CH1 ห้องน้ำ
ช่วงเปิดเทอมแรก เป็นที่รู้กันว่าบรรดาใต้ตึกเรียนรวมและตึกของคณะต่างๆ ต่างถูกจับจองเพื่อการซักซ้อมเชียร์ในกิจกรรมต่างๆที่จะมาถึง
อย่างคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือที่เรียกสั้นๆว่าไอทีนั้นก็ได้ยึดใต้ตึกเรียนรวมที่1เป็นที่เรียบร้อย จุดประสงค์หลักเพื่อการฝึกซ้อมเชียร์ไปแข่งในงานกีฬารวมเด็กเทคโนโลยีที่จะถึงในไม่ช้านี้
สภาพของตึกในตอนนี้คือใต้ตึกซึ่งเป็นลานกว้างคึกคักไปด้วยเสียงเชียร์ลีดเดอร์ที่กำลังซ้อมเต้นอย่างแข็งขัน และคนอื่นๆที่นั่งจับกลุ่มคุยสัพเพเหระกันขณะนั่งทำพู่เชียร์และอุปกรณ์ประดับแสตน ส่วนชั้นอื่นๆซึ่งปกติจะเป็นห้องเรียนนั้นแทบจะมืดสนิท มีเพียงแค่ไฟทางเดินไม่กี่ดวงจนมีแต่แสงสลัวคอยส่องทาง
แต่ทางมหาวิทยาลัยยังปรานีเด็กๆที่ต้องทำงาน จึงบรรจงเปิดไฟหน้าห้องน้ำของทุกชั้นจนสว่างดร่ขัดกับส่วนต่างๆของตึกอย่างเห็นได้ชัด และนั่นทำให้การเข้าห้องน้ำของเหล่านักศึกษาที่ตรากตรำทำกิจกรรมยามค่ำคืนไม่ลำบากนัก และความน่าประหลาดมันอยู่ตรงนี้แหละ!
ห้องน้ำทุกชั้นถูกล็อคกุญแจทั้งหมดยกเว้นชั้นห้า ซึ่ง.. เด็กทำงานอยู่ข้างล่างต้องลำบากขึ้นไปเข้าห้องน้ำชั้นห้าเนี่ยนะ!
“เฮ้ย ปวดฉี่ว่ะ” โป้งเอ่ยขึ้นแล้วมองไปรอบๆกลุ่มที่ต่างคนต่างทาสีคัตเอาท์ตามส่วนที่ได้รับมอบหมายกันอยู่ แต่ไม่มีใครเงยขึ้นมาสบตาหรือพูดอะไรสักนิด จนโป้งต้องเอาเท้าเขี่ยไปที่เพื่อนที่นั่งข้างๆ
“ไอ้หนึ่ง ไปเข้าห้องน้ำกัน”
“อะไร โตเป็นควายแล้วไปเข้าห้องน้ำคนเดียวไม่เป็นเรอะ”
“เป็นสิวะ แต่…” โป้งว่าแล้วเงยหน้าขึ้นมองไปที่ชั้นสูงๆที่มีแต่แสงไฟสลัว ไปเข้าห้องน้ำน่ะไปเป็น แต่ไปห้องน้ำที่มีสภาพแบบนี้ ก็กลัวว่าจะมีผู้หญิงผมยาวที่ไม่รู้จักออกมาทักทายน่ะ
“เออ งั้นก็รีบไปรีบมา เนี่ยเหลืออีกตั้งเยอะ อยากกลับหอแล้วเนี่ย” หนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์นัก และโป้งก็รู้ดีว่ามันอยากรีบกลับหอไปดูบอลที่ฉายตอนสามทุ่มมากแค่ไหน
