23
ความสว่างกลางหัวใจ
ผมรู้ ผมมันแย่ แต่ผมไม่รู้อะไรเลยแม้แต่น้อย ผมเหมือนคนโง่รอคอยว่าเมื่อไหร่เวลาที่ให้ผมทบทวนเรื่องความรู้สึก เวลาที่ให้กลับไปเพื่อนกัน เวลานั้นมันต้องนานเท่าไหร่ จะกี่วัน กี่เดือน กี่ปี ผมไม่รู้เลยซักนิด ผมอาจจะทำร้ายความรู้สึกมันแต่เพราะมันไม่บอกอะไรผมเลย ทุกคนต่างมีเหตุผลเป็นของตัวเองแล้วเหตุผลต่างๆ เหล่านั้นมันกำลังทำร้ายกันและกันให้ย่ำแย่ไปหมด ผมนั่งนิ่งๆ นึกถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหยิบมือถือที่วางอยู่บนโซฟามาชาร์จแบต มีคนโทรเข้าจนแบตมันหมดไปสินะ ทันทีที่เปิดเครื่องพี่โตก็โทรเข้ามาพอดี
“พี่โต”
(ไปไหนมา)
“ขอโทษ กลางลืมโทรศัพท์ กลางอยู่กับเพื่อน”
(ที่บ้านเป็นห่วงกลางมากนะ...เมื่อคืนโทรหาไม่ติดเลย)
“ขอโทษครับ”
(แต่คนที่ห่วงกลางที่สุดกลางคงรู้ว่าเป็นใคร)
“พี่โต...” ผมเรียกชื่อพี่ชายเสียงเบาเข้าใจความหมายในประโยคนั้นของพี่โตได้ทันที “กลางไม่รู้ว่าจะทำยังไง กลางรู้ว่ามันผิด แม่เสียใจ...แต่กลาง...” ผมไม่เคยทำอะไรนอกกรอบ ตั้งแต่เกิดมา ผมไม่เคยทำให้พ่อแม่ผิดหวัง เชื่อฟังพ่อแม่เสมอ ผมเป็นลูกคนกลางที่ไม่มีอำนาจอะไรเลย ผมชอบความพอดีแต่มาวันนี้ผมเริ่มไม่มั่นใจซะแล้ว ว่าสิ่งที่ผมพร่ำบอก ผมเป็นแบบนั้นจริงๆ รึเปล่า
(กลางฟังพี่นะ ความรักมันก็คือความรัก จะเพศไหนมันก็ไม่ผิดหรอก)
“...”
(กลางอยากทำอะไรก็ทำ ออกนอกกรอบบ้างก็ได้) ผมออกมาแล้ว ผมรักมันไปแล้วแต่แม่เสียใจแล้วผมต้องทำยังไง
“...”
(กลางไม่อยากให้ใครผิดหวังในตัวกลาง...พี่รู้)
“...”
(แต่ถ้ากลางปล่อยให้ตัวเองเสียใจโดยไม่ทำอะไรเลย มันน่าผิดหวังมากกว่ารู้มั้ย)
“...”
(จำที่พ่อสอนไม่ได้หรอ...ไม่ต้องกังวลเรื่องแม่หรอก พี่จัดการเอง)
“พี่โต...เสียใจมั้ย”
(กลางเอ๊ย มึงน้องกูนะ จะเป็นแบบไหนกูรักมึงเสมอ)
ผมเกือบจะยอมแพ้แล้วล่ะ ขอบคุณครับ
วางสายกับพี่โต ผมก็เลื่อนดูแจ้งเตือนของโทรศัพท์ มิสคอลของเพื่อนและครอบครัวโทรมารวมกันเป็นร้อยสาย ที่มีเบอร์นึงที่มันโทรมากกว่าเพื่อนและครอบครัวรวมกันซะอีก ก็ไอ้คนที่มันรอผมจนถึงเช้านั่นแหละ เหลือบมองลูกกุญแจที่ผมเคยให้มันไว้ซึ่งตอนนี้ถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะ
Rrrrrr
เบส
(ไอ้เชี่ยกลางมึงเป็นบ้าไรวะ ติดต่อไม่ได้เนี่ย)
“กูดื่มหนักไปหน่อย”
(มึงเป็นเด็กไม่ดีตั้งแต่เมื่อไหร่ พวกกูเกือบจะแจ้งตำรวจแล้วเนี่ยมึงรู้มั้ย แล้วมึงกลับมากี่โมง)
“ตีห้า...”
(ชิบหาย ไอ้เชี่ยเปาไม่เป็นบ้าเลยหรอวะ แม่มึงโทรหาไอ้โจ๊กแต่มันไปดูงานแลปที่มออื่น มันเลยให้ไอ้เปาช่วยตามหามึง แล้วไอ้เชี่ยนั่นไม่ตายห่ากลางทางก็บุญแล้ว มึงนี่น้า...)
“หมายความว่าไงวะ”
(มันไปถ่ายงานที่ชลบุรีแต่ยกเลิกงานมาตามหามึงเนี่ย)
อะ...ไอ้เปา...
