ำตาไหลพรากๆกันเลยทีเดียว โคตรประทับใจ
คำนี้คำเดียวจริงๆ มันพูดไม่ออกเลย
นานแล้วที่ไม่ได้อ่านนิยายที่ทำให้ร้องไห้
สารภาพตามตรงว่าร้องไปสองครั้ง ตอนเจ้าแดงตาย (ไหลมาแบบไม่รู้ตัว)
และอีกครั้งตอนที่จดหมายถึงมือเจ้าของ (อ่านเนื้อความในจดหมายละยิ้มไปทั้งน้ำตาอาบแก้ม)
มันเหมือนเราได้พบกับตอนจบที่คนสองคนได้กับมาพบกันอีกครั้ง
มันเป็นตอนจบที่สวยงามจริงๆ ข้ามเรื่องนี้ไปหลายครั้ง ตรงๆเลยเพราะเห็นชื่อเรื่อง
คิดว่าจะเป็นรักใสๆที่เกิดขึ้นที่สยาม #หมายถึงสยามในปัจจุบันที่วัยรุ่นเยอะๆ
เลยไม่ได้สนใจอ่านอะไร จนได้มาเห็นในกระทู้แนะนำว่าเป็นเรื่องการย้อนเวลา
แอบมาอ่านคอมเม้น มีแต่คนประทับใจละเสียน้ำตา
เราก็เอาวะ อ่านตั้งแต่เที่ยงจนถึงตอนนี้
คุ้มค่าที่ได้อ่านจริงๆ
ขอบคุณนะคะ
-
เขียนไว้ตั้งแต่ปี 2010 ผมเพิ่งได้มาอ่าน 2014 แหม่
แต่ไม่เป็นไรครับ คือรู้สึกว่าทำไมตอนนั้นเราไม่เห็นไม่กดเข้ามาอ่านนะ
จะได้จองหนังสือทัน ไม่ใช่ละครับ 55555
ก่อนอื่นเลยต้องขอชื่นชมคุณ เซ็งเป็ด มากนะครับ ที่แต่งนิยายดี ๆ แบบนี้
เรื่องนี้เป็นนิยายแนวพีเรียดเรื่องแรกในชีวิตที่ผมเคยอ่านมาเลยก็ว่าได้
คุณ เซ็งเป็ด ไม่ทำให้ผมเสียใจเลยจริง ๆ ทุก ๆ ตอนในเรื่องนี้ถ่ายทอดออกมา
ได้อย่างน่าประทับใจ ผมอ่านแล้วผมก็อิน นึกว่าตัวเองอยู่ในเรื่องจริง ๆ 555
ปกติอ่านนิยายทั่ว ๆ ไปพอถึงฉากดราม่า ฉากเศร้า อย่างมากผมก็แค่น้ำตาคลอ
แต่เรื่องนี้ทำผมเสียน้ำตา T_T อ่านแล้วรู้สึกผูกพันกับตัวละครมาก
อ่านแล้วถึงกับเห็นภาพเป็นฉาก ๆ สงสารทั้งหมอปีย์แล้วก็พ่ออัชย์ ที่กาลเวลาและพรหมลิขิต
ดลบันดาลให้เป็นแบบนี้ แอบหวังให้อัชย์พาหมอปีย์กลับมาโลกปัจจุบันด้วย แต่ก็ดูจะโอเว่อเกินไป
อยากจะเขียนบรรยายความรู้สึกที่มีต่อทุกตอนเลยครับ แต่ครั้นจะให้มานั่งพิมพ์หมด
เห็นทีว่าผมคงจะต้องสลบไปหน้าคอมแน่ ๆ
ก็เป็นคนสื่อความผ่านตัวอักษรไม่ค่อยเก่ง แต่หากคุณ เซ็งเป็ด ได้มาเห็นคอมเม้นนี้
ผมอยากจะบอกว่า ขอบคุณนะครับที่สร้างเรื่องราวดี ๆ ที่ทำให้ทัศนคติต่อบ้านเมืองของผมเปลี่ยนแปลงไป
ขอบคุณจริง ๆ ครับ ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรที่ทำให้คุณได้เขียนเรื่องนี้ขึ้น และผมได้มาอ่าน
" ผมประทับใจมากจริง ๆ ครับ "
...ขอบคุณพรหมลิขิต ที่ทำให้ผมได้มาอ่านนิยายเรื่องนี้...
-
อ่านรวดเดียวเลยค่ะ สนุกมากๆๆๆ มากจนทำให้ไม่อ่านหนังสือสอบเลยทีเดียวค่ะ อยากอ่านพาร์ทปัจจุบันเยอะๆค่ะพี่หมอน่ารักดี ดูอบอุ๊น อบอุ่น สั่งซื้อหนังสือตัวนี้ยังทันไหมคะ<<<หล่อนมาช้าไป
-
ช้าสุด :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:
บอกเลนว่าเป็นนิยายเรื่องแรกที่ทำให้ผมผูกพันธ์กับตัวละครขนาดนี้
ได้ทั้งความรู้และสำนวนถ้อยคำ
ชอบมากครับ มีคุณค่ามาก
ตอนจบอ่านแล้วร้องไห้ไม่หยุด
อยากจองหนังสือก็ช้าไปเป็นปี :m15: :m15:
เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนเียนงานดีๆแบบนี้ต่อไปครับ
-
กลับมาอ่านอีกรอบบบบ รอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ แต่ก็ยังชอบ ยังร้องไห้กับฉากแดง และอื่นๆ อยากให้มาต่อพาทพี่หมออ่ะ รอมาหลายปีล่ะน๊าาา ยังหวังอยู่ ><
-
สวัสดีค่ะ พึ่งจะได้เรื่องนี้ตั้งปี2014!! รู้สึกเสียใจมากชอบเรื่องนี้จริงๆค่ะ
ไม่รู้จะอธิบายยังไงครบรสมากๆ อ่านแล้วนึกถึงซีรีย์เกากลีที่เคยดูเหมือนกัน
มากๆค่ะเรื่อง rooftop prince ต่างกันที่เป็นพระเอกโผล่มาชาติปัจจุบันแต่ซีรีย์เรื่องนี้มีมาทีหลังนะคะ ^^
อย่างแรกขอขอบคุณพี่นนท์หรือคุณเซ็งเป็ดนั่นเองที่เขียนเรื่องดีๆแบบนี้
หลงรักหมอปีย์กับพ่ออัชย์หมดหัวใจ แอบสงสารหมอปีที่ต้องอยู่ในอดีตคนเดียวจนตาย
ถึงมาเกิดใกม่เป็นพี่หมอที่คงได้คู่กับปอ อยากอ่านต่อมากๆค่ะแต่มาช้าไปคงอดอ่านตอนพเศษในเล่ม :z3:
น่าเเจ็บปวดยิ่งนักอยากให้รวมเล่มอีกจังอยากอ่านค่ะอย่กรู้พี่หมอกับปอจะเป็นยังไงต่อไป
ปล.สุดท้ายเรื่องนี้จะอยู่ในใจตลอดไปค่ะ
-
:o12: กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด !!!
คือแบบบบ พลาดดด ดด!!! ของพลาดของพลาดของพลาด!!!
เพิ่งจะมาได้อ่านเรื่องนี้ทั้งที่เห็นมานานมากแล้วอ่าาาาา คือแบบ มันสนุกมากกกกกก
ปกติไม่ชอบอ่านดราม่าไม่ชอบอ่านเรื่องที่ต้องร้องไห้อ่ะ ชอบเรื่องตลกฮาๆ
คือแบบเคยอ่านยาโอยแนวย้อนยุคมาเรื่องนึง คืออ่านได้ซักพักแล้วรู้สึกว่ามันไม่โออ่ะ เหมือนแบบยังไงๆคนสมัยนั้นก็รับเรื่องแบบนี้ไม่ได้แน่ มันทำให้เราหมดความรู้สึกอยากติดตาม แต่เรื่องนี้ไม่!!!
คือแบบ เอาตรงๆตอนแรกอ่านชื่อเรื่องไม่รู้ว่ามันย้อนยุค 555 คือแบบอารมณ์ นี่ก็อปรักแห่งสยามไรงี้ป่ะ 555 สยามในความคิดตอนแรกคือพาราก้อนเลยค้าาา 555 พอเข้ามาอ่านจริงๆแบบ คือมันใช่อ่า อารมณ์มันได้ มานั่งลุ้นว่าคนเขียนจะเขียนให้ตัวเอกรักกันได้ยังไงในยุคที่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ร้ายแรงอ่ะ ปรากฎว่าแบบ อร๊างงงง !! คุณทำได้อ่ะ คือแบบไม่หวือหวา ตอนแรกตามอ่านมีแต่คนบอกให้เขียนฉากอัศจรรย์ เราก็แบบ เออ ไม่ใช่ไม่ชอบอ่านนะแต่แบบ ถ้าคนเขียนจะเขียนจริงๆมันจะขัดมากกกก คือแบบ อัชของอิชั้นก็ไม่ได้จะสาวแตกแม้แต่นิด แบบความเป็นผู้ชายเต็มร้อยบางทีแอบคิดว่ามากกว่าหมอปีย์ด้วยมั้ง 555 แล้วแบบการที่เอากลอนมาบรรยายแทนมันเป็นอะไรที่ อร๊างงงงงงงงงงงงง!!
>///////////////////////////////////////<
มันได้ฟีลลิ่งมว๊ากกกก กก ชอบอารมณ์ตัวละครอ่ะ ชอบที่คนเขียนผูกเรื่องทำให้นิสัยของตัวละครเราเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกแบบไม่ชอบ อัช มากอ่ะคือแบบตัวเอกไรวะนิสัยโคตรแย่! พูดไม่เพราะ แต่แบบเข้าใจและ เพราะคนเขียนต้องการให้เห็นความแตกต่าง เห็นวิวัฒนาการของตัวละครชัดๆ งื้อออออ ชอบไม่ทนนนนน :hao5:
เรื่องนี้ทำให้เสียน้ำตามากมายมหาศาลมากๆอ่ะ คือแบบ กร๊าชชชชช ! ยิ่งฟังเพลง 'ความคิด' ของสแตมป์ตอนจบ ทำให้ยิ่งกรี๊ดดด ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร ชอบเรื่องนี้มากกกกกกกกกกกกกกกก!! ยอมรับว่าปกติชอบอ่านนิยายที่จบแล้วไม่ค่อยเม้น :mew2: (นิสัยแย่มาก อินี่!) แต่แบบเรื่องนี้ต้องบอกอ่ะ ไม่สามารถเก็บได้ อ๊ากกก ก
ไม่รู้พี่คนเขียนจะได้อ่านคอมเม้นนี้มั้ย แต่อยากบอกพี่ให้รู้ว่า ชอบพี่วะ!! ชอบมว๊ากกกกก :impress3:
สุดท้าย หมอปีย์ พี่อัช ฟอเอเวอร์!!!!!!!!!
-
ซึ้งจนน้ำตาจะไหลเลยค่ะ รักแท้อยู่เหนือกาลเวลาจริงๆ :impress2:
-
0k ยอมรับเลยแบบตรงๆว่าตาบวม ครบทุกรสจริงๆ o13 o13 o13 o13 o13
-
ชอบเรื่องนี้ม๊ากกกกกมากกกกกค่ะ หลายฉากที่อยากร้อง(แต่น้ำตาไม่ไหล)
หลายครั้งที่พออ่านเสร็จก็นั่งคิดคนเดียวเงียบๆ และรู้สึกเหมือนกับว่า ตัวละครเหล่านั้นมีชีวิตจริงๆ
อ่านแล้วทำให้สามารถจินตนาการภาพได้อย่างง่ายเลยล่ะค่ะ(ยกเว้นอาหาร ที่นึกยังไงก็นึกไม่ออก = =)
อ่านจบใช้เวลาเพียง 3 วัน ไม่ต้อง โอ้โห!..... หรอกนะคะ ก็อ่านมันเกือบทั้งวันทั้งคืน ไม่จบใน3วันก็ให้มันรู้ไป
ชอบมาก ติดงอมแงม ล่าสุดนั่งอ่านเรื่องราวของพี่หมอ อยากบอกว่าปลื้มมมมมากกก
คิดไว้แล้วเชียวว่าพี่หมอต้องเป็นหลวงพินิจแน่ๆ อ่านตอนฉากที่ปอกับมาปัจจุบันแล้วอยู่จนแก่เฒ่า
ก็แอบคิดว่าอาจต้องได้กลับไป เพราะดูแล้วพี่หมอจะฝังใจกับปอมาก ฉะนั้นมันต้องมีอะไรบางอย่าง
แล้วก็ได้กลับไปจริงๆ แต่ตอนแรกก็คิดว่าคงไม่ได้กลับมา แต่พอไปๆมาๆ ถ้าไม่กลับมาอนาคตก็จะเปลี่ยนด้วย
เพราะดูแล้ว คงได้อยู่ยาวจนแก่แน่ๆ ถ้าไม่มีเรื่องประหารน่ะนะ
แต่ต้องบอกว่ารักเรื่องนี้มากค่ะ ชอบอ่านแนวพีเรียดด้วย เพราะเราเป็นคนเชื่อเรื่องมิติและกาลข้ามเวลา
เพราะมีนักวิทยาศาสตร์ที่สันนิษฐานว่า มีมิติหรือโลกขนานกับเราอยู่ และอาจมีเป็นร้อยๆล้านๆนับไม่ถ้วน
แล้วยังในพระพุทธศาสนาที่มีเรื่องของมิติกับเวลาที่พระพุทธเจ้าได้กล่าวเอาไว้อีก
อัลเบิร์ตก็บอกว่า วิทยาศาสตร์มีส่วนมาจากพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็น ปรากฎการณ์ต่างๆที่เกิดในโลก
แรงโน้มถ่วง หรืออะไรก็ตามแต่ ทั้งเรื่องที่วิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้และยังพิสูจน์ไม่ได้อีก
ล้วนมีบันทึกในคัมภีร์พระไตรปิฎก..........