แต่ดูท่าว่าหนึ่งจะลืมอะไรไปอย่าง เพราะว่าถ้าโป้งรู้ว่าฟุตบอลคือสิ่งโปรดปรานในชีวิตของหนึ่งมากเพียงใดฉันท์ใด หนึ่งก็ต้องรู้ว่าโป้งกลัวความมืดเป็นที่สุดฉันท์นั้น เรื่องพวกนี้คือไม่อยากรู้ก็ต้องรู้อ่ะ เพราะเป็นเพื่อนมาตั้งแต่มัธยม แชร์หอนอกด้วยกัน และหนึ่งเปิดดูบอลทุกแมชท์ในขณะที่โป้งต้องเปิดโคมไฟสว่างๆที่หัวเตียงนอนทุกคืน
ให้ตายเถอะเพื่อนเอ๋ย.. ไม่มีความเห็นใจกันจริงเหรอวะ…
“เร็วสิ ยึกยักอยู่ได้”
“เออๆ ไปก็ได้วะ” โป้งลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้ แล้วมองขึ้นไปยังห้องน้ำชั้นห้าซึ่งเปิดไฟสว่างไสวอยู่อย่างไม่ไว้ใจ
ลิฟต์ขึ้นตึกอยู่ห่างจากจุดที่ทำกิจกรรมไม่ไกล แต่ถึงจะอยู่ในตึกเดียวกันก็ถูกจัดสร้างไว้ที่มุมอับ ซึ่งตอนกลางวันจะมีแสงแดดส่องลงมาจากหน้าต่างด้านบน แต่สำหรับตอนกลางคืน ไฟที่ใช้ตรงซอกนั้นก็เป็นหลอดไฟสว่างที่ดันติดๆดับๆ ดูๆไปแล้วยังน่ากลัวกว่าชั้นบนที่เปิดแค่ไฟสลัวเสียอีก
“โป้ง…”
เสียงผู้หญิง!
โอ้โห ยังไม่ทันขึ้นลิฟต์ก็มาทักทายกันเสียแล้ว โป้งยกมือพนมท่วมหัว ท่องบทสวดมั่วซั่วตามประสาวัยรุ่นที่ไม่ได้เป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี แล้วรีบกดลิฟต์ยิกๆเหมือนกับจะเร่งให้มันมารับเร็วขึ้นได้ แล้วรีบก้าวขึ้นไปทันที ไม่ได้มองเลยว่ามีใครหรืออะไรกำลังตามมา
ไฟที่หน้าห้องน้ำเปิดสว่างไสวเสียจนแทบจะต้องหรี่ตา แต่ถึงอย่างนั้นในห้องน้ำกลับมืดสนิท ซ้ำยังมีเอฟเฟกต์ลมหวีดหวิวมาจากหน้าต่างบานเล็กด้านในให้น่ากลัวขึ้นไปใหญ่
โป้งยื่นเฉพาะแขนเข้าไปในห้องน้ำพลางภาวนาให้ไม่มีใครมาจับแขนเอาไว้ แล้วไฟก็ถูกเปิดขึ้นมาพร้อมกับความโล่งใจ ที่ดันก่อตัวเป็นคลื่นบางอย่างโครกครากในช่องท้อง
อืม.. ปวดอึ
เลยต้องเข้าห้องปิดสำหรับธุระหนักเสียอย่างนั้น ข้างในเงียบเชียบเสียจนคิดว่าน่าจะหยิบมือถือขึ้นมาด้วย ไม่น่าวางใส่กระเป๋าเรียนไว้ข้างล่างเลย ไม่รอบคอบซะจริง