ไอ้เบสด่าผมรัวจนผมมึน พอวางสายจากไอ้เบสแล้วโทรกลับไปหาไอ้เปาแต่มันก็ไม่รับสายผมซะแล้ว
วันต่อมาผมตั้งใจว่าจะคุยกับมันให้ได้แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ไม่เจอมันอยู่ดี ผมไปหามันที่คอนโดพี่เปลบอกว่ามันทำงานที่ต่างจังหวัดอีกหนึ่งวัน อีกอย่างเทอมนี้ผมลงเรียนวิชาวัฒนธรรมเกี่ยวกับศิลปะคนเดียว เวลาว่างทั้งหมดต้องทุ่มให้กับเปเปอร์เดี่ยวที่หาข้อมูลจนหัวแทบระเบิด เสนอหัวข้ออาจารย์ก็ไม่ให้ผ่านผมต้องค้นแล้วค้นอีกเพราะวิชานี้ไม่มีสอบ กว่าจะได้เนี่ยผมแทบคลาน เด็กศิลปะอย่างเพื่อนๆ ผมไม่มีใครลงหรอกครับ แต่ผมชอบนะ ตอนนี้เริ่มไม่ชอบแล้วผมไม่มีเวลาไปไหนเลย พี่เปลพึ่งส่งข้อความมาบอกว่าไอ้เปากำลังจะกลับแต่เพราะผมมีนัดไอ้บ้าเจที่ตะโกนเรียกผมจากที่นั่งหน้าห้องทันทีที่หมดคลาส ไม่ทันกระดิกตัวไปไหน
“เดี๋ยวนี้มึงสนิทกับไอ้เจหรอวะ” ไอ้เบสถามขึ้น
“มันเรียนคัลเจอร์กับกู” อ้อ ลืมบอกไปยกเว้นไอ้เจไว้คนนึงครับ มันลงทะเบียนวิชานี้มาวินาทีสุดท้ายก่อนหมดวันเพิ่มถอน
“เออ..ปล่อยไอ้พวกเนิร์ดไปเหอะ ฟังแล้วกูอยากจะหลับ” ไอ้กล้วยบ่น
“เอองั้นเดี๋ยวกูไปก่อนนะเว้ย อาจารย์จะให้ส่งดราฟท์แรกวันพฤหัสนี้”
“ไอ้กลาง...” ก่อนที่ผมจะเดินออกจากห้องเพื่อนอีกสามคนก็เรียกผมไว้ ขนาดไอ้กล้วยที่เฮฮาเป็นบ้าบอยังส่งสายตากังวลมาที่ผม เรื่องเมื่อคืนผมโดนพวกมันด่าอีกรอบตอนเข้าเรียน
“ว่าไงวะ”
“พวกกูเป็นห่วงมึงกับไอ้เปานะเว้ย” ไอ้เบสพูดขึ้น
“...ขอบใจพวกมึงมาก”
“ตอนที่ติดต่อมึงไม่ได้ มันเหมือนจะตายเลยว่ะ มึงสองคนเป็นเพื่อนพวกกูนะ...เข้าใจมั้ย” มันเดินมากอดไหล่ผม คำหนักแน่นและความกังวลของเพื่อนส่งมายังผมอย่างหนักแน่น ไม่ว่ายังไง พวกเราก็ยังเป็นเพื่อนกัน เพื่อนกลุ่มแรกในชีวิตของผม
“ช่วงนี้ไอ้เปาแม่งดูเงียบๆ ผอมลงด้วย มึงเองก็เหมือนกัน” ไอ้ทัพหยิบกระเป๋าแล้วพูดเสริม
“ถ้ามึงเจอมัน มึงก็ลากมันไปกินข้าวด้วยนะ” ผมเป็นห่วงมันแต่ในเมื่อไม่ได้เข้าใกล้มันในตอนนี้ เพื่อนอีกสามคนก็เป็นความหวังของผม
ไอ้กล้วยส่ายหน้าช้าๆ “มึงก็ไปเองดิวะ จะได้คุยกัน”
“มันคงไม่ยอมไปกับกูหรอก”
“นะ...ถือว่ากูขอร้อง”
“ไอ้กลาง มาเร็วไอ้สัด” ไอ้เจตะโกนเรียกอีกครั้ง มันถือหนังสือกวักผมอยู่หน้าประตูผมเลยพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ก่อนจะหันไปย้ำเพื่อนอีกครั้ง
“เออกูไปละนะ อย่าลืมล่ะ”
ผมยืมหนังสือที่ใช้เขียนรายงานทั้งหมดมากกว่าสิบเล่ม ต้องทำเรื่องขอยืมเกินกว่าจะแบกกลับหอมาได้เหนื่อยชิบ หอสมุดผมไม่ได้เปิดตลอด 24 ชั่วโมงครับ เลยต้องเอากลับมาทำที่ห้อง ไอ้เจมันไปช่วยผมหาหนังสือครับเพราะเราทำเรื่องคล้ายๆ กัน มันหาเจอเรื่องผมก็มาแบ่งให้ผม ถ้าผมเจอเรื่องของมันก็เอาให้มัน ตอนนี้เราแยกกันได้ตั้งแต่สี่ทุ่มแล้วครับแต่ไอ้เจมันไปหาเพื่อนต่อผมเลยต้องเดินกลับหอคนเดียว
ได้ยินเสียงคนเดินอยู่ข้างหลัง...