ใครจะว่าเรางมงายหรือไร้สาระเพ้อฝัน นั่นก็สุดแต่จะคิด
เพียงแต่เราเชื่อว่า ไม่ได้เพียงมนุษย์อย่างเราๆที่อาศัยอยู่บนโลกเรานั้น และไม่ได้มีเพียงโลกของเราเท่านั้นที่มีมนุษย์อาศัยอยู่
โลกคู่ขนาน หรือ โลกต่างมิติ อาจจะมีจริงหรือไม่มีจริง อันนี้ก็ไม่รู้ นกจากจะได้เห็นกับตา(ซึ่งคงไม่มีวันนั้น)
ฉะนั้น จินตการสำคัญกว่าความรู้ ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้
หากไม่ลองจิตนาการ เราก็ไม่อาจรู้ว่าโลกที่เราบอกว่ากลมหรือรีนั้น มีลักษณะเป็นช่นไร
ที่เค้าบอกว่าน้ำจะท่วมโลก ถ้าเราไม่ได้จินตนาการว่าน้ำท่วมโลกเป็นเช่นไรก่อน ก็คงไม่วิตกกังวลกันขนาดนั้นหรอกจริงไหม
เพราะจินตนาการว่าน้ำท่วมโลกมันต้องเป็นไหนแบบไหน เราถึงได้หวาดกลัวและเสียขวัญ
ถึงได้บอกว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้ เพราะต่อให้มีความรู้สักเท่าไหร่ แต่พอได้ลองจินตนาการแล้วล่ะก็
ความรู้ก็ไม่อาจเทียบเท่าความยิ่งใหญ่ของความคิดคนได้เลยแม้แต่น้อย ดีไม่ดี ความรู้ก็มาจากสิ่งที่มนุษย์คิดค้น
และลองจินตนาการ ประดิษฐ์สิ่งต่างๆขึ้นมา จนได้มีเราในทุกวันนี้ ทุกสิ่งล้วนมาจากความคิดของเผ่าพันธุ์เราทั้งสิ้น
สุดแล้วแต่จะบรรยายได้
ขอจบเพียงเท่า 5555 พล่ามมาซะยาว คาดว่าคงไกลจากเนื้อเรื่องจริงๆไปนานแล้วแหละ
:กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
o13 o13 o13 o13 o13 o13 o13
-
เราก็เหมือนหลายๆคนในนี้เลยค่ะ เข้ามาเรื่องนี้หลายรอบแต่ไม่ได้อ่านต่อ เจอปากเจอนิสัยพ่ออัชย์เข้าไปปิดเลยค่ะ สุดท้ายกลับมาอ่านใหม่รวดเดียววันเดียวจบเลย รู้สึกว่าตัวเองพลาดมาก ชอบนิยายแนวพีเรียดไทยๆอยู่แล้วด้วย สำนวนของคุณเซ็งเป็ดก็รู้ๆกันอยู่แล้วว่าดี ส่วนเนื้อเรื่องอิงประวัติศาสตร์เราก็ไม่ใช้ผู้เชี่ยวชาญ อ่านเอามันส์อย่างเดียวค่ะ
เรื่องที่พ่ออัชย์ย้อนเวลาไปสมัยก่อนได้อ่านไปแรกๆรู้สึกฮามาก เหมือนไปอยู่คนละโลก คนละภาษา พูดไปคงไม่มีใครเชื่อว่าปัจจุบันนั้นเจริญกว่าในตอนนั้นแค่ไหน แต่ยิ่งอ่านยิ่งสะเทือนใจต่อให้ในปัจจุบันเราเจริญแค่ไหนก็มีแต่ความเจริญทางด้านวัตถุแต่จิตใจคนเรากลับเสื่อมถอย วัฒนธรรมที่ดีงามของเราถูดกลืนกินไปจริงๆ คิดแล้วเศร้า
จะบอกว่าเดาถูกด้วยค่ะว่าหมอปีย์ต้องใช่พี่หมอแน่ๆ แอบดีใจ แต่งงๆว่าทำไมพ่ออัชย์ถึงจำหน้าไม่ได้ ส่วนแฟนของอัชย์ที่เป็นคู่หมั้นของพี่หมอเนี่ย ที่บอกเลิกกับอัชย์เพราะนางชอบพี่หมอหรือนางเป็นคู่หมั้นพี่หมอ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหนก็รับไม่ได้อยู่ดี คนรักกำลังลำบากกลับมาทิ้งกันไปเนี่ย ต่อให้อัชย์น่าสงสารอย่างไรก็เทียบกับหมอปีย์ไม่ได้ รักหมอมากค่ะ เก็บซิงไว้รอคนในฝัน ซึ่งคนในฝันเป็นผู้ชายแต่ใจบอกว่าใช่ ถ้าเป็นสมัยนี้อะไรๆคงง่ายกว่านั้น กว่าจะยอมรับกันได้ก็นาน สงสารพ่ออัชย์ที่ต้องอยู่ลำพังกับความรู้สึกผิด แต่พอพ่ออัชย์ย้อนไปแก้ไขตรงจุดนั้นได้ก็สงสารหมอปีย์ต่อค่ะ อัชย์อยู่คนเดียว20ปี แต่หมอต้องอยู่คนเดียวตลอดชีวิต(ร้องไห้แปป) สุดท้ายก็กลับมาเจอกัน จบได้ดี ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ (ปรบมือให้)
สุดท้าย รู้สึกโชคดีจริงๆที่เข้ามาอ่านช่วงที่หนังสือมีรีปริ้นท์พอดี น้ำตาจะไหล
-
:pig4: ขอบคุณค่ะ T^T ประทับใจมากจริงๆ
-
สนุกมากๆคับ แอบร้องๆไห้ด้วย :hao5: ทำรีปริ้นอีกเหอะ ผมอยากได้ :impress2:
-
มาอ่านเอาปี2014 แต่บอกเลยว่าซึ้งมากค่ะ
อิจฉาที่อัชย์มีคนรักที่ดีแบบหมอปีย์
ตอนแรกรำคาญอัชย์มาก แบบคนอะร๊ายยยยปากดีหนัก
แต่พอรู้ว่าตอนเด็กผ่านอะไรมาก็เข้าใจ
คือกว่าจะยอมรับรักหมอปีย์คือฮีช้ำไปหลายเดือน
สงสารหมอปีย์ทั้งดีทั้งห่วงอัชย์ตลอดเวลาฮือ
อ่านๆไปไม่ชอบเวลาที่เหมือนหมอต้องรออัชย์ตลอด
มันทรมาน กว่าจะได้เจอกันงี้
แอบเห็นว่ายังขาดตอนพี่หมออยู่ แอบลุ้นอยู่นะคะอิอิ
เป็นนิยายที่อ่านสองวันสองคืนแล้วประทับใจมากค่ะ
ขอบคุณคุณเซ็งเป็ดที่ทำให้ได้คิดอะไรหลายๆอย่าง
ที่สำคัญทำให้รู้เกี่ยวกับบุคคลในประวัติศาสตร์เพราะเรียนมาก็คืนครูหมด แย่จริง
สุดท้ายไม่ว่าจะเป็นตอนแดงตาย ตอนอัชย์ให้หมอแต่งงาน
ตอนอัชย์ย้อนเวลามาช่วยหมอ มันทำเราประทับใจจริงๆค่ะ
แต่ยังรอพี่หมอนิจมาเล่าต่อเสมอนะคะ คนดีของบ่าววววว
-
แค่กลับเข้ามาอ่านความคิดเห็นของเพื่อนๆก็ทำให้เราน้ำตาไหลได้อ่ะ
ของเค้าดีจริงจริง ยังรอรีปริ้นอยู่เสมอนะครับ คุณเซ็งเป็ด :L2: :3123: :3123: :L1:
-
อ่านกี่รอบๆก็ยังน้ำตราไหลเสมอ รอรีปริ้ท์อีกคนค่ะ :hao5:
-
เพิ่งอ่านจบ ตามอ่านมาสามวัน สามคืนไม่ได้หลับไม่ได้นอน (ฮา)
สารภาพเลยว่าเพื่อนส่งลิ้งค์มาให้อ่าน ไอ้เราก็บันทึกรายการโปรดไว้ แต่ไม่ได้เข้ามาอ่าน
พอมาอ่านแรกๆรู้สึกไม่อิน รู้สึกแปลกๆ แต่พออ่านไปกลับหลงรักไอ้บ้ากับหมอปีย์ซะงั้น
รักจนไม่อยากปิดคอม รักจนยอมนอนดึก
ช่วงหลังๆมาอ่านไปซับทิชชู่ไป น้ำตาไหลไม่หยุด
อยากให้มีการรี้ปริ้นอีกนะคะ จะรอค่ะ
รักคุณเซ็งเป็ดมากๆค่ะ รอให้สรรค์สร้างยิยายวายดีๆ แนวนี้มาอีกนะคะ
จะขอสนับสนุนในทุกๆเรื่องเลยค่ะ
:hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
-
o13 o13 o13 o13 o13
เป็นเรื่องที่ 2 ที่อ่านจาก Thaiboylove แต่.....
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อ่านจบภายใน 36 ชั่วโมงเลย
(จริงๆ ไม่ได้โม้นะ เพราะเริ่มอ่านเช้าวันเสาร์ จบตอน 23.48 นาที ของวันอาทิตย์)
ขอบอกว่า "ชอบมากๆๆๆ" ครับ
ขอคุณสำหรับเรื่องดีๆ ความทรงจำดีๆ และความรู้ดีๆ ที่นำมาเขียน
(รวมถึงขอขอบคุณทุกๆ ท่าน ทุกๆ comment ที่ช่วยกันแก้ไข และปรับปรุงข้อมูล ให้ถูกต้องชัดเจนมากยิ่งขึ้นด้วยครับ)
ป.ล. แล้วในเล้าเป็ดนี่ จะได้อ่านตอนพิเศษของหมอ จบไหมครับ
-
ชอบมากๆเลยค่ะ ไม่ทราบว่านิยายยังมีขายอีกมั้ย T^T
-
รู้สึกว่าตัวเองพลาดมากจริงๆ อยู่ในเล้ามาตั้งหลายปีพลาดเรื่องนี้ไปได้ยังไง เรื่องนี้มีครบทุกรสจริงๆ ซาบซึ้งไปกับทุกตัวละคร เสียน้ำตาไปเยอะเชียวแหละ สรุปแล้วให้ไปเลย9ดาว
ปอลิง. หักหนึ่งดาวเพราะค้างตอนพิเศษ 55555
-
อยากอ่านตอนพิเศษ~~~ ฮรือออออออออ รอรีปริ้นท์เสมอนะคะ 5555
-
ตามจนจบซะที ฮืออออออ รอคอยตอนพิเศษอยู่นะ :hao5:
อยากเห็นตอนจบแบบหวานๆ :hao7: :hao7:
-
โอยยยย นี่เราไปมุดหัวอยู่ไหนมา ถึงได้เพิ่งมาอ่านเรื่องนี้ เป็นแนวย้อนยุคเรื่องแรกที่อ่าน และพออ่านจบความรู้สึกมันยิ่งกว่าคำว่าประทับใจอ่ะค่ะ อ่านวันเดียวจบแบบ non stop กันเลยทีเดียว อ่านไปนี่ให้ความรู้สึกเหมือนได้อ่านวรรณกรรมทรงคุณค่าซักเรื่องอยู่ ทั้งภาษา ทั้งข้อมูล ทั้งเนื้อหา บอกเลยว่ามันสุดยอด อ่านแล้วรักในความเป็นไทย และก็รับรู้ได้ถึงความรักที่แท้จริงของตัวละคร ไม่รู้จะพูดอะไร นอกจากชอบมากๆค่ะ ไม่เสียใจเลยที่ตัดสินใจลองอ่านแนวนี้ครั้งแรก แต่จะเสียใจมากๆถ้าไม่ได้อ่านเรื่องนี้ แต่ว่าแอบหวังว่าจะมาต่อตอนพิเศษนะคะ อิอิ
-
สร้างอารมณ์ได้มากมายจริงๆ
เปิดเรื่องตลก ต่อมาน่ารัก แล้วตามด้วยเศร้า
ถึงใจจริงๆ
-
สนุกมากๆ เลยครับ เห็นเรื่องนี้มานานมากแต่เปิดผ่านตลอด เมื่อศุกร์ที่แล้วมีโอกาสเลลยลองเปิดอ่านดู ปรากฏติดเลย อ่านแล้วมีหลากหลายอารมณ์มากๆ ขอบคุณสำหรับเรื่องนี้มากครับ ^^
-
ขอบคุณนะคะ ขอบคุณจริงๆที่แต่งเรื่องนี้มาให้อ่าน
แบบเราหยุดอ่านไม่ได่จริง เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่นิยายรักธรรมดา แต่มันคือนิยายที่ทำให้คนไทยตระหนักถึงสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ แต่ไม่รุ้จักคุณค่าของมัน ได้แง่คิดสุดๆ ชอบมากๆเลยค่ะ คุณแต่งดีมากเลยทีเดียว
จะสนับสนุนนิยายของคุณเซ็งเป็ดต่อไปนะคะ
-
ปี 2015 กว่าจะได้มาอ่านเรื่องนี้ อ่านจบรวดเดียวแล้วอยากเก็บหนังสือมาก(แต่คงเป็นไปไม่ได้ :hao5:)
ทำไมรู้สึกพลาด TAT เรื่องนี้สนุกมากเลยค่ะ อ่านไปหิวไปด้วย(ฮา) ได้ศัพท์ใหม่ๆที่ไม่รู้จัก
ได้แง่คิดดีๆมากมาย แง่คิดเกี่ยวกับความรักเยอะมาก อ่านบางตอนก็เจ็บปวดกันไป
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ
ปล.เราสมัครเล้าเป็ดมาเพื่อตอบเรื่องนี้เลยนะเนี่ย (ฮา)
-
ผมสมัครเล้าเป็ดเพราะอ่านเรื่องนี้แหละครับ แต่กว่าจะได้อ่านก็ปี 2015 เข้าแล้ว
แต่ยังไงนิยายเรื่องนี้จะเป็นนิยายในดวงใจของผมตลอดไปครับ
ผมรักนิยายเรื่องนี้มากทุกตัวละครต่างๆ ผมยินดีที่จะจำจดเรื่องราวดีๆนี้ตลอดไป
และถ้าหากคุณเซ็งเป็ดมีโอกาศแว๊บเข้ามาดูกระทู้ที่ตัวเองเขียนไว้กว่า 5 ปีแล้ว
ก็ขอเถอะครับ :seng2ped:
...................