โป้งนั่งทำสมาธิอยู่ไม่ถึงนาที จู่ๆก็ได้ยินเสียงคนเดินมาในห้องน้ำ วินาทีแรกขนหัวลุกไปแล้ว แต่พอคิดไปคิดมา ก็น่าจะเป็นเพื่อนผู้ชายสาขาเดียวกันนี่แหละ เพราะมันไม่น่ามีใครแล้ว
“เฮ้ย ใครวะ”
“เออ โป่งเหรอ”
“ใช่ๆ โป้งโว้ย” ถึงจะไม่ได้บอกชื่อ และก็ไม่ค่อยคุ้นเสียงสักเท่าไร แต่โป้งก็มั่นใจว่าเป็นเพื่นคนหนึ่งในสาขาแน่ๆ ก็เวลานี้สาขาเขายึดครองใต้ตึก แล้วใครมันจะขึ้นมาปลดทุกข์ตอนนี้กันล่ะ
“ยุ่งรึเปล่าวันนี้”
“โคตรอ่ะ เนี่ยยังระบายสีคัตเอาท์ไม่เสร็จเลย ไอ้หนึ่งบ่นแย่แล้ว แกเป็นไงบ้าง”
“ก็เหนื่อยอยู่ แล้วนี่จะกลับเมื่อไร มืดแล้วเนี่ย”
“ทำคัตเอาท์เสร็จก็กลับ แกอ่ะ”
“คงกินข้าวก่อนน่ะ ให้ซื้ออะไรเผื่อเปล่า”
“หืม ไม่ต้อง เดี๋ยวไปกินกะไอ้หนึ่ง แกไปกินด้วยกันเปล่า”
“ว่าจะไปกินร้านเจ๊น้ำน่ะ”
“อ้าว วันนี้ยิ่งอยากกินร้านเจ๊เพ็ญอยู่ เออไม่เป็นไรวันหลังๆ นี่งานแกจะเสร็จแล้วสิ ร้านเจ๊น้ำแม่งปิดเร็วนี่หว่า”
“อืม ตกลงเอาผัดซีอิ๊วนะ หมู? โอเค เจอกันเว้ยโป่ง บาย”
อะไรผัดซีอิ๊วหมูวะ?
เดี๋ยวนะ เมื่อกี้เขาคุยกะใครวะเนี่ย?
พอเรียบเรียงเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ได้ ความร้อนก็ไล่ขึ้นมาจากปลายเท้าถึงใบหน้า ถ้าจะให้พูดตรงๆก็คือ อายไม่ไหวแล้ว!!
ก็คิดว่ามันแปลกๆตั้งแต่ถามว่าซื้ออะไรเผื่อมั้ยแล้วนะ แต่ก็คิดว่าไอ้หมอนี่กำลังจะทำงานเสร็จ ก็เลยจะขันอาสาไปซื้อข้าวมาให้เพื่อนๆที่หิวโหยเสียอีก ที่ไหนได้ เสียงปี๊บที่ดังขึ้นมาอย่างชัดเจนเมื่อกี้ ให้ตายเถอะ นี่เขากำลังคุยกับคนที่คุยโทรศัพท์อยู่งั้นเหรอ! มันเป็นใคร! ไม่ใช่เพื่อนของพวกเขาใช่มั้ย แล้วมาอยู่บนนี้ได้ยังไง มาทำให้เขาอายได้ยังไง!
ไอ้หมอนั่นไม่ได้เข้าห้องธุระหนักเหมือนตัวเอง แถมโป้งยังเปิดประตูห้องน้ำไว้โล่ง เพราะงั้นจะใช้เสียงประตูมาเป็นตัววัดว่าเจ้านั่นออกไปแล้วรึเปล่าก็ไม่ได้ แถมยังไม่ได้ยินฝีเท้าอีก นี่ตกลงยังอยู่ในห้องน้ำงั้นเหรอ?