ผมรู้สึกแปลกๆ เรื่องที่ไอ้เจเคยบอกผมว่าเหมือนมีคนตามกลับมาในสมองผมอีกครั้ง นี่มันสี่ทุ่มกว่านะเว้ย มันก็เงียบๆ ถึงจะมีนักศึกษาบ้างแต่ระหว่างทางจากมอไปหอผมนี่ก็น่ากลัวเหมือนกันนะครับ ผมเหลือบมองแต่ก็ไม่เห็นอะไรรีบเดินดีกว่าเรา หนังสือที่ผมถือสองข้างนี่หนักใช้ได้ครับ เดินมาไม่นานผมรู้สึกว่าความรู้สึกว่ามีคนเดินตามมันจะหายไปแล้ว
ปริ้น ปริ้น
เชี่ย...แทบสะดุ้ง ไหงไม่ได้ยินเสียงรถเลยวะ พอหันไปมองรถที่มาจอดเทียบใจผมก็เต้นแรงขึ้นมา รถไอ้เปานี่นา มันมาทำอะไรดึกป่านนี้ ผมคลี่ยิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นว่ากระจกด้านข้างคนขับลดลง
“น้องคนกลาง? มาทำอะไรดึกๆ แบบนี้คะ”
แต่คนที่เอ่ยทักกลับไม่ใช่เจ้าของรถ ผมคลายยิ้มลงช้าๆ สายตาก็จ้องมองไปที่คนขับมันมองผมอยู่เหมือนกัน ที่กำลังเอ่ยทักผมนั้นคือผู้หญิงในรูปนั่น
“น้องกลาง?” เธอเรียกอีกครั้ง
“อ่า...มาห้องสมุดน่ะครับ” ผมละสายตาจากไอ้เปาแล้วตอบกลับ ถึงจะไม่รู้จักก็เถอะ
“ขึ้นรถ” ไอ้เปาพูดเสียงนิ่งๆ
“มาค่ะ ขึ้นรถเร็ว” เธอพูดเชื้อเชิญเหมือนเป็นเจ้าของรถซะเอง ที่ตรงนั้นมันเคยเป็นของผมมาก่อนนะ ผมกัดริมฝีปากล่างแล้วตัดสินใจ
“ไม่เป็นไรครับ อีกไม่ไกล” ผมปฏิเสธแล้วรีบเดินทันที “ขอตัวก่อนนะครับ”
ปัง!
“กลาง!”
ผมรีบจ้ำเท้าเดิน แต่ไอ้คนที่เดินตามมามันกลับคว้าแขนผมไว้อย่างแรงจนถุงหนังสือตกพื้น ตอนนี้ระหว่างเราเกิดบ้าอะไรกันก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่อยากเจอมันมากแท้ๆ แต่พอเห็นมันกับคนอื่นแล้วผมขอหลบก่อนแล้วกัน
“จะถึงแล้วกูไปเองได้”
ไม่รู้ว่าผมมีสีหน้าแบบไหน ไอ้เปามันถึงเบือนหน้าหนีก่อนจะก้มลงเก็บถุงหนังสือแล้วดึงอีกถุงในมือไปถือให้
“กูจะไปส่ง”
ผมไม่ได้ตอบอะไรออกไปหันไปอีกที ไอ้คนเผด็จการมันก็เปิดประตูหลังแล้ววางหนังสือผมไว้บนเบาะเป็นตัวประกัน ผมถอนหายใจก่อนจะเดินไปที่รถมัน ไม่อยากจะขึ้นไปเลยให้ตาย ไอ้เปามันก็ยังไม่เปิดประตูครับ มองผมอยู่อย่างนั้นเหมือนจะให้แน่ใจว่าผมจะไม่ไปไหนจริงๆ
“พี่เอิร์นเป็นพี่สาวกู” ไอ้เปาก็พูดขึ้นมาเบาๆก่อนจะก้าวเท้าขึ้นรถ
“มึงกำลังบอกกูในฐานะอะไร” คำถามที่ผมถามกลับไปนั้นเบาแทบจะเป็นเสียงกระซิบ