มาต่อตอนพิเศษด้วย :sad4:
ขอบคุณนะครับคุณ เซ็งเป็ด
รักและจะจดจำตลอดไป
นิยายในดวงใจ
กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม :L1:
ปล. ว้าว รีบนทั้ง 2 จ๋า เรามาวันเดียวกันเลย ร่วมแรงร่วมใจกันประท้วงความเป็นธรรมให้แก่ผู้มาทีหลังอย่างเราๆกันดีกว่า
เอาหนังสือกลับมา เอาตอนพิเศษกลับมา เอาคุณเซ็งเป็ดกลับมา :laugh:
-
เรื่องนี้จะอยู่ในความทรงจำของเราตลอดไป
ให้ความรู้ใรหลายๆเรื่อง เรายอมรับว่าเป็นคนไม่ชอบอ่านแนวย้อนยุค แต่พอมาเจอเรื่องนี้ ทำให้ความคิดเปลี่ยนอย่างรวดเร็วต้องขอบคุณ คุณเซ็งเป็ดมากๆเลยนะคะ ที่แต่งนิยายเรื่องนี้
ถ้าไม่มีคุณเซ็งเป็ด คงไม่มีหมอปีย์-อัชย์ ตั้งแต่พ.ศ.2553จนถึงตอนนี้ ปี2558
ตอนจบแอบสะเทือนใจนิดหน่อยค่ะ ที่ทั้งสองไม่ได้คู่กัน แต่คู่กับบรรพบุรุษแทน
ถึงจะเพิ่งอ่านจบแต่อยากบอกว่า....คิดถึงหมอปีย์อ่าาาาาาาา :hao5:
รักคนเขียนนะคะ ขอบคุณค่ะ :pig4:
-
เห็นขายแบบ Ebook ใน OOKBEE จะกดซื้อหลายทีแล้วแต่ไม่รู้ว่าตอนพิเศษ มันกี่มากน้อยแค่ไหน คุ้มเงินไหม(อ้นนี้สำคัญ)
ใครที่พลาดแบบเล่มธรรมดา เชิญที่ลิงค์นี้นะครับ แล้วก็ฝากรีวิวตอนพิเศษให้ด้วย จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง
http://www.ookbee.com/Shop/Book/a390401e-8d93-496f-ac64-adc78a4291af/a-moment-in-siam-กาลครั้งหนึ่ง-ณ-สยาม
-
พึ่งเข้ามาอ่าน รู้สึกประทับใจมากจริงๆค่ะ กำลังคิดว่าเราพลาดเรื่องนี้ไปได้ยังไง
อ่านเเล้วมันตื้นตันบอกไม่ถูก อินเข้าไปด้วยกับตัวละครจริงๆ อ่านบรรยายเเล้วนึกภาพตามได้เลย
คิดว่าบ้านเมืองสมัยก่อนนี่น่าอยู่มากนะ ถ้าลองได้สัมผัสบรรยกาศเเบบนั้นบ้างก็คงดี
ต้องขอบคุณคนเขียนจริงๆค่ะที่เขียนนิยายดีๆเเบบนี้ขึ้นมา ได้อะไรหลายอย่างจริงๆค่ะ
ปล.อ่านเเล้วหิวมากก55
:กอด1:
-
สนุกมากๆๆๆ เลยคะ o13 o13
-
อ่านแล้วซึ้งอะ น้ำตาท่วมจออะ
-
มาอ่านเรื่องนี้ช้าไป อยากซื้อหนังสือเก็บไว้คะ แต่ถึงซื้อไม่ทันจริงๆ คุณเซ็งเป็ดกรุณามาลงตอนพิเศษให้หน่อยได้มั้ยคะ น่ะๆๆๆๆ
-
จะมีรีปริ้นมั้ยอ่า ยังรออยู่นะคะ อยากได้มากจริงๆ :impress2:
-
สารภาพค่ะว่าเลิกอ่านเรื่องนี้ไปสองรอบ :z3: :z3: :z3: ,
ครั้งแรกเพราะเรื่องนี้พีเรียด ซึ่งไม่ใช่แนวมากๆก็เลยเลิกอ่านไป, ครั้งที่สองก็คือตอนที่หมอปีย์กับปออยู่บ้านพระยาบ้าอำนาจ
ฉากตอนที่ปอไปโวยตรงบันไดบ้านจะขึ้นไปหาหมอนั้นสติแบบ ขาดผึง ! จนคิดว่าถ้าอยู่ตรงนั้นนะ จะถีบก้นปอทีนึงแล้วก็ตะโกนดังๆว่า "หนวกหู!!!!" :fire:
นิสัยปอเป็นแบบคนที่มีลูกบ้าเยอะมาก แถมยังขี้โวยวายสุดๆ ชอบหาแต่เรื่องอ่านแล้วหมั่นไส้ปอจริงๆนะคะ
แต่ว่าพออ่านเรื่องนี้จนจบแล้วทุกอย่างมันดูดีดูงามก็กลับมาคิดขึ้นได้ว่า
จริงๆแล้วถึงปอจะขี้โวยวายแต่ปอก็ยังคิดได้นะคะในช่วงท้ายๆปอก็ทำตัวดีขึ้นจนยอมรับปอแล้วค่ะ
แล้วคือส่วนตัวยิ่งเป็นพวกที่ว่าถึงตอนแรกจะร้ายแต่สุดท้ายปลายดีก็จะชอบขึ้นมา
-แต่- สำหรับปอลูกบ้ามันเยอะจนไม่ชอบแต่ก็ไม่เกลียด โอเค๊ ! ยิ่งมาอ่านตอนพิเศษตอนเด็ก
เกือบละๆ เกือบชอบละแต่ปอเป็นไงก็ยังคงรักษานิสัยตัวเองอย่าสม่ำเสมอ นิสัยบ้าๆเหมือนเดิม
แล้วหมอปีย์ก็แบบดี๊ดี ดีเสมอต้นเสมอปลาย เอ่อ ยกเว้นตอนหมอความจำเสื่อมนะคะอันนั้นมันเหมือนดูดกลืนนิสัยปอไปใช้เลย
แล้วหมอก็ชอบทำให้คนอ่านเขินน นน ด้วยคำพูดหวานๆของนางนี่
บางทีนางหยอดขึ้นมาบางอันคือขอเลื่อนเม้าผ่านเลยนะคะ มันทั้งหวานทั้งเลี่ยน ไม่ไหวจะอ่านจริง
แล้วอ่านมาถึงตอนใกล้จบ เป็นอะไรที่ลุ้นมากกก กกก!
ปกติไม่ชอบเรื่องเศร้าเท่าไหร่ค่ะ แล้วทีนี้ก่อนที่จะอ่านเรื่องนี้ก็แอบเปิดไปดูคอมเม้นท์หน้าท้ายๆมาด้วย
เห็นแล้วก็โล่งอกว่าเออไม่น่าจะเศร้าอะไรมากมาย อยู่ในระดับที่พอรับได้
แล้วก็ตอนอ่านนี่มีความคิดจินตาการตอนจบเองด้วยนะคะทั้งที่ยังอ่านไม่ถึงตอนนั้น
ตอนจบตอนแรกก็คือ ,ตอนที่ปอบอกว่าตัวเองห้าสิบ คิดตอนจบไว้ว่าไม่เป็นไรในอดีตไม่ได้รักกัน
มารักกันตอนห้าสิบก็ได้แบบลุ้นให้เจอกันตอนแก่แล้วเรื่องก็จบไป
ตอนจบตอนที่สองคือ ,ตอนที่พอย้อนอดีตกลับไปได้อีกครั้งแล้วปอกำลังจะโดนประหาร คิดอีกว่า
ให้ปอโดนไปเลยแล้วเดี๋ยวหมอก็ตายตามไป สุดท้ายเกิดมารักกันใหม่ในชาติหน้า จบปึ้ง! แต่ละตอนที่คิดไว้ช่างงง งง
พออ่านมาถึงตอนสุดท้ายยอมรับเลยอารมณ์ไม่สุดมากก แต่ก็ยอมรับความจริงแล้วว่ามันจบแล้ว
พอมาอ่านในส่วนของพี่หมอ , ยิ้มแก้มปริมากก อื้มหื้มม ทำไมวัยเยาว์มันน่ารักมุ้งมิ้งแบบนี้
แล้วก็นะปอนี่มีนิสัยบ้าๆ มาตั้งแต่เด็กเลยใช่ไหมคะยอมมแบบนี้คงให้พี่หมอคอยคุมประพฤติตลอดชีวิตแล้วล่ะค่ะ
นิยายเรื่องนี้สอนอะไรหลายอย่างมาก อ่านแล้วก็เกิดสะท้อนใจจริงๆนะคะ
ปอลอ อยากให้เรื่องนี้มีรีปริ้นท์อีกนะคะ
ขอบคุณมากนะคะสำหรับนิยายดีๆแบบนี้ :pig4: :pig4: :pig4:
-
เพิ่งอ่านจบ :sad4:
ได้เรียนรู้อะไรเยอะเลยค่ะ
ชอบวิถีชีวิตแบบคนสมัยก่อนมากๆ
ขอบคุณที่แต่งเรื่องดีๆมาให้อ่านนะค่ะ :mew1:
-
13 เมษายน 2558
ขอบคุณผู้แต่งมากนะคะ เปแ้นนิยายอีกเรื่องที่เราประทับใจและจะเก็บไว้ในความทรงจำ
ความรักของหมอปีย์และอัชย์ยิ่งใหญ่มากจริงๆ
การที่คนสองคนรักกันได้มากมายขนาดนี้ เป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ
เราอ่านเรื่องนี้ด้วยความรู้สึกเหมือนอ่านบันทึกความรักของคนสองคน เราแทบไม่คิดเลยว่าทั้งสองคนเป็นตัวละครในนิยาย เรารู้สึกว่าสองคนนี้มีอยู่จริงๆ รักกันจริงๆ
ภาษาที่ถ่ายทอดออกมาดีมากๆค่ะ เราเป็นคนหนึ่งที่ชอบเรื่องราวในสมัยรัชกาลที่ 5 มากๆๆๆๆๆๆๆๆ พอได้มาอ่านเรื่องนี้ ได้เก็นถึงความตั้งใจในการหาข้อมูลของผู้เขียนยิ่งชอบเข้าไปใหญ่
ขอบคุณทุกตัวละครที่สร้างสีสันให้กับเรื่องนี้
ขอบคุณผู้แต่ง ที่แต่งนิยายที่น่าประทับใจ และเป็นนิยายที่น่าเก็บไว้เป็นความทรงจำที่ดี
ขอบคุณจากใจนะคะ ^____________________^
-
อยากให้มีรีปริ้นอีกรอบจัง
มาอ่านเอาปี 2015 จะทันการอะไร
-
ดันๆๆๆๆๆ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ดันๆๆๆๆๆๆ ดันนนนนนนนนน
:sad4: :sad4:
-
สวัสดีคะคุณเซ็งเป็ด
อันดับแรกคงต้องขอบคุณสำหรับนิยายดีดี สนุกๆ เรื่องนี้
เราประทับใจมากเลยคะ ทั้งแนวคิดของเรื่องการดำเนินเรื่อง
แสดงถึงความตั้งใจของคนเขียน
ที่สามารถ่ายทอดเรื่องราว
ทำให้เรารู้สึกอินไปกับเนื้อเรื่อง