ความเงียบเข้าปกคลุม ความเหม็นก็เช่นกัน โป้งทำธุระเสร็จสักพักแล้วแต่ไม่กล้าออกไป ด้วยกลัวคู่กรณีจะยังยืนดักอยู่ แต่ว่าการอบตัวเองในห้องส้วมแคบๆนี่ก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีสักเท่าไร เพราะฉะนั้น
ออกๆไปซะจะดีกว่า…
โป้งกดชักโครกอย่างเบาที่สุดแม้จะไม่ได้ผลเพราะยังไงเสียงน้ำมันก็ดังเท่าเดิม และยิ่งดังมากกว่าเดิมด้วยเมื่ออยู่ในที่เงียบๆแบบนี้
เขายื่นหัวออกมาเป็นสิ่งแรก มองซ้ายขวาและฝ้าเพดาน เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งผิดปกติแล้วจึงก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ แต่ทว่า…
“โห รอตั้งนานแน่ะ”
โป้งหันขวับตามเสียงเรียกทันที ซึ่งมันก็ไม่ได้มาจากที่ไหนไกล ห้องน้ำติดกันกับห้องเขานั่นเอง! นักศึกษาที่โป้งไม่คุ้นเลยแม้แต่นิดก้าวออกมา ตัวสูงพอๆกันแท้ๆ แต่ทำไมเดินแล้วไม่มีเสียงก้าวเลย แล้วมาอยู่ใกล้ขนาดนี้ อดคิดไม่ได้ว่าเป็นผีรึเปล่า
“เฮ้ย เป็นคน ไม่ต้องตกใจ”
โป้งยิ่งอ้าปากค้างไปใหญ่เมื่อเจ้าคนแปลกหน้าพูดอย่างกับว่ารู้ความคิดของตน แถมยังพูดออกมาอย่างหน้าตายเสียอีก
“ชื่อโป้งเหรอ ตะกี้เราคุยกับเพื่อนชื่อโป่งนะ”
“อะ.. อืม” โป้งก้มหน้าลงด้วยความอับอาย ไม่เข้าใจว่าไอ้หมอนี่จะยืนอยู่รอให้เขาออกมาจากห้องน้ำทำไม น่าจะรู้แท้ๆว่าคนอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มันอายมากแค่ไหน
“มันเป็นผู้ชาย แต่ชื่อลูกโป่ง ตลกดีเนอะ”
ยังจะพูดอีก!
โป้งเหลือบมองคนพูด ที่ดูท่าจะตั้งใจปล่อยมุขแท้ๆแต่กลับทำหน้านิ่งเหมือนเดิมไม่มีผิด แถมยังดูท่าไม่คิดจะไปไหนอีก ถ้างั้นเขาคงต้องออกไปก่อนสินะ
“เอ่อ ถ้าไม่มีไรแล้ว เราไปก่อนนะ” โป้งพูดแล้วเฟดตัวออกมาโดยนึกว่าตัวเองเป็นนินจาในการ์ตูน แต่ในเมื่อไม่ใช่ จึงถูกคว้าแขนไว้ได้อย่างง่ายดายเสียอย่างนั้น โป้งเงยหน้ามองคนจับ ที่เริ่มจะขมวดคิ้วนิดนึง นิดเดียวจริงๆ
“เดี๋ยวสิ นี่เรารอตั้งนานนะ”
“แล้วจะรอทำไมเล่า อยากให้เราอายเหรอ”
โป้งพูดอย่างเหลืออด ซึ่งฝ่ายนั้นทำแค่ขมวดคิ้ว มากกว่าเดิมอีกนิดนึง “เปล่า เราแค่อยากรู้จัก”
“อยากรู้จักเรา? ทำไม?” เป็นใครก็คงสงสัยทั้งนั้นแหละ เล่นออกจากห้องน้ำมาแล้วมีใครไม่รู้มาดักรอแบบนี้ อยากรู้จักที่ว่านี่คือชวนขายตรงรึเปล่า เห็นว่าอยู่ในห้องน้ำสองคนรอดยากสินะ
“เรามีเพื่อนที่ชื่อโปง โป่ง โป๊ง โป๋ง ไง ขาดแต่โป้งเนี่ย ขอเบอร์ เฟส ไลน์หน่อย เร็ว”