ระหว่างทางจากมอถึงหอผมนั้นไม่ไกลมากนัก ปกติข้ามถนนแล้วเดินเข้าไปในซอยก็ถึงแล้ว แต่เพราะเรานั่งรถเลยได้ยืดเวลาอยู่กับมันอีกหน่อย ไอ้เปาต้องไปกลับรถที่สี่แยกไฟแดงข้างหน้านู่นก่อนจะเข้าหอผม พี่เอิร์นเป็นคนอารมณ์ดี บรรยากาศระหว่างผมกับไอ้เปาเลยไม่ค่อยอึดอัดเท่าไหร่นักล่ะมั้ง ใจจริงผมอยากจะเปิดอกคุยกับมันไปเลย แต่เพราะพี่เอิร์นอยู่แล้วมันต้องไปส่งพี่เค้าต่อ วันนี้ก็คงไม่ได้คุยเหมือนเดิม
“ว่าแต่น้องกลางเนี่ยน่ารักกว่าที่เปลโม้ไว้ซะอีกน้า”
“เปล? พี่เปลหรอครับ”
“ใช่จ้ะ มันคุยกับพี่นะแต่พูดถึงแต่กลาง จนพี่แอบหึงแล้วเนี่ย” พี่เปลหันหน้ามาคุยกับผม พอเห็นไอ้กลางทำหน้างงๆ “อุ๊ย พี่ลืมแนะนำตัว นี่พี่เอิร์นนะเป็นแฟนเปลมันน่ะ อย่าเข้าใจผิดล่ะ พี่กับเปลช่วยกันเลี้ยงไอ้เด็กไม่เอาไหนนี่มาตั้งแต่เริ่มเป็นหนุ่ม แล้วเปายังไงเนี่ย ให้น้องกลางมาเดินคนเดียวได้ ฉันจะฟ้องพี่แก”
“...” ไอ้เปาไม่ได้ตอบอะไรกลับแต่สบตากับผมผ่านกระจกหลัง นี่มันกำลังยืนยันกับผมงั้นหรอ
“เอ่อ...ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“จ้ะ...แกนะเปา แทนที่จะไปส่งฉันก่อนเปลมันด่าชั้นใหญ่แล้วเนี่ย ให้มานั่งรอในมอแล้วเดินหายไปไหนตั้งนาน เงินที่ถ่ายงานวันนี้ไม่ต้องเอาฉันจะเก็บเอง เมื่อวานก็โดดกองทีนึงละไปไหนก็ไม่บอก พี่เจี๊ยบด่าฉันซะเละเลย”
“พูดมากน่าพี่เอิร์น” ไอ้เปาทำหน้าหงุดหงิด ส่วนผมก็ทำหน้าเป็นหมางงมองคนสองคนเถียงกันไปมา คนที่ผมให้ในภาพนั่นคือพี่เอิร์นคนนี้น่ะหรอ
“ตรงนั้นใช่มั้ยคะ หอน้องกลาง” พี่เอิร์นหันมายิ้มตอนที่ไอ้เปาตบไฟเลี้ยวเข้าซอยหอของผม
“อ่า ใช่ครับพี่”
เวลานั่นหมดลงแล้ว ผมลาพี่เอิร์นและบอกขอบคุณไอ้เปาเบาๆ พอรถจอดที่มุมตึก ผมก็ค้อมหัวขอบคุณแล้วเดินออกมาจากรถทันที
“กลาง!” ผมหันไปตามเสียงเรียกก่อนที่จะเดินเข้าประตูหอ ไอ้เปาวิ่งตามมาในมือสองข้างของมันถือถุงหนังสือของผมอยู่ ผมตั้งใจลืมมันเอาไว้ ถ้าผมไม่ลืมมันไว้ เราอาจจะไม่ได้คุยกันเลยก็ได้ ผมเดินกลับมาหามัน
“หนังสือ”
“อ๋อ...ขอบใจมาก”
หลังจากยื่นมือไปรับก็เกิดเดธแอร์โคตรๆ ไอ้เปามองหน้าผมนิ่ง สายตาของมันมองตรงมาที่ผม มันคล้ายจะพูดอะไรแต่ก็อึกอักอยู่แบบนั้น ระหว่างเรามันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง ไอ้บรรยากาศแบบนี้ ผมวางหนังสือที่หนักไว้กับพื้น พอวางลงแล้วมันก็ไม่หนักแล้ว...มันไม่หนักเลย...ถ้าเราวางมันลง
“ไอ้เปา” ก่อนที่อะไรมันจะสายไป... “เรื่องเมื่อวานที่กูตะโกนใส่มึง กูขอโทษนะ...กูรู้ว่ามึงเป็นห่วงแต่ก็ยังพูดจาไม่ดีอีก”
“....”