มีทั้งเกร็ดความรู้ด้านอาหาร ที่ทำเราหิวทุกครั้งที่อ่าน
เกร็ดความรู้ในสมัยรัชกาลที่ 5
ทั้งวิถีชีวิต เรารู้สึกดีที่ได้อ่าน
ทำให้เราสำนึกในพระคุณของบรรพบุรุษ ว่าท่านเหล่านั้นลำบากมากมายเพียงใด ที่ทำให้เรามีวันนี้
เรามาอ่านนิยายเรื่องนี้หลังจากจบไปสี่ปีแล้ว แต่เนื้อหาไม่ดูล้าสมัยสักนิด คนอ่านภายหลังยังอ่านได้อินไปกับเนื้อเรื่อง
ประทับใจมากคะ ไม่รู้จะอธิบายยังไง
แต่บอกได้ว่าใครพลาดอ่านเรื่องนี้น่าเสียดายจริง
ชอบทุกอย่างของเรื่อง
อยากอ่านเรื่องอื่นที่คุณเซ็งเป็กแต่งอีกคะ เห็นมีเรื่องของผู้ชายสี่คนที่เกี่ยวกับดอกไม้ สร้างลิงค์นิยายเรื่องอื่นที่แต่งไว้ในนี้ด้วยสิคะ
มีหลายคนแน่ที่จะไปติดตามแ่านเรื่องอื่นของคุณแน่นอน
เรื่องของเรื่องคือเราหาไม่เจอ ถ้าคนเขียนกรุณาสร้างลิงค์เชื่อมโยงไวก็ดีนะคะ
ปล.อยากบอกว่าประทับใจ และจะเป็นกำลังใจให้คนเขียนต่อไป แอบเสียดายที่ไม่ได้อ่านความรู้สึกของพี่หมอต่อ :monkeysad:
-
:-[
-
ชอบมากคะ หลงพี่หมอ กับหมอปีย์มาก แต่พึ่งเคยอ่าน 555 เนื้อเรื่องดีมากคะ ไม่งงเลย แล้วก้อเดาทางไมาถูกด้วย o13 รักมากหลงมาก :mew1:
-
คงจะไม่ลงตอนพิเศษแล้วแน่เลย
-
ขอบคุณมากครับ สำหรับนิยายสนุกๆ อยากอ่านตอนพิเศษต่อนะ
แต่เราว่าเนื้อเรื่องก็จบสมบูรณ์แล้วล่ะ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆอีกหนึ่งเรื่อง
อดหลับอดนอนอยู่หลายวันเลย
:pig4:
-
ชอบแนวนี้
-
อ่านแล้วชอบมาก ๆ เลย คนเขียนทำการบ้านมาดีมากและยังทำให้เราได้รำลึกถึงสิ่งดีงามที่เราต่างแทบจะหลงลืมมันไปกันหมดแล้ว ทำให้เด็กรุ่นใหม่ได้รู้ซึ้งว่ากว่าจะมาเป็นไทยทุกวันนี้บรรพบุรุษต้องเสียสละให้พวกเรามากมายแค่ไหน อย่าหลงระเริงไปกับความสงบที่ได้รับเพราะเราอาจสูญเสียความเป็นตัวเองไปโดยไม่รู้ตัวไปก้อได้ เราชอบนิยายที่มีพัฒนาการของตัวละครน่ะ เรื่องนี้นายเอก (เราเดาเอาว่าเขาต้องเป็นนายเอก 555) จากเดิมที่ทำตัวไร้สาระไปวัน ๆ เอาตัวเองเป็นใหญ่เริ่มมองเห็นคนรอบข้างมากขึ้น เราชอบน่ะ แต่วิธีการผ่านอดีตยังดูคลุมเครือ (ขณะนี้เราพึ่งอ่านไปได้แค่ไม่กี่ตอนเองน่ะ) เราชอบพระเอกแบบนี้น่ะ อ่านแล้วให้ความรู้สึกถึงความมั่นคงแข็งแกร่งภายใต้ความอ่อนโยน :mew1:
-
:o12: จากใจตอนนี้เลยฮะ หนึ่งวินาทีก็ช้าไป รู้สึกตัวเองช้ามากที่ได้อ่านเรื่องนี้ แต่ก็ขอบคุณพี่เซ็งเป็ดมากๆนะฮะ :pig4:
-
:hao7: :hao7: :hao7: อ่านได้สี่ตอนชอบๆๆๆ
-
:impress2: :impress2: :impress2: นึกถึงทวิภพเลย เป็นเยี่ยงรัยรึแม่มณีจนทร์
-
:hao5: :hao5: :hao5: อ่านแล้วอยากไปลอยกระทงกับใครสักคนแบบหมอปรีย์บ้าง
-
อ่านจบได้สักพักแล้วค่ะ เเต่มาเริ่มอ่านปี2558 ,2015 แอบช้าไปอยู่ดีเนอะ
เเต่ไม่ว่าคนอ่านจะได้อ่านตอนไหน เราเชื่อนะว่าคุณค่าของนิยายเรื่องนี้จะยังคงปรากฎ
ให้เห็น และซึมซับเข้าสู่หัวใจผู้อ่าน เพราะนี่ไม่ใช่แค่นิยายแนวย้อนยุค
(ซึ่งจริงๆก็มีการย้อนอดีตไปยุคก่อนจริงๆ ฮ่าๆ) แต่ แฝงไปด้วยเรื่องราว สาระ ความรู้
ที่น่าค้นหา ประวัติศาสตร์ความเป็นไทย ที่บางที่ เราเรียน อ่านทั่วๆไป ก็ไม่ค่อยจะเข้าถึงอารมณ์สักเท่าไหร่
อ่านเรื่องนี้ไป หลายๆตอนนะ ที่ทำให้เราน้ำตาซึม หรือไม่ก็ร้องไห้เลยก็มี
มันบีบคั้นหัวใจ :hao5: รวมทั้งทำให้เราหันมาใส่ใจความเป็นไทยของเรามากขึ้น
ขอบคุณผู้แต่งจริงๆที่เขียนเรื่องนี้ออกมาจนจบ(แอบเสียดายตอนพิเศษ แต่ได้อ่านเท่าใดคนอ่านก็ดีใจ)
-
บทที่ ๑๔ สายน้ำที่ไหลย้อนกลับ
“ออกไป ออกไปจากบ้านชั้นเดี่ยวนี้” ผมสะดุ้งตื่นเมื่อเสียงกรีดร้องของแม่ดังขึ้น
“แกมันอีน้องทรพี หลงมันจะหักหลังชั้น แกมันเลว” ตามด้วยเสียงด่าเป็นชุด
“ก็พี่นะโง่เอง ร้านอาหารก็ทำไม่รอด ชั้นผิดตรงไหนที่จะเอามันมาทำเอง อีกอย่างบ้านหลังนี้ก็เป็นสิทธิของชั้น อย่าลืมนะว่า
“แก ...แก”
“ปัง!!!” ผมฟาดมือกับประตูห้องหนูวาดเสียงดังลั่น ทุกคนเงยหน้าขึ้นมามองแน่นิ่ง
ผมเดินลงมาอย่างเยือกเย็น แต่ในใจนั้นสั่น และเร่าร้อนเต็มไปด้วยความโกรธ ตาของผมถลนออกมา
“ออกไปซะ” ผมพูดเสียงจริงจัง
“ออกไป ก่อนที่กูจะฆ่าน้องแม่ตัวเอง”
อาของผมอ้าปากค้าง หล่อนไม่เคยเจอผมในสภาพนี้มาก่อน ปกติผมจะโวยวายลั่นบ้าน แต่วันนี้หล่อนคงแปลกใจที่ผมไม่เป็นเช่นนั้น
หล่อนอ้าปากกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ด้วยท่าทีที่จริงจังของผมนั้น กลับทำให้ต้องหุบปากและเดินออกจากบ้านหลังนั้นโดยดี
“อีน้องเลว อีน้องชั่ว “ แม่เริ่มอาละว่ดอีกครั้งหลังจากที่อาเดินออกไป พร้อมกันนั้นเองพ่อผมก็กลับมาจากทำงาน
“มันมาทำไมคุณ” พ่อหมายถึงอาผม
“ยังจะมาถาม มันก็มาทวงบ้านกับร้านนะสิ เพราะคุณคนเดียว คุณมันโง่ คุณมันไม่ได้เรื่อง” แม่พาลพุ่งเข้าไปตบตีพ่ออย่างกับคนเสียสติ
“โอ้ย นี่คุณเป็นบ้าอะไร หยุดนะ บอกให้หยุด” พ่อตวาดลั่น “ก็ไม่เพราะคุณหรอกเหรอที่ยอมไปเอาเงินก้อนนั่นมา คุณนั่นแหละโง่ โง่จนโดนน้องตัวเองหลอก”
ไม่แน่ใจว่ามีใครท้วงไปรึยัง แต่อาคือน้องของพ่อ น้าคือน้องของแม่ มิใช่เหรอคะ
ขอบคุณสำหรับนิยายที่แหวกไปจากเรื่องอื่นๆคะ สนุกดีค่ะ :pig4:
-
สนุกมากเลยค่ะ อ่านรวดเดียวจบเลย ซาบซึ้งมาก ดีใจที่ได้มีโอกาศอ่านงานเขียนดีๆแบบนี้ ขอบคุณมากค่ะ
-
อ่านรวดเดียวจบ เป็นนิยายที่ดีมากถึงมากที่สุด
ร้องไห้ไปสองรอบ ขอบคุณที่ผลิตนิยายดีๆอย่างนี้ขึ้นมานะคะ
:bye2 o13
-
บทอัศจรรย์เรื่องนี้เอาไปใส่กระทู้พันทิพได้เลยสินะ
ทั้งทะเล ทั้งคลื่น :hao7: :hao6:
-
:monkeysad: :m15: เจ๋งว่ะ liked
-
เพิ่งมาอ่านปี2558อยากได้หนังสือมาครอบครองแต่คงไม่ทันกาลเสียแล้ว.. :o12: :o12:
-
นิยายเรื่องนี้ มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกจริงๆ ค่ะ
อาจจะเพราะโดยส่วนตัวชอบแนวพีเรียดแบบนี้ ชอบทวิภพ ชอบสี่แผ่นดิน
ชอบความเป็นอยู่ของคนสมัยก่อน ชอบเกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์
เพราะรู้สึกว่าสมัยก่อนน่าอยู่มาก แล้วก็มีอะไรให้น่าศึกษาเยอะมาก
เจอเรื่องนี้ในเล้าตั้งแต่ปี 2011 แต่มาอ่านเอาตอน 2015
รู้สึกว่าตัวเองพลาดมากก พลาดจริงๆ ยิ่งกว่าปออีก T_T
คุณเป็ดรีปริ้นท์ก็หมดเขตจองไป 31 กรกฏา
อยากได้หนังสือค่ะ ชอบแนวนี้มากกก
นิยายอะไรที่ย้อนยุคละแนวนี้ซื้อเก็บหมด เสียดายแรง
ส่วนตัวแล้วชอบนิสัยหมอปีย์มาก ผู้ชายอะไร ทำไมรักมั่นคงขนาดนี้?