นอกจากเหตุผลจะแปลกๆแล้วยังมีบังคับอีกต่างหาก โป้งมองมือถือที่ยื่นมาตรงหน้าอย่างงงๆ ซึ่งฝ่ายนั้นก็ยัดใส่มือมาให้แล้วยืนดูหน้านิ่ง
“นี่ ถ้าเราเป็นขโมยจะทำไง”
“ไม่ใช่หรอก เด็กไอทีที่ทำคัตเอาท์ข้างล่างนี่นา เมื่อกี้ก็บอกอยู่”
ความอับอายขึ้นมาจุกที่คออีกครั้ง ไม่รู้จะพูดขึ้นมาทำไม อุตส่าห์เจอคาแรกเตอร์แปลกๆของเจ้าหมอนี่จนลืมไปแล้วแท้ๆ
“เออๆ ไม่ขโมยหรอก ว่าแต่แกชื่อไรอ่ะ อยู่ปีไหน เฮ้ยเป็นพี่เปล่าวะ โทษทีพูดหยาบ”
“ชื่อตาล ปีหนึ่งวิศวะคอม”
“ตาล?” โป้งทวนคำอย่างสงสัย เป็นผู้ชายแท้ๆแต่ชื่อตาล มันมีความหมายอะไรพิเศษรึเปล่านะ
“ใช่ น้ำตาล ลูกตาล แล้วแต่จะล้อ แต่จริงๆชื่อตาลเฉยๆ”
โป้งพยักหน้าแล้วหัวเราะเบาๆเมื่อนึกถึงเรื่องที่ตาลหน้ามึนพูดก่อนหน้านี้ “ชื่อแกก็เหมือนผู้หญิงเหมือนเพื่อนแกชื่อลูกโป่งเลยเนอะ ยังจะล้อเขาอีก”
“หึ ไม่เหมือนกันนะ โป่งมันลูกคนเดียว เกิดมาแล้วแม่ตั้งให้เหมือนผู้หญิงเลย แต่เรามีพี่ชื่อตอง แม่เราเลยให้ชื่อต.เต่า แต่ถ้าชื่อตู่ก็กลัวได้เป็นนายก เราอยากเป็นคนธรรมดามากกว่า”
คราวนี้โป่งถึงกับหัวเราะพรืดจนต้องปิดปาก มองตาลที่ยังหน้านิ่งแล้วยิ่งตลก ไม่รู้ทำไมคำพูดกับสีหน้าถึงไม่ไปด้วยกันเลย นี่มันพูดเพราะอยากเล่นมุขหรือเป็นแพทเทิร์นการแนะนำชื่ออยู่แล้วนะ
“แล้วพี่ชื่อตองนี่คือ แม่อยากให้สวยเหมือน ตอง ภัครมัย?”
“ตอนแรกก็ใช่ แต่ตอนนี้เป็นตองแค่เขียวอย่างเดียว ยืนอยู่ที่มืดนี่กลมกลืนเลยนะ”
มีการว่าพี่สาวตัวเองอีกต่างหาก! แถมยังมีการมาหยิบมือถือคืนแล้วเปิดรูปในแกลลอรี่ให้ดูอีก ซึ่งก็.. อืม.. ผิวคล้ำจริงๆด้วย แต่มันจำเป็นต้องเปิดเผยครอบครัวกับคนที่เพิ่งรู้จักขนาดนี้เลยเรอะ!?
“ถามจบยัง รีบๆเมมเบอร์ดิ”
“เดี๋ยว มีอีก ที่แกบอกว่ารู้จักคนชื่อโปง โป่งไรนั่นน่ะ ไล่ให้ฟังหน่อย คนบ้าอะไรรู้จักคนเป็นชื่อไล่วรรณยุกต์”
“เจ๋งใช่มั้ยล่ะ”
ไม่รู้ตาฝาดรึเปล่าแต่โป้งเหมือนรู้สึกเห็นตาลหน้ามึนยิ้มแล้วยืดอกนิดๆ มันเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจขนาดนั้นเลยเหรอ?
“โปง คือโปงลางไง พ่อมันเป็นคนกาฬสินธ์ เคยอยู่วงโปงลาง ก็เลยตั้งชื่อว่าโปงลาง” ตาลพูดแล้วมองหน้าโป้ง ซึ่งคนฟังก็พยักหน้ารับ “โป่งคือลูกโป่ง โป้งคือแก ส่วนโป๊งนี่จริงๆไม่ใช่ชื่อมันหรอก แต่มันสกิดเฮดแล้วตัวอ้วน เพื่อนเลยล้อว่าโป๊งเหน่ง”
โป้งพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ และเงียบเพื่อฟังเจ้าหน้ามุนนี่พูดต่อ แต่ตาลกลับเงียบเสียอย่างนั้น “แล้วโป๋งล่ะ?”