“กูไม่รู้ว่าแม่พูดอะไรกับมึง ไม่รู้ว่ามึงต้องเจออะไรบ้าง แต่ถ้าเรายังไม่ได้เลิกกันมึงแชร์ให้กูได้มั้ย” ไอ้เปามองผมด้วยสายตาที่มีหลากหลายความรู้สึกอยู่ในนั้น แววตาที่ล้อกับแสงไฟของมันยังน่ามองเหมือนเดิม มันกัดริมฝีปากแน่นพอเห็นสีหน้าของผมเหมือนกำลังข่มความรู้สึกบางอย่าง
“กลาง...กูน่ะเป็นแฟนที่แย่ใช่มั้ย ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่อง ดูแลมึงก็ไม่ดี ดูสิ ตอนนี้มึงต้องมาเสียใจเพราะกูอีก” มันยกมือวางบนหัวผม สัมผัสที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและขอโทษ มันหลุบตาต่ำก่อนจะพูดเสียงเบา
“วันนั้นที่กูคุยกับคุณน้ากูรู้ทันทีว่าคงต้องเสียมึงไป ทางเดียวที่กูยังเห็นมึงได้คือกลับไปเป็นเพื่อนมึง ทางเลือกกูมีแค่นั้นจริงๆ ถึงจะทรมานแต่ก็ยังพอไหวล่ะมั้ง”
“...” มันฝืนยิ้ม ถึงตรงนี้ไม่เห็นมึงจะไหวตรงไหนเลย
“แต่มึงก็รู้ว่ากลับไปเป็นเพื่อนมึงมันไม่ได้ทำได้ง่ายๆ กูพยายามแล้วแต่แม่งยากจัง ขอโทษนะที่ไม่ได้บอกอะไรมึงเลย ขอโทษที่ทำให้เสียใจ มึงมีครอบครัวที่ดี คุณน้าเค้ารักมึงมาก และครอบครัวมึงก็คือทุกอย่างของมึงเหมือนกัน ขอโทษนะที่กูเห็นแก่ตัวตัดสินใจแทนมึงแบบนั้น”
“...” ทำไมต้องคิดแทนผมขนาดนั้น...เคยคิดถึงความรู้สึกตัวเองบ้างมั้ยวะ
“ถ้าวันนึงคุณน้าเข้าใจ กูก็จะยืนยันคำเดิม กูไม่เคยเปลี่ยนใจ ความรู้สึกของกูที่มีต่อมึงมันเหมือนเดิมตั้งแต่ 6 ปีที่แล้ว ชีวิตกูเหลือแค่มึงกับพี่เปลเท่านั้น”
ความรักของมึงคือการเสียสละสินะ... ไอ้เปาดูภายนอกอาจจะเข้มแข็งแต่เพราะเป็นผม จึงรู้ดีกว่าใครว่าไม่ใช่เลย ถึงมันจะเปลี่ยนไปจากเดิมแค่ไหนแต่ความกลัวที่ถูกมันกดไว้ลึกๆ ก็ยังอยู่กับมันเสมอ
“กูต้องไปแล้วล่ะ” มันยิ้มขำก่อนจะชูโทรศัพท์มือถือที่โชว์สายโทรเข้าจากพี่เอิร์น “มึงดูแลตัวเองด้วยนะ” พูดจบมันก็รีบหันหลังเดินไปทันทีไม่รอให้ผมตอบอะไร หมายความว่ายังไง
ผมเช็ดน้ำตาจากหางตาที่ไหลมาตอนไหนก็ไม่รู้ก่อนจะรีบตะโกนตามหลังเหมือนพึ่งได้สติ อีกไม่กี่ก้าวจะถึงรถของมันแล้ว คนกลางอย่างผมกำลังจะฉีกทุกกฎ
“ไอ้นกกระปูดแดง! กูน่ะ...ไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับมึงอีกแล้วโว้ย!!”
มันชะงักและหันกลับมาอีกครั้ง ผมจึงรีบพูดต่อ
“ครอบครัวสำคัญกับกูก็จริง แต่มึงก็สำคัญกับกูเหมือนกัน เราผ่านมันไปด้วยกันไม่ได้หรอ!”
“...”
“มึงบอกเองนี่ว่าเป็นเพื่อนกันมันยากถ้างั้นก็ไม่ต้องเป็นสิ!”
“...”
“...เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้มั้ย!!?...”
วินาทีแรกมันยืนอึ้ง วินาทีต่อมามันยิ้มมุมปากก่อนจะใช้มือปิดตาตัวเองไว้ ผมรีบวิ่งไปหามันทันที
“กลับมาเป็นเหมือนเดิมเถอะ มึงไม่ต้องฝืนหรอก เราจะผ่านมันไปได้ หลังจากฟังกูพูดคำนี้แล้วมึงค่อยตอบกูนะ...”
ผมเอื้อมมือไปจับมือที่มันปิดตาไว้ สัมผัสเปียกชื้นตรงข้ามแก้มมันโดนมือผม ผมยืดตัวไปกระซิบข้างหูมัน พูดให้มันฟังช้าๆ ชัดๆ และนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมพูดคำนี้กับมัน
“กู รัก มึง”จริงๆ นะเว้ย
ก๊อกๆ
“ไอ้กลาง กูเอง”
“แปบนึงง”
แกรก!
“มาทำไมแต่เช้าวะไอ้โจ๊ก” ผมเปิดประตูให้มันแล้วเดินง่วงๆ มานอนต่อที่โซฟา กระดาษและหนังสือกระจายตัวยึดพื้นที่ห้องผมไปหมดแล้ว
ผลัวะ!