เรื่องนี้ไม่ได้แค่นิยายวายจริงๆ ค่ะ บางตอนที่คุณเป็ดพูดถึงเรื่องวัฒนธรรมของเราในปัจจุบัน
ยอมรับเลยว่ามันคือเรื่องจริง บรรพบุรุษจะรู้ไหม
ว่าเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นใคร แต่ถูกวัฒนธรรมต่างชาติมาครอบคลุมจนหมด
โดยรวมแล้วชอบเรื่องนี้มากค่ะ ถึงบางจุดจะงงๆ ตอนปออายุ 50 แล้วกลับไปหาหมอปีย์ได้
ตอนหลังๆ นี่บีบหัวใจมาก อ่านไปลุ้นไปว่าเขาจะรักกันไหม
จนทนไม่ไหวเปิดมาอ่านคอมเม้นา์หน้าหลัสุดซะเลย
ถึงจะจองไม่ทันแต่ถ้าคุณเป็ดณีปริ้นท์อีกล่ะก็ จะไม่พลาดแน่นอนค่ะ
:L1: :L1:
-
ชอบนิยายแนวนี้มากๆเลย
ขอบคุณนะคะ :pig4:
-
ไม่รู้ทำไมเราถึงได้ร้องไห้กับเนื้อหาตอนที่กระชากอารมณ์แบบกู่ไม่กลับเลย :hao5: :hao5:
-
พึ่งจะได้อ่านตอนนี้ นี่เราไปอยู่มิติไหนมาก็ไม่รู้
อยากได้หนังสือจัง ^^
อ่านไป ฟังเพลง "หมดดวงใจ Ost.ข้าบดินทร์ - เบน ชลาทิศ" ไป อินมากคะ
"หมดดวงใจของฉัน พลีให้เธอคนเดียวเท่านั้น แม้ต้องตายจากกัน รักยังคงอยู่กับเธอเรื่อยไป
ต่อให้ดาวหมดแสง หรือฟ้าดินมันจะสลาย รักที่มีต่อเธอนั้นยังอยู่ อยู่เป็นรักของเธอตลอดไป"
-
ขอบคุณคนแต่งมากๆค่ะ การอ่านครั้งนี้ได้อะไรไปหลายอย่างจริงๆ ทั้งเรื่องไทยๆ ทั้งเรื่องความรัก หวังว่าจะได้มีโอกาสอ่านเรื่องของ เซงเป็ด อีกนะคะ o13
-
เสียใจค่ะ เพิ่งมาอ่าน สนุกมากๆเลย เสีดายที่เพิ่งเจอ รอรีปริ๊นซ์ นะคะ..... จะมีอีกไหมคะ :hao5:
-
ขอบคุณมากครับ สนุก ซาบซึ้ง ตราตรึงใจ นิยายในดวงใจเลยจริงๆ
ได้อะไรมากมายจากนิยายเรื่องนี้ ตอนแรกเข้ามาเพราะอยากลองอ่านแบบย้อนยุค
แต่ไม่คาดคิดว่าสิ่งที่ได้กลับมาจะเป็นอะไรที่อิ่มอกอิ่มใจมากขนาดนี้
รู้สึกเสียดายมากที่เพิ่งมาอ่าน ขอให้ตีพิมพ์อีกสักครั้งนะครับ เตรียมตังค์รอเลยคร้าบบบบบบ
สำหรับตอนนี้ มีพี่บอกพี่ มีน้องบอกน้อง บอกเพื่อนๆ ให้เข้ามาอ่านเรื่องราวดีๆแบบนี้
ปล. คิดถึงหมอปีย์ กับพ่ออัชย์มากๆเลย
-
รักค่ะ บอกได้คำเดียวว่ารักมากนิยายเรื่องนี้ รู้สึกพลาดมากๆที่เพิ่งมามีโอกาสได้อ่านจนเลยครึ่งปี 2015 ไปแล้ว ;__; (ไอโฟนหกมาจริงแล้วนะพ่ออัชย์ 55) เสียดายมากๆค่ะที่เพิ่งรู้จักนิยายเรื่องนี้ จากที่ตอนแรกอ่านไปหน้าพูดไปเพราะบอกตรงๆเลยนะคะว่าค่อนข้างรำนายเอกมากกก คนอาไร๊ปากร้ายเสียจริงๆ แต่พออ่านไปอ่านมากลับรู้สึกผูกพันกับตัวละครมากขึ้นๆ จนจำไม่ได้เสียแล้วค่ะว่าเสียน้ำตาไปกี่ถึงแล้ว โดยเฉพาะตอนหลังๆบ่นยังกับคนบ้าแน่ะว่าอย่าจบแบบนี้นะๆ T^T
ขอบคุณคุณเซ็งเป็ดจริงๆนะคะที่เขียนนิยายดีๆแบบนี้มาให้อ่านกัน เพราะไม่ได้ให้แต่ความบันเทิงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังสอดแทรกเกร็ดความรู้ต่างๆเข้าไปได้มากมายอย่างลงตัวเลยค่ะ เสียดายจริงๆที่มาจองไม่ทัน พลาดแล้วว ;___; แต่อย่างไรนิยายเรื่องนี้จะอยู่ในดวงใจเสมอไปนะคะ ขอบคุณจริงๆค่ะ รักนะคะ >3<
-
ชอบมากๆเลยค่ะ :hao5:
ร้องไห้แรงมากกกกกกกกกกกกกก น้ำตานี่มาเป็นเขื่อน
ได้ข้อคิดดีๆเยอะมากมายเลย ขอบคุณมากๆนะคะ
-
ฮรืออออออ เจอเรื่องนี้ช่วงสอบ อ่าน3วันจบ พรุ่งนี้ก็สอบอีกกก
แต่ชอบมากๆค่าาาาาา แงงงงง๊ เห็นช้าไปปปป อยากได้หนังสือมากเลยค่าาาา
ขอบคุณที่เขียนนิยายดีๆมีข้อคิดมาให้อ่านนะคะ
-
อ่าาา คือไม่รู้จ่ะพูดยังไงกับเรื่องนี้ดี
คือมันดีอ้ะดีมากๆ
ต้องขอขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ
ที่ทำให้หิวตลอดเวลาด้วย 5555
รู้สึกตัวว่าช้ามากที่พึ่งได้มาอ่านเรื่องนี้
รู้สึกพลาดแล้วพลาดอีกที่ไม่มีโอกาศได้สั่งหนังสือเล่มนี้
เสียดายยยยยย
-
:z3: :z3: อยากได้หนังสือมากแต่ก้อไม่ทันพึ่งมาอ่านตอนนี้T^T
-
ชอบเรื่องนี้มากๆ เป็นอีกเรื่องที่ยกขึ้นหิ้งในดวงใจ
ทำไมนะเพิ่งมาเห็นเรื่องนี้ เสียดายมากกกก อยากจับจองเรื่องนี้เป็นเจ้าของแต่ก็ไม่ทันแล้ว
อ่านแล้วร้องไห้ ไม่อยากให้จบเลยรู้สึกเหมือนยังไม่สุด ค้างคาตอนพิเศษ :sad4:
ขอบคุณที่แต่งเรื่องดีๆขึ้นมาอีกเรื่องให้ทุกคนได้อ่านกัน o13 :bye2: :o8:
-
ชอบเรื่องนี้มากๆ เป็นอีกเรื่องที่ยกขึ้นหิ้งในดวงใจ
ทำไมนะเพิ่งมาเห็นเรื่องนี้ เสียดายมากกกก อยากจับจองเรื่องนี้เป็นเจ้าของแต่ก็ไม่ทันแล้ว
อ่านแล้วร้องไห้ ไม่อยากให้จบเลยรู้สึกเหมือนยังไม่สุด ค้างคาตอนพิเศษ :sad4:
ขอบคุณที่แต่งเรื่องดีๆขึ้นมาอีกเรื่องให้ทุกคนได้อ่านกัน o13 :bye2: :o8:
ยังทันนะคะ ลองเข้าเฟซบุค เพจTRomance's Ficดูนะะะะ
-
:sad4: :sad4: :sad4:
ชอบเรื่องนี้มากๆ เป็นอีกเรื่องที่ยกขึ้นหิ้งในดวงใจ
ทำไมนะเพิ่งมาเห็นเรื่องนี้ เสียดายมากกกก อยากจับจองเรื่องนี้เป็นเจ้าของแต่ก็ไม่ทันแล้ว
อ่านแล้วร้องไห้ ไม่อยากให้จบเลยรู้สึกเหมือนยังไม่สุด ค้างคาตอนพิเศษ :sad4:
ขอบคุณที่แต่งเรื่องดีๆขึ้นมาอีกเรื่องให้ทุกคนได้อ่านกัน o13 :bye2: :o8:
ยังทันนะคะ ลองเข้าเฟซบุค เพจTRomance's Ficดูนะะะะ
-
08/11/2558 2.21 น.
สวัสดีค่ะคุณเซ็งเป็ด ตามจริงแล้วคงจะได้สวัสดีกันไปตั้งนานตั้งแต่ปลาย ๆ ปี 2554 ที่เราเจอเรื่องนี้..
ตั้งแต่ที่ยังใช้ล็อคอินเก่าจนกระทั่งมาสมัครใหม่เป็นล็อคอินนี้เพราะจำอันเก่าไม่ได้ TT-TT
และ ณ ตอนนั้น เรายังไม่คิดที่จะเข้ามาอ่านเรื่องนี้จริง ๆ เพราะเป็นคนที่ไม่ค่อยอ่านแนวพีเรียดสักเท่าไหร่
แต่เสียงลือเล่าอ้างเรื่องนี้ก็เข้าหูมาบ่อยเหลือเกิน
จนวันหนึ่งเมื่อประมาณต้นปีที่แล้ว เราไปซื้อของที่ห้างแห่งหนึ่ง แล้วไปเจอกับหนังสือเล่มนี้เข้าในร้านขายหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น
หนังสือเล่มนี้ก็วางเรียงกันกับนิยาย Yaoi เรื่องอื่น ๆ
แต่อะไรดลใจให้เราตัดสินใจภายในเวลาแค่ไม่ถึง 10 นาที ในการหยิบหนังสือเล่มนี้ออกไปจ่ายที่เคาท์เตอร์
โดยที่แทบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเนื้อหาในเล่ม รู้แค่ว่ามีคนให้ความสนใจวรรณกรรมเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เราก็เก็บเรื่องนี้ไว้ กว่าจะได้มาอ่านอีกที ก็ตอนปลายปี 2558 ซะแล้ว
รู้สึกผิดอยู่ในใจลึก ๆ เลยว่า ทำไมถึงได้เก็บมานานขนาดนี้ ทำไมไม่อ่านให้เร็วกว่านี้
และนิสัยส่วนตัวของเราคือ ถ้านิยายที่มีลงใน internet ให้อ่าน เราก็จะอ่านแต่ใน internet จะถึงจะซื้อมาแล้วก็ตาม ไม่ค่อยชอบหยิบจับที่เป็นรูปเล่มขึ้นมา เพราะกลัวกระดาษขาด เปื่อย หรือเปื้อนมาก ๆ กลัวว่าขอบหนังสือจะงอบ้าง ต่อให้เอาไปห่อพลาสติกใสแล้วก็เถอะ ฮ่าๆๆๆ
เรานับถือในความทุ่มเททั้งพลังกายพลังใจของคุณเซ็งเป็ดที่แต่งเรื่องนี้จนจบมากเลยค่ะ ไหนจะต้องรวบรวมข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ทางด้านอาหาร แล้วยังต้องถ่ายทอดออกมาให้ผู้อ่านได้เห็นภาพ และเข้าใจที่ผู้แต่งตั้งใจจะสื่อ
สุดยอดเลยจริง ๆ
และคุณแม่ของตัวเจ้าของคอมเม้นท์ ก็เป็นคุณครูสอนสังคม , ประวัติศาสตร์อยู่แล้ว มันเหมือนกับถ่ายทอดมาทางสายเลือดไปโดยปริยาย ถึงแม้จะไม่ค่อยชอบอ่านแนวพีเรียดเท่าไหร่ แต่โดยส่วนตัวก็ชอบดูหนังทางประวัติศาสตร์ , ฟังเพลงเก่า ๆ ไทยเดิมเช่นกัน(แต่ไม่ได้ฟังขนาดลงลึก หรือขนาดเป็นแฟนพันธุ์แท้)
อาจจะเพราะได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ๆ และเคยเป็นนางรำมาก่อน ถึงตอนนี้จะเบี่ยงมาทางสายวาดเขียนแล้วก็ตาม ฮ่าาา
หลังจากอ่านเรื่องนี้จบแล้ว ไปเปิดลาวคำหอม ลาวดวงเดือน คำหวาน ฟัง
ยิ่งอินหนักเข้าไปใหญ่จนขนาดร้องไห้ น้ำตานองหน้าเลยค่ะ
มันเป็นความรู้สึกที่จุกอก และเต็มตื้นมาก ๆ กับความรัก ความผูกพันข้ามเวลามาเป็นร้อยกว่าปีของทั้ง 2 คน
ยิ่งตอนที่อัชย์ย้อนเวลากลับมาแล้วต้องอยู่คนเดียวไปจนแก่ เป็นอะไรที่ค่อนข้างสะเทือนใจ เราอ่านดราม่ามาก็เยอะ แอบทำใจไว้แล้วว่า ถ้าไม่สมหวังก็จะพยายามทำใจ แต่ถึงจะอย่างนั้นก็เสียน้ำตาไปหลายหยดมาก ๆ
พอเจอฉากที่อัชย์ได้ย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตอีกครั้ง เจอรูปกระดาษที่หลวงพินิจเขียนเป็นสารแล้วสอดไว้ในหนังสือที่อัชย์อ่านแล้วจึงมาฝากไว้กับยายหนูวาดไว้ให้หลานในอนาคตของตนเอง เป็นอะไรที่ประทับใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวจริง ๆ
ทั้งยังดีใจจนพูดไม่ออก แล้วก็เศร้าใจไปในเวลาเดียวกันกับตอนที่รู้ว่าอัชย์จะต้องโดนประหารชีวิต
และหมอปีย์ยังยอมที่จะตายตาม
มีอีกจุดหนึ่งที่เราสงสัยในใจคือตอนที่หมอปีย์กระโจนเข้าใส่อัชย์พาร่างตัวเองและอัชย์ลงน้ำ
ตอนนั้นตัวเราเองได้แต่สงสัยว่าตอนนั้นหมอปีย์คิดอะไรอยู่
1.ยอมตายตามไปด้วยกัน
หรือ 2.หมอปีย์รู้/เชื่อว่าอัชย์สามารถย้อนเวลากลับไปโลกปัจจุบันของอัชย์โดยผ่านทางสายน้ำได้ เลยเลือกใช้วิธีนี้ในการที่จะช่วยอัชย์ให้รอดพ้นจากการถูกประหารชีวิต
เป็นตอนที่สะเทือนอารมณ์จริง ๆ ที่อัชย์ขอให้หมอปีย์ใช้ชีวิตอยู่ต่อไปอย่างสง่างาม ถึงแม้ว่าจะไม่มีอัชย์ก็ตาม
พิมพ์มาถึงตรงนี้แล้วก็ได้แต่คิดว่า ถ้าเป็นเรา การที่เราต้องใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียว โดยที่ไม่มีคนที่รักอยู่ด้วยอีกแล้วไปตลอดชีวิต
และไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกหรือเปล่าในอนาคต หรือในชาติหน้า มันจะเศร้าใจ อึดอัด และเดียวดายสักแค่ไหน
ถึงแม้ว่า 3 เดือนให้หลัง ที่อัชย์จะกลับมาในโลกปัจจุบันแล้วได้เจอกับพี่หมอ (ซึ่งก็คือหลวงพินิจกลับชาติมาเกิดเนอะ ?)