“เราก็พูดไปงั้นแหละ ใครมันจะชื่อโป๋ง บ้าเปล่า”
“อ้าว กวนตีนนี่หว่า”
ตาลยักไหล่เล็กน้อยราวกับจะบอกว่าด่ามาก็ไม่แคร์ “แล้วเบอร์อ่ะ เมมยัง”
“นี่เอาจริงเหรอวะ”
“ไม่จริงจะยืนดมขี้รอเหรอ เร็วสิ”
ไม่รู้ทำไมพอได้ยินคำว่าดม..จากคนที่ก็ยังเป็นคนแปลกหน้ากันอยู่แล้วสะเทือนใจยังไงก็ไม่รู้ เพิ่งเจอกันแค่สิบนาที นี่สนิทกันถึงขั้นนี้แล้วเหรอ?
“เออๆ เมมก็ได้วะ”
“เฟส ไลน์ ทวิต ไอจี”
“มีแค่ไลน์กับเฟส”
“เอาเท่าที่มีนั่นแหละ ทั้งหมด เร็วๆ”
โป้งกดมือถือยิกๆ ไม่รู้ทำไมถึงต้องรีบตามที่ถูกเร่งด้วย “จะรีบไปไหนวะ แปปนึงสิ”
“รีบกินข้าวแล้วซื้อผัดซีอิ๊วไปให้โป่งไง ทำไมลืมเร็ว”
อยากจะเถียงออกไปเหลือเกินว่าใครมันจะไปจำทุกสิ่งอย่างที่คุยกันวะ แถมบทสนทนาช่วงนั้นยังเป็นบทสนทนาแห่งความผิดพลาดเสียด้วย
“ถึงจะลืมเรื่องนี้แต่อย่าลืมเรานะ”
แล้วจะมาเล่นมุขอะไรตอนนี้!
ถ้านี่เป็นการ์ตูนคงเห็นโป้งควันออกหูไปแล้วแน่ๆ เขาจึงรีบทำทุกอย่างแล้วคืนเครื่องให้เจ้าของโดยเร็ว ซึ่งตาลก็ดูจะมีสีหน้าพึงพอใจทีเดียว
“นี่ จะว่าไปแกมาอยู่นี่ได้ไงน่ะ” เกือบลืมเรื่องที่สำคัญที่สุดไปซะแล้วสิ จะว่าไปตึกนี้มืดหมดและมีแต่คนของพวกเขา อย่าบอกนะว่า ตัวจริงของเจ้านี่…
“อ๋อ พอดีลืมสมุดจดไว้นี่”
“เค้าไม่ได้ล็อคประตูเหรอ?”
“ไม่นะ ที่นี่เค้าล็อคแค่ห้องน้ำเท่านั้นแหละ ไปลองเปิดดูสิ”
โป้งส่ายหน้ารัวเร็ว จะให้ไปเช็คห้องเรียนที่มืดสนิทมีแค่ไฟสลัวๆด้านหน้าน่ะไม่เอาด้วยหรอก แต่เท่านี้ปริศนาทั้งหมดก็คลี่คลายแล้ว
“งั้นเราไปก่อนนะ”
“ก็ลงลิฟต์ไปด้วยกันดิ” ว่าแล้วก็ดึงแขนอีกฝ่ายออกมาเฉย โป้งไม่ทันแม้แต่จะขัดขืน ได้แต่เดินตามตาลที่ปิดไฟปิดประตูแล้วกดลิฟต์ให้
“แกเนี่ยพิลึกชะมัด”
“เหรอ”
พูดสั้นๆก่อนที่ประตูลิฟต์จะเปิดออก โป้งเหลือบมองใบหน้านิ่งมึนของตาลที่ไม่ได้พูดอะไรออกมาแล้วถอนหายใจเล็กๆ
มาจากไหนไม่รู้ คิดอะไรอยู่ก็ไม่รู้ แต่ก็ตลกดีเหมือนกันนะ…
“ไปจริงละนะ”
“เออ กลับดีๆ”
“ตั้งใจทำงานล่ะ”
โป้งพยักหน้ารับคนที่พูดแล้วเดินออกจากมุมลิฟต์ไป ทั้งๆที่เพิ่งรู้จักและคิดว่ามันเป็นคนแปลก แต่ตอนนี้กลับพูดคุยกันได้อย่างกับเป็นเพื่อนกัน หรือคนแปลกจะเป็นตัวเองกันแน่
ชายหนุ่มหลุดยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงการรู้จักกันที่มันดูแปลกๆไปเสียหมด ก่อนจะเดินไปยังมุมคัตเอาท์ที่ทำค้างไว้ แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเพื่อนๆที่ควรนั่งตั้งใจทำงานกลับมุงอะไรกันอยู่ก็ไม่รู้
“มีไรกันวะ”
“ไอ้โป้ง ฮ่าๆๆๆ” หนึ่งที่หัวเราะจนหน้าแดงไปหมดหันมาตบบ่าให้เพื่อนสนิทที่ยืนงงเข้าไปดูหน้าจอมือถือของเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งกำลังฉายภาพในห้องน้ำ มีตาลยืนยิ้มนิดๆมองไปยังห้องส้วมที่ปิดไว้ทั้งยังถือโทรศัพท์ในมือ และเสียงตัวเขาเองที่ตอบโต้กับมันอย่างธรรมชาติ
“เฮ้ย ใครไปถ่ายไว้วะ!!”