“เช้าพ่อมึงสิ นี่จะเที่ยงแล้ว”
ผมมองค้อนมันไปที จะรู้ได้ไงวะ คนพึ่งตื่น ตบมาได้ “มึงรู้ได้ไงว่ากูอยู่ห้อง”
ไอ้โจ๊กใส่เสื้อกล้ามกับบ๊อกเซอร์เน่าๆ มานั่งทับขาผมที่นอนเหยียดอยู่บนโซฟา ลำบากผมต้องลุกขึ้นนั่งอีก แม่ง มันใช้นิ้วเคาะหน้าผากผมพร้อมกับยื่นถุงข้าวมาให้
“ก็ข้าวมึงห้อยอยู่เนี่ย ไม่ออกมาเอาตั้งแต่เช้ากูก็รู้ดิ”
“แสนล้านรู้จริงจริ๊งงง”
“ไม่ต้องมาด่ากู มึงอะ...ไอ้กลาง สีหน้าดีกว่าวันก่อนๆ แล้วนี่หว่า สายของกูรายงานมาว่า มึงไปทำอะไรไว้เมื่อคืน”
“ทำไรวะ” มึงจะยิ้มกรุ้มกริ้มทำไมวะ หน้าตาดูไม่ได้ไอ้ลิงเอ๊ย
“ทำมาไข่สื่อ เอ๊ย ไขสือ”
“ยุ่ง...” ผมไม่ตอบก่อนจะเลี่ยงคำถามมัน “แล้วก็ไม่ต้องซื้อข้าวมาให้กูแล้วนะ ถ้าหิวจะไปหาอะไรกินเอง”
“ข้าวอะไร” มันทำหน้างง
“นี่ไง” ผมชี้ไปที่ถุงโจ๊ก อะไรของมันก็ถือมาเองแท้ๆ
“ไอ้จ๊าดง่าว กูไม่ใช่คนประเสริฐขนาดนั้น ข้าวกูยังขี้เกียจแดกแล้วกูจะไปซื้อให้มึงทำเหี้ยไร” ไอ้เชี่ยโจ๊ก แม่กูบอกให้ดูแลกูมึงยังรับปากเลย
“อ้าวแล้วนี่อะของใคร” แล้วที่มาห้อยหน้าห้องผมทุกวันคือของใครครับ วันไหนที่ผมเรียนเช้าก็จะเป็นน้ำเต้าหู้ปลาท่องโก๋ วันไหนที่ผมไม่มีเรียนก็จะเป็นข้าวเลยทีเดียว
“มีสมองคิดเอาเองครับไอ้โง่! คนที่มึงไปตะโกนใส่เค้าเมื่อคืนน่ะใครครับ เวลามันไม่ว่างก็เสือกมาลำบากกู เป็นกูนะจะปล่อยให้ไอ้กลางแห้งตายแม่งเลย”
ตะโกน เมื่อคืน อะ...ไอ้เปาหรอ.... ประโยคที่สองของไอ้โจ๊กยังวนเวียนซ้ำอยู่ในหัว
นี่มันซื้อข้าวมาให้ทุกวันเลยหรอวะเนี่ย หึหึ ไอ้เปา...เพื่อนกันไม่ได้ดูแลกันขนาดนี้หรอกนะเว้ย รีบๆ ตอบได้แล้ว
“แหน่ะ ยิ้มเลย”
“อะไรของมึง”
“อย่ามาทำซึน แต่ยิ้มแค่ก็ดีแล้ว” มันยื่นมือมาผลักหัวผมอีกทีแล้วเอ่ยถามขณะที่มองหนังสือที่เกลื่อนพื้น “แล้วมึงทำไรอยู่ตื่นสาย”
“ทำเปเปอร์อะดิ เริ่มคิดผิดที่ลงละ”
“สมน้ำหน้า งานคณะมึงก็โหดอยู่แล้วยังเสือกหางานเพิ่ม”
“ก็แม่ง...คนมันเศร้านี่หว่า”
“ไอ้โง่เอ๊ย”
“วันนี้หลายรอบแล้วนะ โง่เนี่ย”
“ก็มึงมันโง่จริงๆ อะ ความรักมักทำให้คนโง่ เพราะว่ารัก คนเราถึงคิดอะไรโง่ๆ ทำอะไรโง่ๆ ที่ไม่ใช่ตัวเองไปชั่วขณะหนึ่ง”
ไอ้โจ๊กไปแล้วครับ ผมเดินไปล้างหน้าออกมากินข้าวที่มีคนเอามาห้อยไว้ เมื่อคืนหลังจากที่ผมบอกรักมันไป อ่า...ให้ตายเถอะครับ อายชะมัด...มันดูอึ้งไปนิดหน่อยแต่เหมือนจะกลั้นยิ้มไว้ยังไงก็ไม่รู้ ผมอยากจะกอดมันแต่พี่เอิร์นเปิดประตูออกมาก่อน ผมกับไอ้เปาถึงหลุดขำ นี่พี่เอิร์นคงรอนานแล้วสินะ
ก็นั่นแหละครับ ไอ้เปามันก็ขับรถออกไปและมันยังไม่ได้ตอบคำถามของผมแต่รอยยิ้มที่ติดมุมปากของมันก่อนจะไปทำให้ผมใจชื้น ไอ้เปาคนบ้ากำลังจะกลับมาแล้วใช่มั้ย ผมตักโจ๊กที่อุ่นเรียบร้อยมานั่งกิน จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปโจ๊กแล้วส่งไปให้ไอ้คนที่แอบซื้อมาให้
“โอ้โห อร่อยเว่อร์ คนซื้อให้ใจดีจัง”