...ดีใจมาก นึกว่าจะจบด้วยความเศร้าโศกซะแล้ว
แต่ถึงจะอย่างนั้นมันก็ยังเหมือนมีตะกอนขุ่น ๆ ในใจ ลอยวนเวียนไปมาตลอดว่า
แล้วชีวิตของหลวงพินิจในยุคสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ไม่มีอัชย์จะเป็นอย่างไร จะต้องเศร้าใจไปจนกว่าจะหมดอายุขัยของตนเองเลยหรือไม่ ตรงจุดนี้มันเลยกลายเป็นทั้งความตราตรึงใจ และเศร้าใจไปในเวลาเดียวกันสำหรับตัวเจ้าของคอมเม้นท์เอง ฮ่า ๆ
สุดท้าย อยากจะบอกว่า ชอบคำโปรยของเรื่องนี้จริง ๆ ค่ะ อ่านทวนซ้ำไปซ้ำมาบ่อยมาก ๆ เรารับรู้สึกได้ถึงความขลัง
และพลังใจแห่งการรอคอยซึ่งกันและกันผ่านมาทางตัวอักษรแต่ละตัวจริง ๆ
ถึงแม้ว่าตัวละครหลัก ๆ ในเรื่อง จะไม่มีตัวตนอยู่จริง ๆ บนโลกใบนี้ก็ตาม แต่คุณเซ็งเป็ดกลับทำให้เราอินจนกระทั่งคิดว่าปี พ.ศ. นี้ พวกเขากำลังทำอะไรอยู่ กำลังมีความสุขดีใช่ไหม
คุณทำให้เราสามารถอินไปกับทุกบทสนทนา ทุกคำพูด และทุกตัวตนของตัวละครได้อย่างยอดเยี่ยมมาก ๆ
มันเหมือนกับเป็นตัวละครที่มีชีวิต ถูกมองและถ่ายทอดออกมาโดยบุคคลที่ 3 ซึ่งก็คือคุณเซ็งเป็ด
เป็นวรรณกรรมชั้นเยี่ยมที่ไม่ได้ถ่ายทอดแค่เรื่องความรักในรูปแบบชายรักชายที่มาจากคนละยุค คนละสมัยกัน
และเป็นเรื่องที่ไม่ต้องเน้นเรื่อง NC ก็สนุกได้ เพราะถ้าใส่ฉากอัศจรรย์มาแบบละเอียด ก็เกรงว่าจะขัด ๆ กับบรรยากาศของเรื่องที่ละมุนละไมไปเลย
และเราหวังว่าจะยังมีคนได้อ่านวรรณกรรมดี ๆ แบบนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดไปนะคะ
ขอบคุณที่สละเวลามาสร้างสรรค์ผลงานดี ๆ แบบเรื่องนี้ให้ได้อ่านกันจริง ๆ ค่ะ
ยังคงหวังอยู่ในใจเล็ก ๆ ว่าคุณเซ็งเป็ดน่าจะมาแต่งตอนพิเศษเพิ่มจากในเล่มให้อ่านกันเล่น ๆ
ถึงจะผ่านมาแล้ว 5 ปีก็ตาม ฮ่า ๆๆ
เพราะถึงแม้จะอ่านจบได้เพียงแค่ 2 วัน แต่ตอนนี้กลับคิดถึงตัวละครในเรื่องมากจริง ๆ ค่ะ..
-
พึ่งได้มาอ่านเรื่องนี้อย่างจริงจังก็ผ่านมานานหลายปีแล้ว แต่ไม่ผิดหวังจริงๆ นอกจากจะเสียน้ำตาเป็นลิตรๆให้กับความรักของหมอปีย์กับนายอัชย์แล้ว ยังรู้สึกรักบ้านเกิดเมืองนอนขึ้นมาอีกโขเลย แถมตอนนี้ยังรู้สึกอยากจะกระโจนลงครัวไปหัดทำอาหารไทยให้รู้แล้วรู้รอดกันไปข้าง 555
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆที่ไม่ได้มีแค่ตัวหนังสือนะคะ
-
ร้องไห้จนเจ็บตากับเรื่องนี้ 55555
ชอบหมอปีย์ หมอน่ารักมาก
เกลียดปอมากๆตอนแรก ดูเห็นแก่ตัวไปหมด
แต่หลังๆนี่ค่อยดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาหน่อย
ขอบคุณคนเขียนมากนะคะ
-
ชอบมากครับ รู้สึกรักหมอขึ้นมาเลย แถมยังแต่งดีสุดๆ เนื้อเรื่องเชื่อมโยงกันอย่างดี ข้อมูลแน่นเอี้ยด ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆครับ
-
เพิ่งอ่านจบ ชอบมาก การเล่าเรื่อง บรรยายได้เห็นภาพ มีการค้นหาข้อมูล ชอบแนวความคิดที่สอดแทรกในเนื้อหา ขอบคุณ ผู้เขียนสำหรับนิยายดีๆเช่นนี้คะ
-
4 วัน อ่านรวดเดียวจบ ไม่รู้จะบอกยังไง คือ ดีมากอะ
อ่านแล้วไม่เบื่อ อ่านได้เรื่อยๆ เนื้อหาดีมากค่ะ เนื้อเรื่องไม่สะดุด ภาษาดี
ใครยังไม่อ่าน อ่านเถอะค่ะ แรกๆ อาจจะมีไม่พอใจนายเอก
แต่อ่านไปจะเข้าใจที่นายเอกเป็น สภาพแวดล้อม การเลี้ยงดู ส้งคม
ใครลังเลอยู่ อ่านเถอะค่ะ เราก็เคยลังเล เหมือนกัน พออ่านละวางไม่ลง
อ่านแล้วจะรักความเป็นไทย กว่าพวกเราจะสบายแบบนี้ บรรพรุษเหนือยแค่ไหน
-
อ่านจบรวดเดียวเลยค่ะ... นิยายเรื่องนี้เป็นอะไรที่ดีงามมากจริงๆ อินสุดๆ T^^T
ขอบคุณนะคะที่แต่งนิยายที่ดีแบบนี้มาให้ได้อ่านกัน ขอบคุณจริงๆค่ะ
-
ก่อนอื่นเราต้องขอบคุณคุณเซ็งเป็ดก่อนเลยที่แต่งนิยายออกมากได้ดีมากขนาดนี้
เราชอบทุกๆการดำเนินเรื่องถึงจะซับซ้อนไปนิดแต่มันก็มีที่มาที่ไปที่สรุปได้ไม่งง
เราชอบทุกๆตัวละครที่อ่านในเรื่องอ่านแล้วเห็นภาพชัดมากยิ่งตอนอ่านถึงบทของแดงคุณบรรยายได้อินมากๆเราร้องไห้กับความเดียวดายของแดงที่ต้องต่อสู้ทุกอย่างคนเดียวในโลกที่ไม่มีใครจนเจอกับอัชย์ทั้งคู่เหงาเหมือนกันแลัตอนที่แดงตายคือแบบบรรยายได้ถึงอารมณ์ง
ยิ่งตอนจะจบตอนที่อัชย์ต้องรอหมอปีย์มันเป็นการรอที่ทรมานมากสำหรับความสู้สึกของเราและพอได้เจอกันอีกก็ต้องพลัดพรากกันอีกมันนอนยมากแต่พอทั้งคู่ได้เจอกันอีกอีกคนคืออัชย์จำเรื่องในอดีตได้กับหมอปีย์ที่ลืมอดีตแล้ว
แต่ก็ยังรักอัชย์อยู่
เรื่องนี้เราชอบมากแต่จะให้ดีคุณเซ็งเป็ดคับ ขอตอนที่ทั้งสองคนได้ใช้ชีวิตรักในปัจจุบันอีกตอนได้ไหมคับคืออดีตที่ผ่านมาเราไม่ได้มีความสุขกับความรักของเค้าเลยเราอยากเห็นตัวละครที่เรารักเค้ามีความสุขนะคับ
#หวังว่าคุณเซ็งเป็ดคงจะมีโอกาศได้เข้ามาเห็น
หรือที่มีหนังสือของคุณเซ็งเป็ดเรื่องนี้อยากทราบว่ามีตอนพิเศษอีกไหมคับ :pig4: :pig4:
-
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้นะคะ อ่านเเล้วสนุกมากๆ เพลินมากๆเลย เนื้อเรื่อง การบรรยาย ดีมากๆเลยคะ การถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละคร สำหรับเรา นิยายเรื่องนี้เหมือนเเรร์ไอเทมในนิยายเเนวย้อนยุคเลยละคะ ชอบมากๆ
เสียดายมากๆที่มาอ่านช้าไปหลายปีเลยไม่ได้ซื้อหนังสือเลย
เรื่องตอนพิเศษในเว็บลงค้างคา ไม่เเน่ใจว่าเพราะต้องการกันให้คนซื้อเล่มอ่านเป็นสิทธิ์พิเศษหรือป่าว เเต่เสียดายมากจริงๆเพราะซื้อเล่มไม่ทันเเล้ว เลยรู้สึกค้างคาไป เสียดายมากเลย
เเต่ยังไงก็ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆที่เเต่งมาให้อ่านนะคะ ขอบคุณค่ะ
-
ได้รับหนังสือเมื่อมกราคมที่ผ่านมานี้เองค่ะ ^^ อ่านนิยายวายมาเกือบๆ6ปีแล้ว ไม่เคยสั่งซื้อนิยายเรื่องไหนเลย เพิ่งมาเจอเรื่องนี้ตอนปีที่แล้ว และก็ทันรอบรีฯพอดี เลยกะไว้ว่ายังไงๆก็ต้องเอามาเป็นของตัวเองให้ได้ !!