โป้งเผลอตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด ความอายที่หายไปแล้วแล่นขึ้นมาอีกครั้งจนร่างกายดีดตามสัญชาติญาณหวังไปตะครุบมือถือตัวการแล้วลบคลิปบ้านั่นทิ้งซะ แต่มือของใครบางคนก็รีบดึงมันออกไป ซึ่งคนๆนั้นก็เป็นกลุ่มเพื่อนด้วยกันเนี่ยแหละ แต่เพราะมันหยิบเอาไปแนบอกเลยไม่กล้าไปแย่งคืนมา ไม่งั้นเดี๋ยวโดนอะไรๆจะยุ่ง
“ฝน เอามาดิ นี่เราเสียหายนะอย่าช่วยคนถ่ายดิ”
“ไอ้โป้ง ฉันถ่ายเองแหละ”
กลายเป็นโป้งหน้าเหวอท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อนๆ รวมทั้งเพื่อนสาวตัวการ “นี่ฉันเห็นแกไปทางลิฟต์เลยเรียกจะไปด้วยก็ไม่รอ พอขึ้นไปก็ได้ยินเสียงแกคุยกะใครไม่รู้ พอไปแอบดูก็อย่างที่เห็น”
เสียงหัวเราะยังคงดังอย่างต่อเนื่อง และโป้งก็ถึงบางอ้อทันทีว่าเสียงผู้หญิงที่ไหนมาเรียกตอนขึ้นลิฟต์ เขากุมหน้าผาก รำพันในใจว่ารู้งี้น่าจะอยู่รอ ไม่งั้นเธอคงจะไม่ใจดีกับเขาหน่อยโดยที่ไม่เอามาแบล็คเมล์แบบนี้
“ลบ.. ลบเลยนะ..”
“ก็ได้นะ แต่ลงเฟสไปแล้วอ่ะ”
โป้งถลาไปควานหามือถือในกระเป๋าเรียนแล้วรีบเปิดเฟสบุ๊คทันที และสิ่งที่เด้งขึ้นมาก็เป็นอะไรที่ทำให้หงุดหงิดขึ้นไปอีก ไอ้ตาล จะมาไลค์ทำไม!