ผมออกเสียงขณะที่พิมพ์ไลน์ไปหาไอ้เปา วางโทรศัพท์ไว้ข้างๆ ก่อนจะเริ่มต้นกินอีกครั้ง ตักกินไปพักหนึ่งเสียงแจ้งเตือนก็ดังขึ้น
ติ๊ง
Paramatkrikriรีบๆ กินซะ
พูดมาก
ข้าวตั้งแต่เช้าแล้วพึ่งจะแดก
ยอมรับแล้วหรอว่าเป็นคนซื้อมา
หึ....ไอ้เด็กน้อยเอ๊ย เป็นห่วงก็บอกมาตรงๆ
ผมกดส่งสติ๊กเกอร์หมีกินอาหารไปให้มัน
Khonklang
เป็นใครหรอมาสั่งอะ
Paramatkrikriหึ หลอกกูตอบมึงหรอ
มันรู้ทันครับ ผมกวนตีนมันหน่อยๆ แล้วมันก็ขอตัวไปทำงาน ช่วงนี้ได้ข่าวว่ารับเยอะ หาเงินไปทำไรเยอะแยะวะ ผมกินข้าวมื้อเที่ยงนี้อย่างมีความสุข ไอ้เปามันคุยกับผมเหมือนเดิมแล้ว ดีใจโคตรๆ มีแรงทำงานแล้ว คิดแล้วก็รีบตอบนะเว้ย ผมพูดในใจพลางมองรูปที่มันวาดให้อีกครั้ง
ติ๊ง
JJ greenไอ้เชี่ยกลาง รีบปั่นนะมึงอีกวันเดียว
ไอ้ตัวตัดบรรยากาศเจเอ๊ย หลังจากกินโจ๊กเพิ่มพลังใจแล้วผมเริ่มปั่นงานอีกครั้ง เตรียมข้อมูลพร้อมจะพิมพ์แต่พอพิมพ์ไปจริงๆ กลับคิดว่ามันไม่ถูก วนไปวนมาอยู่อย่างนั้น จะทำยังไงดีวะเนี่ย ผมคุยงานกับไอ้เจยาวเหยียด ปรึกษาแค่มันเท่านั้นแหละครับ ไอ้เจบอกว่าให้ค่อยๆ คิดถ้าไม่ไหวให้ทำตามที่เข้าใจ แล้วค่อยปรึกษาอาจารย์ตอนส่งดราฟท์แรก เผื่อจะลืมไปครับอาจารย์ผมปีหนึ่งเองง
ทำงานข้ามวันใหม่ ง่วงก็นอนที่พื้นสะดุ้งตื่นก็มาพิมพ์ต่อ ตอนฝันยังฝันว่านั่งทำงานเลยครับ ผมไม่ได้ติดต่อใครเพราะตอนนี้กำลังเร่งมือ นอนรวมสองวันยังไม่ถึงห้าชั่วโมง ผมไม่ได้ออกไปไหน ข้าวก็ไม่ได้กิน ในตู้เย็นผมยังพอมีขนมปังเหลืออยู่สองสามแผ่น ยัดๆ ให้มันไปต้านกับน้ำย่อยเท่านั้นแหละครับ
หายนะเริ่มมาเยือน...ขณะนี้ห้าโมงของวันพุธแล้ว หัวผมตื้อไม่ไหวแล้วเลยไปล้างหน้าแปรงฟันให้มันตื่น ส่องกระจกแทบสะดุ้งครับ แม่ก็ไม่ได้โทรมาตั้งแต่วันก่อน ผมขอเวลาทำงาน ตั้งแต่วันที่ติดต่อผมไม่ได้ แม่เหมือนจะกลับมาเป็นปกติ บอกแค่ว่าให้ดูแลตัวเองแล้วก็วางสายไป อ๊ะ...ไอ้เปาล่ะ โทรศัพท์ผมอยู่ไหนวะ ผมเดินถือแปรงสีฟันออกมาที่หน้าโซฟา เดินฝ่ากองกระดาษและโน้ตบุ้คที่ใช้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง โทรศัพท์ผมอยู่ใต้หนังสือเล่มหนึ่ง
ไอ้เปาโทรมาหนึ่งสายถ้วน เมื่อสิบโมงเช้า ผมเลยรีบโทรกลับไปทันที มันรับสายผมด้วยประโยคนี้
(กูทำงานอยู่คุยนานไม่ได้)
“มึงโทรมาเพราะจะตอบกูแล้วหรอ” ไอ้เปามันคิดอะไรเยอะขนาดนี้ หรือมันเริ่มเอาความคิดมากจากผมไป
(เปล่ากูจะบอกว่าวันนี้กูซื้อข้าวให้มึงเป็นวันสุดท้าย)
“ทำไมล่ะ” ผมตอบคล้ายละเมอ มันจะเลิกแล้วหรอ...
(พรุ่งนี้กูจะพามึงไปกินข้าวเอง) ใจผมเต้นตึกตัก แปรงสีฟันแทบร่วงลงจากมือ
“จริงหรอ จริงๆ นะ”
(อืม แล้วข้าววันนี้อร่อยมั้ย)
“เอ่อ...” ข้าว? ตายล่ะ ผมยังไม่ได้เดินออกไปจากห้องเลยทั้งวัน
(อย่าบอกนะว่ามึงไม่ได้กิน)
“เปล่าๆ อร่อยๆ ต้มยำโคตรอร่อยเลย”
(กูไม่ได้ซื้อต้มยำ กลาง) มันกดเสียงต่ำ ผมไม่ทันได้ตอบอะไรก็มีเสียงเรียกมันดังขึ้นไกลๆ (กูต้องไปแล้ว กินข้าวซะ ติ๊ด..)