พอได้อ่านตอนพิเศษในเล่มก็ยิ่งไม่เสียดายเงินที่จ่ายไปเลยค่ะ
ขอบคุณนะคะที่เขียนนิยายดีๆให้อ่าน :) รัก
#หมอปีย์พ่ออัชย์
-
สวัสดีค่าคุณเซ็งเป็ด
ขอเกริ่นก่อนว่าเราไกดเข้ามาอ่านเรื่องนี้เพราะสะดุดกับชื่อเรื่อง
บวกกับแปลกใจเล็กๆ เพราะน้อยนักที่นักเขียนยุคปัจจุบันจะเล่นเนื้อหาในยุคสมัยก่อนๆ
จากบรรทัดแรกจนบรรทัดสดท้าย สิริรวมอ่านได้ 5วันจบ
เรื่องราวความรักละมุนของหมอปีย์และเจ้าบ้าอัช
มีหลากหลายอารมณ์ยิ่งนัก
ทั้ง งุนงง สนใจ ตื่นเต้น อมยิ้ม ขำตัวโยน หมั่นไส้ เขิน เศร้า เคล้าน้ำตา
ระคนเจ็บปวดใจ
นอกจากเรื่องความรักแล้วสิ่งที่ชอบสุดเห็นไม่พ้นของกิน
ตำหรับอาหารไทยแลเรื่องราวต่างที่ใส่มาในเรื่อง
มันทำให้เลือดคนครัวอย่างเราอยากลุกขึ้นมาทำสำรับอาหารตามเลยเชียว
ขอบอกเลยว่า..เป็นนิยายวายที่ดีที่สุดเท่าที่เคยได้อ่านมา
อ่านมาก็หลายหลาก แต่เรื่องนี้อิ่มเอมมากค่ะ
สุดท้ายแล้ว...การ รี-ปริ้นเรื่องนี้ อีกครั้ง จักมีความเป็นไปได้หรือไม่
เรามาไม่ทันการจองครานั้นเลยข่า(ง่ายๆคือเพิ่งเข้ามาหลังหายจากเล้าไปร่วมปี)
ฝากไว้พิจารณาด้วยนะค๊าาา
แล้วก็ขอบคุณมากมายที่เเต่งและเขียนนิยายดีๆแบบนี้ให้ได้อ่านกัน
ขอบคุณสุดซึ้งค่ะ
-
ุเราไปอยู่ที่ไหนมานะ ทำไมเพิ่งจะเห็นเรื่องนี้ :hao5: :z3: :z3: :z3:
รู้สึกยังอยากอ่านตอนต่อไปเรื่อยๆ และเรายังรอรีปริ้นรอบต่อไปอยู่นะคะ รู้สึกค้างจากตอนพิเศษตอนล่าสุดจัง :mew2:
-
ขอบคุณค่ะ ปอมีชีวิตอยู่ยาวนานมากเลยนะคะ แก่ แล้วกลับมาหนุ่มใหม่ ช่วง 20 ปี ที่ไม่มีหมอปีย์นี่จะทรมารแค่ไหนกันนะ
-
กำลังตามอ่านค่าาาา
ชอบนายเอก(?)แบบนี้ ร้ายๆเลวๆ เหมือนพี่หมู (จากเรื่องsloth) เลย
อ่านต่อๆ :hao6:
-
ใช้เวลาอ่าน3วัน ที่ไม่รีบเพราะอยากซึมซับทุกตัวอักษรเลยค่ะ
ได้ยินชื่อเสียงเรื่องนี้มานานแล้ว แต่เห็นคอมเมนต์แล้วก็กลัวจะเศร้า
เลยยังไม่ได้อ่านซะที
ชอบเรื่องนี้มากๆเลย ปริ่มแบบบอกไม่ถูก
ตอนหลังๆน้ำตาไหลเป็นปี๊บเลยค่ะ เศร้ามาก
แต่เข้าใจว่าทั้งอัชย์และหมอปีย์ก็มีเหตุผลที่ทำแบบนั้น
ยังดีที่มีตอนพิเศษของนิจ อย่างน้อยเราก็รู้แล้วว่าปอจะไม่ต้องเหงาและรอคอยหมอปีย์อีก
เสียดายที่ลงไม่จบ น่าจะลงตอนพิเศษอีกเยอะๆ อยากอ่านตอนที่ปอรู้ว่านิจก็คือหมอปีย์
สุดท้ายนี้ ขอบคุณสำหรับนิยายที่ดีมากๆเรื่องนี้นะคะ
จะแวะเวียนมาอ่านบ่อยๆ :กอด1:
-
เป็นเรื่องที่อ่านได้ยืดเยื้อมากจริงๆ อ่านๆ หยุดๆ อ่านไปก็ได้แต่คิดว่าหมอปีย์รีกพ่ออัชได้ยังไง ตรงไหน ไม่ความน่ารักเลย แต่ไปๆมาๆเราก็ดันตกหลุมพ่ออัชตามหมออยู่ดี อ่านแล้วตาบวมมากกกกกกก พรุ่งนี้มีงานอีก ฮือออออ พี่คะหนูค้างคาตอนพิเศษมาก หนูอยากอ่านต่อ ให้หนูได้รู้สึกอิ่มเอมใจเถอะค่ะ คนเขียนเขียนตอนเรียนปีหนึ่งจนตอนนี้เรียนจบแล้วตอนพิเศษยังไม่จบเลย แต่ก็นะ ได้รู้ว่าสุดท้ายทั้งคู่ไม่ได้อยู่อย่างเดียวดายก็ดีต่อใจสุดๆแล้ว ฮือออออออออ ประทับใจ :hao5:
-
เรื่องนี้ดีงามมากๆ
-
เพิ่งได้มาอ่านแนวนี้
เพิ่งมาอ่านทั้งๆที่มันมีมาหลายปีแล้ว
พออ่านแล้วรู้สึกอยากซื้อมาเก็บไว้เลยคะ
สนุกมาก
ชอบมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
:katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ปล. คาดหวังว่าจะให้มีรอบรีปริ้นนะคะ อยากมีเก็บไว้จริงๆ เพราะมันสนุกจริงๆคะ
-
ไม่มีขายเป็นเล่มหรอครับ พี่แต่งได้สุดยอดมากเลยอะครับ เทียบเกรดแล้วนี่มันโคตรพรีเมี่ยมอยากจะซื้อเป็นเล่มเก็บไว้มาก
:sad4:
-
รอรีปริ๊นนะคะ รอมากก อยากให้มีรีปริ๊นจริงๆ ค่ะ :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:
-
สวัสดีค่ะคุณเซ็งเป็ดดิฉันประทับใจงานเขียนของคุณมาก เคยเจอชื่อเรื่องนี้ผ่านตาหลายครั้ง แต่ก็ได้แต่เลื่อนไป
คิดว่าคงเป็น ณสยามที่อาจจะหมายถึงพวกตรอกซอยสยาม
จนมีเหมือนครั้งหนึ่ง มีเพื่อนคนหนึ่งมาบอกให้เราอ่านเรื่องนี้ เป็นแนวย้อนยุค
ที่ตัวเอกของเรื่องย้อนไปในสมัยสยาม เราก็เลยได้มีโอกาสอ่าน
ซึ่งก็เป็นอะไรที่ประทับใจมากเลยค่ะ อ่านไปก็คิดตามเรื่องเลยที่เกี่ยวกับโลกในปัจจุบันของเรา
ผู้คนเริ่มหลงลืมวัฒนธรรมไปจนหมด ของหวานเอย อาหารไทยเอย การยึดถือปฏิบัติเอย
รู้สึกชื่มชมและขอบคุณเป็นอย่างมาก ที่คุณได้สร้างนิยายเรื่องนี้ขึ้นมา
น้ำตาซึมเบาๆ กับตอนจบ :mew6:
ปล.เราไปบอกเพื่อนคนที่ชวนเรามาอ่าน ว่าเรื่องนี้สนุกมากอย่างที่มันบอก แต่เพื่อนเราคนนั้นมันบอกว่าไม่เคยชวนเราอ่านเรื่องนี้ เพิ่งเคยได้ยินชื่อจากเราเป็นครั้งแรก
ตกใจมากก เพราะนอกจากมันแล้วเราก็ไม่เคยคุยนิยายที่เล้านี้กับใครเลย :hao7:
ปล.2 อยากอ่านตอนพิเศษอีก จะรอค่ะ :mew1:
-
อ่านจบแล้ว สนุกมากค่ะ ชอบหมอปีย์
-
มาอ่านช้าไปมาก แต่ชอบมาก เรื่องพีเรียดแบบนี้ ยิ่งย้อนเวลายิ่งชอบ คือตามหาถึงได้มาอ่านเรื่อง แล้วก็ชอบพระเอกดีๆแบบนี้ อ่านแล้วรู้สึกว่าสองคนรักกันมากขนาดไหน เสียดายที่อดอ่านตอนพิเศษต่อ แต่ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะ
-
ขอบคุณนิยายดีๆ ย้อนยุคฉบับคนไทยจริงๆค่ะ ได้รู้ประวัติศาสตร์ไทยและความเป็นอยู่สมัยรัชกาลที่ 5 จริง
บางครั้งยังแอบเอาชื่อหรือบางช่วงบางตอนไปเสิร์ชหาในอากู๋เลย สรุปเจอจริงๆด้วย
ขอบคุณที่ทำการบ้านหนักๆเพื่อให้คนอ่านได้สนุกและมีความรู้แบบนี้นะคะ
(แอบอยากอ่านต่อจากพี่หมอขับรถชะอำจริงๆ..)
:hao7: :hao7: :hao7:
-
เรื่องนี้มีเวอร์ชั่น ebook ด้วยนะ แต่ไม่แน่ใจว่าเป็น PDF อย่างเดียวหรือเปล่า (บางคนอยากได้แบบ epub)
http://www.ookbee.com/Shop/Book/a390401e-8d93-496f-ac64-adc78a4291af/a-moment-in-siam-กาลครั้งหนึ่ง-ณ-สยาม
-
:pig4: :L2: :L1: :pig4:
-
คิดถึงเรื่องนี้จัง อยากให้ reprint จังเลยค่ะ
-
เพราะเรื่องนี้ทำวีต้องสมัครเข้ามาเม้นต์ สนุกมากค่ะ แนวย้อนยุคที่ภาษาละมุนละไมมาก ตอนแรกอ่านไปแล้วยิ้ม แต่ตอนหลังแอบร้องไห้ อินไปกับเนื้อเรื่องมากๆ
-
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนี้ ภาษาสวยงามมากค่ะ เราเพิ่งได้มาอ่านตอนปี 2017 รู้สึกเราเจอกันช้าไปนิด อยากให้นิยายมีรีปริ้นจังเลยค่ะ เชื่อว่าหลายคนที่เพิ่งได้เข้ามาอ่านคงคิดเหมือนเรา
-
:mew2: น้ำตาไหลเลย
สุดยอดดดด :mew1: :mew1:
-
นิยายเรื่องนี้ดีมากเลยค่ะ ชอบมากเลย อ่าน 2 วันรวดทีเดียว
อ่านแล้วทรมาน 5555 มีฉากของกินเต็มไปหมด หิวมาก ต้องไปหาทองหยิบ ทองหยอดมากิน :o8: อ่านฉากเม็ดต้อยติ่งแล้ว ทำให้นึกถึงสมัยตนเองตอนเด็กๆเลยค่ะ มีแต่ฉากดีๆทั้งนั้นเลย เสียดายมากมาจองไม่ทัน อยากย้อนเวลากลับไปจอง 55555555
-
สารบัญ (เราไม่มั่นใจเรื่องตอนเลยแปะแบบหน้าที่มีเฉพาะเนื้อหานิยาย เวลาคลิกไปอ่านให้เลื่อนจนกว่าจะสุดหน้านั้นนะคะ)
>1< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1110587#msg1110587)
>2< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1182822#msg1182822)
>3< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1189539#msg1189539)
>4< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1194227#msg1194227)
>5< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1197418#msg1197418)
>6< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1213011#msg1213011)
>7< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1217949#msg1217949)
>8< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1223639#msg1223639)
>9< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1231633#msg1231633)
>10< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1242653#msg1242653)
>11< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1264432#msg1264432)
>12< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1275653#msg1275653)
>13< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1276802#msg1276802)
>14< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1284293#msg1284293)
>15< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1284338#msg1284338)
>16< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1287629#msg1287629)
>17< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1297142#msg1297142)
>18< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1297281#msg1297281)
>19< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1299611#msg1299611)
>20< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1299657#msg1299657)
>21< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1319323#msg1319323)
>20< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1339827#msg1339827)
>21< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1339883#msg1339883)
>22< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1359666#msg1359666)
>23< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1362170#msg1362170)
>24< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1367226#msg1367226)
>25< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1371296#msg1371296)
>26< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1383280#msg1383280)
>27< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1390485#msg1390485)
>28< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1390497#msg1390497)
>29< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1401804#msg1401804)
>30< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1415616#msg1415616)
>31< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1419887#msg1419887)
>32< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1419941#msg1419941)
>33< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1423805#msg1423805)
>34< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1429089#msg1429089)
>35< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1436470#msg1436470)
>36< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1446362#msg1446362)
>37< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1465123#msg1465123)
>38< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1477666#msg1477666)
>39< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1481158#msg1481158)
>40< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1519658#msg1519658)