‘ตลกดีนะ’ แชทเองก็เด้งขึ้นมาทันทีเหมือนกัน คนในนั้นเป็นคนที่รู้จักกันดี.. เมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว
‘แกรู้ตัวสินะ ทำไมไม่บอกให้หยุด’
‘ก็มันตลกอ่ะ :p’
โป้งกำมือถือแน่นก่อนจะสบถออกมาอย่างเหลืออด “ไอ้ตาล… ไอ้เชี่ยเอ๊ย”
“ตาลนี่ใครอ่ะ คนเมื่อกี้ป่าว เค้าจีบแกเหรอ” ฝนพูดขณะกดเข้าไปดูเฟสบุ๊คของคนที่เพิ่งมากดไลท์และเป็นคนที่เธอไม่รู้จัก จึงรีบเช็คและรู้ทันทีว่าเป็นเพื่อนกับโป้ง แถมยังหน้าตาเหมือนคนในคลิปอีก ว่าก็ว่าเถอะ เธอตั้งใจแอบถ่ายเลยมองหน้าไม่ชัด น่าเสียดายที่ถ้าจีบกันจริง เธอน่าจะอยู่ฟังต่ออีกหน่อย ไม่น่ารีบลงมาตอนพวกนี้คุยโทรศัพท์เสร็จเลย
“เฮ้ยเปล่า ก็คุยกันเฉยๆ”
“จริงเหรอวะ ไหนๆ” หนึ่งคว้ามือถือจากฝนที่ไม่ได้ขัดขืนอะไรแล้วพิมพ์อะไรไปไม่รู้ โป้งเช็คมือถือว่าจะถูกแกล้งรึเปล่าแต่ก็ไม่มีอะไร จนเพื่อนสนิทและอีกสองสามคนที่มุงอยู่ยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“ไอ้โป้งดูดิ”
“อะไรวะ” เขาดึงมือถือของฝนเข้ามาใกล้ ซึ่งมันปรากฏแชทที่หนึ่งเอาเครื่องฝนไปคุยกับตาล
‘เธอๆ จีบโป้งเหรอ’
‘ใช่ครับ
’
เท่านั้นแหละเสียโห่ฮิ้วก็ดังขึ้นเป็นวงรอบตัว โป้งแทบจะมุดดินหนีจากความอับอายที่เกิดขึ้นซ้ำซ้อนจนแทบรับมือไม่ทัน
แล้วแชทในเครื่องตัวเองก็เด้งขึ้นอีก ‘บอกเพื่อนโป้งไปละว่าจีบ ตามนี้นะ’
ตามนี้นะบ้าบออะไรล่ะ แบบนี้ก็เท่ากับเขาไม่มีทางเลือกเลยไม่ใช่รึไง! ไอ้บ้าหน้ามึนเอ๊ย มันเอาความคิดจะจีบผู้ชายที่เจอกันในห้องส้วมมาจากไหนวะ ต้องพูดว่าไอ้บ้ากี่ครั้งถึงจะสมควรแก่ความบ้าของมันดีเนี่ย
“หน้าแดงว่ะ”
“ไม่ได้แดงเว้ย เอ้า จะกลับไปดูมั้ยบอลน่ะ มาทำต่อเร็ว!” ต่อมรักงานโตขึ้นมาเสียอย่างนั้น พวกเพื่อนๆที่มุงล้อเลียนเลยจำใจต้องกระจายกันออกไป ให้โป้งทาสีเงียบๆด้วยหน้าสีแดงจัดต่อไป
และไม่ได้รู้ตัวเลยว่าถูกแอบถ่าย..
‘อะ คิดว่าอยากได้’
‘ขอบใจนะ’
ตาล น้องตอง ตอบรับคำขอเป็นเพื่อนจาก Nueng Nopparuj แล้ว…
___________________________________________________________________________________________
สวัสดีทุกคนค่ะ! กลับมาแล้วกับเรื่องสั้นเรื่องที่สอง ขอบคุณที่เข้ามาอ่านมากๆนะคะ
จริงๆก็ลังเลนะคะว่าจะลงห้องไหน แต่อันนี้กะว่าจะให้เหมือนการ์ตูนแก๊กจบในตอน เลยเอาลงห้องนี้ดีกว่า
คุ้นชื่อโป้งกันมั้ยคะ? แถ่นแท้น พี่โป้งดวงซวยจากเรื่อง
คุณหมาป่ากับศักดิ์ศรี นั่นเองค่า!
ใครไม่เคยอ่านฝากด้วยนะคะ ตอนพิเศษมีแน่นอน!
ฝากเรื่องยาวด้วยนะคะ
Penquin Pitch! เป็นเรื่องราวของชมรมอะแคปเปลลามัธยมค่ะ แนวจริงจังที่ผิดกับเรื่องสั้นเลยค่ะ หวังว่าจะสนุกนะคะ
ปล เหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นจริงกับเราค่ะ ซึ่งจริงๆมันไม่ฟรุ้งฟริ้งงี้หรอก อาย! อาย! อาย! ลูกเดียว