รู้สึกเหมือนจะโดนโกรธแฮะแต่ทำไมผมยิ้มล่ะ แปลกจัง
ผมเดินยิ้มเป็นคนบ้าออกไปหน้าประตูก็เห็นข้าวเช้าห้อยอยู่ แกงเขียวหวานกับข้าวสวย แต่มันคงกินไม่ได้แล้วล่ะ ผมเดินไปที่ตู้เย็นมองตู้เย็นที่มีแต่น้ำเปล่าแล้วก็ถอนหายใจ ผมไม่อยากเสียเวลาลงไปพรุ่งนี้ต้องส่งแปดโมงเช้า เอาวะแค่น้ำเปล่าก็ได้
ผมเริ่มต้นทำงานอีกครั้งด้วยสติไม่ค่อยเต็มร้อย ด้วยความที่นอนน้อยมากๆ อาการมึนหัวเริ่มโจมตีผมอีกครั้ง ผมทำงานต่อเนื่องมาจนถึงตีห้ามันยังไม่ดีที่สุดแต่สมองผมล้ามากแล้ว ผมตัดสินใจหลับตาพัก
เฮือก!
ผมสะดุ้งตื่นยกหัวขึ้นจากหมอนบนพื้นหน้าโซฟาอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องล้มตัวลงไปอีกครั้ง เชี่ย....ห้องหมุน ตอนนี้ผมรู้สึกตัวหมุนเป็นวงกลม มองไปทางไหนก็หมุน หลับตายังหมุนเลย กลืนน้ำลายเค็มๆ ลงคอตอนที่นอนนิ่งอยู่แบบนั้น ผมควานหาโทรศัพท์รอบตัว
“7 โมง”
ไม่ได้ ผมต้องลุกขึ้น วันนี้ผมจะได้กินข้าวกับไอ้เปานะ แล้วดราฟท์นี้ต้องส่งเป็นเล่ม อาจารย์คนนี้ต้องตรวจจากงานที่ปริ้นเสร็จแล้วเท่านั้นผมถึงต้องไปส่งด้วยตัวเอง แม่งเอ๊ย หมุนก็หมุนดิวะ ผมเดินคลำทางไปที่ห้องน้ำ ลืมตามากก็หมุน ผมกัดฟันรีบอาบน้ำอย่างเร็วที่สุด คิดว่าจะทำให้ดีขึ้นแต่แม่งยิ่งแย่ลงกว่าเดิม ผมรู้สึกว่าสีหน้าผมตอนนี้แทบไม่มีสีเลือด ได้แต่ด่าตัวเองว่ามึงไม่ควรอาบน้ำนะไอ้กลาง
ทุกอย่างดูช้าไปหมด นาฬิกาโทรศัพท์บอกว่าตอนนี้เจ็ดโมงครึ่งแล้ว ผมแทบคลานออกมาจากหอ ตอนนี้มันไม่หมุนมากเท่าไหร่แต่หัวผมหนักอึ้งเหมือนมีหินมาทับกันไว้ มองหาวินมอเตอร์ไซค์ก็ไม่มีซักคัน ผมตัดสินใจจะเดินข้ามถนนไปมอเอง ถ้าไม่ไปตอนนี้มันจะไม่ทัน
“กลาง!!!”
ขณะที่ผมยืนรอข้ามถนนอยู่นั้นก็มีเสียงเรียกฝั่งตรงข้าม มีคนสองคนกำลังยืนโบกมือให้ผมอยู่
“พ่อ แม่” มาได้ยังไงแล้วไม่โทรบอกผมเลย ผมยิ้มแล้วยกมือหนักๆ ชี้ไปที่ฝั่งนู่นบอกว่าผมกำลังจะข้ามไป มองรถฝั่งนี้ที่เริ่มมีช่องว่างให้ผมข้ามพร้อมกับสติของผมที่เริ่มติดๆ ดับๆ อาการมึนหัวทำให้ผมเริ่มพยุงตัวเองไม่อยู่ ผมจิกเท้าตัวเองจนขามันเริ่มสั่น
ทันใดนั้นคนที่ยืนข้างๆ ผมก็ออกเดินไปรอที่เกาะกลางถนนทีละคนสองคน ลำคอผมแห้งผาก ผมกระชับสายกระเป๋าสะพายไว้แน่นก่อนจะเริ่มก้าวไปที่ทางม้าลาย เพราะผมฝืนมากเกินไป ไหล่ของผมเหมือนโดนกดไว้ ขาแทบจะก้าวไม่ออก สมองไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว ขาของผมทรุดลงข้างหนึ่ง แต่ก่อนที่ร่างกายจะล้มลง
“กลาง!!!”
เสียงทุ้มที่บอกว่าจะมารับผมกินข้าวก็ตะโกนลั่น ใช่สิ วันนี้ผมจะไปกินข้าวเช้ากับมัน เสียงมันดังขึ้นพร้อมๆ กับเสียงร้องแทบขาดใจของแม่ที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามและเสียงแตรรถดังสนั่น ผมสัมผัสความตื่นกลัวเป็นครั้งแรกในชีวิตที่แทรกเข้ามาในสติที่แทบไม่เหลือเลย
ปริ้นนนนนนนนนนนนนนนนนนน!!!
.
.
[ต่อด้านล่างค่ะ]