>41< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1520780#msg1520780)
>42< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1522053#msg1522053)
>43< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1588909#msg1588909)
>44< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1593317#msg1593317)
>45< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1594524#msg1594524)
>46< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1596966#msg1596966)
>47< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1601556#msg1601556)
>48< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1607039#msg1607039)
>49< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1740625#msg1740625)
>50< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1742482#msg1742482)
>51< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1745835#msg1745835)
>52< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1754347#msg1754347)
>53< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1757606#msg1757606)
>54< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1763988#msg1763988)
>55< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1765577#msg1765577)
>56< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1768257#msg1768257)
>57< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1782711#msg1782711)
>จบ< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1782902#msg1782902)
>บทเสริมภาคพี่หมอ< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1793629#msg1793629)
>บทเสริมภาคพี่หมอ-2< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1853598#msg1853598)
>บทเสริมภาคพี่หมอ-3< (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=18410.msg1853603#msg1853603)
-
:L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
-
หึหึหึ ฟิคตั้งแต่ปี 2010 แต่ได้มาอ่านในปี 2017 เราไปอยู่ไหนม๊าาาาาา #ร้องไห้
ปล ภาคต่อพี่หมอยังจะมีไหมครับ อยากอ่านมาก และถ้ารีพรินต์คงดีนะคนับ อยากสะสม
-
อยากบอกว่า รักนิยายเรื่องนี้มากกกกกกกก
ถึงตอนนี้จะปี2017 ก็ยังไม่สายที่จะเข้ามาอ่านใช่มั้ยคะ
แต่คงสายไปสำหรับหนังสือ :sad4:
เราเข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้เพราะรู้สึกว่าช่วงนี้เริ่มเบื่อนิยายแบบเดิมๆ อยากอ่านแบบย้อนยุค
เลยเข้าไปดูในพันทิป แล้วในที่สุด....เราก็หากันจนเจอ :impress2: :o8:
สำหรับเรา นิยายเรื่องนี้มีความละมุน ละไม อ่านไปยิ้มไป หัวเราะไป ร้องไห้ไป (แม่ถามว่าบ้าไปแล้วหรอลูก)
มีครบทุกรส สนุกมากจนวางไม่ลงเลยจริงๆค่ะ
ขอบคุณคุณเซ็งเป็ดมากนะคะที่แต่นิยายน้ำดีแบบนี้ขึ้นมาให้ได้อ่าน
จะขอเก็บ A moment in saim ไว้ในลิสท์นิยายในดวงใจเลยค่ะ
-
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆๆของอัชฌ์(ปอ)และพี่หมอปีร์ ภาษาสนุกเนื้อ เรื่องสนุก ชอบมากๆๆค่ะ :L1: :pig4:
-
เรื่องราวต่างๆของเรื่องนี้จริงๆเราคิดว่าถ้าเป็นเราคนก่อนหน้านี้อ่านคงกำลังซาบซึ้งร้องไห้น้ำตาไหลพรากเพราะซึมซับทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รับและมีส่วนร่วมกับอารมณ์ไปตลอดการอ่านนิยาย แต่เราในตอนนี้ไม่มีน้ำตาให้ไหลออกมากับมันไม่ใช่ว่าไม่ดีนะคะ แค่บังเอิญว่ามาตัดสินใจจะอ่านในช่วงที่ชีวิตเราต้องเจอกับการสูญเสียและเจ็บปวดมากจริงๆในปีนี้เสียอะไรไปเยอะมากร้องไห้จนไม่เหลือน้ำตาหรือมันร้องอยู่ข้างในจนไม่รู้ว่าจะเจ็บปวดเสียใจไปมากกว่านี้ได้อีกมั้ย ทำให้ตอนที่อ่านเรื่องนี้ไม่เหลือน้ำตาจะไหลเลยอะไรที่คิดว่ามีแต่ในนิยายก็ได้รู้ว่ามีจริงๆ ในตอนที่ได้อ่านก็ได้แต่คิดตามและเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พอจะคิดได้ถึงความหมายของการมีอยู่ ถ้านับกันจริงๆถึงจะเป็นแค่นิยายแต่เจ้าบ้าที่ทนผ่านช่วงเวลานั้นมาได้เป็นอะไรที่เรานับถือ ดีใจที่อยู่ๆก็ตัดสินใจอ่านมันรู้สึกเหมือนได้อะไรบางอย่างมาจากนิยายเรื่องนี้ที่บอกออกมาอย่างชัดเจนหนึ่งสองสามไม่ได้ แต่มันรู้สึกได้ ขอบคุณนะคะ
-
:heaven
2018 ยังอ่านอยู่ค๊าบบ
-
ฟิคแต่ง 2010 พึ่งได้อ่านตอน 2018 จะเหลืออะไรให้ซื้อ
-
นิยายมีรีปริ้นท์แล้ว รอบนี้จะซื้อแน่นอนค่ะ :mew1:
-
กลับมาอ่านอีกรอบ ชอบมากๆ เลยครับ
-
สุดยอดคะ เรื่องนี้
-
อ่านจบพอดีในวันวาเลนไทน์ 2018 ค่ะ
-
ขอบคุณคนแต่งจริงๆค่ะ
-
อ่านแล้วช่วงหลังนี่เอาหายใจไม่ออกเลย ซึ่งเศร้าปวดใจ ตุ๊บๆ
ลุ้นไปตลอด ยังดีที่ไม่ว่าอะไรจะเปลี่ยน แต่ใจสองคนที่ไม่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา
ดลให้สองคนได้มีความสุขกันอีกครั้ง
:monkeysad: :monkeysad: :monkeysad:
-
:-[
-
สนุกดีค่ะ
-
คือพึ่งรู้ว่ามีรีปรินท์!!! หาซื้อด่วนๆ กลัวหมดจริงๆ แอบเสียดายอยากได้ปกแบบเดิม :mc4: o13
-
จบได้สวยมากค่ะคุณเซ็งเป็ด
จริงๆแล้วเห็นชื่อเรื่องผ่านตาหลายรอบมาก
แต่ไม่คิดจะเข้ามาอ่าน
เพราะเข้าใจไปว่าอาจจะเป็นเรื่องวัยรุ่นๆ
(สยาม=สถานที่ท่องเที่ยว
-
จบได้สวยมากค่ะคุณเซ็งเป็ด
จริงๆแล้วเห็นชื่อเรื่องผ่านตาหลายรอบมาก
แต่ไม่คิดจะเข้ามาอ่าน
เพราะเข้าใจไปว่าอาจจะเป็นเรื่องวัยรุ่นๆ
(สยาม=สถานที่ท่องเที่ยว
-
แต่พอไม่มีอะไรอ่านจริงๆก็ลองเข้ามาอ่านดู
กลายเป็นติดหนึบเลยค่ะ เป็นแนวที่ชอบด้วย
ถึงจะกลัวตอนจบแต่ก็ทำใจกล้าอ่านไปเรื่อยๆ
ด้วยความเดาเนื้อเรื่องล่วงหน้าไม่ออก
สนุก ตื่นเต้น น่าติดตามทุกตอนเลยค่ะ
อ่านแล้วรู้สึกหิว ทั้งที่อยู่ในช่วงเบื่ออาหาร
-
ขอบคุณคุณเซ็งเป็ดมากเลยค่ะที่แต่งนิยายที่มีคุณค่าแบบนี้มาให้อ่านกัน
อ่อ อีกนิด เดาถูกด้วยล่ะว่าพี่หมอเป็นพระเอก 555
-
:hao5:ปี1018 เพิ่งมาเจอเรื่องนี้ แต่ค้างมากมายตอนภาคพิเศษ อยากอ่านต่อแว้วคร่า ชอบมากกกกกก
-
แวะมาเยี่ยมขมเห็นหนังสือวางขาย อย่างไรจะลองอ่านดูเห็นจากรีวิวแล้วเราน่าจะพลาดที่ไม่ได้อ่าน
-
:กอด1:
-
กลับมาอ่านอีกกี่คราว ก็ยังมีความสุข ทุกครา :pig4: :pig4: :pig4:
-
สนุกมากกกกกกก เป็นนิยายเก่าที่เราพึ่งขุดมาเจอเพราะเพื่อนบอกต่อว่าเคยอ่านมานานมากแล้ว เม้นเอาไว้ก็ไม่รู้ว่าคุณคนเขียนจะแวะเวียนมาอ่านมั้ย แต่อยากคอมเม้นเอาไว้เป็นกำลังใจ คอมเม้นไว้ให้มันขึ้นหน้าแรกของเล้าให้คนอื่นที่ไม่เคยอ่านมาอ่านอีก ฮืออออ :heaven
เป็นพีเรียดที่ดีงามมากๆๆๆๆ สมจริงสมจังไปหมด ได้ความรู้เรื่องอาหารไทยมาเยอะมาก พวกวิถีชาวบ้านแบบไทย ๆ มาอีก อ่านแล้วอินจนอยากถามว่าคุณคนเขียนทะลุเวลาได้เหมือนอัชย์หรือเปล่า เก็บดีเทลได้ครบมากในความรู้สึกของเรา อ่านแล้วอยากใส่ชุดไทย จุดเตาทำกับข้าวด้วยอินเนอร์คุณชั้น /มองลงมาจากเรือน ชอบเนื้อเรื่องชอบปมต่าง ๆ ที่คุณคนเขียนผูกเอาไว้แล้วจบได้ดีแบบที่มันเป็นได้แทบทั้งหมด ถ้าให้พูดถึงคงยาวเหมือนคุณคนเขียนกลับมาอัพเนื้อเรื่อง แต่อยากให้รู้นะคะ ว่าเราชอบเนื้อเรื่อง ชอบทุกฉาก ชอบทุกปมที่คุณคนเขียนเขียนมันออกมาจริง ๆ
รักความพัฒนาในด้านนิสัยของเจ้าอัชย์เอามาก ๆ ยอมรับว่าอ่านช่วงแรกเรารำคาญอัชย์ไม่น้อยเลย งง เป็นอะไรนักหนา อะไรจะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวมากขนาดนี้อ่ะ แต่พอเรื่องดำเนินไปเรื่อย ๆ ผู้คนและสังคมหล่อหลอมให้อัชย์กลายเป็นคนที่ดีขึ้น เนี่ยมันชัดเลยว่าเราเอาตัวเองไปอยู่ในที่แบบไหนเราก็จะกลายเป็นคนแบบนั้น อัชย์ยุคปัจจุบัน กับอัชย์ในอดีตเลยเหมือนเป็นคนละคน บางทีเราก็อยากย้อนกลับไปอยู่สังคมดีๆแบบนั้นบ้าง ฮือ หมอปีย์ก็เป็นอีกคนที่เรารักมาก หมอรักอัชย์แต่หมอไม่สปอยจนอัชย์เสียคน รักหมอ รักคุณชั้น รักหนูวาด รักแดง รักนายสน รักทุกคนในเรื่องเลย ฮือ
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ อยากตีตัวเองจังเลยไปอยู่ไหนมาทำไมพึ่งได้มาอ่าน :hao5:
-
สนุกมากค่ะ อ่านแล้วมันอุ่นๆในใจ :pig4: :pig4:
-
ขอบคุณค่ะ สำหรับความรู้ที่สอดแทรกในนิยาย เชื่อว่าผู้เขียนคงทำงานหนักกว่าจะได้งานเขียนออกมามีคุณค่าแบบนี้ หวังว่าวันนึงจะได้นิยายเล่มนี้มาเก็บไว้
ประทับใจมากๆค่ะ
-
หลังจากที่ตั้งหลักมานาน
-
ชอบมากๆเลยค่ะ พึ่งเคยอ่านแนวพีเรียด อ่านติดต่อมา3วัน จนจบ
-
ขอบคุณคุณเซ็งเป็ดมากจริงๆนะคะที่เขียนนิยายทรงคุณค่าขนาดนี้มาให้เราอ่าน เรากลับมาอ่านเรื่องนี้ทุกรอบ ก็อินทุกรอบ น้ำหูน้ำตาไหลหมดทุกรอบ ทั้งประเด็นเรื่องวัฒนธรรม พล็อต การสอดแทรกคุณค่าต่างๆ ลึกซึ้งและกินใจมากจริงๆค่ะ เราไม่เคยอินนิยายเรื่องไหนๆเท่าเรื่องนี้มาก่อนเลย ถึงขนาดตามหาซื้อนิยายจนได้ 55555555 ติดตามผลงานอยู่ อยากให้เขียนแนวนี้อีกนะคะะ T__________T
-
“อดีตมิควรหาญกล้าท้าทายอนาคต เจ้าเรียนรู้มันได้ แต่จักแตะต้องมันหาได้ไม่
หากปัจจุบันของข้า คืออดีตของเจ้า จงรู้ไว้ว่า อนาคตของข้า จักเฝ้ารอเพียงเจ้า”
สวัสดีครับคุณเซ็งเป็ด..
ผมอ่านนิยายเรื่องนี้แล้ว (ยังอ่านไม่จบ แค่เริ่มก็สนุกแล้ว)
สนใจอยากจะขอเรื่อง "A Moment in Siam กาลครั้งหนึ่ง ณ สยาม" มาสร้างเป็นละครครับ
ถ้าอย่างไรกรุณาตอบกลับด้วยครับ..
ขอบคุณครับ
-
“ขอให้คืนนี้กูได้นอนก่อนเถ๊อะ เดี๋ยวตอนเช้า ค่อยออกไปหารถกลับบ้าน ชิส์ ใครจะไปอยากอยู่กันวะ บ้านนอกชิบหาย”
เป็นนายเอกที่โง่มาก บ้านหายไปทั้งหลัง ยังไม่รู้ว่าหลงยุคอีก
-
หลังจากที่พล่ามอะไรไม่เข้าท่า
ชั่ย ถ้าตัดออกไป นิยายจะสมจริงและสนุกกว่านี้
-
หลายอารมณ์เหลือเกินเรื่องนี้ รักหมอปีย์ผู้แสนดีที่สุดแล้ว
:o8:
-
เคยอ่านเรื่องนี้เมื่อนานมาแล้ว สนุกมากๆ กลับมาอ่านกี่ครั้งก็ยังสนุกเหมือนเดิม ชอบความสุขุมของหมอปีย์ความรักที่คงทนของหมอปีย์แล้วก็ความดื้อรั้นของอัชย์ เนื้อเรื่องดำเนินดีแล้วก็ทำให้เราอ่านแล้วนึกตามถึง สมัยก่อนว่ามีความเป็นอยู่ยังไง สนุกกับการรอว่าเมื่อไหร่จะกลับมาปัจจุบัน เมื่อไหร่จะกลับไปอดีต น่าติดตามอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ขอบคุณที่สุดท้ายแล้วพาหมอปีย์กลับมาหาอัชย์อีกครั้ง :pig4: :mew1:
-
ชอบมากๆๆค่ะ รักที่สุดเรื่องนี้
Sent from my BLA-L29 using Tapatalk
-
ปอเป็นตัวเอกที่มีปมในใจเยอะมากกกกกก มากจนต้องอ่านเฉลยภาคพี่หมอ เพราะ dynamic ที่มีระหว่างพี่หมอกับปอน่าจะเป็นปมที่ทำให้มีพฤติกรรมแบบนี้กับหมอปีย์แน่เลย
ดีใจที่ได้อ่านเรื่องนี้นะคะ ขอบคุณนักเขียนค่ะ
ป.ล. แอบคิดว่าอายุอานามเราน่าจะไล่ไปกับคุณนักเขียน และหนังสือที่อ่านก็น่าจะคล้ายกันด้วย